The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-10-26 10:13:10

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

551

ฎีกาท่ี ๑๐๕๕๒/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๙๕ จาเลยหลอกลวงด้วยการทาให้ผู้อ่ืนเข้าใจว่าตน
เป็นบุคคลเดียวกับ ป. ผู้มีช่ือในโฉนดท่ีดินท่ีจาเลยนามาเป็นหลักประกันในการกู้เงินจากผู้เสียหาย
ที่ ๒ จากการหลอกลวงดังกล่าวทาให้ได้ไปซ่ึงเงินจากผู้เสียหายท่ี ๒ การกระทาของจาเลยจึงเป็น
ความผดิ ฐานฉอ้ โกง

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๓๔๓

ฎีกาที่ ๔๘๗๕/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๕ น.๖๕ จาเลยทั้งสามร่วมกันประกอบกิจการในช่ือร้านค้า
สวัสดิการ ย. และร่วมกันบรรยายให้ข้อมูลแก่ผู้เสียหายท้ังแปดสิบห้าชักชวนให้สมัครเป็นสมาชิก
ร้านค้าสวัสดิการ ย. โดยมีเง่ือนไขว่าจะเรียกเก็บเงินค่าสมัครจากผู้มาสมัครเป็นสมาชิกตามรูปแบบ
สมาชิก จาเลยท้ังสามจึงมีเจตนาทุจริตมาตั้งแต่ต้นโดยรู้อยู่แล้วว่าร้านค้าสวัสดิการ ย. ไม่สามารถ
ประกอบกิจการมีผลประโยชน์หรือมีกาไรสูงจนสามารถจ่ายเงินปันผลและค่าตอบแทนให้แก่สมาชิก
ในอัตราสูงตามท่ีได้มีการบรรยายชักชวนให้มาร่วมลงทนุ สมัครเป็นสมาชิก อกี ทง้ั ลักษณะการชักชวน
เป็นการชักชวนท่ัวไป มิได้มุ่งเจาะจงชักชวนคนใดคนหน่ึงเป็นพิเศษโดยเฉพาะ การหลอกลวง
ดงั กล่าวจงึ มีลกั ษณะเป็นการหลอกลวงประชาชนให้หลงเช่ือ แมจ้ ะมไิ ด้มกี ารป่าวประกาศหรอื แจง้ ให้
ผถู้ ูกหลอกลวงแต่ละคนไปชักชวนบคุ คลอื่นต่อ แต่ลกั ษณะการชักชวนของจาเลยทงั้ สามมีข้อเท็จจริง
เป็นอย่างเดียวกันโดยผู้ถูกชักชวนย่อมบอกต่อกันไปได้ แม้มีผู้เสียหายบางคนได้ผลประโยชน์
ตอบแทนเป็นเงินปันผลหุ้น แต่ก็ได้รับน้อยกว่าที่ได้ชักชวนและได้รับเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
การกระทาของจาเลยทั้งสามจึงเปน็ การร่วมกนั หลอกลวงผู้อน่ื ด้วยการแสดงข้อความอนั เป็นเท็จหรือ
ปกปิดความจริงซ่ึงควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงน้ันได้ไปซ่ึงทรัพย์สิน คือ เงินค่าสมัคร
สมาชิกจากผู้เสียหายท้ังแปดสิบห้าผู้ถูกหลอกลวง เป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตาม
ป.อ. มาตรา ๓๔๓ วรรคแรก

ฎีกาท่ี ๖๐๔๖/๒๕๖๐ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๓๐ จาเลยท่ี ๑ กล่าวอ้างต่อโจทก์ร่วมท้ังแปดและ
ผู้เสียหายที่ ๖ ที่ ๗ ว่าสามารถช่วยเหลือให้สอบเข้ารับราชการได้ โดยมีนายหรือผู้บังคับบัญชา
ตาแหนง่ ใหญ่มากในกรมช่วยเหลือ แต่ต้องเสยี ค่าดาเนินการ โดยโจทก์ร่วมทัง้ แปดและผเู้ สียหายท่ี ๖
ท่ี ๗ ทราบเร่ืองดังกล่าวจากการบอกเล่าต่อกันมาจากจาเลยท่ี ๒ บ้าง จากคนอ่ืนบ้าง เม่ือไป
สอบถาม จาเลยที่ ๑ ก็บอกวา่ จาเลยท่ี ๑ สามารถช่วยเหลือให้สอบบรรจุเขา้ รับราชการได้ จนทาให้
โจทกร์ ่วมท้ังแปดและผู้เสียหายที่ ๖ ท่ี ๗ หลงเชอื่ มอบเงินให้แกจ่ าเลยที่ ๑ คร้ันเมื่อประกาศผลสอบ
แลว้ โจทก์ร่วมทงั้ แปดและผ้เู สียหายท่ี ๖ ที่ ๗ ไมม่ ีรายชื่อเป็นผู้สอบได้ อันแสดงวา่ ข้อความทจ่ี าเลยท่ี
๑ บอกดังกล่าวเป็นความเท็จและเป็นเพียงการหลอกลวง โดยจาเลยที่ ๑ มีเจตนาท่ีจะหลอกลวง
บุคคลท่ีสนใจจะสอบเข้ารับราชการเป็นการทั่วไป ไม่ได้มุ่งแต่เฉพาะกลุ่มของโจทก์ร่วมทั้งแปดและ
ผู้เสียหายที่ ๖ ที่ ๗ เท่าน้ัน ซ่ึงหากผู้ใดสนใจก็ต้องปฏิบัติตามเง่ือนไขท่ีจาเลยท่ี ๑ วางไว้ การ
หลอกลวงดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นการหลอกลวงประชาชนให้หลงเช่ือ แม้มิได้มีการแจ้งข้อมูลให้

552

ประชาชนทราบเป็นการท่ัวไป แต่ผู้ทราบข้อความดังกล่าวย่อมบอกต่อกันไปได้ ลักษณะการกระทา
เขา้ องค์ประกอบเป็นความผดิ ฐานฉอ้ โกงประชาชนตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๓ วรรคแรก

ฎีกาท่ี ๘๓๑/๒๕๕๙ ฎ.๓๐๒๘ การแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนในความผิดฐาน
ฉ้อโกงประชาชนตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๓ ถือเอาเจตนาแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนเป็น
สาคัญ โดยจะเห็นได้จากวิธีการหลอกลวง เม่ือจาเลยท้ังสี่กับพวกจัดต้ังระบบอุปกรณ์โทรศัพท์และ
ระบบคอมพิวเตอร์ในรูปสานักงานเครือข่ายโทรศัพท์ขึ้นในต่างประเทศ และใช้การสื่อสารทางเสียง
ผา่ นโครงข่ายอินเตอร์เน็ต ด้วยวิธกี ารสุม่ หมายเลขโทรศัพท์ของประชาชนท่ีปรากฏข้อมูลอยู่ในระบบ
คอมพิวเตอร์ของจาเลยทั้งสี่กับพวก แล้วโทรศัพท์หรือส่งข้อความทางโทรศัพท์เคลื่อนท่ีติดต่อไปยัง
ประชาชนท่ัวไป รวมท้ังประชาชนไทยในราชอาณาจักร และแจ้งแก่ผู้ท่ีได้รับการติดต่อด้วยข้อความ
อันเป็นเท็จต่าง ๆ ในลักษณะอ้างตนเองเป็นเจ้าหน้าท่ีของธนาคารพาณิชย์และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ
หลอกลวงผู้ได้รบั การติดต่อว่าผู้น้ันเป็นหน้ีบัตรเครดิต หรือมียอดการใช้เงินในบัญชีสูงผิดปกติ ให้ไป
ตรวจดูยอดเงินในบัญชี หรือให้ไปดาเนินการเปล่ียนแปลงรหัสข้อมูลเก่ียวกับบัญชีธนาคาร
ที่ประชาชนผู้ถูกหลอกลวงใช้บริการหรือให้ไปดาเนินการใส่รหัสผ่าน หรือรหัสส่ังให้ระงับการทา
รายการในบัญชีเงินฝาก บัตรเบิกถอนเงินสดเอทีเอ็มหรือรหัสระงับบัญชีธนาคาร หรือรหัสป้องกัน
มิให้ข้อมูลร่ัวไหล โดยแจ้งว่าเพ่ือเป็นการป้องกันมิให้ผู้อ่ืนเบิกถอนเงินออกจากบัญชีของประชาชน
ผู้ถูกหลอกลวงได้ ซึง่ เป็นการหลอกลวงเหมือนกัน อนั มีลักษณะเปน็ การหลอกลวงทวั่ ไป มิได้มงุ่ หมาย
เจาะจงหลอกลวงคนใดคนหน่ึงเป็นพิเศษ ข้ึนอยู่กับว่าจาเลยทั้งสี่กับพวกจะสุ่มได้หมายเลขโทรศัพท์
ของประชาชนคนใดท่ีปรากฏข้อมูลอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ของจาเลยทั้งสี่กับพวกเพ่ือทาการ
หลอกลวง การกระทาของจาเลยท้ังสี่ตามฟ้องจึงเป็นการร่วมกันฉ้อโกงประชาชน เป็นความผิดตาม
ป.อ. มาตรา ๓๔๓ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๘๓ มิใช่เป็นความผิดเพียงฐานฉ้อโกงตามมาตรา
๓๔๑ ประกอบมาตรา ๓๔๒ (๑)

ฎีกาที่ ๖๓๑๗/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๙๔ การกระทาความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน แม้การ
กระทาน้ันจะมีมูลคดีเกิดจากการกระทาเร่ืองเดียวกันและเป็นข้อเท็จจริงเดียวกันทั้งหมด แต่โดย
สภาพแห่งการกระทาเป็นการกระทาต่อบุคคลหลายคนซึ่งอาจกระทาต่อบุคคลเหล่าน้ันต่างวาระกัน
ได้ ส่วนที่จะเป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรมย่อมข้ึนอยู่กับลักษณะของการกระทาท่ีมีเจตนา
มุ่งกระทา เพ่ือให้เกิดผลต่อผู้เสียหายหรือประชาชนเพียงครั้งเดียวหรือหลายคร้ัง มิได้พิจารณาจาก
จานวนผู้เสียหายหรือประชาชนท่ีถกู หลอกลวงแตล่ ะคนเพียงอย่างเดียว คดีน้ีแม้ช่วงเกดิ เหตุเป็นเวลา
ปีเศษ จาเลยที่ ๓ กับพวกร่วมกันหลอกลวงประชาชนทั่วไปรวมท้ังผู้เสียหายทั้งสามสิบคนด้วยการ
แสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อเท็จจริงซ่ึงควรบอกให้แจ้งตามฟ้องซ่ึงเป็นช่วงเวลาเดียวกัน
ก็ตาม แต่เม่ือการกระทาดังกล่าวเป็นผลให้ผู้เสียหายท้ังสามสิบคนหลงเชื่อ และนาเงินมาให้จาเลย
ที่ ๓ กับพวก ก็ถือได้ว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกงสาเร็จสาหรับผู้เสียหายแต่ละคน จึงเป็นความผิด
หลายกรรมตามจานวนผ้เู สียหาย คือ ๓๐ กรรม

ฎีกาที่ ๘๔๘๙/๒๕๕๘ ฎ.๒๙๒๐ จาเลยที่ ๒ จัดสร้างพระเครื่องและโฆษณาประชาสัมพันธ์

553

เพ่ือให้ประชาชนเช่าบูชาพระสมเด็จเหนือหัวตามสื่อต่าง ๆ ทั้งทางวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ แผ่น
พบั และป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ หลายวันหลายเวลา โดยอาศัยช่องทางท่ีแตกต่างกนั ท้ังสถานที่และ
วธิ ีการชาระเงินทผ่ี ู้เสียหายแต่ละรายทง้ั ๙๒๑ รายท่ีหลงเช่ือตามโฆษณาดังกล่าวและเช่าพระสมเด็จ
เหนือหัวท่ีจาเลยท่ี ๒ จดั ทาขน้ึ แต่ละรายไป ผู้เสียหายแตล่ ะคนตา่ งถูกหลอกลวงคนละวันคนละเวลา
จานวนเงินที่ถูกหลอกแตกต่างกัน ความผิดต่อผู้เสียหายแต่ละรายจึงเป็นการกระทาท่ีแยกออกจาก
กนั ได้ การกระทาของจาเลยท่ี ๒ จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกนั ๙๒๑ กระทง

ฎีกาที่ ๓๓๓๔/๒๕๖๐ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๓๖ แม้จาเลยและ ธ. จะร่วมกันหลอกลวงประชาชน
เป็นจานวนมาก แต่ก็เป็นการหลอกลวงโดยส่งจดหมายไปให้ทีละคน หาใช่เป็นการหลอกลวง
ประชาชนโดยท่ัวไป จึงไม่ใช่การกระทาด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน ไม่เป็น
ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๓ คงเป็นความผดิ ฐานฉอ้ โกงตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๑ เทา่ นนั้

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๓๔๙

ฎกี าท่ี ๑๓๖๓/๒๕๕๐ ฎ.๔๘๕ โจทกร์ ่วมกับจาเลยทาสัญญาจานาขา้ วระหวา่ งกันโดยโจทก์
ร่วมยอมให้ข้าวอยู่ในความครอบครองของจาเลย ย่อมถือไม่ได้ว่าจาเลยมอบข้าวไว้เป็นประกันการ
ชาระหนี้ตามความหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะจานา เม่ือไม่มีการจานา
จึงขาดองค์ประกอบทจ่ี ะเปน็ ความผดิ ขอ้ หาโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๙

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๓๕๐

ฎีกาท่ี ๖๑๕๐/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๘๘ จาเลยมีเจ้าหน้ีหลายรายโดยนอกจากจาเลยเป็น
ลูกหน้ีตามคาพิพากษาของโจทก์แล้ว จาเลยยังเป็นลูกหน้ีตามคาพิพากษาของ ป. ซึ่งเป็นหน้ีท่ี
มีอยู่จริงซ่ึงได้มีการฟ้องร้องดาเนินคดีและศาลออกหมายต้ังเจ้าพนักงานบังคับคดียึดท่ีดินพิพาท
ไว้ก่อนโจทก์ฟ้องจาเลยตามมูลหนี้กู้ยืมท่ีเป็นเหตุอ้างในคาฟ้องคดีนี้ ย่อมมีเหตุให้จาเลยขวนขวาย
ในการชาระหน้ีตอ่ ป. เช่นกนั การท่จี าเลยขายท่ดี ินดังกลา่ วใหแ้ ก่ ณ. ราคา ๑๗๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็น
ราคาไม่ต่ากว่าราคาในท้องตลาด ประกอบกับจาเลยยังมีหนี้กับเจ้าหนี้รายอ่ืนอีกหลายราย เม่ือนา
เงินท่ีได้รับจากการขายที่ดินไปชาระหนี้ ป. แล้วมีเงินเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย ไม่พอชาระหนี้โจทก์
ซึ่งเป็นเจ้าหน้ีรายใหญ่ จาเลยจึงนาไปชาระหนี้เจ้าหนี้รายอื่นซึ่งเป็นรายย่อยก่อน ท้ังเป็นการขาย
ท่ีดินดังกล่าวไปภายหลังวันที่มีการปิดหมายแจ้งการส่งสาเนาคาฟ้องและหมายเรียกให้ จาเลยแก้คดี
โดยมีระยะเวลาห่างกนั เพียง ๖ วัน ซงึ่ ขณะจาเลยขายที่ดนิ พิพาท ไมท่ ราบวา่ ถูกโจทกฟ์ อ้ งคดมี ากอ่ น
เน่ืองจากขณะนั้นจาเลยอยู่ต่างจังหวัด ตามพฤติการณ์น่าเชื่อว่าเป็นการขายท่ีดินเพ่ือปลดเปล้ือง
ภาระหน้ีต่อเจ้าหนี้อื่น ซ่ึงเป็นหน้ีท่ีมีอยู่จริงซึ่งจาเลยมีหน้าที่ต้องชาระโดยไม่ใช่เกิดจากการสมคบ
หรือแกล้งเป็นหนี้ โดยมีมูลเหตุชักจงู ใจหรือมีเจตนาพิเศษเพอื่ ไม่ให้โจทก์ซึง่ เป็นเจ้าหนี้ได้รบั ชาระหน้ี

554

ทั้งหมดหรือแต่บางสว่ น จงึ ไมอ่ าจถอื ไดว้ า่ จาเลยมเี จตนากระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๐
ฎีกาท่ี ๑๐๘/๒๕๕๙ ฎ.๙๕ จาเลยจดทะเบียนขายท่ีดินพร้อมส่ิงปลูกสร้างเพื่อชาระหน้ีตาม

คาพิพากษาให้แก่ ป. และเพื่อชาระหน้ีจานองให้แก่ธนาคาร ก. ผู้รับจานองซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา
๗๐๒ วรรคสอง ผู้รับจานองชอบท่ีจะได้รับชาระหนี้จากทรัพย์สินที่จานองก่อนเจ้าหนี้สามัญเช่นที่
โจทก์เป็นเจ้าหน้ีจาเลยในมูลหนี้เงินกู้ยืม และเป็นหน้ีท่ีมิได้เกิดจากการสมยอมระหว่างจาเลยกับ ป.
หรอื จาเลยกับธนาคาร ก. ทั้งจาเลยชาระหนีท้ ั้งสองจานวนไปกอ่ นทีศ่ าลชน้ั ต้นมีคาพพิ ากษาใหจ้ าเลย
และ ว. ชาระหน้ีโจทก์ อีกท้ังราคาขายเป็นราคาที่เหมาะสม ไม่ใช่ขายในราคาต่ากว่าความจริง
ถือไม่ได้ว่าจาเลยโอนขายทรัพย์สินของตนไปให้แก่ผู้อ่ืนโดยเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้ีของ
จาเลยและได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชาระหนี้ได้รับชาระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน การกระทา
ของจาเลยไมเ่ ป็นความผดิ ฐานโกงเจ้าหน้ตี าม ป.อ. มาตรา ๓๕๐

ฎีกาที่ ๖๔๒๗/๒๕๖๒ ฎ.๒๒๖๑ ที่ดินท่ีจาเลยขายให้แก่ อ. ติดภาระจานองเป็นประกนั หนี้
กับธนาคารอันเป็นหนี้บุริมสิทธิท่ีธนาคารมีสิทธิได้รับชาระหนี้จากทรัพย์จานองก่อนโจทก์ซ่ึงเป็น
เจ้าหน้ีสามัญตาม ป.พ.พ. มาตรา ๗๐๒ วรรคสอง จาเลยขายทรัพย์จานองไปในราคา ๑,๐๐๐,๐๐๐
บาท แล้วชาระหน้ีไถ่ถอนจานอง ๘๙๖,๙๑๘.๙๓ บาท นอกจากนั้นจาเลยยังต้องรับภาระจ่ายค่า
นายหน้าและค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนโอนที่ดินซ่งึ อาจไม่เหลือเงินท่ีจะนามาชาระหน้ีใหแ้ กใ่ จทก์
ได้เลย จึงเป็นการขายเพ่ือชาระหนี้ของตนตามปกติ ไม่อาจรับฟังได้ว่าจาเลยจดทะเบียนโอนขาย
ท่ีดินให้แก่ อ. โดยมีเจตนาทุจริตเพ่ือไม่ให้โจทก์ได้รับชาระหน้ีทั้งหมดหรือแต่บางส่วน การกระทา
ของจาเลยไมเ่ ปน็ ความผิดฐานโกงเจา้ หนีต้ าม ป.อ. มาตรา ๓๕๐

ฎกี าที่ ๔๒๒๕/๒๕๕๙ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๓๑ จาเลยเสนอขายท่ีดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยแจ้งว่า
เปน็ ที่ดินมีเอกสารสิทธกิ ารครอบครองและรับรองว่าสามารถจดทะเบยี นโอนให้โจทก์ได้ แต่เน่ืองจาก
ท่ีดินติดจานองธนาคาร จาเลยจะนาเงินท่ีได้จากโจทก์ไปไถ่ถอนจานองมาจดทะเบียนโอนให้โจทก์
ต่อมาโจทก์ตรวจสอบพบว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดิน ส.ป.ก. ๔ - ๐๑ และวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
จาเลยรับรองว่าจะไม่จาหน่าย จานา หรือก่อภาระผูกพัน ในท่ีดินพิพาทให้กระทบสิทธิของโจทก์
การที่จาเลยนา ส.ป.ก. ๔ - ๐๑ ไปถ่ายสาเนาแลว้ ลบชื่อบดิ าจาเลยผไู้ ด้รบั อนุญาตให้เข้าทาประโยชน์
เดิมและเปลี่ยนเป็นชื่อจาเลย แล้วจาเลยนาไปขายให้แก่ น. และ จ. ท้ังท่ีจาเลยรับกับโจทก์แล้วว่า
จะไม่จาหน่าย จานา หรือก่อภาระผูกพัน ในที่ดินพิพาทน้ัน เห็นว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน
เพื่อเกษตรกรรมยังเป็นของรัฐเพียงแต่รัฐนาท่ีดินมาจัดสรรให้ประชาชนครอบครองทากินเท่าน้ัน
การกระทาของจาเลยดังกล่าวไม่ก่อให้ น. และ จ. มีสิทธิใด ๆ ในท่ีดินพิพาท แม้จาเลยรับรอง
ต่อโจทก์ว่าจะไม่จาหน่าย จานา หรือก่อภาระผูกพันในที่ดินพิพาท โจทก์ก็มิใช่ผู้ได้รับความเสียหาย
จากการท่จี าเลยปลอมและใช้เอกสารปลอม

แม้จาเลยมภี าระผูกพันท่ีตอ้ งชาระเงินค่าทดี่ ินคืนแก่โจทก์ซึ่งเป็นเจา้ หนี้ แต่การท่ีจาเลยโอน
ที่ดินพิพาทซ่ึงอยู่ในเขตปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมให้แก่ น. และ จ. ซึ่งท่ีดินพิพาทไม่ใช่ของจาเลย
หรือของบิดาจาเลย จึงมิใช่การโอนไปซ่ึงทรัพย์สินตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๐ ไม่เป็นความผิดฐาน

555

โกงเจา้ หน้ี
ข้อสังเกต กำรที่ศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำ โจทก์ก็มิใช่ผู้ได้รับควำมเสียหำยจำกกำรที่จำเลยปลอมและใช้
เอกสำรปลอม ไม่ได้หมำยควำมว่ำกำรกระทำของจำเลยไม่เป็นควำมผิด เพียงแต่วินิจฉัยถึงควำม
เสียหำยที่นำมำสู่อำนำจฟ้องของโจทก์ ถ้ำคดีน้ีโจทก์กล่ำวโทษต่อพนักงำนสอบสวนและพนักงำน
อัยกำรฟ้องคดี กำรกระทำของจำเลยน่ำจะเป็นควำมผดิ ฐำนปลอมและใช้เอกสำรสิทธอิ ันเปน็ เอกสำร
รำชกำรปลอมได้ เพรำะเกิดควำมเสียหำยแก่สำนักงำนปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรมและเจ้ำพนักงำน
ทีด่ นิ แตเ่ ม่อื โจทกฟ์ อ้ งคดเี อง ศำลก็ตอ้ งยกฟ้องเพรำะโจทกไ์ มใ่ ช่ผเู้ สียหำยตำม ป.วิ.อ.

ฎีกาท่ี ๔๑๙๖/๒๕๕๘ ทรัพย์ท่ีลูกหนี้โอนไปให้ผู้อื่น อันจะเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม
ป.อ. มาตรา ๓๕๐ น้ัน หมายถึงทรัพย์ใด ๆ ของลูกหน้ีท่ีมีอยู่ได้มีการโอนไป เมื่อจาเลยที่ ๑
ทาสัญญากับองค์การคลังสินค้า ๒ ฉบบั ฉบับแรกวา่ จ้างใหจ้ าเลยที่ ๑ แปรสภาพหัวมนั สาปะหลังสด
จากเกษตรกรท่ีนามาจานาแก่องค์การคลังสินค้าเป็นแป้งมันสาปะหลัง ฉบับที่สองเป็นสัญญาเก็บ
แป้งมันสาปะหลังที่คลังสินค้าของจาเลยที่ ๑ โดยองค์การคลังสินค้าเป็นผู้ส่งมอบให้แก่จาเลยที่ ๑
อันเป็นสัญญาฝากทรัพย์ ดังน้ัน แป้งมันสาปะหลังท่ีจาเลยที่ ๑ แปรสภาพแล้วเก็บไว้ในคลังสินค้า
ของจาเลยท่ี ๑ จึงเป็นกรรมสิทธ์ิขององค์การคลังสินค้าหาใช่เป็นของจาเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหนี้
ของโจทก์ไม่ ท้ังองค์การคลังสินค้าได้ร้องทุกข์ให้ดาเนินคดีแก่จาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ ข้อหายักยอก
แม้จาเลยที่ ๑ ถึงท่ี ๓ จะร่วมกันนาเอาแป้งมันสาปะหลังที่เก็บไว้ที่คลังสินค้าของจาเลยที่ ๑ ไปขาย
กถ็ อื ไม่ไดว้ ่าเป็นการย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผ้อู ื่นซ่ึงทรพั ย์ใดเพอ่ื มิใหโ้ จทก์ซง่ึ เปน็ เจ้าหน้ี
ของตนได้รับชาระหนี้ท้ังหมดหรือบางส่วน การกระทาของจาเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๓ จึงไม่เป็นความผิดฐาน
โกงเจ้าหนี้ ท้ังแป้งมันสาปะหลังที่จาเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๓ รว่ มกันนาไปขายก็มิใช่ทรัพยท์ ่ีถูกยึดหรืออายัด
การกระทาของจาเลยท่ี ๑ ถึงที่ ๓ จงึ ไม่ใช่การทาใหเ้ สียหาย ทาลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสียหรือสูญหาย
หรอื ไร้ประโยชนซ์ ึ่งทรัพยท์ ่ีถูกยึดหรืออายัด เพื่อจะมิใหก้ ารเปน็ ไปตามคาพพิ ากษาหรอื คาส่ังของศาล
จึงไม่เป็นความผดิ ตาม ป.อ.มาตรา ๑๘๗
ข้อสังเกต กำรกระทำของจำเลยที่ ๑ ถึงท่ี ๓ ไม่เป็นควำมผิดฐำนโกงเจ้ำหนี้ตำม ป.อ. มำตรำ ๓๕๐
และไม่เป็นควำมผิดตำมมำตรำ ๑๘๗ ตำมท่ีตัดสินไว้ตำมฎีกำน้ี แต่น่ำคิดว่ำจะเป็นควำมผิดฐำน
ยกั ยอกหรือไม่ หำกจำเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๓ ครอบครองทรพั ยข์ องผู้อนื่ คือ องค์กำรคลังสินคำ้ แลว้ เอำไป
ขำย ก็น่ำจะเป็นกำรเบียดบังทรัพย์ของผู้อื่นที่ตนครอบครองอยู่โดยทุจริต อันเป็นควำมผิดฐำน
ร่วมกันยักยอก ซึ่งคดีน้ีโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยท้ังหกตำมมำตรำ ๘๓, ๙๑, ๑๘๗, ๓๔๑, และ
๓๕๐ แต่ไม่ได้ฟ้องขอให้ลงโทษในควำมผิดฐำนยักยอกตำมมำตรำ ๓๕๒ และคดีนี้ไม่อำจนำ ป.วิ.อ.
มำตรำ ๑๙๒ ที่ว่ำควำมแตกต่ำงของควำมผิดฐำนโกงเจ้ำหนี้และควำมผิดฐำนยักยอก เป็นเพียง
ควำมแตกต่ำงในรำยละเอียดมิใช่ข้อแตกต่ำงในสำระสำคัญมำใช้บังคับ เพรำะคดีน้ีมีควำมแตกต่ำง
ทั้งฐำนควำมผิดและตัวผู้เสียหำย ซึ่งเป็นข้อแตกต่ำงในสำระสำคัญ เมื่อไม่มีใครหยิบยกศำลฎีกำ
จึงไม่ได้วินิจฉัยว่ำผิดยักยอกหรือไม่ เพรำะหำกวินิจฉัยให้แล้วก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป และ
ไม่เป็นประเด็นในชั้นฎีกำ ทั้งองค์กำรคลังสินค้ำได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยท่ี ๑ และท่ี ๒

556

ข้อหำยักยอกด้วย หำกนำข้อเท็จจริงตำมฎีกำมำออกข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพำกษำหรือเนติฯ น่ำจะตอบ
ว่ำผิดยักยอกด้วย กำรตอบตำมท่ีศำลฎีกำวินิจฉัยน่ำจะยังไม่พอ เพรำะศำลฎีกำกล่ำวถึงฐำนยักยอก
ทค่ี นอนื่ ฟ้องแล้ว

____________________________

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจาเลยทั้งหกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑, ๑๘๗,
๓๔๑, ๓๕๐

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลเฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๑๘๗, ๓๕๐ ใหป้ ระทับฟ้องเฉพาะข้อหาดังกล่าว ส่วนข้อหาอ่นื ให้ยกฟ้อง

จาเลยทั้งหกให้การปฏเิ สธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จาเลยที่ ๑ ท่ี ๒ ที่ ๓ และท่ี ๔ มีความผิดตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๑๘๗, ๓๕๐ ประกอบมาตรา ๘๓ เป็นการกระทากรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมาย
หลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๗ ซึ่งเป็นกฎหมายบทท่ีมีโทษหนักที่สุด
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ และเป็นการกระทาหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม
เป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ความผิด ๒ กระทง จาคุกกระทงละ
๒ ปี รวมจาคุกจาเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ คนละ ๔ ปี ยกฟ้องโจทกส์ าหรับจาเลยที่ ๕ และที่ ๖
โจทกแ์ ละจาเลยท่ี ๑ ถงึ ที่ ๔ อทุ ธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สาหรับจาเลยที่ ๑ ถึงท่ี ๔ ด้วย
นอกจากทีแ่ กใ้ หเ้ ปน็ ไปตามคาพิพากษาศาลชน้ั ตน้
โจทกฎ์ ีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จาเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๔
กระทาความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ และฐานเอาไปเสียซ่ึงทรัพย์ท่ีถูกยึดหรืออายัดเพื่อจะมิให้การเป็นไป
ตามคาพิพากษาหรือคาสั่งของศาลหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า แป้งมันสาปะหลังท่ีองค์การคลังสินค้า
ฝากเก็บไว้ท่ีคลังสินค้าของจาเลยที่ ๑ เป็นของจาเลยท่ี ๑ ต้ังแต่รับฝากเพียงแต่จาเลยที่ ๑ จะต้อง
คืนตามปริมาณและคุณภาพท่ีผู้ทรงใบประทวนสินค้านามาเบิก ท้ังคาว่าทรัพย์ตามความหมายแห่ง
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ ไม่จาเป็นต้องเป็นของลูกหนี้ เมื่อจาเลยท่ี ๑ ถึงที่ ๓ ร่วมกัน
เอาแป้งมนั สาปะหลังในคลังสินค้าไปขาย การกระทาของจาเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ จึงเป็นความผิดฐานโกง
เจ้าหนี้และเม่ือศาลช้ันต้นได้มีคาส่ังอายัดชั่วคราวเงินค่าจ้างแปรสภาพมันสาปะหลังสดเป็นแป้งมัน
สาปะหลังที่องค์การคลังสินค้าจะต้องชาระให้แก่จาเลยท่ี ๑ ซึ่งจาเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๓ ทราบแล้ว การ
กระทาของจาเลยท่ี ๑ ถึงที่ ๓ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๗ ด้วย ส่วน
จาเลยที่ ๔ โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องไว้แล้ว จาเลยท่ี ๔ จึงร่วมกระทาความผิดกับจาเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓
ด้วย เห็นว่า ทรัพย์ท่ีลูกหนี้โอนไปให้ผู้อื่น อันจะเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหน้ีตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๓๕๐ น้ัน หมายถึงทรัพย์ใด ๆ ของลูกหนี้ที่มีอยู่ได้มีการโอนไป ข้อเท็จจริงได้ความ

557

ตามสานวนการสอบว่า จาเลยที่ ๑ ทาสัญญากับองค์การคลังสินค้า ๒ ฉบับ ฉบับแรกเป็นสัญญา
ว่าจ้างให้จาเลยท่ี ๑ แปรสภาพหัวมันสาปะหลังสดจากเกษตรกรที่นามาจานาแก่องค์การคลังสินค้า
เป็นแป้งมันสาปะหลัง ฉบับท่ีสองเป็นสัญญาฝากเก็บแป้งมันสาปะหลังท่ีคลังสินค้าของจาเลยท่ี ๑
โดยองค์การคลังสินค้าเป็นผู้ส่งมอบให้จาเลยที่ ๑ อันเป็นสัญญาฝากทรพั ย์ ดังน้ัน แป้งมันสาปะหลัง
ท่ีจาเลยท่ี ๑ แปรสภาพแล้วเก็บไว้ในคลังสินค้าของจาเลยท่ี ๑ ดังกล่าว จึงเป็นกรรมสิทธ์ิของ
องค์การคลังสินค้า หาใช่เป็นของจาเลยท่ี ๑ ซ่ึงเป็นลูกหน้ีของโจทก์ไม่ ดังจะเห็นได้ว่าองค์การ
คลังสินค้าได้ร้องทุกข์ให้ดาเนินคดีแก่จาเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ ในข้อหายักยอก แม้จาเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๓
รว่ มกันนาเอาแป้งมนั สาปะหลังที่เก็บไว้ในคลังสินคา้ ของจาเลยที่ ๑ ไปขาย ก็ถอื ไม่ได้ว่าเป็นการย้าย
ไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผู้อ่ืนซึ่งทรัพย์ใดเพื่อมิให้โจทก์ซ่ึงเป็นเจ้าหนี้ของตนได้รับชาระหน้ี
ทั้งหมดหรือบางส่วน การกระทาของจาเลยท่ี ๑ ถึงที่ ๓ จึงไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ส่วนท่ี
โจทก์ขออายัดเงนิ ค่าจ้างแปรสภาพมันสาปะหลงั สดเป็นแป้งมันสาปะหลงั ท่ีองค์การคลังสนิ ค้าจะต้อง
ชาระให้แก่จาเลยท่ี ๑ น้ันเป็นสิทธิเรยี กร้องของจาเลยที่ ๑ ทม่ี ีต่อองค์การคลังสนิ ค้าจรงิ ซ่ึงองค์การ
คลังสินค้าจะต้องส่งเงินให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเพ่ือนามาชาระหน้ีให้แก่โจทก์อยู่แล้วโดยไม่เกี่ยวกับ
ทจ่ี าเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๓ นาเอาแป้งมันสาปะหลังไปขายแต่ประการใด ทงั้ แปง้ มันสาปะหลังที่จาเลยที่ ๑
ถึงท่ี ๓ ร่วมกันนาไปขายก็ไม่ใช่ทรัพย์ท่ีถูกยึดหรืออายัด การกระทาของจาเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๓ จึงไม่ใช่
การทาให้เสียหาย ทาลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทาให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซ่ึงทรัพย์ท่ีถูกยึด
หรืออายัด เพื่อจะมิให้การเป็นไปตามคาพิพากษาหรือคาส่ังของศาล จึงไม่เป็นความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๗ ส่วนจาเลยท่ี ๔ น้ัน ปรากฏตามคาฟ้องโดยชัดเจนว่าโจทก์ฟ้องเฉพาะ
จาเลยที่ ๑ ถึงท่ี ๓ เท่านั้น มิได้ฟ้องจาเลยท่ี ๔ ในกรณีน้ีด้วย ที่โจทก์ฎีกาต่อมาว่า จาเลยที่ ๑
ปิดกิจการโดยโอนทรัพย์ให้แก่จาเลยที่ ๔ และนาป้ายของจาเลยท่ี ๔ มาปิดแทนจาเลยท่ี ๑
เม่ือเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจาเลยที่ ๑ เพื่อขายทอดตลาดชาระหนี้แก่โจทก์ จาเลยท่ี ๔
ย่ืนคาร้องขัดทรัพย์อ้างว่าจาเลยที่ ๑ ขายให้จาเลยท่ี ๔ แล้ว การกระทาของจาเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔
จึงเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้น้ัน เห็นว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดมาแสดงให้เห็นว่าจาเลยท่ี ๑
โอนทรัพย์ไปให้จาเลยท่ี ๔ ท้ังท่ีทรัพย์ของจาเลยที่ ๑ เป็นท่ีดิน อาคาร รถยนต์ก็มี ซ่ึงเป็นทรัพย์
ท่ีจะต้องกระทาการเปล่ียนแปลงทางเอกสารของทางราชการ โจทก์คงมีแต่แผ่นพลาสติกท่ีติด
ประกาศรับสมัครพนักงานของจาเลยที่ ๔ หน้าอาคารสานักงานของจาเลยท่ี ๑ ซ่ึงไม่ใช่หลักฐาน
ที่บ่งช้ีได้โดยชัดเจนว่าจาเลยท่ี ๑ ได้โอนทรัพย์ดังกล่าวให้แก่จาเลยที่ ๔ ทั้งปรากฏว่าโจทก์ได้
ยึดทรัพย์รวมท้ังที่ดินซ่ึงเป็นท่ีตั้งสานักงานดังกล่าวโดยอ้างว่าเป็นของจาเลยที่ ๑ ไปแล้ว แสดงว่า
ทรัพย์ดังกล่าวยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงทางทะเบียนเป็นของจาเลยท่ี ๔ ส่วนจาเลยที่ ๑ นาสืบยืนยันว่า
จาเลยที่ ๑ ยังไม่ได้โอนทรัพย์ให้แก่จาเลยท่ี ๔ เพียงแต่ให้จาเลยท่ี ๔ ใช้อาคารของจาเลยที่ ๑
เป็นสานักงานสาขาของจาเลยที่ ๔ เท่าน้ัน ท่ีจาเลยท่ี ๔ ย่ืนคาร้องขัดทรัพย์อ้างว่า จาเลยที่ ๑ โอน
ขายให้จาเลยที่ ๔ แล้วน้ัน ก็เป็นการยื่นคาร้องข้ึนในภายหลังโดยไม่ปรากฏพยานหลักฐานใด
สนับสนุน ซ่ึงอาจเป็นการใช้สิทธิในทางศาลเพ่ือประโยชน์อ่ืนก็เป็นได้ พยานหลักฐานท่ีโจทก์นาสืบ

558

มายังรับฟังไม่ได้ว่า จาเลยท่ี ๑ โอนทรัพย์ให้แก่จาเลยท่ี ๔ จาเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ จึงไม่มีความผิดฐาน
โกงเจ้าหนี้ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จาเลยท่ี ๔ ยื่นคาร้องขัดทรัพย์ดังกล่าวเป็นความผิดตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๗ แล้วนน้ั เหน็ ว่า ศาลอทุ ธรณ์ภาค ๓ ได้วินจิ ฉยั ให้เหตุผลไวโ้ ดย
ละเอียดแล้ว แม้วนิ ิจฉัยให้กไ็ ม่ทาใหผ้ ลของคดเี ปล่ยี นแปลง จงึ ไม่จาต้องวนิ จิ ฉยั ซา้ อกี ...”

พิพากษายนื

(วัชรินทร์ สุขเกือ้ - วิชัย เอ้อื อังคณากุล - นติ ิ เออ้ื จรสั พนั ธ์ุ)
ฎีกาท่ี ๓๑๒๐/๒๕๕๙ ฎ.๓๑๘๙ สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ๑๕ แปลง พร้อมส่ิงปลูกสร้าง
ระหว่างโจทก์กับจาเลยที่ ๑ เป็นสัญญาที่โจทก์กับจาเลยท่ี ๑ ต้องไปทาสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
อีกครั้งหนึ่ง และเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อโจทก์ยังมิได้ชาระค่าที่ดินส่วนท่ีเหลือ ๘,๕๐๐,๐๐๐
บาท ให้แก่จาเลยที่ ๑ สิทธิเรียกร้องที่จะให้จาเลยที่ ๑ โอนท่ีดิน ๑๕ แปลง พร้อมส่ิงปลูกสร้างตาม
สญั ญาจะซื้อจะขายยงั มิอาจบงั คับกันได้ โจทก์ยงั ไมอ่ ยู่ในฐานะเปน็ เจ้าหน้ีของจาเลยที่ ๑ ตามมาตรา
๓๕๐ การกระทาของจาเลยที่ ๑ ที่โอนท่ีดนิ บางแปลงให้แก่จาเลยที่ ๒ จึงขาดองค์ประกอบความผิด
ฐานโกงเจา้ หนี้
ฎีกาท่ี ๓๑๓๗/๒๕๖๐ ฎ.ส.ล.๘ น.๓๗ ความผิดฐานโกงเจ้าหน้ีตาม ปอ. มาตรา ๓๕๐
จะต้องเป็นการย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซ่ึงทรัพย์ใดก็ดี แกล้งให้ตนเองเป็นหน้ี
จานวนใดอันไม่เป็นความจริงก็ดี โดยผู้กระทาความผิดจะต้องมีมูลเหตุชักจูงใจอันเป็นเจตนาพิเศษ
เพ่ือมิให้เจ้าหน้ีของตนหรือของผู้อื่นได้รับชาระหน้ีทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซ่ึงได้ใช้หรือจะใช้สิทธิ
เรียกรอ้ งทางศาลให้ชาระหน้ี
หน้ีตามสัญญาซ้ือขายทองคาทั้ง ๓ ฉบับ ระหว่างจาเลยทั้งสองมิใช่เป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและ
บังคับได้ตามกฏหมาย สาเหตุท่ีมีการทาสัญญาซื้อขายทองคาท้ัง ๓ ฉบับ เน่ืองมาจากจาเลยท่ี ๒ ให้
จาเลยท่ี ๑ ทาสัญญาซ้ือขายทองคาเพื่อแลกเปล่ียนกบั การถอนอายัดเงินเดือนให้แก่จาเลยที่ ๑ และ
จาเลยที่ ๑ มีความเดือดร้อนทางด้านการเงิน จนไปขอกู้ยืมเงินจากจาเลยท่ี ๒ อีก จาเลยท่ี ๒ จึงให้
จาเลยที่ ๑ ทาสัญญาซ้ือขายทองคาขึ้นมาอีก ๒ ฉบับ การทาสัญญาซื้อขายทองคาท้ัง ๓ ฉบับ
ระหว่างจาเลยทั้งสอง ย่อมเป็นการแกล้งให้ตนเองเป็นหน้ีจานวนใดอันไม่เป็นความจริง โดยมิได้
มีมูลเหตุชักจูงใจอันเป็นเจตนาพิเศษเพ่ือมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชาระหนี้ท้ังหมด
หรือแต่บางส่วน ซ่ึงได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชาระหน้ี การกระทาของจาเลยท่ี ๒
ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจา้ หนี้ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๐
ฎกี าท่ี ๖๑๘๘/๒๕๖๒ ฎ.๒๒๓๗ หน้ีที่โจทก์อ้างเป็นมูลเหตฟุ ้องจาเลยที่ ๑ ในความผิดฐาน
โกงเจา้ หน้ี คือหนี้ท่ีโจทก์ฟ้องจาเลยท่ี ๑ ซึ่งเป็นลกู หน้ีโจทกจ์ ดทะเบียนโอนขายที่ดนิ ให้แก่จาเลยท่ี ๒
โดยจาเลยทั้งสองมีเจตนาเพ่ือมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้ีได้รับโอนกรรมสิทธ์ิในที่ดินดังกล่าวกลับคืนมา
เป็นของโจทก์ เมื่อคดีดังกล่าวศาลฎีการับฟังว่าโจทก์จดทะเบียนให้จาเลยที่ ๑ ถือกรรมสิทธิ์รวม
ในที่ดินพิพาทกึ่งหน่ึงและโอนกรรมสิทธิ์ท่ีดินพิพาทอีกกึ่งหน่ึงให้แก่จาเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจ
ไม่ใช่เพราะถูกจาเลยท่ี ๑ ใช้กลฉ้อฉลโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวและพิพากษา

559

ยกฟ้องโจทก์ยืนตามศาลอุทธรณ์ ผลของคาพิพากษาศาลฎีกาทาให้โจทก์กับจาเลยท่ี ๑ มิได้เป็น
เจ้าหนี้และลูกหน้ีต่อกัน โจทก์ไม่อยู่ในฐานะเจ้าหน้ีซ่ึงเป็นองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม
ป.อ. มาตรา ๓๕๐ การกระทาของจาเลยท่ี ๑ ท่ีโอนที่ดนิ ให้แก่จาเลยท่ี ๒ ขาดองค์ประกอบความผิด
ฐานโกงเจ้าหน้ี จาเลยที่ ๑ ไม่มีความผดิ ตามฟ้อง

ฎีกาท่ี ๘๙๐๕/๒๕๖๑ (ประชุมใหญ)่ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๒๒๔ ความผิดฐานโกงเจ้าหน้ีตาม ป.อ.
มาตรา ๓๕๐ นั้น เจ้าหนี้ต้องใช้หรือจะใช้สิทธิเรยี กรอ้ งทางศาลให้ลูกหน้ีชาระหน้ีแล้ว และลูกหน้รี วู้ ่า
เจ้าหน้ีได้ใช้หรือจะใช้สิทธิดังกล่าวแล้วยังโอนทรัพย์สินให้ผู้อื่น โดยมีมูลเหตุจูงใจเพ่ือไม่ให้เจ้าหนี้
ได้รบั ชาระหน้ที ้ังหมดหรอื แตบ่ างส่วน

โจทกไ์ ปร้องทุกข์ดาเนินคดีแก่จาเลยข้อหาฉ้อโกง ก่อนวันทจี่ าเลยโอนท่ดี ินให้แก่บุตรทัง้ สอง
ของจาเลย การร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนของโจทกย์ ่อมนาไปสู่การยนื่ ฟอ้ งคดีอาญาของพนกั งาน
อยั การ ซ่ึงรวมถึงการเรยี กทรพั ยส์ ินหรอื ราคาทีโ่ จทกต์ อ้ งสูญเสียไปเน่ืองจากการกระทาความผิดแทน
โจทก์ดว้ ยตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๔๓ อีกทัง้ เมื่อพนักงานอัยการยื่นฟอ้ งคดี โจทกจ์ ะยน่ื คารอ้ งขอเข้ารว่ ม
เป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๓๐ หรือไม่ก็ได้ ดังน้ัน โดยการร้องทุกข์ของโจทก์
ไม่ว่าต่อมาโจทก์จะยื่นคาร้องขอเข้ารว่ มเป็นโจทก์หรือไม่ ก็มีผลเป็นการเรียกร้องทรัพย์สนิ หรือราคา
ท่โี จทก์สญู เสียไปจากการกระทาความผิดคืนโดยพนักงานอัยการดาเนินการแทนแลว้ โจทก์ไม่จาต้อง
ทวงถามหรือฟ้องคดีแพ่งเพื่อบังคับชาระหนี้อีก การร้องทุกข์ของโจทก์จึงเป็นกรณีท่ีโจทก์จะใช้สิทธิ
เรียกร้องทางศาลให้จาเลยชาระหนี้แล้ว เมื่อจาเลยมีเจตนาทุจริตยักยอกเงินโจทก์ และโจทก์
ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดาเนินคดีแก่จาเลยแล้ว จาเลยจึงรู้แล้วว่าโจทก์จะใช้สิทธิ
เรียกร้องทางศาลให้ชาระหนี้ การที่จาเลยโอนท่ีดินให้แก่บุตรทั้งสองของจาเลยจึงเป็นไปเพื่อมิให้
โจทกไ์ ดร้ บั ชาระหนี้ การกระทาของจาเลยจงึ เปน็ ความผดิ ตามฟ้อง

ฎีกาท่ี ๘๖๕/๒๕๕๙ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๗ ป.อ. มาตรา ๓๕๐ บัญญัติถึงการกระทาอันเป็น
องค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหน้ีเพียงว่า ... ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น หรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์
ใดก็ดี ... มิได้จากัดว่าการโอนน้ันตอ้ งทาโดยลักษณะใดหรอื มีค่าตอบแทนหรือไม่ เม่ือจาเลยโอนขาย
หุ้นของตน ๑๒๐,๐๐๐ หุ้น ไปให้แก่ ส. ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทาโดยมีเจตนามิให้โจทก์ซ่ึงเป็น
เจ้าหน้ีตามคาพิพากษาของจาเลยยึดหุ้นซ่ึงเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของจาเลยมาบังคับชาระหน้ี
การกระทาของจาเลยจงึ เปน็ ความผดิ ฐานโกงเจา้ หนี้

ฎีกาท่ี ๑๐๕๗๐/๒๕๕๘ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จาเลยท้ังสองร่วมกันแจ้งให้นายทะเบียน
หุ้นส่วนบริษัทจดข้อความอันเป็นเท็จโดยย่ืนแบบนาส่งงบการเงินรอบปีบัญชีส้ินสุดจานวน ๑ ฉบับ
และสาเนาบัญชีรายช่ือผู้ถือหุ้นฉบับใหม่จานวน ๑ ฉบับ โดยมีข้อความระบุไว้ว่าหุ้นท่ีได้จดทะเบียน
ไว้ของจาเลยท่ี ๑ จานวน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท จาเลยทั้งสองได้เรียกชาระเงินไปจากผู้ถือหุ้น
ท้ังเจ็ดคนครบถ้วนเต็มจานวน ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงแล้วจาเลยทั้งสองยังมิได้เรียกชาระเงิน
ค่าหุ้นท่ีผู้ถือหุ้นท้ังเจ็ดคนค้างชาระอยู่อีก ๔๙,๕๐๐,๐๐๐ บาท อาจทาให้โจทก์หรือประชาชนได้รับ
ความเสียหาย โดยเฉพาะโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้ีต้องพบอุปสรรคในการที่จะใช้สิทธิบังคับชาระหน้ีหรือ

560

บังคับคดีเอาแก่สิทธิเรียกร้องในเงินค่าหุ้นค้างชาระของจาเลยที่ ๑ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๐๙๖
โจทกจ์ ึงเปน็ ผ้ไู ด้รับความเสียหายโดยตรง ย่อมเป็นผู้เสียหายในความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๓๗ และ
มาตรา ๒๖๗

การท่ีจาเลยท้ังสองยื่นแบบนาส่งงบการเงินและบัญชีรายช่ือผู้ถือหุ้นอันแสดงให้ปรากฏว่ า
ผู้ถือหุ้นในบริษัทจาเลยที่ ๑ ได้ชาระค่าหุ้นครบถ้วนแล้ว อันเป็นความเท็จ ส่งผลให้เห็นในทานองว่า
จาเลยที่ ๑ ได้รับชาระค่าหุ้นจากผู้ถือหุ้นน้ันครบถ้วนแล้วและสิ้นสิทธิในการเรียกให้ผู้ถือหุ้นส่งใช้
ค่าหุ้นซ่ึงยังจะต้องส่งอีก ทั้ง ๆ ท่ีจาเลยท่ี ๑ จะต้องได้รับเงินค่าหุ้นจากผู้ถือหุ้นท้ังเจ็ดคนในส่วนที่
ยังมิได้ชาระค่าหุ้นครบถ้วน จึงเป็นการซ่อนเร้นสิทธิเรียกร้องในเงินค่าหุ้นท่ียังมิได้ชาระ เพื่อมิให้
โจทก์เจ้าหนี้ของตนซ่ึงได้ใช้หรือจะใช้สิทธเิ รียกร้องทางศาลให้ชาระหน้ีได้รบั ชาระหน้ีท้ังหมดหรือแต่
บางส่วน การกระทาของจาเลยท้ังสองจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๐ และจาเลยที่ ๒ มี
ความผิดตาม พ.ร.บ.กาหนดความผิดเกี่ยวกบั ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน หา้ งหุ้นส่วนจากดั บรษิ ัทจากัด
สมาคมและมูลนธิ ิ พ.ศ.๒๔๙๙ มาตรา ๔๐ (๑) ดว้ ย
ขอ้ สงั เกต มำตรำ ๓๕๐ ผู้ใดเพอื่ มิใหเ้ จ้ำหนข้ี องตน ... ได้รบั ชำระหนี้ท้ังหมดหรอื แต่บำงส่วน ซ่ึงไดใ้ ช้
หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทำงศำลให้ชำระหน้ี ... ซ่อนเร้น ... หรือโอนไปให้แก่ผู้อ่ืนซ่ึงทรัพย์ ... คำว่ำ
ทรัพย์ ตำมมำตรำ ๓๕๐ หมำยควำมรวมถงึ ทรพั ย์สินด้วย เพรำะเป็นสิ่งท่ีเจ้ำหน้ีจะบงั คับชำระหนไ้ี ด้
(ศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทิย์. กฎหมำยอำญำภำค ๒ ตอน ๒ และภำค ๓ พ.ศ.๒๕๕๓, หัวข้อ
1336 หน้ำ ๙๒๒) คดีนี้จึงเป็นกำรซ่อนเร้นสิทธิเรียกร้องในเงินค่ำหุ้นที่ยังมิได้ชำระ เพื่อมิให้โจทก์
เจ้ำหนี้ของตนซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทำงศำลให้ชำระหนี้ได้รับชำระหนี้ท้ังหมดหรือแต่
บำงสว่ น กำรกระทำของจำเลยท้ังสองจึงมคี วำมผดิ ตำมมำตรำ ๓๕๐

แต่ถ้ำฟ้องว่ำยักยอกหุ้นโดยกำรย่ืนคำขอจดทะเบียนแก้ไขบัญชีรำยช่ือผู้ถือหุ้น ศำลฎีกำ
วินิจฉัยว่ำ ควำมผิดฐำนยักยอกตำม ป.อ. มำตรำ ๓๕๒ นั้น ทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งกำรกระทำ
ที่ผู้กระทำควำมผิดครอบครองอยู่จะต้องเป็นวัตถุท่ีมีรูปร่ำงหรือจับต้องสัมผัสได้ แต่หุ้นตำมฟ้องเป็น
เพียงสิ่งท่ีแสดงให้เห็นถึงสิทธิและหน้ำท่ีหรือส่วนได้เสียของโจทก์ร่วมท้ังสองท่ีมีอยู่ในบริษัทจำเลย
ท่ี ๑ จึงไม่ใช่ทรัพย์ท่ีจะเบียดบังยักยอกได้ ทั้งปรำกฏว่ำกำรกระทำของจำเลยท้ังสำมเป็นเพียงกำร
ยื่นคำขอจดทะเบียนแก้ไขบัญชีรำยชื่อผู้ถือหุ้นเท่ำน้ัน ยังหำมีผลเป็นกำรเปล่ียนแปลงกรรมสิทธ์ิใน
หุ้นของโจทก์ร่วมทั้งสองไม่ กำรกระทำของจำเลยท้ังสำมตำมฟ้องจึงไม่เป็นควำมผิดฐำนยักยอก
(ฎกี ำที่ ๒๔๒๓/๒๕๖๐ ฎ.ส.ล.๑ น.๗๓)

______________________________________________________________________________________________________________________

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจาเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑, ๑๓๗,
๒๖๗, ๓๕๐ พระราชบัญญัติกาหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจากัด
บริษัทจากัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ.๒๔๙๙ มาตรา ๔๐ และให้มีคาส่ังให้นายทะเบียนห้างหุ้นส่วน
บริษัทกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพิกถอนการจดแจ้งแบบนาส่งงบการเงิน (ส.บช.๓)
ของจาเลยท่ี ๑ ประจาปี ๒๕๕๒ และสาเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.๕) ของจาเลยท่ี ๑ ในวัน

561

ประชุมสามัญประจาปี ๒๕๕๒ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๓ หรือแบบนาส่งงบการเงินและสาเนา
บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของจาเลยท่ี ๑ ท่ียื่นต่อนายทะเบียนภายหลังวันท่ี ๒๑ กันยายน ๒๕๕๕ ออก
จากสารบบทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทของจาเลยที่ ๑ และให้ถือว่าแบบนาส่งงบการเงิน ของจาเลยที่ ๑
ประจาปี ๒๕๕๑ และสาเนาบัญชีรายช่ือผู้ถือหุ้นของจาเลยที่ ๑ ในวนั ประชุมสามัญประจาปี ๒๕๕๑
ประชมุ วนั ท่ี ๓๐ เมษายน ๒๕๕๓ เป็นเอกสารทีจ่ ดแจ้งไว้ตอ่ นายทะเบยี นที่ถูกตอ้ งแท้จรงิ

ศาลช้นั ต้นไตส่ วนมูลฟอ้ งแล้ว เหน็ วา่ คดมี ีมูล ให้ประทบั ฟอ้ ง
จาเลยทั้งสองให้การปฏเิ สธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จาเลยท่ี ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗,
๒๖๗, ๓๕๐ ประกอบมาตรา ๘๓ การกระทาของจาเลยที่ ๑ เป็นการกระทากรรมเดียวผิดต่อ
กฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ ซึ่งเป็นกฎหมาย
บทท่ีมีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ลงโทษปรับจาเลยที่ ๑ เป็นเงิน
๖,๐๐๐ บาท ส่วนจาเลยท่ี ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗, ๒๖๗, ๓๕๐
ประกอบมาตรา ๘๓ และพระราชบัญญัติกาหนดความผิดเก่ียวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจากัด บริษัทจากัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ.๒๔๙๙ มาตรา ๔๐ (๑) การกระทาของ
จาเลยท่ี ๒ เป็นการกระทากรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานย้าย ซ่อน หรือโอน
ให้แก่ผู้อ่ืนซึ่งทรัพย์สินของนิติบุคคลเพื่อไม่ให้เจ้าหนี้ซึ่งได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลได้รับชาระหน้ี
ตามพระราชบัญญัติกาหนดความผิดเก่ียวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษ
หนักท่ีสุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ลงโทษจาคุกจาเลยที่ ๒ มีกาหนด ๒ ปี
หากจาเลยที่ ๑ ไม่ชาระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ คาขออื่น
นอกจากน้ใี ห้ยก
จาเลยทั้งสองอทุ ธรณ์
ศาลอทุ ธรณภ์ าค ๑ พพิ ากษากลบั ให้ยกฟ้อง
โจทกฎ์ ีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบ้ืองต้นว่า โจทก์และจาเลยท่ี ๑ เป็น
นิติบุคคลประเภทบริษัทจากัด จาเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้มีอานาจกระทาการแทนจาเลยท่ี ๑ โจทก์
ยื่นคาเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สานักระงับข้อพิพาท สานักงานศาลยุติธรรม
เพ่ือให้พิจารณาและช้ีขาดข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจาเลยท่ี ๑ เรื่องจาเลยที่ ๑ ผิดสัญญาจ้างเหมา
การก่อสร้าง พร้อมเรียกค่าเสียหาย ๔๐,๙๐๔,๖๑๙.๕๐ บาท ในระหว่างพิจารณาของคณะ
อนุญาโตตลุ าการ โจทก์ตรวจสอบพบว่า จาเลยท้ังสองยนื่ แบบนาสง่ งบการเงินประจาปี ๒๕๕๑ และ
บญั ชีรายชื่อผู้ถอื หนุ้ จากการประชุมสามัญผถู้ ือหนุ้ ประจาปี คร้งั ที่ ๑/๒๕๕๓ ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วน
บริษัท สานักงานพัฒนาธุรกิจการค้า จังหวัดสมุทรปราการ ว่า จาเลยท่ี ๑ มีทุนจดทะเบียน
๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท มีผู้ถือหุ้น ๗ คน ชาระเงินค่าหุ้นแล้ว ๕๐,๕๐๐,๐๐๐ บาท ผู้ถือหุ้นยังค้าง
ชาระค่าหุ้นรวม ๔๙,๕๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์จึงย่ืนคาร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคาชี้ขาดของ

562

อนุญาโตตุลาการต่อศาลจังหวัดระยอง ขอให้อายัดเงินค่าหุ้นที่มีการค้างชาระ ๔๙,๕๐๐,๐๐๐ บาท
ไว้ก่อน ศาลจังหวัดระยองนัดไต่สวน มีการส่งสาเนาคาร้องและแจ้งวันนัดให้จาเลยท่ี ๑ ทราบ
ตามคาแถลงของโจทก์และส่งให้จาเลยท่ี ๑ แล้ว คณะอนุญาโตตุลาการมีคาชี้ขาดให้จาเลยที่ ๑
ชาระเงิน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบ้ียให้แก่โจทก์ จาเลยที่ ๑ ทราบคาช้ีขาดตั้งแต่วันท่ี ๒๑
สิงหาคม ๒๕๕๕ ต่อมางบการเงินประจาปี ๒๕๕๒ และบัญชีรายช่ือผู้ถือหุ้นท่ีระบุว่า ชาระค่าหุ้น
ครบถ้วนแล้ว จากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจาปี ครั้งท่ี ๑/๒๕๕๓ ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วน
บรษิ ัท ส่วนจดทะเบียนธรุ กิจกลาง กรมพฒั นาธุรกิจการคา้

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายประการแรกว่า โจทก์เป็น
ผู้เสียหายในความผิดฐานร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จและความผิดฐานร่วมกันแจ้งให้
เจ้าพนักงานผู้กระทาการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗ และมาตรา ๒๖๗ หรือไม่ ตามฟ้องของโจทก์บรรยายฟ้องว่า จาเลย
ท้ังสองร่วมกันแจ้งให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจดข้อความอันเป็นเท็จโดยย่ืนแบบนาส่งงบการเงิน
รอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ จานวน ๑ ฉบับ และสาเนาบัญชีรายช่ือผู้ถือหุ้น
ฉบับใหม่ จานวน ๑ ฉบับ โดยมีข้อความระบุไว้ว่า หุ้นท่ีได้จดทะเบียนไว้ของจาเลยท่ี ๑ จานวน
๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท จาเลยทั้งสองได้เรียกชาระเงินไปจากผู้ถือหุ้นท้ังเจ็ดคน ครบถ้วนเต็มจานวน
๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซ่ึงเป็นความเท็จ ความจริงแล้วจาเลยท้ังสองยังมิได้เรียกชาระเงินค่าหุ้น
ทผี่ ู้ถือหนุ้ ทั้งเจ็ดคนค้างชาระอยอู่ ีกจานวน ๔๙,๕๐๐,๐๐๐ บาท อาจทาให้โจทก์หรือประชาชนได้รับ
ความเสียหาย โดยเฉพาะโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ต้องพบอุปสรรคในการท่ีจะใช้สิทธิบังคับชาระหนี้หรือ
บงั คับคดเี อาแก่สิทธิเรียกร้องในเงนิ ค่าหุ้นคา้ งชาระของจาเลยที่ ๑ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพง่ และ
พาณิชย์ มาตรา ๑๐๙๖ บัญญัติให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทจากัดต่างรับผิดจากัดเพียงไม่เกินจานวนเงิน
ท่ีตนยังส่งใช้ไม่ครบมูลค่าของหุ้นท่ีตนถือ โจทก์จึงเป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรง ย่อมเป็น
ผู้เสียหายในความผิดฐานร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ และความผิดฐานร่วมกันแจ้งให้
เจ้าพนักงานผู้กระทาการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตา ๑๓๗ และมาตรา ๒๖๗ ฎีกาของโจทกข์ ้อน้ีฟงั ขนึ้

มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จาเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๕๐ หรือไม่ และจาเลยที่ ๒ มีความผิดตามพระราชบัญญัติกาหนดความผิดเก่ียวกับ
ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน มาตรา ๔๐ (๑) หรือไม่ เห็นว่า การท่ีจาเลยทั้งสองยื่นแบบนาส่งงบการเงิน
และบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นอันแสดงให้ปรากฏว่าผู้ถือหุ้นในบริษัทจาเลยท่ี ๑ ได้ชาระค่าหุ้นครบถ้วน
แล้ว อันเป็นความเท็จ เพราะผู้ถือหุ้นยังมิได้ชาระค่าหุ้นครบถ้วน ส่งผลให้เห็นในทานองว่า จาเลย
ท่ี ๑ ได้รับชาระค่าหุ้นจากผู้ถือหุ้นนั้นครบถ้วนแล้ว และส้ินสิทธิในการเรียกให้ผู้ถือหุ้นส่งใช้ค่าหุ้น
ซ่ึงยังจะต้องส่งอีก ทั้ง ๆ ที่จาเลยที่ ๑ จะต้องได้รับเงินค่าหุ้นจากผู้ถือหุ้นทั้งเจ็ดคนในส่วนท่ียังมิได้
ชาระค่าหุ้นครบถ้วน จึงเป็นการซ่อนเร้นสิทธิเรียกร้องในเงินค่าหุ้นท่ียังมิได้ชาระครบถ้วน เพื่อมิให้
โจทก์เจ้าหน้ีของตนซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธเิ รียกร้องทางศาลให้ชาระหนี้ได้รับชาระหนี้ท้ังหมดหรือแต่

563

บางส่วน การกระทาของจาเลยท้ังสองจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ และ
จาเลยท่ี ๒ มีความผิดตามพระราชบัญญัติกาหนดความผิดเก่ียวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน มาตรา
๔๐ (๑) ด้วย ฎีกาของโจทก์ในข้อน้ีฟังขึ้นเช่นกัน ท่ีศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายกฟ้องมาน้ัน
ไมต่ ้องดว้ ยความเห็นของศาลฎกี า

พิพากษากลบั ให้บังคับคดตี ามคาพพิ ากษาศาลชัน้ ตน้
(พศิ ิฏฐ์ สดุ ลาภา - พรเทพ อัมพรกล่นิ แก้ว - จิรนิติ หะวานนท)์

ฎกี าท่ี ๔๓๘๐/๒๕๕๗ ฎ.๑๐๗๔ จาเลยเปน็ หนี้โจทก์ตามหนงั สอื รบั สภาพหนแี้ ละทราบดวี ่า
โจทกจ์ ะใช้สิทธิทางศาล จาเลยกลับโอนขายท่ดี ินพรอ้ มบ้านซงึ่ เปน็ ทรัพย์สินทม่ี ีอยู่เพียงอย่างเดยี วให้
ฉ. โดยโจทก์ไม่ทราบเรื่อง แสดงว่าจาเลยโอนขายท่ีดินพร้อมบ้านโดยมีเจตนาเพ่ือไม่ให้โจทก์ได้รับ
ชาระหน้ีท้ังหมดหรือแต่บางส่วน การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหน้ีตาม ป.อ.
มาตรา ๓๕๐

ฎีกาท่ี ๑๐๑๗๙/๒๕๕๗ ความผิดฐานโกงเจ้าหน้ี ป.อ. มาตรา ๓๕๐ บัญญัติว่า "ผู้ใดเพื่อ
มิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชาระหน้ีทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิ
เรียกร้องทางศาลให้ชาระหน้ี ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผู้อ่ืนซ่ึงทรัพย์ใดก็ดี แกล้งให้
ตนเองเป็นหน้ีจานวนใดอันไม่เป็นความจรงิ ก็ดี ต้องระวางโทษ..." เม่ือโจทก์ฟ้องจาเลยท่ี ๑ ให้ชาระ
หนี้โดยมีจาเลยท่ี ๒ เบิกความเป็นพยานให้แก่จาเลยท่ี ๑ ในคดีดังกล่าว จาเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ ย่อม
ทราบว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้ีได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จาเลยท่ี ๑ ลูกหน้ีชาระหน้ีแล้ว ต่อมาศาล
พิพากษาใหจ้ าเลยที่ ๑ ชาระหนแี้ ก่โจทก์ โจทก์จึงเป็นเจ้าหน้ีตามคาพิพากษา แต่จาเลยที่ ๑ ไม่ชาระ
หน้ีเม่ือโจทก์ติดตามยึดทรัพย์และยื่นคาร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๒๓๗ พร้อมส่ิงปลูก
สร้างของจาเลยท่ี ๑ ที่จานองไว้แก่เจ้าหน้ีอ่ืน จาเลยที่ ๑ มอบอานาจให้จาเลยท่ี ๒ ไปไถ่ถอนทรพั ย์
จานองดังกล่าวและขายให้แก่จาเลยท่ี ๓ โดยจงใจกาหนดราคาขายพอดีกับราคาไถ่ถอนจานอง
เพื่อไม่ให้มีเงินส่วนเกินจากราคาขายตกแก่จาเลยท่ี ๑ การกระทาของจาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ จึงเป็น
การร่วมกนั เพื่อมใิ หโ้ จทกซ์ ่ึงเป็นเจ้าหน้ีของจาเลยที่ ๑ ได้รับชาระหน้ีบางส่วน มีความผิดฐานร่วมกัน
โกงเจ้าหน้ี

ฎีกาที่ ๓๙๗๓/๒๕๕๑ ฎ.๑๔๕๑ การร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนของโจทก์ไม่ใช่เป็นการ
ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชาระหน้ี แต่เมื่อร้องทุกข์แล้ว พนักงานอัยการได้ฟ้องจาเลยที่ ๑ และ
ขอให้จาเลยที่ ๑ คืนหรือใช้เงินจานวน ๑๓๕,๐๐๘,๑๖๓.๙๒ บาท มาด้วย ทั้งโจทก์ได้ยื่นคาร้องขอ
เข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวและศาลช้ันต้นอนุญาต ดังนี้ จึงมีความหมายโดยนิตินัยว่าโจทก์ได้
ฟ้องจาเลยท่ี ๑ ในคดีดังกล่าวและมีคาขอให้บังคับจาเลยท่ี ๑ คืนหรือใช้เงิน ๑๓๕,๐๐๘,๑๖๓.๙๒
บาท ดว้ ย เทา่ กบั วา่ โจทก์ไดใ้ ชส้ ทิ ธเิ รยี กรอ้ งทางศาลใหจ้ าเลยที่ ๑ ชาระหนแ้ี ล้ว

ขณะจาเลยท่ี ๑ จดทะเบียนโอนท่ีดินให้แก่จาเลยท่ี ๒ จาเลยท้ังสองได้หย่ากันแล้ว ท้ัง
จาเลยทั้งสองได้ตกลงกันว่าให้จาเลยท่ี ๒ ไปดาเนินการโอนท่ีดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจาเลยท่ี ๒ แต่
เพยี งผเู้ ดียว หลงั จากนัน้ จาเลยท่ี ๒ ยังนาท่ีดินไปจานองดว้ ย แสดงว่าจาเลยทั้งสองมีเจตนาโอนทดี่ ิน

564

ไปเพ่ือมิให้โจทก์เจา้ หน้ีของจาเลยที่ ๑ ได้รับชาระหนี้ประกอบกับคาว่า ผ้อู ืน่ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๐
หมายถึงบคุ คลอืน่ นอกจากตัวลกู หน้ี การที่จาเลยท่ี ๑ ซง่ึ เปน็ ลูกหน้ีของโจทก์ โอนท่ีดินให้แก่จาเลยท่ี
๒ ผ้ซู ิง่ มไิ ดเ้ ป็นลูกหน้ีของโจทกจ์ ึงเปน็ การโอนทรพั ยส์ ินไปให้แก่ผู้อ่ืนแลว้ สว่ นต่อมาโจทกส์ ามารถสืบ
หาติดตามทรัพย์สินนามาบังคับคดีได้หรือไม่ เพียงใด เป็นอีกเร่ืองหนึ่งต่างหาก จาเลยทั้งสองจึงมี
ความผดิ ฐานโกงเจา้ หนต้ี ามมาตรา ๓๕๐

ฎีกาที่ ๕๓๖๗/๒๕๕๑ ฎ.๙๗๐ โจทกท์ ราบว่าจาเลยซงึ่ เปน็ ลูกหนโี้ อนที่ดนิ ให้ ท. โจทก์ยอ่ ม
มีสิทธิเลือกที่จะฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างจาเลยกับ ท. หรือฟ้องจาเลยเป็นคดีอาญาก็ได้
การท่ีโจทก์เลือกใช้สิทธิฟ้องจาเลยเป็นคดีอาญาจึงเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายโดยชอบ เมื่อจาเลย
โอนกรรมสิทธ์ิในที่ดินพิพาทให้ ท. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมิให้โจทก์ซึ่งได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาล
ได้รับชาระหนี้ การกระทาของจาเลยจงึ เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๐

ฎีกาที่ ๘๗๗๔/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๓๐๐ ป.อ. มาตรา ๓๕๐ บัญญัติว่า “ผู้ใดเพ่ือมิให้
เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชาระหน้ีท้ังหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้อง
ทางศาลให้ชาระหน้ี ย้ายไปเสีย ซ่อนเรน้ หรือโอนไปให้แกผ่ ู้อนื่ ซง่ึ ทรพั ย์ใดก็ดี แกลง้ ใหต้ นเองเป็นหนี้
จานวนใดอันไม่เป็นความจริงก็ดี ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินสองปี ...” จากบทบัญญัติของกฎหมาย
ดังกล่าวย่อมเป็นท่ีเห็นได้ว่า เจ้าหนี้ท่ีมีอานาจฟ้องคดีอาญาในความผิดฐานโกงเจ้าหน้ี มิได้หมายถึง
เฉพาะเจ้าหนี้ตามคาพิพากษาเท่าน้ัน หากแต่ยังมีความหมายรวมถึงเจ้าหน้อี ื่นซ่ึงได้ใชห้ รือจะใช้สิทธิ
ฟ้องให้ชาระหนี้ด้วย นอกจากน้ี ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๒๓ วรรคสอง ก็บัญญัติว่า “สามีจะเรียก
ค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในทานองชู้สาวก็ได้...” แสดงว่าสภาพความเป็นเจ้าหน้ีลูกหน้ี
ระหว่างโจทก์กับจาเลยเกิดขึ้นทันทีที่จาเลยเป็นชู้กบั ภริยาโจทก์ ส่วนคาพพิ ากษาของศาลที่บังคับให้
มีการชดใช้ค่าทดแทนกันมิได้ก่อให้เกิดหน้ีระหว่างโจทก์และจาเลย แต่เป็นการบังคับความรับผิด
แห่งหน้ีที่โจทก์กับจาเลยมีต่อกัน กรณีถือได้ว่าโจทก์อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ท่ีมีอานาจฟ้องจาเลยแล้ว
การกระทาของจาเลยจงึ ครบองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหนต้ี าม ป.อ. มาตรา ๓๕๐

ฎีกาที่ ๖๘๐/๒๕๖๒ ฎ.๔๗๗ ในวันท่ีจาเลยท่ี ๑ โอนที่ดินพร้อมทาวน์เฮ้าส์สองช้ันให้แก่
จาเลยที่ ๒ โดยเสน่หา เจ้าพนักงานบังคับคดีมีเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจาเลย
ท่ี ๑ เพียงพอต่อการชาระค่าเสียหายพร้อมค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ท้ังหมดแก่โจทก์อยู่ก่อนแล้ว
การกระทาของจาเลยท้ังสองยังถือไม่ได้ว่ามีเจตนาท่ีจะไม่ให้โจทก์ได้รับชาระหน้ีท้ังหมดหรือแต่
บางส่วน จาเลยท้ังสองไมม่ ีความผิดฐานรว่ มกนั โกงเจา้ หนี้

565

ยกั ยอก

ข้อ ๙๕ คาถาม นายดาเป็นกรรมการผู้จัดการมีอานาจกระทาการแทนบริษัทเอ จากัด
โดยนายดามอี านาจลงนามและประทับตราสาคัญกระทาการแทนบริษทั เอ จากัด ได้ นางแดงภรรยา
ของนายดาต้องการทาธุรกิจแต่ไม่มีเงินจึงไปขอกู้ยืมเงินจากธนาคาร แต่ไม่มีผู้ค้าประกันนางแดง
จึงอ้อนวอนขอให้นายดาหาผู้ค้าประกันให้ นายดาในฐานะกรรมการผู้จัดการและผู้ถือหุ้นร้อยละ
๓๐ ของบริษัทเอ จากัด (อีกร้อยละ ๗๐ เป็นของผู้อ่ืน) จึงได้จัดทาบันทึกรายงานการประชุม
คณะกรรมการบริษัทเอว่า นายดาเป็นประธานท่ีประชุมมีกรรมการเข้าร่วมประชุมครบองค์ประชุม
และมีมติเห็นชอบให้บริษัทเอ จากัด เข้าค้าประก้ันหน้ีของนางแดงแล้วลงลายมือชื่อนายดาในบันทึก
รับรองรายงานการประชุมดังกล่าว ทั้งท่ีไม่มีการประชุมคณะกรรมการ บันทึกรับรองรายงานการ
ประชุมปกติจะเป็นหน้าที่ของนายดาตอ้ งจดั ทารายงานการประชมุ คณะกรรมการของบรษิ ัทเอ จากัด
และลงนามในบันทึก แล้วนางแดงไปทาสัญญากู้ยืมเงินจากธนาคารโดยมีบริษัทเอ จากัด เป็น
ผูค้ ้าประกัน โดยนายดานาบันทึกรายงานการประชุมคณะกรรมการบริษัทตนลงนามไปเป็นหลักฐาน
ประกอบการทาสัญญาค้าประกัน ซึ่งนายดาลงลายมือช่ือและประทับตราสาคัญกระทาการแทน
บริษัทเอ จากัด ในฐานะผู้ค้าประกันวงเงิน ๑๐ ล้านบาท โดยบริษัทเอ จากัด ไม่ได้รับผลประโยชน์
ใด ๆ ต่อมานางแดงไม่ชาระหนี้ ธนาคารจึงฟ้องนางแดงและบริษัทเอ จากัด ให้ร่วมกันชาระเงิน
ศาลพิพากษาให้นางแดงและบริษัทเอ จากัด ร่วมกันชาระเงินพร้อมดอกเบี้ย ต่อมานายเขียวบิดา
นายดาถึงแก่ความตายโดยมิได้ทาพินัยกรรมไว้ บิดาของนายดามีทายาท คือ ๑. นายดาซึ่งเป็นบุตร
ของนายเขียวและนางม่วง ๒. นางม่วงภรรยาของนายเขียว และ ๓. นายน้าเงินซ่ึงเป็นบุตรคนละ
มารดากับนายดา เนื่องจากนายดาเป็นผู้อุปการะเล้ียงดูนางม่วงและพักอาศัยอยู่ด้วยกัน นายดา
เตรียมเอกสารและจัดหาทนายความแก่นางม่วงในการร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกของนายเขียว
หลังจากศาลมีคาส่ังแต่งต้ังนางม่วงเป็นผู้จัดการมรดก นายดาพานางม่วงไปโอนที่ดินซ่ึงเป็นทรัพย์
มรดกของนายเขยี วให้แก่นายดาเพยี งผู้เดียวที่สานกั งานท่ีดินจนแลว้ เสร็จ

ให้วนิ จิ ฉยั ว่า นายดาและนางม่วง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานใดหรอื ไม่
คาตอบ นายดาในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัทเอ จากัด จัดทาบันทึกรายงานการประชุม
คณะกรรมการบริษัทเอ จากัด ว่านายดาเป็นประธานท่ีประชุมมีกรรมการเข้าร่วมประชุมครบองค์
ประชุมและมีมตเิ ห็นชอบให้บริษัทเอ จากัด เข้าค้าประกนั้ หนขี้ องนางแดงแล้วลงลายมือชอื่ นายดาใน
บนั ทกึ รับรองรายงานการประชุมดังกล่าว ทั้งที่ไมม่ กี ารประชุมคณะกรรมการ นน้ั เม่อื นายดาเป็นผู้มี
หน้าท่ีต้องจัดให้มีการทาบันทึกรายงานการประชุม การที่นายดาได้จัดให้มีการทาบันทึกรายงาน
การประชุมคณะกรรมการบริษัทเอ จากัด ข้ึนตามหน้าท่ีของตน และลงลายมือชื่อตนเองเป็น
ประธานท่ีประชุม มิได้ทาในนามของบุคคลอื่น จึงเป็นเอกสารท่ีแท้จริงของนายดา แม้ข้อความ
ในเอกสารจะไม่เป็นความจริง เพราะไม่มีการประชุมดังกล่าว แต่ก็เป็นการทาเอกสารอันเป็น
ความเท็จเท่าน้ัน ไม่ทาให้เป็นเอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔ เมื่อการ
กระทาดังกล่าวไม่เป็นการปลอมเอกสาร การกระทาของนายดาจึงไม่เป็นความผิดฐานปลอม

566

เอกสารและใชเ้ อกสารปลอมตามมาตรา ๒๖๔, ๒๖๘ (ฎกี าท่ี ๖๕๐๙/๒๕๔๙)
นายดาเป็นกรรมการผู้มีอานาจกระทาการแทนบริษัทเอ จากัด นายดาย่อมเป็น

ผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการทรพั ย์สินของผู้อ่ืนหรอื ซ่ึงผู้อ่ืนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย การที่บริษัทเอ
จากัด โดยนายดาในฐานะกรรมการทาสัญญาค้าประกันหน้ีของนางแดงกับธนาคาร ๑๐ ล้านบาท
โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการของบริษัทเอ จากัด โดยที่บริษัทเอ จากัด ไม่ได้รับ
ผลประโยชน์ใด ๆ การกระทาของนายดาเป็นการกระทาผิดหน้าท่ีของตนด้วยประการใด ๆ โดย
ทุจริต เพราะได้ประโยชน์จากสินสมรสของนางแดง และก่อให้เกิดภาระแก่บริษัทเอ จากัด
ท่ีจะต้องรับผิดในฐานะผู้ค้าประกัน เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะ
ที่เป็นทรัพยส์ ินของผู้ถือหุ้นบรษิ ัทเอ จากัด นายดาจงึ มีความผิดตามมาตรา ๓๕๓ (ฎีกาที่ ๒๒๖๖/
๒๕๕๘)

การที่ศาลมีคาส่ังแต่งตั้งนางม่วงเป็นผู้จัดการมรดกของนายเขียว แล้วนางม่วงในฐานะ
ผู้จัดการมรดกโอนที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกของนายเขียวให้แก่นายดาเพียงผู้เดียวท้ังท่ีมีนายน้าเงิน
เป็นทายาทโดยธรรมอีกคนหน่ึงนั้น นางม่วงเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคาสั่งของศาล
ทไ่ี ด้รบั มอบหมายให้จดั การทรัพย์สนิ ซึ่งผู้อน่ื เปน็ เจา้ ของรวมอยูด่ ้วย กระทาผดิ หนา้ ที่ของตนด้วย
ประการใด ๆ โดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน
ของผู้น้ัน เพราะนางม่วงต้องแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทโดยธรรมตามสิทธิของทายาท
เม่ือกระทาผิดหน้าที่ของตน นางม่วงจึงมีความผิดตามมาตรา ๓๕๓, ๓๕๔ เม่ือนายดาเป็น
ผอู้ ุปการะเลี้ยงดูนางมว่ ง ในการร้องขอต้ังผู้จดั การมรดกของนายเขียวนัน้ นายดาเป็นผู้เตรียมเอกสาร
และจัดหาทนายความแก่นางม่วง และวันที่ไปโอนทรัพย์มรดกของนายเขียวท่ีสานักงานที่ดินน้ัน
นายดากับนางม่วงไปดาเนินการจดทะเบียนด้วยตนเองจนแล้วเสร็จ นายดาร่วมรู้เห็นกับนางม่วง
มาต้ังแต่ต้น ถือได้ว่านายดากับนางม่วงเป็นตัวการร่วมกันโดยสมคบกันมาก่อนโดยมีเจตนา
ประสงค์ต่อผลท่ีอาจเกดิ ขึ้นรว่ มกนั มิใช่เป็นเรือ่ งท่ีนางม่วงกระทาความผิดเพียงลาพัง แต่นายดา
เปน็ เพียงผูร้ ับโอนทรัพยม์ รดกของนายเขียวมไิ ด้กระทาในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้อน่ื ตามคาสง่ั ศาล
นายดาไม่มีคุณสมบัติท่ีจะเป็นตวั การในความผิดท่ีกระทาร่วมกันกับนางม่วงในความผิดดังกล่าว
ได้ แต่การกระทาของนายดาก็เป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกนางม่วงในการกระทาความผิด
จึงลงโทษนายดาเพียงเป็นผู้สนับสนุนนางม่วงในการกระทาความผิดตามมาตรา ๓๕๓, ๓๕๔
ประกอบมาตรา ๘๖ (ฎีกาท่ี ๘๖๕๑/๒๕๕๘)
ข้อสังเกต กรณีฎีกำที่ ๘๖๕๑/๒๕๕๘ ศำลฎีกำไม่ได้วินิจฉัยมำตรำ ๓๕๓, ๓๕๔ เพรำะประเด็น
ในช้ันฎีกำมีเพียงว่ำจำเลยเป็นตัวกำรหรือผู้สนับสนุน แต่กำรตอบข้อสอบนักศึกษำต้องตอบผู้ลงมือ
กระทำควำมผิดตำมมำตรำ ๓๕๓, ๓๕๔ ก่อน จงึ จะตอบวำ่ จำเลยเปน็ ผ้สู นบั สนุน

ฎีกาท่ี ๖๕๐๙/๒๕๔๙ ฎ.๒๐๐๘ จาเลยท่ี ๒ ในฐานะกรรมการผู้จัดการและผู้ถือหุ้นของ
บริษัทจาเลยท่ี ๑ ซ่ึงเป็นประธานที่ประชุมผู้ถือหุ้นเป็นผู้มีหน้าท่ีต้องจัดให้มีการทารายงานการ
ประชุมของจาเลยท่ี ๑ การท่ีจาเลยท่ี ๒ ได้จัดให้มีการทาบันทึกรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นข้ึนตาม

567

หน้าที่ของตน และลงลายมือช่ือตนเองเป็นประธานที่ประชุม มิได้ทาในนามของบุคคลอื่น จึงเป็น
เอกสารที่แท้จริงของจาเลยที่ ๒ แม้ข้อความในเอกสารจะไม่เป็นความจริง เพราะไม่มีการประชุม
ดังกล่าว ก็เป็นการทาเอกสารอันเป็นความเท็จเท่านั้น ไม่ทาให้เป็นเอกสารปลอมตาม ป.อ. มาตรา
๒๖๔ เมื่อการกระทาดังกล่าวไม่เป็นการปลอมเอกสาร การกระทาของจาเลยทั้งห้า จึงไม่เป็น
ความผิดฐานรว่ มกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมตามมาตรา ๒๖๔, ๒๖๘

ฎีกาที่ ๒๒๖๖/๒๕๕๘ ฎ.๘๒๕ จาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ เป็นกรรมการผู้มีอานาจกระทาการ
แทนโจทก์ โดยจาเลยท่ี ๑ เป็นกรรมการผู้จัดการ จาเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ ย่อมเป็นผู้ได้รับมอบหมาย
ให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อ่ืนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย การที่โจทก์โดยจาเลยท่ี ๑ และที่ ๒
ในฐานะกรรมการผู้มีอานาจลงลายมือชื่อและประทับตราสาคัญกระทาการแทนโจทก์ทาสัญญา
ค้าประกันหนี้ของจาเลยที่ ๕ ต่อธนาคารรวม ๕ ครั้ง โดยไม่ปรากฏว่าได้รับความเห็นชอบจากมติ
ที่ประชุมผู้ถือหุ้นและคณะกรรมการของโจทก์ ท้ังไม่ปรากฏว่าเหตุใดท่ีโจทก์ต้องค้าประกันหนี้ของ
จาเลยท่ี ๕ โดยท่ีโจทก์ไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ ในอันที่จะถือว่าจาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ กระทาตาม
อานาจหน้าท่ีและอยู่ในวัตถุประสงค์ของโจทก์ซ่ึงประกอบธุรกิจหากาไร การกระทาของจาเลยที่ ๑
และท่ี ๒ เป็นการกระทาผิดหน้าท่ีของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริต เพราะได้ประโยชน์จากการ
เป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการของจาเลยที่ ๕ และก่อให้เกิดภาระแก่โจทก์ที่จะต้องรับผิดในฐานะ
ผูค้ ้าประกัน เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้ถือหุ้น จาเลย
ท่ี ๑ และที่ ๒ มีความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๓ ประกอบมาตรา ๘๓ รวม ๕ กระทง

ฎีกาที่ ๘๖๕๑/๒๕๕๘ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๐๙ จาเลยท่ี ๑ กับ บ. มีบุตรคือโจทก์และจาเลย
ท่ี ๒ เมื่อ บ. ถึงแก่ความตาย จาเลยท่ี ๑ ฐานะผู้จัดการมรดกของ บ. โอนท่ีดินอันเป็นทรัพย์มรดก
ของ บ. ให้แก่จาเลยท่ี ๒ เพียงผู้เดียว โดยจาเลยท่ี ๒ ยอมรับว่าจาเลยที่ ๒ เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดู
จาเลยท่ี ๑ ในการร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกของ บ.จาเลยท่ี ๒ เป็นผู้เตรียมเอกสารและจัดหา
ทนายความแก่จาเลยที่ ๑ และวันที่ไปโอนทรัพย์มรดกของ บ. ท่ีสานักงานท่ีดินนั้น จาเลยที่ ๒ กับ
จาเลยท่ี ๑ ไปดาเนินการจดทะเบียนด้วยตนเองจนแล้วเสร็จ จาเลยท่ี ๒ ร่วมรู้เห็นกับจาเลยท่ี ๑
มาตง้ั แต่ตน้ ถือไดว้ ่าจาเลยทัง้ สองเป็นตวั การร่วมกันโดยสมคบกันมาก่อนโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผล
หรือย่อมเล็งเห็นผลที่อาจเกิดขึ้นร่วมกัน มิใช่เป็นเรื่องที่จาเลยที่ ๑ กระทาความผิดเพียงลาพัง
แต่จาเลยที่ ๒ เปน็ เพียงผู้รบั โอนทรัพย์มรดกของ บ. มิได้กระทาในฐานะผู้จัดการมรดกของผอู้ ื่นตาม
คาสั่งศาล คงลงโทษเพียงผู้สนับสนุนการกระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๓, ๓๕๔ ประกอบ
มาตรา ๘๖

568

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๓๕๒
ไมใ่ ช่ทรพั ย์ที่จะยกั ยอกได้

ฎีกาท่ี ๒๔๒๓/๒๕๖๐ ฎ.ส.ล.๑ น.๗๓ ศาลฎีกาได้มีคาพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการ
ย่ืนฟ้องบริษัท ช. บริษัท อ. และ ด. เป็นจาเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๓ ในความผิดฐานยักยอก ซ่ึงโจทก์และ
จ. ได้เข้าร่วมเป็นโจทกร์ ่วมที่ ๑ และที่ ๒ โดยวนิ ิจฉัยข้อกฎหมายว่าการท่ีจะเป็นความผิดฐานยักยอก
ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ น้ัน ทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งการกระทาท่ีผู้กระทาความผิดครอบครองอยู่
จะต้องเป็นวัตถุท่ีมีรูปร่างหรือจับต้องสัมผัสได้ แต่หุ้นตามฟ้องเป็นเพียงสิ่งท่ีแสดงให้เห็นถึงสิทธิและ
หน้าที่หรือส่วนได้เสียของโจทก์ร่วมท้ังสองท่ีมีอยู่ในบริษัทจาเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่ทรัพย์ที่จะเบียดบัง
ยักยอกได้ ท้ังปรากฏว่าการกระทาของจาเลยท้ังสามเป็นเพียงการย่ืนคาขอจดทะเบียนแก้ไขบัญชี
รายช่ือผู้ถือหุ้นเท่านั้น ยังหามีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธ์ิในหุ้นของโจทก์ร่วมทั้งสองไม่
การกระทาของจาเลยท้ังสามตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดฐานยักยอก ดังนี้ เม่ือหุ้นตามที่โจทก์ฟ้อง
กล่าวหาว่าจาเลยช่วยซ่อนเร้นหรือรับไว้ไม่ใช่ทรัพย์ท่ีถูกยักยอก จึงขาดองค์ประกอบความผิดฐาน
รบั ของโจร

ฎีกาท่ี ๑๓๐๘๙-๑๓๐๙๐/๒๕๕๘ ฎ. ๓๑๑๒ ความผิดฐานยักยอกตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒
นั้น ทรัพย์อันเปน็ วตั ถแุ ห่งการกระทาทีผ่ ้กู ระทาความผดิ ครอบครองอยู่จะตอ้ งเป็นวตั ถุที่มีรปู ร่างหรือ
จับตอ้ งสัมผัสได้ แตห่ ้นุ ตามฟ้องเป็นเพียงสิ่งท่ีแสดงให้เห็นถงึ สิทธแิ ละหน้าท่ีหรอื สว่ นไดเ้ สียของโจทก์
รว่ มทั้งสองที่มีอยู่ในบรษิ ัทจาเลยท่ี ๑ จึงไม่ใช่ทรัพย์ท่ีจะเบียดบังยักยอกได้ ทั้งปรากฏว่าการกระทา
ของจาเลยทง้ั สามเป็นเพยี งการย่นื คาขอจดทะเบียนแกไ้ ขบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นต่อนายทะเบียนเท่าน้ัน
ยังหามผี ลเป็นการเปลีย่ นแปลงกรรมสิทธิใ์ นหุ้นของโจทกร์ ่วมทง้ั สองไม่ การกระทาของจาเลยท้ังสาม
ตามฟ้องจงึ ไมเ่ ปน็ ความผิดฐานยักยอก
ขอ้ สังเกต ฎีกำที่ ๑๓๐๘๙-๑๓๐๙๐/๒๕๕๘ และที่ ๒๔๒๓/๒๕๖๐ วินิจฉัยว่ำ ควำมผิดฐำนยักยอก
ตำม ป.อ. มำตรำ ๓๕๒ นั้น ทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งกำรกระทำที่ผู้กระทำควำมผิดครอบครองอยู่
จะต้องเป็นวัตถุท่ีมีรูปร่ำงหรือจับต้องสัมผัสได้ แต่หุ้นตำมฟ้องเป็นเพียงสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงสิทธิและ
หน้ำท่ีหรือส่วนได้เสียของโจทก์ร่วมทั้งสองที่มีอยู่ในบริษัทจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่ทรัพย์ที่จะเบียดบัง
ยักยอกได้ ท้ังปรำกฏว่ำกำรกระทำของจำเลยท้ังสำมเป็นเพียงกำรย่ืนคำขอจดทะเบียนแก้ไขบัญชี
รำยช่ือผู้ถือหุ้นเท่ำน้ัน ยังหำมีผลเป็นกำรเปล่ียนแปลงกรรมสิทธ์ิในหุ้นของโจทก์ร่วมท้ังสองไม่
กำรกระทำของจำเลยทั้งสำมตำมฟ้องจึงไม่เป็นควำมผิดฐำนยักยอก น่ำคิดว่ำฎีกำท่ี ๑๓๐๘๙-
๑๓๐๙๐/๒๕๕๘ และที่ ๒๔๒๓/๒๕๖๐ กลบั ฎีกำที่ ๑๘๐๗๙/๒๕๕๕ แลว้ หรือไม่ เพรำะถำ้ พิจำรณำ
เฉพำะวัตถุแห่งกำรกระทำ ก็คงถือว่ำกลับแล้ว คือ หุ้นไม่ใช่ทรัพย์ท่ีจะเบียดบังยักยอกได้ แต่กำรที่
ศำลฎีกำวนิ จิ ฉยั ถึงกำรกระทำซง่ึ ตำ่ งกนั โดยฎีกำท่ี ๑๘๐๗๙/๒๕๕๕ ฎ.๒๕๖๖ วินิจฉยั วำ่ จำเลยที่ ๑
ในฐำนะผู้จัดกำรมรดกร่วมกับจำเลยที่ ๒ และท่ี ๓ วำงแผนโอนหุ้นของผู้ตำยให้แก่จำเลยท่ี ๒ และ
ที่ ๓ ควำมผิดเกิดขึ้นเม่ือมีกำรโอนหุ้น กำรกระทำของจำเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ จึงไม่เป็นควำมผิดฐำน
รับของโจร แต่เป็นควำมผิดฐำนร่วมกันยักยอก หำกออกข้อสอบถ้ำกำรกระทำเป็นกำรยื่นคำขอ

569

จดทะเบียนแก้ไขบัญชีรำยชื่อผู้ถือหุ้น ก็ตอบตำมฎีกำที่ ๑๓๐๘๙-๑๓๐๙๐/๒๕๕๘ และที่ ๒๔๒๓/
๒๕๖๐ ว่ำไม่เป็นควำมผิดฐำนยักยอก ถูกธงแน่นอน แต่ถ้ำกำรกระทำเป็นกำรร่วมกันโอนหุ้นของ
ผ้ตู ำยให้แกจ่ ำเลย ถ้ำเปน็ ผู้แตง่ จะเลือกตอบวำ่ ไมเ่ ป็นควำมผดิ ฐำนยกั ยอกตำมฎีกำใหม่

___________________

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งในชั้นน้ีว่า เมื่อปี ๒๕๓๑
นายอัณณพกับพวกตั้งบริษัทจาเลยท่ี ๑ มีนายอัณณพ จาเลยที่ ๒ จาเลยท่ี ๓ ซ่ึงเป็นน้องของ
นายอัณณพ นายสุรินทร์และนายจีราวัฒน์หรือทวีวัฒน์ โจทก์ร่วมท่ี ๒ เป็นผู้ถือหุ้น จาเลยที่ ๑ โดย
นายอัณณพและนายสุรินทร์กรรมการผู้มีอานาจลงลายมือช่ือร่วมกันและประทับตราของจาเลยท่ี ๑
ย่นื คาขอจดทะเบียนเพิ่มทนุ เป็น ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท มีหุ้น ๕๐๐,๐๐๐ หนุ้ หุ้นละ ๑๐๐ บาท และ
จดทะเบียนเพ่ิมให้นายสมใจนึกหรือสมนึก โจทก์ร่วมท่ี ๑ เป็นกรรมการอีกคนหน่ึง โดยให้กรรมการ
สองในสามคนลงลายมือช่ือร่วมกันและประทับตราของจาเลยท่ี ๑ มีอานาจกระทาการแทนจาเลย
ท่ี ๑ ได้ พร้อมแนบบัญชีรายช่ือผู้ถือหุ้นของจาเลยที่ ๑ ซ่ึงมีโจทก์ร่วมท่ี ๑ ถือหุ้น ๒๘๐,๙๕๐ หุ้น
โจทก์ร่วมที่ ๒ ถือหุ้น ๒๐,๐๐๐ หุ้น จาเลยที่ ๒ ถือหุ้น ๕๐,๐๐๐ หุ้น จาเลยที่ ๓ ถือหุ้น ๑๐,๐๐๐
หุ้น นายอัณณพถือหุ้น ๔๐,๐๐๐ หุ้น นายสรุ ินทร์ถือหุน้ ๒๐,๐๐๐ หุ้น และผู้ถือหนุ้ คนอื่น ๆ ไปด้วย
จาเลยท่ี ๑ โดยนายอัณณพ กรรมการผู้มีอานาจเพียงคนเดียวลงลายมือชื่อและประทับตราของ
จาเลยท่ี ๑ ย่ืนคาขอจดทะเบียนแก้ไขให้โจทก์ร่วมท่ี ๑ ออกจากการเป็นกรรมการของจาเลยที่ ๑
และแนบบัญชีรายช่ือผู้ถือหุ้นที่โจทก์ร่วมท่ี ๑ ถือหุ้นลดลงเหลือเพียง ๔๐,๐๐๐ หุ้น โจทก์ร่วมที่ ๒
ถือหุ้นลดลงเหลือเพียง ๕,๐๐๐ หุ้น ส่วนจาเลยที่ ๒ ถือหุ้นเพ่ิมขึ้นเป็น ๔๐๐,๐๐๐ หุ้น ครั้นนาย
อณั ณพถึงแก่ความตาย

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจาเลยทั้งสามว่า จาเลยทั้งสามร่วมกันกระทาความผิดฐาน
ยักยอกตามคาพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมทั้งสองต่าง
เป็นเพ่ือนของนายอัณณพ โดยเฉพาะโจทก์ร่วมท่ี ๒ ได้ร่วมกับนายอัณณพและพวกก่อตั้งบริษัท
จาเลยที่ ๑ และบรษิ ัทจาเลยที่ ๒ เปน็ ผูถ้ ือห้นุ มาตั้งแต่ตน้ การท่นี ายอัณณพและนายสรุ ินทรใ์ นฐานะ
กรรมการผู้มีอานาจกระทาการแทนจาเลยที่ ๑ ย่ืนคาขอจดทะเบียนเพิ่มทุนและแนบบัญชีรายช่ือผู้
ถือหุ้นในส่วนของโจทก์ร่วมท่ี ๑ และท่ี ๒ จานวน ๒๘๐,๙๕๐ หุ้น และ ๒๐,๐๐๐ หุ้น มูลค่าหุ้นละ
๑๐๐ บาท ตามลาดับน้ัน เป็นจานวนเงินใกล้เคียงกับเงินที่โจทก์ร่วมท้ังสองให้นายอัณณพกู้ไป จึง
เช่ือว่านายอัณณพได้นาหุ้นบริษัทจาเลยท่ี ๑ มาตีใช้หน้ีเงินกู้แก่โจทก์ร่วมท้ังสองจริง ท้ังได้จด
ทะเบียนเปลยี่ นแปลงกรรมการ โดยเพม่ิ ช่ือโจทก์ร่วมที่ ๑ ให้เป็นกรรมการผู้มอี านาจกระทาการแทน
จาเลยที่ ๑ ด้วย หากนายอัณณพไม่ได้เป็นหนี้เงนิ กู้โจทก์ร่วมท้ังสอง ก็ไม่มเี หตุผลใดท่ีจะจดทะเบียน
เปล่ียนแปลงรายการผู้ถือหุ้นและกรรมการตามเอกสารดังกล่าว ทั้งยังสอดคล้องกับบันทึกคาให้การ
ของนายสุรนิ ทรท์ ีใ่ หก้ ารว่า นายอัณณพได้มอบใบหนุ้ จานวน ๒๘๐,๙๕๐ หุ้น แก่โจทกร์ ่วมที่ ๑ ทาให้
พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมีน้าหนักมากยิ่งขึ้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ร่วม

570

ท้ังสองเป็นเจ้าของหุ้นจริง ส่วนหุ้นของโจทก์ร่วมท้ังสองท่ีหายไปจากบัญชีผู้ถือหุ้น คงเหลือ จานวน
๔๐,๐๐๐ หุ้น และ ๕,๐๐๐ หุ้น ตามลาดับ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การดาเนินการโอนหุ้นของโจทก์
รว่ มทั้งสองท่ีมีอยู่ในบริษัทจาเลยท่ี ๑ เปล่ียนเป็นช่ือของจาเลยที่ ๒ เป็นการกระทาของนายอัณณพ
ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอานาจของจาเลยที่ ๑ และท่ี ๒ และอยู่ในความรู้เห็นของจาเลยท่ี ๓ มาโดย
ตลอด แม้ขณะเกิดเหตุจาเลยที่ ๓ มิได้เป็นกรรมการผู้มีอานาจกระทาการแทนจาเลยท่ี ๑ และท่ี ๒
ก็ตาม แต่ได้ความจากคาเบิกความของจาเลยที่ ๓ ตอบทนายจาเลยทั้งสามว่า จาเลยท่ี ๓ มีหน้าท่ี
ในการทาบัญชีและติดต่อธนาคาร ย่อมต้องรู้ฐานะทางการเงินของจาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ เป็นอย่างดี
ทั้งได้ความวา่ ก่อนท่ีนายอัณณพถึงแกค่ วามตาย จาเลยที่ ๓ ก็ร่วมบริหารงานกับนายอัณณพ โดยไป
ติดต่อธนาคารขอสินเชื่อเพ่ิมและดาเนินการจัดทาบัญชีรายช่ือผู้ถือหุ้นซ่ึงไม่ตรงต่อความเป็นจริ ง
จนกระทั่งมีการโอนหุ้นของโจทก์ร่วมท้ังสองบางส่วนเป็นช่ือของจาเลยท่ี ๒ อันเป็นคาวินิจฉัยท่ีชอบ
ดว้ ยเหตุผลแลว้ ศาลฎีกาไม่จาต้องกลา่ วซ้าอีก ฎีกาของจาเลยทั้งสามที่ว่า พยานโจทกแ์ ละโจทกร์ ่วม
ทั้งสองมีผลประโยชน์ร่วมกัน จึงให้การปรักปราจาเลยท้ังสาม ไม่อาจหักล้างเหตุผลแห่งคาวินิจฉัย
ของศาลอุทธรณ์ได้ ที่จาเลยท้ังสามฎีกาว่า คาให้การในช้ันสอบสวนของนายกัณฐ์และนายสุรินทร์
มขี อ้ ความเหมือนกันทุกตวั อักษรน้ัน กห็ าเป็นเหตใุ ห้การสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย อนั เป็นเหตใุ ห้
โจทก์ไม่มีอานาจฟ้องตามที่จาเลยทั้งสามอ้างในฎกี าไม่ อย่างไรก็ดี การที่จะเป็นความผิดฐานยักยอก
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ น้ัน ทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งการกระทาท่ีผู้กระทาความผิด
ครอบครองอยู่จะต้องเป็นวัตถุท่ีมีรูปร่างหรือจับต้องสัมผัสได้ แต่หุ้นตามฟ้องเป็นเพียงส่ิงท่ีแสดงให้
เห็นถึงสิทธิและหน้าที่หรือส่วนได้เสียของโจทก์ร่วมท้ังสองท่ีมีอยู่ในบริษัทจาเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่ทรัพย์
ที่จะเบียดบังยักยอกได้ ท้ังปรากฏว่าการกระทาของจาเลยทั้งสามเป็นเพียงการยื่นคาขอจดทะเบียน
แก้ไขบญั ชีรายช่อื ผูถ้ ือหนุ้ ตอ่ นายทะเบยี นเทา่ นน้ั ยังหามีผลเปน็ การเปล่ียนแปลงกรรมสิทธิ์ในหนุ้ ของ
โจทก์ร่วมทั้งสองไม่ ดังนี้ การกระทาของจาเลยท้ังสามตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดฐานยักยอก
ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายท่ีเก่ียวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอานาจยกข้ึนวินิจฉัยเองได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๒๕
เม่อื วนิ จิ ฉยั ดงั นี้แล้ว จาเลยที่ ๒ จงึ ไม่ต้องคืนหรือใช้ราคาหนุ้ แกโ่ จทกร์ ว่ มทงั้ สอง”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจาเลยทั้งสามในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๓๕๒ และยกคาขอท่ีให้จาเลยท่ี ๒ คืนหรือใช้ราคาหุ้นแก่โจทก์ร่วมทั้งสองเสียด้วย นอกจากท่ีแก้ให้
เป็นไปตามคาพิพากษาศาลอทุ ธรณ์

(วรงคพ์ ร จริ ะภาค - ฉตั รไชย จันทร์พรายศรี - สภุ ทั ร์ สทุ ธิมนสั )
ฎีกาที่ ๖๘๑๑/๒๕๕๙ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์ยังไม่ได้เป็นเจ้าของ
กรรมสิทธิ์ในท่ดี ิน เพียงแต่โจทก์อยูใ่ นฐานะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อนผู้อื่นเท่านั้น ความผิดฐานยกั ยอก
ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ จะต้องได้ความในเบื้องต้นเสียก่อนว่า ท่ีดินพิพาทเป็นของโจทก์ เม่ือท่ีดิน
พพิ าทยงั เป็นของจาเลยที่ ๒ ถึงท่ี ๔ อยู่ โจทก์ไม่อาจอ้างได้ว่าโจทก์ถกู ผู้อ่ืนยักยอกทรัพย์ได้และสิทธิ
ดังกล่าวที่โจทก์มีอยู่ ไมใ่ ช่ทรัพย์ตามความหมายของ ป.อ. มาตรา ๓๕๒ ซ่ึงหมายถึงทรัพย์ท่ีมีรปู ร่าง

571

จึงไม่อาจถูกยักยอกได้ เมื่อทางนาสืบของโจทก์เองโจทก์มิเคยได้มอบหมายให้จาเลยท่ี ๕ นาสิทธิ
เรียกร้องของโจทก์ไปดาเนินการใด ๆ เป็นเรื่องท่ีจาเลยที่ ๕ ไปดาเนินการโดยพลการ เงินท่ีได้มา
จึงมิใช่เงินท่ีจาเลยท่ี ๕ จะต้องส่งมอบให้แก่โจทก์ โจทก์มีแต่สิทธิที่จะบังคับให้เป็นไปตามสัญญา
ประนีประนอมยอมความเท่านน้ั

_________________________

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบ้ืองต้นรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ฟ้องจาเลยท่ี ๑ ถึงที่ ๔
ขอให้เพิกถอนนิติกรรมและเรียกกรรมสิทธ์ิในท่ีดินคืนต่อศาลช้ันต้น ต่อมาศาลชั้นต้นมีคาพิพากษา
ตามยอมให้จาเลยท่ี ๒ ถึงท่ี ๔ แบ่งแยกโอนท่ีดินพิพาท น.ส.๓ ก. เลขที่ ๒๐๗๖ ตาบลเกาะยาว
อาเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา จานวน ๖ ไร่ ๒ งาน แก่โจทก์ ส่วนทดี่ ินอีก ๑๑ ไร่ ๒ งาน ๖๑ ตาราง
วา ส่วนที่เหลือ จาเลยท่ี ๒ ถึงท่ี ๔ ตกลงขายให้โจทก์ โดยโจทก์จะชาระค่าที่ดินให้แก่จาเลยท่ี ๒ ถึง
ท่ี ๔ ภายในกาหนด ๓ เดือน ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ การฟ้องเพิกถอนนิติกรรม โจทก์
ต้ังจาเลยที่ ๕ เป็นทนายความ ต่อมาในระหว่างที่ยังไม่มีการจดทะเบียนแบ่งแยกและโอนท่ีดิน
ให้โจทก์ตามสัญญาซื้อขาย จาเลยที่ ๒ ถึงท่ี ๔ ได้นาที่ดินแปลงดังกล่าวไปจดทะเบียนให้จาเลยท่ี ๘
เชา่ มีกาหนดระยะเวลา ๓๐ ปี โดยมจี าเลยที่ ๕ เป็นผู้ดาเนนิ การในการจดทะเบียนเชา่

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จาเลยที่ ๕ มีความผิดฐานยักยอกตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก หรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์
ยังไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในท่ีดิน เพียงแต่โจทก์อยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อนผู้อ่ืนเท่านั้น
ความผดิ ฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ จะตอ้ งไดค้ วามในเบ้อื งตน้ เสยี ก่อนว่า
ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ เม่ือที่ดินพิพาทยังเป็นของจาเลยท่ี ๒ ถึงที่ ๔ อยู่ โจทก์จึงไม่อาจอ้างได้ว่า
โจทก์ถูกผู้อื่นยักยอกทรัพย์ได้และสิทธิดังกล่าวที่โจทก์มีอยู่ ไม่ใช่ทรัพย์ตามความหมายของประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ ซ่ึงหมายถึงทรัพย์ท่ีมีรปู ร่าง จงึ ไม่อาจถูกยักยอกได้เช่นกัน เมื่อตามทาง
นาสืบของโจทก์เองก็ได้ความว่า โจทก์มิเคยได้มอบหมายให้จาเลยท่ี ๕ นาสิทธิเรียกร้องของโจทก์
ไปดาเนินการใด ๆ เป็นเรื่องที่จาเลยท่ี ๕ ไปดาเนินการโดยพลการ ตามท่ีศาลอุทธรณ์ภาค ๘ ได้
วินิจฉัยไว้แล้ว เงินที่ได้มาจึงมิใช่เงินที่จาเลยที่ ๕ จะต้องส่งมอบให้แก่โจทก์ โจทก์คงมีแต่สิทธิที่จะ
บงั คับให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความเท่านั้น ศาลฎีกาไมจ่ าต้องวินิจฉยั ฎีกาข้ออ่ืนของ
โจทก์เพราะไม่ทาให้ผลของคดีเปล่ียนแปลงไป ท่ีศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษามานั้น ศาลฎีกา
เห็นพ้องด้วย ฎกี าของโจทก์ฟังไม่ขึน้

พิพากษายนื
(หม่อมหลวงไกรฤกษ์ เกษมสันต์ - เมทนิ ี ชโลธร - ณัฏฐชยั ไวยภาษจรี กลุ )

ฎีกาท่ี ๖๖๗๑/๒๕๕๑ ฎ.๑๕๖๑ เม่ือ ส. ถึงแก่ความตาย ทายาทของ ส. ตกลงเก่ียวกับ
ทรัพย์สินของ ส. ว่าบุคคลใดได้รับยกให้ที่ดินแปลงใดก่อน ส. ถึงแก่ความตาย และทาประโยชน์ใน
ที่ดินแปลงน้ันก็ให้ตกเป็นของบุคคลน้ัน จาเลยได้เข้าครอบครองทด่ี ินพิพาทต้ังแต่ ส. ถงึ แก่ความตาย

572

แต่ผู้เดียว กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๕๐ วรรคหนึ่ง โจทก์
ทั้งสามจะเรียกร้องเอาส่วนแบ่งให้ผิดไปจากท่ีได้แบ่งปันกันไปแล้วอีกไม่ได้ แม้ภายหลังจาเลยไปยื่น
ขอจัดการมรดก ก็ไม่ทาให้ท่ีดินพิพาทกลับกลายเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งปันกันระหว่างทายาท
เพราะจาเลยประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงหลักฐานทางทะเบียนให้ได้สิทธิโดยสมบูรณ์ในที่ดินพิพาท
เท่านั้น มิใช่เพื่อประโยชน์แก่โจทก์ท้ังสามซ่ึงส้ินสิทธิในที่ดินพิพาทแล้ว การกระทาของจาเลย
จงึ ไม่เป็นความผิดฐานยักยอก

ไมไ่ ดเ้ บียดบังไม่ผิดยักยอก

ฎีกาท่ี ๖๙๑/๒๕๕๖ ฎ.๓๐๐ จาเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้เช่าซ้ือโทรทัศน์สีในสัญญาเช่าซื้อ
แทน ส. นายจา้ งของจาเลยและจาเลยไม่ได้เปน็ ผคู้ รอบครองโทรทัศน์สีท่ีเชา่ ซื้อ แต่ ส. เป็นผรู้ ับมอบ
และครอบครองโทรทัศน์สีท่ีเช่าซ้ือ แม้ ส. นาโทรทัศน์สีที่เช่าซ้ือไปขาย จาเลยก็ไม่มีความผิดฐาน
ยักยอกโทรทศั นส์ ีทเ่ี ชา่ ซ้อื ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒

ฎีกาท่ี ๒๗๑๖/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๕๙ การที่ อ. ผู้เสียหายตกลงให้จาเลยเอารถกระบะที่
ผู้เสียหายทาสัญญาเช่าซ้ือมาไปใช้โดยจาเลยเป็นผู้ชาระค่าเช่าซื้อในนามของผู้เสียหาย ถือได้ว่าเป็น
การโอนสิทธิตามสญั ญาเช่าซอื้ โดยมีข้อตกลงกันระหวา่ งผ้เู สียหายกับจาเลยว่า จาเลยจะเป็นผู้ชาระ
ค่าเช่าซื้อในนามของผู้เสียหาย หลังจากจาเลยไดร้ ับมอบการครอบครองรถกระบะจากผู้เสียหายแล้ว
ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จาเลยพารถกระบะหลบหนีไปขายแก่บุคคลภายนอก หรือแอบอ้างว่าเป็น
รถกระบะของตนเอง ด้วยการปฏิเสธว่าไม่ได้รับมอบรถกระบะจากผู้เสียหายแต่อย่างใด แต่จาเลย
ครอบครองใช้รถกระบะนั้นโดยเปิดเผยและได้ชาระค่าเช่าซ้ือในนามของผู้เสียหายเรื่อยมาจานวนถึง
๕ งวดติดต่อกันต่อมาจาเลยค้างส่งค่างวดจึงได้มอบรถกระบะให้ ช. โดยทาความตกลงกับ ช. ให้ ช.
เป็นผู้ชาระค่าเช่าซื้อที่เหลือต่อไป พฤติการณ์ดังกล่าวของจาเลยรวมทั้งที่จาเลยรับเงินมัดจาจาก ช.
ในวันทาสัญญาเป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท และในสัญญาระบุว่าจาเลยและ ช. ซ้ือขายรถยนต์ (รถกระบะ)
นั้น ยังมิใช่การเอารถกระบะทรัพย์สินของผู้ให้เช่าซ้ือไปขายแต่เป็นเพียงการโอนสิทธิตามสัญญาเช่า
ซ้ือให้แก่ ช. โดยมีข้อตกลงให้ ช. มีหนา้ ที่ต้องชาระคา่ เช่าซื้อต่อไป เพราะจาเลยประสงค์จะหาบุคคล
อื่นมาช่วยรับภาระในการผ่อนค่าเช่าซื้อในนามของผู้เสียหาย จาเลยจึงมิได้เบียดบังเอารถกระบะ
ดังกล่าวเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต ไม่เป็นเหตุทาให้การกระทาของจาเลยที่ไม่เป็นความผิด
กลับกลายเปน็ ความผดิ ไปแตอ่ ย่างใด

การท่ีจาเลยโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อให้แก่ ช. แม้จะมิได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่าซื้อ
ก็มีผลในทางแพ่งเพียงว่า ผู้ให้เช่าซ้ือยังคงมีสิทธิเรียกค่าเช่าซ้ือท่ีค้างจากผู้เสียหายผู้เช่าซื้อเดิมได้
ต่อไป รวมทั้งเรียกค่าเสียหายในการท่ีผู้ให้เช่าซ้ือไม่อาจติดตามยึดรถกระบะคืนจากจาเลยได้ จาเลย
ย่อมไม่มีความผิดฐานยักยอก

ฎีกาท่ี ๘๗๒/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๒ น.๗๒ ผู้เสียหายว่าจ้างจาเลยซ่ึงเปิดร้านรับจ้างทาทองคา

573

รูปพรรณ โดยนาพระแก้วสีเหลืองพร้อมตลับพระทองคามาให้ทากระจกปิดด้านหน้าและด้านหลัง
ตลับพระทองคา แต่จาเลยทาเศียรพระแก้วสีเหลืองบ่ิน จึงตกลงจะใช้ค่าเสียหายด้วยการเล่ียม
พระองค์อื่นให้ ซ่ึงผู้เสียหายได้นาพระองค์อ่ืนมาให้เล่ียมอีก ๒ องค์ จาเลยเลี่ยมพระให้ผู้เสียหาย
เป็นคา่ เสียหายไปแลว้ ๑ องค์ ภายหลังจาเลยเห็นวา่ ค่าเสียหายสูงไปตอ้ งการตกลงคา่ เสยี หายกันใหม่
ด้วยการยึดหน่วงตลับพระทองคาพิพาทไว้เพ่ือหักหนี้กับค่าเลี่ยมพระองค์ท่ี ๒ ดังน้ีแสดงว่าจาเลย
มีเพียงเจตนายึดหน่วงตลับพระทองคาพิพาทไว้ เพ่ือเจรจาต่อรองกันใหม่เกี่ยวกับค่าเสียหายท่ี
เศียรพระแก้วสีเหลอื งบ่ิน หาไดม้ ีเจตนาจะเบียดบงั ไว้เปน็ ของตนไม่

ผดิ สญั ญาทางแพ่งไมผ่ ดิ ยกั ยอก

ฎีกาท่ี ๘๔๓๐-๘๔๓๒/๒๕๕๗ สัญญาการเล้ียงไก่มีสาระสาคัญว่าจาเลยท่ี ๓ ต้องวางเงิน
ประกันไวก้ ่อนจานวนหนึ่งเพ่อื รบั ลูกไก่จากโจทก์รว่ มมาเลยี้ ง และเมื่อส่งไก่ใหญ่ให้แกโ่ จทก์ร่วมจึงจะ
คิดราคาไก่ที่ส่งกับต้นทุนทุกอย่างที่รับไปจากโจทก์ร่วม เช่น ลูกไก่ อาหารไก่ วัคซีน และการขนส่ง
ถ้าคิดราคาไก่ท่ีส่งได้เงินสูงกว่าราคาต้นทุน จาเลยท่ี ๓ ก็ได้กาไร แต่หากคิดราคาไก่ได้น้อยก็ขาดทุน
ซงึ่ โจทก์ร่วมจะหกั เงินประกันชาระตน้ ทุนสว่ นท่ีขาด หลงั จากโจทก์รว่ มสง่ ลูกไก่ใหแ้ กจ่ าเลยท่ี ๓ แล้ว
ความรับผิดชอบในตัวไก่ท้ังหมดตกไปอยู่แก่จาเลยท่ี ๓ ผู้เลี้ยงโดยส้ินเชิง ไม่ว่าจะเป็นการเล้ียง การ
ดูแลรักษา หรือการป้องกันภัยต่าง ๆ ซ่ึงจะเกิดแก่ตัวไก่หากเกิดความเสียหายอย่างใด ๆ ขึ้นไม่ว่า
จะเป็นไก่ตาย ไก่เป็นโรค หรือไก่พิการจาเลยท่ี ๓ ก็ต้องรับไปซึ่งความเสียหายน้ันเพียงผู้เดียว
กล่าวคือ จาเลยท่ี ๓ ก็จะไม่มีไก่ไปส่งหรือไก่ที่ส่งไม่ได้น้าหนักและราคา อันจะทาให้จาเลยที่ ๓
ขาดทุนเมื่อคิดหักกับต้นทุน เช่น ค่าลูกไก่ ค่าอาหารหรือค่าวัคซีนท่ีรับไปจากโจทก์ร่วม ซึ่งกรณี
ขาดทุนโจทก์ร่วมก็จะหักเอาจากเงินประกัน แสดงว่า ในส่วนของโจทก์รว่ มลกู ไก่ที่มอบให้จาเลยที่ ๓
ไปเลี้ยงจะได้คืนหรอื ไม่ไม่ใช่สาระสาคัญ เพราะแม้ไม่ได้คืนหรือได้คืนในสภาพทไี่ มส่ มบูรณ์ โจทก์รว่ ม
ก็สามารถหักเอาเงนิ ประกันได้ ดังน้ัน โจทก์ร่วมจึงไมอ่ าจอ้างความเป็นเจ้าของลูกไก่หลังจากส่งมอบ
ให้จาเลยที่ ๓ ไปแล้วได้แม้ในสัญญาการเลี้ยงไก่จะเขียนให้โจทก์ร่วมยังมีกรรมสิทธ์ิอยู่ก็ตาม
นอกจากน้ัน พิเคราะห์จากคาเบิกความของ ว. กรรมการผู้จัดการโจทก์ร่วมท่ีตอบทนายจาเลยที่ ๓
ถามค้านว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่สามารถชาระค่าไก่ต้ังแต่ตอนรับลูกไก่ได้โดยไม่จาต้องรอให้ไก่ใหญ่
กอ่ น ก็เห็นได้ชดั ว่า โจทก์ร่วมมอบลูกไกใ่ ห้จาเลยท่ี ๓ ไปเลี้ยงในลกั ษณะซื้อขาย ไมไ่ ดฝ้ ากทรัพยห์ รือ
จ้างเลี้ยงแต่อย่างใด เพียงแต่มีข้อตกลงพิเศษว่า เมื่อเลี้ยงเป็นไก่ใหญ่แล้ว จาเลยท่ี ๓ ต้องนามาขาย
ให้แก่โจทก์ร่วมเพื่อชาแหละขายเป็นไก่เน้ือเท่าน้ัน ฉะน้ันการนาไก่ไปขายของจาเลยที่ ๓ จึงไม่มีมูล
ความผดิ ฐานยกั ยอก

ฎีกาที่ ๕๔๙/๒๕๖๐ ฎ.๑๐๗ การท่ีจาเลยส่ังสินค้าจากโรงงานของบิดาโจทก์ไปจาหน่าย
ให้แก่ลูกค้านั้น จาเลยกระทาได้โดยไม่จาต้องรับคาส่ังจากโจทก์ก่อน และมิได้จาหน่ายสินค้าตาม
ราคาท่โี จทก์กาหนด โดยโจทก์มไิ ดค้ านึงว่าจาเลยจะขายสินคา้ ให้แก่ใคร ในราคาเท่าใด จาเลยมีสิทธิ

574

ทจ่ี ะเลือกนาสินค้าไปขายให้แก่ลูกค้ารายใดและราคาเท่าใดก็ได้ตามท่จี าเลยเห็นสมควร เพียงแต่เมื่อ
ถึงกาหนดเวลาในแต่ละเดือน จาเลยมีหน้าที่ต้องโอนเงินท่ีได้จากการขายสินค้าให้แก่โจทก์เพ่ือ
ท่โี จทกจ์ ะได้นาเงินส่งให้แก่บริษัทภาคใต้พลาสติก จากัด และทาบัญชีแจ้งส่วนกาไรทจี่ าเลยจะได้รับ
ให้จาเลยทราบ จึงเป็นการซื้อเช่ือถุงพลาสติกจากโรงงานโดยมิได้เป็นการรับถุงพลาสติกไว้แทนใน
ฐานะลูกจ้างของโจทก์ เงินท่ีจาเลยไดร้ ับมาจากลกู ค้าที่จาเลยนาถุงพลาสติกไปจาหน่ายย่อมมไิ ด้เป็น
การรับไว้แทนโจทก์ หากจาเลยส่งเงินให้โจทก์ไม่ครบถ้วนตามข้อตกลงก็เป็นการกระทาอันเป็นการ
ผดิ สัญญาทางแพ่ง การกระทาของจาเลยไมเ่ ป็นความผดิ ฐานยักยอก
ข้อสังเกต หำกจำเลยมีอิสระในกำรขำย ไม่ว่ำจะขำยสินค้ำให้แก่ใคร ในรำคำเท่ำใด ศำลฎีกำตัดสิน
วำ่ เป็นผิดสัญญำทำงแพ่งไม่ผดิ ฐำนยักยอก แตถ่ ้ำไม่มีอสิ ระในกำรขำยตดั สนิ ว่ำเป็นยกั ยอก เชน่ ฎีกำ
ที่ ๑๓๓๙๘/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๕๔ โจทก์ร่วมและจำเลยมีข้อตกลงกันว่ำ หำกลูกค้ำต่อรองรำคำ
ต่ำงหูเพชรพิพำท จำเลยจะต้องโทรศัพท์สอบถำมโจทก์ร่วมก่อนว่ำสำมำรถขำยในรำคำดังกล่ำวได้
หรือไม่ ข้อตกลงนี้มีผลทำให้จำเลยไม่มีอิสระในกำรกำหนดรำคำขำยได้จริง นิติกรรมระหว่ำง
โจทก์ร่วมและจำเลยจึงมิใช่เป็นกำรซ้ือขำยเสร็จเด็ดขำด แต่เป็นกำรท่ีโจทก์ร่วมมอบต่ำงหูเพชรของ
กลำงแก่จำเลยให้ไปขำยแทนโจทก์ร่วม ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงโจทก์ร่วมและจำเลยเป็นเรื่องตัวแทน
โดยจำเลยเป็นตัวแทนขำยต่ำงหูเพชรของกลำงให้แก่ลูกค้ำแทนโจทก์ร่วมผู้เป็นตัวกำร เมื่อจำเลย
ครอบครองต่ำงหูเพชรของกลำงของโจทก์ร่วมแล้วนำไปจำนำไว้แก่บุคคลอ่ืนจึงเป็นกำรแสวงหำ
ประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบ กำรกระทำของจำเลยเป็นกำรเบียดบังต่ำงหูเพชรของกลำงของโจทก์
ร่วมโดยเจตนำทจุ ริตเป็นควำมผดิ ตำม ป.อ. มำตรำ ๓๕๒ วรรคแรก

ฎีกาที่ ๘๒๘/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๙ น.๑ เจตนาที่แท้จริงของโจทก์ร่วมประสงค์จะให้จาเลยยืม
ทองรูปพรรณมิใช่จาเลยเช่าซ้ือทองรูปพรรณ และเจือสมกับคาเบิกความของจาเลยว่า จาเลยไม่ได้
ประสงค์จะเช่าซื้อทองรูปพรรณจากโจทก์ร่วม แต่ต้องการกู้ยืมเงินจากโจทก์ร่วมเท่านั้น ดังนั้น แม้
โจทก์ร่วมและจาเลยทาสัญญาเช่าซื้อก็เกิดจากเจตนาลวงมิใช่เจตนาที่แท้จริง สัญญาเช่าซื้อดังกล่าว
ย่อมตกเป็นโมฆะ แต่เมื่อสญั ญาเช่าซ้ือเป็นนิติกรรมอาพรางสัญญายืม จงึ ต้องบังคับตามสัญญายืมซ่ึง
เป็นนิติกรรมท่ีถูกอาพรางตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๕ วรรคสอง เมื่อโจทก์ร่วมและจาเลยมีเจตนาทา
สัญญายืมทองรูปพรรณ และมีการตีราคาทองรูปพรรณเป็นเงินซ่ึงจาเลยมีหน้าที่ต้องชาระคืนโจทก์
ร่วมไว้ในสัญญาเช่าซ้ือด้วย แสดงให้เห็นว่าโจทก์ร่วมไม่ประสงค์จะได้รับชาระหนี้คืนเป็น
ทองรูปพรรณท่ีให้ยืมไป การให้ยืมทองรูปพรรณดังกล่าวจึงไม่ใช่เป็นการยืมใช้คงรูป กรรมสิทธ์ิใน
ทองรูปพรรณย่อมโอนไปยังจาเลยผู้ยืมต้ังแต่เข้าทาสัญญากัน การที่จาเลยไม่ชาระเงินให้โจทก์ร่วม
จงึ เป็นเพยี งการผดิ สญั ญาในทางแพ่งเท่านั้น รบั ฟงั ไมไ่ ด้วา่ จาเลยกระทาความผดิ ฐานยกั ยอก

ฎีกาท่ี ๓๘๘๙/๒๕๔๘ ฎ.๑๗๕๔ จาเลยรับนาฬิกาข้อมือ ๗ เรือน ของผู้เสียหายไปเพื่อให้
สามีตรวจดูโดยมีเจตนาจะซ้ือขายกันและมีข้อตกลงจะใช้เวลาในการตรวจดูประมาณ ๑๔ วัน หาก
จาเลยไม่ตกลงซื้อจะต้องแจ้งให้ผู้เสียหายทราบว่าไม่ซื้อหรือส่งนาฬิกาคืน ถ้าครบกาหนด ๑๔ วัน
แล้วจาเลยไมแ่ จง้ ตอ่ ผู้เสยี หายและไม่ส่งมอบนาฬิกาคืน ยอ่ มถือว่าจาเลยตกลงซ้ือนาฬิกาทั้ง ๗ เรือน

575

อันเป็นผลให้การซื้อขายเผ่ือชอบมีผลบริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๐๘
จาเลยมีหน้าที่ต้องชาระราคาให้แก่ผู้เสียหาย หากไม่ชาระผู้เสียหายต้องไปว่ากล่าวแก่จาเลยในทาง
แพ่งตามสัญญาซ้อื ขายเผื่อชอบ จาเลยไม่มคี วามผิดฐานยักยอก

เปน็ การเบยี ดบังผิดยกั ยอก

ฎีกาท่ี ๘๖๔๔/๒๕๖๑ ฎ.๓๑๙๖ จาเลยขอยืมรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปจาก ช. ซึ่ง
เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามสัญญาเช่าซ้ือ ช. อนุญาตให้จาเลยขับรถจักรยานยนต์ไปส่ง ส. เป็นการ
ส่งมอบการครอบครองรถจักรยานยนต์ให้จาเลยชั่วคราวจาเลยมีหน้าที่ต้องนารถจักรยานยนต์
ท่ีขอยืมไปมาคืน ช. เม่ือจาเลยนารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปจานาแก่บุคคลภายนอก ดังน้ี
เป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ของผู้เสียหายเป็นของบุคคลอ่ืนโดยทุจริตขณะที่จาเลยครอบครองทรัพย์
น้นั เป็นความผิดฐานยกั ยอกทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก

ฎกี าที่ ๓๒๒๒/๒๕๖๐ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๒๕ โจทก์ร่วมนารถจักรยานยนตไ์ ปจานาแก่จาเลยเพื่อ
ประกันการชาระหนี้กู้ยืมท่ีโจทก์ร่วมกู้ยืมเงินจากจาเลยโดยไม่ปรากฏว่ามีกาหนดเวลาชาระหน้ีไว้
แม้โจทก์ร่วมผิดนัดชาระดอกเบ้ียตามที่ตกลงกัน โจทก์ร่วมก็ยังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธ์ิในทรัพย์
ที่จานา จาเลยมสี ิทธิทวงถามให้โจทก์รว่ มชาระดอกเบี้ยท่ีค้างชาระและเรียกให้ชาระหนี้ท้ังหมด หาก
โจทก์ร่วมไม่ชาระหน้ี จาเลยก็ชอบท่ีจะใช้สิทธบิ ังคับจานาตาม ป.พ.พ. มาตรา ๗๖๔ จาเลยไม่มีสิทธิ
นารถของโจทก์ร่วมไปขาย ต่อมาเม่ือโจทก์ร่วมไปขอไถ่รถจักรยานยนต์คืน จาเลยแจ้งว่าได้ขาย
รถจักรยานยนต์ดังกล่าวไปแล้ว แต่หลังจากโจทก์ร่วมไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน แล้ว
เจ้าพนักงานตารวจเรียกจาเลยไปไกล่เกล่ีย จาเลยกลับแจ้งว่าจาเลยไม่ได้รับจานารถจักรยานยนต์
จากโจทก์รว่ มอันเป็นการปฏิเสธไมค่ นื ทรัพยส์ นิ ใหแ้ ก่โจทก์รว่ ม พฤตกิ ารณ์ดังกล่าวจึงฟังได้วา่ จาเลย
เบียดบังเอารถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมท่ีจานาไว้แก่จาเลยเป็นของตนหรือบุคคลท่ีสามโด ยทุจริต
การกระทาของจาเลยจงึ เปน็ ความผดิ ฐานยักยอกตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก

ฎีกาท่ี ๘๓๙๒/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๔๖ จาเลยรับจานารถกระบะไว้จากผู้เสียหายแล้ว
จาเลยขายรถกระบะดังกล่าวให้แก่ผู้อ่ืนไปโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เสียหาย แม้ผู้เสียหาย
รวบรวมเงินได้ครบถ้วนพร้อมท่ีจะไถ่ถอนรถกระบะดังกล่าวจากจาเลยหลังจากพ้นเวลาที่จาเลยผ่อน
ผันให้แล้วก็ตาม แต่ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๗๖๔ การบังคับจานาจะกระทาได้ด้วยการขายทอดตลาด
เท่านัน้ จาเลยไม่มีสทิ ธิท่ีจะขายรถกระบะดังกล่าวด้วยวิธีการอื่น การที่จาเลยขายรถกระบะดังกล่าว
จึงเป็นการขายโดยไม่มีสิทธิ ถือว่าเป็นการกระทาโดยทุจริต จาเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา
๓๕๒ วรรคแรก

ฎกี าที่ ๒๑๙๕/๒๕๕๗ ฎ.๖๐๖ จากทจ่ี าเลยครอบครองรถยนต์ ช. ได้ตดิ ตอ่ ขอรถคนื โดยได้
มีการนาเอกสารหลักฐานทางทะเบียนรถยนต์แสดงว่าเป็นรถของโจทก์ร่วมไปให้จาเลยดู และ ช.
พรอ้ มกบั โจทก์ร่วมได้นาเงนิ ที่ ช. คา้ งอยไู่ ปชาระให้แก่จาเลยโดยจาเลยบอกวา่ ให้มารับรถในวนั รุ่งข้ึน

576

วันรุ่งขึ้นโจทก์ร่วมและ ช. ไปขอรับรถคืน จาเลยก็ยังไม่ยอมคืนให้ท้ังที่ทราบแน่ชัดแล้วว่ารถได้โอน
กรรมสิทธิ์เป็นของโจทก์ร่วมแล้ว การที่จาเลยยังคงยึดหน่วงรถไว้แม้อ้างว่าเพื่อประกันหน้ีก็ตาม แต่
เม่ือโจทก์รว่ มซึ่งเป็นผู้มกี รรมสิทธ์ิในรถยนต์และไม่ได้เป็นหน้ีจาเลยไม่ยนิ ยอมที่จะให้จาเลยยึดหน่วง
รถยนต์ไว้เป็นประกันหน้ีของ ช. การที่จาเลยยังคงยึดหน่วงไม่ส่งมอบรถคืนให้โจทก์ร่วมจึงเป็นการ
กระทาเพอื่ แสวงหาประโยชนท์ ี่มคิ วรไดโ้ ดยชอบดว้ ยกฎหมายสาหรบั ตนเองแลว้ อันเป็นการเบยี ดบัง
เอารถยนตข์ องโจทกร์ ่วมโดยทจุ ริต จึงเปน็ ความผิดฐานยกั ยอก

ฎีกาท่ี ๖๐๔๖/๒๕๕๙ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๘๖ จาเลยทั้งสองร่วมกับโจทก์เป็นเจ้าของและครอบ
ครองดูแลทรัพย์สิน ได้แก่ หอพักคอนโดมิเนียม บ้านเช่า และโฮมสเตย์ อันเป็นอสังหาริมทรัพย์
ท้ังหมดเพื่อแสวงหาประโยชน์ร่วมกัน ดังน้ัน พฤติการณ์ที่จาเลยท้ังสองร่วมกันพากลุ่มชายฉกรรจ์
จานวน ๕ คน พร้อมอาวุธ บังคับข่มขืนใจให้โจทก์จาต้องออกจากหอพักคอนโดมิเนียมดังกล่าวไป
และจาเลยทั้งสองร่วมกันเข้าครอบครองทาประโยชน์ในหอพักคอนโดมิเนียมดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว
ย่อมเป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถครอบครองใช้ประโยชน์ในคอนโดมิเนียมดังกล่าวและได้รับ
ผลประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินจากคอนโดมิเนียมนั้นอีกได้ พฤติการณ์ของจาเลยทั้งสอง
ย่อมเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ที่โจทก์เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยเป็นของตนเองโดยทุจริต อันเป็น
ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก
ข้อสังเกต คดีน้ีโจทก์ฟ้องข้อหำร่วมกันเป็นซ่องโจรด้วย แต่ศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหำย

ฎีกาที่ ๓๘๕๙/๒๕๕๗ จาเลยที่ ๑ มีหน้าที่นาน้ามันของโจทก์ร่วมไปขายและรับเงิน
ค่าขายน้ามันจากลูกค้า ถือว่าจาเลยที่ ๑ ได้รับมอบเงินดังกล่าวไว้ในครอบครองในฐานะตัวแทน
โจทก์ร่วมและมีหน้าท่ีส่งมอบเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ร่วม เม่ือจาเลยที่ ๑ เบียดบังเอาไปบางส่วน
จงึ เปน็ การยกั ยอกเงินคา่ ขายนา้ มันของโจทกร์ ว่ ม เป็นความผิดฐานยกั ยอก

ฎีกาท่ี ๑๕๗๒๓/๒๕๕๗ ฎ.๒๖๕๐ จาเลยมีหน้าที่รับเงินท่ีลูกค้านามาชาระค่างวดสินเชื่อ
ให้แก่โจทก์และออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ลูกค้า แล้วนาเงินท่ีรับจากลูกค้าเข้าบัญชีของโจทก์ หาก
ไม่ทันต้องทาภายในวันรุ่งขึ้น แสดงว่าจาเลยสามารถนาเงินไปเขา้ บัญชีของโจทก์ในวันรุ่งข้ึนหลังจาก
รับเงินจากลูกค้าได้ แต่จาเลยกลับไม่นาเงินที่ได้รับจากลูกค้าไปเข้าบัญชีของโจทก์เลยจนกระท่ัง
ตรวจพบการกระทาของจาเลย พฤติการณ์ของจาเลยฟังได้ว่าจาเลยมีเจตนาเบียดบังเอาเงินของ
โจทก์ไปเป็นของตนเองหรือผู้อ่ืนตั้งแต่รับเงินจากลูกค้าของโจทก์ทั้งห้ารายแล้ว จาเลยจึงมีความผิด
ฐานยักยอกตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก

ฎีกาท่ี ๖๗๕/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล. ๒ น. ๒๗ โจทก์ร่วมมอบอุปกรณ์การแพทย์ท้ัง ๕ รายการ
ให้จาเลยไว้ในฐานะตัวแทนของโจทก์ร่วมเพื่อให้จาเลยนาไปสาธิตหรือนาไปให้ลูกค้าทดลองใช้ตาม
หน้าที่ท่ีได้รับมอบหมายจากโจทก์ร่วมเท่านั้น จาเลยจึงมีหน้าท่ีต้องนาอุปกรณ์การแพทย์ที่ยืมไป
มาคืนให้แก่โจทก์ร่วม การที่จาเลยไม่นาอุปกรณ์การแพทย์ดังกล่าวมาคืนโดยได้ความว่าจาเลยนาไป
มอบให้แก่โรงพยาบาลปัตตานีเพื่อให้คณะกรรมการของโรงพยาบาลรับมอบเครื่องวัดความดันโลหิต
จากจาเลย ซ่ึงจาเลยจะได้รับผลประโยชน์เป็นค่าตอบแทนในการขายสินค้าดังกล่าว จึงแสดงให้เห็น

577

เจตนาของจาเลยว่าจะไม่คืนทรัพย์ตามฟ้องท่ีจาเลยครอบครองแทนโจทก์ร่วมให้แก่โจทก์ร่วม
อันเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ดังกล่าวเป็นของบุคคลที่สามโดยจาเลยได้รับประโยชน์ท่ีมิควรได้
โดยชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการกระทาโดยทุจริตและเป็นความผิดสาเร็จแล้ว แม้จาเลยจะอ้างว่า
ปัจจุบันทรัพย์ดังกล่าวยังคงอยู่ที่โรงพยาบาลปัตตานีโดยมีหนังสือของผู้อานวยการโรงพยาบาล
ปัตตานีและทางโรงพยาบาลประสงค์จะคืนสินค้าให้แก่โจทก์ร่วมก็ไม่ทาให้จาเลยพ้นผิดแต่อย่างใด
การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผดิ ฐานยกั ยอก

ฎีกาท่ี ๒๘๘๔/๒๕๕๑ ฎ.๑๒๒๘ โจทก์ร่วมมอบฉันทะให้จาเลยไปถอนเงินของโจทก์ร่วม
๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท จากธนาคารเพ่ือนามาประกันตัวโจทก์ร่วมกับพวก เน่ืองจากพนักงานสอบสวน
ไม่อนุญาตให้โจทก์รว่ มออกไปถอนเงนิ ด้วยตนเอง จาเลยถอนเงินแล้วนาฝากเข้าบัญชีเงินฝากประจา
ของจาเลย แลว้ นาสมดุ เงินฝากไปประกนั ตวั โจทก์ร่วมกับพวก เมื่อเสร็จสน้ิ การประกันตัวแล้ว จาเลย
ไม่ยอมคืนเงินให้โจทก์ร่วม โดยอ้างว่าเป็นของจาเลยท่ีโจทก์ร่วมชาระหนี้ให้จาเลย จึงเป็นความผิด
ฐานยกั ยอกทรพั ย์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก

ฎีกาที่ ๑๑๒๒๔/๒๕๕๕ ฎ.๑๙๕๓ สลากกินแบ่งรัฐบาลท่ีโจทก์ร่วมซื้อและฝากจาเลยท่ี ๑
ไว้ถูกรางวัลที่หนึ่ง จาเลยท่ี ๑ คิดจะเบียดบังเอาสลากไว้เสยี เอง จึงได้อ้างต่อโจทกร์ ่วมว่าสลากไม่ถูก
รางวัลและทิ้งไปแล้ว จากน้ันให้จาเลยท่ี ๒ บุตรชายรับสมอ้างว่าเป็นผู้ซื้อสลากไปแล้วร่วมมือกัน
นาสลากไปขอรับรางวัลมาเป็นของจาเลยท้ังสองโดยทุจริต จาเลยที่ ๑ จงึ มีความผิดฐานยักยอกตาม
ป.อ. มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก จาเลยท่ี ๒ มิได้ร่วมครอบครองสลากมาแต่แรก แต่การท่ีจาเลยที่ ๒
รับสมอ้างว่าเป็นเจ้าของสลากและร่วมไปขอรับเงินรางวัลมา ถือได้ว่าเป็นการให้ความช่วยเหลือแก่
จาเลยที่ ๑ ในการยกั ยอกสลาก จาเลยที่ ๒ จึงมีความผิดฐานเปน็ ผสู้ นับสนุนการกระทาความผิดตาม
มาตรา ๓๕๒ ประกอบมาตรา ๘๖
ข้อสงั เกต ฎีกำน้ีหำกคิดว่ำ จำเลยท่ี ๑ บอกโจทก์รว่ มว่ำสลำกไม่ถูกรำงวลั และท้ิงไปแล้ว จำเลยที่ ๑
ผิดฐำนยักยอกแล้วต้ังแต่บอกโจทก์ร่วม ต่อมำกำรท่ีจำเลยที่ ๒ รับสมอ้ำงว่ำเป็นเจ้ำของสลำกและ
รว่ มไปขอรับเงนิ รำงวัลมำ จำเลยที่ ๒ ช่วยจำเลยที่ ๑ จำหน่ำยทรัพย์ทีไ่ ด้มำจำกกำรกระทำควำมผิด
จำเลยท่ี ๒ ผดิ ฐำนรบั ของโจรก็น่ำจะเปน็ ไปได้ แต่ถ้ำออกขอ้ สอบก็คงตอบไปตำมฎีกำ

ฎกี าท่ี ๔๑๕๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๓๘ ผเู้ สียหายท่ี ๒ กู้ยืมเงินภรรยาของจาเลยโดยไม่ได้
ทาหลักฐานเป็นหนังสือ เมื่อผู้เสียหายที่ ๒ ไม่ชาระหน้ี จาเลยจึงเบียดบังเอารถยนต์ของผู้เสียหายที่
๒ ท่ีรับฝากในความครอบครองไว้เป็นของตนหรือบุคคลท่ีสามโดยทุจริต การกระทาของจาเลยจึง
เปน็ ความผดิ ฐานยกั ยอกตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ วรรคหน่งึ
ข้อสังเกต คดีนี้ผู้เสียหำยท่ี ๒ เป็นผู้เช่ำซ้ือรถยนต์จำกผู้เสียหำยที่ ๑ โดยผูเ้ สยี หำยท่ี ๑ ไมไ่ ด้เป็นหน้ี
จำเลย กำรเบยี ดบังเอำไปจงึ เป็นควำมผดิ ฐำนยักยอก

ฎกี าท่ี ๑๑๒๙๔/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๑๕ หลงั จากทาสัญญาเช่าซ้ือจาเลยชาระค่าเช่าซ้ือ
ให้ผู้เสียหายเพียง ๒ งวดแล้วไม่ชาระค่าเช่าซ้ืออีกเลย และจาเลยนารถท่ีเช่าซ้ือไปตีใช้หนี้ให้แก่ผู้อื่น
โดยจาเลยทราบอยู่แล้วว่ารถท่เี ช่าซื้อยังเป็นกรรมสทิ ธิ์ของผ้เู สียหาย เม่ือ จ. ไปตดิ ตามยึดรถท่เี ช่าซ้ือ

578

แต่จาเลยบ่ายเบ่ียงไม่ให้ความร่วมมือ พฤติการณ์ของจาเลยดังกล่าวบ่งช้ีให้เห็นว่าจาเลยมีเจตนา
เบียดบังเอาทรัพย์ของผู้เสียหายที่อยู่ในครอบครองของจาเลยไปโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐาน
ยกั ยอก

ฎีกาที่ ๗๐๗๗/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๔๔ จาเลยนาเงินที่โจทก์ร่วมและจาเลยมีกรรมสิทธ์ิ
ร่วมกนั ในฐานะหนุ้ สว่ นไปโดยอา้ งวา่ มีสทิ ธไิ ด้รับเงนิ ค่าหนุ้ และเงนิ ส่วนแบง่ กาไรจากการลงทุนร่วมกัน
เมื่อโจทก์ร่วมและจาเลยเป็นหุ้นส่วนกัน เงินที่จาเลยนาไปดังกล่าวจึงเป็นของผู้เป็นหุ้นส่วนร่วมกัน
จนกว่าจะมีการเลิกการเป็นหุ้นส่วนและมีการชาระบัญชี ดังนั้น แม้จาเลยจะมีความประสงค์จะเลิก
เปน็ หุ้นส่วนกับโจทก์ร่วม แต่เม่ือยังไม่มกี ารตกลงเลิกหุน้ ทั้งยังไมม่ ีการชาระบญั ชีวา่ เงินสว่ นนีจ้ ะเป็น
ของโจทก์ร่วมและจาเลยจานวนเท่าใด จาเลยจึงไม่มีสิทธิโดยชอบที่จะนาเงินท่ีเป็นของหุ้นส่วนไปใช้
เป็นประโยชน์แก่ส่วนตัว เม่ือจาเลยนาเงินจานวนดังกล่าวไปแล้วก็หลบหนีไม่ยอมกลับไปทางานอีก
จนเกือบหน่ึงปีจึงถูกจับกุม ย่อมแสดงได้ว่าจาเลยซ่ึงเป็นผู้ครอบครองเงินที่โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของ
รวมอยู่ด้วย ได้เบียดบังเอาเงินจานวนดังกล่าวนั้นไปเป็นของตนเองโดยทุจริต จาเลยจึงมีความผิด
ฐานยกั ยอก

ผู้กระทาผดิ ครอบครองทรัพยแ์ ล้วเบียดบังผิดยกั ยอกไมใ่ ชล่ ักทรพั ย์

ฎีกาที่ ๑๖๐๘๑-๑๖๐๘๓/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล. ๑๒ น. ๒๖๔ ความผิดฐานลักทรัพย์ ผู้กระทา
ต้องเอาทรัพย์ไปจากความครอบครองของผ้อู ื่น แต่โจทกท์ ้ังสามซื้อที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ โดยมอบให้
จาเลยช่วยจัดหาซื้อท่ีดินและจัดการปลูกต้นสนรวมทั้งดูแลต้นสน โจทก์ทั้งสามไม่ทราบแน่นอนว่า
ต้นสนอยู่ในท่ีดินตาแหน่งใด จาเลยเป็นผู้จัดการดูแลต้นสน ต้นสนของโจทก์ทั้งสามอยู่ในความ
ครอบครองของจาเลย การทจี่ าเลยตัดต้นสนโดยไมแ่ จ้งให้โจทก์ทั้งสามทราบ หรือได้รับความยนิ ยอม
จากโจทก์ท้ังสาม และจาเลยรับเงินค่าต้นสนทั้งหมดไปเป็นประโยชน์ของตนเองไม่เป็นความผิดฐาน
ลกั ทรพั ย์ตน้ สน แต่เปน็ ความผดิ ฐานยักยอก

ฎีกาที่ ๖๔๘๔-๖๔๘๕/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๙๒ จาเลยท่ี ๑ ได้รบั มอบหมายจากโจทก์ที่ ๑
ให้ครอบครองเช็คแทนเพื่อนาไปเข้าบัญชีธนาคาร การท่ีจาเลยทั้งสองนาเช็คไปเรียกเก็บเงินจาก
ธนาคารแทนที่จะฝากเข้าบัญชีธนาคาร แล้วยังเอาเงินท่ีเบิกมาได้แทนเช็คไปเป็นของตนเอง ย่อมผิด
ไปจากที่จาเลยที่ ๑ ได้รับคาสั่งมอบหมายจากโจทก์ที่ ๑ เป็นการกระทาท่ีเบียดบังทรัพย์ของโจทก์
ที่ ๑ เปน็ ของตนโดยทุจรติ อันเปน็ ความผดิ ฐานยกั ยอกทรพั ย์ ไมเ่ ป็นความผิดฐานลักทรัพย์

ฎีกาท่ี ๑๐๐๑๓/๒๕๕๓ ฎ.๑๙๑๙ จาเลยเป็นพนักงานของโจทก์ร่วมมีหน้าท่ีเก็บเงิน
ค่าสินค้าจากลูกค้าของโจทก์ร่วม และมีหน้าท่ีนาเงินสดหรือเช็คที่ลูกค้าของโจทก์ร่วมชาระค่าสินค้า
ใหโ้ จทก์ร่วมไปเขา้ บัญชขี องโจทก์รว่ มท่ีธนาคาร แต่จาเลยกลบั นาเช็คที่ได้รบั ซ่ึงระบชุ ื่อโจทก์ร่วมเป็น
ผูร้ ับเงิน แต่มิได้ขีดฆ่าคาว่าหรือผู้ถือออกไปเบิกเงินจากธนาคารแล้วเบียดบังเอาเงินค่าสินค้านั้นเป็น
ของตนเองโดยทุจริต โดยนาเอกสารหลักฐานอ่ืน เช่น นาเงินสดที่ลูกค้าชาระเป็นค่าสินค้าในครั้งอ่ืน
หรอื เช็คท่ีลูกคา้ ชาระเปน็ ค่าสนิ คา้ ในคร้ังอ่ืน หรอื เช็คท่ีลูกคา้ ชาระเป็นคา่ สนิ คา้ ในครั้งอ่ืน ซึ่งอาจเป็น

579

ลูกค้ารายเดียวกันหรือต่างรายกัน ท่ีมีการเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็คนั้นแลว้ มาลงรายการใน
ใบเสร็จรับเงินที่ออกให้แก่ลูกค้า แล้วส่งเป็นหลักฐานต่อโจทก์ร่วมว่าได้มีการนาเงินเข้าบัญชีของ
โจทก์ร่วมในครั้งน้ันแล้ว อันเป็นความเท็จ การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานยักยอกตาม
ป.อ. มาตรา ๓๕๒

ฎีกาท่ี ๕๒๖/๒๕๕๒ ฎ.๒๖๖ โจทก์มอบหมายให้จาเลยเป็นผู้ดูแลการเงินของร้านทรงสมัย
พิษณุโลก สาขาของโจทก์ เงนิ รายได้ของร้านท่ีจาเลยรับไว้โดยผู้จัดการสาขาดงั กลา่ วนาฝากเขา้ บัญชี
ของจาเลยเพ่ือให้จาเลยนาส่งไปที่สานักงานใหญ่ของโจทก์จึงตกเป็นของโจทก์ จาเลยมีหน้าที่ต้อง
นาส่งเงินรายได้ดังกล่าวให้แก่โจทก์แต่ไม่นาส่ง กลับเบียดบังเอาเงนิ นั้นเป็นของตนโดยทุจรติ จาเลย
จึงมีความผิดฐานยักยอกตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก

ฎีกาท่ี ๓๒๘๑/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๒๖ ความผิดฐานยักยอกเป็นเรื่องท่ีผู้ใดครอบครอง
ทรัพย์ซ่ึงเป็นของผู้อ่ืน หรือซ่ึงผู้อ่ืนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์น้ันเป็นของตนหรือ
บุคคลท่ีสามโดยทุจริต คาว่าโดยทุจริต หมายถึง การแสวงหาประโยชน์ท่ีมิควรได้โดยชอบด้วย
กฎหมายสาหรับตนเอง หรือผู้อ่ืน เม่ือจาเลยเป็นผู้จัดการมรดกมีหน้าที่จัดการทรัพย์มรดกเพ่ือ
ประโยชน์แก่ทายาทท้ังหลาย ในการประชุมทายาท โจทก์ขอแบ่งทรัพย์มรดกแต่จาเลยไม่ยินยอม
แสดงว่าจาเลยมีเจตนาเบียดบังเอาทรัพย์มรดกเป็นของตน มูลความแห่งคดีเกิดขึ้นในวันดังกล่าว
และโจทก์รเู้ รอ่ื งความผิดนับตงั้ แตน่ ้ัน หาได้นบั ต้งั แตโ่ จทกท์ ราบวา่ จาเลยขายทรัพยม์ รดก

ฎีกาที่ ๔๘๒๓/๒๕๕๒ ฎ.๑๗๑๒ โจทก์ประกอบกิจการให้เช่าซื้อรถแท็กซี่ มีเจ้าของรถ
แท็กซี่นารถมาร่วมกิจการกับโจทก์โดยใช้ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธ์ิรถและมอบให้โจทก์นา
รถแท็กซ่ีออกให้เช่าซื้อ แต่สัญญาเช่าซ้ือทากันระหว่างเจ้าของรถแท็กซ่ีกับผู้เช่าซ้ือ กาหนดชาระ
คา่ เช่าซอื้ เป็นรายวัน ในการนี้ โจทกว์ า่ จ้างจาเลยท่ี ๑ เป็นผเู้ ก็บคา่ เชา่ ซ้ือแทน จาเลยท่ี ๑ เกบ็ ค่าเช่า
ซื้อไว้แล้วไม่ส่งให้โจทก์ เบียดบังเอาเงินค่าเช่าซื้อท่ีรับไว้แทนโจทก์ไปโดยทุจริต จึงมีความผิดฐาน
ยกั ยอก และแมเ้ งนิ ดังกล่าวจะมิใชข่ องโจทก์ แต่โจทก์ตอ้ งส่งเงินดังกล่าวให้แก่เจ้าของรถหลังจากหัก
ค่าใช้จ่ายของโจทกแ์ ล้ว โจทกจ์ งึ อยู่ในฐานะผเู้ สยี หาย มีอานาจฟ้องจาเลยท้ังสอง

ฎีกาที่ ๕๘๘๓/๒๕๕๒ ฎ.๑๑๔๗ จาเลยซึ่งเป็นนายวงแชร์มีหน้าท่ีนาเช็คทั้งหกฉบับจาก
ลูกวงแชร์ท่ียังประมูลแชร์ไม่ได้ไปมอบให้ผู้เสียหาย การท่ีจาเลยเอาเช็คตามฟ้องท้ังหกฉบับ
ท่ีลูกวงแชร์สั่งจ่ายให้ผู้เสียหายไปเรียกเก็บเงินในบัญชีของตนเอง ก็เพ่ือประโยชน์ของจาเลยโดยที่
จาเลยไม่มีสิทธิ การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานเอาไปเสียซ่ึงเอกสารของผู้อ่ืนตาม ป.อ.
มาตรา ๑๘๘

ส. ซึ่งเป็นลูกวงแชร์ประมูลแชรไ์ ด้ จาเลยซึ่งเป็นนายวงแชร์ไดร้ ับเช็คตามฟ้องจากลูกวงแชร์
ที่ยังประมูลไม่ได้เพื่อนาไปมอบให้แก่ ส. แต่จาเลยมิได้นาไปมอบให้ ส. กลับนาเช็คดังกล่าวไปเรียก
เก็บเงินในบัญชีของตนเองและถอนเงินไป ดังนี้ จาเลยในฐานะนายวงแชร์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม
ข้อตกลงการเล่นแชร์ว่า เม่ือจาเลยได้เช็คจากลูกวงแชร์แล้วจะต้องนาเช็คไปมอบให้ ส. ซึ่งประมูล
แชร์ได้ การที่จาเลยรับเช็คตามฟ้องจึงเป็นการรับไว้แทน ส. เมื่อจาเลยนาเช็คไปเรียกเก็บเงินและ

580

ถอนเงินออกจากบัญชี จึงเป็นการครอบครองเงินของ ส. แล้วเบียดบังเอาเงินน้ันไป ส. จึงเป็น
ผู้เสยี หายในความผดิ ฐานยักยอกเงินตามเช็ค
ข้อสังเกต คดีน้ีโจทก์ไม่ได้ฟ้องว่ำจำเลยลักเช็คตำมมำตรำ ๓๓๔ แต่ฟ้องว่ำเอำไปเสียซึ่งเอกสำรของ
ผอู้ นื่ ตำมมำตรำ ๑๘๘ เพรำะขอ้ หำตำมมำตรำ ๑๘๘ มโี ทษหนกั กว่ำขอ้ หำตำมมำตรำ ๓๓๔

คดีนีโ้ จทก์ฟอ้ งว่ำจำเลยเอำไปเสยี ซ่งึ เช็คซ่ึงเปน็ เอกสำรของผอู้ ื่นตำมมำตรำ ๑๘๘ กรรมหน่ึง
และฟ้องว่ำเมื่อนำเช็คไปเรียกเก็บเงินแล้วยักยอกเงินอีกกรรมหน่ึง ศำลฎีกำได้วินิจฉัยว่ำผิดมำตรำ
๑๘๘ กรรมหนงึ่ และผิดมำตรำ ๓๕๒ อีกกรรมหน่ึง

กำรเอำเช็คไปข้ึนเงินของจำเลยศำลฎีกำไม่ได้วินิจฉัยว่ำผิดฐำนลักทรัพย์หรือยักยอกเพรำะ
โจทก์ไม่ได้ฟ้อง ผู้แต่งเห็นว่ำจำเลยน่ำจะมีควำมผิดฐำนลักเช็ค เพรำะกำรที่จำเลยยึดถือเช็คไว้เป็น
กำรยึดถือแทนผู้ประมูลแชร์ได้ จำเลยไม่ได้ยึดถือเช็คเพื่อตน จำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองเช็ค
เมื่อจำเลยเอำเช็คไปข้ึนเงิน จึงเป็นกำรเอำไปซ่ึงเป็นกำรแย่งกำรครอบครองเช็คของผู้อ่ืนโดยทุจริต
อันเป็นควำมผิดฐำนลักทรัพย์ตำมมำตรำ ๓๓๔ เหมือนกับกรณีลูกจ้ำงขับรถของนำยจ้ำงไปส่งของ
แลว้ เอำรถไปเปน็ ลักทรพั ยข์ องนำยจ้ำง

คดีน้ีถ้ำฟ้องว่ำลักเช็คกรรมหนึ่ง และยักยอกเงินกรรมหน่ึง น่ำจะวินิจฉัยว่ำผิดฐำนลักเช็ค
บทหนึง่ และยักยอกเงินอีกบทหนงึ่ ซึง่ เป็นกรรมเดยี วผิดกฎหมำยหลำยบทโดยเทยี บเคียงจำกฎีกำสอง
เร่ือง หรืออำจคิดไปไกลขนำดว่ำไม่ผิดยักยอกเงิน เพรำะเม่ือลักเช็คแล้วย่อมไม่ผิดเกี่ยวกับทรัพย์
ที่ลักอีก ประเด็นนี้หำกออกเป็นข้อสอบ ก็คงต้องแล้วแต่วำสนำของผู้สอบ เพรำะคำพิพำกษำฎีกำ
ตรง ๆ ไม่มี และกำรออกข้อสอบเนติฯ หรือข้อสอบผู้ช่วยฯ มักจะนำคำพิพำกษำฎีกำหลำย ๆ เร่ือง
มำแต่งข้อสอบ ส่วนธงคำตอบก็ต้องแล้วแต่ที่ประชุมคณะกรรมกำรว่ำจะวำงธงคำตอบว่ำผลเป็น
อย่ำงไร ซึ่งปกติก็จะทำธงคำตอบตำมฎีกำ แต่บำงคร้ังธงคำตอบที่คณะกรรมกำรเสียงข้ำงมำกมีมติ
ก็เป็นธงท่ีไม่ตรงกับอำจำรย์ที่ออกข้อสอบกม็ ี หรือที่บำงคร้ังเขำเรียกกันว่ำคนออกข้อสอบยังสอบตก
แต่น่ีเป็นกติกำของกำรสอบเนติฯ หรือสอบผู้ช่วยฯ ท่ีกำรเลือกข้อสอบก็เป็นเสียงข้ำงมำกของ
ที่ประชุมคณะกรรมกำร และธงคำตอบก็เป็นไปตำมเสียงข้ำงมำกของที่ประชุมคณะกรรมกำร
ซึ่งแตกต่ำงจำกอำจำรย์ผู้ออกข้อสอบได้ จุดนี้ถือเป็นจุดแข็งของกำรสอบเนติฯ หรือสอบผู้ช่วยฯ
เพรำะข้อสอบของใครจะได้รับเลือกก็ไม่มีใครรู้ และธงคำตอบจะเป็นอย่ำงไรก็ไม่มีใครรู้ จึงบอก
ข้อสอบและช่วยกันไม่ได้ ใครท่ีเก็งแม่นแต่ธงถูกพลิกก็ต้องยอมรับกติกำ ผู้แต่งเองก็เคยเจอด้วย
ตัวเองมำแล้วในกำรสอบผู้ช่วยฯ บำงข้อซ่ึงในปัจจุบันผู้แต่งก็ยังเห็นว่ำคำตอบที่ผู้แต่งตอบไปน่ำจะ
เป็นคำตอบท่ีถูกต้องตำมหลักกฎหมำยและฎีกำมำกกว่ำ แต่แตกต่ำงจำกควำมเห็นของ
คณะกรรมกำรซึ่งผู้แต่งก็ยอมรับผลน้ันได้ โดยทำใจไว้วำ่ นีเ่ ป็นกติกำของกำรสอบผู้ชว่ ยฯ ซงึ่ ตอ่ มำก็มี
ฎีกำท่ี ๘๒๐/๒๕๕๘ วินิจฉัยว่ำเป็นยักยอกเช็คไม่ใช่ลักเช็ค ถ้ำไม่ได้เห็นฎีกำผู้แต่งคงสอบตกข้อน้ี

แต่ถ้ำนำข้อเท็จจริงตำมฎีกำเดียวมำแต่งคำถำม ธงคำตอบคงต้องเป็นไปตำมท่ีศำลฎีกำ
วินิจฉัย เพรำะหำกธงคำตอบไม่ตรงกับฎีกำกรรมกำรคงจะเถยี งกันมำกกว่ำผ้สู อบเสยี อกี

ฎีกาท่ี ๘๒๐/๒๕๕๘ ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ และความผิดฐาน

581

เอาไปเสียซ่ึงเอกสารตาม ป.อ. มาตรา ๑๘๘ นั้น แตกต่างกัน การกระทาของจาเลยจะเป็นความผิด
ฐานใดนั้น ต้องข้ึนอยู่กับองค์ประกอบของแต่ละความผิดนั้น เมื่อจาเลยเป็นผู้ครอบครองเช็คพิพาท
โดยโจทก์เป็นผู้มอบการครอบครองให้แก่จาเลย การท่ีจาเลยเอาเช็คพิพาทของโจทก์ไปเรียกเก็บเงิน
นอกจากเป็นความผิดฐานยักยอกแล้ว ย่อมเป็นการกระทาให้เช็คพิพาทน้ันไร้ประโยชน์ท่ีจะใช้ได้อีก
การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานเอาไปเสียซ่ึงเอกสารของผู้อ่ืนตาม ป.อ. มาตรา ๑๘๘
อีกบทหนงึ่ ด้วย

ฎีกาที่ ๒๒๘๔/๒๕๔๗ ฎ.๑๓๙๕ จาเลยเป็นลูกจ้างมีหน้าท่ีขายสินค้าและเก็บเงินของ
ผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายให้สิทธิจาเลยจาหน่ายและรับผิดต่อสินค้าของผู้เสียหายที่อยู่ในความ
ครอบครองของจาเลย เมื่อจาเลยเบียดบังเอาราคาค่าสินค้าไปเป็นของจาเลยโดยทุจริตย่อมมี
ความผิดฐานยักยอกแล้ว การท่ีผ้เู สยี หายใหจ้ าเลยหาหลักประกันมาค้าประกันการรับมอบสินค้าของ
ผู้เสียหายไปจาหน่ายมีผลเพียงว่าจาเลยจะได้เป็นผู้ท่ีน่าไว้วางใจท่ีผู้เสียหายจะมอบสินค้าให้ไป
ครอบครองเพื่อจาหน่าย ส่วนข้อผูกพันที่จาเลยต้องรับผิดชดใช้ในทางแพ่งก็เป็นธรรมเนียมท่ีปฏิบัติ
กันท่ัวๆไปในทางการค้า หากว่าจาเลยกระทาการไปโดยทุจริต การที่จาเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง
อาจเป็นการผิดสัญญาทางแพ่งและเป็นความรับผิดในทางอาญาก็ได้หากจาเลยกระทาโดยมีเจตนา
ทุจรติ เบียดบงั เอาราคาสนิ ค้าของผ้เู สยี หายเป็นของตน
ข้อสังเกต โดยปกติแล้วกำรที่ลูกจ้ำงยึดถือทรัพย์สิน จะเป็นกำรยึดถือแทนนำยจ้ำง โดยลูกจ้ำงไม่มี
สทิ ธคิ รอบครอง อยำ่ งไรก็ดี กรณีระหว่ำงลูกจ้ำงกับนำยจ้ำง หำใช่ว่ำลกู จ้ำงเปน็ แต่ผู้ยึดถือทรพั ยข์ อง
นำยจ้ำงทุกกรณีไปไม่ แม้ในกำรกระทำตำมหน้ำที่ ก็อำจมีกรณีที่ถือได้ว่ำลูกจ้ำงเป็นผู้ครอบครอง
ทรัพยข์ องนำยจำ้ ง มิใชเ่ พียงแตย่ ึดถือไว้แทนนำยจ้ำงเทำ่ นั้น ซึ่งต้องแลว้ แตพ่ ฤติกำรณ์ระหวำ่ งลูกจ้ำง
กับนำยจ้ำง ว่ำลูกจ้ำงเก่ียวข้องกับทรัพย์ถึงขนำดท่ีนำยจ้ำงมอบหมำยกำรครอบครองให้ด้วยหรือไม่
เด็กรับใช้ในร้ำนรับสตำงค์ทอนไปให้ผู้ซ้ือของ แต่เด็กรับใช้เอำสตำงค์นั้นไปเสีย เป็นลักทรัพย์ แต่ถ้ำ
ใช้เสมียนเอำเงินจำกกรุงเทพฯ ไปชำระหนี้ที่อยุธยำ เสมียนเอำเงินไปเสีย คงจะเป็นยักยอก
(ศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทย์. กฎหมำยอำญำภำค ๒ ตอน ๒ และภำค ๓, หัวข้อ ๑๑๙๖ หนำ้ ๕๕๔)

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๓๕๒ วรรคสอง

ฎีกาที่ ๘๕๕๒/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๔๑ จาเลยใช้บัตรเอทีเอ็มของตนเบิกถอนเงินได้นั้น
เป็นเพราะมีเงินโอนเข้าบัญชีของจาเลยโดยผิดพลาด เงินจานวนที่จาเลยเบิกถอนไปน้ัน ได้ตกมาอยู่
ในความครอบครองของจาเลยเพราะโจทก์รว่ มส่งมอบให้โดยสาคัญผิด การกระทาของจาเลยจึงเป็น
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ วรรคสอง หาใช่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องไม่

582

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๓๕๓

ฎกี าที่ ๑๙๓๙/๒๕๖๐ ฎ.๒๓๐ จาเลยมีฐานะเป็นตวั แทนของโจทก์ในกิจการทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกับ
การให้กยู้ ืมเงินเพื่อการศึกษาตามวัตถุประสงคข์ องโจทก์โดยจาเลยไดเ้ ปิดบัญชเี งินฝากกับธนาคาร ก.
ช่ือบัญชี “เงินให้กู้ยืมเพ่ือการศึกษาวิทยาลัย ป.”ีตามท่ีกาหนดไว้ในระเบียบคณะกรรมการกองทุน
ให้กยู้ ืมเงินเพื่อการศึกษาว่าด้วยการดาเนินงาน หลักเกณฑ์และวิธีการกู้ยมื เงินกองทุนใหก้ ู้ยมื เงินเพ่ือ
การศึกษา ข้อ ๓๓ เพ่อื ใช้ในกิจการของโจทก์ดังกล่าว มใิ ช่เปิดบัญชเี พื่อกจิ การของจาเลย บัญชพี เิ ศษ
ท่ีเปิดข้ึนแยกต่างหากจากธุรกรรมอ่ืนของโรงเรียน สถานศึกษาหรือสถาบันการศึกษา มีจุดประสงค์
เพียงอย่างเดียวเพือ่ รอนาไปชาระคา่ เล่าเรยี นและคา่ ใช้จ่ายทเ่ี ก่ียวเน่อื งกบั การศกึ ษาของนกั เรยี นหรือ
นักศึกษาผู้ที่กู้ยืมเงินจากโจทก์เท่าน้ัน โจทก์โอนเงินเข้าไปในบัญชีเป็นการโอนเงินมาตามจานวนเงิน
ท่ีนักเรียนหรือนักศึกษาขอกู้ยืมจากโจทก์ แต่ยังไม่ถือเป็นการชาระค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่าย
ท่ีเกี่ยวเนื่องกับการศึกษาของผู้กู้ยืม เน่ืองจากยังมีข้ันตอนสาคัญที่ต้องให้ผู้บริหารสถานศึกษา
ตรวจสอบเสียก่อนวา่ นักเรียนหรือนักศึกษาผูข้ อกู้ยมื น้ันได้ลงทะเบียนต่อสถานศึกษาตามที่ขอก้ยู ืมไว้
ต่อโจทก์แล้วหรือไม่ หากนักเรียนหรือนักศึกษาผู้ขอกู้ยืมไม่ลงทะเบียนเรียนตามที่ขอกู้ยืมเงินกับ
โจทก์ไว้ ผู้บริหารสถานศึกษาต้องแจ้งให้ผู้บริหารและจัดการเงินให้กู้ยืม (ธนาคาร ก.) ทราบภายใน
สิบห้าวันนับแต่วันส้ินสุดการลงทะเบียนในแต่ละภาคการศึกษา เพื่อระงับการโอนเงินให้กู้ยืมเงิน
ดังกล่าวไว้ก่อน และผู้บริหารสถานศึกษามีหน้าท่ีต้องส่งเงินของผู้กู้ยืมท่ีไม่ได้ใช้ตามท่ีกาหนดไว้ใน
สญั ญากู้ยืมให้แก่กองทนุ โจทก์ก่อนส้ินแตล่ ะภาคการศึกษาของสถานศึกษา ท้ังนี้ เป็นไปตามระเบียบ
ของคณะกรรมการกองทุนเงนิ ให้กู้ยืมเพ่ือการศึกษาว่าด้วยการดาเนินงานหลักเกณฑ์และวิธีการกู้ยืม
เงินให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๕ และข้อ ๖ ซึ่งแก้ไขระเบียบเดิมฉบับปี
พ.ศ. ๒๕๔๖ ข้อ ๓๘ และข้อ ๔๓/๑ ตามลาดับ ดังนี้ ต้องถือว่าเงินในบัญชีตั้งพักดังกล่าวตลอดจน
ดอกผลของเงินจานวนน้ี (หากมี) ยังคงเป็นของโจทก์จนกว่าจะมีการดาเนินการดังกล่าวแล้วเสร็จ
การท่ีจาเลยถอนเงินออกจากบัญชีตั้งพักหรือบัญชีเงินฝากธนาคาร ก. แล้วซ้ือแคชเชียร์เช็คธนาคาร
ให้แก่องค์การตลาดเพ่ือการเกษตร จึงเป็นการนาเงินไปใช้ในกิจการอ่ืน อันเป็นการผิดวัตถุประสงค์
ของโจทก์ตาม พ.ร.บ. กองทุนให้กู้ยืมเพ่ือการศึกษา มาตรา ๑๑ โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายโดยตรงมี
อานาจฟ้องจาเลย การกระทาของจาเลยเป็นความผิดฐานเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สิน
ของผู้อ่ืนกระทาผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่
ประโยชนใ์ นลักษณะทเ่ี ป็นทรพั ย์สนิ ของผู้น้นั ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๓

ฎีกาท่ี ๒๒๖๖/๒๕๕๘ ฎ.๘๒๕ จาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ เป็นกรรมการผู้มีอานาจกระทาการ
แทนโจทก์ โดยจาเลยท่ี ๑ เป็นกรรมการผจู้ ัดการ จาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ ย่อมเปน็ ผไู้ ด้รับมอบหมายให้
จัดการทรัพย์สินของผู้อ่ืนหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย การท่ีโจทก์โดยจาเลยที่ ๑ และที่ ๒
ในฐานะกรรมการผู้มีอานาจลงลายมือชื่อและประทับตราสาคัญกระทาการแทนโจทก์ทาสัญญา
ค้าประกันหนี้ของจาเลยท่ี ๕ ต่อธนาคารรวม ๕ คร้ัง โดยไม่ปรากฏว่าได้รับความเห็นชอบจากมติ
ท่ีประชุมผู้ถือหุ้นและคณะกรรมการของโจทก์ ทั้งไม่ปรากฏว่าเหตุใดท่ีโจทก์ต้องค้าประกันหน้ีของ

583

จาเลยท่ี ๕ โดยที่โจทก์ไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ ในอันท่ีจะถือว่าจาเลยที่ ๑ และท่ี ๒ กระทาตาม
อานาจหน้าที่และอยู่ในวัตถุประสงค์ของโจทก์ซ่ึงประกอบธุรกิจหากาไร การกระทาของจาเลยที่ ๑
และที่ ๒ เป็นการกระทาผิดหน้าท่ีของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริต เพราะได้ประโยชน์จากการ
เป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการของจาเลยท่ี ๕ และก่อให้เกิดภาระแก่โจทก์ท่ีจะต้องรับผิดในฐานะ
ผู้ค้าประกัน เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้ถือหุ้น จาเลย
ท่ี ๑ และที่ ๒ มคี วามผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๓ ประกอบมาตรา ๘๓ รวม ๕ กระทง

ฎีกาที่ ๑๐๕๕๘/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๖๕ การท่ีโจทก์ยินยอมให้จาเลยท่ี ๑ ซ่ึงเป็นธนาคาร
พาณิชย์ มีสิทธินาเงนิ ฝากประจาของโจทก์มาชาระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีได้ เป็นการกู้ยืม
เงินโดยมีเงินฝากประจาเป็นหลกั ประกัน เมอ่ื โจทก์แจง้ ให้จาเลยท่ี ๑ นาเงินฝากประจามาหักกลบหนี้
แล้ว แต่จาเลยท่ี ๑ ไม่ปฏิบัติตามยังคงคิดดอกเบี้ยจากโจทก์ต่อไปอีก โดยจาเลยที่ ๑ อ้างว่าโจทก์
ยังมิได้นาหนังสือรับรองสินเช่ือมาคืนให้จาเลยที่ ๑ เช่นนี้ หากโจทก์เห็นว่าจาเลยท่ี ๑ ผิดสัญญา
ไมป่ ฏบิ ัติตามขอ้ ตกลง โจทก์ชอบทีจ่ ะดาเนินคดจี าเลยท่ี ๑ เป็นคดีแพ่ง เงนิ ฝากของโจทกท์ ่ีฝากไว้กับ
จาเลยท่ี ๑ ย่อมตกเป็นกรรมสิทธ์ิของจาเลยท่ี ๑ ต้ังแต่ที่มีการฝากเงนิ จาเลยที่ ๑ คงมีหน้าทีค่ ืนเงิน
ให้ครบจานวนเท่าน้ันตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๗๒ จึงมิใช่เป็นการท่ีโจทก์มอบหมายให้จาเลยท่ี ๑
จดั การทรพั ย์สนิ ของตน การกระทาของจาเลยทั้งสองไม่เป็นความผดิ ฐานยักยอก

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๓๕๔

ฎีกาท่ี ๘๖๕๑/๒๕๕๘ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๐๙ จาเลยท่ี ๑ กับ บ. มีบุตรคือโจทก์และจาเลย
ท่ี ๒ เม่ือ บ. ถึงแก่ความตาย จาเลยที่ ๑ ฐานะผู้จัดการมรดกของ บ. โอนท่ีดินอันเป็นทรัพย์มรดก
ของ บ. ให้แก่จาเลยที่ ๒ เพียงผู้เดียว โดยจาเลยที่ ๒ ยอมรับว่าจาเลยท่ี ๒ เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดู
จาเลยท่ี ๑ ในการร้องขอต้ังผู้จัดการมรดกของ บ.จาเลยท่ี ๒ เป็นผู้เตรียมเอกสารและจัดหา
ทนายความแก่จาเลยที่ ๑ และวันที่ไปโอนทรัพย์มรดกของ บ. ที่สานักงานที่ดินน้ัน จาเลยที่ ๒ กับ
จาเลยที่ ๑ ไปดาเนินการจดทะเบยี นด้วยตนเองจนแล้วเสร็จ จาเลยที่ ๒ ร่วมรู้เห็นกับจาเลยที่ ๑ มา
ตั้งแต่ต้น ถือได้ว่าจาเลยทั้งสองเป็นตัวการร่วมกันโดยสมคบกันมาก่อนโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผล
หรือย่อมเล็งเห็นผลที่อาจเกิดข้ึนร่วมกัน มิใช่เป็นเรื่องท่ีจาเลยท่ี ๑ กระทาความผิดเพียงลาพัง แต่
จาเลยท่ี ๒ เป็นเพียงผู้รับโอนทรัพย์มรดกของ บ. มิได้กระทาในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้อื่นตาม
คาสั่งศาล คงลงโทษเพียงผู้สนับสนุนการกระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๓, ๓๕๔ ประกอบ
มาตรา ๘๖

ฎีกาท่ี ๙๘๗/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๔ น.๒๘ จาเลยท่ี ๑ เป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกที่ดินพร้อม
ตึกแถวพิพาท เป็นผจู้ ัดการมรดกตามคาส่ังศาล ได้รบั มอบหมายให้จัดการทรัพยส์ ินของผู้อื่น กระทา
ผิดหนา้ ท่ขี องตนโดยทุจริต โดยจดทะเบียนโอนทรัพย์สนิ น้ันเป็นของตน เปน็ เหตุใหเ้ กิดความเสียหาย
แก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้อ่ืน เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๓ ประกอบ

584

มาตรา ๓๕๔ ซ่ึงเป็นบทเฉพาะแลว้ จึงไม่จาต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา ๓๕๒ ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก
แม้จาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ รับโอนทรัพย์มรดกจากจาเลยที่ ๑ โดยไม่สุจริตอันเป็นการสมคบ

กับจาเลยท่ี ๑ กระทาความผิดด้วยก็ตาม แต่ก็ไม่อาจลงโทษจาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ในฐานเป็นตัวการ
ร่วมกับจาเลยท่ี ๑ ได้ เพราะจาเลยที่ ๒ และท่ี ๓ ไม่ได้กระทาในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้อ่ืน
ตามคาสั่งศาล คงลงโทษได้เพียงผู้สนับสนุนการกระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๓, ๓๕๔
ประกอบด้วยมาตรา ๘๖

585

รบั ของโจร

ข้อ ๙๖ คาถาม นายเอกชิงทรัพย์ทองคาแท่งและเข็มขัดทองคาของนายโทไป นายเอกนา
ทองคาแท่งไปขายที่ร้านขายทอง เจ้าของร้านทองไม่รู้ว่านายเอกชิงทรัพย์ทองคาแท่งมาจึงรับซื้อไว้
ตอ่ มานายตรไี ปซ้ือทองคาแท่งจากร้านทองโดยสุจริต แล้วนายตรีนาทองคาแท่งขายให้นายจัตวาโดย
นายจัตวาเข้าใจว่าทองคาแท่งดังกล่าวเป็นของนายโทท่ีถูกลักไปเพราะนายเอกเล่าให้ฟังว่าเป็น
ทองคาแท่งท่ีนายเอกลักมาโดยนายเอกทาตาหนิไว้ที่ทองคาแท่ง แต่เนื่องจากวันนั้นทองคาราคา
ลดลงรวดเร็วมากมีคนแห่ไปซ้ือทองคาแท่งเป็นจานวนมาก ร้านทองไม่มีทองคาแท่งขาย นายจัตวา
อยากได้ทองคาแท่งจึงซ้ือจากนายตรีในราคาตลาดเพราะอยากเก็งกาไรราคาทองคา ต่อมา
เจ้าพนักงานบังคับคดียึดเข็มขัดทองคาจากความครอบครองของนายเอกไปขายทอดตลาดชาระหนี้
ให้แก่เจ้าหนี้ตามคาสั่งศาล นายเบญจซื้อเข็มขัดทองคาจากการขายทอดตลาดตามคาส่ังศาล
โดยสุจริต นายเบญจขายเข็มขัดทองคาให้แก่นายสัตตโดยนายสัตตทราบว่าเข็มขัดทองคาเป็นของ
นายโทท่ีถกู นายเอกชิงทรัพยม์ า

ใหว้ นิ ิจฉยั วา่ นายตรี นายจตั วา และนายสัตต มีความผดิ อาญาฐานใดหรอื ไม่
คาตอบ ความผิดฐานรับของโจรน้ัน ทรัพย์ท่ีรับไวจ้ ะต้องมีสภาพเป็นของโจรอยู่ หากส้ิน
สภาพการเป็นของโจร การกระทาของผู้รบั ไว้ก็ไมอ่ าจเป็นความผิดฐานรับของโจรได้
ทองคาแท่งเป็นของโจรที่ได้มาจากการชิงทรัพย์ การท่ีนายเอกนาทองคาแท่งไปขายให้ร้าน
ทอง แม้เจ้าของร้านทองซ้ือไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นของโจร แต่ทองคาแท่งก็ยังไม่ส้ินสภาพการเป็นของ
โจร เม่ือร้านทองขายทองคาแท่งให้แก่นายตรี แม้การที่นายตรีซ้ือทองคาแท่งจะเป็นการรับไว้
ซึ่งทองคาแท่งอันเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทาความผิดฐานชิงทรัพย์ ครบองค์ประกอบ
ภายนอกของความผิดฐานรับของโจร เพราะทองคาแท่งยังมีสภาพเป็นของโจร แต่การท่ีนายตรี
ซ้ือทองคาแท่งจากร้านทองโดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการชิงทรัพย์ ต้องถือว่านายตรีไม่มี
เจตนากระทาความผิด นายตรจี ึงไม่มีความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๓๕๗ วรรคสอง
แม้นายตรีซื้อทองคาแท่งจากร้านทองโดยสุจริต แต่นายตรีผู้ซ้ือทรัพย์สินมาโดยสุจริตจาก
พ่อค้าซ่ึงขายของชนิดน้ัน กฎหมายกาหนดเพียงว่า ไม่จาต้องคืนให้แก่เจ้าของที่แท้จริง เว้นแต่
เจ้าของจะชดใช้ราคาท่ีซ้ือมา กรรมสิทธิ์ในทองคาแท่งจึงยังเป็นของนายโทเจ้าของเดิมและ
ยังเป็นของโจรอยู่ แม้นายตรีจะไม่มคี วามผิดฐานรับของโจรดังที่วนิ จิ ฉยั มาแล้ว กเ็ ปน็ เหตุส่วนตัว
ของนายตรี (ดูเพ่ิมเติมในคำอธิบำยประมวลกฎหมำยอำญำ ภำค ๒ ตอน ๒ และภำค ๓ โดย
ศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภทั ิย์ ๒๕๕๓ หัวขอ้ 1375 หนำ้ ๑๐๓๘)
การที่นายจัตวาซ้ือทองคาแท่งไว้นั้น แม้เป็นการรับไว้ซึ่งทองคาแท่งอันเป็นทรัพย์ท่ีถูก
ชิงทรัพย์มาอันเป็นการกระทาที่ครบองค์ประกอบภายนอกของความผิดตามมาตรา ๓๕๗
วรรคสอง แต่การจะลงโทษนายจัตวาให้หนักข้ึนตามลักษณะฉกรรจ์ดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่อได้ความ
ว่าในขณะกระทาความผิดนายจัตวาได้รู้อยู่ว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทา

586

ความผิดฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา ๖๒ วรรคท้าย เม่ือนายจัตวาซ้ือทองคาแทง่ จากนายตรีโดยเข้าใจ
ว่าเป็นทองคาแท่งที่ถูกลักมา โดยไม่รู้ว่าทองคาแท่งเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทาความผิดฐาน
ชิงทรัพย์ จึงไม่อาจลงโทษนายจัตวาในความผิดฐานรับของโจรตามมาตรา ๓๕๗ วรรคสอง ได้
การกระทาของนายจตั วาคงเป็นความผิดฐานรับของโจรตามมาตรา ๓๕๗ วรรคแรก ตามเจตนา
ของนายจตั วาเทา่ น้นั (ฎีกาท่ี ๓๓๓๙/๒๕๕๒)

การที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดเข็มขัดทองคาจากความครอบครองของนายเอกไปขาย
ทอดตลาดชาระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคาส่ังศาล แม้เข็มขัดทองคามิใช่ของนายเอก แต่นายเบญจซื้อ
เข็มขัดทองคาจากการขายทอดตลาดตามคาส่ังศาลโดยสุจริต สิทธิของนายเบญจไม่เสียไป
มีผลให้กรรมสิทธ์ิในเข็มขัดทองคาของนายโทสูญสิ้นไป และเข็มขัดทองคาตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ
นายเบญจแล้ว เข็มขัดทองคาจึงสน้ิ สภาพการเป็นของโจร เม่ือนายเบญจซึ่งเปน็ เจ้าของกรรมสิทธ์ิ
เข็มขัดทองคาขายเข็มขัดทองคาให้แก่นายสัตต การกระทาของนายสัตตจึงขาดองค์ประกอบ
ภายนอก คือไม่มีกรรมสิทธิ์ในเข็มขัดทองคาของนายโทซึ่งเป็นของโจรแล้ว แม้นายสัตตทราบว่า
เข็มขัดทองคาเคยเป็นของนายโทท่ีถูกนายเอกชิงทรัพย์มา แต่การกระทาของนายสัตตก็ไม่เป็น
ความผิดฐานรับของโจรตามมาตรา ๓๕๗ วรรคสอง เพราะไม่มีของโจรอันเป็นองค์ประกอบ
ภายนอกของความผิดแล้ว (ดูเพ่ิมเติมในคำอธิบำยประมวลกฎหมำยอำญำ ภำค ๒ ตอน ๒ และ
ภำค ๓ โดยศำสตรำจำรย์จิตติ ตงิ ศภทั ิย์ ๒๕๕๓ หวั ขอ้ 1375 หนำ้ ๑๐๓๘)

ฎีกาที่ ๓๓๓๙/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๔๒ แม้การกระทาความผิดฐานรับของโจรของจาเลย
ได้กระทาต่อทรัพย์อันได้มาโดยการชิงทรัพย์ ซ่ึงต้องด้วยลักษณะฉกรรจ์ในความผิดฐานรับของโจร
ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๗ วรรคสอง ก็ตาม แต่การจะลงโทษจาเลยให้หนักข้ึนตามลักษณะฉกรรจ์
ดังกล่าวได้ก็ต่อเม่ือได้ความว่าในขณะกระทาความผิดจาเลยได้รู้อยู่ว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นทรัพย์
อันได้มาโดยการกระทาความผิดฐานชิงทรัพย์ ท้ังนี้ตามมาตรา ๖๒ วรรคท้าย ซ่ึงในข้อนี้ได้ความ
เพียงว่า จาเลยรับรถยนต์กระบะของกลางมาจาก ข. เท่านั้น โดยไม่ปรากฏว่าขณะกระทาความผิด
จาเลยได้รู้แล้วว่ารถยนต์กระบะของกลางเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทาความผิดฐานชิงทรัพย์
จึงไม่อาจลงโทษจาเลยในความผิดฐานรับของโจรตามมาตรา ๓๕๗ วรรคสอง ได้ การกระทาของ
จาเลยคงเป็นความผดิ ฐานรับของโจรตามมาตรา ๓๕๗ วรรคแรก เท่านัน้
ข้อสังเกต ข้อเท็จจริงคดีนี้รบั ฟังได้ว่ำ จำเลยรู้ว่ำรถยนต์กระบะของกลำงเป็นทรัพย์อันได้มำโดยกำร
กระทำควำมผิดฐำนลักทรัพย์ จำเลยจึงมีเจตนำซ่ึงครบองค์ประกอบควำมผิดฐำนรับของโจรตำม
มำตรำ ๓๕๗ วรรคแรก

แต่ถ้ำจำเลยไม่รู้ว่ำรถยนต์กระบะของกลำงเป็นทรัพย์อันได้มำโดยกำรกระทำควำมผิดฐำน
ลักทรัพย์ ก็ต้องถือว่ำจำเลยไม่มีเจตนำกระทำควำมผิดฐำนรับของโจร ก็จะไม่มีควำมผิดตำมมำตรำ
๓๕๗ วรรคแรก ด้วย เชน่ ฎกี ำท่ี ๙๖๒๐/๒๕๕๑

587

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๓๕๗

ฎีกาท่ี ๖๙๗๒-๖๙๗๓/๒๕๕๘ ฎ.๓๒๐๔ จาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ มีอาชีพรับซื้อของเก่า
แต่กลับรับฝากทองแดงแผ่นจานวนมากและมีราคาสูงจากจาเลยที่ ๑ และ ท. ซ่ึงไม่เคยรู้จักกัน
มาก่อน แล้วจาเลยท่ี ๒ ยังช่วยติดต่อจาหน่ายทองแดงแผ่นนั้นให้จาเลยท่ี ๑ และ ท. จนมีการโอน
เงินค่าซ้ือทองแดงแผ่นเข้าบัญชีเงินฝากของจาเลยที่ ๓ โดยจาเลยท่ี ๒ รับว่าได้ผลประโยชน์จาก
ส่วนต่างที่ขายให้จาเลยท่ี ๔ ท้ังเมื่อพันตารวจเอก อ. ไปตรวจค้นร้านค้าของเก่า จาเลยท่ี ๒ และ
ที่ ๓ ไม่เต็มใจให้ความร่วมมือและให้การเบ้ืองต้นว่า ไม่เคยรับซื้อทองแดงแผ่นน้ัน ส่อพิรุธแห่งการ
กระทาที่ไม่สุจริตของจาเลยที่ ๒ และท่ี ๓ ผิดปกติวิสัยของผู้มีวิชาชีพในการรับซ้ือของเก่า บ่งชี้ว่า
จาเลยที่ ๒ และที่ ๓ รับทองแดงแผ่นไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทาความผิดฐาน
ลักทรัพย์ และมิใช่เป็นการนาพยานหลักฐานของจาเลยที่ ๒ และที่ ๓ มาฟังลงโทษจาเลยท่ี ๒ และ
ที่ ๓ ข้อที่จาเลยที่ ๒ และที่ ๓ อ้างว่า รับฝากไว้โดยเข้าใจว่าเป็นทรัพย์ของนายจ้างของ ท. ฟังไม่ขึ้น
จาเลยที่ ๒ และท่ี ๓ มคี วามผิดฐานรว่ มกันรบั ของโจร

ฟอ้ งโจทก์มไิ ด้บรรยายว่า จาเลยที่ ๒ และท่ี ๓ รับของโจรเพ่ือคา้ กาไร อันเป็นองค์ประกอบ
ของความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๗ วรรคสอง ดังนี้ เป็นเรื่องทโ่ี จทก์ไม่ประสงคใ์ ห้ลงโทษจาเลยที่ ๒
และท่ี ๓ ในความผิดตามมาตรา ๓๕๗ วรรคสองตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๙๒ วรรคสี่ ศาลอุทธรณ์
ปรบั บทลงโทษจาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ตามมาตรา ๓๕๗ วรรคแรก ชอบแล้ว
ข้อสังเกต ถ้ำนำข้อเท็จจริงตำมฎีกำนี้มำออกข้อสอบกฎหมำยอำญำต้องตอบว่ำเป็นควำมผิดฐำน
รบั ของโจรเพื่อค้ำกำไรตำมมำตรำ ๓๕๗ วรรคสอง

ฎีกาที่ ๓๑๔๐/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล. ๒ น. ๑๒๑ จาเลยรับซ้ือเหล็กอุปกรณ์เคร่ืองบดวัสดุทาปุ๋ย
อินทรีย์ไว้จาก ฉ. และ ด. แล้วนาไปซ่อนไว้ในบ่อน้าในลักษณะปกปิดซ่อนเร้น อันแสดงว่าจาเลย
ทราบดีว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทาความผิดฐานลักทรัพย์ จาเลยมีความผิดฐานรับของโจร
แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าการรับของโจรของจาเลยน้ันได้กระทาเพ่ือค้ากาไร อันเป็นองค์ประกอบ
ความผิดของ ป.อ. มาตรา ๓๕๗ วรรคสอง แม้ได้ความว่าจาเลยมีอาชีพรับซ้ือของเก่าขาย ทาให้เชื่อ
ได้ว่าจาเลยรับซื้อเหล็กอุปกรณเ์ ครอ่ื งบดวัสดทุ าปุ๋ยอนิ ทรีย์ไว้เพื่อท่ีจะนาเหลก็ ไปขายตอ่ หากาไร กไ็ ม่
อาจพิพากษาลงโทษจาเลยตามมาตรา ๓๕๗ วรรคสอง ได้ เพราะเกินคาขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง
ตอ้ งห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๙๒ วรรคหนึง่ คงลงโทษจาเลยได้ตามมาตรา ๓๕๗ วรรคแรก เท่านั้น

ฎกี าที่ ๑๘๕๑/๒๕๕๗ วนั เกิดเหตุ เวลากลางคืน รถจักรยานยนต์ทีผ่ ู้เสยี หายที่ ๑ จอดไวใ้ น
ห้องทางาน สถานีบริการน้ามันของผู้เสียหายท่ี ๒ และน้ามันเคร่ืองรถจักรยานยนต์ เครื่อง
คิดเลข วิทยุ กับกล้องวงจรปิดของผู้เสียหายที่ ๒ ถูกคนร้ายลักไป ต่อมาเวลาประมาณ ๖ นาฬิกา
มีผู้พบเห็นรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวจอดอยู่ท่ีหน้ามัสยิดของหมู่บ้านโดยมีเส้ือคลุม น้ามันเคร่ือง
รถจกั รยานยนต์ เคร่ืองคิดเลข และวิทยทุ ี่วางไว้ในตะกร้าหน้ารถจึงแจง้ ให้ ม. ผู้ช่วยผู้ใหญ่บา้ นทราบ
ม. ไปดูรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว สักครู่หนึ่งจาเลยจะมาเอารถจักรยานยนต์ไป ม. ขอดูบัตร
ประจาตัวประชาชนและกุญแจรถ จาเลยไม่มี ม. บอกให้จาเลยไปเอากุญแจรถมาก่อน จาเลย

588

จึงกลับไป พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจาเลยต้องรู้ดีว่ารถจักรยานยนต์และทรัพย์ท่ีตะกร้าหน้ารถที่
จาเลยจะไปเอานั้นเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทาความผิดเข้าลักษณะลักทรัพย์ เม่ือจาเลยจะไป
เอาทรัพย์ดังกล่าวอันเป็นการช่วยพาเอาไปเสียตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๗ วรรคแรก แต่ไม่สามารถ
เอาไปได้เพราะ ม. เข้าขัดขวางโดยให้จาเลยไปเอากุญแจรถมาก่อน การกระทาของจาเลยถือได้ว่า
เป็นการลงมอื กระทาความผิดฐานรับของโจร แต่กระทาไปไม่ตลอด จาเลยจึงมีความผิดฐานพยายาม
รบั ของโจร

ฎีกาที่ ๑๔๗๐๓/๒๕๕๗ ฎ.๒๖๑๘ จาเลยมีรถจักรยานยนต์ของกลางไว้ในครอบครองและ
ขายให้แก่ ร. ในราคาซึ่งต่ากว่าราคาจริงมาก และเป็นการขายรถในสภาพที่ไม่มีแผ่นป้ายทะเบียน
ค่มู ือจดทะเบียนและเอกสารการโอน รวมทั้งมอบกุญแจรถที่ทาขนึ้ ใหม่หรือกุญแจป๊ัมเหมือนของเดิม
ให้แก่ ร. แสดงว่าก่อนหน้าน้ีจาเลยรบั รถน้ันไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นรถที่ได้มาจากการกระทาความผิด
ฐานลักทรัพย์ การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานรับของโจรตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๗ วรรคแรก

ฎีกาท่ี ๙๓๖/๒๕๕๖ ฎ. ๑๔๒๔ การกระทาของจาเลยจะมีความผิดฐานรับของโจรหรือไม่
ข้นึ อยู่กับว่าโจทก์นาสืบให้เห็นว่า ซิมการด์ ของกลางที่จาเลยซื้อมาเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทา
ความผิดฐานฉ้อโกง ส่วนผู้ใดจะเป็นผู้กระทาความผิดฐานฉ้อโกง เป็นเพียงรายละเอียดมิใช่
องค์ประกอบความผิดของความผิดฐานรับของโจร แมโ้ จทก์มไิ ด้นาสบื ใหเ้ ห็น แตโ่ จทก์ได้นาสืบส่วนที่
เป็นองค์ประกอบความผดิ ครบถว้ น ศาลกย็ ่อมลงโทษจาเลยได้

โจทก์นาสืบว่าความผิดฐานฉ้อโกงได้เกิดข้ึนแล้ว เพราะมีคนร้ายนาสาเนาบัตรประจาตัว
ประชาชนของ ส. ไปแอบอ้างขอเปิดใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนท่ีจากบริษัท ท. ผู้เสียหายโดยไม่ชอบ
เป็นผลให้คนร้ายได้ไปซึ่งซิมการ์ดจากผู้เสียหาย ต่อมาเจ้าพนักงานตารวจจับจาเลยได้ในขณะที่
ซิมการ์ดอยู่ในความครอบครองของจาเลย ถือได้ว่าโจทก์ได้นาสืบถึงข้อเท็จจริง ท่ีเป็นองค์ประกอบ
ภายนอกของความผิดฐานรบั ของโจรครบถว้ นแล้ว

ฎีกาที่ ๓๓๙๒/๒๕๕๖ ฎ. ๖๙๗ จาเลยท่ี ๑ ถึงที่ ๓ แบ่งทรัพย์สินท่ีปล้นมาท่ีบ้านของ
จาเลยที่ ๔ และจาเลยท่ี ๔ ได้รับทรัพย์บัตรเติมเงินโทรศัพท์เคลื่อนท่ีของผู้เสียหายจากจาเลยที่ ๑
ถึงที่ ๓ โดยรู้อยแู่ ล้วว่าเป็นทรัพย์ท่ไี ด้มาจากการกระทาความผิดฐานปลน้ ทรัพย์และจาเลยที่ ๔ รับไว้
เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือผู้อ่ืน การกระทาของจาเลยที่ ๔ จึงเป็นความผิดฐานรับของโจร

ฎีกาที่ ๓๔๒๒/๒๕๕๖ ฎ. ๘๘๒ จาเลยรบั แลกเงนิ ยูโรจากเดก็ ชาย ร. และยงั ช่วยนาเงินยูโร
จากเดก็ ชาย ร. ไปแลกทีธ่ นาคารเพื่อนาเงินไทยที่แลกไดม้ อบให้เด็กชาย ร. โดยจาเลยร้อู ยู่แล้วว่าเงิน
ยูโรท่ีเด็กชาย ร. นามาแลก และขอให้จาเลยแลกเงินให้ เป็นทรัพย์ท่ีเด็กชาย ร. ได้มาจากการ
ลกั ทรัพย์ การกระทาของจาเลยจึงเปน็ ความผดิ ฐานรบั ของโจรตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๗ วรรคหนึ่ง

ฎีกาท่ี ๔๘๘๓/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล. ๓ น. ๖๑ ในคดีความผิดฐานรับของโจรนั้น โจทก์มีหน้าที่
ต้องนาสืบให้เห็นว่าจาเลยรับรถจักรยานยนต์ของกลางไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ท่ีได้มาจ ากการกระทา
ความผดิ ฐานลกั ทรัพย์ ไม่ใช่วา่ เม่ือจาเลยเป็นผคู้ รอบครองรถจกั รยานยนต์ของกลางและยึดถือกุญแจ
รถคันดังกล่าวอยู่ จาเลยก็ต้องนาสืบแก้ตัวว่าตนไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ท่ีได้มาจากการกระทาความผิด

589

เมื่อโจทก์นาสืบไม่ได้ว่าจาเลยรับรถจักรยานยนต์ของกลางโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทา
ความผิดฐานลักทรัพย์ ลาพังคารับสารภาพของจาเลยในชั้นจับกุมซ่ึงต้องห้ามมิให้รับฟังเป็น
พยานหลักฐานในการพิจารณาพิพากษาคดีตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๘๔ วรรคท้าย ท้ังในคาให้การ
ชั้นสอบสวนของจาเลย จาเลยก็ไม่ได้ให้การรับสารภาพว่าได้รับรถจักรยานยนต์ของกลางไว้โดยรู้ว่า
เป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทาความผิดฐานลักทรัพย์ พยานหลักฐานโจทก์จึงยังมีข้อสงสัยอยู่ตาม
สมควรว่าจาเลยกระทาความผิดฐานรับของโจรหรอื ไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จาเลย
ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา ๒๒๗ วรรคสอง

ฎีกาท่ี ๗๖๑๐/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล. ๔ น. ๑๓๙ แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่า จาเลย
เป็นผู้รับซ้ือรถจักรยานดังกล่าวไว้ด้วยตนเอง แต่การกระทาความผิดฐานรับของโจรนั้นยากท่ีจะนา
สืบด้วยประจักษ์พยาน จึงจาเป็นต้องอาศัยเหตุผลจากกรณีแวดล้อมและพิรุธแห่งการกระทา
รถจักรยานท้ัง ๒๔ คันยังมีสภาพดีใช้งานได้ดีแต่ร้านของจาเลยกลับรับซื้อไว้ในราคากิโลกรัมละ ๑๕
บาท ลักษณะเหมือนกับการรับซื้อเศษเหล็ก ท้ังการรับซื้อรถจักรยานท้ังหมดก็มิได้เป็นการรับซื้อ
ในคราวเดียวแต่เป็นการรับซื้อหลายคร้ังหลายคราวต่างวาระกนั จาเลยเป็นเจ้าของร้านรบั ซอ้ื ของเก่า
หากจาเลยไม่มีส่วนเกย่ี วข้องรู้เหน็ แล้วยอ่ มเป็นการยากท่ี อ. ลูกจา้ งของจาเลยจะกระทาไดโ้ ดยลาพัง

การท่ีจาเลยมีส่วนรู้เห็นในการรับซ้ือรถจักรยานที่ ส. ซึ่งขณะเกิดเหตุอายุเพียง ๑๗ ปี กับ
พวกนาไปขายท้ังหมดถึง ๒๔ คนั โดยร้านของจาเลยรบั ซื้อรถจักรยานดังกล่าวไวใ้ นราคากิโลกรัมละ
๑๕ บาท ลักษณะเหมือนกับการรับซื้อเศษเหล็กทั้งที่รถจักรยานดังกล่าวยังมีสภาพดีใช้งานได้
ส่อแสดงให้เห็นพิรธุ แห่งการกระทาทไี่ มส่ ุจรติ ของจาเลย ผิดปกตวิ ิสัยของผมู้ ีวชิ าชพี ในการคา้ ของเก่า
พยานแวดล้อมกรณีของโจทก์มีเหตุให้เช่ือได้ว่าจาเลยรับซื้อรถจักรยานของผู้เสียหายโดยรู้ว่าเป็น
ทรพั ยท์ ไ่ี ดม้ าจากการกระทาความผดิ ฐานลกั ทรพั ย์

ฎีกาที่ ๕๒๒๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๗ น.๙๙ ผู้เสียหายยินยอมส่งมอบรถจักรยานยนต์ของกลาง
ให้แก่จาเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ เนือ่ งจากถกู จาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ หลอกลวงให้ทาสัญญาเช่าซ้ือและสัญญา
ค้าประกัน มิใช่เป็นการเอารถจักรยานยนต์ของกลางไปโดยพลการโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดฐาน
ลกั ทรัพย์ หากแต่เป็นการได้รถจักรยานยนต์ของกลางไปโดยการหลอกลวงผู้เสียหายโดยทุจริตว่าจะ
ปฏิบัติตามสัญญาเชา่ ซ้ือรถจักรยานยนต์ที่ทาไว้กับผู้เสียหาย การกระทาของจาเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๓ เป็น
ตวั การรว่ มกนั กระทาความผดิ ฐานฉ้อโกง ส่วนจาเลยท่ี ๔ ไม่ได้ประกอบกจิ การซื้อขารถจกั รยานยนต์
แต่รับซ้ือรถจักรยานยนต์ของกลางในราคาต่ากว่าราคาปกติมาก ทั้งเป็นการซ้ือขายกันในลักษณะ
เร่งรีบและรวบรัด ไม่มีการตรวจสอบทางทะเบียนเพื่อทราบถึงบุคคลผู้เป็นเจ้าของท่ีแท้จริงก่อน
เป็นการผิดปกติวิสัยการซื้อขายโดยสุจริตทั่วไป ฟังได้ว่าจาเลยท่ี ๔ รับซื้อรถจักรยานยนต์ของกลาง
ไว้โดยร้วู ่าเป็นทรพั ย์อนั ไดม้ าจากการกระทาความผิดฐานฉ้อโกง

การท่ีจาเลยที่ ๔ จ่ายเงินค่าซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่จาเลยท่ี ๓ จาเลยท่ี ๓ มอบ
กุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางให้จาเลยที่ ๔ และจาเลยที่ ๔ ข้ึนนั่งคร่อมรถจะขับออกไป แต่ถูก
เจ้าพนักงานตารวจจับกุมเสียก่อน ถือได้ว่าจาเลยท่ี ๔ ได้รับทรัพย์ที่ซ้ือจากจาเลยท่ี ๓ ไว้แล้ว

590

เปน็ ความผิดฐานรับของโจรสาเรจ็ แล้ว
ข้อสังเกต คดีนี้ศำลฎีกำฟังข้อเท็จจริงว่ำจำเลยที่ ๑ ไม่มีเจตนำเช่ำซื้อ แต่เป็นกำรหลอกขอเช่ำซ้ือ
แม้จะไม่ไดโ้ อนกรรมสิทธิ์ทันทีทส่ี ่งมอบทรพั ย์ แต่สัญญำเชำ่ ซ้อื กเ็ ป็นสัญญำที่มีวัตถุประสงค์สุดท้ำยท่ี
จะโอนกรรมสิทธ์ิเมื่อชำระค่ำเช่ำซ้ือครบถ้วนแล้ว กำรหลอกในคดีนี้เป็นกำรหลอกเอำกรรมสิทธิ์
กำรเอำทรพั ยไ์ ปในคดีนจี้ ึงเป็นควำมผิดฐำนฉอ้ โกง

หำกเปล่ียนข้อเท็จจริงเป็นหลอกขอเชำ่ ทรัพย์ เป็นกำรหลอกเอำกำรครอบครอง เพรำะกำร
เชำ่ ทรัพย์ไม่ใช่สญั ญำที่มีวตั ถุที่ประสงค์ในกำรโอนกรรมสิทธ์ิ กำรเอำไปจึงเปน็ ควำมผิดฐำนลักทรัพย์
(ดูเพ่ิมเติมในศำสตรำจำรย์ ดร. เกียรติขจร วัจนะสวัสด์ิ, กฎหมำยอำญำควำมผิดเล่ม ๓, พิมพ์คร้ังท่ี
๒, กรงุ เทพฯ, ๒๕๕๕. หน้ำ ๑๐)

ฎีกาที่ ๘๓๙๖/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๒๘ การกระทาความผิดฐานรับของโจร ผู้กระทา
ไม่จาต้องรับทรัพย์ของกลางไว้ในครอบครองของตนเอง เพียงแต่ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจาหน่าย ช่วยพา
เอาไปเสีย ซื้อ รับจานา หรือรับไว้ด้วยประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทาความผิด การที่
จาเลยขับรถจักรยานยนต์ให้ อ. นั่งซ้อนท้าย บรรทุกโทรทัศน์ของกลางจะไปท่ีอาเภอดอนสัก
โดยรู้อยู่ว่าเป็นโทรทัศน์ที่ อ. ลักมา ก็เป็นการช่วยพาเอาไปเสียอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐาน
รบั ของโจรแลว้

ฎีกาที่ ๑๕๙๐/๒๕๕๘ ฎ.๓๕๓ จาเลยท่ี ๑ ลักโอนเงินของโจทกร์ ว่ มเข้าบัญชขี องจาเลยท่ี ๒
ซึ่งเป็นสามี จาเลยที่ ๒ ย่อมต้องทราบว่ามีเงินโอนเข้ามาในบัญชีของตน การกระทาของจาเลยที่ ๒
เป็นความผิดฐานสนับสนุนจาเลยท่ี ๑ ในการกระทาความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้างตาม ป.อ. มาตรา
๓๓๕ (๑๑) วรรคแรก ประกอบมาตรา ๘๖
ขอ้ สังเกต คดีนี้จำเลยท่ี ๒ ทรำบว่ำมีเงนิ โอนเข้ำมำในบัญชีของตน ต้องเป็นกำรทรำบก่อนหรือขณะ
กระทำควำมผิด แต่จำเลยท่ี ๒ ก็ยังยินยอมให้จำเลยที่ ๑ โอนเงินเข้ำบัญชี เพรำะกำรจะเป็น
ผสู้ นบั สนุนในกำรกระทำผิดต้องเปน็ กำรช่วยเหลือก่อนหรอื ในขณะกระทำควำมผิด

ถ้ำเป็นกำรช่วยเหลอื หลังจำกกระทำควำมผิด เช่น ก แอบโอนเงนิ ของนำยจ้ำงเข้ำบัญชีของ
ข (ซ่ึง ก แอบจดเอำไว้ เพรำะ ก เคยฝำก ข เอำเงินเข้ำบัญชี) โดย ข ไม่ทรำบเร่ืองก่อนโอนเงินเข้ำ
บัญชี ต่อมำ ก บอก ข ว่ำ ลักเงินนำยจ้ำงโอนเข้ำบัญชี ข ข ก็ถอนเงินจำกบัญชีไปให้ ก เอำไปใช้
จ่ำย กรณเี ช่นน้ี ข จะมคี วำมผิดฐำนรับของโจร

591

ทาให้เสยี ทรพั ย์

ข้อ ๙๗ คาถาม นายหนึ่งมีที่ดินซึ่งด้านหน้าเป็นทางสาธารณะที่นายสองและประชาชน
ใช้เดินทางไปสู่ทางสาธารณะซ่ึงเป็นถนนใหญ่ได้ ด้านซ้ายที่ดินของนายหน่ึงติดกับที่ดินของนายสาม
ซึง่ นายหน่ึงจดทะเบียนภาระจายอมให้นายสามและบรวิ ารใช้ท่ีดนิ ภาระจายอมเดินทางไปสูถ่ นนใหญ่
ได้ และด้านขวาของที่ดินของนายหน่ึงติดกับที่ดินของนายสี่ซ่ึงที่ดินติดกับแม่น้าโดยนายส่ีได้ล้อมร้ัว
บ้านไว้ทุกด้าน ต่อมาแม่น้าต้ืนเขินเป็นสันดอนกลางน้าและต่อมาได้มีตะกอนทับถมจนสันดอนกลาง
น้างอกออกมาติดที่ดินของนายสอง นายสี่จึงไปปลูกต้นไผ่ในท่ีงอกที่ติดกับท่ีดินของตนกับแม่น้าและ
เกบ็ หน่อไม้และตัดต้นไผ่มาใช้ตลอด วนั หนึงนายหนึ่งเข้าไปในที่ดินท่ีติดแม่นา้ หลังบา้ นนายสแี่ ล้วนาย
หน่ึงตัดเอาหน่อไม้จากกอไผ่ของนายส่ีไป นายส่ีเห็นจึงต่อว่านายหนึ่งจนทะเลาะกัน นายสองและ
นายสามเข้าไปห้ามปราม นายหนึ่งไม่พอใจบุคคลท้ังหมด นายหนึง่ จึงทาห้องเกบ็ ของบนที่สาธารณะ
ที่นายสองใช้ผ่านไปสู่ทางสาธารณะซ่ึงเป็นถนนใหญ่จนนายสองเข้าออกท่ีดินของตนไม่ได้ และนาย
หนึ่งได้ทาโรงรถบนที่ดินของตนซึ่งได้จดทะเบียนภาระจายอมทาให้นายสามสี่เดินทางไปสู่ถนนใหญ่
ไมส่ ะดวก

ใหว้ นิ ิจฉยั วา่ การกระทาของนายหนงึ่ มีความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด
คาตอบ การท่ีนายหนึ่งจงึ ทาห้องเก็บของบนที่สาธารณะทน่ี ายสองใช้ผ่านไปสู่ทางสาธารณะ
นน้ั ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๐ ใชค้ าว่า ผู้ใดทาให้เสยี หายทาลาย ทาให้เส่อื มคา่ หรือ
ทาให้ไร้ประโยชน์ ดังน้ัน การกระทาใดก็ตามหากกระทาแล้ว ทาให้ทรัพย์ที่มีไว้เพื่อ
สาธารณประโยชน์ไร้ประโยชน์ ก็เป็นความผิดตามมาตรานี้ได้ คาว่า ไรป้ ระโยชน์ คือ ไมส่ ามารถ
ใช้ประโยชน์ได้น่ันเอง ทางสาธารณะท่ีเกิดเหตุเป็นทางที่ประชาชนใช้สัญจรผ่านไปมา เม่ือนายหน่ึง
ทาห้องเก็บของขวางทางสาธารณะ ย่อมทาให้นายสองและประชาชนท่ัวไป ไม่อาจใช้ทาง
สาธารณะน้ันได้อีกต่อไป ต้องถือว่าการกระทาของนายหน่ึงเป็นการทาให้ทางสาธารณะดังกล่าว
ไร้ประโยชน์แล้ว การกระทาของนายหนึ่งส่วนนี้จึงเป็นความผิดฐานทาให้ทรัพย์ที่มีไว้เพื่อ
สาธารณประโยชน์ไรป้ ระโยชน์ตามมาตรา ๓๖๐ บทหนึ่ง (ฎกี าที่ ๘๗๘๑/๒๕๖๑)
การท่ีนายหน่ึงได้ทาโรงรถบนที่ดินของตนซึ่งได้จดทะเบียนภาระจายอมทาให้นายสาม
เดินทางไปสู่ถนนใหญ่ไม่สะดวกน้ัน ที่ดินอันตกเป็นภาระจายอมแก่ท่ีดินของนายสามน้ันเป็น
กรรมสิทธ์ิของนายหน่ึง เพียงแต่ทางภาระจายอมนี้ทาให้นายหน่ึงต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่ง
กระทบถึงทรัพย์สินของตนหรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธ์ินั้นเพ่ือ
ประโยชน์แก่ท่ีดินของนายสาม โดยนายหนึ่งยังมีสิทธิในทางภาระจายอมอันเป็นกรรมสิทธิ์ของ
นายหน่ึงเชน่ เดิม กฎหมายเพียงแต่ห้ามเจ้าของภารยทรัพย์ประกอบกรรมใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้
ประโยชน์แห่งภาระจายอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกเท่านั้น การใช้สิทธิเหนือท่ีดินส่วนท่ีเป็น
ทางภาระจายอมในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์จึงยังคงเป็นของนายหน่ึงต่อไป แม้นายหน่ึงก่อสร้าง
โรงรถเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจายอมลดไปหรือเส่ือมความสะดวก แต่ก็เป็นการกระทา
ลงบนที่ดินของนายหนึ่งเอง หาใช่เป็นการเข้าไปกระทาในที่ดินของนายสามไม่ หากนายสาม

592

ได้รับความเสียหายอย่างไรชอบท่ีจะไปว่ากล่าวกันในทางแพ่ง การกระทาของนายหน่ึงในส่วนนี้
จงึ ไมเ่ ปน็ ความผิดฐานบกุ รุกตามมาตรา ๓๖๒ (ฎีกาท่ี ๖๐๐๖/๒๕๖๑)

การที่นายหนึ่งเข้าไปในท่ีดินที่ติดแม่น้าหลังบ้านนายสี่แล้วนายหน่ึงตัดเอาหน่อไม้จากกอไผ่
ของนายส่ีไปน้ัน ที่เกดิ เหตุเดิมเป็นทางน้าของแมน่ ้าเป็นทรัพย์สินสาหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ต่อมา
มีสันดอนและตื้นเขินจนติดท่ีดินของนายส่ี จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และมิใช่ท่ีงอก
เพราะมิใช่ที่ดินที่งอกออกไปจากริมตลิ่งของท่ีดินของนายส่ีตามธรรมชาติ ความผิดฐานบุกรุก
ต้องเปน็ การเข้าไปในอสังหารมิ ทรพั ย์ของผู้อนื่ เพื่อถือการครอบครองอสงั หาริมทรพั ย์นัน้ ทงั้ หมด
หรือแต่บางส่วน แสดงว่ากฎหมายมุ่งประสงค์จะลงโทษผู้ท่ีบุกรุกเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของ
ผู้อื่นเท่าน้ัน ไม่ใช่บทบัญญัติท่ีจะลงโทษผู้ท่ีบุกรุกสาธารณสมบัติของแผ่นดินแต่อย่างใด เมื่อ
นายหนึ่งบุกรุกท่ีดินอันเป็นสาธารณประโยชน์ของแผ่นดินดังกล่าว การกระทาของนายหนึ่ง
จงึ ไมเ่ ป็นความผิดฐานบกุ รุกตามมาตรา ๓๖๒ (ฎีกาท่ี ๑๑๖๓/๒๕๖๒)

แม้ท่ีดินท่ีปลูกกอไผ่จะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังท่ีวินิจฉัยมาแล้ว แต่เมื่อนายส่ี
เป็นผู้ปลูกกอไผ่ นายส่ีจึงเป็นเจ้าของกอไผ่ดังกล่าว เม่ือนายหนึ่งตัดหน่อไม้แล้วเอาไปโดยไม่ได้รับ
อนุญาตจากนายสี่ เป็นการเอาทรัพย์ของผู้อ่ืน ไปโดยทุจริต การกระทาในส่วนน้ีของนายหนึ่ง
จึงเปน็ ความผดิ ฐานลกั ทรพั ย์ตามมาตรา ๓๓๔ อีกบทหนึง่ (เทียบฎีกาท่ี ๑๑๖๓/๒๕๖๒)

ฎีกาท่ี ๘๗๘๑/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๙๙ ป.อ. มาตรา ๓๖๐ ใช้คาว่า ผู้ใดทาให้เสียหาย
ทาลาย ทาให้เสื่อมค่าหรือทาให้ไร้ประโยชน์ ดังนั้น การกระทาใดก็ตามหากกระทาแล้ว ทาให้ทรัพย์
ท่ีมีไว้เพ่ือสาธารณประโยชน์ไร้ประโยชน์ ก็เป็นความผิดตามมาตรานี้ได้ คาว่า ไร้ประโยชน์ คือ
ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้นั่นเอง ทางสาธารณะที่เกิดเหตุเป็นทางที่ประชาชนใช้สัญจรผ่านไปมา
เม่ือจาเลยทาห้องเก็บของขวางทางสาธารณะ ย่อมทาให้ประชาชนท่ัวไป ไม่อาจใช้ทางสาธารณะนั้น
ได้อกี ตอ่ ไป ต้องถอื วา่ การกระทาของจาเลยเป็นการทาใหท้ างสาธารณะดังกลา่ วไรป้ ระโยชนแ์ ล้ว

ฎกี าที่ ๖๐๐๖/๒๕๖๑ ท่ีดินอันตกเป็นภาระจายอมแก่ทด่ี ินของโจทก์นั้นเป็นกรรมสิทธ์ิของ
จาเลยท่ี ๑ เพียงแต่ทางภาระจายอมนี้ทาให้จาเลยที่ ๑ ต้องยอมรับกรรมบางอย่างซ่ึงกระทบถึง
ทรัพย์สินของตนหรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธ์ินั้นเพ่ือประโ ยชน์แก่ที่ดิน
ของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๘๗ โดยจาเลยที่ ๑ ยังมสี ิทธิในทางภาระจายอมอันเป็นกรรมสิทธ์ิ
ของจาเลยที่ ๑ เช่นเดิม เพียงแต่มาตรา ๑๓๙๐ ห้ามเจ้าของภารยทรัพย์ประกอบกรรมใด ๆ อันจะ
เป็นเหตุใหป้ ระโยชน์แห่งภาระจายอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกเทา่ น้ัน การใช้สิทธิเหนอื ที่ดินสว่ น
ที่เป็นทางภาระจายอมในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์จึงยังคงเป็นของจาเลยท่ี ๑ ต่อไป แม้หากจาเลย
ทั้งสองก่อสร้างกาแพงคอนกรีต โครงเหล็กเป็นโรงจอดรถยนต์และบันไดคอนกรีตอันจะเป็นเหตุให้
ประโยชน์แห่งภาระจายอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก ก็เป็นการกระทาลงบนที่ดินของจาเลยที่ ๑
เอง หาใช่เป็นการเขา้ ไปกระทาในที่ดินของโจทก์ไม่ หากโจทก์ไดร้ บั ความเสยี หายอย่างไรชอบทจ่ี ะไป
ว่ากล่าวกนั ในทางแพ่ง การกระทาของจาเลยทั้งสองจงึ ไม่มีมูลในความผดิ ฐานบกุ รุก

ฎีกาที่ ๑๑๖๓/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๒ น.๕๒ ท่ีเกิดเหตุเดิมเป็นทางน้าของแม่น้านครนายกเป็น

593

ทรัพย์สินสาหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ต่อมาต้ืนเขินข้ึนเพราะเกิดจากปริมาณน้าในแม่น้าลดลง จึงเป็น
สาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๐๔ (๒) และมิใช่ท่ีงอกเพราะมิใช่ที่ดินท่ีงอก
ออกไปจากริมตล่ิงของท่ีดินผู้เสียหายตามธรรมชาติ ความผิดฐานบุกรุกตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๕ (๒)
ประกอบมาตรา ๓๖๒ กฎหมายมุ่งประสงค์จะลงโทษผู้ที่บุกรุกเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อ่ืน
เท่านั้น ไม่ใช่บทบัญญัติที่จะลงโทษผู้ที่บุกรุกสาธารณสมบัติของแผ่นดินแต่อย่างใด จาเลยท้ังสอง
บุกรุกท่ีดินอันเป็นสาธารณประโยชน์ของแผ่นดินดังกล่าว การกระทาของจาเลยท้ังสองจึงไม่เป็น
ความผิดฐานบุกรุก

เดิม จ. เป็นผู้ทาประโยชน์รวมถึงปลูกต้นไผ่ในที่ดินของ จ. และท่ีดินท่ีเกิดเหตุ ต่อมาเมื่อ
ผู้เสียหายซ้ือท่ีดินจาก จ. อ. และ น. โดยรวมถึงท่ีดินที่เกิดเหตุและเข้าครอบครองทาประโยชน์โดย
มอบหมายให้ น. และ ช. ดูแลท้ัง จ. อ. และ น. มิได้เข้ามายุ่งเก่ียวในที่ดินและพืชผลในที่ดินอีกเลย
จึงถือได้ว่าผู้เสียหายได้รับมอบต้นไผ่มาเป็นของผู้สียหายจากเจ้าของเดิมแล้ว เมื่อจาเลยท้ังสอง
ตดั ต้นไผแ่ ล้วเอาไปโดยไมไ่ ด้รับอนุญาตจากผเู้ สียหายจึงเป็นความผดิ ฐานร่วมกันลักทรัพย์

ฎกี าน่าสนใจมาตรา ๓๕๘

ฎีกาที่ ๑๐๓๑๙/๒๕๕๘ ฎ.๒๙๔๖ การท่ีจาเลยท้ังสามร่วมกันนายาฆ่าแมลงใส่ในผล
มะละกอให้ช้างกิน ช้างได้รับสารพิษทาให้ล้มลงกับพื้น ขณะที่ยังไม่ถึงแก่ความตายจาเลยทั้งสาม
ร่วมกันใช้เล่ือยเหล็กตัดงาช้าง เป็นเหตุให้ช้างได้รับทุกขเวทนาอันไม่จาเป็นและถึงแก่ความตาย
ในเวลาต่อมา แล้วจาเลยทั้งสามร่วมกนั ลักงาช้างไปโดยใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะเพ่ือสะดวกแก่การ
กระทาผิด การพาทรัพย์นั้นไปและเพ่ือให้พ้นการจับกุม จาเลยทั้งสามจึงมีความผิดฐานร่วมกันทาให้
เสียทรัพย์ ร่วมกันฆ่าสัตว์โดยให้ได้รับทุกขเวทนาอันไม่จาเป็น และร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้
ยานพาหนะ แต่การกระทาดังกล่าวมุ่งประสงค์เพ่ือลักงาช้างเป็นสาคัญ จึงเป็นกรรมเดียวเป็น
ความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๑) (๗) วรรคสอง ประกอบ
มาตรา ๓๓๖ ทวิ ซึง่ เป็นบททีม่ ีโทษหนักทส่ี ุดเพียงบทเดียวตามมาตรา ๙๐
ข้อสงั เกต กำรกระทำเป็นควำมผดิ มำตรำ ๓๕๘, ๓๘๑, ๓๓๕, ๓๓๖ ทวิ

ฎีกาที่ ๑๒๓๘๗/๒๕๕๗ แมจ้ าเลยท่ี ๑ สง่ั ใหร้ ือ้ ถอนบา้ นของโจทกร์ ว่ มด้วยความระมัดระวัง
ไม่เป็นเหตุให้วัสดทุ ี่รื้อถอนเสียหาย ทงั้ นาไปเก็บรักษาไว้อย่างดีเพื่อให้โจทก์ร่วมนาไปใช้ประโยชน์ได้
อีกก็ตาม แต่การกระทาของจาเลยท่ี ๑ เป็นเหตุให้บ้านของโจทก์ร่วมซ่ึงเป็นอสังหาริมทรัพย์สิ้น
สภาพไม่เป็นที่อยู่อาศัยอีกต่อไป อันเป็นการทาให้เสียหาย ทาลาย ทาให้เสื่อมค่า หรือทาให้
ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่น การท่ีอาเภอบุณฑรกิ แต่งต้ังจาเลยท่ี ๑ ซ่ึงเป็นกานันตาบลคอแลน
เป็นประธานกรรมการกลางและประธานกรรมการปกครองเพ่ือประกว ดหมู่บ้านอาสาพัฒนาและ
ป้องกันตนเองน้ัน ไม่เปน็ การเปดิ โอกาสให้จาเลยที่ ๑ ร้ือบา้ นของโจทก์ร่วมโดยพลการได้ จาเลยที่ ๑
จึงมีความผดิ ฐานทาใหเ้ สยี ทรัพยต์ าม ป.อ. มาตรา ๓๕๘

594

ฎีกาท่ี ๕๑๓๒/๒๕๕๕ ฎ.๒๙๐๕ หนังสือสัญญาจะซ้ือจะขายระบุว่า ส. จะขายที่ดินพร้อม
บ้านพิพาทแก่จาเลยท่ี ๑ แต่เมื่อไปจดทะเบียนโอนต่อเจ้าพนักงานท่ีดิน ส. ทาหนังสือสัญญาขาย
ท่ีดินแก่จาเลยที่ ๑ โดยมีข้อความว่าตกลงขายเฉพาะที่ดินไม่เก่ียวกับส่ิงปลูกสร้าง แสดงว่าไม่ได้ขาย
บ้านพิพาทด้วย จาเลยท่ี ๑ จึงไม่มีกรรมสิทธ์ิในบ้านพิพาทและไม่มีสิทธิเข้าไปในบ้านพิพาท การที่
จาเลยท่ี ๑ ทราบอยู่แล้วว่าบ้านพิพาทไม่ใช่ของตนแต่เป็นของโจทก์ร่วมน้องสาวของ ส. จาเลยท่ี ๑
กลับสั่งให้จาเลยท่ี ๒ เข้าไปในบ้านพิพาทและทาการร้ือปรับปรุงบ้านพิพาท ท้ัง ๆ ท่ีโจทก์ร่วมได้
ห้ามปรามแล้ว ถือไม่ได้ว่าเป็นการเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ร่วมโดยปกติสุขและทาให้บ้าน
พพิ าทของโจทก์รว่ มได้รับความเสียหาย จาเลยที่ ๑ จงึ มีความผิดฐานบุกรกุ และทาใหเ้ สยี ทรพั ย์
ขอ้ สงั เกต จำเลยท่ี ๒ ไมร่ ขู้ ้อเท็จจรงิ ทเ่ี ป็นองค์ประกอบควำมผดิ จำเลยที่ ๒ จงึ ไมม่ ีเจตนำกระทำผิด

ฎีกาท่ี ๑๐๗๘๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๒๑๗ ในขณะที่เกิดเหตุโจทก์ยังคงประกอบกิจการ
โรงแรมและครอบครองโรงแรม โดยยังไม่มีการส่งมอบการครอบครองให้แก่จาเลยที่ ๒ กับพวก
การท่ีจาเลยที่ ๒ กับพวกเข้าไปในโรงแรมที่เกิดเหตแุ ล้วเปลี่ยนกุญแจห้องโรงแรมเป็นกุญแจที่จาเลย
ท่ี ๒ กับพวกเตรียมมา โดยไม่ปรากฏว่ามีเจ้าพนักงานบังคับคดีซ่ึงมีอานาจหน้าท่ีบังคับคดีให้เป็นไป
ตามคาพิพากษาร่วมรับรู้ด้วย จึงเป็นการดาเนินการไปเองโดยพลการ แม้ว่าจาเลยท่ี ๒ กับพวก
ซื้อโรงแรมท่ีเกิดเหตุได้จากการขายทอดตลาดตามคาสั่งศาล และศาลมีคาพิพากษาให้ขับไล่โจทก์
และบริวารตามคาฟ้องของจาเลยท่ี ๑ และอยู่ในระหว่างการบังคับคดีแล้วก็ตาม แต่การบังคับน้ัน
ก็ต้องดาเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและเหมาะสมแก่เหตุและผลด้วย พฤติการณ์เป็นลักษณะ
ของการกระทาที่เกินกวา่ เหตุ และจาเลยท่ี ๒ ยังให้พวกของตนเข้าครอบครองห้องพักที่มีการเปล่ียน
กุญแจดังกล่าวด้วยนั้น แสดงให้เห็นว่าจาเลยท่ี ๒ กับพวกมีเจตนาที่จะทาลาย ทาให้เสื่อมค่า หรือ
ทาให้ไร้ประโยชน์ซึ่งกุญแจโรงแรมของโจทก์เพ่ือจะเข้าครอบครองโรงแรมโดยวิธีการท่ียังไม่อาจ
อ้างไดว้ ่าเปน็ การกระทาโดยชอบดว้ ยกฎหมาย จึงเป็นความผดิ ฐานรว่ มกันทาใหเ้ สยี ทรัพย์

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๓๖๐

ฎีกาท่ี ๘๗๘๑/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๙๙ ป.อ. มาตรา ๓๖๐ ใช้คาว่า ผู้ใดทาให้เสียหาย
ทาลาย ทาให้เสื่อมค่าหรือทาให้ไร้ประโยชน์ ดังนั้น การกระทาใดก็ตามหากกระทาแล้ว ทาให้ทรพั ย์
ที่มีไว้เพ่ือสาธารณประโยชน์ไร้ประโยชน์ ก็เป็นความผิดตามมาตรานี้ได้ คาว่า ไร้ประโยชน์ คือ
ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้นั่นเอง ทางสาธารณะที่เกิดเหตุเป็นทางท่ีประชาชนใช้สัญจรผ่านไปมา
เม่ือจาเลยทาห้องเก็บของขวางทางสาธารณะ ย่อมทาให้ประชาชนท่ัวไป ไม่อาจใช้ทางสาธารณะน้ัน
ได้อกี ต่อไป ตอ้ งถือว่าการกระทาของจาเลยเปน็ การทาใหท้ างสาธารณะดังกลา่ วไร้ประโยชนแ์ ล้ว

595

บุกรกุ

ขอ้ ๙๘ คาถาม นายเอกและนายโทเห็นท่ีดินของนายตรีมีทาเลดีน่าเอาไปทาตลาดให้พ่อค้า
แม่ค้ามาขายของ นายเอกและนายโทจงึ ชักชวนนางเมีย้ น นางแม้น และพ่อค้าแม่คา้ ให้มาขายของใน
ท่ีดินของนายตรี โดยนายเอกและนายโทหลอกว่าท่ีดินดังกล่าวเป็นของตนนามาทาตลาด นางเม้ียน
นางแม้น และพ่อค้าแม่ค้าเชื่อว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของนายเอกและนายโท จึงเช่าท่ีดินและเข้าไป
ตั้งร้านขายของในท่ีดินของนายตรีตั้งแต่เวลา ๑๗ นาฬิกา จนมืดค่าเวลา ๒๐ นาฬิกา นายตรีเห็น
พ่อค้าแม่ค้ามาขายของในท่ีดินของตน จึงสอบถามนางเมี้ยนและนางแม้นจึงทราบความจริง แต่นาย
เอกและนายโทไม่อยู่ในท่ดี ินในช่วงเวลาทพี่ ่อค้าแม่คา้ เขา้ มาขายของดงั กลา่ ว

ให้วินิจฉัยว่า นางเมี้ยน นางแม้น นายเอก และนายโท มีความรับผิดทางอาญาฐานบุกรุก
หรือไมอ่ ยา่ งไร

คาตอบ ความรับผิดทางอาญาของนางเมี้ยนและนางแม้น นางเมี้ยนและนางแม้นเข้าไป
ตั้งร้านขายของในที่ดินของนายตรี เป็นการเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อ่ืนเพื่อถือการ
ครอบครองอสังหาริมทรัพย์น้ันทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งครบองค์ประกอบภายนอกของ
ความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒ แต่การท่ีนางเม้ียนและนางแม้น
กระทาการดังกล่าวไปเพราะเช่ือว่าท่ีดินดังกล่าวเป็นของนายเอกและนายโท มีผลเท่ากับนางเมี้ยน
และนางแม้นไม่รู้ว่าเจ้าของท่ีดินไม่ยินยอมให้เข้าไปในที่ดิน ต้องถือว่าผู้กระทามิได้รู้ข้อเท็จจริง
อันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการ
กระทาน้ันมิได้ จึงขาดเจตนาซ่ึงเป็นองค์ประกอบภายในของการกระทาความผิดฐานบุกรุก
นางเม้ียนและนางแม้นเป็นเพียงเคร่ืองมือในการกระทาความผิดของนายเอกและนายโท
นางเมี้ยนและนางแม้นจึงไม่ผดิ ฐานบกุ รุก (เทยี บฎกี าท่ี ๓๓๓๖-๓๓๓๗/๒๕๔๗ )

ความรับผิดทางอาญาของนายเอกและนายโท นายเอกและนายโทชักชวนนางเม้ียนและ
นางแม้นให้เข้าไปตั้งร้านขายของในที่ดินของนายตรี ไม่เป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทาผิดเพราะนาง
เมี้ยนและนางแม้นขาดเจตนากระทาความผิดและเป็นเพียงเครื่องมือในการกระทาความผิดของ
นายเอกและนายโท นายเอกและนายโทจึงไม่ใช่ผู้ใช้ให้นางเมี้ยนและนางแม้นกระทาความผดิ แต่
นายเอกและนายโทเป็นผู้กระทาความผดิ โดยทางอ้อม โดยมีนางเมี้ยนและนางแม้นเป็นเครือ่ งมือ
กระทาความผิด แมน้ ายเอกและนายโทไมอ่ ยู่ในท่ดี นิ ในชว่ งเวลาท่ีพอ่ คา้ แม่ค้าเข้ามาขายของดังกล่าว
แตน่ ายเอกและนายโทก็มคี วามผดิ ฐานบกุ รกุ (เทียบฎีกาท่ี ๒๗๖๘/๒๕๕๑)

เม่ือมกี ารบุกรุกโดยนายเอกกับนายโทรว่ มกันหลอกนางเมยี้ นนางแมน้ และพ่อค้าแมค่ ้าเข้าไป
ในท่ีดนิ หลายคน นายเอกและนายโทจึงเปน็ ตัวการร่วมกนั กระทาความผิดฐานบุกรกุ ต้ังแต่สองคน
ขน้ึ ไปตามมาตรา ๓๖๕ (๒)

อน่ึง ความผิดฐานบุกรุกมีการกระทาที่เป็นองค์ประกอบของความผิดคือเข้าไป เม่ือ
เข้าไปแล้วความผิดก็เกิดขึ้นและสาเร็จเมื่อเข้าไปเพื่อถือการครอบครอง การครอบครองท่ีดิน
ตอ่ ไปเป็นเพียงผลของการบุกรุก ไม่ใช่ความผิดต่อเนื่อง ดังนั้น การที่นางเม้ียนและนางแม้นเขา้ ไป

596

ในที่ดินตอนกลางวัน แม้จะยังครอบครองที่ดินอยู่จนถึงเวลากลางคืน การกระทาของนายเอกและ
นายโทก็ไม่เป็นการบุกรุกในเวลากลางคืน เพราะความผิดฐานบุกรุกไม่ใช่ความผิดต่อเน่ือง
(เทียบฎกี าท่ี ๒๘๘๖/๒๕๓๙)

ฎีกาที่ ๓๓๓๖-๓๓๓๗/๒๕๔๗ บ. เป็นนักการภารโรงของสหกรณ์การเกษตรไม่มีส่วนได้
เสียในบัญชีเงนิ กู้ จงึ ไม่มเี หตุที่ บ. ตอ้ งเผาบัญชเี งินกู้ หาก บ. ทราบว่าการเผาทาลายบัญชเี งนิ กเู้ ป็น
การกระทาที่ผิดกฎหมาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๘ ก็คงไม่กระทา
ตามคาสั่งของจาเลยที่ ๑ ซ่ึงเป็นผู้ช่วยผู้จัดการของสหกรณ์ แต่ บ. ยอมเผาบัญชีเงินกู้ตามคาส่ังของ
จาเลยท่ี ๑ ซ่ึงเป็นผู้บังคับบัญชาเพราะเช่ือโดยสุจริตวา่ เป็นการปฏิบัติตามคาสั่งท่ีชอบด้วยกฎหมาย
ของผู้บังคับบัญชา การที่จาเลยที่ ๑ สั่งให้ บ. เผาบัญชีเงินกู้ จึงไม่ใช่เป็นการใช้ผู้อ่ืนกระทาความผิด
เพราะ บ. ผถู้ ูกใช้ไม่รูว้ ่าการกระทาน้ันเป็นความผิด แตเ่ ป็นการที่จาเลยท่ี ๑ ใช้ บ. เป็นเครอื่ งมอื ของ
จาเลยที่ ๑ ในการกระทาความผิด ถือวา่ จาเลยที่ ๑ เป็นผกู้ ระทาความผิดเองโดยอ้อม

ฎีกาที่ ๒๗๖๘/๒๕๕๑ ฎ.๑๐๙๒ ท่ีดินท่ีถูกกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าบุกรุกนาสินค้ามาวางขายเป็น
ของโจทกร์ ่วมและโจทก์ร่วมไม่ได้อนุญาตให้จาเลยนาไปใหผ้ ู้ใดเช่า การที่จาเลยนาท่ีดนิ ดังกล่าวไปให้
บคุ คลดังกล่าวเชา่ โดยไม่มีอานาจ จาเลยจึงมคี วามผิดฐานบกุ รกุ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๒

ฎกี าท่ี ๒๘๘๖/๒๕๓๙ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๘๒ ความผิดฐานบุกรกุ เกิดขึ้นและสาเรจ็ เมอื่ จาเลยเข้า
ไปเพื่อถือการครอบครอง ส่วนการครอบครองที่ดินต่อมาเป็นเพียงผลของการบุกรุก ไม่ใช่ความผิด
ต่อเน่ือง การที่จาเลยเข้าไปเวลากลางวัน และครอบครองท่ีดินต่อมาทั้งกลางวันและกลางคืน จึงไม่
เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๕

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๓๖๒

ฎีกาท่ี ๑๒๔๕/๒๕๖๑ ฎ.๑๘๑๔ การเปิดคลินิกทันตกรรมของโจทก์ก็เพ่ือให้บริการแก่
ประชาชนท่ัวไป ประชาชนรวมทั้งจาเลยย่อมมีความชอบธรรมท่ีจะเข้าไปได้ จาเลยเข้าไปในคลินิก
ทันตกรรมของโจทก์ในเวลาเปิดทาการ แม้จะเป็นการเข้าไปและถ่ายภาพในห้องตรวจรักษาคนไข้
ด้วย ก็เพราะต้องการสอบถามโจทก์ถึงสาเหตุท่ีโจทก์แย่งลูกค้าไปจากคลินิกของจาเลย แต่เม่ือโจทก์
ให้ตามพนักงานรักษาความปลอดภัยมาไล่ให้จาเลยออกจากคลินิก จาเลยก็มิได้ขัดขืนรีบเดินกลับ
ออกไปทันทีท่ีเห็นพนักงานรักษาความปลอดภัย การกระทาของจาเลยยังถือไม่ได้ว่าเป็นการรบกวน
การครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข ไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๒

ฎีกาที่ ๑๔๘๒๒/๒๕๕๘ ความผิดฐานร่วมกันบุกรุกนั้น แม้จะฟังได้ว่าจาเลยเป็นบุตรของ
ญ. ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท แต่โจทก์เป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตและได้รับความ
ยินยอมจาก พ. ซ่ึงเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทอีกคนหนึ่ง และเป็นหนึ่งในคณะบุคคลผู้ให้เช่า
ที่อนุญาตให้โจทก์เข้าใช้สอยทาประโยชน์จากท่ีดินพิพาทได้ ย่อมถือว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิยึดถือ
ครอบครองทดี่ นิ พิพาทและมีอานาจท่ีจะป้องกนั หรือขดั ขวางผูเ้ ขา้ รบกวนการครอบครองของโจทก์ได้

597

เม่ือจาเลยทราบว่าโจทก์เข้าใช้สอยที่ดินพิพาทต้ังแต่ปี ๒๕๕๓ แต่จาเลยไม่ดาเนินการทางกฎหมาย
แก่โจทก์ในประการใด ต่อมาปี ๒๕๕๕ จาเลยนาเสาเหล็กไปปิดก้ันท่ีดินพิพาทและเอาโซ่เหล็ก
ไปคล้องเพื่อปิดกั้นทางเข้าออก จึงเป็นพฤติการณ์ท่ีบ่งชี้ว่า จาเลยมีเจตนาท่ีจะรบกวนการ
ครอบครองอสงั หาริมทรัพยข์ องโจทก์โดยปกติสุข อันเปน็ การฝา่ ฝืนต่อกฎหมาย การท่ีจาเลยกับพวก
ร่วมกันกระทาความผิดด้วยกันต้ังแต่สองคนข้ึนไป การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานบุกรุก
ตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๕ (๒) ประกอบมาตรา ๓๖๒, ๘๓

สาหรับความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์น้ัน แม้ขณะเกิดเหตุจะฟังได้ว่า พวกของจาเลยเป็น
ผู้ยกเอาเก้าอ้ีของโจทก์ไปโดยความรู้เห็นของจาเลยก็ตาม แต่พวกของจาเลยนาเก้าอ้ีไปตั้งวางไว้
ท่ีบริเวณหลังรา้ นของโจทก์ในระยะห่างจากจุดเดิมเพียงไม่กี่เมตร โดยจาเลยต่อสู้ว่านาเก้าอ้ีไปใช้นั่ง
พูดคุยกันซึ่งก็มีเหตุผลควรแก่การรับฟัง เม่ือไม่ปรากฏว่าจาเลยสั่งการให้ขนเคลื่อนย้ายเก้าอี้
ไปไว้ในบ้านจาเลยหรือนาเก้าอ้ีไปทาประโยชน์อื่นใด ดังนั้น การท่ีจาเลยไม่ยอมคืนเก้าอ้ีให้แก่โจทก์
ในตอนแรกจึงเป็นเพียงพฤติการณ์ที่เกะกะระรานสร้างความเดือดร้อนราคาญให้แก่โจทก์ มากกว่า
จะเป็นการเอาเก้าอี้ไปเพ่ือแสวงหาประโยชน์ท่ีมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรบั จาเลยหรือพวก
ของจาเลย จึงไม่อาจลงโทษจาเลยในความผดิ ฐานร่วมกนั ลกั ทรัพยไ์ ด้

ฎีกาที่ ๖๑๖๗/๒๕๕๓ ฎ.๑๐๙๙ จาเลยเข้าไปในท่ีดินของ อ. ผู้เสียหายท่ี ๑ ซึ่งมีรั้ว
ล้อมรอบโดยตัดโซ่คล้องประตูร้ัว แม้มีเจตนาจะเข้าไปนารถยนต์พิพาทซ่ึงยังมีข้อสงสัยอยู่ว่าตกเป็น
กรรมสิทธิข์ องผู้เสียหายท่ี ๒ แลว้ หรอื ยงั เป็นกรรมสิทธ์ขิ องห้างหุ้นสว่ นจากัด ว. ท่ีจาเลยเปน็ ห้นุ ส่วน
ผู้จัดการซึ่งจอดอยู่ในที่ดินดังกล่าวออกไป จาเลยก็ชอบที่จะดาเนินการตามกฎหมาย จาเลยไม่มี
อานาจกระทาโดยพลการด้วยการตัดโซ่คล้องประตูร้ัวล้อมรอบท่ีดินของผู้เสียหายท่ี ๑ อันเป็นการ
ล่วงล้าอานาจปกครองของผู้เสียหายท่ี ๑ จึงเป็นการเข้าไปกระทาการรบกวนการครอบครอง
อสังหารมิ ทรพั ย์ของผู้เสยี หายที่ ๑ โดยปกตสิ ขุ มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๒

ฎีกาท่ี ๑๐๕๘๘/๒๕๕๓ ฎ.๑๗๘๐ จาเลยที่ ๑ ทราบว่าแนวเขตท่ีดินของจาเลยที่ ๑ ทาง
ทิศใต้คือผนังห้องเลขท่ี ๒๖๔ และ ๒๖๖ ซ่ึงตรงกับแนวกาแพงตึกของจาเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นแนวเขตท่ี
แน่นอนชัดเจน แต่จาเลยท่ี ๑ กลับให้จาเลยที่ ๒ ขุดหลุมล้าเข้าไปในท่ีดินพิพาทของโจทก์ร่วม
การกระทาของจาเลยท่ี ๑ จึงเป็นการกระทาโดยเจตนารบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ร่วม
โดยปกติสุข และทาให้ท่ีดินดังกล่าวได้รับความเสียหาย การกระทาของจาเลยที่ ๑ จึงเป็นความผิด
ฐานบกุ รุกและทาให้เสยี ทรัพยต์ าม ป.อ. มาตรา ๓๖๒, ๓๕๘
ข้อสังเกต คดีน้ีศำลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยที่ ๒ โจทก์ไม่อุทธรณ์ คดีเป็นอันยุติว่ำจำเลยที่ ๒ ไม่มี
ควำมผิดฐำนบุกรกุ และฐำนทำให้เสยี ทรพั ย์ เมอื่ จำเลยที่ ๒ ไม่มคี วำมผิด จำเลยท่ี ๑ จึงไม่เป็นผู้ใช้ให้
จำเลยท่ี ๒ กระทำผิด จำเลยท่ี ๑ เป็นผู้กระทำควำมผิดโดยทำงออ้ มโดยมจี ำเลยที่ ๒ เป็นเครื่องมือ
ในกำรกระทำผดิ

ถำ้ ข้อเท็จจริงเปลี่ยนเป็นว่ำ จำเลยที่ ๒ มีควำมผิดฐำนบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์โดยจำเลย
ท่ี ๑ สั่งให้จำเลยที่ ๒ ขุดหลุมล้ำเขำ้ ไปในทีด่ นิ พิพำท จำเลยท่ี ๑ จะเปน็ ผ้ใู ช้

598

ฎีกาที่ ๑๔๒๑๒/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๑๖๗ การกระทาใดที่จะเป็นความผิดฐานบุกรุกตาม
ป.อ. มาตรา ๓๖๒ และ ๓๖๔ ตามที่โจทก์ทั้งสองฟ้องกล่าวหาจาเลยที่ ๒ น้ัน จะต้องได้ความว่า
ผู้กระทาได้เข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์น้ันทั้งหมดหรือ
แต่บางส่วน หรือเข้าไปกระทาการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขา
โดยปกติสุข หรือโดยไม่มีเหตุอันควร เข้าไปหรือซ่อนตัวอยู่ในเคหสถาน อาคารเก็บรักษาทรัพย์หรือ
สานักงานในความครอบครองของผู้อ่ืน หรือไม่ยอมออกไปจากสถานท่ีเช่นว่าน้ัน เม่ือผู้มีสิทธิท่ีจะ
หา้ มมิใหเ้ ข้าไปได้ไล่ให้ออก จาเลยท่ี ๒ เข้าไปปิดประกาศห้ามผู้ใดเข้าออกรีสอร์ตของโจทก์ที่ ๑ และ
ให้ผู้ท่ีอยู่ในท่ีดินอันเป็นที่ตั้งรีสอร์ตของโจทก์ที่ ๑ ขนย้ายทรัพย์สินและออกไปจากที่ดินของจาเลย
ท่ี ๒ ไปปิดไว้ตามอาคารในรีสอร์ต ซึ่งเป็นกรณีสืบเน่ืองจากข้อพิพาทเกี่ยวกับท่ีดินที่จะซื้อจะขาย
อันเป็นท่ีตั้งของรีสอร์ตดังกล่าวเท่านั้นโดยไม่ปรากฏว่าจาเลยที่ ๒ ได้กระทาการอื่นใดอันเป็นการ
เพ่ือถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นท้ังหมดหรือแต่บางส่วน หรือเข้าไปกระทาการใด ๆ
อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ทั้งสองโดยปกติสุข หรือโดยไม่มีเหตุ
อันสมควรเข้าไปหรือซอ่ นตัวอยูใ่ นเคหสถานอาคารเก็บรักษาทรพั ย์หรือสานักงานในความครอบครอง
ของโจทก์ท้ังสอง หรือไม่ยอมออกไปจากสถานที่เช่นว่าน้ันเม่ือโจทก์ท้ังสองได้ไล่ให้ออก การกระทา
ของจาเลยที่ ๒ จึงไม่เป็นความผดิ ฐานรว่ มกันบกุ รกุ

ฎกี าที่ ๖๐๐๖/๒๕๖๑ ท่ีดินอนั ตกเป็นภาระจายอมแก่ทีด่ ินของโจทก์นั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของ
จาเลยที่ ๑ เพียงแต่ทางภาระจายอมน้ีทาให้จาเลยท่ี ๑ ต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึง
ทรัพย์สินของตนหรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธ์ินั้นเพ่ือประโยชน์แก่ท่ีดิน
ของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๘๗ โดยจาเลยท่ี ๑ ยังมสี ิทธิในทางภาระจายอมอันเป็นกรรมสิทธิ์
ของจาเลยท่ี ๑ เช่นเดิม เพียงแต่มาตรา ๑๓๙๐ ห้ามเจ้าของภารยทรัพย์ประกอบกรรมใด ๆ อันจะ
เป็นเหตใุ หป้ ระโยชน์แห่งภาระจายอมลดไปหรือเส่ือมความสะดวกเท่าน้ัน การใชส้ ิทธิเหนอื ที่ดินสว่ น
ที่เป็นทางภาระจายอมในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์จึงยังคงเป็นของจาเลยที่ ๑ ต่อไป แม้หากจาเลย
ท้ังสองก่อสร้างกาแพงคอนกรีต โครงเหล็กเป็นโรงจอดรถยนต์และบันไดคอนกรีตอันจะเป็นเหตุให้
ประโยชน์แห่งภาระจายอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก ก็เป็นการกระทาลงบนท่ีดินของจาเลยท่ี ๑
เอง หาใชเ่ ป็นการเขา้ ไปกระทาในทดี่ ินของโจทก์ไม่ หากโจทกไ์ ด้รับความเสียหายอย่างไรชอบทีจ่ ะไป
ว่ากลา่ วกนั ในทางแพง่ การกระทาของจาเลยทง้ั สองจงึ ไม่มมี ลู ในความผิดฐานบุกรกุ

ฎีกาที่ ๙๕๗๑–๙๕๗๒/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๘๘ ท่ีดินของจาเลยท่ี ๑ ตกเป็นภาระ
จายอมแก่ท่ีดินของโจทก์ร่วมท้ังสองเพ่ือใช้เป็นทางเดิน ทางรถ หรือสาธารณูปโภคอ่ืน ๆ แต่จาเลย
ท่ี ๑ ก็ยังคงมีกรรมสิทธิ์ที่จะดาเนินการกับที่ดินของตนอย่างไรก็ได้เท่าที่ไม่ขัดต่อ ป.พ.พ. ๑๓๘๗
การทจ่ี าเลยที่ ๑ ก่อสร้างรัว้ จะเป็นการทาใหเ้ กิดภาระเพ่มิ ข้ึนแก่ภารยทรพั ยห์ รือไม่น้นั ต้องเป็นเร่ือง
ท่ตี ้องไปว่ากล่าวกันในทางแพ่ง กรณีดังกล่าวไม่ใชก่ ารเข้าไปกระทาการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการ
ครอบครองอสงั หารมิ ทรัพย์ของโจทก์รว่ มทั้งสองโดยปกตสิ ุขตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๒

ฎีกาที่ ๒๗๒๐/๒๕๕๑ ฎ.๑๒๑๘ จาเลยที่ ๒ ทาประโยชน์อยู่ในท่ีดินพิพาทหลังจาก

599

โจทก์ร่วมซื้อที่ดินพิพาทมาแล้วโดยได้รับความยินยอมจากเจ้าของที่ดินเดิมและโจทก์ร่วมซึ่งเป็น
เจ้าของคนต่อมา แม้จาเลยท่ี ๒ ตกลงว่าจะออกจากที่ดินเมื่อเก็บเก่ียวเผือกเสร็จแล้วแต่ไม่ออกไป
ท้ังยังจ้างจาเลยท่ี ๑ ไถท่ีดินพิพาทเพื่อปรับสภาพท่ีดินเพ่ือทานาข้าวอีก และโจทก์ร่วมได้ห้ามปราม
แลว้ แต่จาเลยท่ี ๒ ไมเ่ ชอื่ กไ็ ม่อาจถอื ว่าจาเลยที่ ๒ มีเจตนากระทาผิดอาญาฐานบกุ รกุ เพราะจาเลย
ท่ี ๒ กระทาต่อเนื่องจากการที่โจทก์ร่วมยินยอมให้จาเลยที่ ๒ ทาประโยชน์ในที่ดินพิพาทได้
การกระทาของจาเลยท่ี ๒ จึงเป็นเรื่องท่ีจาเลยที่ ๒ ทาผิดข้อตกลงท่ีตกลงไว้กับโจทก์ร่วม อันเป็น
การกระทาละเมิดในทางแพ่ง ไมเ่ ปน็ ความผิดอาญา

ฎีกาท่ี ๔๘๙/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๖ โจทก์เป็นผู้เช่าโรงอาหารท่ีเกิดเหตุประกอบการ
จาหน่ายอาหารภายในสถาบันราชภัฎ น. ระหว่างที่อยู่ในเวลาเช่าดังกล่าว จาเลยท่ี ๑ ในฐานะ
อธิการบดีสถาบันราชภัฎ น. ได้บอกเลิกสัญญาเช่าต่อโจทก์เน่ืองจากโจทก์ผิดนัดชาระค่าเช่า แต่
โจทก์ไม่ยอมขนย้ายทรัพย์สินออกจากโรงอาหารโดยอ้างว่าไม่ได้ผิดสัญญา และต่อมาจาเลยที่ ๑ มี
คาส่ังให้จาเลยท่ี ๒ ซ่ึงเป็นผู้อานวยการสานักงานอธิการบดีขนย้ายทรัพย์สินของโจทก์ออกจาก
โรงอาหาร จาเลยท่ี ๒ ส่ังการต่อให้จาเลยที่ ๓ ดาเนินการตามคาสั่งดังกล่าว จาเลยท่ี ๓ จึงมีคาสั่ง
ให้จาเลยท่ี ๔ ถึงท่ี ๗ กับพวกไปขนย้ายทรัพย์สินของโจทก์ ต่อมาจาเลยท่ี ๔ ถึงที่ ๗ กับพวกได้
ร่วมกันเข้าไปในโรงอาหารท่ีเกิดเหตุและขนย้ายทรัพย์สินของโจทก์ออกจากโรงอาหารไปเก็บไว้ตาม
คาสั่งของจาเลยที่ ๑ ถึงท่ี ๓ โรงอาหารที่เกิดเหตุเป็นส่วนหน่ึงของอาคารสถาบันราชภัฎ น.
ไม่ปรากฏจากข้อสัญญาชัดแจ้งว่ามีการส่งมอบโรงอาหารที่เช่าให้ โจทก์ครอบครองอย่างเป็นสิทธิ
ครอบครองของโจทก์ทีเดียว เม่ือโจทก์และสถาบันมีเจตนาทาสัญญาเช่าโดยมีวัตถุประสงค์เพียงแต่
ให้โจทก์ได้เข้าใช้ประโยชน์โรงอาหารของสถาบันในการจาหน่ายอาหารในพ้ืนท่ีที่ได้จดั ไว้ในเวลาเปิด
บริการตามระเบียบของสถาบันเท่านั้น หาได้มอบการครอบครองโรงอาหารให้เป็นสิทธิขาดแก่โจทก์
ดังเช่นการเช่าอสังหาริมทรัพย์ตามธรรมดาไม่ การมอบลูกกุญแจโรงอาหารให้โจทก์ก็เพื่อให้ความ
สะดวกในการเข้าไปใช้พืน้ ที่โรงอาหารในการประกอบการของโจทก์เทา่ น้ัน โดยสถาบนั อนุญาตโจทก์
รวมทั้งผู้เช่าช่วงพ้ืนท่ีจาหน่ายอาหารจากโจทก์สามารถเข้าไปใช้โรงอาหารท่ีเช่าเพื่อประกอบการ
จาหน่ายอาหารโดยใช้ลูกกุญแจท่ีมอบไว้แก่โจทก์ เม่ือโรงอาหารที่เกิดเหตุยังอยู่ในความครอบครอง
ของสถาบันราชภัฎ น. การส่ังการของจาเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ในการให้เข้าไปขนย้ายทรัพย์สินของโจทก์
ในโรงอาหารที่เกิดเหตุ จึงไม่เป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพยข์ องโจทก์โดยปกติสุขอัน
จะเปน็ ความผิดฐานบกุ รกุ

ฎีกาท่ี ๑๗๖๘/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๕ น.๕๙ จาเลยเข้าไปปลูกมะพร้าวและสับปะรดในที่ดิน
พิพาทในเวลากลางวัน แม้พืชผลที่จาเลยปลูกจะอยู่ในท่ีดินพิพาททั้งกลางวันและกลางคืนตลอดมา
ก็เป็นเพียงผลของการกระทา คือการเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ร่วมในเวลากลางวันเท่านั้น
จะถือว่าจาเลยกระทาความผิดฐานบุกรุกในเวลากลางคืนตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๕ (๓) ไม่ได้
ข้อสังเกต ควำมผิดฐำนบุกรุกไม่ใช่ควำมผิดต่อเนื่อง เป็นควำมผิดสำเร็จเม่ือเข้ำไป กำรครอบครอง
ต่อมำท้ังกลำงวันและกลำงคืน เป็นเพียงผลของกำรบุกรุก เพรำะกำรกระทำท่ีเป็นควำมผิดคือ

600

"เข้ำไป" ไม่ใช่ "ครอบครอง" ส่วนควำมผิดฐำนครอบครองที่ดินสำธำรณประโยชน์ของแผ่นดิน
โดยไม่ได้รับอนุญำตตำมประมวลกฎหมำยท่ีดิน กำรกระทำท่ีเป็นควำมผิดคือ "ครอบครอง" จึงเป็น
ควำมผดิ ตอ่ เน่อื งขอให้ดฎู กี ำที่ ๑๓๙๙/๒๕๔๘

ฎีกาที่ ๑๓๙๙/๒๕๔๘ ฎ.ส.ล.๓ น.๔๑ ความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองท่ีดิน
สาธารณประโยชน์ของแผ่นดินโดยไม่ได้รับอนุญาตย่อมมีขึ้นตั้งแต่จาเลยเข้ายึดถือครอบครองและ
ยังคงมีอยู่ตลอดเวลาที่จาเลยครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์อยู่ เมื่อปรากฏว่าขณะที่โจทก์ฟ้อง
จาเลยยังคงยึดถือครอบครองท่ีดินพิพาทอยู่ ดังน้ัน แม้จาเลยจะครอบครองมานานเกิน ๑๐ ปี
คดขี องโจทก์ไม่ขาดอายคุ วาม

ฎีกาที่ ๖๓๐๐/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๓๓ ท่ีดินกรมชลประทานส่วนที่จาเลยบุกรุกตามฟ้อง
เป็นที่ดินซึ่งกรมชลประทานกันไว้ใช้ทาประโยชน์เพื่อการชลประทานโดยทาเป็นอ่างเก็บน้า ที่ดิน
พิพาทจึงตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่ใช้เพ่ือประโยชนข์ องแผ่นดินโดยเฉพาะตาม ป.
พ.พ. มาตรา ๑๓๐๔ (๓) ดังนั้น หากจาเลยบุกรุกเข้าไปในท่ีดินพิพาทส่วนน้ี ซ่ึงเป็นสาธารณสมบัติ
ของแผ่นดินก็จะลงโทษจาเลยในความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๒, ๓๖๕ หาได้ไม่ เพราะบทบัญญัติ
ดังกล่าวมุง่ ประสงคล์ งโทษผู้บุกรุกอสังหาริมทรัพยข์ องผู้อื่น ไม่ใช่ลงโทษผู้บุกรุกท่ีสาธารณสมบัตขิ อง
แผ่นดิน

ฎีกาท่ี ๑๑๖๓/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๒ น.๕๒ ท่ีเกิดเหตุเดิมเป็นทางน้าของแม่น้านครนายกเป็น
ทรัพย์สินสาหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ต่อมาต้ืนเขินข้ึนเพราะเกิดจากปริมาณน้าในแม่น้าลดลง จึงเป็น
สาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๐๔ (๒) และมิใช่ที่งอกเพราะมิใช่ที่ดินที่งอก
ออกไปจากริมตล่ิงของที่ดินผู้เสียหายตามธรรมชาติ ความผิดฐานบุกรุกตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๕ (๒)
ประกอบมาตรา ๓๖๒ กฎหมายมุ่งประสงค์จะลงโทษผู้ที่บุกรุกเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อ่ืน
เท่านั้น ไม่ใช่บทบัญญัติท่ีจะลงโทษผู้ที่บุกรุกสาธารณสมบัติของแผ่นดินแต่อย่างใด จาเลยท้ังสอง
บุกรุกที่ดินอันเป็นสาธารณประโยชน์ของแผ่นดินดังกล่าว การกระทาของจาเลยท้ังสองจึงไม่เป็น
ความผดิ ฐานบกุ รุก

เดิม จ. เป็นผู้ทาประโยชน์รวมถึงปลูกต้นไผ่ในที่ดินของ จ. และที่ดินท่ีเกิดเหตุ ต่อมาเม่ือ
ผู้เสียหายซื้อที่ดินจาก จ. อ. และ น. โดยรวมถึงท่ีดินที่เกิดเหตุและเข้าครอบครองทาประโยชน์โดย
มอบหมายให้ น. และ ช. ดูแลท้ัง จ. อ. และ น. มิได้เข้ามายุ่งเก่ียวในที่ดินและพืชผลในท่ีดินอีกเลย
จึงถือได้ว่าผู้เสียหายได้รับมอบต้นไผ่มาเป็นของผู้สียหายจากเจ้าของเดิมแล้ว เม่ือจาเลยทั้งสอง
ตดั ต้นไผ่แล้วเอาไปโดยไม่ไดร้ ับอนุญาตจากผู้เสียหายจึงเป็นความผดิ ฐานร่วมกนั ลักทรัพย์

ฎีกาที่ ๓๖๓๓/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๕ น.๒๘ โจทก์เป็นผู้ครอบครองอาคารพิพาทช้ัน ๓ และ
ชั้น ๔ ซึ่งจาเลยให้โจทก์ใช้สอยอาคารดังกล่าวเป็นท่ีเก็บสินค้าและสถานประกอบการ เพื่อเป็นการ
ตอบแทนที่โจทก์ออกเงินทดรองให้จาเลยยืมไปชาระหนีแ้ ละไถ่ถอนจานองจากธนาคาร ต่อมาจาเลย
มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากอาคารพิพาท โจทก์มอบหมายให้
ทนายความมีหนังสือแจ้งจาเลยว่าโจทก์ยังมีสิทธิอาศัยอยู่ในอาคารพิพาทจนกว่าจาเลยจะชาระหนี้


Click to View FlipBook Version