สว่ นท่ี ๒ ตวั อย่างคำพิพากษาและคำสัง่ ในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 177
คดีแพง่
ผถู้ อื หนุ้ เอกสารหมาย จ.๗ หากการจดั สรรหนุ้ เพมิ่ ทนุ ของจำเลยที่ ๑ ตอ้ งกระทำโดยการเสนอ
ขายแกผ่ ถู้ อื หนุ้ ทมี่ อี ยกู่ อ่ นตามสว่ นของจำนวนหนุ้ ทต่ี นถอื อยตู่ ามขอ้ บงั คบั ขอ้ ๕๙ หมายความ
ถึงต้องเสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนมีมติพิเศษให้เพิ่มทุนดังที่โจทก์โต้เถียงในอุทธรณ์ การท
่ี
โจทกก์ บั ผถู้ อื หนุ้ อน่ื รว่ มกนั ลงมตพิ เิ ศษใหค้ ณะกรรมการของจำเลยท่ี ๑ จดั สรรขายหนุ้ แกผ่ รู้ ว่ ม
ทุนซ่ึงยังไม่ได้เข้าเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ในขณะท่ีลงมติพิเศษดังที่ได้ความย่อมเป็นการลงมติที่ฝ่าฝืน
ขอ้ บงั คบั ขอ้ ๕๙ อยใู่ นตวั แมต้ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๑๙๕ จะบญั ญตั
ิ
ให้สิทธิผู้ถือหุ้นร้องขอให้ศาลเพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบด้วยเหตุท่ีได้ลงมต
ิ
ฝ่าฝืนข้อบังคับของบริษัทได้ก็ตาม แต่การจัดการบริษัทจำกัดนั้น มาตรา ๑๑๔๔ บัญญัติว่า
บรรดาบริษทั จำกัด ใหม้ กี รรมการคนหนึง่ หรอื หลายคนดว้ ยกนั จัดการตามข้อบงั คับของบริษัท
และอย่ใู นความครอบงำของท่ปี ระชุมใหญแ่ ห่งผู้ถอื หนุ้ ทัง้ ปวง จำเลยท่ี ๒ ถึงที่ ๖ กบั พวกซึ่ง
เปน็ กรรมการของจำเลยท่ี ๑ จงึ ตอ้ งดำเนนิ การปรบั โครงสรา้ งหนแี้ ละเสนอขายหนุ้ เพมิ่ ทนุ ตาม
แนวทางทก่ี ำหนดไวโ้ ดยมตขิ องทป่ี ระชมุ ใหญผ่ ถู้ อื หนุ้ ของจำเลยท่ี ๑ ดงั กลา่ ว ดงั น้ี ขอ้ บงั คบั ท
่ี
กำหนดใหเ้ สนอขายหนุ้ เพม่ิ ทนุ แกผ่ ถู้ อื หนุ้ เดมิ กำหนดใหม้ ขี น้ึ เพอ่ื คมุ้ ครองสทิ ธขิ องผถู้ อื หนุ้ เดมิ
เนอื่ งจากการเพมิ่ ทนุ โดยการออกหนุ้ ใหมห่ รอื แปลงหนเี้ ปน็ ทนุ ยอ่ มมผี ลทำใหส้ ดั สว่ นของการถอื
หุ้นเปล่ียนแปลงไปจากเดิมอันอาจส่งผลต่อการออกเสียงในที่ประชุมใหญ่ซ่ึงทำให้อำนาจการ
บรหิ ารจดั การบรษิ ทั เปลย่ี นแปลงไปได้ เมอื่ โจทกร์ ว่ มกบั พวกซงึ่ เปน็ ผถู้ อื หนุ้ เดมิ ลงมตแิ ละมมี ต
ิ
พเิ ศษเหน็ ชอบ ทงั้ อนมุ ตั ใิ หค้ ณะกรรมการของจำเลยท่ี ๑ ดำเนนิ การจดั สรรขายหนุ้ แกผ่ ทู้ ไ่ี มไ่ ด
้
เปน็ ผถู้ อื หนุ้ ทมี่ อี ยกู่ อ่ นตามสว่ นของจำนวนหนุ้ ทตี่ นถอื อยอู่ นั เปน็ การลงมตทิ ฝ่ี า่ ฝนื ขอ้ บงั คบั ของ
จำเลยที่ ๑ ดังกล่าว การเช่นนี้ย่อมแสดงชัดซึ่งเจตนาของโจทก์กับพวกซ่ึงเป็นผู้ถือหุ้นเดิมว่า
ต่างไม่ประสงค์ท่ีจะได้รับความคุ้มครองสิทธิดังที่ข้อบังคับกำหนดไว้แล้ว เมื่อเจตนาของโจทก
์
เปน็ เชน่ นี้ โจทกย์ อ่ มไมอ่ าจกลบั ยกความขอ้ นขี้ น้ึ เปน็ เหตรุ อ้ งขอใหศ้ าลเพกิ ถอนการจดทะเบยี น
รบั ผซู้ อ้ื หนุ้ เพม่ิ ทนุ ตามบญั ชรี ายชอื่ ผถู้ อื หนุ้ ลงวนั ที่ ๓ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๓ และใหเ้ พกิ ถอนมตทิ ี
่
178 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉัยคดี
ประชุมใหญว่ สิ ามัญผู้ถือห้นุ คร้ังที่ ๑/๒๕๔๓ ทจี่ ัดสรรหุ้นเพ่ิมทนุ จำนวน ๑๘,๗๕๐,๐๐๐ หุน้
ซงึ่ คณะกรรมการของจำเลยที่ ๑ ปฏบิ ตั ไิ ปตามแนวทางทกี่ ำหนดโดยมตขิ องทป่ี ระชมุ ใหญผ่ ถู้ อื
หุ้นซึ่งโจทก์ร่วมลงมติไว้ด้วยได้อีก เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ข้อโต้เถียงอื่นในอุทธรณ์ของโจทก์ใน
ปญั หานจี้ งึ ไมจ่ ำตอ้ งวนิ จิ ฉยั เพราะไมท่ ำใหผ้ ลของคดเี ปลย่ี นแปลงไป ทศี่ าลชน้ั ตน้ พพิ ากษายก
ฟอ้ งโจทกโ์ ดยเหน็ วา่ การเพมิ่ ทนุ ดำเนนิ การโดยชอบดว้ ยขอ้ บงั คบั ขอ้ ๕๙ แลว้ นน้ั ศาลอทุ ธรณ
์
เหน็ พ้องดว้ ยในผล อุทธรณ์ข้อนข้ี องโจทกฟ์ ังไม่ขน้ึ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า กรณีมีเหตุเพิกถอนมติท
ี่
ประชมุ ใหญว่ สิ ามญั ผถู้ อื หนุ้ ครงั้ ที่ ๑/๒๕๔๓ ทแี่ ตง่ ตงั้ คณะกรรมการชดุ ใหมต่ ามฟอ้ งหรอื ไม่ ท
ี่
โจทกโ์ ตเ้ ถยี งในอทุ ธรณว์ า่ การแตง่ ตงั้ กรรมการชดุ ใหมไ่ มช่ อบ เพราะไมไ่ ดด้ ำเนนิ การใหเ้ ปน็ ไป
ตามข้อบงั คับ เอกสารหมาย จ.๘ ข้อ ๑๖ กรณีไมอ่ าจนำข้อบงั คับใหมซ่ ง่ึ ท่ีประชุมใหญผ่ ู้ถอื ห้นุ
เพิง่ ลงมติใหแ้ กไ้ ขในวาระท่ี ๓ ไปใช้แกก่ ารแตง่ ตง้ั คณะกรรมการชดุ ใหมใ่ นวาระท่ี ๕ ของการ
ประชุมคราวเดียวกันได้ เพราะยังไม่มีมติยืนยันการแก้ไขข้อบังคับเป็นมติพิเศษตามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๑๔๕ นน้ั ไดค้ วามตามสำเนารายงานการประชมุ วสิ ามญั ผ
ู้
ถือหุ้น คร้ังที่ ๑/๒๕๔๓ เอกสารหมาย จ.๑๕ ในวาระท่ี ๕ ว่า จำเลยท่ี ๒ ซ่งึ เปน็ ประธานที่
ประชุมเสนอให้พิจารณาแต่งต้ังคณะกรรมการชุดใหม่แทนคณะกรรมการชุดเก่าที่ลาออก ผู้รับ
มอบฉนั ทะโจทกเ์ สนอใหจ้ ำเลยท่ี ๓ และที่ ๔ เปน็ กรรมการ แตจ่ ำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ขอถอนตวั
ตอ่ มาทปี่ ระชมุ มมี ตเิ ปน็ เอกฉนั ทแ์ ตง่ ตง้ั คณะกรรมการชดุ ใหมซ่ งึ่ มจี ำเลยที่ ๒ ท่ี ๕ และท่ี ๖ กบั
พวกอกี ๘ คน รวม ๑๑ คน เปน็ กรรมการ กับได้ความตามสำเนารายงานการประชุมวิสามัญผ
ู้
ถอื หนุ้ ครัง้ ที่ ๒/๒๕๔๓ เอกสารหมาย จ.๑๘ ในวาระท่ี ๑ วา่ ผรู้ บั มอบฉนั ทะโจทก์ไม่รบั รอง
รายงานการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น คร้ังที่ ๑/๒๕๔๓ โดยปรากฏเหตุผลในความตอนต้นของ
หนา้ ๒ ของรายงานการประชมุ ดงั กลา่ ววา่ ผรู้ บั มอบฉนั ทะโจทกค์ ดั คา้ นวา่ การประชมุ ดงั กลา่ ว
ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะผูเ้ รียกประชุมมใิ ชก่ รรมการ และผู้รับมอบฉันทะโจทกย์ งั สอบถาม
ส่วนที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาและคำสง่ั ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
179
คดแี พง่
จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นประธานที่ประชุมว่าดำเนินการจดทะเบียนเรื่องการแต่งตั้งกรรมการแล้ว
หรือไม่ เนื่องจากตามข้อบังคับการเรียกประชุมต้องกระทำโดยคณะกรรมการเท่าน้ัน เห็นว่า
นอกจากขอ้ คดั คา้ นดงั กลา่ วแลว้ กรณไี มป่ รากฏจากพยานหลกั ฐานทโ่ี จทกน์ ำสบื ถงึ สาเหตอุ น่ื ท
่ี
ผู้รับมอบฉันทะโจทก์ไม่รับรองรายงานการประชุมคร้ังก่อนอีก แสดงว่าเหตุที่โจทก์ไม่รับรอง
รายงานการประชุมเป็นเพราะโจทก์เห็นว่าการเรียกประชุมไม่ชอบดังท่ีผู้รับมอบฉันทะ
โจทก์โต้แย้งคัดค้านเท่าน้ัน ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าโจทก์ร่วมกับผู้ถือหุ้นอื่นลงมติแต่งตั้ง
คณะกรรมการชุดใหมใ่ นการประชมุ วิสามัญผถู้ ือหนุ้ คร้งั ที่ ๑/๒๕๔๓ ดว้ ย ดังนี้ เร่อื งการแกไ้ ข
ข้อบังคับต้องกระทำโดยมติพิเศษดังที่บัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๑๔๕ ขณะที่โจทก์กับผู้ถือหุ้นมีมติแต่งต้ังคณะกรรมการชุดใหม่ ยังไม่มีการลงมติพิเศษให
้
แกไ้ ขขอ้ บงั คบั ขอ้ บงั คบั ใหมซ่ ง่ึ ทปี่ ระชมุ ผถู้ อื หนุ้ เพง่ิ ลงมตแิ กไ้ ขไปในการประชมุ คราวเดยี วกนั
ในวาระท่ี ๓ จงึ ยงั ไมอ่ าจนำไปใชบ้ งั คบั แกก่ ารแตง่ ตงั้ คณะกรรมการชดุ ใหมใ่ นวาระที่ ๕ ได้ การ
แตง่ ตง้ั คณะกรรมการดงั กลา่ วจงึ ตอ้ งเปน็ ไปตามขอ้ บงั คบั เอกสารหมาย จ.๘ ขอ้ ๑๖ ดงั ทโ่ี จทก
์
อ้าง อย่างไรกต็ าม แม้คณะกรรมการชุดใหม่ ๑๑ คน ซ่ึงที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นมมี ติแต่งต้ังจะ
ประกอบดว้ ยบคุ คลทมี่ สี ญั ชาตไิ ทยเพยี ง ๕ คน ดงั ทโี่ จทกอ์ า้ งซง่ึ ไมถ่ กู ตอ้ งตรงตามขอ้ บงั คบั ขอ้
๑๖ ที่กำหนดให้กรรมการไม่น้อยกว่าก่ึงหนึ่งของจำนวนกรรมการท้ังหมดต้องมีถ่ินท่ีอยู่ใน
ราชอาณาจกั ร และกรรมการไมน่ อ้ ยกวา่ สามในสขี่ องจำนวนกรรมการทงั้ หมดตอ้ งเปน็ บคุ คลผมู้ ี
สญั ชาตไิ ทยกต็ าม แตม่ ตทิ ปี่ ระชมุ ใหญท่ ฝ่ี า่ ฝนื ขอ้ บงั คบั ดงั กลา่ วหาตกเปน็ โมฆะไม่ กรณเี ปน็ แต
่
เพยี งกรรมการหรอื ผถู้ อื หนุ้ มสี ทิ ธริ อ้ งขอใหศ้ าลเพกิ ถอนมตขิ องทป่ี ระชมุ ใหญอ่ นั ผดิ ระเบยี บนนั้
ไดต้ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๑๙๕ เทา่ นัน้ ซึ่งกรณีเป็นดงั ทว่ี นิ ิจฉัยแล้ว
ว่า ผู้ถือหุ้นท่ีร่วมลงมติฝ่าฝืนข้อบังคับของบริษัทย่อมไม่อาจกลับยกความข้อท่ีตนร่วมลง
มติฝ่าฝืนข้อบังคับน้ันขึ้นเป็นเหตุร้องขอให้ศาลเพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบ
ตามท่ีบัญญัติในมาตรา ๑๑๙๕ ได้อีก เมื่อโจทก์ร่วมกับผู้ถือหุ้นอื่นลงมติเห็นชอบการแต่งตั้ง
180 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉัยคด
ี
คณะกรรมการชุดใหม่ดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงไม่อาจกลับยกความข้อนี้ขึ้นเป็นเหตุร้องขอให้ศาล
เพกิ ถอนมตทิ ป่ี ระชมุ ใหญว่ สิ ามญั ผถู้ อื หนุ้ ครงั้ ท่ี ๑/๒๕๔๓ ทแ่ี ตง่ ตง้ั คณะกรรมการนน้ั ได้ การซงึ่
กรรมการทต่ี ง้ั ขนึ้ โดยฝา่ ฝนื ขอ้ บงั คบั กระทำไปยอ่ มมผี ลสมบรู ณเ์ สมอื นดง่ั วา่ กรรมการผนู้ นั้ ไดร้ บั
การแต่งตั้งโดยถูกต้องตามท่ีบัญญัติในมาตรา ๑๑๖๖ เม่ือวินิจฉัยดังนี้แล้ว ข้อโต้เถียงอื่นใน
อุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหานี้จึงไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปล่ียนแปลงไป ท่ี
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยเห็นว่าการแต่งต้ังคณะกรรมการสอดคล้องกับข้อบังคับ
ฉบบั ใหม่นน้ั ศาลอุทธรณ์เหน็ พ้องด้วยในผล อุทธรณ์ขอ้ นขี้ องโจทกฟ์ ังไมข่ ้นึ เช่นกัน
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๓,๐๐๐ บาท แทนจำเลย
ทง้ั หก.
ส่วนท่ี ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำสงั่ ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 181
คดีแพ่ง
ตัวอยา่ งคดีบญั ชเี ดนิ สะพดั ยมื จำนอง
ค
ำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๒๔๕๖/๒๕๔๘
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียง
กันในช้ันนรี้ บั ฟังเป็นยตุ ิได้วา่ จำเลยทำสัญญากู้ยมื เงินจากโจทก์ ๒ ฉบบั ฉบับแรก เมอ่ื วนั ที่
๑๙ เมษายน ๒๕๓๙ จำนวนเงิน ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ฉบบั ที่ ๒ เมอื่ วันท่ี ๕ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๔๐
จำนวนเงนิ ๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยยนิ ยอมเสยี ดอกเบี้ยในอัตราสงู สดุ ตามประกาศของโจทก์ ซงึ่
ขณะทำสญั ญาเทา่ กบั รอ้ ยละ ๑๙ ตอ่ ปี และยนิ ยอมใหโ้ จทกเ์ ปลย่ี นแปลงอตั ราดอกเบย้ี ไดโ้ ดยไม
่
ตอ้ งแจง้ ใหจ้ ำเลยทราบลว่ งหนา้ เมอื่ วนั ท่ี ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๓๙ จำเลยไดเ้ ปดิ บญั ชเี ดนิ สะพดั
ประเภทเงนิ ฝากกระแสรายวันไวก้ ับโจทก์ และเมอื่ วนั ที่ ๖ กันยายน ๒๕๓๙ จำเลยทำสญั ญา
เบกิ เงนิ เกนิ บญั ชใี นวงเงนิ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตกลงชำระดอกเบย้ี ตามประกาศของโจทก์ ซงึ่ ขณะ
ทำสญั ญาเทา่ กบั อตั รารอ้ ยละ ๑๙ ตอ่ ปี โดยโจทกม์ สี ทิ ธนิ ำดอกเบย้ี ทค่ี า้ งชำระทบเขา้ กบั ตน้ เงนิ
และให้ถือเป็นเงินต้นเพื่อคำนวณดอกเบ้ียได้ ต่อมามีการเพ่ิมวงเงินเบิกเกินบัญชีเป็นจำนวน
๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยจำเลยไดจ้ ดทะเบยี นจำนองทดี่ นิ พรอ้ มสงิ่ ปลกู สรา้ งเปน็ ประกนั การชำระ
หนท้ี กุ ประเภทไว้ดว้ ย จำเลยผิดนัดไมช่ ำระหน้ใี ห้แก่โจทก์ตามสญั ญา คดมี ปี ญั หาตอ้ งวินิจฉัย
ตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การกำหนดอัตราดอกเบ้ียร้อยละ ๑๙ ต่อปี ในสัญญากู้ยืมเงินและ
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นโมฆะหรือไม่ และสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีส้ินสุดในวันที่ ๒๙
พฤษภาคม ๒๕๔๑ หรือไม
่
พเิ คราะหแ์ ลว้ เห็นวา่ ปัญหาเรื่องการกำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๙ ต่อปี ใน
สัญญากู้ยืมเงินและสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นโมฆะหรือไม่นั้น โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์
มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากลูกค้าในอัตราสูงสุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและ
พระราชบญั ญตั กิ ารธนาคารพาณชิ ย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๑๔ ขณะจำเลยทำสญั ญากยู้ มื เงนิ และ
182 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คด
ี
สญั ญาเบกิ เงนิ เกนิ บญั ชมี ปี ระกาศธนาคารแหง่ ประเทศไทยกำหนดใหธ้ นาคารพาณชิ ยถ์ อื ปฏบิ ตั
ิ
เกี่ยวกับดอกเบ้ียและส่วนลดเงินให้สินเช่ือตามเอกสารหมาย จ.๗ โจทก์จึงมีประกาศอัตรา
ดอกเบ้ียขั้นต่ำสำหรับลูกค้ารายใหญ่และลูกค้ารายย่อยช้ันดีตามเอกสารหมาย จ.๘ ซึ่งใน
เอกสารดงั กลา่ วกำหนดอตั ราดอกเบย้ี สนิ เชอ่ื สำหรบั ลกู คา้ รายยอ่ ยชนั้ ดที งั้ ประเภทเบกิ เงนิ เกนิ
บญั ชแี ละเงนิ กแู้ บบมรี ะยะเวลาในชว่ งทจี่ ำเลยทำสญั ญากบั โจทกเ์ พยี งอตั รารอ้ ยละ ๑๔.๗๕ ตอ่
ปี และ ๑๔.๕๐ ต่อปี เท่านั้น กรณีของจำเลยซึง่ อย่ใู นประเภทสินเช่ือสำหรบั ลูกค้ารายย่อยชน้ั
ดี โจทกจ์ ึงต้องคดิ ดอกเบย้ี ในอัตราดังกล่าว การท่โี จทก์คิดดอกเบีย้ ตามสัญญาทง้ั สองประเภท
อัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปี จึงเกินกว่าอัตราตามประกาศของโจทก์ เป็นการปฏิบัติฝ่าฝืน
ต่อพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๑๔ อันเป็นการต้องห้ามตาม
พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓ (ก) การกำหนดอัตรา
ดอกเบ้ียร้อยละ ๑๙ ต่อปี จึงตกเป็นโมฆะ แม้โจทก์จะอ้างมาในอุทธรณ์ว่า หากจำเลยไม่ผิด
สญั ญา โจทกจ์ ะไมเ่ รยี กเกบ็ ดอกเบย้ี ในอตั ราผดิ นดั คอื รอ้ ยละ ๑๙ ตอ่ ปี กไ็ มอ่ าจทำใหข้ อ้ ตกลง
เรอ่ื งดอกเบย้ี ทตี่ กเปน็ โมฆะกลายเปน็ ขอ้ ตกลงทชี่ อบดว้ ยกฎหมายไปได้ ทศี่ าลชนั้ ตน้ พพิ ากษา
วา่ การกำหนดอตั ราดอกเบย้ี รอ้ ยละ ๑๙ ตอ่ ปี ในสญั ญากยู้ มื เงนิ และสญั ญาเบกิ เงนิ เกนิ บญั ชเี ปน็
โมฆะและกำหนดอัตราดอกเบ้ียในระหว่างผิดนัดให้ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ชอบแล้ว อุทธรณ์ของ
โจทก์ขอ้ น้ีฟงั ไม่ขึน้
ส่วนปัญหาประการต่อมาท่ีว่า สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีส้ินสุดในวันที่ ๒๙
พฤษภาคม ๒๕๔๑ หรอื ไมน่ น้ั ขอ้ เทจ็ จรงิ รบั ฟงั ไดต้ ามคำพพิ ากษาศาลชน้ั ตน้ วา่ จำเลยไดถ้ อน
เงนิ ครงั้ สดุ ทา้ ยเม่อื วันท่ี ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๔๑ และนำเงนิ เขา้ ฝากเม่อื วันที่ ๒๙ พฤษภาคม
๒๕๔๑ ณ วนั ดงั กลา่ วมตี น้ เงนิ คา้ งชำระ ๑,๔๖๙,๓๗๒.๙๘ บาท เหน็ วา่ หลงั จากจำเลยถอนเงนิ
และฝากเงินครั้งสุดท้ายแล้ว ตามการ์ดบัญชีกระแสรายวันก็ไม่ปรากฏรายการเดินสะพัดทาง
บญั ชอี นั จะเปน็ หลกั ฐานวา่ โจทกย์ นิ ยอมใหจ้ ำเลยเบกิ เงนิ เกนิ บญั ชตี อ่ ไป ตอ้ งถอื วา่ คสู่ ญั ญาไมม่
ี
ส่วนท่ี ๒ ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 183
คดแี พ่ง
เจตนาจะเดนิ สะพดั ในบญั ชอี กี สญั ญาเบกิ เงนิ เกนิ บญั ชจี งึ สน้ิ สดุ ในวนั ดงั กลา่ ว หาไดส้ น้ิ สดุ ในวนั
ครบกำหนดในหนังสือบอกกลา่ วให้จำเลยชำระหน้ี คือ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๒ ดังท่ีโจทก์
อุทธรณไ์ ม่ ทีศ่ าลช้นั ตน้ พพิ ากษามาน้นั ชอบแล้ว อุทธรณ์ขอ้ นีข้ องโจทกฟ์ ังไมข่ น้ึ เช่นกัน
พพิ ากษายนื คา่ ฤชาธรรมเนยี มช้นั อุทธรณ์ให้เปน็ พับ.
184 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉัยคด
ี
ตัวอยา่ งคดปี กครอง (เรยี กคา่ ทดแทนท่ดี นิ )
๑
. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๕๖๕๙/๒๕๔๗
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองว่า การ
ที่ศาลช้ันต้นกำหนดเงินค่าทดแทนให้โจทก์สำหรับท่ีดินโฉนดเลขท่ี ๖๑๑๘ แขวงมีนบุร ี
(แสนแสบ) เขตมนี บรุ ี (แสนแสบ) กรงุ เทพมหานคร ซงึ่ ถกู เวนคนื เนอื้ ท่ี ๑๒๔.๕ ตารางวา เพม่ิ
อีกตารางวาละ ๑๕,๐๐๐ บาท เป็นตารางวาละ ๗๓,๕๐๐ บาท นั้น เป็นธรรมแก่โจทก์ผู้ถูก
เวนคืนและสังคมหรือไม่ ในเบ้ืองต้นปรากฏตามรูปจำลองแผนท่ีของโฉนดท่ีดินเลขท่ี ๖๑๑๘
ของโจทก์ เอกสารหมาย จ.๑ วา่ ทด่ี นิ แปลงนมี้ ลี กั ษณะยาวลกึ จากถนนรามคำแหงเปน็ เสน้ ตรง
ตดิ ลำธารสาธารณประโยชนด์ า้ นทา้ ยทด่ี นิ เมอื่ เวนคนื แลว้ โจทกย์ งั เหลอื ทด่ี นิ อยอู่ กี ๙ ไร่ ๒ งาน
๕๑.๕ ตารางวา นบั วา่ เปน็ จำนวนมาก และยงั เหลอื ความลกึ ของทดี่ นิ อยถู่ งึ ๔๒๙ เมตร ดงั ระบ
ุ
ไวใ้ นรายละเอยี ดเกย่ี วกบั การกำหนดคา่ ทดแทนทด่ี นิ ตามเอกสารหมาย จ.๗ โจทกเ์ บกิ ความวา่
ท่ีดินมีหน้ากว้างประมาณ ๓๓.๕ เมตร ดา้ นหนา้ ของที่ดินรมิ ถนนรามคำแหง เนื้อที่ ๑ ไร่ ให้
ผู้อ่ืนเช่าขายปุ๋ย ต้นไม้ และอุปกรณ์การเกษตร ส่วนท่ีดินด้านในให้ผู้อื่นเช่าปลูกหญ้า นาย
บญั ญตั ิ อยุ ยามวงศ์ หวั หนา้ ฝา่ ยจดั กรรมสทิ ธิ์ ๔ ในสงั กดั จำเลยที่ ๑ เปน็ พยานโจทกเ์ บกิ ความ
วา่ จำเลยท่ี ๑ มอบใหบ้ รษิ ทั เอเจนซฟี อรเ์ รยี ลเอสเตทแอฟแฟรส์ จำกดั และบรษิ ทั ไทยอนิ เตอร-์
เนช่ันแนลแมสแอพไพรซอล จำกัด เป็นบริษัทท่ีปรึกษาการสำรวจและประเมินราคาท่ีดินเพ่ือ
กำหนดเปน็ เงนิ คา่ ทดแทนสำหรบั ทด่ี นิ ทถ่ี กู เวนคนื ทด่ี นิ ซง่ึ กำหนดเงนิ คา่ ทดแทน ตารางวาละ
๑๐๐,๐๐๐ บาท ขึ้นไป มีที่ดินว่างเปล่าซ่ึงอยู่ด้านหน้าตึกแถวด้วย ถือเป็นที่ดินประเภทการ
พาณชิ ยต์ ามรายละเอยี ดเกย่ี วกบั การกำหนดคา่ ทดแทนทดี่ นิ เอกสารหมาย จ.๗ แผน่ ที่ ๒ ระบ
ุ
ว่าท่ีดินของโจทก์เป็นท่ีดินพาณิชยกรรม มีสิ่งปลูกสร้างเป็นอาคารช้ันเดียว ขายไม้ดอกไม้
ประดบั แต่นายบญั ญตั ิเบิกความตอบคำถามค้านวา่ ที่ดินพาณชิ ยกรรมมคี ำนิยามปรากฏตาม
สว่ นท่ี ๒ ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
185
คดแี พ่ง
รายงานการวิจัยว่า หมายถึง ท่ีดินซึ่งเป็นตึกแถว คอนโดมิเนียม หรือสถานีจำหน่ายน้ำมัน
เพราะที่ดินประเภทน้ีมีผลตอบแทนกลับมา ทำให้มีมูลค่าสูงกว่าปกติ คือ สูงกว่าที่อยู่อาศัย
ธรรมดา ทดี่ นิ ของโจทก์มรี าคาประเมนิ ในการเสียภาษบี ำรุงท้องท่ี ไรล่ ะ ๘๐,๐๐๐ บาท และม
ี
ราคาประเมนิ ทนุ ทรพั ยเ์ พอ่ื เรยี กเกบ็ คา่ ธรรมเนยี มในการจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนติ กิ รรมของกรม
ทด่ี นิ ในขณะเวนคนื ตารางวาละ ๑๘,๐๐๐ บาท นายธวชั สถริ เศรษฐ์ นกั วชิ าการทด่ี นิ ระดบั ๖
สำนกั งานทด่ี นิ กรงุ เทพมหานคร สาขามนี บรุ ี ซง่ึ เปน็ พยานโจทก์ เบกิ ความวา่ ถนนรามคำแหง
กอ่ นถูกเวนคนื เปน็ ถนนลาดยาง มี ๒ ช่องทางจราจร ๑ นายสมาน ชันตะ เจ้าหน้าทีจ่ ดั หาท่ดี ิน
ระดับ ๗ กองรังวัดและจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน สำนักการโยธา ในสังกัดจำเลยที่ ๑ ซ่ึงเป็นพยาน
โจทก์ เบกิ ความตอบคำถามคา้ นวา่ ถนนเดมิ ไมม่ ที างเทา้ และทอ่ ระบายนำ้ เมอื่ เวนคนื เพอื่ ขยาย
ถนน จึงมีสาธารณูปโภคครบถ้วนซ่ึงเป็นประโยชน์แก่ที่ดินท่ีถูกเวนคืนด้วย การหาข้อมูลจาก
ราคาซอ้ื ขายของทด่ี นิ ตามทเ่ี ปน็ อยใู่ นทอ้ งตลาดกระทำไดย้ าก แสดงวา่ ไมม่ ขี อ้ มลู เกย่ี วกบั ราคา
ซอ้ื ขายทด่ี นิ นำมาเปรยี บเทยี บเพอ่ื กำหนดเปน็ เงนิ คา่ ทดแทนไดช้ ดั เจนนนั่ เอง ศาลอทุ ธรณเ์ หน็
วา่ ทดี่ นิ ของโจทกท์ ถี่ กู เวนคนื ระยะลกึ ๑๕ เมตร จากแนวถนนรามคำแหงตลอดความกวา้ งของ
หนา้ ทด่ี นิ เชน่ เดยี วกบั ทด่ี นิ แปลงอนื่ ๆ นน้ั ถมดนิ ไวเ้ ฉพาะเนอื้ ทดี่ า้ นหนา้ เพยี ง ๑ ไร่ แลว้ ปลกู
สร้างเป็นอาคารชั้นเดียวเพ่ือขายต้นไม้และอุปกรณ์การเกษตร แม้อาคารยังมีสภาพดี ผู้เช่าก
็
ต้องร้ือถอนออกไปเม่ือหมดสัญญาเช่าดังที่โจทก์เบิกความมา จึงมีลักษณะเป็นการประกอบ
กิจการช่ัวคราว ไม่ถาวร ท่ีดินของโจทก์ไม่มีการปลูกเป็นอาคารถาวรจำพวกตึกแถว
คอนโดมเิ นยี ม หรอื สถานจี ำหนา่ ยนำ้ มนั จงึ ไมใ่ ชท่ ด่ี นิ พาณชิ ยกรรมดงั คำนยิ ามในรายงานการ
วจิ ยั เรอื่ งราคาทด่ี นิ ทโ่ี จทกอ์ า้ งวา่ ทดี่ นิ ใกลเ้ คยี งกนั ของนายวริ ฬุ ห์ ขจรเกยี รตพิ าณชิ ย์ กบั พวก
ไดร้ บั เงนิ คา่ ทดแทน ตารางวาละ ๑๑๖,๐๐๐ บาท กบั ทด่ี นิ ของนางประไพ แสวงผล ไดร้ บั เงนิ คา่
๑ มาตรา ๔ (๔) แหง่ พระราชบัญญตั จิ ราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ นิยามคำวา่ “ช่องเดินรถ” ไว้ว่า หมายความ
ว่า ทางเดินรถที่จัดแบ่งเป็นช่องสำหรับการเดินรถ โดยทำเครื่องหมายเป็นเส้นหรือแนวแบ่งเป็นช่องไว้ ดังนั้น
จะใช้วา่ “ช่องเดินรถ” กไ็ ด้.
186 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉัยคดี
ทดแทน ตารางวาละ ๑๑๕,๕๐๐ บาท ต่างกบั ของโจทกซ์ ่งึ คณะกรรมการกำหนดราคาเบ้ืองต้น
กำหนดให้เพียงตารางวาละ ๕๘,๕๐๐ บาท โจทก์เบิกความว่า ทด่ี ินของนายวริ ฬุ หม์ ีการปลกู
สรา้ งอาคารไว้ สว่ นของนางประไพเปดิ เปน็ รา้ นคารแ์ คร์ คอื บรกิ ารลา้ งรถในทด่ี นิ กไ็ มไ่ ดค้ วาม
แน่ชัดว่าเป็นอาคารประเภทใด เมื่อย้อนไปพิจารณาแผนผังแสดงที่ต้ังที่ดินของโจทก์ตาม
เอกสารหมาย จ.๒ แล้ว ที่ดินของนายวิรุฬห์กับพวกและท่ีดินของนางประไพมีความยาวน้อย
กว่าความยาวของที่ดินของโจทก์หลายเท่าตัว แม้ถูกเวนคืนท่ีดินระยะลึก ๑๕ เมตร ห่างจาก
แนวถนนรามคำแหงเดมิ เชน่ เดยี วกบั ทด่ี นิ ของโจทก์ ถอื วา่ นายวริ ฬุ หก์ บั พวกและนางประไพถกู
เวนคนื ทดี่ นิ ในสดั สว่ นทม่ี าก ยอ่ มไดร้ บั ประโยชนจ์ ากการเวนคนื เพอ่ื ขยายถนนรามคำแหงนอ้ ย
กว่าโจทก์ซึ่งยังเหลือท่ีดินอยู่อีกมากซึ่งมีความลึกถึง ๔๒๙ เมตร และมีความกว้างของที่ดิน
๓๓.๕ เมตร ซงึ่ พอทจี่ ะทำถนนภายในเขา้ ไปใชส้ อยทด่ี นิ สว่ นทอ่ี ยขู่ า้ งในได้ ถนนรามคำแหงซง่ึ
ขยายใหญข่ นึ้ มี ๖ ชอ่ งทางจราจร และมสี าธารณปู โภคครบถว้ น ยอ่ มมผี ลทำใหท้ ำเลนน้ั มคี วาม
เจรญิ เปน็ เหตใุ หร้ าคาทดี่ นิ ของโจทกท์ เี่ หลอื อยมู่ รี าคาสงู ขน้ึ พระราชบญั ญตั วิ า่ ดว้ ยการเวนคนื
อสังหารมิ ทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา ๒๑ วรรคสอง มสี าระสำคัญวา่ ถ้าการงานหรอื กจิ การ
อย่างใดท่ที ำไปในการเวนคนื ได้กระทำให้อสังหาริมทรัพยท์ ี่เหลืออยู่มรี าคาสงู ข้นึ ใหเ้ อาราคาท่ี
สูงขน้ึ นั้นหกั ออกจากเงินคา่ ทดแทน ฯลฯ เมือ่ ท่ดี นิ ของโจทก์ทเ่ี หลอื จากการเวนคืนย่อมมรี าคา
เพม่ิ ขึ้นจากการขยายถนนรามคำแหงเช่นน้ี การท่ีบริษัททปี่ รึกษาทัง้ สองบริษัททำรายงานการ
กำหนดเงินค่าทดแทนให้โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.๗ ว่าเงินค่าทดแทนไม่เพ่ิมและลดตาม
พระราชบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว มาตรา ๒๑ วรรคสี่ ศาลอทุ ธรณจ์ งึ ไมเ่ หน็ พอ้ งดว้ ย และทเี่ อกสารนรี้ ะบ
ุ
วา่ เมอ่ื คำนงึ ถงึ หลกั เกณฑก์ ารกำหนดเงนิ คา่ ทดแทนตามมาตรา ๒๑ วรรคหนง่ึ ทงั้ หา้ อนมุ าตรา
แลว้ เหน็ ควรกำหนดเงนิ คา่ ทดแทนสำหรบั ทดี่ นิ ใหโ้ จทก์ ตารางวาละ ๕๘,๕๐๐ บาท นนั้ เปน็
การประเมนิ ราคาในวนั ท่ี ๒ ธนั วาคม ๒๕๓๙ หลงั จากพระราชกฤษฎกี าฯ มผี ลใชบ้ งั คบั เกอื บ ๒
ปี จงึ เปน็ คณุ แกโ่ จทกม์ ากขน้ึ ไปอกี ขอ้ มลู ราคาทอ้ งตลาดของทด่ี นิ บรเิ วณใกลเ้ คยี งทโี่ จทกน์ ำสบื
ส่วนท่ี ๒ ตวั อยา่ งคำพิพากษาและคำส่งั ในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 187
คดแี พ่ง
มาตามเอกสารหมาย จ.๑๑ เป็นการประเมินราคาหลังจากพระราชกฤษฎีกาฯ มีผลใช้บังคับ
เป็นราคาเสนอขายท่ีดินพร้อมสิ่งปลกู สร้างซ่ึงจัดระบบสาธารณูปโภคเสร็จแล้ว ยังไม่มผี ู้ซอ้ื จงึ
ไมใ่ ชร่ าคาทซ่ี อ้ื ขายกนั จรงิ เอกสารหมาย จ.๑๒ เปน็ รายละเอยี ดของการกำหนดเงนิ คา่ ทดแทน
สำหรับทดี่ นิ ซ่งึ มีอาคารสำนกั งาน ๒ ชนั้ อาคารพาณิชย์ ๒ ชัน้ ถงึ ๔.๕ ชัน้ สถานีจำหน่าย
นำ้ มนั และอาคารสงู ๗ ชน้ั ตงั้ อยู่ จงึ แตกตา่ งจากการใชป้ ระโยชนใ์ นทด่ี นิ ของโจทกซ์ งึ่ มอี าคาร
ไม้ชั้นเดียวปลูกสร้างอยู่ ส่วนสัญญาการจ่ายเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ท่ีถูกเวนคืนแก่
เจ้าของท่ีดินรายอื่น ๆ ซ่ึงอ้างว่าเป็นเงินค่าทดแทนสูงกว่าที่โจทก์ได้รับนั้นไม่มีรายละเอียด
ชดั เจนวา่ ทด่ี นิ มคี วามลกึ เทา่ ใด และประกอบกจิ การใด ๆ บา้ งในทดี่ นิ แตล่ ะแปลง บางรายทดี่ นิ
ถกู เวนคนื จากรปู ทดี่ นิ สเี่ หลยี่ มผนื ผา้ กลายเปน็ รปู สเ่ี หลยี่ มคางหมซู งึ่ สมควรไดร้ บั เงนิ คา่ ทดแทน
มากกว่า เพราะราคาที่ดินลดลง และบางรายถูกเวนคืนที่ดิน ๒๑ ตารางวา คงเหลือเพียง ๒
ตารางวา จึงมีข้อน่าเห็นใจซ่ึงสมควรได้รับเงินค่าทดแทนในอัตราท่ีสูง โจทก์นำสืบถึงราคา
ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดตามที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาฯ ซึ่งเป็น
หลักเกณฑท์ ี่เป็นคณุ แกโ่ จทก์มากท่ีสุดในการกำหนดเงนิ คา่ ทดแทนตามมาตรา ๒๑ (๑) ไมไ่ ด ้
โดยคณะกรรมการกำหนดราคาเบอ้ื งตน้ มเี หตผุ ลอนั ควรทจี่ ะกำหนดเงนิ คา่ ทดแทนสำหรบั ทด่ี นิ
ของโจทก์ท่ถี ูกเวนคืนตำ่ กวา่ ผูถ้ ูกเวนคนื รายอนื่ ตามทโ่ี จทกน์ ำสบื ดังเหตุผลทไี่ ดว้ นิ จิ ฉัยมาแล้ว
เปน็ ลำดับ การกำหนดเงนิ ค่าทดแทนใหโ้ จทก์ในอตั ราตารางวาละ ๕๘,๕๐๐ บาท ซงึ่ ทีด่ ินสว่ น
ใหญ่ท่ีถูกเวนคืนถึงร้อยละ ๕๕ มีราคาซ้ือขายกันในช่วงราคาตารางวาละ ๔๐,๐๐๐ บาท ถึง
๘๐,๐๐๐ บาท โดยคำนึงถึงการพัฒนาใช้ประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ขณะเวนคืนด้วยตาม
รายงานการประชุม เอกสารหมาย จ.๑๐ จึงเป็นธรรมแก่โจทก์ผู้ถูกเวนคืนแล้ว เพราะถือได้
ว่าที่ดินของโจทก์มีการพัฒนาน้อยกว่าและสภาพท่ีดินด้อยกว่าท่ีดินแปลงอื่น ๆ ที่ศาลช้ันต้น
เพม่ิ เงนิ คา่ ทดแทนใหโ้ จทกอ์ กี ตารางวาละ ๑๕,๐๐๐ บาท เปน็ ตารางวาละ ๗๓,๕๐๐ บาท จงึ สงู
เกนิ ไป ศาลอทุ ธรณ์ไมเ่ ห็นพ้องด้วย โจทก์ไดร้ ับเงินค่าทดแทนสำหรับทีด่ นิ ทถ่ี ูกเวนคนื ไปแล้ว
188 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉัยคด
ี
เพยี ง ๘๐ ตารางวา ตามสารบัญจดทะเบียนทา้ ยโฉนดที่ดิน เอกสารหมาย จ.๑ ปรากฏวา่ ทด่ี ิน
ถูกเวนคืน ๑ งาน ๒๔.๕ ตารางวา โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนเพิ่มอีก ๒,๖๐๓,๒๕๐
บาท พรอ้ มดอกเบ้ียตามกฎหมาย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๒,๖๐๓,๒๕๐ บาท แก
่
โจทกพ์ รอ้ มดอกเบย้ี ในอตั ราสงู สดุ ของดอกเบยี้ เงนิ ฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสนิ
แตไ่ มเ่ กินอัตรารอ้ ยละ ๙ ต่อปี นบั แตว่ นั ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
นอกจากทแ่ี ก้ให้เป็นไปตามคำพพิ ากษาศาลชนั้ ตน้ ค่าฤชาธรรมเนยี มช้นั อทุ ธรณ์ให้เป็นพบั .
๒. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๒๔๐๒/๒๕๕๑
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า
โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขท่ี ๔๗๙, ๔๘๐,
๗๕๐, ๗๕๑ และ ๖๑๒ ตำบลแก่งผกั กูด อำเภอทา่ หลวง จงั หวดั ลพบุรี เน้ือท่ี ๒๐๐ ตารางวา
๒๓๐ ตารางวา ๖๐๐ ตารางวา ๖๐๐ ตารางวา และ ๙๐๐ ตารางวา ตามลำดับ ทดี่ ินของโจทก
์
ดงั กลา่ วถกู เวนคนื ตามพระราชกฤษฎกี ากำหนดเขตทดี่ นิ ในบรเิ วณทท่ี จี่ ะเวนคนื ในทอ้ งทตี่ ำบล
บัวชุม ตำบลลำนารายณ์ ตำบลท่ามะนาว ตำบลท่าดินดำ ตำบลชัยบาดาล ตำบลม่วงค่อม
ตำบลมะกอกหวาน อำเภอชยั บาดาล ตำบลท่าหลวง ตำบลแก่งผักกดู อำเภอทา่ หลวง ตำบล
โคกสลงุ ตำบลมะนาวหวาน ตำบลนำ้ สดุ ตำบลหนองบวั อำเภอพฒั นานคิ ม จงั หวดั ลพบรุ ี และ
ตำบลวงั มว่ ง ตำบลคำพราน อำเภอวงั มว่ ง จงั หวดั สระบรุ ี พ.ศ. ๒๕๔๐ เพอ่ื สรา้ งเขอ่ื นเกบ็ กกั นำ้
และอาคารประกอบตามโครงการพฒั นาลมุ่ นำ้ ปา่ สกั อนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำริ ซง่ึ มผี ลใชบ้ งั คบั
ต้งั แตว่ ันท่ี ๒ ธันวาคม ๒๕๔๐ คณะกรรมการกำหนดราคาเบ้ืองตน้ ฯ กำหนดเงนิ คา่ ทดแทน
ที่ดินให้ตารางวาละ ๓๗๕ บาท เป็นเงินค่าทดแทนที่ดิน จำนวน ๙๔๘,๗๕๐ บาท และค่า
ส่วนท่ี ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำสั่งในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
189
คดีแพ่ง
ทดแทนอย่างอ่ืน จำนวน ๑๑,๕๕๐ บาท รวมเปน็ เงนิ คา่ ทดแทน จำนวน ๙๖๐,๓๐๐ บาท โดย
ผู้ซ่ึงได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าท่ีเวนคืนอสังหาริมทรัพย์นำเงินค่าทดแทนดังกล่าวไปฝากให้
โจทกไ์ วท้ ธ่ี นาคารออมสนิ สาขาลำนารายณ์ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๘ กนั ยายน ๒๕๔๑ ตามสำเนาหนงั สอื
แจง้ การวางเงนิ คา่ ทดแทนทรพั ยส์ นิ และสำเนาสมดุ ฝากเงนิ เอกสารหมาย ล.๒๕ โจทกไ์ ดร้ บั เงนิ
ค่าทดแทนดังกล่าวแล้ว แต่โจทก์ไม่พอใจเงินค่าทดแทนดังกล่าว โจทก์อุทธรณ์ขอเงินค่า
ทดแทนที่ดินเพิ่มต่อจำเลยท่ี ๑ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์โดยความเห็นชอบของจำเลย
ที่ ๑ วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์โดยเพิ่มเงินค่าทดแทนท่ีดินให้โจทก์ แต่ต่อมาคณะกรรมการ
พจิ ารณาอทุ ธรณโ์ ดยความเหน็ ชอบของจำเลยท่ี ๑ มคี ำสงั่ เพกิ ถอนคำวนิ จิ ฉยั เดมิ โดยยนื ตามท
่ี
คณะกรรมการกำหนดราคาเบอื้ งตน้ ฯ กำหนดให้ คดมี ปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องโจทก
์
และจำเลยทง้ั สองประการแรกวา่ โจทกค์ วรไดร้ บั เงนิ คา่ ทดแทนทดี่ นิ เพม่ิ ขน้ึ จากทคี่ ณะกรรมการ
กำหนดราคาเบื้องต้นฯ กำหนดให้หรือไม่ เพียงใด โดยโจทก์นำสืบและอุทธรณ์ว่า ท่ีดินของ
โจทกเ์ ปน็ ทดี่ นิ จดั สรรในโครงการปา่ สกั ปารค์ แอนด์ เฮลท์ รสี อรท์ โจทกซ์ อื้ มาในราคาตารางวา
ละ ๓,๐๐๐ บาท โจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินดังกล่าวเป็นเงินถึง ๕,๓๑๐,๐๐๐ บาท ซ่ึงเงิน
จำนองย่อมต่ำกว่าราคาของท่ีดิน โจทก์ขอเงินค่าทดแทนท่ีดินเพียงตารางวาละ ๓,๐๐๐ บาท
ตามท่โี จทก์ซ้ือมา สว่ นจำเลยทั้งสองนำสืบและอทุ ธรณ์ว่า ที่ดนิ จัดสรรในโครงการปา่ สัก ปารค์
แอนด์ เฮลท ์ รสี อรท์ ยงั พฒั นาไมแ่ ลว้ เสรจ็ โดยสว่ นทไ่ี ดด้ ำเนนิ การไปแลว้ คงมแี ตเ่ พยี งทำถนน
หินคลุกภายในโครงการ ปักเสาไฟฟ้าโดยยังไม่ได้พาดสายไฟ ปรับพื้นดินและคันดินกั้นน้ำ
เทา่ นน้ั ทงั้ โจทกย์ งั ไมไ่ ดใ้ ชป้ ระโยชนใ์ นทด่ี นิ ทด่ี นิ บรเิ วณดงั กลา่ วฝา่ ยจำเลยโดยจำเลยที่ ๒ ซอ้ื
จากราษฎรโดยทวั่ ไปในราคาเทา่ กบั ราคาประเมนิ ทนุ ทรพั ยเ์ พอื่ เรยี กเกบ็ คา่ ธรรมเนยี มในการจด
ทะเบยี นสทิ ธแิ ละนติ ิกรรมตามสำเนาหนังสอื สัญญาขาย เอกสารหมาย ล.๑๓ ทีค่ ณะกรรมการ
กำหนดราคาเบื้องตน้ ฯ กำหนดเงนิ คา่ ทดแทนทีด่ ินให้โจทกโ์ ดยถือตามราคาประเมินทุนทรพั ย์
เพอ่ื เรยี กเกบ็ คา่ ธรรมเนยี มในการจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนติ กิ รรมซง่ึ ใชบ้ งั คบั ระหวา่ งปี ๒๕๓๙ ถงึ
190 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉยั คดี
ปี ๒๕๔๒ สำหรบั ท่ดี นิ ประเภทอยูอ่ าศัยติดถนนซอย ระยะ ๔๐ เมตร ตารางวาละ ๓๗๕ บาท
หรือไร่ละ ๑๕๐,๐๐๐ บาท นั้น จึงเหมาะสมแล้ว เห็นว่า การกำหนดเงินค่าทดแทนท่ีดินของ
โจทกท์ จ่ี ะตอ้ งเวนคนื ตามพระราชกฤษฎกี าฯ ดงั กลา่ วนน้ั ไมป่ รากฏวา่ มพี ระราชบญั ญตั เิ วนคนื
อสังหาริมทรัพย์ฉบับใดบัญญัติหลักเกณฑ์ในการกำหนดเงินค่าทดแทนท่ีดินไว้เป็นพิเศษ
โดยเฉพาะ ดังนั้น จึงต้องอาศัยหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหา-
ริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา ๒๑ วรรคหน่ึง (๑) ถึง (๕) ที่ให้คำนึงถึงราคาท่ีซื้อขายกัน
ตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราช
กฤษฎกี าฯ ซงึ่ ในคดนี ี้ คอื วนั ท่ี ๒ ธนั วาคม ๒๕๔๐ ราคาของอสงั หารมิ ทรพั ยท์ ม่ี กี ารตรี าคาไว
้
เพอื่ ประโยชนแ์ กก่ ารเสยี ภาษบี ำรงุ ทอ้ งที่ ราคาประเมนิ ทนุ ทรพั ยเ์ พอ่ื เรยี กเกบ็ คา่ ธรรมเนยี มใน
การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม สภาพและท่ีต้ังของอสังหาริมทรัพย์น้ัน รวมท้ังเหตุและ
วัตถุประสงค์ของการเวนคืน ทั้งน้ี เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนและสังคม การ
พิจารณาว่าโจทก์ควรได้รับเงินค่าทดแทนที่ดินจำนวนเท่าใด จึงต้องอาศัยหลักเกณฑ์ตาม
กฎหมายดังกล่าว มิใช่ศาลจะกำหนดอย่างไรก็ได้ โดยต้องคำนึงถึงหลักเกณฑ์ทุกข้อประกอบ
กนั จะคำนงึ ถงึ หลกั เกณฑข์ อ้ ใดขอ้ หนงึ่ เพยี งขอ้ เดยี วไมไ่ ด้ สำหรบั หลกั เกณฑข์ อ้ ทว่ี า่ ใหค้ ำนงึ ถงึ
ราคาทซี่ อื้ ขายกนั ตามปกตใิ นทอ้ งตลาดของอสงั หารมิ ทรพั ยท์ จ่ี ะตอ้ งเวนคนื ตามทเี่ ปน็ อยใู่ นวนั
ใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาฯ นั้น ก็มิได้มีความหมายว่าเป็นจำนวนเงินท่ีมีลักษณะเหมือนหรือ
ตรงกับราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดระหว่างเอกชนด้วยกันซ่ึงผันแปรไปตามเง่ือนไข
ความต้องการใช้ประโยชน์และผลประโยชน์ทางกำไร โดยมีพ้ืนฐานการตกลงราคาท่ีเกิดจาก
ความสมัครใจเป็นสำคัญ ย่อมเป็นมูลเหตุจูงใจที่มีเนื้อหาแตกต่างกับเหตุและวัตถุประสงค์ของ
การเวนคืนซ่ึงเกิดจากการบังคับตามลักษณะกฎหมายมหาชนโดยสิ้นเชิง ในข้อน้ีโจทก์จึงม
ี
หนา้ ทใ่ี นการนำสบื พสิ จู นใ์ หเ้ หน็ ถงึ ราคาดงั กลา่ ว แตโ่ จทกม์ ไิ ดม้ พี ยานหลกั ฐานใดมาสบื ใหเ้ หน็
ถงึ ราคาซอ้ื ขายกนั ตามปกตใิ นทอ้ งตลาดทเ่ี ปน็ อยใู่ นวนั ใชบ้ งั คบั พระราชกฤษฎกี าฯ วา่ ทด่ี นิ ของ
ส่วนท่ี ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำสง่ั ในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
191
คดแี พง่
โจทก์หรือที่ดินซึ่งมีสภาพเช่นเดียวกันกับท่ีดินของโจทก์มีราคาเท่าใด ท่ีโจทก์อ้างว่าโจทก์ซื้อ
ที่ดินมาในราคาตารางวาละ ๓,๐๐๐ บาท หากเป็นจริง ราคาดังกล่าวก็ย่อมรวมถึงการพัฒนา
เสรจ็ สมบรู ณต์ ามทบี่ รษิ ทั สวนปา่ สกั จำกดั ไดก้ ำหนดไวใ้ นโครงการจดั สรรตามแผน่ พบั โฆษณา
เอกสารหมาย จ.๑ ซงึ่ เจา้ ของโครงการยอ่ มบวกผลกำไรจากการดำเนนิ การเอาไวด้ ว้ ย โดยตอ้ ง
ดำเนนิ การใหม้ สี าธารณปู โภคครบถว้ น เชน่ ถนน ไฟฟา้ นำ้ ประปา ทอ่ ระบายนำ้ ศนู ยส์ ขุ ภาพ
คลบั เฮาส์ สโมสรกฬี า สถานปฏบิ ตั ธิ รรม สวนสาธารณะ สวนไมด้ อกไมป้ ระดบั โรงเรยี น สนาม
กอล์ฟ ฯลฯ ทั้งเปน็ ราคาท่รี วมถึงคา่ จ้างนายประชมุ ศิริธรรมวฒั น์ ในการขุด ถม ถางพงไม้
ล้อมรั้ว และปลูกต้นไม้พร้อมดูแลเป็นเวลา ๔ ปี ด้วย แต่ข้อเท็จจริงปรากฏในทางนำสืบของ
โจทกแ์ ละจำเลยทงั้ สองวา่ เมอื่ ปี ๒๕๓๘ ไดเ้ กดิ อทุ กภยั นำ้ ทว่ มใหญ่ ทำใหเ้ กดิ ความเสยี หายแก
่
ตน้ ไมท้ ง้ั หมด รวมทง้ั ของโจทกด์ ว้ ย หลงั จากนนั้ โจทกก์ ไ็ มไ่ ดพ้ ฒั นาปลกู ตน้ ไมห้ รอื ทำประโยชน
์
ในท่ีดินแต่อย่างใด ส่วนบริษัทสวนป่าสัก จำกัด ซึ่งไม่ได้มีการจดทะเบียนเป็นผู้จัดสรรท่ีดินก็
หยดุ โครงการ ไมไ่ ดด้ ำเนนิ การพฒั นาปรบั ปรงุ อยา่ งจรงิ จงั ตามทกี่ ำหนดไวใ้ นโครงการ สว่ นทไี่ ด
้
ดำเนินการไปแล้วคงมีแต่เพียงทำถนนหินคลุกภายในโครงการ ปักเสาไฟฟ้าโดยยังไม่ได้พาด
สายไฟ ปรับพ้ืนดินและคันดินก้ันน้ำเท่าน้ัน สำหรับท่ีดินของโจทก์ขณะถูกเวนคืนปรากฏตาม
ภาพถา่ ย หมาย ล.๒๒ มสี ภาพเปน็ ทรี่ กรา้ ง ไมม่ สี งิ่ ปลกู สรา้ ง ไมม่ ไี มผ้ ล และยงั ไมม่ กี ารลอ้ มรว้ั
ตามทก่ี ำหนดไวใ้ นสญั ญาจา้ งปรบั ปรงุ พน้ื ดนิ และปลกู ตน้ ไม้ อนั แสดงใหเ้ หน็ วา่ ผขู้ ายทด่ี นิ ใหแ้ ก
่
โจทกไ์ ดม้ สี ว่ นประพฤตผิ ดิ สญั ญา ซงึ่ โจทกย์ อ่ มจะตอ้ งไปวา่ กลา่ วเอาแกผ่ ขู้ ายทดี่ นิ สว่ นหนงึ่ อกี
ต่างหากรวมอยู่ด้วย สภาพท่ีดินของโจทก์ตามที่เป็นอยู่ในวันบังคับใช้พระราชกฤษฎีกาฯ คือ
วนั ท่ี ๒ ธันวาคม ๒๕๔๐ จงึ มไิ ดเ้ ปน็ ไปตามโครงการของบรษิ ัทสวนปา่ สกั จำกดั ที่กำหนดไว้
แต่อย่างใด ส่วนที่โจทก์อ้างว่าราคาที่ดินย่อมต้องสูงกว่าจำนวนเงินจำนองที่ดินโดยโจทก์จด
ทะเบยี นจำนองทดี่ นิ ดงั กลา่ วไวแ้ กธ่ นาคาร เปน็ เงนิ จำนวน ๕,๓๑๐,๐๐๐ บาท นน้ั เหน็ วา่ โจทก
์
จดทะเบียนจำนองที่ดินเพ่ือเป็นประกันหน้ีเงินกู้ตามสำเนาสัญญากู้เงิน เอกสารท้ายคำฟ้อง
192 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคด
ี
หมายเลข ๕ ตั้งแต่ต้นปี ๒๕๓๗ ซง่ึ การพจิ ารณาใหส้ ินเชอื่ ของธนาคารมิไดพ้ จิ ารณาจากราคา
ท่ีดินในขณะนั้นเพียงประการเดียว แต่อาจต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบอย่างอ่ืนด้วย เช่น
ความสามารถในการชำระหนี้ ที่ดินอยู่ในโครงการจัดสรร และวัตถุประสงค์ในการกู้ยืมเงิน จึง
ถือเอาจำนวนเงินจำนองดังกล่าวเป็นราคาท่ีดินหาได้ไม่ ดังน้ัน วงเงินจำนองดังกล่าวจึงไม
่
สามารถใชเ้ ปรยี บเทยี บใหเ้ หน็ ไดว้ า่ ทดี่ นิ ของโจทกค์ วรมรี าคาทซี่ อ้ื ขายกนั ตามปกตใิ นทอ้ งตลาด
ตามทเ่ี ปน็ อย่ใู นวนั ทพ่ี ระราชกฤษฎีกาฯ ใชบ้ ังคับสูงถงึ ตารางวาละ ๓,๐๐๐ บาท สว่ นทต่ี ั้งของ
ทด่ี นิ ของโจทกป์ รากฏตามแผนทแ่ี ละแผนผงั ทด่ี นิ เอกสารหมาย ล.๒๑ วา่ อยหู่ า่ งไกลจากชมุ ชน
โดยอย่หู า่ งจากอำเภอวงั ม่วง จงั หวัดสระบรุ ี ถงึ ๓๓ กโิ ลเมตร และหา่ งจากถนนสายสระบุรี–
หล่มสักประมาณ ๑๙ กิโลเมตร บริเวณใกล้เคียงเป็นป่าละเมาะ ไม่มีชุมชนอยู่อาศัย ท่ีดินใน
สภาพเช่นน้ีย่อมมรี าคาต่ำกว่าราคาทโี่ จทกซ์ ือ้ มามากและคงไมส่ งู ถงึ ตารางวาละ ๑,๕๐๐ บาท
ตามทศ่ี าลชน้ั ตน้ กำหนด เมอื่ พจิ ารณาถงึ ราคาทม่ี กี ารตกลงซอ้ื ขายและจา่ ยเงนิ คา่ ทดแทนทดี่ นิ
ของคณะกรรมการจดั ซอ้ื และกำหนดคา่ ทดแทนทรพั ยส์ นิ กบั ราษฎรซงึ่ เปน็ เจา้ ของทด่ี นิ สว่ นใหญ่
ในบริเวณเดียวกันกับที่ดินของโจทก์ตามสำเนาหนังสือสัญญาขาย เอกสารหมาย ล.๑๓ แล้ว
ปรากฏว่าตกลงซ้ือขายกันในราคาตารางวาละ ๑๒๕ บาท ถงึ ๑๗๕ บาท เทา่ น้ัน ถึงแมท้ ด่ี นิ
ของโจทกจ์ ะไดม้ กี ารพฒั นาไปบางสว่ นแลว้ ซง่ึ อาจจะมสี ภาพทด่ี กี วา่ ทดี่ นิ ของราษฎรดงั กลา่ วก
็
ตาม แต่ก็ไม่น่าจะมีราคาสูงกว่าราคาดังกล่าวมากนัก ท่ีคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ
กำหนดเงินคา่ ทดแทนทดี่ ินให้โจทก์ตารางวาละ ๓๗๕ บาท หรือไรล่ ะ ๑๕๐,๐๐๐ บาท แม้เป็น
ราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซ่ึงใช
้
บงั คบั ระหวา่ งปี ๒๕๓๙ ถงึ ปี ๒๕๔๒ ถอื มไิ ดว้ า่ เปน็ ราคาทซี่ อ้ื ขายกนั ตามปกตใิ นทอ้ งตลาดของ
อสงั หารมิ ทรพั ยท์ จ่ี ะตอ้ งเวนคนื ตามทเี่ ปน็ อยใู่ นวนั ใชบ้ งั คบั พระราชกฤษฎกี าฯ กต็ าม แตร่ าคา
ประเมนิ ดังกลา่ วใช้สำหรบั ทด่ี ินตดิ ถนนซอย ระยะ ๔๐ เมตร และเป็นท่ีดนิ ประเภทใชเ้ ป็นทอ่ี ย่
ู
อาศยั เทา่ นนั้ สว่ นทด่ี นิ ของโจทกข์ ณะถกู เวนคนื มสี ภาพเปน็ ทดี่ นิ ทใี่ ชใ้ นการเกษตรกรรม โดยยงั
ส่วนที่ ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 193
คดแี พง่
ไม่ได้มีการปรับปรุงให้เหมาะสำหรับใช้เป็นที่สร้างท่ีอยู่อาศัย และเงินค่าทดแทนดังกล่าวที่
กำหนดให้โจทก์เป็นเงินค่าทดแทนที่ดินซ่ึงสูงกว่าท่ีกำหนดให้แก่ราษฎรโดยท่ัวไปถึงสามเท่า
นอกจากนี้ คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ ยังกำหนดเงินค่าทดแทนสำหรับการปรับ
พื้นดินให้แก่โจทก์อีกด้วย ท้ังเม่ือคำนึงถึงเหตุและวัตถุประสงค์ของการเวนคืนในคร้ังน้ีก็
เพอ่ื ประโยชนใ์ นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนนำ้ สำหรบั การเกษตรและการบรรเทาอทุ กภัยท
่ี
อาจเกิดข้ึนในเขตลุ่มน้ำป่าสัก กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ซึ่งเป็นการเวนคืนที่ดินเพ่ือ
ประโยชนข์ องประเทศชาตโิ ดยสว่ นรวม โดยทางราชการมไิ ดเ้ วนคนื และจา่ ยเงนิ คา่ ทดแทนทดี่ นิ
ใหแ้ ตเ่ ฉพาะโจทก์เท่านน้ั หากแต่ไดเ้ วนคนื ที่ดนิ นอกโครงการของบริษทั สวนป่าสัก จำกดั ซงึ่
เปน็ ทดี่ นิ ของราษฎรรายอนื่ ๆ และกำหนดอตั ราเงนิ คา่ ทดแทนทดี่ นิ ภายใตห้ ลกั เกณฑเ์ ดยี วกนั
ดว้ ย ประกอบกบั ทด่ี นิ ในโครงการเดยี วกนั นซี้ ง่ึ ถกู เวนคนื เชน่ เดยี วกนั กบั ทดี่ นิ ของโจทก์ ปรากฏ
ว่าศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องโดยไม่กำหนดเงินค่าทดแทนท่ีดินเพิ่มข้ึนจากท
ี่
คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ กำหนดให้อีก ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๗๒๖/
๒๕๔๘ ระหว่าง นางบุญสนองหรือนางบุญสนิท สุขในจิตต์ โจทก์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
เกษตรและสหกรณ์ ท่ี ๑ กบั พวก จำเลย คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี ๒๙๒/๒๕๔๙ ระหวา่ ง นางสาว
สดุ สงวน วรรตั นธรรม โจทก์ รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๑ กบั พวก จำเลย
และคำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๕๔๔๘/๒๕๔๙ ระหว่าง นายปรีชา พวงเสริมสกุล โจทก ์
รฐั มนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๑ กับพวก จำเลย เปน็ ต้น ท่ดี ินของโจทก์จงึ ไม
่
ควรมีราคาสูงกว่าที่ดินดังกล่าวเช่นกัน ดังน้ัน การกำหนดเงินค่าทดแทนท่ีดินของโจทก
์
คณะกรรมการกำหนดราคาเบอื้ งตน้ ฯ กำหนดโดยคำนงึ ถงึ หลกั เกณฑข์ องกฎหมายทกี่ ำหนดไว
้
ในมาตรา ๒๑ วรรคหน่ึง (๑) ถึง (๕) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ. ๒๕๓๐ โดยครบถว้ น ท้งั นี้ เพื่อใหเ้ กดิ ความเป็นธรรมแกโ่ จทก์ผ้ถู ูกเวนคืนและสังคมด้วย
แล้ว ทศี่ าลชนั้ ต้นพพิ ากษาโดยกำหนดเงินคา่ ทดแทนทดี่ นิ เพมิ่ ใหโ้ จทกอ์ ีกตารางวาละ ๑,๑๒๕
194 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉยั คดี
บาท เปน็ เงนิ คา่ ทดแทนทด่ี นิ จำนวน ๒,๘๔๖,๒๕๐ บาท มานน้ั ไมต่ อ้ งดว้ ยความเหน็ ของศาล
อทุ ธรณ์ อทุ ธรณข์ องโจทกฟ์ ังไมข่ น้ึ สว่ นอทุ ธรณข์ องจำเลยทง้ั สองฟังข้ึน เมือ่ วนิ ิจฉยั ดังกล่าว
แลว้ คดีจงึ ไม่จำต้องวินจิ ฉยั ในประเดน็ เรื่องดอกเบ้ยี ตามอทุ ธรณข์ องโจทกอ์ ีกตอ่ ไป
พิพากษากลบั ให้ยกฟอ้ ง ค่าฤชาธรรมเนยี มท้งั สองศาลใหเ้ ปน็ พบั .
ส่วนที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำส่ังในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 195
คดีแพ่ง
ตวั อยา่ งคดผี ดิ สญั ญาประกนั
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ่ี ๖๖๗๐/๒๕๔๘
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำ
ฟ้อง คำให้การของจำเลยที่ ๑ ทางนำสบื ของโจทก์ท้งั สองและของจำเลยท่ี ๑ กับคำพิพากษา
ศาลชน้ั ตน้ วา่ เมอื่ วนั ที่ ๔ สงิ หาคม ๒๕๔๐ โจทกท์ ่ี ๑ ควบคมุ ตวั นายมาโนช พงษฉ์ วี ผตู้ อ้ งหา
ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ในวัน
เดยี วกนั จำเลยที่ ๑ มอบอำนาจใหจ้ ำเลยที่ ๒ นำสลากออมสนิ พเิ ศษ งวดที่ ๑๔ มลู คา่ ๓๐,๐๐๐
บาท ของจำเลยท่ี ๑ ไปเป็นหลักประกันในการทำสัญญาประกันตัวนายมาโนชจากการควบคมุ
ของโจทกท์ ่ี ๑ หากผดิ นัดไม่สง่ ตวั นายมาโนชตามวนั เวลาทก่ี ำหนด ผูป้ ระกันยนิ ยอมชดใช้เงิน
๓๐,๐๐๐ บาท ตามสำเนาคำรอ้ งขอประกนั สญั ญาประกนั หนงั สอื มอบอำนาจ และสำเนาสลาก
ออมสนิ พเิ ศษ งวดที่ ๑๔ เอกสารหมาย จ.๒ ถงึ จ.๕ จำเลยที่ ๒ สง่ ตวั นายมาโนชใหโ้ จทกท์ ่ี ๑
ตามกำหนดนดั ทกุ ครั้ง ตอ่ มาโจทกท์ ี่ ๑ มคี วามเห็นสง่ั ฟ้องนายมาโนชและสง่ ตัวนายมาโนชให
้
โจทกท์ ่ี ๒ จำเลยท่ี ๒ ยน่ื คำรอ้ งขอประกนั ตวั นายมาโนชไปจากการควบคมุ ของโจทกท์ ี่ ๒ โดย
ใชห้ ลกั ทรพั ยเ์ ดมิ เปน็ หลกั ประกนั โจทกท์ ี่ ๒ ใหโ้ จทกท์ ่ี ๑ ทำสญั ญาประกนั โดยเปน็ คสู่ ญั ญากบั
นายประกันแทนโจทก์ที่ ๒ ตามคำร้องขอประกันผู้ต้องหาและคำสง่ั เอกสารหมาย จ.๖ จำเลย
ที่ ๒ ทราบกำหนดวันเวลาและสถานที่ส่งตัวผู้ต้องหาแล้ว แต่จำเลยท่ี ๒ ผิดนัดไม่ส่งตัวนาย
มาโนชตามกำหนด โจทก์ท้ังสองทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามสัญญาประกันแล้ว แต่
จำเลยท้ังสองเพกิ เฉย คดีมีปญั หาต้องวินจิ ฉัยตามอุทธรณ์ของโจทกท์ ง้ั สองว่า จำเลยท่ี ๑ ต้อง
รบั ผิดตอ่ โจทกท์ งั้ สองตามฟอ้ งหรอื ไม่ เพยี งใด
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ว่า เมื่อจำเลยท่ี ๑ มอบอำนาจให้จำเลย
ท่ี ๒ ทำสญั ญาประกนั ตวั นายมาโนช พงษ์ฉวี กบั โจทกท์ งั้ สองแลว้ จำเลยที่ ๑ ในฐานะตัวการ
196 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉัยคดี
ยอ่ มตอ้ งรบั ผดิ ตอ่ โจทกท์ ง้ั สองตามสญั ญาประกนั ดงั กลา่ ว สำหรบั ความรบั ผดิ ของจำเลยท่ี ๑ ตอ่
โจทก์ที่ ๑ นั้น เห็นว่า แม้ตามข้อเท็จจริงท่ีฟังเป็นยุติและคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยท่ี ๑ จะได้
ความวา่ จำเลยท่ี ๑ ในฐานะตวั การตอ้ งรบั ผดิ ตามสญั ญาประกนั ทจ่ี ำเลยที่ ๒ ผรู้ บั มอบอำนาจ
ทำไวก้ บั โจทกท์ ี่ ๑ กต็ าม แตข่ อ้ เทจ็ จรงิ กป็ รากฏวา่ จำเลยท่ี ๒ ไมเ่ คยผดิ สญั ญาประกนั แตอ่ ยา่ ง
ใด เพราะไดส้ ่งตวั นายมาโนชให้โจทก์ที่ ๑ ตามกำหนดทุกครง้ั ดงั นี้ กรณียอ่ มฟงั ได้ว่าจำเลย
ท่ี ๑ ไมเ่ คยผดิ นัด จึงไม่ต้องรับผดิ ตอ่ โจทกท์ ี่ ๑ ส่วนกรณีความรบั ผดิ ของจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก
์
ท่ี ๒ น้ัน เม่ือพิเคราะห์หนังสือมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.๓ ท่ีมีข้อความว่า “ได้มอบ
อำนาจให้นายธนกฤช บัวทอง เป็นผู้มีอำนาจจัดการนำสลากออมสินพิเศษ งวดท่ี ๑๔ เลขท่ ี
ฒ ๔๑๒๖๗๒๔ ถงึ ฒ ๔๑๒๗๗๒๓ มาประกนั ตวั นายมาโนช พงษฉ์ วี ผตู้ อ้ งหาในคดมี กี ญั ชาไว
้
ในครอบครอง เมอ่ื คดถี งึ ทสี่ ดุ แลว้ ใหน้ ายธนกฤช บวั ทอง ถอนหลกั ทรพั ยแ์ ทนขา้ พเจา้ จนเสรจ็
การ และขา้ พเจา้ ยอมรบั ผดิ ชอบในการทผี่ รู้ บั มอบอำนาจของขา้ พเจา้ ไดท้ ำไปตามทม่ี อบอำนาจ
นเี้ สมอื นหนง่ึ ขา้ พเจา้ ไดท้ ำการดว้ ยตนเอง” แลว้ เหน็ วา่ จากขอ้ ความดงั กลา่ วนอกจากจะเปน็
การยนื ยนั วา่ จำเลยที่ ๑ มคี วามประสงคท์ จ่ี ะมอบอำนาจใหจ้ ำเลยท่ี ๒ เปน็ ตวั แทนนำหลกั ทรพั ย
์
ของจำเลยท่ี ๑ ไปเปน็ หลกั ประกันในการทำสัญญาประกันตวั นายมาโนช ผ้ตู ้องหา เพ่ือใหเ้ จา้
พนกั งานทคี่ วบคมุ ตวั นายมาโนชมคี ำสงั่ อนญุ าตใหป้ ลอ่ ยชว่ั คราวแลว้ ยงั เปน็ การยนื ยนั ใหฟ้ งั ได
้
อกี วา่ จำเลยท่ี ๑ ตกลงมอบอำนาจใหจ้ ำเลยท่ี ๒ เปน็ ตวั แทนของตนทำการเกยี่ วกบั หลกั ทรพั ย
์
ดังกล่าวนั้นได้ตลอดไปจนกว่าคดีของนายมาโนชจะถึงที่สุด เพราะหากจำเลยท่ี ๑ มีความ
ประสงคท์ จ่ี ะใหจ้ ำเลยที่ ๒ เปน็ ตวั แทนนำหลกั ทรพั ยข์ องตนไปทำสญั ญาประกนั ตวั นายมาโนช
เฉพาะในชน้ั สอบสวนกบั โจทกท์ ่ี ๑ เทา่ นนั้ จำเลยที่ ๑ กต็ อ้ งระบขุ อ้ ความในหนงั สอื มอบอำนาจ
ไว้ให้ชัดเจนเพื่อที่จะได้ยืนยันเจตนาและความประสงค์ที่แท้จริงของตน ซ่ึงการยืนยันเจตนา
ดังกล่าวอยู่ในวิสัยที่จำเลยท่ี ๑ สามารถกระทำได้ แต่จำเลยที่ ๑ ก็มิได้กระทำการใด ๆ เลย
แมว้ า่ ตามหนงั สอื มอบอำนาจ เอกสารหมาย จ.๓ จะมขี อ้ ความระบวุ า่ “เขยี นที่ สน.ทองหลอ่ ” ซง่ึ
สว่ นท่ี ๒ ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรปู คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
197
คดีแพ่ง
เปน็ สถานทีท่ ำการของโจทก์ท่ี ๑ ก็ตาม แตก่ ็มใิ ชข่ ้อเทจ็ จรงิ ทีม่ นี ำ้ หนักพอทจ่ี ะมาหักลา้ งใหร้ บั
ฟงั เปน็ วา่ จำเลยที่ ๑ มอบอำนาจใหจ้ ำเลยที่ ๒ นำหลกั ทรพั ยไ์ ปประกนั ตวั นายมาโนชเฉพาะใน
ชน้ั สอบสวนดงั เชน่ ทจ่ี ำเลยท่ี ๑ กลา่ วอา้ งมาไม่ ดงั นนั้ เมอื่ โจทกท์ ี่ ๑ สง่ ตวั นายมาโนชใหโ้ จทก
์
ที่ ๒ เพ่ือดำเนนิ คดอี าญาตอ่ ไป แสดงว่าคดขี องนายมาโนชยงั ไม่ถึงท่ีสุด การท่จี ำเลยท่ี ๒ นำ
หลกั ทรัพยข์ องจำเลยท่ี ๑ มาทำสญั ญาประกันกบั โจทก์ท่ี ๒ จงึ เปน็ กรณที จี่ ำเลยท่ี ๒ ตวั แทน
ทำการครบถว้ นถกู ตอ้ งตามหนงั สอื มอบอำนาจ เอกสารหมาย จ.๓ แลว้ เมอื่ จำเลยที่ ๒ ตวั แทน
ผิดนัดไม่ส่งตัวนายมาโนชให้แก่โจทก์ท่ี ๒ ตามกำหนด จำเลยที่ ๑ ในฐานะตัวการย่อมต้อง
ผกู พนั รบั ผดิ ชอบชดใชเ้ งนิ ๓๐,๐๐๐ บาท ใหแ้ กโ่ จทกท์ ่ี ๒ ตามสญั ญา สำหรบั โจทกท์ ี่ ๑ แมจ้ ะ
ไดค้ วามวา่ เปน็ คสู่ ญั ญากบั จำเลยท่ี ๒ ตวั แทน กต็ าม แตก่ เ็ ปน็ กรณที โ่ี จทกท์ ่ี ๑ รบั มอบอำนาจ
จากโจทก์ที่ ๒ ใหเ้ ข้าทำสัญญาประกันแทน ดงั น้นั นิตสิ ัมพนั ธ์ระหว่างโจทกท์ ่ี ๑ กบั โจทกท์ ่ี ๒
จงึ เปน็ ตวั การตวั แทนกนั ตอ้ งถอื วา่ โจทกท์ ่ี ๑ เปน็ เพยี งตวั แทนของโจทกท์ ่ี ๒ ในการทำสญั ญา
ประกันตัวนายมาโนช การทีจ่ ำเลยที่ ๑ ผดิ สัญญาประกนั จึงเป็นการโตแ้ ยง้ สทิ ธิของโจทกท์ ี่ ๒
เทา่ นน้ั หาไดโ้ ตแ้ ยง้ สทิ ธขิ องโจทกท์ ี่ ๑ ไม่ โจทกท์ ี่ ๑ จงึ ไมม่ อี ำนาจฟอ้ งจำเลยท่ี ๑ ทศ่ี าลชน้ั ตน้
พพิ ากษายกฟอ้ งโจทกท์ ่ี ๑ เฉพาะจำเลยท่ี ๑ มานน้ั จงึ ชอบแลว้ แตท่ ศี่ าลชน้ั ตน้ พพิ ากษายก
ฟอ้ งโจทกท์ ่ี ๒ เฉพาะจำเลยที่ ๑ ดว้ ยนน้ั ศาลอทุ ธรณไ์ มเ่ หน็ พอ้ งดว้ ย อทุ ธรณข์ องโจทกท์ ง้ั สอง
ขอ้ นี้ฟังข้ึนบางส่วน
อนึ่ง สำหรบั จำเลยท่ี ๒ ทศ่ี าลช้นั ต้นพพิ ากษาให้รับผิดชำระเงนิ ๓๐,๐๐๐ บาท
ใหแ้ กโ่ จทกท์ ง้ั สองนนั้ ศาลอทุ ธรณพ์ เิ คราะหส์ ำเนาคำรอ้ งขอประกนั สำเนาสลากออมสนิ พเิ ศษ
งวดท่ี ๑๔ คำรอ้ งขอประกนั ผตู้ อ้ งหาและคำสงั่ ตามเอกสารหมาย จ.๒, จ.๕ และ จ.๖ แลว้ เหน็
วา่ การที่จำเลยที่ ๒ มสี ่วนร่วมในการขอประกนั ตวั นายมาโนช พงษ์ฉวี ก็โดยอาศัยสิทธิตาม
หนงั สือมอบอำนาจ เอกสารหมาย จ.๓ ทจ่ี ำเลยที่ ๑ ตวั การ มอบอำนาจใหจ้ ำเลยท่ี ๒ ทำการ
แทนเทา่ นน้ั รวมทงั้ สญั ญาประกนั ทกุ ฉบบั กร็ ะบหุ ลกั ประกนั เปน็ สลากออมสนิ พเิ ศษ งวดที่ ๑๔
198 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉัยคด
ี
ทมี่ มี ูลคา่ ๓๐,๐๐๐ บาท โดยไม่ปรากฏวา่ มหี ลักประกันทเี่ ป็นทรัพยส์ นิ ของจำเลยที่ ๒ รวมอย
ู่
ดว้ ย อกี ทงั้ ยงั ไมป่ รากฏข้อความใด ๆ ทีจ่ ะแสดงใหเ้ ห็นว่าจำเลยที่ ๒ ได้กระทำการไปในฐานะ
ส่วนตัวด้วย แม้ตามคำร้องขอประกันผู้ต้องหา เอกสารหมาย จ.๖ จะมีข้อความว่า “ข้าพเจ้า
ขอรับรองว่าทรัพย์สินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธ์ิของข้าพเจ้า” ก็เป็นกรณีท่ีจำเลยท่ี ๒ รับรอง
กรรมสทิ ธิ์ในทรพั ยส์ นิ นั้นแทนจำเลยท่ี ๑ ตัวการ หาใช่เป็นการยืนยันวา่ เป็นทรพั ย์สินส่วนตวั
ของจำเลยท่ี ๒ ไม่ ดงั นน้ั ศาลอุทธรณเ์ หน็ ว่า เม่อื ฟังวา่ จำเลยที่ ๑ มอบอำนาจใหจ้ ำเลยท่ี ๒
เปน็ ตวั แทนไปทำสญั ญาประกนั กบั โจทกท์ ี่ ๒ แลว้ นติ สิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งจำเลยที่ ๑ กบั จำเลยท่ี ๒
จงึ เปน็ ไปตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ เรอ่ื งตวั การตวั แทน ตอ้ งถอื วา่ จำเลยท่ี ๒ เปน็
ตวั แทน เมอื่ ตวั แทนทำการในหนา้ ทแ่ี ลว้ ความรบั ผดิ ชอบจงึ ตกอยแู่ กต่ วั การ ตวั แทนไมต่ อ้ งรบั
ผิด ฉะนัน้ โจทก์ทง้ั สองจะฟ้องใหจ้ ำเลยท่ี ๒ รว่ มกบั จำเลยที่ ๑ รบั ผิดตอ่ โจทก์ทัง้ สองหาได้ไม่
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยท่ี ๒ รับผิดต่อโจทก์ทั้งสองนั้น จึงไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อ
กฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาล
อุทธรณ์มีอำนาจยกข้ึนวินิจฉัยและพิพากษาคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบมาตรา ๒๔๖
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยใน
อตั รารอ้ ยละ ๗.๕ ตอ่ ปี ของตน้ เงนิ ดงั กลา่ วนบั แตว่ นั ที่ ๓๐ ธนั วาคม ๒๕๔๐ เปน็ ตน้ ไปจนกวา่
จะชำระเสรจ็ ใหแ้ กโ่ จทกท์ ี่ ๒ ทง้ั นี้ ดอกเบยี้ คดิ ถงึ วนั ฟอ้ ง (ฟอ้ งเมอ่ื วนั ที่ ๑๐ กนั ยายน ๒๕๔๔)
ตอ้ งไมเ่ กนิ ๘,๓๑๒.๕๐ บาท ตามทโ่ี จทกท์ ี่ ๒ ขอ ใหย้ กฟอ้ งโจทกท์ งั้ สองเฉพาะจำเลยที่ ๒ คา่
ฤชาธรรมเนยี มระหวา่ งโจทกท์ ้งั สองกบั จำเลยทง้ั สองในทง้ั สองศาลให้เปน็ พบั นอกจากท่แี ก้ให
้
เป็นไปตามคำพพิ ากษาศาลช้นั ต้น.
สว่ นที่ ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำสงั่ ในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
199
คดแี พง่
ตวั อยา่ งคดพี ระราชบัญญัตอิ าคารชุด
ค
ำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๗๖๒๕/๒๕๔๕
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยเป็นเจ้าของห้องชุด เลขท่ ี
๔๐๖/๖ ในอาคารชดุ ทโ่ี จทกเ์ ปน็ ผจู้ ดั การดแู ล โดยมอี ตั ราสว่ นแหง่ กรรมสทิ ธใิ์ นทรพั ยส์ ว่ นกลาง
จำนวน ๑๗๐ สว่ น ใน ๔๔,๕๐๔ สว่ น ซึ่งเดมิ จำเลยเคยชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ปลี ะ ๓,๖๐๐
บาท ตอ่ มาเมอื่ วนั ท่ี ๒๑ มนี าคม ๒๕๓๕ โจทกจ์ ดั ประชมุ ใหญส่ ามญั ครง้ั ที่ ๒ ทป่ี ระชมุ ลงมตใิ ห
้
เรียกเก็บค่าใช้จ่ายส่วนกลางตามอัตราส่วนแห่งกรรมสิทธ์ิในทรัพย์ส่วนกลางในอัตราส่วน ๘๐
บาท ตอ่ ปี และทวงถามใหจ้ ำเลยชำระคา่ ใชจ้ า่ ยสว่ นกลางเพมิ่ เปน็ ปลี ะ ๑๓,๖๐๐ บาท แตจ่ ำเลย
ปฏเิ สธไมช่ ำระ โดยยงั คงชำระคา่ ใชจ้ า่ ยสว่ นกลางแกโ่ จทก์ ปลี ะ ๓,๖๐๐ บาท ตลอดมาจนถงึ ป
ี
๒๕๔๒ คดจี งึ มปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องโจทกเ์ พยี งวา่ โจทกม์ สี ทิ ธขิ อใหบ้ งั คบั จำเลย
ชำระคา่ ใชจ้ า่ ยสว่ นกลางตามอตั ราทก่ี ำหนดใหมพ่ รอ้ มเบย้ี ปรบั หรอื ไม่ เพยี งใด เหน็ วา่ แมโ้ จทก
์
ซ่ึงเป็นผู้จัดการดูแลอาคารชุดที่พิพาทจะมีอำนาจหน้าท่ีในอันท่ีจะเรียกให้บุคคลผู้เป็นเจ้าของ
หอ้ งชดุ ชำระคา่ ใชจ้ า่ ยสว่ นกลาง รวมทงั้ คา่ ใชจ้ า่ ยอน่ื ๆ ทเ่ี กยี่ วเนอื่ งกบั การบำรงุ รกั ษาทรพั ยส์ นิ
ส่วนกลาง ตลอดจนมีสิทธิเรียกประชุมใหญ่เจ้าของร่วมเพื่อเปลี่ยนแปลงอัตราค่าใช้จ่าย
ส่วนกลางได้ และโจทก์นำสืบอ้างว่า ที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมได้ลงมติให้เพ่ิมอัตราค่าใช้จ่าย
ส่วนกลางในอัตราส่วน ๘๐ บาท ต่อปี ซ่ึงจำเลยต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนกลางเพ่ิมเป็นปีละ
๑๓,๖๐๐ บาท ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่าข้อนำสืบของโจทก์เก่ียวกับการเพิ่มอัตรา
ค่าใช้จ่ายส่วนกลางท่ีเรียกเก็บเพ่ิมจากปีละ ๓,๖๐๐ บาท เป็นปีละ ๑๓,๖๐๐ บาท โจทก์คงม
ี
เพยี งนายธรี วฒุ ิ กวธี นมณี เบกิ ความประกอบสำเนารายงานการประชมุ ตามเอกสารหมาย จ.๖
อ้างลอย ๆ ถึงการลงมติเก่ียวกับการเพิ่มอัตราค่าใช้จ่ายส่วนกลาง โดยมิได้นำสืบแสดงให
้
ปรากฏชัดว่าในการจัดประชุมใหญ่สามัญดังกล่าวมีเจ้าของร่วมเข้าร่วมประชุมใหญ่เป็นจำนวน
200 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉยั คด
ี
เพียงใด และการลงมติให้เปล่ียนแปลงการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายส่วนกลางเพิ่มไปจากที่เคยเรียก
เกบ็ เดมิ นน้ั ทปี่ ระชมุ ใหญเ่ จา้ ของรว่ มไดล้ งมตดิ งั กลา่ วดว้ ยคะแนนเสยี งจำนวนเทา่ ใด ทงั้ สำเนา
รายงานการประชมุ ตามเอกสารหมาย จ.๖ ทโี่ จทกอ์ า้ งสง่ กค็ งมเี พยี งขอ้ ความระบอุ า้ งถงึ สมาชกิ
ผู้เข้าร่วมประชุมตามใบรายช่ือผู้เข้าร่วมประชุมแนบท้ายนี้ แต่ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้แนบใบ
รายชือ่ ผ้เู ขา้ รว่ มประชุมดงั กล่าวตามท่ีอ้างเสนอต่อศาล ตลอดจนรายงานการประชุมดงั กล่าวก็
ไมป่ รากฏขอ้ เทจ็ จรงิ เกยี่ วกบั จำนวนคะแนนเสยี งในการลงมตดิ งั กลา่ ว โดยพฤตกิ ารณเ์ หน็ วา่ ขอ้
นำสืบของโจทก์ยังไมเ่ ป็นท่ีแน่ชัดว่าที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมได้ลงมติดังกล่าวโดยถูกต้องตาม
กฎหมาย และเมอื่ พเิ คราะหถ์ งึ วา่ พระราชบญั ญตั อิ าคารชดุ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ ไดบ้ ญั ญตั
ิ
ไว้ว่า มติเก่ียวกับการแก้ไขเปล่ียนแปลงอัตราส่วนค่าใช้จ่ายร่วมกัน ต้องได้รับคะแนนเสียงไม่
น้อยกว่าสามในส่ีของจำนวนคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมท้ังหมด ประกอบกับจำเลยก็ปฏิเสธ
ข้ออ้างของโจทก์และนำสืบต่อสู้ว่า โจทก์จัดประชุมใหญ่เจ้าของร่วมโดยไม่ครบองค์ประชุม
ตลอดจนได้กระทำการอันเป็นการโต้แย้งไม่ยอมรับมติท่ีประชุมใหญ่ดังกล่าวด้วยการชำระ
ค่าใช้จ่ายส่วนกลางให้แก่โจทก์ในอัตราเดิมตลอดมา กรณีเห็นได้ว่าพยานหลักฐานโจทก
์
เกี่ยวกับการลงมติของที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมให้เปลี่ยนแปลงอัตราค่าใช้จ่ายในทรัพย
์
ส่วนกลางยังไม่มีน้ำหนักพอท่ีจะรับฟังว่าได้กระทำโดยถูกต้องตามข้อบัญญัติของกฎหมาย
ดงั นน้ั โจทกจ์ งึ หาอาจอา้ งนำมตดิ งั กลา่ วมาขอใหบ้ งั คบั จำเลยชำระคา่ ใชจ้ า่ ยสว่ นกลางตามอตั รา
ทก่ี ำหนดขนึ้ ใหมไ่ ดไ้ ม่ รวมทงั้ ไมม่ สี ทิ ธขิ อใหบ้ งั คบั จำเลยชำระเบย้ี ปรบั จากจำนวนเงนิ ดงั กลา่ ว
ดว้ ย ทศ่ี าลชน้ั ตน้ พพิ ากษายกฟอ้ งโจทกม์ านนั้ ศาลอทุ ธรณเ์ หน็ พอ้ งดว้ ย อทุ ธรณข์ องโจทกฟ์ งั
ไม่ขน้ึ
พิพากษายนื คา่ ฤชาธรรมเนยี มชัน้ อทุ ธรณใ์ หเ้ ป็นพับ.
ส่วนที่ ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำส่ังในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
201
คดแี พ่ง
ตวั อย่างคดีเพิกถอนนติ กิ รรม
คำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๓๐๗/๒๕๕๒
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตาม
อทุ ธรณข์ องโจทกท์ ง้ั สม่ี วี า่ มเี หตทุ จ่ี ะตอ้ งเพกิ ถอนการจดทะเบยี นรบั โอนทด่ี นิ การจดทะเบยี น
ขายฝากทดี่ นิ การจดทะเบยี นขยายระยะเวลาไถถ่ อน การจดทะเบยี นจำนองและไถถ่ อนจำนอง
ท่ีดินโฉนดเลขที่ ๔๑๐๗ ตำบลบางจากฝั่งเหนือ อำเภอภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร หรือไม่
โจทกท์ ั้งสี่อุทธรณว์ ่า บทบัญญตั ติ ามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรค
สอง เป็นกรณีท่ีผู้ได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมิได้จดทะเบียน แต่คดีน้
ี
โจทกท์ ง้ั สไี่ ดจ้ ดทะเบยี นแลว้ โดยเมอื่ นายเยอ้ื น ธนาสนะ เจา้ มรดก ถงึ แกค่ วามตาย มกี ารใสช่ อ่ื
จำเลยที่ ๑ ในฐานะผจู้ ดั การมรดกของนายเยอ้ื นลงในโฉนดทดี่ นิ เลขที่ ๔๑๐๗ ตำบลบางจากฝง่ั
เหนอื อำเภอภาษเี จรญิ กรงุ เทพมหานคร แลว้ การลงชอ่ื จำเลยที่ ๑ ในฐานะผจู้ ดั การมรดกของ
นายเยอื้ นถอื ไดว้ า่ เปน็ การลงชอ่ื ในฐานะตวั แทนบรรดาทายาทของนายเยอื้ นทกุ คนรวมทงั้ โจทก
์
ทั้งส่ีด้วย การที่จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายเย้ือนโอนท่ีดินแปลงดังกล่าวให้แก่
ตนเองจงึ เปน็ การทำนติ กิ รรมใหต้ นมสี ว่ นไดเ้ สยี เปน็ ปฏปิ กั ษต์ อ่ กองมรดก อนั เปน็ การตอ้ งหา้ ม
ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๒๒ การโอนท่ีดินแปลงดังกล่าวจึง
เป็นโมฆะ ไม่มีผลใช้บังคับ กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงน้ียังคงเป็นกองมรดกของนายเย้ือนอยู่
ตามเดิม การท่ีจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ รับซื้อฝากที่ดินแปลงดังกล่าวไว้จากจำเลยที่ ๑ ย่อมไม่
เกดิ ผลทำใหจ้ ำเลยท่ี ๒ และที่ ๓ มสี ทิ ธติ ามนติ กิ รรมการขายฝากแตอ่ ยา่ งใด โจทกท์ ง้ั สจ่ี งึ มสี ทิ ธ
ิ
ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมดังกล่าวข้างต้นได้ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง บัญญัติวา่ ถา้ มีผู้ได้มาซ่ึงอสงั หาริมทรัพย์
หรอื ทรพั ยสทิ ธอิ นั เกย่ี วกบั อสงั หารมิ ทรพั ยโ์ ดยทางอน่ื นอกจากนติ กิ รรม สทิ ธขิ องผไู้ ดม้ านน้ั ถา้
202 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉยั คดี
ยังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปล่ียนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้
จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดย
สจุ รติ และไดจ้ ดทะเบยี นสทิ ธโิ ดยสจุ รติ แลว้ บทบญั ญตั ดิ งั กลา่ วมงุ่ หมายทจ่ี ะใหอ้ สงั หารมิ ทรพั ย
์
และทรัพยสิทธิอันเก่ียวกับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีความสำคัญในความเป็นอยู่ของประชาชนมี
หลกั ฐานทางทะเบยี นซง่ึ เปน็ เอกสารมหาชนเพอื่ ใหบ้ คุ คลทมี่ าตดิ ตอ่ เกย่ี วขอ้ งดว้ ยมโี อกาสทราบ
ไดว้ า่ อสงั หารมิ ทรพั ยใ์ ดเปน็ กรรมสทิ ธข์ิ องผใู้ ด มภี าระตดิ พนั ประการใดบา้ ง โจทกท์ งั้ สบ่ี รรยาย
ฟอ้ งวา่ จำเลยที่ ๑ จดทะเบยี นใสช่ อ่ื ตนเองลงในโฉนดทด่ี นิ เลขที่ ๔๑๐๗ ในฐานะผจู้ ดั การมรดก
และจดทะเบียนโอนท่ีดินแปลงดังกล่าวเป็นของตนเองแต่เพียงผู้เดียว สำเนาโฉนดที่ดินตาม
เอกสารท้ายคำฟ้อง หมายเลข ๒ มีชอ่ื จำเลยที่ ๑ เป็นผ้รู ับโอนมรดกของนายเยอ้ื นเท่าน้ัน ไม่
ปรากฏชอ่ื โจทกท์ ง้ั สเี่ ปน็ ผถู้ อื กรรมสทิ ธใิ์ นสารบญั จดทะเบยี นของโฉนดทดี่ นิ แปลงดงั กลา่ วดว้ ย
ประชาชนหรอื ผทู้ เ่ี กย่ี วขอ้ งซงึ่ รวมทง้ั จำเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ จงึ ไมอ่ าจตรวจสอบการไดม้ าซงึ่ ทดี่ นิ
และทรพั ยสทิ ธอิ นั เกย่ี วกบั ทดี่ นิ จากหลกั ฐานทางทะเบยี นได้ ดงั นน้ั แมจ้ ะฟงั ไดว้ า่ จำเลยที่ ๑ ซง่ึ
เป็นผู้จัดการมรดกกระทำการแทนทายาทท้ังหลายของนายเย้ือนรวมทั้งโจทก์ทั้งส่ีด้วย แต่ไม
่
อาจถือว่าโจทก์ทั้งสี่จดทะเบียนการได้มาซ่ึงท่ีดินและทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับท่ีดินดังกล่าวตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง แล้ว เม่อื โจทกท์ ้ังสี่ไม่ได้อทุ ธรณ์
โต้แยง้ ความสจุ ริตและการเสยี คา่ ตอบแทนของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ข้อเทจ็ จรงิ จึงยุติไปตามคำ
พิพากษาศาลช้ันต้นวา่ จำเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ จดทะเบยี นรบั ซ้อื ฝากท่ดี นิ แปลงดงั กลา่ วโดยเสยี
คา่ ตอบแทนและโดยสจุ รติ และไดจ้ ดทะเบยี นการรบั ซ้ือฝากโดยสุจริตแล้ว โจทกท์ ง้ั สีจ่ ึงไมอ่ าจ
ยกเอาการไดม้ าซง่ึ ทด่ี นิ แปลงดงั กลา่ วอนั ยงั มไิ ดจ้ ดทะเบยี นขน้ึ ตอ่ สจู้ ำเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ ซงึ่ เปน็
บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธินั้นมาโดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตดังกล่าว
ได้ เมอ่ื เปน็ เชน่ นต้ี อ้ งฟงั วา่ โจทกท์ ง้ั สไ่ี มม่ สี ทิ ธใิ นทด่ี นิ โฉนดเลขท่ี ๔๑๐๗ อกี ตอ่ ไป โจทกท์ ง้ั สจี่ งึ
ไมม่ สี ทิ ธฟิ อ้ งขอใหเ้ พกิ ถอนนติ กิ รรมอนื่ เกย่ี วกบั ทดี่ นิ แปลงนเ้ี ชน่ กนั สว่ นทโ่ี จทกท์ งั้ สอี่ ทุ ธรณว์ า่
สว่ นที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำสั่งในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 203
คดีแพง่
จำเลยที่ ๑ จดทะเบยี นโอนทด่ี นิ แปลงนใ้ี หแ้ กจ่ ำเลยที่ ๑ แตเ่ พยี งผเู้ ดยี ว เปน็ การกระทำการซง่ึ
ตนมสี ว่ นไดเ้ สยี เปน็ ปฏปิ กั ษต์ อ่ กองมรดก จงึ ตกเปน็ โมฆะและสง่ ผลใหจ้ ำเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ผรู้ บั
โอน ไม่มีสิทธิในท่ีดินแปลงน้ีไปด้วย ได้ความตามสำเนาคำสั่งศาลแพ่ง เอกสารท้ายคำฟ้อง
หมายเลข ๑ ซง่ึ ถอื วา่ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของคำฟอ้ งวา่ จำเลยท่ี ๑ เปน็ บตุ รของนายเยอื้ น เจา้ มรดก
หากเป็นจริงตามคำฟ้อง จำเลยที่ ๑ ก็เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายเยื้อนด้วยคนหนึ่ง
การท่ีจำเลยที่ ๑ จดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้ตนเองแต่เพียงผู้เดียวจึงไม่เป็นการ
กระทำทเ่ี ปน็ ปฏปิ กั ษต์ อ่ กองมรดกของนายเยอื้ นจนถงึ ขนาดทจ่ี ะทำใหน้ ติ กิ รรมการจดทะเบยี น
โอนมรดกท่ีดินแปลงดังกล่าวตกเป็นโมฆะสูญไป หากโจทก์ท้ังสี่เสียหายเพราะการกระทำ
ของจำเลยท่ี ๑ กช็ อบทจี่ ะไปวา่ กลา่ วเอาแกจ่ ำเลยท่ี ๑ เปน็ อกี สว่ นหนงึ่ คำพพิ ากษาศาลฎกี าท
ี่
โจทก์ท้ังส่ีอ้างมานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ท่ีศาลชั้นต้นงดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ท้งั สี่น้นั จงึ ตอ้ งด้วยความเหน็ ของศาลอทุ ธรณ์ อทุ ธรณ์ของโจทกท์ ัง้ สฟ่ี ังไม่ข้นึ
พพิ ากษายืน คา่ ฤชาธรรมเนยี มช้ันอทุ ธรณใ์ หเ้ ปน็ พับ.
204 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คด
ี
ตวั อย่างคดีภาระจำยอม
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๑๐๕๐๑/๒๕๕๑
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบ้ืองต้นรับฟังเป็นยุติตามที่คู่ความรับกันและไม่
โต้แย้งกันว่า โจทก์เป็นเจ้าของท่ีดินโฉนดเลขท่ี ๓๕๕๑๔ ตำบลคลองกุ่ม อำเภอบางกะปิ
กรงุ เทพมหานคร โดยซอ้ื มาเมอื่ ปี ๒๕๔๕ ทศิ เหนอื ตดิ ทดี่ นิ โฉนดเลขท่ี ๑๖๒๖๔ ตำบลคลองกมุ่
อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ของจำเลยซึ่งมีสภาพเป็นถนนคอนกรีต กว้างประมาณ ๕
เมตร ยาวประมาณ ๒๓๕ เมตร อยภู่ ายในหมบู่ ้านมติ รประชาวลิ ล่า ออกไปสูถ่ นนเสรไี ทยซ่งึ
เป็นถนนสาธารณะ จำเลยเป็นกรรมการของบริษัทมิตรมุขตารี จำกัด ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการ
โครงการหมู่บ้านมิตรประชาวิลล่า ในที่ดินของโจทก์มีนางเสง่ียม ห่อทอง นายสุดใจ ห่อทอง
และครอบครวั ปลกู บา้ นอยอู่ าศยั เมอ่ื มกี ารกอ่ สรา้ งโครงการหมบู่ า้ นมติ รประชาวลิ ลา่ และทำถนน
คอนกรีตบนที่ดนิ ของจำเลยเมอ่ื ประมาณปี ๒๕๒๘ นางเสงยี่ ม นายสดุ ใจ และครอบครัวไดใ้ ช
้
ถนนคอนกรตี บนทดี่ ินของจำเลยเปน็ ทางเขา้ ออกส่ถู นนสาธารณะ ต่อมาเมื่อปี ๒๕๔๓ บริษทั
มิตรมุขตารี จำกัด ได้ก่อสร้างกำแพงคอนกรีตปิดก้ันระหว่างท่ีดินของโจทก์กับถนนคอนกรีต
ของจำเลย แต่เปดิ ชอ่ งเปน็ ทางคนเดนิ กว้างประมาณ ๕๐ เซนติเมตร คดมี ีปญั หาตอ้ งวนิ ิจฉัย
ตามอุทธรณ์ของโจทก์วา่ ทีด่ ินของจำเลยซง่ึ มสี ภาพเปน็ ถนนคอนกรตี ตกเปน็ ภาระจำยอมโดย
อายุความแก่ที่ดินของโจทก์หรือไม่ โจทก์ฟ้องว่าผู้ครอบครองท่ีดินของโจทก์ได้ใช้ท่ีดินของ
จำเลยเปน็ ทางเขา้ ออกสถู่ นนสาธารณะเปน็ เวลากวา่ ๑๕ ปี โดยจำเลยมไิ ดโ้ ตแ้ ยง้ คดั คา้ น ทด่ี นิ
ของจำเลยจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ท่ีดินของโจทก์ และโจทก์นำสืบว่านางเสงี่ยม นายสุดใจ
และครอบครัวปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์มาต้ังแต่ก่อนมีการก่อสร้างโครงการหมู่บ้าน
มิตรประชาวิลล่าและใช้ถนนพิพาทเป็นทางเข้าออกมาต้ังแต่ยังเป็นถนนดินลูกรัง เม่ือมีการ
ก่อสร้างโครงการหมู่บ้านมิตรประชาวิลล่าในปี ๒๕๒๘ ได้มีการทำถนนดินลูกรังเป็นถนน
ส่วนท่ี ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำสงั่ ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 205
คดแี พง่
คอนกรตี นางเสง่ยี ม นายสุดใจ และครอบครวั กไ็ ด้ใชถ้ นนคอนกรีตที่พพิ าทเป็นทางเข้าออกส
ู่
ถนนเสรีไทยซงึ่ เปน็ ถนนสาธารณะโดยมกี ารทำประตูรั้วเหล็กโปรง่ ปิดเปดิ ๒ บาน ออกส่ถู นน
คอนกรตี ทพี่ พิ าท สว่ นจำเลยนำสบื วา่ บรษิ ทั มติ รมขุ ตารี จำกดั ซงึ่ จำเลยเปน็ กรรมการบรษิ ทั อย
ู่
ดว้ ย เปน็ ผดู้ ำเนนิ การโครงการหมบู่ า้ นมติ รประชาวลิ ลา่ ถนนคอนกรตี ทพี่ พิ าทเปน็ ถนนภายใน
โครงการหมบู่ า้ นทน่ี างเสงย่ี มกบั ครอบครวั ใชเ้ ปน็ ทางเขา้ ออกสถู่ นนสาธารณะได้ เนอ่ื งจากไดร้ บั
อนญุ าตจากนายประมขุ มขุ ตารี กรรมการผจู้ ดั การบรษิ ทั มติ รมขุ ตารี จำกดั เหน็ วา่ ขอ้ เทจ็ จรงิ
ปรากฏตามสารบญั จดทะเบยี นดา้ นหลงั โฉนดทดี่ นิ เลขท่ี ๓๕๕๑๔ เอกสารหมาย จ.๑ วา่ ทดี่ นิ
ของโจทกเ์ ดมิ มนี ายอรณุ ดำรงผล เปน็ เจา้ ของกรรมสทิ ธิ์ เมอื่ ปี ๒๕๑๒ นายอรณุ โอนขายใหแ้ ก
่
นายสะมะแอ ฤทธผิ ล หลงั จากนนั้ ในปี ๒๕๑๖ นายมะสะแอโอนขายใหแ้ กน่ างเชอื้ ชว่ ง ฉายายน
และตอ่ มาเมอ่ื ปี ๒๕๔๕ นายประตรี ฉายายน ผจู้ ดั การมรดกของนางเชอ้ื ชว่ ง ไดโ้ อนขายใหแ้ ก
่
โจทก์ ไม่ปรากฏว่านางเสง่ียมหรือนายสุดใจเคยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ท่ีดินของโจทก์มาก่อน
และทางนำสืบของโจทกไ์ มไ่ ด้ความว่านางเสงี่ยมและนายสุดใจซ่ึงอยู่อาศัยในที่ดนิ ของโจทก์มา
กอ่ นทโี่ จทกจ์ ะเขา้ มาเปน็ เจา้ ของทด่ี นิ ไดอ้ ยอู่ าศยั ในทด่ี นิ โดยไดร้ บั มอบหมายจากผเู้ ปน็ เจา้ ของ
ทด่ี นิ เดมิ อยา่ งไร หรอื ไม่ หรอื อยโู่ ดยอาศยั สทิ ธใิ ด การทนี่ างเสงย่ี มและนายสดุ ใจซงึ่ เปน็ เพยี งผ
ู้
อยอู่ าศยั ในทด่ี นิ ของโจทกไ์ ดใ้ ชถ้ นนคอนกรตี ทพี่ พิ าทเปน็ ทางเขา้ ออกสถู่ นนสาธารณะ ยอ่ มเปน็
การใชเ้ พอ่ื ประโยชนข์ องตนเองและครอบครวั เทา่ นนั้ ไมอ่ าจฟงั ไดว้ า่ เปน็ การใชเ้ พอ่ื ประโยชนแ์ ก
่
ผเู้ ปน็ เจา้ ของทด่ี นิ ดงั นนั้ แมจ้ ะมกี ารใชถ้ นนพพิ าทมานานเพยี งใด กไ็ มท่ ำใหถ้ นนพพิ าทตกเปน็
ภาระจำยอมแกท่ ดี่ นิ ของโจทก์ นอกจากน้ี นางสาวภทั รภร ดำรงฉายายน บตุ รของนางเชอ้ื ชว่ ง
ไดม้ าเบกิ ความเปน็ พยานใหจ้ ำเลยไดค้ วามวา่ พยานเพง่ิ ทราบในปี ๒๕๓๔ วา่ นางเชอื้ ชว่ งเปน็
เจ้าของที่ดินแปลงท่ีขายให้แก่โจทก์ และได้ไปดูท่ีดินในปีเดียวกัน พบว่านางเสงี่ยมและ
ครอบครัวอาศัยอยู่ในที่ดิน พยานยินยอมให้นางเสง่ียมและครอบครัวอาศัยอยู่ในที่ดินต่อไป
ตอ่ มาโจทกม์ าตดิ ตอ่ ขอซอื้ ทด่ี นิ เดมิ ตกลงขายใหโ้ จทกใ์ นราคา ๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยพยานรบั
206 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉัยคดี
จะดำเนินการเก่ียวกับทางเข้าออกและผู้ท่ีอาศัยอยู่ในท่ีดิน แต่เมื่อพยานไปพบและพูดคุย
เกย่ี วกบั คา่ ใชท้ างกบั นายประมขุ เจา้ ของโครงการหมบู่ า้ นมติ รประชาวลิ ลา่ แลว้ นายประมขุ ขอ
คา่ ตอบแทนการใชท้ าง ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท พยานไมต่ กลงดว้ ย และตอ่ มาไดล้ ดราคาซอ้ื ขายทด่ี นิ
ใหโ้ จทก์ จำนวน ๒,๖๐๐,๐๐๐ บาท เพือ่ ใหโ้ จทก์ไปดำเนินการเรอ่ื งทางเข้าออกและขับไล่ผอู้ ยู
่
อาศัยในที่ดินเอง โดยแยกเป็นค่าใช้ทาง ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท และค่าขับไล่ผู้อยู่อาศัยในที่ดิน
๖๐๐,๐๐๐ บาท จากคำเบิกความของนางสาวภัทรภรซ่ึงเป็นทายาทของนางเช้ือช่วงดังกล่าว
แสดงใหเ้ หน็ อกี ประการหนง่ึ วา่ บรรดาทายาทซงึ่ เปน็ ผรู้ บั มรดกทดี่ นิ ของนางเชอ้ื ชว่ งตา่ งกม็ ไิ ด
้
ถอื เอาประโยชนจ์ ากการทนี่ างเสงยี่ ม นายสดุ ใจ และครอบครวั ใชถ้ นนพพิ าทเปน็ ทางเขา้ ออกส
ู่
ถนนสาธารณะวา่ เปน็ การใชป้ ระโยชนแ์ กท่ ด่ี นิ มรดกทต่ี กไดแ้ กต่ นอนั จะทำใหท้ ดี่ นิ มรดกดงั กลา่ ว
ไดส้ ทิ ธภิ าระจำยอมในถนนพพิ าทแลว้ โจทกซ์ งึ่ เปน็ ผรู้ บั โอนทดี่ นิ มาจากผจู้ ดั การมรดกของนาง
เชอ้ื ชว่ งจงึ ไมม่ สี ทิ ธดิ กี วา่ เจา้ ของทด่ี นิ เดมิ ดงั นน้ั ยอ่ มไมอ่ าจอา้ งสทิ ธภิ าระจำยอมในถนนพพิ าท
ได้ ทโ่ี จทกอ์ ทุ ธรณว์ า่ ทดี่ นิ ของโจทกแ์ ละจำเลยตา่ งแบง่ แยกออกมาจากทดี่ นิ โฉนดเลขท่ี ๑๔๒๐
โดยทด่ี นิ ของโจทกเ์ ชอ่ื มตดิ กบั ทดี่ นิ ของจำเลย แสดงวา่ เจา้ ของทดี่ นิ เดมิ ผแู้ บง่ แยกประสงคจ์ ะให
้
ทดี่ นิ ของจำเลยเปน็ ทางเขา้ ออกสถู่ นนเสรไี ทยสำหรบั ทดี่ นิ ของโจทก์ ทด่ี นิ ของจำเลยจงึ ตกเปน็
ภาระจำยอมแก่ท่ีดินของโจทกแ์ ล้วนน้ั เหน็ วา่ ลำพงั ขอ้ เท็จจรงิ ดงั กล่าวยงั ไม่อาจถอื ได้วา่ ท่ดี นิ
ของจำเลยตกเปน็ ภาระจำยอมแกท่ ดี่ นิ ของโจทกแ์ ลว้ ทศี่ าลชน้ั ตน้ พพิ ากษายกฟอ้ งโจทกม์ านนั้
ศาลอทุ ธณเ์ ห็นพ้องดว้ ย อทุ ธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขนึ้
พพิ ากษายนื คา่ ฤชาธรรมเนียมช้นั อทุ ธรณ์ให้เป็นพับ.
ส่วนท่ี ๒ ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาและคำสง่ั ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
207
คดีแพ่ง
ตัวอยา่ งคดีภาระจำยอม ทางจำเปน็
ค
ำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๕๕๙๗/๒๕๕๑
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงอันเป็นยุติในชั้นน้ีโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์
โต้แย้งฟังได้ว่า ท่ีดินโฉนดเลขที่ ๑๘๓๙๙ ตำบลบางพลัด (บางพลู) อำเภอบางกอกน้อย
กรงุ เทพมหานคร ของโจทก์ท่ี ๑ ที่ดนิ โฉนดเลขท่ี ๑๘๔๐๐ ตำบลบางพลดั (บางพล)ู อำเภอ
บางกอกน้อย กรงุ เทพมหานคร ของโจทกท์ ี ่ ๒ และท่ดี ินโฉนดเลขท ี่ ๑๘๓๙๗, ๑๘๓๙๘,
๑๘๓๘๐ และ ๑๘๓๘๑ ตำบลบางพลัด (บางพล)ู อำเภอบางกอกนอ้ ย กรงุ เทพมหานคร ของ
โจทก์ท่ี ๓ เดิมเปน็ ท่ีดินของจำเลยที่ ๑ เมอ่ื ประมาณปี ๒๕๑๗ จำเลยท่ี ๑ แบง่ แยกออกเป็น
แปลงย่อยพร้อมปลูกบ้านขายให้แก่บุคคลท่ัวไป โดยที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๓๙๘ และ ๑๘๓๘๐
ของโจทกท์ ่ี ๓ เดมิ จำเลยที่ ๑ ขายใหแ้ กน่ ายสมทิ ธ์ นพแกว้ กบั นางสาวเสาวนจิ โสตถวิ ฒั น์ เมอื่
วนั ที่ ๔ เมษายน ๒๕๑๘ และทดี่ นิ โฉนดเลขที่ ๑๘๓๙๗ และ ๑๘๓๘๑ ซึง่ เป็นของโจทก์ที่ ๓
เช่นกัน เดิมจำเลยท่ี ๑ เคยขายให้แก่นางน้ำทิพย์ ตริยาอุดมสุข เมื่อวันท่ี ๒๗ พฤศจิกายน
๒๕๒๑ สว่ นทดี่ นิ โฉนดเลขท่ี ๑๘๓๙๙ ปจั จบุ นั เปน็ ของโจทกท์ ่ี ๑ เดมิ จำเลยท่ี ๑ เคยขายใหแ้ ก
่
นางไสว กุนอก เมอื่ วนั ที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๑๘ รวมท้ังที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๔๐๐ ของโจทก์
ที่ ๒ เดมิ จำเลยท่ี ๑ เคยขายใหแ้ ก่นางไพบูลย์ พุ่มตาลพงษ์ เม่อื วนั ที่ ๒๓ มถิ ุนายน ๒๕๑๘
ตามสำเนาโฉนดที่ดนิ เอกสารหมาย จ.๑ ถงึ จ.๔, จ.๑๐ และ จ.๑๒ ผู้ท่ซี ื้อทดี่ ินจากจำเลยที่ ๑
และต่อมาภายหลังรวมทั้งโจทก์ท้ังสามใช้ทางพิพาทผ่านท่ีดินโฉนดเลขท่ี ๔๐๗๕๕ ตำบล
บางพลดั (บางพลู) อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ ๑ และทดี่ ินโฉนดเลข
ท่ี ๑๐๒๑ ตำบลบางพลดั (บางพล)ู อำเภอบางกอกนอ้ ย กรงุ เทพมหานคร ของจำเลยท่ี ๒ ตาม
สำเนาโฉนดท่ีดนิ เอกสารหมาย จ.๕ และ จ.๖ เขา้ ออกสทู่ างสาธารณะ คือ ถนนสริ ินธร ตลอด
มาตามแผนทีส่ ังเขปแสดงทางพพิ าท เอกสารหมาย จ.๗ และภาพถ่าย หมาย จ.๘ และ ล.๑
208 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี
ตอ่ มาเม่ือประมาณกลางปี ๒๕๔๖ จำเลยทั้งสองทำถนนคอนกรตี ในท่ีดนิ โฉนดเลขที่ ๔๐๗๕๕
ของจำเลยที่ ๑ เปน็ เสน้ ทางใหมเ่ ขา้ ออกสถู่ นนสริ นิ ธรตามภาพถา่ ย หมาย ล.๔ สว่ นทางพพิ าท
ไดม้ กี ารนำดนิ และหนิ มาถมปรบั จนไมม่ ลี กั ษณะเปน็ ทางและทำรวั้ ปดิ ตามภาพถา่ ย หมาย จ.๙
และ ล.๔ คดมี ีปัญหาตามอทุ ธรณข์ องโจทก์ทง้ั สามว่า ทางพิพาทเปน็ ภาระจำยอมแก่ทีด่ ินของ
โจทก์ท้งั สามหรือไม่ โจทก์ทัง้ สามมโี จทกท์ ี่ ๑, ท่ี ๒ และที่ ๓ กบั นางสุวมิ ล มะอาจเลิศ มารดา
โจทกท์ ี่ ๓ และนางจติ รา ธนากรู เมธา เปน็ พยานเบกิ ความในทำนองเดยี วกนั วา่ ในระหวา่ งเปน็
เจา้ ของทดี่ นิ ดงั กลา่ ว พยานทง้ั หมดใชท้ างพพิ าทโดยนำหนิ มาถมทางพพิ าทและนำเสาไฟฟา้ มา
ติดตั้งเพ่ือใช้เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะมาจนถึงปัจจุบันเกินกว่า ๑๐ ปี แล้ว ไม่มีผู้ใด
ขัดขวาง ส่วนจำเลยทั้งสองมีจำเลยท้ังสองเป็นพยานเบิกความว่า ในการแบ่งขายที่ดินให้แก่
บคุ คลทวั่ ไป มกี ารทำทางพพิ าทเพอ่ื ใชเ้ ปน็ ทางเขา้ ออกโดยเปน็ ทางสว่ นบคุ คลซงึ่ จำเลยทงั้ สอง
นำป้ายไปติดไว้ตามภาพถ่าย หมาย ล.๒ ในการซ่อมแซมและการนำหลอดไฟมาติดตาม
แนวทางพิพาทจะตอ้ งมาขออนญุ าตจากจำเลยท้งั สองกอ่ น เห็นวา่ ขณะทีจ่ ำเลยท่ี ๑ แบง่ ขาย
ทด่ี ินให้แกผ่ ้ซู อื้ ทดี่ นิ ดังกล่าวไมม่ ีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ เชอื่ วา่ จำเลยทัง้ สองเป็นผจู้ ัดทำ
ทางพพิ าทและยนิ ยอมใหผ้ ซู้ อื้ ใชส้ อยทางพพิ าท มใิ ชเ่ ปน็ การใชใ้ นลกั ษณะเปน็ ปฏปิ กั ษต์ อ่ จำเลย
ทง้ั สองซง่ึ เปน็ เจา้ ของทดี่ นิ ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากนางจติ รา พยานโจทก์ ซงึ่ เคยเปน็ เจา้ ของทดี่ นิ โฉนด
เลขท่ี ๑๘๔๐๐ ของโจทกท์ ี่ ๒ เบกิ ความตอบทนายจำเลยทง้ั สองถามคา้ นวา่ พยานและเจา้ ของ
ทด่ี นิ ขา้ งเคยี งเคยรวบรวมเงนิ และตดิ ตอ่ กบั จำเลยที่ ๑ เพอื่ ขออนญุ าตนำหนิ ไปถมเพอื่ ปรบั ปรงุ
ทางพิพาท แต่จำเลยที่ ๑ ไมอ่ นญุ าต นางสุวิมล พยานโจทก์ ซง่ึ เป็นมารดาโจทก์ที่ ๓ และเคย
เปน็ เจา้ ของทดี่ นิ โฉนดเลขท่ี ๑๘๓๙๘ และ ๑๘๓๘๐ ของโจทกท์ ี่ ๓ เบกิ ความตอบทนายจำเลย
ทง้ั สองถามคา้ นวา่ เมอื่ ประมาณปี ๒๕๔๖ พยานเคยใหค้ นนำหนิ ไปถมในทางพพิ าท แตจ่ ำเลย
ท่ี ๑ ไมอ่ นุญาต และโจทก์ที่ ๓ เป็นพยานเบิกความวา่ เมอ่ื ปี ๒๕๔๖ จำเลยทั้งสองนำดนิ และ
หนิ มาปดิ ทางพพิ าท จากนนั้ จำเลยทงั้ สองเรยี กโจทกท์ ่ี ๓ มารดาโจทกท์ ่ี ๓ นางไสว และบคุ คล
ส่วนที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาและคำส่ังในรปู คำพิพากษาของศาลอุทธรณ
์ 209
คดีแพ่ง
อน่ื ๆ ไปพบ แลว้ แจ้งว่าจะปดิ ทางพพิ าทและเปิดเสน้ ทางใหม่ ซงึ่ โจทกท์ ี่ ๓ ต้องลงลายมือช่อื
ยนิ ยอมเพอื่ เปดิ ทางดว้ ย นอกจากนนั้ โจทกท์ ่ี ๓ ยงั เบกิ ความตอบทนายจำเลยทง้ั สองถามคา้ น
ว่า ก่อนมีการปิดทางพิพาท ฝ่ายจำเลยเรียกโจทก์ที่ ๓ ไปพบและแจ้งให้ทราบว่าจะมีการปิด
ทางพพิ าท และในการเปลยี่ นเสน้ ทางใหมซ่ ง่ึ จะตอ้ งไปขออนญุ าตตอ่ สำนกั งานเขตบางพลดั นนั้
โจทก์ที่ ๓ ไดล้ งลายมือช่ือดว้ ย พฤตกิ ารณ์ของโจทก์ท่ี ๓ กับพวกทมี่ ิไดโ้ ต้แย้งคดั คา้ นในการท่ี
จำเลยที่ ๒ ปดิ ทางพพิ าทและเปดิ เสน้ ทางใหมช่ ใี้ หเ้ หน็ วา่ โจทกท์ งั้ สองกบั พวกมไิ ดใ้ ชท้ างพพิ าท
ในลกั ษณะเปน็ ปฏปิ กั ษต์ อ่ จำเลยทง้ั สอง แตเ่ ปน็ การใชโ้ ดยอาศยั ความยนิ ยอมของจำเลยทง้ั สอง
ทมี่ มี าแตเ่ ดมิ ทโ่ี จทกท์ ง้ั สามอทุ ธรณว์ า่ เหตทุ โ่ี จทกท์ งั้ สามมไิ ดโ้ ตแ้ ยง้ คดั คา้ นการปดิ ทางพพิ าท
และเปลยี่ นเปน็ เสน้ ทางใหม่ เพราะจำเลยทง้ั สองตกลงทจี่ ะจดทะเบยี นภาระจำยอมเสน้ ทางใหม
่
ให้แก่โจทก์ท้ังสาม เห็นว่า หากโจทก์ท้ังสามใช้ทางพิพาทจนได้ภาระจำยอมแล้ว ก็ไม่มีความ
จำเป็นอันใดท่ีจะยินยอมให้จำเลยท้ังสองเปิดใช้เส้นทางใหม่ เพราะโจทก์ทั้งสามอาจฟ้องร้อง
เพอื่ ใหจ้ ดทะเบยี นภาระจำยอมสำหรบั ทางพพิ าทไดอ้ ยแู่ ลว้ การทเี่ จา้ ของทด่ี นิ เดมิ และโจทกท์ ง้ั
สามใช้ทางพิพาทเข้าออกสู่ทางสาธารณะเป็นการใช้โดยอาศัยสิทธิของจำเลยท้ังสองซ่ึงเป็น
เจ้าของท่ีดิน มไิ ดใ้ ชใ้ นลักษณะเป็นปฏปิ กั ษ์ แม้จะใชม้ านานเกินกว่า ๑๐ ปี ทางพิพาทกไ็ ม่ตก
เป็นภาระจำยอมแก่ท่ีดินของโจทก์ท้ังสามโดยอายุความ ศาลชั้นต้นพิพากษาชอบแล้ว ศาล
อทุ ธรณเ์ หน็ พอ้ งดว้ ย สว่ นอทุ ธรณข์ อ้ อน่ื ของโจทกท์ ง้ั สามเปน็ เรอ่ื งปลกี ยอ่ ย ไมท่ ำใหก้ ารวนิ จิ ฉยั
ขอ้ เทจ็ จรงิ ของศาลอทุ ธรณเ์ ปลย่ี นแปลงไป ศาลอทุ ธรณเ์ หน็ ควรไมว่ นิ จิ ฉยั อทุ ธรณข์ องโจทกท์ งั้
สามฟงั ไมข่ ้ึน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนยี มในชั้นอุทธรณ์ใหเ้ ป็นพับ.
210 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คดี
ตวั อยา่ งคดีภาระจำยอม ละเมิด
๑
. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๙๕๖๔/๒๕๔๘
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำฟ้อง
คำใหก้ าร ทางนำสบื ที่โจทก์ทัง้ เจ็ดกับจำเลยรบั กนั และคำพพิ ากษาศาลช้ันตน้ โดยไมม่ ีฝา่ ยใด
อทุ ธรณโ์ ตแ้ ยง้ วา่ เมอ่ื ปี ๒๔๘๖ นายแฉลม้ หมนี ำ้ เงนิ และนางแชม่ หมนี ำ้ เงนิ บดิ ามารดาโจทก
์
ทงั้ เจด็ เปน็ เจา้ ของกรรมสทิ ธท์ิ ด่ี นิ โฉนดเลขท่ี ๒๔๔๑ ตำบลจอมทอง (บางมด) อำเภอจอมทอง
(บางขุนเทยี น) กรงุ เทพมหานคร นายแฉล้มถึงแกค่ วามตายในปี ๒๕๑๐ และในปี ๒๕๑๕ นาง
แช่มกับโจทก์ท้ังเจ็ดได้รับมรดกที่ดินเฉพาะส่วนของนายแฉล้ม นางแช่มถึงแก่ความตายเมื่อป ี
๒๕๓๔ ต่อมาในปี ๒๕๔๓ โจทก์ทง้ั เจ็ดจงึ แบ่งแยกทด่ี นิ แปลงดงั กลา่ วออกเป็น ๗ แปลง เปน็
ของโจทกแ์ ตล่ ะคน คอื โฉนดเลขท่ี ๔๕๔๖ ถงึ ๔๕๕๒ ทดี่ นิ โฉนดเลขที่ ๒๔๔๑ สว่ นทเี่ หลอื ซง่ึ
เปน็ กรรมสทิ ธริ์ วมแบง่ เพอ่ื ใหเ้ ปน็ ทางผา่ นทด่ี นิ ของโจทกท์ งั้ เจด็ แตล่ ะแปลง โดยทด่ี นิ สว่ นทแี่ บง่
เพ่ือให้เป็นทางดังกล่าวด้านทิศตะวันตกไปจรดท่ีดินพิพาท และด้านทิศตะวันออกจรดท่ีดิน
ของนายนยิ ม ปลมื้ หทยั กจิ กบั พวก กบั ดา้ นทศิ เหนอื ระหวา่ งทดี่ นิ ของโจทกท์ ี่ ๖ และท่ี ๗ จรด
ที่ดินแปลงอืน่ ของโจทก์ท่ี ๑ และท่ี ๗ โฉนดเลขที่ ๑๐๓๕๐๔ ตามสำเนาโฉนดท่ดี ิน เอกสาร
หมาย จ.๓, จ.๕, ล.๒ และแผนที่แสดงที่ตั้งท่ีดิน เอกสารหมาย จ.๔๐ ซ่ึงท่ีดินโฉนดเลขท ี่
๑๐๓๕๐๔ นี้ โจทกท์ ่ี ๑ และท่ี ๗ ไดจ้ ดทะเบยี นเปน็ ภาระจำยอมใหแ้ กท่ ด่ี นิ ของโจทกท์ ง้ั เจด็ ซง่ึ
แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขท่ี ๒๔๔๑ เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๔๓ ตามสำเนาบันทึก
ข้อตกลงภาระจำยอม เอกสารหมาย ล.๓ เดิมที่ดินพิพาทเป็นส่วนหน่ึงของที่ดินโฉนดเลขท ่ี
๒๔๔๒ ตำบลบางมด อำเภอจอมทอง (บางขุนเทยี น) กรงุ เทพมหานคร นางสมพศิ ใจซื่อ และ
นายประพันธ์ รุโจประการ เจ้าของที่ดินเดิม ได้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์ท่ีดินโฉนดเลขท่ี ๒๔๔๒
ออกเปน็ แปลงยอ่ ยเพอื่ ขาย จำเลยซอื้ ทดี่ นิ ทแ่ี บง่ แยกตดิ กนั รวม ๔ แปลง คอื ทด่ี นิ โฉนดเลขท ่ี
สว่ นที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำส่ังในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 211
คดแี พง่
๒๗๙๒๕ โดยซ้ือต่อจากนายเกษม ตระกูลเกียรติ เม่ือวันท่ี ๙ กันยายน ๒๕๑๘ ตามสำเนา
โฉนดที่ดนิ เอกสารหมาย ล.๑๑ โฉนดเลขท่ี ๗๕๒๓๑ ซื้อเมอ่ื วันที่ ๒๐ ตลุ าคม ๒๕๓๐ ตาม
สำเนาโฉนดทด่ี นิ เอกสารหมาย ล.๑๒ โฉนดเลขที่ ๒๔๔๒ ซ้อื เม่ือวนั ที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๓๕
ตามสำเนาโฉนดทด่ี นิ เอกสารหมาย จ.๑๓ และโฉนดเลขที่ ๗๕๒๓๒ ซงึ่ เปน็ ทด่ี นิ พพิ าท ซอื้ เมอื่
วนั ที่ ๒ มถิ นุ ายน ๒๕๔๓ ตามสำเนาโฉนดทดี่ ิน เอกสารหมาย ล.๘ ที่ดนิ พิพาท นางชดิ ชนนี
ภัทรฐิติ นายชา่ งรังวดั ระดบั ๖ สำนักงานท่ีดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางขนุ เทยี น รงั วดั แล้ว
มเี นอื้ ท่ี ๑๐ ตารางวา ดา้ นทศิ ตะวนั ออก กวา้ ง ๒.๒๐ เมตร ดา้ นทศิ ตะวนั ตก กวา้ ง ๔.๔๖๔ เมตร
ด้านทิศเหนือ มี ๒ แนว แนวแรกที่ติดกับทางสาธารณะ ยาว ๒.๘๑๖ เมตร แนวที่สองถัด
มา ยาว ๑๐.๑๔๔ เมตร และทิศใต้ ยาว ๑๖.๒๖ เมตร ตามแผนทพี่ ิพาท เอกสารหมาย จ.๒๗
โดยด้านทิศเหนือเป็นแนวรั้วบ้านของนายช้ัน คงเลิศ ด้านทิศใต้เป็นแนวกำแพงปูน ด้านทิศ
ตะวันออกจรดแนวเขตที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด และด้านทิศตะวันตกจรดถนนสาธารณะ ที่ดิน
พิพาทนายแฉล้มและนางแช่มกับโจทก์ท้ังเจ็ดได้ใช้เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะมาตั้งแต่ปี
๒๔๘๖ ประเด็นท่ีต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์มีว่า ท่ีดินพิพาทตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ท่ีดิน
โฉนดเลขที่ ๒๔๔๑ และโฉนดเลขที่ ๔๕๔๖ ถงึ ๔๕๕๒ ของโจทก์ทั้งเจด็ ตามฟอ้ งหรอื ไม่
พิเคราะห์แล้ว โจทก์ท้ังเจ็ดมีโจทก์ที่ ๗ นายชัยฤทธิ์ ดาวเจริญ สามีของโจทก์
ท่ี ๗ ซง่ึ เปน็ ทนายโจทกท์ ง้ั เจด็ นายสชุ าติ พรรษาสมบตั ิ นายอนนั ต์ กลนิ่ สวุ รรณ และนายเอนก
วาทีทอง เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า นายแฉล้ม หมีน้ำเงิน นางแช่ม หมีน้ำเงิน
โจทกท์ ่ี ๑ ถงึ ที่ ๖ และพยานโจทกท์ งั้ หา้ ใชท้ ด่ี นิ พพิ าทเปน็ ทางเขา้ ออกสทู่ างสาธารณะมาตงั้ แต
่
ปี ๒๔๘๖ ตามแผนที่พพิ าท และแผนทแี่ สดงทต่ี งั้ ทด่ี ิน เอกสารหมาย จ.๒๗ และ จ.๔๐ โดย
ความสงบ เปิดเผย และไม่เคยมีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน โจทก์ท้ังเจ็ดปรับปรุงท่ีดินพิพาทโดย
ใช้ดินลูกรังมาอัดถม ต่อมาในปี ๒๕๓๐ ได้ปรับสภาพพื้นดินโดยนำหินและทรายมาถมท่ีดิน
พิพาทและปลูกสร้างโรงจอดรถในท่ีดินของโจทก์ท้ังเจ็ด นอกจากน้ี ยังปักเสาพาดสายไฟฟ้า
212 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี
สายโทรศัพท์ และวางท่อประปาผ่านทด่ี นิ พพิ าทเขา้ สทู่ ่ีดนิ ของโจทกท์ ั้งเจ็ด ซึง่ ในขณะน้ันนาย
ประพนั ธ์ รโุ จประการ และนางสมพศิ ใจซอื่ ซงึ่ เปน็ เจา้ ของทดี่ นิ พพิ าท มไิ ดโ้ ตแ้ ยง้ คดั คา้ น สว่ น
จำเลยมจี ำเลย นางสมพิศ และนายกติ ตพิ งษ์ รุโจประการ ซ่งึ เป็นนอ้ งของนางสมพศิ และเป็น
บตุ รของนายประพนั ธ์ เบกิ ความทำนองเดยี วกนั วา่ จำเลยซอื้ ทดี่ นิ พพิ าทจากนายประพนั ธแ์ ละ
นางสมพิศในราคา ๓๐๐,๐๐๐ บาท กอ่ นทีจ่ ำเลยจะซอื้ นายกติ ติพงษบ์ อกจำเลยว่าโจทกท์ ี่ ๕
และท่ี ๗ เคยติดต่อกบั นายกิตตพิ งษ์ เสนอขอซ้อื ทดี่ นิ พิพาทในราคา ๕๐,๐๐๐ บาท แต่นาย
ประพนั ธ์และนางสมพศิ จะขายในราคา ๓๐๐,๐๐๐ บาท จึงไมส่ ามารถตกลงกันได้ ที่ดนิ พิพาท
อย่หู นา้ โรงงานของจำเลย จำเลยเคยขออนญุ าตนายประพนั ธ์และนางสมพิศเพือ่ ใชท้ ีด่ นิ พพิ าท
เป็นทางผ่านและใช้เป็นที่ขนถ่ายสินค้า นายประพันธ์กับนางสมพิศเคยปิดป้ายสงวนสิทธิไว้ว่า
เป็นที่ดินส่วนบุคคล ห้ามบุคคลอ่ืนใช้ประโยชน์ตามภาพถ่าย หมาย ล.๑๔ โดยปิดไว้เป็น
ระยะเวลากวา่ ๒๐ ปี ปจั จบุ นั ปา้ ยดงั กลา่ วชำรดุ เสยี หายไปหมดแลว้ แมจ้ ะมกี ารปกั ปา้ ย โจทก
์
ท้ังเจ็ดก็ยังคงใช้ที่ดินพิพาทเป็นทางเดินผ่าน ที่นายประพันธ์และนางสมพิศอนุญาต เพราะมี
ท่ีดินอยู่ติดกัน และมีความสนิทสนมคุ้นเคยกันมาตั้งแต่รุ่นบิดามารดา นายประพันธ์และนาง
สมพศิ ไมเ่ คยอนญุ าตใหโ้ จทกท์ งั้ เจด็ ใชร้ ถยนตผ์ า่ นทดี่ นิ พพิ าท เมอ่ื จำเลยซอื้ ทด่ี นิ พพิ าทแลว้ ก
็
ได้ทำป้ายสงวนสิทธิติดไว้บนที่ดินพิพาทเช่นกันตามภาพถ่าย หมาย ล.๙ แต่จำเลยยังคง
ยนิ ยอมใหโ้ จทกท์ ง้ั เจด็ ใชเ้ ปน็ ทางเดนิ ผา่ นเขา้ ออก เนอ่ื งจากเหน็ เปน็ เพอื่ นบา้ นกนั และอยอู่ าศยั
มานาน ท้ังจำเลยยังรู้จักกับนายแฉล้มและนางแช่ม แต่จำเลยไม่ประสงค์จะให้โจทก์ทั้งเจ็ดใช
้
รถยนต์ผ่านท่ีดนิ พพิ าท ก่อนวนั ท่ี ๘ มถิ นุ ายน ๒๕๔๔ โจทก์ทง้ั เจ็ดไม่เคยใช้รถยนต์ผา่ นที่ดนิ
พพิ าท แต่จะนำรถยนต์ของตนไปจอดไว้ทบ่ี ้านนายช้ัน คงเลศิ การใช้ที่ดนิ พพิ าทเป็นทางเดนิ
เขา้ ออกสทู่ างสาธารณะ การปกั เสาพาดสายไฟฟา้ สายโทรศพั ท์ การเดนิ ทอ่ ประปา รวมทงั้ การ
นำดนิ ลกู รงั มาถมในทด่ี นิ พพิ าท โจทกท์ ง้ั เจด็ ไดร้ บั ความยนิ ยอมจากนางชดิ รโุ จประการ มารดา
ของนางสมพิศและนายกิตติพงษ์ เม่ือพิจารณาคำเบิกความของพยานท้ังฝ่ายโจทก์ท้ังเจ็ดและ
สว่ นท่ี ๒ ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาและคำสัง่ ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 213
คดีแพ่ง
ฝ่ายจำเลยแล้ว เห็นว่า แม้พยานโจทก์ท้ังห้าปากจะเบิกความได้ค่อนข้างสอดคล้องกัน ก็คง
สอดคล้องกนั เฉพาะการใช้ที่ดินพิพาทโดยเปิดเผยเท่านั้น สว่ นการใชท้ ี่ดินพพิ าทที่พยานโจทก
์
ทั้งห้าปากอ้างว่าใช้โดยความสงบ ไม่เคยมีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านนั้น เลื่อนลอย ปราศจาก
พยานหลกั ฐานสนบั สนนุ เพราะพยานจำเลยทง้ั สามปากเบกิ ความไดส้ อดคลอ้ งตอ้ งกนั ยนื ยนั วา่
การใชท้ ดี่ นิ พพิ าทนน้ั จะตอ้ งไดร้ บั อนญุ าตจากนางสมพศิ นายประพนั ธ์ หรอื นายกติ ตพิ งษก์ อ่ น
ซง่ึ แมแ้ ตจ่ ำเลยเองกอ่ นทจ่ี ะซอื้ ทดี่ นิ พพิ าทกย็ งั ตอ้ งขออนญุ าตใชท้ ดี่ นิ พพิ าทจากนางสมพศิ นาย
ประพนั ธ์ หรอื นายกติ ตพิ งษก์ อ่ นเชน่ กนั นางสมพศิ และนายกติ ตพิ งษต์ า่ งรจู้ กั และเปน็ เพอื่ นบา้ น
กบั นายแฉลม้ นางแชม่ โจทกท์ งั้ เจด็ และจำเลย ไมเ่ คยมสี าเหตโุ กรธเคอื งกนั มากอ่ น แมจ้ ำเลย
จะเป็นผู้ซ้ือท่ีดินพิพาทจากนางสมพิศและนายกิตติพงษ์ ก็ไม่น่าจะเป็นมูลเหตุจูงใจถึงขนาดที่
นางสมพศิ และนายกติ ตพิ งษจ์ ะเบกิ ความเขา้ ขา้ งจำเลย คำเบกิ ความของจำเลย นางสมพศิ และ
นายกิตติพงษ์จึงน่าเช่ือถือและมีน้ำหนักมากกว่าพยานโจทก์ทั้งเจ็ด หากโจทก์ท้ังเจ็ดใช้ที่ดิน
พิพาทเข้าออกสู่ทางสาธารณะโดยความสงบ เปิดเผย และไม่เคยมีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านจริงแล้ว
โจทกท์ ี่ ๑, ที่ ๒, ที่ ๕ และท่ี ๗ คงไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งตดิ ตอ่ ขอซอ้ื ทด่ี นิ พพิ าทจากนางสมพศิ กอ่ นทจ่ี ะ
ขายใหแ้ กจ่ ำเลย ดงั ทน่ี างสมพศิ เบกิ ความวา่ ในปี ๒๕๓๗ นางสมพศิ พบโจทกท์ ่ี ๑ และที่ ๒ โดย
บังเอญิ โจทกท์ ่ี ๑ และท่ี ๒ บอกว่าหากจะขายที่ดนิ พพิ าท ขอให้ขายให้โจทกท์ ี่ ๑ และท่ี ๒
ก่อน ต่อมาเมื่อต้นปี ๒๕๔๓ โจทก์ท่ี ๗ ได้ติดต่อกับนายกิตติพงษ์เพ่ือให้ไปเจรจากับนาย
ประพันธ์ที่จังหวัดชุมพรเพื่อขอซื้อที่ดินพิพาทในราคา ๕๐,๐๐๐ บาท และนายกิตติพงษ์เบิก
ความวา่ โจทกท์ ี่ ๕ และที่ ๗ เสนอขอซอ้ื ทด่ี นิ พพิ าทในราคาไมเ่ กนิ ๕๐,๐๐๐ บาท ทง้ั หากโจทก
์
ทง้ั เจด็ ใชท้ ดี่ นิ พพิ าทเขา้ ออกสทู่ างสาธารณะโดยความสงบ เปดิ เผย และไมม่ ผี ใู้ ดโตแ้ ยง้ คดั คา้ น
จรงิ แลว้ โจทกท์ ี่ ๑ และท่ี ๗ คงไมจ่ ำตอ้ งจดทะเบยี นทด่ี นิ โฉนดเลขท่ี ๑๐๓๕๐๔ ใหเ้ ปน็ ภาระจำ
ยอมแกท่ ด่ี นิ ของโจทกท์ งั้ เจด็ เมอื่ วนั ท่ี ๔ กรกฎาคม ๒๕๔๓ หลงั จากจำเลยซอื้ ทดี่ นิ พพิ าทเพยี ง
๑ เดือน การทีโ่ จทกท์ ่ี ๑, ท่ี ๒, ที่ ๕ และท่ี ๗ เคยเสนอซ้ือท่ดี นิ พพิ าทก่อนท่ีจำเลยจะซื้อกด็ ี
214 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉัยคด
ี
การทโี่ จทก์ที่ ๑ และที่ ๗ จดทะเบียนท่ีดินโฉนดเลขท่ี ๑๐๓๕๐๔ ใหเ้ ปน็ ภาระจำยอมแก่ท่ีดิน
ของโจทกท์ ้งั เจด็ หลงั จากท่จี ำเลยซอ้ื ทด่ี นิ พิพาทเพียง ๑ เดือน กด็ ี แสดงให้เห็นวา่ โจทกท์ ง้ั เจด็
ตา่ งทราบดถี งึ ความเปน็ มาในการใชท้ ด่ี นิ พพิ าท และเทา่ กบั เปน็ การยอมรบั โดยปรยิ ายวา่ โจทก
์
ทงั้ เจด็ ไมม่ สี ทิ ธทิ จ่ี ะใชท้ ด่ี นิ พพิ าท ทศี่ าลชน้ั ตน้ วนิ จิ ฉยั วา่ นายแฉลม้ นางแชม่ กบั โจทกท์ งั้ เจด็ ใช
้
ทดี่ นิ พพิ าทดว้ ยความสนทิ สนมกบั นางสมพศิ และนายประพนั ธม์ านานอนั เปน็ การใชท้ ดี่ นิ พพิ าท
โดยถือวิสาสะและเอ้อื เฟื้อต่อกนั ไม่ถอื ว่าเปน็ การใชท้ ด่ี ินพิพาทโดยความสงบและเปิดเผยดว้ ย
เจตนาให้ได้สิทธิภาระจำยอม ที่ดินพิพาทไม่ตกเป็นภาระจำยอมโดยอายุความตามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๐๑ แล้วพิพากษายกฟ้องจึงชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์เห็น
พอ้ งด้วย อทุ ธรณ์ของโจทก์ท้งั เจ็ดฟังไม่ขนึ้
พิพากษายืน ให้โจทก์ท้ังเจ็ดใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๑,๐๐๐ บาท แทน
จำเลย.
๒
. คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๖๘๕๖/๒๕๔๙
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังยุติตามทางนำสืบ
ของคู่ความและตามคำพิพากษาศาลช้ันต้นโดยคู่ความไม่อุทธรณ์โต้แย้งว่า โจทก์เป็นเจ้าของ
ที่ดินโฉนดเลขท่ี ๒๖๘๖๕ และ ๒๖๙๑๔ ตำบลบางซ่ือ อำเภอบางซ่ือ กรุงเทพมหานคร เนื้อที่
๑๑ ๗
ตารางวา และ ๑๒ ตารางวา พรอ้ มตกึ แถวหอ้ งหวั มมุ เลขท่ี ๖๗๕ และโกดงั หลงั ตกึ แถว
๑๐
โดยซ้ือมาเมอ่ื ปี ๒๕๑๑ และปี ๒๕๑๔ ตามลำดบั ดา้ นหน้าตึกของโจทกต์ ิดถนนประชาราษฎร ์
สาย ๒ ดา้ นขา้ งตกึ ทางทศิ ตะวนั ออกตดิ ทางพพิ าทซง่ึ อยใู่ นเขตทดี่ นิ ของจำเลยที่ ๑ โฉนดเลขท
่ี
๑๕๕๐๑๙ ตำบลบางซื่อ อำเภอบางซอื่ กรงุ เทพมหานคร ตามสำเนาโฉนดท่ีดิน เอกสารหมาย
จ.๓, จ.๔, จ.๘ และ จ.๙ หลังจากจำเลยที่ ๑ ซือ้ ที่ดนิ แปลงดังกลา่ วแล้ว ไดด้ ำเนนิ การก่อสรา้ ง
ส่วนท่ี ๒ ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำสงั่ ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
215
คดีแพง่
ห้างเทสโก โลตัส สาขาประชาช่ืน และได้ขอเชอื่ มทางพพิ าทกบั ถนนประชาราษฎร์ สาย ๒ แต่
สำนกั การจราจรและขนสง่ ไมอ่ นญุ าต เนอื่ งจากทางพพิ าทอยใู่ กลท้ างแยกประชาชนื่ และแยกรมิ
คลองประชา เกรงจะเกดิ ปัญหาการจราจรตดิ ขดั จำเลยที่ ๑ จึงสรา้ งกำแพงปดิ ทางพิพาทด้าน
ตดิ ถนนประชาราษฎร์ สาย ๒ โดยเวน้ ชอ่ งวา่ งหา่ งจากผนงั ตกึ ของโจทก์ กวา้ ง ๑.๐๕ เมตร ตาม
แผนที่พิพาท เอกสารหมาย จ.๑๗ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลย
ที่ ๑ มวี า่ โจทกไ์ ดส้ ทิ ธภิ าระจำยอมในทางพพิ าทหรอื ไม่ เพยี งใด และจำเลยที่ ๒ กระทำละเมดิ
ต่อโจทก์หรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์ นางสาวกัญจนา เป่ียมจิตรสุข นางอนงค์นาฎ เตชะภูวภัทร
และนายสมศกั ดิ์ ประเสรฐิ พนั ธ์ เพอื่ นบา้ นซงึ่ อาศยั ในตกึ แถวละแวกเดยี วกนั กบั โจทก์ เบกิ ความ
ว่า ตึกแถวในบริเวณดังกล่าวปลูกสร้างต้ังแต่ปี ๒๕๐๐ มีความยาวประมาณ ๒๐๐ ถึง ๓๐๐
เมตร ตามแนวถนนประชาราษฎร์ สาย ๒ โดยตกึ แถวทกุ ๑๐ หอ้ ง จะเวน้ ชอ่ งวา่ งเทา่ กบั ความ
กวา้ งของตึก ๑ หอ้ ง เป็นทางเขา้ ออกสถู่ นนประชาราษฎร์ สาย ๒ เน่อื งจากดา้ นหลังตกึ แถว
เปน็ ชมุ ชนแออดั ตอ่ มาในปี ๒๕๑๘ เมอ่ื บรษิ ทั ศนู ยก์ ารคา้ บางซอื่ จำกดั ซอ้ื ทดี่ นิ บรเิ วณดงั กลา่ ว
ไปแล้ว ได้ปลูกตึกแถว คอนโดมิเนียม และตลาดในที่ดิน กับทุบตึกแถวออก ๑ ห้อง ทำให
้
ทางเขา้ ออกระหว่างตึกแถวซ่ึงเป็นทางพิพาทมีความกว้าง ๕ เมตรเศษ ตึกแถวของโจทก์เปน็
หอ้ งหวั มมุ มที างเขา้ ออกไดท้ ง้ั ดา้ นหนา้ ซงึ่ ตดิ ถนนประชาราษฎร์ สาย ๒ และดา้ นขา้ งซง่ึ ตดิ กบั
ทางพพิ าท สว่ นโกดงั ดา้ นหลงั ตกึ แถวของโจทกต์ อ้ งเขา้ ออกผา่ นทางพพิ าทเทา่ นน้ั โจทกค์ า้ ขาย
อะไหลร่ ถยนตบ์ รรทกุ สบิ ลอ้ ใชช้ อ่ื รา้ นวา่ สทิ ธผิ ลมอเตอร์ โดยใชโ้ กดงั ดา้ นหลงั ตกึ แถวซง่ึ กวา้ ง
๓.๕ เมตร ยาว ๑๖ เมตร เปน็ ทเ่ี ก็บสินคา้ และทีจ่ อดรถ โกดังมีประตเู ขา้ ออก ๒ ประตู ตาม
ภาพถา่ ย หมาย ล.๕ โจทก์ เพอ่ื นบา้ น และประชาชนทัว่ ไปใช้ทางพิพาทเป็นทางรถยนตผ์ า่ น
เข้าออกสู่ถนนประชาราษฎร์ สาย ๒ และถนนเลียบคลองประปามาโดยตลอด นอกจากน้ัน
โจทก์ยังมีนายครรชิต วิมลจันทร เพื่อนบ้านซึ่งอาศัยในตึกแถวละแวกเดียวกันกับโจทก์ เบิก
ความสนบั สนนุ อีกว่า บา้ นของโจทกม์ ปี ระตดู ้านขา้ งตัวตึก ๑ บาน ซ่ึงอยดู่ ้านหนา้ กับมปี ระต
ู
216 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉัยคด
ี
ขา้ งดา้ นหลงั อกี ๑ บาน ใชส้ ำหรบั จอดรถ ศาลอทุ ธรณไ์ ดพ้ จิ ารณาภาพถา่ ยตามหมาย จ.๕ ภาพ
ที่ ๑ ประกอบแล้ว เห็นว่า ประตูโกดังของโจทก์ด้านนอกเป็นประตูไม้ ๔ บาน เปิดออกด้าน
ขา้ ง ดา้ นละ ๒ บาน ในลักษณะพับซ้อนกัน สว่ นด้านในเปน็ ประตเู หลก็ ม้วน และมคี ำอธิบาย
ภาพด้านบนว่าประตดู ังกล่าวมีความกว้าง ๒ เมตร คำเบกิ ความของนายครรชติ และภาพถ่าย
ดังกล่าวจึงสนับสนุนข้อนำสืบของโจทก์ให้มีน้ำหนักให้รับฟัง แม้จำเลยท่ี ๑ จะนำสืบว่าประต
ู
ดังกลา่ วมีความกว้างประมาณ ๑ ถึง ๑.๒๐ เมตร รถยนตไ์ มส่ ามารถผา่ นเข้าออกได้ก็ตาม แต่
นายเลิศวิทย์ ภูมิพิทักษ์ และนายชัยณรงค์ วัชรพันธุ์อมตะ พยานจำเลยซึ่งเป็นพนักงานของ
จำเลยที่ ๑ ก็เบิกความยอมรับว่าจากประตูดังกล่าวมองเข้าไปภายในจะเป็นท่ีเก็บสินค้าของ
โจทก์ คำเบกิ ความของพยานจำเลยทงั้ สองดงั กลา่ วจงึ เจอื สมและสนบั สนนุ ใหข้ อ้ นำสบื ของโจทก์
มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น โจทก์ค้าขายอะไหล่รถยนต์บรรทุกสิบล้อและยังมีโกดังสำหรับเก็บสินค้า
อยู่ท่ีด้านหลังตึกแถว น่าเชื่อว่าโจทก์มีรถยนต์สำหรับขนส่งอะไหล่และใช้ในกิจการค้าขายของ
โจทก์ด้วย พยานหลักฐานโจทก์ประกอบกันแล้วจึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานจำเลย
ที่ ๑ ขอ้ เทจ็ จรงิ ฟังไดว้ า่ ประตดู งั กลา่ วมีความกว้างประมาณ ๒ เมตร และรถยนต์สามารถผา่ น
เข้าออกไปจอดในโกดังได้ โจทก์ใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกจากโกดังสู่ทางสาธารณะมาโดย
ตลอดนับแต่ซื้อท่ีดินแปลงหลังเมื่อปี ๒๕๑๔ โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งเกินกว่า ๑๐ ปี แล้ว โจทก์
ย่อมได้สิทธิภาระจำยอมเป็นทางรถยนต์ในทางพิพาทซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงของที่ดินโฉนดเลขที่
๑๕๕๐๑๙ จำเลยที่ ๑ ซ้อื ที่ดนิ แปลงดงั กล่าวเมอื่ ปี ๒๕๔๓ หลงั จากโจทก์ได้สทิ ธิภาระจำยอม
แล้ว ภาระจำยอมย่อมตกติดไปกับที่ดินด้วย ท่ีศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้สิทธิภาระ
จำยอมเปน็ ทางเดนิ ในทางพพิ าทไมต่ อ้ งดว้ ยความเหน็ ของศาลอทุ ธรณ์ อทุ ธรณข์ องโจทกใ์ นขอ้ น
้ี
ฟังข้ึน ส่วนที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า การเข้าออกจากโกดังสู่ทางสาธารณะโจทก์สามารถใช
้
ทางผา่ นตกึ แถวดา้ นหนา้ ของโจทกไ์ ด้ จงึ ไมม่ คี วามจำเปน็ ตอ้ งใชท้ างพพิ าทในการผา่ นเขา้ ออกส
ู่
ทางสาธารณะ โจทก์มีเจตนาใชท้ างพพิ าทเปน็ ที่จอดรถเพ่ือขนของเข้าออกในโกดัง ทางพิพาท
ส่วนท่ี ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำส่ังในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 217
คดีแพ่ง
จงึ มไิ ดต้ กเปน็ ภาระจำยอมแกท่ ด่ี นิ ของโจทกน์ น้ั โจทกม์ นี ายสรุ พงษ์ คำสขุ เจา้ พนกั งานทด่ี นิ ซงึ่
เปน็ ผรู้ งั วดั และทำแผนทพ่ี พิ าทในคดนี ้ี และพลโท วณิ เสนาลกั ษณ์ ขา้ ราชการบำนาญซง่ึ ใชท้ าง
พพิ าทเปน็ ทางผา่ นและใชจ้ อดรถเพอ่ื ซอ้ื ของในบรเิ วณดงั กลา่ ว เบกิ ความตรงกนั วา่ ภายในรา้ น
ของโจทก์เก็บของไว้เป็นจำนวนมากทั้งสองข้างและมีทางเดิน แต่ไม่สามารถนำรถยนต์เข้าไป
จอดในรา้ นได้ พยานโจทกท์ ั้งสองเป็นบุคคลภายนอก ไม่มสี ว่ นไดเ้ สยี กบั คู่ความฝ่ายใด เชื่อว่า
พยานโจทกท์ ัง้ สองตา่ งเบกิ ความไปตามข้อเทจ็ จริงท่ีตนเองรเู้ หน็ จงึ มนี ำ้ หนกั ให้รบั ฟงั ข้ออ้าง
ของจำเลยท่ี ๑ ทวี่ า่ โจทกใ์ ชท้ างพพิ าทเปน็ ทจ่ี อดรถเพอ่ื ขนของเขา้ โกดงั และโจทกส์ ามารถเขา้
ออกจากโกดงั สทู่ างสาธารณะไดโ้ ดยผา่ นทางตกึ แถวดา้ นหนา้ จงึ ไมม่ นี ำ้ หนกั ใหร้ บั ฟงั อทุ ธรณ
์
ของจำเลยท่ี ๑ ฟงั ไมข่ นึ้ เมอื่ ขอ้ เทจ็ จรงิ ฟงั ไดว้ า่ โจทกใ์ ชท้ างพพิ าทเปน็ ทางรถยนตผ์ า่ นเขา้ ออก
จากโกดงั ของโจทกส์ ทู่ างสาธารณะจนไดส้ ทิ ธภิ าระจำยอมแลว้ การทจี่ ำเลยท่ี ๑ ซง่ึ เปน็ เจา้ ของ
ภารยทรัพย์สร้างกำแพงปิดก้ันทางพิพาททำให้โจทก์ไม่สามารถใช้รถยนต์ผ่านทางพิพาทเพ่ือ
เข้าออกจากโกดังสู่ทางสาธารณะได้ ทำให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมของโจทก์ลดไป จึงเป็น
การละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ย่อมฟ้องขอให้จำเลยที่ ๑ รื้อถอนกำแพงและสิ่งปลูกสร้างในทาง
พพิ าทได้ สว่ นทโ่ี จทกอ์ า้ งวา่ จำเลยท่ี ๒ เปน็ ผรู้ บั เหมากอ่ สรา้ งกำแพงตามคำสงั่ ของจำเลยที่ ๑
ถอื วา่ จำเลยท่ี ๒ รว่ มกระทำละเมดิ และตอ้ งรบั ผดิ ตอ่ โจทกด์ ว้ ยนน้ั เหน็ วา่ จำเลยที่ ๒ เปน็ เพยี ง
ผรู้ บั เหมากอ่ สรา้ งซง่ึ กอ่ สรา้ งกำแพงตามคำสง่ั ของจำเลยท่ี ๑ ลงบนทด่ี นิ ของจำเลยท่ี ๑ เทา่ นน้ั
ขอ้ เทจ็ จรงิ ไมป่ รากฏวา่ จำเลยที่ ๒ รหู้ รอื ไมว่ า่ โจทกก์ บั จำเลยที่ ๑ มขี อ้ โตแ้ ยง้ กนั เกยี่ วกบั การใช
้
สทิ ธใิ นทางพพิ าท จงึ ฟงั ไมไ่ ดว้ า่ จำเลยที่ ๒ จงใจหรอื ประมาทเลนิ เลอ่ ในการกอ่ สรา้ งกำแพงปดิ
กน้ั ทางพพิ าทจนเปน็ เหตใุ หโ้ จทกไ์ ดร้ บั ความเสยี หาย จำเลยท่ี ๒ จงึ มไิ ดก้ ระทำละเมดิ ตอ่ โจทก ์
อุทธรณข์ องโจทก์ในข้อนฟ้ี ังไม่ขึน้
พิพากษาแก้เป็นว่า ท่ีดินโฉนดเลขท่ี ๑๕๕๐๑๙ เลขท่ีดิน ๕๐๐ ตำบลบางซ่ือ
อำเภอบางซอื่ กรงุ เทพมหานคร ของจำเลยท่ี ๑ ภายในกรอบเสน้ สเี หลอื งของแผนทพี่ พิ าทตาม
218 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี
เอกสารหมาย จ.๑๗ ซ่งึ เป็นทางพิพาทตกเปน็ ภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขท่ี ๒๖๘๖๕ เลขท่ี
ดนิ ๒๓ และโฉนดเลขที่ ๒๖๙๑๔ เลขทด่ี นิ ๒๕ ตำบลบางซอื่ อำเภอบางซอ่ื กรงุ เทพมหานคร
ของโจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ ไปจดทะเบียนทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
และใหจ้ ำเลยท่ี ๑ รือ้ ถอนกำแพงคอนกรตี และส่ิงกีดขวางใด ๆ ออกจากทางพิพาท นอกจากท
่ี
แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาล โดย
กำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท แทนโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนยี มระหวา่ งโจทกก์ บั จำเลยที่ ๒
ใหเ้ ปน็ พับ.
ส่วนท่ี ๒ ตวั อยา่ งคำพิพากษาและคำส่ังในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ
์ 219
คดแี พง่
ตวั อย่างคดีมรดก
ค
ำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๙๒๕๗/๒๕๕๐
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์
และจำเลยเป็นบุตรของนายจินดา รัตนพฤกษ์ เดิมนายจินดาเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลข
ที่ ๔๖๔๗ ตำบลบางพลัด (บางพล)ู อำเภอบางกอกน้อย กรงุ เทพมหานคร นายจนิ ดาให้นาย
เกรยี งศกั ด์ิ วงศารยิ วานชิ เชา่ ทด่ี นิ ปลกู ตกึ แถวดว้ ยเงนิ ของผเู้ ชา่ แลว้ ใหผ้ เู้ ชา่ มสี ทิ ธใิ ชป้ ระโยชน
์
ในตึกแถว เม่ือครบกำหนดอายุสัญญาเช่าในปี ๒๕๓๑ ให้ตึกแถวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให
้
เชา่ นายเกรยี งศกั ดก์ิ อ่ สรา้ งตกึ แถว ๒ ชน้ั เลขท่ี ๓๗/๔๐-๔๙ แลว้ เสรจ็ ในปี ๒๕๑๑ เมอื่ วนั ท่ี ๘
กรกฎาคม ๒๕๑๗ นายจินดาได้จดทะเบียนยกที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลย โดยระบุในหนังสือ
สญั ญาใหท้ ด่ี นิ วา่ ไมม่ สี ง่ิ ปลกู สรา้ ง นายจนิ ดาถงึ แกค่ วามตายในปี ๒๕๓๗ โดยมไิ ดท้ ำพนิ ยั กรรม
เมอื่ วันท่ี ๒๔ สงิ หาคม ๒๕๔๔ บริษัทอี ฟอร์ แอล อนิ เตอรเ์ นชัน่ แนล จำกดั ทำสัญญาเชา่
ตกึ แถวพพิ าท ซง่ึ ตอ่ มาเปลยี่ นเปน็ ตกึ แถว เลขที่ ๒๐๙ จากจำเลย มกี ำหนด ๓ ปี นบั แตว่ นั ท่ี ๑
ตุลาคม ๒๕๔๔ ถึงวันท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๔๗ ค่าเช่าเดือนละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ตามสำเนา
หนงั สือสัญญาเชา่ เอกสารหมาย จ.๒ หลังจากนัน้ เมอ่ื วนั ท่ี ๓๐ กนั ยายน ๒๕๔๔ จำเลยไดท้ ำ
บนั ทกึ ข้อตกลงแบ่งผลประโยชนค์ า่ เช่าใหโ้ จทก์หน่งึ ในสสี่ ว่ น จำนวน ๒๕,๐๐๐ บาท ตอ่ เดือน
ตามสำเนาบันทึกการแบ่งผลประโยชน์ตึกแถว เอกสารหมาย จ.๓ ต่อมาจำเลยย่ืนคำร้องว่า
ตกึ แถวพพิ าทเปน็ ทรพั ยม์ รดกของนายจนิ ดา ขอใหต้ งั้ จำเลยเปน็ ผจู้ ดั การมรดก โดยโจทก์ นาง
จติ ต์รักษ์ ใช้เทยี มวงศ์ และนายถาวร รตั นพฤกษ์ ให้ความยนิ ยอมตามสำเนาหนังสอื ให้ความ
ยนิ ยอม เอกสารหมาย จ.๑ และเมอื่ วนั ที่ ๑๒ ธนั วาคม ๒๕๔๔ จำเลยถอนคำรอ้ งขอตง้ั ผจู้ ดั การ
มรดกตามสำเนาคำร้อง เอกสารหมาย ล.๑ จำเลยแบ่งค่าเช่าให้โจทก์ จำนวน ๓ ครั้ง เป็นเงนิ
๗๕,๐๐๐ บาท มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่า ตึกแถวพิพาทเป็น
220 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉยั คด
ี
ทรัพย์มรดกหรือไม่ โดยโจทก์นำสืบว่า นายจินดายกที่ดินท่ีตำบลบางพลัด (บางพลู) อำเภอ
บางกอกนอ้ ย กรงุ เทพมหานคร ใหโ้ จทก์ นางจติ ตร์ กั ษ์ จำเลย และนายถาวร คนละ ๑ แปลง ใน
จำนวนเนื้อท่ีใกล้เคียงกัน ท่ีดินที่ยกให้จำเลยมีตึกแถวปลูกอยู่ ๑๐ คูหา หลังจากยกให้ นาย
จินดายังคงเก็บค่าเช่าท่ีดินและตึกแถวดังกล่าวตลอดมา เม่ือสัญญาเช่าระหว่างนายจินดากับ
นายเกรยี งศักดส์ิ ้นิ สุดลงในปี ๒๕๓๑ มีการตอ่ อายุสัญญาจนถงึ วนั ท่ี ๓๑ มนี าคม ๒๕๓๓ ตาม
สำเนาหนังสือสัญญาเช่าที่ดินและตึกแถว เอกสารหมาย จ.๑๕ และ จ.๑๖ ครบกำหนดนาย
เกรียงศกั ดิ์ไม่ออกจากทเ่ี ช่า โจทก์ นางจติ ต์รกั ษ์ จำเลย และนายถาวรตา่ งเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่
นายเกรียงศักดิ์เป็นคนละคดีที่ศาลช้ันต้นโดยใช้เงินกองกลางที่เก็บจากค่าเช่าเป็นค่าใช้จ่ายใน
การฟ้องคดี ท้ังสี่คดีตกลงทำสัญญาประนีประนอมกันโดยนายเกรียงศักดิ์ยอมออกจากที่เช่า
ภายในเดอื นธนั วาคม ๒๕๓๕ และชดใชค้ า่ เสยี หาย หลงั จากนายเกรยี งศกั ดอ์ิ อกจากทเี่ ชา่ นาย
จินดาให้ญาติภริยาของนายถาวรเช่าตึกแถว ๔ คูหา ส่วนที่เหลือ ๖ คูหา ใช้สำหรับเก็บของ
ต่อมาปี ๒๕๓๘ นายกฤษณ์ ลี้กำจร เช่าตึกแถวที่เก็บของ ๖ คูหา จนถึงปี ๒๕๔๑ คร้ันป ี
๒๕๔๒ โจทก์ นางจติ ตร์ กั ษ์ จำเลย และนายถาวรตกลงกนั ใหซ้ อ่ มแซมตกึ แถวพพิ าทโดยใชเ้ งนิ
กองกลางจากบัญชสี นิ วงศ์พฤกษ์ แล้วนำออกใหบ้ รษิ ทั อี ฟอร์ แอล อินเตอรเ์ นช่ันแนล จำกัด
เชา่ ส่วนจำเลยนำสืบว่า เมื่อปี ๒๕๑๐ นายจนิ ดาให้นายเกรยี งศักด์ิเช่าทด่ี นิ ๔ แปลง ระหว่าง
อายุสัญญาเช่านายจินดาจดทะเบียนยกท่ีดินดังกล่าวให้โจทก์ นางจิตต์รักษ์ จำเลย และนาย
ถาวร คนละ ๑ แปลง ท่ีดนิ ที่ยกให้จำเลยและนายถาวรมตี กึ แถวปลกู อยูต่ ามแผนทส่ี ังเขปทตี่ งั้
ตึกแถวพิพาท เอกสารหมาย ล.๒ หนังสือสัญญาให้ที่ดินแก่นายถาวรระบุว่าไม่มีสิ่งปลูกสร้าง
ต่อมามีการขายตึกแถวท่ียกให้นายถาวรไป ๘ คูหา นายจินดาจึงยกที่ดินให้นายถาวรอีก ๑
แปลง เมื่อสัญญาเช่าของนายเกรียงศักด์ิส้ินสุดลงในปี ๒๕๓๑ ตึกแถวพิพาทย่อมตกเป็น
กรรมสทิ ธข์ิ องจำเลย หลงั จากนน้ั นายเกรยี งศกั ดไิ์ ดเ้ ชา่ ทด่ี นิ และตกึ แถวพพิ าทจากจำเลยจนถงึ
วันท่ี ๓๑ มนี าคม ๒๕๓๓ ตามสำเนาหนงั สือสญั ญาเชา่ ที่ดินและตกึ แถว เอกสารหมาย จ.๑๕
สว่ นที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาและคำส่ังในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
221
คดีแพ่ง
และ จ.๑๖ และเช่าทด่ี ินของโจทก์ นางจิตติรักษ์ และนายถาวรโดยนายจินดาเป็นผู้เกบ็ เงนิ ค่า
เช่า ครบกำหนดนายเกรียงศักด์ไิ ม่ออกจากท่ีเชา่ โจทก์ นางจิตตริ กั ษ์ จำเลย และนายถาวรได้
ฟ้องขับไล่นายเกรียงศักด์ิ รวม ๔ คดี โดยนายจินดาเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการฟ้องคดี นาย
เกรียงศักดิ์ยอมออกจากท่ีเช่าและชดใช้ค่าเสียหาย ค่าเสียหายท่ีได้รับบุตรทั้งส่ีคนมอบให้แก
่
นายจนิ ดา ตอ่ มาโจทก์ นางจติ ตร์ กั ษ์ จำเลย และนายถาวรไดร้ ว่ มกนั จดั ตงั้ บรษิ ทั สนิ วงศพ์ ฤกษ ์
จำกัด มีวัตถุประสงค์ในการก่อสร้างอาคารสำนักงานเพื่อนำออกให้เช่า แต่บริษัทไม่สามารถ
ดำเนินกิจการตามวัตถุประสงค์ จึงจดทะเบียนเลิกบริษัทในปี ๒๕๔๔ ต่อมาจำเลยให้บริษัท
อี ฟอร์ แอล อนิ เตอรเ์ นชน่ั แนล จำกดั เชา่ ทดี่ นิ และตกึ แถวพพิ าทโดยมไิ ดข้ อความยนิ ยอมจาก
ผู้ใด จำเลยมอบให้นายกำพล แม้นชูวงศ์ ทนายความ ไปคัดสำเนาหนังสือสัญญาให้ที่ดินท
ี่
สำนักงานที่ดนิ เพ่ือใช้ในการขอทะเบียนบา้ นให้ผเู้ ช่าเพอ่ื นำไปยนื่ ขอใช้ไฟฟ้าและนำ้ ประปา จงึ
ทราบว่าหนังสือสัญญาให้ที่ดินแก่จำเลยระบุว่าไม่มีส่ิงปลูกสร้าง นายกำพลให้คำแนะนำว่า
ตกึ แถวพพิ าทเปน็ ทรพั ยม์ รดกของนายจนิ ดา ใหจ้ ำเลยยน่ื คำรอ้ งขอตง้ั ผจู้ ดั การมรดกเพอื่ จดั การ
ตึกแถวท้ัง ๑๒ คูหา จำเลยเช่ือคำพูดของนายกำพล จึงได้ทำบันทึกการแบ่งผลประโยชน
์
ตึกแถวตามเอกสารหมาย จ.๓ ตอ่ มาจำเลยไดป้ รกึ ษานายศกั ด์ิชาย จินะวงศ์ อาจารย์สอนวชิ า
กฎหมาย ซงึ่ ใหค้ ำแนะนำวา่ ตกึ แถวพพิ าทเปน็ สว่ นควบของทด่ี นิ จำเลยจงึ ยน่ื คำรอ้ งขอถอนคำ
รอ้ งตงั้ ผจู้ ดั การมรดก ตกึ แถวพพิ าทมใิ ชท่ รพั ยม์ รดกของนายจนิ ดา และจำเลยทำบนั ทกึ การแบง่
ผลประโยชนต์ กึ แถวตามเอกสารหมาย จ.๓ โดยสำคญั ผดิ ทง้ั โจทกฟ์ อ้ งคดเี กนิ กำหนด ๑ ปี นบั
แต่วันที่นายจินดาถึงแก่ความตาย คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ในประการ
แรกว่า ตึกแถวพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายจินดาและโจทก์มีกรรมสิทธิ์รวมหรือไม่ เห็นว่า
ขณะนายจนิ ดาจดทะเบยี นใหท้ ด่ี นิ แกจ่ ำเลย ตกึ แถวพพิ าททงั้ ๑๐ คหู า ยงั ไมต่ กเปน็ กรรมสทิ ธ
ิ์
ของนายจินดา เพราะตดิ เงื่อนเวลาท่จี ะต้องให้นายเกรยี งศักด์ิ ผ้เู ช่า ใชป้ ระโยชน์ในตกึ แถวจน
ครบกำหนดอายุสัญญาเช่าในปี ๒๕๓๑ ซ่ึงตึกแถวจะตกเป็นกรรมสิทธ์ิของนายจินดา ดังนั้น
222 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คด
ี
นายจินดาจึงยังไม่มีสิทธิท่ีจะยกตึกแถวให้แก่ผู้ใด แม้ว่าจำเลยและนายถาวรจะเบิกความว่า
โจทกแ์ ละคนในครอบครวั ทกุ คนทราบดวี า่ นายจนิ ดาใหต้ กึ แถวพพิ าทพรอ้ มทดี่ นิ แกจ่ ำเลย คงม
ี
ผลสมบรู ณ์เฉพาะการยกให้ที่ดนิ เทา่ นัน้ เม่ือครบกำหนดสัญญาเชา่ นายถาวร นอ้ งชายจำเลย
ซงึ่ ทำหนา้ ทเ่ี กบ็ คา่ เชา่ ตกึ แถวพพิ าททง้ั ๑๐ คหู า ใหน้ ายจนิ ดา เบกิ ความวา่ พยานเปน็ ผเู้ ขยี น
(กรอก) ขอ้ ความในสำเนาหนงั สอื สญั ญาเชา่ ทด่ี นิ และตกึ แถวตามเอกสารหมาย จ.๑๕ และ จ.๑๖
ให้จำเลยลงนามในสญั ญาตามคำส่งั ของนายจินดาผเู้ ปน็ บดิ า เงินคา่ เชา่ ตกึ แถวเมื่อเกบ็ มาแลว้
มอบใหน้ ายจนิ ดาไวใ้ ชจ้ า่ ยแตผ่ เู้ ดยี ว ไมม่ กี ารแบง่ กนั ระหวา่ งพนี่ อ้ ง เงนิ คา่ เชา่ ตกึ แถวนายจนิ ดา
จะเกบ็ ไวใ้ ชจ้ า่ ยในครอบครวั และเกบ็ ไวใ้ ชซ้ อ่ มแซมรกั ษาตกึ แถวทใ่ี หเ้ ชา่ ทงั้ จำเลยยงั ยอมรบั วา่
นายถาวรได้ท่ีดินพร้อมตึกแถว ๑๐ คูหา ด้วย แต่ต่อมานายจินดาขายตึกแถวไป ๘ คูหา
คงเหลอื อกี ๒ คหู า บนทด่ี นิ ของนายถาวร เมอ่ื จำเลยอา้ งวา่ นายจนิ ดายกทดี่ นิ พรอ้ มตกึ แถวให
้
จำเลยเชน่ เดยี วกบั นายถาวร นายจนิ ดาจงึ ไมน่ า่ จะมสี ทิ ธนิ ำตกึ แถวทยี่ กใหแ้ กน่ ายถาวรไปขาย
ใหแ้ ก่ผอู้ ่นื ถงึ ๘ คหู า หลงั จากนายจนิ ดาถึงแกค่ วามตายแลว้ และเมอ่ื จำเลยต้องการให้บรษิ ทั
อี ฟอร์ แอล อนิ เตอรเ์ นชน่ั แนล จำกดั เชา่ ทดี่ นิ และตกึ แถวพพิ าทเมอื่ พ.ศ. ๒๕๔๔ แตม่ ปี ญั หา
เร่ืองหาทะเบียนบ้านไม่พบ จึงให้ทนายความไปคัดสำเนาหนังสือสัญญาให้ท่ีดินท่ีกรมที่ดิน
เพื่อใช้ในการขอทะเบียนบ้านให้ผู้เช่า ทำให้ทราบว่าหนังสือสัญญาให้ท่ีดินแก่จำเลยระบุว่าไม่
มีส่ิงปลูกสร้าง จำเลยจึงยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกเพื่อจัดการมรดก อันได้แก่ ตึกแถว
พิพาท โดยได้รับความยินยอมจากพี่น้องทุกคน และยังยอมแบ่งค่าเช่าตึกแถวพิพาทให้แก่พ่ี
น้องทุกคนตามบันทึกการแบ่งผลประโยชน์ตึกแถว เอกสารหมาย จ.๓ ในการฟ้องขับไล่นาย
เกรยี งศกั ด์ิ ผเู้ ชา่ ออกจากทดี่ นิ และตกึ แถวพพิ าท โจทก์ จำเลย นางจติ ตร์ กั ษ์ และนายถาวรตา่ ง
เปน็ โจทกฟ์ อ้ งเปน็ คนละคดแี ละใชเ้ งนิ ทไ่ี ดจ้ ากคา่ เชา่ ตกึ แถวพพิ าทเปน็ คา่ ใชจ้ า่ ยในการฟอ้ งคดี
เสมอื นหนง่ึ วา่ ทกุ คนเปน็ เจา้ ของตกึ แถวพพิ าท ทจ่ี ำเลยอา้ งวา่ มาทราบวา่ ตกึ แถวพพิ าทเปน็ สว่ น
ควบของที่ดินเมื่อจำเลยได้ปรึกษากับนายศักด์ิชาย จึงขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบว่า
สว่ นที่ ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำสั่งในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
223
คดีแพ่ง
นายจินดายกท่ดี ินพรอ้ มตกึ แถวพพิ าทใหแ้ กจ่ ำเลย พยานหลักฐานของโจทก์จึงมนี ำ้ หนกั ดีกวา่
พยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายจินดาไม่ได้ยกตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลย
ตึกแถวพิพาทท้ัง ๑๐ คูหา จึงเป็นทรัพย์มรดกของนายจินดา เมื่อนายจินดาถึงแก่ความตาย
ตกึ แถวพพิ าทจงึ เปน็ ทรพั ยม์ รดกตกทอดแกโ่ จทก์ จำเลย นางจติ ตร์ กั ษ์ และนายถาวรคนละสว่ น
เทา่ ๆ กนั อทุ ธรณข์ องโจทกข์ อ้ นฟ้ี ังขึ้น
มีปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยในช้ันอุทธรณ์ต่อไปว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือ
ไม่ ซ่ึงศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัย ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรวินิจฉัยในปัญหาข้อน้ีโดยไม่ย้อน
สำนวนไปใหศ้ าลชนั้ ตน้ วนิ จิ ฉยั เหน็ วา่ เมอ่ื นายเกรยี งศกั ดิ์ วงศารยิ วานชิ ออกจากทเี่ ชา่ ไปแลว้
โจทก์ จำเลย นางจติ ตร์ กั ษ์ ใชเ้ ทยี มวงศ์ และนายถาวร รตั นพฤกษ์ ตกลงไมข่ ายทด่ี นิ แตจ่ ดั ตง้ั
บรษิ ทั สนิ วงศพ์ ฤกษ์ จำกดั เมอื่ กลางปี ๒๕๓๖ และภายหลงั นายจนิ ดาถงึ แกค่ วามตายเมอื่ พ.ศ.
๒๕๓๗ โจทก์ซึ่งเป็นตัวหลักในการดำเนินกิจการของบริษัทดังกล่าวและจำเลยได้นำตึกแถว
พพิ าททเ่ี หลอื จากใหญ้ าตภิ รยิ านายถาวรเชา่ ไป ๔ หอ้ ง คอื จำนวน ๖ หอ้ ง ออกใหน้ ายกฤษณ ์
ลกี้ ำจร เช่าเพ่อื เก็บโลหะประเภทตะกวั่ ต้งั แต่ปี ๒๕๓๘ ถึงปี ๒๕๔๑ โดยนายกฤษณช์ ำระค่า
เช่าแก่โจทก์โดยตรง และจำเลยได้แบ่งค่าเช่าให้แก่โจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์ได้ร่วม
ครอบครองตึกแถวพิพาทกบั จำเลย แม้โจทก์จะฟอ้ งคดีน้ีเกนิ กว่า ๑ ปี นบั แตน่ ายจนิ ดาถึงแก
่
ความตาย ฟ้องของโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๗๔๘ วรรคหนงึ่ ดงั นน้ั ทจ่ี ำเลยทำบนั ทกึ การแบง่ ผลประโยชนค์ า่ เชา่ ตกึ แถวใหแ้ กโ่ จทกเ์ มอ่ื ปี
๒๕๔๔ จงึ ไมใ่ ชเ่ ปน็ การสำคญั ผดิ ในสาระสำคญั ของนติ กิ รรม บนั ทกึ ดงั กลา่ วจงึ ไมต่ กเปน็ โมฆะ
เม่ือข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ทำบันทึกข้อตกลงแบ่งผลประโยชน์ค่าเช่าตึกแถวให้แก่โจทก์
หนง่ึ ในสสี่ ่วน เป็นเงิน ๒๕,๐๐๐ บาท ตอ่ เดอื น ตามสำเนาบนั ทึกการแบ่งผลประโยชน์ตึกแถว
เอกสารหมาย จ.๓ จึงเป็นไปตามสทิ ธิทโี่ จทก์พึงจะได้ จำเลยจึงต้องแบ่งค่าเช่าให้โจทกน์ ับแต่
วนั ทผี่ ดิ นดั ตงั้ แตเ่ ดอื นมกราคม ๒๕๔๕ จนถงึ วนั ฟอ้ ง เปน็ เงนิ ๓๕๐,๐๐๐ บาท พรอ้ มดอกเบยี้
224 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉัยคด
ี
อตั รารอ้ ยละ ๗.๕ ตอ่ ปี ของค่าเช่าทีค่ า้ งชำระแต่ละเดือน เปน็ เงิน ๑๔,๒๗๘.๐๕ บาท กบั ตอ้ ง
แบง่ คา่ เชา่ แกโ่ จทก์ เดอื นละ ๒๕,๐๐๐ บาท นบั แตเ่ ดอื นมนี าคม ๒๕๔๖ จนกวา่ จะครบกำหนด
สญั ญาเชา่ ในเดือนกันยายน ๒๕๔๗ แตท่ ีโ่ จทก์ขอให้จำเลยแบง่ ผลประโยชนใ์ นอัตรารายเดือน
ดังกล่าวหลังจากเดือนกันยายน ๒๕๔๗ นั้น เป็นคำขอให้จำเลยแบ่งผลประโยชน์ท่ีเกิดขึ้นใน
อนาคตซึ่งยังไม่เกิดขึ้น จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำขอของโจทก์ในส่วนน้ีได้ ส่วนท
่ี
โจทกข์ อใหศ้ าลพพิ ากษาวา่ นางจติ ตร์ กั ษแ์ ละนายถาวรเปน็ เจา้ ของรวมในตกึ แถวพพิ าทดว้ ย อนั
เปน็ การใหเ้ ขา้ มารบั สว่ นแบง่ หรอื กนั สว่ นแบง่ ทรพั ยม์ รดกใหแ้ กน่ างจิตต์รกั ษแ์ ละนายถาวรโดย
บุคคลท้ังสองไม่ได้ร้องสอดเข้ามาในคดีนี้ จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย ์
มาตรา ๑๗๔๙ วรรคสอง ศาลอทุ ธรณจ์ งึ ไมอ่ าจพพิ ากษาใหต้ ามทโี่ จทกข์ อได้ อทุ ธรณข์ องโจทก
์
ฟงั ข้นึ บางส่วน
พิพากษากลบั ว่า เฉพาะตกึ แถว ๒ ชัน้ จำนวน ๑๐ คหู า เลขท่ี ๒๐๙ แขวงบาง-
พลดั เขตบางพลัด กรงุ เทพมหานคร ต้ังอยบู่ นที่ดนิ โฉนดเลขที่ ๔๖๔๗ ตำบลบางพลัด (บาง-
พล)ู อำเภอบางกอกนอ้ ย กรงุ เทพมหานคร ใหโ้ จทกม์ กี รรมสทิ ธหิ์ นง่ึ ในสสี่ ว่ น ใหจ้ ำเลยชำระเงนิ
จำนวน ๓๖๔,๒๗๘.๐๕ บาท พรอ้ มดอกเบี้ยอตั ราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถดั จากวันฟอ้ ง (วนั ท ่ี
๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยแบ่งค่าเช่าให้แก่โจทก์
เดือนละ ๒๕,๐๐๐ บาท นับแต่เดือนมีนาคม ๒๕๔๖ เป็นต้นไปจนครบกำหนดสัญญาเช่าใน
เดือนกันยายน ๒๕๔๗ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่า
ทนายความ รวม ๕,๐๐๐ บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก.
ส่วนที่ ๒ ตวั อย่างคำพิพากษาและคำสง่ั ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
225
คดีแพง่
ตัวอยา่ งคดียมื
๑
. คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๒๔๖๔/๒๕๔๘
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงท่ีคู่ความมิได้โต้เถียง
กนั ในชนั้ นฟ้ี งั เปน็ ยตุ ไิ ดว้ า่ เมอื่ วนั ที่ ๖ กนั ยายน ๒๕๔๑ จำเลยกเู้ งนิ จากโจทก์ จำนวน ๗๐,๐๐๐
บาท ตามสัญญากเู้ งิน เอกสารหมาย จ.๑ และจำเลยมอบบตั รเอทเี อ็ม ๑ ของธนาคารกรงุ ไทย
จำกดั (มหาชน) สาขาถนนศรอี ยธุ ยา ใหแ้ กโ่ จทกไ์ วใ้ ชเ้ บกิ ถอนเงนิ จากบญั ชเี งนิ ฝากของจำเลย
เพอื่ ชำระหนแี้ กโ่ จทกด์ ว้ ย ปญั หาทจ่ี ะตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องจำเลยมวี า่ จำเลยไดช้ ำระหน
้ี
ตามสัญญากูเ้ งนิ เอกสารหมาย จ.๑ ใหแ้ ก่โจทกค์ รบถ้วนแล้วหรอื ไม่ เหน็ ว่า เม่ือโจทกย์ อมรับ
บัตรเอทีเอ็มจากจำเลยเพ่ือใช้เบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของจำเลยท่ีเปิดไว้กับ
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนศรีอยุธยา ผ่านเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติของ
ธนาคารดังกล่าวได้ ถือว่าเป็นการชำระหน้ีอย่างอื่นซึ่งโจทก์ในฐานะเจ้าหน้ียอมรับแล้วตาม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๓๒๑ และปรากฏวา่ ภายหลงั จากการทำสญั ญากเู้ งนิ
ตามเอกสารหมาย จ.๑ มีการนำบัตรเอทีเอ็มมาเบิกถอนเงินโดยตลอดตามเอกสารหมาย ล.๑
เรมิ่ ตง้ั แตเ่ มอ่ื วันที่ ๒๙ ตลุ าคม ๒๕๔๑ จำนวนเงิน ๙,๘๐๐ บาท เมือ่ วันท่ี ๒๗ พฤศจิกายน
๒๕๔๑ จำนวนเงนิ ๙,๕๐๐ บาท เม่อื วนั ท่ี ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๑ จำนวนเงิน ๙,๑๐๐ บาท เมอื่
วนั ที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๒ จำนวนเงนิ ๘,๗๐๐ บาท เมอ่ื วนั ท่ี ๒๕ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๒ จำนวน
เงนิ ๘,๔๐๐ บาท เมอ่ื วนั ที่ ๓๐ มนี าคม ๒๕๔๒ จำนวนเงนิ ๘,๐๐๐ บาท เมอื่ วนั ท่ี ๒๙ เมษายน
๒๕๔๒ จำนวนเงนิ ๗,๗๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๒ จำนวนเงนิ ๗,๔๐๐ บาท
เมอ่ื วนั ท่ี ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๒ จำนวนเงนิ ๑๐,๑๐๐ บาท และเมอื่ วนั ที่ ๓๐ สงิ หาคม ๒๕๔๒
จำนวนเงนิ ๙,๗๐๐ บาท รวมเปน็ เงนิ ทง้ั สนิ้ ๘๘,๔๐๐ บาท ซงึ่ เกนิ กวา่ จำนวนเงนิ กรู้ วมดอกเบย้ี
๑ นอกจากนี้ ยงั สามารถใชศ้ พั ทบ์ ัญญัติว่า “บตั รฝากถอนเงินอตั โนมัต”ิ หรือ “บตั รบริการเงนิ ด่วน” ก็ได.้
226 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คด
ี
ตามสญั ญากเู้ งนิ เอกสารหมาย จ.๑ แลว้ สว่ นทโี่ จทกเ์ บกิ ความวา่ ใชบ้ ตั รเอทเี อม็ ไปเบกิ ถอนเงนิ
เพยี งครง้ั เดยี ว แตเ่ บกิ ถอนเงนิ ไมไ่ ด้ เพราะเครอื่ งฝากถอนเงนิ อตั โนมตั ยิ ดึ บตั รดงั กลา่ วไวน้ น้ั ก
็
เป็นเพยี งคำเบกิ ความของโจทกป์ ากเดยี ว ไม่มีพยานหลักฐานใดสนบั สนนุ ให้ฟงั เปน็ จรงิ ได้ ทั้ง
สัญญากู้เงินตามเอกสารหมาย จ.๑ กำหนดให้ผู้กู้ชำระดอกเบี้ยทุกวันที่ ๓๐ ของเดือนตาม
สัญญา ข้อ ๒ หากไม่ชำระดอกเบี้ยภายในกำหนด ยินยอมให้ผู้ให้กู้เรียกเงินต้นและดอกเบ้ีย
ทง้ั หมดคืนไดท้ นั ทตี ามสัญญา ข้อ ๔ ดงั น้ัน หากโจทกไ์ ม่ไดร้ บั ชำระดอกเบย้ี จากจำเลยนบั แต่
วันกู้เงนิ เพราะบตั รเอทีเอม็ ถกู เคร่ืองฝากถอนเงินอตั โนมตั ิยึดไป โจทกจ์ ะต้องติดตามทวงถาม
ใหจ้ ำเลยชำระหนบี้ า้ ง คงไมป่ ลอ่ ยเวลาเนนิ่ นานจนครบกำหนดเวลาตามสญั ญากเู้ งนิ แลว้ จงึ มา
ฟ้องบังคับเช่นนี้ พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักรับฟังมากกว่าพยานหลักฐานของโจทก ์
เช่ือว่าจำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ที่ศาลช้ันต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตาม
สัญญากู้เงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบ้ียนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์ อุทธรณ์ของ
จำเลยฟงั ขึน้
พพิ ากษากลบั ให้ยกฟอ้ งโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทัง้ สองศาลใหเ้ ปน็ พบั .
๒. คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๗๐๙๓/๒๕๔๘
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติตามคำ
พิพากษาศาลช้ันต้นโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งว่า โจทก์เป็นนายวงแชร์หรือจัดให้มีการ
เลน่ แชร์ มีจำนวนวงแชร์ร่วมกัน ๙ วง สว่ นจำเลยเปน็ สมาชกิ วงแชร์ท่ีเข้าร่วมเล่นแชร์ดงั กลา่ ว
ทง้ั เกา้ วง ตอ่ มาจำเลยประมลู แชรแ์ ลว้ ไมช่ ำระ โจทกช์ ำระคา่ แชรใ์ หส้ มาชกิ วงแชรแ์ ทนจำเลยไป
จำนวน ๓๐๓,๖๙๕ บาท นอกจากน้ี จำเลยยังยืมเงินโจทก์อีก ๒๐,๐๐๐ บาท เมื่อวันท่ี ๑๕
เมษายน ๒๕๔๑ จำเลยจงึ ทำสญั ญากเู้ งนิ ใหแ้ กโ่ จทกโ์ ดยนำหนคี้ า่ แชร์ จำนวน ๓๐๓,๖๙๕ บาท