The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-09-18 02:21:12

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

สว่ นที่ ๒ ตวั อยา่ งคำพิพากษาและคำสง่ั ในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ
์ 277
คดีอาญา


ความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความแล้วตามประมวลกฎหมาย

อาญา มาตรา ๙๖ ศาลชั้นต้นพิพากษาชอบแลว้ อุทธรณข์ องโจทก์ฟงั ไม่ขน้ึ

พิพากษายนื .






๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๒๖๐/๒๕๔๘


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า จำเลย

ที่ ๑ เป็นลูกหนข้ี องโจทก์ทัง้ สองโดยเปน็ หนีโ้ จทก์ท่ี ๑ จำนวน ๒๑,๓๑๖,๐๐๑ บาท โจทกท์ ่ี ๒

จำนวน ๓,๖๒๑,๗๖๑.๑๙ บาท พร้อมดอกเบย้ี ตามคำพพิ ากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เม่อื

วนั ที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๔๔ ตามสำเนาคำพพิ ากษา เอกสารหมาย จ.๙ ตอ่ มาเมอื่ วนั ที่ ๙ มนี าคม

๒๕๔๔ จำเลยท่ี ๑ จดทะเบยี นไถถ่ อนจำนองท่ดี นิ โฉนดเลขท่ี ๘๐๘๓๘ ตำบลบางเชือกหนัง

อำเภอตลงิ่ ชนั กรงุ เทพมหานคร จากธนาคารกรงุ เทพ จำกดั (มหาชน) แลว้ จดทะเบยี นโอนขาย

ใหแ้ กจ่ ำเลยที่ ๒, ท่ี ๓ และท่ี ๔ ตามสำเนาโฉนดทดี่ นิ เอกสารหมาย จ.๑๐ มปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั

ตามอทุ ธรณข์ องโจทกท์ ง้ั สองวา่ จำเลยที่ ๑ กระทำความผดิ ตามฟอ้ งหรอื ไม่ โจทกท์ งั้ สองมนี าย

สหสั ชยั สวุ รรณฤทธิ์ ทนายโจทกท์ งั้ สอง และนางสาวกรองกาญจน์ วงศาจนั ทร์ ผรู้ บั มอบอำนาจ

โจทก์ท้ังสอง เป็นพยานเบิกความโดยสรุปว่า หลังจากศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำพิพากษาให

จำเลยที่ ๑ กบั พวกรว่ มกนั ชำระหนใ้ี หแ้ กโ่ จทกท์ ง้ั สองแลว้ จำเลยที่ ๑ กบั พวกไมช่ ำระหนใ้ี หแ้ ก

โจทกท์ ้ังสอง แตจ่ ำเลยท่ี ๑ กับพวกไดโ้ อนขายทรพั ย์สนิ ของตนใหแ้ กบ่ ุคคลอื่น โดยจำเลยท่ี ๑

โอนทด่ี นิ โฉนดเลขที่ ๘๐๘๓๘ ใหแ้ กจ่ ำเลยที่ ๒, ท่ี ๓ และที่ ๔ ในราคา ๒,๔๐๐,๐๐๐ บาท ตาม

สำเนาแบบคำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม เอกสารหมาย จ.๑๔ ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำ เพราะ

จำเลยที่ ๑ เคยตรี าคาเพื่อจดทะเบียนจำนองประกันหน้ีแกโ่ จทก์ทั้งสองในราคา ๑๒,๐๐๐,๐๐๐

บาท โดยมเี จตนาไมใ่ หโ้ จทกท์ ง้ั สองไดร้ บั ชำระหนี้ ทำใหโ้ จทกท์ ง้ั สองไมส่ ามารถบงั คบั ชำระหน
ี้

278 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คด


ตามคำพพิ ากษาได้ ส่วนจำเลยท่ี ๑ เบิกความว่า จำเลยท่ี ๑ เคยเสนอยกท่ีดนิ ทงั้ หมดรวมทงั้

ทด่ี ินในคดนี ้ีตามบนั ทกึ ขอ้ ตกลง เอกสารหมาย จ.๖ ใช้หนแ้ี กโ่ จทกท์ ้ังสอง แตโ่ จทกท์ ง้ั สองไม่

ยอมรบั เนอ่ื งจากจำเลยที่ ๑ มเี จา้ หนห้ี ลายรายรวมทง้ั ธนาคารกรงุ เทพ จำกดั (มหาชน) โดยม

การเรง่ รดั ใหช้ ำระหนตี้ ามหลกั ฐานการเรง่ รดั หนสี้ นิ เอกสารหมาย ล.๒ และธนาคารดงั กลา่ วได

ปรบั ปรงุ โครงสรา้ งหนโี้ ดยลดยอดหนใี้ หเ้ หลอื จำนวน ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามหนงั สอื แจง้ ผลการ

ปรบั ปรงุ โครงสรา้ งหนี้ เอกสารหมาย ล.๓ จำเลยที่ ๑ จงึ ขายทด่ี นิ ดงั กลา่ วเพอ่ื ชำระหนใ้ี นราคา

๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยชำระหน้ีให้ธนาคารดังกล่าว รวม ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามสำเนา

ใบเสรจ็ รบั เงนิ เอกสารหมาย ล.๔ สว่ นท่ีเหลอื ไดช้ ำระหนีใ้ ห้เจา้ หนร้ี ายอน่ื เห็นว่า การกระทำ

ความผิดฐานโกงเจ้าหน้ีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ น้ัน ผู้กระทำต้องมีเจตนา

พเิ ศษ กลา่ วคอื เพื่อมิให้เจ้าหน้ีของตนหรือของผูอ้ ืน่ ไดร้ บั ชำระหนที้ ้ังหมดหรือแตบ่ างสว่ น แต

ขอ้ เท็จจริงในคดนี ้ปี รากฏว่าทด่ี นิ ที่จำเลยท่ี ๑ โอนขายดงั กล่าวเป็นท่ดี ินซ่ึงจดทะเบยี นจำนอง

ประกนั หนไ้ี วก้ บั ธนาคารกรงุ เทพ จำกดั (มหาชน) ตง้ั แตป่ ี ๒๕๓๕ ซง่ึ เปน็ หนท้ี มี่ อี ยกู่ อ่ นทโี่ จทก

ทง้ั สองจะฟอ้ งจำเลยท่ี ๑ กบั พวกใหช้ ำระหนด้ี งั กลา่ วเสยี อกี ทง้ั ปรากฏตามหลกั ฐานการเรง่ รดั

หนส้ี ินและหนังสอื แจ้งผลการปรับปรุงโครงสรา้ งหนี้ เอกสารหมาย ล.๒ และ ล.๓ วา่ ธนาคาร

กรงุ เทพ จำกัด (มหาชน) ไดม้ หี นังสอื ทวงถามให้จำเลยท่ี ๑ ชำระหนีท้ ัง้ ตน้ เงินพร้อมดอกเบี้ย

ซงึ่ คา้ งชำระอยจู่ ำนวนมากพอสมควร และตอ่ มาธนาคารไดป้ รบั ปรงุ โครงสรา้ งหนโี้ ดยลดยอดหน
้ี
ใหแ้ กจ่ ำเลยที่ ๑ ดว้ ย จำเลยที่ ๑ จงึ มคี วามจำเปน็ ตอ้ งขายทด่ี นิ ดงั กลา่ วเพอื่ ชำระหน้ี ทง้ั ปรากฏ

จากทางนำสบื ของโจทกท์ ง้ั สองและจำเลยท่ี ๑ วา่ ทด่ี นิ ดงั กลา่ วจำเลยที่ ๑ เคยเสนอโอนชำระหน
้ี
ให้แก่โจทก์ท้ังสองแล้ว แต่โจทก์ทั้งสองไม่ยอมรับโอน แม้ปรากฏตามสำเนาแบบคำขอ

จดทะเบยี นสทิ ธิและนติ ิกรรม เอกสารหมาย จ.๑๔ ว่าขายในราคา ๒,๔๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็น

จำนวนเท่ากับราคาประเมินของกรมท่ีดินตามสำเนาบันทึกการประเมินราคาทรัพย์ เอกสาร

หมาย จ.๑๓ จงึ ไมน่ า่ จะเปน็ ราคาทซ่ี อื้ ขายกนั จรงิ โดยไดค้ วามจากจำเลยท่ี ๑ วา่ ราคาทซ่ี อื้ ขาย

สว่ นท่ี ๒ ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาและคำส่ังในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 279
คดีอาญา


กนั จรงิ จำนวน ๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ดงั จะเหน็ จากหลกั ฐานการปรบั ปรงุ โครงสรา้ งหนขี้ องธนาคาร

มียอดหน้ี จำนวน ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท และตามสำเนาใบเสร็จรับเงนิ เอกสารหมาย ล.๔ จำนวน

๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท จงึ นา่ เชอื่ วา่ เปน็ ราคาทซ่ี อื้ ขายกนั จรงิ และการซอ้ื ขายดงั กลา่ วไมไ่ ดเ้ ปน็ ราคา

ทต่ี ำ่ กวา่ ความเปน็ จรงิ จงึ เปน็ การขายเพอื่ ชำระหนจ้ี ำนองตามปกติ แมจ้ ะเปน็ การขายภายหลงั

ศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ กับพวกร่วมกันชำระหน้ีให้แก่โจทก์ท้ังสองก็

ตาม แต่ก็ยังเป็นการขายเพ่ือปลดเปล้ืองภาระหน้ีจำนองนั่นเอง โดยเจ้าหน้ีจำนองย่อมได้รับ

ชำระหนก้ี อ่ นโจทกท์ งั้ สองซงึ่ เปน็ เจา้ หนส้ี ามญั อยแู่ ลว้ แมจ้ ำนวนเงนิ ทขี่ ายไดแ้ ละเหลอื จากการ

ชำระหนี้ใหแ้ กธ่ นาคารแล้ว จำเลยที่ ๑ ไมไ่ ดน้ ำไปชำระหน้ีใหแ้ ก่โจทก์ทง้ั สอง แต่จำเลยที่ ๑ ก็

อา้ งวา่ นำไปชำระหนใ้ี หแ้ กเ่ จา้ หนร้ี ายอน่ื ดว้ ย การทจี่ ำเลยที่ ๑ ไมไ่ ดน้ ำเงนิ สว่ นทเ่ี หลอื ไปชำระ

หนี้ให้แก่โจทก์ท้ังสอง จึงถือว่ามเี จตนาเพ่ือไม่ให้โจทก์ทั้งสองได้รับชำระหนี้มิได้ เพราะเจตนา

พเิ ศษดงั กลา่ วตอ้ งเพง่ เลง็ ถงึ เจตนาในขณะขายทรพั ยส์ นิ นน้ั ซง่ึ ในขณะขายทดี่ นิ ดงั กลา่ วกเ็ พอื่

ปลดเปลอ้ื งภาระหนจ้ี ำนอง มใิ ชเ่ พอื่ มใิ หโ้ จทกท์ งั้ สองไดร้ บั ชำระหนแี้ ตอ่ ยา่ งใด ทงั้ ขอ้ เทจ็ จรงิ ได

ความจากทางนำสบื ของโจทกท์ งั้ สองประกอบบนั ทกึ ขอ้ ตกลงตามเอกสารหมาย จ.๖ วา่ จำเลย

ที่ ๑ ยงั มที ด่ี นิ อนื่ อกี ๕ แปลง โดยโจทกท์ ง้ั สองยงั ไมไ่ ดบ้ งั คบั คดี และจำเลยที่ ๑ เปน็ ลกู หนรี้ ว่ ม

คนหนง่ึ ของลกู หนโ้ี จทกท์ งั้ สอง การโอนขายทด่ี นิ ของจำเลยท่ี ๑ ดงั กลา่ วจงึ ถอื ไมไ่ ดว้ า่ เปน็ การ

โอนขายโดยมีเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ท้ังสองซ่ึงเป็นเจ้าหนี้ได้รับชำระหน้ีท้ังหมดหรือแต่บางส่วน

การกระทำของจำเลยท่ี ๑ จงึ ไมม่ คี วามผดิ ฐานโกงเจา้ หนต้ี ามฟอ้ ง ทศี่ าลชนั้ ตน้ พพิ ากษามานน้ั

ศาลอทุ ธรณเ์ ห็นพอ้ งดว้ ย อุทธรณข์ องโจทกท์ ้งั สองฟังไม่ข้นึ

พพิ ากษายนื .

280 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉัยคดี


ตวั อยา่ งคดคี วามผิดเกย่ี วกับบัตรอิเลก็ ทรอนกิ ส






ำพิพากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๙๙๕๘/๒๕๔๙


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ

ของจำเลยท่ี ๑ ขอ้ แรกมวี า่ ฟอ้ งของโจทกช์ อบดว้ ยกฎหมายหรอื ไม่ เหน็ วา่ โจทกบ์ รรยายฟอ้ ง

ระบวุ า่ จำเลยทง้ั สองกบั พวกรว่ มกนั มไี วเ้ พอ่ื ใชซ้ ง่ึ บตั รเครดติ อนั เปน็ บตั รอเิ ลก็ ทรอนกิ สท์ มี่ ผี ทู้ ำ

ปลอมขนึ้ เพอ่ื ใหผ้ อู้ น่ื หลงเชอ่ื วา่ เปน็ บตั รอเิ ลก็ ทรอนกิ สท์ แ่ี ทจ้ รงิ ซง่ึ ออกใหแ้ กผ่ มู้ ชี อื่ ถอื บตั รมสี ทิ ธ

ใช้เพ่ือประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการ หรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสด จำนวน

๑๐ ฉบบั โดยจำเลยทง้ั สองกบั พวกรวู้ า่ เปน็ ของปลอม และจำเลยทง้ั สองกบั พวกรว่ มกนั ใชบ้ ตั ร

เครดิตอันเป็นบัตรอิเลก็ ทรอนิกส์ปลอมดังกล่าวแสดงต่อพนกั งานขายของร้านแอร์เมส ภายใน

ศนู ยก์ ารคา้ ดเิ อม็ โพเรยี ม เพอื่ ซอื้ กระเปา๋ ๒ ครงั้ จำนวน ๒ ใบ รวมราคา ๑๒๖,๙๐๐ บาท และ

จำนวน ๓ ใบ รวมราคา ๒๐๓,๖๐๐ บาท ตามลำดับ โดยจำเลยทั้งสองกับพวกรู้ว่าบัตร

อเิ ลก็ ทรอนกิ สด์ งั กลา่ วเปน็ ของปลอม ซง่ึ เปน็ การบรรยายถงึ การกระทำทง้ั หลายทอี่ า้ งวา่ จำเลย

ท้งั สองร่วมกับพวกกระทำความผิด ข้อเทจ็ จรงิ และรายละเอยี ดทเ่ี กีย่ วกบั เวลาและสถานท่ีซง่ึ

เกดิ การกระทำนนั้ ๆ อกี ทงั้ บคุ คลหรอื สงิ่ ของทเ่ี กยี่ วขอ้ งดว้ ยพอสมควรทจ่ี ะทำใหจ้ ำเลยทง้ั สอง

เขา้ ใจขอ้ หาและสามารถตอ่ สคู้ ดไี ดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งแลว้ ขอ้ ทจ่ี ำเลยท่ี ๑ อทุ ธรณเ์ กย่ี วกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ

ว่า บัตรเครดิตปลอมอยู่ที่จำเลยคนใด ใครเป็นผู้ใช้บัตรเครดิตปลอม ล้วนแต่เป็นรายละเอียด

ปลกี ย่อยทสี่ ามารถนำสบื ไดใ้ นชั้นพจิ ารณา ฟอ้ งของโจทกช์ อบด้วยกฎหมายแลว้ อทุ ธรณ์ของ

จำเลยท่ี ๑ ข้อนฟี้ งั ไม่ขน้ึ

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยท่ี ๑ ข้อต่อไปมีว่า การกระทำของ

จำเลยที่ ๑ เปน็ ความผดิ กรรมเดยี วหรอื ไม่ เหน็ วา่ การกระทำของจำเลยที่ ๑ ตามฟอ้ งสามารถ

แบง่ แยกเจตนาไดต้ า่ งหากจากกนั ในแตล่ ะกรรมโดยการมไี วเ้ พอื่ ใชซ้ ง่ึ บตั รเครดติ อนั ไดม้ าโดยร
ู้

สว่ นท่ี ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำสั่งในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 281
คดีอาญา


ว่าเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมเป็นความผิดสำเร็จแล้ว และการนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม

ดังกล่าวไปใช้ก็เป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษตามประมวลกฎหมาย

อาญา มาตรา ๒๖๙/๔ แต่เพียงกระทงเดียว เฉพาะกรณีผู้กระทำความผิดตามวรรคแรกหรือ

วรรคสองเป็นผู้ปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวตามมาตรา ๒๖๙/๑ เท่าน้ัน การกระทำของ

จำเลยที่ ๑ ตามฟ้องจึงเป็นความผดิ หลายกรรมตา่ งกนั ทีศ่ าลชั้นต้นเรียงกระทงลงโทษจงึ ชอบ

แลว้ ศาลอุทธรณเ์ หน็ พ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ขอ้ น้ีฟงั ไมข่ ึ้นเชน่ กัน

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองข้อสุดท้ายมีว่า สมควรลงโทษ

จำเลยทงั้ สองสถานเบาหรอื ไม่ เหน็ วา่ พฤตกิ ารณข์ องจำเลยทง้ั สองมผี ลกระทบตอ่ เศรษฐกจิ ทำ

ให้ความน่าเช่ือถือของระบบบัตรเครดิตลดลง เกิดความเสียหายต่อผู้ประกอบธุรกิจและ

ประชาชนผสู้ จุ รติ เปน็ เรอื่ งรา้ ยแรง สมควรตอ้ งลงโทษเพอ่ื มใิ หเ้ ปน็ เยยี่ งอยา่ งแกบ่ คุ คลอนื่ แตท่
ี่
ศาลชน้ั ตน้ พพิ ากษาลงโทษจำคกุ จำเลยทงั้ สองกระทงละ ๔ ปี รวม ๑๒ กระทง รวมจำคกุ จำเลย

ทงั้ สอง คนละ ๔๘ ปี นัน้ หนักเกินไป เหน็ สมควรแก้ไขให้เหมาะสม

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้วางโทษจำคุกจำเลยท้ังสองกระทงละ ๒ ปี รวม ๑๒

กระทง รวมจำคกุ จำเลยทงั้ สองคนละ ๒๔ ปี จำเลยทง้ั สองใหก้ ารรบั สารภาพ เปน็ ประโยชนแ์ ก

การพจิ ารณา มเี หตบุ รรเทาโทษ ลดโทษใหต้ ามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กง่ึ หนง่ึ คง

จำคกุ จำเลยท้งั สอง คนละ ๑๒ ปี นอกจากทแี่ กใ้ หเ้ ป็นไปตามคำพิพากษาศาลชน้ั ต้น.

282 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉัยคดี


ตัวอยา่ งคดคี วามผิดเกี่ยวกับเอกสาร






. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๕๗/๒๕๔๗


พเิ คราะหแ์ ลว้ คดมี ปี ัญหาตอ้ งวนิ ิจฉยั ตามอุทธรณ์ของจำเลยเพยี งประการเดียว

ว่า จำเลยรู้หรือไม่ว่าแผ่นสติกเกอร์ป้ายแสดงการชำระค่าภาษีรถยนต์ประจำปีของกลางเป็น

เอกสารปลอม ขอ้ นนี้ ายดาบตำรวจ ๑ รตั นะ ฝกึ ฝน พยานโจทก์ เบกิ ความวา่ แผน่ สตกิ เกอรข์ อง

กลางไม่ชัดเจน จาง ตัวหนงั สอื ใหญ่กว่าปกติ สว่ นจา่ สบิ ตำรวจ สุรณรงค์ วงศ์สนั ตสิ วัสดิ์ เบิก

ความวา่ แผน่ สติกเกอร์ของกลางมีลักษณะเลอื นรางผดิ ปกติ นอกจากนี้ พยานโจทก์ทง้ั สองยัง

เบกิ ความวา่ เคยจบั กมุ ผกู้ ระทำความผดิ ฐานตดิ แผน่ สตกิ เกอรป์ า้ ยแสดงการชำระคา่ ภาษรี ถยนต์

ประจำปปี ลอมบอ่ ยครง้ั ซงึ่ ศาลอทุ ธรณไ์ ดต้ รวจดแู ผน่ สตกิ เกอรข์ องกลางตามเอกสารหมาย จ.๒

แลว้ พบวา่ แถบสบี รเิ วณตอนกลางแผน่ สตกิ เกอรข์ องกลางดงั กลา่ วเลอื นราง ไมส่ มำ่ เสมอ เหน็

ได้อยา่ งชดั เจน อันมลี ักษณะผดิ ปกติ ชัน้ จบั กมุ พยานโจทกท์ ั้งสองแจง้ ขอ้ หาแกจ่ ำเลยว่าปลอม

และใชเ้ อกสารราชการปลอม จำเลยใหก้ ารรบั สารภาพตามบนั ทกึ การจบั กมุ เอกสารหมาย จ.๑

แม้บันทึกการจับกุมดังกล่าวจำเลยจะไม่ได้ลงลายมือช่ือไว้ก็ตาม แต่พยานโจทก์ทั้งสองก็เบิก

ความตรงกันว่าชน้ั จบั กุมจำเลยให้การรบั สารภาพ พยานโจทกท์ งั้ สองไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกบั

จำเลยมากอ่ น ยอ่ มไมม่ มี ลู เหตชุ กั จงู ใจใหเ้ บกิ ความปรกั ปรำจำเลย คำเบกิ ความของพยานโจทก

ทงั้ สองดังกลา่ วจึงมนี ำ้ หนักรบั ฟังได้ ส่วนทจ่ี ำเลยนำสืบวา่ จำเลยเพ่ิงซอ้ื รถยนตแ์ ท็กซ่คี ันเกิด

เหตมุ าเมอ่ื ปี ๒๕๔๔ กอ่ นถกู จบั กมุ เพยี ง ๕ เดอื น และแผน่ สตกิ เกอรข์ องกลางตดิ มากบั รถยนต

โดยจำเลยไม่รู้ว่าเป็นเอกสารปลอมนั้น เห็นว่า รายการจดทะเบียนในสมุดคู่มือจดทะเบียน

รถยนต์ที่จำเลยอ้างว่าได้ถ่ายสำเนาไว้ตามเอกสารหมาย ล.๑ ระบุว่าวันจดทะเบียนและวันที่


๑ ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ลักษณะ ๔ ยศตำรวจและชั้นข้าราชการตำรวจ

มาตรา ๒๔ บญั ญตั ิให้ใช้ว่า “ดาบตำรวจ”.

สว่ นที่ ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำส่ังในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
283
คดีอาญา


จำเลยซงึ่ เปน็ ผถู้ อื กรรมสทิ ธค์ิ รอบครองรถยนต์ คอื วนั ท่ี ๒๐ กนั ยายน ๒๕๔๐ และจำเลยเปน็

เจา้ ของรถ ลำดบั ท่ี ๑ ประกอบกบั เปน็ รถยนต์ รนุ่ ค.ศ. ๑๙๙๗ ซงึ่ เทยี บไดก้ บั พ.ศ. ๒๕๔๐ อนั

แสดงว่าจำเลยเป็นเจ้าของรถยนต์ใหม่ในลำดับแรก มิใช่ซื้อรถยนต์ใช้แล้วจากบุคคลอื่นแต

อย่างใด ซ่ึงขัดกับคำเบิกความของจำเลยท่ีว่าจำเลยซื้อรถยนต์จากเพื่อนของนายจอมในราคา

เพยี ง ๒๐๐,๐๐๐ บาท เนอื่ งจากสภาพไมส่ มบูรณ์ ต้องซอ่ มชว่ งล่าง และด้านท้ายถูกชน อนั มี

ความหมายว่าเป็นรถยนต์ใช้แล้ว มิใชร่ ถยนต์ใหม่ จำเลยจบการศกึ ษาชัน้ ปริญญาตรี และเคย

ทำงานธนาคารมากอ่ น แตไ่ มม่ กี ารทำหนงั สอื สญั ญาซอื้ ขายรถยนตไ์ วเ้ ปน็ หลกั ฐานทงั้ ทม่ี ไิ ดซ้ อื้

ดว้ ยเงนิ สด เมอื่ มกี ารจดทะเบยี นโอนรถยนตเ์ ปน็ ชอ่ื ของจำเลย และจำเลยไดต้ รวจดแู ลว้ หากไม

ถกู ตอ้ งตรงกับข้อเทจ็ จริงในสาระสำคญั เชน่ ไมม่ ีชอ่ื เจ้าของกรรมสิทธิ์คนเดิมที่โอนรถยนต์ให้

จำเลย และไมม่ วี นั ทซ่ี งึ่ จำเลยรบั โอนการครอบครองรถยนต์ จำเลยนา่ จะทกั ทว้ งเสยี แตแ่ รก แตก่

ไมป่ รากฏขอ้ เทจ็ จรงิ วา่ จำเลยไดก้ ระทำเชน่ นนั้ อนั เปน็ สง่ิ ทผี่ ดิ ปกตวิ สิ ยั พยานหลกั ฐานทจ่ี ำเลย

นำสืบจึงเป็นพิรุธและไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลช้ันต้น

วินิจฉัยว่าจำเลยใช้แผ่นสติกเกอร์ป้ายแสดงการชำระค่าภาษีรถยนต์ประจำปีของกลางโดยรู้ว่า

เป็นเอกสารราชการปลอมนั้น ศาลอทุ ธรณ์เห็นพ้องด้วย อทุ ธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึน้

พิพากษายืน.






๒. คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ่ี ๓๗๗๔/๒๕๔๗


พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า บริษัท พี.ที.อีเล็คโทรนิคส์ ๒

จำกดั เปน็ นติ บิ คุ คลประเภทบรษิ ทั จำกดั มผี ถู้ อื หนุ้ ทงั้ หมด ๗ คน โจทกร์ ว่ มและจำเลยที่ ๑ เปน็


๒ สมควรใช้ตามหลักการทับศัพท์ของราชบัณฑิตยสถานว่า “อิเล็กทรอนิกส์” แต่เนื่องจากมีการจดทะเบียน

จัดตั้งบริษัทโดยระบชุ อ่ื บริษัทเช่นน้ี จึงต้องใชต้ ามทปี่ รากฏในหนงั สอื รบั รอง.

284 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉยั คด


ผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการบริษัท ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ถือหุ้นคนหน่ึงและรับจ้างจดทะเบียน

บริษัท ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ ๑ มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ ไป

ดำเนินการขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการของบริษัท พี.ที.อีเล็คโทรนิคส์ จำกัด ระบุว่า

โจทก์ร่วมได้ออกจากการเป็นกรรมการตามมติทีป่ ระชมุ วิสามญั ผู้ถือหนุ้ ครงั้ ท่ี ๑/๒๕๔๒ เม่อื

วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ เป็นเหตุให้นายพรพิมล สุวรรณวิโก นายทะเบียนสำนักงาน

ทะเบยี นหนุ้ สว่ นบรษิ ทั กรงุ เทพมหานคร อนญุ าตใหม้ กี ารจดทะเบยี นเปลย่ี นแปลงกรรมการตาม

ขอ คงมปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องจำเลยทงั้ สองวา่ พยานหลกั ฐานของโจทกแ์ ละโจทก

ร่วมมีน้ำหนักมั่นคงพอฟังลงโทษจำเลยทั้งสองฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ

ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ในคดีอาญาโจทก์จะต้องนำสืบให้ปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำ

ความผิดจริง จึงจะรับฟังลงโทษจำเลยได้ คดีน้ีโจทก์และโจทก์ร่วมกล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสอง

ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ

โจทก์และโจทก์ร่วมจะต้องนำสืบพยานให้ปรากฏว่าข้อความที่แจ้งเป็นข้อความเท็จและจำเลย

ทงั้ สองมเี จตนาแจง้ ใหเ้ จา้ พนกั งานจดขอ้ ความอนั เปน็ เทจ็ นน้ั การทโ่ี จทกม์ โี จทกร์ ว่ มเปน็ พยาน

เพยี งปากเดียวเบิกความว่าขอ้ ความทีจ่ ำเลยที่ ๒ แจ้งต่อนายทะเบยี นวา่ โจทกร์ ว่ มได้ออกจาก

การเป็นกรรมการบริษัท พี.ที.อีเล็คโทรนิคส์ จำกัด ตามมติท่ีประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น คร้ังท ี่

๑/๒๕๔๒ เมอ่ื วนั ที่ ๑๑ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๒ เปน็ ขอ้ ความเทจ็ เพราะโจทกร์ ว่ มซง่ึ เปน็ ผถู้ อื หนุ้ คน

หน่ึงไม่เคยได้รับหนังสือเรียกประชุมดังกล่าวน้ัน เป็นการนำสืบยืนยันได้เพียงว่าการนัดเรียก

ประชมุ ไมช่ อบดว้ ยขอ้ บงั คบั หรอื บทบญั ญตั ขิ องกฎหมายซง่ึ อาจมผี ลทำใหศ้ าลเพกิ ถอนมตขิ องท
่ี
ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบเสียได้เท่านั้น พยานโจทก์ไม่ได้ยืนยันชัดแจ้งว่ามีการประชุมและลง

มตใิ หโ้ จทกร์ ว่ มออกจากการเปน็ กรรมการบรษิ ทั จรงิ หรอื ไม่ สว่ นฝา่ ยจำเลยทงั้ สองนอกจากมตี วั

จำเลยทง้ั สองเปน็ พยานเบกิ ความประกอบเอกสารหลกั ฐานวา่ มกี ารทำหนงั สอื เรยี กประชมุ ตาม

เอกสารหมาย ล.๙ ส่งไปถึงผู้ถือหุ้นทุกคนก่อนวันนัดประชุม และมีการประชุมผู้ถือหุ้นตาม

สว่ นที่ ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำสง่ั ในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
285
คดีอาญา


กำหนดนดั ทป่ี ระชมุ มมี ตเิ ปน็ เอกฉนั ทใ์ หป้ ลดโจทกร์ ว่ มออกจากกรรมการตามหลกั ฐานรายชอ่ื

พรอ้ มลายมอื ชอ่ื ผเู้ ขา้ ประชมุ และรายงานการประชมุ เอกสารหมาย ล.๑๔ และ ล.๑๕ แลว้ ยงั ม

นางสาวชมภัสสร เจริญภูริวัฒ เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า พยานเป็นคนพิมพ์หนังสือเรียก

ประชุมตามเอกสารหมาย ล.๙ และส่งหนังสือไปถึงโจทก์ร่วม นายไพบูลย์ ต้ังสิทธิเกษม

และนางหัทยา ต้ังสิทธิเกษม ผู้ถือหุ้น ทางโทรสาร กับมีนางจรุงพร หุ่นศิริ ผู้ถือหุ้นคนหนึ่ง

เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า พยานได้รับหนังสือเรียกประชุมและเข้าร่วมประชุมพร้อมกับ

จำเลยท่ี ๑ นายไพบูลย์ และนางหัทยา ที่ประชุมมีมติให้ปลดโจทก์ร่วมออกจากการเป็น

กรรมการบริษัท พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองสอดคล้องต้องกัน มีน้ำหนักในการรับฟัง

มากกวา่ พยานหลกั ฐานของโจทกแ์ ละโจทกร์ ว่ ม กรณตี อ้ งฟงั ขอ้ เทจ็ จรงิ ตามพยานหลกั ฐานของ

จำเลยทงั้ สองวา่ มกี ารประชมุ วสิ ามญั ผถู้ อื หนุ้ ครงั้ ท่ี ๑/๒๕๔๒ เมอ่ื วนั ท่ี ๑๑ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๒

และทป่ี ระชุมมมี ตใิ ห้ปลดโจทกร์ ่วมออกจากการเป็นกรรมการบริษทั พ.ี ที.อเี ล็คโทรนคิ ส์ จำกัด

จริง ข้อความเกี่ยวกับมติท่ีประชุมดังกล่าวที่จำเลยที่ ๒ นำไปแจ้งแก่นายทะเบียนไม่ใช่ข้อ

ความเท็จ ซึ่งเท่ากับโจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาร่วมกันแจ้งให

เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จตามท่ีอ้าง จึงไม่อาจลงโทษจำเลยท้ังสองตามฟ้อง ท่ีศาล

ช้ันต้นรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมมาลงโทษจำเลยทั้งสองน้ัน ไม่ต้องด้วย

ความเห็นของศาลอุทธรณ์ อุทธรณข์ องจำเลยทงั้ สองฟงั ข้ึน

พิพากษากลับ ให้ยกฟอ้ ง.

286 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉยั คดี


ตวั อย่างคดีความผดิ เกีย่ วกับเอกสาร

ความผิดต่อเจา้ พนกั งานในการยตุ ิธรรม






ำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๗๓๕๕/๒๕๕๐


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่จำเลยอุทธรณ์ในประการแรกว่า

จำเลยกระทำความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อ่ืนและฐานปลอมเอกสารราชการอันเป็น

ความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท มิใช่สองกรรมน้ัน เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๑๘๘ วางหลกั เกณฑส์ รปุ ไดว้ า่ ผใู้ ดทำใหเ้ สียหาย ทำลาย ซอ่ นเร้น เอาไปเสีย.... ซึง่

พินัยกรรมหรือเอกสารใดของผู้อ่ืนในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

ตอ้ งระวางโทษจำคกุ ไมเ่ กนิ หา้ ปี และปรบั ไมเ่ กนิ หนง่ึ หมน่ื บาท และมาตรา ๒๖๕ วางหลกั เกณฑ

สรุปได้ว่า ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึง

หา้ ปี และปรบั ตง้ั แตห่ นงึ่ พนั บาทถงึ หนงึ่ หมนื่ บาท ดงั นน้ั การกระทำทเี่ ขา้ องคป์ ระกอบความผดิ

ของแตล่ ะมาตรายอ่ มเปน็ ความผดิ อยใู่ นตวั เองและแยกเปน็ รายกระทงความผดิ ตามทไ่ี ดก้ ระทำ

เมอ่ื จำเลยใหก้ ารรบั วา่ ไดเ้ อาเอกสารของผอู้ น่ื ไปในประการทน่ี า่ จะเกดิ ความเสยี หายแกผ่ อู้ น่ื หรอื

ประชาชนจรงิ ตามฟอ้ ง การกระทำของจำเลยจงึ ครบองคป์ ระกอบความผดิ และเปน็ ความผดิ แลว้

ตามมาตรา ๑๘๘ กรรมหนงึ่ และเมอื่ จำเลยรบั ตอ่ ไปวา่ ไดน้ ำเอกสารนนั้ ไปทำปลอมเปน็ เอกสาร

ราชการ การกระทำของจำเลยจึงครบองค์ประกอบความผิดและเป็นความผดิ ตามมาตรา ๒๖๕

อกี กรรมหนงึ่ รวมเปน็ สองกรรม ทศ่ี าลชนั้ ตน้ พพิ ากษามานน้ั ชอบแลว้ ศาลอทุ ธรณเ์ หน็ พอ้ งดว้ ย

อุทธรณข์ องจำเลยในข้อน้ีฟงั ไมข่ ึน้

ท่ีจำเลยอุทธรณ์อีกประการหน่ึงโดยขอให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้ก่อน

นั้น เห็นว่า จำเลยเอาเอกสารของผู้อื่นไป แล้วนำไปปลอมเป็นเอกสารราชการเพื่อประโยชน

ของตนเองโดยไมค่ ำนงึ วา่ จะเกดิ ความเสยี หายแกผ่ ใู้ ดหรอื ไม่ พฤตกิ ารณข์ องจำเลยสอ่ แสดงวา่

ส่วนท่ี ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำสั่งในรปู คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
287
คดอี าญา


จำเลยกล้ากระทำความผิดโดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ดังนั้น การท่ีศาลช้ันต้นเรียง

กระทงลงโทษแลว้ รวมจำคกุ ๑๒ เดอื น กอ่ นลดโทษใหก้ ง่ึ หนงึ่ คงจำคกุ เพยี ง ๖ เดอื น โดยไมร่ อ

การลงโทษให้น้ัน นับว่าเหมาะสมและเป็นประโยชน์แก่จำเลยมากแล้ว ไม่มีเหตุท่ีศาลอุทธรณ์

จะเปลีย่ นแปลงแกไ้ ข อุทธรณ์ของจำเลยในขอ้ นี้ฟงั ไมข่ ้ึนเช่นกนั

พพิ ากษายืน.

288 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉยั คดี


ตัวอย่างคดคี วามผิดตอ่ เจ้าพนักงานในการยุติธรรม ลักทรัพย






ำพิพากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๑๑๒๐/๒๕๔๘


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า การท่ีจำเลยท่ี ๒ ร่วมกับ

จำเลยท่ี ๑ ลกั บตั รเครดติ ของผเู้ สยี หายไป แลว้ รว่ มกนั นำบตั รเครดติ นน้ั ไปลกั เงนิ ของผเู้ สยี หาย

โดยเบกิ ถอนจากบญั ชเี งนิ ฝากของผเู้ สยี หาย เปน็ เงนิ ๑๐,๐๐๐ บาท นนั้ โจทกบ์ รรยายฟอ้ งระบ

วันเวลากระทำความผิดทั้งสองเหตุการณ์น้ีเกล่ือนกลืนทับซ้อนกัน จึงเป็นการกระทำที่ต่อ

เนอ่ื งกนั การรว่ มกันลกั บัตรเครดติ ของผ้เู สยี หายไปกเ็ พ่ือทจ่ี ะใชบ้ ัตรเครดิตนนั้ เบิกถอนลักเงิน

ของผู้เสียหายไปจากบัญชีเงินฝาก ซึ่งเป็นเจตนาท่ีเกิดขึ้นแต่แรก หาใช่ร่วมกันลักบัตรเครดิต

แล้วเกิดเจตนาภายหลังที่จะใช้บัตรเครดิตน้ันถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายดังท่ีศาล

ช้ันต้นวินิจฉัยไว้ไม่ เพราะลำพังบัตรเครดิตมีราคาไม่มาก ท้ังไม่เกิดประโยชน์โดยชอบด้วย

กฎหมายแก่ผู้ซ่ึงไม่ใช่เจ้าของ ย่อมไม่ก่อให้เกิดแรงจูงใจให้ผู้กระทำความผิดมีเจตนาลักบัตร

เครดติ ในคราวหนงึ่ แลว้ จงึ เกดิ เจตนานำบตั รเครดติ นนั้ ไปเบกิ ถอนเงนิ จากบญั ชเี งนิ ฝาก อนั เปน็

การลกั ทรพั ยอ์ กี เจตนาหนง่ึ การทจ่ี ำเลยท่ี ๒ รว่ มกนั ลกั บตั รเครดติ ของผเู้ สยี หายแลว้ นำไปถอน

เงนิ จากบญั ชเี งนิ ฝากของผเู้ สยี หาย เปน็ เงนิ ๑๐,๐๐๐ บาท จงึ เปน็ การกระทำกรรมเดยี ว ทศี่ าล

ชนั้ ตน้ วนิ จิ ฉยั วา่ เปน็ ความผดิ สองกรรมนนั้ ไมต่ อ้ งดว้ ยความเหน็ ของศาลอทุ ธรณ์ จงึ ตอ้ งแกไ้ ข

คำพิพากษาศาลชนั้ ตน้ ให้จำเลยท่ี ๒ ไดร้ บั โทษน้อยลง อทุ ธรณ์ของจำเลยท่ี ๒ ท่ีขอใหล้ งโทษ

สถานเบานน้ั ฟังขน้ึ ส่วนทจี่ ำเลยท่ี ๒ ขอใหร้ อการลงโทษโดยอทุ ธรณ์ว่า จำเลยที่ ๑ เปน็ ผลู้ กั

บัตรเครดิตของผู้เสียหาย แล้วบอกรหัสบัตรเครดิตให้จำเลยที่ ๒ เป็นผู้กดเบิกถอนเงินจาก

เครอ่ื งฝากถอนเงนิ อตั โนมตั ิ โดยจำเลยท่ี ๒ ไดร้ บั สว่ นแบง่ มา ๑,๐๐๐ บาท นนั้ ขอ้ เทจ็ จรงิ นต้ี รง

กับท่ีระบุไว้ในคำร้องขอฝากขังผู้ต้องหา ครั้งที่ ๑ ของพนักงานสอบสวน พฤติการณ์แห่งคด

จึงอาจเปน็ ไปไดว้ า่ จำเลยที่ ๑ ไมร่ วู้ ธิ กี ารใชบ้ ตั รเครดติ ถอนเงนิ จากเครอ่ื งฝากถอนเงนิ อตั โนมตั ิ

สว่ นที่ ๒ ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
289
คดีอาญา


จงึ ใหจ้ ำเลยที่ ๒ ชว่ ยดำเนนิ การให้ โจทกบ์ รรยายฟอ้ งวา่ ผเู้ สยี หายไดร้ บั ชดใชเ้ งนิ ๑๐,๐๐๐ บาท

และได้รับบัตรเครดิตคืนแล้ว ไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยท่ี ๒ อีกต่อไป พฤติการณ์แห่งการ

กระทำความผดิ ของจำเลยที่ ๒ จงึ ไมร่ า้ ยแรง ประกอบกบั ผเู้ สยี หายไดร้ บั การบรรเทาผลรา้ ยใน

การกระทำความผดิ แลว้ สมควรรอการลงโทษใหจ้ ำเลยท่ี ๒ อทุ ธรณข์ องจำเลยที่ ๒ ขอ้ นฟี้ งั ขนึ้

เชน่ กัน

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยท่ี ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา

๑๘๘, ๓๓๕ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๘๓ เพียงกระทงเดียว เม่ือระวางโทษฐานร่วมกัน

ลกั ทรพั ยใ์ นเวลากลางคนื และลดโทษใหแ้ ลว้ คงเหลอื โทษสทุ ธิ จำคกุ ๑ ปี โดยใหร้ อการลงโทษ

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไว้มีกำหนด ๑ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม

คำพพิ ากษาศาลช้ันตน้ .

290 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉัยคดี


ตัวอยา่ งคดีความผิดต่อชีวติ ความผดิ ต่อรา่ งกาย ประมาท

ความผดิ ตอ่ พระราชบญั ญตั ิจราจรทางบก






ำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๒๘๖๕/๒๕๔๘


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงท่ีมิได้โต้เถียงกันฟังได

ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยขับรถกระบะคันเกิดเหตุมาตามถนนสุวินทวงศ์ซ่ึงแบ่งเส้น

ทางการจราจร๑ ออกเปน็ ๒ ฝัง่ ฝงั่ ละ ๒ ช่องเดนิ รถ มาจากทางมนี บุรีมุ่งหนา้ ไปทางจงั หวัด

ฉะเชงิ เทรา มนี ายสุรพล จนั ทโชติ พีเ่ ขย นางพรพรรณ จนั ทโชติ พ่สี าว และเด็กชายสุพรชยั

จันทโชติ หลานชาย นั่งมาด้วย เม่ือถึงท่ีเกิดเหตุเลยแยกกระทุ่มล้มไปเล็กน้อย ก่อนถึงสถานี

บรกิ ารนำ้ มนั เชลล์ ไดช้ นกบั รถจกั รยานยนต์ ไมม่ ปี า้ ยทะเบยี น ในชอ่ งเดนิ รถชอ่ งที่ ๒ ดา้ นขวา

ซงึ่ มนี ายปรญิ ญา อำนวยพร เปน็ คนขบั โดยมนี ายสชุ าติ นตุ มะหะหมดั นายมานพ หนนู มิ่ และ

เดก็ ชายยทุ ธนา เสาธงใหญ่ รวม ๔ คน นงั่ ซอ้ นทา้ ยกนั มา เปน็ เหตใุ หน้ ายปรญิ ญากบั นายสชุ าต

ถงึ แกค่ วามตาย เดก็ ชายยทุ ธนาไดร้ บั บาดเจบ็ สาหสั สว่ นนายมานพไดร้ บั อนั ตรายแกก่ าย หลงั

เกิดเหตุจำเลยจอดรถไว้ที่ไหล่ทางด้านซ้าย ใกล้สถานีบริการน้ำมันเชลล์ ห่างจากจุดเกิดเหต

ประมาณ ๖๘ เมตร แล้วหลบหนีไป มีปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ว่า จำเลยขับรถโดย

ประมาทหรอื ไม่ สำหรบั คดนี เี้ หน็ ควรวนิ จิ ฉยั ในประการแรกเสยี กอ่ นวา่ กอ่ นรถจกั รยานยนตถ์ กู

ชนแลน่ มาจากทางใด จะไปทางไหน และใครเปน็ คนขบั สว่ นจำเลยขบั รถกระบะมาอยา่ งไร เหน็

ว่า ที่นายมานพและเด็กชายยุทธนาเบิกความว่าก่อนถูกชนนายปริญญาเป็นคนขับรถชิด

ขอบทางดา้ นซา้ ย และนางวมิ ล นตุ มะหะหมดั กบั นายถนอม นตุ มะหะหมดั บดิ ามารดาของนาย

สุชาติ ผตู้ าย เบิกความว่า ก่อนเกดิ เหตเุ หน็ รถกระบะของจำเลยขับแข่งตคี มู่ ากับรถเก๋งนั้น ไม


๑ มาตรา ๔ (๓) แห่งพระราชบัญญตั ิจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ นยิ ามคำว่า “ทางเดนิ รถ” ไว้วา่ หมายความ

ว่า พื้นท่ที ท่ี ำไวส้ ำหรับการเดินรถ ไมว่ า่ ในระดบั พ้นื ดนิ ใต้หรอื เหนือพน้ื ดิน ดงั น้นั จะใชว้ า่ “ทางเดนิ รถ” ก็ได.้

สว่ นที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาและคำสัง่ ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
291
คดอี าญา


นา่ เชอ่ื เพราะนอกจากตามแผนทสี่ งั เขปแสดงสถานทเี่ กดิ เหตุ เอกสารหมาย จ.๒ จดุ ชนจะอยใู่ น

ชอ่ งเดนิ รถช่องที่ ๒ แล้ว ยงั พบรอยครูดของรถจกั รยานยนตก์ ับรอยห้ามล้อของรถกระบะของ

จำเลยอย่ใู นช่องเดินรถชอ่ งที่ ๒ ด้วย ประกอบกับลกั ษณะความเสยี หายของรถจกั รยานยนต์มี

ร่องรอยถกู กระแทกทีท่ า้ ยรถข้างขวา สว่ นรถกระบะมีร่องรอยบุบยุบท่กี นั ชนหนา้ ขา้ งซา้ ย โคม

ไฟหนา้ ขา้ งซา้ ยแตก มรี อยบบุ ทป่ี ระตหู นา้ ขา้ งซา้ ย และมรี อยครดู ทต่ี วั ถงั รถขา้ งซา้ ยเปน็ แนวไป

ทางท้ายรถ เช่นนี้จึงเป็นการชนในลักษณะท่ีรถจักรยานยนต์ต้องอยู่ด้านหน้าเย้ืองไปทางซ้าย

ของรถกระบะ และเปน็ การชนในทางตรง โดยกอ่ นชนรถกระบะไดห้ า้ มลอ้ และพยายามหกั หลบ

ไปทางขวา แตไ่ มพ่ น้ เพราะปรากฏรอยหา้ มลอ้ กอ่ นถงึ จดุ ชนและหลงั จดุ ชน ทศิ ทางจากซา้ ยไปขวา

และเมื่อถูกชนแล้วรถกระบะยังคงว่ิงไปข้างหน้า ส่วนรถจักรยานยนต์น่าจะหมุนและล้มลง

ทางด้านขวา เพราะพบรอยครูดของรถจักรยานยนต์ไถครูดไปกับผิวถนนและจอดคว่ำอยู่บน

ไหล่ทางด้านขวา พบศพนายสุชาตินอนตายอยู่ที่ก่ึงกลางระหว่างช่องเดินรถช่องท่ี ๑ กับช่อง

ท่ี ๒ ห่างจากรอยครดู บนพ้นื ถนนประมาณ ๒๕ เมตร ส่วนศพนายปรญิ ญาพบอยู่ตรงทางเข้า

สถานบี รกิ ารนำ้ มนั เชลลซ์ งึ่ อยทู่ างดา้ นซา้ ย ทงั้ นายปรญิ ญาและนายสชุ าตถิ งึ แกค่ วามตายเพราะ

สมองบวมชำ้ โดยเฉพาะนายปรญิ ญากะโหลกศรี ษะขา้ งขวาแตกยบุ ดว้ ย จากสภาพบาดแผลเมอื่

พิจารณาประกอบกับจุดท่ีพบศพนายปริญญาหลังถูกชน เชื่อได้ว่านายปริญญาและนายสุชาต

เป็นคนน่ังซ้อนท้าย โดยนายปริญญาไม่ใช่คนขับ ส่วนคนขับน่าจะติดอยู่กับรถจักรยานยนต์

เพราะล้มและไถครูดไปกับพ้ืนถนน ซึ่งตรงกับที่นายสุนันท์ ไกรทอง พยานคนกลางซ่ึงอยู่ใน

ทเ่ี กดิ เหตุ เบกิ ความยนื ยนั ไวว้ า่ หลงั จากเหน็ รถชนกนั แลว้ เหน็ เดก็ นกั เรยี น ๒ คน กระเดน็ ลอย

ข้นึ แล้วหล่นลงมาทพี่ ้นื เมอื่ เข้าไปดู พบวา่ ถงึ แก่ความตายแลว้ ๑ คน สว่ นอีกคนหนึง่ บาดเจบ็

อยใู่ กล้ ๆ กนั นอกจากน้ัน มเี ด็กนกั เรยี น ๑ คน นอนบาดเจบ็ อยูต่ รงปากทางเขา้ สถานบี ริการ

นำ้ มนั และอกี ๑ คน ถกู รถจกั รยานยนตล์ ม้ ทบั ขาไว้ พยานยงั ไดช้ ว่ ยนำผบู้ าดเจบ็ ขน้ึ รถกระบะ

ของพลเมืองดีท่แี ล่นผ่านมา และยนื ยันดว้ ยวา่ ในชว่ งเวลาระหวา่ ง ๑๐ นาที ขณะพยานอยูใ่ น

292 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉัยคด


ท่ีเกิดเหตุ ยังไม่เห็นบิดามารดาหรือญาติของผู้ตายอยู่ในที่เกิดเหตุ เมื่อได้พิจารณาสภาพ

บาดแผลของนายมานพ เจา้ ของรถจกั รยานยนต์ ซง่ึ รบั วา่ เปน็ คนขบั รถออกมาจากบา้ น แตอ่ า้ ง

วา่ กอ่ นเกดิ เหตพุ บนายปรญิ ญา ผตู้ าย ทห่ี นา้ โรงเรยี นหมอนทองวทิ ยา นายปรญิ ญา ผตู้ าย ขอ

เป็นคนขับ และหลงั เกิดเหตุถูกชน ก็สลบไปทนั ที ปรากฏว่านายมานพได้รบั บาดแผลถลอกท
ี่
บริเวณแขนขวาและเท้าขวา ตรงกับที่นายสุนันท์และนายสมศักดิ์ เอกากูล พยานในท่ีเกิด

เหตุ เบกิ ความยนื ยนั ว่าเห็นผู้บาดเจ็บคนหนึ่งถกู รถจกั รยานยนต์ลม้ ทบั ขาไว้ นายสมศกั ดเิ์ บกิ

ความว่าไม่ได้สังเกตว่าผู้บาดเจ็บคนดังกล่าวยังรู้สึกตัวอยู่หรือไม่ ซ่ึงตามปกติโดยทั่วไป

ในกรณีรถจักรยานยนต์ซึ่งมีการนั่งซ้อนท้ายและไม่ได้ชนกันแบบปะทะอัดกับรถยนต์คันอ่ืน

หรือส่ิงกีดขวางทางด้านหน้าอย่างตรง ๆ แต่ล้มลงในลักษณะเช่นคดีน้ี คนขับจะติดไปกับตัว

รถจักรยานยนต์ ส่วนคนซ้อนท้ายจะกระเด็นออกจากตัวรถจักรยานยนต์ เพราะไม่มีอะไรให

ยดึ เกาะได้อย่างมั่นคงเหมือนคนขับ ทั้งเม่ือพิจารณาสภาพบาดแผลของนายมานพซึ่งมีเพียง

บาดแผลฉีกขาดท่ใี บหซู ้าย ขมับซา้ ย คอ คาง และไหลซ่ า้ ย รวมทั้งมีบาดแผลถลอกท่แี ขนขวา

และเท้าขวาแล้ว ไม่น่าจะทำให้หมดสติไปได้ในทันทีดังคำเบิกความของนายมานพ เพราะไม

ปรากฏเลยว่าสมองของนายมานพได้รับการกระทบกระเทือนแต่อย่างใด และไม่มีบันทึก

คำให้การในช้ันสอบสวนของนายมานพมาสนับสนุนว่าได้เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวนแล้วว่า

ไม่ได้เป็นคนขับและหลังเกิดเหตุหมดสติไปในทันที ท้ังนายมานพเองยังเป็นเจ้าของ

รถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุอีกด้วย จึงเช่ือได้ว่าก่อนเกิดเหตุนายมานพเป็นคนขับรถ

จกั รยานยนต์ หาใชน่ ายปรญิ ญา ผตู้ าย ไม่ สำหรบั ทศิ ทางของรถจกั รยานยนตก์ อ่ นเกดิ เหตแุ ลน่

มาจากทางใด และจะไปทางไหน รวมทง้ั จำเลยขบั รถมาในชอ่ งเดนิ รถใดนน้ั แมจ้ ะไมม่ ปี ระจกั ษ

พยานคนใดรู้เห็น แต่นายมานพเองเบิกความว่าก่อนเกิดเหตุพบนายปริญญายืนอยู่ท่ีหน้า

โรงเรยี นหมอนทองวิทยา นายชาติชาย อำนวยพร บดิ าของนายปรญิ ญา ผตู้ าย เบิกความวา่

นายปรญิ ญาเรยี นอยทู่ โ่ี รงเรยี นหมอนทองวทิ ยาและพกั อาศยั อยกู่ บั ญาตทิ อี่ ำเภอบางนำ้ เปรยี้ ว

ส่วนที่ ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรปู คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
293
คดอี าญา


จังหวัดฉะเชิงเทรา ทั้งปรากฏว่าโรงเรียนหมอนทองวิทยาตั้งอยู่ระหว่างทางไปอำเภอบางน้ำ-

เปร้ียว นายมานพเองก็รับอยู่ว่าก่อนถูกชนจะนำรถจักรยานยนต์ไปเติมน้ำมันที่สถานีบริการ

นำ้ มนั เชลลต์ รงทเ่ี กดิ เหตุ ซง่ึ สอดคลอ้ งตอ้ งตรงกนั กบั ทนี่ ายสนุ นั ทเ์ บกิ ความยนื ยนั วา่ ขณะยนื รอ

รถโดยสารที่ถนนฝั่งตรงข้ามกับสถานีบริการน้ำมันเชลล์เพื่อเข้ากรุงเทพมหานคร ได้ยินเสียง

ห้ามล้อรถดังมาจากทางฝั่งตรงข้าม จึงหันไปดู เห็นรถยนต์สีฟ้าเสียหลักแล้วแล่นผ่านสถานี

บรกิ ารนำ้ มนั เชลลไ์ ป แลว้ ไดย้ นิ เสยี งชนกนั ดงั โครม ซงึ่ ในขอ้ นจี้ ำเลยเองกร็ บั อยวู่ า่ กอ่ นเกดิ เหต

ขับตามหลังรถยนต์ แล้วรถยนต์หลบออกทางซ้าย ซ่ึงตรงกับที่นายสุนันท์เบิกความ เพียงแต่

อา้ งวา่ อยใู่ นชอ่ งเดนิ รถดา้ นซา้ ยดว้ ยกนั และยงั ตรงกบั รอ้ ยตำรวจเอก สมยศ แอบเนยี ม ผตู้ รวจ

สภาพรถท้ังสองคัน เมื่อเบิกความโดยเปรียบเทียบกับแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุแล้ว

ให้ความเห็นเป็นข้อสันนิษฐานไว้ว่า รถจักรยานยนต์อาจจะเล้ียวกลับรถในลักษณะตีวงกว้าง

แลว้ หกั ขวามาทางดา้ นทเ่ี ปน็ จดุ ชน ขอ้ สนั นษิ ฐานนเี้ มอื่ ไดพ้ เิ คราะหป์ ระกอบเขา้ กบั เหตผุ ลขา้ งตน้

ดงั วนิ จิ ฉยั มา และขณะเกดิ เหตเุ ปน็ เวลาประมาณ ๑๘.๒๐ นาฬกิ า เปน็ ชว่ งฤดฝู น ใกลค้ ำ่ อากาศ

ย่อมขมุกขมัว ทัศนวิสัยไม่ดี ข้อเท็จจริงจึงเชื่อได้ว่ารถจักรยานยนต์ว่ิงมาจากทางจังหวัด

ฉะเชงิ เทรา มงุ่ หนา้ มาทางมนี บรุ ี แลว้ เลยี้ วกลบั รถทสี่ แ่ี ยกกระทมุ่ ลม้ เพอื่ จะไปเตมิ นำ้ มนั ทส่ี ถาน

บริการน้ำมันเชลล์ใกล้ที่เกิดเหตุโดยไม่หยุดรอดูให้ดีว่ามีรถยนต์ในทางตรงว่ิงมาในระยะพอท
ี่
จะเลย้ี วกลบั รถโดยปลอดภยั หรอื ไม่ ขณะนนั้ เปน็ จงั หวะเดยี วกบั ทรี่ ถยนตแ์ ละรถกระบะของจำเลย

ขับตีคู่กันข้ามทางแยกมาพอดี โดยรถกระบะของจำเลยอยู่ในช่องเดินรถด้านขวา เม่ือรถยนต

เหน็ รถจกั รยานยนตต์ วี งกวา้ งเลย้ี วตดั หนา้ แตไ่ มพ่ น้ ระยะ เพราะรถจกั รยานยนตค์ นั เลก็ แตแ่ บก

รบั นำ้ หนกั ถึง ๔ คน จึงแล่นได้ช้า รถยนต์จึงบังคับรถหลบไปทางซา้ ย ซ่ึงตรงกับท่นี ายสุนนั ท

เห็นและยืนยัน ส่วนรถจักรยานยนต์พยายามหักหลบมาทางขวา แต่จำเลยหลบไม่ทัน จึงได

เฉ่ียวชนรถจักรยานยนต์ล้มลงในช่องเดนิ รถดา้ นขวา

294 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คดี


ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยขับรถโดยประมาทหรือไม่ เห็นว่า ท
่ี
จำเลยอ้างว่าจำเลยขับรถตามรถยนต์มาในช่องเดินรถด้านซ้าย และรถจักรยานยนต์เปล่ียน

ช่องเดินรถจากซ้ายไปขวาเพื่อจะข้ามเกาะกลางถนนไปยังถนนฝั่งตรงข้ามน้ัน ไม่น่าเป็นไปได ้

เพราะตามภาพถา่ ยสถานที่เกดิ เหตุ หมาย จ.๑๒ และ จ.๑๘ มคี นู ำ้ กน้ั แบ่งเส้นทางการจราจร

ออกเปน็ ๒ ฝงั่ จงึ กลบั รถไมไ่ ด้ ทง้ั จดุ ชนอยใู่ นชอ่ งเดนิ รถดา้ นขวา พบรอยหา้ มลอ้ ของรถกระบะ

ของจำเลยจากก่ึงกลางในช่องเดินรถด้านขวา เริ่มจากด้านซ้ายเฉียงเข้าหาคูน้ำ ยาวประมาณ

๓๕ เมตร ปรากฏตามภาพถ่าย หมาย จ.๑๐ และ จ.๑๑ และพบรถจักรยานยนตล์ ้มอยูก่ บั พ้ืน

ขา้ งถนนทางดา้ นขวา หา่ งจากจดุ ชนถงึ ประมาณ ๖๘ เมตร สว่ นผตู้ ายทงั้ สองพบอยหู่ า่ งจากจดุ ชน

ประมาณ ๒๕ เมตร และ ๗๐ เมตร (หนา้ ทางเขา้ สถานบี ริการน้ำมันเชลล์) ตามลำดับ จงึ เป็น

การชนโดยแรง แสดงว่าจำเลยต้องขับรถด้วยความเร็ว เม่ือปรากฏว่าจุดเกิดเหตุผ่านจากทาง

ร่วมทางแยกเพียงประมาณ ๑๐๐ เมตร เช่นน้ี ท้ังรถกระบะที่จำเลยขับก็เป็นรถกระบะแบบ

ธรรมดา ไมไ่ ดต้ กแตง่ หรอื เปลย่ี นเครอ่ื งยนตใ์ หม้ กี ำลงั แรงเปน็ พเิ ศษ แสดงวา่ กอ่ นจำเลยขบั รถ

ผา่ นเขา้ ทางรว่ มทางแยก จำเลยขบั รถมาดว้ ยความเรว็ สงู โดยไมล่ ดความเรว็ ลงในขณะทผี่ า่ นเขา้

ทางร่วมทางแยก จึงเป็นการขับรถโดยประมาท อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ข้ึน แต่คดีน้ีตาม

พฤติการณ์แห่งคดีฝ่ายผู้ตายและผู้บาดเจ็บขับรถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันถึง ๔ คน และยัง

กลบั รถในทางรว่ มทางแยกโดยไมด่ ใู หด้ วี า่ อยใู่ นระยะทางทปี่ ลอดภยั หรอื ไม่ จงึ เปน็ ฝา่ ยประมาท

มากยง่ิ กวา่ จำเลยเสยี อกี ทศ่ี าลชนั้ ตน้ พพิ ากษาลงโทษจำคกุ จำเลยถงึ ๔ ปี และฐานหลบหนไี ม

หยุดใหค้ วามช่วยเหลือ จำคุก ๓ เดือน แล้วลดโทษให้เพยี งหนงึ่ ในสามนน้ั เหน็ ว่าหนกั เกนิ ไป

ศาลอทุ ธรณเ์ หน็ สมควรวางโทษเสยี ใหมเ่ พอ่ื ใหเ้ หมาะสมกบั พฤตกิ ารณแ์ ละความรา้ ยแรงแหง่ คดี

สำหรับท่ีจำเลยอุทธรณ์ว่า ตามคำฟ้องของโจทก์บรรยายว่าจำเลยขับรถแข่งกัน

มาด้วยความเร็วสูง แล้วเสียหลักไปชนรถจักรยานยนต์จนมีผู้ถึงแก่ความตายและบาดเจ็บ แต่

ทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า รถจักรยานยนต์ว่ิงตัดหน้าเข้าไปในช่องเดินรถของจำเลย

สว่ นท่ี ๒ ตวั อยา่ งคำพิพากษาและคำสงั่ ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
295
คดอี าญา


ในระยะกระช้นั ชิด ทำใหจ้ ำเลยไมอ่ าจหยุดรถได้ทนั ซงึ่ แตกต่างกนั ก็ตาม แตห่ าใชส่ าระสำคัญ

ไม่ เพราะโจทก์ได้บรรยายฟ้องด้วยว่าเหตุท่ีเกิดเฉ่ียวชนกันเน่ืองจากจำเลยขับรถด้วยความ

เร็วสูง ทำให้ไม่สามารถห้ามล้อหยุดรถได้ทันและไม่สามารถควบคุมรถเพ่ือไม่ให้เฉี่ยวชน

รถจกั รยานยนตท์ ีผ่ ตู้ ายกบั พวกนง่ั มาได้ อันเปน็ คำฟ้องในส่วนสาระสำคญั ซง่ึ ในทางพจิ ารณา

โจทกก์ น็ ำสบื ไดค้ วามตามคำฟอ้ งสว่ นน้ี ดงั นนั้ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทไี่ ดค้ วามจากทางนำสบื ของโจทกจ์ งึ

หาใช่เป็นข้อเท็จจริงนอกฟ้องอันศาลจะต้องยกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา

ความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคสอง ไม

พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อ่ืนถึงแก่ความตาย

จำคกุ ๒ ปี สว่ นฐานหลบหนไี มห่ ยดุ ใหค้ วามชว่ ยเหลอื จำคกุ ๒ เดอื น จำเลยใหก้ ารรบั สารภาพ

ฐานน้ี เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหน่ึงตามประมวล

กฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๑ เดอื น ให้เรยี งกระทงลงโทษ รวมจำคุก ๒ ปี ๑ เดอื น

นอกจากทแี่ กใ้ ห้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลช้ันตน้ .

296 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉัยคดี


ตวั อย่างคดคี วามผดิ ตอ่ ชีวติ ประมาท

ความผดิ ตอ่ พระราชบญั ญตั จิ ราจรทางบก






คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๕๐๙/๒๕๔๗


พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบ้ืองต้นฟังได้ว่า เม่ือวันท่ี ๒ มีนาคม ๒๕๔๕ เวลา
ประมาณ ๒ นาฬิกา จำเลยขับรถยนต์รับจ้างสาธารณะ (รถแท็กซ่ี) หมายเลขทะเบียน

ทน - ๓๘๘๗ กรงุ เทพมหานคร ไปตามถนนเพชรเกษมขาออกในชอ่ งเดนิ รถท่ี ๒ ดา้ นซา้ ยจาก

บางแคมุ่งหน้าไปอำเภออ้อมน้อย เม่ือถึงจุดกลับรถบริเวณปากซอยเพชรเกษม ๙๘ แขวง

บางแคเห
นอื เขตบางแค กรงุ เทพมหานคร ไดเ้ กดิ เหตชุ นกบั รถจกั รยานยนต์ หมายเลขทะเบยี น

กรงุ เทพ
มหานคร ๒ ฉ - ๙๕๕๙ ทน่ี ายสวุ ทิ อนิ ทรโชติ ผตู้ าย ขบั มาตามถนนเพชรเกษมในทศิ

ทางตรงข้ามและเลี้ยวรถเข้ามาในทางเดินรถที่จำเลยขับมา ทำให้รถแท็กซี่ที่จำเลยขับมาได

รับความเสียหายที่บริเวณด้านหน้ารถ ส่วนผู้ตายถึงแก่ความตายในที่เกิดเหตุ จากน้ันจำเลย

ได้หลบหนไี ป ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๔๕ จำเลยได้เข้ามอบตวั ตอ่ ร้อยตำรวจเอก วีระ

เออื้ กลาง พนกั งานสอบสวนสถานตี ำรวจนครบาลหลกั สอง และใหก้ ารปฏเิ สธในชนั้ สอบสวน คด

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาล

อุทธรณ์เห็นว่า แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุมายืนยันการ

กระทำความผดิ ของจำเลย และปรากฏจากคำเบกิ ความของนายชยั รตั น์ มานะเสถยี รกจิ แพทย

ผ้ชู นั สูตรพลิกศพผู้ตาย ว่า ตรวจพบแอลกอฮอล์ในเลอื ดของผูต้ ายในปริมาณ ๓๘๙ มลิ ลิกรมั

เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าค่าที่กฎหมายกำหนด และอาจมีผลทำให้การตัดสินใจไม่สมบูรณ์ ๑๐๐

เปอร์เซ็นต์ ท้ังยังปรากฏจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอก วีระว่าผู้ตายขับรถจักรยานยนต

จากทางเดินรถด้านตรงข้ามตัดเฉียงเข้ามาในทางเดินรถที่จำเลยขับมาเพ่ือขับย้อนศรสวนทาง

กลบั บา้ นพกั ในซอยเพชรเกษม ๖๕ จนเกดิ เหตชุ นกบั รถแทก็ ซท่ี จี่ ำเลยขบั มา ตลอดจนจำเลย

สว่ นที่ ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ
์ 297
คดีอาญา


กน็ ำสบื ตอ่ สวู้ า่ ผตู้ ายเปน็ ฝา่ ยขบั รถจกั รยานยนตส์ วนทางเขา้ มาชนรถแทก็ ซที่ จ่ี ำเลยขบั กต็ าม แต

ขอ้ เทจ็ จรงิ กป็ รากฏจากทางนำสบื ของคคู่ วามทง้ั สองฝา่ ยและจากแผนทสี่ งั เขปแสดงสถานทเ่ี กดิ

เหตุตามเอกสารหมาย จ.๑๕ ว่า จุดเกิดเหตุท่ีรถแท็กซี่ซึ่งจำเลยขับชนกับรถจักรยานยนต์ท่

ผู้ตายขบั อยใู่ นบรเิ วณชอ่ งเดนิ รถที่ ๒ จากขอบทางดา้ นซา้ ย และปรากฏจากคำเบกิ ความของ

ร้อยตำรวจเอก วีระกับร้อยตำรวจเอก นิวัฒน์ หนูศรีใส ว่า ความเสียหายของรถแท็กซี่อยู่ที่

บรเิ วณดา้ นหนา้ รถขา้ งขวาและบรเิ วณกระจกบงั ลมหนา้ รถกบั หลงั คารถ สว่ นความเสยี หายของ

รถจกั รยานยนตข์ องผตู้ ายอยทู่ บ่ี รเิ วณกลางตวั รถคอ่ นไปทางลอ้ หนา้ หาไดเ้ กดิ ทบี่ รเิ วณขา้ งตวั

รถแท็กซี่ที่จำเลยขับในลักษณะที่ผู้ตายเป็นฝ่ายขับรถจักรยานยนต์ชนรถแท็กซี่ที่จำเลยขับดัง

ขอ้ อา้ งของจำเลยไม่ หากแตเ่ กิดจากรถแทก็ ซ่ที จ่ี ำเลยขับเป็นฝ่ายแล่นชนรถจกั รยานยนตข์ อง

ผู้ตายที่ขับเข้ามาในช่องเดินรถที่ ๒ เพื่อย้อนศรสวนทางไปเข้าซอยเพชรเกษม ๖๕ ซึ่งแม

พฤตกิ ารณด์ งั กลา่ วจะนบั วา่ ผตู้ ายมสี ว่ นประมาท แตเ่ มอื่ พจิ ารณาถงึ วา่ บรเิ วณทเ่ี กดิ เหตเุ ปน็ จดุ

กลับรถซง่ึ ถือเปน็ ทางร่วมทางแยกทีผ่ ู้ขับรถยนตค์ วรต้องใช้ความระมัดระวังตามสมควร การท่

จำเลยยงั คงขบั รถดว้ ยความเรว็ ประมาณ ๑๐๐ กโิ ลเมตร ตอ่ ชว่ั โมง โดยมไิ ดช้ ะลอความเรว็ ของ

รถยนต์จนเกิดเหตชุ นกับรถจักรยานยนตข์ องผ้ตู าย แล้วลากรถจกั รยานยนตข์ องผตู้ ายไถครดู

ไปกบั พน้ื ถนนจนเปน็ ทางยาวถงึ ๓๒ เมตร ยอ่ มสอ่ แสดงใหเ้ หน็ วา่ จำเลยขบั รถผา่ นทางรว่ มทาง

แยกดว้ ยความเรว็ สงู โดยมไิ ดใ้ ชค้ วามระมดั ระวงั ตามทกี่ ฎหมายกำหนดและโดยไมค่ ำนงึ ถงึ ความ

ปลอดภัยหรอื ความเสียหายของผู้อืน่ อันนับว่าเปน็ การกระทำที่ฝา่ ฝืนข้อกำหนดของกฎหมาย

ประกอบกับการท่ีจำเลยได้หลบหนีไปจากสถานท่ีเกิดเหตุในทันทีโดยมิได้ให้ความช่วยเหลือ

ตามสมควรและไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ต้องด้วยข้อสันนิษฐานของพระราชบัญญัติ

จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๘ วรรคสอง วา่ เปน็ ผกู้ ระทำความผดิ แลว้ พฤตกิ ารณเ์ หน็

ไดว้ า่ จำเลยขบั รถดว้ ยความประมาทชนผตู้ ายในขณะขบั รถจกั รยานยนตเ์ ลย้ี วกลบั รถในทางรว่ ม

ทางแยกจนถงึ แกค่ วามตายอนั เปน็ ความผดิ ฐานกระทำโดยประมาทเปน็ เหตใุ หผ้ อู้ น่ื ถงึ แกค่ วาม

298 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คด


ตายตามฟ้อง ท่ีศาลชนั้ ต้นพิพากษาว่าจำเลยมคี วามผิดตามฟ้องน้นั ศาลอุทธรณเ์ ห็นพอ้ งดว้ ย

อทุ ธรณ์ของจำเลยฟังไมข่ นึ้

มีปัญหาว่ามีเหตุสมควรรอการลงโทษให้จำเลยหรือไม่ ข้อน้ีเห็นว่า แม้การ

กระทำของจำเลยจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ครอบครัวของผู้ตาย แต่เม่ือปรากฏว่าจำเลย

ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นางประเสริฐ อินทรโชติ มารดาผู้ตาย จำนวน ๑๙๐,๐๐๐ บาท

อนั เปน็ การบรรเทาผลรา้ ยแหง่ การกระทำ ประกอบกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ กไ็ มป่ รากฏวา่ จำเลยเคยตอ้ งโทษ

มากอ่ น ตามพฤตกิ ารณจ์ งึ เหน็ ควรใหโ้ อกาสจำเลยกลบั ตวั เปน็ พลเมอื งดดี ว้ ยการรอการลงโทษ

ใหจ้ ำเลยสกั ครง้ั หนึง่ แตเ่ พื่อใหจ้ ำเลยหลาบจำ ให้ลงโทษปรับและคมุ ประพฤติจำเลยไวด้ ้วย

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยในความผิดฐานขับรถยนต์โดย

ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อ่ืนถึงแก่ความตาย เป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท และฐานหลบหนีไม่หยุดรถ

ใหค้ วามชว่ ยเหลอื เปน็ เงนิ ๒,๐๐๐ บาท รวมเปน็ เงนิ ๑๒,๐๐๐ บาท อกี สถานหนง่ึ โดยไมล่ ดโทษ

ปรบั โทษจำคกุ ใหร้ อการลงโทษไว้ ๓ ปี กบั ใหค้ มุ ประพฤตจิ ำเลยโดยใหจ้ ำเลยไปรายงานตวั ตอ่

พนกั งานคมุ ประพฤติ ๓ เดอื น ตอ่ ครงั้ มกี ำหนด ๑ ปี และใหจ้ ำเลยกระทำกจิ กรรมบรกิ ารสงั คม

หรอื สาธารณประโยชนต์ ามท่จี ำเลยกบั พนักงานคมุ ประพฤตเิ ห็นสมควร มกี ำหนด ๓๐ ช่วั โมง

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ หากไมช่ ำระคา่ ปรับ ให้จดั การตามประมวลกฎหมาย

อาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ นอกจากทีแ่ ก้ให้เปน็ ไปตามคำพิพากษาศาลชนั้ ต้น.

ส่วนที่ ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำสง่ั ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
299
คดีอาญา


ตัวอย่างคดีความผิดตอ่ ชวี ิต พยายาม ลหุโทษ






ำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๙๔๗๗/๒๕๕๑


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้อุทธรณ

โต้แย้งกันในช้ันน้ีรับฟังเป็นยุติได้ว่า ผู้เสียหายกับจำเลยต่างประกอบอาชีพค้าขายโดยตั้งแผง

ขายสินคา้ อยู่บนทางเท้าบรเิ วณหนา้ ร้านขายยาไชโยเภสชั อันเปน็ สถานท่เี กดิ เหตุคดนี ี้ ตามวนั

เวลาและสถานท่ีเกิดเหตุดังกล่าว จำเลยใช้มีดปอกผลไม้เป็นอาวุธแทงผู้เสียหาย เป็นเหตุให้

ผเู้ สยี หายไดร้ บั บาดเจบ็ มบี าดแผลทบี่ รเิ วณหลงั ดา้ นขวาและหนา้ อกดา้ นขวาตามผลการตรวจ

ชันสตู รบาดแผลของแพทย์ เอกสารทา้ ยฟ้อง และภาพถา่ ย หมาย จ.๖ ภาพที่ ๖ ถงึ ภาพที่ ๙

สำหรบั ความผดิ ฐานพาอาวธุ ไปในเมอื ง หมบู่ า้ น หรอื ทางสาธารณะโดยไมม่ เี หตสุ มควร จำเลย

มิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ความผิดฐานดังกล่าวจึงเป็นอันยุติไปตามคำ

พิพากษาศาลชั้นต้น คงมีปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยเพียงว่า จำเลยกระทำ

ความผิดฐานพยายามฆ่าผอู้ ่นื ตามคำพพิ ากษาศาลชั้นตน้ หรอื ไม่ โจทกม์ นี ายมนตช์ ัย เตมิ บุญ-

ประกอบ เปน็ พยานเบกิ ความวา่ พยานประกอบอาชพี คา้ ขายของใชเ้ บด็ เตลด็ โดยใชร้ ถเขน็ จอด

ตั้งขายอยู่ที่บริเวณริมทางเท้าท่ีเกิดเหตุ ซึ่งมีผู้เสียหายวางแผงค้าขายอยู่ตรงข้ามโดยหันหน้า

ออกนอกถนน ส่วนจำเลยจะต้ังแผงให้เช่าพระเครื่องพร้อมขายของเบ็ดเตล็ดอยู่ติดกับแผงที่

พยานตั้ง วันเกิดเหตุ เวลาประมาณ ๑๘ นาฬิกา มีลูกค้ามาซื้อโดยสั่งให้ผู้เสียหายถักสร้อย

ขอ้ มอื ๓ เสน้ ผเู้ สยี หายเดนิ มาถกั ทขี่ า้ งพยานซง่ึ เปน็ บรเิ วณทจ่ี ำเลยเคยใชต้ งั้ แผงคา้ ขาย ตอ่ มา

ประมาณ ๓๐ นาที จำเลยก็มา แต่ผู้เสียหายยังคงนั่งถักสร้อยต่อ จำเลยจึงเข้ามาพูดคุยกับ

พยานประมาณ ๒๐ นาที ผูเ้ สยี หายก็ยังคงน่ังถกั สรอ้ ยตอ่ จำเลยจึงเขา้ ไปหาผูเ้ สียหายและพดู

โต้เถียงกัน ผู้เสียหายไม่ยอมกลับไปท่ีแผงของตนเพ่ือให้จำเลยต้ังแผง และมีการท้าทายกัน
จำเลยกบั ผเู้ สยี หายโตเ้ ถยี งกนั ประมาณ ๕ นาที พยานเขา้ หา้ มโดยมบี คุ คลอนื่ รว่ มชว่ ยหา้ ม แลว้

300 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คด


จำเลยกแ็ ยกกลบั ไป สว่ นผเู้ สยี หายคงนง่ั ถกั สรอ้ ยอยทู่ เ่ี ดมิ หลงั จากนน้ั ประมาณ ๑๕ นาที ขณะ

พยานกำลังเก็บของเพื่อกลับบ้าน พยานเห็นจำเลยว่ิงไล่ผู้เสียหาย แล้วผู้เสียหายว่ิงไปทาง

อนุสาวรีย์ชยั สมรภูมิ สว่ นจำเลยวง่ิ ไปทางสะพานควาย ซงึ่ จำเลยกน็ ำสบื รับวา่ เกิดการโตเ้ ถียง

กนั ระหวา่ งจำเลยกบั ผเู้ สยี หายถงึ เรอ่ื งทผ่ี เู้ สยี หายมานงั่ ถกั สรอ้ ยอยใู่ นบรเิ วณทซ่ี งึ่ จำเลยตง้ั แผง

เปน็ ประจำ เพยี งแตจ่ ำเลยอา้ งวา่ ผเู้ สยี หายพดู ดว้ ยวา่ “แลว้ มงึ จะทำไม ไอแ้ กเ่ หย้ี ” ทำใหจ้ ำเลย

รูส้ กึ โกรธ จงึ หันไปหยิบมีดในร้านข้าง ๆ เอามาวางไว้ ขอ้ เทจ็ จรงิ ตามทไี่ ด้ความจากคำพยาน

โจทกด์ งั กลา่ วซงึ่ เปน็ พยานคนกลางมคี วามเปน็ ไปในทางเดยี วกนั กบั ทจี่ ำเลยนำสบื ทำใหค้ ดรี บั

ฟังได้ว่าก่อนเกิดเหตุมีการพูดโต้เถียงกันระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายถึงเร่ืองที่ผู้เสียหายมานั่ง

ถกั สรอ้ ยอยใู่ นบรเิ วณทซี่ งึ่ จำเลยเคยตง้ั แผงเปน็ ประจำ สำหรบั เหตกุ ารณใ์ นชว่ งใกลช้ ดิ กบั เวลา

เกิดเหตุต่อเนื่องถึงเวลาเกิดเหตุ ผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า หลังจากโต้เถียงกัน

แล้ว ผูเ้ สียหายกลับไปท่ีแผงของตน ตอ่ มาประมาณ ๑๐ นาที ขณะผเู้ สยี หายกำลงั เลือกสินค้า

ให้แก่ลูกค้าซ่ึงเป็นเจ้าพนักงานตำรวจหญิง จำเลยเดินกลับมาทางด้านหลังของผู้เสียหาย เจ้า

พนักงานตำรวจหญิงคนดังกล่าวบอกให้ผู้เสียหายระวัง ผู้เสียหายหันกลับไปเห็นจำเลย

ลว้ งกระเปา๋ กางเกง จงึ ผลักบุตรสาวของเจ้าพนกั งานตำรวจหญงิ ให้ถอยหา่ งไป เมอื่ หนั กลับไป

มองจำเลย ก็เห็นจำเลยถือมีดปอกผลไม้ซ่ึงมีความยาวรวมด้ามประมาณ ๑ ฟุต จำเลยใช้มีด

ดังกล่าวแทงผู้เสียหายในลักษณะแทงตวัดเสยขึ้น คมมีดจึงถูกบริเวณซ่ีโครงด้านขวาของ

ผเู้ สยี หายและทะลรุ าวนมดา้ นขวา จำเลยดงึ มดี ออกจากตวั ผเู้ สยี หาย ทำทา่ จะแทงซำ้ ผเู้ สยี หาย

จงึ วง่ิ หนวี นรอบตโู้ ทรศพั ทบ์ รเิ วณนน้ั จำเลยวง่ิ ไลแ่ ทงผเู้ สยี หายไมท่ นั ผเู้ สยี หายวง่ิ ไปแจง้ แกเ่ จา้

พนกั งานตำรวจซงึ่ อยหู่ า่ งจากทเี่ กดิ เหตไุ มไ่ กลนกั จงึ สามารถจบั กมุ จำเลยไวไ้ ด้ จำเลยเองกเ็ บกิ

ความเจอื สมกบั คำผเู้ สยี หายวา่ ในจงั หวะทผี่ เู้ สยี หายหนั ตวั กลบั มา จำเลยแทงผเู้ สยี หาย ๑ ครง้ั

แม้จำเลยจะเบิกความต่อไปว่า หลังจากนั้นเจ้าพนักงานตำรวจเข้ามา จำเลยจึงวิ่งหลบหนีไป

และเบิกความตอบโจทก์ถามค้านว่า หลังจากโต้เถียงและจำเลยแยกตัวไปจากผู้เสียหาย

สว่ นที่ ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 301
คดอี าญา


ประมาณ ๔ วา โดยผเู้ สยี หายไมเ่ หน็ ตอ่ มาประมาณ ๒๐ นาที ผเู้ สยี หายถอื มดี ขนาดประมาณ

๖ นวิ้ เดินมาหาจำเลย สักครู่กเ็ ดินกลับไป แลว้ กลบั มานั่งที่บรเิ วณแผงของจำเลย และพดู ไมด่ ี

กับจำเลย หลังจากนัน้ ก็เดินกลบั ไปและเดินกลบั มาที่จำเลยอกี ๒ ถึง ๓ ครงั้ จำเลยจึงหยิบมีด

ออกมา ผเู้ สยี หายเดนิ มาหาจำเลยอกี แลว้ เดนิ กลบั ไป จำเลยจงึ เขา้ ไปแทงผเู้ สยี หาย แตค่ ำเบกิ

ความของจำเลย ๒ ครง้ั หลงั ดงั กลา่ วมีลักษณะเป็นคำกล่าวอ้างลอย ๆ และเปน็ เร่อื งที่งา่ ยแก

การกลา่ วอา้ ง จงึ ไมม่ นี ำ้ หนกั ใหร้ บั ฟงั ซงึ่ ตา่ งจากคำพยานโจทกท์ ไี่ ดค้ วามสอดคลอ้ งตอ้ งกนั โดย

มเี หตผุ ลแหง่ ความเปน็ ไปมากกวา่ เมอื่ รบั ฟงั ประกอบเชอื่ มโยงกนั แลว้ มนี ำ้ หนกั มน่ั คงพอใหเ้ ชอ่ื

ได้ว่าหลังจากจำเลยกับผู้เสียหายโต้เถียงกันแล้ว จำเลยเป็นฝ่ายแยกกลับไป ต่อมาจำเลย

กลับมาและใช้มีดแทงผู้เสียหายซึ่งขณะน้ันหันหลังให้จำเลยในจังหวะที่ผู้เสียหายเอ้ียวตัวกลับ

มา แล้วจำเลยถอื มีดวง่ิ ไล่ผู้เสยี หาย แตไ่ ม่ทนั บาดแผลท่ผี ู้เสยี หายไดร้ ับจากการแทงเพียง ๑

ครั้ง ของจำเลยดงั ทีป่ รากฏในภาพถา่ ยตามหมาย จ.๖ ภาพท่ี ๖ ถึงภาพที่ ๙ กลับมี ๒ แหง่

สภาพบาดแผลดังกล่าวจึงมีลักษณะสอดคล้องกับท่ีผู้เสียหายเบิกความถึงการแทงของจำเลย

ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายถูกท่ีบริเวณหลังด้านขวาทะลุหน้าอก

ดา้ นขวา เปน็ บาดแผล ๒ แหง่ แม้ตามรายงานการตรวจชนั สูตรบาดแผลของแพทย์ เอกสาร

ทา้ ยฟอ้ ง จะปรากฏความเห็นของแพทยเ์ พยี งวา่ บาดแผลของผ้เู สยี หายลึกถึงช้นั กล้ามเนือ้ ไม่

ถงึ ชอ่ งปอด รกั ษาดว้ ยการเยบ็ แผล คาดวา่ ใชเ้ วลารกั ษาประมาณ ๗ วนั ถา้ ไมม่ ภี าวะแทรกซอ้ น

ดังท่ีจำเลยอุทธรณ์กล่าวอ้างก็ตาม แต่จุดที่จำเลยเลือกแทงผู้เสียหายถือว่าเป็นส่วนที่มีอวัยวะ
สำคัญอยู่ใกล้เคียง และจำเลยแทงอย่างรุนแรงถึงขนาดทะลุหน้าอกด้านขวา ซึ่งหากแทงถูก

อวัยวะสำคัญ ย่อมเห็นได้ว่าอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ การที่คมมีดไม่ถูกอวัยวะ

สำคัญก็เนื่องจากขณะนั้นผู้เสียหายเอ้ียวตัวหันกลับมาทัน ทั้งหลังจากนั้นจำเลยก็ยังว่ิงไล่แทง

ผเู้ สยี หายอกี เมอ่ื จำเลยเหน็ เจา้ พนกั งานตำรวจเขา้ มา จงึ วง่ิ หลบหนไี ป วถิ ที างแหง่ การกระทำ

ของจำเลยดังกล่าวแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย เม่ือผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความ

302 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉัยคดี


ตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อ่ืนตามคำพิพากษาศาลช้ันต้น ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า

ผเู้ สยี หายเบกิ ความตอบคำถามคา้ นวา่ การถกั สรอ้ ยนนั้ ผเู้ สยี หายตอ้ งใชเ้ ชอื กขา้ งหนง่ึ ผกู กบั เสา

อีกข้างหนึ่งผูกไว้ที่เอว เหตุใดเม่ือถูกจำเลยแทง จึงสามารถลุกข้ึนวิ่งหนีไปได้ทันที จึงเป็นไป

ไม่ไดว้ ่าหากจำเลยจะแทงผู้เสียหายอกี ผ้เู สียหายจะสามารถลุกขน้ึ วง่ิ หนีการไลแ่ ทงของจำเลย

ได้น้ัน ก็ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่า ขณะที่จำเลยเข้ามาใช้มีดแทงผู้เสียหาย

ผเู้ สยี หายมไิ ดก้ ำลงั ถกั สรอ้ ยแตอ่ ยา่ งใด ขอ้ กลา่ วอา้ งของจำเลยดงั กลา่ วจงึ ไมม่ ผี ลตอ่ การรบั ฟงั

พยานหลักฐานของโจทก์ และเม่ือการกระทำของจำเลยมีมูลเหตุมาจากการโต้เถียงกันดัง

วนิ จิ ฉยั มา แมจ้ ะมกี ารใชถ้ อ้ ยคำทไี่ มส่ มควรอยบู่ า้ ง แตต่ ามพฤตกิ ารณแ์ ละขอ้ เทจ็ จรงิ ทไี่ ดค้ วาม

ก็ยังไม่ถึงขนาดว่าจำเลยถูกผู้เสียหายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การกระทำ

ของจำเลยจงึ หาไดเ้ ปน็ การกระทำโดยบนั ดาลโทสะดงั ทจ่ี ำเลยอทุ ธรณไ์ ม่ ทศี่ าลชน้ั ตน้ พพิ ากษา

ลงโทษจำเลยมานนั้ ศาลอทุ ธรณเ์ หน็ พ้องด้วย อทุ ธรณ์ของจำเลยฟงั ไม่ขึน้

พิพากษายืน.

สว่ นท่ี ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำสงั่ ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 303
คดีอาญา


ตัวอย่างคดคี วามผิดต่อชวี ติ พยายาม ลหุโทษ ความผดิ ตอ่

พระราชบัญญัตอิ าวุธปืนฯ






ำพิพากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๙๔๕๙/๒๕๕๑


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงท่ีคู่ความมิได้อุทธรณ์

โตเ้ ถยี งกนั ในชน้ั นร้ี บั ฟงั ไดเ้ ปน็ ยตุ วิ า่ ในวนั เวลาและสถานทเ่ี กดิ เหตตุ ามฟอ้ ง มคี นรา้ ยพยายาม

ฆ่าผู้เสียหายโดยใช้อาวุธปืนยิง กระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่หน้าอกบริเวณราวนมซ้าย แพทย์

รักษาผู้เสียหายได้ทัน ผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตาย คดีมีปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์

ของจำเลยวา่ จำเลยเปน็ คนรา้ ยรายนห้ี รอื ไม่ โจทกม์ ปี ระจกั ษพ์ ยาน ๓ ปาก คอื ผเู้ สยี หาย นาย

ชาญชยั ยามโสภา และนายไพรตั นห์ รอื ดำ เพชรนอก เบกิ ความยนื ยนั วา่ จำเลยเปน็ คนรา้ ยรายน ้ี

โดยผู้เสียหายเบิกความว่า คืนเกิดเหตุ เวลาประมาณ ๑ ถึง ๒ นาฬิกา ระหว่างผู้เสียหาย

เดนิ ทางกลบั บา้ น โดยตงั้ ใจจะแวะรบั ประทานอาหารกอ่ นกลบั ผเู้ สยี หายพบนายตซู่ งึ่ เปน็ เพอื่ น

รนุ่ พ่ี นายตบู่ อกวา่ มเี รอ่ื งกบั คนในสถานบี รกิ ารนำ้ มนั คาลเทก็ ซท์ เ่ี กดิ เหตุ และชกั ชวนผเู้ สยี หาย

ให้ร่วมไปท่ีสถานีบริการน้ำมันดังกล่าว ผู้เสียหายตกลงไปกับนายตู่และเพื่อนของนายตู่อีก ๓

ถึง ๔ คน เมื่อไปถึงเห็นจำเลยซึ่งผู้เสียหายรู้จักมาประมาณ ๗ ปี เน่ืองจากเคยเรียนอยู่ที่

โรงเรยี นเดยี วกนั และมสี าเหตโุ กรธเคอื งโดยชกตอ่ ยกนั มากอ่ น ขบั รถจกั รยานยนตม์ าจอด และ

เหน็ นายตดู่ า่ ชายสวมเสอื้ สแี ดงทยี่ นื อยกู่ บั พวก ๔ ถงึ ๕ คน ระหวา่ งนนั้ นายหนง่ึ เพอื่ นของนาย

ตู่ เขา้ ไปห้ามไม่ให้มีเรือ่ งกัน ต่อมาผ้เู สยี หายไดย้ นิ เสียงปนื ดังข้ึน ๑ นดั โดยสังเกตเห็นสะเก็ด

ไฟพุ่งออกจากบริเวณกลางตวั จำเลยซึง่ ยนื อย่หู ่างผู้เสียหายประมาณ ๑๐ เมตร ผูเ้ สยี หายรู้สึก

ว่าถกู ยงิ ที่บรเิ วณหน้าอกดา้ นซา้ ย หลังเกดิ เหตุผูเ้ สียหายไปแจ้งความระบุชื่อคนร้ายวา่ คือนาย

นู๊ด จำเลย ส่วนนายชาญชัยเบิกความว่า คืนเกิดเหตุ พยานกับพวกพร้อมกับนายตู่และผู

เสยี หายเดนิ ทางไปทส่ี ถานบี รกิ ารนำ้ มนั คาลเทก็ ซท์ เี่ กดิ เหตุ ขณะพยานเดนิ ตามนายตเู่ ขา้ ไปยงั

304 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉัยคดี


บริเวณทล่ี ้างรถ ไดย้ นิ เสียงปนื ดังขน้ึ ๑ นดั จากทางดา้ นขวา จงึ หันไปมอง เหน็ ชายสวมเสือ้

แจกเกตสีคล้ำ สวมหมวกนิรภัย ลักษณะเป็นหมวกแบบคร่ึงใบ มีกระจกครอบ แต่ไม่ได้ปิด

กระจกลง และเหน็ สะเกด็ ไฟทบี่ รเิ วณกลางตวั ชายดงั กลา่ ว แตไ่ มเ่ หน็ อาวธุ ปนื พยานคดิ วา่ ชาย

ดงั กล่าวจุดประทดั จึงไมไ่ ดส้ นใจ หลงั จากนน้ั ชายดงั กล่าวก็น่งั ซ้อนทา้ ยรถจกั รยานยนตท์ ่ีจอด

รออยอู่ อกไป ตอ่ มาพยานไปใหก้ ารตอ่ พนกั งานสอบสวนโดยใหต้ ำหนริ ปู พรรณของคนรา้ ย และ

ชย้ี นื ยนั ภาพถา่ ยของจำเลยจากขอ้ มลู ทะเบยี นราษฎรท์ เ่ี จา้ พนกั งานตำรวจนำมาใหด้ วู า่ เปน็ ภาพ

ของชายท่ีสวมเส้ือแจกเกตสีคล้ำซึ่งพยานรู้จักมาก่อน โดยจำเลยมีช่ือเล่นว่า นู๊ด สำหรับนาย

ไพรัตน์เบิกความว่า คืนเกิดเหตุ ขณะพยานดื่มสุราอยู่ท่ีบ้านเพื่อน มีนายตู่มาตามให้ไปยังที

เกดิ เหตุ เนอ่ื งจากมเี รอ่ื งกบั บคุ คลอนื่ เมอ่ื ไปถงึ พยานพบวยั รนุ่ ชาย ๗ ถงึ ๘ คน กำลงั มเี รอ่ื งกนั

ระหวา่ งน้นั มชี ายคนหนงึ่ เข้าไปห้าม พยานเห็นจำเลยซ่ึงพยานรู้จกั มาประมาณ ๑ ปี เนอ่ื งจาก

จำเลยเปน็ นกั เรยี นรุ่นน้องท่ีโรงเรยี นเดยี วกนั กบั พยาน แต่ไม่เคยพูดกัน จำเลยยืนถืออาวุธปืน

อยขู่ า้ งหนา้ กลมุ่ ทมี่ เี รอ่ื งกบั กลมุ่ ผเู้ สยี หาย หลงั จากนนั้ ไมเ่ กนิ ๒ นาที พยานเหน็ จำเลยใชอ้ าวธุ

ปืนยงิ เขา้ ไปในกลุม่ ผเู้ สยี หาย ๑ นดั แล้วตะโกนเรยี กเพอ่ื นให้ไปขับรถจกั รยานยนต์มารับเพอื่

หลบหนี เห็นว่า บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟฟ้าส่องสว่างจากเสาไฟฟ้าสาธารณะและจากหลอด

ไฟฟ้าท่ีเปิดไว้ภายในสถานีบริการน้ำมัน พยานโจทก์ท้ังสามปากดังกล่าวต่างรู้จักและเคยเห็น

หน้าจำเลยมาก่อน โดยผู้เสียหายกับนายไพรัตน์เคยเรียนอยู่ที่โรงเรียนเดียวกันกับจำเลย ท้ัง

ผเู้ สยี หายเคยมสี าเหตโุ กรธเคอื งกบั จำเลย ยอ่ มรดู้ ถี งึ บคุ ลกิ ลกั ษณะภายนอกของจำเลย เชอื่ วา่

เม่ือพยานทั้งสามเห็นจำเลยย่อมจำได้ และแม้จะได้ความว่าผู้เสียหายเคยมีสาเหตุโกรธเคือง

กับจำเลย แต่เป็นเวลา ๖ ถึง ๗ ปี มาแล้วก่อนเกิดเหตุ และเป็นเพียงการมีเร่ืองชกต่อย

ซ่ึงผู้เสียหายก็จำสาเหตุไม่ได้ ส่วนนายชาญชัยและนายไพรัตน์ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับ

จำเลย เมอ่ื ไมป่ รากฏขอ้ เทจ็ จรงิ หรอื พฤตกิ ารณห์ รอื มลู เหตจุ งู ใจประการใดทบ่ี ง่ ชช้ี ดั ไดว้ า่ จะเปน็

เหตุให้พยานท้ังสามต้องเบิกความปรักปรำใส่ร้ายกล่ันแกล้งจำเลยให้ต้องโทษ จึงเช่ือว่าพยาน

ส่วนที่ ๒ ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำสงั่ ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 305
คดีอาญา


ทงั้ สามเบกิ ความตามทไี่ ดร้ เู้ หน็ และตามความสามารถในการจดจำของพยานแตล่ ะบคุ คล ซงึ่ แม

นายชาญชัยจะเบิกความว่าคนร้ายสวมหมวกนิรภัยแบบหมวกครึ่งใบโดยไม่ได้ปิดกระจก แต่

นายไพรัตน์กลับเบิกความว่าคนร้ายไม่ได้สวมหมวกนิรภัย ก็ยังไม่เป็นเหตุถึงขนาดทำให

นำ้ หนกั ในการรบั ฟงั พยานหลกั ฐานดงั กลา่ วของโจทกเ์ สยี ไป เพราะแมจ้ ำเลยจะสวมหมวกนริ ภยั

ดงั กลา่ วหรอื ไม่ แตล่ กั ษณะการสวมดงั ทนี่ ายชาญชยั เบกิ ความกห็ าไดบ้ ดบงั ใบหนา้ ของคนรา้ ย

ไม่ จำเลยเองก็นำสืบเจือสมกับพยานหลักฐานของโจทก์ว่า คืนเกิดเหตุ เวลาประมาณ ๒

นาฬิกา ซ่ึงถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาโดยประมาณเดียวกันกับเวลาเกิดเหตุ จำเลยก็มาที่สถาน

บริการนำ้ มันท่ีเกิดเหตุ และเหน็ กลุ่มวยั รุน่ เพียงแต่ตอ่ สู้ว่าช่วงเวลาทีจ่ ำเลยอยทู่ ส่ี ถานีบรกิ าร

นำ้ มนั ทเี่ กดิ เหตุ ไมม่ เี หตกุ ารณท์ ำรา้ ยกนั เกดิ ขนึ้ นอกจากน้ี ยงั ไดค้ วามวา่ ภายหลงั เกดิ เหตคุ ดนี ้ี

จำเลยก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านเป็นเวลา ๕ วัน แม้จำเลยจะนำสืบต่อสู้ว่าเป็นเพราะจำเลยเดินทางไป

เที่ยวท่เี ขอื่ นเขาแหลม อำเภอทองผาภูมิ จังหวดั กาญจนบรุ ี เมือ่ กลับมาจึงเขา้ มอบตัวตอ่ สู้คดี

แตศ่ าลอทุ ธรณ์พิเคราะหเ์ หตกุ ารณต์ ามทไี่ ด้ความจากพยานหลักฐานของโจทกแ์ ละพฤตกิ ารณ์

แห่งคดีแล้ว เช่ือว่าการที่จำเลยไม่ได้อยู่ที่บ้านในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเพราะจำเลยหลบหนี

ไปเพ่ือรอดูสถานการณ์และเตรียมตัวต่อสู้คดีมากกว่า ท้ังนี้ ในช้ันสอบสวนจำเลยก็มิได้ให

รายละเอยี ดเกย่ี วกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ทแ่ี สดงวา่ จำเลยเปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธิ์ มไิ ดก้ ระทำความผดิ ในคดนี ้ี คงให

การปฏิเสธลอยๆ โดยขอให้การในรายละเอียดเกี่ยวกับข้อเท็จจริงแห่งคดีในชั้นพิจารณาของ

ศาล สว่ นพยานโจทกท์ ง้ั สามปากดงั กลา่ วลว้ นยนื ยนั ตอ่ พนกั งานสอบสวนมาแตต่ น้ วา่ คนรา้ ยคอื

จำเลย พยานหลักฐานท่ีโจทก์นำเข้าสืบประกอบกันมีน้ำหนักม่ันคงรับฟังได้โดยปราศจาก

ขอ้ สงสยั วา่ จำเลยเปน็ คนรา้ ยรายนี้ ทจ่ี ำเลยอทุ ธรณอ์ า้ งวา่ คำเบกิ ความของผเู้ สยี หายแตกตา่ ง

จากคำเบิกความของนายไพรัตน์โดยส้ินเชิง โดยผู้เสียหายเบิกความว่าขณะจำเลยขับ

รถจักรยานยนต์เข้าไปจอดในสถานีบริการน้ำมันท่ีเกิดเหตุ ผู้เสียหายไม่แน่ใจว่าจำเลยจะ

เปน็ พวกเดยี วกนั กบั ชายสวมเสอ้ื สแี ดงหรอื ไม่ เพราะจำเลยอยหู่ า่ งจากกลมุ่ ชายดงั กลา่ ว แตน่ าย

306 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉยั คด


ไพรตั นเ์ บกิ ความวา่ ชว่ งทเี่ ห็นคนเขา้ หา้ มท้ังสองฝา่ ยไมใ่ หม้ ีเรอ่ื งกนั พยานเห็นจำเลยยืนอยใู่ น

กลุ่มท่ีมีเร่ืองกับกลุ่มผู้เสียหาย โดยจำเลยยืนอยู่ข้างหน้า ขณะน้ันจำเลยถืออาวุธปืนอยู่ในมือ

แลว้ หลังจากนน้ั ไม่เกิน ๒ นาที กเ็ หน็ จำเลยใช้อาวุธปนื ยิงเข้าไปในกลุ่มผเู้ สยี หายนั้น เหน็ วา่

เหตุการณต์ ามคำพยานท้ังสองปากที่จำเลยอุทธรณ์อา้ งถึงดังกล่าวเปน็ เหตกุ ารณ์ตา่ งช่วงเวลา

กนั จงึ ไมอ่ าจนำมาเปรยี บเทยี บกนั ได้ และจำเลยอทุ ธรณว์ า่ ตามบนั ทกึ คำใหก้ ารของผเู้ สยี หาย

ในชน้ั สอบสวน เอกสารหมาย จ.๕ หนา้ ท่ี ๑ แผน่ ท่ี ๒ (ทถ่ี กู หนา้ ท่ี ๒ ของแผน่ ที่ ๑) ผเู้ สยี หาย

มไิ ดใ้ หก้ ารวา่ ใครเป็นผู้ยงิ ผเู้ สยี หาย จึงขัดแยง้ กับคำเบกิ ความของผู้เสยี หายในชน้ั พจิ ารณา ก็

ปรากฏวา่ ตามบันทกึ คำใหก้ ารดงั กล่าว แผ่นถดั ไป ผเู้ สียหายให้การขยายความในรายละเอียด

ว่าจำเลยเป็นผู้ยิงผู้เสียหาย อันสอดคล้องกับคำเบิกความในช้ันพิจารณา และแม้ตามบันทึก

คำให้การดังกล่าวจะระบุว่าผู้เสียหายไม่ทราบว่าจำเลยจะหลบหนีไปอย่างไร และผู้เสียหายไม่

เหน็ อาวธุ ปืนท่ีจำเลยใชย้ ิงผ้เู สียหาย กม็ ิใชส่ ่งิ ที่แสดงใหเ้ หน็ วา่ ผูเ้ สียหายไม่เหน็ จำเลยเปน็ ผยู้ ิง
ผู้เสียหายดังท่ีจำเลยอุทธรณ์แต่ประการใด เพราะหลังจากถูกยิงแล้วผู้เสียหายอาจจะพะวงอยู่

กบั บาดแผล และขณะจำเลยยงิ ผเู้ สยี หาย จำเลยกม็ ไิ ดอ้ ยใู่ นระยะประชดิ ตวั ผเู้ สยี หาย ทง้ั การไม

สังเกตถึงอาวุธปืนกห็ าไดเ้ ป็นข้อพริ ุธไม่ ส่วนที่จำเลยอทุ ธรณว์ า่ คำเบกิ ความของผเู้ สยี หายไม

น่าเชื่อถือและขัดต่อเหตุผล เพราะผู้เสียหายย่อมไม่มีโอกาสสังเกตเห็นสะเก็ดไฟได้ในขณะที่

ผู้เสียหายกำลังมองกลุ่มชายสวมเส้ือสีแดงที่ทะเลาะกันกับฝ่ายผู้เสียหาย ท้ังวิถีกระสุนที่ถูก

บริเวณหน้าอกผู้เสียหายอยู่คนละระดับกับสะเก็ดไฟท่ีออกจากกลางตัวจำเลยนั้น เห็นว่า แม้

ขณะเกดิ เหตจุ ำเลยจะมไิ ดย้ นื รวมอยใู่ นกลมุ่ ชายสวมเสอื้ สแี ดง แตก่ อ็ ยใู่ นระยะรศั มขี องสายตาท
ี่
ผู้เสยี หายอาจมองเห็นได้ สว่ นวิถีกระสนุ ก็หาไดเ้ ป็นดงั ทีจ่ ำเลยเข้าใจไม่ เพราะบริเวณหน้าอก
กบั กลางตวั ยอ่ มถอื วา่ อยใู่ นระยะใกลเ้ คยี งกนั ทงั้ วถิ กี ระสนุ กข็ นึ้ อยกู่ บั การหนั ปลายประบอกปนื

ด้วย คำเบิกความดังกล่าวจึงหาขัดต่อเหตุผลอันจะทำให้ไม่น่าเช่ือถือไม่ สำหรับอุทธรณ์ของ

จำเลยท่ีว่า บันทึกคำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.๕ ไม่น่าเชื่อถือ

ส่วนท่ี ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
307
คดีอาญา


ด้วยเหตอุ ีกประการหนง่ึ คอื พนกั งานสอบสวนพิมพข์ ้อความเสริมเตมิ แตง่ ไว้แลว้ เพราะมกี าร

พมิ พว์ นั ทลี่ ว่ งหนา้ ไวต้ ง้ั แตว่ นั ท่ี ๒๒ กนั ยายน ๒๕๔๘ แตม่ กี ารแกไ้ ขดว้ ยลายมอื เขยี นเปน็ วนั ท ่ี

๑ กนั ยายน ๒๕๔๘ กเ็ ปน็ เร่ืองท่จี ำเลยยกข้อเท็จจริงท่ีผิดจากสำนวนขึ้นกล่าวอ้าง เพราะวันท่

พมิ พ์ลงไว้หาใช่วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๔๘ อนั เปน็ วนั ทล่ี ่วงหนา้ ไม่ แต่เปน็ วันท่ี ๒๒ สิงหาคม

๒๕๔๘ ก่อนวันท่ี ๑ กันยายน ๒๕๔๘ ข้ออุทธรณ์อื่นของจำเลยนอกจากนี้ล้วนเป็นเพียง

รายละเอียดทไี่ มอ่ าจทำให้ผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เปลี่ยนแปลง จึงไม่จำต้องวินิจฉัย

อีกต่อไป ท่ีศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยมาน้ัน ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของ

จำเลยฟังไม่ขนึ้

พิพากษายืน.

308 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉยั คด


ตวั อย่างคดคี วามผิดต่อพระราชบญั ญัตกิ ารพนัน






คำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๒๕๒๙/๒๕๔๘


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ในวัน

เวลาเกิดเหตุตามฟ้อง พันตำรวจโท จุลฤทธ์ิ จุลกะ กับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสถานี

ตำรวจนครบาลเพชรเกษม ไดน้ ำหมายคน้ ตามเอกสารหมาย จ.๑ ไปตรวจค้นบ้านเลขท่ี ๑๑/

๗๙๕ หมูท่ ่ี ๗ หมูบ่ า้ นสขุ สันต์ แขวงบางแค เขตบางแค กรงุ เทพมหานคร พบจำเลยกบั ภริยา

จำเลย ผลการตรวจค้นพบโปรแกรมการแข่งขันฟตุ บอล จำนวน ๑ แผน่ กระดาษโพยทายผล

การแขง่ ขันฟุตบอลและเอกสารการรบั จา่ ยเงนิ จำนวน ๕๓ แผน่ โปรแกรมการแขง่ ขันฟตุ บอล

จำนวน ๑ แผ่น ตามเอกสารหมาย จ.๒ ถึง จ.๔ โทรศัพท์เคลื่อนท่ี จำนวน ๑ เคร่อื ง และวิทย

ติดตามตัว จำนวน ๑ เคร่ือง เป็นของกลาง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลย

วา่ จำเลยกระทำความผดิ ตามฟอ้ งหรอื ไม่ โจทกม์ พี นั ตำรวจโท จลุ ฤทธิ์ จลุ กะ และสบิ ตำรวจเอก

ชาตรี ไทยสุรโิ ย ผจู้ บั กุม เปน็ พยานเบิกความทำนองเดียวกนั ว่า กอ่ นจบั กุมจำเลย ได้รับแจง้

จากสายลับว่าจำเลยเป็นเจ้ามือรับทายผลการแข่งขันฟุตบอลท่ีบ้านเลขที่ ๑๑/๗๙๕ หมู่ท่ี ๗

หมู่บ้านสุขสันต์ แขวงบางแค เขตบางแค กรุงเทพมหานคร โดยใช้โทรศัพท์ในการรับทายผล

การแขง่ ขนั และบางครงั้ จำเลยไปรบั ทายผลการแขง่ ขนั จากทอ่ี นื่ ดว้ ย การชำระเงนิ ใชว้ ธิ โี อนเขา้
บญั ชเี งนิ ฝากของจำเลยและบญั ชเี งนิ ฝากของผเู้ ลน่ พนั ตำรวจโท จลุ ฤทธจ์ิ งึ ดำเนนิ การขอหมาย

ค้นจากศาลชั้นต้น ในวันเกิดเหตุพยานทั้งสองกับพวกจึงนำหมายค้นไปตรวจค้นบ้านดังกล่าว

พบจำเลยและภริยาจำเลย ผลการตรวจค้นพบโปรแกรมการแข่งขันฟุตบอล จำนวน ๑ แผ่น

ตามเอกสารหมาย จ.๒ ใกลบ้ รเิ วณท่ีจำเลยนง่ั อยู่ พบกระดาษโพยทายผลการแข่งขนั ฟตุ บอล

และเอกสารการรับจ่ายเงินอยู่ในกระเป๋ากางเกงของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.๓ และพบ

กระดาษโพยทายผลการแข่งขันฟุตบอลและเอกสารการรับจ่ายเงินท่ีโต๊ะทำงานของจำเลยตาม

ส่วนที่ ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำสั่งในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ
์ 309
คดอี าญา


เอกสารหมาย จ.๔ จงึ แจง้ ขอ้ หาแกจ่ ำเลยวา่ รว่ มกนั จดั ใหม้ กี ารเลน่ พนนั ทายผลฟตุ บอลโดยเปน็

เจา้ มอื รบั กนิ รบั ใช้ จำเลยใหก้ ารรบั สารภาพตามบนั ทกึ การจบั กมุ เอกสารหมาย จ.๕ นอกจากน
ี้
โจทกม์ ีรอ้ ยตำรวจเอก หญงิ มณฑาทพิ ย์ นาเมอื งรักษ์ ซ่งึ เปน็ ผูช้ ำนาญการด้านการพนนั เป็น

พยานเบิกความว่า พนักงานสอบสวนได้ส่งเอกสารของกลางมาให้พยานตรวจสอบ พยาน

ตรวจสอบแล้วมีความเห็นว่าเอกสารของกลางเป็นการเขียนรหัสและอักษรช่วยจำของผู้เขียน

กระดาษโพยทายผลการแข่งขันฟุตบอลมีจำนวนมาก หากมีการเล่นพนันฟุตบอลจริง จำเลย

จะเป็นฝ่ายเจ้ามือตามรายงานการตรวจพิสูจน์ เอกสารหมาย จ.๗ และโจทก์มีพันตำรวจตร ี

ทรงเกยี รติ เดชบริพันธ์ พนกั งานสอบสวน เบิกความวา่ พยานได้ตรวจสอบบัญชเี งินฝากของ

จำเลย ปรากฏวา่ มกี ารเคลอ่ื นไหวจำนวนมากตามสำเนารายการบญั ชี เอกสารหมาย จ.๑๑ สว่ น

จำเลยมแี ตจ่ ำเลยปากเดยี วเบกิ ความวา่ วนั เกดิ เหตจุ ำเลยเลน่ พนนั ทายผลฟตุ บอลตามกระดาษ

โพยทายผลการแขง่ ขนั ฟตุ บอล เอกสารหมาย จ.๓ แผน่ ที่ ๒ และแผน่ ที่ ๓ โดยจำเลยไมไ่ ดเ้ ปน็

เจา้ มอื สว่ นกระดาษโพยทายผลการแขง่ ขนั ฟตุ บอลตามเอกสารหมาย จ.๔ เปน็ กระดาษโพยเกา่

ทจี่ ำเลยเลน่ มาประมาณ ๒ ถงึ ๓ ปี แลว้ จำเลยรบั สารภาพในชนั้ จบั กมุ เนอ่ื งจากเจา้ พนกั งาน

ตำรวจจะให้ประกัน เห็นว่า พยานโจทก์ต่างเบิกความสอดคล้องต้องกันในข้อเท็จจริงอันเป็น

สาระสำคัญดังกล่าว ทั้งพยานโจทก์ต่างเป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของรัฐผู้

ปฏบิ ตั กิ ารไปตามอำนาจหนา้ ทโ่ี ดยไมป่ รากฏวา่ เคยรจู้ กั หรอื มสี าเหตโุ กรธเคอื งกบั จำเลยมากอ่ น

จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะเบิกความกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย เชื่อว่าเบิกความไปตามความ

เป็นจริง ในวันเกิดเหตุก่อนที่พยานโจทก์จะไปจับกุมจำเลย ได้ดำเนินการขอหมายค้นบ้าน

จำเลยเพ่ือตรวจค้นเก่ียวกับกระดาษโพยทายผลการแข่งขันฟุตบอล ดังปรากฏตามหมายค้น

เอกสารหมาย จ.๑ จงึ แสดงใหเ้ หน็ วา่ มกี ารสบื ทราบเกย่ี วกบั การรบั ทายผลการแขง่ ขนั ฟตุ บอลท
่ี
บ้านของจำเลยมากอ่ นจรงิ ขณะตรวจคน้ บา้ นจำเลยมเี ฉพาะจำเลยกับภรยิ าจำเลยเทา่ นั้น เม่ือ

ตรวจคน้ กพ็ บของกลางทตี่ วั จำเลยและทโี่ ตะ๊ ทำงานของจำเลยโดยจำเลยไมไ่ ดโ้ ตแ้ ยง้ วา่ เปน็ ของ

310 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉยั คดี


ผู้อน่ื ซึ่งของกลางตามเอกสารหมาย จ.๒ ถึง จ.๔ เปน็ โปรแกรมการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก

กระดาษโพยทายผลการแข่งขันฟุตบอล และเอกสารการรับจ่ายเงินโดยมีการระบุทีมแข่งขัน

อัตราการต่อรอง และชื่อผู้ทายผล อันมีลักษณะเป็นเอกสารบันทึกช่วยจำท่ีใช้ในการเล่นพนัน

ทายผลการแข่งขนั ฟตุ บอลโดยมีทัง้ หมดถงึ ๕๓ แผน่ ถอื วา่ เปน็ จำนวนมาก ซึ่งหากเปน็ เพียง

ผู้เล่น ก็ไม่น่าจะมีรายช่ือของผู้อื่นในกระดาษโพยจำนวนมากเช่นน้ี เมื่อพิจารณาประกอบกับ

สำเนาบญั ชเี งนิ ฝากของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.๑๑ กจ็ ะเหน็ ไดว้ า่ มเี งนิ หมนุ เวยี นเคลอื่ นไหว

ในบัญชีเงินฝากตลอดเวลาและเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในวันเกิดเหตุมีการเคลื่อนไหวทาง

บญั ชถี ึง ๑๐ ครงั้ โดยไม่ปรากฏวา่ จำเลยประกอบอาชีพใดทต่ี ้องมีเงนิ ทนุ หมุนเวียนมากเช่นน ้ี

ทั้งในชั้นจับกุมจำเลยก็ให้การรับสารภาพในข้อหาเป็นเจ้ามือเล่นการพนันทายผลการแข่งขัน

ฟตุ บอล เมอ่ื รบั ฟงั ประกอบกนั แลว้ ทำใหพ้ ยานหลกั ฐานโจทกม์ นี ำ้ หนกั รบั ฟงั ได้ สว่ นจำเลยมแี ต

จำเลยเพยี งปากเดยี วเบกิ ความลอย ๆ วา่ จำเลยเปน็ ผเู้ ลน่ ไมไ่ ดเ้ ปน็ เจา้ มอื โดยอา้ งวา่ กระดาษ

โพยของกลางเปน็ กระดาษโพยสำหรบั ผเู้ ลน่ นน้ั เหน็ วา่ แมก้ ระดาษโพยดงั กลา่ วจะไมม่ ขี อ้ ความ

ระบุชัดว่าเป็นกระดาษโพยสำหรับเจ้ามือ แต่ก็ไม่อาจระบุว่าเป็นกระดาษโพยสำหรับผู้เล่นเช่น

กัน จึงต้องพิจารณาจากพฤติการณ์อ่ืนประกอบด้วย ส่วนท่ีอ้างว่ากระดาษโพยทายผลการ

แขง่ ขนั ฟตุ บอลตามเอกสารหมาย จ.๔ เปน็ กระดาษโพยเกา่ ทจ่ี ำเลยเลน่ มาเปน็ เวลา ๒ ปี ถงึ ๓

ปี แลว้ นน้ั เหน็ วา่ หากเปน็ กระดาษโพยเกา่ ตามทจ่ี ำเลยอา้ ง จำเลยกไ็ มน่ า่ จะเกบ็ ไวเ้ ปน็ จำนวน

ถึง ๔๒ แผ่น เป็นเวลาหลายปี จึงไม่มีน้ำหนักควรแก่การรับฟัง ส่วนท่ีจำเลยอ้างว่าจำเลย

รบั สารภาพในช้นั จบั กมุ เนื่องจากเจ้าพนกั งานตำรวจจะใหป้ ระกันน้นั กเ็ ป็นเพียงคำกล่าวอ้าง

ลอย ๆ ของจำเลย โดยไมป่ รากฏวา่ เจา้ พนกั งานตำรวจไดข้ เู่ ขญ็ หรอื บงั คบั จำเลยแตอ่ ยา่ งใด ทง้ั

ไม่มีเหตุผลท่ีเจ้าพนักงานตำรวจจะให้ประกันต่อเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ เชื่อว่าจำเลยให

การรับสารภาพในชั้นจับกุมด้วยความสมัครใจ พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้าง

พยานหลักฐานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกับพวกร่วมเล่นพนันทายผลการแข่งขัน

ส่วนท่ี ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำสั่งในรปู คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
311
คดีอาญา


ฟุตบอลโดยจำเลยเป็นเสมียนเดินโพยฝ่ายเจ้ามือ จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง ที่ศาลช้ันต้น

พิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องดว้ ย อทุ ธรณ์ของจำเลยฟังไม่ข้นึ แต่อย่างไรกต็ าม เมื่อ

จำเลยใหก้ ารรบั สารภาพในชน้ั จบั กมุ และทางนำสบื ของจำเลยเปน็ ประโยชนแ์ กก่ ารพจิ ารณาอย
ู่
บา้ ง กรณจี งึ มเี หตบุ รรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ศาลอทุ ธรณเ์ หน็ สมควร

ลดโทษให้จำเลยดว้ ย

อน่ึง ท่ีศาลชั้นต้นพิพากษาโดยปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการ

พนนั พ.ศ. ๒๔๗๘ มาตรา ๔ ดว้ ยนน้ั ไมถ่ กู ตอ้ ง เพราะการกระทำของจำเลยเปน็ ความผดิ ตาม

มาตรา ๔ ทวิ ไมเ่ ปน็ ความผดิ ตามมาตรา ๔ ดงั กลา่ ว ศาลอทุ ธรณจ์ งึ เหน็ สมควรแกไ้ ขใหถ้ กู ตอ้ ง

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.

๒๔๗๘ มาตรา ๔ ทว,ิ ๑๐, ๑๒ (๒) ลดโทษใหจ้ ำเลยหนึง่ ในสามตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๗๘ คงจำคกุ ๒ เดือน ๒๐ วนั นอกจากที่แกใ้ ห้เปน็ ไปตามคำพิพากษาศาลช้ันตน้ .

312 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คด


ตัวอยา่ งคดีความผดิ ต่อพระราชบญั ญัติควบคมุ อาคาร






คำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๖๐๒๑/๒๕๔๙


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ท่ีจำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษ

สถานเบาในความผิดฐานดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถ่ินนั้น

เห็นวา่ ความผิดตามพระราชบญั ญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๕ วรรคหน่ึง ต้อง

ระวางโทษจำคกุ ไมเ่ กนิ ๓ เดอื น หรอื ปรบั ไมเ่ กนิ ๖๐,๐๐๐ บาท หรอื ทงั้ จำทง้ั ปรบั และนอกจาก

ต้องระวางโทษตามมาตรา ๖๕ วรรคหน่ึง แล้ว ผู้ฝ่าฝืนยังต้องระวางโทษปรับอีกวันละไม่เกิน

๑๐,๐๐๐ บาท ตลอดเวลาทย่ี งั ฝา่ ฝนื หรอื จนกวา่ จะไดป้ ฏบิ ตั ใิ หถ้ กู ตอ้ งตามมาตรา ๖๕ วรรคสอง

ดว้ ย ศาลชน้ั ตน้ วางโทษจำเลยกอ่ นลดโทษใหโ้ ดยจำคกุ ๑ เดอื น และปรบั ๒๐,๐๐๐ บาท กบั ให

ปรบั เปน็ รายวนั อกี วนั ละ ๕๐ บาท จนกวา่ จำเลยจะไดร้ บั ใบอนญุ าตหรอื ปฏบิ ตั ใิ หถ้ กู ตอ้ ง นบั วา่

เหมาะสมแกพ่ ฤตกิ ารณแ์ หง่ คดแี ละเปน็ คณุ แกจ่ ำเลยมากแลว้ ทง้ั ศาลชนั้ ตน้ ยงั ลดโทษใหจ้ ำเลย

เพราะมีเหตุบรรเทาโทษอีกก่ึงหน่ึง จึงไม่มีเหตุท่ีศาลอุทธรณ์จะลดโทษให้เบาลงอีก อย่างไรก

ตาม ในความผดิ ฐานดดั แปลงอาคารโดยไมไ่ ดร้ บั ใบอนญุ าตตามมาตรา ๒๑, ๖๕ วรรคสอง นน้ั

กำหนดให้ปรับเป็นรายวันอีกตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง ซึ่ง

หมายความวา่ จนกวา่ จะไดร้ บั ใบอนญุ าตใหด้ ดั แปลงอาคารจากเจา้ พนกั งานทอ้ งถนิ่ หรอื จนกวา่

จำเลยจะดำเนนิ การแจง้ ตอ่ เจา้ พนกั งานทอ้ งถนิ่ และดำเนนิ การตามมาตรา ๓๙ ทวิ แตเ่ นอื่ งจาก

เจา้ พนกั งานทอ้ งถนิ่ ไดม้ คี ำสงั่ ใหจ้ ำเลยรอ้ื ถอนอาคารทด่ี ดั แปลงโดยไมไ่ ดร้ บั ใบอนญุ าตแลว้ เมอื่

วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๕ โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน และได้นำคำสั่ง

ดงั กลา่ วไปปิดไวท้ อี่ าคารของจำเลยแล้วตงั้ แตว่ ันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๕ แตจ่ ำเลยมิได้ปฏบิ ัต

ตาม ดงั น้นั การฝ่าฝืนดัดแปลงอาคารโดยไมไ่ ดร้ บั ใบอนุญาตก็ดี การไมด่ ำเนนิ การขออนุญาต

ดัดแปลงอาคารกด็ ี หรอื การดำเนนิ การตามมาตรา ๓๙ ทวิ กด็ ี ย่อมสนิ้ สดุ ลงเมอ่ื เจ้าพนักงาน

ส่วนท่ี ๒ ตวั อยา่ งคำพิพากษาและคำสง่ั ในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
313
คดอี าญา


ท้องถ่ินได้มีคำส่ังให้จำเลยรื้อถอนอาคารแล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ซึ่งการกระทำของจำเลยใน

ส่วนน้ีย่อมเป็นความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้ร้ือถอนอาคารตามมาตรา

๔๒, ๖๖ ทวิ วรรคหนึ่ง และวรรคสอง และไม่เป็นความผดิ ตามมาตรา ๒๑, ๖๕ วรรคสอง อีก

ดงั นนั้ คา่ ปรบั รายวนั ตามมาตรา ๒๑, ๖๕ วรรคสอง ของจำเลยจงึ ตอ้ งนบั แตว่ นั ท่ี ๑ กรกฎาคม

๒๕๔๕ จนถึงวันครบกำหนดท่ีจำเลยจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถ่ินที่ให้รื้อ

ถอนอาคารเท่านั้น ท่ีศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา ๖๕ วรรคสอง ประกอบ

มาตรา ๒๑ ให้ปรบั เปน็ รายวันต้ังแตว่ นั ท่ี ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๕ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะได้

รับใบอนุญาตหรือปฏิบัติให้ถูกต้อง โดยคิดถึงวันฟ้อง เป็นเวลา ๘๕๗ วัน จึงไม่ถูกต้อง

นอกจากน้ัน การแจ้งคำส่ังของเจ้าพนักงานท้องถ่ินที่ให้รื้อถอนอาคาร มาตรา ๔๗ ทว ิ

กำหนดใหท้ ำเปน็ หนงั สอื สง่ ทางไปรษณยี ล์ งทะเบยี นตอบรบั และใหป้ ดิ ประกาศคำสงั่ ณ อาคาร

ดงั กลา่ ว รวมทง้ั ใหถ้ อื วา่ ผซู้ ง่ึ จะตอ้ งรบั คำสงั่ ไดท้ ราบคำสงั่ นนั้ แลว้ เมอ่ื พน้ กำหนดสามวนั นบั แต่

วนั ท่ไี ดม้ กี ารปดิ ประกาศดังกล่าว เมอ่ื ไดน้ ำคำสงั่ ไปปิดประกาศไว้ ณ อาคารของจำเลยในวนั ท ่ี

๘ กรกฎาคม ๒๕๔๕ วนั ครบกำหนดทจ่ี ำเลยจะตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามคำสงั่ ของเจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ ท
ี่
ให้รื้อถอนอาคารจึงต้องเป็นวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๕ ดังนั้น ท่ีศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าวันครบ

กำหนดทจี่ ำเลยจะตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามคำสง่ั ของเจา้ พนกั งานทอ้ งถนิ่ ทใ่ี หร้ อื้ ถอนอาคาร คอื วนั ที่ ๘

สงิ หาคม ๒๕๔๕ และพพิ ากษาใหป้ รบั จำเลยเปน็ รายวนั ฐานฝา่ ฝนื คำสงั่ ของเจา้ พนกั งานทอ้ งถนิ่

ทใ่ี ห้รือ้ ถอนอาคารทดี่ ดั แปลงโดยไม่ไดร้ บั ใบอนุญาตตามมาตรา ๔๒, ๖๖ ทวิ วรรคสอง ต้งั แต่

วันท่ี ๘ สิงหาคม ๒๕๔๕ เป็นต้นไปจนกว่าจะปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น โดย

คิดถึงวันฟ้อง เป็นเวลา ๘๑๙ วัน จึงไม่ถูกต้องเช่นกัน เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคำสั่งของเจ้า

พนักงานท้องถ่ินที่ให้จำเลยร้ือถอนอาคารที่ดัดแปลงโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้แล้วเสร็จภายใน
๓๐ วนั ครบกำหนดในวนั ที่ ๑๑ สงิ หาคม ๒๕๔๕ ดงั นน้ั คา่ ปรบั รายวนั ฐานดดั แปลงอาคารโดย

ไมไ่ ด้รบั ใบอนุญาตตามมาตรา ๒๑, ๖๕ วรรคสอง ของจำเลยจึงตอ้ งนับแต่วันท่ี ๑ กรกฎาคม

314 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉยั คด


๒๕๔๕ ถึงวนั ท่ี ๑๑ สงิ หาคม ๒๕๔๕ รวม ๔๒ วนั เทา่ นนั้ และคา่ ปรบั รายวนั ฐานฝา่ ฝนื คำสัง่

ของเจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ ทใี่ หร้ อื้ ถอนอาคารตามมาตรา ๖๖ ทวิ วรรคสอง จงึ ตอ้ งเรมิ่ นบั แตว่ นั ท ี่

๑๒ สงิ หาคม ๒๕๔๕ เปน็ ตน้ ไป คดิ ถงึ วนั ฟอ้ งเมอ่ื วนั ท่ี ๓ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๗ เปน็ เวลา ๘๑๕

วัน ซึ่งปัญหาในข้อนี้แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายท่ีเก่ียวกับความสงบ

เรยี บรอ้ ย ศาลอทุ ธรณจ์ งึ เหน็ สมควรยกขนึ้ วนิ จิ ฉยั ตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา

มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง

ที่จำเลยอุทธรณ์ในประการต่อมาว่า จำเลยไม่เคยทราบคำส่ังของเจ้าพนักงาน

โยธา และไมป่ รากฏจากพยานหลกั ฐานโจทกว์ า่ ขณะไปปดิ คำสงั่ นน้ั ไดถ้ า่ ยภาพไวห้ รอื มบี คุ คล

ใดเป็นพยานรู้เห็น จำเลยจึงมิได้กระทำความผิดฐานฝ่าฝืนคำส่ังของเจ้าพนักงานท้องถ่ินที่ให

รื้อถอนอาคารนั้น เห็นว่า คดีน้ีจำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำ

ความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถ่ินจริงตามฟ้อง อุทธรณ์ของจำเลยในข้อน
ี้
นอกจากจะขดั กบั คำใหก้ ารรบั สารภาพของจำเลยแลว้ ยงั เปน็ ขอ้ ทม่ี ไิ ดย้ กขน้ึ วา่ กลา่ วกนั มาแลว้

โดยชอบในศาลช้ันต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคหน่ึง

ประกอบประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๕ ศาลอทุ ธรณ์ไมร่ บั วินจิ ฉัย

ท่ีจำเลยอุทธรณ์ในประการสุดท้ายว่า ศาลช้ันต้นลงโทษฐานดัดแปลงอาคารและ

ฐานฝ่าฝืนคำส่ังของเจ้าพนักงานท้องถ่ิน รวมแล้วคงจำคุก ๑ เดือน และปรับ ๒๐,๐๐๐ บาท

โทษจำคุกใหร้ อการลงโทษไว้ ๒ ปี ไม่ถูกตอ้ ง เพราะเป็นการกำหนดอัตราโทษไว้สูง แลว้ คอ่ ย

ลดทหี ลงั ขอใหศ้ าลอทุ ธรณแ์ กโ้ ทษปรบั ลงเหลอื ๑๐,๐๐๐ บาท และยกคา่ ปรบั รายวนั เนอ่ื งจาก

เป็นการซ้ำซ้อนกับค่าปรับที่คิดไปแล้วน้ัน เห็นว่า ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจวางโทษจำเลยใน

ความผิดท้ังสองฐานเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะลดโทษปรับ

ใหแ้ กจ่ ำเลยอกี และในสว่ นของโทษปรบั รายวนั นนั้ พระราชบญั ญตั คิ วบคมุ อาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒

มาตรา ๒๑, ๖๕ วรรคสอง และ ๖๖ ทวิ วรรคสอง บญั ญตั เิ ปน็ ใจความสำคญั วา่ ผฝู้ า่ ฝนื นอกจาก

สว่ นที่ ๒ ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำสงั่ ในรปู คำพิพากษาของศาลอุทธรณ
์ 315
คดีอาญา


ต้องระวางโทษตามวรรคหนึ่งแล้ว ยังต้องระวางโทษปรับเป็นรายวันอีกตลอดเวลาท่ียังฝ่าฝืน

หรอื จนกวา่ จะไดป้ ฏบิ ตั ใิ หถ้ กู ตอ้ ง หรอื จนกวา่ จะไดป้ ฏบิ ตั ติ ามคำสง่ั ของเจา้ พนกั งานทอ้ งถนิ่ อนั
เปน็ บทบญั ญตั ใิ หศ้ าลตอ้ งลงโทษปรบั จำเลยเปน็ รายวนั อกี ดว้ ย ศาลอทุ ธรณจ์ งึ ไมอ่ าจใชด้ ลุ พนิ จิ

ยกคา่ ปรบั รายวันให้แก่จำเลยได้ อทุ ธรณข์ ้อนีข้ องจำเลยฟังไม่ขน้ึ

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยฐานดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับใบอนุญาต

เปน็ รายวนั อกี วนั ละ ๕๐ บาท รวม ๔๒ วนั เปน็ เงนิ ๒,๑๐๐ บาท และปรบั ฐานฝา่ ฝนื คำสง่ั ของ

เจา้ พนกั งานทอ้ งถิ่นท่ีใหร้ อ้ื ถอนอาคารเปน็ รายวนั อกี วันละ ๕๐ บาท นบั แตว่ นั ที่ ๑๒ สิงหาคม

๒๕๔๕ เป็นต้นไปจนกว่าจะได้ปฏิบัติตามคำส่ังของเจ้าพนักงานท้องถ่ิน ซ่ึงคิดถึงวันฟ้องเม่ือ

วันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ เป็นเวลา ๘๑๕ วัน เป็นเงิน ๔๐,๗๕๐ บาท จำเลยให้การรับ

สารภาพ ลดโทษใหก้ งึ่ หนงึ่ คงปรบั ฐานดดั แปลงอาคารโดยไมไ่ ดร้ บั ใบอนญุ าตเปน็ รายวนั วนั ละ

๒๕ บาท รวม ๔๒ วนั เปน็ เงนิ ๑,๐๕๐ บาท และปรบั ฐานฝา่ ฝนื คำสงั่ ของเจา้ พนกั งานทอ้ งถนิ่ ท
่ี
ใหร้ อื้ ถอนอาคารเปน็ รายวนั อกี วนั ละ ๒๕ บาท นับแตว่ ันท่ี ๑๒ สงิ หาคม ๒๕๔๕ เปน็ ต้นไป

จนกวา่ จะไดป้ ฏบิ ตั ติ ามคำสงั่ ของเจา้ พนกั งานทอ้ งถน่ิ โดยคดิ ถงึ วนั ฟอ้ ง เปน็ เงนิ ๒๐,๓๗๕ บาท

นอกจากทีแ่ กใ้ ห้เปน็ ไปตามคำพิพากษาศาลช้นั ตน้ .

316 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉยั คดี


ตวั อยา่ งคดีความผิดตอ่ พระราชบัญญัติทางหลวง






คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๓๔๑/๒๕๕๑


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า จำเลยใช้รถบรรทุกคันเกิด

เหตุบรรทุกดิน มีน้ำหนักรถยนต์รวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าอัตราท่ีกฎหมายกำหนดไว้ถึง

๑๕,๔๐๐ กโิ ลกรมั โดยไมน่ ำพาวา่ จะกอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายตอ่ สภาพทางหลวงแผน่ ดนิ ซงึ่ เปน็

สมบตั ขิ องสว่ นรวมและมไี วเ้ พอ่ื ประโยชนร์ ว่ มกนั ของสาธารณชน การกระทำของจำเลยดงั กลา่ ว

ย่อมทำให้ผู้ร่วมใช้เส้นทางสัญจรไปมาต้องเส่ียงต่ออันตรายจากสภาพถนนท่ีง่ายต่อการเกิด

อบุ ตั เิ หตแุ ละอนั ตรายทจ่ี ะเกดิ จากสภาพรถยนตข์ องจำเลยทบ่ี รรทกุ นำ้ หนกั เปน็ จำนวนมากจน

เกินกว่าที่ผู้ขับข่ีจะควบคุมรถยนต์ได้อย่างปลอดภัย พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของ

จำเลยนบั ว่ารา้ ยแรง ท่จี ำเลยอ้างวา่ มีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครวั น้ัน บุคคลทวั่ ๆ ไปในสถานะ

เช่นเดียวกับจำเลยก็มีภาระท่ีไม่แตกต่างไปจากจำเลย จำเลยไม่อาจอ้างภาระความจำเป็น

ส่วนตัวเพื่อก่อภาระให้แก่สังคมโดยรวมได้ ท้ังเหตุดังกล่าวก็ไม่เพียงพอท่ีจะรับฟังเพื่อรอการ

ลงโทษจำคกุ ใหแ้ กจ่ ำเลยได้ ทศ่ี าลชน้ั ตน้ ใชด้ ลุ พนิ จิ ลงโทษจำคกุ จำเลยโดยไมร่ อการลงโทษนนั้

เหมาะสมแล้ว ศาลอทุ ธรณ์เหน็ พอ้ งดว้ ย อุทธรณ์ของจำเลยฟงั ไม่ขนึ้

อน่ึง ปรากฏตามคำขอท้ายฟ้องว่า โจทก์ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติทาง

หลวง พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๗๓ ประกอบมาตรา ๖๑ ซงึ่ มรี ะวางโทษจำคกุ ไมเ่ กนิ ๓ เดอื น หรอื

ปรบั ไม่เกิน ๖,๐๐๐ บาท หรอื ท้งั จำทั้งปรับ แต่ขณะทีจ่ ำเลยกระทำความผิด บทบัญญตั ิมาตรา

ดงั กลา่ วไดถ้ กู ยกเลกิ ไปแลว้ โดยพระราชบญั ญตั ทิ างหลวง (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ มาตรา ๒๕

และมาตรา ๒๙ โดยให้ใช้ข้อความใหม่แทน และมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติทางหลวง

(ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ ใหเ้ พม่ิ เตมิ บทกำหนดโทษในมาตรา ๗๓/๒ ซงึ่ บญั ญตั ใิ หร้ ะวางโทษจำ

คุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนี้ เมื่อโจทก์ได


ส่วนที่ ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำสง่ั ในรปู คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
317
คดีอาญา


บรรยายฟ้องไว้ชัดแจ้งว่า จำเลยใช้ยานพาหนะบรรทุกดินแล่นบนทางหลวงแผ่นดินโดยม

นำ้ หนกั บรรทกุ เกนิ อตั ราทกี่ ฎหมายกำหนดอนั เปน็ การฝา่ ฝนื ตอ่ กฎหมาย ครบองคป์ ระกอบของ

ความผดิ ตามท่ีบญั ญตั ไิ ว้ในมาตรา ๗๓/๒ ประกอบมาตรา ๖๑ วรรคหน่ึง แหง่ พระราชบญั ญตั

ทางหลวง พ.ศ. ๒๕๓๕ ซง่ึ แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั ทิ างหลวง (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙

มาตรา ๒๕ และมาตรา ๒๙ แสดงว่าโจทก์มีความประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตามบทกฎหมาย

ท่ีแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวแล้ว แม้โจทก์จะมิได้อ้างบทบัญญัติมาตรา ๗๓/๒ ท่ีแก้ไขเพิ่มเติมมา

ด้วย ก็เป็นเพียงแต่อ้างบทมาตราผิด หาใช่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษตามบทมาตราดังกล่าว

ไม่ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่ถูกต้องได้ตามพระราชบัญญัติให้นำ

วธิ พี จิ ารณาความอาญาในศาลแขวงมาใชบ้ งั คบั ในศาลจงั หวดั พ.ศ. ๒๕๒๐ มาตรา ๓ ประกอบ

พระราชบญั ญตั จิ ดั ตง้ั ศาลแขวงและวธิ พี จิ ารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔

และประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญา มาตรา ๒๑๕ และมาตรา ๑๙๒ วรรคหา้ ทีศ่ าล

ชนั้ ตน้ พพิ ากษาลงโทษจำเลยตามบทบญั ญตั มิ าตราทถี่ กู ยกเลกิ ไปแลว้ ตามคำขอทา้ ยฟอ้ งจงึ ไม

ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายท่ีเก่ียวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์มีอำนาจ

ยกขน้ึ วนิ ิจฉัยและแก้ไขใหถ้ กู ตอ้ งได้

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.

๒๕๓๕ มาตรา ๗๓/๒ ประกอบมาตรา ๖๑ วรรคหนึ่ง สว่ นโทษและนอกจากทแ่ี ก้คงใหเ้ ปน็ ไป

ตามคำพพิ ากษาศาลชน้ั ต้น.

318 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินิจฉยั คด


ตัวอย่างคดคี วามผิดตอ่ พระราชบัญญัติยาเสพตดิ ให้โทษ






๑. คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๘๖๗๘/๒๕๔๔


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ท่ีจำเลยอุทธรณ์โดยสรุปทำนองว่า

คำฟอ้ งของโจทกย์ งั ไมช่ ดั แจง้ เคลอื บคลมุ และไมเ่ ขา้ องคป์ ระกอบความผดิ ตามพระราชบญั ญตั ิ

ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ นนั้ เหน็ วา่ คำฟอ้ งของโจทกไ์ ดบ้ รรยายถงึ การครอบครองเมท-

แอมเฟตามนี ของจำเลย จำนวนและน้ำหนักของเมทแอมเฟตามีนทจี่ ำเลยครอบครอง วนั เวลา

และสถานท่ีเกิดเหตุ พอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี และได้อ้างมาตราใน

พระราชบัญญัติดังกล่าวซ่ึงบัญญัติว่าการครอบครองเมทแอมเฟตามีนของจำเลยเป็นความผิด

แล้ว รายละเอียดอ่ืน ๆ ที่จำเลยอ้างในอุทธรณ์ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการครอบครองก็ดี บุคคลท
่ี
เก่ียวข้องกับการกระทำความผิดของจำเลยกด็ ี น้ำหนกั ของเมทแอมเฟตามีนท่ีเป็นสารบรสิ ทุ ธ์ิ

ซึ่งได้ผ่านการตรวจพิสูจน์แล้วก็ดี ผลของการเสพเมทแอมเฟตามีนอันมีต่อร่างกายและจิตใจ

ก็ดี และเมทแอมเฟตามีนเป็นส่ิงที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือเป็นสิ่งที่เกิดจากการสังเคราะห

ก็ดี เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์ไม่จำต้องบรรยายไว้หรือเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์อาจนำ

สบื ไดใ้ นชน้ั พจิ ารณา คำฟอ้ งของโจทกจ์ งึ ชดั แจง้ ไมเ่ คลอื บคลมุ และครบองคป์ ระกอบความผดิ

ตามพระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ และชอบดว้ ยประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณา

ความอาญา มาตรา ๑๕๘ แล้ว อทุ ธรณ์ของจำเลยสว่ นนีฟ้ งั ไมข่ ้นึ ส่วนทจี่ ำเลยอุทธรณ์ขอให้

ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษจำคุกน้ัน เห็นว่า เมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลย

ครอบครองมีจำนวนเพยี ง ๔ เม็ด นำ้ หนักเพยี ง ๐.๓๖ กรัม เปน็ ปริมาณท่ีไมม่ าก พฤตกิ ารณ

แหง่ คดไี มร่ า้ ยแรงนกั แมจ้ ำเลยจะเคยตอ้ งคำพพิ ากษาถงึ ทส่ี ดุ ใหล้ งโทษจำคกุ ฐานมเี มทแอมเฟ-

ตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและศาลช้ันต้นรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยมา

กอ่ น แตเ่ มอื่ พเิ คราะหถ์ งึ ผลไดผ้ ลเสยี ทงั้ ตอ่ ตวั จำเลยเอง ครอบครวั ของจำเลย และสงั คมแลว้ ยงั

สว่ นที่ ๒ ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำสงั่ ในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 319
คดอี าญา


มีเหตุทจ่ี ะให้โอกาสจำเลยได้ปรบั ปรงุ แก้ไขความประพฤติด้วยตัวของจำเลยเองอีกสกั คร้งั และ

เพื่อให้จำเลยหลาบจำ เห็นควรลงโทษปรับกับคุมความประพฤติของจำเลยด้วย อุทธรณ์ของ

จำเลยสว่ นนฟ้ี งั ขน้ึ แตเ่ มอ่ื รอการลงโทษใหจ้ ำเลยแลว้ จงึ ไมอ่ าจบวกโทษตามคำขอของโจทกไ์ ด

พพิ ากษาแก้เปน็ วา่ ใหป้ รบั จำเลย ๑๐,๐๐๐ บาท อีกสถานหนึง่ เมื่อลดโทษตาม

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ให้กึ่งหนงึ่ แล้ว คงปรับ ๕,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการ

ลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี วางเง่ือนไขคุมความประพฤติของจำเลยไว้ โดยให้จำเลยเข้ารับการ

บำบดั รักษาอาการตดิ ยาเสพตดิ ในสถานพยาบาลของรัฐตามทีพ่ นกั งานคุมประพฤตแิ ละจำเลย

จะเหน็ สมควร ใหจ้ ำเลยไปรายงานตวั และแจง้ ผลการบำบดั รกั ษาตอ่ พนกั งานคมุ ประพฤติ เดอื น

ละ ๑ ครง้ั เปน็ เวลา ๖ เดอื น และตอ่ จากนนั้ ทกุ ๓ เดอื น ตอ่ ครง้ั จนกวา่ จะครบกำหนดระยะเวลา

รอการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชำระค่าปรบั ให้บังคบั ตามประมวล

กฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ใหย้ กคำขอบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีหมายเลข

แดงที่ ๑๒๓๓๕/๒๕๔๓ ของศาลชัน้ ตน้ นอกจากที่แก้ให้เปน็ ไปตามคำพพิ ากษาศาลช้นั ต้น.






๒. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๒๓๘๐/๒๕๔๗


พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า ตามวันเวลาท่ีเกิดเหตุ เจ้า

พนกั งานตำรวจจบั กมุ จำเลยโดยกลา่ วหาวา่ มยี าเสพตดิ ใหโ้ ทษในประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามนี )

ไวใ้ นครอบครองเพอ่ื จำหนา่ ยและจำหนา่ ยโดยผดิ กฎหมาย ชนั้ จบั กมุ และชน้ั สอบสวนจำเลยให

การรับสารภาพ มปี ญั หาทีจ่ ะต้องวนิ จิ ฉยั ตามอุทธรณ์ของจำเลยวา่ จำเลยกระทำความผดิ ตาม

ฟ้องหรือไม่ โจทกม์ ีพันตำรวจตรี ชัชทอง ธุระทอง และดาบตำรวจ เอนก มงั่ สายทอง ผูร้ ่วม

จับกุมจำเลย เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า ในวันเกิดเหตุเมื่อพันตำรวจตรี ชัชทอง
ทราบจากสายลับว่าที่ร้านอาหารตามส่ัง เลขท่ี ๑๑๔๖/๔๑ ถนนจันทร์ แขวงทุ่งวัดดอน เขต

320 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉัยคด


สาทร กรงุ เทพมหานคร มหี ญงิ ไทยลกั ลอบจำหนา่ ยเมทแอมเฟตามนี จงึ วางแผนจบั กมุ โดยนำ

ธนบัตร ฉบบั ละ ๑๐๐ บาท จำนวน ๒ ฉบบั ของพนั ตำรวจตรี ชัชทองไปถ่ายสำเนาเอกสาร

พร้อมท้ังลงบันทึกในรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานตามเอกสารหมาย จ.๑ และ จ.๒

หลังจากน้ันพยานทั้งสองกับพวกและสายลับเดินทางไปยังบริเวณใกล้เคียงท่ีเกิดเหตุ และเม่ือ

ตรวจคน้ ตวั สายลบั แลว้ ไมพ่ บสงิ่ ของผดิ กฎหมาย จงึ มอบธนบตั รดงั กลา่ วใหส้ ายลบั ไปลอ่ ซอ้ื โดย

พยานท้ังสองกับพวกไปซุ่มรออยู่ที่ริมถนนข้างทางเดินเท้าก่อนถึงร้านค้าของจำเลยประมาณ

๑๕ เมตร เหน็ สายลับเดนิ เข้าไปติดต่อกับจำเลย เมอื่ พดู คยุ กันได้สักพัก ก็มีการส่งมอบสงิ่ ของ

ให้แก่กัน แล้วสายลับยกมือข้ึนเกาศีรษะตามที่นัดแนะกันไว้ก่อน หลังจากนั้นสายลับเดินผ่าน

หนา้ รถยนตข์ องพยานทงั้ สองไป พนั ตำรวจตรี ชชั ทองจงึ ลงจากรถเดนิ ตามสายลบั ไป สายลบั สง่

เมทแอมเฟตามนี เมด็ สสี ม้ จำนวน ๒ เมด็ ใหพ้ นั ตำรวจตรี ชชั ทอง โดยบอกวา่ ซอ้ื จากจำเลยใน

ราคาเมด็ ละ ๑๐๐ บาท พนั ตำรวจตรี ชชั ทองตรวจสอบแลว้ เหน็ วา่ เปน็ เมทแอมเฟตามนี จรงิ จงึ

กลับมาทีร่ ถยนต์ แล้วสัง่ ให้พวกเข้าไปในร้านคา้ ของจำเลย สว่ นสายลบั ไดแ้ ยกตัวไป พยานทงั้

สองกับพวกมิไดแ้ ตง่ เคร่ืองแบบ เมื่อเขา้ ไปในรา้ น พบจำเลยนัง่ อยู่ท่ีเดมิ พยานท้ังสองกบั พวก

จงึ แสดงตนเปน็ เจา้ พนกั งานตำรวจและขอตรวจคน้ จำเลยรบั สารภาพแตโ่ ดยดี จำเลยลว้ งไปท
ี่
กระเปา๋ กางเกงดา้ นหนา้ ขา้ งขวา แลว้ หยบิ ธนบตั ร ฉบบั ละ ๑๐๐ บาท จำนวน ๒ ฉบบั สง่ ใหพ้ นั

ตำรวจตรี ชชั ทอง เมอื่ ตรวจสอบแลว้ พบวา่ มหี มายเลขธนบตั รตรงกบั สำเนาภาพถา่ ยธนบตั รท
่ี
ถ่ายสำเนาไว้ จึงทำบันทึกไว้ที่สำเนาภาพถ่ายธนบัตรและให้จำเลยดู จำเลยรับว่ามีหมายเลข

ธนบตั รตรงกนั จงึ ลงชอ่ื ไวใ้ นบนั ทกึ ดงั กลา่ วตามเอกสารหมาย จ.๓ โดยไดอ้ า่ นใหจ้ ำเลยฟงั กอ่ น

เมื่อสอบถามจำเลย จำเลยรับว่าธนบัตรทั้งสองฉบับได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน

ให้แก่หญงิ คนหนึง่ ไปก่อนหนา้ นใ้ี นราคาเม็ดละ ๑๐๐ บาท แลว้ จำเลยยงั ล้วงเขา้ ไปในเสือ้ ชนั้ ใน

ของจำเลยและหยิบกล่องยาอมสีขาวขุ่นขนาดย่อมส่งให้พันตำรวจตรี ชัชทอง เมื่อเปิดดูพบ

เมทแอมเฟตามีนเม็ดสีส้ม จำนวน ๑๖ เม็ด สอบถามจำเลยแล้วรับว่าเป็นของตนมีไว้เพื่อ

ส่วนที่ ๒ ตวั อยา่ งคำพิพากษาและคำสั่งในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
321
คดอี าญา


จำหนา่ ยใหแ้ กบ่ คุ คลทวั่ ไป จงึ แจง้ ขอ้ หาวา่ มยี าเสพตดิ ใหโ้ ทษในประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามนี )

ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย ชั้นจับกมุ จำเลยให้การรับสารภาพ

จงึ นำจำเลยมาทสี่ ถานตี ำรวจ จำเลยลงชอื่ ไวใ้ นบนั ทกึ การจบั กมุ ตามเอกสารหมาย จ.๔ และยงั

ได้ทำบันทึกคำให้การรับสารภาพด้วยลายมือของตนเองตามบันทึก เอกสารหมาย จ.๕

นอกจากน้ี โจทกย์ งั มพี นั ตำรวจตรี ธรี พงศ์ นาคสขุ พนกั งานสอบสวน มาเบกิ ความยนื ยนั วา่ ชน้ั

สอบสวนเมอ่ื แจง้ ขอ้ หาในคดนี ใี้ หจ้ ำเลยทราบแลว้ จำเลยใหก้ ารรบั สารภาพตามบนั ทกึ คำใหก้ าร

ของผตู้ อ้ งหา เอกสารหมาย จ.๗ เหน็ วา่ พยานโจทกท์ กุ ปากเปน็ เจา้ พนกั งานตำรวจซง่ึ เปน็ เจา้

พนกั งานของรฐั ปฏบิ ตั กิ ารตามหนา้ ท่ี ไมป่ รากฏวา่ เคยมสี าเหตโุ กรธเคอื งกบั จำเลยมากอ่ น จงึ

ไม่มีเหตุน่าระแวงว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลย พยานโจทก์ผู้ร่วมจับกุมต่างเบิกความ

สอดคลอ้ งตอ้ งกนั ในขอ้ สาระสำคญั เมอื่ รบั ฟงั พยานหลกั ฐานของโจทกป์ ระกอบกนั จงึ รบั ฟงั ไดว้ า่

จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ท่ีจำเลยอุทธรณ์ว่า เจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมเบิกความ

แตกต่างกัน ไม่ทราบแน่ว่าสายลับเป็นหญิงหรือชายน้ัน เป็นเพราะจำเลยนำพยานโจทก์ไป

เปรียบเทียบกับพยานจำเลย เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมท่ีจำเลยนำมาสืบอาจจะเบิกความไม

ตรงกบั เจา้ พนักงานตำรวจผ้จู บั กมุ ซง่ึ เปน็ พยานโจทก์ในรายละเอยี ด เพราะไมม่ ีโอกาสทบทวน

ความจำเพื่อมาเป็นพยาน แต่สาระสำคัญส่วนใหญ่ยังมีความตรงกันกับท่ีเจ้าพนักงานตำรวจ

ผู้จับกุมมาเบิกความเป็นพยานโจทก์ ส่วนรายละเอียดเช่นว่าสายลับเดินเข้าไปในร้านค้าของ

จำเลยทางใด สายลับล้วงหยิบเงินจากกระเป๋าข้างใด จำเลยรับธนบัตรด้วยมือข้างใด จำเลย

สง่ สง่ิ ของดว้ ยมอื ขา้ งใด สายลบั สง่ ธนบตั รดว้ ยมอื ขา้ งใด โตะ๊ ทจ่ี ำเลยนง่ั เปน็ โตะ๊ ใด ขณะสายลบั

เขา้ ไปในร้านค้าจำเลยจะน่ังอยู่หรอื ไม่ การจำไม่ไดข้ องพยานโจทก์ ตลอดจนการล้วงเมทแอม-

เฟตามีนออกมาจากหน้าอกหรือกลางอก และอ่ืน ๆ นอกจากน้ี หากจะมีก็เป็นความแตกต่าง

เพยี งพลความ สาระสำคญั กค็ อื จำเลยถกู จบั กมุ ไดพ้ รอ้ มเมทแอมเฟตามนี ของกลางและธนบตั รท
่ี
ใช้ในการล่อซ้ือ จำเลยให้การรับสารภาพท้ังชั้นจับกุมและช้ันสอบสวน นอกจากน้ัน จำเลยยัง

322 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉยั คดี


เขยี นบนั ทกึ คำใหก้ ารรบั สารภาพชน้ั จบั กมุ ดว้ ยลายมอื ของตนเอง แมจ้ ำเลยจะอา้ งวา่ ไดเ้ ขยี นป ี

พ.ศ. ผิดไป ไม่ทำให้เห็นได้ว่าจำเลยเขียนเพราะถูกบังคับขู่เข็ญ และหากเจ้าพนักงานตำรวจ

ผู้จับกุมจะแกล้งกล่าวหาเพ่ือเรียกร้องเอาเงินจากจำเลย ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างเร่ืองข้ึนถึงกับ

กลา่ วหาเปน็ คดนี ้ี เพราะสามารถเรยี กรอ้ งเอาเงนิ จากจำเลยไดใ้ นขอ้ หาความผดิ เกยี่ วกบั คนเขา้

เมืองได้อยู่แล้ว และข้อที่จำเลยอ้างว่าได้ร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของเจ้าพนักงานตำรวจชุด

จบั กมุ กไ็ มป่ รากฏหลกั ฐานเปน็ เอกสาร แมแ้ ตน่ างพรประภา ตรโี สภณสถาพร พส่ี าวของจำเลย

ทมี่ าเบกิ ความเปน็ พยานจำเลย กไ็ มไ่ ดย้ นื ยนั ในเรอื่ งดงั กลา่ วนี้ พยานหลกั ฐานจำเลยจงึ ไมอ่ าจ

หกั ลา้ งพยานหลกั ฐานโจทกไ์ ด้ ทศ่ี าลชน้ั ตน้ พพิ ากษาลงโทษจำเลยมานน้ั ชอบแลว้ ศาลอทุ ธรณ

เหน็ พอ้ งด้วย อุทธรณข์ องจำเลยฟังไม่ข้ึน

อน่ึง ขณะท่ีจำเลยกระทำความผิด ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ใน

ครอบครองเพ่ือจำหน่ายและความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นความผิดตาม

พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๖ วรรคหน่ึง ซ่ึงมีระวางโทษจำคุก

ตง้ั แต่ ๕ ปี ถงึ จำคกุ ตลอดชวี ติ และปรบั ตงั้ แต่ ๕๐,๐๐๐ บาท ถงึ ๕๐๐,๐๐๐ บาท แตใ่ นระหวา่ ง

พจิ ารณาคดีของศาลอทุ ธรณ์ พระราชบญั ญตั ิยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๖ วรรค

หนง่ึ ซง่ึ แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ (ฉบบั ท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๔๕ ไดก้ ำหนด

อัตราโทษใหม่เป็นระวางโทษจำคุกต้ังแต่ ๔ ปี ถึง ๑๕ ปี หรือปรับต้ังแต่ ๘๐,๐๐๐ บาท ถึง

๓๐๐,๐๐๐ บาท หรอื ทง้ั จำทง้ั ปรบั อนั เปน็ กรณที กี่ ฎหมายทใี่ ชใ้ นขณะกระทำความผดิ แตกตา่ ง

กบั กฎหมายทีใ่ ชใ้ นภายหลงั กระทำความผดิ ซ่งึ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓ บญั ญตั ใิ ห้

ใช้กฎหมายส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด ศาลอุทธรณ์จึงต้องใช้บทกำหนดโทษตาม

พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษท่ีแก้ไขใหม่ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลย ปัญหาข้อน้ีเป็นปัญหา

ขอ้ กฎหมายทเี่ กย่ี วกบั ความสงบเรยี บรอ้ ยของประชาชน ศาลอทุ ธรณม์ อี ำนาจหยบิ ยกขนึ้ วนิ จิ ฉยั

เองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง ซึ่งศาลอุทธรณ


สว่ นที่ ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำส่ังในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 323
คดีอาญา


เหน็ วา่ เมทแอมเฟตามนี ทจี่ ำเลยมไี วใ้ นครอบครองเพอ่ื จำหนา่ ยมจี ำนวนถงึ ๑๘ เมด็ นบั วา่ เปน็

จำนวนมาก ที่ศาลช้ันต้นใช้ดุลพินิจกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยมาเหมาะสมแก่ความผิดของ

จำเลยแลว้ แตส่ ำหรบั ความผดิ ฐานจำหนา่ ยเมทแอมเฟตามนี นน้ั จำเลยจำหนา่ ยเมทแอมเฟตา-

มนี เพยี ง ๒ เม็ด นบั ว่าเปน็ จำนวนเลก็ น้อย สมควรกำหนดโทษสำหรบั ความผิดฐานน้ใี นอัตรา

ข้ันตำ่ ของกฎหมายทแี่ กไ้ ขใหม่

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัตยาเสพติดให้โทษ

พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคหน่ึง, ๖๖ วรรคหนึ่ง ซ่ึงแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ

ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ (ฉบบั ที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๕ ความผดิ ฐานจำหนา่ ยเมทแอมเฟตามนี จำคกุ ๔ ป

ลดโทษใหห้ นง่ึ ในสามแลว้ คงจำคกุ ๒ ปี ๘ เดอื น เมอื่ รวมกบั โทษในความผดิ ฐานมเี มทแอมเฟ-

ตามนี ไวใ้ นครอบครองเพอ่ื จำหนา่ ยแลว้ รวมจำคกุ ๕ ปี ๑๒ เดอื น นอกจากทแี่ กใ้ หเ้ ปน็ ไปตาม

คำพพิ ากษาศาลชัน้ ต้น.






๓. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๕๑๙๗/๒๕๔๙


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ

ของโจทกม์ วี า่ การกระทำความผดิ ของจำเลยเปน็ ความผดิ สองกระทงแยกตา่ งหากจากกนั หรอื

เปน็ ความผดิ กรรมเดยี วผดิ ตอ่ กฎหมายหลายบท เหน็ วา่ ตามพระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ

พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคสาม (๒) บัญญตั ิให้การมีไว้ในครอบครองซึง่ เมทแอมเฟตามีน

หรอื อนพุ นั ธแ์ อมเฟตามนี มปี รมิ าณคำนวณเปน็ สารบรสิ ทุ ธติ์ งั้ แต่ ๓๗๕ มลิ ลกิ รมั ขนึ้ ไป หรอื ม

ยาเสพตดิ ทม่ี สี ารดงั กลา่ วผสมอยจู่ ำนวน ๑๕ หนว่ ยการใช้ ขน้ึ ไป หรอื มนี ำ้ หนกั สทุ ธติ ง้ั แต่ ๑.๕

กรัม ขึ้นไป ให้ถือว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพว่า

กระทำความผิดตามฟ้อง จึงต้องฟังว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามท่ีโจทก์บรรยายฟ้อง เมื่อโจทก


324 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉยั คด


บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมโดยแยกเรียงกระทงความผิดไว

ชัดเจน โดยในคำฟอ้ งข้อแรกบรรยายว่า ตามวันเวลาเกิดเหตตุ ามฟอ้ ง จำเลยมเี มทแอมเฟตา-

มนี คำนวณเปน็ นำ้ หนกั สารบรสิ ทุ ธไิ์ ด้ ๔.๕๕๐ กรมั ซงึ่ เกนิ กวา่ ๓๗๕ มลิ ลกิ รมั ไวใ้ นครอบครอง

เพ่ือจำหน่าย อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แล้วจึงบรรยายในคำฟ้องข้อสองถึงความผิด

ฐานพยายามจำหนา่ ยเมทแอมเฟตามีนซ่งึ จำเลยเจตนาจำหนา่ ยเมทแอมเฟตามีนดังกลา่ วบาง

สว่ น จำนวน ๒๐๐ เมด็ ใหแ้ กส่ ายลบั ผลู้ อ่ ซอื้ โดยไดล้ งมอื กระทำความผดิ แลว้ แตก่ ระทำไปไม

ตลอด เพราะถูกเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งเห็นเหตุการณ์เข้าจับกุมเสียก่อน อันเป็นการฝ่าฝืนต่อ

กฎหมาย ดงั นนั้ การกระทำความผดิ ตามฟอ้ งขอ้ แรกจงึ เปน็ ความผดิ สำเรจ็ ฐานมเี มทแอมเฟตา-

มนี ไวใ้ นครอบครองเพอื่ จำหนา่ ยซงึ่ เกดิ ขนึ้ กอ่ นทจี่ ำเลยจะกระทำความผดิ ฐานพยายามจำหนา่ ย

เมทแอมเฟตามีน จำนวน ๒๐๐ เมด็ ใหแ้ กส่ ายลบั ผลู้ อ่ ซ้อื โดยการกระทำความผดิ ท้งั สองฐาน
มีเจตนาในการกระทำความผิดคนละอย่างแตกต่างกัน จึงต้องฟังว่าจำเลยมีความผิดฐานมี

เมทแอมเฟตามนี ไวใ้ นครอบครองเพอื่ จำหนา่ ยกระทงหนงึ่ และฐานพยายามจำหนา่ ยเมทแอม-

เฟตามนี อกี กระทงหนง่ึ ทศ่ี าลชน้ั ตน้ วนิ จิ ฉยั วา่ การกระทำของจำเลยเปน็ ความผดิ กรรมเดยี วผดิ

ต่อกฎหมายหลายบทและพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามจำหน่ายซึ่งลงโทษ

เทา่ กับความผิดสำเร็จเพยี งกระทงเดียวนั้น เปน็ การไม่ชอบ อุทธรณ์ของโจทก์ฟงั ข้นึ เม่ือปรับ

บทแลว้ เห็นสมควรแก้ไขโทษเสียใหมใ่ ห้เหมาะสมดว้ ย

พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำความผิดของจำเลยเป็นความผิดต่างกรรมต่าง

วาระ ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานมีเมทแอมเฟตามีน

ไวใ้ นครอบครองเพอื่ จำหนา่ ย จำคกุ ๔ ปี ๓ เดอื น ปรบั ๔๐๐,๐๐๐ บาท ฐานพยายามจำหนา่ ย

เมทแอมเฟตามนี จำคกุ ๒ ปี ๙ เดอื น และปรบั ๒๘๐,๐๐๐ บาท รวม ๒ กระทง จำคกุ ๖ ปี ๑๒

เดอื น และปรบั ๖๘๐,๐๐๐ บาท เมอื่ ลดโทษใหต้ ามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กงึ่ หนงึ่

ส่วนท่ี ๒ ตวั อยา่ งคำพิพากษาและคำสงั่ ในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
325
คดีอาญา


แลว้ คงจำคกุ ๓ ปี ๖ เดอื น และปรบั ๓๔๐,๐๐๐ บาท นอกจากทแี่ กใ้ หเ้ ปน็ ไปตามคำพพิ ากษา

ศาลชน้ั ต้น.

326 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉัยคดี


ตวั อย่างคดีความผดิ ต่อพระราชบญั ญัติว่าดว้ ยความผิด

อันเกดิ จากการใชเ้ ช็ค






คำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๕๐๗๐/๒๕๔๗


พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยท้ังสองได้เช่ากระเช้าไฟฟ้า

จากโจทก์เพื่อใช้ในงานก่อสร้าง และออกเช็คพิพาทท้ังส่ีฉบับมอบให้โจทก์ แต่เม่ือโจทก์นำไป

เรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งส่ีฉบับ คดีมีปัญหาต้อง

วินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในประการแรกว่า การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก

ชอบหรือไม่ ข้อนี้เห็นว่าโจทก์มีนายมานพ วัฒนสุภานนท์ เบิกความยืนยันการมอบอำนาจให้

ฟอ้ งคดขี องโจทก์ โดยมพี ยานเอกสารเปน็ หนงั สอื มอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.๑๖ มาแสดง

ประกอบข้ออ้างให้มีน้ำหนักน่าเช่ือถือ ซึ่งแม้จะปรากฏว่านายมานพได้ตอบคำถามค้านของ

ทนายจำเลยว่าตราประทับของโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.๑๖ และใน

สำเนาใบแจ้งหนี้ตามเอกสารหมาย จ.๑๙ ไม่เหมือนกัน และไม่ทราบว่าตราประทับอันใดเป็น

ตราประทับที่จดทะเบียนไว้ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงก็ปรากฏใน

สำนวนวา่ ตราประทบั ของโจทกใ์ นหนงั สอื มอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.๑๖ เปน็ ตราประทบั

เดียวกันกับตราประทับในหนังสือรับรองตามเอกสารหมาย จ.๑๕ ท่ีเป็นเอกสารยืนยันสถานะ

บุคคลของโจทก์ ประกอบกับนายมานพก็ได้เบิกความยืนยันว่าโจทก์โดยกรรมการผู้มีอำนาจ

มอบอำนาจให้นายมานพฟ้องคดแี ทนแล้ว กรณยี ่อมฟงั ได้ว่าการมอบอำนาจใหน้ ายมานพฟอ้ ง

คดีแทนของโจทก์ได้กระทำโดยชอบด้วยข้อบังคับของโจทก์ ดังนั้น นายมานพย่อมมีอำนาจ

ดำเนินคดีแทนโจทก์ ขอ้ ทจี่ ำเลยทั้งสองอา้ งในอทุ ธรณ์ว่า นายมานพไม่สามารถยืนยันเกีย่ วกบั

ตราประทบั ของโจทก์ จึงต้องฟังข้อเท็จจริงให้เป็นคณุ แกจ่ ำเลยทงั้ สองวา่ ตราประทบั ของโจทก์
ในสำเนาใบแจง้ หนตี้ ามเอกสารหมาย จ.๑๙ เปน็ ตราประทบั ทจ่ี ดทะเบยี นไวต้ อ่ นายทะเบยี นนนั้


Click to View FlipBook Version