151
เหตุมีคาสัง่ ให้ระงับการจา่ ย การกระทาของจาเลยทงั้ สองจึงเป็นการร่วมกนั กระทาความผิด
ฎกี าท่ี ๓๕๐๕/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๕ น.๒๕ แม้ความผดิ ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอนั เกิดจาก
การใช้เช็คฯ มาตรา ๔ อาจจะมผี ทู้ ี่ร่วมกระทาความผดิ ด้วยกันกับผูอ้ อกเชค็ และถอื ว่าผ้ทู ีร่ ่วมกระทา
ความผิดด้วยกันน้ันเป็นตัวการเช่นดียวกับผู้ออกเช็คตาม ป.อ. มาตรา ๘๓ แตก่ ็จะต้องไดค้ วามแน่ชัด
ว่าผู้ที่จะเป็นตัวการร่วมน้ันมีส่วนเก่ียวข้องรู้เห็นในการออกเช็คน้ันกับผู้ออกเช็คด้วย การที่ ส.
ชกั ชวนและขอร้องให้จาเลยที่ ๒ จดทะเบียนห้างจาเลยที่ ๑ ระบุช่อื จาเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ
โดย ส. บอกว่าจะแบ่งผลประโยชน์ให้เมื่อสิ้นปี จาเลยที่ ๒ เปิดบัญชีกระแสรายวันและบัญชี
ออมทรัพย์ในนามจาเลยท่ี ๑ ที่ธนาคาร ท. โดยมอบสมุดเช็คและตราประทับของจาเลยที่ ๑ ให้ ส.
เป็นผู้ถือไว้ แม้ก่อนเกิดเหตุจาเลยท่ี ๒ เป็นผู้ขอให้ธนาคาร ท. โอนเงินจากบัญชีของจาเลยที่ ๑
ไปชาระหน้ีให้แก่โจทก์ท้ังสองบางส่วนแล้วก็ตาม แต่ ส. เป็นผู้ลงลายมือช่ือจาเลยท่ี ๒ ในเช็คพิพาท
โดยจาเลยท่ี ๒ มิได้มีส่วนเก่ยี วข้องรู้เหน็ ด้วยเลย ซึ่งนอกจากนแ้ี ล้วไมม่ ีพยานหลักฐานอืน่ ใดอีกแสดง
วา่ จาเลยที่ ๒ มีส่วนร่วมรู้เห็นในการที่ ส. ลงลายมือช่ือจาเลยที่ ๒ ในเช็คพิพาท จึงยงั รบั ฟังไม่ได้ว่า
จาเลยที่ ๒ เป็นตัวการร่วมกับจาเลยที่ ๑ และ ส. ในการออกเช็คพิพาทอันจะเป็นความผิดตามฟ้อง
ฎีกาท่ี ๕๕๗/๒๕๕๐ ฎ.๒๓๙ โจทก์ฟ้องว่า จาเลยทั้งสองช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกใน
การท่ผี ู้อื่นกระทาความผดิ ตาม พ.ร.บ. บญั ญตั บิ ตั รประจาตัวประชาชนฯ มาตรา ๑๔ ซึ่งเป็นความผิด
ฐานเป็นผ้สู นับสนุนการกระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๘๖ ดังน้นั แม้จาเลยทั้งสองเป็นผู้มสี ัญชาติ
ไทยก็ไมท่ าให้ขาดองคป์ ระกอบความผดิ เพราะมิได้ฟอ้ งว่าจาเลยทง้ั สองเป็นตวั การกระทาความผดิ
ฎีกาที่ ๕๒๗๐/๒๕๖๐ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๕๐ จาเลยท่ี ๒ ขับรถจักรยานยนต์นาหน้าคอยดู
ต้นทางให้จาเลยท่ี ๑ ขับรถกระบะนาเมทแอมเฟตามีนไปส่งลูกค้า แม้เมทแอมเฟตามีนไม่ได้อยู่กับ
จาเลยที่ ๒ ก็เป็นเร่ืองข้อจากัดทางกายภาพที่ต้องแบ่งหน้าท่ีกัน เมื่อจาเลยที่ ๒ รู้ว่าจาเลยท่ี ๑
ขบั รถนาเมทแอมเฟตามีนไปส่งแล้วร่วมมือชว่ ยเหลือขับรถจักรยานยนต์นาหน้าคอยดตู ้นทาง ซึ่งเป็น
ส่วนหนึ่งของกระบวนการลาเลียงเมทแอมเฟตามีนไปส่งลูกค้าให้สาเร็จและได้รับผลประโยชน์
ตอบแทน จาเลยท่ี ๒ จึงเป็นตัวการร่วมกับจาเลยท่ี ๑ มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อ
จาหน่าย มิใชเ่ ป็นเพยี งผสู้ นบั สนนุ
ฎกี าที่ ๖๙๐๔/๒๕๕๓ ฎ.๑๑๓๒ จาเลยท่ี ๒ พิการขาทั้งสองขา้ งอัมพาตอ่อนแรงไมส่ ามารถ
ซ้ือขายเมทแอมเฟตามีนหรือนาเมทแอมเฟตามีนไปซุกซ่อนในช่องลมใต้ที่ปัดน้าฝนของรถยนต์
กระบะที่จาเลยท่ี ๑ เป็นผู้ขับโดยจาเลยท่ี ๒ โดยสารมาด้วย แต่จาเลยที่ ๒ ก็ร่วมกับจาเลยท่ี ๑
มีเมทแอมเฟตามีนดงั กล่าวไวใ้ นครอบครองเพ่ือจาหน่ายโดยให้ผู้อื่นดาเนนิ การให้ตามคาสง่ั ได้
ฎกี าที่ ๕๗๗๒/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๕ น.๒๑๑ ในคดีท่ีผู้ร่วมกระทาความผิดดว้ ยกันถูกฟอ้ งขอให้
ลงโทษในความผิดฐานเดียวกัน ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดบังคับให้ศาลต้องใช้ดุลยพินิจกาหนด
โทษผู้ร่วมกระทาความผิดแต่ละคนให้เท่ากัน ศาลอาจใช้ดุลยพินิจในการลงโทษจาเลยแต่ละคน
แตกต่างกนั ไปได้ ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์แห่งคดีเปน็ เร่ือง ๆ ไป เม่ือพฤติการณแ์ ห่งคดีในส่วนที่เกี่ยวกับ
จาเลยที่ ๑ ร้ายแรงกว่าจาเลยท่ี ๒ และผู้ร่วมกระทาผิดคนอื่น ท้ังจาเลยที่ ๑ มีอายุถึง ๒๗ ปี
152
มากกว่าจาเลยท่ี ๒ จึงเป็นผู้ใหญ่ทม่ี ีความรสู้ กึ ผิดชอบช่ัวดีเพียงพอแล้ว ดงั นั้น ที่ศาลอทุ ธรณก์ าหนด
โทษจาคกุ สาหรบั จาเลยที่ ๑ มาโดยลดโทษใหห้ นง่ึ ในสน่ี ้นั เหมาะสมแก่พฤตกิ ารณ์แห่งรปู คดีแลว้
พดู ในทเ่ี กิดเหตุเป็นตวั การ
ฎีกาที่ ๖๖๗๒/๒๕๕๔ ฎ.๗๗๒ แม้จาเลยที่ ๒ ไม่มีอาวุธติดตัว และไม่มีพยานโจทก์เห็น
จาเลยท่ี ๒ ทาร้ายผู้เสียหายท้ังสองคนใดหรือไม่ และในลักษณะใดก็ตาม แต่จาเลยที่ ๒ พูดยุยง
ส่งเสริมว่า “เอามันเลย”ีเพื่อให้พวกของจาเลยท่ี ๒ ทาร้ายผู้เสียหายทั้งสอง และยังอยู่ในกลุ่มของ
คนร้ายที่วิ่งกรูเข้าหาผู้เสียหายทั้งสองขณะชลุ มุนต่อสู้กัน แสดงวา่ จาเลยที่ ๒ มีเจตนาร่วมกระทาผิด
กบั พวกดว้ ย จาเลยที่ ๒ จึงเปน็ ตวั การร่วมกระทาความผดิ กับจาเลยท่ี ๑
ฎีกาท่ี ๘๑๑/๒๕๕๘ ฎ.ส.ล.๗ น.๑ จาเลยท้ังสองร่วมกันว่าจ้างให้ ช. ซ่อมแซมปรับปรุง
บ้านของจาเลยท่ี ๑ โดยให้รื้อฝาผนังร่วมซึ่งเป็นผนังไม้ทั้งสองด้าน คอยควบคุมดูแลการก่อสร้างอยู่
ตลอด และทราบว่าการไม่ฉาบปูนผนังอิฐทางด้านบ้านของโจทก์ร่วม เป็นสาเหตุท่ีทาให้มีน้าร่ัวซึม
เวลาฝนตก การกระทาของจาเลยทั้งสองเป็นการสมคบร่วมกันกระทาการรื้อผนังอาคารร่วมทั้งสอง
ด้านซ่ึงโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของร่วมด้วย จึงเป็นตัวการร่วมกระทาความผิดตามมาตรา ๘๓ หาใช่เป็น
เพียงผใู้ ช้ให้ ช. กระทาความผิดตามมาตรา ๘๔ ไม่
พูดในท่ีเกดิ เหตเุ ป็นผใู้ ช้
ฎีกาที่ ๒๒๘๐/๒๕๕๕ ฎ.๓๓๕ จาเลยและ บ. กับพวกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหาย และ
จาเลยพูดว่า “มึงแน่หรือ ท่ีอยู่ที่นี่มา ๑๕ ถึง ๑๖ ปี เอามันเลย”ีกับพูดว่า “ไอ้สัตว์ เด๋ียวยิงทิ้ง
หมดเลย”ีอันเป็นความผิดฐานบุกรุกและขู่ให้ผู้อ่ืนตกใจกลัว แต่การที่จาเลยพูดว่า เอามันเลย และ
บ. เข้าทาร้ายผู้เสียหายโดยจาเลยไม่ได้ทาร้ายผู้เสียหายด้วย เป็นการท่ีจาเลยก่อให้ผู้อ่ืนกระทา
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๘๔
ฎีกาที่ ๒๗๔๕/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๓๑ ขณะ บ. ใชอ้ าวุธปืนเล็งไปที่ผู้ตาย จาเลยท่ี ๒ พูด
กับ บ. ว่า ยิงเลย ๆ แล้ว บ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย การกระทาของจาเลยที่ ๒ จึงเป็นการยุยงส่งเสริม
ให้ บ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย เมื่อ บ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตายและกระสุนปืนยังถูก
ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส จาเลยที่ ๒ จึงมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทาความผิดฆ่าผู้อ่ืนและ
พยายามฆ่าผอู้ ืน่ ตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๘ และมาตรา ๒๘๘, ๘๐, ๖๐ ประกอบมาตรา ๘๔
ฎีกาท่ี ๗๗๐/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๑ น.๘๗ ถ้อยคาท่ีจาเลยตะโกนข้ึนว่า “ใครอย่าขวางทางกู
กู ส. ค่ายหลวง กูมีปืนนะ” เป็นถ้อยคาลักษณะพูดยั่วยุกระตุ้นจิตใจให้พวกของจาเลยเกิดความ
ฮึกเหิมท่ีจะเข้าไปทาร้ายผู้เสียหาย ซึ่งแม้ว่าขณะนั้นจาเลยจะไม่มีอาวุธปืนติดตัวดังที่ร้องตะโกน
กต็ าม แต่การพูดว่ากมู ีปืนนะย่อมเปน็ การข่มขวัญฝา่ ยผเู้ สียหายให้เกิดความกลัว ขณะเดียวกันก็เป็น
153
การให้กาลังใจพวกของตัวเองให้กล้าท่ีจะยกพวกเข้าไปรุมทาร้ายผู้เสียหาย การกระทาของจาเลย
ถือได้ว่าเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทาความผิดด้วยการยุยงส่งเสริม จึงเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทาความผิด
ตาม ป.อ. มาตรา ๘๔ มใิ ชเ่ ป็นการตวั การรว่ มกระทาความผิดด้วยกนั ตามมาตรา ๘๓
พูดในทเี่ กิดเหตเุ ป็นผู้สนบั สนนุ
ฎกี าที่ ๓๓๑๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๙ น.๕๗ ระหว่างจาเลยที่ ๑ ทาร้ายร่างกายผ้ตู าย จาเลยท่ี ๒
ยืนอยู่ด้านหลังจาเลยท่ี ๑ และพูดกับผู้ตายว่า “มึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร กูเป็นตารวจ กูจะเอาปืนมายิง
มงึ ” แม้จาเลยท่ี ๒ จะไม่ได้ร่วมทาร้ายผู้ตายด้วย แต่การพดู ของจาเลยท่ี ๒ ดงั กล่าว เป็นการข่มขู่ให้
ผู้ตายเกิดความกลัวไม่กล้าต่อสู้และเป็นการปลุกเร้าให้จาเลยที่ ๑ ฮึกเหิมทาร้ายร่างกายผู้ตายต่อไป
อยา่ งสะดวกย่งิ ขึน้ พฤติการณ์ของจาเลยที่ ๒ จึงเป็นการสนับสนุนให้จาเลยที่ ๑ กระทาความผดิ ฐาน
ทารา้ ยร่างกายผู้ตายเปน็ เหตุใหผ้ ู้ตายถึงแก่ความตาย แต่ไมเ่ ป็นความผิดฐานเป็นตัวการรว่ มกับจาเลย
ท่ี ๑ กระทาความผิดดังกล่าว
ต่างคนตา่ งทาไมเ่ ป็นตวั การ
ฎีกาที่ ๕๑๑๒–๕๑๑๓/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล. ๓ น. ๗๓ พฤติการณ์ท่ีจาเลยท่ี ๑ ใช้มีดพร้าฟัน
ผู้ตายท่ีศีรษะทางด้านหลัง ๑ ที แล้วจาเลยที่ ๒ ใช้อาวุธปืนพกยิงผู้ตายท่ีบริเวณหน้าท้อง ๑ นัด
เป็นกรณีที่เกิดขึ้นโดยปัจจุบันทันด่วนต่อเนื่องจากการท่ีจาเลยท่ี ๑ เห็นเด็กชาย อ. ถูกแทง แล้ว
ร. พาเด็กชาย อ. วิ่งหนีโดยมี น. และผู้ตายวิ่งตามไป จาเลยที่ ๑ จึงวิ่งเข้าไปในบ้านของ ย. นา
มีดพร้าไปฟันผู้ตายที่ศีรษะทางด้านหลัง ๑ ที ส่วนจาเลยท่ี ๒ ก็ถืออาวุธปืนพกว่ิงออกมาจากบ้าน
ของ ย. แล้วใช้อาวุธปืนนั้นยิงผู้ตาย อันเป็นลักษณะท่ีจาเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ ต่างคนต่างกระทา
ต่อผู้ตายโดยมิได้สมคบกันมาก่อน เม่ือผู้ตายถึงแก่ความตายเน่ืองจากเลือดออกจานวนมากใน
ช่องท้อง เพราะเส้นเลือดดาใหญ่ในช่องท้องฉีกขาด ดังนั้น เหตุที่ทาให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจึง
เกิดจากการท่ีจาเลยท่ี ๒ ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ไม่ได้เกิดจากการที่จาเลยที่ ๑ ใช้มีดพร้าฟันผู้ตาย
ทีศ่ รี ษะ จาเลยที่ ๒ จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อ่ืน ส่วนการทจี่ าเลยที่ ๑ ใชม้ ีดพรา้ ฟันผูต้ ายที่ศรี ษะซง่ึ เป็น
อวัยวะสาคัญที่อาจทาใหผ้ ู้ตายถึงแก่ความตายได้ เม่ือผู้ตายไม่ถึงแก่ความตายเพราะเหตทุ ี่จาเลยที่ ๑
ใช้มีดพรา้ ฟันผตู้ ายทศี่ รี ษะ จาเลยที่ ๑ จึงมคี วามผิดฐานพยายามฆา่ ผู้อืน่
ฎกี าที่ ๗๐๖๘/๒๕๕๔ ฎ.๑๖๗๗ พวกจาเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้ตาย เป็นการกระทาของพวก
จาเลยตามลาพัง เป็นการตัดสินใจโดยฉับพลันในขณะนั้น มิใช่จาเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันที่จะ
ทาร้ายผู้ตายมาแต่แรก การท่ีจาเลยกับพวกเข้ารุมทาร้ายผู้ตายเป็นเรื่องต่างคนต่างทาร้ายผู้ตาย
โดยลาพัง ไม่ปรากฏว่าจาเลยร่วมทาร้ายผ้ตู ายอย่างไร มีสว่ นร่วมในการที่พวกจาเลยใช้อาวุธมีดแทง
ผู้ตายอย่างไร จึงยังฟังไม่ไดว้ ่าจาเลยมีเจตนาร่วมกับพวกจาเลยท่ีใช้อาวุธมีดแทงผตู้ าย คงฟังได้เพียง
154
ว่าจาเลยได้เข้าทาร้ายเตะต่อยผู้ตายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ จาเลย
ไม่มีความผิดฐานรว่ มกันทารา้ ยผู้อื่นจนเป็นเหตใุ ห้ถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๐ วรรคแรก
คงมคี วามผดิ ฐานทาร้ายผู้อน่ื ไม่ถงึ กบั เปน็ เหตใุ หเ้ กิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามมาตรา ๓๙๑
ข้อสังเกต ข้อเท็จจริงคดีน้ีฟังว่ำจำเลยไม่ได้ร่วมกับพวกทำรำ้ ยผู้ตำย จำเลยจึงมีควำมผิดตำมมำตรำ
๓๙๑ เท่ำทตี่ นเองกระทำ
ฎีกาท่ี ๒๓๕-๒๓๗/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๔ การที่จาเลยที่ ๑ ท่ี ๒ และท่ี ๓ พบผู้เสียหาย
โดยบังเอิญขณะผู้เสียหายไปท่ีเกดิ เหตุเพื่อรบั ป. กลับบา้ น แล้วจาเลยที่ ๑ ที่ ๒ และท่ี ๓ รมุ ถบี เตะ
และกระทืบผู้เสียหายทันที จากน้ันจึงมีชาวบ้านอีกจานวนหนึ่งเข้ารุมเตะและกระทืบผู้เสียหาย และ
จาเลยที่ ๑ ท่ี ๒ และที่ ๓ ลากผู้เสียหายไปรุมเตะ และกระทืบอีกที่บริเวณข้างบ้านเลขท่ี ๓๕ โดย
ไมป่ รากฏวา่ ผู้เสียหายถูกอาวุธมีดแทงขณะที่จาเลยท่ี ๑ ท่ี ๒ และท่ี ๓ เข้ารมุ ทารา้ ยในตอนแรกหรือ
หลังจากชาวบ้านเข้าร่วมรุมทาร้ายแล้ว จึงฟังไม่ได้ว่าการใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายเกิดจากการ
กระทาของจาเลยท่ี ๑ ท่ี ๒ และที่ ๓ ทั้งการท่ีชาวบ้านเข้ารุมทาร้ายผู้เสียหายด้วยน้ัน ก็ไม่ได้มีการ
สมคบหรือนัดหมายกับจาเลยท่ี ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ มาก่อน จาเลยที่ ๑ ท่ี ๒ และท่ี ๓ ย่อมไม่อาจจะ
เล็งเห็นหรือคาดหมายได้ว่าพวกที่เข้ารุมทาร้ายผู้เสียหายดังกล่าวจะมีอาวุธมีด พฤติการณ์ท่ีจาเลยท่ี
๑ ที่ ๒ และที่ ๓ เพียงแตใ่ ช้เท้าถีบเตะและกระทืบผู้เสียหาย ยังไม่พอฟงั ว่าจาเลยที่ ๑ ท่ี ๒ และท่ี ๓
มีเจตนาฆ่า จาเลยท่ี ๑ ท่ี ๒ และท่ี ๓ คงมีเพียงเจตนาทาร้าย การกระทาของจาเลยท่ี ๑ ที่ ๒ และท่ี
๓ จงึ ไม่เป็นความผดิ ฐานร่วมกันพยายามฆา่ ผู้อืน่
ผู้เสียหายถูกอาวุธมีดแทงที่บริเวณท้อง แพทย์รักษาโดยการผ่าตัด หลังจากออกจาก
โรงพยาบาลแล้วต้องไปรักษาตัวต่อที่บ้านโดยนอนพักประมาณ ๒ เดือน ผลการตรวจชันสูตร
บาดแผลของแพทย์ระบุว่า ได้ผ่าตัดเย็บซ่อมลาไส้และจุดที่มีเลือดออก บาดแผลจะหายในเวลา ๓
สัปดาห์ หากไม่มีสาเหตุแทรกซ้อน แสดงว่าเหตุที่ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสเพราะต้องป่วยเจ็บ
ด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวันหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่าย่ีสิบวันนั้น
เกิดจากการที่ผู้เสียหายถูกอาวุธมีดแทง ไม่ไดเ้ กิดจากการรุมถีบ เตะ และกระทืบของจาเลยที่ ๑ ที่ ๒
และที่ ๓ ดังน้ัน การท่ีผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส จึงไม่ได้เป็นผลโดยตรงจากการร่วมกันทาร้าย
ของจาเลยท่ี ๑ ท่ี ๒ และท่ี ๓ และไม่ได้เป็นผลที่ตามธรรมดาย่อมเกิดขึ้นได้จากการร่วมกันทาร้าย
ของจาเลยท่ี ๑ ท่ี ๒ และที่ ๓ การกระทาของจาเลยท่ี ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ จึงไม่เป็นความผิดฐาน
ร่วมกนั ทาร้ายผูอ้ ่นื ให้ไดร้ บั อนั ตรายสาหสั
ฎกี าท่ี ๑๑๘๕/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๖ ขณะเจ้าพนกั งานตารวจต้ังจุดตรวจ ภ. ขับรถยนต์
กระบะมีพวกน่ังอยู่ในห้องโดยสาร ๑ คน และมีพวกอีก ๔ คน ซ่ึงมีจาเลยรวมอยู่ด้วยนั่งที่กระบะ
รถยนต์ เม่ือมาถึงจุดตรวจแล้วไม่ยอมหยุดให้ตรวจกลับเร่งความเร็วรถหนีไป จ่าสิบตารวจ จ.
สิบตารวจตรี ท. และสิบตารวจตรี ส. จึงกระโดดขึ้นไปบนกระบะรถยนต์ของกลาง จาเลยกับพวก
ยินยอมให้เจ้าพนักงานตารวจใส่กุญแจมือโดยดีไม่มีท่าทีจะต่อสู้ หลังจากนั้นเจ้าพนักงานตารวจ
ใช้อาวุธปืนยิงขู่และทุบกระจกเพื่อให้ ภ. หยุดรถ แต่ ภ. ยังคงขับรถต่อไป จนกระทั่งต่อมาเมื่อพวก
155
คนหนึ่งตะโกนว่าสู้มัน จาเลยกับพวกที่น่ังในกระบะรถยนต์เข้าต่อสู้กับสิบตารวจตรี ท. และ
สิบตารวจตรี ส. แล้วพวกคนหนึ่งใช้อาวธุ ปืนยิงสบิ ตารวจตรี ส. ถงึ แก่ความตาย สว่ นพวกอีกคนที่นั่ง
ในห้องโดยสารใช้อาวุธปืนยิงสิบตารวจโท ท. ท่ีใบหน้าได้รับอันตรายสาหัสโดยจาเลยถูกกระสุนปืน
ที่เท้าด้วย จากนั้น ภ. กับพวกนาเจ้าพนักงานตารวจท้ังสองท่ีถูกยิงไปท้ิงในซอยหมู่บ้านจัดสรร
แสดงว่าจาเลยกับพวกมิได้คบคิดกันจะฆ่าและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานตารวจตั้งแต่แรก แต่การฆ่า
และพยายามฆ่าดังกล่าวเกิดขึ้นในทันทีทันใดระหว่างมีการต่อสู้กันโดยไม่ปรากฏว่าจาเลยมีการ
กระทาใดทีแ่ สดงว่ามีสว่ นร่วมด้วย แต่กลับถูกกระสนุ ปืนจากการยงิ ต่อสู้กันเข้าที่เท้าบ่งชี้วา่ น่าจะไม่รู้
มาก่อนด้วยว่าจะมีการใช้อาวุธปืนยิงกัน ดังน้ี การกระทาของจาเลยยังฟังไม่ได้ว่าจาเลยร่วมกับพวก
ฆา่ สิบตารวจตรี ส. และพยายามฆา่ สิบตารวจตรี ท.
การท่ี ภ. ไม่ยอมหยุดรถเม่ือเจ้าพนักงานตารวจกระโดดขึ้นไปบนรถเพื่อจับกุม แต่ยังคง
ขับรถตอ่ ไปและเม่ือเจา้ พนกั งานตารวจกระทาการเพื่อให้ ภ. หยดุ รถอกี แต่ ภ. ก็ยังขับรถต่อไปทาให้
เจ้าพนักงานตารวจไม่สามารถลงจากรถมาตรวจค้นจาเลยกับพวกได้นั้น ภ. กระทาไปโดยเจตนา
หลบหนีให้พ้นจากการจับกุมให้ได้เท่าน้ัน ยังไม่เพียงพอจะรับฟังว่ามีเจตนาหน่วงเหน่ียวกักขัง หรือ
ทาใหเ้ จา้ พนกั งานตารวจที่ข้ึนไปบนรถปราศจากเสรภี าพในร่างกาย
ฎีกาที่ ๑๓๑๑/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๒๐ ก่อนเกิดเหตุ จาเลยที่ ๒ กับผู้ตายมิได้มีสาเหตุ
โกรธเคืองอย่างรุนแรงถึงขั้นที่จะต้องเอาชีวิตกัน แต่สาเหตุที่จาเลยที่ ๒ ใช้ขวดสุราตีผู้ตาย
ก็เนื่องมาจากเห็นผู้ตายมีปากเสียงทะเลาะและท้าทายจาเลยท่ี ๑ ซึ่งเป็นบุตรของตน หลังจากนั้น
จาเลยที่ ๑ ก็เข้าไปใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายหลายครั้งในทันทีทันใด โดยมี ส. เข้าไปช่วยจาเลยที่ ๑
รุมทาร้ายโดยใช้ไม้คานตีผู้ตายด้วย ซึ่งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจาเลยที่ ๒ รู้เห็นเป็นใจด้วยกับการ
กระทาของจาเลยที่ ๑ และ ส. ประกอบกบั จาเลยที่ ๒ ใชข้ วดสรุ าตีผู้ตายเพียง ๑ ที แลว้ มิไดต้ ีผตู้ าย
ซา้ อีก จึงรับฟงั ได้ว่าการท่ีจาเลยที่ ๑ ใช้อาวุธมดี แทงผตู้ ายหลายครั้งโดยเจตนาฆา่ นัน้ เปน็ การกระทา
ที่อยู่นอกเหนือเจตนาของจาเลยที่ ๒ ดังน้ัน จาเลยที่ ๒ จึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น อย่างไร
ก็ตาม การที่จาเลยท่ี ๒ใช้ขวดสุราตีผู้ตายจนเกิดบาดแผลฉีกขาดที่ศีรษะข้างซ้าย ขนาด ๔x๑.๕
เซนติเมตร น้ัน ย่อมเป็นความผิดฐานทารา้ ยผู้อื่นจนเป็นเหตุใหเ้ กดิ อันตรายแก่กายตาม ป.อ. มาตรา
๒๙๕
ข้อสังเกต ข้อเท็จจริงคดีนี้ฟังว่ำจำเลยท่ี ๒ ไม่ได้ร่วมกับจำเลยท่ี ๑ และ ส. กระทำผิด จำเลยท่ี ๒
จึงมีควำมผิดตำมมำตรำ ๒๙๕ เท่ำท่ีตนกระทำ แต่ถ้ำเปล่ียนข้อเท็จจริงเป็นว่ำ จำเลยท่ี ๒ มีเจตนำ
ร่วมกับจำเลยท่ี ๑ และ ส. กระทำผิดฐำนทำร้ำยร่ำงกำย โดยจำเลยท่ี ๒ ไม่มีเจตนำฆ่ำ จำเลยท่ี ๑
กระทำเกินขอบเขตของกำรเป็นตัวกำร จำเลยที่ ๒ จะมีควำมผิดตำมมำตรำ ๒๙๐ ขอให้ดูฎีกำท่ี
๑๒๑๓/๒๕๕๕
156
เป็นตัวการรว่ มกันทาร้าย แต่บางคนกระทาเกนิ ขอบเขตหรือผลเกนิ ขอบเขต
ฎีกาท่ี ๗๗๑๔/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๖๑ จาเลยทาร้ายผู้ตายโดยการชกต่อย ซึ่งมิได้
ก่อให้เกิดบาดแผลแก่ผู้ตายถึงขนาดจะเป็นเหตุแห่งความตายได้ แต่ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะ
บาดแผลอันเกิดจากการใช้อาวุธปืนยิง ซึ่งกระทาโดย ณ. คนเดียว และจากคาเบิกความของ ธ. และ
ล. ผู้เป็นเพื่อนผู้ตายว่า ขณะที่พยานทั้งสองอยู่ที่หน้าร้านโดมมีเสียงผู้ชายตะโกนถามว่าใครชื่อ ม.
ผู้ตายจึงพูดว่า ม. น้องกูเอง มีอะไรหรือเปล่า ทันใดนั้น จาเลยก็เดินเข้าไปชกต่อยผู้ตายซ่ึงน่ังซ้อน
ท้ายรถจักรยานยนต์อยู่ แล้ว ณ. ก็ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทันที แสดงให้เห็นว่าจาเลยกระทาการโดย
เจตนาเพียงร่วมทาร้ายผู้ตายก่อน ไม่ปรากฏหลักฐานใดที่บ่งช้ีให้เห็นว่า จาเลยมีส่วนร่วมรู้เห็นหรือ
คบคิดกันหรือคาดหมายหรือเล็งเห็นได้ว่า ณ. จะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แสดงให้เห็นว่าเจตนาในการฆ่า
ผ้ตู ายโดยการใชอ้ าวุธปืนนเ้ี ป็นเจตนาท่ีเกิดขึ้นเฉพาะตัว ณ. จึงไม่อาจรับฟังเป็นโทษแก่จาเลยว่าได้มี
เจตนาร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยการแบ่งหน้าที่กันทา แม้จาเลยมีเจตนาเพียงร่วมในการทาร้ายผู้ตาย แต่
ต้องรับผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันทาร้ายผู้อ่ืนเป็นเหตุให้ผู้อ่ืนถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๐
วรรคแรก ประกอบมาตรา ๘๓
ฎีกาท่ี ๖๐๒๐/๒๕๕๙ ฎ.ส.ล.๙ น.๒๘ จาเลยท่ี ๑ ร่วมเดินทางไปกับพวกไปท่ีเกิดเหตุโดย
ทราบมาก่อนแล้วว่าพวกของจาเลยท่ี ๑ จะไปทาร้ายผู้เสียหาย และหลังเกิดเหตุกห็ ลบหนีไปด้วยกัน
ยอ่ มแสดงให้เห็นว่าจาเลยท่ี ๑ มีเจตนาที่จะร่วมทาร้ายผู้เสียหายกับพวกซงึ่ มกี ารคิดไตร่ตรองไวก้ ่อน
แลว้ จงึ ฟังได้วา่ จาเลยท่ี ๑ มีเจตนาเพียงต้องการทารา้ ยผเู้ สยี หายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเท่านั้น แต่เมื่อ
ผลการกระทาของพวกจาเลยที่ ๑ ไม่ทาให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ แต่พลาดไปถูกผู้ตายจนเป็นเหตุ
ให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จาเลยที่ ๑ จึงต้องรับผลแห่งการกระทานั้น จาเลยท่ี ๑ จึงมีความผิดฐาน
ร่วมกันพยายามทาร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๖ ประกอบมาตรา
๘๐ และฐานทาร้ายผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและไม่มีเจตนาฆ่า แต่เป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย
โดยพลาดตามมาตรา ๒๙๐ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๖๐
ฎีกาท่ี ๑๒๑๓/๒๕๕๕ ฎ. ๒๗๗ จาเลยไมร่ ูม้ าก่อนว่าพวกของจาเลยมีและพาอาวธุ ปืนติดตัว
มาด้วยและจะใช้อาวุธปืนยงิ ผู้เสียหาย การที่พวกของจาเลยใชอ้ าวธุ ปืนจะยิงผ้เู สียหายเปน็ เหตุการณ์
ท่ีเกิดขึ้นเฉพาะหน้าและในฉับพลันนั้นเอง จาเลยเพียงแต่ร่วมทาร้ายร่างกายผู้เสียหายจึงเป็น
ความผดิ ฐานร่วมกันทารา้ ยผอู้ ่ืนเป็นเหตใุ ห้เกิดอนั ตรายแก่กายหรือจติ ใจตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๕, ๘๓
ส่วนการที่จาเลยกับพวกหลบหนีไปด้วยกัน ก็ยังถือไม่ได้ว่าจาเลยมีส่วนร่วมในการมีและพาอาวุธปืน
ของพวกจาเลยดว้ ย
ข้อสังเกต คดีน้ีตอนแรกจำเลยกับพวกของจำเลยมีเจตนำร่วมกันและไปทำร้ำยผู้เสียหำย จำเลยกับ
พวกก็มีควำมผิดฐำนร่วมกันทำร้ำยร่ำงกำยแล้ว ต่อมำพวกของจำเลยใช้ปืนยิงพยำยำมฆ่ำผู้เสียหำย
โดยจำเลยไม่รู้มำก่อนว่ำพวกของจำเลยมีและพำอำวุธปืนติดตัวมำด้วย จำเลยไม่ผิดฐำนพยำยำมฆ่ำ
แตเ่ มือ่ ผูเ้ สยี หำยไดร้ ับอันตรำยแก่กำยจำเลยผิดมำตรำ ๒๙๕
หรือจำเลยทั้งสี่กับ ม. ร่วมกันทำร้ำยผู้อ่ืน เมื่อชกต่อยกันฝ่ำยจำเลยสู้ไม่ได้ ขณะที่ฝ่ำย
157
จำเลยหลบหนี ม. ใช้ปืนยิงพวกผู้เสียหำยได้รับบำดเจบ็ บำดเจ็บสำหัส และ ส. ถึงแก่ควำมตำย เมื่อ
จำเลยท้ังส่ีไม่รู้ว่ำ ม. มีปืนไปด้วย จำเลยท้ังส่ีไม่มีควำมผิดฐำนฆ่ำผู้อ่ืนและพยำยำมฆ่ำตำมมำตรำ
๒๘๘, ๘๐ แต่จำเลยท้ังส่ีมีควำมผิดตำมมำตรำ ๒๙๐, ๒๙๕, และ ๒๙๗ (ฎีกำที่ ๔๑๔๐/๒๕๓๐
ฎ.๒๕๓๒) โดยสรุปก็คือหำกจำเลยกับพวกมีเจตนำร่วมกันไปทำร้ำย แต่พวกจำเลยโดยลำพังไปฆ่ำ
หรอื พยำยำมฆ่ำ โดยจำเลยไม่ร้วู ำ่ พวกของจำเลยมีปนื จำเลยไม่ตอ้ งรบั ผิดฐำนฆ่ำผู้อ่ืนโดยเจตนำหรือ
พยำยำมฆ่ำ แต่ต้องรับผิดในผลที่เกิดข้ึน คือ ถ้ำผู้ตำยถึงแก่ควำมตำย จำเลยต้องรับผิดตำมมำตรำ
๒๙๐ ถ้ำผู้เสียหำยได้รับอันตรำยสำหัส จำเลยต้องรับผิดเตำมมำตรำ ๒๙๗ ถ้ำผู้เสียหำยได้รับ
อันตรำยแก่กำย จำเลยต้องรับผิดเตำมมำตรำ ๒๙๕ ถ้ำไม่ได้รับอันตรำยแก่กำยต้องรับผิดมำตรำ
๒๙๕, ๘๐
ต่อมำฎีกำที่ ๘๗๑๐/๒๕๖๐ ฎ.๒๖๘๔ ตัดสินว่ำ แม้จำเลยกับ อ. นั่งรถจักรยำนยนต์
มำด้วยกันก่อนเกิดเหตุและข้ึนรถหลบหนีไปด้วยกันหลังเกิดเหตุก็ตำม แต่จำเลยไม่ร่วมรู้เห็นว่ำ อ.
พกพำมีดไปด้วย หรือได้คบคิดกันมำก่อนว่ำจะใช้มีดแทงผู้เสียหำย ขณะท่ี อ. ลงจำกรถไปชกต่อย
ผู้เสียหำย ก็ไม่ปรำกฏว่ำ อ. ถอื มีดจะเขำ้ ไปแทงผู้เสียหำย จำเลยกับ อ. ไม่เคยมสี ำเหตุโกรธเคืองกับ
ผู้เสียหำยมำก่อน ท้ังมูลเหตุท่ีเกิดข้ึนก็สืบเน่ืองมำจำก อ. ไม่พอใจผู้เสียหำยท่ีไปตักเตือนบิดำตนซึ่ง
ขบั รถไปชนประตทู ำงเข้ำออกอันไม่ใชเ่ รื่องรำ้ ยแรงถึงขนำดตอ้ งเอำชวี ิตกัน จำเลยเพียงเข้ำไปชกตอ่ ย
และถีบผูเ้ สียหำย ดังน้ี ยังฟังไม่ได้ว่ำจำเลยเป็นตัวกำรร่วมกับพวกใช้มีดแทงผู้เสียหำยโดยมีเจตนำฆ่ำ
เมื่อจำเลยไมร่ ู้ว่ำ อ. พำอำวธุ มีดมำ จำเลยจึงไม่มีควำมผิดฐำนร่วมกนั พำอำวุธมีดไปในทำงสำธำรณะ
ตำม ป.อ. มำตรำ ๓๗๑ กำรท่ีจำเลยเข้ำไปชกต่อยและถีบผู้เสียหำยโดยไม่ปรำกฏบำดแผลจำกกำร
ชกต่อยและถีบ จึงเป็นควำมผิดเพียงฐำนร่วมกันใช้กำลังทำร้ำยผู้อ่ืนโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิด
อันตรำยแก่กำยหรือจิตใจตำมมำตรำ ๓๙๑ เท่ำน้ัน ซ่ึงต่อมำก็มีฎีกำที่ ๗๒๔๒/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๘
น.๑๖๑ ตดั สินกลับไปใชห้ ลักเดิมตำมฎีกำที่ ๔๑๔๐/๒๕๓๐ และท่ี ๖๐๒๐/๒๕๕๙ อีก โดยตัดสินว่ำ
จำเลยทั้งสองร่วมกับพวกใช้กำลังทำร้ำยผู้ตำย กำรท่ีพวกของจำเลยทั้งสองกระทำเกินเลยกว่ำเหตุ
โดยใช้มีดแทงผู้ตำยจนถึงแก่ควำมตำย ไม่อยู่ในควำมคำดหมำยหรอื เจตนำของจำเลยท้ังสอง แต่เมื่อ
กำรร่วมกันทำร้ำยร่ำงกำยผู้ตำยของจำเลยทั้งสองกับพวกเป็นเหตุให้ผู้ตำยถึงแก่ควำมตำย จำเลย
ทั้งสองต้องร่วมรับผิดในผลดังกล่ำวด้วย ฟังได้ว่ำจำเลยทั้งสองร่วมกับพวกทำร้ำยร่ำงกำยผู้ตำยจน
เป็นเหตุให้ผู้ตำยถึงแก่ควำมตำยกรณีเป็นควำมผิดตำม ป.อ. มำตรำ ๒๙๐ วรรคแรก หำกออก
ข้อสอบเนติฯหรือผู้ช่วยผู้พิพำกษำคงต้องตอบตำมฎีกำที่ ๗๒๔๒/๒๕๖๑ ซ่ึงเป็นฎีกำใหม่ล่ำสุด
เป็นตัวการรับผิดรว่ มกนั
ฎีกาที่ ๗๒๙/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๔๘ จาเลยที่ ๑ ใช้จอบซึ่งมีคมจอบกว้าง ๖ ถึง ๗ นิ้ว
ด้ามยาว ๑.๕ เมตร เป็นอาวุธฟันผู้เสียหายและผู้ตาย ๑ คร้ัง คมจอบไม่ถูกผู้เสียหายเพราะหลบทัน
แต่ถกู ท่ีศีรษะของผู้ตายซ่ึงเป็นอวัยวะสาคัญ จาเลยท่ี ๑ ย่อมเล็งเห็นผลในการกระทาของจาเลยที่ ๑
158
ได้ว่าอาจทาให้ผู้เสียหายและผู้ตายถึงแก่ความตายได้ แม้มูลเหตุที่จาเลยท่ี ๑ ไม่พอใจผู้เสียหายจะ
ไม่ใช่สาเหตุรา้ ยแรงถึงขนาดท่ีจาเลยท่ี ๑ จะต้องฆ่าผู้เสียหายและผู้ตายกต็ าม กต็ ้องถือว่าจาเลยท่ี ๑
กระทาไปโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายและผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายและผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความ
ตาย การกระทาของจาเลยที่ ๑ จึงเป็นความผิดฐานฆา่ ผ้อู ื่นและฐานพยายามฆ่าผู้อ่ืน ท้งั การท่ีจาเลย
ที่ ๑ ตระเตรียมจอบเป็นอาวุธดักรอทาร้ายผู้เสียหายและผู้ตาย เมื่อผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์
มีผู้ตายน่ังซ้อนท้ายผ่านมา จาเลยท่ี ๑ ใช้จอบฟันทาร้ายผู้เสียหายและผู้ตายทันทีโดยจาเลยที่ ๑
และผู้เสียหายกับผู้ตายไม่ได้ทะเลาะวิวาทหรือโต้เถียงกันอีก พฤติการณ์เช่นน้ีแสดงว่า จาเลยท่ี ๑
ได้วางแผนตระเตรียมการที่จะฆ่าผู้เสียหายและผู้ตายมาก่อนแล้ว จาเลยท่ี ๑ จึงมีความผิดฐาน
ฆา่ ผอู้ ่ืนโดยไตร่ตรองไว้กอ่ นและพยายามฆา่ ผ้อู น่ื โดยไตร่ตรองไว้ก่อน
จาเลยที่ ๒ ขับรถจักรยานยนต์มีจาเลยท่ี ๑ นั่งซ้อนท้ายไปยังสถานที่เกิดเหตุ แล้วจาเลย
ที่ ๑ เตรียมจอบเป็นอาวุธดักทาร้ายผู้เสียหายและผู้ตาย แสดงให้เห็นว่าจาเลยที่ ๒ สมคบกับจาเลย
ท่ี ๑ ที่จะทาร้ายผู้เสียหายและผู้ตาย แม้การที่จาเลยที่ ๒ ขับถจักรยานยนต์พาจาเลยท่ี ๑ นั่งซ้อน
ท้ายไปยังสถานทเี่ กิดเหตุและพาจาเลยท่ี ๑ หลบหนีไปพร้อมกันจะมิใช่เป็นการกระทาในส่วนสาคัญ
หรือสาระสาคัญของความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและพยายามฆ่าผู้อ่ืนโดยไตร่ตรอง
ไว้ก่อน แต่การที่จาเลยที่ ๒ อยู่ที่รถจักรยานยนต์ซ่ึงจอดอยู่ห่างจากจาเลยท่ี ๑ ประมาณ ๑๕ ถึง
๒๐ เมตร นัน้ มลี ักษณะท่ีพรอ้ มจะเข้าชว่ ยเหลือจาเลยที่ ๑ ไดท้ ันทว่ งทหี ากเกดิ เหตขุ ดั ข้องข้ึน ถือได้
วา่ เป็นการร่วมกระทาความผิดโดยแบ่งหน้าทก่ี ันทากับจาเลยท่ี ๑ การกระทาของจาเลยที่ ๒ จึงมิใช่
เป็นเพียงผสู้ นบั สนุนการกระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๘๖ แต่เปน็ ตัวการตามมาตรา ๘๓ รว่ มกับ
จาเลยท่ี ๑ กระทาความผิดฐานฆา่ ผ้อู ื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและพยายามฆ่าผอู้ ่ืนโดยไตร่ตรองไวก้ ่อน
ฎีกาที่ ๑๙๔๐/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล. ๑ น.๑๓๙ จาเลยที่ ๑ กับพวกต่างถืออาวธุ กันคนละอันเพ่ือ
ดักรอทาร้ายรา่ งกายผู้ตาย พฤตกิ ารณ์ดังกล่าวเป็นลกั ษณะร่วมกนั เพื่อกระทาความผดิ แม้จะฟังได้ว่า
น. เป็นคนขว้างเส้นเหล็กสแตนเลสถูกศีรษะผู้ตายจนทะลุกะโหลกศีรษะ โดยจาเลยท่ี ๑ กับพวก
ยังไม่ได้ใช้อาวุธที่ถือมาเข้าทาร้ายผู้ตาย ก็ต้องถือว่า น. ได้กระทาไปตามเจตนาของจาเลยที่ ๑
กับพวก จาเลยท่ี ๑ กับพวกจึงเป็นตัวการร่วมกระทาความผิดกับ น. ในความผิดฐานทาร้ายร่างกาย
เป็นเหตใุ หผ้ ้อู นื่ ถงึ แก่ความตาย
ฎีกาท่ี ๑๐๐๗๒/๒๕๕๔ ฎ.๒๔๑๖ ก่อนเกิดเหตุจาเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของ บ.
ไปยังท่ีเกิดเหตุ ขณะที่ บ. ใช้ไม้ตีศีรษะผู้เสียหาย จาเลยยืนอยู่ข้าง ๆ บ. ในลักษณะพร้อมจะ
ช่วยเหลือให้การกระทาของ บ. สัมฤทธิ์ผล การที่จาเลยเป็นเจ้าพนักงานตารวจมีหน้าท่ีดูแลรักษา
สวัสดิภาพของประชาชนแต่กลับเข้าสมทบให้กาลังใจ บ. ให้เข้าทาร้ายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้
ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ทั้งหลังจาก บ. ตีผู้เสียหายแล้ว แทนที่จาเลยจะเข้าจับกุม บ.
ไปดาเนนิ คดี จาเลยกลับกล่าวหนนุ ให้ บ. ทาร้ายผู้เสียหายซ้าอีก แสดงว่าจาเลยเปน็ ตัวการร่วมกบั บ.
ทาร้ายผู้เสียหายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและประกอบกรณียกิจ
ตามปกติไม่ได้เกนิ กว่ายี่สิบวนั หาใช่เป็นการใช้ให้ บ. ทาร้ายร่างกายผเู้ สียหายไม่ จาเลยจึงมีความผิด
159
ตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๗ (๘) ประกอบมาตรา ๘๓
ฎกี าท่ี ๒๖๔๒/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๒๔ การทีจ่ าเลยจดทะเบียนหย่ากับ ส. ก็เปน็ เพียงเพื่อ
หลีกเล่ียงความรับผิดทางกฎหมายเท่านั้น ความจริงแล้วจาเลยกับ ส. ยังคงอยู่กินด้วยกันฉันสามี
ภริยาอย่างเปิดเผย อาศัยอยู่บ้านเดียวกันและคอยช่วยเหลือสนับสนุนธุรกิจของกันและกัน
อยู่ตลอดเวลา ในระหว่างท่ี ส. ดาเนินธุรกจิ หลอกลวงประชาชนให้เขา้ ร่วมลงทุนในการจดั ซ้ือท่ีดินมา
ขายให้แกโ่ ครงการสวสั ดกิ ารทหารเพือ่ เปน็ ท่ีอยู่อาศยั ของทหารบก ซึง่ จะไดร้ บั ผลตอบแทนสูง จาเลย
ทราบดีและไม่ห้ามปราม ท้ังยังพูดสนับสนุนการกระทาของ ส. ให้ประชาชนหลงเช่ือว่าท่ีดินที่ ส.
จัดสรรต้องขายได้ทุกแปลงเพราะเป็นการจัดสวัสดิการให้แก่ทหาร หากขาดทุนจาเลยกับ ส. จะ
รบั ผิดชอบ พฤติกรรมดังกล่าวของจาเลยจึงถือว่ามีส่วนร่วมกับ ส. ในการกระทาความผิดฐานฉ้อโกง
ประชาชนตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๓ วรรคแรก และ พ.ร.ก. การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนฯ
มาตรา ๕ (๑) (๒) (ก), ๑๒
ฎีกาที่ ๔๔๔๖/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๕๓ การร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง
เพื่อจาหน่าย แม้จะมีการแบ่งเมทแอมเฟตามีนท่ีร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจาหน่ายออกเป็น
หลายส่วนให้ผู้ร่วมกระทาความผิดแต่ละคนเก็บไว้คนละส่วนแยกจากกัน ก็ถือได้ว่าผู้ร่วมกระทา
ความผดิ แต่ละคนต่างยึดถอื เมทแอมเฟตามีนแต่ละส่วนไว้ในครอบครองแทนซ่ึงกันและกนั
ฎีกาที่ ๑๘๔๕/๒๕๕๕ ฎ.๓๐๓ จาเลยท่ี ๒ ซึ่งเป็นภริยาของจาเลยท่ี ๑ และพักอาศัยอยู่
บ้านเดียวกันรู้เห็นการกระทาความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษของจาเลยท่ี ๑ และเป็นผู้นาเงินไป
โอนเข้าบัญชีเงินฝากของผู้เก่ียวข้องกับยาเสพติดให้โทษตามท่ีจาเลยที่ ๑ บอกให้ทา จาเลย
ท่ี ๒ ช่วยจาเลยท่ี ๑ ผู้เป็นสามีในลักษณะแบ่งหน้าท่ีกันทาอันเป็นการร่วมกันกระทาความผิดตาม
ป.อ. มาตรา ๘๓ จาเลยท่ี ๒ จึงมีความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อ
จาหนา่ ย
ฎีกาท่ี ๑๓๔๔/๒๕๕๕ ฎ.๖๖๖ จาเลยท่ี ๒ รับเมทแอมเฟตามีนที่จาเลยท่ี ๑ มีไว้
ในครอบครองเพื่อจาหน่ายมาจากจาเลยที่ ๑ ในขณะที่จาเลยที่ ๑ ว่ิงหลบหนีสิบตารวจเอกหญิง ศ.
เข้าไปในบ้าน จากน้ันจาเลยที่ ๒ รีบนาเมทแอมเฟตามีนที่ได้รับไปโยนทิ้งลงในโถส้วม ท้ังยังตักน้า
เพ่ือราดเมทแอมเฟตามีนท้ิงลงไปในคอห่าน แสดงว่าจาเลยท่ี ๒ รู้เห็นเป็นใจกับจาเลยที่ ๑ ที่มี
เมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจาหน่าย จาเลยที่ ๒ จึงเป็นตัวการร่วมกับจาเลยที่ ๑
กระทาความผดิ ไมใ่ ชผ่ ู้สนับสนนุ
ไม่อยใู่ นท่ีเกดิ เหตเุ ป็นตัวการได้หรือไม่
ฎีกาที่ ๗๔/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๑ น.๔ แม้จาเลยที่ ๒ จะร่วมวางแผนกับจาเลยที่ ๑ และ ส.
มาก่อนเกิดเหตุเพ่ือที่จะมากระทาความผิดก็ตาม แต่ขณะท่ีจาเลยที่ ๑ และ ส. กระทาความผิด
เอาทรัพย์ของผู้ตายไป จาเลยท่ี ๒ ขับรถจักรยานยนต์แยกทางออกไปก่อน ไม่ได้รออยู่ใกล้กับที่เกิด
160
เหตุท่ีจะมีเวลาเพยี งพอทจี่ ะช่วยเหลือจาเลยท่ี ๑ และ ส. ในขณะกระทาความผิดได้ จึงไม่ใช่เป็นการ
แบ่งหน้าที่กันทาอันจะเป็นตัวการในการกระทาความผิดกับจาเลยท่ี ๑ และ ส. ได้ จาเลยท่ี ๒ คงมี
ความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทาความผิดของจาเลยท่ี ๑ และ ส. เท่าน้ัน หาใช่ร่วมกันเป็น
ตวั การกระทาความผิดชิงทรัพย์ด้วยกันตั้งแต่สามคนข้ึนไป อันจะเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ด้วยไม่
ฎกี าที่ ๒๘๙๗-๒๘๙๘/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๗ น.๕๐ การขับรถจกั รยานยนต์พาจาเลยที่ ๑ มาส่ง
ยังสถานท่ลี ักทรพั ย์ แล้วนัดหมายกาหนดเวลากันวา่ จะขับรถจกั รยานยนต์มารับกลับเมื่อใดน้ัน ถือได้
วา่ จาเลยท่ี ๓ ได้กระทาการอนั เป็นการช่วยเหลือจาเลยที่ ๑ กอ่ นและขณะกระทาความผิด จาเลยท่ี
๓ จึงไม่เป็นตัวการร่วมกับจาเลยที่ ๑ กระทาความผิดฐานลักทรัพย์ แต่เป็นผู้สนับสนุนการกระทา
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๘๖
ฎกี าท่ี ๙๙๘๘/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๙ น.๑๖๖ การทจ่ี าเลยที่ ๔ ช่วยขับรถจักรยานยนต์พาจาเลย
อน่ื ไปไหนมาไหนด้วยกัน ตลอดจนกระทง่ั มีการปรึกษาปลน้ ทรัพย์รถแทก็ ซ่ีซึง่ จาเลยท่ี ๔ ก็ตกลงด้วย
และรับว่าจะทาหน้าท่ีขับรถจักรยานยนต์ติดตามไปรับเม่ือปล้นทรัพย์เสร็จ เม่ือจาเลยที่ ๑ ถึงท่ี ๓
ข้ึนรถแท็กซ่ีไปเพื่อปล้นทรัพย์ จาเลยที่ ๔ ก็ขับรถจักรยานยนต์ตามไป ถือว่าเป็นการสนับสนุนการ
กระทาความผิดฐานปล้นทรัพย์ของจาเลยอื่นแล้ว ส่วนการท่ีจาเลยที่ ๔ ขับรถจักรยานยนต์ล้มและ
จาเลยอ่นื กระทาผิดแผนทป่ี ล้นทรัพย์ เพราะผเู้ สียหายได้รับอันตรายสาหัสจึงไม่อยูร่ อจาเลยท่ี ๔ โดย
วิ่งหลบหนีไปก่อน ก็ไม่ทาให้จาเลยท่ี ๔ พ้นความรบั ผิดไปได้ เพียงแต่ไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันกับ
จาเลยอน่ื ปล้นทรัพยเ์ ท่าน้ัน คงมีความผดิ ฐานสนับสนุนการปลน้ ทรัพยข์ องจาเลยที่ ๑ ถึงท่ี ๓
ฎีกาที่ ๒๒๕/๒๕๕๕ ฎ.๔๗ ขณะจาเลยที่ ๑ และท่ี ๒ ร่วมกันกระทาความผิด โดยพูดจา
หลอกลวงนาสลากกินแบ่งรัฐบาลที่มีการปลอมแปลงหมายเลขออกขายให้แก่ผู้เสียหาย จาเลยที่ ๓
ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุและไม่ได้มีส่วนเก่ียวข้องในการพูดคุยติดต่อเจรจากับผู้เสียหาย จึงฟังไม่ได้ว่า
จาเลยท่ี ๓ เป็นตัวการทร่ี ่วมกระทาความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม แต่การท่ีจาเลยท่ี ๓ เป็นผู้ขับ
รถยนต์พาจาเลยที่ ๑ และท่ี ๒ มายังบ้านผู้เสียหายเพ่ือให้จาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ ร่วมกันหลอกลวง
นาสลากกินแบ่งรัฐบาลที่มีการปลอมหมายเลขว่าถูกรางวัลมาขายเพื่อประสงค์จะเอาทรัพย์สินของ
ผู้เสียหาย เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จาเลยที่ ๑ ก่อนกระทาความผิด จาเลยท่ี ๓ จึง
เป็นผู้สนับสนุนจาเลยท่ี ๑ ในการกระทาความผิดต้องรับโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนตาม ป.อ. มาตรา
๘๖
ฎีกาท่ี ๙๖๕๐/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๙๙ ในคืนเกิดเหตุจาเลยร่วมกับพวกทาร้ายผตู้ ายและ
พ. โดยใช้กาลงั ชกตอ่ ย ผ้ตู ายและ พ. สู้ไมไ่ ด้จึงวิ่งหนีไปคนละทาง จาเลยไล่ตาม พ. พ. หนีไปได้
พวกของจาเลยไล่ตามผู้ตายไป แล้วพวกของจาเลยฟันและแทงผู้ตาย แม้จาเลยจะไม่มีส่วนร่วม
ในการฆ่าผู้ตายซ่ึงเป็นการกระทาที่เกิดขึ้นในภายหลัง แต่จาเลยก็ยังต้องรับผิดในการกระทาของตน
อย่างไรก็ตามจากทางนาสืบของโจทก์ไม่ได้ความว่าการที่จาเลยชกต่อยผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายเกิด
อันตรายแก่กายหรือจิตใจอย่างไร ท้ังตามรายงานการชันสูตรพลิกศพผู้ตาย ก็ระบุว่าผู้ตายมีเพียง
บาดแผลลักษณะถูกฟันและแทงด้วยวัตถุของแข็งมีคมที่บริเวณใต้ราวนมข้างซ้าย ๑ แผล กับที่
161
ด้านข้างแขนซ้ายท่อนบนเหนือข้อศอก ๑ แผลเท่าน้ัน ไม่ปรากฏว่าผู้ตายมีบาดแผลอื่นท่ีน่าเช่ือว่า
เกิดข้ึนจากการถูกจาเลยชกต่อยอีก เช่นน้ีจาเลยจึงมีความผิดเพียงฐานใช้กาลั งทาร้ายผู้อื่น
โดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกดิ อนั ตรายแกก่ ายหรือจิตใจตาม ป.อ. มาตรา ๓๙๑
ฎีกาที่ ๑๑๕๓๐/๒๕๕๓ ฎ.๑๙๙๓ หลังจากท่ีจาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ นาเมทแอมเฟตามีนเข้า
มาในราชอาณาจักรแล้ว กลุ่มของนายทุนท่ีเป็นเจ้าของเมทแอมเฟตามีนมอบหมายให้จาเลยท่ี ๓
รว่ มกบั จาเลยที่ ๑ และท่ี ๒ ส่งมอบเมทแอมเฟตามีนให้แก่ตน ซึง่ จาเลยที่ ๓ ได้ร่วมดาเนินการต้ังแต่
การโทรศพั ทต์ ิดต่อนัดหมายให้จาเลยที่ ๑ นาเมทแอมเฟตามนี มาส่งใหแ้ กจ่ าเลยท่ี ๓ และจาเลยที่ ๑
ได้นาเมทแอมเฟตามีนส่งให้แก่จาเลยท่ี ๓ ตามท่ีนัดหมายกันไว้ท่ีกรุงเทพมหานคร แม้ขณะถูกจับกุม
จาเลยที่ ๓ กาลังตรงเข้ามาเพื่อท่ีจะรับเมทแอมเฟตามีน ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติการต่อเนื่องกันของ
กลุ่มคนร้าย โดยมีเจตนาร่วมกันมาตั้งแต่ภายหลังจากมีการนาเมทแอมเฟตามีนเข้ามาใน
ราชอาณาจักรอันเป็นลักษณะการกระทาความผิดที่เป็นขบวนการโดยมีการแบ่งงานกันทา จาเลยท่ี
๓ จงึ ตอ้ งร่วมรับผิดกบั จาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ ในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามนี ของกลางไว้ใน
ครอบครองเพ่อื จาหน่าย
จาเลยที่ ๓ ร่วมกับจาเลยที่ ๑ และท่ี ๒ มีเมทแอมเฟตามีน ๔,๙๓๕ เม็ด ไว้ในครอบครอง
เพ่ือจาหน่าย โดยเกิดเหตุที่อาเภอเมืองหนองคาย และจาเลยท่ี ๓ ยังกระทาความผิดโดยลาพังฐานมี
เมทแอมเฟตามีน ๑ เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยจาเลยที่ ๓ ถูกจับกุมได้ที่
กรุงเทพมหานคร จึงเป็นกรณีท่ีจาเลยที่ ๓ กระทาความผิดหลายกรรมในท้องท่ีต่าง ๆ กัน พนักงาน
สอบสวนสถานีตารวจภธู รเมอื งหนองคายจึงมีอานาจสอบสวนการกระทาความผิดดังกลา่ วของจาเลย
ที่ ๓ ไดต้ ามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙ (๔)
ขอ้ สงั เกต คดนี ี้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นำเข้ำเมทแอมเฟตำมีนท่ีจังหวัดหนองคำย และถกู ตำรวจจับได้
ท่ีจังหวัดหนองคำย ตำรวจวำงแผนจับกุมจำเลยท่ี ๓ ซึ่งจะมำรับเมทแอมเฟตำมีนจำกจำเลยท่ี ๑ ท่ี
กรุงเทพมหำนคร แล้วจับจำเลยท่ี ๓ ได้ท่ีกรุงเทพมหำนคร จำเลยท่ี ๓ ไม่ได้อยู่ดว้ ยขณะจำเลยที่ ๑
และที่ ๒ ถูกจับที่จังหวัดหนองคำย ศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำจำเลยที่ ๓ มีเจตนำร่วมกันมำต้ังแต่ภำยหลัง
จำกมีกำรนำเมทแอมเฟตำมีนเข้ำมำในรำชอำณำจักรอันเป็นลักษณะกำรกระทำควำมผิดท่ีเป็น
ขบวนกำรโดยมีกำรแบ่งงำนกันทำ จำเลยที่ ๓ เป็นตัวกำรร่วมกระทำควำมผิดกับจำเลยท่ี ๑ และท่ี
๒ ในควำมผิดฐำนร่วมกันมีเมทแอมเฟตำมนี ของกลำงไว้ในครอบครองเพ่ือจำหนำ่ ย ซ่ึงเปน็ กำรขยำย
หลักของกำรเป็นตัวกำรออกไป เน่ืองจำกในคดีประเภทอ่นื ๆ ศำลฎีกำจะวินจิ ฉัยว่ำตัวกำรต้องอยู่ใน
ทีเ่ กิดเหตพุ ร้อมทีจ่ ะช่วยเหลอื กันได้ทนั ที คดนี ี้เป็นกำรขยำยหลักของควำมเป็นตัวกำรว่ำไมต่ ้องอยูใ่ น
ที่เกิดเหตุในขณะกระทำควำมผิดในคดีท่ีเป็นขบวนกำรโดยมีกำรแบ่งงำนกันทำ ซึ่งเหมำะสมกับคดี
ยำเสพติดเป็นอยำ่ งย่งิ แต่คดปี ระเภทอื่นศำลฎีกำดจู ะยังเคร่งครดั ว่ำตวั กำรต้องอยู่ในทเี่ กิดเหตุ
162
ผใู้ ช้
เรอื่ งการใชผ้ ้อู ่นื กระทาผิด ทีแ่ ก้ไขใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๙ บัญญัตวิ ่า
มาตรา ๘๔ ผู้ใดก่อให้ผู้อ่ืนกระทาความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือ
ยุยงส่งเสริม หรือด้วยวธิ อี ืน่ ใด ผู้นนั้ เปน็ ผู้ใช้ ให้กระทาความผดิ
ถ้าความผิดมิได้กระทาลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทา ยังไม่ได้กระทา หรือ
เหตอุ ่นื ใด ผใู้ ช้ต้องระวางโทษเพียงหน่ึงในสามของโทษท่กี าหนดไวส้ าหรับความผดิ นน้ั
ถ้าผถู้ ูกใช้ไดก้ ระทาความผิดนั้น ผู้ใชต้ ้องรับโทษเสมอื นเป็นตวั การ และถ้าผู้ถูกใช้เปน็ บุคคล
อายุไม่เกินสิบแปดปี ผู้พิการ ผู้ทุพพลภาพ ลูกจ้างหรือผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้ใช้ ผู้ที่มีฐานะ
ยากจน หรอื ผู้ตอ้ งพึง่ พาผ้ใู ช้เพราะเหตุป่วยเจบ็ หรอื ไมว่ ่าทางใด ใหเ้ พ่ิมโทษทจ่ี ะลงแก่ผู้ใชก้ ึ่งหน่ึงของ
โทษทศ่ี าลกาหนดสาหรับผูน้ ั้น
มาตรา ๘๕/๑ ถ้าผู้ถูกใช้ตามมาตรา ๘๔ หรือผู้กระทาตามคาโฆษณา หรือประกาศแก่
บุคคลทั่วไปให้กระทาความผิดตามมาตรา ๘๕ ได้ให้ข้อมูลสาคัญอันเป็นการเปิดเผยถึงการกระทา
ความผิดของผูใ้ ช้ให้กระทาความผิดหรือผ้โู ฆษณาหรือประกาศแกบ่ ุคคลทว่ั ไปให้กระทาความผิด และ
เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการดาเนินคดีแก่บุคคลดังกล่าว ศาลจะลงโทษ ผู้น้ันน้อยกว่าอัตราโทษ
ขนั้ ต่าที่กาหนดไวส้ าหรบั ความผดิ น้นั เพยี งใดก็ได้
ข้อ ๓๙ คาถาม นายหนึ่งใช้นายสอง ให้นายสองไปจ้างนายสามฆ่านายสี่ โดยนายหน่ึง
ใช้นายสองเม่ือวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐ ตอ่ มาวันท่ี ๑๐ มกราคม ๒๕๖๐ นายสองไปจ้างนายสามฆ่า
นายส่ีโดยมอบเงนิ ให้ ๒๐๐,๐๐๐ บาท นายสามรบั เงินไว้โดยรับปากว่าจะไปจดั การให้ แต่ปรากฏว่า
นายส่ีถึงแกค่ วามตายไปก่อนตงั้ แตว่ ันที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๐
ใหว้ นิ ิจฉัยความรับผดิ ทางอาญาของนายหนง่ึ และนายสอง
คาตอบ หลกั กฎหมายเรื่ององค์ประกอบภายนอก ผู้ใช้
การที่นายสองจ้างนายสามให้ฆ่านายส่ีในวันท่ี ๑๐ มกราคม ๒๕๖๐ แม้นายสองจะก่อให้
นายสามกระทาความผดิ ดว้ ยการจ้างซึ่งถือไดว้ า่ ครบองค์ประกอบภายนอกในส่วนการกระทาของ
การเปน็ ผ้ใู ช้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๔ แต่นายสี่ถงึ แก่ความตายไปก่อนแล้วตั้งแต่วนั ท่ี
๕ มกราคม ๒๕๖๐ ดังนั้น ในวันที่นายสองใช้ให้นายสามกระทาความผิด จึงไม่มีผู้อื่นให้เป็นวัตถุ
แห่งการกระทาแล้ว การกระทาของนายสองจึงไม่เป็นความผิด เพราะขาดองค์ประกอบภายนอก
ในส่วนของวัตถุแห่งการกระทาในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา นายสองจึงไม่มีความรับผิด
ทางอาญา (ดูเพ่ิมเตมิ ในศำสตรำจำรย์ ดร. เกียรติขจร วัจนะสวสั ดิ์, คำอธิบำยกฎหมำยอำญำภำค ๑
เลม่ ๒ พิมพ์คร้ังที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๖๒ หนำ้ ๒๐๔)
แมน้ ายหนง่ึ ใช้นายสองใหไ้ ปจา้ งนายสามฆ่านายสี่ ตั้งแต่วันท่ี ๑ มกราคม ๒๕๖๐ แต่การก่อ
ให้ผู้อื่นกระทาความผดิ ซึ่งจะเป็นผูใ้ ชใ้ หก้ ระทาความผิดตามมาตรา ๘๔ จะตอ้ งเป็นการก่อตอ่ ผู้ท่ี
163
จะไปลงมือกระทาความผิดแล้วเท่านั้น หากเป็นเพียงการใช้ให้ไปใช้ โดยผู้รับการใช้ยังไม่ไปใช้
ผู้ลงมือ ยังไม่ถือว่าเป็นการก่อให้ผู้อ่ืนกระทาความผิดด้วยการใช้ การท่ีนายหน่ึงใช้ให้นายสองไป
จา้ งนายสามฆา่ นายส่ีเม่ือวนั ท่ี ๑ มกราคม ๒๕๖๐ ในวันดังกลา่ วนายหน่งึ ยงั ไม่เป็นผู้ใช้ เพราะนาย
สองผู้รบั การใช้ยังไม่ใชผ่ ู้ท่ีจะไปลงมือกระทาความผิด (ดเู พิ่มเติมในศำสตรำจำรย์ ดร. เกียรติขจร
วัจนะสวัสด์ิ, คำอธิบำยกฎหมำยอำญำภำค ๑ เล่ม ๒ พิมพ์คร้ังที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๖๒ หน้ำ ๑๖๘ ถึง
หนำ้ ๑๖๙)
การท่ีนายสองจ้างนายสามฆ่านายส่ีเมื่อวันที่ ๑๐ นายสองไม่มีความผิด เพราะขาด
องค์ประกอบภายนอกในส่วนของวัตถุแห่งการกระทาดังท่ีวินิจฉัยมาแล้ว การจ้างของนายสอง
ดังกล่าว ก็ไม่อาจทาให้นายหนึ่งเป็นผู้ใช้ เพราะต้องถือว่าการกระทาของนายหน่ึงขาด
องค์ประกอบภายนอกในส่วนของวตั ถุแห่งการกระทาเช่นเดียวกบั นายสอง นายหนง่ึ จึงไม่มีความ
รับผดิ ทางอาญา
ข้อ ๔๐ คาถาม นายม่ังต้องการฆ่านางมีภรรยาของตนท่ีป่วยอยู่ในโรงพยาบาลเพราะ
ต้องการทรัพย์มรดกของนางมี นายม่ังพบเด็กชายมากอายุ ๑๔ ปีซ่ึงเป็นหลานของนางมีและพัก
อาศัยอยู่บา้ นเดียวกนั กับนายม่งั และนางมี นายมั่งจงึ จ้างเด็กชายมากเอาอาหารผสมยาพษิ ไปใหน้ างมี
รับประทานที่โรงพยาบาล เด็กชายมากกลัวความผิดจึงปฏิเสธ ต่อมานายมั่งเล่นการพนันเสียเงินไป
จานวนมากจึงจ้างให้เด็กชายมากขโมยเคร่ืองเพชรของนางมีที่ใส่ไว้ในตู้นิรภัยของนางมีท่ีอยู่ใน
ห้องรับแขกทบ่ี ้าน เด็กชายมากจึงงัดตู้นิรภัยเอาเครอื่ งเพชรไปให้นายมั่ง นายม่ังจึงเอาเครื่องเพชรไป
ขายใช้หนี้การพนัน ต่อมานายมั่งไปโรงพยาบาลเพ่ือเย่ียมนางมี เม่ือนายม่ังพบนางสาวสวยอายุ ๑๗
ปี ซ่ึงเป็นเด็กท่ีมาดูแลนางมีที่โรงพยาบาล นายมัง่ จงึ หลอกนางสาวสวยวา่ นางมตี ้องการรับประทาน
ไก่ย่างตนจึงซ้ือมาฝาก แล้วนายม่ังมอบถุงไก่ย่างผสมยาพิษ เพ่ือให้นางสาวสวยนาไปใส่จานให้นางมี
รับประทาน โดยนางสาวสวยไม่ทราบว่าไก่ย่างมียาพิษผสมอยู่ นางสาวสวยนาไก่ย่างไปให้นางมี
รบั ประทาน นางมีรบั ประทานไก่ยา่ งผสมยาพษิ แล้วถึงแกค่ วามตาย
ให้วินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของเด็กชายมาก นายม่ัง และนางสาวสวย เฉพาะใน
ความผิดตอ่ ชวี ติ และความผดิ ฐานลกั ทรพั ย์
คาตอบ การที่เด็กชายมากงัดตู้นิรภัยเอาเครื่องเพชรไปให้นายม่ัง เป็นการเอาทรัพย์ของ
ผู้อนื่ ไปโดยมีเจตนาทุจรติ จงึ เป็นการลักทรัพย์โดยทาอันตรายสิ่งกีดกั้นสาหรับคมุ้ ครองทรัพย์ตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๓) แต่การท่ีเด็กชายมากอาศัยอยู่ในบ้านมีสิทธิเข้าไปใน
เคหสถาน จึงไมเ่ ปน็ การลกั ทรัพยใ์ นเคหสถานตามมาตรา ๓๓๕ (๘)
เด็กชายมากเป็นเด็กอายุกว่าสิบปีแต่ยังไม่เกินสิบห้าปี กระทาการอันกฎหมายบัญญัติ
เป็นความผิด เด็กน้ันไม่ต้องรบั โทษ แต่ศาลมีอานาจท่ีจะว่ากล่าวตักเตือน หรือดาเนินการตามที่
เห็นสมควรตามมาตรา ๗๔ ด้วยก็ได้
การที่นายมั่งจ้างเด็กชายมากขโมยเครื่องเพชรของนางมี เป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทา
164
ความผิดด้วยการจ้าง นายม่ังจงึ เป็นผู้ใช้ให้กระทาความผิดตามมาตรา ๘๔ วรรคแรก แม้ผู้ใช้ต้อง
รับโทษเสมือนตัวการ แต่เด็กชายมากอายุเพียง ๑๔ ปี ซ่ึงผู้ถูกใช้เป็นบุคคลอายุไม่เกินสิบแปดปี
จึงต้องเพ่ิมโทษท่ีจะลงแก่นายมั่งผู้ใช้ก่ึงหน่ึงของโทษที่ศาลกาหนดสาหรับผู้น้ัน ตามมาตรา
๘๔ วรรคสาม
แม้เด็กชายมากจะได้รับยกเว้นโทษตามมาตรา ๗๔ แต่ก็เป็นเหตุส่วนตัวของเด็กชายมาก
ไม่อาจนาเหตุยกเว้นโทษเพราะความอ่อนอายุของเด็กชายมากมายกเว้นโทษให้ แก่นายม่ังได้
แต่อย่างไรก็ตาม การท่ีนายม่ังต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการในการลักทรัพย์ของนางมีซึ่งเป็นภรรยา
จึงเป็นกรณีท่ีสามีลกั ทรพั ย์ภรรยา นายมงั่ จึงไม่ต้องรบั โทษฐานลักทรัพย์โดยทาอันตรายสิ่งกดี ก้ัน
สาหรบั คมุ้ ครองทรพั ย์ตามมาตรา ๗๑ วรรคแรก
การที่นายม่ังจ้างเด็กชายมากฆ่านางมี แต่เด็กชายมากปฏิเสธ แม้เด็กชายมากอายุเพียง
๑๔ ปี แต่การจะเพิ่มโทษที่ลงแก่ผู้ใช้กึ่งหนึ่งได้นั้น ต้องเป็นกรณีที่ผู้ถูกใช้ได้กระทาความผิด
จนผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ และผู้ถูกใช้เป็นบุคคลอายุไม่เกินสิบแปดปี จึงจะเพิ่มโทษ
ที่จะลงแก่ผู้ใช้กึ่งหน่ึงได้ตามมาตรา ๘๔ วรรคสาม กรณีนี้เม่ือความผิดท่ีใช้มิได้ทาลงจึงไม่อาจ
เพิ่มโทษผู้ใช้อีกกึ่งหน่ึงได้ เพราะเป็นเพียงกรณีท่ีความผิดมิได้กระทาลงเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอม
กระทา (ดูเพ่ิมเติมในศำสตรำจำรย์ ดร. เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, คำอธิบำยกฎหมำยอำญำภำค ๑
เล่ม ๒ พิมพ์ครั้งท่ี ๑๑ พ.ศ. ๒๕๖๒ หน้ำ ๑๙๑) นายมั่งผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหน่ึงในสามของ
โทษที่กาหนดไว้สาหรับความผดิ ฐานฆ่าโดยไตรต่ รองไว้กอ่ นตามมาตรา ๒๘๙ (๔) ประกอบมาตรา
๘๔ วรรคสอง
แม้นางสาวสวยจะนาไก่ย่างผสมยาพิษไปให้นางมีรับประทานจะเป็นการฆ่าผู้อ่ืน ซ่ึงครบ
องค์ประกอบภายนอกของความผิดฐานฆ่าผู้อื่น แต่เมื่อนางสาวสวยไม่รู้ว่าไก่ย่างมียาพิษผสมอยู่
ต้องถือว่านางสาวสวยไม่มีเจตนากระทาความผิด เพราะถ้าผู้กระทามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็น
องค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเลง็ เหน็ ผลของการกระทานั้น
ไม่ได้ นางสาวสวยจึงไม่มีความผิดฐานฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพราะนางสาวสวยไม่มีเจตนา
กระทาผิด
นายม่ังต้องการฆ่านางมีโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแล้วนายมั่งหลอกให้นางสาวสวยนาไก่ย่าง
ผสมยาพิษไปให้นางมีรบั ประทาน นายมั่งไม่เป็นผู้ใชเ้ พราะนางสาวสวยไม่มีเจตนากระทาความผิด
ดังท่ีวินิจฉัยมาแล้ว แต่นายมัง่ เป็นผู้กระทาความผิดโดยทางออ้ ม โดยมีนางสาวสวยเปน็ เคร่ืองมือ
ในการกระทาความผิด เมื่อนางสาวสวยนาไก่ย่างไปให้นางมีรับประทาน นางมีรับประทานไก่ย่าง
ผสมยาพิษแล้วถึงแก่ความตาย นายมั่งจึงมีความผิดฐานเจตนาฆ่านางมีโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
โดยเปน็ ผกู้ ระทาผดิ โดยทางออ้ ม
การท่ีนายมั่งหลอกนางสาวสวยให้ไปฆ่านางมี แม้นางสาวสวยอายุเพียง ๑๗ ปี แต่การจะ
เพ่ิมโทษท่ีลงแก่ผู้ใช้กึ่งหนึ่งได้นั้น ต้องเป็นกรณีท่ีผู้ใช้ได้ก่อให้ผู้ถูกใช้ไปกระทาความผิด และ
ผู้ถูกใช้เป็นบุคคลอายุไม่เกินสิบแปดปี จึงจะเพิ่มโทษที่จะลงแก่ผู้ใช้ก่ึงหนึ่งได้ตามมาตรา
165
๘๔ วรรคสาม กรณีนี้เม่ือนายม่ังไม่ใช่ผู้ใช้ แตน่ ายม่ังเป็นผู้กระทาผิดโดยทางอ้อม โดยมีนางสาวสวย
เป็นเพียงเครื่องมือในการกระทา จึงเพ่ิมโทษนายม่ังก่ึงหนึ่งตามมาตรา ๘๔ วรรคสาม ไม่ได้
(ดูเพ่ิมเติมในศำสตรำจำรย์ ดร. เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, คำอธิบำยกฎหมำยอำญำภำค ๑ เล่ม ๒
พมิ พค์ รั้งที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๖๒ หน้ำ ๑๘๙ ถึงหน้ำ ๑๙๐)
ข้อสังเกต คำถำมข้อน้ีกำรตอบให้ครบประเด็นและคำตอบสอดคล้องกันเป็นเรือ่ งยำก ต้องอำศัยกำร
ฝกึ เขียนตอบบ่อย ๆ จึงจะตอบได้ดี ในคำอธิบำยกฎหมำยอำญำภำค ๑ เล่ม ๒ พิมพ์คร้ังท่ี ๑๑ พ.ศ.
๒๕๖๒ โดยศำสตรำจำรย์ ดร. เกียรติขจร วัจนะสวัสด์ิ หน้ำ ๑๘๙ ถึงหน้ำ ๑๙๖ ยังมีข้อพิจำรณำ
ท่ีสำคัญอีกหลำยเร่ือง เช่น ผู้ใหญ่เป็นตัวกำรกับบุคคลอำยุไม่เกิน ๑๘ ปี กระทำผิด ก็ไม่ใช่ผู้ใช้ หรือ
ตอนแรกใชบ้ คุ คลอำยไุ ม่เกนิ ๑๘ ปี กระทำผิด แตต่ อ่ มำได้ไปรว่ มเป็นตัวกำรกับบุคคลอำยุไมเ่ กิน ๑๘
ปี กระทำผดิ เมือ่ กำรใช้เกล่อื นกลนื จนเปน็ ตัวกำร กเ็ พิม่ โทษตำมมำตรำ ๘๔ วรรคสำม ไมไ่ ด้ สำหรับ
ประเด็นตำมกฎหมำยใหม่นักศึกษำตอ้ งติดตำมเรื่องเหลำ่ น้ดี ว้ ย
ข้อ ๔๑ คาถาม นายชมว่าจ้างนายชิตให้ไปฆ่านายใส นายชิตตกลงทาตาม แต่ก่อนที่จะไป
ฆ่า นายชิตเกิดป่วยกะทันหัน นายชิตจึงไปวา่ จ้างนายช่ืนให้ไปฆ่านายใสแทนตน เมื่อนายชื่นจ้องเล็ง
ปนื จะยิงนายใส นายชมเกดิ สานึกผดิ จงึ ว่งิ เข้ามายังทเี่ กิดเหตุและปัดปนื ทาใหป้ นื ตกลงไปในน้า
ใหว้ นิ จิ ฉยั ว่า นายชื่น นายชติ นายชม ต้องรับผิดฐานใดหรือไม่
(ขอ้ สอบเนตฯิ สมยั ท่ี ๕๖ ปกี ารศึกษา ๒๕๔๖ ข้อ ๓)
คาตอบ หลักกฎหมายเร่ืองพยายาม ผู้ใช้ ขอบเขตของการใช้ ขัดขวาง ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๘๔, ๘๗, ๘๘
ความรบั ผิดทางอาญาของนายชื่น นายช่ืนรับจ้างนายชิตไปฆ่านายใส ถอื ว่ามีเจตนาฆ่าโดย
ไตร่ตรองไว้ก่อน เม่ือนายชื่นจ้องเล็งปืนจะยิงนายใสแต่ถูกนายชมปัดปืนตกน้า เป็นการกระทาที่
ผ่านพ้นข้ันตระเตรียม เข้าสู่ขั้นลงมือกระทาความผิดแล้ว แต่กระทาไปไม่ตลอด นายช่ืนจึงมี
ความผดิ ฐานพยายามฆ่านายใสโดยไตร่ตรองไวก้ อ่ นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๔)
ประกอบมาตรา ๘๐ เพราะการกระทาใกลช้ ดิ ต่อผลคือความตายของนายใสแล้ว
ความรับผิดทางอาญาของนายชิต นายชิตจ้างนายช่ืนให้ไปฆ่านายใสแทนตนเป็นการก่อให้
นายช่ืนกระทาความผิดด้วยการจ้าง นายชิตจึงเป็นผู้ใช้ตามมาตรา ๘๔ เมื่อนายชื่นเล็งปืนจ้องจะ
ยิงนายใสเป็นกรณีความผิดท่ีใช้ไดก้ ระทาลงแล้ว นายชติ ตอ้ งรับโทษเสมือนเป็นตัวการตามมาตรา
๘๔ วรรคสาม นายชิตจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่านายใสโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามมาตรา
๒๘๙ (๔) ประกอบมาตรา ๘๐ โดยเปน็ ผใู้ ช้ตามมาตรา ๘๔
ความรับผิดทางอาญาของนายชม นายชมว่าจ้างนายชิตให้ไปฆ่านายใส แล้วนายชิตจ้างนาย
ช่ืนให้ไปฆ่านายใส เป็นกรณีท่ีนายชมก่อให้นายชนื่ กระทาผิดด้วยวธิ ีการอ่ืนใด นายชมจึงเป็นผู้ใช้
ตามมาตรา ๘๔ เช่นเดียวกับนายชิต แม้นายชิตมิได้ลงมือฆ่าด้วยตนเอง แต่ไปใช้นายช่ืนอีกต่อหน่ึง
กถ็ อื ได้ว่าการที่นายชืน่ พยายามฆ่านายใสเป็นผลมาจากการวา่ จ้างของนายชม ซ่ึงไมเ่ กินขอบเขต
166
ของการใช้ เมอ่ื นายชืน่ ไปกระทาผิดตามทใ่ี ช้ นายชมผูใ้ ช้จึงมีความผิดฐานพยายามฆา่ นายใสโดย
ไตร่ตรองไวก้ อ่ นตามมาตรา ๒๘๙ (๔) ประกอบมาตรา ๘๐ โดยเป็นผใู้ ช้ตามมาตรา ๘๔
อย่างไรก็ตาม นายชมไดเ้ ข้าปดั ปนื ทาให้ปืนตกลงไปในนา้ จนการกระทาของนายชื่นกระทา
ไปไม่ตลอด เพราะการขัดขวางของนายชมซึ่งเป็นผู้ใช้ตามมาตรา ๘๘ นายชมคงรับโทษเพียงหน่ึง
ในสามของโทษตามมาตรา ๒๘๙ (๔) เสมือนหนึ่งความผิดท่ีใช้ยังมิได้กระทาลงตามมาตรา ๘๔
วรรคสอง
ข้อสังเกต คำถำมเรื่องกำรใช้ด้วยกำรจ้ำง แล้วมีกำรใช้อีกทอดหน่ึง นักศึกษำต้องตอบให้ชัดว่ำ
นำยชมกอ่ ให้นำยช่ืนกระทำควำมผดิ ดว้ ยวิธีอ่ืนใดตำมมำตรำ ๘๔ ไม่ใช่ตอบว่ำก่อด้วยกำรจ้ำง เพรำะ
นำยชมไม่ใช่ผู้ท่ีก่อด้วยกำรจ้ำง แต่ผู้ท่ีเป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นด้วยกำรจ้ำงคือนำยชิต เร่ืองน้ีเป็นเรื่องเล็ก ๆ
นอ้ ย ๆ แตก่ ็ควรจะรแู้ ละตอบใหถ้ ูกตอ้ ง
ข้อ ๔๒ คาถาม เด็กชายหนึ่งอายุ ๑๒ ปี โกรธนางสาวสวยคุณครูคนใหม่ที่ปฏิเสธ
ไม่ยอมไปเท่ียวกลางคืนกับเด็กชายหนึ่ง เด็กชายหน่ึงจึงใช้ให้นายสองไปจา้ งใครก็ได้ให้ไปฉุดนางสาว
สวยไปข่มขืน นายสองกลัวความผิดไม่ยอมทาตามคาส่ังเด็กชายหนึ่ง ในวันเดียวกันน้ันเด็กชายหนึ่ง
ไปบอกรักนางสาวซ่ือ แต่นางสาวซ่ือปฏเิ สธไมร่ ับรักของเดก็ ชายหนง่ึ เด็กชายหน่ึงจึงรว่ มกับนายสาม
อายุ ๒๒ ปี วางแผนจะข่มขืนนางสาวซ่ือในห้องเรียนระหว่างเวลาที่นักเรียนคนอื่นไปเรียนวิชา
พลศึกษา ถึงวันที่เกิดเหตุเด็กชายหนึ่งหลอกนางสาวซ่ือเข้าไปในห้องเรียนโดยมีนายสามดูต้นทาง
แล้วเด็กชายหน่ึงได้ขม่ ขนื กระทาชาเรานางสาวซ่ือโดยมีนายสามช่วยดูตน้ ทางหน้าหอ้ งเรียนโดยไมไ่ ด้
ปิดประตูห้อง หลังจากกระทาผดิ เดก็ ชายหนงึ่ และนายสามถกู จับมาดาเนินคดี
ให้วินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของเด็กชายหนึ่งและนายสามในความผิดฐานข่มขืนกระทา
ชาเราผอู้ ่นื
คาตอบ หลักกฎหมายเรื่องเหตุยกเว้นโทษ ตัวการ ผู้ใช้ และเหตุส่วนตัว ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๗๔, ๘๓, ๘๔, ๘๙
ความรับผิดทางอาญาของเด็กชายหน่ึงต่อนางสาวสวย การที่เด็กชายหนึ่งใช้ให้นายสองไป
จ้างใครก็ได้ให้ไปฉุดนางสาวสวยไปข่มขืน ยังไม่เป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทาความผิดด้วยการใช้ตาม
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๔ เพราะการก่อให้ผ้อู ื่นกระทาผิดด้วยการใช้น้ัน จะเปน็ ความผิด
ก็ต่อเม่ือมีการใช้ผู้ที่จะไปลงมือกระทาผิดแล้วเท่าน้ัน หากเป็นเพียงการใช้ให้ไปใช้ โดยผู้รับ
การใช้ยังไม่ไปใช้ผู้ลงมือ ยังไม่ถือว่าเป็นการก่อให้ผู้อ่ืนกระทาความผิดด้วยการใช้ เม่ือนายสอง
ไม่ยอมไปจ้างผอู้ ่ืนให้กระทาผิด เด็กชายหน่ึงจึงไมม่ ีความรับผิดทางอาญา แม้โทษหน่ึงในสามของ
ความผิดตามมาตรา ๘๔ วรรคสอง กไ็ มม่ ี เพราะเด็กชายหนงึ่ ยงั ไมใ่ ช่ผูใ้ ช้
ความรับผิดทางอาญาของเด็กชายหนึ่งต่อนางสาวซ่ือ แม้เด็กชายหนึ่งจะข่มขืนกระทาชาเรา
นางสาวซื่อโดยเจตนา ซึ่งการกระทาครบองค์ประกอบความผิดฐานข่มขืนกระทาชาเราผู้อ่ืนแล้ว
แต่เดก็ ชายหน่ึงอายุไม่เกิน ๑๕ ปี เด็กชายหน่งึ จงึ ไม่ตอ้ งรับโทษ โดยศาลมีอานาจดาเนนิ การตาม
167
มาตรา ๗๔ เช่น ว่ากล่าวตักเตือนแล้วปล่อยตัวไป หรือส่งตัวเด็กชายหน่ึงไปยังโรงเรียน หรือ
สถานฝกึ และอบรมซง่ึ จัดขึน้ เพื่อฝึกและอบรมเดก็ เป็นตน้
ความรับผิดทางอาญาของนายสาม แม้นายสามจะมิได้ข่มขืนกระทาชาเรานางสาวซื่อด้วย
แต่การท่ีนายสามยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องเรียน ขณะที่เด็กชายหน่ึงข่มขืนกระทาชาเรานางสาวซ่ือ
ถือว่าได้มีการแบ่งหน้าท่ีกันทาซ่ึงถอื ว่าเป็นการรว่ มกนั กระทาความผิด นายสามและเด็กชายหน่ึง
เป็นผู้ท่ีได้ร่วมกระทาความผิดด้วยกันน้ัน เป็นตัวการต้องระวางโทษตามท่ีกฎหมายกาหนดไว้
สาหรบั ความผิดนน้ั
แม้ว่าเด็กชายหน่ึงผู้ลงมือกระทาความผิดจะได้รับยกเว้นโทษเพราะเด็กชายหน่ึงอายุ
ไม่เกิน ๑๕ ปี ดังท่ีวินิจฉัยมาแล้ว แต่เหตุยกเว้นโทษดังกล่าวก็เป็นเหตุส่วนตัวของเด็กชายหนึ่ง
จะนาเหตุยกเว้นโทษนมี้ าใชก้ ับนายสามไม่ได้ตามมาตรา ๘๙ นายสามจงึ ตอ้ งรับผิดทางอาญาฐาน
เป็นตัวการร่วมกับเดก็ ชายหนง่ึ ขม่ ขนื กระทาชาเราผู้อ่นื โดยไม่ไดร้ ับยกเวน้ โทษ
ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๘๔
ฎีกาท่ี ๗๐๘๖/๒๕๕๙ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๕๓ จาเลยท้ังสามช้ีช่องแนะนาให้ ร. ไปทาสัญญา
เช่าซื้อรถจักรยานยนต์โดยเสนอเงินค่าตอบแทน ๑๐,๐๐๐ บาท ในการที่ ร. ไปทาสัญญาและนา
รถจักรยานยนต์มาส่งมอบจาเลยทั้งสาม การกระทาของจาเลยทั้งสามไม่เป็นความผิดฐานร่วมกัน
ลักทรพั ย์ แต่เป็นการทจ่ี าเลยท้ังสามใช้ให้ ร. ไปกระทาความผดิ ฐานฉอ้ โกง
ส่วนความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทาความผิดฐานฉ้อโกงน้ัน การชี้ช่องแนะนาให้ ร.
ไปทาสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์โดยเสนอเงินค่าตอบแทนในการนารถจักรยานยนต์มาส่งมอบ
จานวน ๑๐,๐๐๐ บาท ดังกลา่ ว อาจถือได้วา่ เปน็ การกระทาด้วยประการใด ๆ อันเป็นการชว่ ยเหลือ
หรือใหค้ วามสะดวกแก่ ร. ก็ตาม แม้ ร. จะนารถไปส่งมอบใหจ้ าเลยทั้งสาม แตก่ ็เกดิ จากการวางแผน
ของเจ้าหน้าท่ีตารวจ โดยตารวจยืมรถจากผู้อน่ื แล้วให้ ร. ขับไปทาทีส่งมอบแก่พวกจาเลย หาได้เกิด
จาก ร. โดยทุจริตหลอกลวงผู้ให้เช่าซ้ือด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซ่ึง
ควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้น ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง อันจะถือเป็น
การกระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๑ ไม่ บริษัท ก. ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าเป็นผู้เสียหาย
กไ็ ม่ใช่ผ้เู สียหาย และไมม่ ีผู้ใดเป็นผู้เสียหายในคดีนี้ เท่ากับไม่มีการกระทาความผิดฐานลักทรัพย์ดังท่ี
กล่าวในฟ้องและการกระทาอันถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแต่อย่างใด
จึงไม่มีฐานความผิดท่ีจะนามาใช้ลงโทษตามท่ีโจทก์ฟ้องได้เลย ท้ังความผิดตามมาตรา ๓๔๑ อันเป็น
มูลฐานแห่งความผิดฐานสนับสนุนการกระทาผิดไม่มีเสียแล้ว ความผิดฐานสนับสนุนการกระทา
ความผิดท่ีต้องนาความผิดตามมาตรา ๓๔๑ มาประกอบกับมาตรา ๘๖ ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้เช่นกัน
จงึ ไม่อาจพพิ ากษาลงโทษตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๑ ประกอบมาตรา ๘๖ ได้อกี ด้วย
ฎีกาที่ ๕๓๐๖/๒๕๕๙ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๔๔ จาเลยทั้งสองติดต่อว่าจ้าง ส. ขับรถยนต์
168
ของกลางไปบรรทุกไม้สักของกลางให้แก่จาเลยที่ ๒ โดยจาเลยท่ี ๑ นั่งรถไปพร้อมกับ ส. เมื่อจาเลย
ท่ี ๑ และ ส. ขับรถบรรทุกไม้สักของกลางเคล่ือนที่ออกจากป่าแลว้ จาเลยท่ี ๑ จงึ มคี วามผิดฐานเป็น
ตัวการร่วมกันทาไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต ทาไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และมีไม้สักแปรรูปไว้ใน
ครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนจาเลยที่ ๒ มิได้ร่วมไปกับจาเลยท่ี ๑ และ ส. จึงเป็นผู้ใช้หรือ
ผู้ก่อให้ผู้อ่ืนกระทาความผิดฐานทาไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต และทาไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
ตาม ป.อ. มาตรา ๘๔ มใิ ชเ่ ปน็ ตัวการร่วมกระทาความผิดด้วยกันตามมาตรา ๘๓
ฎีกาที่ ๑๓๕๖๐/๒๕๕๖ ฎ. ๓๔๕๗ การร่วมกันกระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๘๓ ต้อง
เปน็ กรณีทีผ่ ู้กระทาความผิดมีสว่ นร่วมอย่างใดอยา่ งหนึง่ เพ่ือใหเ้ กิดผลตามท่ีประสงค์ต่อผลหรืออยใู่ น
ตาแหน่งท่ีสามารถอานวยความสะดวกในการกระทาความผิดของบุคคลอ่ืน ป้องกันการขัดขวางการ
กระทาจากบุคคลภายนอกได้เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการกระทา การท่ีจาเลยที่ ๑ โทรศัพท์เรียก
ผู้ตายออกมาจากบ้านเพื่อให้จาเลยท่ี ๓ ใช้อาวธุ ปนื ยิงโดยจาเลยท่ี ๑ มไิ ด้อยใู่ นบรเิ วณเดยี วกบั ผู้ร่วม
กระทาความผิดขณะลงมือกระทาความผิดท่ีจะช่วยเหลือ ดูต้นทางหรืออานวยความสะดวกในการ
กระทาความผิด หรือมีการกระทาอย่างใดอย่างหน่ึงกับบุคคลท่ีตนเองประสงค์จะให้เกิดผลนั้น
เฉพาะอย่างย่ิงจาเลยท่ี ๑ โทรศัพท์เรียกผู้ตายออกมาให้จาเลยอื่นฆ่าแต่ผู้ตายไม่ออกมา จาเลยท่ี ๓
จึงเข้าไปใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายในบ้าน ผลจากการกระทามิได้เกิดจากจาเลยที่ ๑ จาเลยที่ ๑ จึงไม่มี
ความผิดฐานร่วมกับจาเลยที่ ๓ และพวกฆ่าผู้ตาย แต่จาเลยที่ ๑ เป็นผู้จ้างวานใช้ให้จาเลยที่ ๓ กับ
พวกใชอ้ าวธุ ปืนยิงผตู้ ายท่บี า้ นของผตู้ าย จาเลยที่ ๑ เปน็ ผใู้ ชใ้ ห้จาเลยที่ ๓ กระทาความผดิ
จาเลยที่ ๒ รู้เห็นในการที่จาเลยท่ี ๑ โทรศัพท์หลอกให้ผู้ตายออกมาจากบ้านเพื่อให้จาเลย
ท่ี ๓ ใช้อาวุธปืนยิงฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน การกระทาของจาเลยที่ ๒ เป็นการช่วยเหลือให้
ความสะดวกในการกระทาความผดิ ของจาเลยที่ ๑ จาเลยท่ี ๒ จึงมคี วามผดิ ฐานสนบั สนุนในการจา้ ง
วานใชข้ องจาเลยท่ี ๑ ตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๙ (๔) ประกอบมาตรา ๘๔, ๘๖
หมายเหตุ (โดยศำสตรำจำรย์ ดร. เกียรติขจร วัจนะสวัสด์ิ) ในควำมผิดฐำนฆ่ำผู้อื่นโดยเจตนำ
ไตร่ตรองไว้ก่อนตำม ป.อ. มำตรำ ๒๘๙ (๔) น้ัน ศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำ จำเลยท่ี ๑ เป็น “ผู้ใช้” ตำม
ป.อ. มำตรำ ๘๔ โดยจำเลยท่ี ๓ (มือปืน) เป็น “ผู้ลงมือ” ส่วนจำเลยท่ี ๒ น้ัน ศำลฎีกำเห็นว่ำได้
“ช่วยเหลือให้ควำมสะดวกในกำรกระทำควำมผิดของจำเลยท่ี ๑ จึงมีควำมผิดฐำนสนับสนุนใน
กำรจ้ำงวำนใช้ของจำเลยท่ี ๑ จำเลยท่ี ๒ จึงมีควำมผิดฐำนสนับสนุนในกำรจ้ำงวำนใช้ของ
จำเลยที่ ๑” ท้ังนี้ศำลฎกี ำลงโทษจำเลยที่ ๒ ซงึ่ เป็น “ผู้สนับสนนุ ของผู้ใช้” ตำม ป.อ. มำตรำ ๒๘๙
(๔) ประกอบมำตรำ ๘๔, ๘๖
ประเด็นท่ีจะต้องพิจำรณำก็คือ “บทบัญญัติทั่วไป” ตำมประมวลกฎหมำยอำญำ ภำค ๑
เช่น “ตัวกำร” ตำมมำตรำ ๘๓ “ผู้ใช้” ตำมมำตรำ ๘๔ “ผู้สนับสนุน” ตำมมำตรำ ๘๖ จะนำมำใช้
“ซ้อน” กันได้เพียงใดหรือไม่ เช่น “ผู้ใช้” (ตำมมำตรำ ๘๔) ของ “ผู้สนับสนุน” (ตำมมำตรำ ๘๖)
หรือ “ผู้สนับสนุน” (ตำมมำตรำ ๘๖) ของ “ผู้ใช้” (ตำมมำตรำ ๘๔) จะมีได้หรือไม่ ถ้ำมีได้
จะหมำยควำมวำ่ อยำ่ งไร
169
เม่ือพิจำรณำจำกตวั บทของประมวลกฎหมำยอำญำในภำค ๑ “บทบญั ญัตทิ ่ัวไป” ลักษณะ
๑ “บทบัญญัติที่ใช้แก่ควำมผิดท่ัวไป” น่ำจะแสดงให้เห็นว่ำ บทบัญญัติในลักษณะ ๑ น้ัน ต้อง
นำไปใช้แก่ “ควำมผิดท่ัวไป” เช่นบทบัญญัติในเร่ือง “ผู้ใช้” “ผู้สนับสนุน” ต้องนำไปใช้แก่
“ควำมผิดทั่วไป” โดยตรง เช่น นำไปใช้แก่ควำมผิดฐำนฆ่ำคนตำยโดยเจตนำตำมมำตรำ ๒๘๙
โดยตรง ดังน้ัน “ผู้ใช้” ย่อมหมำยถึงผู้ใช้ของ “ผู้ลงมือ” (คือ ผู้ลงมือกระทำควำมผิดตำมมำตรำ
๒๘๙) หรอื “ผู้สนับสนุน” กย็ ่อมหมำยถึงผูส้ นบั สนุนของ “ผู้ลงมอื ” (คือผู้ลงมือกระทำควำมผิดตำม
มำตรำ ๒๘๙) ดังน้นั จึงไมน่ ่ำจะมีกรณี “ผ้ใู ช้ของผู้สนบั สนุน” หรือ “ผู้สนับสนุนของผูใ้ ช้” เกิดข้ึนได้
เพรำะเท่ำกับเป็นกำรใช้บทบัญญัติท่ัวไปในภำค ๑ มำ “ซ้อน” กันเอง ก่อนจะนำไปใช้กับ
กฎหมำยอำญำภำคควำมผิด
ในประเด็นน้ี ศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทยิ ์ ได้หยิบยกข้ึนในหนังสือคำอธิบำยกฎหมำยอำญำ
ภำค ๑ หัวข้อ ๑๗๖ ก. หนำ้ ๕๔๕ – ๕๔๖ (ฉบบั พิมพ์ครัง้ ท่ี ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕) มขี อ้ ควำมดังน้ี
๑๗๖ ก. มีข้อสังเกตเก่ียวกับกำรใช้ให้สนับสนุนกำรกระทำควำมผิด และกำรสนับสนุน
กำรใช้ให้กระทำควำมผดิ อยบู่ ำงประกำรเพรำะกำรใช้และกำรสนับสนุนอยู่ในภำค ๑ ของประมวล
กฎหมำยอำญำด้วยกนั เป็นปัญหำว่ำจะมไี ด้เพยี งใด
(๑) กำรสนับสนุนกำรกระทำควำมผิดมีได้ต่อเม่ือได้มีกำรกระทำควำมผิด หรือเป็นควำมผิด
ก่อนกำรกระทำสำเร็จ เช่น พยำยำมหรือตระเตรียมในบำงเรื่อง กำรใช้ให้สนับสนุนกำรกระทำ
ควำมผิด จึงมีได้ต่อเม่ือกำรสนับสนุนเป็นควำมผิด เพรำะได้มีกำรกระทำควำมผิดตำมที่สนับสนุน
เกิดข้ึนแล้วเท่ำนั้น กำรใช้แต่ผู้ถูกใช้ไม่กระทำ ไม่ว่ำเพรำะเหตุใด ๆ ตำมมำตรำ ๘๔ วรรค ๒
ควำมผิดที่ใช้ก็ไม่มี ยังถือว่ำมีกำรใช้ให้กระทำควำมผิดไม่ได้ จึงมีกำรใช้แต่ควำมผิดไม่ได้ทำลงตำมที่
ใช้ตำมมำตรำ ๘๔ วรรค ๒ ไม่ได้ จะลงโทษผู้ใช้หนึ่งในสำมของสองในสำมของควำมผิดที่สนับสนุน
ไม่ได้ เช่น ก. ใช้ให้ ข. สนับสนุน ค. ทำผิด ค. ไม่ทำตำมท่ี ข. สนับสนุน ไม่มีควำมผิดอะไรเกิดข้ึน
ข. ไม่มีควำมผิด ไม่มีโทษอะไรที่ ก. จะต้องรับหนึ่งในสำมมำตรำ ๘๔ วรรค ๒ ถ้ำ ค. ทำผิดตำมท่ี
ข. สนับสนุน กำรใช้ของ ก. ให้ ข. สนับสนุน ก็เป็นกำรที่ ก. สนับสนุนให้ ค. ทำควำมผิดตำม
มำตรำ ๘๖ ด้วยอยใู่ นตัวไมต่ ้องอำศัยมำตรำ ๘๔ แต่ประกำรใด
(๒) กำรสนับสนนุ กำรใช้ใหก้ ระทำควำมผดิ มิใช่เป็นผู้ใชใ้ ห้กระทำควำมผิด เช่น ก. แนะนำ
ให้ ข. ใช้ ค. กระทำควำมผิด กฎหมำยลงโทษ ค. ผ้ลู งมือกระทำ และลงโทษ ข. ผู้ใช้ให้กระทำเสมอื น
ตัวกำร กฎหมำยไม่ไปไกลจนถึงกับลงโทษ ก. ผู้แนะนำให้ ข. ใช้ ค. จึงไม่มีผู้สนับสนุนกำรใช้ให้
กระทำควำมผิดก็ตำม แต่กำรที่ ก. แนะนำ ข. ให้ใช้ ค. กระทำควำมผิดนั้น กำรกระทำของ ก. ท่ี
แนะนำ ข. อำจเป็นกำรสนับสนุน ค. ให้กระทำควำมผิดได้ในตวั เอง ก. จึงเปน็ ผู้สนับสนุนกำรกระทำ
ควำมผิดของ ค. ได้เหมือนกัน แต่จะไม่มีกำรสนับสนุนให้ ข. ทำผิดตำมมำตรำ ๘๔ วรรค ๒ ถ้ำ ค.
ไมก่ ระทำควำมผิดตำมทใ่ี ช้โดยนัยเดียวกับใน (๑)
ควำมเห็นของศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทิย์ ตำมข้อ (๑) กรณี ก. ใช้ให้ ข. สนับสนุน ค.
(ผู้ลงมือ) ทำผิด หำก ค. กระทำควำมผิด ข. ก็เป็น “ผู้สนับสุนุน” ส่วน ก. ก็เป็น “ผู้สนับสนุน”
170
ในกำรกระทำควำมผิดของ ค. เชน่ เดียวกัน แม้ ค. จะไม่รู้ว่ำ ข. มำสนับสนุนตนเพรำะ ก. ใช้จ้ำงวำน
ข. มำกต็ ำม กล่ำวโดยสรปุ กค็ อื “ผูใ้ ช”้ ของ “ผสู้ นับสนุน” ก็คือ “ผู้สนับสนนุ ผู้ลงมอื ” นน่ั เอง
ควำมเห็นของศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทิย์ ตำมข้อ (๒) ข้ำงต้น กรณี ก. แนะนำให้ ข.
ไปใช้ ค. (ผู้ลงมือ) กระทำควำมผิด และต่อมำ ค. ก็ไปกระทำควำมผิด ข. เป็น “ผู้ใช้” ตำมมำตรำ
๘๔ ให้ ค. “ผูล้ งมือ” กระทำควำมผดิ ส่วน ก. ผู้ซึ่งแนะนำ ข. ให้ไปใช้ ค. ก. กเ็ ป็น “ผู้สนับสนุน”
ในกำรกระทำควำมผิดของ ค. แม้ว่ำ ค. จะไม่รู้ว่ำ ข. มำใช้ตนเพรำะ ก. แนะนำ ข. มำก็ตำม
กลำ่ วโดยสรปุ กค็ ือ “ผูส้ นบั สนุน” ของ “ผใู้ ช”้ ก็คอื “ผู้สนบั สนนุ ผูล้ งมอื ” น่ันเอง
กรณีตำมข้อ (๒) ข้ำงต้น ก็ตรงตำมฎีกำท่ีหมำยเหตุนี้เอง ซง่ึ ผู้หมำยเหตุเห็นวำ่ จำเลยที่ ๒
ซ่ึงศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำมีกำรกระทำอันเป็นกำรช่วยเหลือให้ควำมสะดวกในกำรกระทำควำมผิดของ
จำเลยที่ ๑ (ผู้ใช้) จึงมีควำมผิดฐำนสนับสนุนในกำรจ้ำงวำนใช้ของจำเลยที่ ๑ นั้น อันท่ีจริง
กำรกระทำของจำเลยที่ ๒ ก็คือ กำรกระทำ “ด้วยประกำรใด ๆ อันเป็นกำรช่วยเหลือหรือให้ควำม
สะดวก” ในกำรท่ี “จำเลยที่ ๓ (มือปืน)” กระทำควำมผดิ น่ันเอง
คำพพิ ำกษำฎกี ำทห่ี มำยเหตุน้ี เป็นกรณีที่ใกลเ้ คยี งกับฎกี ำที่ ๑๑๘๓๔/๒๕๕๔ ซง่ึ เป็นเรอ่ื งท่ี
จำเลยท่ี ๒ (ผู้ใช้) ว่ำจ้ำงจำเลยท่ี ๑ (มือปืน) ให้ฆ่ำผู้ตำย ตอนแรกจำเลยที่ ๑ ไม่ตกลง ต่อมำจำเลย
ท่ี ๓ มำพบจำเลยที่ ๑ และเพ่ิมเงินค่ำจ้ำงอีก จำเลยที่ ๑ ก็ยังไม่ตกลง จนในท่ีสุดจำเลยท่ี ๔ ต้องมำ
พูดเกลี้ยกล่อม จำเลยที่ ๑ จึงยอมตกลงไปยิงผู้ตำยจนถึงแก่ควำมตำย ซ่งึ ศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำ จำเลย
ท่ี ๓ และท่ี ๔ มีควำมผิดฐำน “เป็นผู้สนับสนุนกำรกระทำควำมผิดของจำเลยท่ี ๒” (ผู้ใช้) และ
พิพำกษำยืนตำมคำพิพำกษำศำลอุทธรณ์ภำค ๖ ซึ่งพิพำกษำยืนตำมคำพิพำกษำของศำลช้ันต้น
ลงโทษจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ฐำนเป็น “ผู้สนับสนุนให้ฆ่ำผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน” ตำมมำตรำ
๒๘๙ (๔) ประกอบมำตรำ ๘๖ มีข้อสังเกตว่ำ พฤติกรรมของจำเลยที่ ๓ และท่ี ๔ คือกำรช่วยเหลือ
หรือให้ควำมสะดวกในกำรท่ีจำเลยท่ี ๑ (มือปืน) กระทำควำมผิดน่ันเอง ตรงตำมท่ีศำลชั้นต้นปรับ
บทลงโทษ คือ มำตรำ ๒๘๙ (๔) ประกอบมำตรำ ๘๖ เพียงแต่ศำลฎีกำใช้ถ้อยคำในตอนท้ำยว่ำ
จำเลยท่ี ๓ และที่ ๔ มีควำมผิดฐำนเป็นผู้สนับสนุนกำรกระทำควำมผิดของจำเลยที่ ๒ (ผู้ใช้) ซึ่งตำม
ควำมเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น เพรำะกำรกระทำของจำเลยที่ ๓ (เพิ่มเงินค่ำจ้ำงให้แก่จำเลยที่ ๑) และ
กำรกระทำของจำเลยที่ ๔ (พูดเกล้ียกล่อมจำเลยที่ ๑) ทำให้ในท่ีสุด จำเลยท่ี ๒ (ผู้ใช้) สำมำรถ
ว่ำจ้ำงจำเลยที่๑ (มือปืน) ไปฆ่ำผู้ตำยได้สำเร็จ จึงทำให้เข้ำใจไปว่ำ จำเลยที่ ๓ และท่ี ๔ คือ
“ผูส้ นับสนุนของ “ผู้ใช้” ซึ่งอันท่ีจริง จำเลยท่ี ๓ และท่ี ๔ คือ “ผสู้ นับสนุนผู้ลงมอื (มือปืน)” น่ันเอง
ดังที่ศำลได้วินิจฉัยว่ำ จำเลยท่ี ๓ และที่ ๔ มีควำมผิดฐำน “ผู้สนับสนุนให้ฆ่ำผู้อ่ืนโดยไตร่ตรอง
ไว้ก่อน” โดยปรับบทลงโทษตำมมำตรำ ๒๘๙ (๔) ประกอบมำตรำ ๘๖ มีข้อสังเกตว่ำ ศำลมิได้
ปรับบทลงโทษจำเลยท่ี ๓ และท่ี ๔ ตำมมำตรำ ๒๘๙ (๔) ประกอบมำตรำ ๘๔, ๘๖ แต่อย่ำงใด
กล่ำวคือ ไม่มีกำรนำ “มำตรำ ๘๔” (ผู้ใช้) มำปรับบทลงโทษจำเลยท่ี ๓ และที่ ๔ ด้วย จึงแตกต่ำง
กับกรณีฎีกำที่หมำยเหตุน้ี (ฎีกำที่ ๑๓๕๖๐/๒๕๕๖) ซ่ึงศำลฎีกำนำมำตรำ ๘๔ มำปรับบทด้วย
โดยพิพำกษำวำ่ จำเลยท่ี ๒ มีควำมผดิ ตำม “มำตรำ ๒๘๙ (๔) ประกอบมำตรำ ๘๔, ๘๖”
171
กำรท่ีศำลฎีกำตำมฎีกำที่ ๑๑๘๓๔/๒๕๕๔ วินิจฉัยว่ำจำเลยท่ี ๓ และที่ ๔ มีควำมผิดฐำน
เป็น “ผู้สนับสนุน (จำเลยท่ี ๒ มือปืน) ให้ฆ่ำผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน” และปรับบทลงโทษจำเลย
ท่ี ๓ และท่ี ๔ ตำมมำตรำ ๒๘๙ (๔) ประกอบมำตรำ ๘๖ นั้น เป็นกำรปรับใช้ “บทบัญญัติทั่วไป”
กล่ำวคือเรื่อง “ผู้สนับสนุน” ตำมมำตรำ ๘๖ โดยตรงแก่ “ควำมผิด” ตำมมำตรำ ๒๘๙ (๔) โดย
ไม่นำไปใช้ "ซ้อน” กับบทบัญญัติในเร่ือง “ผู้ใช้” ตำมมำตรำ ๘๔ อันจะเป็นกำรใช้ “บทบัญญัติ
ทั่วไป” มำ “ซ้อน” กันเอง ซึ่งไม่น่ำจะตรงตำมเจตนำรมณ์ของประมวลกฎหมำยอำญำท่ีให้นำ
“บทบัญญัติทั่วไป” มำใช้โดยตรงกับ “ควำมผิด” (เช่น มำตรำ ๒๘๙) โดยต้องไม่นำไปใช้
“ซ้อนกันเอง” (เช่น นำมำตรำ ๘๖ มำใช้ซ้อนกับมำตรำ ๘๔) ก่อนจะนำไปใช้ปรับใช้กับ “ควำมผิด”
หำกถือว่ำ “บทบญั ญัตทิ ่ัวไป” ในประมวลกฎหมำยอำญำภำค ๑ สำมำรถใช้ “ซ้อน” กันได้
เช่น “ผู้สนับสนุน (ตำมมำตรำ ๘๖) ของผู้ใช้ (ตำมมำตรำ ๘๔)” สำมำรถเกิดข้ึนได้ ก็อำจเกิดปัญหำ
เชน่ ก. ชว่ ยเหลือให้ควำมสะดวกในกำรท่ี ข. ไปใช้ ค. ไปฆ่ำ ง. แต่ ค. ยังไมไ่ ด้ลงมือฆ่ำ ง. ข. เป็น
“ผูใ้ ช้” และต้องระวำงโทษ “หนึ่งในสำม” ของโทษตำมมำตรำ ๒๘๙ (๔) ตำมบทบัญญัติของมำตรำ
๘๔ วรรคสอง ส่วน ก. จะระวำงโทษอยำ่ งไร จะลงโทษ ก. “สองในสำม” (ตำมมำตรำ ๘๖) ของโทษ
“หนึ่งในสำม” (ตำมมำตรำ ๘๔ วรรคสอง) ของโทษตำมมำตรำ ๒๘๙ (๔) หรืออย่ำงไร ซ่ึงใน
ประเด็นน้ี หำกถือว่ำ “ผู้สนับสนุนของผู้ใช้” คือ “ผู้สนับสนุนของผู้ลงมือ” ก็วินิจฉัยได้ว่ำ หำก ค.
ยังไม่ได้กระทำควำมผิดต่อ ง. ก. ก็ยังไม่เป็นผู้สนับสนุน ตำมหลักท่ีว่ำหำกกำรกระทำของผู้ลงมือ
ยังไม่เป็นควำมผิด ผู้ท่ีช่วยเหลือให้ควำมสะดวกก็ไม่เป็นผู้สนับสนุน (เช่น ฎีกำท่ี ๑๘๗๒/๒๕๔๖,
๔๕๔๗/๒๕๓๐) อย่ำงไรก็ตำม หำก ค. กระทำควำมผิดต่อ ง. แล้ว ก. ก็เป็นผู้สนับสนุน ค. ในกำร
กระทำควำมผิดตอ่ ง. แม้ว่ำ ค. จะมไิ ดร้ ถู้ ึงกำรชว่ ยเหลอื ของ ก. ก็ตำม
กรณีตำมฎีกำท่ีหมำยเหตุน้ี (ฎีกำที่ ๑๓๕๖๐/๒๕๕๖) ผูห้ มำยเหตุจึงเห็นว่ำ แม้กำรกระทำ
ของจำเลยที่ ๒ คือกำรช่วยเหลือให้ควำมสะดวกในกำรกระทำควำมผิดของจำเลยที่ ๑ (ผู้ใช้) ก็ตำม
แต่จำเลยท่ี ๒ ก็มีควำมผิดฐำน “ผู้สนับสนุนให้จำเลยท่ี ๓ (มือปืน) ฆ่ำผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน”
ตำม ป.อ. มำตรำ๒๘๙ (๔) ประกอบมำตรำ ๘๖ นัน่ เอง ทั้งนี้ ตำมแนวทำงกำรปรบั บทควำมผิดของ
ศำลในฎีกำที่ ๑๑๘๓๔/๒๕๕๔
ในประเด็นเร่ืองกำรใช้ “บทบัญญัติท่ัวไป” ในภำค ๑ “ซ้อน” กัน ที่หมำยเหตุนี้ ฎีกำท่ี
๕๕๓/๒๕๕๕ ศำลฎีกำพิพำกษำยืนตำมคำพิพำกษำศำลอุทธรณ์ภำค ๓ ลงโทษจำเลยท้ังสองคนซ่ึง
“รว่ มกัน” “โฆษณำหรือประกำศแก่บุคคลท่ัวไป” ให้กระทำควำมผิดตำมมำตรำ ๒๑๘ (๑), ๓๕๘
โดยพิพำกษำว่ำจำเลยทั้งสองมีควำมผดิ ตำมมำตรำ ๒๑๗, ๒๑๘ (๑), ๓๕๘ ประกอบด้วยมำตรำ ๘๕
วรรคสอง และ ๘๓
ผู้หมำยเหตุ เห็นว่ำ มำตรำ ๘๕ ก็ดี มำตรำ ๘๓ ก็ดีเป็น “บทบัญญัติท่ัวไป” ซึ่งต้องใช้กับ
“ควำมผิดท่ัวไป” เช่น ใช้โดยตรงกับมำตรำ ๒๑๘ ฯลฯ เท่ำนั้น ดังน้ัน จำเลยท้ังสองคนก็มีควำมผิด
ตำมมำตรำ ๒๑๘ (๑) ประกอบด้วยมำตรำ ๘๕ วรรคสอง ท้ังนี้ แม้จะร่วมกันโฆษณำหรือประกำศ
แก่บุคคลท่ัวไปให้กระทำควำมผิดก็ตำม ท้ังนี้โดยไม่ต้องอ้ำงมำตรำ ๘๓ ด้วยเลย กำรอ้ำงมำตรำ
172
๘๓ ย่อมต้องหมำยควำมว่ำในควำมผิดตำมมำตรำ ๒๑๘ (๑) นั้น จำเลยทั้งสองได้ “ร่วมกระทำ
ควำมผิด” ตำมมำตรำ ๒๑๘ (๑) “ด้วยกัน” ในฐำนะเป็น “ผู้ลงมือ” หรือในฐำนะเป็น “ตัวกำร”
(เช่น “แบ่งหน้ำที่กันทำ”) แตเ่ ม่ือศำลเห็นวำ่ ในควำมผิดตำมมำตรำ ๒๑๘ (๑) น้ัน จำเลยทั้งสองเป็น
“ผู้โฆษณำหรือประกำศ” ตำมมำตรำ ๘๕ และต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวกำรตำมมำตรำ ๘๕
วรรคสองแล้ว แม้จำเลยท้ังสองจะ “ร่วมกัน” “โฆษณำหรือประกำศ” ก็ไม่มีกรณีที่จะปรบั ใช้มำตรำ
๘๓ “ซ้อน” ไปกับมำตรำ ๘๕ แต่อย่ำงใด แต่สำมำรถปรับใช้มำตรำ ๘๕ โดยตรงกับมำตรำ
๒๑๘ (๑) ได้เลย แม้ว่ำจะร่วมกัน “โฆษณำหรือประกำศ” ก็ตำม กล่ำวโดยสรุปก็คือ ผู้หมำยเหตุ
เห็นว่ำ ในกรณีท่ีบุคคลหลำยคน “ร่วมกัน” “ก่อให้ผู้อื่นกระทำควำมผิด” (ร่วมกันเป็นผู้ใช้ตำม
มำตรำ ๘๔ หรือมำตรำ ๘๕ ก็ตำม) ทุกคนต่ำงก็เป็นผู้ใช้ตำมมำตรำ ๘๔ หรือผู้โฆษณำตำมมำตรำ
๘๕ แล้วแต่กรณี โดยตรงในควำมผิดที่ “ใช้” หรือ “โฆษณำ” ให้กระทำ (เช่น ควำมผิดตำมมำตรำ
๒๑๘) โดยจะไม่มีกรณีทจ่ี ะเป็น “ตัวกำรร่วมกัน” (ตำมมำตรำ ๘๓) ในกำรเป็น “ผู้ใช้” (ตำมมำตรำ
๘๔) หรือในกำรเป็น “ผู้โฆษณำหรอื ประกำศ” (ตำมมำตรำ ๘๕) ในกำรกระทำผิดตำมมำตรำ ๒๑๘
เกียรติขจร วจั นะสวัสดิ์
ฎีกาที่ ๖๗๖๒/๒๕๖๒ ฎ.๑๒๘๐ ว. ต้องการฆ่าผู้ตายซ่ึงเป็นสามีจึงติดต่อจาเลยท่ี ๑ ให้หา
มือปืนฆ่าผู้ตาย จาเลยท่ี ๑ ติดต่อจาเลยที่ ๒ แล้วจาเลยท่ี ๒ ติดต่อจ้าง น. น. ชักชวน ส. ให้ร่วม
กระทาความผิดด้วย หลังจากนั้น จาเลยที่ ๑ รับอาวุธปืนจาก ว. มอบให้แก่จาเลยที่ ๒ และจาเลย
ท่ี ๒ มอบให้แก่ น. แล้ว น. และ ส. ร่วมกันใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย
ซ่ึงเป็นข้อเท็จจริงที่แสดงว่าจาเลยท้ังสองมีส่วนร่วมในการกระทาความผิดของ น. ส. และ ว. แต่
ขณะท่ี น. และ ส. ใช้อาวุธปนื ยิงผ้ตู าย คงมีแต่ ว. อยู่ใกลช้ ิดกับสถานท่ีเกิดเหตุเพียงคนเดยี ว จาเลย
ทั้งสองไม่ได้อยู่ในที่ใกล้ชิดกับสถานท่ีเกิดเหตุเพียงพอท่ีจะช่วยเหลือ น. และ ส. หรืออานวยความ
สะดวกหรือมีการกระทาอย่างใดอย่างหน่ึงกับผู้ตาย ขณะที่ น. และ ส. ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย
ได้ทันท่วงที และผลแห่งการตายของผู้ตายไม่ได้เกิดจากการกระทาของจาเลยท้ังสองในขณะท่ี
น. และ ส. กระทาความผิด ถือไม่ได้ว่าจาเลยทั้งสองกระทาการร่วมกันกับ น. และ ส. ในลักษณะท่ี
เป็นการแบ่งหน้าท่ีกันทา อันจะถือว่าจาเลยทั้งสองเป็นตัวการด้วย แต่การกระทาของจาเลยทั้งสอง
เป็นการก่อให้ น. และ ส. กระทาความผิดด้วยการจ้าง น. และ ส. กระทาความผิดฐานร่วมกันฆ่า
ผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จาเลยท้ังสองจึงเป็นผู้ใช้ให้กระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๘๔ วรรคแรก
ฎีกาท่ี ๑๓๐๕๙/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล. ๑๒ น. ๑๖๘ จาเลยท่ี ๒ ใช้โจทก์ร่วมทาแท้งตั้งแต่ก่อน
เกิดเหตุ ต่อมาระหวา่ งวันท่ี ๒๗ เมษายน ๒๕๔๙ จนถึงวนั เกิดเหตุ จาเลยที่ ๒ ใช้จาเลยท่ี ๓ ทาแท้ง
ให้โจทก์ร่วม เป็นการใช้ให้ผู้อ่ืนกระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๘๔ ส่วนที่จาเลยท่ี ๒
ขับรถจักรยานยนต์ให้โจทก์ร่วมนั่งซ้อนท้ายเพ่ือไปหาจาเลยท่ี ๓ ให้ทาแท้ง แม้จะเป็นการสนับสนุน
การกระทาความผิด แต่ก็เป็นการกระทาส่วนหนึ่งในความผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นกระทาความผิด
จึงเกล่อื นกลืนเป็นกรรมเดยี วกัน
ฎีกาที่ ๘๑๑๗/๒๕๕๔ ฎ.๒๓๓๙ จาเลยท่ี ๑ นาเมทแอมเฟตามีนของกลางติดตัวมาเพ่ือ
173
ส่งมอบให้แก่จาเลยที่ ๒ ตามที่ส่ังซ้ือไว้ แม้จาเลยที่ ๒ จะถูกจับกุมเสียก่อน ก็ถือได้ว่าจาเลยที่ ๒
เป็นผู้ก่อให้จาเลยที่ ๑ มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพ่ือจาหน่ายตาม ป.อ. มาตรา
๘๔ มิใชเ่ ปน็ ตวั การรว่ มกระทาความผิดดว้ ยกนั ตามมาตรา ๘๓
ฎีกาที่ ๕๓๑๘/๒๕๔๙ ฎ.๑๖๗๕ จาเลยจ้างให้บุคคลที่ไม่รู้มาก่อนว่าที่ดินบริเวณท่ีเกิดเหตุ
เป็นพ้ืนที่ป่าสงวนแห่งชาติ ให้นารถไถไปไถท่ีดินบริเวณดังกล่าว จึงไม่ใช่เป็นการใช้ให้ผู้อ่ืนกระทา
ความผิด เพราะผู้ถูกใช้ไม่รู้ว่าการกระทานั้นเป็นความผิด แต่เป็นการใช้บุคคลเหล่าน้ันเป็นเครื่องมือ
ในการกระทาความผดิ ถือว่าจาเลยเป็นผกู้ ระทาความผิดเองโดยอ้อม จาเลยจึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.
ปา่ สงวนแหง่ ชาติฯ มาตรา ๑๔ และมาตรา ๓๑ วรรคสอง
ฎีกาท่ี ๑๐๕๘๘/๒๕๕๓ ฎ.๑๗๘๐ จาเลยท่ี ๑ ทราบว่าแนวเขตที่ดินของจาเลยท่ี ๑ ทาง
ทิศใต้คือผนังห้องเลขท่ี ๒๖๔ และ ๒๖๖ ซึ่งตรงกับแนวกาแพงตึกของจาเลยท่ี ๑ ซึ่งเป็นแนวเขตท่ี
แน่นอนชัดเจน แต่จาเลยที่ ๑ กลับให้จาเลยท่ี ๒ ขุดหลุมล้าเข้าไปในท่ีดินพิพาทของโจทก์ร่วม การ
กระทาของจาเลยที่ ๑ จึงเป็นการกระทาโดยเจตนารบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ร่วมโดย
ปกติสุข และทาให้ที่ดินดังกล่าวได้รับความเสียหาย การกระทาของจาเลยท่ี ๑ จึงเป็นความผิดฐาน
บุกรุกและทาใหเ้ สยี ทรพั ยต์ าม ป.อ. มาตรา ๓๖๒, ๓๕๘
ข้อสังเกต คดีน้ีศำลช้ันต้นยกฟ้องจำเลยที่ ๒ โจทก์ไม่อุทธรณ์ คดีเป็นอันยุติว่ำจำเลยที่ ๒ ไม่มี
ควำมผิดฐำนบุกรุกและฐำนทำให้เสียทรัพย์ เมื่อจำเลยท่ี ๒ ไม่มีควำมผิด จำเลยท่ี ๑ จึงไม่เป็นผู้ใช้
ให้จำเลยท่ี ๒ กระทำผิด จำเลยที่ ๑ เป็นผู้กระทำควำมผิดโดยทำงอ้อมโดยมีจำเลยที่ ๒
เปน็ เครือ่ งมอื ในกำรกระทำผิด
ถำ้ ข้อเท็จจริงเปลี่ยนเป็นว่ำ จำเลยท่ี ๒ มีควำมผิดฐำนบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์โดยจำเลย
ที่ ๑ สง่ั ใหจ้ ำเลยที่ ๒ ขดุ หลมุ ลำ้ เข้ำไปในที่ดินพพิ ำท จำเลยที่ ๑ จะเป็นผใู้ ช้
ฎีกาท่ี ๕๑๓๒/๒๕๕๕ ฎ.๒๙๐๕ หนังสือสัญญาจะซ้ือจะขายระบุว่า ส. จะขายท่ีดินพร้อม
บ้านพิพาทแก่จาเลยท่ี ๑ แต่เมื่อไปจดทะเบียนโอนต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ส. ทาหนังสือสัญญาขาย
ท่ีดินแก่จาเลยท่ี ๑ โดยมีข้อความวา่ ตกลงขายเฉพาะท่ีดินไม่เกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้าง แสดงว่าไม่ได้ขาย
บ้านพิพาทด้วย จาเลยที่ ๑ จึงไม่มีกรรมสิทธ์ิในบ้านพิพาทและไม่มีสิทธิเข้าไปในบ้านพิพาท การที่
จาเลยท่ี ๑ ทราบอยู่แล้วว่าบ้านพิพาทไม่ใช่ของตนแต่เป็นของโจทก์ร่วมน้องสาวของ ส. จาเลยที่ ๑
กลบั สั่งให้จาเลยที่ ๒ เข้าไปในบ้านพิพาทและทาการรือ้ ปรบั ปรุงบ้านพพิ าท ท้ัง ๆ ท่ีโจทกร์ ่วมไดห้ า้ ม
ปรามแล้ว ถือไม่ได้ว่าเป็นการเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ร่วมโดยปกติสุขและทาให้บ้าน
พิพาทของโจทกร์ ว่ มไดร้ ับความเสยี หาย จาเลยที่ ๑ จึงมีความผดิ ฐานบกุ รกุ และทาใหเ้ สยี ทรพั ย์
ข้อสังเกต จำเลยท่ี ๒ ไม่รู้ข้อเท็จจริงที่เป็นองค์ประกอบควำมผิด จำเลยท่ี ๒ ไม่มีเจตนำกระทำผิด
จำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นผูใ้ ช้ แตเ่ ป็นผกู้ ระทำผิดโดยออ้ ม
ฎีกาที่ ๔๔๕๘/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๙ น.๕๑ พยานได้รับชุดเอกสารการโอนอาวุธปืนจากจาเลย
จากนั้นมอบเอกสารดังกล่าวให้ ว. ไปดาเนินการโอนทะเบียนอาวุธปืนต่อไป ต่อมา บ. ทราบเร่ือง
เอกสารการโอนอาวุธปืนดังกล่าวเป็นเอกสารปลอมจาก ส. บ. ก็สอบถามเร่ืองดังกล่าวจากจาเลย
174
และขอเงินคืน แต่จาเลยก็ไม่คืนให้อีกทั้ง ว. ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า ว. เชื่อว่าเอกสารการ
โอนอาวุธปืนเป็นเอกสารจริง จึงแสดงให้เห็นว่า บ. ส. และ ว. ต่างไม่ทราบว่าเอกสารการโอนอาวุธ
ปืนเป็นเอกสารปลอม การท่ีจะเป็นผู้ใช้ให้กระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๘๔ ได้ ผู้ถูกใช้จะต้องรู้
ว่าการกระทาตามที่ถูกใช้เป็นความผิด แต่เม่ือ บ. ส. และ ว. ไม่รู้ว่าเอกสารการโอนอาวุธปืนเป็น
เอกสารปลอม จึงไม่ถือว่ามีผู้ถูกใช้ให้กระทาความผิดและไม่ใช่การใช้ให้ผู้อื่นกระทาความผิด บุคคล
ดังกล่าวจงึ เปน็ เพียงเคร่อื งมือของจาเลยในการกระทาความผดิ ถอื วา่ จาเลยเปน็ ผู้กระทาความผดิ เอง
โดยอ้อม จาเลยจึงไม่เปน็ ผู้ใช้ให้ผูอ้ ืน่ กระทาความผิด
ฎกี าน่าสนใจมาตรา ๘๖
ฎกี าท่ี ๒๔๘๐/๒๕๕๙ ฎ.ส.ล.๓ น.๔๐ แมก้ ารทาสัญญาซือ้ ขายทองคาของ ก. และ ส. เป็น
การอาพรางการให้กู้ยืมเงินและเป็นการหลีกเล่ียงมิให้การกู้ยืมเงินอยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.ห้ามเรียก
ดอกเบ้ียเกินอัตราฯ แต่การให้บุคคลใดยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราท่ีกฎหมายกาหนดไว้
เป็นการยืมใช้สิ้นเปลืองซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๕๐ วรรคสอง สัญญายืมนี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อ
ส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมและตาม พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯ มาตรา ๓ (ก) บัญญัติว่า
“บุคคลใดให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราท่ีกฎหมายกาหนดไว้ ท่านว่าบุคคลนั้น
มีความผิดฐานเรียกดอกเบ้ียเกินอัตรา...” ดังน้ี ความผิดฐานให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ย
เกินกว่าอัตราท่ีกฎหมายกาหนด สาระสาคัญอยู่ท่ีผู้ให้กู้ให้กู้เงินโดยเรียกหรอื คิดเอาดอกเบี้ยเกินกว่า
อัตราตามท่ีกฎหมายกาหนด การกระทาความผิดดังกล่าวเกิดขึ้นและสาเร็จแล้วในทันทีท่ีมีการ
ให้กู้เงินโดยคิดดอกเบ้ียเกินกว่าอัตราท่ีกฎหมายกาหนด และตาม ป.อ. มาตรา ๘๖ ผู้ใดกระทาด้วย
ประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการท่ีผู้อ่ืนกระทาความผิดก่อนหรือขณะ
กระทาความผิด แม้ผู้กระทาความผิดจะมิได้รถู้ ึงการช่วยเหลือหรอื ให้ความสะดวกน้นั กต็ าม ผูน้ ั้นเป็น
ผู้สนับสนุนการกระทาความผิด เมื่อจาเลยทั้งสองเป็นเพียงผู้เก็บเงินจากลูกค้าตามสัญญากู้ แต่เมื่อ
ไม่ปรากฏว่าจาเลยทั้งสองกระทาด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกก่อน
หรือขณะที่ ก. ทาสัญญาซื้อขายทองคาและ ส. ทาสัญญาซื้อขายทองคา ย่อมไม่อาจรับฟังได้ว่า
จาเลยทัง้ สองเปน็ ผูส้ นบั สนนุ การกระทาความผิดฐานเรยี กดอกเบยี้ เกินอัตรา
ฎีกาที่ ๒๐๖๘๘/๒๕๕๖ ฎ. ๓๓๓๔ หลังจากจาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ ชิงเอาเงินและโทรศัพท์
ของผู้เสียหายไปแล้ว จาเลยท่ี ๑ โทรศัพท์ไปแจ้งจาเลยท่ี ๓ ที่บ้าน ต่อมาจาเลยที่ ๓ ได้เดินทาง
มาสมทบในท่ีเกิดเหตุและร่วมแสดงบทบาทเป็นหัวหน้าสอบถามผู้เสียหายเกี่ยวกับยาเสพติ ดตามที่
จาเลยที่ ๑ แต่งเรื่องขึ้น ถือว่าความผิดฐานชิงทรัพย์ของจาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ สาเร็จขาดตอนแล้ว
นับแต่เวลาที่จาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ ได้เงินและโทรศัพท์ของผู้เสียหายไป แม้จาเลยท่ี ๓ พาผู้เสียหาย
ออกไปจากที่เกิดเหตุหลังจากท่ีจาเลยที่ ๑ และท่ี ๒ ได้เงินและโทรศัพท์ของผู้เสียหายไปแล้ว
จะถือว่าจาเลยที่ ๓ ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ ก่อนหรือขณะกระทาผิด
175
หาได้ไม่ ถอื ไมไ่ ดว้ า่ จาเลยท่ี ๓ เป็นผู้สนับสนนุ การกระทาผดิ
ฎีกาท่ี ๘๖๒๓/๒๕๖๑ ฎ.๓๔๒๖ ขณะเกิดเหตจุ าเลยที่ ๒ และที่ ๓ เท่านั้นที่เป็นผู้เสนอเงิน
สนิ บนให้แก่เจ้าพนักงานตารวจเพือ่ ใหป้ ล่อยตวั จาเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ กบั พวก โดยจาเลยท่ี ๑ มิไดเ้ ป็น
ผู้ร่วมเสนอเงินสินบนให้แก่เจ้าพนักงานตารวจ จาเลยท่ี ๑ เพิ่งจะข้ามาเกี่ยวข้องโดยเป็นผู้นาเงิน
สินบนมามอบให้แก่เจ้าพนักงานตารวจเท่าน้ัน การกระทาของจาเลยท่ี ๑ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการ
ร่วมกระทาความผิดกับจาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ในลักษณะของตัวการกระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา
๑๔๔
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๔ เป็นความผดิ สาเร็จตง้ั แตจ่ าเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ ให้หรือขอให้
เงนิ สินบนแกเ่ จ้าพนักงานตารวจแล้ว การท่ีจาเลยท่ี ๑ นาเงินสินบนมามอบให้แกเ่ จ้าพนกั งานตารวจ
ในภายหลัง จึงไม่เป็นผู้สนับสนุนในการกระทาความผิดของจาเลยที่ ๒ และที่ ๓ เพราะการเป็น
ผู้สนับสนุนตาม ป.อ. มาตรา ๘๖ จะต้องเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อ่ืนกระทา
ความผิดก่อนหรอื ขณะกระทาความผิดเทา่ น้นั
จาเลยท่ี ๑ เป็นผู้นาเงินสินบนมามอบให้แก่เจ้าพนักงานตารวจเพ่ือจูงใจให้เจ้าพนักงาน
ตารวจกระทาการอันมิชอบด้วยหน้าที่ด้วยการปล่อยตัวจาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ให้พ้นจากการจับกุม
เป็นกรณีท่ีจาเลยท่ี ๑ กระทาความผิดแยกได้ต่างหากจากการกระทาความผิดของจาเลยที่ ๒ และ
ท่ี ๓ การกระทาของจาเลยที่ ๑ จึงเปน็ ความผดิ ฐานให้สนิ บนแก่เจ้าพนักงาน
ข้อสังเกต ถ้ำนำเงินไปมอบให้ผู้สั่งให้เอำเงินมำ แล้วผู้สั่งนำเงินไปมอบเอง ผู้นำเงินมำจะเป็น
ผู้สนับสนุน ฎีกำท่ี ๓๙๐๐/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๕ น.๔๑ เม่ือ ว. ถูกผู้เสียหำยจับกุม ว. เป็นผู้เสนอจะให้
สินบนแก่ผู้เสยี หำย ผู้เสยี หำยมอบโทรศัพทท์ ่ีถกู ยึดไปคืนแก่ ว. เพื่อให้ ว. โทรศัพท์ติดตอ่ ไปยังจำเลย
ให้นำเงินมำมอบให้ ว. เพ่ือ ว. นำไปมอบให้ผู้เสียหำย กำรกระทำดังกล่ำวจำเลยไม่มีเจตนำจะมีส่วน
รว่ มกระทำควำมผิดกบั ว. มำตั้งแต่ตน้ คงนำเงนิ มำใหต้ ำมท่ี ว. โทรศัพท์ไปเท่ำนัน้ เมอ่ื เดินทำงมำถึง
ก็นำเงินมอบให้ ว. มิได้ส่งมอบให้แก่ผู้เสียหำยโดยตรง กำรกระทำของจำเลยจึงไม่ใช่ตัวกำร แต่เป็น
เพียงกำรช่วยเหลือหรือให้ควำมสะดวกในกำรท่ีผู้อื่นกระทำควำมผิด กำรกระทำของจำเลยจึงเป็น
เพียงผสู้ นับสนุนผูอ้ ่นื ใหก้ ระทำควำมผดิ ตำม ป.อ. มำตรำ ๘๖
ฎีกาที่ ๓๔๗๘/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๓๑ การสอบสวนกรณีแจ้งการเกิดเกินกาหนดเป็น
อานาจของนายอาเภอ ปลัดอาเภอจะใช้อานาจในฐานะผู้ปฏิบัติราชการแทนไม่ได้ เว้นแต่เป็นกรณี
มอบอานาจ จาเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าท่ีปกครอง รับแจ้งการเกิดของ อ. เกินกาหนด ออกใบ
สูติบัตรและลงรายการทะเบียนบ้านโดยไม่มีการสอบสวนและโดยพลการ เป็นการปฏิบัติท่ี
ผิดระเบียบและผิดกฎหมาย เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗ แต่การที่จาเลยท่ี ๓ ในฐานะ
ผู้ใหญ่บ้าน ทาหนังสือรับรองว่า อ. เป็นบุตรของนาย บ. และนาง ช. ภายหลังจากความผิดที่จาเลย
ที่ ๒ กระทาสาเร็จไปแล้ว จึงไม่ใช่การกระทาอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการท่ีผู้อ่ืน
กระทาความผดิ ก่อนหรือขณะกระทาความผดิ ไม่เป็นความผดิ ฐานเป็นผ้สู นบั สนนุ
ฎีกาที่ ๕๖๒/๒๕๕๙ การที่ผู้เสียหายทั้งสี่ยินยอมมอบเงินค่าไถ่รถยนต์ของผู้เสียหายทั้งสี่
176
ใหแ้ ก่ ว. ผรู้ ับจานา ซ่งึ รบั จานารถยนตข์ องผเู้ สยี หายท้งั สี่รวม ๑๐ คัน ไว้จาก บ. โดยมชิ อบ ตามท่ี ว.
ขู่ผู้เสียหายท่ี ๑ ถึงที่ ๓ ผ่าน อ. ภริยาของ บ. ทางโทรศัพท์เคล่ือนท่ีว่า หากผู้เสียหายท่ี ๑ ถึงที่ ๓
ไม่ยอมให้เงนิ ค่าไถ่รถยนต์แก่ ว. ผู้เสยี หายที่ ๑ ถงึ ท่ี ๓ จะไมไ่ ด้รถยนต์ของผู้เสียหายท่ี ๑ ถึงที่ ๓ คืน
และ ว. ยังขู่ผู้เสียหายที่ ๔ ทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ในขณะต่อรองราคาค่าไถ่ว่าถ้าผู้เสียหายท่ี ๔ ไม่เอา
ราคาน้กี ็ไมต่ ้องเอา โดยจะนารถของผู้เสียหายท่ี ๔ ไปแยกย่อยเอง ถือเปน็ การขู่เข็ญว่าจะทาอนั ตราย
ต่อทรัพย์สินดังกล่าวของผู้เสียหายทั้งส่ี จนผู้เสียหายทั้งส่ีจาต้องยินยอมจะให้เงินแก่ ว. เป็นค่าไถ่
รถยนต์ตามที่ถูกข่มขืนใจ การกระทาของ ว. ย่อมครบองค์ประกอบความผิดฐานกรรโชกแล้ว แม้
ผ้เู สียหายทง้ั สี่จะยงั ไม่ได้มอบเงินค่าไถร่ ถยนตใ์ ห้แก่ ว. จาเลยที่ ๑ รับมอบหมายจาก ว. ให้มารับเงิน
ค่าไถ่รถยนต์จากผู้เสียหายท้ังสี่หลังจากน้ัน จึงมิใช่เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือ
ขณะกระทาความผิดฐานกรรโชก เพราะการกระทาความผิดฐานกรรโชกของ ว. ได้สาเรจ็ เด็ดขาดไป
ท้ังความผิดฐานกรรโชกมิได้มีกฎหมายบัญญัติไว้ให้ผู้เป็นคนกลางติดต่อรับมอบทรัพย์จากการ
กรรโชกหลังจากการกระทาความผิดสาเร็จ เป็นความผิดที่ต้องรับโทษ จึงไม่อาจลงโทษจาเลยที่ ๑
ฐานเป็นผสู้ นับสนนุ การกระทาความผิดฐานกรรโชกตาม ป.อ. มาตรา ๘๖ ได้
ข้อสังเกต ฎีกำน้วี ินจิ ฉัยว่ำ ว. กระทำผิดสำเรจ็ ฐำนกรรโชก ซึ่งวนิ จิ ฉัยตำมแนวฎกี ำท่ี ๑๔๘๔/๒๕๔๙
ตำมฎีกำน้ีมขี ้อเท็จจรงิ เพิม่ เติมอีกว่ำจำเลยท่ี ๑ ไปรบั เงนิ แทน ว. และศำลฎีกำวินจิ ฉัยในคดีนว้ี ่ำ เม่ือ
ว. กระทำผิดสำเร็จฐำนกรรโชกแล้ว จำเลยท่ี ๑ ไปรับเงินภำยหลัง จึงไม่เป็นผู้สนับสนุน ว. กระทำ
ผิดฐำนกรรโชก แต่มีข้อน่ำคิดว่ำ จำเลยที่ ๑ จะมีควำมผิดฐำนรับของโจรหรือไม่ ซ่ึงศำลฎีกำไม่ได้
วินิจฉัย เพรำะจำเลยที่ ๑ รับมอบหมำยจำก ว. ให้มำรับเงิน เม่ือจำเลยท่ี ๑ รับเงิน เงินท่ีได้น่ำจะ
เป็นทรัพย์ที่ได้จำกกำรกรรโชก เมื่อจำเลยที่ ๑ รับไว้และเอำไป น่ำจะเป็นกำรช่วยพำเอำไปเสียซ่ึง
ทรพั ย์อนั ได้มำโดยกำรกระทำควำมผิดฐำนกรรโชกซึง่ จะเปน็ ควำมผิดฐำนรบั ของโจร
________________________
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจาเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑,
๓๓๗, ๓๕๒ ให้จาเลยทั้งสองคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ค่าไถ่แก่ผู้เสียหายท่ี ๑ จานวน ๑๑๐,๐๐๐ บาท
ผู้เสียหายที่ ๒ จานวน ๕๑๐,๐๐๐ บาท ผ้เู สียหายท่ี ๓ จานวน ๑๒๐,๐๐๐ บาท และผู้เสียหายท่ี ๔
จานวน ๗๔๕,๐๐๐ บาท
จาเลยท้ังสองใหก้ ารปฏเิ สธ
ศาลช้ันตน้ พิพากษายกฟอ้ ง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จาเลยท่ี ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๓๓๗ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๘๖ เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทง
ความผดิ ไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ รวม ๔ กระทง ลงโทษจาคกุ กระทงละ ๒ ปี รวม
เปน็ จาคุก ๘ ปี นอกจากที่แกใ้ หเ้ ป็นไปตามคาพิพากษาศาลช้นั ตน้
177
จาเลยท่ี ๑ ฎกี า
ศาลฎกี าวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่จะตอ้ งวินิจฉยั ตามฎกี าของจาเลยท่ี ๑ ว่า จาเลยท่ี ๑ กระทา
ความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทาความผิดฐานกรรโชกตามคาพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่
เหน็ ว่า การทีผ่ ู้เสยี หายท้ังสี่ยินยอมมอบเงินคา่ ไถร่ ถยนตข์ องผู้เสยี หายทั้งส่ใี ห้แกน่ ายวศิ ษิ ฏ์ผู้รบั จานา
ซึ่งรับจานารถยนต์ของผู้เสียหายทั้งสี่รวม ๑๐ คัน ไว้จากนายบุญมาโดยมิชอบตามที่นายวิศิษฏ์
ขู่ผู้เสียหายที่ ๑ ถึงที่ ๓ ผ่านนางอัมพรภริยาของนายบุญมาทางโทรศัพท์เคลื่อนท่ีของนางอัมพรว่า
หากผู้เสียหายท่ี ๑ ถึงท่ี ๓ ไม่ยอมให้เงิน ค่าไถ่รถยนต์แก่นายวิศิษฏ์ ผู้เสียหายท่ี ๑ ถึงท่ี ๓ จะไม่ได้
รถยนต์ของผู้เสียหายที่ ๑ ถึงที่ ๓ คืน และนายวิศิษฏ์ก็ยังพูดขู่ผู้เสียหายที่ ๔ ทางโทรศัพท์เคลื่อนที่
ของผู้เสียหายท่ี ๔ ในขณะที่ต่อรองราคาค่าไถ่ว่าถ้าผู้เสียหายท่ี ๔ ไม่เอาราคาน้ีก็ไม่ต้องเอา โดยจะ
นารถของผู้เสียหายท่ี ๔ ไปแยกย่อยเอง อันถือเป็นการขู่เข็ญว่าจะทาอันตรายต่อทรัพย์สินดังกล่าว
ของผ้เู สยี หายทง้ั สี่ จนผู้เสียหายทั้งสี่จาตอ้ งยินยอมท่จี ะใหเ้ งินแก่นายวศิ ิษฏ์เป็นค่าไถร่ ถยนต์ตามทถ่ี ูก
ข่มขืนใจ การกระทาของนายวิศิษฏย์ ่อมครบองค์ประกอบความผิดฐานกรรโชกแล้ว แม้ผูเ้ สียหายทงั้ สี่
จะยังไม่ได้มอบเงินค่าไถ่รถยนต์ให้แก่นายวิศิษฏ์ไปก็ตาม ฉะน้ันการท่ีจาเลยที่ ๑ ซ่ึงรับมอบหมาย
จากนายวิศิษฏ์ให้มารับเงินค่าไถ่รถยนต์จากผู้เสียหายท้ังส่ีหลังจากน้ัน จึงมิใช่เป็นการช่วยเหลือหรือ
ให้ความสะดวกก่อนหรือขณะกระทาความผิดฐานกรรโชก เพราะการกระทาความผิดฐานกรรโชก
ของนายวศิ ิษฏ์ผู้รับจานาได้สาเรจ็ เดด็ ขาดไปแล้ว อีกท้งั ความผิดฐานกรรโชกมิไดม้ กี ฎหมายบญั ญัติไว้
ให้ผู้เป็นคนกลางติดต่อรับมอบทรัพย์จากการกรรโชกหลังจากการกระทาความผิด สาเร็จแล้วเป็น
ความผิดต้องรับโทษ ดังน้ี จึงไม่อาจลงโทษจาเลยที่ ๑ ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทาความผิดฐาน
กรรโชกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖ ได้ ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จาเลยท่ี ๑ กระทา
ความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทาความผิดฐานกรรโชกตามคาพิพากษาศาลอุทธรณ์ ที่ศาล
อุทธรณพ์ ิพากษามาน้นั ศาลฎีกาไมเ่ หน็ พอ้ งดว้ ยบางสว่ น ฎีกาของจาเลยท่ี ๑ ฟังขึน้ ”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สาหรับจาเลยที่ ๑ ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทา
ความผิดฐานกรรโชกเสยี ด้วย นอกจากท่ีแก้ให้เปน็ ไปตามคาพิพากษาศาลอุทธรณ์
(สมชาย สนิ เกษม - ประทปี ดลุ พินิจธรรมา - ทรงศิลป์ ธรรมรัตน์)
ฎีกาที่ ๗๘๙๔/๒๕๕๙ ฎ.๒๗๓๑ จาเลยที่ ๑ ร่วมกันวางแผนประสานงานหาคนมาร่วม
ปล้นทรัพย์โดยมีส่วนรู้เห็นมาต้ังแตต่ ้น ตลอดจนพาพวกไปดูลาดเลาบ้านผู้เสียหายทั้งสองและตามไป
รบั ส่วนแบ่งใกล้กับทเ่ี กดิ เหตุซ่งึ แม้จาเลยที่ ๑ จะมิไดเ้ ข้าไปร่วมปลน้ ทรพั ยโ์ ดยตรง แตพ่ ฤตกิ ารณ์ของ
จาเลยท่ี ๑ เปน็ การช่วยเหลอื หรอื อานวยความสะดวกแกค่ นร้ายก่อนการกระทาผิด เขา้ องค์ประกอบ
เปน็ ผสู้ นบั สนนุ ตาม ป.อ. มาตรา ๘๖
ฎีกาที่ ๔๙๗๘/๒๕๖๒ ฎ.๖๒๖ จาเลยท่ี ๓ ร่วมกันวางแผนสมคบกันกับจาเลยท่ี ๑ ท่ี ๒
และท่ี ๔ กับพวกเพื่อที่จะกระทาความผิดโดยจาเลยท่ี ๓ มีส่วนรู้เห็นมาต้ังแต่ต้น แต่ขณะท่ีจาเลยที่
๑ ท่ี ๒ และที่ ๔ กับพวกร่วมกันกระทาความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและฐาน
รว่ มกันพยายามฆ่าผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จาเลยท่ี ๓ จอดรถเพ่ือคอยดูเส้นทางให้จาเลยที่ ๔ กับ
178
พวก มิได้ร่วมขับรถจักรยานยนต์ท่ีไล่ติดตามรถจักรยานยนต์ท่ีผู้ตายขับไปก่อเหตุกับจาเลยท่ี ๑ ที่ ๒
และที่ ๔ กับพวก บริเวณท่ีจาเลยที่ ๓ จอดรถคอยดูเส้นทางให้มิได้อยู่ใกล้กับท่ีเกิดเหตุในลักษณะท่ี
จาเลยที่ ๓ พร้อมท่ีจะเข้าช่วยเหลือจาเลยท่ี ๑ ท่ี ๒ และท่ี ๔ กับพวกในขณะกระทาความผิดได้
ในทันที จึงไม่ใช่เป็นการแบ่งหน้าที่กันทาอันจะเป็นตัวการในการกระทาความผิดร่วมกับจาเลยท่ี ๑
ที่ ๒ และท่ี ๔ กับพวก การกระทาของจาเลยที่ ๓ เป็นเพียงการช่วยเหลืออานวยความสะดวกให้
จาเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ กับพวกกระทาความผิด จาเลยท่ี ๓ มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการ
กระทาความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทาความผิด
ฐานรว่ มกนั พยายามฆ่าผอู้ ื่นโดยไตรต่ รองไวก้ อ่ น
ฎีกาที่ ๓๓๗๘/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๖ น.๘๕ จาเลยท่ี ๕ ได้จัดหามีดมาใช้ในการปล้นทรัพย์คดีน้ี
อันเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการกระทาความผิด จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนใน
การกระทาความผดิ ฐานปล้นทรพั ย์
ฎีกาท่ี ๑๕๙๐/๒๕๕๘ ฎ.๓๕๓ จาเลยท่ี ๑ ลักโอนเงินของโจทก์ร่วมเข้าบัญชีของจาเลย
ที่ ๒ ซึ่งเป็นสามี จาเลยที่ ๒ ย่อมต้องทราบว่ามีเงินโอนเข้ามาในบัญชีของตน การกระทาของจาเลย
ท่ี ๒ เป็นความผิดฐานสนับสนุนจาเลยที่ ๑ ในการกระทาความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้างตาม ป.อ.
มาตรา ๓๓๕ (๑๑) วรรคแรก ประกอบมาตรา ๘๖
ฎีกาที่ ๔๙๘๑/๒๕๕๖ ฎ. ๙๗๐ จาเลยรว่ มประเวณีกบั ผู้เสียหายโดยผู้เสียหายยินยอมซึ่งแม้
ไมเ่ ป็นความผิด แต่การท่ี ณ. ผลกั ผู้เสียหายใหล้ ้มลงกับพ้ืนและใช้มือปิดปากผู้เสียหาย จาเลยยอ่ มรู้ดี
ว่าผเู้ สยี หายจะต้องถูกพวกของตนข่มขนื ทง้ั เม่ือผู้เสียหายขอใหจ้ าเลยไปส่งกลับบ้าน จาเลยก็ไมไ่ ปส่ง
และเม่ือ ณ. สั่งให้จาเลยปิดไฟในห้อง จาเลยก็ปิดแล้วเดินออกจากห้องไปโดยปล่อยให้ ณ. กับพวก
ข่มขืนกระทาชาเราผู้เสยี หายอันมลี ักษณะเป็นการโทรมหญิงโดยท่ีจาเลยมิได้ขัดขวางหรือห้ามปราม
ถือว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ ณ. กับพวกในการกระทาความผิดก่อนหรือขณะ
กระทาความผดิ จาเลยจึงมคี วามผิดเปน็ ผ้สู นับสนุนตาม ป.อ. มาตรา ๘๖ ในการกระทาความผิดฐาน
ข่มขนื กระทาชาเราอนั มลี กั ษณะเปน็ การโทรมหญิง
ฎีกาที่ ๑๑๒๒๔/๒๕๕๕ ฎ.๑๙๕๓ สลากกินแบ่งรัฐบาลท่ีโจทก์ร่วมซ้ือและฝากจาเลยท่ี ๑
ไว้ถูกรางวัลท่ีหน่ึง จาเลยท่ี ๑ คิดจะเบียดบังเอาสลากไว้เสียเอง จึงได้อ้างตอ่ โจทก์ร่วมว่าสลากไม่ถูก
รางวัลและทิ้งไปแล้ว จากน้ันให้จาเลยท่ี ๒ บุตรชายรับสมอ้างว่าเป็นผู้ซ้ือสลากไป แล้วร่วมมือกัน
นาสลากไปขอรับรางวัลมาเป็นของจาเลยท้ังสองโดยทุจริต จาเลยท่ี ๑ จงึ มีความผิดฐานยักยอกตาม
ป.อ. มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก จาเลยท่ี ๒ มิได้ร่วมครอบครองสลากมาแต่แรก แต่การที่จาเลยที่ ๒
รับสมอ้างว่าเป็นเจ้าของสลากและร่วมไปขอรับเงินรางวัลมา ถือได้ว่าเป็นการให้ความช่วยเหลือแก่
จาเลยท่ี ๑ ในการยกั ยอกสลาก จาเลยที่ ๒ จึงมีความผิดฐานเป็นผูส้ นับสนุนการกระทาความผิดตาม
มาตรา ๓๕๒ ประกอบมาตรา ๘๖
ข้อสังเกต ฎีกำน้ีหำกผู้อ่ำนคิดว่ำ จำเลยที่ ๑ บอกโจทก์ร่วมว่ำสลำกไม่ถูกรำงวัลและท้ิงไปแล้ว
จำเลยท่ี ๑ ผิดฐำนยักยอกแล้วตั้งแต่บอกโจทก์ร่วม ต่อมำกำรท่ีจำเลยท่ี ๒ รับสมอ้ำงว่ำเป็นเจ้ำของ
179
สลำกและร่วมไปขอรับเงินรำงวัล จำเลยท่ี ๒ ช่วยจำเลยที่ ๑ จำหน่ำยทรัพย์ท่ีได้มำจำกกำรกระทำ
ควำมผดิ จำเลยท่ี ๒ ผดิ ฐำนรับของโจรกน็ ่ำจะเป็นไปได้ แตถ่ ้ำออกขอ้ สอบกค็ งตอบไปตำมฎีกำ
ฎีกาที่ ๗๒๔๑/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๕๓ แม้จาเลยท่ี ๒ จะอยู่ในท่ีเกิดเหตุ แต่ก็เพราะ
จาเลยที่ ๒ ยอมให้จาเลยท่ี ๑ มาจาหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่บริเวณหน้าบ้านของตนเทา่ นนั้ โดยมไิ ด้
มีส่วนร่วมเจรจาตกลงซ้อื ขายเมทแอมเฟตามนี ร่วมกบั จาเลยท่ี ๑ การกระทาของจาเลยท่ี ๒ ดงั กล่าว
ยังไม่พอฟังว่าเป็นตัวการกระทาความผิดร่วมกับจาเลยที่ ๑ หากแต่เป็นเพียงการช่วยเหลือให้ความ
สะดวกในการท่ีจาเลยท่ี ๑ กระทาความผิดฐานจาหน่ายเมทแอมเฟตามีน จาเลยที่ ๒ จึงเป็น
ผ้สู นับสนุนการกระทาความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๘๖
ฎกี าท่ี ๖๓๗๗/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๙๘ เจา้ พนักงานตารวจค้นไมไ่ ดข้ องกลางจากตัวจาเลย
ท่ี ๒ และจาเลยท่ี ๒ ก็ประกอบอาชีพขับรถจักรยานยนต์รับจ้างเป็นปกติ การกระทาความผิดของ
จาเลยท่ี ๒ ท่ีเพียงช่วยขับรถจักรยานยนต์ไปส่งจาเลยท่ี ๑ ตามท่ีรับจ้าง ซ่ึงแม้จะรู้ถึงความผิดที่
จาเลยที่ ๑ กระทาโดยได้รับค่าจ้างเป็นพิเศษ พฤติการณ์ของจาเลยท่ี ๒ จึงเป็นแต่เพียงการ
ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการกระทาความผิดของจาเลยที่ ๑ ท่ีมีการกระทาถึงขั้นเป็นตัวการ
การกระทาของจาเลยท่ี ๒ จึงคงเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนซึ่งต้องระวางโทษเพียงสองในสาม
สว่ นของโทษทกี่ าหนดไว้สาหรบั ความผดิ ทีส่ นบั สนนุ นั้นตาม ป.อ. มาตรา ๘๖
ฎกี าที่ ๔๘๒๔/๒๕๕๙ ฎ.ส.ล.๕ น.๓๓ จาเลยที่ ๑ ยอมให้มีการขนถ่ายไม้ของกลางบริเวณ
หน้าบ้านเกิดเหตุซ่ึงเป็นบ้านของจาเลยท่ี ๑ โดยรู้ว่าไม้ของกลางเป็นไม้ผิดกฎหมาย ถือได้ว่าจาเลย
ท่ี ๑ มีเจตนาช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้อ่ืนในการกระทาความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่ง
ไมห้ วงห้ามอนั ยังมไิ ดแ้ ปรรูป จงึ มีความผิดฐานเปน็ ผู้สนับสนุนการกระทาความผดิ ดังกล่าว
ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๘๗
ฎีกาที่ ๑๕๗๓๒/๒๕๕๗ จาเลยที่ ๒ อ้างว่า ผู้เสียหายเป็นหนี้แล้วไม่จ่าย ขอให้จาเลยที่ ๑
จัดการกับผู้เสียหายโดยวิธีใดก็ได้ให้ผู้เสียหายไปอยู่ท่ีอ่ืน หรือหายไปจากโลกได้ยิ่งดีแล้วจะมีรางวัล
ให้แก่จาเลยท่ี ๑ เป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท ข้อความดังกล่าวย่อมหมายความว่าจาเลยที่ ๒ ใช้จาเลย
ที่ ๑ ไปทาใหผ้ เู้ สียหายเกรงกลัวไมอ่ าจใช้ชีวิตอยใู่ นทอี่ ยู่อาศัยจนตอ้ งย้ายไปอยทู่ ี่อื่นหรอื ฆ่าผเู้ สียหาย
อันเป็นผลกระทบต่อจิตใจและชีวิตของผู้เสียหายเท่านั้น มิได้มุ่งประสงค์ต่อผลในการแสวงหา
ประโยชน์จากทรัพย์ของผู้เสียหาย จึงมิได้มีเจตนาให้จาเลยท่ี ๑ ไปชิงทรัพย์ผู้เสียหาย การที่จาเลย
ท่ี ๑ ไปชิงทรัพย์ผู้เสียหายย่อมเกินไปจากขอบเขตที่จาเลยที่ ๒ ใช้ และโดยพฤติการณ์จาเลยท่ี ๒
ไม่อาจเล็งเห็นได้ว่าจาเลยท่ี ๑ จะไปชิงทรัพย์ผู้เสียหาย จาเลยท่ี ๒ จึงไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้
จาเลยท่ี ๑ ร่วมกับผอู้ ื่นชงิ ทรัพย์ผ้เู สียหาย ตาม ป.อ. มาตรา ๘๗ วรรคแรก และไม่อาจลงโทษจาเลย
ท่ี ๒ ฐานเป็นผูส้ นับสนุนการกระทาความผิดฐานชงิ ทรพั ยข์ องจาเลยท่ี ๑ ได้
ฎีกาที่ ๗๖๐๗/๒๕๕๗ ฎ.๑๓๑๙ ก่อนเกิดเหตุจาเลยทั้งสองกับ ส. น้องชายจาเลยที่ ๒
180
มาด้วยกัน น่งั โต๊ะเดียวกันตลอดจนกระทั่งผ้ตู ายเข้ามาพูดโต้เถยี งกับจาเลยท่ี ๒ จาเลยที่ ๑ กร็ ่วมฟัง
ด้วย ผ้ตู ายไมย่ อมเลิกราจาเลยที่ ๒ จึงพดู ข้ึนว่าพวกมงึ จัดการไอเ้ ขียวที เท่ากับว่าจาเลยท่ี ๒ ยอมรับ
แล้วว่าต้องการเอาเร่ืองผู้ตายเพราะมีอารมณ์โกรธและมีเพียงเจตนาท่ีให้ทาร้ายเพื่อสั่งสอน อีกท้ัง
จาเลยที่ ๒ ไม่ได้ห้ามปรามจาเลยที่ ๑ ในขณะเดินตามผู้ตายออกไปด้วย แสดงให้เห็นว่าจาเลยท่ี ๒
ยินยอมให้จาเลยท่ี ๑ ทาการส่ังสอนผู้ตาย แต่จาเลยที่ ๑ ทารา้ ยผู้ตายตามทีจ่ าเลยที่ ๒ ใช้ให้กระทา
เกิดผลให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย การกระทาของจาเลยที่ ๑ จึงเป็นการกระทารุนแรงเกินเลยไปจาก
ขอบเขตที่ใช้ของจาเลยที่ ๒ จาเลยท่ี ๒ ต้องรับผิดทางอาญาเพียงเท่าท่ีอยู่ในขอบเขตที่ใช้ตาม ป.อ.
มาตรา ๘๗ วรรคสอง จาเลยที่ ๒ จึงมีความผิดฐานทาร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อ่ืนถึงแก่ความตาย
ตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๐ วรรคแรก
ฎีกาท่ี ๑๓๙๐๘/๒๕๕๘ จาเลยที่ ๒ ขัดแยง้ กบั ผู้เสียหาย จาเลยท่ี ๒ มอบอาวธุ ปนื และบอก
ให้จาเลยท่ี ๑ สั่งสอนผู้เสียหาย การมอบอาวุธปืนมีกระสุนปืนหลายนัดให้จาเลยที่ ๑ แสดงให้เห็น
เจตนาของจาเลยท่ี ๒ ว่าให้จาเลยที่ ๑ สั่งสอนผู้เสียหายโดยใช้ปืนยิงและย่อมเล็งเห็นได้ว่าหาก
ผู้เสียหายไม่ตายก็ย่อมได้รับบาดเจ็บจากบาดแผลกระสุนปืน จึงเป็นการก่อให้ผู้อ่ืนกระทาผิดโดย
เจตนาตาม ป.อ. มาตรา ๕๙ วรรคสอง เม่ือจาเลยที่ ๑ ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายจึงเป็นการกระทา
ตามที่จาเลยที่ ๒ ใช้ให้จาเลยที่ ๑ ฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว เม่ือผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความ
ตาย จาเลยที่ ๒ จึงมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้และรับโทษเสมือนตัวการร่วมกับจาเลยที่ ๑ ตาม ป.อ.
มาตรา ๒๘๙ (๔), ๘๐ ประกอบมาตรา ๘๔ วรรคสอง แต่จาเลยที่ ๒ ไมเ่ คยรู้จักและไม่มีสาเหตุโกรธ
เคืองกับผู้ตาย ก่อนเกิดเหตุจาเลยที่ ๒ บอกให้จาเลยท่ี ๑ ไปส่ังสอนผู้เสียหายให้เข็ดหลาบ โดย
ไม่ปรากฏว่าจาเลยท่ี ๒ ทราบเหตุการณ์ท่ีผู้เสียหายนัดหมายผู้ตายมารับเพื่อเดินทางกลับบ้าน
ทั้งจาเลยท่ี ๒ ไม่ได้ติดตามผู้เสียหายและผู้ตายไป ตามพฤติการณ์จาเลยที่ ๒ ไม่อาจคาดหมายว่า
จาเลยท่ี ๑ จะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายดว้ ย การที่จาเลยที่ ๑ ยิงผู้ตายถึงแก่ความตายเป็นการกระทาเกิน
ขอบเขตทใี่ ช้ จึงฟงั ไมไ่ ดว้ า่ จาเลยท่ี ๒ มีเจตนากอ่ ใหจ้ าเลยท่ี ๑ ฆา่ ผู้ตาย
ฎีกาท่ี ๑๗๘๖๖/๒๕๕๕ ฎ.๑๙๐๒ แม้จาเลยพูดด้วยอารมณ์โกรธว่า กูจะฆ่ามึง พวกมึงไป
จัดการมันเลย โดยจาเลยเพียงมีเจตนาใช้ให้ ส. กับพวกทาร้ายร่างกายผู้เสียหายเพ่ือส่ังสอนเท่านั้น
แต่เมื่อการทาร้ายร่างกายผู้เสียหายของ ส. กับพวกตามท่ีจาเลยใช้ให้กระทานั้นเกิดผลให้ผู้เสียหาย
ได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งผู้ถูกใช้จะต้องรับผิดทางอาญามีกาหนดโทษสูงขึ้น จาเลยเป็นผู้ใช้ให้กระทา
ความผิดย่อมตอ้ งรับผดิ ทางอาญาตามความผิดที่มีกาหนดโทษสงู ขน้ึ นัน้ ด้วย การกระทาของจาเลยจึง
เปน็ ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๗ (๘), ๘๔ ประกอบมาตรา ๘๗ วรรคสอง
ฎีกาท่ี ๓๒๕/๒๕๖๒ ฎ.๑๘ จาเลยท่ี ๑ ตัดสินใจว่ิงกลับไปเอาเหล็กขูดชาฟท์มาแทง
ผู้เสียหายในฉับพลันทันที อันเกิดจากการตัดสินใจของจาเลยท่ี ๑ โดยลาพัง ขณะที่จาเลยที่ ๒ มิได้
ใช้มีดพกมาฟันผู้เสียหายอันจะเป็นการแสดงว่ามีเจตนาร่วมกับจาเลยท่ี ๑ ในลักษณะเข้ารุมทาร้าย
ผู้เสียหาย การที่จาเลยที่ ๒ เพียงแต่ใช้อาวุธมีดแกว่งมิให้บุคคลอ่ืนเข้าช่วยเหลือผู้เสียหายโดยไม่ได้
เข้าร่วมทาร้ายผู้เสียหายเอง ถือไมไ่ ด้วา่ มีเจตนาเป็นตัวการร่วมกับจาเลยท่ี ๑ ในการกระทาความผิด
181
ฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย แต่เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จาเลยท่ี ๑ ขณะกระทา
ความผิด การกระทาของจาเลยที่ ๒ จึงเป็นผู้สนับสนุนในการกระทาความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อ่ืน
แม้จาเลยท่ี ๓ และท่ี ๔ ทราบว่าจาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ พาอาวุธมีดไปยังที่เกิดเหตุ แต่ขณะท่ี
จาเลยท้ังส่ีรุมชกต่อยผู้เสียหาย จาเลยท่ี ๑ ไม่ได้หยิบเหล็กขูดชาฟท์ติดตัวไปตั้งแต่ครั้งแรก แต่
ตัดสินใจว่ิงกลับไปท่ีรถจักรยานยนต์ของจาเลยที่ ๑ แล้วนาเหล็กขูดชาฟท์ที่วางอยู่บนตะแกรงหน้า
รถมาแทงผู้เสียหายเป็นการกระทาของจาเลยที่ ๑ ตามลาพัง ท้ังจาเลยที่ ๓ และท่ี ๔ ไม่ได้กระทา
การอย่างใดอันจะมีพฤติการณ์แสดงว่ามีเจตนาร่วมกระทาความผิดหรือช่วยเหลือจาเลยที่ ๑ ลาพัง
จาเลยที่ ๓ และท่ี ๔ ร่วมรู้เห็นว่าจาเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ นาอาวุธมีดติดตัวมายังท่ีเกิดเหตุด้วย
ยังไม่เพียงพอที่จะฟังลงโทษจาเลยที่ ๓ และที่ ๔ ในความผิดฐานร่วมกับจาเลยที่ ๑ พยายามฆ่า
ผู้เสียหาย แต่ฟังได้ว่าจาเลยที่ ๓ และที่ ๔ มีเจตนาร่วมกับจาเลยที่ ๑ ในการทาร้ายผู้เสียหาย เม่ือ
ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้จะมิได้เกิดจากที่จาเลยท่ี ๓ และท่ี ๔ ชกต่อย แต่ก็เป็นผลโดยตรง
อันเกิดจากการกระทาของจาเลยท่ี ๑ จาเลยท่ี ๓ และท่ี ๔ ก็ต้องรับในผลแห่งการกระทาดังกล่าว
จาเลยที่ ๓ และที่ ๔ มีความผิดฐานร่วมกันทาร้ายผู้อ่ืนจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา
๒๙๗
ฎีกาท่ี ๒๕๕๙/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๒๖ ขณะจาเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ เข้าทาร้าย อ. และผู้ตาย
จาเลยที่ ๔ อยู่หา่ งจากจดุ เกิดเหตุประมาณ ๓๐ เมตร ระยะดงั กล่าวไกลเกินกว่าท่จี าเลยที่ ๔ จะเข้า
รว่ มทาร้ายผู้ตายได้ จึงฟังไม่ได้ว่าจาเลยที่ ๔ มีเจตนาทารา้ ยผู้ตายร่วมกับจาเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๓ แต่การ
ที่จาเลยท่ี ๔ ขับรถจักรยานยนต์มากับจาเลยที่ ๑ ถึงท่ี ๓ ตามหา อ. เพ่ือทารา้ ย ถือได้วา่ การกระทา
ของจาเลยท่ี ๔ เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการท่ีจาเลยที่ ๑ ถึงท่ี ๓ กระทาความผิด
กอ่ นหรือขณะกระทาความผิด และจาเลยท่ี ๔ ย่อมคาดหมายได้ว่าหากมีผู้มาช่วย อ. จาเลยที่ ๑ ถึง
ท่ี ๓ กต็ ้องร่วมกันทารา้ ยผู้นั้นด้วย จาเลยท่ี ๔ จึงมคี วามผิดฐานเปน็ ผู้สนับสนนุ ให้จาเลยที่ ๑ ถึงท่ี ๓
ทาร้ายผู้ตายจนเปน็ เหตใุ หผ้ ตู้ ายถงึ แก่ความตาย
182
ภาคความผดิ
แจ้งข้อความอันเปน็ เท็จแกเ่ จา้ พนักงาน
ข้อ ๔๓ คาถาม พนักงานสอบสวนทาการสอบสวนนายดาข้อหาทาร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้
ได้รับอันตรายแก่กาย โดยเริม่ ต้นถามชื่อและท่ีอยู่ นายดาตอบว่าชื่อนายม่วงพร้อมที่อยู่ของนายม่วง
พนักงานสอบสวนจึงจดข้อความลงในบันทึกคาให้การของผู้ต้องหาวา่ ผู้ตอ้ งหาช่ือนายม่วงพร้อมท่ีอยู่
ตอ่ จากนั้นพนักงานสอบสวนแจ้งให้นายดาทราบถึงสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้ รวมท้ังสิทธิในการให้
ทนายความหรือบุคคลท่ีนายดาไว้วางใจเขา้ ฟงั การสอบปากคา นายดาทราบแล้วไม่ตอ้ งการบุคคลอ่ืน
เข้ารับฟังการสอบสวน พนักงานสอบสวนจึงแจ้งให้นายดาทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทา
ท่ีถูกกล่าวหา แล้วจึงแจ้งข้อหาให้นายดาทราบ รวมท้ังให้โอกาสนายดาท่ีจะแก้ข้อหาและแสดง
ข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์แก่ตน นายดาให้การรับสารภาพ พนักงานสอบสวนจึงบันทึกข้อความ
ทั้งหมดไว้และให้นายดาลงชื่อในบันทึกคาให้การของผูต้ อ้ งหา นายดาลงช่อื นายม่วงซ่งึ เป็นบุคคลท่ถี ึง
แก่ความตายไปแล้ว เม่ือพนักงานสอบสวนนาตัวนายดาส่งให้พนักงานอัยการฟ้องคดีต่อศาลนายดา
ให้การรับสารภาพ ศาลลงโทษจาคุกและปรับกับรอการลงโทษและคุมความประพฤติโดยกาหนด
เง่ือนไขให้นายดาไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ ต่อมานายดาผิดเงื่อนไขการคุมประพฤติ
ศาลจึงออกหมายจับนายดาส่งให้ตารวจดาเนินการจับกุม เมื่อตารวจจับกุมนายดาได้นายดาแจ้ง
ตารวจวา่ ตนคือนายม่วง
ให้วินิจฉัยว่า นายดามีความรับผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใดหรือไม่
คาตอบ การที่พนักงานสอบสวนถามช่ือและที่อยู่ของนายดา นายดาตอบว่าชื่อนายม่วง
พร้อมท่ีอยู่ของนายม่วง แม้นายม่วงจะเป็นบุคคลซ่ึงถึงแก่ความตายไปแลว้ แต่ก็ทาใหร้ ัฐซ่ึงมีสิทธิ
ดาเนินคดีนายดาเสียหาย เพราะทาให้มีการดาเนินคดีกับผู้ต้องหาผิดตัว เมื่อนายดาตอบว่าช่ือ
นายม่วงพร้อมท่ีอยู่ซ่ึงเป็นความเท็จต่อพนักงานสอบสวน การกระทาของนายดาจึงเป็นการแจ้ง
ข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทาให้ผู้อ่ืนเสียหายโดยเจตนาจึงเป็นความผิดตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗ บทหนง่ึ
นอกจากนี้การกระทาดังกล่าวยังเป็นกรณีที่เม่ือเจ้าพนักงานถามช่ือหรือท่ีอยู่ เพื่อ
ปฏิบัติการตามกฎหมาย นายดาแกล้งบอกช่ือหรือที่อยู่อันเป็นเท็จ จึงเป็นความผิดตามมาตรา
๓๖๗ อีกบทหนงึ่
การท่ีนายดาแจ้งพนักงานสอบสวนว่าตนชื่อนายม่วงพร้อมท่ีอยู่ พนักงานสอบสวน
กจ็ ดขอ้ ความในบันทกึ คาให้การของผ้ตู ้องหา จึงเป็นการแจ้งใหเ้ จา้ พนักงานผู้กระทาการตามหน้าที่
จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซ่ึงมีวัตถุประสงค์สาหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน
โดยประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนจึงเป็นความผิดตามมาตรา ๒๖๗
อกี บทหน่ึง
183
เม่ือพนักงานสอบสวนบันทึกข้อความทั้งหมดจากการสอบสวนไว้ในบันทึกคาให้การของ
ผู้ต้องหาและให้นายดาลงชื่อ นายดาลงช่ือนายม่วง ลงในบันทึกคาให้การของผู้ต้องหา เป็นการลง
ลายมือช่ือปลอมในเอกสารราชการ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรอื ประชาชน
ถ้าได้กระทาเพ่ือให้ผู้หน่ึงผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารท่ีแท้จริง นายดาจึงมีความผิดฐานปลอม
เอกสารเอกสารราชการโดยเจตนาตามมาตรา ๒๖๕ อีกบทหน่ึง
การกระทาของนายดาครบองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายดังกล่าว ซึ่งต้องพิจารณา
เร่ืองกฎหมายยกเว้นความผิดต่อไป การที่นายดาให้ถ้อยคาอันเป็นความเท็จดังกล่าวในการสอบสวน
ต่อพนักงานสอบสวน ในชั้นแจ้งข้อหา พนักงานสอบสวนตอ้ งถามช่อื ท่อี ยู่ของผตู้ ้องหา ตอ่ จากนั้น
จึงแจ้งให้ทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทาที่ถูกกล่าวหา แล้วจึงแจ้งข้อหา ดังนั้น เม่ือ
เริ่มทาการสอบสวนพนักงานสอบสวนจึงมีอานาจสอบถามข้อมูลเบ้ืองต้นเกี่ยวกับตัวผู้ต้องหา
และผู้ต้องหามีหน้าท่ีให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตนเอง ซึ่งมีสภาพบังคับทางอาญา แม้พนักงาน
สอบสวนต้องให้โอกาสผู้ต้องหาท่ีจะแก้ข้อกล่าวหาและแสดงข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์แก่ตน
เพ่ือให้การสอบสวนดาเนินต่อไปได้อย่างถูกต้องและชอบธรรม แต่การถามคาให้การผู้ต้องหา
อันเป็นอีกข้ันตอนหน่ึงซ่ึงเป็นหน้าที่พนักงานสอบสวนต้องแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบถึงสิทธิท่ีจะ
ให้การหรือไม่ก็ได้ ซ่ึงเป็นข้ันตอนเมื่อผ่านการแจ้งข้อหาแก่ผู้ต้องหาแล้ว ไม่อาจแปลความไปถึง
ขนาดให้สิทธิผู้ต้องหาที่จะปฏิเสธอานาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนเม่ือเร่ิมทาการสอบสวน
ดังกล่าวข้างต้น นายดาไม่ได้รับยกเว้นความผิดโดยอาศัยอานาจตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา การกระทาของนายดาจึงเป็นความผิดตามมาตรา ๑๓๗ มาตรา ๓๖๗
มาตรา ๒๖๗ (ฎีกาท่ี ๗๑๒๓/๒๕๕๗) และมาตรา ๒๖๕
หลงั จากศาลออกหมายจบั เม่อื ตารวจจบั กุมนายดาได้นายดาแจ้งตารวจวา่ ชื่อนายม่วงพรอ้ ม
ทอ่ี ยู่ การกระทาของนายดาจึงเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซ่ึงอาจทาให้ผู้อื่น
เสียหายโดยเจตนาจึงเป็นความผิดตามมาตรา ๑๓๗ บทหนึ่ง และเป็นกรณีที่เมื่อเจ้าพนักงานถาม
ชื่อหรือท่ีอยู่ เพ่ือปฏิบัติการตามกฎหมาย นายดาแกล้งบอกชื่อหรือท่ีอยู่อันเป็นเท็จจึงเป็น
ความผดิ ตามมาตรา ๓๖๗ อีกบทหน่ึง โดยไมม่ กี ฎหมายยกเวน้ ความผดิ
ข้อสังเกต คำถำมข้อนี้ผู้แต่งนำข้อเท็จจริงจำกฎีกำที่ ๗๑๒๓/๒๕๕๗ มำแต่งคำถำมและเพิ่มเติม
ข้อเท็จจริงที่ควรจะเป็นให้ครบถ้วน แต่เม่ือเพิ่มเติมข้อเท็จจริงเข้ำไปแล้วคำตอบจะมำกกว่ำฎีกำ
เพรำะคดีดังกล่ำวโจทก์ฟ้องว่ำกำรกระทำของจำเลยเป็นกำรกระทำผิดตำมมำตรำ ๑๓๗ มำตรำ
๒๖๗ และมำตรำ ๓๖๗ (แต่โจทก์ไม่ได้ฟอ้ งว่ำผิดมำตรำ ๒๖๕ มำดว้ ย) ดังนั้น กำรที่ศำลไม่ได้วินิจฉัย
ว่ำกำรกระทำของจำเลยเป็นควำมผิดมำตรำ ๒๖๕ หรือไม่ก็ถูกต้องแล้ว เนื่องจำกโจทก์ไม่ได้ฟ้อง
ศำลก็ลงโทษไม่ได้ แต่ก็มีข้อน่ำคดิ ว่ำโจทก์ไม่ฟ้องมำตรำ ๒๖๕ เพรำะจำเลยลงช่ือหลงั จำกแจ้งข้อหำ
แล้วจึงถือว่ำไม่ผิดมำตรำ ๒๖๕ เพรำะได้รับยกเว้นควำมผิดตำมประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำม
อำญำหรือไม่ แต่ผู้แต่งเห็นว่ำน่ำจะไม่ได้รับยกเว้นควำมผิดและกำรกระทำเป็นควำมผิดตำมมำตรำ
๒๖๕ ด้วย เพรำะเป็นกำรลงชอื่ ปลอมเพื่อรับรองข้อควำมท่ใี ห้กำรแลว้ เปน็ ควำมผิดตำมมำตรำ ๑๓๗
184
มำตรำ ๒๖๗ และมำตรำ ๓๖๗ ก็น่ำจะเป็นควำมผิด ผู้แต่งจึงวำงธงคำตอบตำมมำตรำ ๒๖๕ ด้วย
ในกำรสอบผู้ช่วยผู้พิพำกษำสมัยท่ีผ่ำนมำเม่ือปี ๒๕๕๙ ก็ไม่มีข้อเท็จจริงเก่ียวกับกำรลงช่ือใน
คำให้กำรของผู้ต้องหำ และไม่มีธงคำตอบตำมมำตรำ ๒๖๕ เหมือนกับฎีกำ ที่เป็นเช่นน้ีน่ำจะเพ่ือ
ตัดปัญหำกำรโต้เถียงว่ำผิดมำตรำ ๒๖๕ หรือไม่ กำรออกข้อสอบผู้พิพำกษำ อำจำรย์จะตั้งคำถำม
และคำตอบตรงตำมฎกี ำเพื่อป้องกนั ข้อโตแ้ ยง้ มฉิ ะนนั้ กำรประชมุ ธงคำตอบจะหำขอ้ ยตุ ิยำก
ฎีกาที่ ๗๑๒๓/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๙ น.๗๐ ป.วิ.อ. บัญญัติอานาจและหน้าที่ของพนักงาน
สอบสวนในชั้นแจ้งข้อหาตามมาตรา ๑๓๔ กาหนดให้พนักงานสอบสวนต้องถามช่ือตัว ชื่อรอง
ชอ่ื สกลุ สัญชาติ บิดามารดา อายุ อาชพี ที่อยู่ ท่ีเกิดของผู้ต้องหาเป็นประการแรก ต่อจากนั้นจึงแจ้ง
ให้ทราบถึงข้อเท็จจริงเก่ียวกับการกระทาที่ถูกกล่าวหา แล้วจึงแจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหาทราบรวมท้ัง
ให้โอกาสผู้ต้องหาท่ีจะแก้ข้อหาและแสดงข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์แก่ตน ดังน้ัน เม่ือเร่ิมทาการ
สอบสวนพนักงานสอบสวนจึงมีอานาจสอบถามข้อมูลเบ้ืองต้นเกี่ยวกับตัวผู้ต้องหาและผู้ต้องหา
มีหนา้ ทใ่ี หข้ ้อเทจ็ จรงิ เกี่ยวกับตนเอง ตามบทบัญญัตดิ งั กลา่ วซึง่ มสี ภาพบงั คับทางอาญาดังท่ีบญั ญตั ิไว้
ตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๗ ภายใต้หลักเกณฑ์ท่ีพนักงานสอบสวนต้องให้โอกาสผู้ต้องหาท่ีจะแก้
ข้อกล่าวหาและแสดงข้อเท็จจริงท่ีเป็นประโยชน์แก่ตนตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๓๔ วรรคส่ี เพื่อให้การ
สอบสวนดาเนินต่อไปได้อย่างถูกต้องและชอบธรรม ส่วนการถามคาให้การผู้ต้องหาอันเป็นอีก
ขั้นตอนหน่ึงซ่ึง ป.วิ.อ. มาตรา ๑๓๔/๔ บัญญัติให้เป็นหน้าท่ีพนักงานสอบสวนต้องแจ้งให้ผู้ต้องหา
ทราบถึงสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้ รวมทั้งสิทธิในการให้ทนายความหรือบุคคลท่ีผู้ต้องหาไว้วางใจ
เข้าฟังการสอบปากคา ซึ่งเป็นข้ันตอนเมื่อผ่านการแจ้งข้อหาแก่ผู้ต้องหาแล้ว ไม่อาจแปลความไปถึง
ขนาดใหส้ ทิ ธผิ ู้ตอ้ งหาที่จะปฏิเสธอานาจหน้าท่ีของพนักงานสอบสวนเม่อื เรมิ่ ทาการสอบสวนดังกลา่ ว
ขา้ งตน้
จาเลยแจ้งความเท็จและแจ้งให้ร้อยตารวจโท ธ. พนักงานสอบสวนจดข้อความอันเป็นเท็จ
ลงในบันทึกคาให้การของจาเลยซ่ึงเป็นผู้ต้องหาในความผิดฐานทาร้ายร่างกายผู้อ่ืนว่าจาเลยเป็น ด.
ซ่ึงถึงแก่ความตายไปแล้ว หลังจากนั้นเมื่อพนักงานสอบสวนเรียกตัวจาเลยไปสอบถามเน่ืองจาก
จาเลยผิดเงื่อนไขการคุมประพฤตติ ามคาพพิ ากษาของศาลช้ันต้น จาเลยแจ้งความเท็จและแสดงบัตร
ประจาตัวประชาชนของ ด. เพ่ือให้ร้อยตารวจโท ธ. หลงเช่ือว่าจาเลยเป็น ด. จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็น
การให้การและใช้สิทธิในข้ันตอนการถามคาให้การที่จาเลยเป็นผู้ต้องหาตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๓๔/๔
(๑) การกระทาของจาเลยจงึ เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๓๗ มาตรา ๒๖๗ และมาตรา ๓๖๗
ข้อสังเกต จุดที่พนักงำนสอบสวนแจ้งข้อหำเป็น “จุดตัด” ว่ำเป็นควำมผิดหรือไม่ ถ้ำเป็นข้อควำมท่ี
ให้ก่อนแจ้งข้อหำ ผู้ต้องหำมีหน้ำท่ีต้องบอกชื่อและท่ีอยู่ตำมจริงตำม ป.วิ.อ.มำตรำ ๑๓๔ ถ้ำให้ช่ือ
และที่อยู่เท็จจะมีสภำพบังคับทำงอำญำคือเป็นควำมผิดตำมมำตรำ ๑๓๗ มำตรำ ๒๖๗ และมำตรำ
๓๖๗ หลังจำกแจ้งข้อหำแล้ว ผู้ต้องหำมีสิทธิให้กำรต่อไปซึ่งผู้ต้องหำมีสิทธิให้กำรอย่ำงไรก็ได้ตำม
ป.วิ.อ. มำตรำ ๑๓๔/๔ ขอให้ดูฎีกำที่ ๒๙๘๗/๒๕๔๗ เป็นกำรให้กำรหลังแจ้งข้อหำ แม้จะเป็น
ควำมเทจ็ แต่กไ็ ดร้ บั ยกเวน้ ควำมผดิ ตำม ป.วิ.อ. มำตรำ ๑๓๔
185
ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๑๓๖
ฎีกาที่ ๗๒๕๖/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๗๒ ถ้อยคาท่ีจาเลยกล่าวว่า ถ้าไม่มีหนังสือนา
มหาวทิ ยาลัยจะไม่ให้ตรวจสอบ และโจทกร์ ่วมกบั ผ้เู สียหายท่ี ๒ มาตรวจสอบโดยไม่ถูกต้องแล้วยงั มา
เดินกร่างไปกร่างมาในมหาวิทยาลัย เป็นเพียงคากล่าวที่ก้าวร้าว ไม่เหมาะสมซ่ึงไม่สมควรพูด
ยังไม่ถึงขนาดจะดูหมิ่นเหยียดหยาม แต่ถ้อยคาของจาเลยที่ว่า มาตรวจสอบโดยมีอคติ นั้น เป็นการ
กล่าวหาโจทก์ร่วมและผู้เสียหายท่ี ๒ ว่าปฏิบัติหน้าท่ีตรวจสอบเรื่องการทุจริตโครงการดังกล่าว
ดว้ ยความลาเอยี ง โดยปราศจากเหตผุ ลอันสมควรในการกลา่ วถอ้ ยคาเช่นน้นั แสดงให้เห็นเจตนาของ
จาเลยท่ีต้องการลดคุณค่าของโจทก์ร่วมและผู้เสียหายท่ี ๒ อันเป็นการดูถูกเหยียดหยามหรือ
สบประมาทโจทก์ร่วมและผู้เสียหายท่ี ๒ ไม่ใช่เป็นเพียงคากล่าวที่ไม่สุภาพและไม่สมควร การกล่าว
ถอ้ ยคาดงั กล่าวของจาเลยจงึ เป็นความผดิ ฐานดหู ม่ินเจา้ พนักงานซึง่ กระทาการตามหนา้ ท่ี
ฎีกาที่ ๘๔๒๒/๒๕๕๘ การท่ีจาเลยท่ี ๑ พูดจาให้ร้ายผู้เสียหายขณะปฏิบัติหน้าที่เข้าตรวจ
ค้นร้านโดยใช้คาว่า "ปลัดส้นตีน" ซ่ึงเป็นคาดูหมิ่นเหยียดหยาม เป็นการกระทาความผิดฐานดูหมิ่น
เจา้ พนักงานซง่ึ กระทาการตามหน้าที่ตาม ป.อ. มาตรา ๑๓๖ สาเร็จแล้ว
ฎีกาที่ ๘๐๑๖/๒๕๕๖ ฎ. ๒๕๘๑ หลังจากร้อยตารวจโท ส. กับพวกเรียกรถยนต์ที่จาเลย
ขับเพ่ือขอตรวจ เมื่อพบว่ารถยนต์ขาดต่อภาษีประจาปีจาเลยแจ้งให้ร้อยตารวจโท ส. กับพวกทราบ
วา่ ได้เคยถูกจับและเสียค่าปรับในข้อหาเดียวกันมาแล้วก่อนหน้าถูกจับ ๑ วัน หลงั จากน้ันจาเลยแจ้ง
ใหบ้ ิดาเสยี ภาษีประจาปรี ถยนตแ์ ลว้ ยังไม่ได้รบั เอกสารมาจากบดิ า แต่ร้อยตารวจโท ส. กับพวกยังคง
ออกใบสั่งแจ้งข้อกล่าวหาแก่จาเลยโดยไม่ปรากฏว่าร้อยตารวจโท ส. กับพวกได้ช้ีแจงทาความเข้าใจ
ให้จาเลยทราบถึงเหตุท่ีต้องออกใบสั่งแจ้งข้อกล่าวหาแก่จาเลย จาเลยในภาวะเช่นนั้นย่อมรู้สึกว่า
รอ้ ยตารวจโท ส. กับพวกไม่ได้ให้ความสาคัญสนใจกับคาช้ีแจงของจาเลยเท่าท่ีควร อาจทาให้จาเลย
รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและเกิดความน้อยใจ จึงกล่าวในเชิงเป็นการตาหนิการปฏิบัติหน้าท่ี
ของร้อยตารวจโท ส. กับพวกว่า “ตารวจแม่ง...ใช้ไม่ได้”ีอันเป็นเพียงคากล่าวที่ไม่สุภาพและ
ไม่สมควรเท่านน้ั ยงั ไม่ถึงข้ันท่พี อจะใหเ้ ข้าใจว่าจาเลยมีความมุ่งหมายที่จะด่าดถู ูก เหยียดหยามหรือ
สบประมาทให้ร้อยตารวจโท ส. กับพวกอับอาย การกระทาของจาเลยจึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ.
มาตรา ๑๓๖
ฎีกาที่ ๖๖๒๙/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล. ๔ น. ๑๑๒ ขณะท่ีผู้เสียหายมาถึงสถานท่ีเกิดเหตุ
การกระทาความผิดของจาเลยที่กระทาต่อโจทก์ร่วมได้เสร็จส้ินลงแล้ว มิได้ปรากฏการกระทา
ความผิดซ่ึงหน้าต่อผู้เสียหาย และผู้ท่ีเห็นเหตุการณ์ก็แจ้งต่อผู้เสียหายว่าจาเลยได้กลับไปบ้านแล้ว
จึงไม่ใช่ความผิดซ่ึงผู้เสียหายเห็นจาเลยกาลังกระทาหรือพบในอาการซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลย
ว่ากระทาความผิดมาแล้วสด ๆ จึงไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้าท่ีผู้เสียหายจะจับจาเลยได้โดยไม่มีหมายจับ
และกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๗๘ การที่ผู้เสียหายติดตามไปจับกุมจาเลยที่บ้านโดย
ไม่มีหมายจับนั้น จึงเป็นการเข้าจบั กุมโดยไมม่ ีอานาจ และถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายปฏิบัตกิ ารตามหน้าที่
โดยชอบ ดังนั้น การท่ีจาเลยกล่าวถ้อยคาด่าผู้เสียหายว่า “ไอ้เห้ีย ไอส้ ัตว์ ”ีถงึ แมถ้ ้อยคาดังกล่าวจะ
186
เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามและทาให้ผู้เสียหายอับอายเสียหายก็ตาม แต่เมื่อผู้เสียหายทาการจับกุม
จาเลยโดยไม่มีอานาจ และมิใช่การปฏิบัติการตามหน้าท่ีโดยชอบ การกระทาของจาเลยจึงไม่เป็น
ความผิดฐานดูหม่ินเจ้าพนักงานซึ่งกระทาการตามหน้าท่ีหรือเพราะได้กระทาการตามหน้าท่ี แต่การ
กระทาดังกลา่ วก็นบั เปน็ การดหู ม่นิ ผเู้ สียหายซึง่ หน้าในฐานะบคุ คลธรรมดาซ่ึงเปน็ บทท่วั ไป
ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๑๓๗
ฎีกาท่ี ๔๐๑๗/๒๕๖๐ ขณะท่ีจาเลยท่ี ๑ ไปจดทะเบียนจานองท่ีดนิ พิพาทท้ังสองแปลงเพื่อ
ประกันหน้ีเงินกู้ให้แก่จาเลยที่ ๓ เมื่อวันท่ี ๕ ส.ค. ๒๕๕๖ คดีที่โจทก์ท้ังเจ็ดฟ้อง ล. กับจาเลยท่ี ๑
ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินทั้งสองแปลงอยู่ในระหว่างฎีกายังไม่ถึงที่สุด ดังนั้น การที่จาเลย
ท่ี ๑ แจ้งข้อความตามท่ีปรากฏในโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงต่อเจ้าพนักงานท่ีดินผู้จดทะเบียนจานอง
ในขณะน้ันว่าจาเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของท่ีดินท้ังสองแปลง ซึ่งก็ตรงตามเอกสารท่ีแท้จริง จึงเป็นเรื่องที่
จาเลยที่ ๑ แจ้งข้อความตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ท้ังเจ้าพนักงานท่ีดินผู้จดทะเบียนจานองไม่ได้
สอบถามจาเลยที่ ๑ วา่ มีคดีพิพาทเกยี่ วกบั ทีด่ นิ หรอื ไม่ และจาเลยที่ ๑ มไิ ดห้ ลอกลวงใหเ้ จ้าพนักงาน
ที่ดินจดทะเบียนจานองที่ดินพิพาทท้ังสองแปลง การกระทาของจาเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นความผิดตาม
ป.อ. มาตรา ๑๓๗ และมาตรา ๒๖๗
ฎีกาที่ ๗๑๒๓/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๙ น.๗๐ ป.วิ.อ. บัญญัติอานาจและหน้าท่ีของพนักงาน
สอบสวนในชั้นแจ้งข้อหาตามมาตรา ๑๓๔ กาหนดให้พนักงานสอบสวนต้องถามช่ือตัว ชื่อรอง
ช่อื สกุล สัญชาติ บิดามารดา อายุ อาชีพ ท่ีอยู่ ท่ีเกิดของผู้ต้องหาเป็นประการแรก ต่อจากนั้นจึงแจ้ง
ให้ทราบถึงข้อเท็จจริงเก่ียวกับการกระทาท่ีถูกกล่าวหา แล้วจึงแจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหาทราบรวมทั้ง
ให้โอกาสผู้ต้องหาท่ีจะแก้ข้อหาและแสดงข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์แก่ตน ดังน้ัน เมื่อเริ่มทาการ
สอบสวนพนักงานสอบสวนจึงมีอานาจสอบถามข้อมูลเบื้องต้นเก่ียวกับตัวผู้ต้องหาและผู้ต้องหา
มหี นา้ ที่ให้ขอ้ เท็จจริงเก่ียวกบั ตนเอง ตามบทบัญญัตดิ งั กล่าวซ่งึ มีสภาพบงั คับทางอาญาดงั ท่ีบญั ญัตไิ ว้
ตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๗ ภายใต้หลักเกณฑ์ที่พนักงานสอบสวนต้องให้โอกาสผู้ต้องหาที่จะแก้
ข้อกล่าวหาและแสดงข้อเท็จจริงท่ีเป็นประโยชน์แก่ตนตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๓๔ วรรคส่ี เพ่ือให้การ
สอบสวนดาเนินต่อไปได้อย่างถูกต้องและชอบธรรม ส่วนการถามคาให้การผู้ต้องหาอันเป็นอีก
ขั้นตอนหนึ่งซึ่ง ป.วิ.อ. มาตรา ๑๓๔/๔ บัญญัติให้เป็นหน้าที่พนักงานสอบสวนต้องแจ้งให้ผู้ต้องหา
ทราบถึงสิทธิท่ีจะให้การหรือไม่ก็ได้ รวมท้ังสิทธิในการให้ทนายความหรือบุคคลที่ผู้ต้องหาไว้วางใจ
เข้าฟังการสอบปากคา ซ่ึงเป็นขั้นตอนเมื่อผ่านการแจ้งข้อหาแก่ผู้ต้องหาแล้ว ไม่อาจแปลความไปถึง
ขนาดให้สิทธิผู้ต้องหาที่จะปฏเิ สธอานาจหน้าท่ีของพนักงานสอบสวนเม่ือเรมิ่ ทาการสอบสวนดังกล่าว
ข้างตน้
จาเลยแจ้งความเท็จและแจ้งให้ร้อยตารวจโท ธ. พนักงานสอบสวนจดข้อความอันเป็นเท็จ
ลงในบันทึกคาให้การของจาเลยซ่ึงเป็นผู้ต้องหาในความผิดฐานทาร้ายร่างกายผู้อ่ืนว่าจาเลยเป็น ด.
187
ซึ่งถึงแก่ความตายไปแล้ว หลังจากนั้นเมื่อพนักงานสอบสวนเรียกตัวจาเลยไปสอบถามเนื่องจาก
จาเลยผิดเงื่อนไขการคุมประพฤตติ ามคาพพิ ากษาของศาลช้ันตน้ จาเลยแจ้งความเท็จและแสดงบัตร
ประจาตัวประชาชนของ ด. เพ่ือให้ร้อยตารวจโท ธ. หลงเชื่อว่าจาเลยเป็น ด. จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็น
การให้การและใช้สิทธิในขั้นตอนการถามคาให้การท่ีจาเลยเป็นผ้ตู ้องหาตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๓๔/๔
(๑) การกระทาของจาเลยจงึ เป็นความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๓๗ มาตรา ๒๖๗ และมาตรา ๓๖๗
ฎีกาท่ี ๙๕๕๖/๒๕๕๘ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๖๓ การท่จี าเลยมอบอานาจให้ทนายความไปยืน่ คาขอ
จดทะเบียนแก้ไขเพ่ิมเติมหนังสือบริคณห์สนธิ และแจ้งย้ายที่ตั้งสานักงานแห่งใหญ่ของบริษัท บ.
ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทโดยอ้างว่าจาเลยได้บอกกล่าวนัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่
๒/๒๕๕๒ โดยลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพมิ พ์และสง่ มอบให้ผู้ถือหุ้น และทีป่ ระชุมวิสามัญมีมติพิเศษ
ให้แก้ไขเพ่ิมเติมหนังสือบริคณห์สนธิ และย้ายที่ต้ังสานักงานแห่งใหญ่ของบริษัทจากเดิมที่ตั้งอยู่
กรุงเทพมหานครไปที่จังหวัดราชบุรีโดยไม่เป็นความจริง การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐาน
แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานและแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จตาม ป.อ.
มาตรา ๑๓๗ และมาตรา ๒๖๗
ฎีกาที่ ๑๔๙๙๑/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๒๕๘ ความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเก่ียวกับ
คดีอาญาตาม ป.อ. มาตรา ๑๗๒ ความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานตาม ป.อ.
มาตรา ๑๓๗ หรอื ความผิดฐานรู้ว่ามิได้มีการกระทาความผดิ แต่แจง้ ข้อความต่อพนกั งานสอบสวนว่า
ได้มีการกระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๗๓ น้ัน ผู้กระทาต้องรู้ว่าข้อความท่ีนาไปแจ้งเป็นความ
เท็จ หรือรู้ว่าไม่มีการกระทาความผิดเกิดข้ึน แต่ยังกลับไปแจ้งพนักงานสอบสวนว่ามีการกระทา
ความผดิ
จาเลยที่ ๑ โดยจาเลยที่ ๒ ผู้รับมอบอานาจบรรยายฟ้องในคดีแพ่งว่าโจทก์ยักยอกเงิน
ค่าเวนคืนที่ดินเพ่ือเป็นหลักแห่งข้อหาในการกาจัดโจทก์ออกจากการเป็นผู้รับมรดกของ ป. นั้น
พอจะบ่งชี้ได้ว่าจาเลยท่ี ๑ เช่ือว่าโจทก์ได้ยักยอกเงินค่าเวนคืนที่ดินไปจากกองมรดก จึงได้ฟ้อง
ต่อศาลขอให้กาจดั โจทกอ์ อกจากการเปน็ ผรู้ ับมรดก ครน้ั โจทก์ย่นื คาให้การรบั วา่ มีเงินค่าเวนคืนท่ีดิน
จริง จาเลยท่ี ๒ ก็น่าจะมั่นใจว่าโจทก์ได้เบียดบังเอาเงินค่าเวนคืนท่ีดินไปตามท่ีย่ืนฟ้องเป็นคดีแพ่ง
จากน้ันหลังจากโจทก์ยื่นคาให้การในคดีดังกล่าวแล้ว จาเลยท่ี ๒ ถึงได้ไปแจ้งความต่อพนักงาน
สอบสวนว่าโจทก์ยักยอก อันแสดงให้เห็นว่า จาเลยท่ี ๒ หาได้รู้ว่าข้อความท่ีแจ้งน้ันเป็นเท็จหรือไม่
หรือหาได้รู้ว่าไม่มีการยักยอกเกิดข้ึนไม่ ในทางตรงข้ามกลับฟังได้ว่าจาเลยที่ ๒ เชื่อโดยสุจริตใจ
มากกว่าว่ามีการยักยอกเกิดข้ึนจริง จึงได้ไปแจ้งความตามความเช่ือของตนว่ามีการกระทาความผิด
เกิดขึ้น การกระทาของจาเลยท่ี ๒ จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเก่ียวกับคดีอาญา
แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน หรือรู้ว่ามิได้มีการกระทาความผิดแต่แจ้งข้อความต่อ
พนักงานสอบสวนว่าได้มีการกระทาความผิด และการแจ้งข้อความดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานถือไม่ได้
ว่าจาเลยท่ี ๒ มีเจตนาท่ีจะใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามดังท่ีบัญญัติไว้ใน ป.อ. มาตรา ๓๒๖ อันจะ
เปน็ ความผิดฐานหมน่ิ ประมาท
188
ฎกี าที่ ๒๑๘๙/๒๕๕๔ ฎ.๑๐๔๘ จาเลยแจง้ ขอ้ ความอันเปน็ เทจ็ ต่อผอู้ านวยการเลอื กตั้งโดย
ปกปิดเรื่องท่ีจาเลยเคยได้รับโทษจาคุกตามคาพิพากษา แต่โดยผลของพระราชบัญญัติล้างมลทินใน
วโรกาสท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ.
๒๕๕๐ มาตรา ๓ และมาตรา ๔ ถือว่าจาเลยไมเ่ คยถูกลงโทษหรือไม่รับโทษจาคุกตามคาพิพากษามา
ก่อน จาเลยจึงมิใช่บุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกต้ังตามพระราชบัญญัติการ
เลือกต้ังสมาชิกสภาท้องถ่ินหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.๒๕๔๕ มาตรา ๔๕ (๕) การกระทาของจาเลย
ย่อมไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อานวยการเลือกตั้งหรือประชาชน การกระทาไม่ครบ
องค์ประกอบความผิด จาเลยจงึ ไมม่ ีความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗
ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๑๓๘
ฎีกาท่ี ๘๗๒๒/๒๕๕๕ ฎ.๑๔๘๖ บริเวณท่ีเกิดเหตุอยู่บนถนนสุทธาวาสไม่ใช่หลังซอย
โรงถ่านทม่ี ีอาชญากรรมประเภทความผดิ เก่ียวกับยาเสพตดิ พ.ร.บ. อาวุธปนื ฯ และความผิดเก่ียวกับ
ทรัพย์เป็นประจา และจาเลยไม่มีท่าทางเป็นพิรุธ คงเพียงแต่น่ังโทรศัพท์อยู่ การท่ีสิบตารวจโท ก.
และสิบตารวจตรี พ. อ้างว่าเกิดความสงสัยในตัวจาเลยจึงขอตรวจค้น โดยไม่มีเหตุผลสนับสนุนว่า
เพราะเหตุใดจึงเกิดความสงสัยในตัวจาเลย จึงเป็นข้อสงสัยที่ตั้งอยู่บนพ้ืนฐานของความรู้สึกเพียง
อย่างเดียว ถือไม่ได้ว่ามีเหตุอันควรสงสัยตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๙๓ ท่ีจะทาการตรวจค้นได้ การตรวจ
ค้นตัวจาเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย จาเลยซึ่งถูกกระทาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายย่อมมีสิทธิโต้แย้ง
และตอบโต้เพ่ือป้องกันสิทธิของตน ตลอดจนเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคาสั่งใด ๆ อันสืบเน่ืองจากการ
ปฏิบัติท่ีไม่ชอบได้ จาเลยจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๓๖, มาตรา ๑๓๘ วรรคสอง และ
มาตรา ๓๖๗
ฎีกาท่ี ๑๒๔๐/๒๕๕๔ ฎ.๓๙๖ สิบตารวจเอก ป. ใช้กาลังล็อกแขนใส่กุญแจมือจาเลยใน
ลักษณะไขว้หลัง กดหน้าจาเลยกับพื้น จาเลยดิ้นรนขัดขืนเพราะเห็นว่าตัวเองไม่ได้กระทาผิด
บาดแผลที่จาเลยได้รบั มีรอยจ้าแดงทแี่ กม้ ขวา ขอ้ มือ ๒ ข้าง รอยถลอก ๓ แห่งที่บรเิ วณคอ บาดแผล
ท่ีสิบตารวจเอก ป. ได้รับมีรอยถลอกขนาดเล็กบริเวณหน้าอกไม่จาต้องรับการรักษาด้วยยา แม้การ
ด้ินรนของจาเลยจะเป็นเหตุให้มือของจาเลยไปโดนหน้าอกของสิบตารวจ ป. ก็ตาม แต่การกระทา
ของจาเลยก็ยังไม่ถึงข้ันที่จะเป็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งกระทาการตามหน้าท่ีตาม ป.อ.
มาตรา ๑๓๘
ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๙
ฎีกาท่ี ๑๙๔๐/๒๕๖๑ ฎ.๕๒๐ ความผิดตามฟอ้ งโจทก์ คอื ป.อ. มาตรา ๑๓๙ ซ่ึงบัญญัตวิ ่า
"ผู้ใดข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าท่ี หรือให้ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าท่ี
189
โดยใช้กาลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กาลังประทุษร้าย..." ผู้กระทาความผิดตามมาตรา ๑๓๙
ดังกล่าว จะต้องกระทาการต่อเจ้าพนักงาน คือ ข่มขืนใจต่อเจ้าพนักงาน จาเลยเพียงแต่ขึ้นพูด
ปราศรัยบนเวทีซ่ึงเป็นการพูดต่อผู้ชุมนุมในกลุ่ม นปช. ด้วยกัน จาเลยไม่ได้พูดหรือกระทาการใด
ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซ่ึงเป็นเจ้าพนักงานแต่อย่างใด แม้จะฟังว่าการพูดปราศรัยดังกล่าวมีการ
ทาข่าวทางสถานีโทรทัศน์หรือสื่อมวลชนสาธารณะอื่นด้วยก็ตาม ก็ไม่ปรากฏว่าเป็นเร่ืองที่จาเลย
เป็นผู้จัดให้มีการทาข่าว แต่เป็นเรื่องของนักข่าวส่ือมวลชนมาทาข่าวกันเองเท่านั้น ขณะเกิดเหตุ
ท่ีจาเลยพูดปราศรัยเป็นวันท่ี ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ แต่หลังจากนั้นอีก ๓ วัน จึงมีการชุมนุมของ
กลุ่ม นปช. เพื่อปิดล้อมสานักงาน ป.ป.ช. ซ่งึ ขณะนน้ั ไม่ปรากฏว่าจาเลยได้เข้าร่วมในการเข้าปิดล้อม
สานักงาน ป.ป.ช. ดังกล่าวด้วย การชุมนุมเพ่ือปิดกั้นดังกล่าวเพ่ือไม่ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.
และเจ้าหน้าที่เข้าทางานในสานักงานอาจเป็นการกระทาความผิดตามมาตรา ๑๓๙ ได้ เพราะเป็น
การกระทาเพ่ือไม่ให้เจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ แต่การพูดของจาเลยต่อผู้ชุมนุมกลุ่ม นปช.
ไม่ได้กระทาต่อเจ้าพนักงาน แต่เป็นการกระทาต่อผู้ชุมนุม เป็นการพูดชักชวนปลุกเร้าผู้ชุมนุมให้ไป
ร่วมกันปิดล้อมสานักงาน ป.ป.ช. เท่านั้น ที่สาคัญในคาพูดปราศรัยของจาเลยไม่มีข้อความตอนใด
ทจ่ี าเลยขม่ ขืนใจเพอื่ ใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ช. กระทาการอนั ใดท่ีจาเลยต้องการเลย ไม่ว่าจะเปน็ การ
อนั มิชอบด้วยหน้าที่ หรือการละเวน้ การปฏิบัตกิ ารตามหน้าท่ี จึงไมถ่ ือว่าเป็นความผิดตามฟ้อง
ฎีกาท่ี ๑๑๕๓/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล. ๔ น. ๓๑ แม้ พ.ร.บ. ลักษณะปกครองท้องที่ฯ มาตรา ๒๗
จะกาหนดให้ผู้ใหญ่บ้านทาหน้าท่ีช่วยเหลือนายอาเภอในการปฏิบัติหน้าท่ีและเป็นหัวหน้าราษฎรใน
หมูบ่ ้านของตน และให้มีอานาจหน้าทอี่ ่ืนอีกหลายประการ รวมทั้งการจดั ให้มีการประชุมราษฎรและ
คณะกรรมการหมู่บ้านเป็นประจาอย่างน้อยเดือนละหนึ่งคร้ังก็ตาม แต่กฎหมายดังกล่าวมิได้
กาหนดให้ผู้ใหญ่บ้านมีอานาจหน้าที่ตรวจสอบการใช้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน หรือการ
ดาเนินกิจกรรมใด ๆ โดยการใช้เงินทไี่ ด้รับการอุดหนุนจากองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน ดังนั้น การที่
ผู้เสียหายจัดให้มีการประชุมราษฎรและคณะกรรมการหมู่บ้านและตรวจสอบกรณีสภาองค์การ
บริหารส่วนตาบลดอนเจดีย์มีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติให้จ่ายขาดเงินสะสมอุดหนุนกิจการการเกษตร
ให้แก่กลุ่มเกษตรกรผู้ใช้น้าฯ จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อกระทาการนอกอานาจหน้าท่ี มิใช่เป็นการกระทา
ตามอานาจหน้าท่ีของผู้ใหญ่บ้าน ท้ังได้ความว่าผู้เสียหายหวังจะใช้โอกาสดังกล่าวกล่าวหาสมาชิก
สภาองค์การบริหารส่วนตาบลดอนเจดีย์ที่มีมติว่ามีเจตนาโอนเงินให้พวกพ้องทุจริตโกงกินกันเพื่อ
ทาลายความน่าเชื่อถือ เพราะเกรงว่าสามีผู้เสียหายซ่ึงกาลังจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา
องค์การบริหารส่วนตาบลดอนเจดีย์จะเสียเปรียบในการเลือกตั้ง มิใช่เป็นการกระทาตามอานาจ
หน้าท่ีของผู้ใหญ่บ้านในการดแู ลทุกข์สุขของราษฎรในหมู่บา้ นซ่ึงเป็นอานาจหน้าท่ีตามกฎหมาย การ
ที่จาเลยใช้วาจาขู่เข็ญให้ผู้เสียหายต้องยกเลิกการประชุมจึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา ๑๓๙
190
ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๑๔๐
ฎีกาท่ี ๖๙๒/๒๕๖๑ ป.อ. มาตรา ๑๔๐ วรรคสาม บัญญัติให้ผู้กระทาความผิดฐานต่อสู้
ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กาลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธปืนต้องได้รับโทษหนักกว่าโทษตามที่
กฎหมายบัญญัติในสองวรรคก่อนกึ่งหนึ่ง ก็เพ่ือคุ้มครองความปลอดภัยของเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติการ
ตามหน้าที่ แม้อาวุธปืนท่ียึดได้จากรถคันเกิดเหตุจะถูกซุกซ่อนอยู่ใต้ที่นั่งด้านหน้าข้างคนขับ จาเลย
ที่ ๑ ไม่ไดพ้ กติดตวั หรือวางในลักษณะพรอ้ มหยิบฉวยได้ทันทกี ต็ าม แตอ่ าวธุ ปืนมีกระสนุ ปนื บรรจุอยู่
ในรังเพลิงพร้อมใช้งานได้ทันที นับเป็นอันตรายต่อเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติตามหน้าที่ จาเลยที่ ๑ จึงมี
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๓๘ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๑๔๐ วรรคสาม
ฎีกาท่ี ๑๘๑๖/๒๕๕๗ ฎ.๑๒๕ ในทันทีท่ีเจ้าพนักงานตารวจแสดงตัวเข้าจับกุมจาเลยกับ
พวกซ่ึงมีหน้าที่ตัดไม้ พวกท่ีติดอาวุธปืนก็ยิงรัวใส่เจ้าพนักงานตารวจชุดจับกุมจากทางด้านหลังของ
จาเลย แสดงว่ามีเจตนาท่ีจะต่อสู้ขัดขวางไม่ให้เจ้าพนักงานจับกุมพวกที่ตัดไม้ การที่จาเลยตระหนัก
ร้อู ยู่แล้วว่ามีพวกของตนอีกกลมุ่ หนึ่งติดอาวุธคอยคุ้มกันไม่ให้พวกตนซึ่งมีหนา้ ท่ีตดั ไม้ถูกเจ้าพนักงาน
ตารวจจับกุมได้โดยง่าย และพร้อมท่ีจะใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้กับเจ้าพนักงานเพ่ือที่จะช่วยเหลือพวกตน
ให้พ้นจากการจับกุมในทันทีอันเป็นการร่วมกันกระทาการโดยแบ่งหน้าท่ีกันทา และจาเลยยอมรับ
การช่วยเหลือคุ้มกันนั้น แสดงว่าจาเลยมีเจตนาร่วมกับพวกต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการ
ปฏิบัติการตามหน้าท่ีด้วย แม้จาเลยจะมิได้เป็นผู้ยิงต่อสู้เจ้าพนักงานด้วยตนเอง ก็ถือว่าจาเลยเป็น
ตวั การร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่เพื่อหลีกเลี่ยง
การจับกมุ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๓๘ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๑๔๐ วรรคแรก และมาตรา ๘๓
191
ใหส้ นิ บนแกเ่ จ้าพนกั งาน, เจา้ พนกั งานเรยี กรบั สินบน
ข้อ ๔๔ คาถาม นายดาเป็นพนักงานราชการซึ่งไม่ได้เป็นข้าราชการแต่ได้รับแต่งตั้งให้ทา
หน้าที่หัวหน้าหน่วยพิทักษ์อุทยาน มีหน้าท่ีในการจับกุมผู้กระทาความผิดเกี่ยวกับป่าไม้ นายดา
จับกุมนายแดงพร้อมไม้และโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นของกลาง นายแดงขอให้นายดาปล่อยตัว
ไม่ดาเนินคดี โดยนายแดงจะให้เงินแก่นายดา ๕๐๐,๐๐๐ บาท นายดามอบโทรศัพท์เคล่ือนที่ให้
นายแดงโทรศัพท์ติดต่อไปยังนายม่วงให้นาเงินมามอบให้นายแดง โดยนายแดงแจ้งนายม่วงว่าจะนา
เงินไปให้ผู้ที่จับตนในข้อหาความผิดเกี่ยวกับป่าไม้ นายม่วงนาเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท มาให้นายแดงท่ี
ช้ันล่างของสถานีตารวจ นายแดงจึงนาเงินไปมอบให้แก่นายดาที่ชั้นบนโดยนายม่วงไม่ได้ขึ้นไปด้วย
ให้วินิจฉัยว่า การกระทาของนายแดงและนายม่วงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
ฐานใดหรอื ไมเ่ พียงใด
คาตอบ เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาน้ัน นอกจากบุคลซึ่งกฎหมายบัญญัติ
ให้เป็นเจ้าพนักงานแล้ว ยงั หมายความรวมถึงบุคคลซ่ึงได้รบั แต่งตั้งให้ปฏิบัตหิ น้าท่ีราชการไม่ว่า
จะเป็นประจาหรือครั้งคราวและไม่ว่าจะได้รับค่าตอบแทนหรือไม่ แม้นายดาจะไม่เป็นข้าราชการ
แต่การท่ีนายดาเป็นพนักงานราชการได้รับแต่งต้ังให้ทาหน้าท่ีหัวหน้าหน่วยพิทักษ์อุทยาน มีหน้าที่
ในการจับกุมผู้กระทาความผิดเก่ียวกับป่าไม้ ซึ่งได้รบั แต่งตง้ั ใหป้ ฏิบัตหิ นา้ ที่ราชการ นายดาจงึ เป็น
เจา้ พนกั งานผูม้ อี านาจสบื สวนคดอี าญาในความผิดเกย่ี วกับปา่ ไม้ (ฎีกาที่ ๘๓๑๕/๒๕๖๑)
ความรับผิดทางอาญาของนายแดง การที่นายแดงถกู จับกุม นายแดงขอให้นายดาปล่อยตัว
ไม่ดาเนินคดี โดยนายแดงจะให้เงินแก่นายดา ๕๐๐,๐๐๐ บาท การกระทาของนายแดงเป็น
ความผิดฐานขอให้สินบนแก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทาการอันมิชอบด้วยหน้าท่ีอันเป็น
ความผิดสาเร็จแลว้ บทหน่งึ
ต่อมานายแดงนาเงินไปมอบให้แก่นายดา เป็นความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานเพ่ือ
จูงใจให้กระทาการอนั มชิ อบด้วยหนา้ ท่ีอกี บทหนง่ึ
ความรบั ผิดทางอาญาของนายมว่ ง
ขณะท่ีนายแดงขอให้สินบนแก่นายดา เป็นการกระทาของนายแดงเพียงผู้เดียวโดย
นายม่วงมิได้มีส่วนเก่ียวข้องด้วย นายม่วงจึงไม่เป็นตัวการร่วมกับนายแดงกระทาความผิด
ฐานขอให้สินบนแก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทาการอันมิชอบด้วยหน้าที่ เพราะนายแดงและ
นายมว่ งไมม่ ีการกระทาร่วมกันในขณะท่นี ายแดงขอให้สนิ บน และนายม่วงไมเ่ ปน็ ผู้สนับสนุนนาย
แดงกระทาความผิดฐานขอให้สินบนฯ ด้วย เพราะการที่จะเป็นผู้สนับสนุนผู้อ่ืนกระทาความผิด
จะต้องเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะกระทาความผิด เน่ืองจากความผิด
ฐานขอให้สินบนของนายแดงสาเร็จไปแล้วเม่ือนายแดงขอให้สินบน การที่นายม่วงนาเงินมาให้
นายแดงหลังจากนายแดงกระทาความผิดสาเร็จแล้ว นายม่วงจึงไม่เป็นผู้สนับสนุนนายแดง
กระทาความผดิ ฐานขอให้สินบนฯ (เทยี บฎกี าท่ี ๘๖๒๓/๒๕๖๑)
การที่นายม่วงนาเงินมาให้นายแดงน้ัน นายม่วงไม่เป็นตัวการร่วมกับนายแดงในความผิด
192
ฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานเพ่ือจูงใจให้กระทาการอันมิชอบด้วยหน้าที่ เพราะนายม่วงนาเงิน
มามอบให้แก่นายแดงมิได้มอบให้แก่นายดาโดยตรง และขณะที่นายแดงให้สินบนแก่นายดา
นายม่วงมิได้อยู่กับนายแดง นายม่วงจึงไม่เป็นตัวการในการให้สินบนฯ เพราะไม่มีการกระทา
ร่วมกันขณะที่นายแดงให้สินบน แต่การกระทาดังกล่าวเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกใน
การท่ีนายแดงกระทาความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงานเพ่ือให้กระทาการอันมิชอบด้วยหน้าท่ี
เพราะเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนท่ีนายแดงจะให้สินบน นายม่วงจึงเป็น
ผู้สนบั สนุนนายแดงกระทาความผิดฐานใหส้ ินบนแก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจใหก้ ระทาการอันมชิ อบ
ด้วยหน้าท่ี (ฎีกาที่ ๓๙๐๐/๒๕๖๒)
ฎีกาที่ ๘๓๑๕/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๑๖๖ ความหมายของคาว่า เจา้ พนกั งานตาม ป.อ. นั้น
นอกจากกฎหมายระบุไว้ชัดว่าเป็นเจ้าพนักงานแล้ว ยังหมายความรวมถึงบุคคลซ่ึงได้รับแต่งตั้งให้
ปฏบิ ัตหิ น้าทร่ี าชการไม่ว่าจะเป็นประจาหรอื คร้ังคราวและไม่ว่าจะไดร้ ับค่าตอบแทนหรือไม่ ภ. ผูร้ ่วม
จับกุมจาเลยเป็นพนักงานราชการ ทาหน้าที่หัวหน้าหน่วยพิทักษ์อุทยาน มีหน้าท่ีในการจับกุม
ผู้กระทาความผดิ เก่ียวกับป่าไม้ ภ. จึงเป็นบุคคลทไี่ ด้รบั แต่งต้ังให้ปฏบิ ัติหนา้ ที่ราชการ มหี น้าทใ่ี นการ
จับกุมผู้กระทาความผิดเกี่ยวกับป่าไม้ ภ. จึงเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอานาจสืบสวนคดีอาญาในความผิด
เกี่ยวกับป่าไม้ การที่จาเลยสลัดเชือกหลุดแล้ววิ่งหลบหนี จึงเป็นการหลบหนีที่ถูกคุมขังตามอานาจ
ของเจ้าพนักงานผู้มีอานาจสืบสวนคดีอาญา ไม่จาต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิตามกฎหมาย
แก่จาเลยก่อนแต่อย่างใด จาเลยมีความผิดฐานหลบหนีระหว่างท่ีถูกคุมขังตามอานาจของ
เจา้ พนกั งานผมู้ อี านาจสบื สวนคดีอาญา
ฎีกาที่ ๘๖๒๓/๒๕๖๑ ฎ.๓๔๒๖ ขณะเกิดเหตุจาเลยท่ี ๒ เท่าน้ันท่ีเป็นผู้เสนอเงินสินบน
ให้แก่เจา้ พนักงานตารวจเพื่อให้ปล่อยตัวจาเลยที่ ๒ กับพวก โดยจาเลยที่ ๑ มิได้เป็นผู้ร่วมเสนอเงิน
สินบนให้แกเ่ จ้าพนักงานตารวจ จาเลยที่ ๑ เพิง่ จะขา้ มาเกย่ี วข้องโดยเปน็ ผู้นาเงนิ สินบนมามอบใหแ้ ก่
เจ้าพนักงานตารวจเท่าน้ัน การกระทาของจาเลยท่ี ๑ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการร่วมกระทาความผิดกับ
จาเลยที่ ๒ ในลักษณะของตวั การกระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๔
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๔ เป็นความผิดสาเร็จต้ังแต่จาเลยท่ี ๒ ให้หรือขอให้เงิน
สินบนแก่เจ้าพนักงานตารวจแล้ว การที่จาเลยที่ ๑ นาเงนิ สินบนมามอบให้แก่เจ้าพนักงานตารวจใน
ภายหลัง จึงไม่เป็นผู้สนับสนุนในการกระทาความผิดของจาเลยที่ ๒ เพราะการเป็นผู้สนับสนุนตาม
ป.อ. มาตรา ๘๖ จะตอ้ งเป็นการช่วยเหลือหรอื ใหค้ วามสะดวกในการที่ผ้อู ่ืนกระทาความผิดก่อนหรือ
ขณะกระทาความผิดเท่าน้นั
จาเลยที่ ๑ เป็นผู้นาเงินสินบนมามอบให้แก่เจ้าพนักงานตารวจเพื่อจูงใจให้เจ้าพนักงาน
ตารวจกระทาการอันมิชอบด้วยหน้าที่ด้วยการปล่อยตัวจาเลยท่ี ๒ ให้พ้นจากการจับกุม เป็นกรณีที่
จาเลยที่ ๑ กระทาความผิดแยกได้ต่างหากจากการกระทาความผิดของจาเลยที่ ๒ การกระทาของ
จาเลยที่ ๑ จึงเปน็ ความผิดฐานให้สนิ บนแก่เจา้ พนกั งาน
ฎีกาท่ี ๓๙๐๐/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๕ น.๔๑ เมื่อ ว. ถูกผู้เสียหายจับกุม ว. เป็นผู้เสนอจะให้
193
สนิ บนแกผ่ ู้เสยี หาย ผูเ้ สียหายมอบโทรศัพท์ท่ีถูกยดึ ไปคืนแก่ ว. เพ่ือให้ ว. โทรศัพทต์ ิดตอ่ ไปยังจาเลย
ให้นาเงินมามอบให้ ว. เพื่อ ว. นาไปมอบให้ผู้เสียหาย การกระทาดังกล่าวจาเลยไม่มีเจตนา
จะมีส่วนร่วมกระทาความผิดกับ ว. มาตั้งแต่ต้น คงนาเงินมาให้ตามท่ี ว. โทรศัพท์ไปเท่านั้น เมื่อ
เดินทางมาถึงก็นาเงินมอบให้ ว. มิได้ส่งมอบให้แก่ผู้เสียหายโดยตรง การกระทาของจาเลยจึงไม่ใช่
ตัวการ แต่เป็นเพียงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการท่ีผู้อ่ืนกระทาความผิด การกระทาของ
จาเลยจึงเป็นเพยี งผ้สู นับสนนุ ผูอ้ นื่ ให้กระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๘๖
ข้อ ๔๕ คาถาม นายดาถูกสิบตารวจตรีแดงเจ้าพนักงานตารวจจับกุมดาเนินคดีข้อหาเสพ
ยาเสพติดให้โทษ นายดาเสนอจะจ่ายเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทซ่ึงจะให้เพื่อนนามามอบให้เพื่อปล่อยตน
สิบตารวจตรีแดงตกลง นายดาจึงโทรศัพท์เล่าเรื่องให้นายม่วงฟังและขอให้นายม่วงนาเงินไปมอบ
ให้แก่สิบตารวจตรีแดง นายม่วงจึงนาเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท ไปมอบให้แก่สิบตารวจตรีแดง เม่ือ
สบิ ตารวจตรแี ดงรับเงินแล้วก็ปลอ่ ยนายดาไป
ใหว้ ินจิ ฉัยว่า นายดา นายม่วง และสิบตารวจตรแี ดง มคี วามผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
ฐานใดหรือไมเ่ พราะเหตุใด
คาตอบ ความรับผดิ ทางอาญาของนายดา
การท่ีนายดาเสนอจะจ่ายเงนิ ซ่ึงจะให้เพ่ือนนามามอบใหส้ ิบตารวจตรแี ดงเพือ่ ปลอ่ ยตน เป็น
การขอให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงาน เพ่ือจูงใจให้กระทาการอันมิชอบด้วยหน้าที่ นายดาจึงมี
ความผิดฐานขอให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๔ บทหนึ่ง
การท่ีนายดาขอให้นายม่วงนาเงินไปมอบให้แก่สิบตารวจตรีแดง เป็นการก่อให้ผู้อ่ืนกระทา
ความผิดด้วยการใช้ นายแดงจึงเป็นผู้ใช้ให้นายม่วงกระทาความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน
เพ่อื จงู ใจให้กระทาการอันมชิ อบด้วยหนา้ ท่ีตามมาตรา ๑๔๔ ประกอบมาตรา ๘๔ อีกบทหน่ึง
บุคคลท่ีให้สินบน เป็นบุคคลท่ีเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน
รับสินบน เพราะมีผู้รับย่อมต้องมีผู้ให้ ซ่ึงบุคคลท่ีเป็นองค์ประกอบของความผิด จะไม่มีความผิด
ท่ีตนเป็นองค์ประกอบ เว้นแต่มีกฎหมายเฉพาะบัญญัติไว้ เมื่อมีกฎหมายเฉพาะบัญญัติให้นายดา
มีความผิดฐานให้หรือยอมจะให้สินบนแก่เจ้าพนักงานดังท่ีวินิจฉัยมาแล้ว นายดาจึงไม่มีความผิด
ฐานเป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน สิบตารวจตรีแดงในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับหรือ
ยอมจะรบั ทรัพย์สินสาหรับตนเองโดยมิชอบ เพื่อกระทาการในตาแหน่งไม่ว่าการน้ันจะชอบหรือ
มิชอบด้วยหน้าทตี่ ามมาตรา ๑๔๙
ความรบั ผิดทางอาญาของนายมว่ ง
นายดาเท่านั้นทเ่ี ป็นผเู้ สนอเงินสินบนให้แก่สิบตารวจตรแี ดงเพ่ือให้ปลอ่ ยตวั นายดา โดยนาย
ม่วงมิได้เป็นผู้ร่วมเสนอเงินสินบนให้แก่สิบตารวจตรีแดง ความผิดของนายดาเป็นความผิดสาเร็จ
เมอื่ นายดาเสนอใหเ้ งินแก่สบิ ตารวจตรแี ดงแล้ว เมื่อนายมว่ งเพิ่งจะเขา้ มาเก่ียวข้องโดยเป็นผู้นาเงิน
194
สนิ บนมามอบให้แกเ่ จ้าพนักงานหลงั จากนายดากระทาความผิดสาเร็จแลว้ การกระทาของนายม่วง
ยงั ถือไม่ไดว้ ่าเป็นการรว่ มกระทาความผิดกับนายดาในลกั ษณะของตัวการในการกระทาความผิด
ตามมาตรา ๑๔๔ ประกอบมาตรา ๘๔ เพราะนายดาและนายม่วงไม่มีการกระทาร่วมกันขณะ
กระทาความผิด
เน่ืองจากความผิดตามมาตรา ๑๔๔ ของนายดาเป็นความผิดสาเร็จต้ังแต่นายดาขอให้
เงินสินบนแก่สิบตารวจตรีแดงแล้ว การที่นายม่วงนาเงินสินบนมามอบให้แก่สิบตารวจตรีแดงใน
ภายหลัง จึงไม่เป็นผู้สนับสนุนในการกระทาความผิดของนายดา เพราะการเป็นผู้สนับสนุนตาม
มาตรา ๘๖ จะต้องเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อ่ืนกระทาความผิดก่อนหรือ
ขณะกระทาความผิดเทา่ นัน้
แตก่ ารทนี่ ายมว่ งเป็นผูน้ าเงนิ สินบนมามอบให้แก่สิบตารวจตรีแดงเพือ่ จูงใจให้สิบตารวจตรี
แดงกระทาการอันมิชอบดว้ ยหน้าที่ด้วยการปลอ่ ยตัวนายดาใหพ้ ้นจากการจบั กมุ เปน็ กรณีที่นาย
ม่วงกระทาความผิดแยกได้ต่างหากจากการกระทาความผิดของนายดา การกระทาของนายม่วง
จงึ เปน็ ความผิดฐานใหส้ นิ บนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๔๔ (ฎีกาท่ี ๘๖๒๓ /๒๕๖๑)
ความรับผดิ ทางอาญาของสบิ ตารวจตรแี ดง
นายดาเสนอจะจ่ายเงินซึ่งจะให้เพื่อนนามามอบให้เพ่ือปล่อยตน สิบตารวจตรีแดงตกลง
เป็นกรณีที่สิบตารวจตรีแดงเจ้าพนักงานยอมจะรับทรัพย์สินสาหรับตนเองโดยมิชอบ เพ่ือกระทา
การในตาแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าท่ี สิบตารวจตรีแดงจงึ มีความผิดเป็นฐาน
เจ้าพนักงานยอมจะรับสนิ บนจากนายดาตามมาตรา ๑๔๙ บทหนงึ่
นอกจากนี้การที่สิบตารวจตรีแดงรับเงินจากนายม่วงแล้วก็ปล่อยนายดาไป เป็นกรณีที่
สิบตารวจตรีแดงเจ้าพนักงานรับทรัพย์สินสาหรับตนเองโดยมิชอบ เพ่ือกระทาการในตาแหน่ง
ไม่ว่าการน้ันจะชอบหรอื มิชอบด้วยหน้าท่ี สิบตารวจตรีแดงจึงมีความผิดเป็นฐานเจา้ พนักงานรับ
สินบนจากนายม่วงตามมาตรา ๑๔๙ อีกบทหนึง่
ข้อ ๔๖ คาถาม นายดาถูกดาบตารวจซ่ือกับพวกจับกุมพร้อมยาบ้าซ่ึงเป็นยาเสพติด
ให้โทษในประเภท ๑ จานวน ๑๐ เม็ด และเงินล่อซื้อ ๒,๐๐๐ บาท ส่งมอบให้พันตารวจโทตรง
พนักงานสอบสวน เมื่อนางแดงภรรยานายดาทราบ นางแดงจึงขอร้องให้ดาบตารวจซ่ือช่วยเหลือ
นายดาโดยเปล่ียนข้อหาจากมียาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ ไว้ในครอบครองเพ่ือจาหน่ายและ
จาหน่าย เป็นข้อหามียาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย โดยนางแดง
เสนอจะมอบเงินให้ดาบตารวจซ่ือ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ดาบตารวจซื่อทราบแล้วแสร้งเป็นอยากได้เงิน
และนัดนางแดงไปพบและนาเงินไปให้ท่ีรา้ นอาหาร แล้วดาบตารวจซื่อแจ้งพันตารวจโทตรงพนักงาน
สอบสวนถึงเร่ืองการเสนอให้เงินและการนัดรับเงินดังกล่าว ดาบตารวจซื่อและพันตารวจโทตรง
พร้อมเจ้าพนักงานตารวจจึงวางแผนจับกุมโดยไปรอที่นัดหมาย เม่ือนางแดงมาถึงดาบตารวจซ่อื ถาม
195
ว่าเงินพรอ้ มไหม นางแดงบอกว่าพร้อมแตย่ งั ไม่ทนั ได้มอบเงิน ดาบตารวจซอื่ และพนั ตารวจโทตรงกับ
พวกก็เข้าจับกุมนางแดงพร้อมยดึ เงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ในกระเปา๋ สะพายของนางแดง เป็นของกลาง
ให้วินจิ ฉัยว่า นางแดงมคี วามผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรอื ไม่เพยี งใด
คาตอบ นางแดงขอร้องให้ดาบตารวจซ่ือช่วยเหลือนายดาโดยเปล่ียนข้อหาจากมียาเสพติด
ให้โทษในประเภท ๑ ไว้ในครอบครองเพื่อจาหน่ายและจาหน่าย เป็นข้อหามียาเสพติดให้โทษ
ในประเภท ๑ ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย นางแดงเสนอจะมอบเงินให้ดาบตารวจซื่อ
๑๐๐,๐๐๐ บาท เป็นการขอใหท้ รัพย์สินแกด่ าบตารวจซ่ือและพันตารวจโทตรงเจ้าพนักงาน เพ่ือ
จูงใจให้กระทาการอันมิชอบด้วยหน้าท่ี เพราะเป็นการกระทาที่นางแดงมุ่งประสงค์ขอให้
ทรัพย์สินเพ่ือจูงใจให้ดาบตารวจซ่ือไปดาเนินการให้ผู้บังคับบัญชากระทาการอันมิชอบด้วย
หน้าท่ี การท่ีดาบตารวจซ่ือจะมีหน้าท่ีในการต้ังหรือเปล่ียนข้อหาแก่ผู้ต้องหาหรือไม่ จึงหาใช่
สาระสาคัญไม่ นางแดงจึงมีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๑๔๔ (ฎกี าที่ ๓๐๙๖/๒๕๕๒)
แม้นางแดงยังไม่ทันได้มอบเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แต่การขอให้โดยยังไม่ได้ให้ทรัพย์สิน
กเ็ ป็นความผิดสาเรจ็ เมือ่ ขอใหท้ รัพย์สนิ แล้ว
ฎีกาที่ ๓๐๙๖/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล.๗ น.๔๑ โจทก์บรรยายฟ้องว่า ดาบตารวจ ช. ได้จับกุม พ.
กับพวก ในความผิดฐานร่วมกันจาหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ และควบคุมตัวส่งพนักงาน
สอบสวน จาเลยทั้งสองให้ทรัพย์สินแก่ดาบตารวจ ช. ซ่ึงเป็นเจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทาการ
ปล่อยตัว พ. กับพวกซึ่งเป็นการกระทาอันมิชอบด้วยหน้าที่ แม้ในทางพิจารณาได้ความว่า จาเลย
ท้ังสองกระทาการเพ่ือจูงใจให้ดาบตารวจ ช. ดาเนินการช่วยเหลือ พ. กับพวก โดยเปลี่ยนข้อหา
ให้เบาลงก็ตาม ก็หาใช่ข้อแตกตา่ งในสาระสาคัญไม่ ทั้งน้ีเพราะไม่ว่าจะเป็นการให้ทรัพย์สินเพื่อจูงใจ
ใหป้ ล่อยตัวหรือเปล่ียนข้อหาก็ล้วนแต่เป็นการจงู ใจให้กระทาการอันมิชอบดว้ ยหนา้ ที่ซึ่งเป็นความผิด
ตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๔ เช่นเดียวกัน เมื่อจาเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมมีอานาจที่จะลงโทษจาเลย
ท้ังสองตามท่บี ญั ญัติไว้ใน ป.ว.ิ อ. มาตรา ๑๙๒ วรรคสอง ได้
การที่จาเลยทั้งสองไปติดต่อกับดาบตารวจ ช. เพ่ือขอให้ช่วยเหลือ พ. กับพวก โดยเปล่ียน
ข้อหาจากเดิมข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจาหน่ายและจาหน่าย เป็นข้อหา
ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น โดยเสนอให้เงินจานวน
๗๐,๐๐๐ บาท นั้น ย่อมเป็นการกระทาที่จาเลยทั้งสองมุ่งประสงค์ขอให้ทรัพย์สินเพื่อจูงใจ
ให้ดาบตารวจ ช. ไปดาเนินการให้ผู้บังคับบัญชากระทาการอันมิชอบด้วยหน้าที่ เม่ือพันตารวจตรี
ชช. ผู้บังคับบัญชาของดาบตารวจ ช. ทราบความประสงค์ของจาเลยทั้งสองจากดาบตารวจ ช. และ
วางแผนจับกุมโดยตอบตกลงและนัดหมายให้จาเลยท้ังสองนาเงินมอบให้และจับกุมจาเลยทั้งสองได้
พร้อมเงินของกลาง จึงถือได้ว่าจาเลยท้ังสองได้ขอให้ทรัพย์สินแก่ดาบตารวจ ช. และพันตารวจตรี
ชช. เพื่อจูงใจให้กระทาการอนั มิชอบด้วยหน้าท่ีอันเปน็ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๔ ดังน้ัน การที่
ดาบตารวจ ช. จะมีหน้าทีใ่ นการตง้ั หรอื เปลี่ยนขอ้ หาแก่ผู้ต้องหาหรือไม่ จงึ หาใชส่ าระสาคัญไม่
196
ข้อ ๔๗ คาถาม นายหมูไปฆ่าคนตายและถูกดาเนินคดีในศาล นายหมูจึงไปจ้างให้นายม้า
ไปวง่ิ เตน้ ผ้พู ิพากษาให้ยกฟ้อง แลว้ นายหมูมอบเงิน ๑๐ ล้านบาทใหแ้ ก่นายมา้
ใหว้ นิ จิ ฉัยวา่
ก. การกระทาเทา่ ทก่ี ลา่ วมา นายม้าและนายหมูมีความผิดฐานใด
ข. หากต่อมานายม้าไปเสนอจ่ายเงินให้ผู้พิพากษาเจ้าของสานวน แต่ผู้พิพากษาเจ้าของ
สานวนไม่ยอมรับเงนิ นายม้าและนายหมูมคี วามผดิ ฐานใด
คาตอบ ก. ความรับผิดทางอาญาของนายม้า การท่ีนายหมูจ้างให้นายม้าไปว่ิงเต้น
ผู้พิพากษาให้ยกฟ้อง แล้วนายหมูมอบเงิน ๑๐ ล้านบาทให้แก่นายม้า เป็นกรณีที่นายม้ารับเงิน
๑๐ ล้านบาทสาหรับตนเอง เพ่ือเป็นการตอบแทนในการท่ีจะจูงใจผู้พิพากษาให้ยกฟ้อง โดยวิธี
อันทุจริตและผิดกฎหมาย นายม้าจึงมีความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบนตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ แม้นายม้าจะยังไม่ได้นาเงินไปมอบให้แก่ผู้ใดก็เป็นความผิดสาเร็จ
ตามมาตรา ๑๔๓ แล้ว (๒ คะแนน) แต่นายม้าไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน
ในตาแหนง่ ตลุ าการตามมาตรา ๑๖๗ เพราะนายมา้ ยังไม่ได้ลงมือกระทาผิด (๑ คะแนน)
ความรบั ผิดทางอาญาของนายหมู การที่นายหมูมอบเงินจานวน ๑๐ ล้านบาทให้แก่นายม้า
นั้น ในความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบนตามมาตรา ๑๔๓ นายม้าเป็นผู้รับเงิน ก็ต้องมี
ผู้จ่ายเงินคือนายหมู ซ่ึงเป็นบุคคลท่ีเป็นองค์ประกอบความผิด บุคคลท่ีเปน็ องค์ประกอบความผิด
ไม่อาจเป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน ในการกระทาผิดได้ เว้นแต่กฎหมายบัญญัติความผิดไว้
โดยเฉพาะ เม่ือมีกฎหมายบัญญัติให้คนกลางเรียกรับสินบนมีความผิดตามมาตรา ๑๔๓ โดยไม่มี
กฎหมายบัญญัติให้ผู้จ่ายเงินให้แก่คนกลางเป็นความผิด นายหมูจึงไม่เป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือ
ผู้สนบั สนนุ นายม้ากระทาความผดิ ฐานเปน็ คนกลางเรยี กรับสินบนตามมาตรา ๑๔๓ (๒ คะแนน)
ส่วนความผิดฐานให้สินบนแกเ่ จ้าพนักงานในตาแหน่งตุลาการตามมาตรา ๑๖๗ นายหมูจ้าง
ให้นายม้าไปว่ิงเต้นผู้พิพากษาให้ยกฟ้อง แล้วนายหมูมอบเงินให้แก่นายม้าเป็นการก่อให้นายม้า
กระทาความผิดด้วยการจา้ ง เพราะเป็นการทาใหน้ ายม้าตัดสินใจกระทาความผิด นายหมจู ึงเป็น
ผู้ใช้ให้นายม้ากระทาความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานในตาแหน่งตุลาการตามมาตรา ๑๖๗
เม่ือนายม้ายังไม่ได้ไปวิ่งเต้นผู้พิพากษา ถือว่าความผิดท่ีใช้ยังมิได้กระทาลง นายหมูผู้ใช้จึงต้อง
ระวางโทษเพียงหน่ึงในสามของโทษที่กาหนดไว้สาหรับความผิดน้ันตามมาตรา ๘๔ วรรคสอง
(๑ คะแนน)
ข. การที่นายม้าไปเสนอจ่ายเงินให้ผู้พิพากษาเจ้าของสานวน เป็นการขอให้ทรัพย์สินแก่
เจ้าพนักงานในตาแหน่งตุลาการ โดยเจตนา เพื่อจูงใจให้กระทาการอันมิชอบด้วยหน้าที่
(๒ คะแนน) แม้ผู้พิพากษาเจ้าของสานวนไม่ยอมรับเงิน ก็ถือว่านายม้ากระทาผิดสาเร็จตาม
มาตรา ๑๖๗ แล้ว เพราะองค์ประกอบความผิดฐานนี้เพียงแต่ขอให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงาน
ในตาแหน่งตุลาการก็ถือว่าเป็นความผิดสาเร็จแล้ว (๑ คะแนน) เม่ือเป็นความผิดตามมาตรา
๑๖๗ ซ่ึงเปน็ บทเฉพาะแล้วกไ็ ม่ตอ้ งปรบั บทตามมาตรา ๑๔๔ ซงึ่ เป็นบททวั่ ไปอีก
197
การที่นายหมูจ้างนายม้าไปวิ่งเต้นผู้พิพากษาให้ยกฟ้อง เป็นการก่อให้นายม้ากระทา
ความผิดด้วยการจ้าง เมื่อนายม้าไปกระทาความผิดฐานให้สนิ บนแก่ข้าราชการตลุ าการตามมาตรา
๑๖๗ นายหมูผ้ใู ชจ้ ึงต้องรับโทษเสมอื นเป็นตัวการตามมาตรา ๘๔ (๑ คะแนน) นายหมูจึงเป็นผูใ้ ช้
ใหน้ ายมา้ กระทาความผิดฐานให้สนิ บนแก่ขา้ ราชการตุลาการตามมาตรา ๑๖๗
ขอ้ สังเกต คดีนี้หำกเปล่ียนคำถำมจำกนำยหมจู ้ำงนำยมำ้ เป็นนำยมำ้ ไปเสนอตัววำ่ จะไปวิ่งเต้นคดใี ห้
นำยหมู ควำมผิดจะเปล่ียนไปอยำ่ งไร ขอใหด้ คู ำถำมและคำตอบข้อถัดไป
ข้อ ๔๘ คาถาม นายหมูไปฆ่าคนตายและถกู ดาเนินคดีในศาล นายม้าทราบเร่ืองจึงเสนอตัว
กับนายหมูว่าจะไปว่ิงเต้นผู้พิพากษาให้ยกฟ้องโดยเรียกเงินจากนายหมู นายหมูมอบเงิน ๑๐ ล้าน
บาท ใหแ้ ก่นายม้า
ใหว้ ินจิ ฉยั วา่
ก. การกระทาเทา่ ทก่ี ล่าวมา นายหมูและนายมา้ มีความผิดฐานใด
ข. หากนายม้าไปเสนอจ่ายเงินให้ผู้พิพากษาเจ้าของสานวน แต่ผู้พิพากษาเจ้าของสานวน
ไมย่ อมรบั เงนิ นายหมแู ละนายมา้ มคี วามผิดฐานใด
คาตอบ ก. การท่ีนายม้าเสนอตัวว่าจะไปว่ิงเต้นผู้พิพากษาให้ยกฟ้องโดยเรียกเงินจาก
นายหมู ๑๐ ล้านบาท เป็นกรณีที่นายม้าเรียกรับเงิน ๑๐ ล้านบาทสาหรับตนเอง เพ่ือเป็นการ
ตอบแทนในการที่จะจูงใจผู้พิพากษาให้ยกฟ้อง โดยวิธีอันทุจริตและผิดกฎหมาย นายม้าจึง
มคี วามผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ แมน้ ายม้าจะ
ยงั ไม่ไดน้ าเงนิ ไปมอบให้แก่ผ้ใู ดกเ็ ป็นความผิดสาเร็จตามมาตรา ๑๔๓ แล้ว (๒ คะแนน)
ส่วนการที่นายหมูมอบเงินจานวน ๑๐ ล้านบาท ให้แก่นายม้านั้น ในความผิดฐานเป็น
คนกลางเรียกรับสินบนตามมาตรา ๑๔๓ นายม้าเป็นผู้รับเงิน ก็ต้องมีผู้ให้เงินคือนายหมูซึ่งเป็น
บคุ คลทีเ่ ป็นองคป์ ระกอบความผิด บคุ คลที่เป็นองค์ประกอบความผดิ ไมอ่ าจเป็นตัวการ ผ้ใู ช้ หรือ
ผู้สนับสนุน ในการกระทาผิดได้ เว้นแต่กฎหมายบัญญัติความผิดไว้โดยเฉพาะ เมื่อมีกฎหมาย
บัญญัติให้คนกลางเรียกสินบนมีความผิดตามมาตรา ๑๔๓ โดยไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ผู้จ่ายเงิน
ให้แก่คนกลางเป็นความผิด นายหมูจึงไม่เป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน นายม้ากระทา
ความผดิ ฐานเปน็ คนกลางเรยี กรบั สนิ บนตามมาตรา ๑๔๓ (๒ คะแนน)
ส่วนความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานในตาแหน่งตุลาการตามมาตรา ๑๖๗ แม้นายหมู
จะมอบเงินให้แก่นายม้า แต่การกระทาของนายหมูไม่เป็นการก่อให้นายม้ากระทาความผิดตาม
มาตรา ๑๖๗ เพราะเป็นเรื่องที่นายม้ามาเสนอตัวว่าจะไปกระทาความผิดถ้าได้เงินจากนายหมู
อนึ่ง แม้การท่ีนายหมูมอบเงินให้แก่นายม้าจะเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกนายม้ากระทา
ความผิดตามมาตรา ๑๖๗ แต่นายม้ายังไม่ได้ลงมือให้สินบนแก่ข้าราชการตุลาการ เมื่อ
การกระทาของนายม้ายังไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๑๖๗ นายหมูจงึ ไม่มีความผิดฐานสนับสนุน
198
นายม้ากระทาความผิด เพราะการเป็นผู้สนับสนุนต้องสนับสนุนการกระทาที่เป็นความผิดตาม
กฎหมายแล้ว (๑ คะแนน)
ข. การที่นายม้าไปเสนอจ่ายเงินให้ผู้พิพากษาเจ้าของสานวน เป็นการขอให้ทรัพย์สินแก่
เจ้าพนักงานในตาแหน่งตุลาการ โดยเจตนา เพ่ือจูงใจให้กระทาการอันมิชอบด้วยหน้าที่
(๒ คะแนน) แมผ้ ู้พพิ ากษาเจา้ ของสานวนไม่ยอมรับเงิน กถ็ ือวา่ นายม้ากระทาความผิดสาเร็จตาม
มาตรา ๑๖๗ แล้ว เพราะองค์ประกอบความผิดฐานนี้เพียงแต่ขอให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงาน
ในตาแหน่งตุลาการ ก็ถือว่าเป็นความผิดสาเร็จแล้ว (๑ คะแนน) เม่ือเป็นความผิดตามมาตรา
๑๖๗ ซ่งึ เป็นบทเฉพาะแลว้ กไ็ มต่ อ้ งปรบั บทตามมาตรา ๑๔๔ ซึ่งเปน็ บททั่วไปอกี
การที่นายหมูมอบเงินให้แก่นายม้า เป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกนายม้าก่อนกระทา
ความผิด เม่ือนายม้าไปกระทาผิดฐานให้สินบนแก่ข้าราชการตุลาการตามมาตรา ๑๖๗ นายหมูจึงมี
ความผดิ ฐานเปน็ ผ้สู นบั สนุนนายม้ากระทาความผิดตามมาตรา ๑๖๗ (๒ คะแนน)
ตัวอย่างคาตอบที่ ๑ การที่นายม้าเสนอตัวกับนายหมูว่าจะไปว่ิงเต้นผู้พิพากษาให้ยกฟ้อง
โดยเรียกเงนิ จากนายหมนู ้ัน เป็นการเรียกรบั ทรัพยส์ ินจากนายหมู เพ่ือเป็นการตอบแทนในการท่ีจะ
ได้จูงใจเจ้าพนักงานกระทาการโดยทจุ ริตผิดกฎหมาย ให้กระทาการในหน้าท่โี ดยมิชอบ เปน็ ความผิด
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๓ เพราะความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบนน้ี เป็น
ความผิดสาเรจ็ นบั แตใ่ นขณะทไี่ ด้เรียกรบั แลว้ แมย้ งั ไมน่ าไปให้เจา้ พนักงานกต็ าม (ได้ ๒ คะแนน)
สว่ นการท่ีนายหมูมอบเงิน ๑๐ ล้านบาท ให้แก่นายม้าเพ่ือนาไปว่ิงเต้นผูพ้ ิพากษาให้ยกฟ้อง
ในคดีท่ตี นถูกฟอ้ ง เปน็ การให้ทรัพย์สนิ แก่ผู้วา่ คดี (ที่ผิดคอื ขอ้ นี้ยังไม่ได้ให้ และขอ้ นี้ให้แก่ตุลาการ
ไม่ใช่ให้แก่ผู้ว่าคดีซึ่งเป็นผู้ฟ้องคดีในศาลแขวงเดิม ปัจจุบันเป็นอานาจของพนักงานอัยการ)
อันเป็นความผิดตามมาตรา ๑๖๗ แล้ว แม้ว่าจะไม่นาไปให้ผู้พิพากษา ซึ่งเป็นผู้ว่าคดีโดยตรงก็เป็น
ความผิดตามมาตราน้ีได้ แต่เมื่อนายม้ายังมิได้นาไปให้ผู้พิพากษา การกระทาจึงยังมิได้กระทาไปโดย
ตลอด ดังน้ันนายหมู จึงมีความผิดฐานพยายามให้สินบนเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๖๗ ประกอบ
มาตรา ๘๐ (๐ คะแนน)
นายหมูไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบนอีกตาม
มาตรา ๑๔๓ ประกอบมาตรา ๘๖ เพราะกฎหมายกาหนดความผิดของผู้ท่ีให้สินบนเจ้าพนักงานไว้
เป็นต่างหากแล้ว (ไม่ได้กล่าวถึงเหตุผลที่ว่า บุคคลท่ีเป็นองค์ประกอบความผิดไม่อาจเป็นตัวการ
ผูใ้ ช้ หรอื ผู้สนบั สนุน ในการกระทาผิดไดต้ ดั ๑ คะแนน ให้เพียง ๑ คะแนน)
ข. การท่ีนายม้านาเงินไปให้ผู้พิพากษา เพื่อให้ยกฟ้องคดีนายหมู เป็นการกระทาความผิด
ตามมาตรา ๑๖๗ สาเร็จแล้วนับแต่ให้ หรือขอให้ (ที่ปรับบทการกระทามาสองประการ คือ "ให้"
กับ "ขอให้" ข้อนี้เป็นความผิดสาเร็จนับแต่ "ขอให้" เพราะเมื่อ "ขอให้" แล้ว แม้ไม่รับก็ถือว่า
เป็นการ "ขอให้" อันเป็นความผิดสาเร็จแล้ว ถ้าปรับบทเรื่อง “ให้” ก็ต้องมีการรับจึงจะผิด
สาเร็จ เม่ือกฎหมายต้องการให้เป็นความผิดสาเร็จไม่ว่าจะรับหรือไม่รับ จึงบัญญัติให้มีการ
กระทาทั้งสองประการคือ "ให้" กับ "ขอให้" ถ้ารับแล้วก็ปรับบทเรื่องให้ ถ้ายังไม่รับก็ปรับบท
199
เรื่องขอให้ อันเป็นความผิดสาเร็จท้ังสองประการ) การที่เจ้าพนักงานจะยอมรับหรือไม่ยอมรับเงิน
ตามท่ีผู้ให้เสนอ ไม่ใช่เป็นองค์ประกอบของความผิดตามมาตรานี้ ดังน้ัน การที่ผู้พิพากษาไม่ยอมรับ
เงินไม่เปน็ เหตุใหก้ ารกระทาที่เปน็ ความผิดสาเร็จแล้ว กลบั เป็นเป็นเพยี งการพยายามกระทาความผิด
แต่อยา่ งใด (ประเดน็ นไ้ี ดเ้ พยี ง ๑ คะแนน)
เม่ือนายหมูเป็นคนนาเงินมอบให้นายม้าเพื่อไปให้เจ้าพนักงาน ย่อมเป็นการร่วมกระทา
ความผิดกับนายหมูด้วย ดังนั้น นายหมูและนายม้าจึงมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันให้สินบน
แก่เจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๖๗ ประกอบมาตรา ๘๓ (ข้อนี้เป็นผู้สนับสนุน ถ้าเป็นผู้ใช้ต้อง
ดคู าถามขอ้ ก่อนหน้า ประเด็นนี้ได้ ๐ คะแนน ไดร้ วม ๔ คะแนน)
ตัวอย่างคาตอบที่ ๒ (ก) กรณีนายม้า การที่นายม้าเสนอตัวกับนายหมูว่าจะไปว่ิงเต้น
ผู้พิพากษาให้ยกฟ้องโดยเรียกเงินจากนายหมูนั้น เป็นการเรียกทรัพย์สินสาหรับตนเองหรือผู้อ่ืน
เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจเจ้าพนักงานให้กระทาการในหน้าท่ีอันเป็นคุณแก่นายหมู
การกระทาของนายม้าจึงมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา ๑๔๓ (ขาดองค์ประกอบเรื่องโดยวิธีอันทุจริต
และผิดกฎหมาย มีแต่ปฏิบัติหน้าที่เป็นคุณก็น่าจะได้ ประเด็นนี้น่าจะเป็นเรื่องทุจรติ เพราะมีเรื่อง
เงิน จึงใหเ้ พยี ง ๑.๕ คะแนน)
ส่วนกรณีของนายหมู แม้นายหมูจะเป็นผู้ใช้ให้นายม้านาเงินไปให้ผู้พิพากษาก็ตาม
การกระทาของนายหมูก็ไม่เป็นความผิดใช้ให้ผู้อื่นกระทาความผิดตามป.อ.มาตรา ๑๔๓ ,๘๔ เพราะ
นายหมูเป็นองค์ประกอบความผิดของมาตรา ๑๔๓ นายหมูจึงไม่อาจเป็นผู้ใช้กระทาความผิดตาม
มาตรานี้ได้ (ไม่ตอบว่ามีผู้รับ ก็ต้องมีผู้ให้ ข้อน้ีนายหมูไม่น่าจะเป็นผู้ใช้ เพราะนายม้ามาติดต่อ
นายหมูเอง น่าจะเป็นประเด็นร่วมกันกระทา แต่สุดท้ายวินิจฉัยว่าไม่เป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือ
ผู้สนบั สนนุ ประเด็นน้ีให้ ๑.๕ คะแนน)
(ข) กรณีนายม้า การที่นายม้าไปเสนอจ่ายเงินให้ผู้พิพากษาเจ้าของสานวนนั้น เป็นการให้
(ข้อน้ีเป็นการ "ขอให้" ซ่ึงเป็นความผิดสาเร็จเม่ือขอให้ ไม่ใช่ "ให้") ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงาน
ในตาแหน่งตุลาการเพื่อจูงใจให้กระทาการอันมิชอบด้วยหน้าท่ี การกระทาของนายม้าจึงมีความผิด
ตามมาตรา ๑๖๗ แม้ผู้พิพากษาจะไม่ยอมรับเงินก็ตามก็เป็นความผิดสาเร็จแล้ว (ประเด็นท่ีตอบ
พลาดมาตดั ๑ คะแนนให้ ๒ คะแนน)
กรณีนายหมู การท่ีนายหมูใช้ให้นายม้านาเงินไปให้แก่ผู้พิพากษานั้น เมื่อนายม้าผู้ถูกใช้
ได้กระทาความผิดตามที่นายหมูใช้แล้ว นายหมู ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา ๑๖๗,
มาตรา ๘๔ วรรคสอง (ข้อนี้เป็นผู้สนับสนุนถ้าเป็นผู้ใช้ต้องดูคาถามข้อก่อน ประเด็นนี้ได้ ๐
คะแนน ไดร้ วม ๕ คะแนน)
ข้อสังเกต ดูคะแนนของตัวอย่ำงที่ตอบมำแล้ว อย่ำตกใจเพรำะข้อสอบไม่ได้มีประเด็นมำกมำย
อย่ำงนี้ทุกข้อ พยำยำมฝึกเขียนต่อไปเร่ือย ๆ จะเขียนได้ดีขึ้นแน่นอน หำกเจอข้อสอบท่ีมีประเด็น
น้อย ๆ เขียนตอบได้แน่นอน อำจมีคำถำมว่ำคำถำมบำงข้อในหนังสือเล่มน้ีมีหลำยประเด็น แต่
บำงข้อมีเพียง ๒ ประเด็น ทำไมแตกต่ำงกันมำกขนำดนี้ ก็ขอให้ลองฝึกทำคำถำมทุกรูปแบบ และ
200
จำกัดเวลำเขียนให้อยู่ใน ๒๔ นำทีเหมือนกัน เวลำเข้ำห้องสอบจริงข้อสอบก็จะหลำกหลำย บำงข้อ
ประเด็นน้อย บำงข้อประเด็นมำก แต่ทุกข้อ ๑๐ คะแนนเท่ำกัน เรำจะได้ฝึกจำกัดเวลำในกำรเขียน
ตอบขอ้ สอบด้วย
ตัวอย่างคาตอบท่ี ๓ ก. กรณีตามปัญหา นายม้าเสนอตัวกับนายหมูว่าจะไปวิ่งเต้น
ผู้พิพากษาให้ยกฟ้องในคดีที่นายหมูฆ่าคนตาย โดยเรียกเงินจากนายหมูและนายหมูมอบเงินให้ ๑๐
ล้านบาท ถือว่านายม้าเรียกรับเอาทรัพย์สินสาหรับผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการท่ีจะจูงใจ
เจ้าพนักงาน โดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมาย ให้กระทาการในหน้าท่ีอันเป็นคุณแก่นายหมู อันเป็น
ความผิดสาเร็จฐานคนกลางเรียกรับสินบนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ แล้ว แม้ว่า
นายม้าจะยังไม่ได้นาเงินไปให้ผู้พิพากษาก็ตาม (๒ คะแนน) เม่ือข้อเท็จจริงตามปัญหาไม่ปรากฏว่า
นายม้าได้นาเงินไปให้หรือเสนอว่าจะให้ผู้พิพากษา นายม้าจึงไม่ต้องรับผิดตามมาตรา ๑๖๗ (ไม่ได้
กล่าวถึงเรื่องนายหมูไม่เป็นผู้ใช้และไม่เป็นผู้สนับสนุนการกระทาผิดตามมาตรา ๑๖๗ คะแนน
ส่วนน้ีหายไป) ส่วนการที่นายหมูได้มอบเงินให้แก่นายม้า ๑๐ ล้านบาทเพื่อที่จะให้นายม้าไปว่ิงเต้น
ผู้พิพากษาให้ยกฟ้องนั้น ไม่เป็นการสนับสนุนให้นายม้ากระทาความผิดตามมาตรา ๑๔๓ เพราะว่า
นายหมูเป็นผู้ให้อันเป็นองค์ประกอบในการกระทาความผิดของผู้รับคือนายม้า (นายหมูเป็น
necessary participator) ซ่ึงกฎหมายไม่ประสงค์ที่จะให้ลงโทษผู้ให้ในฐานสนับสนุนความผิดฐานน้ี
นายหมูจึงไม่ต้องรับผิดอาญาฐานใดเลย (ท่ีตอบว่าไม่ประสงค์จะลงโทษฐานสนับสนุนนั้น
ข้อเท็จจริงฝ่ายแรกเรียกและรับ อีกฝ่ายถูกเรียกและให้ ก็มีการกระทาร่วมกัน แต่ไม่อาจเป็น
ตัวการหรือผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนได้ ซึ่งจุดสาคัญคือเป็นตัวการไม่ได้ แต่ตอบมาเพียงเป็น
ผสู้ นับสนุนไมไ่ ดป้ ระเด็นนี้ใหเ้ พยี ง ๑.๕ คะแนน)
ข. กรณีตามปัญหา ถ้าหากนายม้านาเงินไปเสนอจ่ายให้ผู้พิพากษาเจ้าของสานวน แต่
ผู้พิพากษาเจ้าของสานวนไม่ยอมรับเงิน ก็ถือว่านายม้าเรียก รับเอาทรัพย์สินสาหรับผู้อื่น เป็นการ
ตอบแทนในการที่จะจูงใจเจ้าพนักงานโดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมาย ให้กระทาการในหน้าท่ีอัน
เป็นคุณแก่นายหมู อันเป็นความผิดสาเร็จฐานคนกลางเรียกรับสินบนตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๑๔๓ แล้ว (ข้อความท่ีตัดออกเพราะไม่จาเป็นต้องนามาปรับบท) แม้ว่าผพู้ ิพากษาเจ้าของ
สานวนจะไม่ยอมรับเงิน และการกระทาของนายม้ายังเป็นการให้ขอให้ (ที่ถูก เป็นการ"ขอให้"
ไม่ใช่ "ให้") ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานในตาแหน่งตุลาการเพ่ือจูงใจให้กระทาการ อันมิชอบด้วย
หน้าท่ีอันเป็นความผิดสาเร็จตามมาตรา ๑๖๗ แล้ว แม้ว่าผู้พิพากษาเจ้าของสานวนจะไม่ยอมรับเงิน
กต็ าม (๒.๕ คะแนน) ส่วนการกระทาของนายหมูทีไ่ ด้มอบเงินให้แก่นายมา้ ๑๐ ลา้ นบาทเพื่อที่จะให้
นายม้าไปวิ่งเต้นผู้พิพากษาให้ยกฟ้องน้ัน เป็นการให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนที่
นายม้าจะกระทาความผิดให้สินบนเจ้าพนักงานในตาแหน่งตุลาการ เม่ือการกระทาของนายม้า
เป็นความผิดตามมาตรา ๑๖๗ นายหมูจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา ๑๖๗ ประกอบ
มาตรา ๘๖ (ประเด็นนใ้ี ห้ ๑.๕ คะแนน)
ข้อเสนอแนะ ไม่ควรใช้คำว่ำ "ฐำนเป็นผู้สนับสนุนตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๑๖๗