สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษา
และ
เหตผุ ลในการวนิ ิจฉัยคดี
ศาลอุทธรณ
์
และ
สำนักงานศาลยุติธรรม
คำนำในการจดั พิมพ์ครัง้ ที่ ๒
สืบเนื่องมาจากหนังสือ “สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการ
วินิจฉัยคดี” ซึ่งศาลอุทธรณ์และสำนักงานศาลยุติธรรมได้จัดพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในป ี
๒๕๕๒ นั้น ได้รับความสนใจจากผู้พิพากษาจำนวนมากท่ีเห็นว่าหนังสือดังกล่าวมีเน้ือหาท่
ี
เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานเป็นอย่างย่ิง จนทำให้หนังสือหมดลงอย่างรวดเร็ว และมีการ
เรียกร้องให้จัดพิมพ์ ซ่ึงศาลอุทธรณ์ได้รับความอนุเคราะห์จากสำนักงานศาลยุติธรรม
ดำเนินการจัดพิมพ์หนังสือดังกล่าวเพ่ือเผยแพร่ให้แก่ผู้พิพากษาขึ้นเป็นคร้ังที่ ๒ เพื่อใช
้
ประกอบเป็นแนวทางในการเรียงคำพิพากษาให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพมากข้ึน สามารถ
อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้พิพากษาในการเพ่ิมพูนความรู้ ความเข้าใจ และยึดถือใช้เป็นหลัก
พื้นฐานในการเรียงคำพิพากษาท่ีกอปรไปด้วยเหตุผลยุติธรรมตามหลักกฎหมายที่ชัดแจ้ง
ไม่คลุมเครือ รวมทั้งสามารถนำลีลาการใช้ภาษาไทยท่ีสละสลวยมาประยุกต์ใช้ในการเรียง
คำพิพากษา ก่อให้เกิดทักษะและความสามารถในการเรียงคำพิพากษาให้เป็นที่ยอมรับและ
ศรทั ธาจากคูค่ วามรวมทั้งประชาชนท่ัวไปในผลแหง่ คำพิพากษาน้ันได้
ศาลอุทธรณ์ขอขอบคุณนางสาวดุษฎี ห๎ลีละเมียร ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา ซึ่งเป็น
บรรณาธิการหนังสือนี้ในขณะดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ท่ีกรุณาปรับปรุง
เน้ือหาในการพิมพ์คร้ังน้ีให้สมบูรณ์ยิ่งข้ึน และศาลอุทธรณ์หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มน
ี้
จะยังประโยชน์ในการเป็นคู่มือสนับสนุนการเรียงคำพิพากษาของผู้พิพากษาในทุกชั้นศาล
เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้แกป่ ระชาชนได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและประสิทธิผลสบื ไป
(ศาสตราจารย์พเิ ศษชัยสิทธ ์ิ ตราชูธรรม)
ประธานศาลอุทธรณ
์
๒ สงิ หาคม ๒๕๕๔
คำนำในการจัดพมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒
ประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการ หมวด ๒ จริยธรรมเก่ียวกับการปฏิบัติหน้าท่
ี
ในทางอรรถคดี ข้อ ๑๒ วรรคสอง บัญญัติว่า “คำพิพากษาและคำสั่ง จักต้องมีคำวินิจฉัยท
ี่
ตรงตามประเด็นแห่งคดี ให้เหตุผลแจ้งชัดและสามารถปฏิบัติตามนั้นได้ การเรียงคำพิพากษา
และคำสัง่ พงึ ใช้ภาษาเขียนทด่ี ี ใช้ถอ้ ยคำในกฎหมาย ใชโ้ วหารทีร่ ัดกุม เข้าใจงา่ ย และถกู ตอ้ ง
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน....” กล่าวคือ การเรียงคำพิพากษาของตุลาการเป็น
หนา้ ทส่ี ำคญั ยงิ่ ทต่ี อ้ งใชค้ วามพถิ พี ถิ นั และความเอาใจใส่ ประกอบกบั ทกั ษะในการใชภ้ าษาไทย
เพอื่ ให้ไดค้ ำพิพากษาท่ีอำนวยความยุตธิ รรมสงู สุดแกค่ คู่ วาม
จากการท่ีศาลอุทธรณ์และสำนักงานศาลยุติธรรมได้ดำเนินการจัดพิมพ์หนังสือ
เร่ือง สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี ซึ่งพิมพ์เผยแพร
่
คร้ังแรกในปี ๒๕๕๒ นั้น นับเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานของตุลาการในด้านการอำนวย
ความยุติธรรม โดยหนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมความรู้ทั่วไปในการเรียงคำพิพากษา เหตุผลใน
การวนิ จิ ฉยั คดี สำนวนโวหารทางกฎหมายและคำพพิ ากษา หลกั การใชภ้ าษาไทยในคำพพิ ากษา
โดยมีตัวอย่างคำพิพากษาและคำสั่งในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่เป็นแบบอย่างในการ
เขียนคำพิพากษา รวมทั้งภาคผนวกท่ีเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าท่ีในทางอรรถคด
ี
ของผู้พิพากษา การพิมพ์เผยแพร่ครั้งท่ี ๒ ได้มีการเพ่ิมบทความเรื่อง การใช้ราชาศัพท์
ในกฎหมาย ของท่านศาสตราจารย์ธานนิ ทร ์ กรัยวเิ ชียร และบทความเร่ือง สำนวนโวหารใน
ทางกฎหมายและคำพิพากษา ของท่านสมบูรณ์ บุญภินนท์ ด้วย จึงทำให้หนังสือดังกล่าว
มีความสมบูรณแ์ ละเปน็ ประโยชน์ตอ่ การเรยี งคำพิพากษาของผพู้ พิ ากษามากข้ึน
ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณนางสาวดุษฎี ห๎ลีละเมียร ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
บรรณาธิการหนังสือเล่มนี้ ที่ได้รวบรวมและพิจารณาบทความเพิ่มเติมในการพิมพ์เผยแพร่
คร้งั ท่ี ๒ และขอขอบคณุ ทกุ ท่านท่มี สี ว่ นร่วมในการจัดทำหนงั สือเล่มนจี้ นสำเรจ็ ลุลว่ งด้วยด
ี
สำนกั งานศาลยตุ ธิ รรมหวงั เปน็ อยา่ งยง่ิ วา่ หนงั สอื เลม่ นจ้ี ะเปน็ ประโยชนส์ งู สดุ ในการใช
้
เป็นคมู่ อื ท่ชี ว่ ยเสรมิ สร้างการอำนวยความยตุ ิธรรมของศาลยตุ ธิ รรมสบื ไป
(นายวิรชั ชินวนิ ิจกุล)
เลขาธกิ ารสำนักงานศาลยตุ ธิ รรม
๑๙ เมษายน ๒๕๕๔
คำนำในการจัดพิมพ์ครงั้ แรก
การเรยี งคำพพิ ากษาเปน็ งานในหนา้ ทข่ี องตลุ าการทสี่ ำคญั ทสี่ ดุ เพราะเปน็ การวนิ จิ ฉยั ช
้ี
ขาดของศาลวา่ จะตดั สนิ คดอี ยา่ งไร และใหฝ้ า่ ยใดเปน็ ผชู้ นะคดี คำพพิ ากษาทด่ี ที ส่ี ดุ นนั้ จะเรยี ง
อยา่ งไรกต็ าม จะตอ้ งใหค้ คู่ วามทกุ ฝา่ ยหายสงสยั หายขอ้ งใจในคดนี น้ั ๆ วา่ เหตใุ ดศาลจงึ วนิ จิ ฉยั
เช่นนั้น จึงเป็นเรื่องท่ียากย่ิงสำหรับผู้พิพากษา เพราะจะต้องใช้ความละเอียดถ่ีถ้วนในการ
พเิ คราะหค์ ำพยานทง้ั สองฝา่ ย ซง่ึ จะตอ้ งใชส้ ตปิ ญั ญาและความสามารถเปน็ อยา่ งมากในการทจี่ ะ
ยกเหตผุ ลขน้ึ มาปรบั แกค่ ดใี หก้ ระจา่ งชดั รดั กมุ ถกู ตอ้ ง ยตุ ธิ รรม และสมเหตสุ มผล การเรยี งคำ
พพิ ากษามใิ ชเ่ ปน็ เพยี งเรอื่ งของเทคนคิ ในการนำกฎหมายและเหตผุ ลมาปรบั ใชแ้ กข่ อ้ เทจ็ จรงิ ใน
แตล่ ะคดี เปน็ ทย่ี อมรบั กนั โดยทว่ั ไปวา่ การทจี่ ะทราบถงึ ฝมี อื และความสามารถของผพู้ พิ ากษาที่
ดที ีส่ ุดทางหน่งึ ก็คอื การได้อ่านคำพิพากษาของผ้พู พิ ากษาทา่ นนน้ั ๆ ดังนั้น ผลงานทจ่ี ะเป็น
เกียรติประวัติติดตัวผู้พิพากษาก็คงไม่พ้นคำพิพากษาของแต่ละท่าน งานเรียงคำพิพากษาจึง
เปน็ งานทส่ี มควรไดร้ บั การเอาใจใสแ่ ละพถิ พี ถิ นั มากสำหรบั ผเู้ ปน็ ตลุ าการทกุ ศาล แตก่ ารทจ่ี ะม
ี
ลีลาแห่งการเรียงคำพิพากษาซ่ึงมีห้วงเหตุและห้วงผลผสมผสานสอดคล้องกับหลักกฎหมาย
ตลอดทง้ั เหตผุ ลและสามญั สำนกึ ทอี่ ยใู่ นตวั บคุ คลจนสามารถถา่ ยทอดออกมาอยา่ งสละสลวยเปน็
ทย่ี อมรบั และเชอื่ ถอื ในผลแหง่ คำพพิ ากษาไดน้ นั้ ยอ่ มขน้ึ อยกู่ บั ผพู้ พิ ากษาแตล่ ะทา่ นจะมที กั ษะ
และความสามารถในการใช้ภาษาไทยในคำพิพากษาอยา่ งไร
ศาลอุทธรณ์มีแผนงานท่ีจะเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ผู้พิพากษาในศาลอุทธรณ์ ทั้งน้ี เพื่อ
อำนวยความสะดวกในการเรยี งคำพพิ ากษาใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ เนอ่ื งจากเลง็ เหน็ ถงึ ความสำคญั
ของการทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีคุณภาพมากขึ้น สามารถใช้เป็นแนวปฏิบัติแก่ศาล
อุทธรณ์ในระดับเดียวกันและศาลช้ันต้น ตลอดทั้งคู่ความผู้มอี รรถคดี นักศึกษากฎหมาย และ
ประชาชนท่ัวไปจะได้ยึดถือเป็นหลักอย่างถูกต้องและชัดเจน จึงมีคำส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการ
จัดทำหนังสือ “สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี” เพื่อนำ
บทความตา่ ง ๆ อนั เกย่ี วกบั การเรยี งคำพพิ ากษา เหตผุ ลในการวนิ จิ ฉยั คดี และการใชภ้ าษาไทย
ซง่ึ มผี ทู้ รงคณุ วฒุ เิ ผยแพรไ่ วแ้ ลว้ มารวมไวใ้ นเลม่ เดยี วกนั ตลอดทงั้ ไดร้ วบรวมคำพพิ ากษาศาล
อทุ ธรณท์ มี่ กี ารพเิ คราะหห์ รอื วนิ จิ ฉยั คดดี ว้ ยเหตผุ ลทก่ี ระจา่ งชดั รดั กมุ และสมเหตสุ มผลโดยม
ี
ลีลาแห่งการเรียงคำพิพากษาท่ีสละสลวยและถูกต้องตามหลักการใช้ภาษาไทยเข้าไว้เป็นส่วน
หนง่ึ ของหนงั สอื นอกจากนี้ ยงั จดั ทำภาคผนวกเกยี่ วกบั ความรภู้ าษาไทยทเี่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ การ
เรยี งคำพพิ ากษาไวด้ ว้ ย เพอ่ื ใหผ้ พู้ พิ ากษาในศาลอทุ ธรณใ์ ชเ้ ปน็ พนื้ ฐานในการเรยี งคำพพิ ากษา
ศาลอุทธรณ์หวังเป็นอย่างย่ิงว่าหนังสือเล่มน้ีจะเป็นประโยชน์สมดังความมุ่งหมายและ
สามารถใชเ้ ปน็ คมู่ อื ในการเรยี งคำพพิ ากษาของผพู้ พิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ ผพู้ พิ ากษาศาลอทุ ธรณ
์
ภาค และผพู้ ิพากษาทง้ั มวลสืบไป
(นายอดศิ กั ด์ ิ ทมิ มาศย)์
ประธานศาลอุทธรณ
์
๒๙ กนั ยายน ๒๕๕๒
คำนำในการจัดพิมพ์ครงั้ แรก
ในการเรียงคำพิพากษา หากมีคู่มือช่วยทำให้การจัดทำคำพิพากษาเป็นไปอย่าง
สละสลวย รัดกุม ถูกต้อง และมีมาตรฐานเดียวกัน ตลอดทั้งทรงคุณค่าด้วยเหตุผลและหลัก
กฎหมายอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีอัน
จะเปน็ การอำนวยความยตุ ธิ รรมสงู สดุ แกค่ คู่ วาม นอกจากน้ี ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำสง่ั ในรปู
คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ยังเป็นแบบอย่างในการเขียนคำพิพากษาให้แก่ผู้พิพากษาได้เป็น
อยา่ งดี สำนกั งานศาลยตุ ธิ รรมตระหนกั ถงึ เจตนารมณใ์ นการจดั ทำหนงั สอื “สำนวนโวหารในการ
เรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคด”ี ทั้งเล็งเห็นถึงประโยชน์ต่อการทำงานในหน้าท
ี่
ของตลุ าการ จงึ เหน็ สมควรใหก้ ารสนบั สนนุ ดา้ นงบประมาณสำหรบั การจดั พมิ พห์ นงั สอื เลม่ นแ้ี ก่
ศาลอุทธรณ์ ท้ังนี้ เพ่ือเผยแพร่หนังสือที่มีคุณค่าต่อการเรียงคำพิพากษาแก่ผู้พิพากษาใน
ศาลอทุ ธรณ์ ศาลอทุ ธรณภ์ าค และศาลชนั้ ตน้
ณ โอกาสนี้ ขอขอบคณุ นางสาวดษุ ฎ ี หล๎ ีละเมยี ร ผชู้ ่วยผูพ้ ิพากษาศาลอทุ ธรณแ์ ผนก
คดีเยาวชนและครอบครวั ท่ีไดท้ ุม่ เทอทุ ศิ เวลารวบรวมและจัดทำหนงั สอื “สำนวนโวหารในการ
เรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัย” มอบให้แก่ศาลอุทธรณ์และสำนักงานศาล
ยตุ ธิ รรม ทงั้ ขอขอบคณุ คณะผจู้ ดั ทำทกุ ทา่ นทมี่ สี ว่ นรว่ มในการจดั ทำหนงั สอื เลม่ นจ้ี นสำเรจ็ ลลุ ว่ ง
ไปดว้ ยด
ี
สำนักงานศาลยุติธรรมหวังเป็นอย่างย่ิงว่าหนังสือเล่มน้ีจะเป็นคู่มือช้ินสำคัญท่ีช่วย
เสรมิ สรา้ งงานในการอำนวยความยตุ ธิ รรมของศาลยตุ ธิ รรมสบื ไป
(นายวริ ชั ชินวนิ ิจกุล)
เลขาธิการสำนกั งานศาลยตุ ธิ รรม
๘ ตุลาคม ๒๕๕๒
สารบัญ
สว่ นที่ ๑
ความรู้ท่ัวไปเกย่ี วกับการเรียงคำพิพากษา
การใชเ้ หตุผลในการวินิจฉัยคด
ี
และ
การใชภ้ าษาไทยในคำพพิ ากษา
หน้า
พระราชดำรัส ๓
ประมวลจริยธรรมขา้ ราชการตุลาการ ๔
ชวี ิตของคำพิพากษา คือ ประสบการณ์ ตรรกวิทยา และภาษาศลิ ป์ ๕
ข่าวศาลเก่ียวกับขอ้ แนะนำในการเรยี งคำพพิ ากษา ๗
โวหารกรมพระสวสั ดิ์ฯ ๘
การเรยี งคำพพิ ากษา ๙
ศาสตราจารยธ์ านนิ ทร์ กรัยวิเชยี ร
ข้อสงั เกตในการเขียนคำพิพากษา ๑๗
ศาสตราจารย์จิตติ ตงิ ศภทั ิย ์
ข้อสงั เกตในการเรียงคำพิพากษา ๑๙
ท่านเธยี ร เจรญิ วฒั นา
ข้อสงั เกตในการทำคำพพิ ากษา ๒๑
“ประณีต”
เหตผุ ลในการวนิ ิจฉัยคดี ๓๒
ศาสตราจารยว์ ิชา มหาคุณ
หน้า
เรื่องถ้อยคำสำนวน
หลวงการณุ ยน์ ราทร
๕๐
สำนวนโวหารในทางกฎหมายและการใชภ้ าษาไทยในงานเขียนคำพพิ ากษา
หรอื คำสงั่ ๕๒
ท่านเธยี ร เจรญิ วฒั นา
๖๓
สำนวนโวหารในทางกฎหมายและคำพิพากษา
ท่านสมบูรณ์ บญุ ภนิ นท์
๗๑
การเรยี งคำพิพากษาและการใชค้ ำวา่ กับ แก่ แต่ ตอ่ ๗๕
ท่านประเสริฐ บญุ ศรี
ข้อสังเกตเกี่ยวกบั การใช้ภาษาไทยในคำพิพากษา
ท่านดษุ ฎี หล๎ ีละเมยี ร
สารบญั
ส่วนที่ ๒
ตัวอยา่ งการใช้เหตุผลในการวนิ จิ ฉยั คด
ี
และ
การใชภ้ าษาไทยในการเรยี งคำพิพากษา
และคำส่ังในรูปคำพิพากษา
ของศาลอทุ ธรณ
์
หน้า
บทนำ ๑๑๑
ตัวอย่างคำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์และตวั อยา่ งคำสัง่ ในรปู คำพพิ ากษาศาลอุทธรณ
์
ในคดแี พง่
คำพพิ ากษา
ตวั อย่างคดีขอแบง่ ทรพั ย ์
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๑๒๑๑/๒๕๕๑ ๑๑๕
ตัวอย่างคดีขอแสดงกรรมสทิ ธท์ิ ดี่ นิ
๑๑๘
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๖๕๖/๒๕๕๐
ตัวอยา่ งคดีขับไล
่ ๑๒๑
๑. คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๑๘๘/๒๕๔๘ ๑๒๓
๒. คำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๕๖๑/๒๕๔๘ ๑๒๖
๓. คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ่ี ๒๐๔๔/๒๕๕๑
ตวั อยา่ งคดคี ำสัง่ ทางปกครอง ละเมิด พระราชบญั ญตั คิ วามรบั ผดิ ทางละเมิดของ
เจา้ หนา้ ท
่ี
คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๑๔๐/๒๕๕๒ ๑๒๙
ตัวอย่างคดีจ้างทำของ หน้า
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๗๒๑๘/๒๕๔๘
ตัวอยา่ งคดีจำนำ ประมวลรัษฎากร
๑๓๖
คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๖๒๗๓/๒๕๕๐ ๑๔๑
๑๔๔
ตวั อยา่ งคดีเชา่ ซ้ือ ประกัน
๑๔๖
๑. คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๘๖๑๓/๒๕๔๘ ๑๔๙
๒. คำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๕๙๗๗/๒๕๔๙ ๑๕๒
๑๕๖
ตวั อยา่ งคดเี ชา่ ทรพั ย์ ขบั ไล่
๑๕๙
คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๔๕๙๕/๒๕๔๙ ๑๖๑
๑๖๕
ตัวอย่างคดเี ชา่ ทรัพย์ สญั ญา ขบั ไล่ ละเมดิ
๑๖๙
คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๑๒๙๓/๒๕๕๑ ๑๗๓
๑๘๑
ตวั อย่างคดซี ือ้ ขาย
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๕๔๐/๒๕๔๘
ตัวอย่างคดีซ้อื ขาย ตวั แทน
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๗๑๔๘/๒๕๕๐
ตัวอย่างคดีทางสาธารณะ
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๑๒๑๐/๒๕๕๑
ตัวอยา่ งคดีท่ดี นิ การครอบครองปรปักษ์
คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๗๘๖/๒๕๕๐
ตวั อยา่ งคดที ี่ดิน ขบั ไล่
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๒๓๑๐/๒๕๔๗
ตวั อย่างคดีบรษิ ัท
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๙๗๑๐/๒๕๕๑
ตัวอยา่ งคดบี ญั ชเี ดินสะพัด ยืม จำนอง
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๒๔๕๖/๒๕๔๘
หนา้
ตัวอย่างคดีปกครอง (เรียกค่าทดแทนท่ีดนิ )
๑๘๔
๑. คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๕๖๕๙/๒๕๔๗ ๑๘๘
๒. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๒๔๐๒/๒๕๕๑
ตวั อยา่ งคดีผดิ สญั ญาประกัน
๑๙๕
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๖๖๗๐/๒๕๔๘
ตวั อย่างคดีพระราชบญั ญตั ิอาคารชดุ
๑๙๙
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๗๖๒๕/๒๕๔๕
ตวั อยา่ งคดเี พกิ ถอนนิติกรรม
๒๐๑
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๓๐๗/๒๕๕๒
ตวั อย่างคดภี าระจำยอม
๒๐๔
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณท์ ่ี ๑๐๕๐๑/๒๕๕๑
ตวั อย่างคดีภาระจำยอม ทางจำเปน็
๒๐๗
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๕๕๙๗/๒๕๕๑
ตัวอย่างคดีภาระจำยอม ละเมิด
๒๑๐
๑. คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๙๕๖๔/๒๕๔๘ ๒๑๔
๒. คำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๖๘๕๖/๒๕๔๙
ตวั อย่างคดมี รดก
๒๑๙
คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๙๒๕๗/๒๕๕๐
ตวั อย่างคดียมื
๒๒๕
๒๒๖
๑. คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๒๔๖๔/๒๕๔๘
๒. คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๗๐๙๓/๒๕๔๘
ตัวอย่างคดยี มื คำ้ ประกัน (ตามพระราชกำหนดการปฏิรปู ระบบสถาบนั การเงิน
พ.ศ. ๒๕๔๐)
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๗๓๗๖/๒๕๔๘ ๒๒๘
ตัวอย่างคดีเรยี กทรัพยค์ ืน
หนา้
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๖๙๐๘/๒๕๔๙
๒๓๔
ตัวอย่างคดีละเมิด
๒๓๖
คำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๓๗๘๐/๒๕๔๘
๒๔๐
ตวั อย่างคดสี ัญญา ๒๔๑
๑. คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๕๖๑๖/๒๕๔๙ ๒๔๔
๒. คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๖๖๕๗/๒๕๔๙ ๒๔๗
๓. คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ่ี ๕๐/๒๕๕๑
๒๕๑
ตวั อย่างคดสี ัญญา ตัว๋ เงิน ประกนั
๒๕๒
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ่ี ๓๘๕๔/๒๕๔๘ ๒๕๕
๒๕๖
คำส่ังในรปู คำพพิ ากษา
๒๕๙
๒๖๐
ตวั อยา่ งคดขี อจัดการมรดก
๒๖๒
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๙๗๘/๒๕๔๖
ตวั อยา่ งคดีขอถอนผู้จดั การมรดก
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๘๓๕๘/๒๕๕๑
ตัวอยา่ งคดีขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด
๑. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๓๔๕๖/๒๕๔๘
๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๗๐๗๖/๒๕๔๘
ตัวอยา่ งคดีขับไล่ (ช้นั อุทธรณค์ ำสัง่ อนญุ าตใหถ้ อนฟ้อง)
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๒๕๔๙/๒๕๔๔
ตวั อยา่ งคดีเชา่ ทรัพย์ (ช้นั บังคบั คด)ี
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๒๑๓๖/๒๕๔๘
ตัวอย่างคดซี ้อื ขาย (ชนั้ บงั คบั คดี)
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๑๑๘๙/๒๕๔๕
หน้า
ตวั อย่างคดที างจำเป็น (ช้นั คดั ค้านผ้พู พิ ากษา)
๒๖๕
คำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๘๗๗๖/๒๕๕๐
ตัวอย่างคดมี รดก ขอถอนผู้จดั การมรดก พนิ ยั กรรม (ชัน้ ขอเงนิ ค่าธรรมเนยี ม
๒๖๗
ศาลคนื )
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๙๕๘๗/๒๕๔๘
ตัวอยา่ งคดสี ญั ญา (ชั้นไมร่ ับคำคคู่ วาม)
๒๖๙
คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๕๖๑๖/๒๕๔๙
ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาศาลอุทธรณแ์ ละตวั อย่างคำสง่ั ในรูปคำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ
์
ใ
นคดีอาญา
คำพิพากษา
ตวั อยา่ งคดีกรรโชก พยายาม
๒๗๓
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๙๓๓๓/๒๕๔๗
ตวั อย่างคดีโกงเจา้ หนี้
๒๗๕
๒๗๗
๑. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๔๕๙๙/๒๕๔๕
๒. คำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๒๖๐/๒๕๔๘
ตัวอยา่ งคดีความผิดเก่ยี วกบั บัตรอิเลก็ ทรอนิกส
์ ๒๘๐
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๙๙๕๘/๒๕๔๙
ตัวอยา่ งคดีความผดิ เกยี่ วกบั เอกสาร
๒๘๒
๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๕๗/๒๕๔๗ ๒๘๓
๒. คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๓๗๗๔/๒๕๔๗
ตวั อยา่ งคดีความผดิ เกีย่ วกบั เอกสาร ความผดิ ตอ่ เจา้ พนกั งานในการยุตธิ รรม
คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๗๓๕๕/๒๕๕๐ ๒๘๖
ตัวอยา่ งคดีความผดิ ต่อเจ้าพนกั งานในการยุตธิ รรม ลักทรพั ย์
๒๘๘
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๑๑๒๐/๒๕๔๘
หนา้
ตวั อย่างคดคี วามผดิ ตอ่ ชีวิต ความผิดตอ่ ร่างกาย ประมาท ความผดิ ตอ่
๒๙๐
พระราชบญั ญตั จิ ราจรทางบก
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๒๘๖๕/๒๕๔๘
ตัวอยา่ งคดีความผิดตอ่ ชวี ติ ประมาท ความผดิ ตอ่ พระราชบญั ญัตจิ ราจรทางบก
คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๕๐๙/๒๕๔๗ ๒๙๖
ตวั อย่างคดคี วามผดิ ตอ่ ชีวิต พยายาม ลหุโทษ
๒๙๙
คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๙๔๗๗/๒๕๕๑
ตัวอย่างคดีความผดิ ต่อชวี ติ พยายาม ลหุโทษ ความผดิ ตอ่ พระราชบญั ญัต
ิ ๓๐๓
อาวุธปืนฯ
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๙๔๕๙/๒๕๕๑
ตัวอยา่ งคดีความผิดต่อพระราชบญั ญัตกิ ารพนัน
๓๐๘
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณท์ ่ี ๒๕๒๙/๒๕๔๘
ตวั อยา่ งคดีความผิดตอ่ พระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร
๓๑๒
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ่ี ๖๐๒๑/๒๕๔๙
ตวั อย่างคดีความผิดตอ่ พระราชบัญญัตทิ างหลวง
๓๑๖
คำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๓๔๑/๒๕๕๑
ตัวอย่างคดีความผิดต่อพระราชบัญญัตยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ
๓๑๘
๑. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๘๖๗๘/๒๕๔๔ ๓๑๙
๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๒๓๘๐/๒๕๔๗ ๓๒๓
๓. คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๕๑๙๗/๒๕๔๙
ตัวอยา่ งคดคี วามผดิ ต่อพระราชบญั ญตั วิ ่าด้วยความผดิ อันเกดิ จากการใชเ้ ชค็
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๕๐๗๐/๒๕๔๗ ๓๒๖
ตัวอย่างคดคี วามผิดต่อรา่ งกาย ลหโุ ทษ ความผดิ ต่อพระราชบญั ญตั ิอาวธุ ปนื ฯ
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๙๒๘/๒๕๔๗ ๓๒๙
ตัวอย่างคดีความผดิ ต่อเสรีภาพ กรรโชก
หน้า
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๑๙๕/๒๕๕๒
๓๓๓
ตัวอย่างคดีความผิดตอ่ เสรภี าพ ขม่ ขนื กระทำชำเรา
คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๗/๒๕๕๒ ๓๓๖
ตวั อย่างคดีฉอ้ โกง
๓๔๓
๑. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณท์ ่ี ๖๐๔๑/๒๕๔๗ ๓๔๔
๒. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๑๑๙๗/๒๕๔๘ ๓๔๙
๓. คำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๙๔๕๖/๒๕๔๘
๓๕๗
ตวั อย่างคดีชิงทรัพย์ พยายาม
คำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๕๓๔๔/๒๕๔๕ ๓๖๑
ตวั อยา่ งคดีทำให้เสียทรัพย์
๓๖๔
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ่ี ๕๓๔๐/๒๕๔๕
๓๖๘
ตัวอยา่ งคดบี กุ รุก
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๕๗๕๗/๒๕๔๕ ๓๗๕
ตัวอย่างคดบี กุ รุก อนาจาร
๓๘๑
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๙๐๑/๒๕๔๘
๓๘๔
ตวั อยา่ งคดปี ลน้ ทรัพย์
๓๘๖
คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๑๓๔๖/๒๕๕๑
ตัวอยา่ งคดปี ล้นทรัพย์ ทำให้เสยี ทรพั ย์ ความผดิ ตอ่ ร่างกาย
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๑๐๑๔/๒๕๔๙
ตัวอยา่ งคดีปล้นทรัพย์ ลหุโทษ
๑. คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๖๙๔๘/๒๕๕๑
๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๗๙๓๔/๒๕๕๑
ตัวอยา่ งคดยี กั ยอก
หนา้
๑. คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๕๒๓๕/๒๕๔๗
๒. คำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๑๐๑๑ – ๑๐๑๒/๒๕๔๙ ๓๘๙
๓๙๓
ตวั อย่างคดยี กั ยอก ลักทรัพย์ ความผิดเกย่ี วกับเอกสาร
๓๙๕
คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๕๐๗๒/๒๕๔๗ ๔๐๐
๔๐๒
ตวั อย่างคดีลักทรัพย์
๑. คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๖๑๐๘/๒๕๔๙ ๔๐๖
๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๘๑๑๘/๒๕๕๑ ๔๐๙
๔๑๑
ตัวอย่างคดลี ักทรพั ย์ ความผิดเกีย่ วกบั เอกสาร ความผดิ เกยี่ วกับ
๔๑๕
บตั รอเิ ลก็ ทรอนกิ ส
์ ๔๑๗
คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๘๒/๒๕๕๒ ๔๒๓
ตัวอย่างคดลี กั ทรัพย์ ความผิดตอ่ เสรภี าพ
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๕๖๑๙/๒๕๔๕ ๔๒๘
๔๓๑
ตัวอย่างคดลี กั ทรัพย์ รบั ของโจร
๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๙๒๙๘/๒๕๕๑
๒. คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๒๕๐๖/๒๕๕๒
ตัวอย่างคดีลักทรัพย์ รบั ของโจร ความผิดเกย่ี วกบั เอกสาร
คำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๓๐๑๑/๒๕๔๗
ตวั อยา่ งคดหี มิน่ ประมาท ความผิดต่อพระราชบญั ญตั ิการพิมพ์
คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๗๙๕๗/๒๕๔๗
คำสงั่ ในรูปคำพพิ ากษา
ตวั อย่างคดีความผิดตอ่ ตำแหน่งหนา้ ทีร่ าชการ (ช้นั ตรวจคำฟอ้ ง)
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๖๕๐/๒๕๕๒
ตวั อยา่ งคดีฉอ้ โกง (ช้ันขอขยายระยะเวลาวางเงนิ )
คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๗๘๙๑/๒๕๕๑
หน้า
ตัวอยา่ งคำพิพากษาศาลอทุ ธรณแ์ ละตัวอยา่ งคำสง่ั ในรูปคำพิพากษาศาลอทุ ธรณ
์
ในคดีครอบครวั (ยชพ.)
คำพิพากษา
ตัวอยา่ งคดีขอใหก้ ารสมรสเปน็ โมฆะ ค่าทดแทน คา่ เลี้ยงชพี
๔๓๕
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๓๕๐๒/๒๕๔๘
ตัวอยา่ งคดีขอให้รับเดก็ เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย
๔๔๓
คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๕๗๒๕/๒๕๔๘
ตวั อย่างคดีผดิ สญั ญาหม้ัน
๔๔๖
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๙๐๗๗/๒๕๔๘
ตวั อย่างคดเี พกิ ถอนการรบั บตุ รบุญธรรม
๔๔๙
คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๗๙๖๒/๒๕๔๙
ตวั อยา่ งคดีเพิกถอนนติ ิกรรม
๔๕๓
คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๖๐๑๒/๒๕๔๘
ตวั อย่างคดีเรยี กคา่ ทดแทน
๔๕๖
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๘๕๑๖/๒๕๔๗
ตวั อย่างคดีสนิ สมรส
๔๖๐
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๘๕๒๘/๒๕๔๘
ตัวอยา่ งคดหี ย่า อำนาจปกครอง
๔๖๒
คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๒๘๒๔/๒๕๕๑
คำสง่ั ในรูปคำพิพากษา
ตัวอยา่ งคดขี อตง้ั ผ้อู นบุ าล
๔๖๕
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๖๓๓๒/๒๕๔๗
ตัวอย่างคดีขอทำนิติกรรมแทนผ้เู ยาว์
๔๖๙
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๒๔๘๑/๒๕๕๑
หนา้
ตวั อยา่ งคดขี อให้แยกกนั อยูร่ ะหวา่ งสมรส ขอใหล้ งชือ่ เป็นเจา้ ของรวม
๔๗๑
ในสนิ สมรส (ชนั้ บังคับคด)ี
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๑๑๘๖/๒๕๕๑
ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์และตัวอยา่ งคำส่ังในรูปคำพพิ ากษาศาลอุทธรณ
์
ในคดอี าญาท่ีเดก็ หรือเยาวชนกระทำความผิด (ยชอ.)
คำพิพากษา
ตัวอย่างคดีข่มขืนกระทำชำเรา
๔๗๕
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๔๖๔๔/๒๕๔๘
ตวั อยา่ งคดคี วามผดิ ต่อพระราชบญั ญตั ิควบคุมกิจการเทปและวัสดโุ ทรทศั น์
๔๗๘
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๑๕๓๘/๒๕๕๑
ตัวอย่างคดคี วามผิดต่อรา่ งกาย
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๗๖๓๖/๒๕๔๘ ๔๘๐
ตัวอย่างคดีชิงทรัพย์
๔๘๓
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๖๘๖๘/๒๕๔๘
ตัวอย่างคดปี ล้นทรพั ย์ ความผิดตอ่ ร่างกาย
๔๘๕
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๑๔๑๒/๒๕๕๑
ตวั อยา่ งคดีละเมิดอำนาจศาล
๔๘๙
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๗๖๓๗/๒๕๔๘
คำสง่ั ในรปู คำพิพากษา
ตัวอย่างคดตี อ้ งหา้ มอุทธรณ์ เพราะเปน็ อทุ ธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
๔๙๑
คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๒๓๓๗/๒๕๔๘
สารบญั
หน้า
ส่วนท่ี ๓
๔๙๕
๔๙๘
ภาคผนวก
๕๐๐
๕๐๘
๕๑๓
๕๑๗
๕๑๙
ภาคผนวก หมายเลข ๑ ขอ้ ความตอ่ จาก “ว่า” ควรเวน้ วรรคหรือไม่
ภาคผนวก หมายเลข ๒ เรียงประโยค
ภาคผนวก หมายเลข ๓ คำในภาษาไทยทอี่ าจจะเขียนผิดในคำพิพากษา
ภาคผนวก หมายเลข ๔ คำทบั ศพั ท์จากภาษาต่างประเทศ
ภาคผนวก หมายเลข ๕ ชอ่ื กฎหมายและศกั ราช
ภาคผนวก หมายเลข ๖ ภาษาไทย ๕ นาที การอ่านชอื่ มาตราย่อยทเ่ี ปน็
ภาษาบาลีและสันสกฤต
ภาคผนวก หมายเลข ๗ การใช้ราชาศพั ท์ในกฎหมาย
สว่ นท่ี ๑
ความรทู้ ่ัวไปเกี่ยวกับการเรียงคำพิพากษา
การใชเ้ หตุผลในการวินิจฉัยคด
ี
และ
การใช้ภาษาไทยในคำพิพากษา
สว่ นท่ี ๑ ความรู้ทว่ั ไป
3
พระราชดำรสั
ในโอกาสที่ผ้พู พิ ากษาประจำกระทรวง กระทรวงยุติธรรม*
เฝา้ ทลู ละอองธุลพี ระบาท
เพอ่ื ถวายสัตยป์ ฏิญาณกอ่ นเข้ารับหนา้ ทคี่ รง้ั แรก
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
วนั พฤหสั บดที ่ี ๘ มนี าคม ๒๕๒๗
“...... ผู้พิพากษา เป็นผู้ท่ีจะประสาทความยุติธรรมให้บังเกิดข้ึนในคด
ี
ในปัญหาต่าง ๆ ระหว่างบุคคลและบุคคลเพ่ือท่ีจะไม่ให้เกิดความเดือดร้อน
วุ่นวายในสังคม ฉะน้ัน ท่านที่เป็นผู้พิพากษาจึงเป็นบุคคลท่ีจะต้องทำงาน
ด้วยความรู้ในวิชา ท้ังในความรู้ในความยุติธรรมที่อยู่ในใจ คือ เป็นความ
ยุติธรรมตามธรรมชาติ หมายความว่าผู้ที่เป็นผู้พิพากษาจะต้องใช้หลักวิชา
และสามัญสำนึกอย่างมาก ทั้งหมดนี้ก็จะต้องประกอบด้วยความสุจริต คือ
สุจริตใจ เพราะว่าบางทีมีสิ่งที่ล่อในทางอามิส หรือในทางความคิดที่ไม่ตรง
อนั เรยี กวา่ อคติ ทงั้ หมดนเ้ี ปน็ สงิ่ ทล่ี ำบาก แตว่ า่ ถา้ ทำไดต้ ามทไ่ี ดเ้ ปลง่ วาจา
ก็สามารถที่จะปฏิบัติงานได้โดยเต็มที่ และโดยมีประสิทธิภาพเป็นผลดีแก
่
การปกครองในประเทศ และในเวลาเดียวกันก็จะเป็นส่ิงท่ีจะสร้างให้คนมี
เกียรติและก็มีประสบการณ์ ฉะนั้น การที่จะได้รักษาคำปฏิญาณนี้ไว้โดยด
ี
ตลอดชีวิตราชการ ก็จะเปน็ การสร้างความดใี หป้ ระเทศ และสร้างความดีให
้
ตนเอง......”
* ปัจจุบัน คือ ผู้พิพากษาประจำสำนักงานศาลยุติธรรม เพราะมีการแยกศาลยุติธรรมออกจากกระทรวง
ยตุ ิธรรมตามรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ เมอ่ื วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๔๓.
4 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคด
ี
ประมวลจริยธรรมข้าราชการตลุ าการ
หมวด ๒
จริยธรรมเก่ยี วกับการปฏบิ ตั หิ น้าทใี่ นทางอรรถคด
ี
ข้อ ๑๒ วรรคสอง
“คำพิพากษาและคำสั่ง จักต้องมีคำวินิจฉัยที่ตรงตามประเด็น
แห่งคดี ให้เหตุผลแจ้งชัดและสามารถปฏิบัติตามน้ันได้ การเรียง
คำพิพากษาและคำส่ังพึงใช้ภาษาเขียนที่ดี ใช้ถ้อยคำในกฎหมาย
ใช้โวหารท่ีรัดกุมเข้าใจง่าย และถูกต้องตามพจนานุกรมฉบับ
ราชบัณฑิตยสถาน ข้อความอ่ืนใดอันไม่เกี่ยวกับการวินิจฉัยประเด็น
แห่งคดีโดยตรง หรือไม่ทำให้การวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวชัดแจ้งข้ึน
ไม่พึงปรากฏอยูใ่ นคำพิพากษาหรือคำสั่ง”
ส่วนที่ ๑ ความรูท้ ่วั ไป
5
ชวี ติ ของคำพิพากษา
คือ
ประสบการณ์ ตรรกวิทยา และภาษาศิลป์ *
ในการวินิจฉัยคดีมิใช่เพียงแต่การพิเคราะห์หาเหตุผลหรือวินิจฉัยเหตุผลตามความ
หมายในทางตรรกวทิ ยาเทา่ นน้ั แตห่ ลกั กฎหมาย (legal rules) ความคดิ (ideas) และแนวทาง
ความคดิ (concepts) จะตอ้ งแจ่มชดั อยูใ่ นคำพิพากษาน้ันด้วย ดงั นน้ั เหตุผลในกฎหมายจงึ ไม
่
ตกอยู่ในหลักเกณฑ์ตายตัวของตรรกวิทยา ไม่แต่เท่านั้นหลักและแนวความคิดทางกฎหมายก็
ไม่ใช่สิ่งที่ตายตัวเหมือนตรรกวิทยา มันสามารถยืดหยุ่นได้เสมอ ซึ่งผู้พิพากษาลือนามชาว
อเมริกันช่ือ โฮมส์ (Holmes) ก็ได้กล่าวไว้ว่า “ชีวิตของกฎหมายอยู่ที่ประสบการณ์ มิใช
่
ตรรกวิทยา” (The life of the law experience and not logic)๑ อยา่ งไรกต็ าม ไดม้ ผี พู้ พิ ากษา
ชาวอเมริกันผู้มีชื่อเสียงอีกท่านหน่ึงแย้งว่า เหตุผลเป็นสิ่งสำคัญย่ิงในการวินิจฉัยคดี ดังนั้น
ตรรกวทิ ยาซงึ่ เปน็ หลกั แหง่ เหตผุ ลจงึ มสี ว่ นชว่ ยในการวนิ จิ ฉยั คดอี ยมู่ าก ไมค่ วรทจ่ี ะมองขา้ มไป
เสีย๒ เราอาจกล่าวได้โดยสรุปว่า ประสบการณ์ย่อมมีส่วนช่วยในการวินิจฉัยชี้ขาดคดีได
้
เป็นอย่างดี แต่การวินิจฉัยนั้นเองก็จะขาดเสียมิได้ซ่ึงเหตุและผลอันเป็นหลักแห่ง
ตรรกวิทยา ดงั นน้ั ทงั้ ประสบการณ์และตรรกวทิ ยาจึงเปน็ ชีวติ ของกฎหมายและเป็นชีวติ ของ
คำพิพากษาดว้ ย
ส่ิงสำคัญในคำพิพากษาอีกอย่างหน่ึงก็คือ ภาษาท่ีใช้ในคำพิพากษา น้ันเอง ภาษา
กฎหมายนั้นโดยปกติจักต้องแจม่ ชดั กะทัดรัด ได้ใจความ แตม่ ใิ ชเ่ ฉยี บขาดเหมือนหลกั เกณฑ์
ทางคณิตศาสตร์ มีผ้เู ปรียบว่า ภาษากฎหมายน้ันเหมือน “เนื้อผ้าทโี่ ปรง่ ใส” (open texture) ๓
ในการพิพากษาคดีผู้พิพากษาควรใช้ถ้อยคำท่ีมีความหมายตามธรรมดา ทั้งจะ
ต้องประยุกต์ถ้อยคำอันเป็นตัวบทกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นให้บังเกิดเป็น
หลักกฎหมายอันแจ่มชัด และควรคำนึงด้วยว่า หลักกฎหมายมิใช่หลักภาษาหรือหลัก
* เป็นข้อความในหัวข้อหนึ่งของหนังสือเรื่อง ศาลยุติธรรมและการพิพากษาคดี โดย ศาสตราจารย์วิชา
มหาคุณ.
๑ Holmes, The Common Law (Boston, 1881), p. 1.
๒ Benjamin N. Cardozo, The Nature of the Judicial Process (New Haven : Yale University Press,
1957), p. 33.
๓ F. Waismann, on “Verifiability” in Logic and Language (ed. A.G.N. Flew), I, p. 119.
6 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉัยคด
ี
แห่งตรรกวิทยาเท่านั้น แต่เป็นหลักเพ่ือการตัดสินคดี (rules for deciding) ซ่ึงมีขอบเขต
กวา้ งขวางกว่า
รวมความแล้ว ผู้พิพากษาจักต้องให้เหตุผลในคำพิพากษาอย่างกระจ่างแจ้งและรัดกุม
ซึ่งนับว่าเปน็ ศลิ ปะอยา่ งหนงึ่ ของผพู้ พิ ากษาทจ่ี ะตอ้ งทำใหค้ ำพพิ ากษาของตนงดงามทงั้
ในแง่เหตผุ ลแหง่ การวินิจฉัยคดแี ละในแง่ของภาษาศลิ ป์ ซ่งึ เรยี กวา่ เปน็ “ศลิ ปะของการ
พพิ ากษาคด”ี (The Art of Judgement)๔
๔ Lord Denning, The Art of Judgement (London : Stevens & Sons Ltd., 1962), Foreword pp. VII –
VIII.
สว่ นที่ ๑ ความรทู้ ว่ั ไป
7
ข่าวศาล *
เก่ยี วกับ
ขอ้ แนะนำในการเรยี งคำพิพากษา
การเรียงคำพิพากษา เป็นกิจสำคัญอย่างหน่ึงในหน้าท่ีของผู้พิพากษา ผู้ที่ได้ช่ือว่าเป็น
ผพู้ พิ ากษาทดี่ นี นั้ มใิ ชแ่ ตเ่ พยี งตดั สนิ ความไดย้ ตุ ธิ รรมและถกู ตอ้ งตามกฎหมายเทา่ นนั้ จกั ตอ้ ง
ตัดสินให้ผู้ได้ยินได้ฟังเห็นด้วยว่าคำตัดสินนั้นเป็นยุติธรรมและชอบด้วยกฎหมาย การที่จะให
้
ได้ผลอย่างนี้ก็คือ จะต้องช้ีแจงแสดงเหตุผลในการตัดสินให้ชัดแจ้ง บทกฎหมายหรือคด
ี
แบบอยา่ งหรอื หลกั กฎหมายทค่ี กู่ รณยี กขนึ้ อา้ งจะนำมาปรบั แกค่ ดไี ดห้ รอื ประการใด ควรกลา่ ว
อธบิ ายไว้ เมอื่ คู่กรณีได้ฟงั คำพพิ ากษาแล้วใหท้ ราบได้ว่าเขาชนะหรอื แพ้ในประเดน็ ข้อใด และ
เพราะเหตใุ ด การเรยี งคำพพิ ากษาโดยไมแ่ จง้ เหตผุ ล กลา่ วความรวม ๆ แลว้ รวบหวั รวบหาง ให
้
ฝา่ ยโนน้ แพ้ ฝา่ ยนช้ี นะนนั้ อาจเป็นเหตุใหค้ ูค่ วามเห็นไปว่าเขาไมไ่ ดร้ ับความยตุ ิธรรม
ส่วนคำพิพากษาในช้ันศาลสูงก็มีข้อสำคัญท่ีต้องเพ่งเล็งเช่นเดียวกัน คือ ประเด็นข้อ
พิพาทใดที่ศาลล่างวินิจฉัยไว้ และคู่กรณีโต้เถียงกันข้ึนมา ย่อมเป็นประเด็นท่ีศาลสูงจักต้อง
วนิ จิ ฉยั ในการวนิ จิ ฉยั ประเดน็ ขอ้ พพิ าทเหลา่ น้ี เมอื่ จะคงยนื หรอื กลบั แกป้ ระการใด ศาลสงู ควร
ยกเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยขึ้นชี้แจงพร้อมด้วยหลักฐานให้ชัดแจ้ง โดยเพ่งเล็งพยายาม
ให้ประจักษ์แก่ผู้พิพากษาศาลล่างและคู่กรณีว่าศาลสูงกลับแก้คำพิพากษาศาลล่างหรือคง
ยืน เพราะเหตใุ ด
อนึ่ง ในการวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทใด ๆ ไม่ว่าในช้ันศาลล่างหรือศาลสูง ถ้าเป็นข้อ
กฎหมาย กค็ วรยกบทกฎหมาย หรอื คดแี บบอยา่ ง หรอื หลกั เกณฑแ์ หง่ กฎหมายอา้ งไวด้ ว้ ย ถา้
วา่ มคี ำพพิ ากษาซง่ึ ประกอบดว้ ยเหตผุ ลและหลกั ฐานเชน่ น้ี ยอ่ มทำใหค้ กู่ รณมี คี วามเลอ่ื มใส และ
เปน็ แบบบรรทัดฐานต่อไป
* เล่ม ๒ ฉบับท่ี ๒๗ ลงวันที่ ๑๕ พฤศจกิ ายน ๒๔๗๕.
8 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉยั คด
ี
โวหารกรมพระสวสั ดิ์ฯ *
“กรมหลวงสวสั ดิวตั นวิศษิ ฏ์ ทรงชำระความแตป่ ีจออฐั ศก จลุ ศกั ราช ๑๒๔๘ (๒๔๒๙)
ในกระทรวงนครบาล แลดำรงตำแหนง่ กรรมการฎกี าชดุ แรก ทำคำปรกึ ษาคดั ฎกี าขนึ้ กราบบงั คม
ทูลพระกรุณาฯ สำนวนความแต่ก่อนโน้นตระลาการต่างคนต่างรักษา มิได้เกบเปนท่ีแห่ง
เดยี วกนั ยอ่ มทำลายสาบสญู ไปเหลอื วษิ ยั จะสาวหาคำพพิ ากษา แตก่ ย็ งั พยายามจะรวบรวมมา
พิมพ์ไว้บ้าง เสด็จมาทรงว่าความฎีกาคราน้ีจะเข้า ๕ ปี ได้ทรงปรึกษาเรียงคำตัดสินคดีแพ่ง
อาญา เสรจ็ ไปรวม ๑๒๗๕ เรอ่ื ง แลยงั ทท่ี รงแปลแกไ้ ขตกแตม้ ใจความอกี ดว้ ย ตรสั สง่ั ใหข้ า้ พเจา้
จัดเลือกสรรคำพิพากษาฎีกาที่มีแก่นสารพิมพ์ขึ้นเปนฉบัพแพร่หลายมิให้สูญเสียอีก เพ่ือไว้
เปนฉบัพคู่มือค้นคว้าหาตัวอย่างได้ง่ายแก่พนักงานแลผู้ศิษย์หาข้าไท ที่ทรงช่วงใช้ในแผนก
ตลุ าการด้วยกัน แลทรงหวงั ว่าผู้สนใจในทางความจะได้สำเหนียกทำนองปฤกษาความ ชั่งเท็จ
จรงิ หนักเบาคำพยาน หยบิ เหตุใหส้ มผลกล่าวต้นใหร้ ับกับปลาย มิให้ก้าวก่ายตกั กุตักกะ
เขินขัดกับวิจารณปัญญาสำเหนียก ทั้งโวหารภาษาถ้อยคำใช้ให้เปนสง่าในทางบังคับ
ความ ตลอดถึงอักษรวิธี ได้เห็นอุทาหรณ์คดีอันจะพึงอ้างอิงเปนบรรทัดฐานในกระบวน
พพิ ากษาดว้ ย ทรงอธษิ ฐานใหเ้ ปนเครอ่ื งคำ้ วชิ าชำระความ ใหเ้ ปนเครอื่ งขดั ดดั เกลาสำนวน
โรงศาล ใหห้ นั เข้าหาภาษาไทยใบสตั ย์เกา่ ก่อนบ้าง เพราะเหตุว่าเย่ียงอย่างภาษาความ
แลภาษากฎหมายไม่ว่าในประเทศใด ๆ ย่อมรักษาถนอมโวหารภาษาสูงใช้ถ้อยคำลึก
สละสลวย เชน่ ภาษาเทศนา ภาษาธรรม ลว้ นเปนสำนวนบณั ฑติ ผรู้ ผู้ เู้ รยี นแลว้ ในสนาม
จะพดู จะเขยี นตามปากตลาดดาดสามัญนัน้ มบิ งั ควรฯ” ๑
คำนำในหนังสือ “โวหารกรมสวัสดิ” ของหลวงราชบัญชา ผู้รวบรวม แม้จะเป็นสำนวน
โวหารเก่า เขียนมาเกือบร้อยปีแล้วก็ตาม แต่ก็จับใจความได้ว่าโวหารภาษาถ้อยคำท่ีใช้ใน
ทางกฎหมายและอรรถคดนี นั้ ถอื วา่ เปน็ ภาษาสงู ใชถ้ อ้ ยคำลกึ สละสลวย เชน่ ภาษาเทศนา
ภาษาธรรม “ล้วนเป็นสำนวนบัณฑิตผู้รู้ผู้เรียนแล้วในสนาม จะพูดจะเขียนตามปากตลาดดาด
สามัญน้นั มบิ งั ควร ฯลฯ” ดังทค่ี รูอาจารยส์ อนกันเสมอว่าตอ้ งเป็นภาษาหนังสอื ไม่ใช่ภาษาพดู
ใชส้ ำนวนเรียบ ๆ สุภาพ ไม่ก้าวร้าว เสียดสี ประชดประชนั หรอื ใชโ้ วหารทเี่ รียกกันว่า เลน่ ลิ้น
ภาษาที่ใช้ถูกหลกั ภาษาไทย
* คดั มาจากตอนตน้ ของเอกสารประกอบการบรรยายเรอ่ื ง สำนวนโวหารในทางกฎหมายและการใชภ้ าษาไทย
ในงานเขียนคำพิพากษาหรือคำสั่ง ในการอบรมผู้ช่วยผู้พิพากษา รุ่นท่ี ๕๔ โดยท่านเธียร เจริญวัฒนา ณ
สถาบันพฒั นาขา้ ราชการฝ่ายตลุ าการศาลยตุ ธิ รรม.
๑ จากคำนำในหนังสือ “โวหารกรมสวสั ดิ” รวบรวมโดยหลวงราชบญั ชาเมอ่ื พระพุทธศักราช ๒๔๕๘.
ส่วนที่ ๑ ความรูท้ ่วั ไป
9
การเรยี งคำพิพากษา *
ศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวเิ ชียร
งานในหน้าท่ีทีส่ ำคัญที่สดุ ชิน้ หนึง่ ของตลุ าการ ไดแ้ ก่ การเรยี งคำพิพากษา งานที่เป็น
เกียรติประวัติอันถาวรของผู้พิพากษา ได้แก่ คำพิพากษาของแต่ละท่าน และเป็นที
่
ยอมรับกันท่ัวไปว่าทางที่จะวินิจฉัยความสามารถและฝีมือตุลาการที่ดีท่ีสุดทางหนึ่งก็
ได้แก่การอ่านคำพิพากษาของตุลาการผู้นั้น งานด้านการเรียงคำพิพากษาจึงเป็นงานท
ี่
ได้รับการเอาใจใส่และพิถีพิถันมากสำหรับผู้เป็นตุลาการท่ัวทุกหนแห่ง ดังน้ัน ย่อมเป็นการ
สมควรท่ีจะพิจารณาในเบื้องแรกว่า คำพิพากษาของศาลในต่างประเทศน้ันมีข้อน่ารู้ประการ
ใดบา้ งจากแง่ของเราตลุ าการไทย
ท่านศาสตราจารย์ลอร์สัน แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ให้ความเห็นส่วนตัวในการ
เปรียบเทียบคำพิพากษาของศาลของประเทศต่าง ๆ ไว้ว่า ๑ สำหรับคำพิพากษาของศาล
อังกฤษนั้น ผู้พิพากษาอภิปรายปัญหากฎหมายอย่างกว้างขวางและอย่างเสรี ผู้พิพากษา
ประสงคจ์ ะกลา่ วอย่างไร กก็ ลา่ วไว้โดยไมม่ ลี ะเวน้ เลย ทัง้ นี้ เพ่อื ใหค้ คู่ วามและผู้ดำเนินวชิ าชีพ
กฎหมายมั่นใจว่าคำพิพากษาของท่านน้ันถกู ตอ้ ง และในคำพิพากษาส่วนมากน้นั มีอรรถรสสูง
ด้วย ส่วนคำพิพากษาของศาลฝร่ังเศสน้ันสั้นมาก ท้ังเหตุผลที่ให้ในคำพิพากษาก็ห้วน มิใช
่
เปน็ ไปในเชงิ อภปิ ราย หว้ งเหตไุ มค่ อ่ ยตดิ ตอ่ กนั กบั หว้ งผล ผดิ กนั กบั เหตผุ ลในคำพพิ ากษาของ
ศาลอังกฤษซึ่งมีชีวิตชีวาและโต้เถียงอภิปรายกันอย่างเต็มท่ี หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า คำ
พพิ ากษาของศาลฝรงั่ เศสถอื ไดว้ า่ เปน็ เพยี งเอกสารชนิ้ หนง่ึ แตค่ ำพพิ ากษาของศาลองั กฤษนนั้
นับได้ว่าเป็นศิลปกรรมช้ินหนึ่งทีเดียว ส่วนคำพิพากษาของศาลเยอรมันนั้นเดินสายกลาง
ระหว่างแนวคำพิพากษาของศาลฝร่ังเศสและคำพิพากษาของศาลอังกฤษ กล่าวคือ เหตุผลที่
ศาลเยอรมันให้ในคำพิพากษาน้ันละเอียดกว่าเหตุผลของคำพิพากษาของศาลฝร่ังเศส แม
้
กระน้นั ก็ดี เปน็ เหตผุ ลทเ่ี ปน็ งานเป็นการ ไม่มชี ีวิตชีวาเช่นเหตผุ ลของผู้พพิ ากษาอังกฤษ สว่ น
คำพิพากษาของศาลอเมริกันตามทัศนะของท่านศาสตราจารย์ลอร์สันก็ยังเห็นว่ามีอรรถรสส้
ู
คำพิพากษาของศาลอังกฤษมิได้ และมักจะมีการอ้างหลักกฎหมายและอ้างบทบัญญัติแห่ง
กฎหมายทน่ี ัน่ บา้ งทน่ี ่บี า้ งเปน็ ส่วนใหญ่ เชงิ การเรียงคำพิพากษาของศาลอังกฤษนั้นไดร้ บั การ
ยกยอ่ งและถอื ปฏบิ ตั ติ ามในประเทศตา่ ง ๆ ซงึ่ อยใู่ นเครอื จกั รภพองั กฤษ เชน่ ศาลออสเตรเลยี
* บทบรรณาธิการในดลุ พาห เลม่ ๖ ปีที่ ๙ (มถิ ุนายน ๒๕๐๕), หนา้ ๗๐๙ – ๗๑๙.
๑ F.H. Lawson, The Rational Strength of English Law (London : Stevens & Sons Ltd., 1951), pp.
27 – 29.
10 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คดี
สำหรับในดา้ นเหตผุ ลอนั เปน็ หวั ใจของคำพพิ ากษานั้น เซอร์แอลฟรดิ เดนนิง อธิบด
ี
ผู้พพิ ากษาศาลอุทธรณข์ ององั กฤษในขณะน้นั ใหค้ วามเห็นว่าเหตผุ ลต้องให้กระจ่างชดั และ
กะทดั รดั ศลิ ปะแหง่ การพพิ ากษามเี กณฑอ์ ยู่ ๔ ประการ คอื (ก) “ความอดทน” ทจี่ ะฟงั คคู่ วาม
วา่ มสี งิ่ ใดกลา่ วอา้ งสนบั สนนุ คดขี องตน (ข) “ความสามารถ” ในอนั ทจี่ ะเขา้ ใจถงึ ความตนื้ ลกึ หนา
บางและนำ้ หนกั แห่งข้อโต้เถยี ง (ค) “ความชาญฉลาด” ในอันทจ่ี ะหยั่งทราบไดว้ า่ ความจรงิ และ
ความยตุ ธิ รรมนน้ั อยูท่ ่ีไหน และ (ง) “คำตดั สิน” อนั แสดงผลแห่งการพิพากษาของตน๒
คำพิพากษาของศาลประเทศที่พึงได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ เพราะมีส่ิงแปลก
และน่าสนใจมาก ได้แก่ คำพิพากษาของศาลเยอรมัน หลักการและวิธีการเรียงคำพิพากษา
ของศาลเยอรมันนั้นสืบเนื่องมาจากจารีตประเพณีด้ังเดิมของปรัสเซีย ในการจัดการศึกษา
กฎหมายในเยอรมันน้ันได้กำหนดการฝึกหัดเรียงคำพิพากษาไว้ในหลักสูตรสำหรับนักศึกษา
กฎหมายผสู้ ำเรจ็ การศกึ ษากฎหมายชนั้ referendar แลว้ และกำลังฝึกงานศาลเพอื่ เข้าสอบไล่
ช้ัน assessor ด้วย โกเอ จินตกวีเยอรมนั ซึ่งเปน็ นกั กฎหมายในคริสต์ศตวรรษที่แล้ว กล่าววา่
ใครทย่ี ังสอบไลช่ ัน้ assessor ไม่ได้ ยังเรยี กว่าเปน็ นกั กฎหมายไมไ่ ด
้
ในทัศนะของนักกฎหมายเยอรมัน ศิลปะแห่งการเรียงคำพิพากษานี้เป็นหัวใจแห่ง
ระบบการศึกษากฎหมายของเยอรมันทีเดียว ท่านเฮอมัน เคาเบนสเปก อดีตผู้พิพากษาศาล
สูงสุดเยอรมันผู้หน่ึง ให้การอรรถาธิบายเกย่ี วกับคำพพิ ากษาของศาลเยอรมนั วา่ การเรียงคำ
พิพากษาน้ันเป็นศิลปะ และเป็นวรรณกรรม ประโยคทุกประโยคในคำพิพากษาม
ี
ความหมาย แต่ละคำในคำพิพากษาได้รับการกลั่นกรองมาแล้วเป็นอย่างดี แต่ละ
ประโยคจะตอ้ งอยตู่ ามลำดบั ทค่ี วรอยแู่ ละตามหว้ งเหตแุ ละหว้ งผล ถา้ หากขาดไปแมเ้ พยี ง
ประโยคเดยี ว กอ็ าจทำใหเ้ สยี ความหมาย และคำพพิ ากษาอาจเสยี ไปทงั้ ฉบบั ดงั นี้ ยอ่ มเหน็ ได
้
วา่ เมอ่ื กลา่ วถงึ การเรยี งคำพพิ ากษานน้ั จงึ มใิ ชเ่ ปน็ เรอ่ื งของเทคนคิ เทา่ นน้ั แตเ่ ปน็ เรอ่ื ง
ของศิลปะด้วย ลีลาแห่งการเขียนน้ันมีความสำคัญย่ิงนัก การเรียงคำพิพากษาท่ีผิดแผก
แตกตา่ งไปจากเกณฑก์ ำหนดแมเ้ พยี งเลก็ นอ้ ย กเ็ ปน็ เรอื่ งทโี่ ตเ้ ถยี งกนั มากในหมนู่ กั วชิ าการวา่
สมควรหรือไม่๓ ท่านผู้พิพากษาเบราเออร์ แห่งศาลสูงสุดแฮมเบอร์ก กล่าวว่า ในการเรียงคำ
พิพากษานั้นควรอาศัยความรู้ความสามารถในเชิงกวีนิพนธ์ประกอบด้วย จริงอยู่ที่ว่าคำร้อย
กรองและทำนองในโคลงฉันท์กาพย์กลอนจะเป็นคนละเรื่องกับคำพิพากษาก็ตาม แต่ก็ม
ี
กฎเกณฑ์ในเร่ืองลีลาในการสกัดความหมายให้เข้าร่องรอยเข้าแบบแผนในทำนองเดียวกัน
นอกจากน้ัน การเรียงคำพิพากษายังต้องอาศัยแรงดลใจเช่นเดียวกับกวีนิพนธ์ แตกต่างกัน
๒ Sir Henry Slesser, The Art of Judgement (London : Stevens & Sons Ltd., 1961), Foreword p. VII.
๓ Walter O. Weyrauch, “The Art of Drafting Judgments : A Modified German Case Method,” Journal
of Legal Education 9 (1956) : 316.
ส่วนที่ ๑ ความรู้ท่ัวไป
11
เฉพาะแตเ่ รอื่ งกวนี พิ นธน์ น้ั ตอ้ งมเี รอ่ื งของอารมณแ์ ฝงอยดู่ ว้ ย สว่ นการเรยี งคำพพิ ากษานนั้ จะม
ี
เรอื่ งอารมณ์เขา้ มาข้องเกีย่ วมไิ ดเ้ ป็นอนั ขาด นอกจากนี้ การเรียงคำพพิ ากษาของศาลเยอรมัน
ยงั มเี กณฑก์ ำหนดอนั นา่ คดิ อกี หลายประการ เปน็ ตน้ วา่ ในคำพพิ ากษาจะกลา่ ววา่ วนิ จิ ฉยั เชน่ น
ี้
เป็นการถูกต้องแล้วไม่ได้ เพราะการกล่าวเช่นนั้นไม่จำเป็น คำพิพากษาต้องวินิจฉัยคดีตาม
กฎหมาย และเปน็ ท่เี ขา้ ใจกันอยู่แลว้ เชน่ นัน้ โดยไมต่ อ้ งกลา่ วไว้ คำกล่าวในคำพพิ ากษาตอ้ ง
เปน็ คำกลา่ วท่สี ั้นทีส่ ดุ มีความหมายกว้างขวางและลกึ ซ้ึงมากท่ีสดุ ดว้ ย และจะต้องกล่าว
เฉพาะเรอ่ื งในประเดน็ เทา่ นน้ั ตามคำแนะนำวา่ ดว้ ยการเรยี งคำพพิ ากษามกี ลา่ วไวด้ ว้ ยวา่ ภาษา
ทใี่ ชใ้ นคำพพิ ากษาตอ้ งสภุ าพ งา่ ย เรยี บ ถกู ตอ้ ง และตอ้ งไมผ่ าดโผน เหตผุ ลทใ่ี หป้ ระกอบ
ในการวินิจฉัยคดีนั้นต้องไม่ฟุ่มเฟือย เพราะการให้เหตุผลมากกลับเป็นการเปิดช่องให้มีการ
โตแ้ ยง้ ไดม้ าก นอกจากนน้ั นักกฎหมายเยอรมนั ถอื วา่ ผ้พู ิพากษาควรรกั ษาเกยี รตภิ มู ิและศักดิ์
ของตนโดยไมถ่ ่อมตัวลงมาโตเ้ ถียงกับคคู่ วาม คำพิพากษายิ่งสัน้ เทา่ ไรยง่ิ ดเี ทา่ น้นั โดยปกตใิ ห
้
เหตผุ ลเพยี งขอ้ เดยี ว มฉิ ะนน้ั แลว้ อาจเปน็ การแสดงวา่ เหตผุ ลออ่ น การวพิ ากษว์ จิ ารณศ์ าลลา่ งก
็
ดี คู่ความกด็ ี ทนายกด็ ี เปน็ ส่งิ ไมพ่ งึ กระทำอย่างย่ิง ความเห็นแยง้ มีไมไ่ ดไ้ ม่ว่าในระดับศาลใด
เพราะขัดต่อเจตนารมณ์แห่งกระบวนการยุติธรรมของเยอรมันในแง่ท่ีว่าเป็นการเปิดเผยการ
ประชมุ ปรกึ ษาคดขี องศาลอนั เปน็ ความลบั ของศาล และเปน็ การสบประมาทผพู้ พิ ากษารว่ มองค
์
คณะด้วย การอา้ งอิงคำพพิ ากษาศาลสงู กด็ ี การอา้ งองิ ความคดิ เห็นของนักนิติศาสตรก์ ด็ ี ควร
กระทำให้น้อยที่สุดที่จะน้อยได้ เพราะเป็นการเสื่อมภูมิธรรมของศาลน้ัน ๆ เองที่ต้องอ้าง
ความเหน็ ของผอู้ น่ื สนบั สนนุ ความเหน็ ของตนเอง ในการตคี วามกฎหมาย การอา้ งองิ ควรอา้ งองิ
เฉพาะตวั บทกฎหมายเทา่ น้ัน
ข้อพึงสังเกตอีกประการหนึ่ง คือ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพง่ ของเยอรมนั ค.ศ. ๑๘๗๗ มาตรา ๓๑๕ (๒) นน้ั ศาลจะตอ้ งเรยี งคำพพิ ากษาใหเ้ สรจ็
ภายในกำหนดเวลาเจ็ดวันนับแต่วันท่ีเสร็จการพิจารณา ผู้พิพากษาเยอรมันจึงต้องเรียงคำ
พพิ ากษาแข่งกับเวลาเสมอ
ว่าถึงเรื่องความส้ันยาวของคำพิพากษานั้น เม่ือเปรียบเทียบคำพิพากษาอันเกี่ยวด้วย
ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายทำนองเดียวกันแล้ว คำพิพากษาของศาลเยอรมันส้ันกว่าคำ
พพิ ากษาของศาลอเมรกิ นั ถงึ สบิ เทา่ ตวั ทา่ นผพู้ พิ ากษาเบราเออร์ แหง่ ศาลสงู สดุ แฮมเบอรก์ ให
้
คำแนะนำแกน่ กั ศกึ ษาผฝู้ กึ งานศาลวา่ ตอ้ งหดั ยอ่ ความ โดยยอ่ เรอื่ งในประเดน็ แหง่ คดจี าก
สิบหนา้ ใหเ้ หลอื เพียงสามประโยคสนั้ ๆ ได้ โดยไมใ่ ห้เสียเน้อื หาสาระเลยแมแ้ ต่น้อย ๔
ส่วนในด้านการหาเหตุผลในการวินิจฉัยคดีน้ัน ในทางตรรกวิทยามีวิธีการขบปัญหาอัน
นา่ คดิ ของศาลอเมรกิ นั วธิ หี นง่ึ ซงึ่ นา่ จะนำมาปรบั ใชก้ บั การเรยี งคำพพิ ากษาได้ วธิ กี ารขบปญั หา
ทว่ี า่ นไ้ี ดม้ กี ารพสิ จู นท์ ดลองแลว้ ปรากฏวา่ ผทู้ ไี่ ดร้ บั การฝกึ ฝนวธิ ขี บปญั หานไี้ ดร้ บั ผลประโยชน
์
๔ Ibid.
12 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉยั คดี
อันมหาศาล ในระหว่างผู้ที่มีพื้นความรู้และสติปัญญาความสามารถในระดับเดียวกันนั้น ผู้ที
่
ไดร้ บั การฝกึ ฝนวธิ ีขบปญั หานี้มคี วามสามารถและเกง่ กวา่ ผทู้ ไี่ มเ่ คยไดร้ บั การฝกึ ฝนเลยถงึ รอ้ ย
ละเก้าสิบส่ี วิธีการขบปัญหาท่ีว่าน้ี คือ (ก) เร่ิมด้วยการพิจารณาปัญหาว่า มีประเด็นอะไรที่
จะต้องขบบ้าง (ข) จากน้ันพยายามคิดหาหนทางต่าง ๆ ที่จะขบปัญหาในประเด็นนั้น ๆ ทุก
วิถีทางที่จะคิดได้ (ค) ลืมปัญหาน้ันเสียช่ัวคราวเพ่ือว่าอาจมีแรงดลใจให้คิดหาหนทางท่ีจะขบ
ปญั หานน้ั ไดด้ กี วา่ ทจ่ี ะคดิ ไวไ้ ดแ้ ลว้ และ (ง) ชงั่ นำ้ หนกั และเหตผุ ลในบรรดาหนทางขบปญั หาท
่ี
คิดไวไ้ ดแ้ ลว้ เลอื กเอาหนทางทดี่ ีทสี่ ดุ และปฏบิ ัตติ ามน้ัน ๕
สำหรับหลักแหง่ การเรยี งคำพิพากษาของศาลไทยน้นั บรรณาธกิ ารยงั จดจำถ้อยคำ
ของทา่ นผพู้ พิ ากษาอาวโุ สผหู้ นง่ึ ทไี่ ดเ้ ออื้ เฟอื้ ใหค้ ำแนะนำไวว้ า่ คำพพิ ากษาทดี่ ที ส่ี ดุ นน้ั จะ
เรยี งอยา่ งไรกต็ าม จะตอ้ งใหค้ คู่ วามทกุ ฝา่ ยหายสงสยั หายขอ้ งใจในคดนี น้ั ๆ วา่ เหตใุ ด
ศาลจงึ วนิ จิ ฉยั เชน่ นนั้ คำแนะนำนม้ี คี า่ เปน็ “อมตะ” อนั แทจ้ รงิ และกไ็ ดบ้ ง่ แสดงชดั อยใู่ นตวั วา่
หัวใจของคำพิพากษาอยทู่ ี่ “เหตผุ ล” นัน่ เอง
เม่ือเราได้พิจารณาในเบ้ืองต้นถึงข้อควรคิดและเร่ืองท่ีน่าสนใจในคำพิพากษาของศาล
ต่างประเทศและศาลไทยแล้ว ก็น่าจะวิจัยว่ามีส่ิงใดดีเด่นอันอาจเป็นประโยชน์แก่การเรียงคำ
พพิ ากษาและการปรบั ปรงุ แกไ้ ขบทบญั ญตั แิ หง่ กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความของเราในสว่ นทเ่ี กย่ี ว
ดว้ ยคำพพิ ากษาบ้าง
ตามความคิดเห็นของท่านศาสตราจารย์ลอร์สันแล้ว ดูประหน่ึงว่าคำพิพากษาของศาล
อังกฤษน้ันดีเด่นเพริศพร้ิงย่ิงนัก แม้ท่านจะใช้เพียงคำว่า “ส่วนมาก” ก็ตาม ถ้าพิจารณาโดย
ความเป็นธรรมแล้ว คำพิพากษาของศาลอังกฤษท่ีอ่านเข้าใจยากและมีความยุ่งยากก็มีอยู่ไม่
น้อยเหมือนกัน ดังเช่นท่ีเคยมีท่านศาสตราจารย์สอนวิชากฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน
ท่านหนงึ่ ปรารภวา่ คำพิพากษาของศาลองั กฤษบางฉบับนน้ั ทา่ นศึกษามาตั้งแตเ่ ป็นนักเรยี น
กฎหมายจนกระท่ังปัจจุบันก็อายุล่วงเข้า ๗๐ ปี เศษแล้ว ท่านก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจนักว่าศาล
ตดั สนิ วา่ อยา่ งไร ? จรงิ อยคู่ ำพพิ ากษาทำนองนม้ี อี ยไู่ มม่ ากนกั ในระบบศาลองั กฤษ แตท่ วา่ การ
ที่คำพิพากษาอยู่ในระดับดีไม่ถึงขนาดก็ดี ขัดกับคำพิพากษาฉบับอื่น ๆ ก็ดี ในระบบศาล
อังกฤษส่งผลรุนแรงกว่าคำพิพากษาในระบบศาลของประเทศท่ีใช้ประมวลกฎหมาย เช่น
ประเทศในภาคพนื้ ยโุ รป และไทย เพราะคำพพิ ากษาของศาลองั กฤษมผี ลใชบ้ งั คบั เปน็ กฎหมาย
ด้วย เม่ือมีความผิดพลาดหรือวินิจฉัยไว้ไม่รัดกุม ย่อมเป็นการผูกพันศาลอังกฤษในระดับ
เดยี วกนั หรอื ตำ่ กวา่ ในอนั ทจี่ ะวนิ จิ ฉยั คดที ม่ี ปี ญั หาขอ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ กฎหมายทำนองเดยี วกนั ใน
ภายหนา้ ดว้ ย ดว้ ยเหตนุ ใี้ นระบบศาลองั กฤษจงึ ตอ้ งมเี ทคนคิ ในการกำหนดคำพพิ ากษาอนั จะถอื
เปน็ บรรทดั ฐานทเ่ี รยี กวา่ “doctrine of precedent” ซง่ึ อาจกลา่ วโดยสงั เขปไดว้ า่ เฉพาะเหตผุ ล
แหง่ การวนิ ิจฉยั คดี (ratio decidendi) เทา่ นัน้ ทถ่ี ือเปน็ กฎหมายผกู พนั ศาลนน้ั เองหรือศาลทีม่
ี
๕ Balke Clark, “How to Think Creatively,” The Reader’ s Digest (October 1960) : 66 – 70.
สว่ นท่ี ๑ ความร้ทู ว่ั ไป
13
ศกั ดร์ิ องลงมาวา่ จะตอ้ งวนิ จิ ฉยั คดที มี่ ปี ญั หาขอ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ กฎหมายทำนองเดยี วกนั ตามนนั้
(ทงั้ นี้ มขี อ้ ยกเวน้ บางประการ) สว่ นคำกลา่ วในคดี (obiter dictum) นนั้ ไมม่ ผี ลผกู พนั แตอ่ ยา่ งไร
สำหรบั ในเรอ่ื งเหตผุ ลแหง่ การวนิ จิ ฉยั คดี (ratio decidendi) ในคำพพิ ากษาของศาลองั กฤษนนั้
โดยทั่วไปนับได้ว่าเป็นแบบฉบับอันดีในเชิงการเรียงคำพิพากษาทีเดียว ห้วงเหตุและห้วงผล
ประสมประสานกลมกลืนกันดี และจุดประสงค์ของเหตุผลในคำพิพากษาก็เป็นเช่นเดียวกับ
เหตุผลของคำพิพากษาศาลไทยที่มุ่งหมายให้คู่ความทุกฝ่ายหายสงสัยหายข้องใจในคดีน้ัน ๆ
ว่าเหตุใดศาลจึงวินิจฉัยเช่นนั้น เป็นแต่เพียงมองในแง่ต่างกัน ดังท่ีท่านศาสตราจารย์ลอร์สัน
กล่าววา่ เพ่ือใหค้ ู่ความและผดู้ ำเนนิ วชิ าชีพกฎหมายมัน่ ใจวา่ คำพพิ ากษาของท่านถกู ต้อง
สว่ นคำพพิ ากษาของศาลฝรง่ั เศสนนั้ บรรณาธกิ ารคดิ วา่ นา่ จะมสี ว่ นดสี ว่ นเดน่ อยไู่ มม่ าก
ก็น้อย และคงจะไม่เป็นดังที่ท่านศาสตราจารย์ลอร์สันกล่าวไว้เสียทีเดียว เพราะดูแต่เพียงคำ
พพิ ากษาของศาลเยอรมนั กย็ งั มสี ว่ นทดี่ เี ดน่ นา่ สนใจกวา่ ทท่ี า่ นกลา่ วไวเ้ สยี แลว้ อยา่ งไรกด็ ี เปน็
ทน่ี า่ เสยี ดายทบ่ี รรณาธกิ ารไมอ่ าจหาเอกสารอา้ งองิ อนั เกยี่ วกบั คำพพิ ากษาของศาลฝรงั่ เศสมา
ค้นควา้ เรียบเรียงไดใ้ นขณะนี้ บางทที า่ นสมาชกิ “ดุลพาห” ท่ีศึกษาและสนใจในระบบศาลของ
ฝร่ังเศสอาจให้ความกระจ่างและเสนอข้อดีเด่นในเร่ืองคำพิพากษาของศาลฝรั่งเศสในแง่
ตา่ ง ๆ ไดโ้ ดยเออื้ เฟอ้ื เรยี บเรยี งเปน็ บทความหรอื ขอ้ คดิ เหน็ มาลง “ดลุ พาห” ในอนาคตอนั ใกลน้ ี้
ถา้ เปน็ ได้ย่อมเป็นประโยชนแ์ ละวิทยาทานแก่ท่านผอู้ ่าน “ดุลพาห” โดยทัว่ กัน
เมื่อพิจารณาถึงคำพิพากษาของศาลเยอรมัน จะเห็นได้ว่ามีส่วนดีเด่นหลายประการ
โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในดา้ นพถิ พี ถิ นั ในเรอื่ งภาษาในคำพพิ ากษา ประโยคทกุ ประโยค คำทกุ
คำ ตอ้ งใชโ้ ดยประหยดั และเลอื กใหต้ รงตามความมงุ่ หมาย และถอื วา่ เปน็ ศลิ ปะในทำนอง
เดยี วกบั กวนี พิ นธ์ นอกจากนน้ั ขอ้ กำหนดทว่ี า่ การวพิ ากษว์ จิ ารณศ์ าลลา่ งกด็ ี คคู่ วามกด็ ี ทนาย
ก็ดี เป็นสิ่งอันไม่พึงกระทำน้ัน ก็เป็นข้อท่ีควรคิดคำนึงย่ิงนักว่ามีเหตุผลอันสมควรหรือไม ่
อยา่ งไรกด็ ี มลี กั ษณะสำคญั อยู่ ๒ ประการ ในเกณฑก์ ำหนดแหง่ คำพพิ ากษาของศาลเยอรมนั ท
ี่
น่าไดร้ บั การพิจารณาโดยละเอียด กล่าวคือ
(ก) เหตผุ ลในคำพพิ ากษานนั้ โดยปกตใิ หเ้ พยี งขอ้ เดยี ว มฉิ ะนนั้ แลว้ อาจเปน็ การแสดงวา่
เหตผุ ลออ่ น และการใหเ้ หตผุ ลมากกลบั เปน็ การเปดิ ชอ่ งใหม้ กี ารโตแ้ ยง้ ไดม้ ากนน้ั บรรณาธกิ าร
มคี วามเหน็ สว่ นตวั วา่ เหตผุ ลดงั กลา่ วนา่ จะมนี ำ้ หนกั นอ้ ย ถา้ หากเหตผุ ลทใี่ หป้ ระกอบคำวนิ จิ ฉยั
นั้นหนักแน่นแล้ว ย่อมหาทางโต้แย้งได้ยาก กับทั้งในกรณีที่มีเหตุผลหลายข้อ แต่ละข้อ
ประสานกันและสนับสนุนซึ่งกันและกันแล้ว จะเป็นเรื่องที่แสดงว่าเหตุผลอ่อนได้อย่างไร
นอกจากน้ี การทผี่ พู้ พิ ากษาใหเ้ หตผุ ลในคำพพิ ากษาหลายประการ ถา้ หากไมเ่ ปน็ การฟมุ่ เฟอื ย
เกินไปแลว้ ย่อมถอื ไมไ่ ดเ้ ลยวา่ ผ้พู พิ ากษาถอ่ มตัวลงมาโตเ้ ถยี งกับคคู่ วาม ความจรงิ แลว้ น่าจะ
กล่าวได้ว่า การให้เหตุผลประกอบคำพิพากษานั้นจะมีมากน้อยเพียงไรย่อมข้ึนอยู่กับ
เน้ือหาสาระของคดีเป็นเร่ืองเป็นรายไป หากเหตุผลท่ีให้ประกอบคำวินิจฉัยน้ันหนัก
14 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉยั คดี
แน่นและสนับสนุนซ่ึงกันและกันแล้ว แม้จะมีมากมายหลายประการ ก็น่าจะแสดงให
้
ปรากฏในคำพิพากษาท้ังสิ้น ในเรื่องน้ีจะสังเกตได้ว่าศาลอังกฤษเดินไกลมาก กล่าวคือ ผ
ู้
พพิ ากษาแตล่ ะทา่ นเรยี งคำพพิ ากษาของทา่ นเอง ไมว่ า่ จะมคี วามเหน็ พอ้ งตอ้ งกนั ในผลแหง่ คด
ี
หรอื ไมก่ ต็ าม ในกรณที เี่ หน็ พอ้ งตอ้ งกนั ในผลแหง่ คดี ผพู้ พิ ากษาแตล่ ะทา่ นอาจมเี หตผุ ลตา่ งกนั
หรือมีเหตุผลเพิ่มเติมก็ได้ การท่ีลงนามร่วมเป็นองค์คณะว่าเห็นพ้องด้วยเพียงแค่นั้นก็มี
เหมอื นกัน แต่น้อยกวา่ ท่ีมคี ำพพิ ากษาเป็นเอกเทศ
(ข) ในคำพิพากษาของศาลเยอรมันน้ันจะมีความเห็นแย้งไม่ได้ เพราะเป็นการเปิดเผย
การประชมุ ปรกึ ษาคดขี องศาลอนั เปน็ ความลบั ของศาล และเปน็ การสบประมาทผพู้ พิ ากษารว่ ม
องคค์ ณะดว้ ยนน้ั หลกั การในเรอื่ งความเหน็ แยง้ ของศาลเยอรมนั นก้ี เ็ ปน็ เชน่ เดยี วกบั หลกั การใน
กฎหมายวิธสี บญั ญัตขิ องเราซง่ึ ห้ามมิใหม้ ีความเหน็ แย้งในช้ันศาลฎกี า (ป.ว.ิ พ. มาตรา ๑๔๐
(๒) และ ป.ว.ิ อ. มาตรา ๒๒๕) สำหรบั เหตผุ ลแหง่ การหา้ มมใิ หม้ คี วามเหน็ แยง้ ในชนั้ ศาลฎกี าน ี้
มที า่ นผทู้ รงคณุ วฒุ บิ างทา่ นใหก้ ารอรรถาธบิ ายไวใ้ นเรอื่ งเกย่ี วกบั ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณา
ความอาญา ดงั นี้ “......ในชน้ั ศาลฎกี าหา้ มมใิ หท้ ำความเหน็ แยง้ ทง้ั นก้ี ค็ อื ในชนั้ ศาลฎกี าทม่ี อี งค
์
คณะ ๓ คน นั้น ฝ่ายที่เห็นข้างน้อยจะต้องลงนามพิพากษาด้วยฝ่ายที่เห็นข้างมาก จะทำ
ความเหน็ แย้งมไิ ด้ เหตุผลกค็ งเปน็ ว่า เพราะเป็นศาลสูงสุดแลว้ ” ๖ และ “......ผูพ้ พิ ากษาต้องลง
นามในคำพพิ ากษาตามความเหน็ ของฝา่ ยขา้ งมาก จะทำความเหน็ แยง้ เหมอื นในศาลชนั้ ตน้ และ
ศาลอทุ ธรณไ์ มไ่ ด้ ทง้ั นี้ กเ็ พราะศาลฎกี าเปน็ ศาลสงู สดุ คดที ศี่ าลฎกี าไดพ้ พิ ากษาแลว้ เปน็ อนั ถงึ
ท่ีสดุ ไมม่ ที างดำเนนิ คดตี อ่ ไปได้อีก จงึ ไมค่ วรมคี วามเห็นแยง้ แต่ประการใด” ๗
ในเบื้องแรกเราสมควรพิจารณาดูเหตุผลของการห้ามมิให้มีความเห็นแย้งเหล่าน้ีโดย
ละเอียดเสียก่อนว่ามีนำ้ หนกั หนกั แน่นหรือไมเ่ พยี งไร? เหตผุ ลทีว่ า่ เปน็ การเปิดเผยการประชมุ
ปรกึ ษาคดขี องศาลอนั เปน็ ความลบั ของศาลนน้ั นา่ จะมนี ำ้ หนกั นอ้ ย เพราะในคำพพิ ากษากด็ ี ใน
ความเห็นแย้ง (ถ้ามี) ก็ดี มิได้นำเอารายงานการประชุมปรึกษาคดีมาแสดง แต่ได้มีการ
กลน่ั กรองสกดั เอาเฉพาะสารตั ถะมาเรยี บเรยี งตามแบบฉบบั ของคำพพิ ากษาตา่ งหาก จะถอื วา่
เป็นการเปิดเผยความลับของศาลย่อมไม่ได้ อน่ึง กรณีจะเป็นประการใดก็ตาม หากถือว่า
ความเห็นแย้งเป็นการเปิดเผยการประชุมปรึกษาคดีของศาลแล้ว ย่อมต้องถือด้วยว่าคำ
พพิ ากษาของศาลนน้ั เองกเ็ ปน็ การเปดิ เผยการประชมุ ปรกึ ษาคดขี องศาลเหมอื นกนั สว่ นเหตผุ ล
ที่ว่าความเหน็ แย้งเป็นการสบประมาทผู้พพิ ากษารว่ มองค์คณะนน้ั ย่อมฟังไม่ข้ึน เพราะถ้าหาก
จะมองในมมุ กลบั วา่ เพยี งแตม่ คี วามเหน็ ขดั แยง้ และแสดงขอ้ คดิ เหน็ แยง้ เทา่ นน้ั กถ็ อื เสยี วา่ เปน็
๖ สัญญา ธรรมศักดิ์, คำบรรยายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ. ๒๔๘๗ (กรุงเทพ-
มหานคร : โรงพมิ พ์มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตรแ์ ละการเมอื ง, ๒๔๘๗), หน้า ๒๒๐.
๗ ทวี เจริญพิทักษ์, คำอธิบายโดยพิสดารและระเบียบปฏิบัติ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญา, พิมพค์ รงั้ ท่ี ๒. (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์อกั ษรสารการพิมพ์, ๒๔๙๗), หนา้ ๗๘๓ – ๗๘๔.
ส่วนท่ี ๑ ความร้ทู ั่วไป
15
การสบประมาทแล้ว ส่วนการท่ีไม่ยอมรับฟังความเห็นฝ่ายข้างน้อยเอาเสียเลยน้ันจะมิยิ่งเป็น
การสบประมาทฝา่ ยขา้ งนอ้ ยอยา่ งรา้ ยแรงกวา่ หรอื ? และดว้ ยความเคารพตอ่ ทา่ นผทู้ รงคณุ วฒุ
ิ
ในกฎหมายไทยทง้ั สองทา่ น บรรณาธกิ ารกย็ งั มคี วามเหน็ วา่ แมว้ า่ ศาลฎกี าจะเปน็ ศาลสงู สดุ ไม
่
อาจมีการอุทธรณ์ฎีกากันต่อไปอีกก็ตาม ก็ไม่น่าจะมีส่วนกระทบกระเทือนถึงเร่ืองการท่ีจะ
อนญุ าตหรอื ไมอ่ นญุ าตใหม้ คี วามเหน็ แยง้ เลย เพราะใชว่ า่ คคู่ วามทแ่ี พค้ ดจี ะเชอื่ วา่ ตนแพค้ ดโี ดย
คะแนนเสยี งชน้ั ศาลฎกี าโดยเอกฉนั ทก์ ห็ าไม่ คคู่ วามบางคนอาจจะสงสยั อยเู่ สมอกไ็ ดว้ า่ ตนแพก้
็
เพยี งแพค้ ะแนนเสยี งฝา่ ยขา้ งมากเทา่ นน้ั จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ การทหี่ า้ มมใิ หม้ คี วามเหน็ แยง้ ในชนั้
ศาลฎีกาของระบบศาลไทยมิได้สนับสนุนหลักสำคัญท่ีกล่าวข้างต้นว่า ต้องให้คู่ความทุกฝ่าย
หายสงสยั หายข้องใจในคดีนั้น ๆ ว่าเหตใุ ดศาลจงึ วนิ จิ ฉยั เชน่ นน้ั แตป่ ระการใดเลย
ตรงข้ามถ้าหากมบี ทบัญญัติแห่งกฎหมายให้มีการทำความเห็นแย้งในชั้นศาลฎีกาไดด้ ั่ง
เชน่ ในระบบศาลองั กฤษและศาลของสหรฐั อเมรกิ าไดแ้ ลว้ ยอ่ มเปน็ การสนบั สนนุ หลกั การสำคญั
ของระบบการศาลทใี่ หอ้ ำนาจอสิ ระในการพจิ ารณาพพิ ากษาคดแี กผ่ พู้ พิ ากษาโดยไมบ่ งั คบั ใหผ้ ู้
พพิ ากษาทมี่ คี วามเหน็ ขา้ งนอ้ ยจำตอ้ งยอมรบั และเหน็ ตามฝา่ ยขา้ งมาก กบั ทง้ั เปน็ เรอ่ื งทตี่ รงกบั
ความเปน็ จรงิ และเปน็ ไปตามความสมคั รใจและมโนธรรมของผพู้ พิ ากษาแตล่ ะทา่ นดว้ ย อยา่ งไร
กด็ ี ทา่ นผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ า่ นหนงึ่ มคี วามเหน็ วา่ จะอา้ งเอากฎหมายองั กฤษมาสนบั สนนุ เรอ่ื งนไี้ มไ่ ด ้
เพราะประเทศอังกฤษน้ันต่างกันกับประเทศไทย ผู้คน ชีวติ จิตใจกต็ ่างกัน ระดับการศกึ ษาก็
ต่างกัน แม้ศาลสูงอังกฤษจะมีความเห็นแย้งได้ ศาลฎีกาไทยก็ไม่น่าจะมี ด้วยความเคารพต่อ
ความเห็นของท่านผู้ทรงคุณวุฒิท่านน้ัน ในเบื้องแรกเราต้องยอมรับว่าประเทศอังกฤษกับ
ประเทศไทยนั้นแตกต่างกันมากมายหลายประการก็จริง แต่บรรณาธิการยังมองไม่เห็นข้อ
แตกตา่ งข้อใดแมแ้ ต่ขอ้ เดยี วท่สี นับสนุนใหม้ คี วามเหน็ แย้งในคำพพิ ากษาของศาลสูงอังกฤษได
้
โดยชอบ แตข่ อ้ แตกตา่ งขอ้ นน้ั เองกลบั เปน็ อปุ สรรคตอ่ ความชอบธรรมในอนั ทศ่ี าลฎกี าไทยจะมี
ความเหน็ แย้งได้
อนงึ่ ในแงว่ ชิ าการแลว้ ความเหน็ แยง้ ยอ่ มเปน็ มลู ฐานสำคญั อนั หนงึ่ สำหรบั ศาลสงู ในอนั
ท่ีจะพิจารณาหาเหตุผลหักล้างให้รัดกุมและเด็ดขาดในคดีนั้นเอง กับทั้งในคดีท่ีอาจเกิดข้ึนใน
ภายหนา้ ทม่ี ปี ญั หาของกฎหมายทำนองเดยี วกนั ศาลฎกี าอาจเปลย่ี นความเหน็ มาเหน็ พอ้ งดว้ ย
ความเห็นแย้งในคดีก่อนก็ได้ หากไม่เห็นพ้องด้วย ก็ต้องมีเหตุผลที่หนักแน่นมาหักล้างด้วย
เช่นเดียวกัน ซ่ึงกระบวนการดังว่านี้ย่อมเป็นทางนำมาซ่ึงความละเอียดและลึกซ้ึงแห่งแนวคิด
และเหตผุ ลในกฎหมายโดยตรง นอกจากนน้ั แม้จะมองในแงค่ ู่ความก็ตาม หลักการท่ียอมใหม้
ี
ความเหน็ แยง้ ในชน้ั ศาลฎกี ายอ่ มตอ้ งดว้ ยหลกั สามญั สำนกึ และหลกั จติ วทิ ยาดว้ ยในแงท่ ว่ี า่ การ
ทตี่ นแพช้ นะโดยคะแนนเสยี งอยา่ งไร ยอ่ มเปน็ ทป่ี ระจกั ษ์ และในกรณแี พค้ ดแี ละไมม่ คี วามเหน็
แย้งย่อมเป็นการแสดงชัดแจ้งในตัวว่ารูปคดีของตนอ่อนจริง ๆ ความเห็นของศาลจึงเป็นเอก
ฉนั ทใ์ หต้ นเปน็ ฝา่ ยแพ้ นำ้ หนกั ความเหน็ เอกฉนั ทอ์ นั แทจ้ รงิ ของศาลนน้ั ยอ่ มมมี าก ตรงขา้ มใน
กรณที ศี่ าลพพิ ากษาใหแ้ พค้ ดี แตม่ คี วามเหน็ แยง้ คคู่ วามทแ่ี พค้ ดกี ย็ งั รสู้ กึ อบอนุ่ และหายขอ้ งใจ
16 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉัยคด
ี
ในแงท่ ว่ี า่ แมจ้ ะแพก้ แ็ พเ้ พราะเสยี งขา้ งมากเทา่ นนั้ หากเราจะลองหวนไปคดิ ดกู รณปี ราสาทพระ
วหิ ารบา้ ง เราทา่ นกร็ สู้ กึ ขมขน่ื ใจเปน็ ทยี่ ง่ิ ทเ่ี ราตอ้ งสญู เสยี เขาพระวหิ ารไป แตเ่ ราจะรสู้ กึ เจบ็ ชำ้
น้ำใจขึ้นอีกเพียงไร หากเรามิได้มีโอกาสได้ฟังความเห็นแย้งจากท่านผู้พิพากษา ๓ ท่าน ใน
บรรดาผพู้ พิ ากษาชน้ั ยอดของศาลโลกทง้ั หลายนน้ั เลย กบั ทงั้ จะทำใหเ้ ราสงสยั และขอ้ งใจในการ
แพค้ ดยี ง่ิ ขน้ึ อกี การทเี่ รายงั มคี วามรสู้ กึ อบอนุ่ และหยงิ่ ในสทิ ธโิ ดยธรรมของเราอยา่ งเตม็ ภาคภมู
ิ
กเ็ พราะความเห็นแยง้ ของท่านผู้พิพากษาของศาลโลกทง้ั ๓ ท่าน นี้แหละ ในกรณมี ีข้อพพิ าท
น้ัน ไม่ว่ารัฐหรือบุคคลธรรมดาเป็นคู่กรณีก็ตาม น่าจะกล่าวได้ว่าผลแห่งคำพิพากษาน้ันย่อม
กระทบกระเทอื นตอ่ ความรสู้ กึ อนั เปน็ ความรสู้ กึ ของมนษุ ยป์ ถุ ชุ นเทา่ เทยี มกนั ทกุ ประการ กรณ
ี
จึงมเี หตผุ ลสมควรยิ่งที่จะอนญุ าตให้มีความเห็นแย้งไดท้ กุ ระดับศาล
ส่วนในด้านวิธีการเรียงคำพิพากษาโดยตรงนั้น ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้นว่ามิใช่เป็น
เพียงเรื่องเทคนิค แต่เป็นเร่ืองของศิลปะด้วย จึงเป็นเร่ืองท่ีต้องฝึกฝนและสนใจ และ
เป็นเรื่องเฉพาะตัวตุลาการแต่ละท่านโดยแท้ แต่ละท่านก็มีวิธีการของท่านเอง แต่ก็อาจ
กล่าวได้อย่างกว้าง ๆ ว่า คำพิพากษาจะดีแค่ไหนเพียงใดน้ัน นอกจากจะต้องปฏิบัติ
ตามบทบญั ญัติอนั วา่ ดว้ ยคำพพิ ากษาโดยเฉพาะแล้ว ความสำคญั ย่อมอยู่ทีเ่ หตุผลที่ให้
ประกอบคำวนิ จิ ฉยั วา่ หนกั แนน่ กระจา่ งชดั เพยี งไร คคู่ วามทกุ ฝา่ ยหายสงสยั หายขอ้ งใจ
วา่ เหตใุ ดศาลจงึ วนิ จิ ฉยั เชน่ นนั้ สว่ นความสน้ั ยาวของคำพพิ ากษายอ่ มอยทู่ เี่ นอื้ หาสาระแหง่
คดเี ฉพาะเรื่องเฉพาะราย ลลี าการเขยี นทีด่ ที ส่ี ุดกค็ อื เขียนสัน้ ทส่ี ุด แตไ่ ดค้ วามมากและ
ชดั แจ้งท่สี ดุ หลักการเหล่าน้เี ปน็ หลักการสากลอนั อาจนำมาพิจารณาในการเรยี งคำพิพากษา
ของศาลไทยเราได้เป็นอย่างดี อันที่จริงคำพิพากษาของศาลไทยท่ีมีคุณภาพสูงมาก
โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในดา้ น “เหตผุ ล” นนั้ ความจรงิ มใิ ชม่ แี ตเ่ ฉพาะคำพพิ ากษาศาลฎกี าสว่ น
ใหญเ่ ทา่ นน้ั แมค้ ำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณแ์ ละศาลชนั้ ตน้ กม็ อี ยเู่ ปน็ จำนวนมาก แตเ่ ปน็ ทน่ี า่
เสยี ดายทม่ี ไิ ดม้ กี ารจดั พมิ พเ์ ผยแพรด่ งั ทปี่ ฏบิ ตั กิ นั ในตา่ งประเทศ มฉิ ะนน้ั เราคงจะมวี รรณกรรม
ทางกฎหมายเพม่ิ ขน้ึ อกี เปน็ จำนวนมากอนั จะเปน็ ประโยชนไ์ มเ่ ฉพาะในดา้ นปญั หากฎหมาย แต
่
เป็นประโยชน์ในด้านศึกษาหาเหตุผลในคำพพิ ากษาดว้ ย
สว่ นท่ี ๑ ความรทู้ ่วั ไป
17
ขอ้ สงั เกตในการเขยี นคำพพิ ากษา *
ศาสตราจารยจ์ ติ ติ ตงิ ศภัทยิ ์
๑. มีรายการครบถว้ นตามที่กฎหมายกำหนด
๒. ฟอ้ ง คำใหก้ าร คำค่คู วามกลา่ วโดยย่อเท่าทเ่ี ป็นประเดน็
๓. ขอ้ ทไี่ ดช้ ส้ี องสถาน ทสี่ อบถามรบั หรอื ไมร่ บั กนั แผนทว่ี วิ าท๑ ประเดน็ ขอ้ พพิ าททกี่ ะ
ไวห้ รอื ทเ่ี กิดจากคำคูค่ วาม หากซับซ้อนอันจำตอ้ งกลา่ ว
๔. ข้อเท็จจรงิ เบือ้ งตน้ ท่ีคำพยานไม่เถียงกนั
๕. ขอ้ นำสบื ของแตล่ ะฝา่ ยตามลำดบั ทน่ี ำสบื กลา่ วใจความโดยยอ่ และสรปุ เปน็ เนอื้ เรอื่ ง
ไมก่ ล่าวเป็นรายตวั พยาน
๖. คำวนิ จิ ฉยั ขอ้ เทจ็ จรงิ และเหตผุ ลเชอ่ื ขอ้ ไหน เพราะเหตใุ ด กลา่ วใหช้ ดั เจน หรอื เพยี ง
ยังเชื่อข้อที่นำสบื ไมไ่ ด้ คอื นำสบื ไมส่ ม หรอื ไมพ่ อฟงั หกั ล้างขอ้ สันนษิ ฐาน
๗. คำวนิ จิ ฉยั ขอ้ กฎหมายและเหตผุ ล ปรบั ขอ้ เทจ็ จรงิ เขา้ กบั บทกฎหมาย อา้ งบทมาตรา
หรือหลักกฎหมายให้ถกู ต้องตรงตามตัวบท อ้างคำพิพากษาฎีกาบรรทดั ฐานตรงกบั เรื่อง
๘. คำช้ีขาด ไม่ใช่เพียงความเห็น ชี้ขาดให้ครบถ้วน ไม่คลาดเคลื่อน ท้ังบทกฎหมาย
กำหนดโทษ ของกลาง คำบังคบั คา่ ฤชาธรรมเนียม
๙. เหตผุ ลทม่ี ีน้ำหนกั ตอ้ ง
กะทดั รัด ถูกตอ้ ง หนักแนน่ ไม่ฟมุ่ เฟอื ย ไม่ใช้โวหารเกินควร ไม่กลา่ วเกนิ เหตุ ไม่กล่าว
ข้อปลกี ย่อยทไี่ ม่มนี ำ้ หนักหรอื โต้แย้งได้ ข้อเล็ก ๆ นอ้ ย ๆ อาจสำคญั มากก็ได้ ตอ้ งละเอียดถ
่ี
ถว้ นมาก
ใช้เหตุผลทีถ่ กู ตามหลกั กฎหมาย เชน่ ในคดีอาญาตอ้ งใชค้ ำว่า ฟงั ไดว้ า่ แทนทจี่ ะใชค้ ำ
ว่า น่าเชอื่ ว่า ใชค้ ำวา่ ชใี้ หเ้ ห็นวา่ แทนทจ่ี ะใช้คำว่า สนั นิษฐานวา่
ในคดีแพ่งอาจใช้คำว่า พยานฝ่ายหน่ึงมีน้ำหนักดีกว่า แต่คดีอาญาต้องใช้คำว่า พยาน
จำเลยไมอ่ าจหกั ล้างได้
ตอ้ งเปน็ ขอ้ เท็จจริงทมี่ ีในสำนวน ยกขนึ้ อ้างใหต้ รงตามท่มี ีอย่ใู นสำนวน
ส่งิ ทีศ่ าลรเู้ องไดห้ รือเหตุผลธรรมดาอาจอ้างประกอบการวินจิ ฉยั ได้ ถ้าไม่เชือ่ อย่าใชค้ ำ
วา่ นา่ จะเปน็ อยา่ งนน้ั อยา่ งนี้ เชน่ นา่ จะแจง้ ความตอ่ เจา้ พนกั งานตำรวจ ควรใชค้ ำวา่ ไมป่ รากฏ
* ตัดตอนมาจากบทความเร่ือง “ข้อสังเกตในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานและการเขียนคำพิพากษา” ใน
ดุลพาห เลม่ ๖ ปีที่ ๒๐ (พฤศจิกายน – ธนั วาคม ๒๕๑๖), หนา้ ๔ – ๑๐.
๑ ในบทความเร่ือง “การเขียนคำพิพากษา” โดย ท่านดำร ิ ศุภพิโรจน์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ (ในขณะนั้น)
จากดุลพาหเล่มหนง่ึ นานมาแล้ว ให้เปลย่ี น “แผนทีว่ วิ าท” เปน็ “แผนท่พี ิพาท”.
18 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉัยคดี
วา่ เหตใุ ดจงึ ไมเ่ ปน็ อยา่ งนน้ั อยา่ งนี้ เชน่ ไมป่ รากฏวา่ เหตใุ ดจงึ ไมแ่ จง้ ความ เพราะฉะนนั้ จงึ ยงั ฟงั
ไมไ่ ด้ หรอื ยงั สงสัยอย
ู่
๑๐. ต้องสุภาพ อย่าเกะกะระราน ถ้าไม่จำเป็น อย่ากล่าวถึงคนนอกสำนวน หรือกล่าว
ใหเ้ สียหายแกผ่ อู้ น่ื นอกสำนวน
สว่ นท่ี ๑ ความรทู้ ว่ั ไป
19
ขอ้ สังเกตในการเรยี งคำพิพากษา *
ทา่ นเธยี ร เจรญิ วฒั นา
การย่อฟ้อง
เป็นการย่อฟ้องให้ได้ความกระชับเท่าท่ีจำเป็น อย่าตัดออกหรือเปล่ียนแปลงจนทำให้
ขาดสาระสำคญั หรอื กลายเปน็ ฟอ้ งเคลอื บคลมุ โดยเฉพาะฟอ้ งของพนกั งานอยั การในคดอี าญา
เป็นฟอ้ งทีส่ ั้นและกระชับอยูแ่ ล้ว ไม่ควรตัดหรือเปลี่ยนแปลงแกไ้ ขโดยไมจ่ ำเปน็
ในคดีแพ่งคำฟ้องมักจะกล่าวโดยยืดยาว การย่อจึงต้องยึดหลักท่ีว่าให้ตรงกับประเด็นที
่
จะต้องวินจิ ฉัยตอ่ ไป
การย่อคำใหก้ าร
ในคดีอาญา คำใหก้ ารจำเลยมักจะส้ัน ๆ และบางกรณอี าจจะมคี ำรบั ของจำเลยเก่ยี วกับ
ข้อที่เคยตอ้ งโทษหรือกำลงั ถูกฟ้องอยูใ่ นคดอี าญาเร่ืองอ่นื
ในคดแี พง่ คำใหก้ ารของจำเลยจะยดื ยาวแบบเดยี วกบั คำฟอ้ ง การยอ่ จงึ ตอ้ งกลา่ วถงึ ขอ้
ต่อสู้ของจำเลยในประเดน็ ตา่ ง ๆ ทีศ่ าลจะวนิ ิจฉยั ตอ่ ไปเช่นเดยี วกัน
การยอ่ ทางนำสบื
เป็นการย่อข้อเท็จจริงที่ได้จากการนำสืบของท้ังฝ่ายโจทก์และจำเลย เป็นการประมวล
ข้อเท็จจริงท่ีนำสืบมาโดยสรุปเพื่อเป็นการปูพื้นหรือข้อมูลสำหรับการวินิจฉัยในข้ันต่อไป เป็น
การบรรยายแบบเล่าเร่ือง โดยรวบรวมคำพยานหลักฐานที่นำสืบมาปะติดปะต่อเป็นเร่ืองเดียว
กัน มิใช่ยกคำพยานแต่ละคนมากล่าวว่าคนน้ันเบิกความอย่างไร และไม่นิยมใช้ข้อความหรือ
คำพดู ทอ่ี ยใู่ นอญั ประกาศหรอื Direct speech เวน้ แตท่ จี่ ำเปน็ เชน่ คำพดู ทเ่ี ปน็ การดหู มนิ่ หรอื
หมนิ่ ประมาท คำพดู ทแี่ สดงใหเ้ หน็ อารมณ์ ความรสู้ กึ หรอื เจตนาของผพู้ ดู คำพดู คำดา่ ซง่ึ เปน็
การทา้ ทายยว่ั ยุ ฯลฯ นอกจากนี้ ยงั ไมน่ ยิ มใชข้ อ้ ความในวงเลบ็ โดยอาจใชว้ ลที ว่ี า่ “ซงึ่ หมายถงึ
..........” เป็นคำอธิบายแทน ทั้งหมดนขี้ อให้สังเกตแบบอยา่ งจากคำพพิ ากษาศาลฎีกา
ปัญหาท่ียากในทางปฏิบัติก็คือ ควรจะสั้นยาวแค่ไหน อะไรเป็นสาระสำคัญที่ควรจะ
กลา่ ว อะไรเปน็ พลความ ขอ้ นข้ี อใหถ้ ือหลกั วา่ ข้อเท็จจริงดงั กลา่ วสมั พนั ธก์ บั คำวินิจฉยั ในตอน
ต่อไป จงึ ตอ้ งกลา่ วขอ้ เทจ็ จรงิ ที่จะตอ้ งใชใ้ นช้นั วินิจฉัยคดเี พ่อื ให้รับกนั
* เป็นส่วนหนึ่งของเอกสารประกอบการบรรยายเรื่อง สำนวนโวหารในทางกฎหมายและการใช้ภาษาไทยใน
งานเขียนคำพิพากษาหรือคำส่ัง ในการอบรมผู้ช่วยผู้พิพากษา รุ่นท่ี ๕๔ ณ สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่าย-
ตลุ าการศาลยตุ ธิ รรม.
20 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉัยคด
ี
การวินจิ ฉยั คด
ี
เป็นส่วนท่ีมีข้อความซึ่งขึ้นต้นว่า “ศาลได้พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลย
แลว้ ..........” ในคำพพิ ากษาศาลชน้ั ตน้ หรอื “พเิ คราะหแ์ ลว้ ..........” ในคำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ ์
อนั เปน็ สว่ นสำคญั ทส่ี ดุ ของคำพพิ ากษา เปน็ หวั ใจของคำพพิ ากษาทเี ดยี ว ศาลจะตอ้ งชงั่ นำ้ หนกั
พยานหลักฐานและวินิจฉัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย สำหรับคดีอาญามักจะเป็นการวินิจฉัย
ข้อเท็จจริงเป็นส่วนมาก ส่วนคดีแพ่งมีทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายควบคู่กันไป ทั้งนี
้
ตามประเดน็ ทศ่ี าลไดก้ ำหนดไวแ้ ลว้ ในตอนตน้ อยา่ งไรกด็ ี ปญั หาทงั้ หมดของคดตี อ้ งใหเ้ หตผุ ล
และวนิ ิจฉัยเสยี ใหเ้ สร็จในชั้นนี้ เชน่ จำเลยได้กระทำความผดิ ตามฟ้องหรือไม่ ผิดมากน้อยแค่
ไหน จะริบของกลาง นับโทษต่อ หรือรอการลงโทษหรือไม่ เพ่ือว่าเม่ือถึงช้ันพิพากษาแล้วก็
พิพากษายกฟอ้ งหรอื บังคับไปเลยโดยไม่ตอ้ งอธิบายเหตผุ ลกันอีก
การพิพากษา
ถ้าเป็นคดีอาญา พิพากษายกฟ้องหรือลงโทษจำเลย รวมท้ังมีคำส่ังเกี่ยวกับของกลาง
การนับโทษต่อ ฯลฯ ตามคำขอของโจทก์
ถ้าเป็นคดีแพ่ง ก็พิพากษายกฟ้องหรือบังคับจำเลยตามคำขอของโจทก์ รวมท้ังมีคำส่ัง
ในเรื่องคา่ ฤชาธรรมเนียม
สว่ นท่ี ๑ ความรูท้ ่ัวไป
21
ข้อสงั เกตในการทำคำพพิ ากษา *
“ประณีต”
ขอ้ สงั เกตในการทำคำพพิ ากษาคดอี าญา
กรณีอย่างไรจึงจะเป็นการเขียนคำพิพากษาที่ดี การเขียนคำพิพากษาท่ีดีนั้น คือ
การเขยี นคำพพิ ากษายกเหตผุ ลใหผ้ ฟู้ งั เลอื่ มใสและเชอื่ ถอื หรอื พดู งา่ ย ๆ กค็ อื ตดั สนิ ให
้
เขาพอใจ คอื จะลงโทษเขาทงั้ ทกี ็น่าจะใหเ้ หตุผลให้นา่ ฟังว่า ทำไมเราจงึ ลงโทษ หรอื จะ
ยกฟ้องก็ตอ้ งใหเ้ หตผุ ลใหเ้ ขาเห็นวา่ เหตุใดจงึ ยกฟ้อง
มบี างท่านชอบยกคำพยานมาเป็นปาก ๆ เชน่ ก. ว่าอยา่ งนนั้ ข. ว่าอยา่ งน้ี ค. ว่าอย่าง
นี้ แลว้ สรปุ เอาเลยวา่ นา่ เชอื่ ถอื วา่ จำเลยกระทำความผดิ การตดั สนิ เชน่ นร้ี สู้ กึ วา่ ไมส่ ดู้ นี กั ความ
จรงิ เราไมจ่ ำเปน็ จะตอ้ งยกคำพยานมาวา่ เสยี ทกุ ปากวา่ ใครใหก้ ารวา่ อยา่ งไรบา้ ง ควรวนิ จิ ฉยั ไป
วา่ พยานโจทก์ ก. เบกิ ความขดั แยง้ แตกตา่ งกนั กบั คำเบกิ ความ ข. ตรงน้ี ตรงนนั้ แลว้ ไมน่ า่ เชอื่
วา่ จำเลยกระทำความผดิ แลว้ ยกฟอ้ ง หรอื ถา้ จะลงโทษกค็ วรวนิ จิ ฉยั วา่ คำพยานโจทกน์ า่ เชอ่ื ถอื
เพราะเหตุใด เชน่ ใหเ้ หตผุ ลวา่ พยานโจทกค์ นนั้น ๆ ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกบั จำเลย เหตุ
เกดิ ในเวลากลางวนั พยานโจทกท์ กุ คนรจู้ กั กบั จำเลยดที ง้ั นน้ั ไมน่ า่ จะจำผดิ พลาด พยานโจทก
์
เบิกความสอดคล้องต้องกันดี หลังเกิดเหตุเพียงเล็กน้อยก็เป็นคนระบุจำเลยเป็นคนร้าย
เจา้ พนกั งานตำรวจกจ็ บั จำเลยไดพ้ รอ้ มดว้ ยของกลางทจ่ี ำเลยไปซอ่ นไวใ้ นบา้ นของตน ฯลฯ คด
ี
ฟงั ไดว้ า่ จำเลยลักทรัพยไ์ ปจริง ... ฯลฯ
ถา้ จะพพิ ากษายกฟอ้ งโจทก์ ศาลอาจไมจ่ ำตอ้ งพจิ ารณาพยานจำเลย แตถ่ า้ จะพพิ ากษา
ลงโทษจำเลยแล้ว เม่ือวินิจฉัยน้ำหนักคำพยานโจทก์ว่าน่าเช่ือถือแล้ว ควรวินิจฉัยคำพยาน
จำเลยวา่ มขี อ้ ตำหนหิ รอื ไมน่ า่ เชอื่ เพราะเหตใุ ดดว้ ย ในกรณที พ่ี ยานโจทกด์ ี พยานจำเลยกซ็ อ้ ม
กันมาอย่างดี เลยหาข้อแตกต่างไม่ได้เลย ศาลมักพูดรวม ๆ ไปว่าพยานจำเลยไม่มีน้ำหนัก
หกั ลา้ งพยานโจทกไ์ ด้ อยา่ งน้ีกเ็ คยพบบอ่ ย ๆ (แมจ้ ะไม่สู้ดีนัก เพราะไมไ่ ด้ใหเ้ หตุผลวา่ พยาน
จำเลยไมด่ อี ย่างไร)
การจะเขียนคำพิพากษาให้ดี ก็ควรสังเกตว่าคำพิพากษาที่ดีเขียนอย่างไร ควรศึกษา
จากคำพิพากษาฎีกาต่าง ๆ หรือคำพิพากษาศาลสูงท่ีกลับแก้คำพิพากษาของเราที่ตัดสินไป
แล้วพจิ ารณาว่าทีเ่ ขาตดั สินมาเช่นนัน้ เราบกพรอ่ งตรงไหนไปบ้าง ทีหลงั จะได้ทำให้ถกู ต้อง
* คัดมาเฉพาะบางส่วนที่พอจะเกี่ยวข้องกับการทำคำพิพากษาในชั้นอุทธรณ์ จากบทบัณฑิตย์ เล่ม ๒๖
ตอน ๔ (ธันวาคม ๒๕๑๒), หนา้ ๘๗๓ – ๘๙๖.
22 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉยั คดี
คำพพิ ากษาบางฉบบั จะมแี ต่ข้อกฎหมายลว้ น ๆ ซ่งึ จะหาดไู ด้จากฎีกาตา่ ง ๆ ถา้ เราจะ
เขียนเองก็ควรศึกษาหาความรู้จากฎีกาท่ีพอจะเทียบเคียงได้ หรือปรึกษาพวกเพื่อน
ผพู้ พิ ากษาหรือหวั หนา้ ศาล แลว้ เอามาพิเคราะห์ว่าคำโต้แย้งของคนอื่นเราเห็นดว้ ยหรอื ไม่ ถา้
เราไม่เห็นด้วย แต่ฝ่ายที่เขาเห็นอีกทางหนึ่งมากกว่า เราก็ทำความเห็นแย้งไป แต่ถ้าเสียง
เท่ากัน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๘๔ ก็ว่าให้ผู้ที่มีความเห็นเป็น
ผลรา้ ยแกจ่ ำเลยมากยอมเหน็ ดว้ ยกบั ผู้พพิ ากษาท่ีเหน็ เปน็ ผลร้ายแก่จำเลยนอ้ ยกวา่
ถ้าจะลงโทษจำเลย ควรตรวจดูว่ามคี ำขอเพ่ิมโทษหรือไม่ เราจะให้หรือไม่ให้เพราะเหตุ
ใด หรอื วา่ คดมี ีเหตคุ วรรอการลงโทษหรือไม
่
ถา้ จะพพิ ากษายกฟอ้ ง ควรพจิ ารณาวา่ จะควรสงั่ ขงั จำเลยไว้ หรอื ปลอ่ ยชว่ั คราวระหวา่ ง
คดไี มถ่ งึ ทสี่ ดุ หรอื ไม่ ถา้ เหน็ เชน่ นน้ั กค็ วรเขยี นไวใ้ หป้ รากฏ เชน่ ใหย้ กฟอ้ งโจทก์ แตข่ งั จำเลย
ไว้ในระหว่างคดยี งั ไม่ถงึ ท่ีสุด (หรอื ระหวา่ งอุทธรณ)์ ไมค่ วรเขยี นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ ปล่อยตวั
จำเลยไป แต่ใหข้ งั ไวร้ ะหวา่ งอทุ ธรณ์ เพราะจะขดั กันในตัว
มปี ัญหาวา่ ถ้าจะพิพากษายกฟ้อง กรณใี ดควรปล่อยจำเลยไป กรณีใดควรขงั จำเลยไว้
ระหวา่ งอุทธรณ์ มหี ลกั วา่ ถา้ เราแนใ่ จว่าจำเลยไมไ่ ด้กระทำความผิด หรือโจทกส์ ืบไมไ่ ดเ้ ลยว่า
จำเลยกระทำความผดิ กค็ วรยกฟอ้ ง ปลอ่ ยจำเลยไป แตถ่ ้าเรายกฟ้อง เพราะมีเหตสุ งสัย ควร
ยกประโยชนแ์ หง่ ความสงสยั ใหจ้ ำเลยแลว้ กค็ วรสง่ั ขงั จำเลยไวใ้ นระหวา่ งอทุ ธรณ์ เวน้ แตจ่ ำเลย
จะมีประกนั ตัวไป
การลงโทษจำเลยเพียงใดแค่ไหนนั้น เป็นดุลพินิจของศาลซึ่งต้องปรึกษากัน ตามศาล
มกั มบี ญั ชซี งึ่ เราเรยี กกนั วา่ “ยตี่ อ๊ ก” แตบ่ ญั ชนี ไี้ มค่ วรถอื เดด็ ขาด เปน็ เพยี งหลกั การเทา่ นนั้ ใน
กรณีพเิ ศษเราก็อาจตดั สนิ ลงโทษไมต่ ามยี่ตอ๊ กกไ็ ด้
ผพู้ ิพากษาไม่ควรเกรงกลัวในการจะลงโทษจำเลยในสถานหนัก เชน่ ประหารชวี ติ เมือ่
มีอัตราโทษเช่นนั้น และการกระทำความผิดเข้าข้ันร้ายแรง น่าจะลงโทษเช่นนั้น ก็ไม่ควรกลัว
บาปกรรม เพราะเราทำตามหนา้ ท่ี
ในการพิพากษาคดีอาญาน้ัน ต้องดูเสมอว่าโจทก์มีคำขออะไรบ้าง และเราจะตัดสิน
ให้ตามคำขอหรือไม่ ถา้ มสี ิ่งใดทเ่ี ราจะให้ตามคำขอนั้นไม่ได้ ก็ต้องพพิ ากษาให้ยกคำขอนนั้ ๆ
เสยี เชน่
(ก) จำเลยถกู ฟอ้ ง ๒ คดี โจทกม์ กั ขอใหน้ บั โทษตอ่ กนั ทงั้ ๒ คดี ถา้ เราตดั สนิ ลงโทษคด
ี
หลงั แต่คดีแรกยงั ไม่ได้ตดั สิน ก็จะนับโทษตอ่ ไม่ได้ ควรเขยี นคำพพิ ากษาวา่ ท่โี จทก์ขอใหน้ บั
โทษในคดนี ตี้ อ่ จากโทษในคดหี มายเลขดำท่ี .... นนั้ ปรากฏวา่ คดนี นั้ ศาลยงั มไิ ดพ้ พิ ากษา จงึ ให
้
ยกคำขอนน้ั เสีย
(ข) โจทก์ขอให้เพ่ิมโทษจำเลย หรือขอให้นำโทษที่เคยรอการลงโทษไว้มาลงโทษด้วย
แต่เกณฑ์การเพ่ิมโทษหรือการรอการลงโทษที่จะมาบวกไม่เข้าหลักเกณฑ์ แม้จะพิพากษา
ลงโทษจำเลย กต็ ้องยกคำขอให้เพิม่ โทษนน้ั ๆ เสีย
ส่วนท่ี ๑ ความรูท้ ัว่ ไป
23
ในกรณีท่ีอาจอ้างเหตปุ อ้ งกนั จำเป็น ป้องกันเกินกวา่ เหตุ บันดาลโทสะ หรอื ความเปน็
เดก็ หรอื พยายาม ควรใชถ้ ้อยคำในกฎหมายเสมอ วธิ ีท่ดี ีที่สุดก็คอื เปิดตัวบทเขยี น อยา่ นึก ๆ
เขียนเอง ซ่งึ อาจพลาดพลัง้ โดยงา่ ย
ควรสงั เกตวา่ การลดมาตราสว่ นโทษนนั้ ศาลจะไมว่ างโทษไปกอ่ นแลว้ จงึ ลด เชน่ อยา่ งน ้ี
ถือวา่ ไม่ถูก
พพิ ากษาวา่ จำเลยมคี วามผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔ วางโทษจำคุก
จำเลย ๓ ปี จำเลยอายุกว่า ๑๗ ปี แต่ไม่เกิน ๒๐ ปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตาม
มาตรา ๗๖๑ ให้จำคุกจำเลย ๒ ปี
ท่ีถกู ควรเขียนวา่
พิพากษาว่าจำเลยมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔ จำเลยอายกุ วา่
๑๗ ปี แตไ่ มเ่ กิน ๒๐ ปี ศาลเห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษใหห้ นง่ึ ในสามตามมาตรา ๗๖ ให
้
จำคุกจำเลยไว้ ๒ ป
ี
ข้าพเจ้าได้พยายามหาคำพิพากษาฎีกาท่ีพอจะเป็นตัวอย่างในการใช้ถ้อยคำมาให้ดู
ดังนี้
๑ ปัจจุบันมาตรา ๗๖ แห่งประมวลกฎหมายอาญา แก้ไขโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติม
ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับท่ี ๒๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ [ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕ ตอนที่ ๓๐ ก หน้า ๑๙
ลงวันที่ ๗ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๑] โดยมบี ทบัญญัติดงั ตอ่ ไปน้
ี
“ผู้ใดอายุตั้งแต่สิบแปดปี แต่ยังไม่เกินยี่สิบปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด ถ้าศาลเห็นสม
ควรจะลดมาตราสว่ นโทษท่ีกำหนดไวส้ ำหรบั ความผิดน้ันลงหน่ึงในสามหรอื ก่งึ หน่ึงก็ได”้
ดังน้นั จึงเปลี่ยนเป็นว่า
พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔ จำคกุ ๓ ปี จำเลยอายตุ ง้ั แต่ ๑๘
ปี แต่ไมเ่ กิน ๒๐ ปี ลดมาตราสว่ นโทษใหห้ น่ึงในสามตามมาตรา ๗๖ ใหจ้ ำคุกจำเลย ๒ ปี
ท่ถี ูกควรเขียนวา่
พิพากษาว่าจำเลยมคี วามผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔ จำเลยอายตุ ้ังแต่ ๑๘ ปี แตไ่ ม่เกนิ
๒๐ ปี ศาลเหน็ สมควรลดมาตราสว่ นโทษใหห้ นึง่ ในสามตามมาตรา ๗๖ ใหจ้ ำคกุ จำเลยไว้ ๒ ป.ี
24 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คด
ี
๑. กระทำโดยจำเป็น (ป.อ. มาตรา ๖๗)
ฎีกาท่ี ๖๙๔/๒๕๐๓ ............... ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วยข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ
์
ซงึ่ หยบิ ยกเหตผุ ลขน้ึ บรรยายไวโ้ ดยละเอยี ดวา่ จำเลยท่ี ๓ ไดก้ ระทำลงเพอื่ ใหพ้ น้ จากภยนั ตราย
และเปน็ การกระทำดว้ ยความจำเปน็ พอสมควรแกเ่ หตุ ควรไดร้ บั ยกเวน้ โทษตามทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ น
ป
ระมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๗ ๒
๒. ปอ้ งกนั เกินสมควรแกเ่ หตุ (ป.อ. มาตรา ๖๙)
ฎีกาท่ี ๑๕๔๒/๒๕๐๙ ............... เปน็ การกระทำเกินกว่ากรณแี ห่งการจำต้องกระทำ
เพ่อื ป้องกนั ศาลจะลงโทษนอ้ ยกวา่ ท่กี ฎหมายกำหนดไวส้ ำหรบั ความผดิ น้ันเพียงใดกไ็ ด้ ตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๙ ๓
๒ คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๘๖๔๙/๒๕๔๙ ............... เม่ือข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ ๒ กระทำ
ความผิดดังกล่าวด้วยความจำเป็น เพราะถูกจำเลยที่ ๑ ใช้อาวุธมีด ลักษณะคล้ายมีดสปาร์ตา ยาวประมาณ
๑ ฟุต จี้ที่คอของผู้เสียหายซ่ึงพาดมาถึงคอของจำเลยท่ี ๒ ที่กำลังน่ังซ้อนกลางและขับรถจักรยานยนต์ ตาม
ลำดับ ซึ่งเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง และจำเลยที่ ๒ ไม่สามารถหลีกเล่ียงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ อีกท้ังภยัน-
ตรายท่ีเกิดจากการใช้อาวุธมีดจ้ีคอขู่เข็ญภายหลังที่จำเลยท่ี ๒ พูดขอร้องให้จำเลยที่ ๑ เลิกกระทำต่อ
ผู้เสียหาย เพราะเป็นคนรู้จักกันนั้น ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นภยันตรายที่จำเลยท่ี ๒ ได้ก่อให้เกิดข้ึนเพราะความผิด
ของตนด้วย ประกอบกับขณะจ้ีขู่บังคับน้ัน จำเลยที่ ๑ ได้ใช้อาวุธมีดจี้อยู่ที่บริเวณลำคอของผู้เสียหายซึ่งพาด
ยาวไปถงึ ลำคอของจำเลยที่ ๒ ดว้ ย ซ่งึ หากจำเลยท่ี ๒ ขัดขนื ไมย่ อมปฏิบตั ติ ามความประสงคข์ องจำเลยท่ี ๑
จำเลยที่ ๑ อาจลงมือฟันหรือแทงทำร้ายผู้เสียหายหรือจำเลยท่ี ๒ จนถึงแก่ความตายได้ การกระทำของ
จำเลยที่ ๒ จึงเป็นการกระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ ๑ ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วยความ
จำเปน็ พอสมควรแก่เหตตุ ามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗ วรรคสาม ประกอบมาตรา ๘๖ และมาตรา
๖๗ (๒) จำเลยท่ี ๒ จึงไมต่ ้องรับโทษในความผิดฐานน้.ี
๓ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๒๒๘/๒๕๔๓ ............... แม้ผู้ตายกับจำเลยจะเป็นสามีภริยาโดยไม่ได้จด
ทะเบียนสมรสกัน ผู้ตายก็ไม่มีอำนาจโดยชอบธรรมท่ีจะเตะถีบทำร้ายร่างกายและข่มขู่จะฆ่าจำเลยได้ เม่ือ
ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุข้ึนก่อน กรณีถือได้ว่าเป็นภยันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
และเป็นภยันตรายท่ีใกล้จะถึง จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะป้องกันตนเองได้ การที่จำเลยใช้เคียวเป็นอาวุธฟันผู้ตาย
ไป ๑ คร้ัง ก็เพื่อจะยับย้ังมิให้ผู้ตายทำร้ายร่างกายจำเลยอีก จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้น
จากภยันตรายดังกล่าว แต่ขณะเกิดเหตุผู้ตายเพียงแต่ถีบเตะจำเลยโดยไม่มีอาวุธ ท้ังจำเลยได้รับบาดเจ็บ
เพียงเล็กน้อย แม้จำเลยอ้างว่าผู้ตายขู่จะฆ่าจำเลยด้วย ก็เป็นเรื่องข่มขู่กันระหว่างสามีภริยา ซ่ึงอาจไม่ใช่เรื่อง
จริงจัง จึงมิใช่ภยันตรายท่ีร้ายแรงอย่างมาก การท่ีจำเลยใช้เคียวเป็นอาวุธฟันถูกที่ลำคอผู้ตาย แม้จะมีเจตนา
เพียงทำร้ายเพื่อไม่ให้ผู้ตายเข้ามาทำร้ายจำเลยอีก ก็ถือได้ว่าเป็นการกระทำท่ีเกินสมควรแก่เหตุ การกระทำ
ของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อ่ืนโดยไม่เจตนาเพ่ือป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๒๙๐ ประกอบมาตรา ๖๙.
สว่ นท่ี ๑ ความรทู้ ่วั ไป
25
๓. กระทำตามคำสง่ั เจา้ พนักงาน (ป.อ. มาตรา ๗๐)
ฎกี าที่ ๑๑๓๕/๒๕๐๘ ............... ศาลฎีกาเหน็ วา่ การท่จี ำเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ไปจบั
นายเรม่ิ กรณดี งั กลา่ วเปน็ เรอื่ งไปจบั ตามคำสง่ั ของ พ.ต.ต. ประธานซง่ึ เปน็ เจา้ พนกั งาน ถงึ แม
้
จะสง่ั ดว้ ยวาจา มไิ ดอ้ อกหมายจบั ใหไ้ ปกด็ ี จำเลยกเ็ ปน็ ผมู้ หี นา้ ทปี่ ฏบิ ตั ติ ามคำสงั่ ผบู้ งั คบั บญั ชา
ซงึ่ ไดถ้ อื เปน็ หลกั ปฏบิ ตั กิ นั ตลอดมาวา่ จบั ได้ ทง้ั ตามพฤตกิ ารณท์ ป่ี รากฏนา่ เชอ่ื วา่ จำเลยทง้ั สอง
น่าจะเข้าใจตามที่ พ.ต.ต. ประธานส่ังให้ไปจับนายเร่ิมด้วยวาจาโดยมิได้ออกหมายจับให้ไป
นั้นเป็นคำสั่งท่ีชอบด้วยกฎหมาย เพราะได้ถือปฏิบัติกันเช่นน้ันตลอดมา ฉะน้ัน ถึงแม้การ
กระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวจะเป็นการมิชอบ จำเลยท้ังสองก็ไม่ต้องรับโทษตามประมวล
ก
ฎหมายอาญา มาตรา ๗๐๔
๔. กระทำโดยบนั ดาลโทสะ (ป.อ. มาตรา ๗๒)
ฎีกาที่ ๑๐๘๓/๒๕๐๘ ............... ซ่ึงการกระทำของจำเลยต่อเน่ืองกันมาจากการท
่ี
จำเลยถูกยั่วโทสะ จำเลยควรได้รับความปรานีรับโทษน้อยกว่าท่ีกฎหมายกำหนดไว้สำหรับ
ความผดิ ของจำเลยตามที่บัญญตั ิไวใ้ นประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๒๕
๔ คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๗๓๗๐/๒๕๓๘ โจทก์ครอบครองเพิงไม้ที่ปลูกอยู่ติดกับข้างอาคารพาณิชย์ท
ี่
จำเลยท่ี ๑ เช่าจากเทศบาลตำบลปากช่อง ซ่ึงเทศบาลตำบลปากช่องแจ้งให้ภริยาโจทก์รื้อถอนเพิงไม้ดังกล่าว
แต่ภริยาโจทก์อ้างว่าไม่ได้เป็นเจ้าของเพิงไม้ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลปากช่องจึงส่ังให้จำเลยที่ ๑ ร้ือ
ถอนเพิงไม้ จำเลยท่ี ๑ เช่ือว่าคำสั่งนั้นเป็นคำส่ังที่ชอบด้วยกฎหมายและมีหน้าท่ีต้องปฏิบัติตาม ดังน้ัน แม
้
การท่ีจำเลยที่ ๑ กับพวกรื้อถอนเพิงไม้จะเป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕
(๒) ประกอบมาตรา ๓๖๒ ก็ตาม จำเลยที่ ๑ กย็ อ่ มได้รบั ยกเว้นโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๐.
๕ คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี ๗๗๗๔/๒๕๔๔ ............... ผตู้ ายพดู กบั จำเลยวา่ “มงึ ไมน่ กั เลง พอ่ มงึ ถกู กฆู า่
ตั้งแต่เลก็ ๆ มึงไม่มนี ำ้ ยา” จำเลยตอบวา่ “เสรจ็ แลว้ ก็ใหเ้ สรจ็ กันไป” ผูต้ ายพูดว่า “เสร็จแต่มึง กูไมเ่ สร็จ” เป็น
การพูดในบริเวณงานต่อหน้าผู้มาร่วมงานศพจำนวนหลายคน ทั้งผู้ตายถูกกล่าวหาว่าฆ่าบิดาจำเลย แต่ต่อส
ู้
คดีจนพ้นความผิด ที่ผู้ตายกล่าวถ้อยคำตอกย้ำความรู้สึกของจำเลยว่าผู้ตายฆ่าบิดาจำเลยตั้งแต่จำเลยยังเป็น
เด็ก แต่จำเลยก็ไม่มีความกล้าหาญพอที่จะทำอะไรได้ แม้จำเลยจะพูดโต้ตอบไปว่าไม่ติดใจในเร่ืองดังกล่าวอีก
ต่อไปแล้ว แต่ผู้ตายก็ยังพูดทำนองท้าทายจะเอาเรื่องกับจำเลยอีก ย่อมเป็นการเย้ยหยันสบประมาทต่อจำเลย
อย่างร้ายแรง ทำให้จำเลยรู้สึกอับอายขายหน้าและแค้นเคืองข้ึนมาโดยทันใดอย่างมาก ถือได้ว่าการกระทำ
ของผู้ตายเป็นการข่มเหงจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การท่ีจำเลยหยิบมีดพร้าใน
บริเวณท่ีเกิดเหตุฟันผู้ตายในขณะน้ัน ๑ ครั้ง ที่บริเวณศีรษะ จนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงเป็นการ
กระทำโดยบนั ดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๒.
26 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉัยคดี
๕. พยายามกระทำความผดิ (ป.อ. มาตรา ๘๐)
ฎีกาท่ี ๒๗๓/๒๕๐๗ ............... แม้จำเลยจะตัดสายสร้อยขาดตกยังพื้นดินแล้ว แต่
จำเลยยงั มไิ ดเ้ ขา้ ยดึ ถอื เอาสายสรอ้ ยนน้ั ไป เพราะเจา้ พนกั งานตำรวจรอ้ งบอกใหผ้ เู้ สยี หายรตู้ วั
และเก็บเอาสายสร้อยไว้เสียก่อน จะถือว่าจำเลยเอาสายสร้อยนั้นไปยังไม่ได้ จำเลยควรมี
ค
วามผิดฐานพยายามลักทรพั ยเ์ ทา่ นั้น๖
๖. ป้องกันพอสมควรแก่เหตุ (ป.อ. มาตรา ๖๘)
ฎีกาท่ี ๙๐๘/๒๕๐๙ .............. ศาลฎีกาเห็นว่า นายเลี่ยม ผู้ตาย เป็นผู้ก่อเหตุใช้ไม
้
ตะบองตจี ำเลยกอ่ น ถกู ทคี่ วิ้ ซา้ ย ขณะอยบู่ นเรอื นของนายเลย่ี ม จนจำเลยเซไปตดิ ฝา แลว้ นาย
เลยี่ มตามไปจะตจี ำเลยอกี จำเลยจงึ ตอ่ ยนายเลยี่ มไป นายเลย่ี มจะตจี ำเลยอกี จำเลยจงึ เตะนาย
เลย่ี ม นายเลย่ี มเซถลาตกเรอื นไปและถงึ แก่ความตาย เช่นน้ีเป็นการป้องกนั สิทธิของตนให้พน้
ภยันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย เพราะถ้าจำเลยไม่ต่อยและเตะไว้
นายเลี่ยมต้องใช้ไม้ตะบองตีจำเลย ทำให้จำเลยได้รับบาดเจ็บ นับว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะ
ถงึ และจำเลยไมส่ ามารถจะหลีกเล่ียงให้พน้ ภยันตรายโดยวธิ อี ื่นได้ ท่นี ายเลี่ยมตกเรือนและถึง
แก่ความตายเป็นบาปเคราะห์ของนายเลี่ยมเอง จำเลยหามีเจตนาฆ่าผู้ตายให้ถึงแก่ความตาย
๖ คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๒๙๙/๒๕๔๗ โจทก์ร่วมทำสัญญากับจำเลยซึ่งประกอบธุรกิจสถานีบริการ
น้ำมันโดยให้จำเลยมีสิทธิใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ร่วมได้ แต่มีเง่ือนไขว่าต้องซื้อน้ำมันจากโจทก์ร่วม
มาจำหน่ายเท่าน้ัน จำเลยผิดสัญญาโดยไปซ้ือน้ำมันจากแหล่งอ่ืนมาจำหน่าย โจทก์ร่วมบอกเลิกสัญญาและให
้
จำเลยส่งคืนสถานีบริการน้ำมันแก่โจทก์ร่วม รวมท้ังเพิกถอนความยินยอมให้ใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก
์
ร่วม แต่จำเลยก็ยังคงประกอบการค้าต่อไปโดยซ้ือน้ำมันจากที่อื่นมาจำหน่าย และยังคงติดป้ายเครื่องหมาย
การค้าของโจทก์ร่วมอยู่ท่ีบริเวณสถานีบริการน้ำมันโดยมิได้แสดงเคร่ืองหมายให้ประชาชนเข้าใจว่าสถานี
บริการน้ำมันน้ีไม่ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายน้ำมันของโจทก์ร่วม แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาที่จะขายสินค้า
โดยใช้เคร่ืองหมายการค้าของโจทก์ร่วมเพ่ือให้ผู้อ่ืนหลงเชื่อว่าสินค้าท่ีจำเลยจำหน่ายนั้นเป็นสินค้าของโจทก์
ร่วม จึงเป็นการขายของโดยหลอกลวงให้ผู้อื่นหลงเช่ือในแหล่งกำเนิดแห่งของอันเป็นเท็จตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๑ แต่การกระทำความผิดตามบทมาตรานี้จะเป็นความผิดสำเร็จต่อเมื่อผู้ซื้อ
หลงเช่ือการหลอกลวงน้ัน เม่ือโจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำความผิดของจำเลยเฉพาะในส่วนที่ขายน้ำมัน
แก่จ่าสิบตำรวจ สมสิทธ์ิและนางอ้อมกรซึ่งเป็นผู้ไปล่อซื้อน้ำมันดังกล่าว แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจ่าสิบตำรวจ
สมสิทธ์ิและนางอ้อมกร ผู้ซ้ือสินค้าน้ำมันจากจำเลย มิได้หลงเช่ือว่าน้ำมันที่จำเลยนำออกจำหน่ายนั้นเป็น
น้ำมันของโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม
่
บรรลุผล อันเป็นการพยายามกระทำความผดิ .