The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-10-26 10:13:10

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

401

ได้รับจะอยู่ในระดับต่ากว่าสะเอวลงมา คงมีเพียงผู้เสียหายที่ ๓ ได้รับบาดแผลที่แผ่นหลังเมื่อนอน
หมอบลงแล้ว แสดงว่าจาเลยมิได้มุ่งหมายที่จะให้ผู้เสียหายที่ ๑ กับพวกได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต
ข้อเท็จจรงิ จึงฟงั ได้ว่า จาเลยมิได้มีเจตนาฆ่าผ้เู สียหายท้ังสี่ โจทกฟ์ ้องขอให้ลงโทษจาเลยฐานพยายาม
ฆา่ ตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๘, ๘๐ โดยมไิ ดบ้ รรยายวา่ ผ้เู สยี หายท้ังส่ีทพุ พลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการ
ทุกขเวทนาเกินกว่าย่ีสิบวันหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่าย่ีสิบวัน เมื่อฟังไม่ได้ว่า
จาเลยมีเจตนาฆ่าจะพิพากษาลงโทษจาเลยตามมาตรา ๒๙๗ (๘) มิได้ คงลงโทษได้เพียงตามมาตรา
๒๙๕

จาเลยกับพวกได้กลับมาที่เกิดเหตุก็เพ่ือเอารถจักรยานยนต์ของพวกจาเลยท่ีจอดทิ้งไว้ มิได้
กลับมาหาเรื่องและชวนทะเลาะวิวาทกับผู้เสียหายท่ี ๑ กับพวก การที่ผู้เสียหายท่ี ๑ กับพวกเข้าไป
รมุ ทาร้ายจาเลยกับพวก จาเลยกับพวกไม่มีหน้าที่ที่จะต้องหลบหนีแต่มีอานาจที่จะป้องกันตนให้พ้น
จากภยันตรายที่เกิดจากการรมุ ทารา้ ยของผู้เสียหายท่ี ๑ กบั พวกได้ ท้ังข้อเทจ็ จริงฟังได้ว่า ผู้เสียหาย
ท่ี ๑ กับพวกได้ลงมือทาร้ายชกต่อยจาเลยตกจากรถจักรยานยนต์ ภยันตรายท่ีจาเลยได้รับจึงถึงตัว
จาเลยไม่สามารถหลีกเลี่ยงเป็นอย่างอื่น แต่การท่ีจาเลยใช้อาวุธปืนซ่ึงมีอานุภาพร้ายแรงยิงไปทาง
ผู้เสียหายท่ี ๑ กับพวกจนหมดลูกโม่จานวน ๖ นัด การกระทาของจาเลยดังกล่าวเป็นการป้องกัน
สิทธขิ องตนและผู้อ่ืนเกนิ สมควรแกเ่ หตุตามมาตรา ๖๙

ฎกี าท่ี ๘๗๒๗/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๕๖ ตามพฤติการณ์ที่จาเลยท่ี ๑ เข้าใกล้ตัวผู้เสียหาย
ซึ่งกาลังยืนหันหลังให้และไม่มีโอกาสท่ีจะป้องกันตนเอง และใช้อาวุธปืนซ่ึงโดยสภาพมีอานุภาพ
ร้ายแรงยิงผู้เสียหาย หากจาเลยท่ี ๑ ประสงค์จะทาอันตรายแก่ชีวิต ก็เชื่อได้ว่าอยู่ในวิสัยท่ีสามารถ
เลือกยิงให้กระสุนปืนถูกส่วนของร่างกายบริเวณอวัยวะสาคัญของผู้เสียหายได้โดยง่าย ท้ังโดยสภาพ
บาดแผลตามรายงานการตรวจชันสูตรบาดแผลผู้เสียหายถูกกระสุนปืนได้รับบาดเจ็บท่ีต้นขาขวา
ด้านหลัง หัวกระสุนฝังลึกไม่สามารถนาออกได้เน่ืองจากอาจทาให้ถูกเส้นเลือดหรือทาให้บาดแผล
ใหญ่ข้ึน ใช้เวลารักษาประมาณ ๑๐ วันหากไม่มีโรคแทรกซ้อน และหากผู้เสียหายถูกส่งตัวทาการ
รักษาช้า ก็ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตเนื่องจากกระสุนไม่ถูกตาแหน่งสาคัญ แต่หากกระสุนปืนถูก
เส้นเลือดใหญ่ก็อาจทาให้ถึงแก่ความตายได้ ทาให้เห็นว่าจาเลยที่ ๑ มีเจตนาทาร้ายเท่าน้ัน เมื่อ
ผู้เสียหายบาดเจ็บต้องใช้เวลาในการรักษาตัวประมาณ ๑๐ วัน จาเลยท่ี ๑ จึงมีความผิดฐานทาร้าย
ร่างกายผูเ้ สียหายจนเป็นเหตุให้ได้รบั อันตรายแก่กายตาม ปอ. มาตรา ๒๙๕

ฎีกาที่ ๖๔๙๔/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๘๘ ผู้เสียหายที่ ๔ เป็นผู้ก่อเหตุข้ึนก่อนโดยกระโดด
ถีบหนา้ อกจาเลย แต่เม่ือผู้เสียหายท่ี ๔ เห็นจาเลยชักปืนพกออกมาจึงร้องบอกให้ผู้เสียหายอื่นทราบ
แล้วผู้เสียหายทั้งสี่ต่างก็วิ่งหนี เช่นน้ี ภยันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษรา้ ยอันละเมิดต่อกฎหมายที่มี
ต่อจาเลยจึงไม่มีต่อไปแล้ว การที่จาเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสี่หลายนัดและกระสุนปืนถูก
ผู้เสยี หายท่ี ๓ ท่ีดา้ นหลังของต้นขาขวา ทาให้ผู้เสียหายท่ี ๓ ไดร้ ับอนั ตรายสาหัส แต่กระสุนปืนไมถ่ ูก
ผู้เสียหายอ่ืน อันแสดงให้เห็นว่าเป็นการยิงขณะผู้เสียหายท้ังส่ีหันหลังให้จาเลย การกระทาของ
จาเลยดงั กล่าวจึงหาเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ แตเ่ ห็นได้วา่ เป็นการกระทาโดยบันดาล

402

โทสะ เพราะผู้เสียหายทั้งสี่อยู่ในวัยรุ่นและจาเลยเป็นเจ้าพนักงานตารวจด้วย แม้ผู้เสียหายทั้งสี่
จะไม่รู้ก็ตาม ท้ังเหตุแต่แรกก็เป็นสาเหตุเล็กน้อยเพียงแต่โต้เถียงกันเร่ืองขวางทางเดินเท่านั้น การท่ี
ผู้เสียหายทั้งสี่กลับมาพบจาเลยในท่ีเกิดเหตุอีก แล้วผู้เสียหายท่ี ๔ กระโดดถีบหน้าอกจาเลยเช่นนี้
ย่อมทาให้จาเลยโกรธ เพราะถือว่าเป็นการดูหม่ินเหยียดหยามศักด์ิศรีของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
มีลักษณะเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม และจาเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย
ทั้งสี่ทันทีในขณะผู้เสียหายท้ังสี่วิ่งหนี จึงเป็นการกระทาโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา ๗๒
ในขณะที่จาเลยใชอ้ าวุธปนื ยิงนั้น ผู้เสยี หายท่ี ๓ อยู่หา่ งจาเลยเพียง ๒ ถงึ ๓ เมตร ส่วนผเู้ สียหายอ่ืน
ก็อยู่ห่างจาเลยเพียง ๕ เมตร ถึง ๖ เมตร เท่านั้น จาเลยเป็นเจ้าพนักงานตารวจย่อมมีความชานาญ
ในการใช้อาวุธปืนมากกว่าบุคคลท่ัวไปและได้ยิงถึง ๖ นัด แต่กระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่ ๓ เพียง
คนเดียวและถูกท่ีด้านหลังของต้นขาขวา ซึ่งเป็นอวัยวะที่ไม่สาคัญอันไม่สามารถทาให้ถึงตายได้
แสดงให้เห็นว่าจาเลยมีเจตนาเพียงทาร้ายผู้เสียหายท้ังส่ีเท่าน้ัน เม่ือปรากฏว่าผู้เสียหายท่ี ๓ ได้รับ
อันตรายสาหัสจากการถูกยิง ส่วนผู้เสียหายท่ี ๑ ท่ี ๒ และท่ี ๔ ไม่ได้รับอันตรายใด ๆ จาเลยจึงมี
ความผิดฐานทาร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสโดยบันดาลโทสะตามมาตรา
๒๙๗ (๘) ประกอบมาตรา ๗๒ และพยายามทาร้ายร่างกายผู้อ่ืนโดยบันดาลโทสะตามมาตรา ๒๙๕
ประกอบมาตรา ๘๐ และ ๗๒ อันเป็นการกระทากรรมเดียวผิดตอ่ กฎหมายหลายบทตามมาตรา ๙๐

ฎีกาที่ ๗๑๓๙/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๓๘ ขณะเกิดเหตุจาเลยเหน็บอาวุธปืนพกไว้ที่เอวอยู่
ก่อนแล้ว เมื่อจาเลยตามโจทก์ร่วมออกมาท่ีรถดึงประตูด้านคนขับเปิดน้ัน จาเลยมีโอกาสดีท่ีจะชัก
อาวุธปืนที่เหน็บที่เอวออกมายิงใส่โจทก์ร่วมซึ่งจะสามารถฆ่าโจทก์ร่วมได้โดย ง่ายแต่จาเลยไม่ได้ทา
แสดงว่าจาเลยไม่มีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมมาแต่แรก จาเลยจึงไม่ได้ชักอาวุธปืนยิงเมื่อมีโอกาสดีดังกล่าว
อย่างไรก็ดีจาเลยได้ยิงเม่ือโจทก์ร่วมขับรถออกไปซ่ึงเป็นการยิงตามหลังรถ กระสุนถูกตัวถังรถ
ทฝ่ี ากระบะท้าย ๑ นัด อีก ๑ นัด มรี อยท่ีตัวถังดา้ นข้างเกอื บจะถึงขอบรอยต่อกับส่วนห้องผู้โดยสาร
ด้านหน้าท่ีเรียกว่าแคปหรือที่ว่างให้คนโดยสารน่ังหรือไว้ของด้านหลังเบาะคนขับ รูกระสุนที่
ฝากระบะท้ายอยู่ต่ากว่าขอบบนกระบะ ๑๒ เซนติเมตร และรอยที่ตัวถังด้านข้างต่ากว่าขอบบน
กระบะ ๑๔ เซนติเมตร ถือได้วา่ อยูใ่ นแนวเดียวกัน เหนือขอบบนกระบะเป็นโครงหลังคาและกระจก
โอกาสที่กระสุน ๒ นัดที่จาเลยยิงจะถูกโจทก์ร่วมแทบจะไม่มีเลย หากจาเลยต้องการจะให้กระสุน
ถูกโจทก์ร่วมต้องยิงผ่านกระจกเพราะกระสุนทะลุกระจกได้ง่ายพอจะมีโอกาสไปถูกโจทก์ร่วมได้
แต่จาเลยยิงระดับเดียวกันทั้งสองนัดที่ตัวถังรถ น่าจะเป็นการต้ังใจยิงรถท่ีตัวถังรถเพ่ือระบายความ
โกรธ พฤตกิ ารณ์ยิงปนื พก ๒ นัด ของจาเลยไม่เพยี งพอจะชี้ว่าจาเลยมเี จตนาฆ่าโจทกร์ ่วม
ข้อสังเกต คดีน้ีโจทก์ฟ้องข้อหำพยำยำมฆ่ำ ไม่ได้ฟ้องข้อหำทำให้เสียทรัพย์ แม้จะฟังได้ว่ำจำเลย
เจตนำกระทำควำมผิดฐำนทำให้เสียทรัพย์ ศำลก็ลงโทษฐำนทำให้เสียทรัพย์ไม่ได้ตำมประมวล
กฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมอำญำ มำตรำ ๑๙๒ แต่ถ้ำนำข้อเท็จจริงตำมฎีกำน้ีมำออกข้อสอบ แล้ว
ถำมว่ำมีควำมผดิ ฐำนใด ต้องตอบว่ำ ไม่ผดิ ฐำนพยำยำมฆำ่ แตผ่ ิดฐำนทำใหเ้ สียทรพั ย์ และถ้ำจะออก
ข้อสอบให้ยำกกว่ำนี้ก็คือ เมื่อยิงแล้วกระสุนพลำดไปถูกกระถำงต้นไม้ของนำย ก. และกระสุนถูก

403

นำย ข. ซึ่งยืนอย่ไู กลมำกถงึ แกค่ วำมตำย กจ็ ะตอ้ งตอบว่ำ จำเลยไมผ่ ดิ ฐำนพยำยำมฆำ่ โจทก์ร่วม แต่
ผิดฐำนทำให้เสียทรัพย์รถยนต์ของโจทก์ร่วมโดยเจตนำ และฐำนทำให้เสียทรัพย์กระถำงต้นไม้ของ
นำย ก. โดยพลำด แต่กำรที่กระสุนถูกนำย ข. ซ่ึงยืนอยู่ไกลมำกถึงแก่ควำมตำยไม่เป็นกำรกระทำ
โดยพลำด เพรำะจำเลยมีเพียงเจตนำทำให้เสียทรัพย์ เม่ือพลำดไปถูกนำย ข. ต้องถือว่ำจำเลยไม่รู้
ข้อเท็จจริงท่ีเป็นองค์ประกอบในควำมผิดฐำนฆ่ำผู้อ่ืนโดยเจตนำ แต่ไม่เป็นกำรกระทำโดยประมำท
ใหน้ ำย ข. ถงึ แก่ควำมตำย เพรำะนำย ข. อยู่ไกลมำก

ประเด็นเร่ืองประมำทเป็นเหตุให้นำย ข. ถึงแก่ควำมตำย ถ้ำใครเห็นว่ำประมำท เพรำะกำร
กระทำเช่นนี้ไม่สมควรกระทำอย่ำงยิ่ง เมื่อมีคนตำยก็ต้องรับผิดชอบเพ่ือให้สังคมอยู่ได้อย่ำงสงบสุข
ก็มเี หตุผลทน่ี ำ่ รับฟงั

ถ้ำตัวอย่ำงที่ผู้แต่งเพ่ิมเติมนำไปออกเป็นข้อสอบเนติฯ หรือผู้ช่วยฯ โดยยังไม่มีคำพิพำกษำ
ฎีกำตัดสินในประเด็นดังกล่ำวไว้ คณะกรรมกำรคงเถียงกันนำนกว่ำจะได้ข้อยุติ แต่ถ้ำมีมติเป็น
อย่ำงไร ธงคำตอบก็ต้องเป็นไปตำมเสียงข้ำงมำก เพรำะเหตุน้ีกำรออกข้อสอบเนติฯ หรือผู้ช่วยฯ
มักจะมีคำพิพำกษำฎีกำประกอบธงคำตอบ เพ่ือให้ได้ข้อยุติว่ำธงคำตอบควรเป็นอย่ำงไรโดยไม่มี
ขอ้ โต้แย้ง เพรำะถำ้ มฎี ีกำต้องตอบตำมฎกี ำ

ใชม้ ีดถือวา่ มีเจตนาฆ่า

ฎีกาท่ี ๖๐๑๑/๒๕๖๐ ฎ.๗๖๒ จาเลยกับพวกมีเจตนาที่จะทาร้ายร่างกายผู้เสียหายมา
ต้ังแต่ต้นแล้ว แม้ผู้เสียหายเป็นฝ่ายจะทาร้ายหรือใช้อาวุธมีคมแทงพวกของจาเลยก่อน จาเลยจึงชก
ผู้เสียหาย ส่วนพวกของจาเลยได้ใช้มีดดาบฟันผู้เสียหาย ก็มิใช่เป็นเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนฉับพลัน
ทนั ทีทนั ใด เมื่อพวกของจาเลยมีมีดดาบติดตัวไปด้วยย่อมทาให้จาเลยคาดหมายไดว้ ่าพวกของจาเลย
อาจใช้มีดดาบฟันทาร้ายร่างกายผู้เสียหายได้ ถือว่าจาเลยมีเจตนาที่จะมีส่วนร่วมกระทาความผิด
กับพวกของจาเลยแล้ว การท่ีพวกของจาเลยใช้มีดดาบฟันผู้เสียหายในเวลาต่อเนื่องใกล้ชิดกับ
ห ลั ง จ า ก ท่ี จ า เล ย ช ก ผู้ เสี ย ห า ย ซ่ึ ง ข ณ ะ น้ั น จ า เล ย ก็ อ ยู่ ใน บ ริ เว ณ ใก ล้ เคี ย ง ใน ลั ก ษ ณ ะที่ พ ร้ อ ม
จะช่วยเหลือพวกของจาเลยได้ทันท่วงทีหากมีเหตุให้ต้องชว่ ยเหลือ แม้จาเลยมิใช่เป็นผู้ใชม้ ีดดาบฟัน
ผู้เสียหาย แต่พฤติการณ์เช่นว่าน้ีแสดงว่าจาเลยมีความประสงค์ต่อความตายของผู้เสียหายด้วย
ถอื ไดว้ ่าจาเลยเป็นตัวการรว่ มกนั กระทาความผดิ ฐานพยายามฆ่าผู้อน่ื

ฎีกาท่ี ๖๙๗๗/๒๕๕๔ ฎ.๑๖๒๙ จาเลยเลือกแทงผู้เสียหายที่บริเวณหน้าอกอันเป็นจุดที่มี
อวัยวะสาคัญ บาดแผลทะลุเข้าปอด และมีดที่จาเลยใช้แทงมีความยาวเฉพาะตัวมีดประมาณ ๓ ถึง
๔ เซนติเมตร บาดแผลลึกจากผิวหนังถึงปอดมีระยะห่างประมาณ ๒ เซนติเมตร แสดงว่าจาเลยแทง
โดยแรงจนเกือบสุดความยาวของมีด โดยจาเลยพยายามแทงซ้า ขณะถึงโรงพยาบาลแพทย์ตอ้ งใส่ท่อ
ระบายเลือดทีป่ อดมิเช่นน้ันผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายได้ ถือวา่ จาเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสยี หาย การที่
ผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายจาเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๘ ประกอบ

404

มาตรา ๘๐
ฎีกาที่ ๗๐๓๔/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๙๐ จาเลยไปดักรอแล้วตีผู้เสียหายที่ศีรษะอันเป็น

อวัยวะสาคัญจนตกจากรถจักรยาน แล้วใช้อาวุธมีดซ่ึงมีอันตรายไล่แทงผู้เสียหายจนถูกท่ีท้องทะลุ
ถึงลาไส้ แล้วติดตามทาร้ายไปถึง ๖๐ เมตร จนผู้เสียหายหลบหนีลงไปในบ่อน้า จาเลยก็ยังวนเวียน
รอทาร้ายเป็นเวลาคร่ึงช่ัวโมงท้ังที่รู้ว่าผู้เสียหายถูกแทงที่ท้อง หากไม่ได้รับการรักษาย่อมถึงแก่ความ
ตายได้ จาเลยกย็ งั ไม่ยอมใหผ้ ู้เสียหายข้ึนจากบ่อน้าเพ่ือไปรกั ษาตัว เมื่อพจิ ารณาประกอบกนั แสดงว่า
จาเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย อย่างไรก็ดีการที่จาเลยถือขวดดักรอทาร้ายผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายถูกตี
ล้มตกจากรถจักรยาน จาเลยจึงใช้ขวดแตกแทงและใช้อาวุธมีดแทง แสดงว่าเจตนาในเบื้องแรก
จาเลยมีเจตนาไตร่ตรองเพียงทาร้ายผู้เสียหาย แล้วมาเปลี่ยนเจตนาเป็นมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายใน
ภายหลัง เนื่องจากเจตนาทารา้ ยและเจตนาฆ่าเกล่ือนกันไปในการกระทาต่อเน่ืองกันเป็นกรรมเดียว
จาเลยจึงมคี วามผิดฐานพยายามฆ่าผู้อ่ืนเท่านน้ั

ใช้มีดถือวา่ มีเจตนาทาร้าย

ฎีกาที่ ๕๕๗๕/๒๕๖๐ ฎ.๗๓๖ จาเลยกับผู้ตายมิใช่เป็นคู่อริแต่เป็นคนที่มีความรักใคร่
ผูกพันกันอยู่ก่อน ท้ังจาเลยซึ่งเป็นผู้หญิงยังไปทางานหาเงินมาให้ผู้ตายฝ่ายชายได้ใช้จ่ายอย่าง
มีความสุข เหตุท่ีเกิดเป็นเรื่องความไม่เข้าใจกันเฉพาะหน้า ไม่ถึงขนาดหมายปองร้ายเอาชีวิต แม้
จาเลยจะใช้มีดแทงผู้ตายเข้าที่บริเวณหน้าอกซึ่งเป็นอวัยวะสาคัญ แต่เหตุเกิดในฉับพลันทันทีจาเลย
ย่อมไมม่ ีโอกาสเลือกแทง จึงเป็นเรื่องของความบังเอิญมากกวา่ และจาเลยแทงไปเพียงครั้งเดยี ว มิได้
แทงซ้าท้ังที่มีโอกาส หลงั เกดิ เหตุจาเลยก็ได้พยายามช่วยเหลือผู้ตายทุกวิถีทางเสมือนรู้สานึกกลัวคน
ทีต่ นรกั จะเป็นอันตรายร้ายแรง แมไ้ ม่ทันการณ์แต่ก็พอใหเ้ ห็นพฤตกิ ารณ์จาเลยวา่ มิได้เล็งเห็นผลแห่ง
การกระทาถึงขนาดว่าต้องตายกันไปข้างหน่ึง จึงไม่อาจถือว่าจาเลยกระทาโดยเจตนาฆ่า คงฟังได้แต่
เพยี งความผดิ ฐานทาร้ายผูอ้ ่นื จนเป็นเหตุให้ผูอ้ น่ื นัน้ ถึงแกค่ วามตายตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๐

ฎีกาท่ี ๖๖๕๓/๒๕๕๔ ฎ.๑๕๔๗ จาเลยกับพวกร่วมใช้อาวุธมีดปังตอฟันศีรษะโจทก์ร่วม
มีบาดแผลขอบเรียบ ๒ แผล มีเลือดซึม แม้ลึกถึงกะโหลกศีรษะแต่กะโหลกไม่ยุบ แผลไม่ฉกรรจ์
เย็บประมาณ ๑๑ เข็ม โจทก์ร่วมสามารถไปแจ้งความก่อนที่จะไปโรงพยาบาล ซึ่งลักษณะบาดแผล
ไม่ร้ายแรงถึงกับทาให้ได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตทันที ใช้เวลารักษา ๑๐ ถึง ๑๔ วัน ประกอบกับ
พฤติการณ์แห่งคดีท่ีจาเลยถามหา ป. และพูดว่า “ฝากไอ้น้ีไปด้วย”ีแสดงว่าไม่มีเจตนาฆ่าให้ตาย
และที่พูดขณะฟันว่า “เอาแม่งมันให้ตายเลย”ีก็คงเป็นการพูดคะนองปากมิได้มีเจตนาให้เกิดผล
จริงจังอย่างท่ีพูด จะเห็นได้จากลกั ษณะของบาดแผลไมร่ ุนแรงสมกับที่พูด ทั้งไม่ปรากฏมูลเหตุที่ต้อง
ถงึ กบั เอาชวี ติ แสดงวา่ จาเลยมเี จตนาทาร้ายร่างกายโจทก์ร่วม

ฎีกาที่ ๓๙๕๔/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๓๔ การที่จาเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายด้วยอารมณ์
พลุ่งโกรธ เกิดจากการที่จาเลยคิดว่าตนมีสิทธิได้รับค่าโดยสารจากผู้เสียหายเพราะพาหญิงซ่ึงจะ

405

ร่วมประเวณีด้วยมาให้ผู้เสียหายดูตัว แม้ผู้เสียหายไม่พึงพอใจที่จะร่วมประเวณีด้วยก็ต้องจ่ายค่ารถ
โดยสารให้ จาเลยจึงเกิดการทะเลาะโต้เถียงกัน อาวุธมีดที่จาเลยใช้มีขนาดกว้างประมาณ ๒ น้ิว
ยาวประมาณ ๖ นิ้ว นับว่าเป็นมีดขนาดไม่ใหญ่นัก ผู้เสียหายมีบาดแผลถูกแทงด้วยมีดท่ีใต้ราวนม
ซ้ายกว้าง ๑ เซนติเมตร ลึก ๔ เซนติเมตร แนวแผลเฉียงไปตามใต้ผิวหนังบริเวณหน้าอก ไม่ทะลุ
เข้าช่องอก กับบาดแผลที่ท้องด้านซ้ายกว้าง ๓ เซนติเมตร ทะลุเข้าชอ่ งทอ้ ง ไมถ่ ูกอวัยวะสาคัญใด ๆ
รักษาหายภายใน ๑๔ วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน บาดแผลแรกของผู้เสียหายจึงเป็นแนวเฉียงไปตาม
ผิวหนังเท่าน้ัน ส่วนบาดแผลที่สองไม่ปรากฏว่าลึกเท่าใด แม้อกและท้องเป็นท่ีต้ังของอวัยวะสาคัญ
จะฟังว่าจาเลยมีเจตนาแทงผู้เสียหายโดยแรงหาได้ไม่ จาเลยใช้มีดแทงร่างกายผู้เสียหายซึ่งใช้
ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ซ่ึงนาติดตัวมาปัดป้อง ไม่น่าทาให้จาเลยมีโอกาสเลือกแทงผู้เสียหายได้ถนัด ทั้งยัง
ต้องพะวงกับการที่ผู้เสียหายชกต่อยต่อสู้ด้วย ก่อนจาเลยหลบหนียังพูดขึ้นว่า “กูยกให้มึง”ีซ่ึงมีนัย
วา่ จาเลยยกหนี้ให้ผ้เู สียหายแล้วจึงหลบหนีไป แสดงว่าจาเลยอาจแทงผู้เสียหายได้อีก แต่มิได้กระทา
พฤติการณ์แห่งคดีไม่พอฟังว่าจาเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า ฟังได้ว่าจาเลยมีเจตนาแทง
ทารา้ ยรา่ งกายผเู้ สียหายเทา่ นัน้

ฎีกาท่ี ๖๓๒๗/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล. ๙ น. ๖๔ การพิเคราะห์ถึงเจตนาของจาเลยว่าประสงค์
ต่อผลให้เกิดการตายหรือย่อมเล็งเห็นผลว่าผ้เู สยี หายอาจถึงแก่ความตายไดน้ ั้น นอกจากจะพิจารณา
จากอาวธุ ทจี่ าเลยใชท้ าร้ายผู้เสียหายและตาแหน่งบาดแผลท่ผี ้เู สยี หายได้รับแล้ว ยงั ตอ้ งพิจารณาจาก
พฤตกิ ารณ์ในการกระทาของจาเลยประกอบด้วยวา่ จาเลยได้ทารา้ ยผเู้ สียหายซ้าหรือไม่ หากจาเลยมี
โอกาสทีจ่ ะทาร้ายซา้ ได้แต่ไม่กระทา ก็สอ่ แสดงวา่ จาเลยมิได้มเี จตนาถงึ กับจะให้ผู้เสียหายถึงแก่ความ
ตาย คดีน้ี จาเลยฟันผู้เสียหายครั้งเดียว หลังจากผู้เสียหายถูกฟันล้มลงแล้ว จาเลยยืนดูผู้เสียหาย
อยู่นานประมาณ ๑ นาที แล้วก็เดินออกไป แสดงว่าช่วงที่ผู้เสียหายล้มลงน้ันจาเลยอาจใช้มีดอีโต้
ท่ีถืออยู่ฟันผู้เสียหายซ้าอีกได้ แต่จาเลยก็หาได้ทาเช่นน้ันไม่ พฤติการณ์แห่งคดีจึงฟังไม่ได้ว่าจาเลย
มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย คงฟังได้เพียงว่าจาเลยมีเจตนาทาร้ายผู้เสียหายเท่าน้ัน เม่ือผลของการทาร้าย
เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่าย่ีสิบวันหรือ
จนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน จาเลยก็ต้องมีความผิดฐานทาร้ายร่างกายผู้อื่น
จนเป็นเหตใุ หไ้ ด้รบั อนั ตรายสาหัส

ฎกี าที่ ๔๖๖/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๔ น.๓๓ มดี ที่จาเลยใช้เป็นอาวธุ เป็นมีดสปาต้ายาวประมาณ ๑
ศอก นับว่าเป็นมีดขนาดใหญ่ที่อาจใช้เป็นอาวุธฟันทาอันตรายแก่บุคคลอื่นถึงแก่ความตายได้ และ
จาเลยเข้าไปฟันผู้เสียหายบริเวณใบหน้าในขณะท่ีผู้เสียหายนอนอยู่ไม่ทันได้ระวังตัว ซ่ึงจาเลย
สามารถที่จะฟันโดยแรงให้ผู้เสียหายมีแผลฉกรรจ์ได้ แต่ปรากฏว่าบาดแผลท่ีผู้เสียหายได้รับบริเวณ
ดั้งจมูกมีขนาดยาวเพียง ๒ เซนติเมตร ส่วนท่ีศีรษะด้านหลังก็มีขนาดยาวเพียง ๓ เซนติเมตร
บาดแผลทั้งสองแห่งเป็นแผลต้ืนใช้เวลารักษาประมาณ ๑๕ วัน เท่าน้ัน จึงฟังไม่ได้ว่าจาเลยฟันโดย
แรง นอกจากนี้ยังได้ความจากผู้เสียหายว่ามีดท่ีจาเลยใช้ฟันมีผ้าพันทั้งด้าม โดยจาเลยเพียงดึงผ้า
ท่ีพันทางด้านปลายมีดออกเล็กน้อยเท่านั้น แสดงว่าจาเลยไม่ประสงค์ให้ผู้เสียหายได้รับอันตราย

406

ถึงชีวิต สาหรับสาเหตุที่จาเลยใช้มีดฟันผู้เสียหายนั้น ปรากฏว่าผู้เสียหายไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้า
จาเลยมาก่อน คงได้ความตามทางนาสืบของจาเลยว่ามีสาเหตุมาจากจาเลยเห็นว่าผู้เสียหายเป็น
วัยรุ่นหมู่บ้านปลาปากท่ีเคยทาร้ายเพ่ือนของจาเลย ซึ่งมิใช่สาเหตุร้ายแรงถึงกับจะต้องเอาชีวิตกัน
พฤติการณ์จึงยังฟังไม่ได้ว่าจาเลยมีเจตนาฆ่า คงฟังเพียงว่าจาเลยมีเจตนาทาร้ายร่างกายผู้เสียหาย
การกระทาของจาเลยจงึ มคี วามผิดเพยี งฐานทารา้ ยผู้เสียหายจนเปน็ เหตใุ หเ้ กิดอนั ตรายแกก่ าย

ฎกี าท่ี ๗๑๓๕/๒๕๔๗ (ประชุมใหญ่) ฎ.ส.ล.๑๐ น.๕๕ การที่ผูเ้ สยี หายถูกจาเลยรดั คอด้วย
มอื ซ้าย ผู้เสยี หายจึงดิ้นต่อสกู้ อดปลา้ กบั จาเลย จาเลยจงึ ไมม่ โี อกาสเลอื กแทง แต่แทงไปตามโอกาสท่ี
จะอานวยและไม่ได้ใช้กาลงั แทงรุนแรงนัก ท้ังเมื่อจะแทงอีก ผู้เสียหายปดั มือ จาเลยจึงเปล่ยี นเป็นใช้
ด้ามมีดกระแทกศีรษะผู้เสียหายแทน แสดงให้เห็นว่าไม่ต้องการแทงซ้า บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับมี
บาดแผลบวมช้าฉีกขาดกลางศีรษะและบาดแผลฉีกขาดหลังมือซ้ายตัดเอ็นน้ิวนางและนิ้วก้อยขาด
ส่วนบาดแผลที่บรเิ วณหน้าอกดา้ นขวาระดับซ่ีโครงที่ ๖ ไมป่ รากฏขนาดของบาดแผลไม่ทะลุเข้าไปใน
ช่องอก แสดงว่าจาเลยไม่ได้แทงอย่างแรง กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าจาเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
คงมีเจตนาทาร้ายผูเ้ สียหายเท่านนั้

ใช้ของอื่นถือว่ามีเจตนาฆ่า

ฎีกาท่ี ๒๓๔๕/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๖ น.๕๖ จาเลยใช้ไม้ขนาดใหญ่เป็นอาวุธตีที่ศีรษะผู้ตาย
ถูกท้ายทอยอันเป็นอวัยวะสาคัญที่ทาให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ แม้จาเลยจะใช้ไม้ตีผู้ตายเพียง
คร้ังเดียว แต่จาเลยเลือกตีที่ศีรษะและตีทางด้านหลังถูกท้ายทอยในขณะผู้ตายไม่มีโอกาสหลบหนีได้
เพราะนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์อยู่ ประกอบกับเป็นการตีอย่างแรงมากจนผู้ตายตกจากรถทันที
หน้าคว่าลงกับพ้ืนดิน ไม่ได้สติและถึงแก่ความตายระหว่างนาส่งโรงพยาบาล จาเลยย่อมเล็งเห็นผล
ได้ว่า ผู้ตายอาจถึงแก่ความตายจากการใช้ไม้ตีทาร้ายได้ จาเลยจึงมีเจตนาฆ่าผู้อ่ืน เมื่อผู้ตายถึงแก่
ความตายสมดงั เจตนาของจาเลย จาเลยมีความผิดฐานฆา่ ผ้อู ืน่ โดยเจตนาตามฟ้อง

ฎีกาที่ ๘๘๘๒/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๑๙๖ การที่จาเลยขับรถกระบะซึ่งมีขนาดใหญ่และ
มีแรงประทะมากกว่ารถจกั รยานยนตห์ ลายเท่าฝ่าเข้าไปหรือพุง่ ชนกลุ่มรถจกั รยานยนต์ของผูเ้ สยี หาย
ที่ ๑ กับพวกโดยแรง แม้กระทาเพียงคร้ังเดียวก็เห็นได้ว่า จาเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่า ท้ังคนขับและ
คนน่ังซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ท่ีถูกชนจะถงึ แก่ความตายได้ จึงถือว่าจาเลยมีเจตนากระทาต่อผู้ตาย
ท้ังสองโดยตรง ไม่ใช่กรณีที่จาเลยเจตนาที่จะกระทาต่อกลุ่มคนท่ีรุมทาร้ายจาเลย แต่ผลของการ
กระทาเกิดแก่ผู้ตายท้ังสองโดยพลาดไป เมื่อผู้ตายท้ังสองมิได้ข่มเหงจาเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอัน
ไมเ่ ป็นธรรม การกระทาความผดิ ตอ่ ผู้ตายท้งั สองจึงไม่อาจอา้ งเหตุบนั ดาลโทสะได้

ฎีกาที่ ๘๙๔๓/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๕๗ การที่จาเลยขับรถด้วยความเร็วไล่ติดตามชน
รถจักรยานยนต์ ๓ คัน ของฝ่ายผู้เสียหายโดยขับไล่ชนทีละคัน คันแรก ฟ. หลบหนีลงข้างทางได้ทัน
จงึ หันมาไล่ชนรถจักรยานยนต์ของ ส. เมื่อ ส. ขับหนีเข้าซอยไปได้ ก็หันมาไล่ชนรถจักรยานยนต์ของ

407

ผูเ้ สียหายซึ่งหนีไม่ทันถูกชนท้ายรถจนผู้เสียหายกระเดน็ ตกจากรถจักรยานยนต์ ส่วนรถจักรยานยนต์
กระเด็นกระแทกจนถังน้ามันรั่วมีรอยน้ามันหกไปตามทางที่รถจักรยานยนต์ไถลไป ส่วนผู้เสียหาย
ตกจากรถแล้วกระเด็นข้ามไปอยู่ในช่องเดินรถสวนอย่างเร็วจนรถแท็กซี่ท่ีสวนมาห้ามล้อไม่ทัน
เฉี่ยวชนซ้าอีก พฤติการณ์ที่จาเลยขับรถติดตามรถจักรยานยนต์ฝ่ายผู้เสียหายมาอย่างกระชั้นชิด
ด้วยความเร็วและไล่ชนทีละคัน เม่ือไล่ทันรถจักรยานยนต์ผู้เสียหายก็พุ่งชนอย่างแรง ซ่ึงรถจาเลย
มีขนาดและแรงปะทะมากกว่ารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่า จาเลย
เล็งเห็นผลไดว้ ่าอาจทาให้ผู้เสยี หายถึงแก่ความตายได้ นอกจากนีเ้ มอื่ ชนแล้วจาเลยยังลงจากรถพรอ้ ม
ถือมีดเหวี่ยงไปมาทาท่าไล่ฟันผู้เสียหายจนต้องรีบพยุงกันหนีข้ึนรถแท็กซ่ีไปทันที แสดงให้เห็นว่า
จาเลยมเี จตนาฆ่าผู้เสียหาย

ฎีกาที่ ๙๖๙๓/๒๕๕๔ ฎ.๒๐๓๙ รถยนตท์ ี่จอดขวางอยู่ทางด้านหนา้ มชี ่องว่างให้จาเลยท่ี ๑
สามารถขับรถยนต์หลบหนีไปได้ทันทีทั้งทางด้านซ้ายและด้านขวา โดยไม่ต้องขับรถยนต์ถอยหลัง
ก่อน การท่ีจาเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ถอยหลังด้วยความเร็วโดยทราบอยู่แล้วว่าผู้เสียหายซึ่งเป็น
เจ้าพนักงานยืนอยู่ทางด้านหลัง ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าหากผู้เสียหายไม่กระโดดหลบ รถยนต์ท่ีจาเลย
ท่ี ๑ ขับอาจชนผู้เสียหายท่ียืนอยู่ทางด้านหลังรถระยะห่างเพียง ๕ เมตร เป็นเหตุให้ผู้เสียหาย
ถึงแก่ความตายได้ การกระทาของจาเลยท่ี ๑ เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายซ่ึงเป็น
เจ้าพนักงานกระทาการตามหนา้ ทต่ี าม ป.อ. มาตรา ๒๘๙ (๒) ประกอบมาตรา ๘๐

ฎีกาท่ี ๒๗๔๖/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๓๕ เหล็กแหลมท่ีจาเลยใช้แทงผู้เสียหายนั้นเป็น
เคร่ืองมือใชใ้ นการเจาะปลอ่ ยลมยาง แมจ้ ะไม่มีคมแต่ก็มีลักษณะแหลมยาวถึง ๑๒ เซนตเิ มตร ดังนั้น
การที่จาเลยใช้กาลงั จว้ งแทงไปทบี่ รเิ วณช่องทอ้ งของผู้เสียหายซึ่งเป็นจุดอ่อนของรา่ งกาย แม้จ้วงแทง
ไปเพียงครงั้ เดยี ว หากขณะเกิดเหตุผู้เสียหายไมไ่ ด้ถอื แฟ้มเอกสารอยู่ทม่ี ือหรือยกแขนข้นึ ปิดก้ันไดท้ ัน
แล้วเช่ือว่าเหล็กแหลมน้ันจะแทงทะลุเข้าช่องท้องของผู้เสียหาย ทาอันตรายต่ออวัยวะสาคัญต่าง ๆ
ภายในช่องท้องของผู้เสียหายได้ประกอบกับบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับถึงขนาดกระดูกแขนขวาหัก
ย่อมแสดงว่าจาเลยแทงผู้เสียหายโดยแรงที่ช่องท้อง ดังนั้น จาเลยย่อมเล็งเห็นผลในการกระทาของ
จาเลยได้ว่าเหล็กแหลมที่จาเลยแทงไปนั้นอาจทะลุเข้าช่องท้องไปถูกอวัยวะต่าง ๆ ภายในชอ่ งท้องท่ี
เป็นอวัยวะสาคัญของร่างกายได้รับบาดเจ็บและผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายได้ พฤติการณ์ดังกล่าว
แสดงว่าจาเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหาใช่มีเพียงเจตนาจะทาร้ายผู้เสียหายไม่ อีกท้ังพฤติการณ์ที่
จาเลยตระเตรียมเหล็กแหลมของกลางไว้เพ่ือหาโอกาสแทงผู้เสียหายด้วยสาเหตุโกรธเคือง
ท่ีผ้เู สียหายเป็นตัวแทนฝ่ายนายจ้างไม่เจรจาช่วยเหลือฝ่ายจาเลยให้ได้รับเงินโบนัสพิเศษเพิ่มเติมนั้น
เมอ่ื สบโอกาสจาเลยจึงใช้เหล็กแหลมที่ตระเตรยี มไวจ้ ้วงแทงผ้เู สยี หาย ยอ่ มแสดงว่าจาเลยมีเจตนาฆ่า
ผู้เสียหายโดยไตรต่ รองไว้ก่อนดว้ ย

ฎกี าท่ี ๖๓๘๖/๒๕๖๐ ฎ.ส.ล.๙ น.๙๔ จาเลยใช้ลอ้ รถจักรยานยนต์เป็นอาวธุ ตีทาร้ายผู้ตาย
ทีศ่ ีรษะหลายทีมบี าดแผลฉกี ขาดยาวแผลละประมาณ ๖ ถึง ๗ เซนตเิ มตร ประมาณ ๖ แผล แผลฉีก
ขาดถึงกะโหลก ซ่ึงลักษณะความฉกรรจ์ของบาดแผลดังกล่าว แสดงว่าจาเลยตีอย่างรนุ แรง และเมื่อ

408

ทิ้งล้อรถจักรยานยนต์ลงในบ่อแล้ว จาเลยยังได้ผลักผู้ตายตกลงไปในบ่อปลาที่เกิดเหตุด้วย บ่อปลา
ที่เกิดเหตุมีความลึกกว่า ๒ เมตรถึง ๓ เมตร จาเลยย่อมคาดหมายได้แน่แท้ว่าผู้ตายซงึ่ ได้รับอันตราย
แก่กายที่ศีรษะเน่ืองจากถูกจาเลยใช้ล้อรถจักรยานยนต์ตีทาร้ายน้ันอาจจมน้าถึงแก่ความตายได้
ถอื ได้วา่ จาเลยทารา้ ยผู้ตายโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยเล็งเห็นผลตาม ป.อ. มาตรา ๕๙ วรรคสอง เมื่อ
ปรากฏว่าผู้ตายถึงแก่ความตาย แม้แพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพจะแสดงความเห็นว่าสาเหตุการตาย
ไม่สามารถแยกได้ว่าตายจากเลือดออกในสมองก่อนหรือจมน้าตาย ก็ต้องถือว่าผู้ตายถึงแก่ความตาย
เพราะถกู จาเลยทารา้ ยโดยมเี จตนาฆ่าผู้ตายโดยเลง็ เห็นผล หาใชจ่ าเลยมีเพยี งเจตนาทาร้ายไม่

ใชข้ องอน่ื ถือว่ามเี จตนาทาร้าย

ฎกี าที่ ๑๒๖๐/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๓ เจตนาฆ่าโดยเลง็ เหน็ ผลของการกระทาน้ัน ผ้กู ระทา
ต้องเล็งเห็นผลของการกระทาแล้วว่าจะทาให้ผู้ถูกกระทาถงึ แก่ความตายได้ ซ่ึงเป็นผลท่ีเห็นได้ชัดว่า
จะเกิดขึ้น มิใช่เพียงแค่อาจจะเกิดขึ้นเท่านั้น การท่ีจาเลยกับพวกร่วมกันถีบรถจักรยานยนต์
ท่ีผู้เสียหายทั้งสองขับด้วยความเร็ว ๗๐ กิโลเมตรต่อช่ัวโมง ซึ่งเป็นความเร็วไม่มาก ทาให้ผู้เสียหาย
ท้ังสองไถลไปตามไหล่ทางที่มีหญ้าขึ้นปกคลุมและได้รับบาดแผลถลอกเป็นส่วนใหญ่ คงมีแต่
ผูเ้ สยี หายที่ ๒ ที่นวิ้ มือขวาฉีกด้วยเทา่ นัน้ แสดงว่าจาเลยเพียงเจตนาทาร้ายเทา่ นัน้

ฎีกาท่ี ๖๔๓๑/๒๕๔๕ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๑๗๓ จาเลยใช้สายไฟที่ตัดจากสายพัดลมต่อปล๊ักไฟ
ในบ้านจีไ้ ปที่บริเวณหัวไหล่และต้นแขนขวาของผ้เู สยี หาย แล้วจาเลยวิง่ ไปสับคัตเอาท์ท่ดี ้านหลังบ้าน
โดยไม่หลบหนีไปทันที แต่กลับมาพูดขู่ผู้เสียหาย ซ่ึงหากจาเลยประสงค์จะเอาชีวิตของผู้เสียหาย
กย็ อ่ มกระทาได้เพราะมีเวลามากพอ การที่จาเลยกลับมาพูดขู่ผู้เสยี หายแทนที่จะหลบหนีไป แสดงให้
เห็นว่าการไปสับคัตเอาท์ดับไฟน้ัน ไม่ใช่เพราะเกรงว่าผู้เสียหายจะจาหน้าได้หรือเพื่อป้องกันการ
ตดิ ตาม จาเลยจึงมีเจตนากระทาเพียงเพ่ือให้ผู้เสียหายสลบไป และไม่อาจคาดหมายได้ว่าการกระทา
เช่นน้ันอาจมีผลให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ จาเลยจึงมีความผิดเพียงฐานทาร้ายร่างกายตาม
มาตรา ๒๙๕ ไมผ่ ิดฐานพยายามฆ่า

ฎีกาที่ ๑๑๒๐/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๒ น.๔๗ จาเลยทัง้ สามใช้เหลก็ แหลมแทงผลปาล์มน้ามนั ทบุ ตี
ผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายล้มลงไม่อยู่ในสภาพที่จะสามารถป้องกันตัวได้ หากจาเลยทั้งสาม
มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายจรงิ กน็ ่าจะใช้เหล็กแหลมแทงผลปาล์มน้ามันเลือกแทงในส่วนอวัยวะสาคญั ของ
ผู้เสียหายมากกว่าท่ีจะเพียงทุบตี ทั้งสาเหตุที่จาเลยทั้งสามมาทาร้ายผู้เสียหายก็สืบเน่ืองจากจาเลย
ท้ังสามเข้าใจว่าผู้เสียหายขโมยนกของจาเลยที่ ๑ ไป ทาให้จาเลยทงั้ สามไมพ่ อใจและตามมาเอาเรือ่ ง
ซึ่งกรณีดังกล่าวไม่ใช่เรื่องร้ายแรงถึงขนาดประสงค์จะเอาชีวิตกัน ประกอบกับลักษณะบาดแผลของ
ผู้เสียหายมเี พียงบาดแผลฉีกขาดที่คางด้านขวายาว ๓ เซนติเมตร ลึกถึงกระดูก กระดกู กรามด้านขวา
หัก ข้อศอกขวาฉีกขาด ยาว ๒ เซนติเมตรลึกถึงกระดูก กระดูกข้อศอกขวาหัก ขาขวาฉีกขาดยาว
๒ เซนติเมตร กระดูกขาขวาหัก ไม่ใช่บาดแผลร้ายแรงที่จะทาให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ ดังน้ี

409

พยานหลักฐานของโจทก์คงฟังได้เพียงว่าจาเลยท้ังสามมีเจตนาทาร้ายร่างกายผู้เสียหายเท่านั้น
การกระทาของจาเลยท้ังสามจึงมีความผิดฐานร่วมกันทาร้ายร่างกายผู้เสียหายเป็นเหตุให้ได้รับ
อันตรายสาหัสตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๗ (๘)

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๒๘๙ (๒)

ฎีกาที่ ๑๑๘๕/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๖ ขณะเจ้าพนักงานตารวจต้ังจุดตรวจ ภ. ขับรถยนต์
กระบะมีพวกนั่งอยู่ในห้องโดยสาร ๑ คน และมีพวกอีก ๔ คน ซ่ึงมีจาเลยรวมอยู่ด้วยนั่งท่ีกระบะ
รถยนต์ เมื่อมาถึงจุดตรวจแล้วไม่ยอมหยุดให้ตรวจกลับเร่งความเร็วรถหนีไป จ่าสิบตารวจ จ.
สิบตารวจตรี ท. และสิบตารวจตรี ส. จึงกระโดดขึ้นไปบนกระบะรถยนต์ของกลาง จาเลยกับพวก
ยินยอมให้เจ้าพนักงานตารวจใส่กุญแจมือโดยดีไม่มีท่าทีจะต่อสู้ หลังจากนั้นเจ้าพนักงานตารวจ
ใช้อาวุธปืนยิงขู่และทุบกระจกเพื่อให้ ภ. หยุดรถ แต่ ภ. ยังคงขับรถต่อไป จนกระท่ังต่อมาเม่ือพวก
คนหนึ่งตะโกนว่าสู้มัน จาเลยกับพวกที่น่ังในกระบะรถยนต์เข้าต่อสู้กับสิบตารวจตรี ท. และ
สิบตารวจตรี ส. แล้วพวกคนหน่ึงใช้อาวุธปืนยิงสิบตารวจตรี ส. ถงึ แก่ความตาย สว่ นพวกอีกคนที่น่ัง
ในห้องโดยสารใช้อาวุธปืนยิงสิบตารวจโท ท. ที่ใบหน้าได้รับอันตรายสาหัสโดยจาเลยถูกกระสุนปืน
ที่เท้าด้วย จากน้ัน ภ. กับพวกนาเจ้าพนักงานตารวจทั้งสองที่ถูกยิงไปท้ิงในซอยหมู่บ้านจัดสรร
พฤติการณ์แสดงว่าจาเลยกับพวกมิได้คบคิดกันจะฆ่าและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานตารวจต้ังแต่แรก
แต่การฆ่าและพยายามฆ่าดังกล่าวเกิดขึ้นในทันทีทันใดระหว่างมีการต่อสู้กันโดยไม่ปรากฏว่าจาเลย
มีการกระทาใดท่ีแสดงว่ามีส่วนร่วมด้วย แต่กลับถูกกระสุนปืนจากการยิงต่อสู้กันเข้าท่ีเท้าบ่งช้ีว่า
น่าจะไม่รู้มาก่อนด้วยว่าจะมีการใช้อาวุธปืนยิงกัน ดังนี้ การกระทาของจาเลยยังฟังไม่ได้ว่าจาเลย
รว่ มกับพวกฆา่ สิบตารวจตรี ส. และพยายามฆา่ สบิ ตารวจตรี ท.

การที่ ภ. ไม่ยอมหยุดรถเมื่อเจ้าพนักงานตารวจกระโดดขึ้นไปบนรถเพ่ือจับกุม แต่ยังคง
ขบั รถตอ่ ไปและเม่ือเจ้าพนกั งานตารวจกระทาการเพื่อให้ ภ. หยดุ รถอกี แต่ ภ. ก็ยงั ขับรถต่อไปทาให้
เจ้าพนักงานตารวจไม่สามารถลงจากรถมาตรวจค้นจาเลยกับพวกได้นั้น ภ. กระทาไปโดยเจตนา
หลบหนีให้พ้นจากการจับกุมให้ได้เท่านั้น ยังไม่เพียงพอจะรับฟังว่ามีเจตนาหน่วงเหนี่ยวกักขัง หรือ
ทาใหเ้ จ้าพนักงานตารวจทข่ี ึ้นไปบนรถปราศจากเสรีภาพในรา่ งกาย

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๒๘๙ (๔)

ฎีกาท่ี ๔๓๓/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๔๗ การฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หมายความว่า
ก่อนทาการฆ่าผู้กระทาผิดได้คิดไตร่ตรองบททวนแล้วจึงตกลงใจกระทาความผิด ไม่ใช่กระทาไป
โดยปัจจุบันทันด่วนเพราะเมาสุราหรือบันดาลโทสะ การไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นเหตุเก่ียวกับเจตนา
สว่ นตัวของผ้กู ระทาผิด ผรู้ ่วมกระทาผดิ ท่ีมิไดไ้ ตรต่ รองไวก้ ่อนไม่มีความผิดดว้ ย เพราะกฎหมายมงุ่ ถึง
การไตร่ตรองไว้ก่อนซึ่งเป็นสภาพจิตใจของแต่ละคน การจะเป็นตัวการร่วมกันฐานฆ่าผู้อื่นโดย

410

ไตร่ตรองไว้กอ่ นจึงต้องมีลกั ษณะเป็นการวางแผนการคบคิดกนั มาแตต่ ้นท่ีจะไปฆ่าผู้อน่ื หรอื ด้วยการ
ใช้จ้างวาน หรือไปดักฆ่าผู้อื่นโดยมีพฤติการณ์ร่วมกันมาแต่ต้น จาเลยที่ ๒ และ ธ. ร่วมกันฆ่าผู้ตาย
เพราะมีสาเหตโุ กรธเคืองกับผู้ตาย ส่วนจาเลยท่ี ๑ ได้ร่วมกระทาความผิดด้วยเพราะเมาสุราโดยไม่มี
สาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตายมาก่อน และเป็นญาติพ่ีน้องกับผู้ตาย ทั้งก่อนเกิดเหตุได้มีการดื่มสุรากัน
โดยไม่ปรากฏว่าจาเลยท่ี ๑ ได้ร่วมวางแผนกับจาเลยท่ี ๒ มาก่อน การท่ีจาเลยท่ี ๑ ร่วมไปฆ่าผู้ตาย
จงึ เปน็ การตัดสินใจในทันทีทนั ใดลกั ษณะตกกระไดพลอยโจนมากกวา่ ดังน้ี จาเลยที่ ๑ คงมีความผิด
ฐานฆา่ ผู้อื่นตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๘ เท่านัน้ ไมเ่ ปน็ ความผดิ ฐานฆา่ ผู้อื่นโดยไตรต่ รองไวก้ ่อนตาม ป.อ.
มาตรา ๒๘๙ (๔)

ฎีกาที่ ๑๓๑๑๓/๒๕๕๖ ฎ. ๓๑๒๑ ก่อนเกิดเหตุจาเลยที่ ๑ ฝากเงิน ๒,๘๐๐ บาท ให้ ว.
นาไปมอบให้ ป. เพอ่ื ซ้ือเมทแอมเฟตามีน แต่ ป. ไมไ่ ดซ้ ้ือและไมม่ ีเงินคืนให้ เม่ือ ว. กบั จาเลยท่ี ๒ ไป
ทวงเงิน ป. ป. ตบหน้า ว. ว. เกิดความแค้นจึงร่วมกับจาเลยทั้งสองเตรียมการไปยิง ป. แต่
การท่ี ว. ใช้อาวุธปืนยิงไปที่ประตูบ้าน ๒ นัด หลังจากผู้ตายตะโกนบอกว่า ป. ไม่อยู่ กระสุนปืนถูก
ผู้ตายถึงแก่ความตาย เป็นการกระทาท่ีเล็งเห็นผลได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกคนในบ้านถึงแก่ความตาย
มิไดป้ ระสงคต์ ่อผลโดยตรงท่ีจะยิงใหถ้ กู น. เนอ่ื งจากมองไม่เห็นว่า น. อยู่ทใี่ ด จึงไมอ่ าจลงโทษจาเลย
ทั้งสองในฐานเป็นตัวการร่วมกันฆ่าผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คงลงโทษได้ในฐานร่วมกันฆ่าผู้อ่ืนโดย
บุคคลจะต้องรับโทษหนักขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงใดบุคคลน้ันจะต้องได้รู้ข้อเท็จจริงน้ันตาม ป.อ.
มาตรา ๖๒ วรรคทา้ ย

ฎีกาท่ี ๕๐๓๔/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๕๒ พฤติการณ์ท่ีจาเลยเพียรมาตามหาผู้ตายทีบ่ า้ นเกิด
เหตุหลายครั้ง และในวันเกิดเหตุเวลาค่าจาเลยก็มาหาผู้ตายอีกและพูดคุยกันอยู่ครู่หน่ึง จาเลยและ
พวกจึงร่วมกันยิงผู้ตาย ส่อให้เห็นว่าจาเลยและพวกมิได้ตระเตรียมการท่ีจะฆ่าผู้ตายมาก่อน เพราะ
จาเลยก็รู้จักบ้านของผู้ตายดี หากจาเลยและพวกมีเจตนาจะฆ่าผู้ตายมาตั้งแต่ต้น จาเลยก็น่าจะยิง
ผู้ตายเสียในทันทีท่ีผู้ตายปรากฏตัวออกมา คงไม่ต้องมาเจรจาตกลงกันอยู่ช่วงเวลาหน่ึงก่อนจึงยิง
ผู้ตายเช่นน้ี การกระทาของจาเลยจึงเป็นเพียงการฆ่าผู้อ่ืน มิใช่เป็นการฆ่าผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

ฎีกาท่ี ๑๖๔๖/๒๕๕๙ ก่อนเกิดเหตุผู้ตายกับจาเลยต่างเมาสุราโต้เถียงทะเลาะกัน จาเลย
กลับบ้านเอามีดดาบของกลางมาขู่ผู้ตาย ผู้ตายกับจาเลยโต้เถียงกันอีก แล้วจาเลยถือมีดดาบว่ิงไล่
ผู้ตายไปจนถึงบริเวณท่ีผู้ตายกับพวกนั่งดื่มสุรากัน อ. เข้าไปห้ามจาเลย จาเลยจึงกลับบ้านโดยไม่ได้
ฟันผู้ตาย ผู้ตายกลับมานั่งด่ืมสุรากับพวกตอ่ สักครหู่ น่ึงผู้ตายเดินออกไปทางท้ายซอยห่างจากวงสุรา
ประมาณ ๑๐ เมตร และยืนช้ีมาทางบ้านจาเลยลักษณะท้าทาย จาเลยโมโหจงึ ได้ขับรถจักรยานยนต์
เข้าไปหาผู้ตายแล้วใช้มีดดาบฟันผู้ตาย ดังน้ี พฤติการณ์ของจาเลยหลังจากที่จาเลยใช้มีดดาบวิ่งไล่
ผู้ตายไปจนถึงท่ีเกิดเหตุและใช้มีดดาบเล่มเดิมฟันผู้ตาย เป็นเหตุการณ์ท่ีต่อเน่ืองกันไม่ขาดตอน
ถอื ไมไ่ ดว้ า่ จาเลยกระทาการโดยไตรต่ รองไวก้ ่อน

ฎีกาท่ี ๑๑๘๐/ ๒๕๕๘ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๑๐ การฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หมายความว่า
ก่อนทาการฆ่าผู้กระทาผิดได้คิดไตร่ตรองทบทวนแล้วจึงตกลงใจกระทาความผิด ไม่ใช่กระทาไปโดย

411

ปัจจุบันทันด่วนเพราะเมาสุราหรือบันดาลโทสะ พฤติการณ์ท่ีจาเลยกับผู้ตายเล่นการพนันและ
ทะเลาะวิวาทกันขณะจาเลยเมาสุราน้ันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ความโกรธจะมากน้อย
เพียงใดก็แล้วแต่สภาพจิตของแต่ละคน แต่การที่จาเลยออกจากที่เกิดเหตุแล้วกลับมาอีกครั้งใช้เวลา
ประมาณ ๕ นาที พร้อมอาวุธมีด แสดงว่าจาเลยโกรธมากในการทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย ระยะเวลา
ท่ีเกิดขึ้นรวดเร็วเพียงนั้น โอกาสท่ีจาเลยจะได้คิดไตร่ตรองทบทวนไว้ก่อนย่อมมีน้อย การท่ีจาเลย
กลับมายังที่เกิดเหตุแล้วใช้อาวธุ มีดแทงผู้ตายในเวลาต่อเนื่องกัน จึงไม่พอรับฟังว่า จาเลยมีเจตนาฆ่า
ผ้ตู ายโดยไตรต่ รองไวก้ ่อน

ฎีกาที่ ๒๐๕๒/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๖ การฆ่าผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หมายความว่าก่อน
ทาการฆ่าผู้กระทาผิดได้คิดไตร่ตรองทบทวนแล้วจึงตกลงใจกระทาความผิด ไม่ใช่กระทาไปโดย
ปจี จุบันทันด่วน การที่จาเลยมาพบผู้ตายอยู่ในร้านเกิดเหตุ และจ้องหน้ากันครั้งหนึ่งแล้วกลับบ้าน
ประมาณ ๕-๑๐ นาที จาเลยก็กลับเข้ามาในร้านอีกครั้งหนึ่ง จนเกิดเหตุยิงผู้ตาย ก็จะแปลความว่า
จาเลยคิดทบทวนและตระเตรียมการเพื่อฆ่าผู้ตายหาได้ไม่ เพราะว่าก่อนเกิดเหตุจาเลยและผู้ตาย
พบกันที่ร้านเกิดเหตโุ ดยบังเอญิ เม่ือมีการจอ้ งหน้ากนั แล้วจาเลยได้ออกจากรา้ นดงั กล่าวไปประมาณ
๕-๑๐ นาที ก็กลับมาที่ร้านโดยไม่คาดคิดว่าจะพบผู้ตายอีก จึงเห็นได้ว่าจาเลยมาพบผู้ตายท่ีร้าน
เกิดเหตุแล้วมคี วามคดิ ทจี่ ะแกแ้ ค้นผ้ตู าย หลังจากท่ีมีการโตเ้ ถียงกนั แสดงว่าจาเลยมคี วามคิดท่ีจะฆ่า
ผู้ตายเพิ่งเกิดข้ึนภายหลังเมื่อพบเห็นผู้ตายภายในร้านเกิดเหตุอันเนื่องมาจากจาเลยและผู้ตาย
มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน การกระทาของจาเลยยังถือไม่ได้ว่ากระทาโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จาเลย
คงมคี วามผดิ ฐานฆ่าผู้อน่ื ตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๘ เท่านั้น

ฎีกาที่ ๗๒๙/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๔๘ จาเลยท่ี ๑ ใช้จอบซ่ึงมีคมจอบกว้าง ๖ ถึง ๗ นิ้ว
ด้ามยาว ๑.๕ เมตร เป็นอาวุธฟันผู้เสียหายและผู้ตาย ๑ ครั้ง คมจอบไม่ถูกผู้เสียหายเพราะหลบทัน
แต่ถูกที่ศีรษะของผู้ตายซึง่ เป็นอวัยวะสาคัญ จาเลยท่ี ๑ ย่อมเล็งเห็นผลในการกระทาของจาเลยที่ ๑
ได้ว่าอาจทาให้ผู้เสียหายและผู้ตายถึงแก่ความตายได้ แม้มูลเหตุที่จาเลยท่ี ๑ ไม่พอใจผู้เสียหายจะ
ไม่ใช่สาเหตุรา้ ยแรงถึงขนาดท่ีจาเลยที่ ๑ จะต้องฆ่าผู้เสียหายและผู้ตายกต็ าม กต็ ้องถือว่าจาเลยที่ ๑
กระทาไปโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายและผู้ตาย เม่ือผู้ตายถึงแก่ความตายและผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความ
ตาย การกระทาของจาเลยท่ี ๑ จึงเปน็ ความผิดฐานฆ่าผ้อู ่ืนและฐานพยายามฆ่าผู้อ่ืน ทั้งการท่ีจาเลย
ท่ี ๑ ตระเตรียมจอบเป็นอาวุธดักรอทาร้ายผู้เสียหายและผู้ตาย เมื่อผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์
มีผู้ตายน่ังซ้อนท้ายผ่านมา จาเลยท่ี ๑ ใช้จอบฟันทาร้ายผู้เสียหายและผู้ตายทันทีโดยจาเลยท่ี ๑
และผู้เสียหายกับผู้ตายไม่ได้ทะเลาะวิวาทหรือโต้เถียงกันอีก พฤติการณ์เช่นน้ีแสดงว่า จาเลยท่ี ๑
ได้วางแผนตระเตรียมการที่จะฆ่าผู้เสียหายและผู้ตายมาก่อนแล้ว จาเลยท่ี ๑ จึงมีความผิดฐาน
ฆา่ ผอู้ นื่ โดยไตร่ตรองไวก้ ่อนและพยายามฆ่าผู้อ่นื โดยไตรต่ รองไว้ก่อน

จาเลยที่ ๒ ขับรถจักรยานยนต์มีจาเลยที่ ๑ นั่งซ้อนท้ายไปยังสถานท่ีเกิดเหตุ แล้วจาเลย
ท่ี ๑ เตรียมจอบเป็นอาวุธดักทาร้ายผู้เสียหายและผู้ตาย แสดงให้เห็นว่าจาเลยที่ ๒ สมคบกับจาเลย

412

ที่ ๑ ท่ีจะทาร้ายผู้เสียหายและผู้ตาย แม้การท่ีจาเลยท่ี ๒ ขับถจักรยานยนต์พาจาเลยที่ ๑ นั่งซ้อน
ทา้ ยไปยังสถานทีเ่ กิดเหตุและพาจาเลยที่ ๑ หลบหนีไปพร้อมกันจะมิใช่เป็นการกระทาในส่วนสาคัญ
หรือสาระสาคัญของความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรอง
ไว้ก่อน แต่การท่ีจาเลยท่ี ๒ อยู่ที่รถจักรยานยนต์ซึ่งจอดอยู่ห่างจากจาเลยที่ ๑ ประมาณ ๑๕ ถึง
๒๐ เมตร นั้น มีลกั ษณะทพี่ ร้อมจะเข้าชว่ ยเหลอื จาเลยท่ี ๑ ได้ทันท่วงทหี ากเกดิ เหตขุ ดั ข้องขึ้น ถอื ได้
ว่าเป็นการร่วมกระทาความผิดโดยแบ่งหน้าทก่ี ันทากบั จาเลยที่ ๑ การกระทาของจาเลยที่ ๒ จึงมิใช่
เป็นเพยี งผู้สนบั สนนุ การกระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๘๖ แต่เปน็ ตวั การตามมาตรา ๘๓ รว่ มกับ
จาเลยที่ ๑ กระทาความผิดฐานฆ่าผูอ้ ื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและพยายามฆ่าผ้อู ่ืนโดยไตรต่ รองไวก้ ่อน

ฎีกาที่ ๔๗๒๐/๒๕๕๙ ฎ.๑๕๗๖ จาเลยบอกให้โจทก์ร่วมอยู่ก่อนแล้วขับรถจักรยานยนต์
ออกไปประมาณ ๓๐ นาที จึงขบั รถกลับมายังที่เกดิ เหตุแล้วลงจากรถมาใชอ้ าวุธปืนยิงโจทก์ร่วมทนั ที
ระหว่างที่จาเลยขับรถจักรยานยนต์ออกไปจากท่ีเกิดเหตุจนกระท่ังกลับมายังที่เกิดเหตุอีกครั้งหน่ึง
จาเลยย่อมมีเวลานานเพียงพอท่ีจะไตร่ตรองว่าจะใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมหรือไม่ การท่ีจาเลย
ตัดสินใจใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม แต่โจทก์ร่วมไม่ถึงแก่ความตาย จาเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่า
ผอู้ ื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

ฎีกาที่ ๑๑๖๗๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๒๗๓ กอ่ นท่ีจาเลยจะใช้อาวธุ ปนื ยิงผู้เสียหาย จาเลย
พดู กับผู้เสียหายว่า “ไม่ต้องมายุ่งกับครอบครวั ของกู ครอบครวั ของกูจัดการเองได้” คาพูดของจาเลย
ดังกล่าวเป็นการตอกย้าให้ผู้เสียหายทราบถึงสาเหตุที่จาเลยไม่พอใจผู้เสียหายที่ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่อง
ครอบครัวของจาเลยและเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องเพียงเล็กน้อยสาหรับจาเลย เม่ือผู้เสียหายตอบว่า
“ได้” อันเป็นการรับปากต่อจาเลยว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเร่ืองครอบครัวของจาเลยอีก จาเลยก็ยังคงใช้
อาวุธปืนที่ติดตัวมายิงผู้เสียหายทันที ๒ นัด ดังน้ัน คาพูดรับปากของผู้เสียหายจึงไม่มีผลกระทบต่อ
การตัดสินใจของจาเลยให้มีผลเปล่ียนแปลงไป แสดงว่าจาเลยได้คิดใคร่ครวญตัดสินใจท่ีจะใช้อาวุธ
ปืนที่ติดตัวมายิงผู้เสียหายให้ถึงแก่ความตายมาแต่ต้นแล้ว มิใช่เป็นการตัดสินใจเพราะเหตุปัจจุบัน
ทันด่วนและเม่ือจาเลยยิงผู้เสียหายแล้ว จาเลยวิ่งออกจากบ้านผู้เสียหายไปขับรถจักรยานยนต์
ที่ติดเคร่ืองยนต์รออยู่หลบหนีไป พฤติการณ์ของจาเลยแสดงให้เห็นถึงการกระทาที่มีการวางแผน
มาแต่ต้นว่าเมื่อก่อเหตุแล้วจะหลบหนีด้วยวิธีใดฟังได้ว่าจาเลยพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรอง
ไวก้ อ่ น

ฎกี าท่ี ๘๔๖๑/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๙๗ การฆ่าผูอ้ ื่นโดยไตรต่ รองไว้ก่อน ผกู้ ระทาความผิด
ได้คิดไตร่ตรองทบทวนแล้วจึงตกลงใจกระทาความผิด หาใช่เป็นการกระทาในลักษณะปัจจุบันทัน
ด่วนไม่ พฤติการณ์ที่เม่ือจาเลยสืบทราบว่าผู้ตายเป็นคนลักวิทยุเทปติดรถยนต์ของบิดาจาเลยไป
จาเลยได้ตระเตรียมอาวุธปืนแล้วออกติดตามตัวผู้ตายมาโดยตลอด อีกทั้งข้อเท็จจริงได้ความตาม
บันทึกคาให้การชั้นสอบสวนของ ม. ว่า จาเลยบอกแก่ ม. ว่าจะยิงผู้ตายพร้อมเปิดเสื้อให้ดอู าวุธปืนท่ี
ตระเตรยี มมา ม. ได้พูดขอร้องจาเลยว่าอย่าเพ่ิงยิงผู้ตาย ขออาสาพูดกับผู้ตายให้คืนวิทยุเทป แต่เมื่อ
ม. อ. และผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ออกไปจะกลับบ้าน จาเลยได้เรียกให้กลับมาหาอีกครั้ง จากนั้น

413

จึงเป็นเหตุการณ์ที่จาเลยชวนผู้ตายไปคุยกันลาพังสองคนก่อน ท่ีจะใช้อาวุธปืนที่เตรียมมายิงผู้ตาย
แสดงว่า ม. ยังไม่มีโอกาสได้พูดกับผู้ตายให้คืนวิทยุเทปแต่อย่างใด จาเลยก็เรียกชวนผู้ตายไปตกลง
กันลาพังสองคน แล้วใช้อาวุธปืนท่ีเตรียมมายิงผู้ตาย ประกอบกับจาเลยยิงผู้ตาย ๒ นัด จนล้มลง
แล้วยิงซ้าเป็นนัดท่ี ๓ ที่บริเวณศีรษะผู้ตายแล้ววิ่งไปข้ึนรถจักรยานยนต์ที่ ร. ติดเคร่ืองรออยู่
การกระทาของจาเลยช้ีให้เห็นว่า จาเลยได้คิดทบทวนล่วงหน้าก่อนจะกระทาผิดแล้ว จาเลย
จึงมคี วามผดิ ฐานฆ่าผตู้ ายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๒๘๙ (๕)

ฎีกาที่ ๑๖๕๔๕/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๑๙๔ การท่ีจาเลยใช้จอบตีและฟันศีรษะผู้ตายจน
กะโหลกแตก แสดงให้เห็นว่าจาเลยมีเจตนาจะให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในทันที ที่จาเลยไม่ช่วยเหลือ
ผู้ตายหลังจากถูกจาเลยทาร้ายแล้ว เป็นผลต่อเน่ืองจากการทาร้ายเท่านั้น มิใช่เพ่ือให้ผู้ตายได้รับ
ความเจ็บปวดทรมาน จึงถือไมไ่ ดว้ ่าเป็นการฆา่ โดยกระทาทารุณโหดร้ายตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๙ (๕)

ฎีกาที่ ๕๒๐๑/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๖๒ แม้น้ากรดจะมิใช่อาวุธโดยสภาพ แต่ก็เป็นสารเคมี
ชนิดกรดเกลือซ่ึงมีคุณสมบัติกัดกร่อนชนิดรุนแรงท่ีทาให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต เมื่อจาเลยใช้ราดใส่
ร่างกายของผู้ตายจนเป็นเหตุให้มีบาดแผลไหม้พองสุกลอกเกือบหมด บางส่วนด้านแข็ง ท่ีบริเวณ
ใบหน้า ลาคอ ทรวงอก ล้ินปี่ แผ่นหลัง บั้นเอว กน้ กบ แขนและมอื ซึ่งเป็นบาดแผลท่ีปรากฏภายนอก
เกอื บทั่วทั้งร่างกายของผู้ตาย ยอ่ มบ่งชี้ได้ว่าน้ากรดทีจ่ าเลยใช้นั้นมีปริมาณไม่นอ้ ย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
สาเหตุการตายของผู้ตายก็เนื่องจากระบบหายใจไหลเวียนโลหิตล้มเหลวจากสารเคมีทาลายผิวหนัง
และผู้ตายก็ถึงแก่ความตายในคืนเกิดเหตุน้ีเอง อันเป็นผลโดยตรงมาจากน้ากรดซึ่งจาเลยกระทาไป
โดยรู้สานึก และในขณะเดียวกันย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าการกระทาดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่
ความตายได้ โดยก่อนถึงแก่ความตายนั้นผู้ตายย่อมต้องได้รับความลาบากและเจ็บปวดอย่างทรมาน
แสนสาหัสจากบาดแผลท่ไี ด้รับ จาเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยทรมานและทารุณโหดรา้ ย

ฎีกาที่ ๖๐๘๓/๒๕๔๖ ฎ.๑๑๕๐ จาเลยใช้อาวุธปืนยิงศีรษะผู้ตาย กระสุนปืนเข้าทางขมับ
ซ้ายทะลุออกขมับขวา แสดงให้เห็นว่าจาเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายให้ตายทันที แม้ผู้ตายไม่ได้ถึงแก่ความ
ตายทันที และจาเลยใช้มีดตัดศีรษะผู้ตายขณะท่ีผู้ตายยังไม่ถึงแก่ความตาย แต่จาเลยไม่มีเจตนา
ทาให้ผู้ตายได้รับความลาบากทรมานสาหัสก่อนตาย และไม่ได้ความแจ้งชัดว่าจาเลยได้กระทาการ
อยา่ งไรอันเป็นการทรมานหรอื ทารุณโหดร้ายผตู้ าย การท่ีจาเลยใช้มดี ตัดคอผูต้ ายและใช้มีดชาแหละ
ศพผู้ตายออกเป็นชิ้น ๆ แล้วท้ิงชิ้นส่วนศพบางส่วนลงในส้วมชักโครกกับนาช้ินส่วนศพบางส่วนไปท้ิง
ท่ีแม่น้า จาเลยมีเจตนาทาลายศพเพ่ือปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตายเท่าน้ัน มิใช่เพื่อให้ผู้ตาย
ได้รับความเจ็บปวดทรมานจนกระท่ังขาดใจตาย ถือไม่ได้ว่าจาเลยฆ่าผู้ตายโดยทรมานหรือโดย
กระทาทารุณโหดรา้ ยตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๙ (๕)

จาเลยมีอาวุธปืนและมีดไว้ในห้องพักท่ีเกิดเหตุเพ่ือตระเตรียมไว้สาหรับฆ่าผู้ตายและ

414

ชาแหละศพผู้ตาย ส่วนของศพที่ชาแหละแล้วย่อมมีกล่ินคาวและมีน้าเลือดน้าเหลืองไหลซึมออกมา
การนาออกจากห้องพักไปทิ้งย่อมต้องใช้วัสดุสิ่งของสาหรับห่อหุ้มและบรรจุเพื่อดูดซับน้าเลือด
น้าเหลืองและกล่ินคาว รวมท้ังปกปิดไม่ให้มีผู้พบเห็น การท่ีจาเลยสามารถนาช้ินส่วนศพผู้ตายออก
จากห้องพักไปทิ้ง นาอาวุธปืน มีดและทรัพย์ของผู้ตายไปซ่อนตามสถานท่ีต่าง ๆ ตลอดจนนาเส้ือผ้า
ของผู้ตายไปเผาทาลายภายในระยะเวลาอันส้ันโดยไม่มีผู้พบเห็น แสดงว่าจาเลยได้วางแผนไว้
ล่วงหนา้ แล้ว จึงเปน็ การฆ่าผู้ตายโดยไตรต่ รองไว้กอ่ น

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๒๘๙ (๖)

ฎกี าท่ี ๓๙๖๘/๒๕๕๔ ฎ.๒๒๗๕ ขณะจาเลยที่ ๑ ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย จาเลยท่ี ๒ และ
ที่ ๓ มิได้กระทาการใดอันเป็นการแสดงว่าร่วมรู้เห็นในการที่จาเลยท่ี ๑ ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย
การที่จาเลยท่ี ๑ กระชากสร้อยคอทองคาของผู้เสียหายแล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย เม่ือผู้เสียหาย
ว่ิงหนีจาเลยท่ี ๑ ยังใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายอีก เป็นการกระทาโดยลาพังของจาเลยท่ี ๑
ในทันทีทันใดนั้นเอง เพียงแต่จาเลยที่ ๒ เป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์ และจาเลยท่ี ๓ เป็นผู้ดูต้นทาง
ขณะจาเลยท่ี ๑ กระชากสร้อยคาทองคาของผู้เสียหายและขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปพร้อมกับ
จาเลยที่ ๑ จึงฟังไม่ได้ว่าจาเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ ร่วมกับจาเลยที่ ๑ พยายามฆ่าผู้เสียหายเพ่ือความ
สะดวกในการทีจ่ ะกระทาความผิดอยา่ งอ่นื และยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบดิ โดยใชเ่ หตใุ นเมือง

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๒๙๐

ฎีกาท่ี ๖๐๒๐/๒๕๕๙ ฎ.ส.ล.๙ น.๒๘ จาเลยท่ี ๑ ร่วมเดินทางไปกับพวกไปท่ีเกิดเหตุโดย
ทราบมาก่อนแล้วว่าพวกของจาเลยที่ ๑ จะไปทาร้ายผู้เสียหาย และหลังเกิดเหตุกห็ ลบหนีไปด้วยกัน
ยอ่ มแสดงให้เห็นว่าจาเลยท่ี ๑ มเี จตนาที่จะรว่ มทาร้ายผู้เสียหายกับพวกซึ่งมกี ารคิดไตร่ตรองไว้ก่อน
แลว้ จึงฟังได้ว่าจาเลยท่ี ๑ มีเจตนาเพียงต้องการทาร้ายผ้เู สียหายโดยไตรต่ รองไว้ก่อนเท่านั้น แตเ่ ม่ือ
ผลการกระทาของพวกจาเลยที่ ๑ ไม่ทาให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ แต่พลาดไปถูกผู้ตายจนเป็นเหตุ
ให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จาเลยที่ ๑ จึงต้องรับผลแห่งการกระทาน้ัน จาเลยที่ ๑ จึงมีความผิดฐาน
ร่วมกันพยายามทาร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๖ ประกอบมาตรา
๘๐ และฐานทาร้ายผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและไม่มีเจตนาฆ่า แต่เป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย
โดยพลาดตามมาตรา ๒๙๐ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๖๐

ฎีกาที่ ๗๗๑๔/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๖๑ จาเลยทาร้ายผู้ตายโดยการชกต่อย ซ่ึงมิได้
ก่อให้เกิดบาดแผลแก่ผู้ตายถึงขนาดจะเป็นเหตุแห่งความตายได้ แต่ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะ
บาดแผลอันเกิดจากการใช้อาวุธปืนยิง ซ่ึงกระทาโดย ณ. คนเดียว และจากคาเบิกความของ ธ. และ
ล. ผู้เป็นเพ่ือนผู้ตายว่า ขณะที่พยานทั้งสองอยู่ท่ีหน้าร้านโดมมีเสียงผู้ชายตะโกนถามว่าใครชื่อ ม.

415

ผู้ตายจึงพูดว่า ม. น้องกูเอง มีอะไรหรือเปล่า ทันใดนั้น จาเลยก็เดินเข้าไปชกต่อยผู้ตายซึ่งนั่งซ้อน
ท้ายรถจักรยานยนต์อยู่ แล้ว ณ. ก็ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทันที แสดงให้เห็นว่าจาเลยกระทาการโดย
เจตนาเพียงร่วมทาร้ายผู้ตายก่อน ไม่ปรากฏหลักฐานใดท่ีบ่งชี้ให้เห็นว่า จาเลยมีส่วนร่วมรู้เห็นหรือ
คบคดิ กันหรือคาดหมายหรือเล็งเห็นได้ว่า ณ. จะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แสดงใหเ้ ห็นวา่ เจตนาในการฆ่า
ผู้ตายโดยการใช้อาวุธปืนนเ้ี ป็นเจตนาท่ีเกิดขึ้นเฉพาะตัว ณ. จึงไม่อาจรับฟังเป็นโทษแก่จาเลยว่าได้มี
เจตนาร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยการแบ่งหน้าท่ีกันทา แม้จาเลยมีเจตนาเพียงร่วมในการทาร้ายผู้ตาย แต่
ต้องรับผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันทาร้ายผู้อ่ืนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๐
วรรคแรก ประกอบมาตรา ๘๓

ฎีกาท่ี ๒๖๖๓/๒๕๖๐ ฎ.๔๐๐ จาเลยท่ี ๑ ถึงที่ ๔ กับพวกทะเลาะวิวาทกับผู้ตายจน
แยกย้ายกันไปแล้ว แต่ระหว่างที่ท้ังสองฝ่ายจะกลับบ้าน พวกของจาเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ พูดว่า
“จะไปเอาคืน”ีและเมื่อจาเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๔ กับพวกขับรถจักรยานยนต์ไปถึงบริเวณที่เกิดเหตุ พวก
ของจาเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ พูดว่า “ให้ดักรออยู่ที่น่ี”ีแสดงว่าจาเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๔ กับพวกร่วมคบคิดกัน
เพื่อจะมาทาร้ายผู้ตายตั้งแต่ต้น เมื่อผู้ตายขับรถจักรยานยนต์มาถึงท่ีเกิดเหตุและรถจักรยานยนต์ล้ม
จาเลยที่ ๑ ถงึ ท่ี ๔ กับพวก ก็ว่งิ เข้าไปไลท่ าร้ายผ้ตู ายพร้อมกัน พฤติการณ์การกระทาของจาเลยท่ี ๑
ถึงท่ี ๔ กับพวกจึงเป็นตัวการร่วมกันกระทาความผิด แม้จาเลยที่ ๑ ถึงท่ี ๔ มิได้เป็นคนใช้อาวุธมีด
แทงผู้ตาย แต่พวกของจาเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ คนหน่ึงใช้มีดแทงผู้ตายถึงแก่ความตาย ไม่ว่าจาเลยท่ี ๑
ถึงที่ ๔ จะทราบว่าพวกของตนมีมีดหรือไม่ก็ตาม และแม้ไม่ปรากฏว่าจาเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๔ ทาร้าย
ผู้ตายอย่างไร พฤติการณ์ที่จาเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๔ ร่วมอยู่ในเหตุการณ์และวิ่งเข้าไปทาร้ายผู้ตายด้วย
แสดงว่าจาเลยท่ี ๑ ถึงที่ ๔ ยอมรับผลแห่งการกระทานั้นด้วย จะถือเป็นเร่ืองต่างคนต่างทาไม่ได้
เพราะเป็นผลจากการกระทาของผรู้ ่วมกระทาความผิดทุกคน แต่จาเลยท่ี ๑ ถึงที่ ๔ ไม่มีสาเหตุโกรธ
เคืองกับผู้ตายถึงขนาดท่ีจะเอาชีวิตกัน การกระทาของจาเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ถือว่ามเี พียงเจตนาทาร้าย
ผู้ตาย การท่ีผู้ตายถึงแก่ความตายจากการทาร้าย จาเลยที่ ๑ ถึงท่ี ๔ มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา
๒๙๐ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๘๓

ฎีกาท่ี ๙๙๔๕/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๕๖ เหตุท่ีจาเลยทั้งสองทาร้ายผู้ตายเพราะไม่พอใจ
ที่ผู้ตายไม่ยอมซ้ือเบียร์มาให้ตามที่จาเลยที่ ๑ สั่ง ไม่น่าจะมีสาเหตุโกรธเคืองกันรุนแรงถึงข้ันที่จะ
ประสงค์ต่อชีวิต ท้ังเม่ือพิจารณาจากบาดแผลท่ีผู้ตายได้รับตามรายงานการชันสูตรพลิกศพ ผู้ตาย
มีบาดแผลหนังศรีษะบริเวณหน้าผากด้านขวาถลอกบวม หนังศรีษะบริเวณท้ายทอยซ้ายบวมโน
ขอบตาซ้ายเขียวคล้า ใบหูซ้าย คอด้านขวา อกไก่ด้านบน ต้นแขนซ้าย ชายโครงซ้ายเขียวช้า
หลังน้ิวเท้าขวา นิ้วช้ีและน้ิวกลางมีรอยถลอกซึ่งมิใช่บาดแผลที่ทาให้ถึงตายได้ ทั้งยังได้ความจาก
ภ. ว่าได้เสนอให้นาผู้ตายไปส่งโรงพยาบาลแต่จาเลยท่ี ๑ พูดว่าอย่าไปส่งเดี๋ยวก็ฟ้ืนเอง พฤติการณ์
ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจาเลยท่ี ๑ มีเจตนาเพียงต้องการทาร้ายผู้ตายไม่ได้มีเจตนาฆ่า เมื่อผู้ตาย
ถึงแก่ความตายโดยเป็นผลมาจากการทาร้ายของจาเลยท่ี ๑ การกระทาและพฤติการณ์ของจาเลย
ท่ี ๑ จงึ เป็นการทารา้ ยผ้อู ่ืนจนถึงแก่ความตายโดยมไิ ด้มีเจตนาฆ่า และการทจี่ าเลยที่ ๑ ทาร้ายผู้ตาย

416

เป็นเวลานานและหยุดบ้างสลับกันไปติดต่อกันรวมเวลาหลายชั่วโมง ท้ังที่ผู้ตายมิได้โต้ตอบจนผู้ตาย
มีบาดแผลตามร่างกายจานวนหลายแห่งแพทย์ระบุสาเหตุการตายเนื่องจากเส้นเลือดแดงที่คอซ้าย
อุดตนั ทาให้เนอ้ื สมองตายแสดงใหเ้ ห็นวา่ จาเลยที่ ๑ ประสงคใ์ ห้ผูต้ ายไดร้ ับความเจ็บปวด การกระทา
ของจาเลยท่ี ๑ จึงเป็นการกระทาโดยทรมานและทารุณโหดร้าย

ฎีกาที่ ๕๖๙๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๘๗ ได้ความจาก ล. แพทย์ผู้ตรวจชันสูตรศพผู้ตายว่า
ผตู้ ายหัวใจโตเส้นเลือดหัวใจเส้นหนา้ หนาตัวข้ึน หลอดเลือดภายในเลอื ดผ่านได้ประมาณร้อยละ ๒๐
สันนิษฐานว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเน่ืองจากหัวใจขาดเลือดกะทันหัน ซึ่งเกิดจากการตกใจหรือ
มีความเครียดอย่างรุนแรง แม้จะได้ความจากการตอบคาถามค้านว่าภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบของ
ผู้ตายเป็นภาวะที่เป็นมาก่อนแล้วและภาวะหลอดเลือดหัวใจขาดเลือดเป็นสาเหตุท่ีทาให้ผู้ตายถึงแก่
ความตายก็ตาม แต่ก็ไม่เป็นเหตุให้รับฟังได้ว่าผู้ตายถึงแก่ความตายโดยมิใช่เกิดจากการทาร้ายของ
จาเลย เพราะการท่ีจาเลยถือมีดดาบวิ่งไล่ขู่เข็ญผู้ตาย ทาให้ผู้ตายเกิดอาการตกใจกลัววิ่งหนีการไล่
ทาร้ายและการที่จาเลยกลับมาด่าว่าข่มขู่และชกต่อยทาร้ายผู้ตาย ย่อมเป็นการกระทาอันกระทบ
กระเทือนต่อร่างกายและจิตใจของผู้ตายอย่างรุนแรง เป็นเหตุให้ระบบการหมุนเวียนโลหิตล้มเหลว
ขาดเลือดไปเล้ียงหัวใจอย่างเฉียบพลันจนถึงแก่ความตาย ดังได้ความจาก อ. แพทย์ผู้รับผู้ตายไว้
เบกิ ความว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายมาก่อนถงึ โรงพยาบาลแล้ว เช่นน้ี ความตายจึงเปน็ ผลโดยตรงจาก
การกระทาของจาเลยซ่ึงเป็นความผิดฐานมิได้เจตนาฆ่าแต่ทาร้ายผูอ้ ่ืนจนเป็นเหตุให้ผู้น้ันถึงแก่ความ
ตาย

ฎีกาท่ี ๙๔๑๓/๒๕๕๒ ฎ.๒๒๗๔ ตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๐ วรรคแรก ที่บัญญัติว่า "ผู้ใดมิได้
มีเจตนาฆ่าแต่ทาร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่สามปีถึง
สิบหา้ ปี" นั้น มีความหมายวา่ หากผู้ใดทาร้ายผู้อื่นจนเปน็ เหตุให้ผนู้ ้ันถงึ แกค่ วามตายโดยมไิ ด้มเี จตนา
ฆ่าแล้ว ผู้นั้นย่อมมีความผิดตามมาตรานี้ ซึ่งเป็นการบัญญัติให้ได้รับโทษหนักข้ึน แตกต่างจาก
ความผิดฐานทาร้ายผู้อ่ืนจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อ่ืน หรือความผิดฐาน
ทาร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทาร้ายรับอันตรายสาหัส ตลอดจนความผิดฐานใช้กาลังทาร้าย
ผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามมาตรา ๒๙๕, ๒๙๗ และ ๓๙๑
ตามลาดับ อันแสดงให้เห็นถึงกฎหมายเจตนาให้ผู้กระทาต้องรับโทษตามผลของการกระทาน้ัน
แตกต่างกันไปตามความหนักเบาของผลท่ีเกิดข้ึน เมื่อจาเลยท่ี ๒ ใช้มีดดาบเป็นอาวุธไล่ฟันผู้ตาย
อันเป็นการทาร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายวิ่งหลบหนีกระโดดลงน้าจนถึงแก่ความตาย การกระทา
ของจาเลยที่ ๒ จึงเป็นการทาร้ายผู้ตาย ซึ่งเมื่อมิใช่กระทาโดยมีเจตนาฆ่า แต่การกระทาน้ันเป็นเหตุ
ทาให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นความผิดสาเร็จตามมาตรา ๒๙๐ วรรคแรก แล้ว หาใช่เป็นเพียง
การพยายามกระทาความผิดไม่
ข้อสังเกต กรณีนี้ถ้ำจำเลยที่ ๒ ไม่ไล่ฟนั ผู้ตำย ผตู้ ำยจะไม่กระโดดลงน้ำจนถึงแก่ควำมตำย เป็นกรณี
ที่ว่ำถ้ำไม่ทำผลไม่เกิด ถือว่ำผลเกิดจำกกำรกระทำนั้น แม้จะมีเหตุอื่นด้วยก็ตำม ถือว่ำ เป็นผล
โดยตรงจำกกำรกระทำของจำเลย ส่วนกำรท่ีผู้ตำยกระโดดลงน้ำจนถึงแก่ควำมตำย เป็นเหตุกำรณ์

417

ที่เกิดขึ้นหลังกำรกระทำควำมผิดถือเป็นเหตุแทรกแซงที่วิญญูชนคำดเห็นได้ กำรกระทำและผล
จึงสัมพันธ์กัน ผกู้ ระทำต้องรบั ผิดในผลคือตอ้ งรบั ผิดตำมมำตรำ ๒๙๐

ควำมผิดฐำนทำร้ำยเป็นเหตใุ ห้ผู้อื่นถึงแก่ควำมตำยไม่มีกำรพยำยำมกระทำควำมผิด เพรำะ
ถ้ำผู้ถูกกระทำตำยโดยควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรกระทำและผลสัมพันธ์กัน ผู้กระทำต้องรับผิดในผล
หำกกำรกระทำและผลไม่สัมพันธ์กัน ผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิดในผลและไม่เป็นกำรพยำยำมกระทำ
ควำมผิดตำมมำตรำ ๒๙๐ โดยรับผิดเพียงมำตรำ ๒๙๕ หรือ มำตรำ ๓๙๑ แล้วแต่กรณี ต่ำงจำก
ควำมผิดฐำนฆ่ำผู้อ่ืนโดยเจตนำ ถ้ำหำกกำรกระทำและผลไม่สัมพันธ์กัน ผู้กระทำต้องรับผิดฐำน
พยำยำมฆำ่

ฎกี าท่ี ๖๓๑๕/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๑๔๑ ผตู้ ายถงึ แกค่ วามตายเพราะบาดแผลถูกแทงจาก
การกระทาของจาเลยที่ ๑ ส่วนจาเลยท่ี ๒ ใช้ไม้ตีผู้ตายหลังจากผู้ตายถูกจาเลยที่ ๑ ต่อยจนเซไป
แล้ว และจาเลยท่ี ๒ แยกไปทาร้าย พ. โดยไม่ได้ร่วมทาร้ายผู้ตายอย่างใดอีก การท่ีจาเลยท่ี ๑ ใช้
อาวุธมีดแทงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า จึงเป็นการกระทาของจาเลยที่ ๑ แต่โดยลาพัง พฤติการณ์ของ
จาเลยท่ี ๒ คงเป็นเพียงแตร่ ่วมกับจาเลยท่ี ๑ ทาร้ายผูต้ ายเท่านั้น แต่การรว่ มกันทาร้ายมผี ลให้ผู้ตาย
ถึงแก่ความตาย จาเลยท่ี ๒ จึงมีความผิดฐานร่วมกันทาร้ายผู้อ่ืนจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตาม
ป.อ. มาตรา ๒๙๐ วรรคแรก

ฎกี าน่าสนใจมาตรา ๒๙๑

ฎีกาท่ี ๘๐๓๓/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๘๖ รถบรรทุกสิบล้อทจี่ าเลยขับมาถงึ บริเวณท่ีเกดิ เหตุ
ลอ้ รถด้านหลงั สะบดั จะหลุดออกมาจึงจาเป็นต้องจอดบนไหล่ทาง จาเลยจอดรถชดิ ขอบถนนด้านซ้าย
แล้ว แต่ปรากฏว่าไหล่ทางกว้างเพียง ๑.๕๐ เมตร ท้ายรถจึงยื่นล้าเข้าไปในทางเดินรถไม่เกิน ๒ ฟุต
เป็นกรณีจาเป็นท่ีจาเลยต้องจอดรถเข้าไปในทางเดินรถเช่นนั้น จาเลยได้จอดในลักษณะที่ไม่กีดขวาง
การจราจรแล้ว แต่การที่จาเลยจอดรถไว้โดยมิได้แสดงเครื่องหมายตามท่ีระบุในกฎกระทรวงฯ
ซึ่งกาหนดให้ผู้ขับขี่รถบรรทุกนอกเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา หรือเขตเทศบาล ต้องแสดง
เคร่อื งหมายหรือสญั ญาณในกรณีทีจ่ าเป็นต้องจอดรถอยู่ในทางเดินรถเน่ืองจากเครอ่ื งยนต์หรือเครือ่ ง
อุปกรณ์ของรถขัดข้องไว้ แม้จาเลยไม่แสดงเคร่ืองหมายหรือสัญญาณตามลักษณะและเง่ือนไข
ท่ีกาหนดในกฎกระทรวงดังกล่าว จาเลยจะต้องมีความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ มาตรา ๕๖
วรรคสอง แต่การท่จี าเลยไม่ได้แสดงเช่นนน้ั จะฟังเป็นยตุ ิว่าจาเลยกระทาโดยประมาทเป็นเหตใุ หผ้ อู้ ่ืน
ถึงแก่ความตายหาได้ไม่ เมื่อขณะเกิดเหตุจาเลยเปิดไฟหรือไฟกระพริบหน้ารถและท้ายรถไว้
นอกจากนี้จาเลยยังวางกิ่งไม้กองไว้ท่ีท้ายรถบรรทุกสิบล้อคันเกิดเหตุเป็นระยะ ๆ ประมาณ ๔ ถึง ๕
กอง สาหรับเป็นที่สังเกตแก่ผู้ขับรถมาทางด้านหลังมีแสงไฟตรงจุดกลับรถอยู่ห่างจากท้ายรถบรรทุก
สบิ ล้อคันเกิดเหตุประมาณ ๗๐ เมตร ส่องสวา่ งทาให้สามารถมองเห็นรถบรรทุกสิบล้อคันเกิดเหตุได้
ดังนั้น การที่จาเลยวางกิ่งไม้กองไว้ด้านท้ายรถเป็นระยะ ๆ และเปิดไฟหรี่ไฟกะพริบหน้ารถและ

418

ท้ายรถไว้ เป็นการเพียงพอสาหรับผู้ขับรถมาทางด้านหลังสามารถมองเห็นรถบรรทุกสิบล้อท่ีจาเลย
จอดไว้จะหยุดรถหรือหลบหลีกไม่ให้เกิดการเฉ่ียวชนกันได้แล้ว และจาเลยได้ใช้ความระมัดระวัง
ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์แล้ว หาเป็นการกระทาโดยประมาทไม่
การท่ีผู้ตายขับรถจักรยานยนต์พุ่งเข้าชนท้ายรถบรรทุกสิบล้อท่ีจาเลยจอดไว้เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่
ความตาย ไม่ได้เกิดจากการละเว้นการกระทาของจาเลย จาเลยจึงไม่มีความผิดฐานกระทาโดย
ประมาทเป็นเหตุให้ผูอ้ นื่ ถึงแกค่ วามตายตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๑

ฎกี าที่ ๒๑๔๗/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๓ น.๙๐ บริเวณท่ีเกิดเหตุเป็นสามแยกติดตั้งสัญญาณจราจร
ไฟ และขณะเกิดเหตุสัญญาณจราจรไฟเป็นสัญญาณจราจรไฟสีเขียวให้เล้ียวขวา เมื่อได้รับสัญญาณ
จราจรไฟสีเขียวให้เล้ียวขวารถทุกคันที่จะเลี้ยวขวาย่อมเคล่ือนท่ีแล่นเข้าสู่ทางร่วมทางแยกผ่าน
ช่องเดินรถของรถท่ีแล่นสวนทางมาไปได้ การที่จาเลยขับรถล้าเข้าไปในช่องเดินรถของรถที่แล่น
สวนมากเ็ พ่ือความสะดวกรวดเร็วในการเลย้ี วขวาแล่นผ่านชอ่ งเดินรถของรถท่ีแล่นสวนทางมาเทา่ น้ัน
แต่อุบัติเหตุที่เกิดข้ึนน้ันเนื่องจากการกระทาของผู้ตายท่ีขับรถฝ่าฝืนสัญญาณจราจรไฟสีแดงแล่น
เข้าชนรถโดยสารท่ีจาเลยเป็นผู้ขับโดยท่ีไม่ว่าจาเลยหรือผู้ใดก็ไม่อาจคาดคิดได้ จาเลยจึงไม่เป็นฝ่าย
ประมาท การกระทาของจาเลยจงึ ไม่เป็นความผดิ ฐานกระทาโดยประมาทเปน็ เหตุให้ผอู้ ื่นถึงแกค่ วาม
ตายตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๑

ฎีกาที่ ๔๘๘๓/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๙๒ แม้จาเลยจะขับรถบรรทุกสิบล้อและรถพ่วงด้วย
ความเร็วสูง แต่จาเลยขับรถในทางเดินรถของตนโดยถูกต้อง ส่วน ส. มิได้จอดรถเพื่อรอกลับรถ
ในช่องกลับรถอย่างในภาวะปกติธรรมดา หากแต่เป็นเพราะรถที่ ส. ขับเกิดเสียการทรงตัวแล้วหมุน
เข้าไปในทางเดินรถของจาเลยและขวางรถท่จี าเลยขับในระยะกระช้ันชดิ ในภาวะเช่นนั้นไม่วา่ จาเลย
จะขับมาในลักษณะเช่นใดจาเลยย่อมไม่อาจจะหลบหลีกเพื่อมิให้ชนกับรถที่ ส. ขับได้ ดังนั้น การที่
จาเลยขับรถบรรทุกสิบล้อและรถพ่วงด้วยความเร็วสูง และไม่ขับให้อยู่ในช่องเดินรถด้านซ้ายจึงมิใช่
เป็นผลโดยตรงที่ทาให้เกิดการเฉ่ียวชนกัน จาเลยจึงไม่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทและกระทา
โดยประมาทเป็นเหตใุ ห้ผู้อืน่ ถึงแก่ความตาย
ข้อสังเกต คดีนี้แม้ศำลฎีกำจะไม่วินิจฉัยว่ำจำเลยกระทำโดยประมำทหรือไม่ แต่ก็พอจะถือได้วำ่ ศำล
ฎีกำเห็นว่ำกำรขับรถเร็วเป็นกำรกระทำโดยประมำท แต่เม่ือเป็นกำรกระทำโดยประมำทแล้วต้อง
พิจำรณำต่อไปว่ำ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรกระทำและผลสัมพันธ์กันหรือไม่ หำกควำมสัมพันธ์
ระหว่ำงกำรกระทำและผลสัมพันธ์กัน ผู้กระทำต้องรับผิดในผลคือรับผิดตำมมำตรำ ๒๙๑ แต่ถ้ำกำร
กระทำและผลไม่สัมพันธ์กัน ผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิดในผลคือไม่ผิดมำตรำ ๒๙๑ และไม่เป็นกำร
พยำยำมกระทำควำมผิดตำมมำตรำ ๒๙๑ เพรำะกำรพยำยำมกระทำควำมผิดมีได้เฉพำะกำรกระทำ
โดยเจตนำ

กรณนี ี้แม้จำเลยขบั รถมำดว้ ยควำมเร็วไม่สูง ก็ต้องเกิดเหตุ เพรำะรถท่ี ส. ขับเสยี กำรทรงตัว
แล้วหมุนเขำ้ ไปในทำงเดินรถของจำเลยและขวำงรถที่จำเลยขับในระยะกระช้นั ชิด เปน็ กรณีแม้ไม่ทำ
ผลก็ยังต้องเกิด ถือว่ำผลเกิดจำกกำรกระทำนั้นไม่ได้ จึงไม่เป็นผลโดยตรง กำรกระทำและผ ล

419

จึงไม่สัมพันธก์ นั ผกู้ ระทำจงึ ไม่ต้องรบั ผดิ ในผล คือไมม่ ีควำมผิดตำมมำตรำ ๒๙๑

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๒๙๖

ฎกี าที่ ๓๒๗๐/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๒๐ ตามพฤติการณ์จาเลยท่ี ๑ ย่อมเล็งเห็นได้วา่ รถที่
จาเลยที่ ๑ ขับอาจเฉี่ยวชนผู้เสียหายให้ได้รับอันตรายแก่กายได้ การกระทาของจาเลยจึงเป็น
ความผิดฐานพยายามทาร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซ่ึงกระทาตามหน้าที่ ไม่เป็นความผิดฐานพยายาม
ฆา่ เจ้าพนกั งานซ่งึ กระทาตามหน้าที่

ฎีกาที่ ๒๗๔๑/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๐๒ การท่ีจาเลยใช้ไม้ตีแล้วกอดปล้าผู้เสียหายซ่ึงเป็น
เจ้าพนักงานตารวจและแต่งเครื่องแบบตารวจออกตรวจท้องท่ี ในขณะปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบ
เรียบร้อยภายในงานวัด ไม่ว่าการทาร้ายร่างกายดังกล่าวจะมีมูลเหตุมาโดยประการใด ก็เป็นกรณีที่
ถือได้ว่าจาเลยได้ทาร้ายร่างกายเจ้าพนักงานตารวจผู้กระทาการตามหน้าท่ีเพราะการท่ีผู้เสียหาย
กาลังปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบรอ้ ยภายในงานวัดเป็นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยชอบด้วยกฎหมาย
การกระทาของจาเลยย่อมเป็นความผิดฐานทาร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซ่ึงกระทาการตามหน้าท่ีตาม
ป.อ. มาตรา ๒๙๖

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๒๙๗ (ผลธรรมดา)

ฎีกาท่ี ๑๐๐๑/๒๕๔๗ ฎ.๒๒๔ ความผิดฐานทาร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับ
อันตรายสาหัสตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๗ เป็นเหตุที่ทาให้ผู้กระทาความผิดฐานทาร้ายร่างกายตาม
มาตรา ๒๙๕ ต้องรับโทษหนักขึ้น เพราะผลท่ีเกิดจากการกระทา โดยท่ีผู้กระทาไม่จาต้องประสงค์
ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลถึงอันตรายสาหัสนั้น ดังน้ัน แม้จาเลยจะทาร้ายผู้เสียหายโดยมิได้มีเจตนา
ทาให้แท้งลูก เม่ือผลจากการทาร้ายนั้นทาให้ผู้เสียหายต้องแท้งลูกแล้ว จาเลยก็ต้องมีความผิดตาม
มาตรา ๒๙๗ (๕)
ขอ้ สังเกต ควำมผิดฐำนทำร้ำยร่ำงกำยจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำรำ้ ยรับอันตรำยสำหัสตำมประมวล
กฎหมำยอำญำ มำตรำ ๒๙๗ เป็นควำมผิดที่ผลของกำรกระทำทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น
โดยผู้กระทำจะต้องรับผิดในผลตำมหลักควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรกระทำและผล คือถ้ำเป็น
ผลโดยตรงและเป็นผลธรรมดำผู้กระทำก็ต้องรับผิดในผล โดยไม่ต้องพิจำรณำว่ำผู้กระทำมีเจตนำให้
เกิดผลหรือไม่ เพรำะไม่ใช่ควำมผิดท่ีตอ้ งกำรผลตำมเจตนำตำมมำตรำ ๕๙ แตเ่ ป็นควำมผดิ ที่ผลของ
กำรกระทำทำใหผ้ ู้กระทำตอ้ งรบั โทษหนักขน้ึ ตำมมำตรำ ๖๓

420

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๒๙๗ (๔)

ฎีกาท่ี ๗๓๓๗/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๖ น.๒๐๖ บาดแผลท่ีใบหน้าของผู้เสียหายมีความยาว ๑๕
เซนติเมตร ลึก ๑ เซนติเมตร มีลกั ษณะเป็นทางยาวจากด้านข้างของจมกู พาดผา่ นแก้มไปจรดถึงคาง
ด้านซ้ายมีรอยเยบ็ บาดแผลทั้งล่างและบนบาดแผลเป็นระยะ ๆ มองเหน็ บาดแผลและรอยเยบ็ ชัดเจน
ซง่ึ แพทยท์ าการรักษาโดยเย็บ ๑๕ เขม็ จงึ รับฟังได้วา่ เป็นแผลเป็นตดิ ใบหน้ามองเห็นได้ชัดเจนแม้จะ
อย่หู า่ งกันมาก ถือได้วา่ หนา้ เสยี โฉมอย่างติดตัวอันเปน็ อนั ตรายสาหัสแล้ว

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๒๙๗ (๘)

ฎีกาที่ ๑๗๘๖๖/๒๕๕๕ ฎ.๑๙๐๒ ผู้เสียหายได้รบั บาดเจ็บมีแผลถลอกที่ข้อศอกซา้ ย ต้นขา
ซ้าย แผลฟกช้าท่ีหลังด้านขวาบริเวณเอว และกระดูกหักท่ีข้อมือซ้ายซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าต้องใช้
เวลารักษาเกินกว่า ๑ เดือน และผู้เสียหายต้องเข้าเฝือกกระดูกข้อมือซ้ายที่หัก ระหว่างนั้นยกของ
หนักไม่ได้จนกว่าจะหายเป็นปกติใช้เวลารักษา ๒ เดือน จึงฟังได้ว่าผู้เสียหายป่วยเจ็บจนประกอบ
กรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ถือได้ว่าผู้เสียหายถูกทาร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับ
อันตรายสาหสั

ฎกี าที่ ๑๓๐๓๐/๒๕๕๕ ฎ.๑๓๕๓ โจทก์ร่วมถูกชกบริเวณใบหน้าเป็นรอยฟกช้าและด้ังจมูก
หกั แต่สามารถไปไหนมาไหนได้ หลังจากรกั ษา ๑ สัปดาห์ก็ไปเรียนตามปกติ ยังไปเที่ยวสถานบนั เทิง
จนถกู ทาร้ายทีศ่ ีรษะด้วย แม้แพทย์ทต่ี รวจบาดแผลจะลงความเห็นวา่ ใช้เวลารกั ษาบาดแผลประมาณ
๑ เดือน แต่ก็เป็นความเห็นเก่ียวกับการรักษาบาดแผลให้หายเป็นปกติ บาดแผลของโจทก์ร่วมจึงยัง
ไม่ถึงขนาดเป็นการป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือทาให้โจทก์ร่วมไม่สามารถประกอบกรณียกิจ
ตามปกติได้เกินกว่ายี่สิบวัน อันจะเป็นอันตรายสาหัสตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๗ (๘) การกระทาของ
จาเลยเปน็ ความผิดฐานทาร้ายร่างกายโจทกร์ ่วมตามมาตรา ๒๙๕

ฎีกาที่ ๑๖๒๕๕/๒๕๕๕ ฎ.๑๗๘๒ บาดแผลของโจทก์ร่วมท่ีช้าบวมท่ีใบหน้า ริมฝีปาก
ใต้เยื่อบุตาขวามีเลือดออก แผลถลอกใต้ศอกซ้ายและแขนขวา ถือไม่ได้ว่าเป็นอันตรายสาหัส แม้ผล
การตรวจชันสูตรบาดแผลระบุว่ารักษาจะหายใช้เวลา ๓๐ วัน ก็เป็นเรื่องการรักษาบาดแผลให้หาย
เป็นปกติ โดยไม่ได้ความว่าโจทก์ร่วมต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือจนประกอบกรณียกิจ
ตามปกติไม่ได้เกินกว่า ๒๐ วันอย่างไร อันจะถือว่าเป็นอันตรายสาหัสตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๗ (๘)
จาเลยคงมีความผิดฐานทาร้ายร่างกายโจทก์ร่วมจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตามมาตรา ๒๙๕

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๒๙๙

ฎกี าที่ ๑๔๒๓๒/๒๕๕๘ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๖๒ กรณีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๔ และ ๒๙๙
นั้น ต้องเป็นการชุลมุนต่อสู้กันระหว่างบุคคลต้ังแต่สามคนขึ้นไป และมีบุคคลถึงแก่ความตายและ

421

ได้รับอันตรายสาหัสโดยไม่ทราบว่าผู้ใดหรือผู้ใดร่วมกับใครกระทาจนถึงแก่ความตายหรือจนไดรับ
อนั ตรายสาหัส แต่หากสามารถรแู้ ละแบ่งฝ่ายแบง่ พวกกันได้ ทัง้ รูว้ ่าผู้ใดหรือฝ่ายใดเปน็ ผลู้ งมือทารา้ ย
ย่อมลงโทษผู้น้ันกับพวกได้ตามเจตนาและผลของการกระทา จาเลยกับพวกฝ่ายหนึ่งและผู้ตายกับ
ผู้เสียหายฝ่ายหนึ่งวิวาทต่อสู้กัน แม้พยานโจทก์ท่ีอยู่ในเหตุการณ์จะไม่อาจระบุได้แน่ชัดว่าคนใด
ในกลุ่มของจาเลยเข้าไปใช้อาวุธมีดแทงผู้ตาย เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายและฟันผู้เสียหายเป็น
เหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสก็ตาม ย่อมมิใช่กรณีตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๔ และ ๒๙๙
พวกของจาเลยที่เข้าร่วมในการทะเลาะวิวาทกับผู้ตายและผู้เสียหายได้ใช้มีดแทง ผู้ตายและ
ฟันผู้เสียหาย จาเลยซึ่งมีเจตนาร่วมกับพวกกระทาต่อผู้ตายและผู้เสียหายย่อมต้องรับผลอันเป็น
ธรรมดาย่อมเกิดขึ้นจากการนั้นฐานะเป็นตัวการ แม้มิได้เป็นผู้ลงมือแทงผู้ตายและฟันผู้เสียหายด้วย
ตนเองกต็ าม

ฎีกาที่ ๗๓๘-๗๓๙/๒๕๕๕ ฎ. ๔๗๔ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๙ ต้องเป็นกรณีชุลมุน
ตอ่ สู้กันระหว่างบคุ คลตั้งแต่สามคนข้ึนไป และมีบุคคลได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งหมายถึงกรณีไม่ทราบ
วา่ ผูใ้ ดหรือบุคคลใดร่วมกบั ใครทาร้ายจนได้รับอันตรายสาหัส แต่จาเลยที่ ๓ ร่วมกับจาเลยท่ี ๑ และ
ที่ ๒ กับพวกใช้มีดและเหล็กแป๊บฟันและตีผู้เสียหายท้ังสองได้รับอันตรายสาหัส จึงไม่ใช่เป็นการ
ชุลมุนต่อสตู้ ามมาตรา ๒๙๙

ฎีกาท่ี ๑๕๕๘๔/๒๕๕๗ ฎ.๒๓๒๕ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จาเลยท่ี ๑ ถึงที่ ๔ และที่ ๖ กับ
พวกอีกหลายคนฝ่ายหน่ึง และจาเลยที่ ๕ กับพวกอีกหลายคนอีกฝ่ายหน่ึงร่วมกันชักแสดงและใช้
อาวุธมดี หลายเล่นฟันตอบโต้ ชกต่อยและเตะทาร้ายร่างกายซึ่งกันและกนั เป็นเหตุให้ พ. และ น. ซึ่ง
เป็นผู้เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ไดร้ ับอันตรายสาหัส แม้โจทก์บรรยายฟ้องโดยสามารถรู้และแบ่งฝ่าย
แบ่งพวกกันได้ แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายว่าจาเลยคนใดทาร้ายใคร ถือไม่ได้ว่าโจทก์ฟ้องว่าจาเลยแต่ละ
ฝ่ายต่างร่วมมากระทาความผิด การกระทาของจาเลยทั้งหกตามฟ้องจึงเป็นความผิดฐานเข้าร่วมใน
การชุลมนุ ตอ่ สูเ้ ปน็ เหตใุ ห้มีบคุ คลได้รับอันตรายสาหสั ตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๙ วรรคแรก
ข้อสังเกต ข้อเท็จจริงตำมฎีกำน้ีคงนำไปออกข้อสอบกฎหมำยอำญำยำก เพรำะข้อสอบกฎหมำย
อำญำมักจะไม่มีขอ้ เทจ็ จริงวำ่ โจทก์บรรยำยฟ้องวำ่ ... ซึ่งข้อเทจ็ จริงว่ำโจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ ... น่ำจะ
ออกเป็นข้อสอบกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมอำญำมำกกวำ่

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๓๐๐

ฎีกาที่ ๑๘๓๑๑/๒๕๕๖ ฎ. ๓๒๕๐ จาเลยซึ่งเป็นแพทย์เฉพาะทางทางสูตินรีเวชเป็นผู้มี
ความรู้เช่ียวชาญทาการตรวจรักษาโจทก์ร่วมโดยมีข้อบกพร่องต่อการประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่
ไม่ได้มาตรฐานอย่างดีท่ีสุด มิได้ตรวจรักษาโจทก์ร่วมด้วยการตรวจภายในอย่างละเอยี ดและใช้ความ
ระมัดระวังอย่างรอบคอบเช่นเดียวกับแพทย์ที่โรงพยาบาล พ. มิฉะนั้นจาเลยต้องทราบว่าโจทก์ร่วม
ต้ังครรภ์นอกมดลูกและจะไม่รักษาด้วยการขูดมดลูก ท้ังจากผลการตรวจเน้ือเย่ือว่าไม่พบชิ้นเน้ือรก

422

ให้เห็น เชื่อว่าจาเลยทราบแล้วว่าโจทก์ร่วมไม่ได้ตั้งครรภ์มีลักษณะไข่ฝ่อแต่ต้ังครรภ์นอกมดลูก
ซ่ึงจาเลยวินิจฉัยโรคและทาการรักษาผิดวิธี ท้ังจาเลยไม่ปรับแก้วิธีการรักษาให้ถูกต้องหรือเตือนให้
โจทก์รว่ มทราบ เป็นเหตุให้เมื่อโจทก์ร่วมถูกนาส่งโรงพยาบาล พ. จึงมีอาการหนักถึงขนั้ โคม่า ท่อนา
ไข่ข้างขวาแตกมีเลือดออกในช่องท้องมากถึง ๒ ลิตร ตอ้ งผ่าตัดด่วนนาเลือดและท่อนาไข่ท่ีแตกออก
จึงพ้นขีดอันตราย การท่ีโจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัส จึงเกิดจากการท่ีจาเลยไม่ใช้ความรู้
ความสามารถในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมอย่างดีท่ีสุดด้วยความระมัดระวังให้รอบคอบเพียงพอ
จงึ ทาให้จาเลยวนิ ิจฉัยโรคและทาการรกั ษาโจทก์ร่วมผิดพลาด ซึ่งจาเลยคงตระหนักได้และยอมรับใน
ความผิดพลาดของตนมาแต่แรกแล้ว จึงไม่ได้อุทธรณ์หรือโต้แย้งมติของแพทยสภาท่ีเห็นว่าจาเลย
กระทาผิดและลงโทษว่ากล่าวตักเตือน จาเลยจึงมีความผิดฐานกระทาโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์
รว่ มไดร้ ับอนั ตรายสาหสั ตาม ป.อ. มาตรา ๓๐๐

ฎกี าน่าสนใจมาตรา ๓๑๐

ฎีกาที่ ๑๐๖๐๖/๒๕๕๖ ฎ. ๒๗๖๘ อาคารพิพาทยังมีทางเข้าออกนอกจากประตูด้านหน้า
อาคารพพิ าทอีก ๒ ทาง แมจ้ าเลยนาโซ่และกญุ แจมาคล้องประตูด้านหนา้ อาคารพพิ าท แต่โจทก์ร่วม
ยงั มีทางเข้าออกอาคารพิพาทได้ เป็นแต่เพียงไม่สะดวกเท่ากับการเข้าออกทางประตูด้านหน้าอาคาร
พิพาท การกระทาของจาเลยจึงไม่ทาให้โจทก์ร่วมไม่สามารถออกจากอาคารพิพาทได้หรือจาต้อง
อยู่ในอาคารพิพาท อันเป็นการหน่วงเหน่ียวกักขังโจทก์ร่วม จาเลยจึงไม่มีความผิดฐานพยายาม
หน่วงเหนีย่ วกักขังตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๐ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๘๐

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๓๑๒

ฎีกาที่ ๑๕๑๘๙/๒๕๕๖ ฎ. ๒๙๖๔ จาเลยใช้งานโจทก์ร่วมซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุ ๑๔ ปีเศษ
ทางานเป็นคนรับใช้ในบ้านของจาเลยเกินกว่าความสามารถและสภาพร่างกายในวัยข องโจทก์ร่วม
อีกทั้งไม่ได้จัดอาหารให้โจทก์ร่วมได้รับประทานอย่างเพียงพอ ไม่จ่ายค่าตอบแทนให้เหมาะสมแก่
สภาพการจ้างแรงงาน จนกระทั่งพนักงานแรงงานต้องมีคาสั่งให้จาเลยจ่ายค่าจ้างแรงงานเพิ่มอีก
ทั้งไม่มีกาหนดเวลาในการจ่ายค่าตอบแทนเป็นที่แน่นอน รวมทั้งจากัดสิทธิเสรีภาพและความเป็นอยู่
ของโจทก์ร่วมเพื่อให้ทางานอย่างหนักตามความพอใจของจาเลย ประการสาคัญคือจาเลยทาร้าย
ร่างกายโจทก์ร่วมด้วยวิธีการทารุณโหดร้ายโดยอ้างว่าเป็นการลงโทษเพื่อให้โจทก์ร่วมทางานเร็วขึ้น
กว่าเดิม ซึ่งจาเลยไม่มีสิทธิที่จะกระทาเช่นนั้นได้ และเมื่อเกิดบาดแผลจาเลยมิได้ให้การรักษา
พยาบาลแก่โจทก์ร่วมตามสมควร การกระทาของจาเลยจึงมีลักษณะเป็นการกระทาเพื่อจะเอาคน
ลงเป็นทาสหรือให้มีฐานะคล้ายทาส จึงเป็นความผิดฐานรับบุคคลหนึ่งบุคคลใดเพ่ือจะเอาคนลงเป็น
ทาสหรอื ให้มฐี านะคล้ายทาสตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๒ และเปน็ การกระทาต่อโจทกร์ ่วมซึง่ เป็นเด็กอายุ

423

ยังไมเ่ กิน ๑๕ ปี เป็นเหตุให้โจทก์รว่ มไดร้ ับอนั ตรายสาหัสตามมาตรา ๓๑๒ ทวิ วรรคสอง (๒)
จาเลยทารา้ ยร่างกายโจทก์ร่วมจนเป็นเหตใุ ห้เกดิ อนั ตรายแกก่ ายหรือจิตใจตาม ป.อ. มาตรา

๒๙๕ รวม ๗ ครั้ง และทาร้ายร่างกายโจทก์ร่วมโดยกระทาทารุณโหดร้ายจนเป็นเหตุให้รับอันตราย
สาหัสตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๘ ประกอบมาตรา ๒๙๗ (๘) เป็นการกระทาต่อเน่ืองโดยเจตนาแท้จริง
เพ่อื เอาคนลงเป็นทาสหรอื ให้มีฐานะคลา้ ยทาสเปน็ สาคญั จึงเปน็ ความผดิ กรรมเดียวกับความผิดฐาน
รับบุคคลหนึ่งบุคคลใดเพ่ือจะเอาคนลงเป็นทาสหรือให้มีฐานะคล้ายทาสและเป็นการกระทาตอ่ โจทก์
ร่วมซ่ึงเป็นเด็กอายุยังไม่เกิน ๑๕ ปี เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจและได้รับ
อนั ตรายสาหสั ตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๒ ทวิ วรรคสอง (๑) (๒)

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๓๑๓

ฎีกาที่ ๓๗๐๑/๒๕๕๘ ฎ.๒๕๕ จาเลยแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตารวจตรวจปัสสาวะของ
ผู้เสียหายที่ ๑ แล้วพาผู้เสียหายท่ี ๑ ไปกักขังไว้ในห้องท่ีสถานีตารวจระหว่างนั้นจาเลยขอเงิน
จากผู้เสียหายท่ี ๒ เพื่อจะได้ไม่ดาเนินคดีแก่ผู้เสียหายท่ี ๑ แสดงว่าจาเลยมีเจตนากระทาผิดและ
มีเจตนาเพ่อื ให้ได้มาซ่งึ ค่าไถ่ในการเอาตวั ผู้เสียหายท่ี ๑ ไปโดยใชอ้ ุบายหลอกลวง ใช้อานาจครอบงา
ผิดคลองธรรมและข่มขืนใจผู้เสียหายท้ังสองกับหน่วงเหน่ียวกักขังผู้เสียหายที่ ๑ การกระทาของ
จาเลยจึงครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๓ (๒) (๓) แล้ว โดยไม่ต้องคานึงว่า
ผู้เสียหายที่ ๑ จะอยู่ในอานาจควบคุมตัวของเจ้าพนักงานตารวจท่ีแท้จริงหรือไม่ และจาเลยยังผิด
มาตรา ๑๔๕ วรรคแรก, ๓๐๙ วรรคแรก, ๓๑๐ วรรคแรก และมาตรา ๓๓๗ วรรคแรก อกี ดว้ ย

ฎีกาที่ ๑๕๕๑๘/๒๕๕๗ จาเลยกับพวกร่วมกันกระชากตัวโจทก์ร่วมลงจากรถแท็กซ่ีและ
รมุ ทารา้ ยโจทก์ร่วม แล้วนาตัวโจทก์รว่ มข้ึนรถกระบะแลน่ ออกไปยังบอ่ ปลาแห่งหน่ึงโดยระหวา่ งทอี่ ยู่
ในรถกระบะจาเลยกับพวกทาร้ายร่างกายโจทก์ร่วมตลอดทางโดยใช้ขวดเบียร์และท่อนเหล็กเป็น
อาวธุ และจาเลยได้ลว้ งเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ของโจทก์ร่วมไป เมือ่ จาเลยกระทาความผิดโดยมอี าวธุ ใน
เวลากลางคืนและใช้ยานพาหนะ การกระทาของจาเลยจงึ เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา
๓๓๙ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๓๕ (๑) (๗), ๓๔๐ ตรี

การท่ีจาเลยและ น. เรียกร้องเงิน ๒๓,๐๐๐ บาท เพื่อแลกเปล่ียนกบั การปล่อยตัวโจทก์ร่วม
โดยจาเลยเชื่อว่าโจทกร์ ่วมโกงเงิน น. ยอ่ มเป็นเพียงความเชือ่ ของจาเลย หาเปน็ เหตุใหโ้ จทก์ร่วมเป็น
หนี้ น. ไม่ ดังน้ัน เงินจานวน ๒๓,๐๐๐ บาท ที่จาเลยเรียกร้องเพื่อแลกกับการปล่อยตัวโจทก์ร่วม
จึงเปน็ คา่ ไถ่ การกระทาของจาเลยจงึ เป็นความผิดต่อเสรภี าพตามมาตรา ๓๑๓ วรรคแรก

เนื่องจากจาเลยจัดให้โจทก์ร่วมได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาโดยโจทก์ร่วมมิได้รับ
อันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต จึงลงโทษน้อยกว่าท่ีกฎหมาย
กาหนดไว้ไม่น้อยกวา่ ก่ึงหนง่ึ ตามมาตรา ๓๑๖

ฎกี าที่ ๙๐๔๖/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๘ น.๒๐๐ จาเลยและผเู้ สียหายรู้จกั คุน้ เคยกันมานาน จาเลย

424

เคยเลี้ยงดูบุตรคนอื่นของผู้เสียหายก่อนเกิดเหตุมาแล้ว ๒ คน การที่จาเลยพาเด็กหญิง ฟ. ไปจาก
ผ้เู สียหายตงั้ แต่วันท่ี ๘ มถิ นุ ายน ๒๕๔๙ ในวนั ดังกล่าวจาเลยและผู้เสียหายไดพ้ ดู คยุ กนั ทางโทรศัพท์
จาเลยก็ไม่ได้เรียกร้องทองคาและเงินจาก อ. ในทันที จาเลยพ่ึงจะโทรศัพท์ถึง ต. น้องสาวผู้เสียหาย
ในวันท่ี ๑๑ มิถุนายน ๒๕๔๙ และมกี ารพดู คุยให้ผู้เสยี หายนาทองคาหนัก ๕ บาท และให้ อ. นาเงิน
จานวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ไปมอบให้แก่จาเลย จึงน่าเชื่อว่าการที่จาเลยพาเด็กหญิง ฟ. ไปจาก
ผู้เสียหาย จาเลยมิได้มีเจตนาที่จะเรียกร้องเอาทองคาและเงินจานวนดังกล่าวจากผู้เสียหายและ อ.
เพื่อเป็นค่าไถ่มาต้ังแต่แรก การที่จาเลยโทรศัพท์ถึง ต. น้องสาวผู้เสียหายในวันที่ ๑๑ มิถุนายน
๒๕๔๙ และมีการเรียกร้องเอาทองคาจากผู้เสียหายและเงินจาก อ. ก็ได้ความว่าเป็นการเรียกร้อง
เอาทองคาเท่ากับจานวนท่ีจาเลยมอบทองคาให้ผู้เสียหายไปจานา ส่วนจานวนเงินที่จาเลยเรียกร้อง
จาก อ. นั้น แม้จะเป็นจานวนที่เกินกว่าท่ีจาเลยอา้ งวา่ อ. เป็นหน้ีจาเลย แต่ก็ได้ความว่าเงนิ ดังกล่าว
เป็นเงินค่าที่ดินที่ อ. จะต้องคืนให้แก่จาเลย โดยจาเลยให้การด้วยว่าจาเลยได้ลงทุนปรับที่ดินท่ีซ้ือ
จาก อ. และใช้เงินไปมากแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงก็ไม่ได้ความว่า อ. เป็นญาติหรือมีส่วนเก่ียวข้องกับ
ผู้เสียหายหรือเด็กหญิง ฟ. ท่ีจาเลยจะใช้เป็นเงอื่ นไขในการเรียกร้องเงินจาก อ. จึงน่าเช่ือว่าจาเลยมี
เจตนาทจี่ ะเรียกรอ้ งเอาทองคาและเงินที่จาเลยเช่ือวา่ จาเลยควรจะได้ ดังน้ัน ทองคาและเงินที่จาเลย
เรียกร้องจากผู้เสยี หายและ อ. ดงั กล่าวจึงมิใชค่ ่าไถ่ตาม ป.อ. มาตรา ๑ (๑๓) การกระทาของจาเลย
จงึ ไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๓ แต่การที่จาเลยพาเด็กหญิง ฟ. ซึ่งมีอายุเพียง ๑ ปีเศษ ไป
จากผู้เสียหายและไม่ยอมคืนให้แก่ผู้เสียหายดังกล่าว เป็นการหน่วงเหนี่ยวเด็กหญิง ฟ. อันเป็น
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๐ วรรคแรก ซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงของความผิดฐานเรียกค่าไถ่ตาม ป.อ.
มาตรา ๓๑๓ (๓) วรรคแรก

ฎีกาที่ ๗๑๙๔-๗๑๙๕/๒๕๕๗ การท่ีจาเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ และที่ ๖ ร่วมกันพาผู้เสียหายท่ี ๑
ไปที่ห้องพักเกดิ เหตุก็เพื่อให้ผู้เสียหายที่ ๑ ชาระหน้ีที่กู้ยืมไปจากกลุ่มของจาเลยทง้ั หกให้แก่จาเลยท่ี
๑ ประโยชน์ที่จาเลยที่ ๑ เรียกร้องให้ผู้เสียหายท่ี ๑ ชาระหน้ีดังกล่าวจึงไม่ใช่ค่าไถ่ตามความหมาย
ในบทนิยามคาว่า "ค่าไถ่" ตาม ป.อ. มาตรา ๑ (๑๓) การกระทาของจาเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ และท่ี ๖
จึงไม่เปน็ ความผดิ ฐานเพ่ือใหไ้ ดม้ าซ่งึ ค่าไถ่ โดยการหนว่ งเหนย่ี วหรือกักขังบคุ คลใด

ฎีกาที่ ๔๕๓๒/๒๕๖๑ (ประชุมใหญ่) ฎ.๑๓๕๐ การที่จาเลยทั้งสามกับพวกนาผู้ตายไป
กักขังเพื่อเรียกค่าไถ่แล้วพวกของจาเลยได้ฆ่าผู้ตาย ถือได้ว่าการตายของผู้ตายเป็นผลมาจากการท่ี
จาเลยท้ังสามกับพวกนาผู้ตายไปเพ่ือเรียกค่าไถ่ การกระทาของจาเลยทั้งสามเป็นความผิดตาม ป.อ.
มาตรา ๓๑๓ วรรคทา้ ย แมจ้ าเลยที่ ๒ และท่ี ๓ ไมม่ สี ่วนร่วมในการฆ่าผู้ตายกต็ าม
ข้อสังเกต ควำมผิดฐำนนำผู้อ่ืนไปกักขังเพื่อเรียกค่ำไถ่ จนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ควำมตำย
เป็นควำมผิดที่ผลของกำรกระทำทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักข้ึนตำมประมวลกฎหมำยอำญำ
มำตรำ ๖๓ เม่ือจำเลยบำงคนก่อให้เกิดผลโดยกำรฆ่ำผู้ตำย เม่ือเป็นทั้งผลโดยตรงและผลธรรมดำ
ตำมมำตรำ ๖๓ แมจ้ ำเลยอ่ืนไม่มีส่วนรว่ มในกำรฆ่ำผู้ตำย จำเลยทุกคนต้องรับผิดในผลคือควำมตำย
ของผู้ถูกกะทำ

425

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๓๒๖
การใส่ความตอ้ งเปน็ การยนื ยันข้อเท็จจริง

ฎีกาที่ ๑๐๑๘๙/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๒๔๐ ถ้อยคาที่จาเลยกล่าวว่า "โจทก์ร่วมเป็นบุคคล
วกิ ลจริตไม่สามารถทางานได้ เป็นคนบา้ เหมือนหมาบ้า" นั้น เป็นถ้อยคาท่ีเลือ่ นลอยไมเ่ ป็นการยืนยัน
ข้อเท็จจริงซ่ึงเมื่อฟังประกอบข้อความตอนท้ายที่ว่า "และยังได้นาใบ ร.บ. (ระเบียบการศึกษา)
ไปจาหน่ายให้กับนักเรียนด้วย" แล้ว ย่งิ แสดงให้เห็นว่าจาเลยมิได้มงุ่ หวังให้บคุ คลอ่ืนเชอื่ ว่าโจทกร์ ่วม
เป็นบุคคลวิกลจริต ถ้อยคาดังกล่าวจึงไม่ทาให้โจทก์ร่วมเสียช่ือเสียง ถูกดูหม่ินหรือถูกเกลียดชัง
จาเลยไม่มคี วามผดิ ฐานหม่ินประมาท

ฎีกาท่ี ๓๗๔/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๑ น.๘o โจทก์และจาเลยต่างขายสินค้าเสริมความงาม เช่น
ครมี บารงุ ผวิ สบู่ ทางอินเทอร์เนต็ ผ่านโปรแกรมเฟซบุก๊ จาเลยพิมพ์ข้อความว่า "...หรือวา่ มึงเอาครีม
เก่าเน่า ๆ ไปขายให้ลูกค้าแล้วไม่มีใครซ้ือของ ของมึงนัง พ. ..." ซึ่งอ่านแล้วข้อความดังกล่าว ก็เป็น
เพยี งการตั้งคาถามถงึ โจทก์ว่า โจทก์ขายครมี เก่าเน่า ๆ หรือไม่ มไิ ด้ยืนยันว่า โจทกข์ ายครีมเกา่ เน่า ๆ
อันจะเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงซึ่งเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์ การกระทาของจาเลย
จึงไมเ่ ป็นความผดิ ฐานหมิน่ ประมาท

ตอ้ งยนื ยันจนบคุ คลทส่ี ามรไู้ ด้แนน่ อนวา่ เปน็ ใคร

ฎีกาท่ี ๕๒๗๖/๒๕๖๒ ฎ.๖๘๑ การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทาให้
ผอู้ ่ืนเสยี ช่ือเสียง ถูกดูหมิน่ หรือถูกเกลียดชัง อันจะเป็นความผิดฐานหม่ินประมาทตาม ป.อ. มาตรา
๓๒๖ และมาตรา ๓๒๘ ต้องเป็นการใส่ความระบุถึงตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความเป็นการยืนยันรู้ไดแ้ น่นอน
ว่าบุคคลท่ีถูกใส่ความเป็นใคร หรือหากไม่ระบุถึงผู้ท่ีถูกใส่ความโดยตรง การใส่ความน้ันก็ต้อง
ไดค้ วามว่าหมายถงึ บุคคลใดบุคคลหนึง่ โดยเฉพาะ

ฎีกาที่ ๕๙๑๘/๒๕๕๗ ฎ.๑๕๙๓ การใสค่ วามผ้อู น่ื ต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทาให้
ผู้อ่ืนนั้นเสียช่ือเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อันจะเป็นความผิดฐานหม่ินประมาทตาม ป.อ.
มาตรา ๓๒๖ และมาตรา ๓๒๘ นั้น จะต้องได้ความว่า การใส่ความดังกล่าวได้ระบุถึงตัวบุคคลผู้ถูก
ใส่ความเป็นการยืนยันรู้ได้แน่นอนว่าเป็นใคร หรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ถูกใส่ความโดยตรง การใส่ความ
น้ันก็ต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ ข้อความตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ไม่มี
ตอนใดระบุว่าเป็นโจทก์ร่วม หรือทาให้เข้าใจว่าหมายถึงโจทก์ร่วม ประกอบกับพลตารวจตรี พ.
พยานโจทก์และโจทก์ร่วมอ่านหนังสือพิมพ์แล้ว ขณะนั้นยังไม่เข้าใจว่าเป็นการกล่าวหาใคร การท่ี
โจทก์นาข้อความที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวัน ฉบับลงวันท่ี ๔, ๖, ๗, ๘, ๙, ๑๗, ๑๙, ๒๐ และ
๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๖ มารวมเข้าด้วยกันแล้วสรุปว่าเป็นการหม่ินประมาทโจทก์ร่วมน้ัน ก็เป็นเพียง
ความเข้าใจของโจทกร์ ่วมเทา่ น้ัน หาใช่เปน็ ความเข้าใจของบุคคลท่วั ไปไม่ บุคคลทั่วไปที่อา่ นข้อความ
ย่อมไม่ทราบหรือเข้าใจได้วา่ ข้อความทโ่ี จทกแ์ ละโจทกร์ ่วมอ้างมาน้ันหมายความถงึ ผู้ใด และเป็นเรื่อง

426

จริงตามที่ลงพิมพ์หรือไม่ หากต้องการรู้ความหมายว่าเป็นผู้ใดก็ต้องไปสืบเสาะหาเพิ่มเติม ทั้งไม่แน่
ว่าหลังจากสืบเสาะค้นหาเพ่ิมเติมแล้วจะเป็นตัวโจทก์ร่วมจริงหรือไม่ และในกรณีที่ทาการสืบเสาะ
ค้นหาแล้วจึงทราบว่าหมายความถึงโจทก์ร่วมก็เป็นการทราบจากการที่บุคคลน้ันได้สืบเสาะค้ นหา
ข้อเท็จจริงมาเองในภายหลัง หาได้ทราบโดยอาศัยข้อความท่ีลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ตามคาฟ้องไม่
เม่ือโจทก์ร่วมยึดถือความรู้สึกนึกคิดของตนเองเป็นสาคัญท้ัง ๆ ท่ีบุคคลทั่วไปมิได้มีการรับรู้หรือ
เข้าใจในข้อความน้ันว่าเป็นตัวโจทก์ร่วม การกระทาของจาเลยจึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม
ตามฟอ้ ง

โดยประการที่น่าจะทาใหผ้ ู้นั้นเสียชอ่ื เสียง ถูกดูหมิ่น หรอื ถกู เกลยี ดชัง

ฎีกาที่ ๙๖๒๗/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล. ๘ น. ๑๖๐ จาเลยพูดผ่านเครื่องกระจายเสียงในรถยนต์
กระบะประกาศแก่ประชาชนในเขตหมู่บ้านวังธงว่า “เป็นผู้ใหญ่บ้านมาหลายสมัยแล้ว ไม่มีผลงาน
ไม่มีปัญญาติดไฟกิ่งในหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนอย่างไร ไม่ให้ความร่วมมือในการพัฒนา
เปรียบเทียบกับชุด อบต. เป็นได้ไม่กี่ปีก็มีไฟกิ่งใช้ ผู้ใหญ่บ้านไม่ให้ความร่วมมือ อบต.”ีคากล่าวนี้
แม้จะมิได้ระบุเฉพาะเจาะจงถึงช่ือของผู้เสียหาย แต่ผู้ที่ได้ยินย่อมเข้าใจได้ว่าหมายถึงผู้เสียหาย ซ่ึง
ขณะนั้นเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ท่ี ๒ ตาบลวังธงน่ันเอง โดยเป็นคาเสียดสีผู้เสียหายว่า เป็นผู้ใหญ่บ้าน
หลายสมัยแล้วไม่มีผลงาน ไม่สามารถติดไฟสาธารณะในหมู่บ้าน คากล่าวน้ีไม่ถึงขั้นที่ทาให้ผู้ท่ีได้รับ
ฟังเข้าใจว่าผู้เสียหายเป็นคนไม่ดีหรือคดโกง หรือน่าจะทาให้ผู้เสียหายเสียช่ือเสียง ถูกดูหมิ่น หรือ
ถูกเกลียดชังแต่อย่างใด เป็นการแสดงความคิดเห็นติชมการทางานของผู้เสียหายผู้ปกครองท้องถ่ิน
ท่มี าจากการเลือกตั้งอนั เป็นวิสยั ของประชาชนยอ่ มกระทา จึงไม่เปน็ หมน่ิ ประมาท

ฎีกาท่ี ๘๖๑๑/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๖๙ การท่ีจาเลยยืนยันข้อเท็จจริงว่าจาเลยเห็น
โจทก์ร่วมหยิบเอาเศษสร้อยคอทองคาของจาเลยไป และได้แจ้งความแก่พนักงานสอบสวนให้
ดาเนินคดีโจทกร์ ่วมในขอ้ หาลกั ทรัพย์ซึ่งเป็นข้อความอันเปน็ เทจ็ โดยจาเลยรดู้ ีวา่ มิได้มีการกระทาผิด
ในข้อหาลักทรัพย์เกิดขึ้น แต่กลับไปแจ้งความแก่พนักงานสอบสวนดังกล่าวว่าได้มีการกระทาผิด
ข้อหาลักทรัพยอ์ ันเป็นเท็จ เพื่อให้พนักงานสอบสวนเช่ือว่าได้มคี วามผิดข้อหาลักทรัพย์เกิดข้ึนเพ่ือให้
โจทก์ร่วมได้รับโทษ การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จตาม ป.อ.
มาตรา ๑๓๗, ๑๗๔ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๑๗๓ นอกจากน้ี จาเลยยังมีเจตนาแจ้งความเพ่ือให้
พนักงานสอบสวนดาเนินคดีแก่โจทก์ร่วม อันเป็นการใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลท่ีสามเพ่ือให้
โจทกร์ ว่ มถกู ดูหม่ินเกลียดชังและเสยี ช่ือเสียง จงึ เปน็ การหมิน่ ประมาทโจทก์รว่ มอีกดว้ ย

ฎกี าที่ ๕๑๗๒/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๗ น.๕๔ จาเลยมีความสัมพันธฉ์ ันชู้สาวกับโจทก์ร่วมและเคย
มีเพศสัมพันธ์กันมาก่อน เพียงแต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันสามีภริยากันเท่าน้ัน แต่ความสัมพันธ์
ระหว่างจาเลยกับโจทกร์ ่วมในลักษณะดังกล่าวก็ไม่ทาให้จาเลยมสี ิทธิทจี่ ะกลา่ วประจานโจทก์รว่ มแก่
บคุ คลท่ีสามด้วยถ้อยคาว่า ไมร่ ู้จกั โจทก์ร่วม แตโ่ จทกร์ ่วมมานั่งเฝา้ จาเลยท่ีห้องทกุ คืน จนจาเลยต้อง

427

ไปนอนท่ีอ่ืนและมาเฝ้าต้ังแต่เช้า มาเฝ้าถึงท่ีทางานของจาเลยโดยอ้างว่าเป็นภริยาจาเลย และโจทก์
รว่ มมาคอยตามต๊ือจาเลยตลอดเวลา อันเป็นถ้อยคาที่ทาให้บุคคลท่ีสามเข้าใจว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้หญิง
ไม่ดีคอยตามต๊ือจาเลยซึ่งเป็นผู้ชายตลอดเวลา และแอบอ้างเป็นภริยาของจาเลยแม้คาว่า "ใส่ความ"
ต า ม ที่ บั ญ ญั ติ ใน ค ว า ม ผิ ด ฐ า น ห ม่ิ น ป ร ะ ม า ท นั้ น ป ร ะ ม ว ล ก ฎ ห ม า ย อ า ญ า ไม่ ได้ นิ ย า ม ศั พ ท์ ว่ า
มีความหมายอย่างไร แต่ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานอธิบายไว้ว่า หมายถึงการพูดหา
เหตุร้าย กล่าวหาเรื่องร้ายให้ผู้อ่ืนได้รับความเสียหาย เมื่อการกล่าวถ้อยคาดังกล่าวของจาเลยเป็น
การกล่าวที่ทาให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหาย ถ้อยคาท่ีจาเลยกล่าวจึงเป็นการใส่ความโจทก์ร่วม
และการกล่าวถ้อยคาดังกล่าวน้ันเห็นได้ชัดว่าจาเลยมุ่งประสงค์ให้โจทก์ร่วมได้รับความอับอาย
อันเป็นการทาลายชื่อเสียงของโจทก์ร่วมและทาให้โจทก์ร่วมถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ทั้งเป็นการ
ใส่ความในเรื่องส่วนตัว ไม่มีลักษณะไปในทานองแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตเพื่อ
ความชอบธรรม ป้องกนั ตนหรือป้องกันสว่ นไดเ้ สียเกีย่ วกับตนตามคลองธรรม

ฎีกาท่ี ๓๙๒๐/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๑๖ ข้อความท่ีจาเลยกล่าวจะเป็นความผิดฐาน
หม่ินประมาทหรือไม่ ต้องพิจารณาถึงความรู้สึกของวิญญชนทั่ว ๆ ไป เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่า
ข้อความที่กล่าวนั้นถึงข้ันท่ีทาให้ผู้ถูกหมิ่นประมาทซ่ึงเป็นทนายความน่าจะเสียช่ือเสียง บุคคลอ่ืน
ดูหม่ิน เกลียดชังหรือไม่ มิใช่พิจารณาตามความรู้สึกของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ายเดียว ถ้อยคาที่
จาเลยกล่าวว่า "เอาทนายเฮงซวยที่ไหนมา สถุล" นั้น พจนานุกรมฉบับราชบัณทิตยสถาน พ.ศ.
๒๕๕๔ ให้ความหมายของคาว่า "เฮงซวย" ว่า เอาแน่นอนอะไรไม่ได้ คุณภาพต่า ไม่ดี เช่น
คนเฮงซวย ของเฮงซวย เรื่องเฮงซวย ส่วนคาว่า "สถุล" ให้หมายความว่า หยาบ ต่าช้า เลวทราม
(ใช้เป็นคาด่า) เชน่ เลวสถุล เช่นน้ี แม้ถ้อยคาที่จาเลยด่าโดยการกล่าวว่าทนายเฮงซวย เป็นเพียงการ
ดูถูกเหยียดหยามและสบประมาทโจทก์ อันเป็นการพูดดูหมิ่นเหยียดหยามให้อับอายเจ็บใจ แต่ยัง
ไม่เป็นการใส่ความให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังก็ตาม แต่เม่ือฟังประกอบกับถ้อยคา
ตอนท้ายว่า "สถุล" แล้ววิญญชนทั่วไปจึงอาจเข้าใจว่าโจทก์ซึ่งเป็นทนายความเอาแน่นอนอะไรไม่ได้
คุณภาพต่า ไม่ดี และเป็นไปในทางหยาบ ต่าช้า เลวทราม ถ้อยคาดังกล่าว จึงอาจทาให้โจทก์
เสียช่ือเสียง ถูกดูหม่ินหรือถูกเกลียดชัง อันอาจเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทได้ คดีโจทก์จึงมีมูล
ใหป้ ระทับฟ้องไวพ้ ิจารณา

การหมิน่ ประมาทตอ้ งมเี จตนา

ฎกี าท่ี ๑๑๙๙/๒๕๕๗ ฎ.๓๕๓ โจทก์และจาเลยทะเลาะโต้เถียงกันเกี่ยวกับเรื่องเงินท่โี จทก์
ยืมจากจาเลยด้วยความโกรธต่างคนต่างว่าซ่ึงกันและกนั คาว่า มงึ โกงกู เป็นคาโต้ตอบโจทก์เนื่องจาก
จาเลยไม่เชื่อว่าโจทก์ได้ชาระหน้ีให้จาเลยแล้วโดยการโอนเงินผ่านธนาคาร ดังนี้ จะถือว่าจาเลย
เจตนาใส่ความโจทก์อันจะเข้าลักษณะเป็นความผิดฐานหม่ินประมาทไม่ได้ จาเลยไม่มีความผิดฐาน
หมิ่นประมาทตาม ป.อ. มาตรา ๓๒๖ โดยไม่จาต้องพิจารณาว่าการกระทาของจาเลยเป็นการแสดง

428

ความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับ
ตนตามคลองธรรมตามมาตรา ๓๒๙ (๑) หรือไม่

ฎกี าน่าสนใจมาตรา ๓๒๘

ฎีกาท่ี ๔๙๙๘/๒๕๕๘ การนาหนังสือพิมพ์ไปแจกโดยทราบว่ามีเน้ือหาข้อความ
หมิ่นประมาทโจทกถ์ ือได้ว่าเป็นการกระจายข่าวไปสสู่ าธารณชนหรือประชาชนท่วั ไปแล้ว จึงเป็นการ
กระทาความผิดฐานหม่นิ ประมาทโดยการโฆษณา

ฎีกาท่ี ๗๗๘๘/๒๕๕๒ ฎ.๒๑๓๐ การหม่ินประมาทโดยการโฆษณาตาม ป.อ. มาตรา ๓๒๘
ผู้กระทาต้องเผยแพร่ข้อความอันเป็นการหมิ่นประมาทออกไปยังสาธารณชนหรื อประชาชนทั่วไป
การที่จาเลยส่งหนังสือถึง อ. และบุคคลอื่น ๆ ที่เป็นเจ้าของที่ดินในโครงการบ้านสวนริมทะเลของ
จาเลยเท่านั้น มีลักษณะเป็นเพียงการแจ้งหรือไขข่าวไปยังเฉพาะกลุ่มบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินใน
โครงการดังกล่าวเช่นเดียวกับโจทก์ ยังไม่ถึงกับเป็นการกระจายข่าวไปสู่สาธารณชนหรือประชาชน
ทว่ั ไป จึงไม่มคี วามผิดตามมาตรา ๓๒๘

ฎกี าท่ี ๕๒๗๖/๒๕๖๒ ฎ.๖๘๑ ความผิดฐานหมน่ิ ประมาทโดยการโฆษณาตามมาตรา ๓๒๘
ผู้กระทาต้องเผยแพร่ข้อความอันเป็นการหม่ินประมาทออกไปยังสาธารณชนหรือประชาชนท่ัวไป
การที่จาเลยส่งข้อความลงในแอปพลิเคชันไลน์กลุ่มโพสท์นิวส์ออนไลน์ มีลักษณะเป็นเพียงเจตนา
การแจ้งหรือไขข่าวไปยังเฉพาะกลุ่มบุคคลซึ่งอยู่ในกลุ่มไลน์เท่านั้น ยังไม่ถึงกับเป็นการกระจายข่าว
ไปสู่สาธารณชนหรือประชาชนทั่วไป คดโี จทก์ไม่มมี ลู ความผดิ ตามมาตรา ๓๒๘

ฎีกาที่ ๔๒๙๑/๒๕๔๘ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๑๒ จาเลยที่ ๑ ทาหนังสือร้องเรียนซึ่งมีข้อความ
หมิ่นประมาท น. ย่ืนต่อนายอาเภอคอนสารโดยเฉพาะเจาะจง ไม่เป็นการโฆษณาด้วยเอกสาร
เพราะหนังสือร้องเรียนดังกล่าวย่ืนต่อนายอาเภอคอนสารซึ่งเป็นบุคคลท่ีสามเพียงคนเดียวเท่านั้น
จาเลยท่ี ๑ ไม่มีเจตนาใส่ความโดยโฆษณาให้บุคคลอื่นท่ัวไปทราบนอกจากนายอาเภอคอนสาร
จึงไมเ่ ป็นการหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๓๒๙

ฎกี าท่ี ๓๐๕๗/๒๕๖๐ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๒๐ ผ้กู ระทาความผิดฐานหมนิ่ ประมาทน้ัน กระทาโดย
ใส่ความ คือ บอกกล่าวพฤติการณ์อันเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดข้ึนแล้วหรือกาลังเกิดข้ึนอยู่เป็นการยืนยัน
ขอ้ เท็จจริง เช่น ความประพฤติเส่ือมเสียในทางประเวณีประพฤติช่ัวหรือทุจริตในหน้าที่การงานหรือ
ฐานะการเงินท่ีไม่น่าเช่ือถือ เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือเท็จก็ตาม เป็นการกระทาหาเหตุร้าย
หรือกล่าวหาเร่ืองร้ายผู้อ่ืนต่อบุคคลท่ีสามให้ได้รับความเสียหาย จาเลยทาหนังสือถึงผู้อานวยการ
โรงเรียน อ. และผู้อานวยการสานักเขตพ้นื ที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต ๒๐ อันเป็นบุคคลท่ีสาม ด้วย

429

ขอ้ ความว่า จากการตรวจสอบจึงเป็นการยืนยันว่าโจทก์ขาดคุณสมบัติในการทาหน้าที่เพราะประวัติ
เคยมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง กรณีกระทาชาเรา (ข่มขืน) นักเรียนหญิง
โรงเรียนมีช่ือแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานีซึ่งเป็นข่าวโด่งดังไปทั่ว ศาลชั้นต้นมีคาพิพากษาจาคุกโจทก์
เป็นเวลา ๕ ปี ขณะน้ีเรือ่ งอย่ใู นการพิจารณาของศาลฎีกา ซงึ่ เปน็ ความเท็จ ทาใหผ้ ู้อนื่ เขา้ ใจว่าโจทก์
ข่มขืนกระทาชาเรานักเรียนหญิงและถูกจาคุก ๕ ปีจริง เป็นการกระทาหาเหตุร้ายกล่าวหาเร่ืองร้าย
ใหโ้ จทก์ได้รับความเสยี หาย แมจ้ าเลยจะอ้างว่าเป็นข้อมลู ทคี่ ลาดเคลอ่ื นก็ตาม การกระทาของจาเลย
เป็นหม่ินประมาทตาม ป.อ. มาตรา ๓๒๖

ท่ีจาเลยอ้างว่าเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนโดยรู้ข้อมูลมาจากคนอ่ืนนั้น เมื่อจาเลยเคยเป็น
ผู้ฟ้องร้องคดีในศาลชั้นต้นมาก่อนแล้ว การร้องเรียนต่อราชการในเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ หากจาเลย
กระทาโดยสุจริต จาเลยต้องตรวจสอบข้อมูลจากศาลช้ันต้นซึ่งกระทาได้ไม่ยากแล้วจึงนาข้อมูล
มาพิจารณาต่อไปว่า จาเลยสมควรกระทาการอย่างไรต่อไป หากมีความหวังดีต่อโรงเรียนดังที่กล่าว
อ้างจริง แต่จาเลยซ่ึงมีมูลเหตุกับโจทก์ดังปรากฏตามที่จาเลยฟ้องคดีโจทก์ว่าจงใจกลั่นแกล้งจาเลย
มาก่อน จึงด่วนทาหนังสือร้องเรียนโจทก์ เช่นนี้ จึงรับฟังไม่ได้ว่ากระทาโดยสุจริต ดังน้ัน จาเลย
จะอ้างว่าจาเลยแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลอันเป็น
วิสัยของประชาชนย่อมกระทาตามมาตรา ๓๒๙ ( ๓) ว่าจาเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทไม่ได้

ฎีกาท่ี ๒๐๕๒/๒๕๖๐ ฎ.ส.ล.๕ น.๙ จาเลยที่ ๑ ระบุเหตุเลิกจ้างไปตามที่เห็นว่าโจทก์
ฝ่าฝืนข้อบังคับเก่ียวกับการทางานและบกพร่องต่อหน้าท่ี ซึ่งเป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. คุ้มครอง
แรงงานฯ มาตรา ๑๑๙ วรรคท้าย และที่จาเลยท่ี ๒ ให้จาเลยท่ี ๓ ส่งหนังสือเลิกจ้างทางจดหมาย
อิเล็กทรอนิกส์เพ่ือให้ทราบท่ัวกันว่าจาเลยท่ี ๑ เลิกจ้างโจทก์ด้วยสาเหตุใด ไม่ได้กล่ันแกล้งโจทก์
อันเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตเพ่ือความชอบธรรม เป็นการติชมด้วยความ
เปน็ ธรรมตามวิสัยของนายจ้าง การกระทาของจาเลยท่ี ๑ รวมทั้งจาเลยท่ี ๓ ในฐานะผรู้ ับมอบหมาย
จากนายจ้างย่อมไมเ่ ป็นความผดิ ฐานหมนิ่ ประมาทโดยการโฆษณาดว้ ยเอกสาร

ฎีกาที่ ๑๒๗๙/๒๕๕๙ ฎ.ส.ล.๔ น.๗ จาเลยที่ ๑ ทาหนังสือร้องเรียนต่อเจ้าอาวาสวัด
ยานนาวา ผู้บังคับบัญชาของโจทก์ กล่าวหาว่าโจทก์มีพฤติกรรมในการเสพเมถุนกับจาเลยท่ี ๑ ซ่ึง
เป็นหญิงมีสามี จาเลยที่ ๒ และท่ี ๓ จึงลงลายมือช่ือเป็นพยานในหนังสือร้องเรียน การกระทา
ดังกล่าวของจาเลยที่ ๒ และท่ี ๓ แม้ข้อความในหนังสือร้องเรียนนั้นจะมีลักษณะน่าจะทาให้โจทก์
เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง แต่การกระทาของจาเลยที่ ๒ และท่ี ๓ มีเหตุให้เช่ือ
จงึ ถือได้ว่าจาเลยที่ ๒ และท่ี ๓ แสดงความคิดเห็นหรือแสดงข้อความโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม
ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเก่ียวกับตนตามคลองธรรม จาเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ จึงไม่มีความผิด
ฐานหมิ่นประมาทตาม ป.อ. มาตรา ๓๒๙ (๑)

ฎีกาท่ี ๒๘๑๓/๒๕๕๙ การเปิดบ่อนที่มีเจ้าพนักงานตารวจช้ันผู้ใหญ่เข้าไปเก่ียวข้องด้วย
มิใช่เป็นเพียงข้อเท็จจริงที่ประชาชนโดยทั่วไปประสงค์จะทราบเท่านั้น เพราะเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่า
การพนันเป็นการมอมเมาประชาชนให้หลงในอบายมุข ก่อให้เกิดการกระทาความผิดอื่นตามมาเป็น

430

ลูกโซ่ มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน หากนายตารวจช้ันผู้ใหญ่
ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมดูแลปราบปรามอาชญากรรมกลับมากระทาความผิดเสียเอง นอกจากจะนามาซ่ึง
ความเส่ือมศรัทธาต่อวงการราชการตารวจแล้ว ยังมีผลกระทบต่อการปราบปรามอาชญากรรม
อีกด้วย ที่จาเลยท้ังสองสัมภาษณ์ พล.ต.อ. ส. ประธานสอบข้อเท็จจริงกรณีบ่อนรัชดาซึ่งมีหน้าที่
โดยตรง ก็เพอื่ ทาใหข้ ้อเทจ็ จรงิ ทถี่ ูกต้องปรากฏ ไมป่ รากฏว่าจาเลยทั้งสองมีสาเหตุโกรธเคอื งกบั โจทก์
มาก่อน เช่ือว่าจาเลยทั้งสองกระทาไปโดยสุจริต เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมซ่ึงบุคคลหรือส่ิงใด
อันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทา แม้จะมีข้อความหมิ่นประมาท การกระทานั้นย่อมไม่เป็น
ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๒๙ (๓)

ฎกี าที่ ๓๕๔๖/๒๕๕๘ ข่าวเก่ียวกบั ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมเรื่องการบกุ รกุ พ้ืนท่ี
ป่าสงวนแห่งชาติและมีการออกโฉนดท่ีดินทับซ้อนพ้ืนที่สวนป่าเป็นข่าวที่สังคมให้ความสนใจเพราะ
มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของทุกคนในสังคม และข้อเท็จจริงตามที่จาเลยที่ ๑ นามาตีพิมพ์ใน
หนังสือพิมพ์ของตนเป็นข้อเท็จจริงท่ีปรากฏจากการสืบสวนและสอบสวนของเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง
ทั้งในส่วนของกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รวมถึงเจ้าพนักงานตารวจ เมื่อ
จาเลยท้ังสองในฐานะสื่อมวลชนมีหน้าที่เสนอข่าวสารท่ีเกิดข้ึนในบ้านเมืองให้ประชาชนทราบโดย
เสนอข้อมูลไปตามข้อเท็จจรงิ ท่ีปรากฏตามท่ีเจ้าหน้าทผ่ี ู้เก่ียวข้องสืบสวนและสอบสวนได้ความ หาใช่
เป็นข้อเท็จจริงท่ีจาเลยทั้งสองสร้างข้ึนมาเองไม่ แม้ข้อความบางส่วนอาจทาให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจ
ว่าโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทาความผิดด้วยอันเป็นการใส่ความโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย
โดยที่โจทก์ยังมิได้ถูกเรียกไปแจ้งข้อกล่าวหาหรือดาเนินคดี แต่การดาเนินคดีก็เป็นเรื่องท่ี
เจ้าพนักงานผู้เก่ียวข้องสามารถดาเนินการได้ภายในกาหนดอายุความ ท้ังการนาเสนอข่าวสาร
เชิงวิเคราะห์ของจาเลยทั้งสอง ก็เป็นการติชมวิพากษ์วิจารณ์ และแสดงความคิดเห็นไปตาม
ข้อเท็จจริงที่ได้ความมาจากการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าท่ีผู้เก่ียวข้องโดยสุ จริตและติชม
ด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทา จาเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐาน
หมนิ่ ประมาทตาม ป.อ. มาตรา ๓๒๙

ฎีกาที่ ๑๓๖๙๒/๒๕๕๗ ฎ.๓๑๗๗ เหตุการณ์แวดล้อมต่าง ๆ ทาให้จาเลยเข้าใจว่าโจทก์
มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มชายฉกรรจ์ท่ีมาก่อกวนและเหตุประทัดระเบิด ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นดังท่ี
จาเลยเข้าใจหรือไม่ แต่มีเหตุให้จาเลยเช่ือว่าเป็นความจริง การแสดงความคิดเห็นหรือข้อความของ
จาเลยในวันรุ่งข้ึนจึงเป็นการกระทาโดยสุจริต เหตุการณ์ประทัดระเบิดใกล้เวทีปราศรัยของจาเลย
ในสวนลุมพินี มีผู้รับฟงั คาปราศรัยได้รับบาดเจ็บ การแสดงความคิดเหน็ หรือข้อความของจาเลยเพ่ือ
แสดงว่าจาเลยรู้วา่ เป็นการกระทาของผู้ใดหรอื กลมุ่ ใด อันเปน็ การปรามไม่ให้เกดิ เหตุการณเ์ ช่นนัน้ อีก
จึงเป็นการป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม เพ่ือความชอบธรรม
ย่อมไมเ่ ปน็ ความผดิ ฐานหมิ่นประมาทตาม ป.อ. ๓๒๙ (๑)

ฎีกาท่ี ๑๑๑๑๙/๒๕๕๘ ฎ.ส.ล.๕ น.๒๑๑ การท่ีจาเลยท้งั สามร่วมกันลงข้อความในเว็บไซต์
ต่าง ๆ เพ่ือร้องขอความเป็นธรรมไปที่หน่วยงานราชการหลายแหล่ง แม้จะเป็นข้อความหมิ่น

431

ประมาทโจทก์ร่วมก็ตาม แต่มิใช่เป็นการใส่ความโจทก์ร่วม เนื่องจากเป็นข้อเท็จจริงท่ีมีอยู่จริงว่า
จาเลยทงั้ สามไม่ยอมขายท่ีดนิ ให้โจทก์ร่วม เป็นเหตุให้เกดิ ความหวาดกลวั ว่าโจทก์ร่วมเป็นข้าราชการ
ทหารจะใชอ้ ิทธิพลข่มขู่รังแกจาเลยทั้งสามซ่งึ เป็นชาวบ้านและผู้หญิง จาเลยท้ังสามมีสิทธิท่ีจะเข้าใจ
ได้โดยสุจริตว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการประพฤติตนของโจทก์ร่วม อีกทั้งการที่จาเลยท้ังสาม
ระบุชื่อจริงนามสกุลจริงของโจทก์ร่วมและของจาเลยท้ังสามตลอดจนที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์
ของจาเลยท้ังสามไว้โดยชัดแจ้ง ย่อมแสดงให้เห็นว่าจาเลยท้ังสามนาข้อความลงในเว็บไซต์ต่าง ๆ
ด้วยเจตนาสุจริตตามเร่ืองท่ีเกิดขึ้นแก่จาเลยทั้งสาม การกระทาของจาเลยทั้งสามจึงเป็นการกระทา
โดยสุจริตเพือ่ ความชอบธรรม ปอ้ งกนั ตนหรือปอ้ งกนั สว่ นได้เสยี ของตนตามคลองธรรม

ฎีกาที่ ๔๙๔๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๙๑ การที่มีประชาชนผู้ใช้นามแฝงว่า “พลังเงียบ”
เขียนจดหมายมาถึงจาเลยที่ ๑ ผู้เป็นส่ือมวลชนและเป็นเจ้าของคอลัมน์ “น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ พูด”
ซ่ึงเป็นคอลัมน์ที่เก่ียวข้องกับการวิเคราะห์วิจารณ์ทางการเมืองนั้น ย่อมถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของ
กระบวนการในการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ในฐานะที่โจทก์เป็นนายกรัฐมนตรี ท้ังเมื่อ
อา่ นขอ้ ความในคอลัมนด์ ังกลา่ วท้งั หมดแล้วพบว่า ข้อความส่วนหน่ึงมีเน้ือหากล่าวถึงการดาเนินการ
ของขบวนการท่ีไม่ถูกต้องตามทานองคลองธรรมและหลกั นิตริ ัฐ มิได้กลา่ วโดยเฉพาะเจาะจงว่าโจทก์
เป็นผู้กระทาหรืออยู่เบื้องหลังการกระทาท่ีเป็นการกดดันศาลรัฐธรรมนูญในการพิจารณาคดี
โจทก์เองก็ไม่ได้นาสืบให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ตนไม่ได้มีพฤติกรรมตามท่ีมีการวิพากษ์วิจารณ์ รวมท้ัง
ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มท่ีไปเรียกร้องท่ีสานักงานศาลรัฐธรรมนูญและไม่ได้รับประโยชน์จากการ
เรียกร้อง ข้อความท่ีจาเลยที่ ๑ นามาลงพิมพ์ในคอลัมน์ “น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ พูด” ซึ่งโจทก์นามา
ฟ้องเป็นคดีน้ี จึงถือได้ว่าเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของ
ประชาชนย่อมกระทาได้ตาม ป.อ. มาตรา ๓๒๙ (๓)

ฎีกาท่ี ๖๗๔๗/๒๕๖๐ ขณะเกิดเหตุโจทก์ท่ี ๑ เป็นรองหัวหน้าพรรค ป. และเป็นรัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงการคลัง มีโจทก์ที่ ๒ เป็นภริยา ส่วนจาเลยท่ี ๓ และท่ี ๔ เป็นสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎรสังกัดพรรค พ. ซึ่งเป็นฝ่ายค้านในขณะน้ัน จาเลยท่ี ๓ และท่ี ๔ ตรวจสอบพบว่า บริษัท ก.
มีหลักเกณฑ์การปรับระดับชั้นท่ีนั่งโดยสารอยู่ ๒ หลักเกณฑ์ คือ กรณีที่หนึ่งต้องเป็นไปตาม
หลักเกณฑ์ท่ีบริษัทฯ กาหนดไว้ และอีกกรณีหน่ึงเป็นกรณีนอกหลักเกณฑ์ที่บริษัทฯ กาหนดไว้เป็น
กรณีพิเศษว่าพนักงานระดับใดมีอานาจอนุมัติและจะอนุมัติได้ในกรณีใดบ้าง จาเลยท่ี ๓ และท่ี ๔
ตรวจสอบหลักฐานการเดินทางของโจทก์ทงั้ สองและครอบครัวรวม ๑๔ เท่ียวบนิ มีการปรบั ระดับชั้น
ที่นั่งบัตรโดยสารของโจทก์ที่ ๒ โดยใช้สิทธิบัตรทองอาร์โอพีคลับโกลด์ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์
ในกรณีที่หน่ึงเพียงรายการเดียว รายการอื่น ๆ นอกนั้นล้วนเป็นการปรับช้ันที่น่ังให้สูงข้ึนแบบนอก
หลักเกณฑ์ โดยบางรายการมีการระบุผู้อนุมัติพรอ้ มเหตุผล แต่อีกหลายรายการระบุเพียงตัวผู้อนุมัติ
เท่าน้ัน แต่มิได้ระบุเหตุผล บางรายการอนุมัติด้วยวาจา บางรายการมิได้ระบุว่าอนุมัติด้วยวาจาหรือ
เป็นลายลักษณอ์ ักษร พฤติการณ์แห่งคดีจึงมีข้อเคลือบแคลงสงสัยว่า การอนุมตั ิปรบั ช้นั ทนี่ ่ังให้สูงข้ึน
แก่โจทก์ทั้งสองและครอบครัวดาเนินการโดยถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของบริษัทฯ หรือไม่ บริษัท ก.

432

มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ การเลือกกรรมการบริษัทฯ กระทาโดยท่ีประชุมผู้ถือหุ้นเป็น
ผู้ลงคะแนนเลือก โดยก่อนท่ีจะนารายช่ือของคณะกรรมการให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงคะแนนน้ัน
จะต้องมีการเสนอรายชื่อดังกล่าวให้สานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวง
การคลงั พจิ ารณากอ่ น โดยสถานะและตาแหนง่ กับอานาจหนา้ ที่ของโจทก์ที่ ๑ ซ่ึงเป็นรัฐมนตรวี ่าการ
กระทรวงการคลังดังกล่าว เม่ือพิจารณาประกอบอัตราค่าโดยสารในแต่ละช้ันที่นั่ง เช่น สาหรับการ
เดินทางจากกรุงเทพมหานครไปกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ บัตรโดยสารชั้นประหยัดราคา
๓๔,๗๔๕ บาท ช้ันธุรกิจราคา ๑๕๐,๗๖๕ บาท และช้ันหนึ่งราคา ๒๒๘,๒๐๐ บาท ประโยชน์ที่
โจทก์ทั้งสองกับครอบครัวได้รับจากการปรบั ระดับช้ันที่น่ังโดยสารใหส้ ูงขนึ้ รวม ๑๔ เท่ียวบิน จึงอาจ
คานวณเป็นราคาเงินได้มิใช่จานวนเล็กน้อย แม้ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ที่ ๑ ใช้อภิสิทธิ์ใด ๆ
ในการเลื่อนช้ันบัตรท่นี ั่งโดยสารกต็ าม แต่โจทก์ท่ี ๑ ดารงตาแหน่งทางการเมืองระดับสูงถึงรัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงการคลัง มีหน้าท่ีท้ังโดยตรงและโดยอ้อมที่จะต้องดูแลผลประโยชน์ของแผ่นดิน
แม้พนักงานผู้มีอานาจของบริษัทฯ จะพิจารณาอนุมัติเองโดยโจทก์ท่ี ๑ มิได้ร้องขอ โจทก์ท่ี ๑ เอง
ก็ควรจะตระหนักรู้และอาจใช้วิจารณญาณได้ว่าสมควรท่ีโจทก์ท่ี ๑ จะรับหรือปฏิเสธประโยชน์
ท่ีจะได้รับจากการอนุมัติปรับเล่ือนชั้นท่ีนั่งโดยสารรวม ๑๔ เที่ยวบิน ซึ่งอาจคานวณเป็นราคาเงินได้
มิใช่น้อยเช่นน้ัน ดังน้ัน การท่ีจาเลยที่ ๓ และท่ี ๔ ร่วมกันแถลงข่าวต่อส่ือมวลชนใส่ความโจทก์
ท้ังสองว่า ในการเล่ือนชั้นที่นั่งโดยสารของโจทก์ทั้งสองและครอบครัวอาจทาได้ในสองลักษณะ
คือ ๑ โจทก์ที่ ๑ อาจใช้อานาจและอภิสิทธ์ิของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังส่ังให้พนักงานที่มี
อานาจดาเนินการอนุมัติให้เลื่อนชั้นบัตรโดยสารเป็นชั้นหนึ่งโดยไม่มีการจ่ายค่าโดยสารเพิ่มท้ังอาจมี
การส่ังให้เลื่อนช้ันการเดินทางของบุตรจากชั้นประหยัดเป็นชั้นธุรกิจด้วย และ ๒ ผู้มีอานาจในการ
อนุมัติทาการเล่ือนชั้นบัตรโดยสารให้โจทก์ท่ี ๑ กับครอบครัวเพ่ือแลกผลประโยชน์หรือความ
ก้าวหน้าของตน หรืออาจมีผู้มีอานาจเหนือกว่าเป็นผู้สั่งการ จึงเป็นการต้ังข้อสังเกตที่จาเลยท่ี ๓
และที่ ๔ ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทน พรรค พ. ซ่ึงเป็นพรรคฝ่ายค้านอยู่ในขณะนั้น เม่ือตรวจสอบ
พบหลักฐานความไม่ชอบมาพากลของโจทกท์ ี่ ๑ ซ่ึงเปน็ รฐั มนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ย่อมชอบท่ี
จาเลยท่ี ๓ และที่ ๔ จะแสดงความคดิ เห็นเพื่อติชมดว้ ยความเป็นธรรมซงึ่ บุคคลหรอื สิ่งใดอนั เป็นวสิ ัย
ของประชาชนย่อมกระทาได้ การกระทาของจาเลยที่ ๓ และท่ี ๔ จึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ.
มาตรา ๓๒๙ (๓)

สาระสาคัญของบทยกเว้นความผิดฐานหม่ินประมาทตาม ป.อ. มาตรา ๓๒๙ (๓) นั้น
อยู่ที่ว่า เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมซ่ึงบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทา
ดังนั้น หากความเห็นหรือข้อความที่แสดงเพื่อใส่ความผู้อื่นนั้น ต้องด้วยสาระสาคัญของข้อยกเว้น
ความผิดดังกลา่ วและไมว่ ่าผู้ใส่ความจะแสดงความคิดเหน็ หรือข้อความด้วยวธิ กี ารอย่างไร กเ็ ป็นสิทธิ
อันชอบธรรมท่ีจะกระทาได้ แม้จาเลยท่ี ๓ และที่ ๔ จะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีอานาจ
หน้าที่และมีสิทธิที่จะใช้ช่องทางตามรัฐธรรมนูญที่กาหนดสิทธิการตรวจสอบเอาไว้คือ การย่ืนกระทู้
ถาม กระทู้สด เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือยื่นถอดถอนรัฐมนตรีได้ แต่จาเลยที่ ๓ และที่ ๔ กลับ

433

ใช้สิทธิการต้ังโต๊ะแถลงข่าวต่อส่ือมวลชน ก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมท่ีกระทาได้ตามมาตรา ๓๒๙ (๓)
ดงั กล่าวข้างต้น

ฎีกาท่ี ๑๔๔๐๑/๒๕๕๕ ฎ.๒๔๒๖ ข้อความที่จาเลยส่งหนังสือร้องเรียนไปถึงเจ้าพนักงาน
ตารวจเพ่ือขอให้ดูแลกวดขันร้านเกมเพราะจาเลยเห็นว่ามีนักเรียนเข้าไปม่ัวสุมติดเกมไม่สนใจ
การเรียน ไม่สนใจงาน อันเป็นการแสดงข้อเท็จจริงและความคิดเห็นโดยสุจริตด้วยความชอบธรรม
ป้องกันตนและส่วนได้เสียของตน ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทา
จาเลยจึงมสี ิทธทิ าหนังสอื ร้องเรียนนน้ั ได้

จาเลยส่งหนังสือร้องเรียนโดยใส่ในซองจดหมายซึ่งระบุชื่อและที่อยู่ผู้รับคือ สารวัตรใหญ่ซึ่ง
เป็นหัวหน้าสถานีตารวจฯ อันเป็นตาแหน่งที่มีผู้รับเอกสารของจาเลยโดยแน่ชัดเพียงคนเดียว มิได้
มีเจตนาให้ข้อความแพร่หลายออกไป ส่วนในหนังสือร้องเรียนที่โจทก์อ้างว่าหม่ินประมาท คือ
ขอ้ ความท่ีว่า ต้เู กมตงั้ อยู่หน้าบ้านเมียน้อยกานัน แต่ในบรรทัดถัดมาของหนังสอื รอ้ งเรียน มีขอ้ ความ
ว่า “พวกพ่อแม่เดก็ นักเรยี น เยาวชนได้แต่มองดูแลว้ ก็พูดอะไรไม่ได้ เพราะตู้เกมตั้งอยู่บ้านกานันเลย
ก็ว่าได้ พ่อแม่ของเด็กไม่มีที่พ่ึง มีหลายคนไปหาผม บอกให้ผมทาหนังสือมาหาท่าน...” อันเป็นการ
แสดงเจตนาของจาเลยที่ต้องการให้เจ้าพนักงานตารวจกวดขันดูแลจับกุมมิให้เด็กนักเรียนซึ่งเป็น
อนาคตของประเทศชาติไปถูกมอมเมาและมั่วสุมทาส่ิงท่ีไม่เกิดประโยชน์ท้ังต่อตนเองและครอบครัว
และในหนังสือของจาเลยนอกจากร้องเรียนเก่ียวกับการมีตู้เกมแล้ว ยังให้ข้อมูลแก่เจ้าพนักงาน
ตารวจว่า สาเหตุที่เจ้าพนักงานฝา่ ยปกครองมิได้กวดขันดแู ล เป็นเพราะสาเหตุใด ผู้ปกครองของเด็ก
ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากเจ้าพนักงานในท้องที่ได้แล้ว จึงทาหนังสือมาแจ้งแก่เจ้าพนักงาน
ตารวจผู้มีหน้าท่ีรับผิดชอบให้ดาเนินการตามกฎหมายต่อไป แม้ข้อมูลบางอย่างจะเป็นเรื่องส่วนตัว
ของโจทก์ แต่ก็เป็นส่ิงที่จาเลยมีความชอบธรรมที่จะกระทาได้ เพราะเป็นเรื่องต่อเนื่องเกี่ยวพันกับ
เรอ่ื งท่จี าเลยรอ้ งเรยี น การกระทาของจาเลยไมเ่ ปน็ ความผดิ ฐานหมิน่ ประมาท

ฎีกาท่ี ๑๒๔๖๐/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๒๗๑ เวลาเชา้ ตรู่ของวันเกดิ เหตุ เจ้าพนักงานตารวจ
ท้องที่หลายคนแต่งกายนอกเคร่ืองแบบไปขอค้นบ้านจาเลยเพ่ือพบและจับน้องชายของจาเลยในคดี
เช็ค ส่วนโจทก์ไม่ใช่เจ้าพนักงานตารวจท้องที่ แต่ได้แต่งเคร่ืองแบบเจ้าพนักงานตารวจไปท่ีบ้านของ
จาเลยด้วยในฐานะที่เป็นบิดาของผู้เสียหายในคดีเช็คที่น้องชายของจาเลยส่ังจ่ายเช็คชาระหน้ี
ค่าสินค้าให้ แล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค เม่ือคานึงถึงเหตุการณ์และพฤติการณ์เก่ียวกับ
การทวงหนี้ของโจทก์ ที่แตง่ เคร่ืองแบบไปขอค้นบ้านของจาเลยซึ่งเป็นผู้หญิงและมีบุตรผู้เยาว์ ๒ คน
จนจาเลยเกิดความเกรงกลัวต่อโจทก์ จนต้องยอมใช้หนี้แทนน้องชายให้แก่โจทก์ จาเลยมีสิทธิที่จะ
เข้าใจได้โดยสุจริตว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการประพฤติตนของโจทก์และมีสิทธิที่จะร้องเรียน
โดยสุจริตได้ว่า โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตารวจประพฤติตนไม่เหมาะสม ดังนั้น การที่จาเลยส่ง
โทรสารไปลงหนังสือพิมพ์โดยมีใจความเป็นการแสดงความเสียใจ น้อยใจของจาเลยและเกรงกลัว
จากการกระทาของโจทก์จนต้องชาระหนี้แทนน้องชายให้แก่โจทก์ไป เป็นทานองขอให้ผู้บัญชาการ
ตารวจแห่งชาติสอดส่องตักเตือนเจ้าพนักงานตารวจ ให้เป็นมิตรกับประชาชน จึงเป็นการติชมโจทก์

434

ด้วยความเป็นธรรมอนั เป็นวสิ ัยของประชาชนเย่ียงจาเลยที่ตอ้ งประสบเหตุการณ์เช่นน้ันพึงกระทาได้
และการท่ีจาเลยระบุชื่อนามสกุลจริงของโจทก์และจาเลย ตลอดจนท่ีอยู่ของจาเลยไว้แจ้งชัดใน
โทรสารด้วย ย่อมแสดงให้เห็นว่าจาเลยเขียนข้อความในโทรสารน้ันด้วยเจตนาสุจริตตามเร่ืองที่
เกดิ ขน้ึ แก่จาเลย กรณีต้องด้วย ป.อ. มาตรา ๓๒๙ จาเลยจึงไม่มีความผดิ ฐานหมิ่นประมาทโจทก์

ฎกี าที่ ๔๘๑๕/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๑๐๔ โจทก์มคี วามสมั พนั ธก์ ับ อ. เกินกว่าปกติธรรมดา
ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างจาเลยที่ ๑ กับ อ. ในฐานะสามีภริยาต้องเลิกแล้วต่อกัน เพราะการ
กระทาของโจทก์ ดังน้ัน การที่จาเลยท่ี ๑ ทาหนังสือร้องทุกข์ถึงผู้บังคับบัญชาของโจทก์ เพื่อให้
ดาเนินการทางวินัยแก่โจทก์ จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เป็นการติชมด้วยความ
เป็นธรรม ซ่ึงความประพฤติอันไม่สมควรปฏิบัติของโจทก์ อันเป็นวิสัยท่ีจาเลยท่ี ๑ ชอบท่ีจะ
กระทาไดต้ าม ป.อ. มาตรา ๓๒๙ (๓) จาเลยท่ี ๑ จึงไมม่ คี วามผิดฐานหมิน่ ประมาท

ฎีกาท่ี ๔๒๕๔/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๗๗ การท่ีจาเลยมีหนังสือร้องเรียนถึงผู้ว่าราชการ
จังหวัดสกลนคร มีใจความสาคัญว่าเอกสารจานวน ๖ แผ่น ที่ผู้เสียหายลงลายมือช่ือเม่ือวันที่ ๕
พฤศจิกายน ๒๕๔๕ เป็นเอกสารเท็จ จาเลยพร้อมท่ีจะเป็นพยานในทางวินัย อาญา แพ่ง และทาง
ปกครอง กับขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนครส่ังให้ผู้เสียหายรับผิดทางละเมิดในความเสียหาย
ท่ีเกิดขึ้นแก่กลุ่มรวมใจไทโคนมภูพานหรือประธานกลุ่มรวมใจไทโคนมภูพานหรือท้ังสองอย่างพรอ้ ม
กัน เป็นการกล่าวหาว่าผู้เสียหายทาหรือเก่ียวข้องกับการทาเอกสารท่ีเป็นเท็จทาให้จาเลยกับพวก
ได้รับความเสียหาย ซ่ึงจาเลยรู้ว่าไม่เป็นความจริงเพราะจาเลยทราบท่ีมาของเอกสารดังกล่าวเป็น
อย่างดี ทาให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีคาสั่งให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัดตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่
หวั หนา้ สานกั งานจงั หวัดสกลนครเสนอ ย่อมทาใหผ้ ู้เสยี หายต้องเสียช่อื เสยี ง ถูกดูหมิ่นหรือถกู เกลียด
ชงั ข้อความในหนังสือของจาเลยไม่เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตเพ่ือความชอบ
ธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม การกระทาของจาเลยจึงเป็น
ความผิดตามฟ้อง

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๓๓๑

ฎกี าท่ี ๔๘๑๓/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๔๔ ศาลช้ันต้นพพิ ากษายกฟ้อง จาเลยซึ่งเป็นโจทก์ใน
คดีดังกล่าวไม่เห็นด้วยกับคาวินิจฉัยของศาลชั้นต้นย่อมใช้สิทธิอุทธรณ์คาพิพากษาของศาลช้ันต้นได้
อนั เป็นการใช้สทิ ธิตามกฎหมาย ทั้งไมป่ รากฏว่าจาเลยซ่ึงเป็นโจทกใ์ นคดีดังกล่าวกระทาโดยไม่สจุ ริต
แม้อุทธรณ์ของจาเลยซ่ึงเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวจะมีถ้อยคากล่าวพาดพิงถึงโจทก์ในคดีน้ีซ่ึงเป็น
บุคคลนอกคดีก็ตาม แต่ก็เป็นข้อความท่ีจาเลยย่ืนต่อศาลเพ่ือแสดงความคิดเห็นหรือข้อความ
ในกระบวนพิจารณาคดีในศาลเพื่อประโยชน์แก่คดีของจาเลย การย่ืนอุทธรณ์ของจาเลยดังกล่าว
จึงเป็นการท่ีคู่ความ หรอื ทนายความของคู่ความแสดงความคิดเห็นหรือข้อความในกระบวนพจิ ารณา
คดีในศาลเพ่ือประโยชน์แก่คดีของตน การกระทาของจาเลยจึงไม่มีความผิดฐานหม่ินประมาทตาม

435

ป.อ. มาตรา ๓๓๑
ฎีกาท่ี ๑๕๘๖/๒๕๕๗ ฎ.๙๓๘ อุทธรณ์ของจาเลยท่ี ๒ อ้างเหตุท่ีโจทก์ร่วมเป็นผู้ขีดฆ่า

คาเบิกความของพยานหรือลักเอกสารไปจากสานวนความของศาล โดยมีพยานหลักฐานยืนยันว่า
มีข้อเท็จจริงเช่นน้ันเกิดขึ้นจริงและมีเหตุอันสมควรท่ีทาให้จาเลยท่ี ๒ ควรเช่ือว่าโจทก์ร่วมเป็น
ผู้กระทาการจรงิ ทั้งยังเป็นเร่ืองท่ีเคยยกข้ึนวา่ กันมาก่อนหน้านั้นแล้ว แม้จะไม่ใช่ข้อเท็จจริงประเด็น
สาคัญโดยตรงในคดี แต่ก็เป็นข้อที่จาเลยที่ ๒ ต้องนาสืบและกล่าวอ้างเพ่ือหักล้างน้าหนักคาพยาน
ของโจทก์ร่วมให้เห็นว่าโจทก์ร่วมไม่น่าเช่ือถือ เป็นคนไม่ดี ชอบใช้อานาจข่มเหงรังแกผู้อื่น อันเป็น
การดาเนินการเพ่ือต่อสู้คดีของตนเองเพ่ือให้ตนเองพ้นความผิดตามคาพิพากษาของศาลช้ันต้น การ
ยื่นอุทธรณ์ของจาเลยท้ังสองจึงเป็นการท่ีคู่ความหรือทนายความของคู่ความแสดงความคิดเห็นหรือ
ข้อความในกระบวนพจิ ารณาคดีในศาลเพื่อประโยชน์แกค่ ดีของตน ไม่เปน็ ความผดิ ฐานหมิน่ ประมาท
ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๑

436

ลกั ทรัพย์

ความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๔ ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อ่ืน หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของ
รวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผนู้ นั้ กระทาความผดิ ฐานลักทรพั ย์

องค์ประกอบภายนอก คือ ๑. ผู้กระทา คือ ผู้ใด ๒. การกระทา คือ เอาไป ๓. วัตถุแห่ง
การกระทา คือ ทรัพยข์ องผู้อ่ืนหรือทผี่ ู้อืน่ เปน็ เจา้ ของรวมอยู่ด้วย

องคป์ ระกอบภายใน คอื เจตนา และเจตนาพเิ ศษโดยทุจรติ ขอ้ พิจารณา
๑. วัตถุท่ีลักเป็นทรัพย์หรือไม่ วัตถุท่ีจะเป็นทรัพย์ได้น้ัน ต้องเป็นส่ิงที่อาจมีราคาและ
อาจถือเอาได้ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์มาตรา ๑๓๗, ๑๓๘
๒. ต้องเป็นทรัพย์ของผู้อ่ืน หรือที่ผู้อ่ืนเป็นเจา้ ของรวมอยูด่ ้วย ถ้าเป็นทรัพย์ไม่มีเจ้าของหรือ
เปน็ ทรัพยข์ องผ้กู ระทา ก็ไม่เป็นการลกั ทรพั ยเ์ พราะขาดวตั ถุแหง่ การกระทา
๓. การเอาไปตามมาตรา ๓๓๔ คือ แย่งการครอบครองและพาทรัพย์เคล่ือนท่ีไป เหตุน้ี
ทรพั ย์ทจี่ ะถูกลกั ตอ้ ง

๓.๑ เป็นทรัพย์ท่ีมีผู้อ่ืนครอบครองอยู่ ถ้าเป็นทรัพย์ท่ีผู้เอาไปเป็นผู้ครอบครอง
จะเปน็ ความผิดฐานยกั ยอก

๓.๒ ผู้กระทาเข้าครอบครองทรัพย์ ถ้าเอาทรัพย์ผู้อ่ืนมาทาลาย เช่น แย่งไอศกรีม
จากมอื เด็กมาโยนทง้ิ ไม่เปน็ ลกั ทรัพย์ แตเ่ ปน็ ทาใหเ้ สยี ทรัพย์ เพราะผู้กระทาไม่ได้เข้าครอบครอง

๓.๓ การเข้าครอบครองนั้นต้องเป็นการแย่งการครอบครองโดยผู้ครอบครองทรัพย์
เดิมมิได้อนุญาต ถ้าเป็นการส่งมอบการครอบครองก็จะไม่เป็นแย่งการครอบครอง แต่ต้องเป็นการ
ส่งมอบท่ีปราศจากการข่มขู่ สาคัญผิด หรือหลอกลวง ถ้าส่งมอบเพราะการข่มขู่ สาคัญผิด หรือ
หลอกลวง ก็คือการแย่งการครอบครอง ซ่ึงก็ถือว่าเป็นการเอาไปในความผิดฐานลักทรัพย์น่ันเอง
เว้นแตว่ า่ จะมีกฎหมายบัญญตั ิเป็นอย่างอ่นื

๓.๔ พาทรัพย์เคลื่อนที่ไป เมื่อครบท้ัง ๔ ประการนี้ จึงจะถือได้ว่าเป็นการ
เอาทรพั ยไ์ ปสาเรจ็ บรบิ รู ณ์

๓.๕ ตอ้ งเป็นการเอาไปในลักษณะตดั กรรมสิทธ์ไิ ม่ใช่เอาไปชั่วคราว
๔. ต้องมเี จตนา
๕. ตอ้ งมเี จตนาพเิ ศษ โดยทุจรติ
คาถามในหนังสือเล่มนี้จะเรียงลาดับตามนี้

437

วตั ถุท่ีลกั ตอ้ งเป็นทรพั ย์

ข้อ ๗๓ คาถาม นายคดเป็นพนักงานของบริษัทซ่ือตรงการบัญชี จากัด มีหน้าท่ีวิเคราะห์
ฐานะทางการเงินของลูกค้า นายคดได้รับเอกสารจากบริษัทซ่ือตรงการบัญชี จากัด ประกอบด้วย
หนังสือรับรองบริษัท บัญชีรายช่ือผู้ถือหุ้น และบัญชีกาไรขาดทุน ของบริษัทเกือบล้ม จากัด ซึ่ง
บริษัทซื่อตรงการบัญชี จากัด ไปขอคัดมาจากกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อนาไป
วิเคราะห์ฐานะทางการเงนิ บริษทั ดังกล่าว ใหแ้ ก่ลกู ค้าเพอ่ื ประกอบการตัดสนิ ใจในการซือ้ กิจการ เม่ือ
วเิ คราะห์ฐานะทางการเงินของบริษัทเกือบล้ม จากัด เสร็จแล้ว นายคดส่งเพยี งรายงานการวิเคราะห์
ฐานะทางการเงินให้แก่บริษัทซ่ือตรงการบัญชี จากัด โดยยังไม่ได้ส่งมอบหนังสือรับรองบริษัท บัญชี
รายชื่อผู้ถือหุ้น และบัญชีกาไรขาดทุน คืนให้แก่บริษัทซื่อตรงการบัญชี จากัด ต่อมานายคดทราบว่า
บริษัทซ่ือตรงการบัญชี จากัด ขึ้นเงินเดือนให้ตนน้อยกว่าเพ่ือนร่วมงานคนอ่ืน เม่ือบริษัทซื่อตรงการ
บัญชี จากดั เรียกให้นายคดคนื หนังสอื รับรองบริษัท บญั ชรี ายชือ่ ผ้ถู ือหุน้ และบัญชีกาไรขาดทุน ของ
บริษัทเกือบล้ม จากัด นายคดก็ไม่ยอมคืน และได้นาแผ่นบันทึกข้อมูลเปล่าของตนลอกข้อมูล
ตัวอักษร ภาพ แผนผัง และตราสารจากแผ่นบันทึกข้อมูลคอมพิวเตอร์ ของบริษัทซ่ือตรงการบัญชี
จากัด ท่ีตนใชใ้ นการทางาน เพ่อื นาไปใช้ในท่ีทางานใหม่ และลาออกจากงานไป

ให้วนิ ิจฉัยว่า นายคดมีความรับผดิ ทางอาญาฐานใด หรอื ไม่
คาตอบ การที่นายคดไม่คืนหนังสือรับรองบริษัท บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น และบัญชีกาไร
ขาดทุน ของบริษัทเกือบล้ม จากัด ให้แก่บริษัทซื่อตรงการบัญชี จากัด แม้จะเป็นการเอาไปเสียซึ่ง
เอกสารของผู้อ่ืน แต่ก็ไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บริษัทซ่ือตรงการบัญชี จากัด หรือบริษัท
เกือบล้ม จากัด เพราะเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารท่ีบุคคลทั่วไปสามารถไปขอตรวจสอบและ
ขอคัดมาจากกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ได้ การกระทาของนายคดจึงไม่เป็นความผิด
ฐานเอาไปเสียซ่ึงเอกสารของผู้อ่นื ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๘
การที่นายคดนาแผ่นบันทึกข้อมูลเปล่าของตน ลอกข้อมูลตัวอักษร ภาพ แผนผัง และ
ตราสารจากแผ่นบันทึกข้อมูลคอมพิวเตอร์ของบริษัทซ่ือตรงการบัญชี จากัด แม้นายคดจะได้ข้อมูล
ไป แต่การกระทาดังกล่าวไม่ใช่การเอาทรัพย์ของผู้อ่ืนไปตามมาตรา ๓๓๔ เพราะวัตถุแห่งการ
กระทาในความผิดฐานลักทรัพย์ต้องเป็นวัตถุมีรูปร่าง เม่ือข้อมูลท่ีนายคดคัดลอกไปไม่เป็นวัตถุ
มีรูปร่าง สาหรับตัวอักษร ภาพ แผนผัง และตราสาร เป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ถ่ายทอดความหมาย
ของข้อมูลออกจากแผ่นบันทึกข้อมูลโดยอาศัยเคร่ืองคอมพิวเตอร์ มิใช่รูปร่างของข้อมูล
เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗ บัญญัติว่า ทรัพย์ หมายความว่า วัตถุ
มีรูปร่าง ข้อมูลในแผ่นบันทึกข้อมูล จึงไม่ถือเป็นทรัพย์ การท่ีนายคดนาแผ่นบันทึกข้อมูลเปล่า
ลอกข้อมูลจากแผ่นบันทึกข้อมูลของบริษัทซื่อตรงการบัญชี จากัด จึงไม่เป็นความผิดฐาน
ลกั ทรพั ยต์ ามมาตรา ๓๓๔ (ฎีกาท่ี ๕๑๖๑/๒๕๔๗)
ข้อสังเกต คำถำมข้อน้ีนำข้อเท็จจริงจำกฎีกำท่ี ๕๑๖๑/๒๕๔๗ มำแต่งเป็นคำถำม หำกเพิ่ม
ข้อเท็จจริงในคำถำมใหแ้ ตกตำ่ งไปจำกคำพิพำกษำฎีกำ เช่น เพิ่มเติมข้อเทจ็ จรงิ เข้ำไปอกี ว่ำ หลังจำก

438

เก็บเอกสำรไว้นำน ๒ ปี นำยคดนำเอกสำรดังกล่ำวไปชั่งกิโลขำยได้เงินมำ ๑๐ บำท ผลของคดีจะ
เปลี่ยนแปลงไป คือ กำรกระทำดังกล่ำวของนำยคดจะเป็นควำมผิดฐำนยักยอกตำมมำตรำ ๓๕๒
เพรำะกำรท่ีนำยคดครอบครองเอกสำรดังกล่ำว ซ่ึงเป็นทรัพย์ของบริษัทซ่ือตรงกำรบัญชี จำกัด แล้ว
เอำไปชัง่ กิโลขำย เป็นกำรเบียดบังเอำทรพั ย์น้ันเปน็ ของตนโดยทจุ ริต ส่วนควำมผิดตำมมำตรำ ๑๘๘
นำยคดน่ำจะไม่มีควำมผิด แม้ว่ำหำกมีกำรคืนเอกสำรดังกล่ำวมำแล้วบริษัทซ่ือตรงกำรบัญชี จำกัด
อำจนำไปขำยได้ แต่น่ำจะยังถือว่ำบริษัทซื่อตรงกำรบัญชี จำกัด ไม่ได้รับควำมเสียหำยทำง
พยำนหลักฐำนเก่ียวกับเอกสำรดังกล่ำว เพรำะควำมเสียหำยท่ีได้รับดังกล่ำวเป็นควำมเสียหำยทำง
ทรัพย์สินซ่ึงเป็นควำมผิดตำมมำตรำ ๓๕๒ อย่ำงไรก็ตำมฎีกำท่ี ๕๑๖๑/๒๕๔๗ มิได้วินิจฉัยว่ำกำร
กระทำเป็นควำมผิดฐำนยกั ยอกหรือไม่ เพรำะโจทก์ไมไ่ ด้ฟอ้ งข้อหำน้ีและข้อเท็จจริงตำมคำพิพำกษำ
ฎกี ำก็ไปไมถ่ งึ เร่อื งกำรเบยี ดบงั เอำทรัพย์น้นั เป็นของตนโดยทจุ ริต

หำกเปล่ียนข้อเท็จจริงจำกกำรนำแผ่นบันทึกข้อมูลเปล่ำของตนมำลอกข้อมูล เป็นนำแผ่น
บันทึกข้อมูลของบริษัทซื่อตรงกำรบัญชี จำกัด ไป กำรกระทำดังกล่ำวก็จะเป็นกำรเอำทรัพย์ของ
นำยจ้ำงไปโดยทุจริต ซ่ึงเป็นควำมผิดตำมมำตรำ ๓๓๕ (๑๑) ขอฝำกนักศึกษำด้วยว่ำเมื่ออ่ำน
คำพิพำกษำฎีกำ นักศึกษำต้องอ่ำนและคิดไปตำมหลักกฎหมำยให้เข้ำใจเสียก่อน แล้วจึงค่อยจำ
เหตุผลท่ีศำลฎีกำตัดสินไว้ เพ่ือนำเหตุผลดังกล่ำวมำประกอบกำรตอบคำถำม ดังน้ัน ในกำรทำ
ข้อสอบนักศึกษำต้องอ่ำนคำถำมให้ดีแล้วคิดให้รอบคอบว่ำคำถำมที่อำจำรย์นำมำออกข้อสอบ
มีข้อเท็จจริงตรงตำมคำพพิ ำกษำฎีกำหรอื ไม่ หำกขอ้ เท็จจริงตรงกันกใ็ ห้ตอบตำมคำพพิ ำกษำฎีกำ แต่
ถ้ำข้อเท็จจรงิ แตกต่ำงกันในสำระสำคัญดังเช่นตัวอย่ำงท่ียกเพิ่มเติมข้ึนมำ นักศึกษำต้องคิดและตอบ
ไปตำมหลกั กฎหมำย อยำ่ งไรก็ตำมนกั ศกึ ษำก็อยำ่ หวำดระแวงมำกเกนิ ไป หำกข้อเทจ็ จรงิ แตกต่ำงไป
เพยี งเลก็ นอ้ ยและไมใ่ ชส่ ำระสำคญั ธงคำตอบก็ยังคงตรงตำมคำพิพำกษำฎกี ำ

ฎีกาที่ ๕๑๖๑/๒๕๔๗ ฎ.๙๔๐ เอกสารซึ่งลูกค้าส่งมาให้โจทก์ร่วมส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูล
เกยี่ วกับหนังสอื รับรองของบริษัท บญั ชีรายชือ่ ผู้ถือหุ้น บญั ชีกาไร-ขาดทนุ และสาเนาหนงั สอื เดนิ ทาง
ซ่ึงล้วนเป็นเอกสารที่บุคคลสามารถไปขอตรวจสอบและขอคัดสาเนาได้จากกรมทะเบียนการค้ า
กระทรวงพาณิชย์ จึงไม่ถือเป็นความลับของบริษัทลูกค้าโจทก์ร่วมอันต้องปกปิด ดังน้ัน การท่ีจาเลย
ใช้เอกสารดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่ให้แก่โจทก์ร่วมเสร็จแล้วไม่นากลับคืนแก่โจทก์ร่วมจึงไม่น่าจะเป็น
เหตุให้โจทก์ร่วมหรือลูกค้าของโจทก์ร่วมต้องเสียหาย การกระทาของจาเลยจึงไม่เป็นความผิดฐาน
เอาไปเสียซึง่ เอกสารโดยประการท่ีนา่ จะเกิดความเสียหายแกโ่ จทก์หรอื ผู้อืน่

ข้อมูล ตามพจนานุกรมให้ความหมายว่า “ข้อเท็จจริง หรือส่ิงที่ถือหรือยอมรับว่าเป็น
ขอ้ เท็จจรงิ สาหรับใช้เป็นหลักอนุมานหาความจริงหรือการคานวณ” ส่วนข้อเท็จจรงิ หมายความว่า
“ข้อความแห่งเหตุการณ์ท่ีเป็นมาหรือท่ีเป็นอยู่ตามจริง ข้อความหรือเหตุการณ์ที่จะต้องวินิจฉัยว่า
เทจ็ หรือจรงิ ” ดังนัน้ ข้อมลู จึงไมน่ บั เป็นวัตถมุ ีรูปร่าง สาหรบั ตัวอกั ษร ภาพ แผนผัง และตราสารเป็น
เพียงสัญลักษณ์ที่ถ่ายทอดความหมายของข้อมูลออกจากแผ่นบันทึกข้อมูลโดยอาศัย เครื่อง
คอมพิวเตอร์ มิใช่รูปร่างของข้อมูล เม่ือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗ บัญญัติว่า

439

ทรพั ์ย์ หมายความวา่ วัตถุมีรปู ร่าง ขอ้ มูลในแผน่ บันทึกขอ้ มูลจงึ ไม่ถอื เป็นทรพั ย์ การท่ีจาเลยนาแผ่น
บันทกึ ขอ้ มูลเปล่าลอกขอ้ มูลจากแผ่นบนั ทึกข้อมูลของโจทก์รว่ ม จงึ ไมเ่ ป็นความผดิ ฐานลกั ทรพั ย์
ข้อสังเกต ฎีกำน้ีหำกนักศึกษำอ่ำนเฉพำะฎีกำย่อของสำนักงำนศำลยุติธรรมเล่ม ๙ จะไม่ได้ย่อ
ข้อกฎหมำยตำมมำตรำ ๑๘๘ ไว้ ซึ่งเป็นข้อกฎหมำยสำคัญและน่ำสนใจ แต่ถ้ำนักศึกษำอ่ำนย่อ
คำพิพำกษำฎีกำดังกล่ำวในประเด็นเร่ืองลักทรัพย์แล้วสนใจไปอ่ำนคำพิพำกษำฎีกำเต็ม ก็จะพบ
ข้อกฎหมำยท่ีศำลฎีกำวินิจฉัยไว้ ที่กล่ำวมำนี้เพ่ือเป็นข้อสังเกตว่ำฎีกำบำงเร่ืองที่น่ำสนใจนักศึกษำ
อำจจะตอ้ งอำ่ นย่อยำว เพอื่ จะเก็บรำยละเอยี ดตำ่ ง ๆ และอำจจะพบขอ้ กฎหมำยสำคญั ที่ไมไ่ ด้ย่อไว้

ข้อ ๗๔ คาถาม บิดาของนายเอกป่วยและต้องการใชเ้ ลอื ด แต่บิดาของนายเอกมีเลอื ดหมู่ท่ี
หายาก เลือดของนายเอกก็ยังใช้ไม่ได้ นายเอกจึงประกาศขอซ้ือเลือดหมู่ดังกล่าว นายโทมาพบนาย
เอกท่ีโรงพยาบาลและแจ้งว่าตนมีเลือดหมู่ท่ีนายเอกต้องการ แต่จะขายขวดละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท
ขณะนั้นอาการบิดาของนายเอกทรุดหนัก หากไม่ได้เลือดทันทีจะเสียชีวิต นายเอกไม่มีเงินพอ
จึงขอลดราคาเหลือขวดละ ๑๐,๐๐๐ บาท แต่นายโทไมย่ อมแล้วจะกลับบ้าน นายเอกจงึ รว่ มกบั พวก
อีก ๓ คน ใช้กาลังจับนายโทไว้ไม่ให้ขัดขืน แล้วนายเอกเอาอุปกรณ์เจาะเลือดมาเจาะท่ีแขนนายโท
ได้เลือดมา ๑ ขวด นายโทอ่อนเพลียจนหน้ามืดไป แพทย์ได้นาเลือดดังกล่าวไปผ่านกระบวนการและ
ถ่ายใหเ้ พอื่ รักษาอาการป่วยบดิ าของนายเอกจนรอดชวี ติ

ให้วินิจฉัยความรบั ผดิ ทางอาญาของนายเอกกับพวก
คาตอบ แม้ร่างกายหรือเลือดของบุคคลโดยทั่วไปจะไม่เป็นทรัพย์ เนื่องจากบุคคล
โดยทั่วไปไม่ถือเอาร่างกายหรือเลือดเป็นทรัพย์ แต่การที่นายโทแจ้งว่าต้องการขายเลือดขวดละ
๕๐๐,๐๐๐ บาท เป็นกรณีที่นายโทแสดงเจตนาถือเอาเลือดของตนวา่ ถ้านาเลือดออกจากร่างกาย
แลว้ นายโทจะถือเอาเลือดของตนว่าเป็นทรัพยต์ ามกฎหมาย
การท่ีนายเอกเอาอุปกรณ์เจาะเลือดออกมาจากร่างกายของนายโทได้ ๑ ขวดแล้วนาไปให้
แพทย์ เป็นการเอาเลือดซ่ึงเป็นทรัพย์ของผู้อ่ืนไปโดยเจตนา เม่ือนายเอกกับพวกไม่มีเงินซ้ือแล้ว
ใช้กาลังเจาะเลือดผู้อื่นไป เป็นการกระทาไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วย
กฎหมายสาหรบั ตนเองหรอื ผูอ้ ่ืน จงึ เป็นการกระทาโดยทุจรติ อันเป็นความผดิ ฐานลักทรพั ย์
การทน่ี ายเอกกับพวกอีก ๓ คน ใชก้ าลงั จบั นายโทไวไ้ ม่ให้ขัดขืน แลว้ เอาเลือดของนายโทไป
เป็นการลักทรัพย์โดยใช้กาลังประทุษร้ายเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ เป็นการชิงทรัพย์
โดยร่วมกันกระทาความผิดด้วยกันต้ังแต่สามคนข้ึนไป นายเอกกับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกัน
ปล้นทรัพยต์ ามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคแรก บทหน่ึง
นอกจากนี้ การท่ีนายเอกกับพวกใช้กาลังจับนายโทไว้ไม่ให้ขัดขืน แล้วเจาะเลือดท่ีแขนนาย
โท ได้เลือดมา ๑ ขวด นายโทอ่อนเพลียจนหน้ามืดไป ยังเป็นการทาร้ายนายโทจนเป็นเหตุให้เกิด
อันตรายแก่กายโดยเจตนา จึงเปน็ ความผิดฐานทารา้ ยร่างกายตามมาตรา ๒๙๕ อกี บทหน่ึง และ

440

เป็นการกระทาให้นายโทปราศจากเสรีภาพในร่างกายตามมาตรา ๓๑๐ วรรคแรก โดยเจตนา
อีกบทหนง่ึ ดว้ ย

อย่างไรก็ตาม แม้การกระทาของนายเอกกับพวกจะครบองค์ประกอบความผิด และไม่มี
กฎหมายยกเว้นความผิด แต่เม่ือพิจารณากฎหมายยกเว้นโทษแล้ว นายเอกกับพวกกระทา
ความผิดเนื่องจากขณะนั้นอาการบิดาของนายเอกทรุดหนักหากไม่ได้เลือดทันทีจะเสียชีวิต จึงเป็น
การกระทาความผิดด้วยความจาเป็นเพ่ือให้ผู้อ่ืนพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถ
หลีกเล่ียงให้พน้ ได้โดยวิธีอ่ืนใดได้ เมอื่ ภยนั ตรายนั้นตนมิได้กอ่ ขน้ึ เพราะความผิดของตน และการ
ที่นายเอกกับพวกกระทาผิดเพื่อช่วยชีวิตบิดาของนายเอกนั้น นายเอกกับพวกกระทาความผิด
ดว้ ยความจาเป็น เม่ือเปรียบเทียบความปลอดภัยในร่างกายของนายโทกับชีวิตของบิดานายเอก
แล้วการกระทาน้ันไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุ นายเอกกับพวกจึงไม่ต้องรับโทษตามมาตรา
๖๗ (๒)

นายเอกกบั พวกจึงไม่มคี วามรบั ผิดทางอาญาต่อนายโท เพราะมีกฎหมายยกเวน้ โทษ
ข้อสังเกต ควำมผิดฐำนลักทรัพย์ต้องพิจำรณำเสียก่อนว่ำวัตถุท่ีลักเป็นทรัพย์หรือไม่ วัตถุที่จะเป็น
ทรัพย์ได้น้ัน ต้องเป็นสิ่งที่ ๑. อำจมีรำคำ ๒. อำจถือเอำได้ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์
มำตรำ ๑๓๘ คำว่ำ อำจมีรำคำ หมำยถึง คุณค่ำทำงทรัพย์สินเงินทองหรือคุณค่ำทำงจิตใจก็ได้
ในเร่ืองของกำรที่อำจถือเอำได้นั้น ร่ำงกำยมนุษย์ไม่เป็นทรัพย์ เนื่องจำกมนุษย์ไม่อำจถือเอำได้
แม้แต่ส่วนท่ีขำดหลุดจำกร่ำงกำย หรือศพมนุษย์ ก็ไม่เป็นทรัพย์เช่นเดียวกัน ตัดเส้นผมจำกศีรษะ
เอำไป ตัดเนื้อคนหนึ่งไปปะให้อีกคนหนึ่ง ควักดวงตำคนหน่ึงไปใส่ให้อีกคนหนึ่ง หรือถ่ำยเลือดจำก
คนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง อำจเป็นกำรทำร้ำยร่ำงกำย แต่ไม่ใช่ลักทรัพย์ นอกจำกจะได้ควำมว่ำส่วน
ของร่ำงกำยที่ขำดหลุดออกไปแล้วน้ันมีผู้ถือเอำแล้ว จึงเป็นทรัพย์ที่ลักได้ เช่น เส้นผมที่มีผู้หวงแหน
เพ่ือใช้ทำเป็นวิกเสริมแต่งทรงผมซื้อขำยกันได้ เลือดท่ีเก็บไว้ใช้ในทำงแพทย์ซ้ือขำยกันได้
เช่นเดียวกับเนื้อหนังดวงตำ ถ้ำหำกจะมีกำรหวงห้ำมซ้ือขำยกัน เช่น ดวงตำที่เก็บไว้ใช้ในสถำน
พยำบำล เหล่ำนี้ถือเป็นทรัพย์ท่ีลักกันได้ แต่ถ้ำจับคนมำถ่ำยเลือดเอำด้ือ ๆ คงจะไม่เป็นลักหรือ
ชิงทรัพย์ เพรำะเจ้ำของเลือดก็ไม่ได้ถือเอำเลือดท่ีถูกถ่ำยไปเป็นทรัพย์ของตน อย่ำงไรก็ดีถ้ำเจ้ำของ
แสดงเจตนำถือเอำเป็นทรัพย์ ก็อำจทำได้ตั้งแต่ขณะท่ีขำดหลุดจำกร่ำงกำย เช่น ขำยเลือดโดยถ่ำย
จำกรำ่ งกำยหรอื ขอซื้อเส้นผมจำกศีรษะ เจ้ำของจะขำย แต่ตกลงรำคำกันไม่ได้ กต็ ัดเอำดื้อ ๆ คงเป็น
ควำมผิดฐำนลักทรัพย์ ซ่ึงมีโทษหนักกว่ำทำร้ำยร่ำงกำยไม่ถึงเป็นอันตรำยแก่ร่ำงกำยได้ เพรำะ
เจ้ำของเจตนำถือเอำเป็นทรัพย์สินของเขำต้ังแต่ขณะที่ขำดหลุดจำกร่ำงกำย สำหรับศพก็ทำนอง
เดียวกัน ศพจะกลำยเป็นทรัพย์ก็ต่อเมื่อมีผู้ถือเอำ เช่น ศพที่อุทิศให้สถำนพยำบำล (คำอธิบำย
ประมวลกฎหมำยอำญำ ภำค ๒ ตอน ๒ และภำค ๓, ศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทิย์ ๒๕๕๓, หัวข้อ
1184 หน้ำ ๕๒๓)

441

วตั ถทุ ีล่ กั ต้องเปน็ ทรัพย์

ฎีกาท่ี ๔๘๑/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๒ จาเลยกับพวกลักเอากระแสไฟฟ้าไปใช้ด้วยการ
ทาให้มิเตอร์ไฟฟ้าไม่หมุน เพื่อให้ตัวเลขวัดการใช้ไฟฟ้าไม่เคล่ือนที่ พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมแสดงว่า
จาเลยกระทาโดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือเอากระแสไฟฟ้าของผู้เสียหายไปใช้โดยไม่เสียค่าไฟฟ้าเป็นสาคัญ
การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรพั ย์ และตรงตามคาบรรยายฟ้องและคาขอให้
ลงโทษของโจทก์แล้ว กรณีจึงไม่จาต้องพิจารณาต่อไปว่าการกระทาของจาเลยจะเป็นความผิดฐาน
รว่ มกนั ทาใหเ้ สียทรพั ยห์ รือไม่

ฎีกาท่ี ๒๒๘๖/๒๕๔๕ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๖๙ สัญญาณโทรศัพท์เป็นกรรมวิธีแปลงเสียงพูดให้
เป็นกระแสไฟฟ้าแล้วส่งกระแสไฟฟ้าน้ันไปในสายลวดไปเข้าเครื่องท่ีศูนย์ชุมสายประจาภูมิภาคของ
การส่ือสารแห่งประเทศไทยผู้เสียหาย แล้วแปลงสัญญาณไฟฟ้าเป็นคลื่นวิทยุส่งไปยังเคร่ืองรับ
ปลายทางในตา่ งประเทศ เคร่อื งรบั ปลายทางจะแปลงสัญญาณกลบั เปน็ เสยี งพดู อีกคร้ังหนึ่ง สัญญาณ
โทรศพั ท์จึงเป็นกระแสไฟฟ้าท่แี ปลงมาจากเสียงพูดเคล่ือนท่ีไปตามสายลวดท่ีจาเลยต่อพ่วงเป็นตัวนา
จากท่ีหน่ึงไปยังอีกท่ีหนึ่ง การท่ีจาเลยลักเอาสัญญาณโทรศัพท์จากสายโทรศัพท์ซึ่งอยู่ในความ
ครอบครองของผู้เสียหายไปใช้เพ่ือประโยชน์ของจาเลยโดยทุจริตจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
(ขอ้ สอบฯ ผ้ชู ว่ ยฯ (สนามเลก็ ) เมื่อวนั ท่ี ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๙)

ฎีกาที่ ๗๖๘๐/๒๕๕๓ ฎ.๑๕๒๒ จาเลยทาบันทึกข้อตกลงโอนสิทธิเรียกร้องค่าสินค้าท่ี
จาเลยมีต่อลูกค้ารวม ๒๓ ราย ให้แก่โจทก์ภายหลังจากนั้นจาเลยกลับใช้สิทธิเรียกร้องให้ลูกค้าบาง
รายชาระค่าสินค้าแก่จาเลย แต่สิทธิเรียกร้องมิใช่วัตถุมีรูปร่างท่ีเคลื่อนที่ได้อันอาจจะมีการเอาไปได้
ตามความหมายของคาวา่ ทรพั ย์ ในความผดิ ทางอาญาฐานลักทรพั ย์ ทั้งการท่ีจาเลยไปขอรับเงินหรือ
เช็คค่าสินค้าจากลูกค้าก็ไม่ได้เป็นการกระทาแทนโจทก์ เงินและเช็คดังกล่าวยังมิใช่ทรัพย์ของโจทก์
การกระทาของจาเลยจึงไม่มีมูลความผิดทางอาญาฐานลักทรัพย์ แต่เป็นเพียงไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง
อันเป็นการผดิ สญั ญาทางแพ่งเทา่ น้นั

ฎกี าเรื่องอสงั หาริมทรัพย์ก็ถูกลกั ได้

ฎีกาที่ ๔๐๙๖/๒๕๕๗ ฮ. เป็นบุคคลสัญชาติเนเธอร์แลนด์ ฮ. และโจทก์รว่ มเป็นสามีภริยา
ตามกฎหมายของราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ฮ. ซ้ือห้องชุด แต่ให้จาเลยถือกรรมสิทธ์ิแทน โดย
จาเลยเปน็ ผู้ถือกญุ แจและชาระคา่ น้า ค่าไฟฟ้า อนั เป็นการกระทาแทน ฮ. ชั่วครั้งช่ัวคราวตามทไี่ ด้รับ
มอบหมาย กรรมสิทธิ์ที่แท้จริงยังอยู่ท่ี ฮ. และโจทก์ร่วม การท่ีจาเลยแจ้งเท็จว่าหนังสือแสดง
กรรมสิทธ์ิห้องชุดฉบับเดิมสูญหายเพ่ือขอออกหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุดใหม่ เปล่ียนกุญแจและ
เข้าครอบครองห้องชุดและทรัพย์ต่าง ๆ ในห้องชุดแล้วนาไปขายแก่บุคคลอื่นโดย ฮ. และโจทก์ร่วม
ไมร่ ู้เห็นยินยอม เป็นการแย่งกรรมสทิ ธิห์ ้องชดุ ของ ฮ. และโจทก์ร่วมโดยใชอ้ ุบายแย่งการครอบครอง

442

ต่อมาเมื่อจาเลยนาห้องชุดของโจทก์รว่ มไปขาย เงินที่ได้จากการขายห้องชุดเป็นผลสืบเน่ืองจากการ
แย่งกรรมสิทธ์ิและการครอบครองของจาเลย เพราะ ฮ. หรือโจทก์ร่วมไม่ได้ส่งมอบการครอบครอง
ให้แกจ่ าเลย การกระทาของจาเลยจงึ เปน็ ความผดิ ฐานลักทรพั ย์
ขอ้ สงั เกต ควำมผิดฐำนลักทรัพยต์ อ้ งมีกำรพำทรัพยเ์ คลื่อนท่ีไปจึงจะเปน็ ควำมผิดสำเรจ็ ทรพั ย์ทีเ่ ป็น
วัตถุท่ีจะลักได้น่ำจะต้องเป็นทรัพย์ที่เคล่ือนท่ีได้ อสังหำริมทรัพย์จึงไม่น่ำจะลักได้ แต่ถ้ำนำ
ข้อเท็จจริงตรงตำมฎีกำนี้มำออกข้อสอบกฎหมำยอำญำในกำรสอบผู้ช่วยผู้พิพำกษำหรือเนติฯ
คงต้องตอบตำมฎีกำ แต่ถ้ำออกข้อสอบอัยกำรหรือข้อสอบชั้นปริญญำโท น่ำจะต้องตอบประเด็น
ควำมผิดฐำนลักทรัพย์ต้องมีกำรพำทรัพย์เคล่ือนท่ีไปจึงจะเป็นควำมผิดสำเร็จ ทรัพย์ท่ีเป็นวัตถุท่ีจะ
ลักได้นำ่ จะต้องเปน็ ทรพั ยท์ เ่ี คลือ่ นที่ได้ และตอบด้วยวำ่ มีฎกี ำตดั สนิ ในประเด็นนี้อยำ่ งไร

เปน็ ทรพั ย์ของผูอ้ ืน่

ข้อ ๗๕ คาถาม นายยอดแอบเข้าไปในถ้าท่ีบริษัท เอ จากัด ได้รับสัมปทานให้เก็บรังนก
นางแอ่นแต่เพียงผู้เดยี ว แล้วนายยอดแกะรังนกนางแอ่นทต่ี ดิ อยูใ่ นถ้ามาได้ ๑ กโิ ลกรัม นายยอดก็นา
รังนกนางแอ่นนั้นมาวางไว้ท่ีหน้าบ้านของตน ต่อมานายแย่มาหานายยอดพูดคุยกันได้สักครู่หน่ึง
นายแย่เห็นรังนกนางแอ่นวางอยู่จึงแอบหยิบรังนกนางแอ่นไปจากหน้าบ้านของนายยอด ขณะเดิน
กลับบ้านนายแย่เห็นรถจักรยานยนต์ที่นายยิ่งลักมาจากนายเย่ียม นายแย่ก็ขับรถจักรยานยนต์
คนั ดงั กล่าวกลบั บ้านไปพรอ้ มกบั รงั นกนางแอ่น

ให้วินจิ ฉัยว่า นายยอดและนายแยม่ ีความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด
คาตอบ ความผิดฐานลักทรัพย์ต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของ
รวมอยู่ด้วยไปโดยเจตนาทุจริต แม้บริษัท เอ จากัด ได้รับสัมปทานให้เก็บรังนกนางแอ่นในถ้า
แต่เพียงผู้เดียว แต่การที่บริษัท เอ จากัด ยังไม่ได้แกะรังนกนางแอ่นออกมา จึงยังไม่ได้เข้าถือเอา
รังนกนางแอ่น บริษัท เอ จากัด จึงยังไม่เป็นเจ้าของกรรมสิทธ์ิ รังนกนางแอ่นยังคงเป็น
สังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีเจา้ ของ แมน้ ายยอดแกะรงั นกนางแอ่นท่ีติดอยู่ในถ้าไป กไ็ มเ่ ป็นการเอาทรัพย์
ของผู้อื่นหรือที่ผู้อ่ืนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยเจตนาทุจริต เพราะรังนกนางแอ่นยังเป็น
สงั หาริมทรัพย์ทไี่ มม่ เี จ้าของ นายยอดจึงไมม่ คี วามผิดฐานลักทรัพย์ (ฎกี าท่ี ๒๗๖๓/๒๕๔๑)
การที่นายยอดแกะรังนกนางแอ่นเอามาเป็นของตนเอง แม้จะเป็นการเข้าถือเอา
สังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีเจ้าของ แต่การเข้าถือเอาดังกล่าวขัดต่อสิทธิของบริษัท เอ จากัด ซ่ึงเป็น
การเข้าถือเอาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายยอดจึงไม่ได้กรรมสิทธ์ิในรังนกนางแอ่น รังนก
นางแอ่นดังกล่าวยังเป็นสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีเจ้าของ การที่นายแย่เอารังนกนางแอ่นไปจาก
นายยอดจึงไม่เป็นความผดิ ฐานลักทรัพย์ เพราะไมเ่ ปน็ การเอาทรพั ยข์ องผู้อ่ืนไป
แม้นายย่ิงจะลักรถจักรยานยนตม์ าจากนายเยยี่ ม แต่รถจักรยานยนต์ดงั กลา่ วยังเป็นทรัพย์
ของผู้อ่นื ที่เป็นทรัพยท์ ี่ถูกลักได้ เพราะกรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์ก็ยังเป็นของนายเยี่ยมซึ่งเป็น

443

ทรัพย์ของผู้อ่ืน การที่นายแย่เอารถจักรยานยนต์ไปจากนายย่ิง จึงเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไป
โดยเจตนาทุจริต นายแย่จึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ท่ีนายย่ิงมีสิทธิครอบครองดูแลไว้เพื่อคืนแก่
นายเยย่ี ม (ฎีกาท่ี ๑๗๘๕/๒๕๕๔)

ฎีกาที่ ๒๗๖๓/๒๕๔๑ ฎ.ส.ล.๗ น.๔๒, ที่ ๖๗๓๖/๒๕๔๑ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๑๒๖ แม้บรษิ ัท ร.
จะได้รับสัมปทานเก็บรังนกจากรัฐบาลแต่ผู้เดียวก็ตาม หากยังมิได้เข้าถือเอา ก็ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์
ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๑๘ จาเลยมาเก็บรังนกไปจึงไมม่ ีความผดิ ฐานลกั ทรพั ยข์ องบริษัท ร.

ฎกี าที่ ๑๗๘๕/๒๕๕๔ ฎ.๔๒๗ จาเลยเอารถจักรยานยนตไ์ ปจาก ส. โดยทุจริต แม้เป็นการ
เอาไปจากการครอบครองของ ส. ที่ลักทรัพย์มาจากผู้เสียหายอีกต่อหน่ึง จาเลยก็มีความผิดฐาน
ลักทรัพย์ของ ส. ทีม่ สี ทิ ธิครอบครองดูแลไวเ้ พอื่ คนื แกผ่ ู้เสยี หาย

ขอ้ ๗๖ คาถาม นายเอกเป็นเจ้าของบ้านหลังหนึ่งในจงั หวัดพัทลุง นายเอกรับราชการอยู่ท่ี
กรุงเทพมหานคร นาน ๆ จึงจะกลับบ้านคร้ังหน่ึง ต่อมามีนกนางแอ่นมาทารังในบ้านนายเอก
นายเอกพบเข้าก็ตั้งใจว่าส้ินปีจะมาเก็บรังนกนางแอ่นไปขายฉลองปีใหม่ โดยปิดบ้านไว้เช่นเดิม
แต่นายโทเข้ามาในบ้านของนายเอกแล้วแกะรังนกนางแอ่นจากฝาบ้านของนายเอกไป ระหว่างที่
นายโทกาลังเดินกลับบ้านนายโทเห็นงูเห่าเล้ือยมาตามถนน ขณะนั้นนายเอกกาลังเดินทางกลับบ้าน
ผา่ นมาพอดี นายเอกจงึ เอาก้อนหินขว้างงูเห่าดังกล่าวหลงั หัก ขณะท่ีนายเอกกาลงั จะเดินไปจับงูเห่า
ตัวดังกล่าวน้ัน นายโทซ่ึงเห็นเหตุการณ์ได้เดินเข้ามาจับงูเห่าตัวดังกล่าวไป เน่ืองจากนายโทอยู่ใกล้
กวา่ นายเอก

ให้วนิ ิจฉัยว่า นายโทมีความผิดฐานใด
คาตอบ เมื่อนกนางแอ่นมาทารังในบ้านของนายเอก แม้นายเอกยังไม่ได้แกะรังนกนางแอ่น
ออกมาจากฝาบ้าน แต่ต้องถือว่านายเอกซ่ึงเป็นเจ้าของบ้านได้ยึดถือทุกส่ิงทุกอย่างภายในบ้าน
นายเอกจึงได้กรรมสิทธ์ิรังนกนางแอ่นซ่ึงเป็นสังหาริมทรัพย์ท่ีไม่มีเจ้าของโดยเข้าถือเอา ตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๑๘ การที่นายโทเข้ามาในบ้านของนายเอกแล้วแกะ
รังนกนางแอ่นจากฝาบ้านของนายเอกไป จึงเป็นการเอาทรัพย์ของนายเอกไปโดยเจตนาทุจริต
นายโทจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานตามมาตรา ๓๓๕ (๘) บทหน่ึง (ศำสตรำจำรย์จิตติ
ตงิ ศภัทิย์. กฎหมำยอำญำภำค ๒ ตอน ๒ และภำค ๓ พ.ศ. ๒๕๕๓, หัวข้อ 1187 หน้ำ ๕๓๐) และ
การเข้าไปในเคหสถานซึ่งอยู่ในความครอบครองของผู้อ่ืนโดยไม่มีเหตุอันสมควร จึงมีความผิด
ฐานบุกรกุ อีกบทหนึง่
การที่นายเอกเอาก้อนหินขวา้ งงูเห่าจนหลังหัก ก่อนที่นายเอกจะเดินไปจับงูเห่า นายโทเดิน
เข้ามาจับงูเห่าตัวดังกล่าวไปน้ัน งูเห่าตัวดังกล่าวเป็นสัตว์ป่าที่นายเอกทาให้บาดเจ็บแล้วติดตาม
ไปและบุคคลอ่ืนจับสัตว์ป่าน้ันได้ นายเอกย่อมเป็นเจา้ ของงูเห่าตวั ดังกล่าว ตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๒๒ แม้นายเอกจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธ์ิ แต่การที่นายเอกยังไม่ได้

444

เข้าถือเอางูเห่าตัวดังกล่าว นายเอกหามีสิทธิครอบครองงูเห่าตัวดังกล่าวไม่ เพราะถือว่ายังไม่มี
การยึดถือควบคุมสัตว์น้ันอย่างแท้จริง การท่ีนายโทมาจับงูเห่าไป จึงไม่เป็นการแย่งการ
ครอบครองงูเห่าของนายเอก นายโทจึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ แต่การท่ีนายโทจับงูเห่าไป
เป็นการครอบครองทรัพย์ของผู้อ่ืน แล้วเบียดบังเอาทรัพย์น้ันเป็นของตนโดยทุจริต นายโท
จงึ มคี วามผิดฐานยกั ยอก (ศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทิย์. กฎหมำยอำญำภำค ๒ ตอน ๒ และภำค ๓
พ.ศ.๒๕๕๓, หัวขอ้ 1187 หนำ้ ๕๓๑)
ข้อสังเกต เร่ืองขโมยรังนกนำงแอ่นหำกนักศึกษำอ่ำนคำพิพำกษำฎีกำแล้วจำโดยไม่วิเครำะห์ให้ดี
อำจจะทำขอ้ สอบขอ้ นี้ผิด เพรำะตำมฎีกำท่ี ๖๗๓๖/๒๕๔๑ จะเป็นรังนกตำมถ้ำในธรรมชำติ แต่ตำม
คำถำมเปน็ รังนกในบ้ำน ซึ่งถือว่ำเจ้ำของบำ้ นยึดถอื ทุกส่ิงทุกอยำ่ งที่อยู่ในบ้ำน จึงเป็นสังหำรมิ ทรัพย์
ท่ีเจ้ำของบ้ำนเขำ้ ถอื เอำจนไดก้ รรมสิทธแิ์ ล้ว หำกคนอนื่ เอำไปกผ็ ิดฐำนลกั ทรัพย์

ขอ้ ๗๗ คาถาม นายหนึ่งปลูกต้นยางในที่ดินมีโฉนดของตนแปลงหน่ึงซ่งึ มีการล้อมร้วั แสดง
อาณาเขตไว้ และนายหน่ึงได้เช่าท่ีดินมีโฉนดจากนายสองปลูกต้นยางอีกแปลงหนึ่งด้วย ต่อมา
นายหนึ่งไม่มีเงินจึงไม่ชาระค่าเช่าให้นายสอง ส่วนนายสามเจ้าหน้ีตามคาพิพากษาได้ยึดท่ีดินของ
นายหน่ึงและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้เคาะไม้ขายทอดตลาดท่ีดินโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบี ยบ
โดยนายสามเป็นผู้ซ้ือท่ีดินดังกล่าวและได้ชาระราคาเรียบร้อยในวันนั้นแล้ว โดยนายหน่ึงได้ไปดูแล
การขายทอดตลาดด้วย ในวันนั้นนายสามได้ห้ามไม่ให้นายหน่ึงเข้าไปกรีดยางในที่ดินท่ีตนซื้อ
นายหนึ่งโต้แย้งว่ากรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองยังเป็นของตน และนายสองห้ามไม่ให้นายหนึ่ง
ไปกรีดยางในท่ีดินของนายสองที่นายหนึ่งเช่าอยู่ นายหนึ่งโต้แย้งว่าตนมีสิทธิกรีดยาง เวลาตี ๓ ของ
วันรุ่งข้ึน ก่อนท่ีนายสามจะไปจดทะเบียนโอนท่ีดินมาเป็นของตน นายหนึ่งได้เข้าไปกรีดยางในท่ีดิน
ที่นายสามซ้ือได้และในทีด่ ินของนายสองแลว้ เอานา้ ยางทกี่ รดี ไดม้ าก่อนสว่างดงั ทเ่ี คยทามา

ใหว้ ินิจฉัยวา่ นายหนึ่งมคี วามผดิ เกย่ี วกบั ทรพั ย์ฐานใดหรือไม่
คาตอบ ความรบั ผิดทางอาญาของนายหนงึ่ ต่อนายสาม การท่ีนายหนึ่งปลูกต้นยางในท่ีดิน
มีโฉนดของตน ต้นยางท่ีปลูกเป็นไม้ยืนต้นจึงเป็นส่วนควบของที่ดินที่ไม้นั้นขึ้นอยู่ เมื่อ
เจ้าพนักงานบังคับคดีได้เคาะไม้ขายทอดตลาดที่ดินให้แก่นายสาม การขายทอดตลาดย่อม
บริบูรณ์เมื่อผู้ทอดตลาดแสดงความตกลงด้วยการเคาะไม้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๕๐๙ ดังนั้น สิทธิของนายสามในฐานะผู้ซ้ือทรัพย์จากการขายทอดตลาดจึงเกิดขึ้นแล้ว
แม้ยังไม่ได้จดทะเบียนโอน (เทียบฎีกาท่ี ๗๘๒๒/๒๕๔๗) ต้องถือว่านายสามได้กรรมสิทธ์ิในที่ดิน
และต้นยางซึ่งเป็นส่วนควบของท่ีดิน (เทียบฎีกาท่ี ๘๐๒/๒๕๔๔) การท่ีนายหนึ่งได้เข้าไปกรีดยาง
จากต้นยางของนายสาม ยางท่ีกรีดได้เป็นดอกผลของต้นยางย่อมเป็นทรัพย์ของนายสามซ่ึงเป็น
เจ้าของกรรมสทิ ธ์ติ น้ ยางตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา ๑๓๓๖
การที่ที่ดินที่นายสามซ้ือมีการล้อมร้ัวแสดงอาณาเขตไว้ แม้นายสามจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน

445

แล้ว แต่ไม่ปรากฏว่านายสามเข้าครอบครองที่ดิน ต้องถือว่านายหน่ึงยังคงครอบครองท่ีดินอยู่
เม่ือนายหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเดิมยังครอบครองท่ีดิน นายหนึ่งจึงยังครอบครองต้นยางและ
ยางที่กรีดได้ซึ่งเป็นดอกผลของต้นยางด้วย การที่นายหน่ึงเอายางที่กรีดได้ไปก็ไม่เป็นการเอาไป
ซึ่งการครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นโดยเจตนาทุจริต การกระทาของนายหนึ่งจึงไม่มีความผิด
ฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔ แต่เป็นกรณีที่นายหน่ึงครอบครองทรัพย์
ซึ่งเป็นของผู้อ่ืนแล้วเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนโดยเจตนาทุจริต อันเป็นความผิดฐาน
ยกั ยอกตามมาตรา ๓๕๒ นายหนงึ่ จึงมคี วามผดิ ฐานยกั ยอกทรัพยข์ องนายสาม

ดังท่ีวินิจฉัยมาแล้วว่านายหนึ่งยังคงครอบครองที่ดินท่ีนายสามซื้อได้โดย นายหน่ึงยังไม่ได้
ส่งมอบการครอบครองคืนนายสาม แม้นายหน่ึงจะเข้าไปกรีดยางในท่ีดินต่อไป แต่กไ็ ม่ได้เข้าไปเพื่อ
รบกวนการครอบครองท่ีดินของนายสามโดยปกติสุขตามมาตรา ๓๖๒ เพราะเป็นการใช้สิทธิ
ครอบครองของตนเอง ซึ่งนายสามต้องดาเนินการให้นายหน่ึงส่งมอบที่ดินทางแพ่งต่อไป
นายหนงึ่ จงึ ไมม่ ีความผิดฐานบกุ รกุ

ความรับผิดทางอาญาของนายหน่ึงต่อนายสอง การท่ีนายหน่ึงเช่าที่ดินมีโฉนดจากนายสอง
ปลูกต้นยาง แม้ต้นยางจะเป็นไม้ยืนต้น แต่ก็เป็นทรัพย์ซ่ึงติดกับที่ดินซึ่งผู้มีสิทธิในท่ีดินของผู้อ่ืน
ใช้สิทธิปลูกไว้ด้วย ไม่ถือว่าเป็นส่วนควบของที่ดิน ต้นยางจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของนายหน่ึงไม่ใช่
ของนายสอง ยางท่ีกรีดได้เป็นดอกผลของต้นยางย่อมเป็นของนายหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธ์ิ
ต้นยางตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๓๖ เม่ือยางท่ีกรีดได้เป็นกรรมสิทธ์ิของ
นายหนึ่งการที่นายหน่ึงเอาไปจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือยักยอก เพราะไม่ใช่ทรัพย์ของ
ผู้อ่ืนหรือผู้อ่ืนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย การกระทาของนายหนึ่งขาดองค์ประกอบภายนอกของ
ความผิดฐานลักทรัพย์และยักยอก แม้นายหนึ่งจะไม่ชาระค่าเช่าให้นายสอง ก็เป็นเรื่องทีน่ ายสอง
ต้องไปฟ้องร้องทางแพ่งเอง นายหนึ่งจึงไม่มีความรับผิดทางอาญาต่อนายสอง (เทียบฎีกาที่
๗๑๙๓/๒๕๔๗)
ข้อสังเกต กำรนำฎีกำที่ ๗๑๙๓/๒๕๔๗ มำแต่งเป็นคำถำม ผู้แต่งนำหลักกฎหมำยตำมที่ศำลฎีกำ
วนิ จิ ฉัยไว้มำแต่งขอ้ สอบ โดยเปลี่ยนข้อเท็จจริงไป กล่ำวคอื นำหลักกฎหมำยที่ฎกี ำท่ี ๗๑๙๓/๒๕๔๗
ตัดสินว่ำ กำรปลูกต้นยำงพำรำลงในท่ีดินโดยมีสิทธิ ไม่ทำให้ต้นยำงพำรำท่ีปลูกไว้เป็นส่วนควบของ
ทีด่ ิน แต่เป็นของผู้ปลูกต้นยำงพำรำ ส่วนผลของกำรวินิจฉัยจะแตกต่ำงกนั กลำ่ วคือ ข้อเท็จจริงตำม
ฎีกำ คนอ่ืนมำลักกรีดยำง จึงเป็นควำมผิดฐำนลักทรัพย์ แต่คำถำมในข้อน้ีเจ้ำของต้นยำงเป็น
ผู้กรีดยำง จึงไม่เป็นลักทรัพย์ เป็นกำรเทียบเฉพำะหลักกฎหมำยที่ศำลฎีกำได้ตัดสินไว้ กำรตอบ
คำถำมประเภทนี้ นกั ศกึ ษำต้องเข้ำใจขอ้ กฎหมำยท่ีศำลฎีกำตัดสนิ ไว้ จงึ จะตอบคำถำมได้

ฎีกาที่ ๗๘๒๒/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๒๔ การพิจารณาเร่ืองอานาจฟ้องต้องพิจารณาใน
ขณะที่โจทก์ยื่นคาฟ้องต่อศาล โจทก์ประมูลซ้ือทรัพย์พิพาทจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงาน
บังคับคดีตามคาส่ังศาล ดังน้ัน นับแต่เจ้าพนักงานบังคับคดีผู้ทอดตลาดแสดงความตกลงด้วยการ
เคาะไม้ โจทก์ย่อมมีสิทธิในทรัพย์พิพาทโดยบริบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๓๐ อันเป็นกฎหมาย

446

สารบัญญัติ แม้ภายหลังการขายทอดตลาดจาเลยได้ยื่นคาร้องคัดค้านการขายทอดตลาดตาม ป.วิ.พ.
มาตรา ๓๐๙ ทวิ ซึ่งเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติและคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลก็ตาม
คงเป็นเพียงการร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดเท่าน้ัน หาใช่เรื่องการขายทอดตลาดตกเป็นโมฆะ
ไม่ และตราบใดท่ีศาลยังมิได้มีคาพิพากษาหรือคาสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด สิทธิของโจทก์ใน
ทรัพย์พิพาทก็ยงั คงบริบูรณ์อยู่ คาร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
วิธีสบัญญัติของจาเลยไม่กระทบต่อสิทธิของโจทก์ตามกฎหมายสารบัญญัติ จาเลยไม่มีสิทธิใด ๆ
ในทรพั ย์พิพาทอีกต่อไป เมื่อโจทก์บอกกล่าวให้จาเลยและบริวารออกไปจากทรัพย์พพิ าท และจาเลย
เพิกเฉย โจทก์จึงมีอานาจฟ้องขับไล่จาเลยออกไปจากทรัพย์พิพาท และเรียกค่าเสียหายจากการ
เพกิ เฉยไมอ่ อกไปจากทรพั ย์พพิ าทซง่ึ เปน็ การละเมิดตอ่ โจทกด์ ้วย

ฎีกาที่ ๘๐๒/๒๕๔๔ ฎ.๔๔๒ บ้านที่ปลูกอยู่บนท่ีดินในลักษณะตรึงตราถาวรนับได้ว่าเป็น
ส่วนซ่ึงโดยสภาพเป็นสาระสาคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์น้ัน และไม่อาจแยกจากกันได้ นอกจาก
จะทาลาย ทาให้บุบสลาย หรอื ทาให้ทรพั ย์นั้นเปลี่ยนแปลงรปู ทรงหรือสภาพไป บ้านจึงเป็นส่วนควบ
ของทด่ี ินผซู้ ื้อทีด่ นิ ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในบ้านซ่ึงเป็นสว่ นควบนัน้ ด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๔

ฎีกาท่ี ๗๑๙๓/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๙๖ การท่ีผู้ถือประทานบัตรเหมืองแร่ปลูก
ต้นยางพาราลงในที่ดินซึ่งอยู่ในเขตเหมืองแร่ซ่ึงเป็นป่าสงวนแห่งชาติ เป็นการใช้สิทธิในฐานะผู้ถือ
ประทานบัตรตาม พ.ร.บ. เหมืองแร่ฯ มาตรา ๗๓ ไม่ทาให้ต้นยางพาราที่ปลูกไว้เป็นส่วนควบของ
ท่ีดนิ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๖ ยางพารายงั คงเป็นทรัพยส์ ินของโจทก์ผูถ้ ือประทานบตั ร การท่ีจาเลย
กรดี เอาน้ายางพาราจากต้นยางพาราของโจทกไ์ ปจึงเป็นความผิดฐานลกั ทรัพย์

ข้อ ๗๘ คาถาม นายดาให้นายแดงและนายขาวเช่าที่ดินทาสวนมะม่วง ต่อมานายดา
ต้องการเลิกสัญญาเช่า โดยนายดาตกลงกับนายแดงได้ว่านายแดงยอมขายต้นมะม่วงให้นายดาราคา
๑๐,๐๐๐ บาท โดยนายแดงได้รับเงินไปแล้ว ต่อมาภายหลังนายแดงเสียดายจึงบอกนายดาว่า
จะไม่ขายแล้ว แต่นายดาไม่ยอมโดยอ้างว่าได้รับเงินไปก็ต้องจบแล้ว ส่วนนายดาและนายขาว
ยังตกลงกันไม่ไดโ้ ดยนายขาวยงั ครอบครองสวนมะม่วงอยู่ นายดาเห็นว่ามะม่วงในสวนทนี่ ายแดงและ
นายขาวปลูกลูกดกมากต้องการเอาไปเป็นอาหารเย็น นายดาจึงสอยมะม่วงส่วนที่ติดทางสาธารณะ
และผลมะม่วงยื่นออกมานอกถนนที่นายแดงและนายขาวปลูกสวนละ ๑๐ ผล รวมเป็น ๒๐ ผล
เมอื่ เอามะมว่ งใส่ตะกร้าแล้วขณะทีน่ ายดากาลังจะเดินกลับบ้าน นางดภี รรยาของนายดา เห็นนายดา
ถอื มะมว่ ง ซ่ึงนางดที ราบความขัดแยง้ เรอ่ื งการเชา่ ของสามีกับผูเ้ ช่า จึงสอบถาม นายดาบอกว่าเอามา
จากสวนที่ให้เช่า แล้วนางดีก็ช่วยนายดาถือมะม่วงดังกล่าวกลับไปบ้านแล้วรับประทานด้วยกัน
จนหมด

ให้วนิ ิจฉัยวา่ นายดาและนางดีมคี วามผิดเก่ยี วกับทรัพยฐ์ านใดหรือไม่
คาตอบ การท่ีนายดาให้นายแดงและนายขาวเช่าท่ีดินทาสวนมะม่วง แม้ต้นมะม่วงจะเป็น
ไม้ยืนตน้ แต่ก็เป็นทรัพย์ซึ่งติดกับทดี่ ินซ่ึงนายแดงและนายขาวผู้มสี ิทธิในที่ดินของนายดาใช้สิทธิ

447

ปลูกไว้ ไม่ถือว่าเป็นส่วนควบของที่ดิน ต้นมะม่วงจึงเป็นกรรมสิทธ์ิของนายแดงและนายขาว
ผูเ้ ชา่ ทดี่ นิ (เทียบฎกี าที่ ๗๑๙๓/๒๕๔๗) ไมใ่ ชข่ องนายดาเจ้าของท่ีดนิ

ต่อมานายดาต้องการเลิกสัญญาเช่า โดยนายดาตกลงกับนายแดงได้ว่านายแดงยอมขาย
ต้นมะม่วงให้นายดาราคา ๑๐,๐๐๐ บาท แม้จะเป็นการขายต้นมะม่วงซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ แต่
เมื่อนายแดงได้รบั เงินไปแล้ว ต้นมะม่วงที่นายแดงปลูกย่อมตกเป็นสว่ นควบของทด่ี ินนายดาทันที
โดยไม่ต้องทาสัญญาเป็นหนังสือจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ (เทียบฎีกาท่ี ๑๗๑๑, ๑๗๑๒/
๒๕๔๖) แม้ต่อมาภายหลังนายแดงเสียดายจึงบอกนายดาว่าจะไม่ขายแล้ว แต่ก็ไม่ทาให้ต้นมะม่วง
ทต่ี กเปน็ ส่วนควบของทีด่ ินไปแลว้ กลบั ไม่เป็นส่วนควบของทีด่ ินแต่อยา่ งใด ต้นมะม่วงทน่ี ายแดง
ปลูกจึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของนายดา ผลมะม่วงเม่ือสอยลงมาย่อมเป็นดอกผลของต้นมะม่วง
ซ่ึงตกเปน็ กรรมสิทธ์ิของนายดาเจา้ ของต้นมะม่วง การทนี่ ายดาเอามะม่วงในสวนท่ีนายแดงปลูกไป
๑๐ ผล จึงไม่เป็นการเอาทรัพย์ของผู้อ่ืนไปโดยเจตนาทุจริต เพราะไม่ใช่ทรัพย์ของผู้อื่น
การกระทาขาดองค์ประกอบภายนอกของความผิดฐานลักทรัพย์ นายดาจึงไม่มีความผิดฐาน
ลกั ทรัพยข์ องนายแดง

ส่วนการที่นายดาต้องการเลิกสัญญากับนายขาว แต่ยังตกลงกันไม่ได้โดยนายขาวยัง
ครอบครองสวนมะม่วงอยู่นนั้ ไดว้ ินจิ ฉัยมาแล้วว่าต้นมะมว่ งที่นายขาวปลูกเปน็ กรรมสทิ ธิข์ องนาย
ขาวผู้เชา่ ที่ดนิ ผลมะม่วงเม่อื สอยลงมายอ่ มเป็นดอกผลของต้นมะม่วง ซึ่งจะตกเปน็ ของนายขาว
เจ้าของต้นมะม่วง ไม่ใช่ของนายดาเจ้าของท่ีดิน การที่นายดาสอยมะม่วงในสวนที่นายขาวปลูก
๑๐ ผล แล้วเอาไป เป็นการเอาทรัพย์ของนายขาวไปโดยเจตนาทุจริต จึงเป็นความผิดฐาน
ลกั ทรพั ย์

เม่ือนายดาสอยและเอามะม่วงใส่ตะกร้าเป็นการพาเอามะม่วงของนายขาวเคลื่อนท่ีไป
ซ่งึ เป็นความผิดฐานลักทรพั ย์ของนายขาวสาเรจ็ แล้ว แม้ขณะที่นายดากาลังจะเดนิ กลับบ้านนางดี
ภรรยาของนายดามาช่วยนายดาถือมะม่วงกลบั บ้าน นางดีก็ไม่เป็นตัวการร่วมกันกับนายดาในการ
ลักทรัพย์ เพราะการเป็นตัวการต้องมีการกระทาร่วมกันและเจตนาร่วมกันขณะกระทาความผิด
แต่คดีนนี้ างดีมาร่วมกับนายดากระทาหลงั จากนายดากระทาผิดฐานลักทรพั ย์ของนายขาวสาเร็จแล้ว
นายดาจึงมีความผิดเพียงฐานลักทรัพย์ของนายขาว ไม่ใช่ร่วมกันลักทรัพย์ต้ังแต่ ๒ คนขึ้นไป
(เทยี บฎีกาที่ ๒๔๓๙/๒๕๓๙)

การที่นายดารับประทานมะม่วงของนายขาวหมดไป ไม่เป็นการทาให้มะม่วงซึ่งเป็นทรัพย์
ของนายขาวเสียหาย ทาลาย ทาให้เส่ือมค่า หรือทาให้ไร้ประโยชน์ เพราะเมื่อนายดาเป็น
ผู้กระทาความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว นายดากระทาการต่อทรัพย์ดังกล่าวย่อมไม่เป็นความผิด
ฐานทาให้เสียทรัพย์อีก รวมทั้งการกระทาดังกล่าวยังเป็นการใช้ประโยชน์ตามสภาพปกติของ
ทรัพย์นั้น การกระทาขาดองค์ประกอบภายนอกของความผิด นายดาจึงไม่มีความผิดฐานทาให้
เสียทรพั ย์

การท่ีนางดชี ่วยนายดาถือมะมว่ งท่ีนายแดงปลูกกลับบา้ น นางดีไม่มคี วามผิดฐานลักทรัพย์

448

ของนายแดงเช่นเดียวกับนายดา เพราะผู้ท่ีจะเป็นตัวการร่วมกัน ผู้ลงมือต้องมีความผิดตัวการ
จึงจะมีความผดิ

นางดีช่วยนายดาถือมะม่วงของนายขาวกลับบ้าน แม้จะเป็นการร่วมกับนายดาเอาทรัพย์
ของนายขาวไป แต่นางดีไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ของนายขาว เพราะไม่ได้เป็นตัวการร่วมกับ
นายดาดังที่วินิจฉัยมาแล้ว นอกจากนี้การจะเป็นผู้สนับสนุนไดน้ ้ัน จะต้องเป็นการช่วยเหลือหรือ
ให้ความสะดวกแก่ผู้กระทาความผิดก่อนหรือในขณะกระทาความผิด แต่คดีน้ีนางดีช่วยเหลือ
นายดาผู้กระทาความผิดฐานลักทรัพย์ของนายขาวหลังจากนายดากระทา ความผิดสาเร็จแล้ว
นางดีจึงไม่เป็นผู้สนับสนุนนายดาลักทรัพย์ของนายขาว แต่การท่ีนางดีช่วยนายดาถือมะม่วงของ
นายขาวกลับบ้าน โดยทราบว่านายดาเอามาจากสวนที่ให้เช่า เป็นการช่วยพาเอาไปเสียซ่ึงทรัพย์
อันได้มาโดยการกระทาความผิดฐานลักทรัพย์ นางดีมีเจตนากระทาความผิดฐานรับของโจร
(ฎกี าท่ี ๒๔๓๙/๒๕๓๙)

การท่ีนางดีรับประทานมะม่วงของนายขาวหมดไปน้ัน เม่ือนางดีกระทาความผิดฐาน
รับของโจรในทรัพย์ที่ลักมาแล้ว และเป็นการใช้ประโยชน์ตามสภาพปกติของทรัพย์น้ัน นางดี
จงึ ไม่มคี วามผิดฐานทาให้เสยี ทรัพย์อกี
ข้อสังเกต เมื่อนักศึกษำอ่ำนฎีกำ แล้วพบฎีกำที่น่ำสนใจนักศึกษำควรจะลองนำข้อเท็จจริงตำมฎีกำ
มำรวมกับข้อเท็จจริงตำมฎีกำอ่ืน เพ่ือออกเป็นข้อสอบแล้วทดลองทำข้อสอบดังกล่ำว หำกฎีกำท่ี
นักศึกษำได้ทดลองทำดังกล่ำวออกเป็นข้อสอบ นักศึกษำจะเขียนตอบข้อสอบได้อย่ำงแม่นยำและ
รวดเรว็ เพื่อจะได้นำเวลำท่ีเหลือไปเขียนตอบข้อสอบข้ออื่นทน่ี ักศึกษำเขียนได้ช้ำกว่ำปกติ กำรเขียน
ตอบคำถำมข้อนี้ขอให้สังเกตด้วยว่ำจะวินิจฉัยรวมกันว่ำนำยแดงและนำยขำวเป็นเจ้ำของต้นมะม่วง
ไม่ใชข่ องนำยดำเจ้ำของที่ดนิ เน่ืองจำกใช้ขอ้ กฎหมำยเดียวกัน หลังจำกน้ันจงึ วินจิ ฉัยควำมรบั ผิดทำง
อำญำของนำยดำต่อนำยแดง และนำยดำต่อนำยขำว แล้วจึงวินิจฉัยควำมรับผิดทำงอำญำของนำงดี
ต่อนำยแดง และนำงดีต่อนำยขำวตำมลำดับ ซ่ึงก็จะทำให้กำรวินิจฉัยไม่สับสนและครบถ้วนทุก
ประเดน็ กำรฝึกจดั ลำดับประเด็นในกำรเขียนตอบก็เป็นเร่ืองสำคญั สำหรับคำถำมขอ้ น้ี เพรำะคำถำม
มีหลำยประเด็น

ฎีกาที่ ๑๗๑๑-๑๗๑๒/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๖ แม้การที่จาเลยที่ ๑ ปลูกสร้างอาคาร
ตึกแถว ตลาดสด ถนนและลานจอดรถ ลงบนท่ีดินโฉนดเลขที่ ๑๙๒๒ ของโจทก์โดยอาศัยสิทธิตาม
สัญญาเช่าท่ีดินและโดยความยินยอมของโจทก์ สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้จะไม่ถือเป็นส่วนควบของท่ีดิน
โฉนดเลขท่ี ๑๙๒๒ ไม่ตกเป็นกรรมสิทธ์ิของโจทก์ แต่ตามข้อความในสัญญาเช่า จาเลยผู้เช่าที่ดินได้
แสดงเจตนาสละสิทธิของตน โดยยอมรับท่ีจะไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นออกไปจากท่ีดินที่เช่า
โดยไม่มีเง่ือนไขอย่างใด ๆ ดังนั้น เม่ือโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จาเลยที่ ๑ เช่าที่ดินต่อไปและได้
บอกกล่าวแก่จาเลยทั้งสองแล้ว จาเลยท่ี ๑ จึงไม่มีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์ในท่ีดินของโจทก์
ต่อไป ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต อาคารตึกแถว ตลาด ถนนและลานจอดรถที่จาเลย
ท่ี ๑ ได้ปลูกสร้างไว้ย่อมตกเป็นส่วนควบของที่ดินโฉนดเลขท่ี ๑๙๒๒ หลังจากสัญญาเช่าส้ินสุดลง

449

และตกเป็นกรรมสิทธ์ิของโจทก์ซ่ึงเป็นเจ้าของท่ีดินดังกล่าว เมื่อสัญญาเช่าท่ีดินไม่มีข้อตกลงให้โจทก์
ผู้ให้เช่าต้องใช้ราคาหรือค่าทดแทนสิ่งปลูกสร้างบนท่ีดินให้แก่จาเลยท่ี ๑ ผู้เช่า ในกรณีที่จาเลยท่ี ๑
ไม่อาจร้ือถอนสิ่งปลูกสร้างบนท่ีดินออกไปได้ จาเลยท่ี ๑ จึงไม่อาจเรียกร้องให้โจทก์ใช้ราคาหรือ
ค่าทดแทนสิง่ ปลกู สรา้ งบนทีด่ ินของโจทก์ใหแ้ กจ่ าเลยที่ ๑ ได้

ฎีกาที่ ๒๔๓๙/๒๕๓๙ ฎ.ส.ล.๗ น.๓๒ ส. ลักสุราของผู้เสียหายออกจากโรงเก็บสินค้า ก.
ไปเก็บไวท้ ี่โรงเกบ็ สินค้า ล. แล้ว ส. พาจาเลยไปขนสรุ าซง่ึ กองอยหู่ น้าโรงเกบ็ สนิ คา้ ล. ขณะท่ีจาเลย
ไปช่วยขนสุราของผู้เสียหายเป็นเวลาที่ ส. ลักสุราของผู้เสียหายเสร็จแล้ว จาเลยจึงมิได้เป็นตัวการ
ร่วมกบั ส. ลักทรัพย์ แต่จาเลยผิดฐานรบั ของโจร

เป็นทรพั ยข์ องผู้อน่ื

ฎีกาที่ ๑๒๘๕๗/๒๕๕๕ ฎ.๑๓๔๐ เสาร้ัวต้นกระถินเป็นไม้ท่ีเกิดขึ้นในที่ดินพิพาทโดย
ธรรมชาติเป็นดอกผลอันเป็นผลประโยชน์ที่เกิดข้ึนในท่ีดินพิพาท จาเลยซ่ึงเป็นเจ้าของท่ีดินพิพาท
จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธ์ิ การที่จาเลยกับพวกรื้อถอนเสาร้ัวออกจากท่ีดินพิพาท หากจาเลยนาเสาร้ัว
ของตนไป การกระทาของจาเลยไม่เปน็ ความผิดฐานลักทรัพย์

ฎีกาที่ ๑๑๖๓/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๒ น.๕๒ เดิม จ. เป็นผู้ทาประโยชน์รวมถึงปลูกต้นไผ่ในท่ีดิน
ของ จ. และท่ีดินท่ีเกิดเหตุซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ต่อมาเม่ือผู้เสียหายซื้อท่ีดินจาก จ. อ.
และ น. โดยรวมถึงท่ีดินท่ีเกดิ เหตุและเข้าครอบครองทาประโยชน์โดยมอบหมายให้ น. และ ช. ดูแล
ทงั้ จ. อ. และ น. มิไดเ้ ข้ามายุ่งเกี่ยวในท่ีดินและพชื ผลในท่ีดินอีกเลย จึงถือได้ว่าผูเ้ สียหายได้รบั มอบ
ต้นไผ่มาเป็นของผู้สียหายจากเจ้าของเดิมแล้ว เมื่อจาเลยทั้งสองตัดต้นไผ่แล้วเอาไปโดยไม่ได้รับ
อนุญาตจากผเู้ สยี หายจึงเป็นความผิดฐานรว่ มกนั ลกั ทรพั ย์

ฎีกาท่ี ๑๗๘๕/๒๕๕๔ ฎ.๔๒๗ จาเลยเอารถจักรยานยนต์ไปจาก ส. โดยทุจริต แม้เป็นการ
เอาไปจากการครอบครองของ ส. ท่ีลักทรัพย์มาจากผู้เสียหายอีกต่อหนึ่ง จาเลยก็มีความผิดฐาน
ลักทรพั ยข์ อง ส. ท่ีมีสิทธคิ รอบครองดูแลไว้เพอื่ คนื แกผ่ ้เู สยี หาย

ฎีกาที่ ๑๐๓๑๔/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๙๕ จาเลยขายรถยนต์ของกลางให้แกผ่ ู้เสียหายโดย
ส่งมอบการครอบครองพร้อมใบแทนคู่มือจดทะเบียนกับลงลายมือชื่อในแบบคาขอโอนและรับโอน
กับหนังสอื มอบอานาจให้แก่ผเู้ สียหาย โดยท่สี ัญญาจะซื้อขายไม่ได้กาหนดเงอ่ื นไขการโอนกรรมสิทธิ์
ไว้ การซ้ือขายรถยนตข์ องกลางจึงเสรจ็ เดด็ ขาดและกรรมสทิ ธ์ิโอนขณะทาสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา
๔๕๓ และมาตรา ๔๕๘ การชาระราคาไม่ครบถ้วนกรณีนี้ไม่เป็นเหตุให้กรรมสิทธ์ิยังไม่ได้โอน
แก่ผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงได้กรรมสิทธ์ินับแต่วันทาสัญญา เมื่อสัญญาซื้อขายไม่กาหนดเวลาชาระ
ราคาไว้ ผู้เสียหายจึงไม่ตกเป็นผู้ผิดนัดชาระราคา การท่ีจาเลยเอารถยนต์ของกลางไป จึงไม่มีเหตุ
ที่จะอ้างได้ตามกฎหมายและท่ีจาเลยโทรศัพท์นัดหมายให้ผู้เสียหายนารถยนต์ของกลางไปห้างท่ีเกิด
เหตุโดยจาเลยอ้างต่อพนักงานรักษาความปลอดภัยว่าบัตรจอดรถหาย แล้วใช้บัตรจอดรถที่อ้างว่า

450

หายนารถยนต์ของกลางไปจากความครอบครองของผู้เสียหาย แสดงว่าได้มีการวางแผนลักทรัพย์
รถยนตข์ องผู้เสียหายไวล้ ่วงหนา้ เปน็ ข้นั ตอน การกระทาของจาเลยเป็นความผดิ ฐานลักทรัพย์

ฎกี าที่ ๙๖๐๓/๒๕๕๓ ฎ.๑๙๐๖ โจทกร์ ่วมซ้ือรถยนตต์ ูก้ ับจาเลยในราคา ๓๑๐,๐๐๐ บาท
สัญญาระบุว่าจาเลยตกลงรับชาระราคารถยนต์ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ในวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๔๐ ส่วน
จานวนที่เหลือจะชาระให้จาเลยในวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ สัญญาซ้ือขายดังกล่าวไม่มีเงื่อนไข
เกยี่ วกับการโอนกรรมสทิ ธ์ิในรถยนตต์ ู้ ดังนนั้ จึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิใ์ นรถยนต์
ตู้ย่อมโอนให้แก่โจทก์ร่วมต้ังแต่ขณะเม่ือได้ทาสัญญาซื้อขายกันตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๕๓, ๔๕๘
แม้จาเลยยังมิได้ส่งมอบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์และโอนชื่อในทะเบียนให้แก่โจทก์ร่วมก็ตาม จาเลย
จงึ ไม่เปน็ เจา้ ของกรรมสทิ ธ์ริ ถยนตต์ ู้

จาเลยขับรถยนต์ตู้ไปจากที่จอดรถ เป็นการเอารถยนต์ตู้ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วมไป
โดยไม่มีอานาจ แม้จาเลยจะอ้างว่าสืบเนื่องมาจากโจทก์ร่วมไม่ยอมชาระหน้ีท่ีค้าง แต่ก็เป็นการใช้
อานาจบงั คับให้ชาระหนโ้ี ดยมิชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์ร่วมค้างชาระราคารถยนต์แก่จาเลยเพียง
ประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาท แต่จาเลยจะให้โจทก์ร่วมชาระเงินแก่จาเลยถึง ๑๐๐,๐๐๐ บาท ดังนั้น
การท่ีจาเลยเอารถยนต์ตู้ไปจากโจทก์ร่วมเพื่อเรียกร้องให้โจทก์ร่วมชาระหนี้ จึงเป็นการแสวงหา
ประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรับตนเอง เป็นการเอาทรัพย์ของโจทก์ร่วมไปโดย
ทุจริต มคี วามผิดฐานลักทรัพย์

ฎีกาที่ ๗๑๙๓/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๙๖ การท่ีผู้ถือประทานบัตรเหมืองแร่ปลูก
ต้นยางพาราลงในที่ดินซึ่งอยู่ในเขตเหมืองแร่ซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติ เป็นการใช้สิทธิในฐานะ
ผู้ถือประทานบัตรตาม พ.ร.บ. เหมืองแร่ฯ มาตรา ๗๓ ไม่ทาให้ต้นยางพาราท่ีปลูกไว้เป็นส่วนควบ
ของที่ดินตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๖ ยางพารายังคงเป็นทรัพย์ของโจทก์ผู้ถือประทานบัตร การท่ี
จาเลยกรดี เอานา้ ยางพาราจากตน้ ยางพาราของโจทกไ์ ปจึงเปน็ ความผิดฐานลักทรัพย์

ฎีกาที่ ๗๘๑๙/๒๕๕๒ ฎ.๒๑๔๑ เมื่อโจทก์นาเงินมาฝากธนาคาร เงินดังกล่าวตกเป็น
กรรมสิทธ์ิของธนาคาร ธนาคารมหี น้าท่ีเพียงคืนเงินเท่าจานวนท่ีลูกค้าฝากเท่าน้ัน โดยไมจ่ าต้องเป็น
ตัวเงินที่ลูกค้านามาฝาก การที่ธนาคารเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของลูกค้าจึงไม่ครบ
องคป์ ระกอบความผิดฐานลกั ทรัพย์
ข้อสังเกต คดีน้ีธนำคำรเป็นเจ้ำของกรรมสิทธ์ิเงินที่หักออกจำกบัญชีของลูกค้ำไปชำระหนี้อ่ืนของ
ธนำคำร ธนำคำรจึงไมผ่ ิดลกั ทรพั ย์

ฎีกาท่ี ๖๒๔/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑ น.๗๓ การกระทาท่ีจะครบองค์ประกอบความผิดฐาน
ลักทรัพย์น้ัน จะต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อ่ืนหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต
เงินฝากในบัญชีของโจทก์ที่ ๑ ท่ีฝากไวก้ ับจาเลยท้ังสองตกเปน็ กรรมสทิ ธ์ิและอยู่ในความครอบครอง
ของจาเลยท้ังสอง จาเลยทั้งสองผู้รับฝากย่อมมีสิทธิท่ีจะบริหารจัดการเงินฝากประการใดก็ได้ คงมี
หน้าท่ีเพียงต้องคืนเงินตามท่ีโจทก์ท้ังสองฝากไว้เท่าน้ัน โดยไม่จาต้องคืนเงนิ จานวนเดียวกบั ท่ีฝากไว้
การที่จาเลยท้ังสองเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ ๑ จึงไม่ใช่เป็นการเอาทรัพย์ของโจทก์


Click to View FlipBook Version