The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-10-26 10:13:10

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

301

เงินตราท่ีรัฐบาลกาหนด เช่น มีลวดลาย สี ขนาด ลักษณะของกระดาษอย่างเดียวกัน ซึ่งจะต้อง
พอท่ีจะลวงตาให้เห็นว่าเป็นเงินตรา แต่ไม่จาต้องถึงกับต้องพิจารณาจึงจะรู้ว่าปลอม เพียงแต่ลวงตา
ซ่ึงถ้าไม่พิจารณาให้ดีอาจหลงเข้าใจว่าเป็นเงินตราได้ ก็ถือได้ว่าเป็นการทาปลอมขึ้นแล้ว และการ
ทาปลอมย่อมจะเหมือนของจริงไปทุกอย่างไม่มีผิดกันเลยไม่ได้ ย่อมต้องมีบางสิ่งบางอย่างผิดจาก
ของจริงบ้างไม่มากก็น้อย ฉะนั้น การปลอมจะผิดจากของจริงท่ีต้ังใจทาให้เหมือนมากน้อยเพียงใด
จึงไม่สาคัญ การท่ีจาเลยนาธนบัตรฉบับละ ๑,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นเงินตราท่ีรัฐบาลไทยออกใช้จานวน
๔๖ ฉบบั มาตัดออกเป็น ๒ ท่อน ทุกฉบับ ท่อนหนึ่งยาวเกินครึ่งฉบับ อีกท่อนหน่ึงยาวไม่ถึงครึ่งฉบับ
แล้วนาทอ่ นซา้ ยท่ีสนั้ มาต่อสลบั ท่อนเขา้ กับทอ่ นขวาท่ีสั้นของอกี ฉบับหน่ึงด้วยเทปใสตามธนบัตรของ
กลาง ยอ่ มเป็นการทาธนบัตรฉบับละ ๑,๐๐๐ บาท ข้ึนใหม่อีก ๒๓ ฉบับ โดยต้ังใจให้เหมือนของจริง
จึงเป็นการทาปลอมขึ้นซ่ึงธนบัตรฉบับละ ๑,๐๐๐ บาท ที่รัฐบาลออกไว้ แม้จะมีขนาดส้ันกว่าปกติ
ก็ยังคงถือเป็นการทาปลอม เพราะพอที่จะลวงตาให้เห็นว่าเป็นเงินตราและของปลอมไม่จาต้อง
เหมือนของจริงไปทุกอย่างโดยไม่ผิดกันเลย การท่ีจาเลยเบิกความตอบคาถามค้านโจทก์ว่า จาเล ย
รู้ว่าธนบัตรท่อนยาวเกินคร่ึงฉบับแลกได้เต็มราคาตามกฎกระทรวง แสดงว่าจาเลยมีเจตนาทาให้
ธนบัตรฉบับละ ๑,๐๐๐ บาท ๒ ฉบับ เป็นธนบัตรฉบับละ ๑,๐๐๐ บาท ๓ ฉบับ ท่อนยาว ๒ ท่อน
แลกคืนได้ ๒,๐๐๐ บาท ส่วนทอ่ นส้ัน ๒ ท่อน ต่อกนั เปน็ ฉบับเดยี ว ๑,๐๐๐ บาท แม้จะแลกคนื ไมไ่ ด้
แต่การท่ีจาเลยนาไปใช้ชาระหนี้การใช้บัตรเครดิตย่อมแสดงว่า จาเลยประสงค์จะแสวงหาประโยชน์
จากการทาปลอมดังกล่าว หากการกระทาเช่นนี้ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเงินตราเท่ากับเป็นการ
ส่งเสริมสนับสนุนให้มีการทาธนบัตรโดยผู้ไม่มีอานาจ อันมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความม่ันคง
ของประเทศ การที่ธนบัตรของกลางเป็นธนบัตรชารุดตามพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ.๒๕๐๑
มาตรา ๑๘ ประเภทต่อท่อนผิด ทาให้ไม่เป็นเงินที่ชาระหนี้ได้ตามกฎหมาย ไม่ทาให้การกระทาของ
จาเลยไม่เป็นความผิดฐานปลอมเงินตรา เพราะหากธนบัตรดังกล่าวเป็นเงินท่ีชาระหน้ีได้ตาม
กฎหมาย ธนบัตรดังกล่าวย่อมไม่เป็นของปลอม การท่ีใช้ชาระหนี้ไม่ได้ตามกฎหมายแสดงว่าเป็น
ของปลอม จาเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเงินตราและมีเงินตราปลอมเพื่อนาออกใช้โดยรู้ว่าเป็น
เงินตราปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๔๐ และ ๒๔๔ ตามฟ้อง ท่ีศาลอุทธรณ์
พิพากษามานน้ั ศาลฎีกาไมเ่ หน็ พอ้ งดว้ ย ฎกี าของโจทก์ฟงั ขนึ้

พพิ ากษากลับเป็นว่า จาเลยมีความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๔๐ และ ๒๔๔
จาเลยเป็นทั้งผู้ปลอมเงินตราและมีเงินตราปลอมเพ่ือนาออกใช้โดยรู้ว่าเป็นเงินตราปลอม
จึงให้ลงโทษฐานปลอมเงินตราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๔๐ แต่กระทงเดียวตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๔๘ จาคุก ๑๐ ปี ทางนาสืบของจาเลยเป็นประโยชน์แก่การ
พิจารณาและจาเลยได้นาเงินไปแลกธนบัตรปลอมคืน อันเป็นการรู้สึกความผิดและบรรเทาผลร้าย
แห่งความผิดน้ัน นับว่ามีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้กึ่งหน่ึงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๗๘ คงจาคกุ ๕ ปี ริบของกลาง

(ชัยสทิ ธ์ิ ตราชูธรรม - จักร อุตตโม - สมศักด์ิ ตันตภิ ิรมย)์

302

ฎีกาท่ี ๑๐๙๔๑/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล. ๑๐ น. ๙๒ การทาปลอมขึ้นซึ่งเงินตรา ไม่ว่าจะเป็นการ
ปลอมข้ึนเพื่อให้เป็นเหรียญกระษาปณ์หรือธนบัตรหรือสิ่งอ่ืนใดซ่ึงรัฐบาลออกใช้หรือให้อานาจให้
ออกใช้ หากสิ่งที่ทาข้ึนมีลักษณะอย่างเดียวกับเงินตราที่รัฐบาลออกใช้หรือให้อานาจให้ออกใช้
พอท่ีจะลวงตาให้เห็นว่าเป็นเงินตรา ก็ถือได้ว่าเป็นการทาปลอมขึ้น โดยไม่จาต้องลวงถึงกับต้อง
พิจารณาดูหรือจับต้องเสียก่อนจึงจะรู้ว่าเป็นของปลอม ธนบัตรปลอมของกลางเห็นได้ชัดว่าทาขึ้น
โดยมีรูปรา่ งลักษณะ ขนาด สสี ัน ลวดลายและตัวอักษรบนธนบัตรเหมือนกับธนบัตรฉบับละ ๑๐๐๐
บาท ท่ีแท้จริงทุกประการ แม้สีสัน ความคมชัด และกระดาษแตกต่างจากของจริงไปบ้างก็เป็นเร่ือง
ธรรมดา เพราะในการทาปลอมตามปกติย่อมต้องมีความแตกต่างจากของจริงไม่มากก็น้อย จะให้
เหมือนของจริงไปเสียทุกอย่างย่อมไม่ได้ และวัสดุท่ีใช้ย่อมต้องด้อยคุณภาพกว่าของจริง หากแต่
รปู ลักษณะภายนอกก็เพียงพอต่อการลวงตาให้เห็นว่าเป็นเงนิ ตราแล้ว จึงเป็นทาปลอมข้ึนซ่ึงเงนิ ตรา
เพ่อื ให้เป็นธนบัตรซ่ึงรฐั บาลไทยออกใช้หรือให้อานาจให้ออกใช้ ดังนั้น การท่ีจาเลยมีเจตนาทาปลอม
ขึ้นซึ่งเงินตราดังกล่าว จึงหาใช่มีเจตนาเพียงทาบัตรให้มีลักษณะและขนาดคล้ายคลึงกับเงินตรา
อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๔๙ วรรคแรก เท่าน้ันไม่ จาเลยจึงมีความผิดตามมาตรา ๒๔๐

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๒๔๙

ฎีกาที่ ๒๘๒๘/๒๕๕๑ ฎ.๑๖๑๓ ป.อ. มาตรา ๒๔๙ มิได้บัญญัติไว้ด้วยว่าการทาบัตรให้มี
ลักษณะและขนาดคล้ายคลึงกับเงินตรา ต้องกระทาเพ่ือให้ผู้อ่ืนเช่ือว่าเป็นธนบัตรที่แท้จริง แต่คาว่า
คล้ายคลึง แสดงว่าเกือบเหมือนหรือไม่ต้องเหมือนทีเดียว เพียงแต่มีลักษณะสีสันรูปร่างและขนาด
คล้ายเงินตราที่แท้จริง ก็เป็นความผิดตามมาตราน้ี แต่สาเนาธนบัตรท่ีจาเลยทาข้ึนเกิดจากการ
ถ่ายสาเนาธนบัตรฉบับละ ๑,๐๐๐ บาท ของจริงลงในกระดาษธรรมดา สีสันในส่วนสาเนาธนบัตร
เป็นสีขาว มิได้มีสีสันเหมือนธนบัตรฉบับจริง แม้ว่าขนาดของกระดาษจะเท่าของจริง เม่ือวิญญูชน
ทั่วไปดูแล้วย่อมทราบได้ทันทีว่าไม่ใช่ธนบัตรท่ีแท้จริง ย่อมถือไม่ได้ว่าจาเลยทาบัตรให้มีลักษณะ
และขนาดคลา้ ยคลงึ กับเงินตรา

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๒๖๓

ฎีกาที่ ๑๖๓๕๒/๒๕๕๗ ความผิดฐานร่วมกันปลอมข้ึนซ่ึงรอยตราของทบวงการเมืองหรือ
เจ้าพนักงานและฐานร่วมกันใช้รอยตราท่ีทาปลอมขึ้น อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๕๑ และ
๒๕๒ เมื่อจาเลยซึ่งเป็นผู้กระทาความผิดฐานร่วมกันปลอมข้ึนซ่ึงรอยตราของทบวงการเมืองหรือ
เจ้าพนักงานตามมาตรา ๒๕๑ ได้กระทาความผิดฐานร่วมกันใช้รอยตราท่ีทาปลอมขึ้นตามมาตรา
๒๕๒ จึงต้องลงโทษจาเลยตามมาตรา ๒๕๑ แต่กระทงเดยี วตามมาตรา ๒๖๓

การท่ีจาเลยกับพวกรว่ มกันปลอมเอกสารสัญญาที่จะออกหนังสืออนญุ าตการทางานสาหรับ

303

ชาวตา่ งชาติ ปลอมเอกสารการอนุญาตให้คนหางานเดนิ ทางเข้าไปในสาธารณรัฐโปแลนด์ (วีซ่า) ของ
สถานเอกอัครราชทูตแห่งสาธารณรัฐโปแลนด์ ปลอมหนังสือของกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์
คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล ถึง กรมการจัดหางาน ปลอมรอยตราประทับของสถาน
เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอร์ซอ ขึ้น แล้วนารอยตราปลอมท่ีทาข้ึนดังกล่าวไปใช้ประทับลงใน
เอกสารหนังสือความต้องการลูกจ้าง หนังสือมอบอานาจ และหนังสือสัญญาจ้างแรงงานของบริษัท
ซ. จากน้ันนาเอกสารปลอม เอกสารราชการปลอม และเอกสารที่มีรอยตราปลอมดังกล่าวไปแสดง
แก่โจทก์ร่วม เป็นการกระทาที่ล้วนมีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวคือหลอกลวงโจทก์ร่วมให้หลงเช่ือ
แล้วจ่ายเงินเป็นค่าดาเนินการเพ่ือจัดส่งคนหางานไปทางานในต่างประเทศเท่าน้ัน การกระทาของ
จาเลยจึงเป็นการกระทากรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตาม ป.อ. มาตรา ๒๕๑
ซ่งึ เปน็ กฎหมายบทท่มี โี ทษหนักทีส่ ดุ ตาม ป.อ. มาตรา ๙๐

304

ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร

ขอ้ ๖๐ คาถาม นายวอกทาสาเนาภาพถ่ายใบอนุญาตท่เี จ้าพนักงานออกให้แก่นายวอกให้มี
และใช้อาวธุ ปนื โดยนายวอกไม่เคยไดร้ บั อนญุ าต และไม่มใี บอนุญาตทแี่ ท้จรงิ ระหวา่ งทางท่ีนายวอก
ขับรถไปเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ นายวอกถูกตารวจจับกุมพร้อมอาวุธปืน จึงถูกดาเนินคดีข้อหามีและ
พาอาวุธปนื โดยไมไ่ ดร้ ับอนุญาต นายวอกนาสาเนาใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปนื ที่ตนทาข้ึนดงั กล่าว
มาแสดงต่อพนกั งานสอบสวนในคดีทต่ี นถกู กล่าวหาว่า มีและพาอาวธุ ปนื โดยไม่ไดร้ ับอนญุ าต

ให้วินิจฉยั วา่ นายวอกมคี วามรับผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด หรอื ไม่
คาตอบ การที่นายวอกทาสาเนาภาพถ่ายใบอนญุ าตให้มีและใชอ้ าวุธปืนวา่ เจ้าพนักงานออก
ใบอนุญาตให้แก่นายวอก เป็นการทาเอกสารปลอมข้ึนท้ังฉบับ โดยประการท่ีน่าจะเกิดความ
เสียหายแก่ผู้อ่ืนหรือประชาชน เพ่ือให้บุคคลอื่นเช่ือวา่ เป็นเอกสารท่ีแท้จริงโดยเจตนา แม้จะไม่มี
เอกสารท่ีแทจ้ ริง (ฎีกาท่ี ๑๘๙๕/๒๕๔๖) และไม่ได้แก้ไขต้นฉบบั เอกสารราชการท่ีแท้จริง แต่เป็น
การกระทาเพื่อให้ผู้อ่ืนหลงเช่ือว่าสาเนาดังกล่าวมีข้อความตรงกับต้นฉบับ การทาเอกสารปลอม
ข้ึนท้ังฉบับ ไม่ต้องแก้ไขในเอกสารราชการท่ีแท้จริง ก็เป็นการปลอมเอกสารราชการแล้ว
การกระทาดังกล่าวของนายวอกจึงครบองค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕ แล้ว (เทยี บฎีกาท่ี ๔๐๗๓/๒๕๔๕)
การท่ีนายวอกนาสาเนาภาพถ่ายใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปนื ท่ีตนทาข้นึ ดังกล่าวแสดงต่อ
พนักงานสอบสวน เป็นการใชห้ รืออ้างเอกสารราชการปลอม ในประการท่นี ่าจะเกิดความเสียหาย
แกผ่ ูอ้ น่ื หรือประชาชน โดยเจตนา ครบองค์ประกอบความผดิ ตามมาตรา ๒๖๘ วรรคแรก แลว้
เม่ือนายวอกผู้ใช้เอกสารดังกล่าวเป็นผู้ปลอมเอกสารน้ัน ให้ลงโทษฐานใช้เอกสาร
ราชการปลอมแต่กระทงเดยี วตามมาตรา ๒๖๘ วรรคสอง จงึ ตอ้ งพิจารณาความรบั ผิดทางอาญา
ของนายวอกต่อไปเฉพาะในความผิดฐานใชเ้ อกสารราชการปลอม
แม้การกระทาของนายวอกดังกล่าวจะครบองค์ประกอบความผิดฐานใช้เอกสารราชการ
ปลอมดังที่วินิจฉัยมาแล้ว แต่การกระทาของนายวอกดังกล่าวเท่ากับนายวอกให้การปฏิเสธใน
ฐานะท่ีนายวอกเป็นผู้ต้องหา ซ่ึงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๓๔
ให้สิทธิแก่ผู้ต้องหาท่ีจะให้การรับหรือปฏิเสธก็ได้ ดังนั้น ถึงแม้ว่าสาเนาภาพถ่ายใบอนุญาต
ให้มีและใช้อาวุธปืนจะเป็นเอกสารอันเกิดจากการกระทาความผิดฐานปลอมเอกสารราชกา ร
ก็จะเอาความผิดนายวอกฐานใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทาความผิดฐานปลอม
เอกสารราชการไม่ได้ เพราะถือว่ามีกฎหมายยกเว้นความผิดให้แกน่ ายวอก (เทียบฎีกาที่ ๒๙๘๗/
๒๕๔๗)
ข้อสังเกต ปัญหำที่ข้ึนสู่ศำลฎีกำตำมฎีกำที่ ๒๙๘๗/๒๕๔๗ มีเฉพำะปัญหำว่ำ จำเลยมีควำมรับผิด
ทำงอำญำฐำนใช้เอกสำรรำชกำรปลอมตำมมำตรำ ๒๖๘ วรรคแรก หรอื ไม่ ส่วนประเด็นควำมรับผิด
ทำงอำญำฐำนปลอมเอกสำรรำชกำรตำมมำตรำ ๒๖๕ ไม่ได้ข้ึนสู่กำรพิจำรณำของศำลฎีกำ ผู้แต่งจึง
ได้เพ่ิมเติมข้อเท็จจริง เพ่ือให้นักศึกษำได้ทดลองวิเครำะห์และทดสอบหลักกฎหมำยเพิ่มเติมจำกที่

305

ศำลฎีกำได้วินิจฉยั ไว้ เมื่อข้อเท็จจริงตำมคำถำมไปถึงและมีข้อกฎหมำยรองรับอยู่แล้ว นักศึกษำต้อง
ตอบปญั หำเหล่ำน้ีให้ครบถ้วนดว้ ย

อนึ่ง ศำสตรำจำรย์พรเพชร วิชิตชลชัย มีควำมเห็นตรงกันข้ำมกับคำพิพำกษำฎีกำน้ีว่ำ
ประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมอำญำ มำตรำ ๑๓๔ ท่ีให้สิทธิผู้ต้องหำจะให้กำรปฏิเสธหรือจะ
ไม่ให้กำรก็ได้ น่ำจะหมำยควำมเพียงว่ำ ผู้ต้องหำมีสิทธิท่ีจะปฏิเสธว่ำตนไม่ได้ทำควำมผิด และ
ถึงแม้ว่ำต่อมำศำลวินิจฉัยว่ำผู้ต้องหำนั้นกระทำควำมผิด ก็จะถือว่ำผู้ต้องหำน้ันให้กำรเท็จต่อ
เจ้ำพนักงำนหรือเบิกควำมเท็จต่อศำลไม่ได้ ดังน้ัน กำรคุ้มครองสิทธิผู้ต้องหำตำมมำตรำ ๑๓๔ จึง
เป็นสิทธิเก่ียวกับกำรให้ปำกคำหรือให้ถ้อยคำเท่ำน้ัน กำรท่ีผู้ต้องหำนำเอกสำรปลอมมำใช้อ้ำงอิง
ต่อพนักงำนสอบสวน เช่นในคดีน้ี ศำสตรำจำรย์พรเพชรมีควำมเห็นว่ำ ผู้ต้องหำนั้นจะอ้ำงสิทธิ
ในเร่ืองคำให้กำรตำมประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมอำญำ มำเป็นข้อยกเว้นควำมผิดฐำนใช้
เอกสำรรำชกำรปลอมหำได้ไม่ (ฎีกำที่ ๒๙๘๗/๒๕๔๗ สำนักงำนศำลยุตธิ รรม เลม่ ท่ี ๘ หน้ำ ๓๒) ใน
กรณีที่มีนักกฎหมำยผู้ทรงคุณวุฒิมีควำมเห็นแตกต่ำงกัน ดังเช่นคำพิพำกษำฎีกำนี้ หำกนำมำออก
ขอ้ สอบ และข้อสอบมีประเด็นไม่มำก มีเวลำพอที่จะเขียนตอบได้ทันภำยใน ๒๔ นำที นักศึกษำควร
จะตอบโดยแสดงเหตุผลของท้ังสองฝ่ำย ส่วนธงคำตอบน้ัน บำงสนำมสอบ เช่น กำรสอบผู้ช่วย
ผู้พิพำกษำ หำกนักศึกษำตอบผิดธงจะได้คะแนนน้อยมำก ส่วนกำรสอบสนำมอื่น ๆ อำจจะให้
คะแนนที่เหตุผลของผู้สอบโดยไม่เคร่งครัดกับธงคำตอบมำกนัก ดังนั้น หำกนักศึกษำวำงธงคำตอบ
ตำมคำพิพำกษำฎีกำ ก็จะมีโอกำสได้คะแนนมำก เพรำะหำกเป็นกำรสอบผ้ชู ่วยผู้พิพำกษำ กรณีตอบ
ถูกตำมธงคำตอบจะได้คะแนนดี หำกสอบสนำมสอบอ่ืน ๆ กำรตอบตำมคำพิพำกษำฎีกำก็เป็น
เหตุผลท่ีจะได้คะแนนเช่นเดียวกัน หำกนักศึกษำตอบตรงข้ำมกับคำพิพำกษำฎีกำ ในสนำมสอบ
ผู้ช่วยผูพ้ ิพำกษำนกั ศึกษำก็แทบจะไม่ได้คะแนน ดังน้ัน นกั ศึกษำควรจะตอบข้อสอบโดยแสดงควำมรู้
โดยแสดงควำมเห็นและเหตุผลของทุกฝ่ำย สว่ นธงคำตอบควรตอบตำมคำพพิ ำกษำฎีกำ หรือในกรณี
ท่คี ำพิพำกษำฎีกำมหี ลำยแนวยังไม่มขี ้อยตุ ิ นักศกึ ษำต้องตอบตำมคำพิพำกษำฎกี ำใหมล่ ่ำสดุ

ฎีกาที่ ๑๘๙๕/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๒ น.๒๐๕ การปลอมเอกสารไม่จาต้องมีเอกสารที่แท้จริงอยู่
ก่อน และไม่ต้องทาให้เหมือนของจริงก็เป็นเอกสารปลอมได้ จาเลยที่ ๒ กับพวกหลอกลวง ต. ว่า
จาเลยท่ี ๒ คือ ย. เจ้าของรถยนต์บรรทุกมคี วามประสงค์จะขายรถยนตค์ ันดงั กลา่ ว ต. ตกลงรบั ซอ้ื ไว้
และทาสัญญาซ้ือขายรถยนต์กัน โดยพวกของจาเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อ ย. ในช่องผู้ขายในสัญญา
ดังกล่าว มอบให้ ต. ยึดถือไว้ การกระทาของจาเลยท่ี ๒ กับพวกมีเจตนาทุจริตเพ่ือให้ได้เงินจาก ต.
และไม่ให้ ต. ใช้สัญญาซ้ือขายรถยนต์น้ันเป็นหลักฐานฟ้องร้องเรียกเงินคืน ทาให้ ต .ได้รับความ
เสียหาย จาเลยที่ ๒ กับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกันปลอมหนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์อันเป็น
เอกสารสิทธิ เม่ือจาเลยท่ี ๒ กับพวกได้มอบหนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์นั้นให้ ต. ยึดถือไว้ จาเลย
ท่ี ๒ กับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมอีกกระทงหนึ่ง รวมทั้งมีความผิดฐาน
ฉ้อโกงด้วย

ความผิดฐานร่วมกนั ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสทิ ธิปลอมโดยจาเลยท่ี ๒ กับพวกเป็น

306

ผู้ปลอมเอกสารเอง ต้องลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมแต่กระทงเดียว และความผิดฐานใช้เอกสาร
สิทธิปลอมกับความผิดฐานฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น เป็นการกระทาอันเป็นกรรมเดียวเป็น
ความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอม ซ่ึงเป็นกฎหมายบทที่มีโทษ
หนักท่ีสดุ ตาม ป.อ. มาตรา มาตรา ๙๐

ฎีกาท่ี ๒๙๘๗/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๘ น.๓๒ การท่ีจาเลยถูกเจ้าพนักงานตารวจจับกุมในข้อหามี
อาวุธปืนและเคร่ืองกระสุนปืนไว้ในครอบครอง พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะ
โดยไม่ได้รับใบอนุญาต แล้วต่อมาจาเลยแสดงเคร่ืองหมายทะเบียนและนาสาเนาใบอนุญาตให้มีและ
ใชอ้ าวุธปืนไปแสดงตอ่ รอ้ ยตารวจโท ก. ซงึ่ เป็นผู้สอบสวนคดีนี้ การกระทาของจาเลยดังกล่าวเท่ากับ
จาเลยให้การปฏิเสธในฐานะที่จาเลยเป็นผู้ต้องหา ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๑๓๔ ให้สิทธิแก่ผู้ต้องหาทจี่ ะให้การรับหรือปฏเิ สธกไ็ ด้ เมอ่ื กฎหมายให้สิทธิแก่จาเลยในฐานะ
ผู้ต้องหาไว้เช่นน้ี ดังน้ัน ถึงแม้ว่าเครื่องหมายทะเบียนและสาเนาใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนที่
จาเลยนามาแสดงต่อร้อยตารวจโท ก. จะเป็นเอกสารอันเกิดจากการกระทาความผิดฐานปลอม
เอกสารราชการก็ตาม ก็จะเอาความผิดแก่จาเลยฐานใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทา
ความผิดฐานปลอมเอกสารราชการไม่ได้

ข้อ ๖๑ คาถาม นายเอกมีรถยนต์ ๓ คัน ซ่ึงได้ต่อทะเบียนรถคันแรกเรียบร้อยแล้ว โดยมี
แผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีรถยนต์และแผ่นป้ายประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถท่ีใช้กับรถ
คันแรก ต่อมารถคันแรกเสียจอดทิ้งไว้ เม่ือรถคันที่ ๒ และท่ี ๓ ครบกาหนดต่อทะเบียน นายเอก
ไม่อยากเสียเงินต่อทะเบียนรถคันที่ ๒ และที่ ๓ นายเอกจึงเอาแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีรถยนต์
และแผ่นป้ายประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถที่ใช้กับรถคันแรกมาถ่ายเอกสารเป็นภาพสี
ปรากฏข้อความที่มีสี ตัวอักษร และขนาดเหมือนต้นฉบับที่แท้จริง แล้วนาเอกสารสีแผ่นป้ายแสดง
การเสียภาษีรถยนต์และแผ่นป้ายประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถที่ถ่ายเอกสารดังกล่าวไปติด
รถยนต์คันที่ ๒ และนาแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีรถยนต์และแผ่นป้ายประกันภัยคุ้มครอง
ผปู้ ระสบภัยจากรถของจริงตดิ กับรถยนตค์ ันท่ี ๓

ให้วนิ ิจฉยั ว่า นายเอกมีความรบั ผิดทางอาญาฐานใด
คาตอบ นายเอกเอาแผ่นป้ายประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถมาถ่ายเอกสารเป็น
ภาพสีปรากฏข้อความท่ีมีสี ตัวอักษร และขนาดเหมือนต้นฉบับที่แท้จริง แม้จะไม่มีการแก้ไข
ขอ้ ความใด ๆ แตก่ ็เปน็ การทาเอกสารปลอมข้ึนทั้งฉบับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔
วรรคแรก (ฎีกาที่ ๒๔๖๓/๒๕๔๘) แต่แผ่นป้ายประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถไม่ใช่เอกสาร
ราชการ เพราะไม่ใช่เอกสารที่เจ้าพนักงานได้ทาข้ึนในหน้าท่ีตามมาตรา ๑ (๘) (ฎีกาที่ ๒๒/
๒๕๔๒) การกระทาของนายเอกเป็นการทาเอกสารปลอมขนึ้ ทัง้ ฉบบั โดยประการท่นี ่าจะก่อใหเ้ กิด
ความเสียหายแก่ผูอ้ ื่นหรือประชาชน โดยเจตนาเพื่อให้ผู้หน่ึงผู้ใดหลงเชือ่ ว่าเป็นเอกสารท่ีแทจ้ ริง
จึงเปน็ ความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา ๒๖๔ วรรคแรก

307

นายเอกเอาแผ่นป้ายประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถท่ีถ่ายเอกสารดังกล่าวไปติด
รถยนต์คันที่ ๒ เป็นการใช้เอกสารปลอม ในประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อ่ืนหรือ
ประชาชน โดยเจตนา จึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา ๒๖๘ วรรคแรก ประกอบ
มาตรา ๒๖๔ วรรคแรก (เทียบฎีกาที่ ๕๑๗/๒๕๔๑) เม่ือนายเอกผู้ใช้เอกสารปลอมเป็นผู้ปลอม
เอกสารนนั้ เอง จึงลงโทษฐานใชเ้ อกสารปลอมกระทงเดยี วตามมาตรา ๒๖๘ วรรคสอง

การที่นายเอกเอาแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีรถยนต์มาถ่ายเอกสารเป็นภาพสีปรากฏ
ข้อความที่มีสี ตัวอักษร และขนาดเหมือนต้นฉบับที่แท้จริง เป็นการทาเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับ
ตามมาตรา ๒๖๔ วรรคแรก เช่นเดียวกัน เม่ือแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีรถยนต์เป็นเอกสารซ่ึง
เจ้าพนักงานได้ทาข้ึนในหน้าท่ีตามมาตรา ๑ (๘) การกระทาดังกล่าวจึงเป็นการปลอมเอกสาร
ราชการตามมาตรา ๒๖๕ (ฎกี าท่ี ๔๐๗๓/๒๕๔๕)

นายเอกเอาแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีรถยนต์ท่ีถ่ายเอกสารดังกล่าวไปติดรถยนต์คันท่ี ๒
เปน็ การใช้เอกสารราชการปลอม ในประการทน่ี ่าจะเกดิ ความเสยี หายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน โดย
เจตนา จึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมตามมาตรา ๒๖๘ วรรคแรก ประกอบมาตรา
๒๖๕ เมื่อนายเอกผู้ใช้เอกสารราชการปลอมเป็นผู้ปลอมเอกสารราชการนั้นเอง จึงลงโทษฐานใช้
เอกสารราชการปลอมกระทงเดียวตามมาตรา ๒๖๘ วรรคสอง

อน่ึง การใช้แผ่นป้ายประกันภัยคมุ้ ครองผู้ประสบภัยจากรถปลอมและการใช้แผ่นป้ายแสดง
การเสียภาษีรถยนต์ปลอมแม้จะติดท่ีรถยนต์คันท่ี ๒ เพียงคันเดียว ก็เป็นการใช้เอกสารปลอมและ
ใช้เอกสารราชการปลอมโดยมีเจตนาแตกต่างกัน กล่าวคือ เจตนาให้เชื่อว่ารถยนต์ได้มีการ
ประกันภัยเจตนาหน่ึง และให้เช่อื วา่ รถยนต์ไดเ้ สียภาษปี ระจาปตี ่อทางราชการแล้วอีกเจตนาหนึ่ง
จึงเปน็ ความผดิ ๒ กรรม (ฎกี าที่ ๒๖๔๒/๒๕๔๑, ที่ ๒๒/๒๕๔๒)

การท่ี น ายเอกนาแผ่นป้ ายแส ดงการเสียภ าษี รถยน ต์และแผ่น ป้ ายป ระกั นภั ยคุ้ม ครอ ง
ผู้ประสบภัยจากรถของจริงซ่ึงใช้กับรถยนต์คันแรกมาติดกับรถยนต์คันที่ ๓ แม้จะเป็นรถคนละคัน
กัน นายเอกก็ไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม เพราะแผ่นป้ายแสดงการ
เสียภาษีรถยนต์และแผ่นป้ายประกันภัยคมุ้ ครองผู้ประสบภัยจากรถทีน่ ายเอกนาไปติดกับรถยนต์
คนั ท่ี ๓ เป็นเอกสารท่แี ทจ้ ริง ไมม่ กี ารปลอมเอกสาร (ฎกี าที่ ๑๓๔๗/๒๕๔๑)

ฎกี าที่ ๒๔๖๓/๒๕๔๘ ฎ.๕๙๒ จาเลยถา่ ยสาเนาเอกสารแผน่ ป้ายแสดงการเสียภาษีรถยนต์
ประจาปีและแผ่นป้ายประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถเป็นภาพสีให้ปรากฏข้อความท่ีมีสี
ตัวอักษรและขนาดเหมือนฉบับที่แท้จริงแล้วนาไปใช้ติดที่รถยนต์บรรทุกและรถพ่วง มีลักษณะท่ีทา
ใหห้ ลงเชื่อว่าเปน็ เอกสารที่แทจ้ ริง โดยประการท่ีนา่ จะเกิดความเสยี หายแก่นายทะเบยี นยานพาหนะ
หรือผู้อ่ืนได้ จึงเป็นการปลอมเอกสารขน้ึ ทั้งฉบับ หาใชว่ ่าจาเลยจะต้องแก้ไขเปลย่ี นแปลงข้อความให้
ผิดแผกแตกต่างไปจากต้นฉบับเอกสารท่ีแท้จริงไม่ การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานปลอม
เอกสารตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๔ วรรคหนง่ึ

รถพ่วงของรถเป็นรถท่ีต้องเสียภาษีรถยนต์ประจาปีและจัดให้มีการประกันความเสียหาย

308

สาหรบั ผู้ประสบภัยแยกตา่ งหากจากรถลากจูง การทจ่ี าเลยถ่ายสาเนาเอกสารแผน่ ป้ายแสดงการเสีย
ภาษีรถยนต์ประจาปีและแผ่นป้ายประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถไปติดที่รถยนต์บรรทุก ๒
คันและรถพ่วง ๒ คัน โดยมีเจตนาก่อให้เกดิ ผลต่างกันเพื่อให้ผู้อ่ืนหลงเช่ือว่า ได้เสียภาษีรถยนต์และ
ทาประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถแล้ว จึงเป็นการกระทาต่างกรรมต่างวาระแยกกันต่างหาก
จานวน ๔ กระทงตาม ป.อ. มาตรา ๙๑

ฎีกาที่ ๒๒/๒๕๔๒ ฎ.๑๖ การที่จาเลยท่ี ๑ ปลอม ใช้ และอ้างแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์
ปลอม แผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีปลอม น้ัน จาเลยที่ ๑ แสดงเอกสารดังกล่าว
ต่อเจ้าพนักงานตารวจในเวลาเดียวกัน และเอกสารและหลักฐานดังกล่าวกต็ ิดอยู่ท่รี ถยนต์คันเดียวกัน
จาเลยท่ี ๑ จึงมีเจตนาอย่างเดียวกัน คือ เพื่อให้เจ้าพนักงานตารวจเห็นว่ารถยนต์คันดังกล่าว
เป็นรถยนต์ท่ีถูกต้องตามกฎหมาย การกระทาของจาเลยที่ ๑ จึงเป็นกรรมเดียวตาม ป.อ. มาตรา
มาตรา ๙๐

ขอ้ หาใชห้ รืออ้างแผ่นป้ายแสดงการประกนั ภัยคุ้มครองผปู้ ระสบภัยจากรถปลอม ใชห้ รืออ้าง
ใบอนุญาตขับรถยนต์ปลอม และใช้หรืออ้างใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (แบบ ป.๔) ปลอม น้ัน
แม้จะปรากฏว่าจาเลยได้แสดงต่อเจ้าพนักงานตารวจในคราวเดียวกัน แต่ก็เป็นเอกสารคนละ
ประเภทกันโดยเจตนาของการปลอม การใช้และอ้างซึ่งเอกสารดังกล่าวมีเจตนาก่อให้เกิดผลที่
แตกตา่ งกัน การกระทาของจาเลยที่ ๑ สว่ นน้จี ึงเปน็ คนละกรรมตา่ งกันตามมาตรา ๙๑

แผ่นป้ายแสดงการประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถมิใช่เอกสาร ซ่ึงเจ้าพนักงานได้ทา
ขึ้นหรือรับรองในหน้าที่ จึงมิใช่เอกสารราชการ การปลอมและใช้แผ่นป้ายแสดงการประกันภั ย
คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถจึงเป็นเพียงความผิดตามมาตรา ๒๖๔ วรรคแรก, ๒๖๘ วรรคแรก
ประกอบมาตรา ๒๖๔ วรรคแรก

ฎีกาที่ ๖๒๘๘/๒๕๔๕ ฎ.๒๔๓๓ ใบรับรองการตรวจสภาพรถท่ีกรมการขนส่งทางบกมอบ
ใหบ้ ริษัททีไ่ ด้รบั อนญุ าตเป็นผู้ออกใบรบั รองพนักงานของบรษิ ัทท่อี อกใบรบั รองไม่ใช่เจ้าพนักงานตาม
กฎหมาย ใบรบั รองดังกล่าวจงึ ไมใ่ ชเ่ อกสารราชการ

ฎีกาท่ี ๔๐๗๓/๒๕๔๕ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๖๐ แผน่ ป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีรถยนตป์ ระจาปี
เปน็ เอกสารซง่ึ เจา้ พนกั งานได้ทาขึ้นในหนา้ ทีต่ ามมาตรา ๑ (๘) จงึ เปน็ เอกสารราชการ

ฎีกาที่ ๕๑๗/๒๕๔๑ ฎ.ส.ล.๓ น.๔๑ หมายเลขทะเบียนของรถยนต์แต่ละคันทางราชการ
เป็นผู้กาหนดและออกให้ใช้ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสะดวกต่อการควบคุม แผ่นป้าย
ทะเบยี นของกลางแม้จะเป็นแผน่ ปา้ ยที่ทางราชการออกให้กบั รถของจาเลย แต่ไดม้ กี ารแก้ไขข้อความ
จากหมายเลขทะเบียน ๓ธ-๘๐๘๖ กรุงเทพมหานคร ให้กลายเป็นหมายเลขทะเบียน ๘ธ-๘๘๘๖
กรุงเทพมหานคร แม้รถยนต์ของจาเลยคันหมายเลขทะเบียน ๓ธ-๘๐๘๖ กรุงเทพมหานคร จะเป็น
ย่ีห้อหน่ึง ส่วนรถยนต์คนั หมายเลขทะเบยี น ๘ธ-๘๘๘๖ กรุงเทพมหานคร จะเป็นอีกยีห่ ้อหน่ึง กอ็ าจ
ทาให้ผู้พบเห็นเข้าใจผิดได้ การท่ีจาเลยนารถยนต์ท่ีมีแผ่นป้ายทะเบียนอันเป็นเอกสารราชการปลอม
ออกใช้ ขับไปในที่ต่าง ๆ และแสดงต่อเจ้าหน้าท่ีตารวจ ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือ

309

ประชาชนท่ัวไป การกระทาของจาเลยจงึ เป็นความผดิ ฐานใชเ้ อกสารราชการปลอม
ฎีกาที่ ๑๓๔๗/๒๕๔๑ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๕๗ เอาป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีท่ีแท้จริงของ

เจ้าพนักงานสาหรับรถยนต์คันหน่ึงไปติดรถยนต์คันอื่นที่ไม่ได้เสียภาษีรถยนต์ประจาปี ไม่เป็น
ความผดิ ฐานใช้เอกสารราชการปลอม เพราะมิได้กระทาการปลอมเอกสารแต่อยา่ งใด

ข้อ ๖๒ คาถาม นายดาจดทะเบียนสมรสกับนางขาวมีบุตรด้วยกัน ๓ คน นายดาได้
ลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์หนังสือมอบอานาจของกรมท่ีดิน โดยไม่ได้กรอกข้อความ มอบให้แก่
นางขาวขณะที่ยังรักใคร่กันดี ต่อมานายดาคบหากับนางสาวฟ้าในฐานะคนรัก นางขาวทราบเรื่อง
จึงขอหย่ากับนายดา นายดาตกลงหย่า โดยทาหนังสือข้อตกลงว่า นายดาจะไถ่ถอนบ้านพร้อมที่ดิน
ท่ีนายดาและนางขาวจดทะเบียนจานองกับธนาคารและให้นางขาวนาไปขายแล้วนาเงินส่วนที่เหลือ
จากการชาระหนี้ธนาคาร เป็นทุนการศึกษาให้แก่บุตรท้ังสาม โดยนายดาจะไม่ยุ่งเก่ียวกับเงิน
ดังกล่าว ต่อมานายดาและนางขาวจดทะเบียนหย่ากัน เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน นายดากับนางสาวฟ้า
ได้เดินทางไปที่อาเภอเพ่ือจดทะเบียนสมรสกัน นายดาแจ้งปลัดอาเภอท่ีมีหน้าท่ีจดทะเบียนสมรสว่า
นายดาเคยสมรสกับนางขาวมีบุตรด้วยกนั ๓ คน แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส และปลัดอาเภอได้บันทึก
ไว้ในคาขอจดทะเบียนสมรสซ่ึงปลัดอาเภอได้ลงช่ือไว้ด้วย แล้วจดทะเบียนสมรสให้ ต่อมานางขาว
ทราบ เร่ืองจึงได้น าหนั งสือม อบอาน าจที่น ายดาลงลายมื อช่ือไว้ก่อนท า ข้อตกลงเร่ืองท รัพ ย์สิน
ไปกรอกข้อความว่า นายดามอบอานาจให้นางขาวไถ่ถอนจานองและขายบ้านพร้อมท่ีดิน โดยให้
นางหนึ่งและนางสองลงลายมือช่ือรับรองเป็นพยานว่า นายดาลงลายมือช่ือต่อหน้าตน และนางขาว
นาหนังสือมอบอานาจดังกล่าวไปจดทะเบียนไถ่ถอนจานอง และขายบ้านพร้อมท่ีดินได้เงินมา
๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ชาระหน้ีธนาคารแล้วมีเงินเหลือ ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท แล้วนางขาวหลบหนีไป
ไมน่ าเงินมาเป็นทุนการศึกษาแก่บุตรทั้งสาม

ให้วนิ จิ ฉัยว่า นายดาและนางขาวมีความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด หรือไม่
คาตอบ ความรับผิดทางอาญาของนายดา การท่ีนายดาแจ้งปลัดอาเภอท่ีมีหน้าที่จด
ทะเบียนสมรสว่า นายดาเคยสมรสกับนางขาวมีบุตรด้วยกัน ๓ คน แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส และ
ปลัดอาเภอได้บันทึกไว้ในคาขอจดทะเบียนสมรสซ่ึงปลัดอาเภอได้ลงช่ือไว้ด้วย แม้จะเป็นการแจ้ง
ขอ้ ความอันเป็นเท็จแก่เจา้ พนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗ และเป็นการแจ้งให้
เจ้าพนักงานผู้กระทาการตามหน้าท่ีจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมี
วตั ถปุ ระสงคส์ าหรบั ใช้เป็นพยานหลักฐานตามมาตรา ๒๖๗ แต่ขณะทนี่ ายดาได้จดทะเบียนสมรส
กับนางสาวฟ้า นายดาไม่มีคู่สมรส เพราะนายดาจดทะเบียนหย่ากับนางขาวก่อนท่ีจดทะเบียน
สมรสครั้งหลัง จงึ ไม่เป็นการฝา่ ฝืนเงื่อนไขการสมรสตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา
๑๔๕๒ การที่นายดาไมม่ ีคู่สมรสอยู่ในขณะท่ีจดทะเบียนสมรส แม้นายดาจะแจ้งว่า นายดาเคยสมรส
แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ก็มีผลอย่างเดียวกันว่านายดาไม่มีคู่สมรสในขณะที่นายดาจดทะเบียน

310

สมรสกับนางสาวฟา้ น่ันเอง การทนี่ ายทะเบยี นจดทะเบยี นสมรสให้นายดากับนางสาวฟ้า โดยเชื่อ
วา่ นายดาไม่เคยสมรสมาก่อน จึงไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อ่ืนหรือประชาชน นายดาจึงไม่มี
ความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จตามมาตรา ๑๓๗ และฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความ
อนั เป็นเทจ็ ลงในเอกสารราชการตามมาตรา ๒๖๗ (ฎกี าที่ ๑๒๓๗/๒๕๔๔)

ความผิดทางอาญาของนางขาว แม้การกรอกข้อความลงในกระดาษซึ่งมีลายมือชื่อของ
ผู้อื่น โดยไม่ได้รับความยินยอม ถ้าได้กระทาเพื่อนาเอาเอกสารน้ันไปใช้ในกิจการที่อาจจะเกิด
ความเสียหายแก่ผู้อ่ืนหรือประชาชน ให้ถือว่าผู้น้ันปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒๖๔ วรรคสอง แต่การท่ีนางขาวนาหนังสือมอบอานาจที่นายดาลงลายมือชื่อไว้ก่อนทา
ข้อตกลงเร่ืองทรัพย์สิน ไปกรอกข้อความว่า นายดามอบอานาจให้นางขาวไถ่ถอนจานองและขาย
บ้านพร้อมที่ดิน และนางขาวนาหนังสือมอบอานาจดังกล่าวไปจดทะเบียนไถ่ถอนจานอง และขาย
บ้านพร้อมที่ดิน เป็นการกระทาข้ึนภายหลังจากนางขาวและนายดาทาบันทึกข้อตกลงเร่ือง
ทรัพย์สนิ แล้ว ข้อความที่นางขาวเติมลงในหนังสือมอบอานาจ ก็เป็นกิจการที่นายดามีหนา้ ทีต่ ้อง
ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงท่ีนายดาแสดงเจตนาไว้ ประกอบกับการที่นางขาวนาเอาหนังสือมอบ
อานาจนั้นไปใช้จดทะเบียนไถ่ถอนจานองและขายท่ีดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ก็ตรงตามท่ีนายดา
และนางขาวทาบันทึกข้อตกลง ให้นางขาวนาที่ดินพร้อมส่ิงปลูกสร้างไปขายได้ การที่นางขาว
กรอกข้อความลงในแบบพิมพ์หนังสือมอบอานาจท่ีนายดาลงลายมอื ช่ือไว้ จึงมิได้เป็นการกระทา
ขึ้นเพ่ือนาเอาหนังสือมอบอานาจน้ันไปใช้ในกิจการอื่นนอกเหนือไปจากข้อตกลงอันอาจเกิด
ความเสียหายแก่นายดาหรือผู้หน่ึงผู้ใดหรือประชาชนแต่ประการใด ส่วนการที่นางขาวขายที่ดิน
พร้อมส่งิ ปลูกสร้างไปแลว้ ไม่นาเงนิ ท่ีเหลือจากการชาระหนี้ไถถ่ อนที่ดินพร้อมสิ่งปลกู สร้างไปฝาก
ธนาคารเพ่ือเป็นทุนการศึกษาแก่บุตรท้ังสาม ก็เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง เป็นเร่ืองท่ีนางขาวมี
หน้าที่ต้องกระทาภายหลังจากขายท่ีดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้ ไม่เกี่ยวกับการไถ่ถอนจานองและ
ขายท่ีดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง โดยการใช้แบบพิมพ์หนังสือมอบอานาจที่นายดาลงลายมือช่ือไว้
การกระทาของนางขาวจึงไม่เป็นการปลอมเอกสารตามมาตรา ๒๖๔ วรรคสอง (ฎีกาที่ ๒๓๑๗/
๒๕๔๓)

ฎีกาท่ี ๑๒๓๗/๒๕๔๔ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๕๕ ขณะท่ีจาเลยได้จดทะเบียนสมรสกับ ส. ในวันที่
๑๐ สิงหาคม ๒๕๓๑ จาเลยไม่มีคู่สมรสเพราะจาเลยจดทะเบียนหย่ากับ ค. แล้ว ตั้งแต่วันที่ ๔
กรกฎาคม ๒๕๑๕ จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขการสมรส ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๔๕๒ การท่ีจาเลยไม่มีคู่สมรสอยู่ในขณะที่จดทะเบียนสมรส แม้จาเลยจะแจ้งว่าจาเลยเคย
สมรส แตไ่ มไ่ ด้จดทะเบียนสมรสกม็ ผี ลอยา่ งเดยี วกันวา่ จาเลยไม่มีคสู่ มรสในขณะทจ่ี าเลยจดทะเบียน
สมรสกับ ส. น่ันเอง การที่นายทะเบียนจดทะเบียนสมรสให้จาเลยกับ ส. โดยเช่ือว่าจาเลยไม่เคย
สมรสมาก่อน จึงไม่อาจทาให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหายและไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อ่ืนหรือ
ประชาชน จาเลยจงึ ไมม่ ีความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา มาตรา ๑๓๗ และมาตรา ๒๖๗

ฎีกาที่ ๒๓๑๗/๒๕๔๓ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๖๙ จาเลยท้ังสามร่วมกันนาแบบพิมพ์หนังสือมอบ

311

อานาจที่โจทก์เพียงแต่ลงลายมือช่ือไว้ตั้งแต่ก่อนที่โจทก์กับจาเลยที่ ๑ จะหย่าขาดจากกันไปกรอก
ข้อความว่า โจทก์มอบอานาจให้จาเลยที่ ๑ ไถ่ถอนจานองและขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง โดย
จาเลยที่ ๒ กับท่ี ๓ ลงลายมือชื่อรับรองเป็นพยานว่าโจทก์ลงลายมือชื่อต่อหน้า แต่การกรอก
ข้อความดังกล่าวในหนังสือมอบอานาจน้ันโจทก์ระบุในฟ้องว่า จาเลยทั้งสามร่วมกันกระทาข้ึน
ภายหลังจากโจทก์กับจาเลยที่ ๑ ทาบันทึกข้อตกลงทางแพ่งแล้ว ทั้งกิจการมอบอานาจตามท่ีระบุไว้
ในหนังสือมอบอานาจให้จาเลยที่ ๑ มีอานาจไถ่ถอนจานองและขายท่ีดินพร้อมส่ิงปลูกสร้างเป็น
กิจการท่ีโจทก์มีหน้าท่ีต้องปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงทางแพ่งท่ีโจทก์แสดงเจตนาไว้ ประกอบกับ
การท่ีจาเลยท่ี ๑ นาเอาหนังสือมอบอานาจนั้นไปใช้จดทะเบียนไถ่ถอนจานองและขายที่ดินพร้อม
สิ่งปลูกสร้างก็ตรงตามท่ีโจทก์กับจาเลยท่ี ๑ ทาบันทึกข้อตกลงให้จาเลยท่ี ๑ นาท่ีดินพร้อมส่ิงปลูก
สร้างไปขายได้ การท่ีจาเลยทั้งสามร่วมกันกรอกข้อความลงในแบบพิมพ์หนังสือมอบอานาจท่ีโจทก์
ลงลายมือชื่อไว้ จึงมิได้เป็นการกระทาข้ึนเพื่อนาเอาหนังสือมอบอานาจน้ันไปใช้ในกิจการอ่ืน
นอกเหนือไปจากข้อตกลงอันอาจเกิดความเสียหายแก่โจทกห์ รือผู้หนึ่งผใู้ ดหรือประชาชนแต่ประการ
ใด สว่ นการท่ีจาเลยที่ ๑ ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลกู สร้างไปแลว้ ไม่นาเงินที่เหลือจากการชาระหน้ไี ถ่ถอน
จานองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปซ้ือหรือวางเงินดาวน์บ้านหลังใหม่และไม่นาเงนิ ไปฝากธนาคารเพ่ือ
เป็นทุนการศึกษาแก่บุตรจาเลยท้ังสามก็เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง เป็นเร่ืองที่จาเลยท่ี ๑ มีหน้าที่
ต้องกระทาภายหลังจากขายที่ดินพร้อมส่ิงปลูกสร้างได้ ไม่เก่ียวกับการไถ่ถอนจานองและขายท่ีดิน
พร้อมสงิ่ ปลกู สรา้ งโดยการใช้แบบพมิ พห์ นังสือมอบอานาจให้โจทก์ลงลายมือชือ่ ไว้

ฎีกาน่าสนใจเรอ่ื งเป็นเอกสาร

ฎีกาที่ ๔๓๑๑/๒๕๕๗ ฎ.๑๐๖๕ จาเลยท่ี ๑ ถึงที่ ๓ ร่วมกันพิมพ์หนังสือแต่งตั้งตัวแทน
จาหน่ายอุปกรณ์กันระเบิดพร้อมระบุเง่ือนไขในการสั่งซื้อ ราคาขาย และส่วนลด เง่ือนไขในการ
ชาระเงิน การส่งเสริมการขาย และเงื่อนไขท่ีทาให้ตัวแทนจาหน่ายสิ้นสุดลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
ถือเป็นการใช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นวัตถุอื่นใดทาให้ปรากฏความหมายซึ่งสามารถอ่านหรือเห็น
ความหมายได้โดยบุคคลที่พิมพ์ตัวอักษรนั้นแล้วเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อเป็นหลักฐาน ซ่ึง
จาเลยที่ ๑ ถงึ ที่ ๓ สามารถนาไปใชไ้ ดเ้ มือ่ ต้องการจะใช้ จงึ เปน็ เอกสารตาม ป.อ. มาตรา ๑ (๗)

หนังสือแต่งตั้งตัวแทนจาหน่ายอุปกรณ์กันระเบิดปลอมมีข้อความว่าผู้เสียหายตกลงให้
จาเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนในการจาหน่ายอุปกรณ์กันระเบิดพร้อมระบุเง่ือนไขในการสั่งซ้ือ ราคาขาย
และส่วนลด เง่ือนไขในการชาระเงิน การส่งเสริมการขาย และเงื่อนไขท่ีทาให้ตัวแทนจาหน่าย
สิ้นสุดลง เป็นเพียงเอกสารที่ผู้เสียหายมอบอานาจให้จาเลยที่ ๑ มีอานาจทานิติกรรมแทนผู้เสียหาย
เท่าน้ัน ไม่เป็นเอกสารอันเป็นหลักฐานแหง่ การก่อตัง้ สิทธิ จงึ ไม่ใช่เป็นเอกสารสิทธิตามมาตรา ๑ (๙)
จาเลยท่ี ๓ จงึ ไม่มีความผิดตามมาตรา ๒๖๕ คงมีความผิดเพยี งมาตรา ๒๖๔

ฎีกาที่ ๑๕๖๔/๒๕๕๗ ใบส่ังจองท่ียังไม่ได้มีการกรอกข้อความใด ๆ เพ่ือให้เป็นหลักฐาน

312

ในการสั่งจองพระเคร่ืองท่ีโจทก์ร่วมเป็นผู้จัดสร้าง มิใช่เอกสารตามความหมายของ ป.อ. มาตรา
๑ (๗) แม้จาเลยไม่คืนให้โจทก์ร่วม จาเลยก็ไม่มีความผิดฐานเอาไปเสีย ซ่อนเร้น ทาให้สูญหาย
หรอื ไร้ประโยชนซ์ ึง่ เอกสารของผู้อนื่ โดยประการท่ีนา่ จะเกดิ ความเสยี หายแกผ่ ู้อ่นื เช่นกัน

ฎีกาที่ ๕๖๗๔/๒๕๔๔ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๑๘ แบบพิมพ์เช็คที่ยังไม่ได้กรอกรายการ เท่ากับยัง
มิได้ทาให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษร ตัวเลข อันเป็นหลักฐานแห่งความหมายน้ัน จึงไม่เป็น
เอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑(๗) แม้จาเลยเอาแบบพมิ พ์เช็คของผู้เสยี หายไป ก็ไม่มี
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๘
ข้อสังเกต ในอดีตเช็คของบำงธนำคำร จะมีเพียงข้อควำมระบุว่ำเป็นเช็คธนำคำรใด โดยไม่ระบุว่ำ
เจำ้ ของบัญชีทจี่ ะลงช่ือส่งั จ่ำยเงนิ ตำมเชค็ เป็นใคร นี่อำจจะเปน็ สำเหตุหนง่ึ ท่ที ำให้ศำลฎกี ำวินิจฉัยว่ำ
แบบพิมพ์เช็คไม่เป็นเอกสำร แต่ในปัจจุบันแบบพิมพ์เช็คจะระบุเลขที่บัญชีและเจ้ำของบัญชีตำมเช็ค
แล้ว หำกมีคดีขึ้นสู่ศำลฎีกำอีก คงต้องรอดูว่ำศำลฎีกำจะวินิจฉัยว่ำเป็นเอกสำรหรือไม่ หรือหำก
เทียบกับแบบใบอนุญำตขับรถ ซ่ึงศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำเป็นเอกสำรรำชกำรซึ่งเจ้ำพนักงำนได้จัดทำข้ึน
ก็เพรำะปรำกฏข้อควำมบำงสว่ นให้เห็นเปน็ ประจกั ษ์วำ่ เปน็ แบบใบอนญุ ำตของทำงรำชกำรท่ีแท้จริง
แม้ยังไม่กรอกขอ้ ควำมอืน่ ลงไป

ฎีกาท่ี ๒๖๖๗/๒๕๓๖ แบบใบอนุญาตขับรถ เป็นเอกสารราชการซึ่งเจ้าพนักงานได้จัดทา
ข้ึนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑ (๘) ผู้ใดจะทาขึ้นเองไม่ได้ การท่ีจาเลยพิมพ์แบบ
ใบอนุญาตขับรถขึน้ เอง โดยปรากฏข้อความบางส่วนให้เห็นเป็นประจกั ษ์ว่า เป็นแบบใบอนุญาตของ
ทางราชการที่แท้จริง แม้ยังไมก่ รอกข้อความอ่ืนลงไป ก็เป็นการปลอมข้อความบางส่วนลงไปแล้ว จึง
เป็นการปลอมเอกสารราชการ ทาให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นแบบใบอนุญาตขับรถของทางราชการ
ทแี่ ทจ้ ริง

อานาจในการทาเอกสาร

ฎีกาที่ ๖๕๐๕/๒๕๖๐ ฎ.๒๔๕๐ ใบเสร็จรับเงินที่จาเลยท่ี ๒ กรอกข้อความและลงลายมือ
ช่ือรับเงินในช่องฝ่ายบัญชี เป็นสาเนาภาพถ่ายจากต้นฉบับแบบพิมพ์ใบเสร็จรับเงินที่แท้จริงขณะ
ยังไม่กรอกข้อความ แล้วนามากรอกข้อความและลงลายมือซ่ือรับเงินในช่องฝ่ายบัญชีเพื่อแสดงว่า
ใบเสร็จรับเงินเลขท่ีน้ันยังไม่ได้ใช้เก็บเงินมาก่อน ท้ังที่ใบเสร็จรับเงินท่ีแท้จริงของโจทก์ร่วมเลขที่นั้น
ได้ใช้ออกเพื่อแสดงการรับเงินให้แก่บุคคลอื่นไปแล้ว ไม่ใช่เร่ืองที่จาเลยที่ ๒ นาใบเสร็จรับเงิน
ท่แี ท้จริงของโจทก์ร่วมซ่ึงใช้งานอยมู่ ากรอกข้อความท่ีไมต่ รงความจริงซึ่งเป็นเอกสารจริงแตข่ ้อความ
ในเอกสารเป็นเท็จ การกระทาของจาเลยท่ี ๒ เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารตาม ป.อ. มาตรา
๒๖๔ วรรคแรก

ฎีกาที่ ๙๕๕๐/๒๕๕๘ ฎ.๑๖๐๒ หากจาเลยเป็นผู้ทาเอกสารเกี่ยวกับค่าทางาน ค่าเช่ารถ
กับการนาเครื่องจักรและรถยนต์มาใช้งานในโครงการตามที่โจทก์กล่าวอ้าง การกระทาของจาเลย

313

ก็ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร เพราะเอกสารน้ันเป็นเอกสารของจาเลยผู้ทาข้ึนเองไม่ใช่เอกสาร
ของคนอื่น แม้หัวกระดาษของเอกสารจะมีชื่อบริษัท จ. แต่ข้อความที่ปรากฏในเอกสารนอกจาก
จะไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท จ. แล้ว บริษัท จ.ยังอนุญาตให้ใช้หัวกระดาษที่มีชื่อของบริษัทในไซด์งาน
เมอ่ื การกระทาของจาเลยไม่เป็นการทาเอกสารปลอม กย็ ่อมไม่เปน็ ความผิดฐานใช้เอกสารปลอม

ฎีกาท่ี ๑๔๒๑๒/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๑๖๗ จาเลยท่ี ๒ ร่วมกันทาหนังสือขอเลิกสัญญา
จะซ้ือจะขายท่ีดินโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ท้ังสอง การกระทาของจาเลยท่ี ๒ ก็มิได้เป็น
การร่วมกันทาปลอมหนังสือขอเลิกสัญญาจะซ้ือจะขายที่ดินขึ้นท้ังฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
เติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารท่ีแท้จริง หรือประทับตราปลอม
หรือลงลายมือช่ือปลอมในเอกสาร อันจะเป็นการปลอมเอกสารสิทธิแต่อย่างใด การกระทาของ
จาเลยท่ี ๒ ตามท่ีโจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างจึงไม่เป็นความผดิ ฐานรว่ มกันปลอมเอกสารสิทธิและร่วมกัน
ใช้เอกสารสิทธิปลอมตามฟ้อง แม้จะเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ท้ังสอง แต่ก็เป็นเรื่องท่ีต้องไปว่า
กลา่ วเอาแก่จาเลยที่ ๒ ในทางแพ่ง
ข้อสังเกต คดนี ้ีแม้ไม่มีสทิ ธิตำมกฎหมำยที่จะเลิกสัญญำ แต่จำเลยท่ี ๒ มีอำนำจทำเอกสำร จึงไม่ใช่
เอกสำรปลอม

ฎีกาที่ ๑๐๕๑๗/๒๕๕๙ จาเลยไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านขวา้ ง หรอื เป็นกรรมการวัด หรือ
มีส่วนเก่ียวข้องในวัดบ้านขว้างที่จะมีอานาจจัดทอดผ้าป่าโดยลาพัง การท่ีจาเลยจัดพิมพ์ซองผ้าป่า
ซ่ึงข้อความบนซองผ้าป่าของกลางเป็นการเชิญชวนให้ร่วมทาบุญทอดผ้าป่าสามัคคี ณ วัดบ้านขว้าง
ท้ังทจี่ าเลยไมม่ ีอานาจโดยลาพังที่จะจดั ทอดผา้ ป่าในนามวัดบา้ นขว้างโดยพลการเพราะไม่ได้แจ้งหรือ
ขออนุญาตเจ้าอาวาสวัดและไม่ได้ผ่านการประชุมระหว่างไวยาวัจกร กรรมการวัด เจ้าอาวาสวัด
ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นาชุมชนรวมท้ังชาวบ้าน ทั้งซองผ้าป่าของกลางที่จัดพิมพ์แจกจ่ายให้ผู้อ่ืนไม่มีรอยตรา
ของวัดประทับด้านหลังซอง การจัดพิมพ์ซองผ้าป่าดังกล่าวจึงเป็นการทาเอกสารปลอมขึ้นมาใหม่
ทั้งฉบับ โดยจาเลยไม่มีอานาจ ลักษณะข้อความตามซองผ้าป่าของกลางระบุชัดเจนว่าเป็นการ
ทอดผ้าป่า ณ วัดบ้านขว้าง ทาให้ประชาชนทั่วไปเชื่อว่าเป็นซองผ้าป่าท่ีแท้จริงท่ีจัดทาข้ึนโดยวัด
บ้านขว้าง ทั้งท่ีความจริงแล้วทางวัดบ้านขว้างมิได้รับรู้ด้วย หากมีการนาซองผ้าป่าดังกล่าวไปใช้
โดยไม่สุจริตนาออกเร่ียไรเงินจากชาวบ้านแล้วไม่นาเงินมาทาบุญท่ีวัดบ้านขว้างตามท่ีระบุในซอง
ผา้ ป่า ยอ่ มเกิดความเส่ือมเสีย หรอื เสียช่ือเสียง หรือขาดความเลอ่ื มใสศรทั ธาท่ีมตี ่อวัดบ้านขว้างและ
เจ้าอาวาสวัดบ้านขว้าง แม้ผลของการกระทาจะยังไม่ปรากฏความเสียหาย แต่พิจารณาพฤติการณ์
ประกอบการกระทาของจาเลยท่ีพิจารณาได้จากความคิดธรรมดาของบุคคลท่วั ไปในลักษณะเดยี วกับ
จาเลย ก็น่าจะเกิดความเสียหายได้ ถือได้ว่าเป็นการกระทาโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่
ผูอ้ ื่น หรอื ประชาชนตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๔ วรรคแรก แล้ว

ฎีกาที่ ๔๖๐๕/๒๕๕๘ ฎ.๕๓๓ จาเลยท่ี ๑ ถึงที่ ๕ ร่วมกันใช้ให้จาเลยท่ี ๖ พิมพ์ข้อความ
เพิ่มเติมลงไปในเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการที่แท้จริงเพ่ือให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสาร
ที่แท้จริงเพื่อปกปิดการกระทาความผิดของตนซ่ึงน่าจะทาให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย

314

แม้จาเลยท่ี ๖ ไม่มีอานาจในการทาเอกสารน้ัน ก็ถือเป็นเอกสารเท็จและเป็นเอกสารปลอม จาเลย
ทง้ั หกยอ่ มมีความผดิ ฐานรว่ มกันปลอมเอกสารสทิ ธอิ ันเปน็ เอกสารราชการ

แม้จาเลยท้ังหกปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการโดยมีเจตนาท่ีจะให้เป็นหลักฐาน
การเบียดบังยักยอกทรัพย์ แต่การปลอมเอกสารมิได้มีเจตนามุ่งประสงค์ให้เกิดความสาเร็จในการ
ยักยอกเงิน ซึ่งจาเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ ได้ร่วมกันกระทาความผิดไปก่อนหน้าแล้ว หากแต่เป็นการกระทา
หรือปกปิดการกระทาความผดิ ท่ีเกิดข้ึนแล้วอนั เปน็ การกระทาอีกกรรมหนึง่ ตา่ งหากจากความผดิ ฐาน
เปน็ เจา้ พนักงานยกั ยอกทรพั ย์ จึงเป็นความผดิ หลายกรรมตา่ งกนั

ฎีกาที่ ๔๑๓๕/๒๕๕๒ ฎ.๑๔๖๑ การลงลายมือชื่อแทน แม้เจ้าของลายมือชื่อจะให้ความ
ยนิ ยอมกไ็ มท่ าให้เปน็ ลายมือชื่อที่แท้จรงิ จงึ เป็นเอกสารปลอม

ฎกี าที่ ๔๕๓๒/๒๕๔๘ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๒๗ การที่จาเลยนาสมุดบันทึกการประชุมในวันที่ ๑๕
และ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๓๘ ไปให้ จ. และ ส. ลงลายมือชื่อในบันทึกการประชุม ทั้งท่ีไม่ได้มีการ
ประชมุ และบนั ทกึ รายงานการประชุมดังกลา่ วระบุวา่ ร. เปน็ ผจู้ ดรายงานการประชุมการกระทาของ
จาเลยจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร โดยประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ ร. ผู้ที่ไม่ได้เข้า
ร่วมประชุมแต่มีช่ือเข้าร่วมประชุมและประชาชนท่ัวไปในตาบลท่าเรือ ทั้งเอกสารที่ทาปลอมข้ึนน้ัน
เป็นบนั ทึกรายงานการประชมุ ของสมาชิกสภาองคก์ ารบริหารส่วนตาบลท่าเรอื เป็นการปฏิบัติหนา้ ที่
ของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตาบลในราชการส่วนท้องถ่ิน จึงเป็นการปลอมเอกสารราชการ
ตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๕ เม่ือจาเลยซ่ึงเป็นประธานกรรมการบริหารองค์การบริหารส่วนตาบลท่าเรือ
มีหน้าท่ีขออนุมัติข้อบังคับงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๘ จากสมาชิก
องค์การบริหารส่วนตาบลท่าเรือเพื่อนาเสนอนายอาเภอเมืองนครศรีธรรมราชอนุมัติ จาเลยจึงมี
ความผดิ ฐานเป็นเจ้าพนกั งานมีหน้าที่ดูแลรักษาเอกสาร กระทาการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสท่ี
ตนมีหน้าที่นั้นตาม ป.อ. มาตรา ๑๖๑ และการท่ีจาเลยลงลายมือช่ือรับรองสาเนารายงานการ
ประชุมทั้งสองครั้งดังกล่าวในสาเนาข้อบงั คบั เรื่องงบประมาณรายจ่ายประจาปี พ.ศ.๒๕๓๘ ว่ามีการ
ประชุมจริง จาเลยจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าท่ีรับเอกสารรับรองเป็นหลักฐานว่าการ
อย่างใดได้กระทาต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จตาม ป.อ. มาตรา ๑๖๒ (๑) และจาเลยเป็น
เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สมาชิกองค์การบริหารส่วนตาบล
ทา่ เรือ และประชาชนในตาบลท่าเรือ โดยการนางบประมาณมาจัดประมูลให้ผู้รับเหมาทางานตามท่ี
ตนเองต้องการ อันเป็นการแสวงหาผลประโยชน์เพือ่ ตนเองหรอื ผอู้ น่ื โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็น
การปฏิบัติหนา้ ที่โดยทุจริตตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗

จาเลยปลอมบันทึกการประชุม ๒ ฉบับ อันเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ
เจ้าพนกั งานปลอมเอกสาร ความผดิ ต่อตาแหน่งหน้าที่ราชการและเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าทโี่ ดย
มิชอบก็เพื่อให้นายอาเภอเมืองนครศรีธรรมราชอนุมัติข้อบังคับเร่ืองงบประมาณรายจ่ายประจาปี
พ.ศ. ๒๕๓๘ ขององค์การบริหารส่วนตาบลท่าเรือ การกระทาของจาเลยจึงเป็นการกระทาความผิด
กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท

315

ข้อสังเกต ถ้ำทุกคนที่มีชื่อในเอกสำรลงลำยมือชื่อของตนไว้ โดยไม่มีกำรประชุมเอกสำรอำจจะเป็น
เพียงเอกสำรเท็จ ไม่ใช่เอกสำรปลอม เพรำะเป็นเอกสำรของผู้มีอำนำจทำเอกสำร แต่คดีน้ีมีกำร
ปลอมลำยมือชอ่ื ของบุคคลบำงคนในเอกสำร จึงเป็นกำรปลอมเอกสำร เพรำะผู้ที่ถกู ปลอมลำยมือชื่อ
ซึง่ เป็นสว่ นหนงึ่ ของผูม้ อี ำนำจทำเอกสำร ไม่ไดท้ ำเอกสำร จึงเปน็ เอกสำรปลอม ไม่ใช่เอกสำรเท็จ

ฎีกาที่ ๖๕๐๙/๒๕๔๙ ฎ.๒๐๐๘ จาเลยท่ี ๒ ในฐานะกรรมการผู้จัดการและผู้ถือหุ้นของ
บริษัทจาเลยท่ี ๑ ซึ่งเป็นประธานท่ีประชุมผู้ถือหุ้นเป็นผู้มีหน้าท่ีต้องจัดให้มีการทารายงานการ
ประชุมของจาเลยท่ี ๑ การท่ีจาเลยที่ ๒ ได้จัดให้มีการทาบันทึกรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นข้ึนตาม
หน้าท่ีของตน และลงลายมือช่ือตนเองเป็นประธานท่ีประชุม มิได้ทาในนามของบุคคลอ่ืน จึงเป็น
เอกสารท่ีแท้จริงของจาเลยที่ ๒ แม้ข้อความในเอกสารจะไม่เป็นความจริง เพราะไม่มีการประชุม
ดังกล่าว ก็เป็นการทาเอกสารอันเป็นความเท็จเท่าน้ัน ไม่ทาให้เป็นเอกสารปลอมตาม ป.อ. มาตรา
๒๖๔ เม่ือการกระทาดังกล่าวไม่เป็นการปลอมเอกสาร การกระทาของจาเลยท้ังห้า จึงไม่เป็น
ความผดิ ฐานรว่ มกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมตามมาตรา ๒๖๔, ๒๖๘

ฎีกาท่ี ๑๐๓๒/๒๕๕๘ คดีน้ีโจทก์ท้ังส่ีบรรยายฟ้องว่า จาเลยที่ ๑ ถึงท่ี ๒๓ กับพวกอีก ๒
คน ทาหนังสือขอให้โจทก์ที่ ๑ ในฐานะนายกสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนเสริมมิตรเรียกประชุมใหญ่
วสิ ามญั เพ่ือแต่งต้ังคณะกรรมการสมาคมชุดใหม่ โดยร่วมกนั ลงลายมือชอื่ ในหนังสือดังกล่าวในฐานะ
สมาชิกสามัญของสมาคม ท้ัง ๆ ท่ีบุคคลที่ลงลายมือช่ือในหนังสือขอให้เรียกประชุมและผู้เข้าร่วม
ประชุมใหญ่บางคนมิได้เป็นสมาชิกสามัญของสมาคม แล้วนาเอกสารท่ีเกี่ยวข้องไปขอจดทะเบียน
เปล่ียนแปลงกรรมการสมาคมต่อนายทะเบียน แต่เม่ือหนังสือขอให้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญ
เป็นเอกสารท่ีจาเลยท่ี ๑ ถึง ๒๓ กับพวกได้จัดทาขึ้นเองและลงลายมือช่ือของตนเอง นอกจากน้ัน
บัญชรี ายชอ่ื ร่วมการประชุมใหญว่ ิสามญั ก็มีผู้เข้าร่วมประชุมลงลายมือชอ่ื ของตนเอง กรณีจึงเป็นการ
ที่โจทก์ท้ังส่ีฟ้องกล่าวอ้างว่า จาเลยท้ังแปดสิบสามได้ร่วมกันจัดทาเอกสารท่ีมีข้อความอันเป็นเท็จ
เกี่ยวกับฐานะของผู้จัดทาหนังสือขอให้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญและผู้เข้าร่วมประชุมว่าเป็นสมาชิก
สามัญ โดยที่บางคนมิได้เป็นสมาชิกสามัญ ซึ่งอาจมีผลให้การประชุมใหญ่วิสามัญของสมาคมไม่ชอบ
ดว้ ยข้อบังคับของสมาคมเท่านั้น หาใชเ่ ป็นการทาเอกสารปลอมข้ึนท้ังฉบับหรือแตส่ ่วนใดส่วนหน่ึงไม่
ท้ังมิใช่การลงลายมือช่ือปลอมหรือประทับตราปลอมลงในเอกสาร เพ่ือให้ผู้หน่ึงผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็น
เอกสารท่ีแท้จริง นอกจากนี้โจทก์ท้ังส่ีฟ้องว่าจาเลยท่ี ๓๙ ลงลายมือช่ือรับรองสาเนาถูกต้องใน
ทะเบียนสมาชิกสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนเสริมมิตรวิทยา อันเป็นการรับรองเอกสารที่มีข้อความเป็น
เท็จโดยไม่มีต้นฉบับอยู่จริงนั้น เมื่อโจทก์ท้ังส่ีกล่าวอ้างว่า จาเลยที่ ๓๙ มีหน้าท่ีรักษาการแทน
นายทะเบียนสมาคม มีหน้าท่ีรับและจาหน่ายสมาชิก รักษาทาเนียบกับทาทะเบียนต่าง ๆ ของ
สมาคม ดังนั้นแม้จาเลยที่ ๓๙ จัดทาทะเบียนสมาชิกของสมาคมอันเป็นความเท็จเพราะมีบุคคล
จานวนหนึ่งท่ีมิได้เป็นสมาชิกกิตติมศักด์ิหรือสมาชิกสามัญมีรายชื่ออยู่ในทะเบียนของสมาคม ก็เป็น
เรื่องท่ีโจทก์ทั้งส่ีกล่าวหาว่าจาเลยที่ ๓๙ ซ่ึงมีหน้าที่จัดทาทะเบียนสมาชิกของสมาคม ได้จัดทาและ
รบั รองเอกสารอนั มีข้อความเป็นเท็จเช่นกัน หาใช่เป็นการทาเอกสารปลอมขึ้นทงั้ ฉบับหรือแต่ส่วนใด

316

ส่วนหนึ่ง ทั้งมิใช่การลงลายมือชื่อปลอมหรือประทับตราปลอมลงในเอกสาร เพื่อให้ผู้หน่ึงผู้ใด
หลงเช่อื ว่าเปน็ เอกสารทแ่ี ท้จริงไม่

ฎีกาที่ ๕๕๙๙/๒๕๔๑ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๒๗ จาเลยเป็นเจ้าพนักงานตารวจเขียนข้อความลงใน
ใบสั่งจ่ายน้ามัน ท้ัง ๆ ที่ทราบว่าตนไม่มีอานาจกระทาได้ จึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร การที่
จาเลยนาเอกสารปลอมไปย่ืนต่อพนักงานของสถานีบริการน้ามันเพื่อประโยชน์ในการเติมน้ามัน
ใสร่ ถยนต์ของจาเลย จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมดว้ ย เอกสารใบส่งั จ่ายน้ามันเชือ้ เพลิงดังกลา่ ว
เป็นเอกสารซึ่งเจ้าพนักงานตารวจผู้ทาหน้าท่ีพลขับจะต้องกรอกข้อความให้ชัดเจนว่าเติมน้ามัน
เชื้อเพลิงเพ่ือใช้ในราชการใด จานวนเท่าใด จึงเป็นการทาข้ึนในหน้าที่ อันเป็นเอกสารราชการตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑ (๘) การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร
ราชการและใชเ้ อกสารราชการปลอม

ใบส่ังจ่ายน้ามันเช้ือเพลิงที่ถูกลักไป ต่อมาตกอยู่ในความครอบครองของจาเลย เม่ือจาเลย
นาไปกรอกขอ้ ความเพื่อใช้สทิ ธเิ ติมน้ามัน ย่อมแสดงให้เห็นว่าจาเลยทราบวา่ ใบสง่ั จา่ ยน้ามนั เช้อื เพลิง
ดังกลา่ วได้มาจากการกระทาผดิ ฐานลกั ทรพั ย์ จาเลยมคี วามผดิ ฐานรบั ของโจร
ข้อสังเกต กำรทำเอกสำรแล้วลงช่ือของตนเองปกติจะเป็นเพียงเอกสำรเท็จ ไม่ใช่เอกสำรปลอม แต่
คดีนี้กำรลงชื่อทำเอกสำรเป็นกำรลงชื่อในตำแหน่งเจ้ำพนักงำนตำรวจผู้ทำหน้ำที่พลขับ เมื่อจำเลย
ไมใ่ ชพ่ ลขบั เป็นกำรปลอมตำแหน่ง จงึ เป็นกำรปลอมเอกสำร

ปลอมขึน้ ทั้งฉบับหรือปลอมแต่ส่วนหน่ึงส่วนใด

ฎีกาที่ ๙๓๒๑/๒๕๕๔ ฎ.๑๙๕๓ จาเลยที่ ๑ เขียนข้อความเพ่ิมเติมในใบฝากเงินภายหลัง
เป็นการเติมข้อความถึงการมีอยู่ของเอกสารต่อคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในฐานะที่ตนเอง
มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดทาใบฝากเงินข้ามเขต และที่มีการรับรองสาเนาใบฝากเงินว่าถ่ายมาจาก
สานวนการสอบสวนจริงโดยจาเลยที่ ๓ ในฐานะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการ
สอบสวนความรับผิดทางวินัยเป็นผู้รับรองน้ัน มิใช่เป็นการเพิ่มเติมเปล่ียนแปลงหรือแก้ไขเน้ือความ
ของใบฝากเงินข้ามเขตต้นฉบับให้มีความหมายเปล่ียนแปลงไป จึงไม่มีมูลให้รับฟังว่าจาเลยท้ังสาม
รว่ มกันปลอมและใชใ้ บฝากเงนิ ข้ามเขตซึง่ เปน็ เอกสารสทิ ธปิ ลอมตามฟ้อง

ฎกี าที่ ๖๒๖๖/๒๕๔๕ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๒๒๔ การทจ่ี าเลยขูดลบเคร่ืองหมายทะเบียนอาวุธปืน
ของเจ้าพนักงานออกท้ังหมดเป็นเพียงการทาลายเอกสาร ไม่ใช่การปลอมเอกสาร เพราะไม่มีเอกสาร
เหลืออยู่ให้ผู้หน่ึงผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารท่ีแท้จริง การกระทาของจาเลยจึงไม่เป็นความผิดฐาน
ปลอมเอกสารราชการตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๕ และมาตรา ๒๖๘

ฎีกาท่ี ๓๐๖๓/๒๕๕๒ ฎ.๘๔๖ จาเลยกับพวกร่วมกันนาเอาโฉนดท่ีดินของผู้เสียหายและ
แบบพิมพ์หนังสือมอบอานาจท่ีมีเพียงลายมือช่ือของผู้เสียหายลงไว้ในช่องผู้มอบอานาจไปโดยไม่ได้
รับอนุญาต แล้วนาไปกรอกขอ้ ความวา่ ผู้เสียหายมอบอานาจให้จาเลยยื่นขอจดทะเบียนโอนท่ีดินของ

317

ผเู้ สียหายให้แกจ่ าเลยโดยเสน่หา เป็นการกระทาความผิดฐานทาให้เสียหาย ทาลาย ซ่อนเร้น เอาไป
เสยี หรอื ทาให้สูญหายหรือไร้ประโยชนซ์ ่ึงเอกสารของผอู้ ื่นตาม ป.อ. มาตรา ๑๘๘ และเปน็ ความผิด
ฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๔ วรรคสอง และมาตรา ๒๖๘ วรรค
แรก ประกอบมาตรา ๒๖๔ วรรคสอง และมาตรา ๘๓ แต่การกระทาความผิดดังกล่าวกเ็ พื่อโอนที่ดิน
เป็นของจาเลยซึ่งเป็นเจตนาเดียว การกระทาของจาเลยจึงเป็นการกระทากรรมเดยี วเปน็ ความผิดต่อ
กฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา ๑๘๘ ซ่ึงเป็นกฎหมายบทท่ีมโี ทษหนักที่สุดตาม ป.อ.
มาตรา ๙๐

ฎีกาท่ี ๙๐๔๒-๙๐๔๓/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๒๐๙ เช็คถือเป็นตั๋วเงินประเภทหนึ่งตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๘๙๘ การท่ีจาเลยนาเช็คธนาคาร ก. ของโจทก์ร่วมมาแก้ไขและเติมข้อความในช่อง
สง่ั จ่ายบ้าง ชอ่ งจานวนเงินบา้ งหรือปลอมลายมือชื่อโจทก์รว่ มในช่องสง่ั จ่าย แลว้ นาเชค็ ไปขอเบิกเงิน
จากธนาคาร ก. ซ่ึงหลงเช่ือวา่ เป็นเช็คท่ีแท้จริงของโจทก์ร่วม จึงจ่ายเงินให้จาเลยไป การกระทาของ
จาเลยจึงเป็นการทาเอกสารปลอมขึ้นบางส่วนโดยการแก้ไขเติมข้อความและลงลายมือช่ือปลอม
ในต๋ัวเงินท่ีแท้จริง เพ่ือให้ผู้อ่ืนหลงเช่ือว่าเป็นเอกสารท่ีแท้จริงท่ีโจทก์ร่วมทาขึ้น และก่อให้เกิดความ
เสียหายแก่โจทก์ร่วมและธนาคาร ก. การกระทาของจาเลยจึงครบองค์ประกอบความผิดฐานปลอม
ต๋ัวเงิน จาเลยหาจาต้องปลอมเช็คขึ้นท้ังฉบับ จึงจะเป็นความผิดฐานปลอมตั๋วเงินตาม ป.อ. มาตรา
๒๖๖ (๔) เมอื่ จาเลยเป็นผู้ปลอมตว๋ั เงินและนาไปใช้เอง จึงตอ้ งลงโทษจาเลยฐานใช้ตั๋วเงินปลอมตาม
ป.อ. มาตรา ๒๖๘ วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา ๒๖๖ (๔) ตามมาตรา ๒๖๘ วรรคสอง

โดยประการท่ีนา่ จะเกิดความเสียหายแก่ผู้อ่นื หรือประชาชน

ฎีกาท่ี ๑๕๗๒/๒๕๕๗ ฎ.๔๑๑ ไม่มีกฎหมายให้ลงลายมือช่ือแทนกันได้ แม้ ล. จะอนุญาต
หรอื ให้ความยินยอม และเจ้าหน้าท่ีผู้จัดทาบันทึกแนะนาให้จาเลยท่ี ๒ ลงลายมือชื่อ ล. ก็ลงลายมือ
ชื่อแทนกันไม่ได้ การท่ีจาเลยท่ี ๒ ลงลายมือชื่อ ล. ในช่องผู้รับโอนในคาร้องโอนสิทธิการเช่า สัญญา
เช่าอาคาร บันทึกตกลงการโอนสิทธิการเช่าและในช่องผู้เช่าในสัญญาเช่าอาคารหรือส่ิงก่อสร้าง
จึงเป็นการลงลายมือช่ือปลอมในเอกสาร แต่ในความผิดฐานแจ้งความเท็จและความผิดฐานปลอม
เอกสารจะต้องได้ความด้วยว่าอยู่ในลักษณะท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนหรือไม่
เม่อื โจทกร์ ่วมลงลายมอื ช่ือโอนลอยในคารอ้ งโอนสทิ ธิการเชา่ สัญญาเช่าอาคารเทศบาลโดยไม่ไดส้ นใจ
ว่าใครจะนาเอกสารไปกรอกข้อความอย่างไร แสดงว่าโจทก์ร่วมพอใจในราคาค่าตอบแทนการโอ น
สิทธิการเช่ามากกว่า หาใช่มีข้อตกลงโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทให้แก่จาเลยท่ี ๑ โดยเจาะจงไม่
โจทกร์ ่วมกป็ ระสงค์จะโอนสทิ ธกิ ารเช่าอาคารพิพาทให้แก่ ล. ท้ังใบเสร็จรบั เงินค่าคารอ้ งโอนสิทธกิ าร
เช่าอาคารก็ระบุว่าได้รับเงินจาก ล. โจทก์ร่วมและเทศบาลไม่อยู่ในฐานะท่ีจะอ้างว่าได้รับความ
เสียหาย จาเลยท้งั สองไมม่ ีความผดิ ฐานแจ้งความเทจ็ และฐานปลอมเอกสารตามฟ้อง

ฎีกาท่ี ๘๘๗๐/๒๕๕๔ ฎ.๑๙๐๔ จาเลยเป็นผู้ปลอมคาขอเปิดบัญชีและนาตัวอย่างลายมือ

318

ชื่อในคาขอเปิดบัญชีของโจทก์ร่วมแล้วนาไปยื่นต่อพนักงานของธนาคารทาให้พนักงานของธนาคาร
หลงเชื่อว่าเป็นคาขอเปิดบัญชีเงินฝากของโจทก์รว่ ม จึงออกสมุดเงินฝากในนามของโจทก์ร่วมให้โดย
ประการท่นี า่ จะเกิดความเสยี หายแก่โจทก์รว่ ม จึงเป็นการปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม

จาเลยนาแบบพิมพ์ใบถอนเงินของธนาคารรวม ๑๕ ฉบับมากรอกข้อความโดยเขียนช่ือ
โจทก์ร่วมในช่องชื่อบัญชีเขียนเลขท่ีบัญชีจานวนเงินและลงลายมือช่ือปลอมของโจทก์ร่วมในช่อง
เจ้าของบัญชีและช่องผู้รับเงิน แล้วนาใบถอนเงินดังกล่าวไปย่ืนต่อพนักงานของธนาคาร ทาให้
พนักงานของธนาคารหลงเช่อื วา่ เป็นใบถอนเงินท่ีแท้จรงิ จงึ จ่ายเงนิ ใหจ้ าเลยไป แม้โจทก์ร่วมและบดิ า
มิได้เปิดบัญชีดังกล่าว ซึ่งแสดงอยู่ในตัวว่าเงินในบัญชีนั้นมิใช่เงินของโจทก์ร่วมและบิดา และ
โจทก์ร่วมและบิดาอาจจะไม่ได้รับความเสียหายต่อทรัพย์สินโดยตรงก็ตาม แต่การกระทาของจาเลย
เป็นการเปล่ียนแปลงเกี่ยวกับหลักฐานทางการเงนิ ในนามของโจทกร์ ่วมในระบบบัญชีของธนาคารให้
แตกต่างไปจากความเป็นจริง อันจะเป็นผลให้โจทก์ร่วมและธนาคารเสียช่ือเสียง ไม่ได้รับความ
เชื่อมั่นไว้วางใจในสังคม และในการประกอบธุรกิจ อันเป็นประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายต่อ
โจทก์ร่วมและธนาคารแล้ว การกระทาของจาเลยจึงเป็นการปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิ
ปลอมรวม ๑๕ กระทงดว้ ย

ฎกี าที่ ๖๖๕๔/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๑๓๖ การกระทาโดยประการทีน่ ่าจะเกิดความเสียหาย
แก่ผู้อื่นหรือประชาชนตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๔ วรรคแรก และมาตรา ๒๖๘ วรรคแรก เป็น
พฤติการณ์ประกอบการกระทา มิใช่ผลที่ต้องเกิดข้ึนจากการกระทา เพียงแต่น่าจะเกิดแม้จะ
ไม่เกดิ ข้นึ กเ็ ปน็ ความผิดสาเร็จแล้ว และความเสียหายท่ีน่าจะเกดิ น้ันอาจเป็นความเสยี หายที่มีรูปร่าง
เช่น ความเสียหายตอ่ ทรัพย์สนิ หรือความเสียหายต่อศลี ธรรม เช่น เสยี ชอื่ เสยี ง หรือความเสียหายต่อ
ประชาชน เช่น ความไว้เน้ือเช่ือใจในการประกอบธุรกิจด้วย การที่จาเลยปลอมใบรับฝากเงินอันเป็น
เอกสารสิทธิโดยจาเลยลงลายมือช่ือปลอมลายมือช่ือของ ม. แล้วใช้เอกสารสิทธิดังกล่าวนาเงิน
เข้าฝากในบัญชีของ ม. ทธี่ นาคาร ก. สาขาสีแ่ ยกบ้านแขก เป็นผลใหเ้ งินของเจ้าของบัญชีเพม่ิ มากขึ้น
แม้จะไม่มีความเสียหายต่อทรัพย์สินแต่เป็นการเปล่ียนแปลงหลักฐานจานวนเงินของ ม. ในระบบ
บัญชีของธนาคาร ก. ให้แตกต่างไปจากความเป็นจริง อันจะเป็นผลให้ ม. และธนาคาร ก. อาจเสีย
ชื่อเสียง ไม่ได้รับความเช่ือม่ันไว้วางใจในสังคมและในการประกอบกิจการธุรกิจอันเป็นประการที่
น่าจะเกิดความเสียหายตามบทบัญญัติในความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมตาม ป.อ.
มาตรา ๒๖๔ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๒๖๕ และมาตรา ๒๖๘ วรรคแรก

ฎีกาท่ี ๓๘๗๓/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๒๑ การท่ีธนาคารผู้ออกบัตร ATM ทั้งหลายต่าง
ออกแบบให้ด้านหลังของบัตร ATM มีช่องให้เจ้าของบัตรลงลายมือช่ือไว้นั้น นอกจากจะมี
วัตถุประสงค์มีไว้เพ่ือระบุตัวเจ้าของบัตรแล้วยังอาจมีวัตถุประสงค์เป็นประการอื่น ๆ ด้วย การที่
จาเลยปลอมลายมือช่ือของโจทก์ร่วมในบัตร ATM ของโจทก์ร่วม แม้ลายมือช่ือปลอมจะมิใช่
สาระสาคัญของการใช้บัตร ATM ในการทารายการเบิกถอนเงินที่ตู้เบิกถอนเงิน ATM ก็ตาม แต่การ
กระทาของจาเลยที่ลงลายมือชื่อปลอมที่หลังบัตร ATM ของโจทก์ร่วม ก็ถือได้ว่าน่าจะเกิดความ

319

เสียหายแก่โจทก์ร่วมและธนาคารผู้ออกบัตร และได้กระทาให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสาร
ท่ีแท้จริง อันเป็นการครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔ วรรคแรก
ประกอบมาตรา ๒๖๕

ฎีกาที่ ๖๒๒๕/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๖ หลังจากจาเลยปลอมสาเนาบัตรประจาตัว
ข้าราชการกลาโหมแล้ว จาเลยนาไปประกอบกับคาร้องขอประกันตัว จ. กับพวกต่อร้อยตารวจเอก
พ. และพันตารวจโท ร. แม้หลักประกันที่ใช้ประกันตัว จ. กับพวกจะเป็นเงินสดของ จ. กับพวก และ
จ. กับพวกไม่เคยผิดสัญญาประกันก็ตาม แต่เม่ือจาเลยนาเอกสารราชการปลอมดังกล่าวไปใช้ต่อ
ร้อยตารวจเอก พ. และพันตารวจโท ร. เป็นเหตุให้บุคคลทั้งสองหลงเชื่อและอนุญาตให้ประกันตวั จ.
กบั พวก ซ่ึงหากร้อยตารวจเอก พ. และพนั ตารวจโท ร. ทราบว่าเอกสารดงั กล่าวเป็นเอกสารราชการ
ปลอมคงไมอ่ นญุ าตใหป้ ระกนั ตวั จ. กับพวก บุคคลทง้ั สองจึงเปน็ ผเู้ สียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒ (๔)

เพ่อื ใหผ้ ู้หนึ่งผ้ใู ดหลงเชอ่ื ว่าเป็นเอกสารทแ่ี ท้จรงิ

ฎีกาที่ ๔๗๖๖/๒๕๓๘ ฎ.๑๑๒๓ จาเลยนาภาพถ่ายที่ ม. มอบให้มาตัดให้พอดีกับภาพถ่าย
บตั รประจาตวั ประชาชนที่แทจ้ ริงของ น. แล้วนาภาพถ่ายที่ตัดแล้วปิดทบั ภาพถ่ายของ น. ทีต่ ิดอยู่ใน
บัตรประจาตัวประชาชนของ น. แล้วถ่ายภาพบัตรและนาภาพถ่ายอัดพลาสติกมอบให้ ม. ถือได้ว่า
จาเลยมเี จตนาเพอ่ื ให้ผ้พู บเหน็ หลงเชอื่ วา่ ภาพถา่ ยของ ม. ในบตั ร

เอกสารสิทธิ เอกสารราชการ

ฎีกาที่ ๕๑๙๕/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๗๖ เอกสารสิทธิตามบทนิยามแห่ง ป.อ. มาตรา ๑ (๙)
หมายความว่า เอกสารท่ีเป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ แต่ใบขอ
ซ้อื สนิ คา้ (PR) เป็นเพียงคาเสนอท่ีจะซื้อสินค้าของผู้เสียหายเท่านั้น หาใช่เอกสารท่ีเปน็ หลกั ฐานแห่ง
การก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซ่ึงสิทธิไม่ ดังนั้น ใบขอซื้อสินค้า (PR) ดังกล่าวจึงไม่ใช่
เอกสารสิทธิตามมาตรา ๑ (๙) การกระทาของจาเลยเป็นเพียงการปลอมเอกสารธรรมดา มิใช่เป็น
การปลอมเอกสารสิทธิและใชเ้ อกสารสทิ ธิปลอม

ฎีกาที่ ๔๙๑๙/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล. ๖ น. ๑๐๒ การที่ผู้เสียหายออกใบรายการร้านค้าให้แก่
ลูกค้าเพื่อเป็นหลักฐานแสดงว่าได้มีการซื้อสินค้าและลูกค้าได้ชาระราคาสินค้าแล้ว อันเป็นหลักฐาน
ในการซื้อขายกันตามปกติ ส่วนที่ลูกค้าจะต้องนาเอกสารไปย่ืนต่อพนักงานของผู้เสียหายซึ่งประจา
อย่ทู ่ีคลังสินคา้ เพื่อขอรับสนิ ค้า เป็นเพียงการแสดงหลกั ฐานการซื้อขายตามขั้นตอนเท่านัน้ หาใช่เป็น
การใช้สทิ ธเิ รียกร้องโดยผลของการมเี อกสารดังกล่าวแต่อยา่ งใด ใบรายการรา้ นค้าจึงมใิ ช่เปน็ เอกสาร
ทเ่ี ปน็ หลักฐานแห่งการก่อ เปล่ียนแปลง สงวนหรือระงับซ่งึ สทิ ธิ ไม่เป็นเอกสารสิทธิตาม ป.อ. มาตรา
๑ (๙) การท่ีจาเลยแก้ไขด้วยการเติมข้อความว่ายกเลิกลงในใบรายการร้านค้าและมอบเอกสาร

320

ดังกล่าวแก่พนักงานขายของผู้เสียหายเพ่ือลักเงิน ๓,๕๖๐ บาท ของผู้เสียหายไป จึงเป็นเพียงการ
ปลอมและใช้เอกสารปลอมตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๔ วรรคหน่ึง และมาตรา ๒๖๘ วรรคหน่งึ ประกอบ
มาตรา ๒๖๔ วรรคหนึ่ง

การท่ีจาเลยลักเงิน ๓,๕๖๐ บาท ของผู้เสียหายโดยปลอมใบรายการร้านค้าและใช้เอกสารท่ี
ทาปลอมขึ้น อันเป็นหลักฐานแสดงว่าลูกค้าได้ยกเลิกการซื้อสินค้าแล้วจาเลยลักเงินดังกล่าวไป
เห็นได้ชัดว่าเพื่อท่ีจะทาให้การลักทรัพย์แนบเนียนยิ่งข้ึนเท่าน้ัน อันเป็นการกระทาต่อเน่ืองในวาระ
เดียวกันโดยมีเจตนาเดียวคือเพ่ือลักทรัพย์ ความผดิ ฐานลักทรัพย์กับความผิดฐานปลอมเอกสารและ
ใช้เอกสารปลอม จงึ เปน็ กรรมเดียวเปน็ ความผดิ ตอ่ กฎหมายหลายบทตาม ป.อ. มาตรา ๙๐

ฎีกาที่ ๒๒๒๗/๒๕๔๗ ฎ.๕๙๓ แบบคาขอใช้บริการบัวหลวง เอ.ที.เอ็ม. ที่จาเลยปลอมขึ้น
เป็นเอกสารที่จาเลยใช้ย่ืนต่อธนาคารผู้เสียหายเพื่อขอให้ ส. ซ่ึงเป็นลูกค้าเงินฝากประเภท
สะสมทรัพย์ของธนาคารผู้เสียหายได้ใช้บัตรฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ แต่ยังไม่แน่ว่าธนาคารผู้เสียหาย
จะอนุมัติตามแบบคาขอใช้บริการหรือไม่ แบบคาขอใช้บริการมิใช่เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ
สิทธิในการฝาก-ถอนเงินกับธนาคารผู้เสียหายโดยตรง จึงมิใช่เอกสารสิทธิตามความในประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๑ (๙) จาเลยปลอมแบบคาขอใช้บริการและใช้เอกสารนั้น จึงไม่เป็นการ
ปลอมเอกสารสิทธิและใชเ้ อกสารสทิ ธปิ ลอม

ฎีกาท่ี ๙๕๓/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๖ คาฟ้องโจทก์กล่าวว่า จาเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ใช้เอกสาร
ใบเบิกปลอมเป็นหลักฐานในการลงบัญชีจ่ายสายสูบน้าดับเพลิง ทาให้สายสูบน้าดับเพลิงของโจทก์
สูญหายและขาดบัญชีไป จึงเป็นการฟ้องให้จาเลยรับผิดในมูลหน้ีละเมิดซึ่งเป็นความผิดท่ีมีโทษตาม
ป.อ. แต่ใบเบิกปลอมท่ีจาเลยใช้เป็นเพียงเอกสารราชการมิใช่เอกสารสิทธิ ความผิดฐานใช้เอกสาร
ปลอมดังกล่าวมีโทษตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๘ ประกอบมาตรา ๒๖๕ และมีกาหนดอายุความทาง
อาญา ๑๐ ปี ตามมาตรา ๙๕ (๓) จึงไม่เป็นกรณีที่กาหนดอายุความทางอาญายาวกว่าตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๔๔๘ วรรคสอง

ฎกี าท่ี ๒๕๗๐/๒๕๔๑ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๑๗ หนงั สือคู่มอื จดทะเบียนรถหรอื ใบคู่มอื จดทะเบยี น
รถ เป็นเพียงเอกสารซ่ึงควบคุมการใช้รถยนต์และการจัดเก็บภาษีประจาปีตามพระราชบัญญัติ
รถยนตเ์ ท่าน้ัน มไิ ด้เปน็ เอกสารทเ่ี ป็นหลกั ฐานแห่งการก่อ เปลยี่ นแปลง โอน สงวน หรอื ระงบั ซึ่งสทิ ธิ
แต่อย่างใด ใบคู่มือจดทะเบียนรถจึงเป็นเพียงเอกสารราชการ หาได้เป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสาร
ราชการไม่

ฎีกาท่ี ๒๒๖๗/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๑๒ แบบคาขอโอนและรับโอนทะเบียนรถยนต์ แม้จะ
เป็นแบบพิมพ์ของกรมการขนส่งทางบก แต่ก็เป็นแบบพิมพ์สาหรับผู้ที่ประสงค์จะจดทะเบียนโอน
และรบั โอนรถยนตน์ าไปกรอกข้อความลงไปไดเ้ อง แล้วนาไปย่ืนต่อนายทะเบียนเพื่อดาเนินการแก้ไข
รายการจดทะเบียนในใบคู่มือจดทะเบียนเท่าน้ัน มิได้เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ
เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซ่ึงสิทธิตาม ป.อ. มาตรา ๑ (๙) การท่ีจาเลยท่ี ๑ ทาคาขอโอน
ทะเบียนรถยนตป์ ลอมขึ้นทง้ั ฉบับนัน้ จึงไม่เป็นความผดิ ฐานปลอมเอกสารสทิ ธิตามมาตรา ๒๖๕ และ

321

ใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา ๒๖๘ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๒๖๕ จาเลยที่ ๑ คงมีความผิด
ฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมตามมาตรา ๒๖๔ วรรคแรก มาตรา ๒๖๘ วรรคแรก
ประกอบมาตรา ๒๖๔ วรรคแรก

ฎีกาท่ี ๓๔๔๘/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๘๐ หนังสือมอบอานาจเป็นเพยี งเอกสารซ่ึงบุคคลหน่ึง
เป็นผู้มอบอานาจ มอบหมายให้บุคคลอีกคนหนึ่งเป็นผู้รับมอบอานาจให้มีอานาจจัดการทานิติกรรม
แทน มิได้เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปล่ียนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ หนังสือ
มอบอานาจจึงไม่เป็นเอกสารสิทธิตาม ป.อ. มาตรา ๑ (๙) การท่ีจาเลยที่ ๑ กรอกข้อความลงใน
หนังสือมอบอานาจท่ีโจทก์ร่วมลงลายมือช่ือไว้นั้น จึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารสิทธิ
ตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๕

ฎีกาท่ี ๑๔๒๒/๒๕๕๔ ฎ.๑๔๘๐ ใบรับรองเงนิ ฝากซ่ึงเป็นเอกสารปลอมมีขอ้ ความวา่ จาเลย
ท่ี ๒ มีเงินฝากในธนาคารโจทก์ร่วมจานวน ๖๐๐ ล้านดอลล่าร์สหรัฐ มีกาหนดจ่ายคืนและสามารถ
เปลี่ยนมือได้ แบ่งแยกและซ้ือขายได้ อันเป็นเอกสารที่แสดงให้ผู้อื่นเช่ือว่าจาเลยท่ี ๒ มีเงินฝากตาม
จานวนในเอกสารฝากไว้กับโจทก์ร่วมและสามารถรบั เงินฝากคืนจากโจทกร์ ่วมและสามารถเปล่ียนมือ
แบ่งแยกซ้อื ขายไดด้ ้วย ใบรับรองเงนิ ฝากดังกล่าวจึงเป็นเอกสารสิทธิ

จาเลยท่ี ๑ ซงึ่ เป็นพนักงานของโจทก์ร่วมทราบดีว่าใบรับรองเงินฝากเป็นเอกสารสิทธิปลอม
ได้จัดส่งเอกสารสิทธิปลอมดังกล่าวไปต่างประเทศโดยผ่านแผนกไปรษณียภัณฑ์ในธุรกิจของ
โจทก์ร่วมด้วยการปิดผนึกซองเขียนชุดใบนาส่งเอกสารของธนาคารโจทก์ร่วมและใบนาส่งไปรษณีย์
มอบให้กับพนักงานโจทก์ร่วมผู้มีหน้าท่ีจัดส่งเอกสารตามวิธีการจัดส่งเอกสารในธุรกิจของโจทก์ร่วม
ครบถ้วนแล้วอันเป็นการลงมือใช้หรืออ้างเอกสารที่เกิดจากการกระทาความผิดฐานปลอมเอกสาร
สทิ ธิ แม้เอกสารสิทธิปลอมจะปิดผนึกอยู่ในซองและพนักงานผู้จัดส่งเอกสารของโจทก์ร่วมตรวจเห็น
พิรุธจนพบว่าเอกสารที่จัดส่งเป็นเอกสารสิทธิปลอมก่อนที่เอกสารจะส่งถึงผู้รับในตา่ งประเทศ ก็เป็น
การใช้หรืออ้างเอกสารสิทธิปลอมเป็นความผิดสาเร็จโดยไมต่ ้องรอผลของการใช้หรืออ้างว่าผู้รับหรือ
ถูกอ้างจะได้รับเอกสารสิทธิปลอมท่ีจดั ส่งไป เพราะเม่ือจาเลยที่ ๑ ได้ใช้หรืออ้างเอกสาร การกระทา
ของจาเลยที่ ๑ ก็ถือได้ว่ากระทาไปในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วม ผู้อ่ืนหรือ
ประชาชนตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๘ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๒๖๕ แล้ว จาเลยท่ี ๑ จึงมีความผิด
ฐานร่วมกันใชเ้ อกสารสิทธิปลอม

ความผิดฐานปลอมเอกสารไม่จาต้องมีเอกสารที่แท้จริงอยู่ก่อน การที่จาเลยที่ ๒ ทาปลอม
ใบรับรองเงนิ ฝากขึ้นทงั้ ฉบับเพื่อให้ผูอ้ ื่นหลงเชือ่ ว่าเป็นเอกสารท่ีแท้จริงโดยประการท่ีนา่ จะเกิดความ
เสียหายแก่โจทก์ร่วม ผู้อ่ืน หรือประชาชนแล้ว การกระทาของจาเลยก็เป็นความผิดฐานปลอม
เอกสารสิทธิ

ฎีกาท่ี ๙๐๒๖/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๙ น.๑๓๖ เม่ือหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินเป็นเอกสารสิทธิ
ปลอม ภาพถ่ายหนังสือสัญญาซ้ือขายท่ีดินดังกล่าวที่จาเลยถ่ายสาเนามา จึงเป็นเอกสารสิทธิปลอม
ด้วย เม่ือจาเลยนาภาพถ่ายหนังสือสัญญาซื้อขายท่ีดินไปใช้อ้างเป็นเอกสารแนบท้ายคาร้องและ

322

คาฟ้องโดยรู้แล้วว่าหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินเป็นเอกสารปลอมการกระทาของจาเลยจึงเป็นการใช้
เอกสารสิทธปิ ลอมแลว้

ฎีกาท่ี ๑๐๓๘๕/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๒๕๐ ใบถอนเงินที่จาเลยทาปลอมข้ึนและนาไปใช้
ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้เสียหาย เป็นหลักฐานที่ใช้แสดงว่าผู้เสียหายได้ถอนเงินจากบัญชี
เงินฝากธนาคารไปแลว้ ใบถอนเงนิ ดังกล่าวจึงเป็นเอกสารอนั กอ่ ให้เกิดสิทธิในการรับเงนิ จากธนาคาร
เปน็ เอกสารสทิ ธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑ (๙)

การทีจ่ าเลยนาแบบพิมพ์ใบถอนเงินของธนาคารมากรอกขอ้ ความโดยเขียนช่ือ ศ. ในชอ่ งชื่อ
บัญชี เขียนเลขที่บัญชี จานวนเงิน และลงลายมือชื่อปลอมของ ศ. ในช่องผู้รับเงินและในช่องผู้ถอน
เงิน แล้วนาใบถอนเงินไปยื่นต่อพนักงานธนาคารซ่ึงหลงเช่ือว่าเป็นใบถอนเงินท่ีแท้จริงจึงจ่ายเงินให้
จาเลยไปนั้น เป็นการทาเอกสารสิทธิปลอมขึ้นท้ังฉบับ เพื่อให้ผู้อ่ืนหลงเช่ือว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ ศ. ธนาคารและพนักงานธนาคารแล้ว จึงเป็นการปลอมเอกสารสิทธิ
และใช้เอกสารสิทธิปลอม
ข้อสังเกต กำรปลอมใบถอนเงินแล้วเอำเงินไป จะมีควำมผิดฐำนลักทรัพย์ด้วย เพรำะเป็นเงินของ
ธนำคำร ไม่ใช่เงินของลูกค้ำ หำกออกเป็นข้อสอบต้องตอบทั้งปลอมเอกสำรสิทธิ ใช้เอกสำรสิทธิ
ปลอม และลักทรัพย์ โดยปกติแล้วโจทก์จะฟ้องในข้อหำเหล่ำนี้มำด้วย แต่บำงคดีจะข้ึนมำเฉพำะ
ข้อหำปลอม บำงคดีขึ้นมำเฉพำะข้อหำลักทรัพย์ ขอให้ดูคำพิพำกษำฎีกำต่อไปประกอบ ฎีกำท่ี
๖๕๖๙/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๑๓๐ จำเลยเป็นเจ้ำหน้ำที่ของธนำคำรผู้เสียหำย มีหน้ำที่รับฝำกเงิน
และจ่ำยเงินให้แก่ลูกค้ำท่ีมำใช้บริกำรแทนผู้เสียหำย จำเลยจึงมีอำนำจยึดถือเงินของผู้เสียหำยไว้
เพ่ือผู้เสียหำยเพียงชั่วระยะเวลำทำกำร กำรที่จำเลยแก้ไขจำนวนเงินบ้ำง กรอกจำนวนเงินบ้ำงใน
ใบคำขอถอนเงินฝำกสะสมทรัพย์ของผู้มีอำนำจถอนเงิน และนำไปดำเนินกำรด้วยตนเองตำมวิธีกำร
ทำงธนำคำรให้มีกำรจ่ำยเงินของผู้เสียหำยที่จำเลยยึดถือไว้เพื่อผู้เสียหำยดังกล่ำวตำมใบคำขอถอน
เงินน้ัน แล้วเอำเงินของผู้เสียหำยไปโดยไม่มีสิทธิอันเป็นกำรทุจริต กำรกระทำของจำเลยจึงเป็น
ควำมผดิ ฐำนลกั ทรัพย์

ฎกี าที่ ๓๙๔/๒๕๔๔ ฎ.ส.ล.๒ น.๔๔ สาเนารายงานการประชมุ วิสามัญผถู้ อื หุน้ ซึง่ ทาปลอม
ข้ึนโดยระบุให้จาเลยผู้เดียวมีอานาจลงลายมือชื่อและประทับตราของบริษัทลงช่ือผูกพันบริษัท เป็น
หลักฐานเพื่อระงับสิทธิของโจทก์ร่วมในการร่วมลงลายมือชื่อผูกพันบริษัท จึงเป็นเอกสารสิทธิตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑ (๙)

คาขอจดทะเบียนแก้ไขเพ่ิมเติมจานวนหรือช่ือกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัท เป็นเพียง
เอกสารที่แจ้งความประสงค์ให้พนักงานเจ้าหน้าท่ีดาเนินการจดทะเบียนแก้ไขให้ตามรายการท่ีขอ
และหนังสือมอบอานาจเป็นเอกสารท่ีบุคคลหนึ่งระบุมอบหมายให้บุคคลอีกคนหน่ึงมีอานาจทา
กิจการใดแทนตนเทา่ นั้น เอกสารท้ังสองฉบับมิใช่หลกั ฐานแห่งการกอ่ เปลย่ี นแปลง โอน สงวน หรือ
ระงับซึง่ สทิ ธิ จงึ มิใช่เอกสารสิทธิ

ฎีกาที่ ๑๕๗๒/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๓๙ จาเลยถ่ายสาเนาบัตรประจาตัวประชาชนจาก

323

ฉบับที่แท้จริงซึ่งเป็นเอกสารราชการ แล้วแก้ไขในช่องชื่อ ชื่อสกุล วันออกบัตร วันหมดอายุ และนา
สาเนาบัตรประจาตัวประชาชนดังกล่าวไปถ่ายสาเนาเอกสารอีก เพ่ือให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าสาเนา
เอกสารดังกลา่ วมีขอ้ ความตรงกบั ต้นฉบบั และน่าจะเกิดความเสียหายแกผ่ อู้ นื่ หรอื ประชาชน เป็นการ
ทาปลอมเอกสารข้ึนทั้งฉบับ แม้จาเลยจะมิได้แก้ไขในเอกสารที่แท้จริง การกระทาของจาเลยก็เป็น
ความผิดฐานปลอมบัตรประจาตัวประชาชนอันเป็นเอกสารราชการ และฐานใช้บัตรประจาตัว
ประชาชนอันเป็นเอกสารราชการปลอมตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๕ , ๒๖๘ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา
๒๖๕ พ.ร.บ. บตั รประจาตัวประชาชนฯ มาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง (๒) (๓)
ข้อสังเกต แต่ถ้ำไม่มีไม่มีกำรเติมหรือตัดทอนข้อควำม หรือแก้ไขสำเนำบัตรประจำตัวประชำชน
เพียงแต่ปลอมลำยมือช่ือโจทก์ร่วมลงในสำเนำบัตรประจำตัวประชำชน จึงเป็นเพียงกำรปลอม
เอกสำรตำม ป.อ. มำตรำ ๒๖๔ วรรคแรก เพรำะที่ปลอมคือลำยมือช่ือโจทก์ร่วมโดยข้อควำมในบัตร
ประชำชนซ่ึงเป็นเอกสำรรำชกำรไม่ได้ถูกปลอม ฎีกำท่ี ๑๒๑๓๗/๒๕๕๘ ฎ.๓๐๓๖ ควำมผิดฐำน
ปลอมเอกสำรต้องเป็นกำรกระทำต่อเอกสำรอันเป็นผลให้เอกสำรน้ันผิดแผกแตกต่ำงไป ด้วยเจตนำ
ให้ผู้หน่ึงผู้ใดหลงเชื่อว่ำเอกสำรนั้นเป็นเอกสำรท่ีแท้จริง แม้สำเนำบัตรประจำตัวประชำชนจะเป็น
เอกสำรรำชกำร แต่ได้ควำมว่ำมีเพียงกำรปลอมลำยมือช่ือของโจทก์ร่วมลงในสำเนำบัตรประจำตัว
ประชำชนท่ีแท้จริงของโจทก์ร่วม โดยไม่มีกำรเติมหรือตัดทอนข้อควำม หรือแก้ไขสำเนำบัตร
ประจำตัวประชำชนให้แตกต่ำงไปจำกสำเนำบัตรประจำตัวประชำชนนี้แต่อย่ำงใด สำเนำบัตร
ประจำตัวประชำชนดังกล่ำวยังคงเป็นเอกสำรท่ีแท้จริง กำรปลอมลำยมือชื่อโจทก์ร่วมลงในสำเนำ
บัตรประจำตัวประชำชน จึงเป็นเพียงกำรปลอมเอกสำรตำม ป.อ. มำตรำ ๒๖๔ วรรคแรก เท่ำนั้น
เมื่อจำเลยใช้สำเนำบัตรประจำตัวประชำชนของโจทก์ร่วมดังกล่ำว จึงไม่เป็นควำมผิดฐำนใช้เอกสำร
รำชกำรปลอม คงมีควำมผดิ ฐำนใชเ้ อกสำรปลอมตำม ป.อ. มำตรำ ๒๖๘ วรรคแรก ประกอบมำตรำ
๒๖๔ วรรคแรก

ฎกี าท่ี ๒๓๔๗/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๖๔ สาเนาบตั รประจาตัวประชาชนและสาเนาทะเบยี น
บ้าน แม้เอกสารดังกล่าวจะเป็นเอกสารราชการ แต่มีเพียงการปลอมลายมือชื่อของเจ้าของบัตรและ
เจ้าของทะเบียนบ้านลงในสาเนาบัตรประจาตัวประชาชนและสาเนาทะเบียนบ้านที่แท้จริง โดยไม่มี
การเติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขสาเนาบัตรประจาตัวประชาชนและสาเนาทะเบียนบ้านให้
แตกต่างไปแต่อย่างใด สาเนาบัตรประจาตัวประชาชนและสาเนาทะเบียนบ้านดังกล่าวยังคงเป็น
เอกสารท่ีแท้จริง การปลอมลายมือช่ือเจ้าของบัตรและเจ้าของทะเบียนบ้านลงในสาเนาบัตรและ
สาเนาทะเบยี นบา้ น จึงเป็นเพยี งการปลอมเอกสารตามมาตรา ๒๖๔ วรรคแรก

ฎกี าท่ี ๖๓๕๓/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๙๓ เลขหมายประจาปืนไม่ใช่ทะเบียนอาวุธปืนซึ่งเป็น
เอกสารที่เจ้าพนักงานจัดทาและมิได้เปน็ เอกสารท่ีเป็นหลกั ฐานแห่งการก่อ เปลีย่ นแปลง โอน สงวน
หรือระงับซึ่งสิทธิ จึงไม่ใช่เอกสารราชการและเอกสารสิทธิ การกระทาของจาเลยที่ ๑ จึงไม่เป็น
ความผดิ ฐานปลอมเอกสารสทิ ธิหรือเอกสารราชการตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๕ จาเลยที่ ๑ คงมคี วามผิด
ฐานปลอมเอกสารตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๔ วรรคแรก และใช้เอกสารปลอมตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๘

324

วรรคแรก ประกอบมาตรา ๒๖๔ วรรคแรก
ข้อสังเกต หำกลบเลขหมำยประจำปืน เป็นเพียงกำรทำลำยเอกสำร ไม่ใช่กำรปลอมเอกสำร เพรำะ
ไมม่ ีเอกสำรเหลอื อย่ใู หผ้ หู้ น่ึงผใู้ ดหลงเชอื่ ว่ำเปน็ เอกสำรท่ีแทจ้ ริง (ฎกี ำที่ ๖๒๖๖/๒๕๔๕)

ฎีกาที่ ๖๙๖๕-๖๙๖๖/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๓๙ จาเลยเป็นลูกจ้างประจาของกรมการ
ศาสนา เป็นผู้ติดต่อกับผู้เช่าที่ดินวัดร้าง การท่ีจาเลยนาใบเสร็จรับเงินค่าเช่าที่ดินวัดร้างที่จาเลย
ทาปลอมขึ้นไปเก็บเงินจากผู้เช่า ต้องถือว่าจาเลยรับเงินไว้แทนกรมการศาสนา มิใช่รับไว้แทนผู้เช่า
เพ่ือนาไปมอบให้กรมการศาสนา เม่ือจาเลยนาเงินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวย่อมเป็นการ
ยักยอกเงินของกรมการศาสนา กรมการศาสนาจึงเป็นผู้เสียหายมีอานาจร้องทุกข์ให้ดาเนินคดี
แก่จาเลยในความผิดฐานยักยอกได้

ใบเสร็จรับเงินค่าเช่าเป็นหลักฐานแห่งการระงับสิทธิของผู้ให้เช่าในการเรียกเก็บเงินค่าเช่า
จากผู้เช่า จึงเป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑ (๙) มิใช่เอกสารราชการตาม
มาตรา ๑ (๘) เพราะไม่ใช่เอกสารซ่งึ เจ้าพนกั งานไดท้ าขึ้นหรือรับรองในหน้าที่
ข้อสังเกต จำเลยไม่ใช่ข้ำรำชกำรแต่เป็นลูกจ้ำงประจำ จำเลยไม่ใช่เจ้ำพนักงำน เอกสำรท่ีจำเลยทำ
จึงไม่เป็นเอกสำรรำชกำรตำมท่ีศำลฎีกำวินิจฉัย ฎีกำน้ีตัดสินตำมกฎหมำยเก่ำ ถ้ำเป็นกฎหมำยใหม่
มำตรำ ๑ (๑๖) เพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ มีบทนิยำม คำว่ำ
“เจ้ำพนักงำน” หมำยควำมว่ำ บุคคลซึ่งกฎหมำยบัญญัติว่ำ เป็นเจ้ำพนักงำนหรือได้รับแต่งตั้งตำม
กฎหมำยให้ปฏิบัติหน้ำท่ีรำชกำร ไม่ว่ำเป็นประจำหรือคร้ังครำว และไม่ว่ำจะได้รับค่ำตอบแทน
หรือไม่ ดังนั้น ถ้ำเกิดเหตุหลังจำกปี ๒๕๕๘ ศำลฎีกำจะเดินตำมแนวเดิมหรือถือว่ำเป็นเอกสำร
รำชกำรคงรอฟังกันครบั

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๒๖๗

ฎีกาที่ ๖๒๙๐/๒๕๕๗ ฎ.๑๖๓๖ บริษัท ค. จดทะเบียนเป็นบริษัทจากัดตาม ป.พ.พ. มี ศ.
เป็นกรรมการเพียงคนเดียว และ ศ. ถึงแก่ความตาย ทาให้บริษัท ค. ไม่มีกรรมการเป็นผู้แทนของ
บริษัทซ่ึงเป็นนิติบุคคล ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการจึงร้องขอให้ศาลแต่งตั้งผแู้ ทนช่ัวคราวตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๗๓ ได้

จาเลยได้รับแต่งตั้งตามคาส่ังศาลให้เป็นผู้แทนช่ัวคราวของบริษัท ค. ก็มีผลเป็นเพียง
กรรมการชั่วคราวของบรษิ ัท จาเลยมิได้มอี านาจเป็นกรรมการโดยแท้จริงของบริษัท จึงเป็นกรณีตอ้ ง
ด้วยมาตรา ๑๑๕๙ ที่กาหนดว่า ในกรณีจานวนกรรมการลดน้อยลงกว่าจานวนอันจาเป็นที่จะเป็น
องค์ประชุม กรรมการท่ีมีตัวอยู่ย่อมทากิจการได้เฉพาะแต่ในเรื่องที่จะเพ่ิมกรรมการให้ครบจานวน
หรือนัดเรียกประชุมใหญ่ของบริษัทเท่านน้ั จะทาการอ่ืนไม่ได้ จาเลยจึงจะดาเนินการเลิกบริษทั ไม่ได้
ท้ังการเลิกบริษัทจะกระทาได้ต้องเข้าเง่ือนไขตามมาตรา ๑๒๓๖ และ ๑๒๓๗ การที่จาเลยแจ้ง
ข้อความอันเป็นเทจ็ โดยลงลายมือชื่อในคาขอจดทะเบียนเปลี่ยนกรรมการจาก ศ. เป็นจาเลย อา้ งว่า

325

จาเลยมีหนังสือบอกกล่าวนัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นและมีมติท่ีประชุมผู้ถือหุ้นให้เปลี่ยนแปลง
กรรมการบริษัทคนเดิมจาก ศ. เป็นจาเลย ท้ังที่ความจรงิ ไม่มีการเรยี กประชุมและประชุมผู้ถือหนุ้ แก่
เจ้าพนักงาน แจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทาการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จ และใช้หรืออ้าง
เอกสารอันเกิดจากการกระทาความผิดดังกล่าวอันเป็นเท็จเพื่อดาเนินการให้นายทะเบียนผู้ถือหุ้น
และสานักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทแก้ไขให้จาเลยเป็นกรรมการผู้แทนบริษัท ค. คนใหม่แทน ศ.
เป็นการกระทบต่อสิทธิและประโยชน์ของโจทก์ท้ังส่ี ซ่ึงเป็นผู้ถือหุ้นโดยตรง ทาให้เกิดความเสียหาย
แก่โจทก์ทั้งสี่ผู้มีสิทธิเข้าประชุมเพ่ือพิจารณาต้ังกรรมการแทน ศ. และมีอานาจครอบงาบริษัทเพื่อ
ตรวจตราการจัดการบริษัทของกรรมการ ทั้งเป็นผู้มีสิทธิลงมติพิเศษในกรณีพิจารณาเลิกบริษัทได้
ตามมาตรา ๑๒๓๖ (๔) การกระทาของจาเลยจงึ เปน็ ความผิดตามมาตรา ๑๓๗, ๒๖๗, ๒๖๘

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๒๖๘

ฎีกาที่ ๘๓๓/๒๕๖๑ ฎ.๓๑๑ ความผิดฐานใชห้ รอื อา้ งเอกสารปลอม เปน็ ความผิดสาเรจ็ เมื่อ
ยื่นเอกสารต่อเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ รับเรื่อง ดังน้ัน การท่ีจาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ย่ืนเอกสารราชการ
ปลอมตามฟ้องต่อเจ้าหน้าท่ีผู้มีหน้าท่ีตรวจเอกสารเพื่อยื่นซองประกวดราคา แม้ยังอยูใ่ นข้นั ตอนการ
ตรวจเอกสารของเจ้าหน้าทตี่ รวจเอกสาร แต่กเ็ ปน็ ความผดิ สาเรจ็ แล้ว

ฎีกาท่ี ๙๗๒๗/๒๕๕๖ ฎ. ๒๒๙๒ จาเลยรับจ้างจัดทาบัตรประจาตัวประชาชนปลอมให้แก่
สายลับ โดยจาเลยรับภาพถ่ายและเงินจานวนหน่ึงไปจากสายลับและนัดหมายกับสายลบั เพ่ือส่งมอบ
บัตรประจาตัวประชาชนปลอมตามที่รับจ้าง แล้วจาเลยนาบัตรประจาตัวประชาชนมาส่งมอบให้แก่
สายลับและถูกร้อยตารวจเอก ส. กับพวกทาการจับกุมได้พร้อมบตั รประจาตวั ประชาชนปลอม ถือได้
ว่าเป็นการนาออกใช้ซ่ึงเอกสารปลอมแล้ว เมื่อบัตรประจาตัวประชาชนเป็นเอกสารราชการ
การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานใช้บัตรประจาตัวประชาชนซ่ึงเป็นเอกสารราชการปลอม
ตาม พ.ร.บ. บตั รประจาตัวประชาชนฯ มาตรา ๑๔ (๓) วรรคแรก และ ป.อ. มาตรา ๒๖๘ วรรคแรก
ประกอบมาตรา ๒๖๕

ฎีกาที่ ๘๘๑๕/๒๕๕๔ ฎ. ๑๘๕๒ จาเลยใช้เอกสารอันเกิดจากการแจ้งและเป็นผู้แจ้งให้
เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารด้วย จึงต้องลงโทษจาเลยฐานใช้เอกสารอันเกิดจาก
การแจ้งแต่เพียงกระทงเดียวตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๘ วรรคสอง เอกสารอันเกิดจากการที่จาเลยแจ้ง
ใหเ้ จา้ พนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จตามฟอ้ ง คือรายงานประจาวันรับแจ้งเอกสารหาย มิใช่หนังสือ
รบั รองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ซ่ึงเป็นเอกสารที่เป็นผลมาจากการแจ้งดังกล่าว การที่จาเลยใช้
น.ส. ๓ ก. แสดงต่อธนาคารจึงไม่ใช่การใช้เอกสารอันเกิดจากการกระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา
๒๖๗

ฎีกาท่ี ๑๔๒๒/๒๕๕๔ ฎ.๑๔๘๐ จาเลยที่ ๑ ซ่ึงเป็นพนักงานของโจทก์ร่วมทราบดีว่า
ใบรับรองเงินฝากเป็นเอกสารสิทธิปลอมได้จัดส่งเอกสารสิทธิปลอมดังกล่าวไปต่างประเทศโดยผ่าน

326

แผนกไปรษณียภัณฑ์ในธรุ กิจของโจทกร์ ่วมด้วยการปิดผนึกซองเขยี นชุดใบนาส่งเอกสารของธนาคาร
โจทก์ร่วมและใบนาส่งไปรษณีย์มอบให้กับพนักงานโจทก์ร่วมผมู้ ีหน้าที่จัดส่งเอกสารตามวิธีการจัดส่ง
เอกสารในธุรกิจของโจทก์ร่วมครบถ้วนแล้วอันเป็นการลงมือใช้หรืออ้างเอกสารท่ีเกิดจากการกระทา
ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ แม้เอกสารสิทธิปลอมจะปิดผนึกอยู่ในซองและพนักงานผู้จัดส่ง
เอกสารของโจทก์ร่วมตรวจเห็นพริ ุธจนพบว่าเอกสารทีจ่ ัดส่งเปน็ เอกสารสิทธิปลอมก่อนท่ีเอกสารจะ
ส่งถึงผู้รับในต่างประเทศ ก็เป็นการใช้หรืออ้างเอกสารสทิ ธปิ ลอมเป็นความผิดสาเร็จโดยไมต่ ้องรอผล
ของการใช้หรืออ้างว่าผู้รับหรือถูกอ้างจะได้รับเอกสารสิทธิปลอมที่จัดส่งไป เพราะเม่ือจาเลยท่ี ๑
ได้ใช้หรืออ้างเอกสาร การกระทาของจาเลยท่ี ๑ ก็ถือได้ว่ากระทาไปในประการที่น่าจะเกิดความ
เสียหายแก่โจทก์ร่วม ผู้อื่นหรือประชาชน ตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๘ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๒๖๕
แล้ว จาเลยที่ ๑ จงึ มคี วามผิดฐานรว่ มกนั ใชเ้ อกสารสิทธิปลอม

ฎีกาท่ี ๑๕๔๔๖/๒๕๕๕ ฎ.๓๔๑๕ จาเลยท่ี ๑ นาแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอมปิดทับ
แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ท่ีแท้จริงที่ด้านหน้าและด้านท้ายของรถเพ่ือใช้รถยนต์เดินทางไปท่ีเมือง
พัทยา ป้องกันมิให้ผู้ท่ีพบเห็นทราบหมายเลขทะเบียนรถยนต์ท่ีแท้จริงหากเกิดอุบัติเหตุในระหว่าง
การเดินทาง จึงเป็นการใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอมอย่างเป็นเอกสารราชการที่แท้จริงเพื่อให้
ผู้อ่ืนหลงเชื่อว่าเป็นรถยนต์ตามแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ท่ีมีการทาปลอมข้ึน และท่ีเกิดเหตุซึ่ง
เจ้าพนักงานตารวจพบการกระทาความผิดของจาเลยท่ี ๑ เป็นสถานท่ีเปิดเผยในทางเดินรถ
สาธารณะ แม้จาเลยที่ ๑ ยังมิได้ใช้รถยนต์เดินทางเคลื่อนท่ีจากจุดเกิดเหตุท่ีมีการลงมือกระทา
ความผดิ กเ็ ป็นความผดิ สาเรจ็ ฐานใช้เอกสารราชการปลอมจาเลยที่ ๑ จงึ มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา
๒๖๘ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๒๖๕

ฎีกาท่ี ๙๐๐๙/๒๕๕๓ ฎ.๑๕๖๙ จาเลยรับราชการอยู่ที่แผนกทะเบียนยานพาหนะมีหน้าท่ี
รับค่าภาษีและต่ออายุทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ประจาปี ไม่มีอานาจหน้าที่เก่ียวกับการ
รับทาใบอนุญาตขับรถ จาเลยเป็นผู้ปลอมใบอนุญาตขับรถอันเป็นเอกสารราชการ การท่ีจาเลย
นาใบ อนุ ญ าต ขับ รถป ล อมไป ใส่ ไว้ใน ตะกร้าวางไว้บ น เคาน์ เตอร์ห น้ าที่ ท าการแผน กท ะเบี ย น
ยานพาหนะ โดยเจ้าของใบอนุญาตขับรถจะไปตรวจดูท่ีตะกรา้ ดงั กลา่ ว หากเหน็ ใบอนุญาตขับรถของ
ตนก็สามารถหยิบเอาไปได้หรือผู้ใดจะไปรับแทนก็ได้ไม่มีการทาหลักฐานการรับไว้ จาเลยยังมิได้อ้าง
และใชเ้ อกสารดงั กล่าวแก่ผู้ใด จาเลยไมม่ คี วามผดิ ฐานใชเ้ อกสารราชการปลอม

ฎีกาท่ี ๙๐๒๖/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๙ น.๑๓๖ จาเลยนาภาพถ่ายหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินซึ่ง
เป็นเอกสารสิทธิปลอมไปยื่นคาร้องต่อศาลช้ันต้น เพ่ือขอให้ศาลมคี าส่ังว่าจาเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ใน
ท่ีดินโดยการครอบครองปรปักษ์ และนาภาพถ่ายหนังสือสัญญาซ้ือขายท่ีดินดังกล่าวไปย่ืนฟ้องโจทก์
ต่อศาลชั้นต้นเพื่อบังคับห้ามมิให้โจทก์เก่ียวข้องกับที่ดินพิพาทและให้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อใน
โฉนดที่ดินพิพาทเป็นช่ือของจาเลยต่างวันเวลากัน การกระทาของจาเลยในความผิดฐานใช้เอกสาร
สิทธปิ ลอม จึงเป็นความผิดหลายกรรมตา่ งกนั

ฎีกาท่ี ๓๕๕๙/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๗ น.๓๙ จาเลยกับพวกหลอกลวงโจทก์ร่วมว่าจะรับ

327

ทองรูปพรรณจากร้านทองของโจทก์ร่วมไปจาหน่ายแก่ลูกค้าซ่ึงเป็นนักท่องเท่ียวชาวต่างประเทศ
โดยขอใบบันทึกรายการขายของร้านทองของโจทก์ร่วมไปให้ลูกค้าชาระเงินค่าทองรูปพรรณให้แก่
โจทก์ร่วมด้วยบัตรเครดิต โจทก์ร่วมหลงเชื่อจึงมอบทองรูปพรรณและใบบันทึกรายการขายที่รูดกับ
เครอื่ งรดู บตั รของทางรา้ นซ่ึงจะปรากฏช่อื รา้ นและหมายเลขสมาชิกของร้านทองแล้วใหจ้ าเลยไป เมื่อ
จาเลยขายทองรูปพรรณให้แก่ลูกค้าได้แล้ว จาเลยจะได้จัดให้ลูกค้านาบัตรเครดิตของลกู ค้ามารูดกับ
เครื่องรูดบัตรอีกเพ่ือให้ปรากฏหมายเลขบัตรของลูกค้า วันหมดอายุบัตร และขออนุมัติวงเงินจาก
ธนาคาร กรอกรายละเอียดวันท่ี จานวนเงินท่ีลูกค้าชาระ และให้ลูกค้าลงลายมือช่ือในใบบันทึก
รายการขายแล้วจาเลยจะได้ส่งใบบันทึกรายการขายนั้นให้แก่โจทก์ร่วมเพ่ือให้โจทก์ร่วมนาไปขอรับ
เงินจากธนาคารต่อไป แต่เมือ่ หลอกลวงได้ทองรปู พรรณและใบบันทึกรายการขายจากโจทก์ร่วมแล้ว
จาเลยกลับใช้บัตรเครดิตปลอมมารูดกับเครื่องรูดบัตรเพื่อลงใบบันทึกรายการขาย แล้วส่งใบบันทึก
รายการขายปลอมดังกล่าวมาให้โจทก์ร่วมเพ่ือขอรับเอาทองรูปพรรณและใบบันทึกรายการขาย
ไปจากโจทก์ร่วมอีก โจทก์ร่วมหลงเชื่อมอบทองรูปพรรณให้จาเลยรับไปคิดเป็นเงิน ๘๘๙,๔๐๐ บาท
ซ่ึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้อง และจาเลยยังได้ร่วมกับพวกใช้ใบบันทึกรายการขายปลอมเป็น
เอกสารประกอบการฉ้อโกงโดยส่งไปให้โจทก์ร่วม เพ่ือให้โจทกร์ ่วมนาส่งใบบันทึกรายการขายปลอม
น้ันไปขอรับเงินจากธนาคาร ก. และธนาคาร ท. แต่ละวันแยกต่างหากจากกันตามท่ีปรากฏใน
ใบบันทึกรายการขาย การกระทาของจาเลยกับพวกในส่วนนี้จึงเป็นความผิดฐานใช้ใบบันทกึ รายการ
ขายซง่ึ เป็นเอกสารสทิ ธปิ ลอมรวม ๒๔ กระทง ตามฟ้อง

การที่จาเลยกับพวกใช้ใบบันทึกรายการขายท้ัง ๒๔ กรรมนั้น จาเลยได้กระทาโดยมีเจตนา
เดียวเพื่อฉ้อโกงโจทก์ร่วม บันทึกรายการขายปลอมท่ีจาเลยกับพวกร่วมกันใช้โดยจัดส่งไปให้โจทก์
ร่วมก็เพื่อเป็นอุบายหลอกลวงให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อมอบทองรูปพรรณให้จาเลยกับพวกน่ันเอง
ความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงโจทก์ร่วมท่ีจาเลยกับพวกกระทาต่อโจทก์ร่วมจึงเป็นกรรมเดียวกับ
ความผดิ ฐานใช้เอกสารสิทธปิ ลอมทั้ง ๒๔ กระทง

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๒๖๙

ฎีกาที่ ๕๕๔๘/๒๕๔๕ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๘๙ ธนาคารอาคารสงเคราะห์จ้างโจทก์สารวจและ
ประเมินราคาทรัพย์สินของผู้กู้ยืมเงิน ซึ่งกาหนดให้โจทก์ต้องควบคุมดูแลลูกจ้างหรือพนักงานหรือ
ตัวแทนของโจทก์ให้ปฏิบัติหนา้ ทด่ี ้วยความซื่อสัตย์สจุ รติ และตอ้ งส่งผลการสารวจและประเมนิ ราคา
แก่ธนาคารภายในระยะเวลาที่กาหนด การท่ีจาเลยที่ ๓ กรอกข้อความในแบบสรุปผลการประเมิน
ราคา และการที่จาเลยที่ ๒ ลงชื่อในฐานะผู้ประเมินราคาและฐานะผู้จัดการสาขา เพื่อจัดส่งให้แก่
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ในนามของโจทก์ ล้วนแต่เป็นข้ันตอนในการปฏิบัติงานของพนักงานโจทก์
ผู้ท่ีประเมินราคาหรือทาคารับรองเอกสารตามสัญญาจ้างก็คือโจทก์ จาเลยท่ี ๓ มิได้ลงช่ือเป็น
ผปู้ ระเมินราคาในเอกสารดงั กล่าว จาเลยท่ี ๓ จึงมใิ ช่ผู้ทาคารบั รองเอกสารอนั เป็นเท็จแต่อยา่ งใด

328

ฎีกาท่ี ๓๖๓๕/๒๕๔๖ ฎ.๑๐๔๐ ผู้กระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๙ จะต้องเป็น
ผู้ประกอบการงานวิชาชีพดังท่ีระบุไว้เท่านั้น เมื่อจาเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของท่ีดินและเป็นผู้กู้เงินจาก
ธนาคาร ไม่ได้ประกอบวิชาชีพการประเมินราคาทรัพย์ ส่วนจาเลยที่ ๓ เป็นเพียงผู้ทารายงานการ
ตรวจสอบทด่ี ินเสนอตอ่ ผ. โดย ผ. เป็นผู้ลงลายมอื ชือ่ รับรองในฐานะผู้ประเมิน จาเลยที่ ๓ ไมไ่ ด้เป็น
ผู้ทาคารับรองในเอกสารดังกล่าวอันเป็นเท็จ จาเลยท่ี ๑ และที่ ๓ จึงไม่มีความผิดตามมาตรา ๒๖๙

329

ความผดิ เกี่ยวกับบัตรอเิ ลก็ ทรอนิกส์

ขอ้ ๖๓ คาถาม นายหนึ่งมอบบัตรเครดิตให้นางสาวสองซึ่งเป็นลูกจ้างของตนพร้อมทั้งบอก
รหัสเอทีเอ็มเพ่ือใช้กดเงินสด ๑๐,๐๐๐ บาท นางสาวสองนาบัตรเครดิตดังกล่าวไปกดรหัสเพื่อถอน
เงินสด ๑๐,๐๐๐ บาท และ ๑๕,๐๐๐ บาทรวม ๒๕,๐๐๐ บาท แล้วนาเงินเพียง ๑๐,๐๐๐ บาท
ไปมอบให้นายหน่ึง โดยนางสาวสองแอบจดชื่อ นามสกุล เดือนปีหมดอายุ หมายเลขบัตรเครดติ และ
หมายเลขด้านหลังบัตรเครดิตไว้ด้วย แล้วนางสาวสองได้สั่งซื้อต๋ัวเคร่ืองบินทางอินเตอร์เน็ต ระบุช่ือ
นายหนึ่งและนางสาวสองเป็นผู้เดินทางโดยส่ังซ้ือทางอินเตอร์เน็ตและให้ตัดบัญชีบัตรเครดิตของ
นายหน่ึง โดยนางสาวสองพิมพ์ชื่อ นามสกุล เดือนปีหมดอายุ หมายเลขบัตรเครดิต และหมายเลข
ด้านหลังบัตรเครดติ สามตวั สุดทา้ ยเพ่อื สั่งซ้ือตว๋ั เครื่องบนิ โดยนายหน่งึ และนางสาวสองเปน็ ผโู้ ดยสาร

ใหว้ นิ ิจฉัยวา่ นางสาวสองมคี วามรบั ผดิ ทางอาญาฐานใด
คาตอบ การที่นางสาวสองนาบัตรเครดิตไปกดรหัสเพื่อถอนเงินตามคาสั่งของนายหน่ึง
๑๐,๐๐๐ บาท ไม่เป็นการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยไม่ชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒๖๙/๕ เพราะไม่ได้เป็นการใช้ในประการท่ีน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือ
ประชาชน
แต่นางสาวสองนาบัตรเครดิตดังกล่าวไปถอนเงินสดอีก ๑๕,๐๐๐ บาท จึงเป็นการใช้บัตร
อิเล็กทรอนิกส์ของผู้อ่ืนโดยไม่ชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายหน่ึง เพราะ
เป็นการกระทานอกเหนือคาส่ังของนายหน่ึง การใช้บัตรถอนเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท จึงเปน็ ความผิด
ฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยไม่ชอบตามมาตรา ๒๖๙/๕ เมื่อบัตรดังกล่าวสามารถใช้
เบิกถอนเงินสดได้ นางสาวสองจึงต้องระวางโทษหนักกว่ามาตรา ๒๖๙/๕ ก่ึงหนึ่ง ตามมาตรา
๒๖๙/๗
นอกจากนี้การท่ีนางสาวสองกดเงินเกินกว่าคาสั่ง ๑๕,๐๐๐ บาท เงินดังกล่าวก็เป็นของ
นายหนึ่งซึ่งเป็นนายจ้าง เม่ือนางสาวสองเอาไว้ไม่ยอมมอบให้นายหน่ึง ก็เป็นการเอาทรัพย์ที่เป็น
ของนายจ้างไปโดยเจตนาทุจริตแล้ว นางสาวสองจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ของนายจ้างตาม
มาตรา ๓๓๕ (๑๑)
ส่วนการที่นางสาวสองได้ส่ังซ้ือตั๋วเครื่องบินทางอินเตอร์เน็ตนั้น แม้นางสาวสองจะพิมพ์ชื่อ
นามสกุล เดือนปีหมดอายุ หมายเลขบัตรเครดิต และหมายเลขด้านหลังบัตรเครดิตสามตัวสุดท้าย
ของบัตรเครดิตของนายหนึ่ง แต่ก็ไม่เป็นการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยไม่ชอบ เพราะ
นางสาวสองไม่ได้นาบัตรเครดิตซ่ึงเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นวัตถุอื่นใดตามมาตรา ๑ (๑๔)
(ก) มาใช้ ท้ังจะถือว่านางสาวสองใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ท่ีเป็นข้อมูล รหัส หมายเลขบัญชี
หมายเลขชุดทางอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรา ๑ (๑๔) (ข) ก็ไม่ได้ เพราะข้อมูลฯ ที่จะเป็นบัตร
อิเล็กทรอนกิ ส์ตามมาตรา ๑ (๑๔) (ข) ต้องมิได้ออกเอกสารหรือวัตถอุ ่ืนใดให้ เม่ือข้อมูลดังกล่าว
อยู่บนบัตรเครดิตอันเป็นวัตถุแล้ว ข้อมูลดังกล่าวจึงไม่เป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรา
๑ (๑๔) (ข) การท่ีนางสาวสองได้สั่งซ้ือต๋ัวเคร่ืองบินทางอินเตอร์เน็ตโดยใชข้ ้อมูลฯ ของนายหนึ่ง

330

จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๒๖๙/๕ เพราะไม่ได้ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่น (ขอให้ดู
รำยละเอียดเพิ่มเติมในศำสตรำจำรย์ ดร. เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, กฎหมำยอำญำ ภำคควำมผิด
เล่ม ๒ พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๖ พ.ศ.๒๕๕๗ หน้ำ ๓๐๖)
ขอ้ สังเกต คำตอบขอ้ น้ีอำจจะมีนักศึกษำโต้แย้งว่ำกำรท่ีนำงสำวสองเอำเงิน ๑๕,๐๐๐ บำทไป นำ่ จะ
เป็นควำมผิดฐำนยักยอก แต่ผู้แต่งเห็นว่ำน่ำจะเป็นควำมผิดฐำนลักทรัพย์ เพรำะนำยหน่ึงไม่ได้
มอบหมำยให้นำงสำวสองไปเอำเงนิ ๑๕,๐๐๐ บำท มำมอบให้แก่นำยหน่ึง จึงต้องถอื ว่ำนำงสำวสอง
เอำไปซ่ึงกำรครอบครองเงินของนำยหนึ่ง จึงเป็นลักทรัพย์ ถ้ำนำงสำวสองเอำเงินไป ๒๕,๐๐๐ บำท
ก็น่ำจะเป็นยักยอกเงิน ๑๐,๐๐๐ บำท (เทียบฎีกำที่ ๖๙๖๕ - ๖๙๖๖/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๓๙)
และลักเงิน ๑๕,๐๐๐ บำท

ข้อ ๖๔ คาถาม นายแดงเห็นนายจิมใช้บัตรเครดิตชาระค่าสินค้าและทาบัตรเครดิตตกไว้
ทพี่ ้นื เมือ่ นายจมิ เดินออกจากร้านนายแดงแอบเก็บบัตรเครดติ ดังกล่าวข้ึนมาและต้ังใจว่าจะเอาไปซื้อ
สินค้า สักครู่หนึ่งนายจิมเดินกลับมาท่ีร้านค้าและถามหาบัตรเครดิตท่ีทาตกหาย เมื่อเจ้าของร้านค้า
แนะนาให้นายจิมแจ้งอายัดบัตร นายจิมแสดงอาการผิดปกติ เจ้าของร้านค้าจึงตรวจสอบไปที่ศูนย์
บัตรเครดิตจึงทราบวา่ บัตรเครดิตท่ีนายจิมนามาใช้แทนเงินสดในการชาระเงินเป็นบัตรเครดิตปลอม
จึงเรียกตารวจจับนายจิมไว้ทันที นายแดงซ่ึงเดินวนเวียนอยู่แถวน้ันเห็นเหตุการณ์และเพิ่งทราบว่า
บัตรเครดิตที่ตนเก็บได้เป็นบัตรเครดิตปลอม นายแดงจึงรีบนาบัตรเครดิตปลอมดังกล่าวไปใช้แทน
เงินสดในการชาระค่าสินค้า โดยนายแดงยื่นบัตรเครดิตปลอมให้พนักงานเก็บเงิน พนักงานเก็บเงิน
ก็นาบัตรเครดิตรูดผ่านเคร่ืองรูดบัตร เมื่อเคร่ืองพิมพ์ใบบันทึกรายการการใช้บัตรเครดิตออกมา
นายแดงลงลายมือช่ือในใบบันทึกรายการดังกล่าวเช่นเดียวกับลายมือช่ือด้านหลังบัตรเครดิตปลอม
แลว้ มอบใหพ้ นกั งานเก็บเงิน แลว้ ได้สินคา้ ไป

ใหว้ นิ ิจฉยั วา่ นายแดงมคี วามผิดฐานใด
คาตอบ แม้นายจิมทาบัตรเครดิตตกไว้ท่ีพ้ืนไม่ได้ยึดถือบัตรเครดิตไว้ แต่เม่ือนายจิมยังตาม
หาบัตรเครดิตอยู่ ต้องถือว่าบัตรเครดิตยังอยู่ในความครอบครองของนายจิม ยังไม่ใช่ทรัพย์สิน
หาย การที่นายแดงเก็บบัตรเครดิตของนายจิมไป จึงไม่เป็นการยักยอกทรัพย์สินหายตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ วรรคสอง (๑ คะแนน) แต่เป็นกรณีที่นายแดงแย่งการครอบครอง
บัตรเครดิตของนายจิม ต้องถือว่านายแดงเอาไปซ่ึงทรัพย์ของผู้อ่ืนโดยเจตนาทุจริต อันเป็น
ความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๔ (๒ คะแนน) นอกจากน้ีบัตรเครดิตยังเป็นเอกสาร เพราะ
เป็นวัตถุซ่ึงได้ทาให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษรและเป็นหลักฐานแห่งความหมายน้ัน ตาม
มาตรา ๑ (๗) การท่ีนายแดงเก็บบัตรเครดติ ของนายจิมไป จึงเป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผูอ้ ่ืน
ในประการทน่ี ่าจะเกดิ ความเสยี หายแก่ผอู้ น่ื หรือประชาชนตามมาตรา ๑๘๘ (๑ คะแนน)
การทีน่ ายแดงเกบ็ บัตรดงั กลา่ วไว้โดยตั้งใจว่าจะเอาไปซอ้ื สินค้าและนาไปใช้ซอื้ สนิ คา้ ไมเ่ ป็น

331

ความผิดฐานใช้หรือมีไวเ้ พ่ือใชซ้ ่ึงบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมตามมาตรา ๒๖๙/๔ เพราะการกระทา
จะเป็นความผิดตามมาตรา ๒๖๙/๔ ได้น้ัน ขณะได้มาผู้กระทาต้องรู้ว่าเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์
ท่ีทาปลอมข้ึน กรณีน้ีขณะท่ีนายแดงได้บัตรเครดิตมา นายแดงยังไม่รู้ว่าเป็นบัตรเครดิตปลอม
แม้นายแดงทราบภายหลังจากได้มาว่าบัตรเครดิตที่ตนเก็บได้เป็นบัตรเครดิตปลอม นายแดงก็ไม่มี
ความผิดฐานใช้หรือมีไว้เพ่ือใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมตามมาตรา ๒๖๙/๔ (๒ คะแนน)
นอกจากน้ี การกระทาดังกลา่ วของนายแดงยงั ไม่เป็นความผิดฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อ่ืน
โดยมิชอบในประการท่ีน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนตามมาตรา ๒๖๙/๕
และไม่ผิดฐานมีไว้เพื่อนาออกใช้ซ่ึงบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อ่ืนโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะ
ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อ่ืนหรือประชาชนตามมาตรา ๒๖๙/๖ เพราะการกระทาที่จะเป็น
ความผิดตามมาตรา ๒๖๙/๕ และมาตรา ๒๖๙/๖ ได้นั้น ต้องเป็นการใช้หรือมีไว้เพื่อนาออกใช้
ซ่ึงบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่แท้จริงเท่านั้น เม่ือบัตรเครดิตที่นายแดงมีไว้เป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม
นายแดงจึงไม่มีความผิดตามมาตรา ๒๖๙/๕ และมาตรา ๒๖๙/๖ (๒ คะแนน) (ดูรำยละเอียด
เพิ่มเติมในกฎหมำยอำญำ ภำคควำมผิด เล่ม ๒ ดร. เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์ พิมพ์คร้ังท่ี ๖ พ.ศ.
๒๕๕๗ หน้ำ ๓๓๒)

แต่บัตรเครดิตเป็นเอกสารดังท่ีวินิจฉัยมาแล้ว การท่ีนายแดงยื่นบัตรเครดิตปลอมให้
พนกั งานเก็บเงินใช้แทนเงินสดในการชาระคา่ สินค้า จึงเป็นการใช้เอกสารปลอม ในประการทนี่ ่าจะ
เกดิ ความเสียหายแกผ่ ู้อ่นื หรือประชาชนตามมาตรา ๒๖๘ วรรคแรก (๑ คะแนน)

นอกจากน้ีการท่ีนายแดงลงลายมือช่ือในใบบันทึกรายการบตั รเครดติ เช่นเดียวกบั ลายมอื ชื่อ
ด้านหลังบัตรเครดิตปลอมมอบให้พนักงานเก็บเงินแล้วได้สินค้าไป เป็นการทาเอกสารสิทธิปลอม
ด้วยการลงลายมือชื่อปลอมในเอกสารสิทธิ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อ่ืนหรือ
ประชาชน เพ่ือให้พนักงานเก็บเงินเช่ือว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง จึงเป็นความผิดฐานทาเอกสาร
สิทธิปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา ๒๖๔ ประกอบมาตรา ๒๖๕ เม่ือนายแดงผู้ทา
เอกสารสิทธิปลอมเป็นผู้ใช้เอกสารสิทธิปลอม ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมแต่กระทงเดียว
ตามมาตรา ๒๖๘ วรรคสอง (๑ คะแนน) และยังเป็นการกระทาโดยทุจรติ หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ
แสดงข้อความอันเป็นเท็จแสดงตนเป็นบุคคลท่ีมีช่ือตามบัตรเครดิต และโดยการหลอกลวงนั้นได้
ไปซึ่งทรพั ยส์ ินจากผูถ้ ูกหลอกลวงตามมาตรา ๓๔๒ (๑) ประกอบมาตรา ๓๔๑ ด้วย
ข้อสังเกต คำถำมข้อนี้มีกำรกระทำหลำยกำรกระทำ กำรตอบต้องแยกกำรกระทำให้ชัดเจนก่อน จึง
วำงแผนว่ำจะเขยี นตอบอยำ่ งไร กำรกระทำคือ ๑. เกบ็ บัตร ๒. ถือบัตรไว้เพ่ือเอำไปใช้ ๓. ยืน่ บัตร ๔.
ลงช่อื ในใบบนั ทึกรำยกำร ๕. ย่ืนใบบนั ทกึ รำยกำร

๑. กำรเก็บบัตรมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคือ ไม่ผิดยักยอกทรัพย์สินหำย แต่ผิดลักทรัพย์และ
ผิดเอำไปเสียซึ่งเอกสำร

๒. และ ๓. กำรถือบัตรและยื่นบัตรมีประเด็นท่ีจะวินิจฉัยคือ ใช้และมีไว้เพื่อใช้ตำมมำตรำ
๒๖๙/๔ มำตรำ ๒๖๙/๕ และมำตรำ ๒๖๙/๖ กับใช้เอกสำรปลอมซ่ึงสำมำรถวินิจฉัยกำรกระทำ

332

๒. กำรถือบัตร และ ๓. กำรย่ืนบัตร ไปพร้อมกันได้ ส่วนกำรลงชื่อในใบบันทึกรำยกำรตำม ๔. และ
ย่ืนใบบันทึกรำยกำรตำม ๕. ก็วินิจฉัยไปด้วยกัน ให้สังเกตว่ำกำรยื่นบัตรและกำรลงช่ือในใบบันทึก
รำยกำรเป็นกำรกระทำคนละอัน โดยตอบมำตรำ ๒๖๘ วรรคสอง ให้ลงโทษแต่กระทงเดียวซ่ึงเป็น
บทเฉพำะของมำตรำ ๒๖๘ วรรคสอง แต่ผู้แต่งไม่ได้ตอบเร่ืองกรรมเดียวตำมมำตรำ ๙๐ หรือ
หลำยกรรมตำมมำตรำ ๙๑ เพรำะคำถำมมักจะถำมว่ำผิดฐำนใด ไม่ได้ถำมว่ำจะลงโทษอย่ำงไร
ขอให้สังเกตธงคำตอบของข้อสอบเนติฯ และข้อสอบผู้ช่วยฯ มักจะไม่มีคำตอบตำมมำตรำ ๙๐ และ
มำตรำ ๙๑

คำถำมข้อนี้เป็นคำถำมท่ีมีประเด็นมำกและยำกมำก หำกตอบได้ต้ังแต่ ๕ คะแนน ก็ถือว่ำ
ดีแล้ว ส่วนนักศึกษำที่ตอบได้คะแนนน้อยไม่ต้องตกใจ ค่อย ๆ ฝึกเขียนตอบและอ่ำนตำรำต่อไป
ข้อสอบไมไ่ ดย้ ำกอย่ำงคำถำมข้อนท้ี ุกขอ้ ไม่ได้หมำยควำมว่ำคนท่ีทำไมไ่ ด้จะสอบไม่ได้ เพรำะข้อสอบ
มีคำถำมข้อง่ำยอยู่ คนท่ีตอบข้อยำกได้คือคนที่จะลุ้นอันดับดี ๆ ท่ีผู้แต่งทำคำถำมยำก เพรำะถ้ำทำ
ขอ้ ยำกได้ ข้องำ่ ยคงจะไม่มีปัญหำ

ตัวอย่างคาตอบท่ี ๑ ตามประมวลกฎหมายอาญาวางหลักว่า ผู้ใดเอาไปซ่ึงทรัพย์ของผู้อ่ืน
โดยทุจริต ผู้นั้นกระทาผิดฐานลักทรัพย์ เมื่อแดงเห็นจิมใช้บัตรเครดิตชาระค่าสินค้า และทาตกไว้
ท่พี ืน้ แดงแอบเกบ็ ขน้ึ มา จงึ เป็นการเอาไปซึ่งทรพั ยข์ องผู้อื่นคอื จิม และเมอื่ ตงั้ ใจเอาบัตรเครดิตไปซื้อ
สนิ คา้ จึงเป็นเจตนาทุจริต ดังนนั้ แดงมีความผิดลกั ทรพั ย์ (ไม่ได้ตอบว่านายจิมยังครอบครองซึง่ เป็น
ประเด็นสาคัญให้เพียง ๑ คะแนน) และแม้ว่าจิมเดินกลับมาท่ีร้านและถามหาบัตรเครดิตท่ีตกหาย
ก็ตาม แดงก็ไม่ผิดฐานยักยอกทรัพย์สินหาย เพราะความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินหาย ผู้กระทา
ตอ้ งไม่ทราบวา่ เจ้าของแท้จริงจะติดตามเอาคืน แต่ตามขอ้ เท็จจริงปรากฏว่า แดงรู้หรือควรจะรู้ได้ว่า
เจ้าของกาลังตดิ ตามเอาคนื บัตรเครดิตท่ีทาตกหายอยู่ แดงจึงไม่ผดิ ฐานยักยอกทรัพย์สินหาย แตแ่ ดง
ยงั คงผิดลกั ทรพั ย์ (๑ คะแนน)

บัตรเครดิตเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ตามประมวลกฎหมายอาญา ตามข้อเท็จจริงท่ีปรากฏ
เจ้าของร้านได้ตรวจสอบท่ีศูนย์บัตรเครดิตจึงทราบว่าบัตรเครดิตท่ีนายจิมนามาใช้ชาระเงินเป็นบัตร
ปลอม แดงผู้ลักเอาบัตรของนายจิมมาจึงไม่ได้เป็นผู้ปลอมทั้งหมดหรือ แต่บางส่วน เติมหรือตัดทอน
ขอ้ ความดว้ ยประการใด ๆ ในบตั รเครดติ แท้จริง โดยประการท่นี ่าจะทาให้เกดิ ความเสยี หายแกผ่ หู้ นึ่ง
ผู้ใดหรือประชาชน แดงจึงไม่มีความผิดฐานปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์ตาม ปอ. ประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๒๖๙/๔ ฐานใช้ หรือ มีไว้ใช้สิ่งใด ๆ ตาม ปอ.๒๖๙/๑ เพราะการท่ีจะผิด ปอ.๒๖๙/๔
ตอ้ งได้ความว่า ผู้กระทาได้มาโดยรู้ว่าเป็นของที่ปลอมหรือแปลงขึ้นเมอ่ื แดงเพิ่งทราบว่าบัตรทีต่ นเอง
เก็บได้เป็นบัตรปลอม แดงจึงไม่ผิด ปอ.๒๖๙/๔ (อ่านแล้วสับสนว่าตอบมาตรา ๒๖๙/๑ มาด้วย
หรอื ไม่ ซงึ่ ไมใ่ ชป่ ระเดน็ ให้เพยี ง ๑ คะแนน)

ความผิดตาม ปอ.๒๖๙/๕ ท่ีวา่ ผู้ใดใช้บัตรอิเล็กทรอนกิ ส์ของผู้อืน่ โดยมิชอบน้ันต้องเปน็ การ
ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ทเ่ี ปน็ บัตรที่แท้จริงของผู้อื่นโดยมิชอบเท่านั้น เม่ือขอ้ เท็จจริงพบว่า แดงใช้บัตร
เครดิตปลอมแทนเงินสดในการชาระค่าสินค้า แดงจึงไมผ่ ิด ปอ. ๒๖๙/๕ (ไม่ได้ตอบมาตรา ๒๖๙/๖

333

แตพ่ อใหไ้ ด้ ๒ คะแนน)
เมื่อแดงไม่มีความผิดใดใน ปอ.หมวดความผิดเก่ียวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ แม้ว่าบัตรเครดิต

เป็นท่ีผู้ออกได้ออกแก่ผู้มีสิทธิใช้ เพ่ือประโยชน์ในการชาระค่าสินค้าก็ตาม แดงจึงไม่ต้องระวางโทษ
หนักข้นึ ตาม ปอ.๒๖๙/๗

แต่การที่แดงย่ืนบัตรเครดิตปลอม ให้พนักงานเก็บเงิน พนักงานเก็บเงินก็นาบัตรรูดผ่าน
เครื่องรูดบัตร เมื่อเครื่องพิมพ์บันทึกรายการการใช้บัตรออกมา นายแดงก็ลงลายมือช่ือ ในใบบันทึก
รายการดังกล่าว เช่นเดียวกับลายมือชือ่ ด้านหลังบัตรปลอม แลว้ มอบให้พนักงานเกบ็ เงิน อันเป็นการ
ปลอมเอกสารโดยการลงลายมือช่ือปลอมในเอกสาร โดยประการที่ทาให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อ่ืน
หรอื ประชาชน เพื่อให้ผ้หู น่ึงผูใ้ ดเชอ่ื ว่าเป็นเอกสารแทจ้ ริง แดงจงึ ผิดตาม ปอ.ฐานปลอมเอกสาร และ
เม่ือลงช่ือแล้วแดงมอบให้กับพนักงานเก็บเงิน แดงจึงผิดฐานใช้เอกสารปลอม ปอ.๒๖๘ ด้วย
(๑ คะแนน)

สรุป แดง ผิดฐาน ลักทรัพย์ ปลอมเอกสาร และใช้เอกสารปลอม (รวมได้ ๖ คะแนน)
ตัวอยา่ งคาตอบที่ ๒ การกระทาของนายแดงมคี วามผดิ ดังนี้
บตั รเครดติ ปลอมเป็นทรพั ย์ของนายจมิ ทที่ าตกไว้ทีพ่ ื้นและนายจิมกาลังติดตามเอาคนื การที่
นายแดงเก็บบัตรเครดิตปลอมของนายจิมมาไว้โดยมีเจตนาเพื่อใช้ชาระราคาสินค้าจึงมีเจตนาทุจริต
เอาไปเสียซ่ึงทรัพย์ของผอู้ ื่นเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายอาญา ม. มาตรา ๓๓๔
(ไม่ไดต้ อบวา่ นายจมิ ยังครอบครองซึง่ เปน็ ประเด็นสาคญั ให้เพียง ๑ คะแนน) แตไ่ ม่ผิดฐานยกั ยอก
ทรัพยส์ นิ หายตาม ปอ ม.๓๕๒ วรรคสอง (๑ คะแนน)
บัตรเครดิตเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์เม่ือนายแดงรู้ว่าเป็นของปลอม แต่ยังนาไปใช้ชาระราคา
สินค้าจึงมีความผิดฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมเป็นความผิดตาม ปอ. ม.๒๖๙/๔ และเป็นการ
กระทาความผิดเก่ียวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ท่ีมีไว้เพ่ือใช้ประโยชน์ในการชาระค่าสินค้า บริการหรือ
หน้ีอ่นื แทนการชาระดว้ ยเงินสด ฯลฯ จงึ ต้องรบั โทษตาม ปอ ม.๒๖๙/๗
นายแดงลงลายมือช่ือในใบบันทึกรายการการใช้บัตรเครดิตเช่นเดียวกับลายมือช่ือด้านหลัง
บัตรเครดิตปลอมแล้วมอบให้พนักงานเก็บเงิน เป็นการปลอมเอกสารโดยประการที่น่าจะเกิดความ
เสียหายแก่ร้านค้าโดยเพ่ือให้พนักงานเก็บเงินหลงเช่อื ว่านายแดงเป็นเจา้ ของบัตรเครดิตดังกล่าวและ
ความผิดดังกล่าวไม่จาต้องมีบัตรเครดิตของแท้จริงอยู่ก็เป็นความผิดแล้วและเอกสารดังกล่าวเป็น
เอกสารท่กี ่อให้เกิดสิทธใิ นการเรียกเกบ็ เงินจากผู้ให้บริการบัตรเครดติ จงึ เปน็ เอกสารสทิ ธิ นายแดงจึง
มคี วามผดิ ฐานปลอมเอกสารสิทธติ าม ปอ.ม.๑(๗) ประกอบ ม.๒๖๕ , ม.๒๖๖(๔) เมื่อนายแดงย่นื ให้
พนักงานเก็บเงินไปเพื่อเป็นหลักฐานในการชาระราคาสินค้าจึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
ตาม ปอ. ม.๒๖๘ วรรคแรก เมื่อนายแดงเป็นผู้ปลอมเอกสารนั้นเอง จึงต้องรับผิดตาม ม.๒๖๘ แต่
กระทงเดยี ว (๑ คะแนน) (รวมได้ ๓ คะแนน พิจารณาในภาพรวมแล้วมีหลกั กฎหมายพอให้ได้ ๔
คะแนน)
ตัวอย่างคาตอบท่ี ๓ การท่ีนายจิมทาบัตรเครดิตตกไว้ท่ีพ้ืนแล้วกลับมาหา ถือว่านายจิม

334

ยังมิได้สละการครอบครองบัตรเครดิตดังกล่าว เมื่อนายแดงเก็บบัตรเครดิตของนายจิมเพ่ือจะเอาไป
ซ้ือสินค้าไว้ จึงเป็นการเอาบัตรเครดิตของนายจิมไปโดยทุจริต ตามมาตรา ๓๓๔ นายแดงผิดฐาน
ลกั ทรัพย์ (๒ คะแนน) มิใช่ยักยอกทรัพย์สินหายตามมาตรา ๓๕๒ ว.๒ วรรคสอง (๑ คะแนน) และ
ยังเป็นการเอาไปเสียซ่ึงเอกสารสิทธิตามมาตรา ๑๘๘ อีกกระทงหนึ่งเพราะบัตรเครดิตน้ันเป็น
เอกสารสทิ ธติ ามมาตรา ๑ (๙) (๑ คะแนน)

ต่อมานายแดงเพ่ิงทราบว่าบัตรเครดิตท่ีตนเก็บได้เป็นบัตรเครดิตปลอม นายแดงจึงรีบ
นาไปใช้ นายแดงจึงมีความผิดฐานใช้บัตรเครดิตซ่ึงเป็นเอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา ๒๖๘ (๐.๕
คะแนน) แต่ไม่ผิดฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมตามมาตรา ๒๖๙/๔ เพราะขณะที่ได้มานั้นนาย
แดงมิร้วู า่ เป็นบัตรอิเล็กทรอนกิ สป์ ลอม (๒ คะแนน)

ใบบันทึกรายการการใช้บตั รเครดิตนนั้ เป็นเอกสารสิทธิ การที่นายแดงลงลายมือชื่อปลอมใน
ใบบันทึกรายการเพื่อให้พนักงานหลงเชื่อว่านายแดงเป็นเจ้าของบัตรเครดิตท่ีแท้จริงนั้น ถือว่านาย
แดงกระทาการปลอมใบบันทึกรายการซ่ึงเป็นเอกสารสทิ ธิตามมาตรา ๒๖๕ ประกอบ ๒๖๔ และเม่ือ
นายแดงได้มอบใบบันทึกรายการให้แก่พนักงานเก็บเงิน นายแดงจึงผดิ ฐานใช้เอกสารสิทธปิ ลอมตาม
มาตรา ๒๖๘ อีกกระทงหน่ึงด้วย (๑ คะแนน) (รวม ๗.๕ คะแนน พิจารณาในภาพรวมแล้วให้ ๗
คะแนน)

ตวั อย่างคาตอบที่ ๔ ตามปัญหาวินิจฉยั ได้ดังนี้
บัตรเครดิตแม้เป็นของปลอมแต่ก็ถือได้ว่าเป็นทรัพย์และเป็นเอกสารของนายจิมท่ีทาตกไว้
ท่ีพื้นซ่ึงนายจิมกาลังติดตามเอาคืน การท่ีนายแดงเห็นเหตุการณ์และมีเจตนามาแต่แรกที่จะเก็บบัตร
เครดิตปลอมของนายจิมมาไว้เพื่อใช้ชาระราคาสินค้าจึงมีเจตนาทุจริตเอาไปเสียซ่ึง ทรัพย์ของผู้อื่น
เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.มาตรา ๓๓๔ (ไม่ได้ตอบว่านายจิมยัง
ครอบครองซ่ึงเป็นประเด็นสาคัญให้เพียง ๑ คะแนน) และเป็นความผิดฐานเอาไปเสียซ่ึงเอกสาร
ของผู้อ่ืนในประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อ่ืนหรือประชาชน ตาม ปอ. ม.มาตรา ๑๘๘ (๑
คะแนน) แต่ไม่ผิดฐานยักยอกทรัพย์สินหายตาม ปอ ม.๓๕๒วรรค๒ เพราะมิใช่เป็นการครอบครอง
ทรพั ย์ของผู้อน่ื (๐.๕ คะแนน) ไวก้ ่อนแลว้ มเี จตนาเบยี ดบงั เอาเป็นของตนในภายหลงั (๑ คะแนน)
บัตรเครดิตเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ตาม ปอ. ม.๑ (๑๔)(ก) และเป็นเอกสารตาม ปอ. ม.
๑ (๗) เมื่อนายแดงรู้ว่าเป็นของปลอมแต่ยังนาไปใช้ชาระราคาสินค้าจึงมีความผิดฐานใช้บัตร
อิเล็กทรอนิกส์ปลอมเป็นความผิดตาม ปอ. ม.๒๖๙/๔ และเป็นการกระทาความผิดเก่ียวกับบัตร
อิเล็กทรอนิกส์ที่มีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการชาระค่าสินค้า บริการหรือหน้ีอ่ืนแทนการชาระด้วย
เงินสด จึงต้องรับโทษตาม ปอ ม.๒๖๙/๗ นอกจากน้ียังเป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตาม
ม.๒๖๔ ประกอบม.๒๖๘วรรคแรกด้วย (๐.๕ คะแนน)
ใบบันทึกรายการการใช้บัตรเครดิตเป็นเอกสารสิทธิทก่ี ่อให้ร้านค้าเกดิ สิทธทิ ่ีจะเรียกเก็บเงิน
จากผู้ให้บ ริการบัตรเครดิตการท่ีน ายแดงลงลายมือช่ือในใบบั นทึ กรายการการใช้บัตรเครดิต
เช่นเดียวกบั ลายมือช่ือด้านหลังบัตรเครดิตปลอมแล้วมอบให้พนกั งานเก็บเงนิ เป็นการปลอมเอกสาร

335

สิทธิโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่รา้ นคา้ เพื่อให้พนักงานเกบ็ เงนิ หรอื ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่า
นายแดงเป็นเจ้าของบัตรเครดิตดังกล่าว นายแดงจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตาม ปอ.
ม.๑ (๙) ประกอบ ม.๒๖๕ เมื่อนายแดงยื่นให้พนักงานเก็บเงินไปเพ่ือเป็นหลักฐานในการชาระราคา
สินค้าจึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ตาม ปอ. ม.๒๖๘ วรรคแรก เมื่อนายแดงเป็นผู้ปลอม
เอกสารน้ันเอง จึงตอ้ งรับผดิ ตาม ม.๒๖๘ วรรค ๒ แตก่ ระทงเดียว (๑ คะแนน) (รวมได้ ๕ คะแนน)
ขอ้ สังเกต หำกเปลี่ยนข้อเท็จจรงิ เล็กน้อยจะเป็นควำมผิดเกี่ยวกบั บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ขอให้ดคู ำถำม
ข้อต่อไป

ข้อ ๖๕ คาถาม นายเอกเห็นนายโททาบัตรเครดิตตกไว้ท่ีพื้นในร้านค้า เมื่อนายโทเดินออก
จากร้านนายเอกแอบเก็บบัตรเครดิตดังกล่าวขึ้นมาและตั้งใจว่าจะเอาไปซื้อสินค้า สักครู่หนึ่งนายโท
เดินกลับมาท่ีร้านค้าและถามหาบัตรเครดิตท่ีทาตกหาย นายเอกจึงรีบนาบัตรเครดิตดังกล่าวไปใช้
แทนเงนิ สดในการชาระค่าสนิ คา้ โดยนายเอกย่ืนบัตรเครดิตให้พนกั งานเก็บเงนิ พนักงานเกบ็ เงนิ กน็ า
บัตรเครดิตรูดผ่านเครื่องรูดบัตร เม่ือเครื่องพิมพ์ใบบันทึกรายการการใช้บัตรเครดิตออกมา นายเอก
ลงลายมือช่ือในใบบันทึกรายการดังกล่าวเช่นเดียวกับลายมือชื่อด้านหลังบัตรเครดิตแล้วมอบให้
พนกั งานเกบ็ เงิน แล้วไดส้ ินค้าไป

ใหว้ ินิจฉยั วา่ นายเอกมคี วามผดิ ฐานใด
คาตอบ แม้นายโททาบัตรเครดิตตกไว้ที่พ้ืนไม่ได้ยึดถือบัตรเครดิตไว้ แต่เมื่อนายโทยังตาม
หาบัตรเครดิตอยู่ ต้องถือว่าบัตรเครดิตยังอยู่ในความครอบครองของนายโทไม่ใช่ทรัพย์สินหาย
การทน่ี ายเอกเกบ็ บัตรเครดิตของนายโทไป จึงไม่เปน็ การยักยอกทรัพย์สินหายตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๓๕๒ วรรคสอง แต่เป็นกรณีที่นายเอกแย่งการครอบครองบัตรเครดิตของนายโท
ต้องถือว่านายเอกเอาไปซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นโดยเจตนาทุจริต อันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตาม
มาตรา ๓๓๔ นอกจากน้ีบัตรเครดิตยังเป็นเอกสาร เพราะเป็นวัตถุซึ่งได้ทาให้ปรากฏความหมาย
ดว้ ยตวั อักษรและเป็นหลักฐานแห่งความหมายนั้นตามมาตรา ๑ (๗) การท่ีนายเอกเก็บบัตรเครดิต
ของนายโทไป จึงเป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่
ผู้อ่ืนหรือประชาชนตามมาตรา ๑๘๘ อีกบทหนึ่ง นอกจากน้ีบัตรเครดิตยังเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์
จึงเป็นความผิดฐานมีไว้เพื่อนาออกใช้ซ่ึงบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่
น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นตามมาตรา ๒๖๙/๖ เมื่อเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ท่ีผู้ออก
ได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้เพื่อประโยชน์ในการชาระค่าสินค้าแทนการชาระด้วยเงินสด ผู้กระทา
ตอ้ งระวางโทษหนกั กวา่ ที่บญั ญตั ไิ ว้ในมาตรานนั้ ๆ กึ่งหน่ึงตามมาตรา ๒๖๙/๗ อกี บทหน่งึ
การท่ีนายเอกยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานเก็บเงินใช้แทนเงินสดในการชาระค่าสินค้า ยังเป็น
ความผิดฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมชิ อบ ในประการทีน่ ่าจะกอ่ ใหเ้ กิดความเสียหาย
แก่ผู้อ่ืนหรือประชาชนตามมาตรา ๒๖๙/๕ เมื่อเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่
ผู้มีสิทธิใช้เพื่อประโยชน์ในการชาระค่าสินค้าแทนการชาระด้วยเงินสด ผู้กระทาต้องระวางโทษ

336

หนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ ก่ึงหนึ่งตามมาตรา ๒๖๙/๗ แต่ไม่เป็นการใช้เอกสารปลอม
ในประการท่ีนา่ จะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนตามมาตรา ๒๖๘ วรรคแรก เพราะเป็น
การใช้บัตรเครดิตท่ีแทจ้ รงิ

นอกจากน้ีการที่นายเอกลงลายมือช่ือในใบบันทึกรายการบัตรเครดิตเช่นเดียวกับลายมือชื่อ
ด้านหลังบัตรเครดิตปลอมแล้วมอบให้พนักงานเก็บเงินแล้วได้สินค้าไป เป็นการทาเอกสารสิทธิ
ปลอมด้วยการลงลายมือช่ือปลอมในเอกสารสิทธิ โดยประการท่ีน่าจะเสียหายแก่ผู้อ่ืนหรือ
ประชาชน เพื่อให้พนักงานเก็บเงินเชื่อว่าเป็นเอกสารท่ีแท้จริง จึงเป็นความผิดฐานทาเอกสาร
สิทธิปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา ๒๖๔ ประกอบมาตรา ๒๖๕ เม่ือนายเอกผู้ทา
เอกสารสิทธิปลอมเป็นผู้ใช้เอกสารสิทธิปลอม ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมแต่กระทงเดียว
ตามมาตรา ๒๖๘ วรรคสอง กับเป็นการกระทาโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความ
อนั เป็นเท็จแสดงตนเป็นบุคคลที่มีชื่อตามบัตรเครดิต และโดยการหลอกลวงน้ันได้ไปซึง่ ทรพั ย์สิน
จากผถู้ กู หลอกลวงอันเปน็ ความผดิ ตามมาตรา ๓๔๒ (๑) ประกอบมาตรา ๓๔๑
ข้อสังเกต หำกเปล่ียนข้อเท็จจริงจำกเอำบัตรเครดิตไปใช้ซื้อของ เปล่ียนเป็นเอำไปกดเงนิ จะเปล่ียน
จำกควำมผดิ ฐำนฉอ้ โกงและปลอมเอกสำรเป็นควำมผิดฐำนลกั ทรัพย์ขอให้ดูฎีกำตอ่ ไป

ฎีกาที่ ๔๖๔/๒๕๕๑ ฎ.๑๐๒ จาเลยลักบัตรอิเล็กทรอนิกส์ไปจากผู้เสียหาย แล้วนาไป
ลักเงินของผเู้ สยี หายโดยผ่านเคร่ืองฝาก-ถอนเงนิ อัตโนมัติ ทรัพย์ทจี่ าเลยลักเป็นทรัพย์คนละประเภท
และเป็นความผิดสาเร็จในตัวต่างกรรมต่างวาระ และอาศัยเจตนาแตกต่างแยกจากกันได้ ดังนั้น
การลักบัตรอเิ ล็กทรอนกิ สไ์ ปจากผ้เู สียหายกับลักเงินของผูเ้ สียหายโดยใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์เบิกถอน
เงินผ่านเครื่องฝาก-ถอนอัตโนมัตใิ นแตล่ ะครั้งจึงเป็นความผิดสองกรรมตา่ งกัน
ข้อสังเกต ตำมคำพิพำกษำฎีกำน้ีกำรลักบัตรในกำรกระทำแรกศำลไม่ได้วินิจฉัยว่ำบำงข้อหำ เพรำะ
โจทก์ไม่ได้ฟ้อง ศำลไม่อำจลงโทษได้ แต่ถ้ำนำข้อเท็จจริงนี้มำออกเป็นข้อสอบ นักศึกษำต้องตอบว่ำ
กำรลักบัตรตอนแรกเป็นกำรลักทรัพย์ เอำไปเสียซึ่งเอกสำร และมีบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่สำมำรถ
เบิกถอนเงินสดของผู้อ่ืนไว้เพื่อใช้โดยมิชอบกรรมหนึ่ง กำรนำบัตรไปกดเงิน ๒ คร้ัง เป็นกำรใช้บัตร
อเิ ลก็ ทรอนิกส์โดยไมช่ อบและลกั ทรพั ย์อีก ๒ กรรม รวมเปน็ ควำมผดิ ๓ กรรม

ฎีกาท่ี ๒๕๑๒/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๕ น.๖๒ โจทก์ฟ้องจาเลยแยกเป็น ๒ ข้อ คือ ข้อ ๑.๑ และ
ข้อ ๑.๒ การกระทาตามที่บรรยายฟ้องมาแต่ละข้อเป็นความผิดสาเร็จในตัวเอง โดยโจทก์บรรยาย
ฟ้องข้อ ๑.๑ ว่า จาเลยได้ลักทรัพย์และเอาไปเสียซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคาร ก. ท่ีออกให้แก่
ผู้เสียหายไปโดยทุจริต ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย ธนาคาร ก. ผู้อื่นและ
ประชาชน ความผิดดังกล่าวย่อมสาเร็จเมื่อจาเลยลักเอาบัตรดังกล่าวไป และโจทก์ได้บรรยายฟ้อง
ข้อ ๑.๒ ว่าภายหลังการกระทาความผิดตามฟ้องข้อ ๑.๑ แล้ว จาเลยได้นาบัตรอิเล็กทรอนิกส์
ดังกล่าวไปใช้ลักทรัพย์เบิกถอนโอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายโดยทุจริต ในประการที่
น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย ธนาคาร ก. ผู้อื่นและประชาชน ดังน้ี การกระทาของจาเลยใน
ขอ้ ๑.๒ จึงเป็นคนละวาระกันกับการกระทาความผิดตามฟ้องข้อ ๑.๑ ท้ังทรัพย์ที่ได้จากการกระทา

337

ความผิดก็แตกต่างกัน กล่าวคือ ทรัพย์ที่ได้จากการกระทาความผิดตามฟ้องข้อ ๑.๑ คือ
บัตรอิเล็กทรอนิกส์ แต่ทรัพย์ท่ีได้จากการกระทาความผิดตามฟ้องข้อ ๑.๒ คือเงินจานวน ๙๒,๖๔๐
บาท เมื่อจาเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง จึงถือได้ว่าจาเลยกระทาความผิดโดยมีเจตนาต่างกัน
การกระทาของจาเลยยอ่ มเป็นความผิดหลายกรรม หาใช่กรรมเดยี วดังท่จี าเลยฎีกาไม่

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๒๖๙/๘

ฎีกาท่ี ๑๐๙๔/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล.๒ น.๕๑ การที่จาเลยกับพวกร่วมกันเอาไปเสียซึ่งหนังสือ
เดินทางประเทศออสเตรเลียและปลอมหนังสือเดินทางเล่มดังกล่าว โดยนารูปถ่ายของจาเลยมาติด
แทนภาพของผู้มีชื่อในหนังสือเดินทาง จากนั้นจาเลยกับพวกได้ปลอมรอยตราประทับบันทึกการ
ตรวจอนุญาตให้คนเดินทางออกนอกราชอาณาจักรของเจ้าพนกั งานตารวจตรวจคนเข้าเมอื ง เป็นการ
กระทาที่เก่ียวเน่ืองเชื่อมโยงโดยมีเจตนาเดียวกันคือ เพื่อให้จาเลยออกนอกราชอาณาจักร ความผิด
ฐานเอาไปเสียซ่ึงเอกสารของผู้อื่นและความผิดฐานปลอมเอกสารกับปลอมเอกสารราชการ จึงเป็น
กรรมเดยี วเป็นความผิดตอ่ กฎหมายหลายบท
หมายเหตุ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่ำจำเลยปลอมหนังสือเดินทำงระหว่ำงวันที่ ๑ ตุลำคม ๒๕๔๘ ถึงวันที่ ๑
มิถุนำยน ๒๕๔๙ ขณะน้ันพระรำชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมำยอำญำ (ฉบับท่ี ๑๘) พ.ศ.
๒๕๕๐ ซึ่งให้เพ่ิมบทบัญญัติในหมวด ๕ ควำมผิดเกี่ยวกับหนังสือเดินทำงยังไม่ใช้บังคับ พนักงำน
อัยกำรจึงไม่ได้ฟ้องข้อหำปลอมหนังสือเดินทำงตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๒๖๙/๘ แต่ถ้ำ
ผู้ใดกระทำควำมผิดเช่นเดียวกับคดีนี้ตั้งแต่วันท่ี ๑๖ สิงหำคม ๒๕๕๐ ซึ่งพระรำชบัญญัติแก้ไข
เพิ่มเติมประมวลกฎหมำยอำญำ (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๕๐ ใช้บังคับแล้ว กำรกระทำดังกล่ำวจะเป็น
ควำมผิดข้อหำปลอมหนังสือเดินทำงตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๒๖๙/๘ ด้วย อีกบทหนึ่ง
ซึง่ จะเปน็ บทที่มีโทษหนักท่สี ดุ

สมชำย พงษพ์ ฒั นำศลิ ป์

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๒๗๑

ฎีกาท่ี ๒๗๐๖/๒๕๕๙ ฎ.๕๒๓ คาว่า “ของ” ตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๑ ซ่ึงเป็นความผิด
เก่ียวกับการค้า ก็คือสินค้า ซึ่งสินค้าต้องเป็นทรัพย์สินท่ีมีการซ้ือ ขาย แลกเปลี่ยน ให้ และ
“ทรัพย์สิน” หมายความรวมท้ังทรัพย์และวัตถุที่ไม่มีรูปร่างซึ่งอาจมีราคาและถือเอาได้ตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๘ สินค้าและบริการบา้ นจดั สรรจึงเปน็ “ของ” ตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๑
ข้อสังเกต คำว่ำ “ของ” ตำมมำตรำ ๒๗๑ ศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทิย์ เห็นว่ำ หมำยควำมถึง
สงั หำริมทรัพย์เท่ำนนั้ ไม่หมำยควำมถงึ อสงั หำรมิ ทรัพย์ ดูเพ่ิมเติมใน จิตติ ตงิ ศภัทิย.์ กฎหมำยอำญำ
ภำค ๒ ตอน ๑. พิมพ์คร้ังท่ี ๘ กรุงเทพ : สำนักอบรมศึกษำกฎหมำยแห่งเนติบัณฑิตยสภำ, ๒๕๔๘

338

หัวขอ้ ๙๑๘ แตถ่ ้ำออกขอ้ สอบผู้ชว่ ยฯหรือเนตฯิ คงตอ้ งตอบตำมฎกี ำ
ฎีกาท่ี ๓๓๕๑/๒๕๔๒ ฎ.๑๗๕๔ จาเลยส่งไข่ผงที่เสื่อมคุณภาพแล้วให้โจทก์ร่วม

โดยหลอกลวงโจทก์ร่วมด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จวา่ ไข่ผงดังกล่าวเป็นนมผงตามท่ีโจทก์ร่วม
ส่ังซ้ือ เพื่อหวังจะได้เงนิ จากโจทก์ร่วมอันเป็นการกระทาโดยเจตนาทุจรติ แต่โจทก์ร่วมยังไม่ได้ชาระ
เงินให้จาเลย การกระทาของจาเลยเป็นความผิดฐานพยายามฉ้อโกง แต่ไม่เป็นความผิดฐานขายของ
โดยหลอกลวงตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๑

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๒๗๒

ฎีกาที่ ๑๓๕๘๔/๒๕๕๘ ฎ.๑๙๖๔ การเอาช่ือ รูป รอยประดิษฐ์ท่ีเป็นเคร่ืองหมายการค้า
ของผู้เสียหายที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วในราชอาณาจักรมาใช้ ถือได้ว่าเป็นการที่จาเลยท้ังสอง
ใช้เคร่ืองหมายการค้าท่ีได้จดทะเบียนไว้แล้วในราชอาณ าจักรของผู้เสียหายกับสินค้าของจาเลย
ทั้งสอง โดยมีเจตนาเพื่อให้ประชาชนหลงเช่ือว่าสินค้าที่อยู่ในซองถุงลมกันกระแทกดังกล่าวเป็น
สินค้าของผู้เสียหาย โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของเคร่ืองหมายการค้านั้น
การกระทาของจาเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานปลอมเครื่องหมายการค้าของบุคคลอ่ืนท่ีได้จด
ทะเบียนไว้แล้วในราชอาณาจักรตามที่ พ.ร.บ. เคร่ืองหมายการค้าฯ มาตรา ๑๐๘ บัญญัติไว้เป็น
ความผิดโดยเฉพาะแล้ว ดังนี้ การเอาช่ือ รูป รอยประดิษฐ์ท่ีเป็นเครื่องหมายการค้าของบุคคลอ่นื มา
ใช้โดยทาให้ปรากฏท่ีหีบห่อบรรจุสินค้าเพื่อให้ประชาชนหลงเช่ือว่าเป็นสินค้าของผู้อื่นอันจะเป็น
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๒ (๑) น้ันต้องเป็นการเอาช่ือ รูป รอยประดิษฐ์ท่ีเป็นเคร่ืองหมาย
การค้าที่ยังไม่ได้จดทะเบียนในราชอาณาจักรมาใช้เท่าน้ัน เพราะหากเป็นเคร่ืองหมายการค้าที่ได้รับ
การจดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร การกระทาดังกล่าวจะเป็นความผิดฐานปลอมเครื่องหมาย
การค้าดังที่ พ.ร.บ. เครอ่ื งหมายการค้าฯ มาตรา ๑๐๘ ได้บัญญัติไว้เป็นบทเฉพาะอยู่แล้ว บทบัญญัติ
ป.อ. มาตรา ๒๗๒ (๑) จึงมีวัตถุประสงคใ์ ห้ความคุ้มครองแก่ชอ่ื รูป รอยประดิษฐ์หรือขอ้ ความท่ีเป็น
เครื่องหมายการค้าเฉพาะท่ีเป็นเครอื่ งหมายการค้าที่ยังไม่ได้จดทะเบียน เมื่อเครื่องหมายการค้าของ
ผ้เู สยี หายดงั กลา่ วเป็นเครอื่ งหมายการค้าท่ไี ด้จดทะเบียนไวแ้ ลว้ ในราชอาณาจักร การกระทาดังกลา่ ว
จึงไม่อาจเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๒ (๑) ได้

ฎีกาท่ี ๘๙๙๕/๒๕๖๐ องค์ประกอบความผิดของ ป.อ. มาตรา ๒๗๒ (๑) จะต้องเป็นการ
เอาช่ือ รูป รอยประดิษฐ์หรือข้อความใด ๆ ในการประกอบการค้าของผู้อ่ืนมาใช้ และมาตรา ๒๗๕
เป็นการจาหน่ายหรือเสนอจาหน่ายซ่ึงสินค้าอันเปน็ สินค้าที่มีช่ือ รูป รอยประดิษฐห์ รือข้อความใด ๆ
ดังบัญญัติไว้ในมาตรา ๒๗๒ (๑) โดยจะต้องเป็นการนามาใช้ในชื่อหรือข้อความเดียวกันหรือในรูป
รอยประดษิ ฐ์ทต่ี ั้งใจใหเ้ หมอื นกันในลกั ษณะปลอม ไมใ่ ช่เพยี งแตเ่ ลยี นแบบ เมอ่ื พิจารณาเปรียบเทยี บ
เครื่องหมายการคา้ ของโจทก์กับเครื่องหมายการคา้ ของจาเลยทงั้ สอง จะเหน็ ไดว้ ่าไมเ่ หมือนกัน

339

จึงฟังไม่ได้ว่าจาเลยท้ังสองนาเคร่ืองหมายการค้าของโจทก์มาใช้เป็นช่ือ รูป รอยประดิษฐ์หรือ
ข้อความใด ๆ ในการประกอบการค้าของจาเลยท้ังสอง การกระทาของจาเลยท้ังสองจึงไม่เป็น
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๒ (๑) เม่ือไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๒๗๒ (๑) แม้จาเลยท้ังสอง
จาหน่ายหรือเสนอจาหน่ายซงึ่ สินค้าดังกล่าว จาเลยทั้งสองก็ไมม่ ีความผดิ ตามมาตรา ๒๗๕ ประกอบ
มาตรา ๒๗๒ (๑) อกี เชน่ กนั

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๒๗๓

ฎีกาที่ ๒๖๖๒/๒๕๕๙ ความผิดตาม พ.ร.บ. เคร่ืองหมายการค้าฯ มาตรา ๑๑๐ (๑)
ประกอบมาตรา ๑๐๘ บัญญัติให้เฉพาะการเสนอจาหน่ายสินค้าท่ีมีเคร่ืองหมายการค้าปลอม
เคร่ืองหมายการคา้ ของผู้อื่นซึ่งได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักรเท่าน้ันเป็นความผิดทางอาญา โดย
มิได้คุ้มครองสิทธิของเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วนอกราชอาณาจักร ส่วนการ
เสนอจาหน่ายสินคา้ ทม่ี ีเครอ่ื งหมายการค้าปลอมเครอื่ งหมายการคา้ ของผู้อนื่ ซงึ่ ได้จดทะเบียนไว้นอก
ราชอาณาจักร จะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๕ ประกอบมาตรา ๒๗๓ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า
จาเลยกระทาความผิดฐานจาหน่าย เสนอจาหน่าย หรือมีไว้เพ่ือจาหน่ายซึ่งสินค้าท่ีมีเครื่องหมาย
การค้าปลอมเคร่ืองหมายการค้าของผู้เสียหายที่ ๑ ถึงท่ี ๖ ท่ีจดทะเบียนไว้แล้วในราชอาณาจักร
และของผเู้ สียหายที่ ๗ ที่ได้จดทะเบียนไวแ้ ลว้ นอกราชอาณาจักร เม่ือคดีน้มี ีท้ังสินค้าที่มเี คร่ืองหมาย
การค้าปลอมของผู้อ่ืนท่ีได้จดทะเบียนไว้แล้วท้ังในราชอาณาจักรและนอกราชอาณาจกั ร การกระทา
ของจาเลยในส่วนของการจาหน่ายสินค้าท่ีมีเคร่ืองหมายการค้าปลอมเคร่ืองหมายการค้าจดทะเบียน
ในราชอาณาจกั รของผู้เสียหายที่ ๑ ถึงท่ี ๖ จงึ เป็นความผิดฐานจาหนา่ ยและเสนอจาหน่ายสินคา้ ที่มี
เครื่องหมายการค้าปลอมของบุคคลอ่ืนที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วในราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.
เครือ่ งหมายการค้าฯ มาตรา ๑๑๐ (๑) ประกอบมาตรา ๑๐๘ ส่วนการกระทาของจาเลยในส่วนของ
การจาหน่ายสินค้าท่ีมีเคร่ืองหมายการค้าปลอมเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายท่ี ๗ เป็นความผิด
ตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๕ ประกอบมาตรา ๒๗๓ อกี บทหนง่ึ ต่างหาก

340

ความผดิ เกีย่ วกับเพศ

การแก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญาตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล
กฎหมายอาญา (ฉบับท่ี ๒๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ (ราชกิจจานุเบกษาวันท่ี ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒) มีผล
บังคับใช้ต้ังแต่วันท่ี ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ได้แก้ไขเพ่ิมเติมบทบัญญัติความผิดเก่ียวกับ
เพศโดยมเี หตผุ ลในการประกาศใชพ้ ระราชบัญญตั ิฉบับนี้ คอื โดยท่เี ปน็ การสมควรปรับปรงุ บทนิยาม
คาว่า “กระทาชาเรา” ในบทบัญญัติความผิดเก่ียวกับเพศและบทบัญญัติความผิดเก่ียวกับศพ
ในประมวลกฎหมายอาญาให้ชัดเจนและสอดคล้องกับลักษณะการกระทาชาเราตามธรรมชาติ และ
ปรับปรุงบทบัญญัติความผิดเกี่ยวกับเพศบางประการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย
และเพ่ือให้ความคุ้มครองบุคคลซ่ึงถูกกระทาทางเพศกลุ่มต่าง ๆ มากย่ิงข้ึน เช่น เด็ก ผู้อยู่ภายใต้
อานาจของผู้กระทา และผซู้ ึ่งไม่สามารถปกป้องตนเองได้ อีกท้ังเพ่ือป้องปรามมใิ ห้มีการกระทาที่เป็น
การเอาเปรียบหรือรับประโยชน์จากผู้ซ่ึงค้าประเวณีหรือจากการค้าประเวณี โดยแก้ไขมาตรา
ดังตอ่ ไปนี้

๑. เพิ่มบทนยิ าม มาตรา ๑ (๑๘) ดังนี้
มาตรา ๑ (๑๘) “กระทาชาเรา” หมายความว่า กระทาเพื่อสนองความใคร่ของผูก้ ระทา
โดยการใชอ้ วยั วะเพศของผกู้ ระทาล่วงล้าอวัยวะเพศ ทวารหนกั หรอื ช่องปากของผ้อู น่ื
มำตรำ ๒๗๖ วรรคสอง เดิม บัญญัติว่ำ กำรกระทำชำเรำตำมวรรคหน่ึง หมำยควำมว่ำ
กำรกระทำเพื่อสนองควำมใคร่ของผู้กระทำโดยกำรใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับอวัยวะเพศ
ทวำรหนัก หรือช่องปำกของผู้อ่ืน หรือกำรใช้ส่ิงอ่ืนใดกระทำกับอวัยวะเพศหรือทวำรหนักของผู้อ่ืน
ศาลฎกี าตัดสินไวต้ ามฎีกาท่ี ๕๔๔๘/๒๕๕๗, ท่ี ๖๗๗๕/๒๕๕๗ ว่าต้องมีการใช้อวัยวะเพศของจาเลย
สอดใส่ลว่ งล้าเข้าไปในอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้เสียหาย หากไม่มีการใช้อวัยวะเพศ
ของจาเลยสอดใส่ล่วงล้าเข้าไปในอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้เสียหาย เช่น ใช้อวัยวะ
เพศของจาเลยถูไถเสียดสีอวยั วะเพศของผู้เสียหาย เป็นเพียงการกระทาอนาจาร เม่ือศาลฎีกาตัดสิน
ข้อกฎหมายไว้ดังกล่าวแล้ว จึงแก้กฎหมายให้มีข้อความตรงตามแนวที่ศาลฎีกาตัดสินไว้ โดยเปลี่ยน
บทนยิ ามจากคาวา่ “กระทากบั ” เปน็ “ลว่ งล้า”
กำรกระทำตำมกฎหมำยเดิม คือ ผู้กระทำ ๑. ใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำ หรือ ๒. ใช้สิ่งอื่น
ใดของผู้กระทำ เช่น น้ิว ลิ้น ช่องปำก ของผู้กระทำล่วงล้ำอวัยวะเพศ ทวำรหนัก หรือช่องปำกของ
ผู้อ่ืน แต่ตามกฎหมายใหม่บัญญัติว่าผู้กระทาใช้อวัยวะเพศของผู้กระทา (โดยตัดคาว่า “ใช้สิ่งอ่ืนใด
ของผู้กระทา” ออก) ล่วงล้าอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรอื ช่องปากของผอู้ ื่นเท่านัน้ ดังน้นั กำรท่ีจำเลย
ใช้ปำกอม (ฎีกำที่ ๖๓๒๓/๒๕๕๗) ใช้ล้ินล่วงล้ำ (ฎีกำท่ี ๖๑๖๔/๒๕๕๕) ใช้นิ้วมือสอดใส่ (ฎีกำที่
๕๘๒๘/๒๕๕๘, ท่ี ๑๓๙๘๘/๒๕๕๗, ท่ี ๙๘๒๙/๒๕๕๖) อวัยวะเพศของผู้เสียหำย เป็นกำรกระทำ
ชำเรำตำมกฎหมำยเดิม แต่ปัจจุบันจะเป็นเพียงการกระทาอนาจาร เพราะการกระทาดังกล่าวไม่ใช่
การใช้อวยั วะเพศของผ้กู ระทาล่วงล้าอวยั วะเพศ ทวารหนัก หรือชอ่ งปากของผ้อู ่ืนแลว้ อยา่ งไรก็ตาม

341

การกระทาอนาจารโดยใช้ส่ิงอื่นใดของผู้กระทาล่วงล้าอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่น แม้จะ
ไม่เป็นการกระทาชาเราตามกฎหมายใหม่ แต่ก็เป็นการกระทาอนาจารท่ีมีพฤติการณ์ร้ายแรงกว่า
การกระทาอนาจารท่ัวไป จึงมีการแก้ไขกฎหมายให้มีอัตราโทษเท่ากับการข่มขืนกระทาชาเรา
กล่าวคือ โทษของความผิดฐานข่มขืนกระทาชาเราตามมาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง เท่ากับโทษของการ
กระทาอนาจารโดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอ่ืนล่วงล้าอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่นตามมาตรา ๒๗๘
วรรคสอง หรือโทษความผิดฐานกระทาชาเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีตามมาตรา ๒๗๗ วรรคหนึ่ง
เท่ากับโทษของการกระทาอนาจารเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอ่ืนล่วงล้า
อวยั วะเพศหรือทวารหนกั ของเด็กตามมาตรา ๒๗๘ วรรคสี่ เป็นต้น

ที่กฎหมายใหม่ใช้คาว่า “โดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทาล่วงล้าอวัยวะเพศ ทวารหนัก
หรือช่องปากของผู้อ่ืน” มีปัญหาว่าการกระทาในสภาพ active (เช่น จาเลยใช้อวัยวะเพศของจาเลย
ลว่ งลา้ อวัยวะเพศของผู้เสยี หาย) เท่าน้ันท่ีจะเป็นการกระทาชาเรา หรือการกระทาในสภาพ passive
(เช่น จาเลยบังคับให้เด็กหญิงเป็นผู้อมอวัยวะเพศของจาเลย) ก็เป็นการกระทาชาเราตามกฎหมาย
ใหมไ่ ด้ด้วย ปัญหานี้ศาลฎีกาเคยตดั สินไวต้ ามกฎหมายเดิมว่า แม้ผู้กระทาความผิดมิได้ใช้อวัยวะเพศ
ของตนล่วงล้าเข้าไปในช่องปากของเด็กหญิง แต่ผู้กระทาบังคับให้เด็กหญิงเป็นผู้อมอวัยวะเพศ
ของจาเลย เท่ากับจาเลยใช้อวัยวะเพศของผู้กระทากระทากับช่องปากของเด็กหญิง จึงเป็น
การกระทาชาเราตามความหมายของมาตรา ๒๗๗ วรรคสอง เดิม (ฎีกาท่ี ๑๕๓๐๙/๒๕๕๓,
ท่ี ๔๙๐๙-๔๙๑๐/๒๕๕๕) จากฎีกาดังกล่าวแสดงว่าแม้อวัยวะเพศของจาเลยจะอยู่ในสภาพ
passive ก็เป็นการกระทาชาเราได้ ซ่ึงฎีกานี้ยังคงใช้เป็นบรรทัดฐานได้ว่าการกระทาในสภาพ
passive และการกระทาในสภาพ active ก็เป็นการกระทาชาเราทั้งตามกฎหมายเดิมและกฎหมาย
ใหม่

วัตถุแห่งการกระทา คือ อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อ่ืน ดังน้ัน หากชายใช้
อวัยวะเพศล่วงล้า ๑. อวัยวะเพศ (ของหญิง) ๒. ทวารหนัก (ของหญิงและชาย) หรือ ๓. ช่องปาก
(ของหญิงและชาย) ยังถือว่าเป็นการกระทาชาเราตามกฎหมายใหม่ด้วย มีข้อสังเกตว่า หากจาเลย
บังคับให้ผู้เสียหายอมอวัยวะเพศของจาเลย เป็นการกระทาชาเราตามกฎหมายใหม่ เพราะเป็น
การใช้อวัยวะเพศของผกู้ ระทาล่วงล้าชอ่ งปากของผ้อู ่ืนดังท่กี ล่าวมาแล้วตามฎกี าที่ ๑๕๓๐๙/๒๕๕๓,
ที่ ๔๙๐๙-๔๙๑๐/๒๕๕๕ แต่ถ้าจาเลยเป็นฝ่ายอมอวัยวะเพศของผู้เสียหาย จะไม่เป็นการกระทา
ชาเราตามกฎหมายใหม่ เพราะการใช้ปากไมใ่ ช่การใช้อวัยวะเพศของผู้กระทาล่วงล้าอวัยวะเพศของ
ผ้อู ื่น แตจ่ ะเป็นการกระทาอนาจารโดยใชส้ ิง่ อ่นื ใดของผู้กระทาล่วงลา้ อวยั วะเพศของผู้อน่ื

หญิงก็สามารถกระทาชาเราชายได้ เช่น หญิงปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศของเด็กชายอายุยัง
ไม่เกินสิบห้าปี แล้วหญิงใช้อวัยวะเพศล่วงล้าอวัยวะเพศเด็กชาย เป็นต้น (ดูเพิ่มเติมในศาสตราจารย์
ดร. เกียรตขิ จร วัจนะสวัสดิ์, กฎหมายอาญาภาคความผดิ เลม่ ๒, พิมพ์ครั้งที่ ๖, กรงุ เทพฯ, ๒๕๕๗.
ใบแทรกหน้า ๕๒๙)

342

๒. แก้ไขเพมิ่ เติมมาตรา ๒๗๖ ดังน้ี
มาตรา ๒๗๖ ผู้ใดข่มขืนกระทาชาเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กาลัง
ประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะท่ีไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทาให้ผู้อ่ืนน้ันเข้าใจผิดว่าตน
เป็นบุคคลอืน่ ต้องระวางโทษจาคุกตง้ั แต่ส่ีปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทถงึ ส่ีแสนบาท
ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคหน่ึง ได้กระทาโดยทาให้ผู้ถูกกระทาเข้าใจว่าผู้กระทามี
อาวธุ ปนื หรอื วัตถรุ ะเบิด ตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แต่เจด็ ปีถงึ ย่ีสิบปี และปรับตั้งแต่หนงึ่ แสนสห่ี ม่ืน
บาทถงึ ส่ีแสนบาท
ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคหน่ึง ได้กระทาโดยมีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดย
ใช้อาวุธ หรือโดยร่วมกระทาความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือกระทากับชาย
ในลักษณะเดียวกัน ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามแสนบาทถึง
สีแ่ สนบาท หรอื จาคุกตลอดชวี ิต
ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นกระทาความผิดระหว่างคู่สมรส และคู่สมรส
นนั้ ยังประสงค์จะอยู่กินดว้ ยกันฉันสามีภริยา ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกาหนดไว้เพียงใด
ก็ได้ หรือจะกาหนดเง่ือนไขเพื่อคุมความประพฤติแทนการลงโทษก็ได้ ในกรณีที่ศาลมี
คาพิพากษาให้ลงโทษจาคุก และค่สู มรสฝา่ ยใดฝ่ายหน่งึ ไม่ประสงคจ์ ะอยกู่ ินดว้ ยกันฉนั สามีภริยา
ตอ่ ไปและประสงค์จะหย่า ให้คู่สมรสฝ่ายนน้ั แจ้งให้ศาลทราบ และให้ศาลแจ้งพนักงานอัยการให้
ดาเนินการฟอ้ งหยา่ ให้
มาตรา ๒๗๖ วรรคหนงึ่ เหมอื นกฎหมายเดิม
มาตรา ๒๗๖ วรรคสอง บัญญัติเหตุฉกรรจ์ข้ึนใหม่ คือ กระทาโดยทาให้ผถู้ ูกกระทาเข้าใจว่า
ผู้กระทามีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด เช่น พูดขู่ว่าตนมีปืนหรือระเบิด หรือหาอย่างอื่นมาเหน็บที่เอว
ให้เหมือนมีปืนเหน็บอยู่แล้วตบบริเวณดังกล่าวให้ผู้เสียหายดู เป็นต้น โดยผู้กระทาต้องไม่มีอาวุธปืน
หรือวัตถุระเบิดติดตัวมา เพียงแต่ทาให้ผู้ถูกกระทาเข้าใจว่าผู้กระทามีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด
ก็พอแล้ว เพราะถ้ามอี าวธุ ปืนหรือวตั ถรุ ะเบิดติดตวั มาจะเป็นเหตฉุ กรรจต์ ามมาตรา ๒๗๖ วรรคสาม
มาตรา ๒๗๖ วรรคสาม ก็เป็นเหตุฉกรรจ์เพิ่มเติม ดังนี้ ๑. มีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด แม้
จะไม่ได้ใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิดก็เป็นเหตุฉกรรจ์แล้ว ๒. โดยใช้อาวุธ อาจจะเปน็ การใช้อาวุธปืน
หรือวัตถุระเบิดหรืออาวุธอ่ืนใดก็ได้ แต่ถ้ามีอาวุธมีดแล้วไม่ได้ใช้อาวุธมีดขู่เข็ญในการข่มขืนกระทา
ชาเรา ก็จะไม่เป็นเหตุฉกรรจ์ตามวรรคสาม เพราะอาวุธอื่นต้องใช้กระทาจึงจะเป็นเหตุฉกรรจ์
ต่างจากอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด เพียงแต่มีก็เป็นเหตุฉกรรจ์แม้จะไม่ได้ใช้ ๓. โดยร่วมกระทา
ความผดิ ดว้ ยกนั อนั มลี ักษณะเปน็ การโทรมหญิงหรอื ชายซง่ึ เหมือนกฎหมายเดมิ
มาตรา ๒๗๖ วรรคสี่ เหมือนกฎหมายเดมิ

๓. แกไ้ ขเพิม่ เตมิ มาตรา ๒๗๗ ดงั น้ี
มาตรา ๒๗๗ ผู้ใดกระทาชาเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซ่ึงมิใช่ภริยาหรือสามีของตน
โดยเด็กน้ันจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับต้ังแต่

343

หนง่ึ แสนบาทถึงสีแ่ สนบาท
ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นการกระทาแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี

ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี และปรับต้ังแต่หน่ึงแสนสี่หมื่นบาทถึงสี่แสนบาท หรือ
จาคุกตลอดชีวิต

ถา้ การกระทาความผดิ ตามวรรคหนงึ่ หรอื วรรคสอง ได้กระทาโดยทาให้ผู้ถูกกระทาเขา้ ใจ
ว่าผู้กระทามีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด ต้องระวางโทษจาคุกต้ังแต่สิบปีถึงยี่สิบปี และปรับต้ังแต่
สองแสนบาทถึงสแ่ี สนบาท หรอื จาคกุ ตลอดชีวิต

ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคหน่ึงหรือวรรคสอง ได้กระทาโดยมีอาวุธปืนหรือวัตถุ
ระเบิด หรือโดยใช้อาวุธ หรือโดยร่วมกระทาความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง
หรือกระทากับเดก็ ชายในลกั ษณะเดยี วกัน ตอ้ งระวางโทษจาคุกตลอดชวี ิต

ความผิดตามท่ีบัญญัติไว้ในวรรคหน่ึง ถ้าเป็นการกระทาโดยบุคคลอายุไม่เกินสิบแปดปี
กระทาต่อเด็กซ่ึงมีอายุกว่าสิบสามปีแต่ยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กน้ันยินยอม ศาลท่ีมีอานาจ
พิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวจะพิจารณาให้มีการคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กผู้ถูกกระทา
หรือผู้กระทาความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็กแทนการลงโทษก็ได้ ในการพิจารณา
ของศาล ให้คานึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะ
แห่งจิต นิสัย อาชีพ ส่ิงแวดล้อมของผู้กระทาความผิดและเด็กผู้ถูกกระทา ความสมั พันธ์ระหว่าง
ผ้กู ระทาความผดิ กับเด็กผู้ถูกกระทา หรือเหตอุ ่ืนอนั ควรเพ่ือประโยชนข์ องเดก็ ผถู้ ูกกระทาด้วย

ในกรณีท่ีได้มีการดาเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กผู้ถูกกระทาหรือผู้กระทา
ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็กแล้ว ผู้กระทาความผิดไม่ต้องรับโทษ แต่ถ้าการ
คมุ้ ครองสวัสดิภาพดังกล่าวไม่สาเรจ็ ศาลจะลงโทษผู้กระทาความผิดน้อยกว่าที่กฎหมายกาหนด
ไวส้ าหรบั ความผดิ น้ันเพยี งใดกไ็ ด้ ในการพจิ ารณาของศาล ใหค้ านึงถงึ เหตุตามวรรคหา้ ดว้ ย

มาตรา ๒๗๗ วรรคหนึ่ง องค์ประกอบความผิดเหมือนกฎหมายเดิม แก้ไขเฉพาะโทษ แต่มี
ข้อสังเกต คือ มาตรา ๒๗๗ วรรคหนึ่ง (เดิม) และที่แก้ไขใหม่ได้บัญญัติไว้เหมือนกันว่า
“ผู้ถูกกระทา” จะต้องไม่ใช่ภริยาหรือสามีของ “ผู้กระทา” ซ่ึงหมายความว่า หากภริยาซ่ึงอายุ
“ยังไม่เกินสิบห้าปี” ยินยอมให้สามีกระทาชาเรา การกระทาของสามีย่อมไม่ป็นความผิดตามมาตรา
๒๗๗ วรรคหนึ่ง (ทั้งตามกฎหมายเดมิ และกฎหมายใหม่) อยา่ งไรกต็ าม หากภริยาไมย่ ินยอมและสามี
ข่มขืนกระทาชาเราภริยา สามีมีความผิดตามมาตรา ๒๗๖ วรรคหน่ึง (ทั้งตามกฎหมายเดิมและ
กฎหมายใหม)่ (ดูเพมิ่ เตมิ ใน ศาสตราจารย์ ดร. เกียรตขิ จร วจั นะสวัสดิ์, กฎหมายอาญาภาคความผิด
เลม่ ๒, พิมพค์ รั้งที่ ๖, กรงุ เทพฯ, ๒๕๕๗. หนา้ ๔๔๙)

มาตรา ๒๗๗ วรรคสอง เหมือนมาตรา ๒๗๗ วรรคสาม เดิม
มาตรา ๒๗๗ วรรคสาม บญั ญัตขิ ้ึนใหมใ่ ห้สอดคลอ้ งกบั มาตรา ๒๗๖ วรรคสอง ใหม่
มาตรา ๒๗๗ วรรคสี่ บญั ญัตขิ ึ้นใหมใ่ ห้สอดคล้องกบั มาตรา ๒๗๖ วรรคสาม ใหม่
มาตรา ๒๗๗ วรรคห้า ตัดข้อความในส่วนของการ “อนุญาตให้ทั้งสองฝ่ายสมรสกัน”

344

ออกไป โดยเพิ่มเตมิ ใหศ้ าลท่ีมีอานาจพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครวั จะพิจารณาให้มีการคมุ้ ครอง
สวัสดิภาพของเด็กผู้ถูกกระทาหรือผู้กระทาความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็กแทน
การลงโทษก็ได้

มาตรา ๒๗๗ วรรคหก บัญญัติข้ึนใหม่เพ่ือให้สอดคล้องกับวรรคห้า โดย ๑. ยกเว้นโทษ
ในกรณีที่ได้มีการดาเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กผู้ถูกกระทาหรือผู้กระทาความผิดตาม
กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็กสาเร็จแล้ว หรือ ๒. ศาลจะลงโทษผู้กระทาความผิดน้อยกว่า
ทก่ี ฎหมายกาหนดไว้สาหรับความผิดนัน้ เพียงใดกไ็ ด้ ในกรณีการคุม้ ครองสวัสดิภาพไม่สาเร็จ

๔. แก้ไขเพม่ิ เติมมาตรา ๒๗๗ ทวิ ดังน้ี
มาตรา ๒๗๗ ทวิ ถ้าการกระทาความผิดตามมาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง หรือมาตรา ๒๗๗
วรรคหนึง่ หรือวรรคสอง เปน็ เหตใุ หผ้ ูถ้ ูกกระทา
(๑) รับอันตรายสาหัส ผู้กระทาต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงย่ีสิบปี และปรับ
ต้งั แต่สามแสนบาทถงึ สี่แสนบาท หรือจาคกุ ตลอดชีวติ
(๒) ถึงแกค่ วามตาย ผู้กระทาต้องระวางโทษประหารชวี ิต หรือจาคกุ ตลอดชวี ิต
มาตรา ๒๗๗ ทวิ แก้ไขวรรคในความผิดจากเดมิ ให้ตรงตามทไ่ี ดแ้ กไ้ ขมาตรา ๒๗๗

๕. แกไ้ ขเพิ่มเติมมาตรา ๒๗๗ ตรี ดงั น้ี
มาตรา ๒๗๗ ตรี ถ้าการกระทาความผิดตามมาตรา ๒๗๖ วรรคสาม หรือมาตรา ๒๗๗
วรรคสี่ เป็นเหตุให้ผูถ้ กู กระทา
(๑) รับอันตรายสาหสั ผู้กระทาตอ้ งระวางโทษประหารชีวติ หรอื จาคกุ ตลอดชวี ิต
(๒) ถึงแกค่ วามตาย ผกู้ ระทาต้องระวางโทษประหารชวี ติ
มาตรา ๒๗๗ ตรี ขอ้ ความเหมือนเดิมทุกประการ

๖. เพิ่มเติม ๒๗๘ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ ดงั นี้
มาตรา ๒๗๘ ผูใ้ ดกระทาอนาจารแก่บุคคลอายกุ ว่าสิบห้าปี โดยขเู่ ขญ็ ดว้ ยประการใด ๆ โดย
ใช้กาลังประทุษรา้ ย โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะท่ีไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทาให้บุคคลนั้นเข้าใจผิด
ว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจาคุกไมเ่ กินสิบปี หรอื ปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือท้ังจาทัง้ ปรับ
ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคหน่ึง เป็นการกระทาโดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอ่ืนซึ่งมิใช่
อวัยวะเพศลว่ งล้าอวัยวะเพศหรอื ทวารหนักของบุคคลน้ัน ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคุกตัง้ แต่ส่ีปี
ถึงยีส่ ิบปี และปรบั ตง้ั แตแ่ ปดหม่นื บาทถึงสี่แสนบาท
ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคสอง ได้กระทาโดยทาให้ผู้ถูกกระทาเข้าใจว่าผู้กระทา
มีอาวุธปนื หรอื วตั ถุระเบิด ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี และปรบั ตัง้ แตห่ นึ่งแสนบาท
ส่ีหมืน่ บาทถึงสีแ่ สนบาท
ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคสอง ได้กระทาโดยมีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดย
ใช้อาวุธ หรือโดยร่วมกระทาความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือกระทากับ

345

ชายในลักษณะเดยี วกนั ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ตั้งแต่สบิ หา้ ปีถงึ ย่ีสบิ ปี และปรบั ตัง้ แต่สามแสนบาท
ถงึ สแ่ี สนบาท หรือจาคุกตลอดชวี ติ

มาตรา ๒๗๘ วรรคสอง เพ่ิมเติมขึ้นใหม่ จากท่ีกล่าวมาแล้วว่า การกระทาชาเราตาม
กฎหมายเดิมบางประการไม่เป็นการกระทาชาเราตามกฎหมายใหม่ แต่มีพฤติการณ์ท่ีร้ายแรง
จงึ กาหนดอัตราโทษการกระทาอนาจารกรณีดงั กลา่ วใหเ้ ท่ากับการกระทาชาเรา

มาตรา ๒๗๘ วรรคสามและวรรคสี่ มีข้อความทานองเดียวกันกับมาตรา ๒๗๖ วรรคสอง
และวรรคสาม

๗. แก้ไขเพม่ิ เตมิ มาตรา ๒๗๙ ดังน้ี
มาตรา ๒๗๙ ผู้ใดกระทาอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นจะยินยอม
หรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือท้ังจาท้ังปรับ
ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นการกระทาแก่เด็กอายุไม่เกินสิบสามปี
ตอ้ งระวางโทษจาคุกต้ังแต่หนึ่งปีถงึ สิบปี หรอื ปรับต้ังแต่สองหมื่นบาทถงึ สองแสนบาท หรือทง้ั จา
ท้ังปรับ
ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคหน่ึงหรือวรรคสอง ผู้กระทาได้กระทาโดยขู่เข็ญด้วย
ประการใด ๆ โดยใชก้ าลงั ประทุษรา้ ย โดยเด็กน้ันอยู่ในภาวะทไี่ ม่สามารถขดั ขืนได้ หรอื โดยทาให้
เด็กนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอ่ืน ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่หน่ึงปีถึงสิบห้าปี หรอื ปรับต้ังแต่
สองหมนื่ บาทถึงสามแสนบาท หรือท้งั จาทงั้ ปรับ
ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคหน่ึงหรือวรรคสาม เป็นการกระทาโดยใช้วัตถุหรือ
อวัยวะอน่ื ซึ่งมิใช่อวยั วะเพศลว่ งล้าอวัยวะเพศหรอื ทวารหนกั ของเด็กน้ัน ผกู้ ระทาต้องระวางโทษ
จาคุกตง้ั แต่หา้ ปีถงึ ยส่ี บิ ปี และปรบั ต้งั แตห่ นึง่ แสนบาทถงึ ส่ีแสนบาท
ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคสี่ เป็นการกระทาแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิ บสามปี
ต้องระวางโทษจาคุกต้ังแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนสี่หม่ืนบาทถึงส่ีแสนบาท หรือ
จาคกุ ตลอดชีวติ
ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคสี่หรือวรรคห้า ได้กระทาโดยทาให้ผู้ถูกกระทาเข้าใจว่า
ผู้กระทามีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่สิบปีถึงย่ีสิบปี และปรับต้ังแต่สอง
แสนบาทถงึ สแ่ี สนบาท หรอื จาคกุ ตลอดชวี ิต
ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคส่ีหรือวรรคห้า ได้กระทาโดยมีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด
หรือโดยใช้อาวุธ หรือโดยร่วมกระทาความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงหรือ
กระทากบั เดก็ ชายในลักษณะเดียวกัน ต้องระวางโทษจาคุกตลอดชวี ิต
มาตรา ๒๗๙ บญั ญตั ขิ นึ้ ใหมม่ ี ๗ วรรค ใชพ้ จิ ารณาขอ้ เทจ็ จริงต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
(๑) จาเลย (ชายหรอื หญงิ กไ็ ด)้ ลูบคลาอวยั วะเพศของ “เด็ก”

(๑.๑) หากเดก็ อายุ ๑๔ ปี จาเลยผิดมาตรา ๒๗๙ วรรคหน่งึ
(๑.๒) หากเด็กอายุ ๑๒ ปี จาเลยผิดมาตรา ๒๗๙ วรรคสอง

346

(๑.๓) หากจาเลยกระทาอนาจารเด็กตาม (๑.๑) หรือ (๑.๒) โดยการ “ขู่เข็ญ...”
เด็ก จาเลยผดิ มาตรา ๒๗๙ วรรคสาม

(๒) จาเลย (ชายหรอื หญิงก็ได้) อม “อวยั วะเพศ” ของเดก็ ชาย
(๒.๑) หากเดก็ ชายอายุ ๑๔ ปี จาเลยผดิ มาตรา ๒๗๙ วรรคส่ี
(๒.๒) หากเดก็ ชายอายุ ๑๒ ปี จาเลยผิดมาตรา ๒๗๙ วรรคห้า
(๒.๓) หากจาเลยกระทาอนาจารต่อเด็กชายตามข้อ (๒.๑) หรอื (๒.๒) ข้างต้น โดย

ทาให้เด็กเข้าใจว่า ปืนไฟแช็กท่ีจาเลยมีติดตัวไปเป็น “อาวุธปืน” จาเลยผิดมาตรา ๒๗๙ วรรคหก
(๒.๔) หากจาเลยกระทาอนาจารต่อเด็กชายตามข้อ (๒.๑) หรือ (๒.๒) ข้างตน้ โดย

“มี” อาวธุ ปืนตดิ ตัวไปด้วย แมเ้ ดก็ จะไม่รู้ว่าจาเลยมีอาวุธปืน จาเลยกผ็ ิดมาตรา ๒๗๙ วรรคเจ็ด หรือ
จาเลย “ใชม้ ีด” ขู่เขญ็ เด็ก จาเลยกผ็ ดิ มาตรา ๒๗๙ วรรคเจด็ เพราะเปน็ การใช้ “อาวธุ ”

๘. แก้ไขเพ่ิมเติมมาตรา ๒๘๐ ดังน้ี
มาตรา ๒๘๐ ถ้าการกระทาความผิดตามมาตรา ๒๗๘ หรือมาตรา ๒๗๙ เป็นเหตุให้
ผถู้ กู กระทา
(๑) รับอันตรายสาหัส ผู้กระทาต้องระวางโทษจาคุกต้ังแต่ห้าปีถึงย่ีสิบปี และปรับตั้งแต่
หนง่ึ แสนบาทถึงส่ีแสนบาท หรือจาคกุ ตลอดชวี ติ
(๒) ถงึ แกค่ วามตาย ผ้กู ระทาตอ้ งระวางโทษประหารชวี ติ หรือจาคุกตลอดชวี ิต
มาตรา ๒๘๐ แก้ไขเฉพาะอัตราโทษ

๙. เพ่ิมเติมมาตรา ๒๘๐/๑ ดงั น้ี
มาตรา ๒๘๐/๑ ถ้าผู้กระทาความผิดตามมาตรา ๒๗๖ มาตรา ๒๗๗ มาตรา ๒๗๘ หรือ
มาตรา ๒๗๙ ได้บนั ทึกภาพหรอื เสยี งการกระทาชาเราหรือการกระทาอนาจารนน้ั ไว้ เพ่ือแสวงหา
ประโยชน์โดยมิชอบสาหรับตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตราน้ัน ๆ
หนึง่ ในสาม
ถ้าผกู้ ระทาความผิดตามวรรคหนึ่ง เผยแพร่หรือส่งตอ่ ซึ่งภาพหรือเสยี งการกระทาชาเรา
หรือการกระทาอนาจารท่ีบันทึกไว้ ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตราน้ัน ๆ ก่ึงหนึ่ง
ตามมาตรา ๒๘๐/๑ วรรคหน่ึง การบันทึกภาพหรือเสียงการกระทาชาเราหรือการกระทา
อนาจาร ต้องกระทาโดยผู้กระทาความผิดตามมาตรา ๒๗๖ มาตรา ๒๗๗ มาตรา ๒๗๘ หรือมาตรา
๒๗๙ โดยอาจบันทึกเอง (รวมถึงตัวการ ผู้ใช้ และผู้สนับสนุนบันทึกด้วย) หรือดาเนินการให้ผู้อื่น
บันทึกก็ได้ แต่ถ้ามีผู้อื่นลักลอบบันทึกโดยผู้กระทาความผิดไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย ผู้กระทาความผิด
ไมม่ คี วามผิดตามมาตรานี้
การเผยแพร่หรือส่งต่อซ่ึงภ าพห รือเสียงการกระทาชาเรา ซ่ึงจะเป็นความผิดตาม มาตรา
๒๘๐/๑ วรรคสอง ต้องกระทาโดยผู้กระทาความผิดตามมาตรา ๒๘๐/๑ วรรคหน่ึง หากไม่ใช่ก็ไม่มี
ความผิดตามมาตรา ๒๘๐/๑ วรรคสอง ดังน้ัน ผู้ลักลอบบันทึกภาพหรือเสียง (ไม่ใช่ผู้ข่มขืนกระทา

347

ชาเรา) ซ่ึงไม่ผิดตามมาตรา ๒๘๐/๑ วรรคหน่ึง นาภาพหรือเสียงไปเผยแพร่ จะไม่เป็นความผิดตาม
มาตรา ๒๘๐/๑ วรรคสอง เพราะเขาไมใ่ ช่ผกู้ ระทาความผดิ ตามมาตรา ๒๘๐/๑ วรรคหนึง่

หากผู้ข่มขืนมิได้เป็นผู้บันทึกภาพหรือเสียง แต่ได้ภาพหรือเสียงมาแล้วนาไปเผยแพร่
จะไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๒๘๐/๑ วรรคสอง เพราะเขาไม่ใช่ผู้กระทาความผิดตามมาตรา
๒๘๐/๑ วรรคหน่งึ เชน่ เดียวกัน

๑๐. แกไ้ ขเพ่ิมเติมมาตรา ๒๘๑ ดงั นี้
มาตรา ๒๘๑ ความผิดตามมาตราดงั ตอ่ ไปนี้ เป็นความผดิ อนั ยอมความได้
(๑) มาตรา ๒๗๖ วรรคหน่ึง และมาตรา ๒๗๘ วรรคสอง ซ่ึงเป็นการกระทาระหว่าง
คู่สมรส ถ้ามิได้เกิดต่อหน้าธารกานัล หรือไม่เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทารับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่
ความตาย
(๒) มาตรา ๒๗๘ วรรคหน่ึง ถ้ามิได้เกิดต่อหน้าธารกานัล ไม่เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทา
รับอันตรายสาหัสหรือถงึ แก่ความตาย หรือมิได้เป็นการกระทาแก่บุคคลดังระบุไว้ในมาตรา ๒๘๕
และมาตรา ๒๘๕/๒
มาตรา ๒๘๑ ท่ีแก้ไขใหม่จากัดความผิดเกี่ยวกับเพศท่ีจะยอมความได้ให้เฉพาะบางกรณี
เท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายเดิมท่ีมีกรณีที่ยอมความกันได้มากกว่า ตามกฎหมายใหม่ความผิด
ท่ยี อมความได้มี ๒ กรณี
มาตรา ๒๘๑ (๑) เฉพาะกรณดี งั ตอ่ ไปนี้จึงจะเป็นความผิดอนั ยอมความได้

๑. เปน็ ความผิดตามมาตรา ๒๗๖ วรรคหน่ึง หรอื มาตรา ๒๗๘ วรรคสอง และ
๒. เปน็ การกระทาระหวา่ งคูส่ มรส และ
๓. มิไดเ้ กดิ ต่อหนา้ ธารกานัล และ
๔. ไมเ่ ปน็ เหตุให้ผ้ถู ูกกระทารับอันตรายสาหัสหรอื ถงึ แกค่ วามตาย เท่านน้ั
มาตรา ๒๘๑ (๒) เฉพาะกรณีดังต่อไปน้ีจงึ จะเป็นความผดิ อนั ยอมความได้
๑. เปน็ ความผดิ ตามมาตรา ๒๗๘ วรรคหนึง่ และ
๒. มิได้เกดิ ตอ่ หน้าธารกานลั และ
๓. ไม่เป็นเหตใุ หผ้ ถู้ ูกกระทารับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย และ
๔. มไิ ดเ้ ป็นการกระทาแก่บุคคลดงั ระบไุ ว้ในมาตรา ๒๘๕ และมาตรา ๒๘๕/๒
ขอให้สังเกตว่า ควำมผิดฐำนข่มขืนกระทำชำเรำผู้อื่นที่ไม่มีเหตุฉกรรจ์ แม้ไม่ใช่คู่สมรส
ก็จะเป็นควำมผิดอันยอมควำมได้ตำมกฎหมำยเดิม แต่ตามกฎหมายใหม่ ถ้าไม่ใช่คู่สมรส แม้จะเป็น
การขม่ ขืนที่ไม่มเี หตุฉกรรจ์ จะเปน็ ความผิดท่ยี อมความไม่ได้แล้ว

๑๑. แกไ้ ขเพิม่ เตมิ มาตรา ๒๘๕ ดังน้ี
มาตรา ๒๘๕ ถ้าการกระทาความผิดตามมาตรา ๒๗๖ มาตรา ๒๗๗ มาตรา ๒๗๗ ทวิ
มาตรา ๒๗๗ ตรี มาตรา ๒๗๘ มาตรา ๒๗๙ มาตรา ๒๘๐ มาตรา ๒๘๒ หรือมาตรา ๒๘๓ เป็น

348

การกระทาแก่บุพการี ผู้สืบสันดาน พ่ีน้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมารดา
ญาติสืบสายโลหติ ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล ผู้อยู่ในความควบคุมตามหนา้ ที่ราชการ ผู้อย่ใู นความ
ปกครอง ในความพิทักษ์หรือในความอนุบาล หรือผู้อยู่ภายใต้อานาจด้วยประการอ่ืนใด ผู้กระทา
ต้องระวางโทษหนักกว่าทีบ่ ัญญัตไิ ว้ในมาตราน้นั ๆ หนง่ึ ในสาม

มาตรา ๒๘๕ ขยายความคุ้มครองผู้ถูกกระทากว้างข้ึน จากมาตรา ๒๘๕ เดิม คุ้มครอง
ผู้สืบสันดาน ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล ผู้อยู่ในความควบคุมตามหน้าที่ราชการ ผู้อยู่ในความปกครอง
ในความพิทักษ์หรือในความอนุบาล แต่ตามมาตรา ๒๘๕ ที่แก้ไขใหม่ เพ่ิมความคุ้มครองแก่
๑. บุพการี ๒. พ่ีน้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมารดา ๓. ญาติสืบสายโลหิต หรือ
๔. ผู้อยู่ภายใต้อานาจด้วยประการอน่ื ใด

โดยเฉพาะผู้อยู่ภายใต้อานาจด้วยประการอ่ืนใด เคยมีฎีกาที่ ๘๗๒๐/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๑๒ น.
๑๒๐ ตัดสินว่า ผู้เสียหายเป็นบุตรของ จ. และไม่ปรากฏว่า จ. ถูกถอนอานาจปกครองหรือมีการ
แต่งต้งั ใหจ้ าเลยเป็นผปู้ กครองผ้เู สียหาย ดงั นั้น จ. ซึ่งเป็นมารดาผูเ้ สยี หายจึงเป็นผู้ใช้อานาจปกครอง
ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๖๖ แม้ จ. มารดาผู้เสียหายส่งผู้เสียหายมาอยู่กับจาเลยและภริยาซึ่งเป็น
พสี่ าวของ จ. ตง้ั แต่ยงั เล็ก แต่อานาจปกครองผู้เสยี หายกย็ งั คงอยกู่ บั จ. มารดาผู้เสียหาย ไมใ่ ช่จาเลย
การกระทาของจาเลยต่อผู้เสียหายจึงไม่ใช่การกระทาต่อผู้อยู่ในความปกครองไมต่ ้องรับโทษหนักข้ึน
ตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๕ (เดิม) แต่ถ้าเป็นการกระทาหลังจากกฎหมายใหม่ใช้บังคับแล้ว จาเลยต้อง
รับโทษหนักข้ึนตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๕ แม้จาเลยจะไม่มีอานาจปกครองผู้เสียหาย แต่ต้องถือว่า
ผเู้ สียหายเปน็ ผ้อู ยภู่ ายใต้อานาจดว้ ยประการอ่นื ใดของจาเลย

๑๒. แก้ไขเพม่ิ เติมมาตรา ๒๘๕/๒ ดังน้ี
มาตรา ๒๘๕/๒ ถ้าการกระทาความผิดตามมาตรา ๒๗๖ มาตรา ๒๗๗ มาตรา ๒๗๗ ทวิ
มาตรา ๒๗๗ ตรี มาตรา ๒๗๘ หรือมาตรา ๒๗๙ เป็นการกระทาแก่บุคคลซ่ึงไม่สามารถปกป้อง
ตนเองอันเน่ืองมาจากเป็นผู้ทุพพลภาพ ผู้มีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟ่ันเฟือน คนป่วยเจ็บ
คนชรา สตรีมีครรภ์ หรือผู้ซ่ึงอยู่ในภาวะไม่สามารถรู้ผิดชอบ ผู้กระทาต้องระวางโทษหนักกว่า
ที่บัญญัตไิ วใ้ นมาตรานนั้ ๆ หนง่ึ ในสาม
มาตรานเี้ ปน็ มาตราทีบ่ ัญญัตขิ ึ้นใหมเ่ พอ่ื คุ้มครองบุคคลให้กวา้ งขึ้น

๑๓. แกไ้ ขเพ่ิมเติมมาตรา ๒๘๖ ดงั น้ี
มาตรา ๒๘๖ ผู้ใดกระทาด้วยประการใด ๆ ดังต่อไปน้ี ต้องระวางโทษจาคกุ ไม่เกินย่สี ิบปี
และปรบั ไมเ่ กินสแ่ี สนบาท หรือจาคุกตลอดชีวิต
(๑) ช่วยเหลอื ให้ความสะดวก หรอื คมุ้ ครองการคา้ ประเวณขี องผูอ้ ่ืน
(๒) รับประโยชน์ไม่ว่ารูปแบบใดจากการค้าประเวณีของผู้อื่นหรือจากผู้ซึ่งค้าประเวณี
(๓) บังคับ ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือใช้อานาจครอบงาผู้อื่น หรือรับผู้อ่ืนเข้าทางานเพื่อ
การค้าประเวณี

349

(๔) จัดใหม้ ีการคา้ ประเวณีระหวา่ งผู้ซง่ึ ค้าประเวณีกบั ผ้ใู ชบ้ รกิ าร
(๕) ปกปิดหรืออาพรางแหล่งที่มาของรายได้หรือทรัพย์สินซ่ึงได้มาจากการค้าประเวณี
(๖) อยู่ร่วมกับผู้ซ่ึงค้าประเวณีหรือสมาคมกับผู้ซึ่งค้าประเวณีคนเดียวหรือหลายคน
เปน็ อาจณิ และไม่สามารถแสดงทมี่ าของรายได้ในการดารงชีพของตน
(๗) ขัดขวางการดาเนินการของหน่วยงานท่ีดูแลในการป้องกัน ควบคุม ช่วยเหลือ หรือ
ให้การศึกษาแก่ผู้ซ่ึงค้าประเวณี ผู้ซึ่งจะเข้าร่วมในการค้าประเวณี หรือผู้ซ่ึงอาจได้รับอันตราย
จากการค้าประเวณี
ความในวรรคหน่ึง (๒) และ (๖) มิให้ใช้บังคับแก่ผู้รับประโยชน์ไม่ว่ารูปแบบใด ซ่ึง
พงึ ได้รับตามกฎหมายหรอื ตามธรรมจรรยา
มาตรา ๒๘๖ เดิมใช้คาว่า ผู้ใดอายุกว่าสิบหกปีดารงชีพอยู่แม้เพียงบางส่วนจากรายได้ของ
ผู้ซึ่งค้าประเวณี ต้องระวางโทษ ศาลฎีกาจึงตัดสินว่า จาเลยเป็นเจ้าของสถานค้าประเวณีและ
มีหญิงค้าประเวณีกินอยู่หลับนอนกับจาเลยในสถานที่ดังกล่าว แม้จาเลยจะต้องได้รับเงินจาก
การค้าประเวณีซึ่งมีหญิงโสเภณีเป็นองค์ประกอบในการดาเนินกิจการของจาเลย แต่จาเลยเป็น
หญิงมีสามี สามีจาเลยประกอบกิจการขนส่งมีรถยนต์บรรทุกสิบล้อใช้ในกิจการถึง ๓ คัน
ซ่ึงแม้จาเลยจะไม่มีรายได้จากกิจการค้าประเวณี แต่ก็สามารถดารงชีพอยู่ได้ด้วยการอาศัยสามี
กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจาเลยไม่มีปัจจัยอื่นหรือไม่มีปัจจัยอันเพียงพอสาหรับดารงชีพ การกระทา
ของจาเลยจึงถือไม่ได้ว่าจาเลยดารงชีพแม้เพียงบางส่วนจากรายได้ของหญิงซ่ึงค้าประเวณี (ฎีกาท่ี
๒๙๙๓/๒๕๔๗) จากฎีกาดังกล่าวถ้าจาเลยมีรายได้อื่นเพียงพอในการดารงชีพ รัฐไม่สามารถลงโทษ
ท้ังท่ีจาเลยเข้ามาเกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีได้ จึงแก้ถ้อยคาในกฎหมายให้ลงโทษผู้ท่ีเก่ียวข้องกับ
การค้าประเวณีได้โดยแก้ไขมาตรา ๒๘๖ ดังที่บัญญัติไว้ ดังน้ัน ฎีกาที่ ๒๙๙๓/๒๕๔๗ และฎีกาอ่ืน
ท่ีตัดสินทานองเดียวกัน ไม่อาจใช้เป็นบรรทัดฐานได้อีกต่อไป หากมีข้อเท็จจริงตามฎีกาท่ี ๒๙๙๓/
๒๕๔๗ เกิดข้ึนหลังจากใช้มาตรา ๒๘๖ ที่แก้ไขใหม่ การกระทาของจาเลยจะเป็นความผิดตาม
มาตรา ๒๘๖ ที่แก้ไขใหม่

๑๔. แกไ้ ขเพิม่ เตมิ มาตรา ๓๖๖/๑ ดงั นี้
มาตรา ๓๖๖/๑ ผู้ใดกระทาเพื่อสนองความใคร่ของตน โดยการใช้อวัยวะเพศของตน
ล่วงล้าอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของศพ ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินสามปี หรือปรับ
ไม่เกนิ หกหมน่ื บาท หรือทั้งจาทั้งปรับ
การแก้ไขบทนิยามคาว่ากระทาชาเราซึ่งทาให้การใช้ส่ิงอื่นใดท่ีไม่ใช่อวัยวะเพศของจาเลย
ล่วงล้าอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อ่ืน ไม่เป็นการกระทาชาเราตามกฎหมายใหม่
ในความผิดเก่ียวกับศพจึงได้ตัดข้อความท่ีว่า “การใช้ส่ิงอื่นใดกระทากับอวัยวะเพศหรือทวารหนัก
ของศพ” ออกด้วย ดังน้ัน หากจาเลยใช้น้ิวแหย่อวัยวะเพศของศพเพ่ือสนองความใคร่ของตนเอง
ก็จะไม่เป็นการกระทาชาเราศพตามมาตรา ๓๖๖/๑ ท่ีแก้ไขใหม่ เพราะไม่ใช่การใช้อวัยวะเพศของ
ตนล่วงล้าอวัยวะเพศของศพ แต่จะเปน็ ความผิดฐานกระทาอนาจารแกศ่ พตามมาตรา ๓๖๖/๒

350

ข้อ ๖๖ คาถาม นายเออายุ ๑๗ ปีเศษ จัดหาเด็กหญิงคอยให้บริการทางเพศแก่ลูกค้าเป็น
ประจา ร้อยตารวจเอกโอล่อซื้อโดยโทรศพั ท์นัดหมายนายเอขอให้จัดเด็กมาให้รว่ มประเวณีท่ีโรงแรม
ม่านรูดเวลา ๒๐ นาฬิกานายเอจึงนัดให้เด็กหญิงแอนอายุ ๑๔ ปีเศษซ่ึงอาศัยอยู่กับบิดามารดา
มาพบท่ีบ้านของนายเอเวลา ๑๙.๓๐ นาฬิกา แต่ร้อยตารวจเอกโอโทรศัพท์มาขอเล่ือนเป็นเวลา
๒๑ นาฬิกา นายเอเห็นว่ายังมีเวลานายเอจึงขอให้เด็กหญิงแอนอมอวัยวะเพศของตน เด็กหญิงแอน
จงึ อมอวัยวะเพศของนายเอจนสาเรจ็ ความใคร่ หลังจากนั้นนายเอพาเด็กหญิงแอนไปพบร้อยตารวจ
เอกโอท่ีโรงแรมม่านรูด ร้อยตารวจเอกโอชาระเงินให้แก่นายเอ นายเอรับไว้ เจ้าหน้าท่ีตารวจที่
ซมุ่ คอยอยจู่ งึ เขา้ จับกุมนายเอทนั ทโี ดยทีร่ ้อยตารวจเอกโอยังไมไ่ ดร้ ว่ มประเวณีกับเดก็ หญิงแอน

ให้วินิจฉัยว่า นายเอมีความรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด และจะต้องรับโทษ
เพยี งใดหรือไม่

คาตอบ การท่ีนายเอจัดหาเด็กหญิงให้บรกิ ารทางเพศแก่ร้อยตารวจเอกโอเพ่ือร่วมประเวณี
นั้น นายเอกระทาเพ่ือสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจารเด็กหญิงแอนซึ่ง
เป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๒ วรรคสาม องค์ประกอบ
ความผิดเพ่ือสนองความใคร่ของผู้อื่นและเพื่อการอนาจารเด็กดังกล่าวเป็นองค์ประกอบภายใน
ทเี่ ปน็ เจตนาพิเศษ ไม่ใช่องค์ประกอบภายนอกในส่วนของการกระทา หากมกี ารกระทาที่เป็นธุระ
จดั หาโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นและเพื่อการอนาจารเด็ก แม้ผู้อื่นจะยงั ไม่ได้
กระทาจนสาเร็จความใคร่หรือกระทาอนาจารเด็ก แต่ผู้กระทาได้กระทาไปโดยมีเจตนาพิเศษ
ดังกล่าว ก็เป็นความผิดสาเร็จแล้ว เมื่อนายเอกระทาความผิดดังกลา่ วโดยเจตนาและมีเจตนาพิเศษ
เพื่อสนองความใคร่ของผู้อ่ืนและเพื่อการอนาจารเด็กหญิงแอน แม้ร้อยตารวจเอกโอยังไม่ได้
ร่วมประเวณีกับเด็กหญิงแอน แต่การกระทาของนายเอก็เป็นความผิดสาเร็จตามมาตรา ๒๘๒
วรรคสาม แลว้ บทหน่ึง (ฎกี าที่ ๑๐๖๓๒/๒๕๕๔)

เมื่อเด็กหญิงแอนอาศัยอยู่กับบิดามารดา การท่ีนายเอนัดเด็กหญิงแอนออกมาและพาไป
ค้าประเวณี เป็นการรบกวนอานาจปกครองดูแลของบิดามารดาของเด็กหญิงแอนซึ่งเป็นการ
พรากเด็กหญิงแอน จึงเปน็ การกระทาโดยปราศจากเหตุอันควร พรากเด็กอายุยังไม่เกิน ๑๕ ปีไป
เสียจากบิดามารดา (ฎีกาที่ ๗๖๔/๒๕๕๖) เพ่ือหากาไรและเพื่อการอนาจารตามมาตรา ๓๑๗
วรรคสาม อีกบทหนงึ่

กระทาชาเราหมายความว่ากระทาเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทา โดยการใช้อวัยวะ
เพศของผู้กระทาล่วงล้าช่องปากของผู้อื่นด้วย การท่ีนายเอขอให้เด็กหญิงแอนอมอวัยวะเพศ
ของตน เด็กหญิงแอนอมอวัยวะเพศให้นายเอ เมื่อนายเอยอมให้เด็กหญิงแอนอมอวัยวะเพศของตน
จึงเป็นการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทาล่วงล้าช่องปากของผู้อ่ืน ต้องถือว่านายเอกระทาชาเรา
เด็กหญิงแอนแล้ว (ฎีกาที่ ๔๙๐๙-๔๙๑๐/๒๕๕๕) นายเอจึงมีความผิดฐานกระทาชาเราเด็กอายุ
ยังไม่เกิน ๑๕ ปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามตามมาตรา ๒๗๗
วรรคหน่งึ อกี บทหนึง่


Click to View FlipBook Version