สว่ นท่ี ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
427
คดอี าญา
กฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๘ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องมาน้ัน ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย
อทุ ธรณ์ของโจทก์ฟังไมข่ น้ึ
พพิ ากษายนื .
428 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉัยคดี
คำสัง่ ในรูปคำพิพากษา
ตวั อย่างคดคี วามผดิ ต่อตำแหน่งหนา้ ทร่ี าชการ
(ช้ันตรวจคำฟอ้ ง)
คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๖๕๐/๒๕๕๒
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตาม
อุทธรณ์ของโจทก์ว่า ศาลชั้นต้นควรรับคำฟ้องของโจทก์ไว้ไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่ โดยโจทก
์
อุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยท้ังสิบเอ็ดเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความ
เสียหายแก่โจทก์ ซ่ึงโจทก์บรรยายฟ้องยืนยันข้อเท็จจริงไว้แล้วว่า โจทก์มิใช่ผู้ที่ถูกจำเลยทั้ง
สบิ เอด็ ตรวจสอบ ทรพั ยส์ นิ ทจี่ ำเลยทง้ั สบิ เอด็ ออกคำสง่ั ใหอ้ ายดั เปน็ เงนิ ในบญั ชเี งนิ ฝากประเภท
สะสมทรพั ย์ ธนาคารกรงุ เทพ จำกดั (มหาชน) สาขาซอยอารยี ์ บญั ชเี ลขที่ ๑๒๗-๐-๗๐๑๘๙-๗
มใิ ชบ่ ญั ชเี งนิ ฝากหรอื ทรพั ยส์ นิ ของผถู้ กู ตรวจสอบ คสู่ มรส และบตุ รซง่ึ ยงั ไมบ่ รรลนุ ติ ภิ าวะ หรอื
เปน็ ทรพั ยส์ นิ ทเี่ กยี่ วขอ้ งของบคุ คลดงั กลา่ ว แตเ่ ปน็ ทรพั ยส์ นิ ของโจทก์ จำเลยทงั้ สบิ เอด็ มเี จตนา
เพ่ือทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ เห็นว่า จำเลยทั้งสิบเอ็ดเป็นกรรมการในคณะกรรมการ
ตรวจสอบการกระทำท่ีก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐซึ่งตั้งขึ้นโดยประกาศคณะปฏิรูปการ
ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ ฉบับที่ ๓๐ ลงวันที่ ๓๐
กนั ยายน ๒๕๔๙ ตามประกาศฉบบั นไ้ี ดก้ ำหนดอำนาจหนา้ ทขี่ องคณะกรรมการตรวจสอบฯ ไว
้
ในขอ้ ๕ ซ่งึ คณะกรรมการตรวจสอบฯ มีอำนาจหนา้ ทอ่ี ย่หู ลายประการ รวมทงั้ การตรวจสอบ
การปฏบิ ัติราชการใด ๆ ของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหนว่ ยงานของรัฐทีม่ เี หตอุ นั ควรสงสยั ว่าจะมี
การดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีการกระทำที่ทุจริตหรือประพฤติมิชอบ นอกจากนี้
ในกรณีที่เห็นว่าการดำเนินการในเร่ืองที่ตรวจสอบมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีการทุจริตหรือ
สว่ นที่ ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำสง่ั ในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
429
คดีอาญา
ประพฤติมิชอบ และมีพฤติการณ์ว่าบุคคลใดเกี่ยวข้องกับการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ หรือ
รำ่ รวยผดิ ปกติ หรอื มที รพั ยส์ นิ เพมิ่ ขนึ้ ผดิ ปกติ ใหค้ ณะกรรมการตรวจสอบฯ มอี ำนาจสง่ั ยดึ หรอื
อายดั ทรพั ยส์ นิ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งของผนู้ น้ั คสู่ มรส และบตุ รซง่ึ ยงั ไมบ่ รรลนุ ติ ภิ าวะของผนู้ น้ั ไวก้ อ่ นได ้
คดนี ต้ี ามคำฟอ้ งของโจทกบ์ รรยายฟอ้ งวา่ จำเลยทง้ั สบิ เอด็ ในฐานะคณะกรรมการตรวจสอบฯ ได
้
ลงมติและออกคำส่ังคณะกรรมการตรวจสอบฯ ท่ี คตส. ๐๒๑/๒๕๕๐ ให้อายัดบัญชีเงินฝาก
ดงั กลา่ วของโจทก์ ตามคำสงั่ ฉบบั นดี้ งั ทป่ี รากฏอยทู่ า้ ยคำแถลงการณข์ องจำเลยทง้ั สบิ เอด็ ระบ
ุ
ถงึ มลู เหตทุ จ่ี ะมกี ารอายดั เงนิ ในบญั ชเี งนิ ฝากของโจทกไ์ วว้ า่ “ดว้ ยคณะกรรมการตรวจสอบฯ ใน
การประชมุ คร้ังที่ ๒๕/๒๕๕๐ เม่ือวนั ที่ ๑๘ มถิ นุ ายน ๒๕๕๐ มมี ตวิ า่ การตรวจสอบ ตดิ ตาม
และรวบรวมทรพั ยส์ นิ ทถ่ี กู อายดั ไวต้ ามคำสงั่ คณะกรรมการตรวจสอบฯ ท่ี ๐๑๖/๒๕๕๐ ลงวนั ท ี่
๑๑ มถิ นุ ายน ๒๕๕๐ และที่ ๐๑๘/๒๕๕๐ ลงวนั ที่ ๑๒ มถิ นุ ายน ๒๕๕๐ ในกรณที ม่ี หี ลกั ฐานอนั
ควรเชอ่ื ไดว้ า่ พนั ตำรวจโท ทกั ษณิ ชนิ วตั ร เมอ่ื ครงั้ ดำรงตำแหนง่ นายกรฐั มนตรี ไดก้ ระทำทจุ รติ
หรอื ประพฤตมิ ชิ อบ หรอื รำ่ รวยผดิ ปกติ จำนวน ๒๑ บญั ชี ดงั น.้ี ... ตอ่ มาพบวา่ ระหวา่ งวนั ท่ี ๔
มิถุนายน ๒๕๕๐ ถึงวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๐ มีการเคลื่อนย้ายเงินจากบัญชีเงินฝากท่ีถูก
อายัดไว้ตามคำส่ังดังกล่าวข้างต้นไปฝากในบัญชีเงินฝากของธนาคารหรือสถาบันการเงินอ่ืน
ในประการที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ อาศัยอำนาจตามความในประกาศคณะปฏิรูปการ
ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษัตรยิ ์ทรงเป็นประมขุ ฉบับที่ ๓๐ ลงวันท่ี ๓๐
กนั ยายน ๒๕๔๙ ข้อ ๕ และข้อ ๘ คณะกรรมการตรวจสอบฯ จงึ ออกคำสงั่ อายัดเงนิ ในบัญชี
เงินฝากของธนาคารและสถาบันการเงินเพ่ิมเติมไว้ดังต่อไปน้ี.... ๓. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด
(มหาชน) สาขาซอยอารีย์ บัญชีเลขที่ ๑๒๗-๐-๗๐๑๘๙-๗ ชื่อบัญชี บริษัทเวิร์ธ ซัพพลายส์
จำกัด....” เห็นได้ว่าการอายัดเงินในบัญชีเงินฝากของโจทก์เป็นเร่ืองท่ีเก่ียวเนื่องมาจากการท
ี่
คณะกรรมการตรวจสอบฯ ได้อายัดเงินในบัญชีเงินฝากของบุคคลซ่ึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ทค่ี ณะกรรมการตรวจสอบฯ เหน็ วา่ มหี ลกั ฐานอนั ควรเชอื่ ไดว้ า่ ไดก้ ระทำการทจุ รติ หรอื ประพฤต
ิ
430 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉยั คด
ี
มชิ อบ หรอื รำ่ รวยผดิ ปกติ เมอ่ื คณะกรรมการตรวจสอบฯ พบวา่ มกี ารเคลอ่ื นยา้ ยเงนิ ดงั กลา่ วไป
ฝากในบัญชีเงินฝากอ่ืน รวมทั้งบัญชีเงินฝากของโจทก์ คณะกรรมการตรวจสอบฯ ก็ย่อมม
ี
อำนาจที่จะอายัดเงินในบัญชีเงินฝากของโจทก์ได้ เพราะถือเป็นการอายัดเงินในบัญชีเงินฝาก
ของเจ้าหน้าท่ีของรัฐผู้นั้นเช่นกัน การกระทำของจำเลยทั้งสิบเอ็ดจึงเป็นการปฏิบัติไปตาม
อำนาจหนา้ ทีข่ องคณะกรรมการตรวจสอบฯ ดังทีก่ ำหนดไวใ้ นประกาศคณะปฏริ ูปการปกครอง
ในระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ ฉบบั ท่ี ๓๐ ลงวนั ท่ี ๓๐ กนั ยายน
๒๕๔๙ ขอ้ ๕ ดงั กลา่ วขา้ งตน้ แมโ้ จทกจ์ ะบรรยายฟอ้ งวา่ การกระทำของจำเลยทงั้ สบิ เอด็ ทำให
้
โจทก์ไม่สามารถถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ได้ ก็ไม่ถือว่าเป็นเร่ืองที่จำเลยท้ังสิบเอ็ด
มเี จตนาทจี่ ะทำใหโ้ จทกไ์ ดร้ บั ความเสยี หาย สว่ นทโี่ จทกอ์ า้ งวา่ เงนิ ในบญั ชเี งนิ ฝากเปน็ ของโจทก
์
นนั้ ตามประกาศฉบบั ดงั กลา่ วในขอ้ ๘ กก็ ำหนดใหเ้ จา้ ของทรพั ยส์ นิ ทแี่ ทจ้ รงิ สามารถพสิ จู นต์ อ่
คณะกรรมการตรวจสอบฯ ไดอ้ ยแู่ ลว้ จะถอื วา่ คณะกรรมการตรวจสอบฯ ปฏบิ ตั หิ นา้ ทโี่ ดยมชิ อบ
เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์หาได้ไม่ เม่ือวินิจฉัยเช่นน้ีแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์
ข้ออนื่ ๆ ของโจทกท์ ี่เป็นรายละเอียดแต่อยา่ งใด เพราะไม่ทำให้ผลแหง่ คดเี ปลย่ี นแปลง ท่ีศาล
ช้ันต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์มาในช้ันตรวจคำฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องน้ัน ศาลอุทธรณ์เห็น
พอ้ งด้วย อทุ ธรณ์ของโจทกฟ์ ังไม่ขึ้น
พิพากษายนื .
สว่ นที่ ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำสั่งในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
431
คดีอาญา
ตวั อย่างคดีฉอ้ โกง (ชน้ั ขอขยายระยะเวลาวางเงนิ )
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๗๘๙๑/๒๕๕๑
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์
ของโจทก์ว่า มีเหตุสมควรอนุญาตให้โจทก์ขยายระยะเวลาวางเงินค่าขึ้นศาลหรือไม่ เห็น
วา่ ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๔๔ วรรคหนงึ่ บญั ญตั วิ า่ การเรยี กทรพั ยส์ นิ
หรือราคาคืนตามมาตรา ๔๓ พนักงานอัยการจะขอรวมไปกับคดีอาญา....ก็ได้.... จึงเป็น
อำนาจของพนักงานอัยการเท่าน้ันที่จะขอให้ใช้ทรัพย์หรือราคารวมไปในคดีอาญาโดยไม่ต้อง
พจิ ารณาถงึ ทนุ ทรพั ยส์ ว่ นแพง่ วา่ จะอยใู่ นอำนาจของศาลทจี่ ะพจิ ารณาพพิ ากษาคดอี าญาหรอื ไม
่
กล่าวคือ แม้จะฟ้องคดีอาญาต่อศาลแขวงที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งซ่ึงมีทุนทรพั ย
์
ไมเ่ กนิ ๓๐๐,๐๐๐ บาท พนกั งานอยั การกม็ อี ำนาจทำคำขอในสว่ นแพง่ เกนิ กวา่ ๓๐๐,๐๐๐ บาท
รวมไปกับคดีอาญาเพ่ือให้ศาลแขวงพิจารณาพิพากษาคดีได้ แต่คดีนี้ผู้เสียหายเป็นโจทก์
ฟ้องคดีเองโดยมีคำขอในส่วนแพ่งเพื่อขอให้จำเลยท้ังสองใช้เงินคืนแก่โจทก์ จำนวน
๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท อันเป็นทุนทรัพย์ส่วนแพ่งท่ีเกินอำนาจของศาลช้ันต้นซึ่งเป็นศาลแขวง
ผเู้ สยี หายจงึ ไมอ่ าจมคี ำขอในสว่ นแพง่ ดงั กลา่ วเพอ่ื ใหศ้ าลชนั้ ตน้ พจิ ารณาพพิ ากษาคดไี ด้ ทศี่ าล
ช้ันต้นมีคำสั่งไม่รับคำขอในส่วนแพ่งท่ีรวมมาในคดีอาญาไว้พิจารณาและให้ยกคำร้องขอขยาย
ระยะเวลาวางเงินค่าข้ึนศาลนั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์แล้ว อุทธรณ์ของโจทก
์
ฟงั ไมข่ ึน้
พพิ ากษายืน.
ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาศาลอุทธรณ
์
และ
ตวั อยา่ งคำสง่ั ในรปู คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ
์
คดคี รอบครัว
(ยชพ.)
สว่ นท่ี ๒ ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
435
คดีครอบครวั
คำพิพากษา
ตัวอยา่ งคดีขอใหก้ ารสมรสเป็นโมฆะ คา่ ทดแทน ค่าเลย้ี งชีพ
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๓๕๐๒/๒๕๔๘
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบ้ืองต้นรับฟังได้ว่า โจทก์กับจำเลยจดทะเบียน
สมรสกนั เมอ่ื วนั ที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๔๐ ทส่ี ำนักทะเบียนเขตพระโขนง กรงุ เทพมหานคร ก่อน
จดทะเบยี นสมรสกบั โจทก์ จำเลยเคยจดทะเบยี นสมรสกบั หญงิ อนื่ รวม ๖ ครงั้ คอื ครงั้ แรกกบั
นางสาวบญุ พลอย วงั ศรี เมอ่ื วนั ท่ี ๑๖ มกราคม ๒๕๑๘ จดทะเบยี นหยา่ เมอื่ วนั ที่ ๒๘ กนั ยายน
๒๕๒๒ ครงั้ ทสี่ องกบั นางสาวอารรี กั ษ์ โซโ่ พนงาม เมอ่ื วนั ที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๒๐ จดทะเบยี น
หย่าเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๒๒ คร้ังท่ีสามกับนางสาวโชติรส สร้อยทอง เมื่อวันที่ ๒๔
ธนั วาคม ๒๕๒๘ จดทะเบียนหย่าเม่ือวนั ท่ี ๒ มกราคม ๒๕๒๙ คร้ังที่ส่กี ับนางสาวสณุ ีย์ นวล-
ฉิมพลี เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๒๙ คร้ังท่ีห้ากับนางสาวกฤษณา กาญจนภี เม่ือวันที่ ๑๕
ธนั วาคม ๒๕๓๒ และคร้ังที่หกกบั นางสาวสิรมิ า เทพาอภิรกั ษ์ เม่อื วนั ที่ ๖ มกราคม ๒๕๓๘
โดยการสมรสคร้ังท่ี ๔, ๕ และ ๖ เป็นการจดทะเบียนสมรสซ้อน เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม
๒๕๔๓ พนักงานอัยการประจำศาลแขวงพระโขนงฟ้องจำเลยในข้อหาแจ้งความเท็จ ซึ่งสืบ
เนอื่ งจากจำเลยจดทะเบยี นสมรสซอ้ นกบั โจทก์ ศาลแขวงพระโขนงพพิ ากษาลงโทษจำคกุ จำเลย
แตร่ อการลงโทษไว้ คดมี ปี ญั หาทต่ี อ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องจำเลยในประการแรกวา่ โจทกใ์ ช
้
สทิ ธโิ ดยไมส่ จุ รติ ในการฟอ้ งคดหี รอื ไม่ จำเลยอทุ ธรณว์ า่ กอ่ นจดทะเบยี นสมรสกบั จำเลย โจทก
์
ทราบดวี ่าจำเลยมภี รยิ าซ่ึงยงั มไิ ดห้ ย่าขาดจากกนั โจทกท์ ราบตัง้ แต่แรกเรม่ิ ท่ีคบหาเปน็ คนรกั
กบั จำเลยวา่ จำเลยมภี รยิ าและบตุ รแลว้ โจทกส์ มคั รใจจดทะเบยี นสมรสกบั จำเลยโดยรดู้ วี า่ จำเลย
มภี รยิ าอยแู่ ลว้ การจดั พธิ หี มนั้ และแตง่ งานเปน็ ความประสงคข์ องโจทกเ์ พอ่ื เชดิ ชใู หโ้ จทกม์ หี นา้
436 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉยั คด
ี
มีตาในวงสังคมของโจทก์และครอบครัวเพียงฝ่ายเดียว ส่วนโจทก์นำสืบว่า ในปลายปี ๒๕๓๙
โจทก์พบกับจำเลยท่ีประเทศตุรกี หลังจากน้ันได้คบหากันในฐานะคนรัก จำเลยกลับมาเยี่ยม
โจทก์ที่ประเทศไทย เขียนจดหมายและโทรศัพท์มาคุยแล้วบอกรักโจทก์และต้องการใช้ชีวิต
ร่วมกัน ไม่อยากใหม้ ีการพลัดพราก จำเลยบอกวา่ เคยแต่งงานมาก่อน มีบุตรสาว ๑ คน อาย ุ
๙ ขวบ แตห่ ยา่ ขาดกบั ภรยิ าแลว้ ปจั จบุ นั เปน็ โสดเปน็ เวลา ๑๐ กวา่ ปี โดยมารดาจำเลยกบั บตุ รสาว
อยูท่ ป่ี ระเทศองั กฤษ เปิดกิจการรา้ นอาหารไทย มีมารดา พ่สี าว และน้องสาวจำเลยเปน็ ผ้ดู ูแล
กิจการ จำเลยชวนโจทก์ไปอยู่ต่างประเทศในฐานะภริยาอัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายการพาณิชย
์
ที่จำเลยดำรงตำแหน่งอยู่ท่ีประเทศตุรกี เน่ืองจากรัฐบาลจะจ่ายเงินเดือนให้ร้อยละ ๓๐ โจทก
์
พาจำเลยไปพบนายสามชัย วิจารณบุตร บิดาโจทก์ ที่บ้าน จำเลยบอกบิดาโจทก์ว่ารักโจทก์
มาก ต้องการแต่งงานกับโจทก์ โดยจำเลยเคยแต่งงานมาก่อนและได้หย่าขาดจากภริยาเดิม
แล้ว มบี ตุ ร ๑ คน ปจั จบุ นั จำเลยเป็นโสด หลังแต่งงานแล้วจะให้โจทก์ออกจากงานเพ่อื ไปชว่ ย
ดูแลธุรกิจที่ประเทศอังกฤษหรืออาจให้ติดตามจำเลยไปอยู่ต่างประเทศในฐานะภริยาทูต
พาณิชย์ บิดาโจทก์ยินยอม เม่ือวันท่ี ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๔๐ โจทก์กับจำเลยจึงจัดพิธีหม้ัน
แลว้ จดั งานแตง่ งานเมอื่ วนั ที่ ๘ กนั ยายน ๒๕๔๐ หลงั จากจดทะเบยี นสมรสแลว้ โจทกไ์ ปอยกู่ บั
จำเลยทปี่ ระเทศตรุ กปี ระมาณ ๑ ปี จนกระทงั่ ในเดอื นเมษายน ๒๕๔๑ กรมสง่ เสรมิ การสง่ ออก
กระทรวงพาณชิ ย์ เรยี กตวั จำเลยกลบั ประเทศไทย ตอ่ มาจำเลยเรม่ิ กลบั บา้ นดกึ ตดิ พนั หญงิ อนื่
โจทกเ์ กดิ ความสงสยั จงึ ตรวจสอบพบวา่ กอ่ นจดทะเบยี นสมรสกบั โจทก์ จำเลยเคยจดทะเบยี น
สมรสกบั หญงิ อน่ื ถงึ ๖ คน และยงั มไิ ดห้ ยา่ ขาดจากกนั ถงึ ๓ คน ซงึ่ เปน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทโ่ี จทกไ์ มเ่ คย
ทราบมาก่อน ส่วนจำเลยนำสืบว่า ในปลายปี ๒๕๓๙ ที่พบกับโจทก์ครั้งแรกที่ประเทศตุรกี
โจทก์สอบถามถึงสภาพความเป็นอยู่และครอบครัวของจำเลย จำเลยบอกว่าภริยาและบุตร
ของจำเลยอยู่ท่ีประเทศองั กฤษ จำเลยตอ้ งเดินทางไปเยี่ยมบุตรและภรยิ าเป็นครั้งคราว ต่อมา
เม่ือโจทก์กลับประเทศไทยด้วยเหตุมีราชการหรือกิจส่วนตัว ได้มีโอกาสพบกับโจทก์เสมอ
ส่วนที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำสั่งในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 437
คดีครอบครัว
มา จนกระทง่ั มคี วามสมั พนั ธไ์ ดเ้ สยี กนั โจทกบ์ อกจำเลยวา่ บดิ ามารดาโจทกไ์ มส่ บายใจ ตอ้ งการ
ให้โจทก์แต่งงานกับจำเลย จำเลยปฏิเสธว่าไม่สามารถแต่งงานได้ เน่ืองจากจำเลยมีภริยา
แลว้ โจทกบ์ อกวา่ ไมเ่ ปน็ ไร เพราะตา่ งคนตา่ งอยู่ โจทกต์ อ้ งการทะเบยี นสมรสเพอื่ ขออนญุ าตตน้
สงั กดั ลาตดิ ตามจำเลยไปตา่ งประเทศ หลงั จากกลบั จากประเทศตรุ กมี าอยใู่ นประเทศไทย โจทก
์
กับจำเลยมีเรื่องทะเลาะกันรุนแรง เน่ืองจากโจทก์ทราบว่าจำเลยได้รับคำสั่งย้ายไปประจำท่ี
ประเทศอังกฤษ ทำให้โจทก์ไม่มีโอกาสติดตามไปด้วย โจทก์จึงร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของ
จำเลยว่าจำเลยละท้ิงโจทก์และไปร้องทุกข์ดำเนินคดีว่าจำเลยจดทะเบียนสมรสซ้อน เห็นว่า
กอ่ นที่โจทก์จะจดทะเบยี นสมรสกบั จำเลยน้ัน โจทก์เปน็ หญงิ โสด ไม่เคยผ่านการสมรสมาก่อน
โจทกม์ วี ฒุ กิ ารศกึ ษาสงู ถงึ ระดบั ปรญิ ญาโท อายเุ พยี ง ๓๐ ปเี ศษ มหี นา้ ทกี่ ารงานทม่ี นั่ คง และม
ี
รายได้พอเล้ียงตวั ได้ ถือได้ว่าโจทก์ประสบความสำเรจ็ ในชวี ิตสว่ นตัวในระดบั ทนี่ ่าพอใจ ดงั นน้ั
การทโ่ี จทกจ์ ะตดั สนิ ใจเลอื กบคุ คลใดมาเปน็ คสู่ มรสเพอื่ อยกู่ นิ เปน็ สามภี รยิ ากนั ตลอดชวั่ ชวี ติ นน้ั
ยอ่ มเปน็ วสิ ยั ของปถุ ชุ นทว่ั ไปทจี่ ะเลอื กคสู่ มรสทมี่ สี ถานภาพโสด ปราศจากพนั ธะทางครอบครวั
ไม่ว่าโดยพฤตินัยหรือนิตินัย นอกเหนือจากความสอดคล้องเหมาะสมในองค์ประกอบอื่น ๆ
ตามท่ีแต่ละฝ่ายคาดหวังไว้ ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์และจำเลยตรงกันว่า โจทก์กับ
จำเลยรจู้ ักกนั ประมาณ ๑๐ เดอื น แล้ว จึงหม้นั หมายและแต่งงานกนั ตลอดระยะเวลาดังกลา่ ว
จำเลยรับราชการอยู่ต่างประเทศ จะกลับมาเยี่ยมโจทก์เป็นคร้ังคราวเท่าน้ัน แม้กระท่ังวัน
แต่งงานจำเลยก็ต้องเดินทางจากต่างประเทศมาประกอบพิธีสมรส การท่ีจำเลยรับราชการใน
ตำแหน่งอัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายการพาณิชย์ประจำอยู่ที่ประเทศตุรกี ถือได้ว่าจำเลยเป็น
ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ท่ีมีเกียรติและหน้าที่การงานสูง ท้ังยังมีวินัยข้าราชการเป็นกรอบในการ
ดำรงตน คำรับรองสถานภาพส่วนตัวของจำเลยจึงมีความน่าเช่ือถือ รวมท้ังจดหมายท่ีจำเลย
เขยี นถึงโจทกต์ ามเอกสารหมาย จ.๗ ถึง จ.๑๑ บอกรักโจทก์ แสดงเจตนาทจ่ี ะใชช้ วี ติ คูอ่ ยกู่ ับ
โจทก์ตลอดไป พร่ำพรรณนาถึงความหว่ งใยและความปรารถนาดที ี่มตี อ่ โจทก์ และโทรศพั ทถ์ งึ
438 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉัยคด
ี
โจทก์อย่างสม่ำเสมอหลังจากที่รู้จักกัน ล้วนเป็นการแสดงถึงความรัก ความจริงใจ และความ
บริสุทธ์ิใจท่ีจำเลยต้องการให้โจทก์เชื่อม่ันว่าจำเลยประสงค์ที่จะครองคู่อยู่กินกับโจทก์ในฐานะ
สามีภริยากัน ข้อท่ีจำเลยกล่าวอ้างว่าจำเลยบอกโจทก์ต้ังแต่แรกเร่ิมที่รู้จักกันว่าจำเลยมีภริยา
และบตุ รแล้ว แต่โจทกส์ มคั รใจคบหาและต้องการแตง่ งานกับจำเลยนนั้ ยังเป็นเหตุผลท่ชี วนให
้
ระแวงสงสยั วา่ โจทกส์ มคั รใจจดทะเบยี นสมรสเปน็ ภรยิ าจำเลยทง้ั ทร่ี อู้ ยแู่ ลว้ วา่ จำเลยมคี สู่ มรสที่
ยงั มไิ ดจ้ ดทะเบยี นหยา่ และเพยี งตอ้ งการใบทะเบยี นสมรสเพอ่ื ใหไ้ ดส้ ทิ ธใิ นการตดิ ตามจำเลยไป
อยตู่ า่ งประเทศตามทจ่ี ำเลยบอกกลา่ วเทา่ นน้ั หรอื ซงึ่ หากเปน็ จรงิ ดงั ทจี่ ำเลยนำสบื โจทกจ์ ะตอ้ ง
ตกอยใู่ นฐานะภรยิ าโดยมชิ อบดว้ ยกฎหมายของจำเลยและไดร้ บั เงนิ เดอื นเพยี งรอ้ ยละ ๓๐ ของ
เงินเดือนของจำเลยเป็นสิ่งแลกเปล่ียน เม่ือพิเคราะห์เหตุผลแวดล้อมท้ังปวงแล้ว ไม่น่าจะเป็น
เหตผุ ลเพยี งพอทจี่ ะจงู ใจใหโ้ จทกต์ ดั สนิ ใจเชน่ นนั้ ขอ้ เทจ็ จรงิ นา่ เชอ่ื ตามทโี่ จทกน์ ำสบื วา่ จำเลย
บอกโจทกว์ า่ เคยสมรสมากอ่ น แตห่ ยา่ ขาดจากกนั มาเปน็ เวลา ๑๐ ปี แลว้ โจทกห์ ลงเชอื่ จำเลย
วา่ เป็นความจรงิ จึงสมคั รใจจดทะเบยี นสมรสกบั จำเลยโดยสุจริต นอกจากนี้ เม่ือพิจารณาจาก
ข้อความในจดหมายตามเอกสารหมาย จ.๗ ถึง จ.๑๑ ท่ีจำเลยเขียนถึงโจทก์ ก็ไม่ปรากฏ
ข้อความใดที่แสดงว่าจำเลยมีภริยาอยู่แล้วดังท่ีจำเลยนำสืบว่าเคยบอกโจทก์ด้วยวาจา อันจะ
เปน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทป่ี ระกอบการตดั สนิ ใจของโจทกใ์ นการเลอื กจำเลยเปน็ คคู่ รอง กลบั ไดค้ วามจาก
จดหมายดังกล่าวว่าจำเลยแสดงตนประหน่ึงว่าเป็นโสด พร้อมปกป้องคุ้มครองและดูแลเล้ียงด
ู
โจทก์ไปช่ัวชีวิต นายสามชัย บิดาโจทก์ ก็เบิกความว่า เคยถามจำเลยถึงสถานภาพส่วนตัว
จำเลยบอกว่าเคยแต่งงานมาก่อนและหย่าแล้ว มีบุตร ๑ คน ปัจจุบันเป็นโสด และบอกว่ารัก
โจทก์ ต้องการขอแต่งงานด้วย ฉะน้ัน การที่โจทก์ยินยอมสมัครใจหม้ันหมายและจดทะเบียน
สมรสกบั จำเลยยอ่ มมาจากคำมนั่ สญั ญาทจี่ ำเลยรบั รองตอ่ โจทกแ์ ละบดิ าโจทกว์ า่ เปน็ โสดนนั่ เอง
ท่ีสำคัญอย่างยิ่ง หากนายสามชัย บดิ าโจทก์ ทราบว่าจำเลยมภี รยิ าอยู่แล้วและยังไมห่ ย่าขาด
จากกนั ยอ่ มไมม่ เี หตผุ ลอนั ใดทน่ี ายสามชยั จะเหน็ พอ้ งยนิ ยอมใหโ้ จทกแ์ ตง่ งานกบั จำเลยเพอื่ ไป
สว่ นท่ี ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำสั่งในรปู คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 439
คดคี รอบครวั
เปน็ ภรยิ าทไ่ี มช่ อบดว้ ยกฎหมายของโจทกอ์ นั เปน็ การเสอื่ มเสยี อบั อายตอ่ ชอื่ เสยี งและเกยี รตคิ ณุ
ของโจทกแ์ ละครอบครวั ยงิ่ ไปกวา่ นน้ั การทโี่ จทกเ์ ปน็ ผดู้ ำเนนิ การจดั งานแตง่ งานตามประเพณ ี
เชญิ แขกฝา่ ยตนมารว่ มงานถงึ จำนวน ๒๕๐ คน นน้ั ยอ่ มเปน็ เหตผุ ลอกี ประการหนง่ึ ทส่ี นบั สนนุ
ว่าโจทก์ต้องการแสดงให้ปรากฏต่อหมู่ญาติ เพื่อนฝูง และสังคมที่เกี่ยวข้องว่าโจทก์ได้จด
ทะเบียนสมรสและแต่งงานโดยถูกต้องตามกฎหมายและตามประเพณีนิยมซ่ึงเป็นการเชิดช
ู
เกยี รตยิ ศและชอ่ื เสยี งของโจทกม์ ใิ หถ้ กู ตำหนติ เิ ตยี น รวมทงั้ ดำรงสถานภาพของตนเองไดอ้ ยา่ ง
ภาคภูมใิ จ เชือ่ ได้ว่าหากโจทกท์ ราบความจริงวา่ จำเลยมีภรยิ ามาก่อนหน้านี้ถึง ๖ คน และยัง
มไิ ด้จดทะเบยี นหย่าถงึ ๓ คน โจทก์คงตอ้ งทบทวนการตดั สนิ ใจท่ีจะยนิ ยอมแตง่ งานกบั จำเลย
ภายใตส้ ภาวการณเ์ ชน่ น้ี ซง่ึ นา่ จะบงั เกดิ ผลเสยี หายตดิ ตามมามากกวา่ ผลดที จี่ ะมขี น้ึ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งโจทก์เป็นหญิงท่ีมีความรู้ความสามารถ มีคุณสมบัติและความพร้อม ไม่มีมูลเหตุจูงใจ
พิเศษหรือผลประโยชน์ผูกพันกับจำเลยถึงขนาดท่ีโจทก์ต้องจำยอมแต่งงานกับจำเลยด้วย ท่ี
โจทกน์ ำสบื วา่ กอ่ นจดทะเบยี นสมรสกบั จำเลย โจทกไ์ มเ่ คยทราบมากอ่ นวา่ จำเลยเคยมคี สู่ มรส
มากอ่ นนนั้ จงึ มเี หตผุ ลและมีนำ้ หนักน่าเชอ่ื ถอื นอกจากนี้ ข้อเทจ็ จริงได้ความตอ่ ไปว่า ในวนั ท่ ี
๑๒ พฤษภาคม ๒๕๔๓ จำเลยถกู ศาลแขวงพระโขนงพพิ ากษาลงโทษในขอ้ หาแจง้ ความเทจ็ อนั
เปน็ มลู กรณสี บื เนอ่ื งจากทจ่ี ำเลยจดทะเบยี นสมรสซอ้ นกบั โจทก์ โดยจำเลยใหก้ ารรบั สารภาพวา่
ไดก้ ระทำความผดิ ตามฟอ้ งจรงิ คำรบั สารภาพของจำเลยในคดดี งั กลา่ วยอ่ มเปน็ พยานหลกั ฐาน
ยันจำเลยว่าก่อนจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ จำเลยแสดงตนต่อนายทะเบียนว่าไม่เคยมีคู่สมรส
และจดทะเบยี นสมรสมากอ่ น อนั เปน็ การเจอื สมกบั ทางนำสบื ของโจทก์ ฉะนนั้ ทจ่ี ำเลยอทุ ธรณ
์
วา่ โจทก์ไม่สุจรติ เพราะรมู้ ากอ่ นจดทะเบียนสมรสแลว้ ว่าจำเลยมคี สู่ มรสอยูก่ ่อนแล้วนั้น จึงมี
นำ้ หนกั นอ้ ย ไมน่ า่ เชอื่ ถอื ทงั้ ขดั แยง้ กบั คำรบั สารภาพของจำเลยในคดอี าญา ขอ้ เทจ็ จรงิ แหง่ คด
ี
รบั ฟงั ไดว้ า่ ขณะจดทะเบยี นสมรสกบั จำเลย โจทกไ์ มท่ ราบมากอ่ นวา่ จำเลยมคี สู่ มรสและยงั มไิ ด
้
หยา่ ขาดจากกนั การฟอ้ งคดขี องโจทกจ์ งึ เปน็ การใชส้ ทิ ธโิ ดยสจุ รติ ทศี่ าลชน้ั ตน้ วนิ จิ ฉยั วา่ โจทก
์
440 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินิจฉยั คดี
มอี ำนาจฟอ้ งนน้ั ศาลอทุ ธรณแ์ ผนกคดเี ยาวชนและครอบครวั เหน็ พอ้ งดว้ ย อทุ ธรณใ์ นขอ้ นข้ี อง
จำเลยฟงั ไมข่ ึน้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยในประการต่อไป คือ จำเลยต้องรับ
ผิดชดใช้ค่าทดแทนตามคำพิพากษาศาลช้ันต้นต่อโจทก์หรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่ได
้
รับความเสียหายต่อกาย ช่ือเสียง อาชีพ และทางทำมาหาได้ โจทก์เป็นพนักงานรับคำส่ังให้
ตดิ ตอ่ จองตว๋ั เครอื่ งบนิ ของบรษิ ทั การบนิ ไทย จำกดั (มหาชน) บคุ คลทต่ี ดิ ตอ่ งานดว้ ยไมร่ จู้ กั กบั
โจทก์ โจทก์ไมเ่ สอื่ มเสียชือ่ เสยี ง โจทกไ์ ดเ้ สียกบั จำเลยกอ่ นที่จะหมน้ั และแตง่ งานกนั จำเลยไม
่
เคยทำรา้ ยรา่ งกายโจทก์ การท่โี จทก์ลางานเพื่อตดิ ตามไปอยกู่ ับจำเลยทปี่ ระเทศตรุ กี จำเลยก็
เลีย้ งดโู จทก์ เมอ่ื กลับมายงั ประเทศไทย โจทกก์ ็กลบั เข้าทำงานในตำแหนง่ เดิม โจทก์มีรายได้
เดอื นละ ๑๒,๐๐๐ บาทเศษ เทา่ นน้ั มฐี านะทางสงั คมปานกลาง ฐานะการเงนิ แคเ่ ลยี้ งชพี เทา่ นน้ั
โจทกไ์ ด้รับประโยชน์จากจำเลยมากมาย เชน่ แหวนหมั้น ราคา ๑๐๐,๐๐๐ บาท เงนิ ช่วยจาก
การจัดงานแต่งงาน ๖๐,๐๐๐ บาท เงินท่ีจำเลยจ่ายให้โจทกร์ ะหว่างอยู่ทปี่ ระเทศตรุ กี ๖๐,๐๐๐
บาท ถึง ๘๐,๐๐๐ บาท ทรัพย์สินของจำเลยที่อยู่บ้านของโจทก์อีกประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ บาท
โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายและไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนนั้น เห็นว่า ก่อนจดทะเบียนสมรส
กับจำเลย โจทก์เป็นหญิงโสด ไม่เคยผ่านการสมรสมาก่อน โจทก์อายุเพียง ๓๐ ปีเศษ มีวุฒ
ิ
การศึกษาสูง มกี ารงานท่มี ่นั คง ดำรงตำแหนง่ เปน็ หวั หนา้ แผนกสอบถามและสำรองที่นง่ั กอง
บริการผู้โดยสารพิเศษ สถานีบริการภาคพ้ืนดิน ลักษณะงานต้องติดต่อประสานงานกับ
หนว่ ยงานภายในและภายนอกตลอดจนบคุ คลทวั่ ไป การทโี่ จทกจ์ ดทะเบยี นสมรสกบั จำเลยโดย
สำคญั ผดิ วา่ จำเลยไมม่ คี สู่ มรสมากอ่ นและใชช้ วี ติ คอู่ ยกู่ นิ เปน็ สามภี รยิ ากบั จำเลยเปน็ เวลา ๑ ป ี
นั้น ย่อมเห็นได้ประจักษ์ชัดว่าโจทก์ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง เกียรติคุณ และร่างกาย
เพราะโจทก์ได้ช่ือว่าเป็นหญิงมีสามีมาก่อน เคยผ่านการสมรสตามประเพณีและจดทะเบียน
สมรสตามกฎหมาย โจทก์ต้องเปลี่ยนสถานภาพจากนางสาวมาเป็นนางอันเป็นท่ีรู้กันโดย
สว่ นท่ี ๒ ตวั อยา่ งคำพิพากษาและคำส่งั ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
441
คดคี รอบครัว
พฤตินัยและปรากฏทางนิตินัย ท้ังการท่ีโจทก์ต้องจดทะเบียนสมรสซ้อนกับจำเลยในขณะท่
ี
จำเลยมคี สู่ มรสอยกู่ อ่ นยอ่ มเปน็ ความเสยี หายโดยตรงทกี่ ระทบกระเทอื นตอ่ ชอื่ เสยี งและเกยี รต
ิ
คณุ ของโจทก์ เพราะเทา่ กบั วา่ โจทกจ์ ดทะเบยี นสมรสกบั สามขี องหญงิ อน่ื การสมรสดงั กลา่ วเปน็
โมฆะและสามารถถกู เพกิ ถอนได้ โจทกไ์ มไ่ ดส้ ทิ ธใิ นฐานะภรยิ าโดยชอบดว้ ยกฎหมาย และอาจ
ถูกคู่สมรสเดิมของจำเลยและบุคคลอื่นประณามหยามเหยียดว่าโจทก์ละเมิดต่อกฎหมายและ
ประพฤตผิ ดิ ทำนองคลองธรรมของสงั คมดว้ ยการไปกอ่ นติ สิ มั พนั ธฉ์ นั ชสู้ าวกบั สามขี องหญงิ อน่ื
ซ่ึงโจทก์อาจถูกฟ้องเรียกค่าทดแทนจากภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยได้ ความ
เสียหายต่อชื่อเสียง เกียรติคุณ และทางกายของโจทก์จึงเป็นความเสียหายโดยตรงท่ีเห็นเป็น
ประจักษ์และสามารถคาดเห็นได้ตามความรู้สึกของวิญญูชนทั่วไป แม้ระหว่างอยู่กินเป็นสาม
ี
ภรยิ ากนั จำเลยจะยกยอ่ งเลย้ี งดโู จทกแ์ ละแสดงออกตอ่ บคุ คลทวั่ ไปวา่ โจทกเ์ ปน็ ภรยิ าของจำเลย
ก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถลบล้างความไม่สุจริตและความไม่ชอบธรรมตามพฤตินัยและนิตินัยที่
จำเลยกระทำให้กลับกลายเป็นความถูกต้องขึ้นมาได้ เพราะถึงอย่างไรโจทก์ก็มิใช่ภริยาที่
สามารถอ้างสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายตลอดไปนั่นเอง อน่ึง แม้โจทก์จะมิได้มีตำแหน่งหน้าที
่
การงานสูงหรือมีฐานะร่ำรวย แต่โจทก์มีบุพการี ญาติพี่น้อง เพ่ือนฝูงในวงสังคม และบุคคล
ทว่ั ไปทร่ี จู้ กั และตอ้ งมปี ฏสิ มั พนั ธต์ ดิ ตอ่ ประสานงานทง้ั สว่ นตนและการงาน การสมรสทไ่ี มช่ อบ
ด้วยกฎหมายของโจทก์ท่ีถูกศาลพิพากษาเพิกถอนย่อมกระทบกระเทือนต่อสถานภาพ ความ
เชือ่ ถือศรทั ธา และคณุ คา่ ในตวั โจทก์ ไม่วา่ ในสายตาของนายจา้ งหรือบคุ คลท่ัวไป อีกท้ังการที
่
จำเลยอุทธรณ์ว่าระหว่างที่อยู่กินเป็นสามีภริยากัน จำเลยได้อุปการะเล้ียงดูโจทก์ โจทก์ได้รับ
ทรัพย์สินต่าง ๆ ไปมากแล้ว จึงไม่ได้รับความเสียหายนั้น เห็นว่า ค่าทดแทนตามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๔๙๙ นน้ั เปน็ การกำหนดคา่ เสยี หายทจ่ี ำเลยกระทำละเมดิ
ตอ่ โจทกท์ ง้ั ในอดตี และปจั จบุ นั รวมถงึ ความเสยี หายทโ่ี จทกไ์ ดร้ บั ตอ่ เนอ่ื งไปในอนาคตดว้ ย แม
้
จำเลยจะอุปการะเล้ียงดูโจทก์ในระหว่างอยู่กินเป็นสามีภริยากัน ก็ถือเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย
442 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉัยคดี
และตามประเพณที วั่ ไปทสี่ ามตี อ้ งอปุ การะเลย้ี งดภู รยิ าเพอ่ื ประโยชนส์ ขุ ของทง้ั สองฝา่ ย สว่ นการ
ท่ีจำเลยมอบแหวนหมั้น เลี้ยงดูโจทก์ หรือยินยอมให้โจทก์ได้รับประโยชน์ในทางทรัพย์สิน
อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ หรอื หลายอยา่ ง กเ็ ปน็ ความสมคั รใจของจำเลยทตี่ อ้ งการมอบใหโ้ จทกโ์ ดยเสนห่ า
มอิ าจนำมาหกั กลบลบหนกี้ บั คา่ ทดแทนทจ่ี ำเลยกระทำละเมดิ ตอ่ โจทกซ์ งึ่ เปน็ คนละสว่ นกนั เมอ่ื
พิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์และจำเลยตลอดจนพฤติการณ์แห่งคดีและความเสียหายท้ัง
ปวงแลว้ เหน็ วา่ ทศ่ี าลชนั้ ตน้ กำหนดคา่ ทดแทนความเสยี หายตอ่ กาย ชอ่ื เสยี ง อาชพี และทาง
ทำมาหาได้ของโจทก์โดยให้จำเลยรับผิด จำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท นั้น นับว่าเหมาะสมแก
่
พฤตกิ ารณแ์ หง่ คดแี ลว้ ศาลอทุ ธรณแ์ ผนกคดเี ยาวชนและครอบครวั เหน็ พอ้ งดว้ ย ไมม่ เี หตทุ จ่ี ะ
เปลีย่ นแปลงแกไ้ ขเป็นอนื่ อุทธรณ์ของจำเลยในขอ้ นี้ฟังไมข่ ้ึนอีกเช่นกัน
พพิ ากษายืน ใหจ้ ำเลยใชค้ า่ ทนายความในชั้นอทุ ธรณ์ ๓,๐๐๐ บาท แทนโจทก์.
ส่วนท่ี ๒ ตวั อย่างคำพิพากษาและคำสั่งในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 443
คดคี รอบครวั
ตัวอย่างคดีขอใหร้ ับเด็กเป็นบตุ รชอบดว้ ยกฎหมาย
ค
ำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๕๗๒๕/๒๕๔๘
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงท่ีคู่ความมิได้โต้เถียงกันรับฟังได้ว่า โจทก์กับจำเลย
รจู้ ักกัน เนือ่ งจากทำงานอยดู่ ว้ ยกันที่บรษิ ัทอาคเนยป์ ระกันภัย จำกัด เมื่อประมาณปี ๒๕๔๓
โจทก์กับจำเลยเร่ิมมีเพศสัมพันธ์กัน ต่อมาได้ร่วมประเวณีและมีเพศสัมพันธ์กันอีกหลายครั้ง
เมอ่ื วันท่ี ๒๒ ธันวาคม ๒๕๔๔ โจทกก์ ับจำเลยประกอบพิธีสมรสกนั ท่ีบา้ นญาติของโจทก์ แต่
ไมไ่ ดจ้ ดทะเบยี นสมรสกนั หลงั จากนน้ั เมอ่ื วนั ที่ ๘ มถิ นุ ายน ๒๕๔๕ โจทกใ์ หก้ ำเนดิ บตุ รชายชอื่
เด็กชายยุทธพงษ์ กอบบุญโชติ โดยในสตู ิบตั รระบุวา่ จำเลยเป็นบดิ า ปญั หาทตี่ ้องวินจิ ฉัยตาม
อทุ ธรณข์ องจำเลยขอ้ แรกมวี า่ โจทกม์ อี ำนาจฟอ้ งคดหี รอื ไม่ ซง่ึ จำเลยอทุ ธรณว์ า่ โจทกม์ ไิ ดร้ ะบ
ุ
ในช่องคู่ความหรือบรรยายฟ้องว่าโจทก์ฟ้องคดีในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชาย
ยทุ ธพงษ์ โจทกไ์ มม่ อี ำนาจฟอ้ งคดนี ใี้ นนามของตนเองไดโ้ ดยตรงตามประมวลกฎหมายแพง่ และ
พาณิชย์ มาตรา ๑๕๕๖ เหน็ ว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา ๑๕๕๖ วรรค
หนง่ึ บญั ญตั วิ า่ การฟอ้ งคดขี อใหร้ บั เดก็ เปน็ บตุ รในระหวา่ งทเี่ ดก็ เปน็ ผเู้ ยาว์ ถา้ เดก็ มอี ายยุ งั ไม
่
ครบ ๑๕ ปี บรบิ ูรณ์ ผู้แทนโดยชอบธรรมของเดก็ เปน็ ผฟู้ อ้ งแทน ในกรณีทเ่ี ดก็ ไมม่ ผี ู้แทนโดย
ชอบธรรม หรอื มแี ตผ่ ูแ้ ทนโดยชอบธรรมไม่สามารถทำหนา้ ทไี่ ด้ ญาติสนทิ ของเด็กหรืออัยการ
อาจรอ้ งขอตอ่ ศาลใหต้ ง้ั ผแู้ ทนเฉพาะคดเี พอื่ ทำหนา้ ทฟ่ี อ้ งคดแี ทนเดก็ กไ็ ด้ ดงั นน้ั เมอ่ื โจทกเ์ ปน็
มารดาของเดก็ ชายยทุ ธพงษ์ โจทกจ์ งึ เปน็ ผแู้ ทนโดยชอบธรรมของเดก็ ชายยทุ ธพงษ์ โจทกย์ อ่ ม
เป็นผู้ทำหน้าที่ฟ้องคดีแทนเด็กชายยุทธพงษ์ เม่ือบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวระบุให้การ
ฟอ้ งคดขี อใหร้ บั เดก็ เปน็ บตุ รในระหวา่ งทเ่ี ดก็ เปน็ ผเู้ ยาวเ์ ปน็ การฟอ้ งคดแี ทนเดก็ และในคำฟอ้ ง
ของโจทกก์ เ็ หน็ ไดช้ ดั เจนวา่ โจทกเ์ ปน็ มารดาและผแู้ ทนโดยชอบธรรมของเดก็ โจทกจ์ งึ หาจำตอ้ ง
ระบุในช่องคู่ความหรือบรรยายฟ้องว่าโจทก์ฟ้องคดีในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมซึ่งกระทำ
444 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉัยคดี
การแทนเด็กอีก ส่วนการร้องขอค่าอุปการะเล้ียงดูบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย ์
มาตรา ๑๕๖๕ บญั ญตั วิ า่ การรอ้ งขอคา่ อปุ การะเลยี้ งดบู ตุ ร ฯลฯ นอกจากอยั การจะยกคดขี นึ้
วา่ กลา่ วตามมาตรา ๑๕๖๒ แลว้ บดิ าหรอื มารดาจะนำคดขี น้ึ วา่ กลา่ วกไ็ ด้ โจทกซ์ ง่ึ เปน็ มารดาจงึ ม
ี
อำนาจฟอ้ งขอคา่ อปุ การะเลย้ี งดบู ตุ รในคดนี ไี้ ดเ้ ชน่ กนั อทุ ธรณข์ องจำเลยขอ้ นฟ้ี งั ไมข่ น้ึ ปญั หาท
่ี
ตอ้ งวนิ จิ ฉยั ขอ้ ตอ่ ไปมวี า่ เดก็ ชายยทุ ธพงษเ์ ปน็ บตุ รของจำเลยหรอื ไม่ โจทกน์ ำสบื วา่ โจทกก์ บั
จำเลยได้ร่วมประเวณีกันต้ังแต่ประมาณเดือนมิถุนายน ๒๕๔๓ จนในเดือนกันยายน ๒๕๔๔
โจทก์ตั้งครรภ์ โจทก์กับจำเลยจึงประกอบพิธีสมรสกันเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๔๔ โดย
ประกอบพิธีหม้ันในช่วงเช้าที่บ้านญาติของโจทก์ และในช่วงเย็นมีงานเลี้ยงฉลองสมรสตาม
บตั รเชญิ เอกสารหมาย จ.๒ และภาพถา่ ยงานสมรส หมาย จ.๓ ต่อมาเม่อื วนั ท่ี ๘ มถิ ุนายน
๒๕๔๕ โจทกจ์ งึ ใหก้ ำเนดิ เดก็ ชายยทุ ธพงษต์ ามสตู บิ ตั ร เอกสารหมาย จ.๑ ขอ้ นำสบื ของโจทก
์
ดงั กลา่ วมที ง้ั บตั รเชญิ และภาพถา่ ยงานสมรสระหวา่ งโจทกก์ บั จำเลยซง่ึ มผี ไู้ ปรว่ มงานหลายคน
ฝา่ ยจำเลยกน็ ำสบื รับวา่ โจทก์กบั จำเลยมเี พศสมั พนั ธ์กนั ก่อนการแต่งงาน และในการสมรสกัน
น้ันจำเลยทราบแล้วว่าโจทก์ต้ังครรภ์ ซ่ึงเจือสมกับข้อนำสืบของโจทก์ จำเลยเพียงแต่อ้างว่า
จำเลยไดร้ ว่ มประเวณกี บั โจทกค์ รงั้ สดุ ทา้ ยกอ่ นวนั ที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๔๔ ซง่ึ เปน็ วนั คลา้ ยวนั
เกิดของโจทก์ และระยะเวลาดังกล่าวนบั ถงึ วันทเ่ี ดก็ ชายยุทธพงษ์เกดิ เกินกวา่ ๓๑๐ วัน แลว้
เด็กชายยุทธพงษ์จึงไม่ใช่บุตรของจำเลย ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวเป็นการเบิกความลอย ๆ
โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน แต่กลับปรากฏว่าก่อนประกอบพิธสี มรสจำเลยทราบแลว้
วา่ โจทกต์ ง้ั ครรภไ์ ดป้ ระมาณ ๓ เดอื น หากจำเลยไมไ่ ดร้ ว่ มประเวณกี บั โจทกม์ านานถงึ ๕ เดอื น
แล้วดังที่จำเลยอ้าง จำเลยย่อมไม่ยินยอมเข้าพิธีสมรสกับโจทก์ เพราะในขณะนั้นจำเลยมี
นางวรรณี กอบบญุ โชติ เปน็ ภรยิ าอย่แู ล้ว และจำเลยก็เบกิ ความยอมรับว่าเหตุทจ่ี ำเลยเลกิ คบ
กับโจทก์ เนื่องจากภริยาจำเลยทราบ แล้วมาต่อว่าโจทก์และบอกให้จำเลยเลิกคบกับโจทก ์
ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าจำเลยยินยอมเข้าพิธีสมรสกับโจทก์เพื่อไม่ให้โจทก์ต้องอับอายและไม่ให้
สว่ นที่ ๒ ตวั อยา่ งคำพิพากษาและคำส่ังในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 445
คดีครอบครัว
บดิ ามารดาของโจทกเ์ สยี หนา้ นนั้ ไมม่ นี ำ้ หนกั ใหร้ บั ฟงั ขอ้ เทจ็ จรงิ รบั ฟงั ไดต้ ามทโ่ี จทกน์ ำสบื วา่
เด็กชายยุทธพงษ์เป็นบุตรของจำเลย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ปัญหาที่ต้อง
วนิ จิ ฉยั ขอ้ สดุ ทา้ ยมวี า่ จำเลยตอ้ งรบั ผดิ จา่ ยคา่ อปุ การะเลย้ี งดเู ดก็ ชายยทุ ธพงษเ์ ปน็ จำนวนเงนิ
เท่าใด ซึง่ จำเลยอทุ ธรณว์ า่ จำเลยมีรายไดเ้ พียงเดอื นละ ๗,๕๐๐ บาท ตอ้ งสง่ เสยี เลีย้ งดูบดิ า
มารดาและภรยิ าของจำเลยซงึ่ กำลงั จะมบี ตุ รดว้ ยกนั สว่ นคา่ เบยี้ เลย้ี งและคา่ นำ้ มนั เปน็ รายไดท้ ี่
ไม่แน่นอน จำเลยสมควรจ่ายค่าอุปการะเล้ียงดูเด็กชายยุทธพงษ์ไม่เกินเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท
เห็นว่า ตามใบรับเงินเดือนของจำเลย เอกสารหมาย ล.๒ จำเลยมีรายได้เดือนละประมาณ
๙,๖๐๐ บาท ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเล้ียงดูเด็กชายยุทธพงษ์ เดอื นละ
๓,๐๐๐ บาท นบั แตว่ นั ทคี่ ำพพิ ากษาถงึ ทสี่ ดุ จนกวา่ เดก็ ชายยทุ ธพงษอ์ ายุ ๑๐ ปี หลงั จากนนั้ ให
้
จ่ายเพิ่มเป็นเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท จนกว่าเด็กชายยุทธพงษ์จะบรรลุนิติภาวะน้ัน เป็นการ
กำหนดให้จำเลยจ่ายเงินในอนาคตซ่ึงจำเลยมีโอกาสที่จะได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นหรือประกอบ
อาชพี ทม่ี รี ายไดม้ ากขน้ึ กวา่ เดมิ เงนิ จำนวนดงั กลา่ วเปน็ จำนวนทพี่ อสมควรแกห่ นา้ ทขี่ องบดิ าท่ี
จะตอ้ งอปุ การะเลย้ี งดบู ตุ รใหเ้ จรญิ เตบิ โตและไดร้ บั การศกึ ษาตอ่ ไป และจำเลยเองกย็ งั พอมเี งนิ
เหลือที่จะใช้จ่ายในครอบครัวของจำเลย ค่าอุปการะเลี้ยงดูท่ีศาลช้ันต้นกำหนดมานั้นชอบแล้ว
ไมม่ ีเหตทุ ีศ่ าลอุทธรณ์จะเปลีย่ นแปลงแกไ้ ข อุทธรณข์ องจำเลยทุกขอ้ ฟงั ไม่ข้นึ
พิพากษายนื ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพบั .
446 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉัยคด
ี
ตัวอย่างคดีผิดสัญญาหมัน้
ค
ำพิพากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๙๐๗๗/๒๕๔๘
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบ้ืองต้นรับฟังได้ว่า โจทก์กับจำเลยเคยเป็นเพ่ือนกัน
ในขณะทเ่ี รยี นอยชู่ นั้ ประถมศกึ ษา หลงั จากนนั้ โจทกก์ บั จำเลยตา่ งมคี สู่ มรส ตอ่ มาเมอ่ื วนั ที่ ๒๘
เมษายน ๒๕๔๔ โจทก์กับจำเลยพบกันในงานเลี้ยงสังสรรค์ชุมนุมศิษย์เก่าของโรงเรียนศรี-
วฒั นะศกึ ษา แล้วโจทก์กบั จำเลยไดต้ ิดต่อและสนิทสนมกัน โจทก์กับจำเลยตกลงท่ีจะอยูก่ ินฉนั
สามภี รยิ า โดยโจทกจ์ ดทะเบยี นหยา่ กบั พนั ตำรวจตรี วนั ชยั เรอื งศรี สามคี นกอ่ นซงึ่ ไดแ้ ยกกนั
อยู่ ตามใบสำคัญการหย่า เอกสารหมาย จ.๓ หลังจากน้ันเมื่อวันท่ี ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
จำเลยและดาบตำรวจ ประวตั ิ เศรษฐจติ ต์ บดิ าจำเลย ไปทบ่ี า้ นของโจทก์ จำเลยไดม้ อบถาดซง่ึ
มเี งนิ สด จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และกำไลทองคำ ๑ วง ใหแ้ กน่ างตุ๊ อปุ ถมั ภ์ มารดาโจทก์ ตอ่
หน้าบิดาจำเลยและโจทก์ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยในประการแรกว่า
จำเลยมอบของหมั้นและสินสอดให้แก่มารดาโจทก์และเป็นฝ่ายผิดสัญญาหม้ันหรือไม่ เห็นว่า
ตามทพี่ ยานโจทกแ์ ละพยานจำเลยนำสบื รบั กนั ฟงั ไดว้ า่ เมอ่ื วนั ที่ ๑๖ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๕ จำเลย
และบดิ าจำเลยมาท่บี ้านของโจทก์ ทัง้ ตามคำเบกิ ความของดาบตำรวจ ประวตั ิ บิดาจำเลย ได
้
ความวา่ เมอ่ื พยานและจำเลยไปถงึ บา้ นของโจทก์ โจทกก์ บั จำเลยขนึ้ ไปทชี่ น้ั บน แลว้ เหน็ โจทก
์
กบั จำเลยเดนิ ลงมาดว้ ยกนั จำเลยถอื ถาดมาใบหนงึ่ ภายในถาดมธี นบตั ร ฉบบั ละ ๑,๐๐๐ บาท
วางอยู่โดยรอบและมีสร้อยข้อมือทองคำวางอยู่ตรงกลางถาด จากน้ันจำเลยพาโจทก์มาคุกเข่า
ตอ่ หนา้ นางตุ๊ มารดาโจทก์ แลว้ จำเลยยกถาดขนึ้ และสง่ ใหน้ างตุ๊ นางตรุ๊ บั ถาด นางตหุ๊ ยบิ เงนิ ไว
้
จำนวนหนงึ่ และสง่ ถาดคนื ใหจ้ ำเลย จำเลยสง่ ถาดใหแ้ กโ่ จทก์ เมอื่ รบั ถาดแลว้ โจทกน์ ำเงนิ และ
สงิ่ ของในถาดไปเกบ็ ไวท้ ช่ี นั้ บน เหน็ วา่ ในถาดทจ่ี ำเลยมอบใหแ้ กน่ างตุ๊ มารดาโจทก์ นน้ั มเี งนิ สด
๑๐๐,๐๐๐ บาท และกำไลทองคำ ๑ วง ตามภาพถา่ ย หมาย จ.๒ เงนิ สดเปน็ สนิ สอดซง่ึ ฝา่ ย
ส่วนท่ี ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำสั่งในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 447
คดคี รอบครวั
ชายมอบให้แก่บิดามารดาของฝ่ายหญิงเพื่อตอบแทนการท่ีหญิงยินยอมสมรสด้วย ส่วนกำไล
ทองคำตามภาพถ่าย หมาย จ.๒ เปน็ ของหม้นั ทฝ่ี า่ ยชายสง่ มอบใหแ้ กห่ ญงิ การที่จำเลยมอบ
ถาดที่มีเงินสดและกำไลทองคำให้แก่นางตุ๊ มารดาโจทก์ ต่อหน้าบิดาจำเลยและโจทก์ถือได้ว่า
จำเลยไดม้ อบของหมนั้ ใหแ้ กโ่ จทกแ์ ละมอบสนิ สอดใหแ้ กม่ ารดาโจทกต์ ามประมวลกฎหมายแพง่
และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๔๓๗ แลว้ หาใชเ่ ปน็ พธิ ขี อขมาตอ่ นางตุ๊ มารดาโจทก์ ตามทจี่ ำเลยนำสบื
ไม่ สินสอดทองหมั้นแม้จะฟังได้ว่าฝ่ายโจทก์เป็นผู้จัดการเตรียมไว้ให้ ก็รับฟังได้แต่เพียงว่า
โจทกเ์ ปน็ ฝา่ ยอำนวยความสะดวกใหแ้ กฝ่ า่ ยจำเลยเทา่ นนั้ ไมท่ ำใหข้ องหมนั้ ดงั กลา่ วไมเ่ ปน็ ของ
หมน้ั ตามกฎหมายตามทจี่ ำเลยอทุ ธรณไ์ ม่ ดงั นนั้ จงึ รบั ฟงั ไดว้ า่ เมอื่ วนั ท่ี ๑๖ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๕
จำเลยได้มอบของหม้ันและสินสอดให้แก่มารดาโจทก์เพ่ือเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับโจทก ์
นอกจากน้ี ตามคำเบกิ ความของนางตกุ๊ ตา เดชศริ ิ และนายทวศี กั ดิ์ อปุ ถมั ภ์ ยงั ไดค้ วามวา่ เมอ่ื
วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๔๕ โจทก์กับจำเลยได้จัดงานเล้ียงโดยมีเพ่ือนฝูงและญาติมิตรไป
รว่ มงานประมาณ ๑๐๐ คน ตามภาพถา่ ย หมาย จ.๕ แมจ้ ะไมไ่ ดม้ กี ารแจกบตั รเชญิ หรอื มพี ธิ
ี
การต่าง ๆ ดังเช่นงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสโดยท่ัวไปก็ตาม แต่โจทก์กับจำเลยต้องการให
้
เพื่อนฝูงและญาติมิตรทราบโดยท่ัวกันว่าโจทก์กับจำเลยได้สมรสกันแล้ว เมื่อพิเคราะห์ถึง
ตำแหน่งหน้าท่ีการงานของโจทก์ซ่ึงทำงานในตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ ระดับ ๗ หัวหน้าหอ
ผปู้ ว่ ย โรงพยาบาลจฬุ าลงกรณ์ ถอื ไดว้ า่ โจทกม์ ตี ำแหนง่ หนา้ ทก่ี ารงานระดบั สงู ยอ่ มตอ้ งรกั ษา
ชอ่ื เสียงและเกียรตยิ ศของตนเอง แม้โจทกจ์ ะเป็นหญงิ มสี ามีและแยกกันอย่กู บั สามีมาก่อน แต่
เมอ่ื โจทกม์ คี วามสมั พนั ธก์ บั จำเลย แลว้ โจทกไ์ ดจ้ ดทะเบยี นหยา่ กบั สามคี นกอ่ น จงึ เชอื่ วา่ โจทก
์
น่าจะมีความประสงค์ท่ีจะจดทะเบียนสมรสกับจำเลยเพ่ือให้เป็นคู่สมรสท่ีชอบด้วยกฎหมาย
โจทกค์ งไมย่ อมอยกู่ นิ กบั จำเลยฉนั ชสู้ าวตลอดไป ดงั นนั้ ตามคำเบกิ ความของโจทกจ์ งึ รบั ฟงั ได
้
วา่ หลงั จากโจทกก์ บั จำเลยไดจ้ ดั งานเลยี้ งฉลองสมรสแลว้ จำเลยบา่ ยเบยี่ งไมย่ อมไปจดทะเบยี น
สมรส ยงิ่ ไปกวา่ นนั้ จำเลยยงั พยายามบอกปดั ไมใ่ หโ้ จทกไ์ ปอยกู่ นิ กบั จำเลยทบี่ า้ นของจำเลยใน
448 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉัยคดี
จังหวัดชลบุรีดังเดิมโดยอ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา ต่อมาโจทก์สืบทราบว่าจำเลยได้จดทะเบียน
สมรส คร้ังที่ ๓ กับหญิงอื่นเม่ือวันท่ี ๖ สิงหาคม ๒๕๔๕ ตามคำร้องเก่ียวกับงานทะเบียน
ครอบครวั เอกสารหมาย จ.๗ ดงั นน้ั เหตทุ จี่ ำเลยไมจ่ ดทะเบยี นสมรสกบั โจทกต์ ามกฎหมายหา
ใชส่ ืบเนือ่ งมาจากโจทกไ์ ม่ประสงค์ทจ่ี ะจดทะเบียนสมรสไม่ แต่เป็นเพราะจำเลยไปจดทะเบยี น
สมรสกับหญิงอื่นแล้ว จึงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น ที่ศาลช้ันต้นวินิจฉัยมานั้น
ตอ้ งดว้ ยความเหน็ ของศาลอทุ ธรณแ์ ผนกคดเี ยาวชนและครอบครวั อทุ ธรณข์ องจำเลยฟงั ไมข่ นึ้
คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยอีกประการหน่ึงว่า ค่าทดแทน
ความเสยี หายตามทศี่ าลชนั้ ตน้ กำหนดมานนั้ เหมาะสมหรอื ไม่ เหน็ วา่ โจทกฟ์ อ้ งเรยี กคา่ ทดแทน
ต่อกายและชื่อเสียงของโจทก์ เป็นเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่ศาลชั้นต้นกำหนดให้เพียง
๒๐๐,๐๐๐ บาท เห็นว่า แม้โจทก์จะเคยสมรสมาก่อนก็ตาม แต่เม่ือจำเลยได้เข้ามามี
ความสัมพันธ์กับโจทก์ ทำให้โจทก์ต้องจดทะเบียนหย่ากับสามีเก่า จึงเป็นการแสดงออกโดย
ชัดแจ้งว่าโจทก์มุ่งหวังที่จะสมรสกับจำเลยตามกฎหมาย ประกอบกับโจทก์กับจำเลยยังได้จัด
งานเลยี้ งฉลองสมรสเพอื่ แสดงใหเ้ พอ่ื นและญาตมิ ติ รทราบโดยทวั่ กนั วา่ บคุ คลทงั้ สองไดส้ มรสกนั
แล้ว ดังนั้น เมือ่ จำเลยไมส่ ามารถจดทะเบยี นสมรสกับโจทก์ เนอื่ งจากไปจดทะเบียนสมรสกับ
หญงิ อนื่ แลว้ ยอ่ มทำใหโ้ จทกไ์ ดร้ บั ความเสยี หายตอ่ ชอื่ เสยี ง เมอื่ พเิ คราะหถ์ งึ ตำแหนง่ หนา้ ทกี่ าร
งานของโจทกป์ ระกอบแลว้ เหน็ วา่ คา่ ทดแทน จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ตามทศ่ี าลชน้ั ตน้ กำหนด
มาน้ัน เหมาะสมแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวจะพิจารณา
เปลี่ยนแปลงแกไ้ ข อทุ ธรณข์ องจำเลยทุกข้อฟังไม่ขนึ้
พิพากษายนื ให้จำเลยใช้คา่ ทนายความชน้ั อทุ ธรณ์ ๒,๐๐๐ บาท แทนโจทก.์
ส่วนที่ ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำสั่งในรปู คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
449
คดคี รอบครวั
ตัวอยา่ งคดีเพกิ ถอนการรบั บตุ รบญุ ธรรม
คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๗๙๖๒/๒๕๔๙
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า นายประภาส ศกุนวัฒน์ และ
โจทก์จดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันท่ี ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๑๙ ตามสำเนาทะเบียนการสมรส
เอกสารหมาย จ.๕ ต่อมานายประภาสและจำเลยท่ี ๑ จดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันท่ี ๑๒
ธันวาคม ๒๕๓๙ ตามสำเนาใบสำคัญการสมรส เอกสารหมาย จ.๙ จากนั้นนายประภาส
จดทะเบยี นรบั จำเลยท่ี ๒ และที่ ๓ เปน็ บตุ รบุญธรรมเมอื่ วันท่ี ๗ มกราคม ๒๕๔๑ โดยไดร้ ับ
ความยินยอมจากจำเลยท่ี ๑ ในฐานะภริยาตามสำเนาทะเบียนการรับบุตรบุญธรรม เอกสาร
หมาย จ.๑๑ และ จ.๑๒ ตอ่ มานายประภาสถึงแก่กรรมเม่ือวนั ที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๔๖ จำเลย
ท้ังสามจึงยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายประภาสท่ีศาลแพ่งกรุงเทพใต้ในคดีแพ่ง
หมายเลขดำที่ ๑๖๖/๒๕๔๗ ตามสำเนาคำร้อง เอกสารหมาย จ.๘ โจทกไ์ ดย้ น่ื คำรอ้ งคัดค้าน
และยน่ื ฟอ้ งจำเลยที่ ๑ เพอื่ ขอใหเ้ พกิ ถอนการสมรสระหวา่ งนายประภาสกบั จำเลยท่ี ๑ ตอ่ ศาล
ชน้ั ตน้ ในคดแี พง่ หมายเลขแดงท่ี ๒๓๒๙/๒๕๔๗ ศาลชนั้ ตน้ พพิ ากษาใหเ้ พกิ ถอนการสมรสเมอื่
คดีถงึ ท่สี ดุ ตามสำเนาคำพพิ ากษา เอกสารหมาย จ.๑๐ ปัจจุบันคดอี ยใู่ นระหว่างการพจิ ารณา
ของศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครวั
คดมี ปี ัญหาทตี่ อ้ งวินจิ ฉยั อุทธรณข์ องจำเลยท้ังสามในประการแรกว่า จำเลยที่ ๑
เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายประภาส ศกุนวัฒน์ หรือไม่ จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ว่า จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนสมรสกับนายประภาสโดยสุจริต เพราะไม่ทราบว่านายประภาส
จดทะเบยี นสมรสกบั โจทก์มากอ่ น แมก้ ารสมรสระหวา่ งนายประภาสกับจำเลยท่ี ๑ จะตกเปน็
โมฆะ แตต่ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๔๙๙ วรรคสอง บญั ญตั วิ า่ การสมรส
ทเ่ี ปน็ โมฆะเพราะฝา่ ฝนื มาตรา ๑๔๕๒ ไมท่ ำใหช้ ายหรอื หญงิ ผสู้ มรสโดยสจุ รติ เสอื่ มสทิ ธทิ ไ่ี ดม้ า
450 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉยั คด
ี
เพราะการสมรสก่อนท่ีชายหรือหญิงน้ันรู้ถึงเหตุท่ีทำให้การสมรสเป็นโมฆะ บทกฎหมาย
ดังกล่าวคุ้มครองจำเลยที่ ๑ ผู้ทำการโดยสุจริต รวมถึงสิทธิของการเป็นภริยาโดยชอบด้วย
กฎหมายของจำเลยที่ ๑ นบั แตว่ นั จดทะเบยี นสมรสกบั นายประภาสและสน้ิ สดุ ลงหลงั จากจำเลย
ท่ี ๑ รถู้ งึ เหตทุ ที่ ำใหก้ ารสมรสตกเปน็ โมฆะ เหน็ วา่ บทบญั ญตั ทิ วี่ า่ การสมรสทเ่ี ปน็ โมฆะเพราะ
ฝา่ ฝนื มาตรา ๑๔๕๒ ไม่ทำใหช้ ายหรอื หญงิ ผูส้ มรสโดยสุจรติ เส่ือมสิทธทิ ีไ่ ดม้ าเพราะการสมรส
กอ่ นทช่ี ายหรอื หญงิ นนั้ รถู้ งึ เหตทุ ท่ี ำใหก้ ารสมรสเปน็ โมฆะนน้ั หมายถงึ สทิ ธใิ นทางทรพั ยส์ นิ ท
่ี
ได้มาระหว่างการสมรส หรือสิทธิเรียกร้องในค่าทดแทนหรือค่าเลี้ยงชีพก่อนมีคำพิพากษาถึง
ทส่ี ดุ หรอื กอ่ นทจ่ี ะรไู้ ดว้ า่ การสมรสของตนตกเปน็ โมฆะ แลว้ แตก่ รณี ตามประมวลกฎหมายแพง่
และพาณิชย์ มาตรา ๑๔๙๙ วรรคสอง และวรรคสาม ซึ่งสิทธิดังกล่าวเป็นสิทธิท่ีจำเลยที่ ๑
ได้มา มิใช่สิทธิที่จำเลยที่ ๑ ใช้ไปในการก่อนิติสัมพันธ์อย่างอ่ืน เมื่อจำเลยที่ ๑ นำสืบและ
อทุ ธรณร์ บั ขอ้ เทจ็ จรงิ วา่ จำเลยที่ ๑ ทราบภายหลงั จากนายประภาสถงึ แกก่ รรมวา่ นายประภาส
ได้จดทะเบยี นสมรสกับโจทกก์ ่อนจำเลยที่ ๑ การสมรสระหว่างจำเลยท่ี ๑ กับนายประภาสจงึ
เปน็ โมฆะตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๔๙๕ โจทกเ์ ปน็ ผมู้ สี ว่ นไดเ้ สยี ยอ่ ม
ยกขนึ้ อา้ งไดต้ ามมาตรา ๑๔๙๗ โดยไมจ่ ำตอ้ งใหศ้ าลมคี ำพพิ ากษาวา่ การสมรสของจำเลยที่ ๑
เปน็ โมฆะ ดังนัน้ การสมรสระหว่างนายประภาสกับจำเลยท่ี ๑ ย่อมเสยี เปลา่ ไมม่ ีผลมาต้ังแต่
เริ่มแรก และโดยผลของกฎหมายทำให้จำเลยท่ี ๑ ไม่ใช่ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนาย
ประภาสตั้งแต่วันท่ี ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๙ อันเป็นวันที่จำเลยท่ี ๑ จดทะเบียนสมรสกับนาย
ประภาสโดยไม่จำต้องพิจารณาว่าจำเลยที่ ๑ จดทะเบียนสมรสโดยสุจริตหรือไม่ เพราะความ
สุจริตหรอื ความไมส่ จุ ริตมผี ลเฉพาะสิทธใิ นทรัพย์สนิ หรือสิทธิเรยี กร้องบางประการ ไมเ่ ป็นการ
กอ่ ใหเ้ กดิ สทิ ธใิ นฐานะภรยิ าโดยชอบดว้ ยกฎหมายของนายประภาสทจ่ี ะใหค้ วามยนิ ยอมในการ
รบั จำเลยท่ี ๒ และที่ ๓ เปน็ บตุ รบญุ ธรรมได้ แมจ้ ำเลยที่ ๑ จะใหค้ วามยนิ ยอมในการรบั จำเลย
ท่ี ๒ และท่ี ๓ เป็นบุตรบุญธรรมในขณะที่เป็นคู่สมรสของนายประภาสก่อนการสมรสท่ีศาล
สว่ นท่ี ๒ ตวั อยา่ งคำพิพากษาและคำสั่งในรปู คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 451
คดีครอบครัว
ชั้นต้นจะมีคำพิพากษาว่าเป็นโมฆะและให้เพิกถอนก็ตาม แต่เม่ือการสมรสระหว่างจำเลยท่ี ๑
กบั นายประภาสตกเปน็ โมฆะตง้ั แตว่ นั จดทะเบยี นสมรส เทา่ กบั วา่ จำเลยที่ ๑ ไมเ่ คยเปน็ คสู่ มรส
โดยชอบดว้ ยกฎหมายของนายประภาสมาก่อน นติ ิกรรมหรอื ความยินยอมใด ๆ ท่ีจำเลยที่ ๑
กระทำไปจงึ ไมถ่ อื วา่ กระทำในฐานะภรยิ าโดยชอบดว้ ยกฎหมายของนายประภาส จงึ ไมม่ สี ภาพ
บังคับ ไม่ก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่หรือนิติสัมพันธ์ในทางนิตินัยได้ ท่ีศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการ
จดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมระหว่างนายประภาสกับจำเลยที่ ๒ และท่ี ๓ ไม่สมบูรณ์และไม่มี
ผลตามกฎหมายนัน้ จึงชอบแลว้
ปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยท้ังสามท่ีต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า การท่ีผู้ตายจด
ทะเบียนรับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นบุตรบุญธรรมเป็นการโต้แยง้ สิทธขิ องโจทกห์ รอื ไม่ จำเลย
ทง้ั สามอทุ ธรณว์ า่ จำเลยท่ี ๒ ยงั มไิ ดข้ อรบั มรดกของผตู้ าย เพยี งแตร่ ว่ มกบั จำเลยที่ ๑ ขอเปน็
ผจู้ ดั การมรดกของผูต้ ายเทา่ น้นั ยงั ไมท่ ำให้จำเลยที่ ๒ และท่ี ๓ มสี ิทธิได้รับมรดก กรณีเป็น
เพยี งการรอ้ งขอตามสิทธิ ไมใ่ ช่การโต้แยง้ สิทธิของโจทก์ โจทกจ์ งึ ไมม่ ีอำนาจฟ้อง เห็นว่า ตาม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๕๙๙ วรรคแรก บญั ญตั วิ า่ เมอื่ บคุ คลใดตาย มรดก
ของบุคคลนัน้ ตกทอดแก่ทายาท มาตรา ๑๖๒๗ บัญญตั ิวา่ บุตรนอกกฎหมายทบ่ี ดิ าไดร้ ับรอง
แล้วและบุตรบุญธรรมนั้น ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรท่ีชอบด้วยกฎหมายตาม
ความหมายแห่งประมวลกฎหมายนี้ และมาตรา ๑๖๒๙ บญั ญตั ติ ่อไปวา่ ทายาทโดยธรรม....มี
สิทธิได้รับมรดกก่อนหลังด่ังต่อไปน้ี คอื (๑) ผู้สืบสนั ดาน....ดงั น้นั เมอ่ื นายประภาส ศกนุ วฒั น์
ถงึ แกก่ รรม ทรพั ยม์ รดกของนายประภาสยอ่ มตกทอดแกท่ ายาทตามกฎหมาย จำเลยท่ี ๒ และ
ที่ ๓ แมเ้ ปน็ บตุ รบญุ ธรรมของนายประภาส แตก่ ฎหมายใหถ้ อื วา่ เปน็ ผสู้ บื สนั ดาน จงึ เปน็ ทายาท
ในลำดบั แรกทม่ี สี ทิ ธริ บั มรดกของนายประภาสโดยนติ นิ ยั ทนั ที ไมต่ อ้ งรอใหจ้ ำเลยท่ี ๒ และที่ ๓
รอ้ งขอสว่ นแบง่ ทรพั ยม์ รดกของนายประภาสดังท่ีอทุ ธรณ์ ดังนัน้ การทจ่ี ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มี
ฐานะเป็นบุตรบุญธรรมโดยชอบด้วยกฎหมายของนายประภาสจึงกระทบต่อส่วนได้เสียของ
452 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉัยคด
ี
โจทก์ ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของนายประภาสตามมาตรา ๑๖๓๕ อาจ
ไดร้ บั ส่วนแบ่งในทรพั ยม์ รดกของนายประภาสนอ้ ยลง การกระทำของจำเลยท้งั สามจงึ เป็นการ
โต้แย้งสิทธิของโจทก์โดยตรงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ ท่ีศาล
ชนั้ ตน้ วนิ จิ ฉยั วา่ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ โตแ้ ยง้ สทิ ธขิ องโจทกแ์ ละโจทกม์ อี ำนาจฟอ้ งนน้ั ชอบแลว้
มีปัญหาท่ีจำเลยทั้งสามอุทธรณ์ต่อไปว่า นายประภาส ศกุนวัฒน์ จงใจท้ิงร้าง
โจทกเ์ กนิ กวา่ ๑ ปี การสมรสของโจทกก์ บั นายประภาสจงึ ขาดจากกนั นน้ั เหน็ วา่ เหตหุ ยา่ ตาม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๕๑๖ (๔) ทว่ี า่ สามหี รอื ภรยิ าจงใจละทง้ิ รา้ งอกี ฝา่ ย
หนงึ่ ไปเกนิ หนง่ึ ปี อกี ฝา่ ยหนง่ึ นนั้ ฟอ้ งหยา่ ได้ บคุ คลทจ่ี ะกลา่ วอา้ งและนำคดขี น้ึ สศู่ าล หมายถงึ
เฉพาะคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งเท่าน้ัน ไม่รวมถึงบุคคลภายนอกท่ีมิใช่คู่สมรส เมื่อจำเลยที่ ๑ มิใช่
คู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ จึงไม่มีสิทธิหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นกล่าวอ้าง ศาล
อุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวไม่รับวินิจฉัย และมีปัญหาที่จำเลยท้ังสามอุทธรณ
์
ประการสุดทา้ ยวา่ เม่ือการจดทะเบยี นรบั บตุ รบญุ ธรรมถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ไม่มีใครบอก
เลกิ หรอื เพกิ ถอนได้ นอกจากนายประภาสเทา่ นน้ั แมโ้ จทกจ์ ะเปน็ ภรยิ าทชี่ อบดว้ ยกฎหมายของ
นายประภาส กไ็ มม่ สี ทิ ธนิ นั้ เหน็ วา่ เมอื่ ขอ้ เทจ็ จรงิ รบั ฟงั เปน็ ยตุ ติ ามทว่ี นิ จิ ฉยั มาขา้ งตน้ แลว้ วา่
การรบั บตุ รบญุ ธรรมระหวา่ งนายประภาสกบั จำเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ไมส่ มบรู ณต์ ามกฎหมาย ศาล
ย่อมมีอำนาจเพิกถอนการจดทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมดังกล่าวได้ กรณีไม่มีกฎหมาย
ใดบัญญัติเป็นการเฉพาะให้ผู้รับบุตรบุญธรรมแต่เพียงผู้เดียวมีอำนาจเพิกถอนการรับบุตร
บุญธรรมของตนหรือห้ามผู้มีส่วนได้เสียที่ถูกโต้แย้งสิทธินำคดีขึ้นสู่ศาล ดังน้ัน ท่ีศาลช้ันต้น
พิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมระหว่างนายประภาสกับจำเลยท่ี ๒ และ
ท่ี ๓ จงึ ชอบดว้ ยกฎหมายแลว้ ศาลอทุ ธรณแ์ ผนกคดเี ยาวชนและครอบครวั เหน็ พอ้ งดว้ ยทกุ ขอ้
อุทธรณ์ของจำเลยทง้ั สามทกุ ประเด็นฟังไมข่ นึ้
พพิ ากษายืน คา่ ฤชาธรรมเนยี มชน้ั อุทธรณ์ให้เป็นพับ.
สว่ นที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำสั่งในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 453
คดีครอบครวั
ตวั อยา่ งคดเี พิกถอนนิติกรรม
คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๖๐๑๒/๒๕๔๘
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว
ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย จด
ทะเบยี นสมรสเมอื่ ปี ๒๕๑๑ ทด่ี นิ พพิ าทโฉนดเลขที่ ๒๐๕๙๐ ตำบลราษฎรบ์ รู ณะ (บางแจงรอ้ น-
นอก) อำเภอราษฎรบ์ รู ณะ กรงุ เทพมหานคร เดมิ ปขู่ องจำเลยท่ี ๑ ยกใหจ้ ำเลยที่ ๑ หลงั จากจด
ทะเบยี นสมรสกบั โจทก์ เมอื่ วนั ที่ ๓๐ กนั ยายน ๒๕๒๕ จำเลยที่ ๑ ไดข้ ายฝากทดี่ นิ พพิ าท และ
ตอ่ มาตกเปน็ กรรมสทิ ธข์ิ องนางสมจติ ต์ ไพศาลกชกร หลงั จากนน้ั จำเลยท่ี ๑ ซอ้ื กลบั คนื มาจาก
นางสมจติ ตเ์ มอื่ วนั ท่ี ๘ ธนั วาคม ๒๕๒๙ ตามสำเนาหนงั สอื สญั ญาขายทด่ี นิ เอกสารหมาย จ.๔
ทดี่ นิ แปลงดงั กลา่ วจงึ เปน็ ทรพั ยส์ นิ ทไ่ี ดม้ าระหวา่ งสมรสตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
มาตรา ๑๔๗๔ (๑) จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาขายท่ีดินแปลงดังกล่าวพร้อมส่ิงปลูกสร้างให้แก
่
จำเลยที่ ๒ โดยโจทก์ซึ่งเป็นภริยามิได้ให้ความยินยอมตามสำเนาหนังสือสัญญาขายท่ีดิน
เอกสารหมาย จ.๕ คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองข้อแรกว่า ศาล
ชน้ั ตน้ มคี ำพพิ ากษาใหเ้ พกิ ถอนการโอนกรรมสทิ ธท์ิ ดี่ นิ พพิ าททง้ั แปลงชอบหรอื ไม่ เหน็ วา่ ตาม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๔๘๐ บญั ญตั วิ า่ การจดั การสนิ สมรสซง่ึ ตอ้ งจดั การ
ร่วมกัน หรือตอ้ งได้รับความยนิ ยอมจากอีกฝา่ ยหน่ึงตามมาตรา ๑๔๗๖ ถ้าค่สู มรสฝ่ายหน่ึงได
้
ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหน่ึง ค
ู่
สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้…. เม่ือข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลย
ที่ ๑ โอนกรรมสทิ ธิท์ ด่ี นิ พิพาทใหจ้ ำเลยท่ี ๒ โดยไม่ไดร้ บั ความยนิ ยอมจากโจทก์ โจทกย์ ่อมม
ี
สทิ ธขิ อใหเ้ พกิ ถอนนติ กิ รรมซอ้ื ขายทดี่ นิ แปลงดงั กลา่ วไดท้ งั้ แปลง มใิ ชเ่ พกิ ถอนเฉพาะสว่ นของ
คู่สมรสท่ีไม่ได้ให้ความยินยอม เน่ืองจากกฎหมายมิได้บัญญัติรับรองไว้ดังเช่นกรรมสิทธ์ิรวม
454 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉัยคด
ี
ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๓๖๑ วรรคแรก ทศ่ี าลชน้ั ตน้ มคี ำพพิ ากษาให้
เพกิ ถอนการโอนกรรมสทิ ธท์ิ ีด่ ินพิพาทมานั้นชอบแล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยท้ังสองอีกประการหนึ่งว่า จำเลย
ท่ี ๒ รบั โอนกรรมสทิ ธทิ์ ด่ี นิ จากจำเลยท่ี ๑ โดยสจุ รติ และเสยี คา่ ตอบแทนหรอื ไม่ เหน็ วา่ แมต้ าม
ทางนำสบื ของจำเลยท่ี ๑ จะได้ความวา่ โจทก์กับจำเลยท่ี ๑ ไดย้ มื เงนิ จากจำเลยท่ี ๒ จำนวน
๒๔๐,๐๐๐ บาท เศษ ตามเอกสารหมาย ล.๔ และ ล.๕ แลว้ โจทกก์ บั จำเลยท่ี ๑ ไมม่ เี งนิ ชำระคนื
จำเลยที่ ๑ จงึ ไดโ้ อนกรรมสทิ ธทิ์ ด่ี นิ แปลงพพิ าทเพอ่ื ตใี ชห้ นใ้ี หแ้ กจ่ ำเลยท่ี ๒ นน้ั เหน็ วา่ โจทก
์
และจำเลยที่ ๒ ต่างนำสบื รบั กันว่าท่ีดินแปลงพพิ าทมรี าคาประเมนิ ประมาณ ๗๐๐,๐๐๐ บาท
แต่จำเลยที่ ๑ โอนชำระหนใ้ี ห้แก่จำเลยที่ ๒ เพือ่ ชำระหนเ้ี พียง ๒๔๐,๐๐๐ บาท ตำ่ กวา่ ราคา
ประเมนิ หลายแสนบาท นอกจากน้ี ขณะไปจดทะเบยี นโอนกรรมสทิ ธท์ิ ดี่ นิ จำเลยท่ี ๒ กท็ ราบด
ี
วา่ โจทกย์ ังเป็นภริยาของจำเลยที่ ๑ แต่ไม่ไดใ้ ห้ถอ้ ยคำยนิ ยอมต่อเจา้ พนกั งานทด่ี ิน ท้ังจำเลย
ที่ ๑ และที่ ๒ ยังให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานท่ีดินโดยยินยอมรับผิดในความเสียหายที่เกิดข้ึน
เนอื่ งจากกรณดี งั กลา่ ว ยง่ิ ไปกว่านั้นตามคำเบกิ ความของพยานโจทกป์ ากนางศรีนวล แสนศริ ิ
เบิกความไดค้ วามวา่ โจทก์เคยไปหาพยานและเลา่ เร่อื งใหพ้ ยานฟังวา่ จำเลยที่ ๑ มภี ริยาใหม ่
จำเลยท่ี ๑ เคยพาจำเลยท่ี ๒ ไปพบพยานและแนะนำวา่ จำเลยที่ ๒ เปน็ ภรยิ านอ้ ย จำเลยท่ี ๒
มไิ ดน้ ำสบื หกั ลา้ งพยานโจทกเ์ ปน็ อยา่ งอนื่ จงึ รบั ฟงั ไดว้ า่ จำเลยท่ี ๒ มคี วามสนทิ สนมกบั จำเลย
ที่ ๑ และมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งมาก่อน ย่อมทราบดีว่าโจทก์ยังเป็นภริยาโดยชอบด้วย
กฎหมายของจำเลยท่ี ๑ ทงั้ ยงั พกั อาศยั อยใู่ นทดี่ นิ พพิ าท การทจี่ ำเลยที่ ๒ ตกลงจดทะเบยี นรบั
โอนกรรมสทิ ธทิ์ ดี่ นิ จากจำเลยท่ี ๑ ในราคาตำ่ กวา่ ราคาประเมนิ และขณะจดทะเบยี นโจทกม์ ไิ ด
้
ไปให้ความยินยอม ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๒ รับโอนทรัพย์พิพาทโดยไม่สุจริต จึงไม่ได้
รับความคมุ้ ครองตามกฎหมาย สว่ นจำเลยท่ี ๒ ได้รับความเสยี หายเนื่องจากไม่ไดร้ ับชำระหน
ี้
ส่วนท่ี ๒ ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำสง่ั ในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
455
คดีครอบครัว
จากจำเลยที่ ๑ เพยี งใด ย่อมเปน็ สทิ ธขิ องจำเลยท่ี ๒ ที่จะต้องไปวา่ กลา่ วแกจ่ ำเลยที่ ๑ ต่อไป
คำพพิ ากษาของศาลชน้ั ตน้ ชอบแลว้ อุทธรณ์ของจำเลยท้งั สองฟังไมข่ ึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความช้ันอุทธรณ์แทนโจทก์ ๑,๐๐๐
บาท.
456 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉยั คดี
ตวั อย่างคดเี รยี กค่าทดแทน
คำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๘๕๑๖/๒๕๔๗
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบ้ืองต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบ
ดว้ ยกฎหมายของพนั เอก ดนยั แตงพนั ธ์ ตงั้ แตป่ ี ๒๕๒๙ เมอื่ ปี ๒๕๔๒ พนั เอก ดนยั ไดอ้ ยกู่ นิ
ฉันสามภี ริยากบั จำเลย เกิดบุตรด้วยกนั ๒ คน ตอ่ มาเมอื่ วนั ที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๕ พนั เอก
ดนยั ไดฟ้ อ้ งหยา่ โจทกต์ อ่ ศาลชน้ั ตน้ ศาลชนั้ ตน้ มคี ำพพิ ากษาใหโ้ จทกแ์ ละพนั เอก ดนยั หยา่ ขาด
จากการเปน็ สามภี รยิ าเมอ่ื วนั ท่ี ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๔๖ คดคี งมปี ญั หาทตี่ อ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณ
์
ของจำเลยว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความได
้
ความวา่ ขณะทพี่ นั เอก ดนยั กลบั มาจากตา่ งประเทศและรบั ราชการอยทู่ คี่ า่ ยธนะรชั ต์ ไดม้ นี าง
พรรณนา ศริ งิ าม โทรศพั ทม์ าบอกโจทกว์ า่ พนั เอก ดนยั กบั จำเลยไปแสดงตนทคี่ า่ ยธนะรชั ตว์ า่ ม
ี
ความสัมพันธ์ทางชู้สาว แต่โจทก์ยังไม่เช่ือ ต่อมาเม่ือปี ๒๕๓๙ พันเอก ดนัยไม่ยินยอมให้
ธนาคารทหารไทย จำกดั (มหาชน) หกั เงนิ จากเงนิ เดอื นเพอ่ื สง่ ชำระคา่ ซอื้ บา้ น เปน็ เงนิ เดอื นละ
๑๔,๘๐๐ บาท นอกจากนี้ เมอื่ ปี ๒๕๓๘ โจทกไ์ ดค้ น้ กระเปา๋ ของพนั เอก ดนยั พบหลกั ฐานการ
ชำระเงินค่าตเู้ ยน็ ซง่ึ มีชอ่ื จำเลยในช่องลกู คา้ โจทก์จงึ ไปพบจำเลยและแสดงใบสำคัญการสมรส
แต่หลังจากน้ันพันเอก ดนัยขอร้องให้โจทก์อยู่เฉย ๆ เนื่องจากเกรงว่าสามีจำเลยจะร้องเรียน
เรื่องวินัย ต่อมาหลังจากโจทก์ถูกพันเอก ดนัยยื่นฟ้องขอหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยาแล้ว
โจทกไ์ ปตรวจสอบหลกั ฐานทางทะเบยี น จงึ ทราบวา่ พนั เอก ดนยั กบั จำเลยมบี ตุ รฝาแฝด ๒ คน
ทง้ั พนั เอก ดนยั ไดเ้ ปลยี่ นชอื่ สกลุ จาก “แตงพนั ธ”์ เปน็ “กฤตเมธาว”ี สว่ นจำเลยเบกิ ความวา่ เรมิ่
มกี ารติดต่อกับพนั เอก ดนัยเมือ่ ปี ๒๕๓๘ ตอ่ มาระหว่างปี ๒๕๔๐ ถงึ ปี ๒๕๔๑ มกี ารติดตอ่
และไปเท่ียวดว้ ยกัน จนกระทงั่ เมื่อตน้ ปี ๒๕๔๒ พันเอก ดนัยจึงขอแตง่ งานกับจำเลย จำเลย
ไมท่ ราบวา่ พนั เอก ดนัยมภี รยิ าแลว้ ตอ่ มาเมอ่ื จำเลยเกิดบตุ รกบั พันเอก ดนัย ๒ คน แล้ว และ
สว่ นท่ี ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
457
คดคี รอบครัว
ขอใหพ้ นั เอก ดนยั ไปจดทะเบยี นสมรส จงึ ทราบวา่ โจทกเ์ ปน็ ภรยิ าของพนั เอก ดนยั นอกจากน ้ี
จำเลยมพี ยานปากพนั เอก ดนยั แตงพนั ธห์ รอื กฤตเมธาวี สามโี จทก์ เบกิ ความวา่ เมอ่ื ปี ๒๕๓๗
มีเหตุทะเลาะกับโจทก์อย่างรุนแรง จึงออกจากบ้านที่ซ้ือร่วมกันเม่ือประมาณปลายปี ๒๕๓๗
โดยไปพักอาศัยอยู่กับพันเอก ชำนาญ สุวรรณฉวี ประมาณ ๑ ปี ต่อมารู้จักกับจำเลยเมื่อป ี
๒๕๓๘ ไดพ้ าจำเลยไปงานเลย้ี งรนุ่ ต่อมาเม่ือตน้ ปี ๒๕๔๒ จงึ จดั พธิ ีแต่งงานกบั จำเลย เหน็ ว่า
ตามคำเบิกความของโจทก์และจำเลยรับฟังได้ว่าขณะที่จำเลยมีความสัมพันธ์กับพันเอก ดนัย
เมอ่ื ปี ๒๕๓๘ แมข้ ณะนน้ั พนั เอก ดนยั จะไมไ่ ดพ้ กั อาศยั อยใู่ นบา้ นเดยี วกนั กบั โจทก์ แตโ่ จทกก์ บั
พันเอก ดนยั กย็ งั เป็นสามภี ริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ท้ังการที่พนั เอก ดนยั รับราชการทหาร
จบการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา และได้รับราชการในตำแหน่งอาจารย์ที่โรงเรียนเสนาธิการ
ทหารบกตามทจ่ี ำเลยกล่าวไว้ในคำใหก้ าร เมอื่ นำมาประกอบกับขอ้ เท็จจรงิ ที่วา่ ขณะทพี่ ันเอก
ดนัยติดต่อกับจำเลย จำเลยทำงานอยู่ที่กรมยุทธบริการทหาร ดังนั้น ย่อมไม่เป็นการยากที่
จำเลยจะสืบทราบว่าพันเอก ดนัยมีภริยาแล้วหรือไม่ นอกจากน้ี ตามคำเบิกความของพยาน
จำเลยปากพันเอก ชำนาญ สุวรรณฉวี ยังไดค้ วามวา่ ในงานเลยี้ งรุ่นเมือ่ ปี ๒๕๓๙ มเี พือ่ นของ
จำเลยมาถามพยานวา่ พนั เอก ดนยั มภี รยิ าหรอื ยงั พยานตอบวา่ มภี รยิ าแลว้ แตแ่ ยกทางกนั อย ู่
และยังไม่ไดห้ ย่าขาดจากกัน ย่อมรบั ฟังไดว้ า่ จำเลยทราบถงึ สถานภาพของพันเอก ดนัยกอ่ นท
่ี
จะมาอยู่กินฉันสามีภริยากันโดยเปิดเผยเม่ือปี ๒๕๔๒ แล้ว ดังนั้น เม่ือจำเลยได้มาอยู่กินกับ
พนั เอก ดนยั จนเกดิ บตุ ร ๒ คน ในขณะทโ่ี จทกย์ งั เปน็ ภรยิ าโดยชอบดว้ ยกฎหมายของพนั เอก ดนยั
ท้ังตามทางนำสืบไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่แสดงว่าโจทก์ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้พันเอก ดนัย
อยกู่ นิ ฉนั สามภี รยิ ากบั จำเลยแตป่ ระการใด โจทกซ์ ง่ึ เปน็ ภรยิ าโดยชอบดว้ ยกฎหมายยอ่ มมสี ทิ ธ
ิ
ฟอ้ งเรยี กคา่ ทดแทนจากจำเลยไดต้ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๕๒๓ วรรค
สอง โดยโจทก์ไมจ่ ำต้องฟ้องหย่าขาดจากการเปน็ สามีภริยากับพันเอก ดนัยก่อน แม้ตามทาง
นำสืบจะได้ความว่าก่อนฟ้องคดีนี้พันเอก ดนัยได้ย่ืนฟ้องโจทก์ต่อศาลช้ันต้นเพ่ือขอหย่าขาด
458 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉยั คด
ี
จากโจทก์ และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้พันเอก ดนัยหย่าขาดจากโจทก์แล้วตามสำเนา
คำพิพากษา ลงวันท่ี ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ก็ตาม แตต่ ามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย ์
มาตรา ๑๕๓๑ วรรคสอง บญั ญตั วิ า่ การหยา่ โดยคำพพิ ากษามผี ลแตเ่ วลาทคี่ ำพพิ ากษาถงึ ทส่ี ดุ
.... เม่ือตามทางนำสืบยังไม่ได้ความว่าคำพิพากษาดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงยังเป็นภริยา
โดยชอบดว้ ยกฎหมายของพนั เอก ดนยั โจทกย์ อ่ มมสี ทิ ธทิ จี่ ะฟอ้ งเรยี กคา่ ทดแทนจากจำเลยได
้
คดีคงมีปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ค่าทดแทนตามท่ีศาลช้ันต้นกำหนดมาน้ัน
เหมาะสมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับพันเอก ดนัยมาตั้งแต่เป็นนักศึกษา ท้ัง
ต่อมาไดจ้ ดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายเม่ือปี ๒๕๒๙ แม้โจทกก์ ับพนั เอก ดนัยจะไม่มบี ุตร
ดว้ ยกนั แตต่ ามทางนำสบื กไ็ มไ่ ดค้ วามวา่ โจทกก์ บั พนั เอก ดนยั มเี หตขุ ดั แยง้ กนั อยา่ งรนุ แรงถงึ
ขนาดต้องหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา ดังจะเห็นได้ว่าแม้โจทก์กับพันเอก ดนัยจะแยกกัน
อยู่ แต่กไ็ มป่ รากฏว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึง่ จะอ้างเหตดุ งั กลา่ วเพ่ือฟอ้ งหยา่ อีกฝา่ ยหนึ่ง การที่จำเลย
เข้ามามีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับพันเอก ดนัย ตลอดจนได้อยู่กินฉันสามีภริยาโดยเปิดเผย
กบั พนั เอก ดนยั ยอ่ มทำใหโ้ จทกซ์ งึ่ เปน็ ภรยิ าโดยชอบดว้ ยกฎหมายตอ้ งสญู เสยี สามี คอื พนั เอก
ดนัย ซงึ่ เป็นคชู่ วี ติ กนั มานาน ทงั้ พนั เอก ดนัยรับราชการทหาร หากยงั อยูก่ ินกับโจทก์ โจทก
์
ย่อมมีหน้ามีตาและเกิดความภาคภูมิใจ ท้ังยังเป็นท่ีพึ่งของชีวิต แต่จากการกระทำของจำเลย
ย่อมทำให้โจทก์ขาดไร้ท่ีพ่ึง ขาดความอบอุ่นและความสุขในครอบครัว ทั้งยังทำให้โจทก์ได้รับ
ความอบั อาย เสยี ชอื่ เสยี ง และเกยี รตคิ ณุ ในทางสงั คม เมอ่ื พเิ คราะหพ์ ฤตกิ ารณแ์ หง่ คดแี ละฐานะ
ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับสามีโจทก์แล้ว ท่ีศาลชั้นต้นกำหนดค่าทดแทน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
พรอ้ มดอกเบยี้ อตั รารอ้ ยละ ๗.๕ ตอ่ ปี นบั แตว่ นั ทศี่ าลชน้ั ตน้ มคี ำพพิ ากษานน้ั เหมาะสมแลว้ ไม
่
มเี หตทุ ศี่ าลอทุ ธรณ์จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข อุทธรณ์ของจำเลยฟงั ไมข่ น้ึ
ส่วนที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำสั่งในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
459
คดคี รอบครวั
อน่ึง เนื่องจากโจทก์มิได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงไม่อาจพิจารณาในข้อท่ีโจทก
์
ขอค่าทดแทนมากขน้ึ ตามท่ขี อมาในคำแกอ้ ทุ ธรณ
์
พิพากษายืน คา่ ฤชาธรรมเนียมชน้ั อทุ ธรณ์ให้เป็นพับ.
460 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉัยคด
ี
ตัวอยา่ งคดสี นิ สมรส
คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๘๕๒๘/๒๕๔๘
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในช้ันอุทธรณ์ว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า
เม่ือกรรมสิทธิ์ยังมิได้แบ่งกัน จึงต้องบังคับตามบทบัญญัติว่าด้วยกรรมสิทธิ์ ถือว่าโจทก์และ
จำเลยเป็นเจ้าของรวม โจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้โดยไม่มีกำหนดเวลาตามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๓๓๖ นนั้ เหน็ วา่ ตามคำฟอ้ งของโจทกเ์ ปน็ เรอ่ื งขอใหแ้ บง่
ทรัพยส์ ินอนั เปน็ สนิ สมรสเมอ่ื สามีภริยาหยา่ ขาดจากกนั ทั้งจำเลยก็ให้การต่อสู้ว่าได้ตกลงแบง่
ทรพั ยส์ นิ กนั แลว้ ซง่ึ ในเรอ่ื งนก้ี ฎหมายลกั ษณะครอบครวั ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย ์
บรรพ ๕ มาตรา ๑๕๓๒ บญั ญตั ิไว้โดยเฉพาะว่า เมื่อหยา่ กันแล้ว ใหจ้ ัดการแบ่งทรพั ย์สินของ
สามภี รยิ า.... และมาตรา ๑๕๓๓ บญั ญตั วิ า่ เมอื่ หยา่ กนั ใหแ้ บง่ สนิ สมรสใหช้ ายและหญงิ ไดส้ ว่ น
เท่ากัน การแบ่งกรรมสิทธิ์รวมอันสืบเน่ืองมาจากสินสมรสจึงต้องเป็นไปตามกฎหมายลักษณะ
ครอบครัว มิใช่เร่ืองกรรมสิทธิ์รวมโดยตรง ท้ังนี้ เพื่อมิให้เกิดปัญหาในภายหลังหากชายหรือ
หญิงมีครอบครัวใหม่ จึงต้องจัดการแบ่งทรัพย์สินให้เสร็จไป มิใช่ไม่มีกำหนดเวลาดังโจทก
์
อ้าง แต่การแบ่งทรัพย์สินไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายบัญญัติว่าจะต้องใช้สิทธิเรียกร้องขอ
แบง่ ทรัพย์สินภายในกำหนดเวลาเทา่ ใด จงึ ต้องใช้อายคุ วาม ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพง่
และพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๐ เม่ือโจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันตาม
คำพพิ ากษา จงึ มผี ลนบั แตเ่ วลาทคี่ ำพพิ ากษาถงึ ทสี่ ดุ ตามมาตรา ๑๕๓๑ วรรคสอง และโจทกน์ ำ
คำพิพากษาไปจดทะเบียนหย่าเมื่อวันท่ี ๔ มิถุนายน ๒๕๓๓ สิทธิเรียกร้องขอแบ่งทรัพย์สิน
ดงั กลา่ วจึงนับแต่วนั ทคี่ ำพิพากษาถึงท่ีสดุ คอื กอ่ นวนั ท่ี ๔ มถิ ุนายน ๒๕๓๓ แตโ่ จทกน์ ำคดี
มาฟอ้ งเมื่อวันที่ ๒๘ มถิ ุนายน ๒๕๔๕ อันเปน็ ระยะเวลาเกินกวา่ ๑๐ ปี ฟ้องของโจทกจ์ งึ ขาด
สว่ นท่ี ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำส่ังในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
461
คดีครอบครวั
อายคุ วาม คำพพิ ากษาศาลฎกี าทโี่ จทกอ์ า้ งมขี อ้ เทจ็ จรงิ ไมต่ รงกบั คดนี ้ี อทุ ธรณข์ องโจทกฟ์ งั ไมข่ น้ึ
และไม่จำตอ้ งวินจิ ฉยั อุทธรณข์ ้ออนื่ ของโจทก์ เพราะไม่ทำใหผ้ ลของคดีเปลยี่ นแปลง
พิพากษายืน คา่ ฤชาธรรมเนียมในศาลชนั้ ตน้ และศาลอทุ ธรณใ์ หเ้ ป็นพบั .
462 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี
ตวั อยา่ งคดหี ยา่ อำนาจปกครอง
ค
ำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๒๘๒๔/๒๕๕๑
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติในเบ้ืองต้นว่า โจทก์และจำเลยจด
ทะเบยี นเปน็ สามภี รยิ ากนั โดยชอบดว้ ยกฎหมายตง้ั แตว่ นั ที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๓๖ มบี ตุ รดว้ ยกนั
๑ คน คอื เด็กหญิงนภาพร จนิ ตกะวงศ์ เม่อื วนั ท่ี ๒๐ มนี าคม ๒๕๔๙ ศาลชั้นต้นพิพากษาให
้
โจทกจ์ า่ ยคา่ อปุ การะเลย้ี งดบู ตุ รแกจ่ ำเลย เดอื นละ ๖,๐๐๐ บาท นบั แตว่ นั ฟอ้ งเปน็ ตน้ ไปจนกวา่
บุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิตภิ าวะ ปรากฏตามคำพพิ ากษาในคดีหมายเลขดำที่ ๒๓๕๘/๒๕๔๘ คด
ี
หมายเลขแดงท่ี ๓๗๘/๒๕๔๙ คดมี ปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องโจทกว์ า่ การกระทำของ
จำเลยมีเหตุอันสมควรให้โจทก์และจำเลยหย่ากันตามกฎหมายหรือไม่ โจทก์เบิกความอ้างว่า
จำเลยพดู จาหยาบคาย เหยยี ดหยามโจทกท์ ง้ั ทบี่ า้ นและทท่ี ำงาน เหยยี ดหยามบพุ การขี องโจทก ์
กล่าวใส่ความโจทก์กับญาติพ่ีน้องของจำเลย นอกจากนี้ ระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยาทั้งใน
ประเทศไทยและประเทศฟิลิปปินส์ จำเลยพูดจาหยาบคายกับโจทก์ว่า “มึง” “กู” อีกท้ังเมื่อป ี
๒๕๔๕ บดิ าโจทกป์ ว่ ยและไปพักทบ่ี า้ นของโจทก์ จำเลยยงั พูดวา่ “สดุ ทา้ ยพ่อมงึ ก็ต้องกลบั มา
ตายท่ีบา้ นกู” จำเลยนำสบื วา่ ไม่เคยพูดหยาบคายกับโจทก์ ไม่เคยใช้วาจาก้าวร้าวกับบุพการ
ี
ของโจทก์ ไม่เคยใส่ความโจทก์กับญาติพี่น้องของจำเลย โจทก์มีนิสัยเจ้าชู้และมีความสัมพันธ
์
ฉนั ชูส้ าวกับหญงิ อน่ื ชอบดื่มสุรา และเทีย่ วเตรก่ ับเพอื่ นเป็นประจำ บางวนั ไม่กลบั บา้ น จำเลย
สอบถามด้วยความห่วงใย แต่โจทก์ไม่พอใจ จึงหาเรื่องทะเลาะกับจำเลยต่อหน้าบุตรผู้เยาว ์
จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายหาเรื่องทะเลาะกับโจทก์ เห็นว่า เม่ือโจทก์ไปราชการโดยประจำอยู่ท
่ี
ประเทศฟลิ ปิ ปนิ ส์ โจทกพ์ าจำเลยไปอยดู่ ว้ ยจนกระทงั่ มบี ตุ ร ๑ คน ครนั้ ยา้ ยกลบั มาประจำอยทู่
ี่
ประเทศไทย โจทก์ได้พาจำเลยและบุตรผู้เยาว์กลับมาอยู่ด้วยกัน ได้ความว่าโจทก์และจำเลย
ต่างมีเรื่องบาดหมางกันต้ังแต่อยู่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อกลับมาอยู่ที่ประเทศไทย ก็ยังมีเร่ือง
สว่ นที่ ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำสัง่ ในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ
์ 463
คดคี รอบครวั
บาดหมางกันอยู่ซึ่งเป็นเร่ืองธรรมดาสำหรับชีวิตครอบครัว เพราะต่างฝ่ายต่างมีความคิดเห็น
และความประพฤตไิ มเ่ หมอื นกนั ทงั้ ตา่ งไมพ่ ยายามแกไ้ ขปรบั ปรงุ ตวั ใหเ้ หมาะสมและสอดคลอ้ ง
กัน แต่ข้อกล่าวหาว่าจำเลยพูดจาก้าวร้าว หยาบคาย และเหยียดหยามโจทก์และบุพการีของ
โจทกน์ นั้ โจทกม์ ีตัวโจทก์เบิกความอา้ งเพยี งลอย ๆ เทา่ นั้น แตไ่ มม่ พี ยานหลักฐานอ่ืนมาเบกิ
ความสนบั สนนุ ใหเ้ หน็ วา่ จำเลยไดก้ ระทำเชน่ นนั้ จรงิ ขอ้ เทจ็ จรงิ นา่ เชอ่ื เพยี งวา่ โจทกแ์ ละจำเลยม
ี
ความประพฤตแิ ละความคดิ เหน็ ไมต่ รงกนั ซง่ึ นบั วนั ยงิ่ ทวเี พมิ่ มากขน้ึ อนั เปน็ สาเหตขุ องความ
เกลียดชังและไม่พอใจกัน ทำให้ครอบครัวขาดความสงบสุข ต่างกล่าวหาซึ่งกันและกัน โดย
โจทกก์ ลา่ วหาวา่ จำเลยพดู จากา้ วรา้ ว เหยยี ดหยามโจทกท์ ง้ั ทบี่ า้ นและทที่ ำงาน อกี ทงั้ ยงั เหยยี ด
หยามบพุ การขี องโจทกด์ ว้ ย สว่ นจำเลยกลา่ วหาวา่ โจทกช์ อบเทยี่ วเตรแ่ ละดม่ื สรุ านอกบา้ น บาง
คนื ไม่ยอมกลบั บา้ น ขอ้ เทจ็ จริงได้ความเพยี งว่า สุดท้ายโจทกไ์ ด้ออกจากบ้านและแยกทางกัน
อยกู่ บั จำเลย ดงั นัน้ พฤติการณ์ของจำเลยตามท่โี จทกก์ ลา่ วหานอกจากไม่มีพยานหลักฐานมา
สนับสนุนแล้ว ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการประพฤติช่ัวอันจะทำให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้า
อยา่ งร้ายแรงหรอื ไดค้ วามเสยี หายเดอื ดรอ้ นเกินสมควร ย่งิ ไปกว่าน้ันเร่ืองทจี่ ำเลยรอ้ งเรยี นไป
ยงั ผบู้ งั คบั บญั ชาของโจทกแ์ ละยน่ื ฟอ้ งตอ่ ศาลชนั้ ตน้ เพอื่ ขอคา่ อปุ การะเลย้ี งดนู น้ั เหน็ วา่ โจทก
์
ไดร้ บั เงนิ เดอื น เดอื นละ ๒๑,๓๖๐ บาท แตเ่ มอ่ื หกั คา่ ใชจ้ า่ ยแลว้ เหลอื เดอื นละ ๙,๐๐๐ บาท แต
่
ยงั มีรายได้จากการขบั รถยนต์ตู้ส่งนกั เรยี นอีกเดอื นละ ๑๐,๐๐๐ บาท ซ่ึงเม่ือรวมแล้วประมาณ
๑๙,๐๐๐ บาท ได้ความวา่ ภายหลังโจทกอ์ ้างว่าไม่มเี งินจ่ายค่าซ่อมรถ จึงขายรถยนต์ตู้ ทำให
้
จำเลยไม่พอใจ เพราะขาดรายได้ส่วนน้ันไว้ใช้จ่ายในครอบครัว ประกอบกับภายหลังโจทก์ไม
่
จา่ ยคา่ อปุ การะเลย้ี งดบู ตุ รให้ จำเลยจงึ รอ้ งเรยี นไปยงั ผบู้ งั คบั บญั ชาของโจทกแ์ ละยงั ฟอ้ งโจทก
์
ตอ่ ศาลชนั้ ตน้ เพอ่ื ขอคา่ อปุ การะเลย้ี งดบู ตุ รอกี นน้ั แมจ้ ำเลยจะกระทำการดงั กลา่ วจรงิ แตก่ ม็ ไิ ด
้
เป็นการทำให้โจทก์เส่ือมเสียหรือได้รับความอับอายแต่อย่างใด หากแต่เป็นการร้องเรียนไปยัง
ผู้บังคับบัญชาเพื่อขอความช่วยเหลือให้บังคับโจทก์ซ่ึงเป็นหัวหน้าครอบครัวให้จัดการตาม
464 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉัยคดี
หน้าท่ีในการอุปการะเลี้ยงดูบุตรและให้การศึกษาตามสมควรแก่ฐานานุรูป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การฟ้องร้องต่อศาลช้ันต้นก็เป็นการกระทำเพ่ือเรียกร้องสิทธิตามกฎหมายอันจะพึงมีพึงได้
เท่าน้ัน มิใช่เป็นการฟ้องเพื่อต้ังสิทธิพิพาทกัน เพราะขณะท่ียังเป็นสามีภริยากันก็อาจใช
้
สิทธิเรียกร้องให้คู่สมรสปฏิบัติหน้าที่ตามท่ีกฎหมายกำหนดได้ การท่ีจำเลยร้องเรียนต่อผ้
ู
บงั คบั บญั ชาของโจทกก์ ด็ ี หรอื การฟอ้ งรอ้ งตอ่ ศาลชน้ั ตน้ กด็ ี หาใชเ่ ปน็ การประพฤตชิ ว่ั ไม่ อกี ทงั้
มิใช่เป็นการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงท่ีจะเป็นเหตุให้โจทก์
ฟอ้ งหยา่ ได้ ทีศ่ าลชนั้ ตน้ พพิ ากษายกฟอ้ งโจทก์นั้น ชอบแล้ว ไม่มีเหตทุ ศ่ี าลอุทธรณ์แผนกคด
ี
เยาวชนและครอบครัวจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ข้ึน ที่โจทก์อุทธรณ์อีกว่า
จำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่าไม่อยากกลับไปอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์อีก
ตอ่ ไป ซง่ึ แสดงถงึ เจตนาในใจทไ่ี มต่ อ้ งการเปน็ ภรยิ าของโจทกน์ นั้ เหน็ วา่ เปน็ เพยี งการทจ่ี ำเลย
เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านเท่าน้ัน กรณีไม่ต้องด้วยข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นเพื่อใช้สิทธิ
หย่าตามกฎหมาย อีกทั้งเป็นข้อเท็จจริงท่ีไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาล
อุทธรณ์จึงไม่รับวินิจฉัยให้ ท้ังนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕
วรรคแรก
พิพากษายืน คา่ ฤชาธรรมเนยี มช้ันอทุ ธรณใ์ ห้เป็นพับ.
สว่ นท่ี ๒ ตวั อย่างคำพิพากษาและคำสัง่ ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
465
คดีครอบครัว
คำสั่งในรูปคำพพิ ากษา
ตัวอย่างคดขี อตัง้ ผู้อนบุ าล
คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๖๓๓๒/๒๕๔๗
พิเคราะห์แลว้ ขอ้ เทจ็ จริงเบอื้ งต้นฟังไดว้ า่ เมื่อวันท่ี ๑๓ มถิ นุ ายน ๒๕๔๔ ศาล
ช้ันต้นมีคำสั่งให้นางสาวเสริม ปอประสิทธ์ิ เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความ
พิทักษ์ของผู้คัดค้าน นางสาวเสริมเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ร้องและนายพรม
ปอประสิทธ์ิ บิดาของผู้คัดค้าน นอกจากน้ี นางสาวเสริมยังมีพ่ีน้องอีก คือ นายทองสุข
ปอประสทิ ธิ์ นางจันทร์ อน้ สุวรรณ นางสาวบุญนาค ปอประสทิ ธิ์ นางสาวบญุ มา ปอประสทิ ธ์ ิ
นายสาคร ปอประสิทธ์ิ นายอินทร์ ปอประสิทธ์ิ และผู้ร้อง ผู้คัดค้านเป็นหลานของนางสาว
เสริม นางสาวเสริมเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๐๐๒ ตำบลบางกะปิ อำเภอบางกะปิ
กรงุ เทพมหานคร ซง่ึ มตี ลาด ป.พลาซา่ ปลกู สรา้ งอยู่ นางสาวเสรมิ อายุ ๘๐ ปี ปว่ ยเปน็ โรคหวั ใจ
ล้มเหลว มีอาการติดเช้ือท่ีปอดและทางเดินปัสสาวะ ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลมิชชั่น
และโรงพยาบาลศรีสยาม ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เจ้าหน้าท่ีเขตคันนายาวมีคำส่ังให้
นางสาวเสริมรื้อถอนตลาด ป.พลาซ่า เนื่องจากไม่ได้ขออนุญาตก่อสร้าง และได้มีการแจ้ง
ความดำเนินคดีแก่นางสาวเสริม ปัจจุบันนางสาวเสริมพักรักษาตัวอยู่ในห้องผู้ป่วยวิกฤตท่
ี
โรงพยาบาลศรสี ยาม มปี ญั หาทต่ี อ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องผรู้ อ้ งวา่ ระหวา่ งผรู้ อ้ งหรอื ผคู้ ดั คา้ น
นนั้ ใครเหมาะสมทจ่ี ะเปน็ ผอู้ นบุ าลของนางสาวเสรมิ เหน็ วา่ คดไี ดค้ วามตามทางไตส่ วนวา่ ผรู้ อ้ ง
ดูแลปรนนิบัตินางสาวเสริมตลอดมา เม่ือเวลาเจ็บป่วยก็พาไปรักษาพยาบาลโดยเป็นเจ้าของ
ไข้และจดั การชำระคา่ รักษาพยาบาล ส่วนผู้คัดคา้ นกไ็ ด้ความว่า ศาลช้นั ตน้ มคี ำส่ังตั้งผคู้ ดั ค้าน
เป็นผู้พิทักษ์ของนางสาวเสริมเมือ่ วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๔๔ จากน้ันผู้คัดค้านได้ดำเนินการ
466 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉัยคดี
ตรวจสอบทรพั ยส์ นิ ของนางสาวเสรมิ พบวา่ นายสาครซง่ึ อา้ งวา่ เปน็ ผเู้ ชา่ ทด่ี นิ ของนางสาวเสรมิ
ได้ก่อสร้างตลาด ป.พลาซ่า โดยใช้เสาโครงเหล็กและหลังคาผ้าใบในที่ดินโฉนดเลขท่ี ๙๐๐๒
ของนางสาวเสริม แล้วนำออกใหบ้ คุ คลอ่นื เชา่ ช่วงเพื่อคา้ ขายสินค้า ตอ่ มาเมือ่ วนั ที่ ๔ ตุลาคม
๒๕๔๔ เจ้าหน้าที่เขตคนั นายาวแจ้งว่าตลาด ป.พลาซ่า ปลกู สรา้ งโดยไม่ได้รบั อนุญาต มีการ
แจ้งความดำเนินคดีแก่นางสาวเสริม และเจ้าพนักงานตำรวจออกหมายจับนางสาวเสริม
ผู้คัดค้านจึงอุทธรณ์คำส่ังของเจ้าพนักงานท้องถ่ินว่านางสาวเสริมมิได้มีส่วนในการกระทำ
ความผิดและทำหนังสือขอความเป็นธรรมไปยังผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันตลาด
ป.พลาซ่า ยังไม่ได้ถูกรื้อถอน และถูกปรับวันละ ๓๐,๐๐๐ บาท ตามคำส่ังของเจ้าพนักงาน
ท้องถ่ินเขตคันนายาว ผู้คัดค้านได้นำป้ายผ้าขนาดใหญ่ไปติดที่ตลาด ป.พลาซ่า รวมทั้งแจก
ใบปลวิ แกพ่ อ่ คา้ แมค่ า้ ในตลาดวา่ ผคู้ ดั คา้ นในฐานะผพู้ ทิ กั ษข์ องนางสาวเสรมิ ขอบอกเลกิ สญั ญา
เชา่ เดมิ และเมอื่ วนั ท่ี ๒๐ ตลุ าคม ๒๕๔๔ ผคู้ ดั คา้ นไดด้ ำเนนิ การทำสญั ญากบั ผเู้ ชา่ อาคารแผง
ลอยหรือร้านค้าท่ีตลาด ป.พลาซ่า ซึ่งปลูกสร้างอยู่บนท่ีดินของนางสาวเสริมด้วยตนเอง แต
่
หลังจากนั้นพ่อค้าแม่ค้าผู้ทำสัญญาเช่ากับผู้คัดค้านเห็นว่าผู้คัดค้านเป็นเพียงผู้พิทักษ์ ไม่ม
ี
อำนาจทำสัญญาเช่าแทนนางสาวเสริม จึงฟ้องผู้คัดค้านในข้อหาฉ้อโกง นอกจากนี้ บริษัท
เอส. เค. เมฆขาว จำกดั โดยนางสมุ าลี เผอื กกระโทก ผเู้ ชา่ ชว่ งตลาด ป.พลาซา่ จากนายสาคร
แจ้งความดำเนินคดีแก่ผู้คัดค้านในข้อหาบุกรุกจนทำให้ผู้คัดค้านถูกเจ้าพนักงานตำรวจสถาน
ี
ตำรวจนครบาลคันนายาวจับกุมดำเนินคดี ต่อมาผู้คัดค้านได้ฟ้องคดีเก่ียวกับเจ้าหน้าท่ีของ
รัฐละเลยตอ่ หนา้ ทต่ี ่อศาลปกครองกลางเม่อื วันที่ ๓๐ ตลุ าคม ๒๕๔๕ ศาลปกครองสงู สุดได้มี
คำพิพากษาวินิจฉัยว่าผู้คัดค้านเป็นเพียงผู้พิทักษ์ จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนคนเสมือนไร
้
ความสามารถ จงึ ไมร่ บั คำฟอ้ งของผคู้ ดั คา้ น แตจ่ ากทางไตส่ วนไดค้ วามเจอื สมกบั ฝา่ ยผคู้ ดั คา้ น
ว่า เม่ือวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๔๒ นางสาวเสริมได้ทำสัญญาให้เช่าท่ีดินโฉนดเลขที่ ๙๐๐๒
เนอื้ ที่ ๒ ไร่ ๑ งาน ๖๐ ตารางวา กบั บรษิ ทั จา้ วซนั จำกดั ซง่ึ มนี ายสาครเปน็ กรรมการผมู้ อี ำนาจ
สว่ นท่ี ๒ ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำสั่งในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
467
คดีครอบครวั
โดยมีนางจันทร์และผู้ร้องเป็นพยาน และในวันเดียวกันบริษัทจ้าวซัน จำกัด ได้นำที่ดินแปลง
ดังกล่าว เนื้อท่ี ๑๐๔ ตารางเมตร ไปให้บริษัทเซเวนอีเลฟเวน จำกัด เช่าช่วงในราคาค่าเช่า
เดอื นละ ๓๐,๐๐๐ บาท นอกจากนี้ ยงั มกี ารทำหนงั สอื รบั รองใหป้ ลกู สรา้ งอาคารในทดี่ นิ ลงวนั ท ่ี
๒๑ มถิ นุ ายน ๒๕๔๒ โดยมนี ายสาครเปน็ ผเู้ ขา้ ทำการปลกู สรา้ งอาคาร เหน็ ไดว้ า่ ในชว่ งเวลาทมี่
ี
การทำสัญญาเช่าดังกล่าว นางสาวเสริมป่วย ต้องเข้ารับการรักษาท่ีโรงพยาบาลตลอดมา ท้ัง
ลายมอื ชอ่ื ของนางสาวเสรมิ ทป่ี รากฏในเอกสารสญั ญาเชา่ กม็ ลี กั ษณะไมม่ น่ั คง ไมแ่ นว่ า่ นางสาว
เสริมจะได้ลงลายมือชื่อในขณะท่ีมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนหรือไม่ เน่ืองจากตามสัญญาเช่า
ดังกล่าวนายสาครให้ค่าเช่าท่ีดินทั้งแปลงแก่นางสาวเสริมเพียง ๕๐,๐๐๐ บาท ต่อเดือน แต่
สามารถนำทีด่ นิ แปลงเดยี วกนั เนอื้ ที่ ๑๐๔ ตารางเมตร ไปใหเ้ ชา่ ช่วงโดยไดค้ ่าเช่าถึงเดอื นละ
๓๐,๐๐๐ บาท และยังนำท่ดี ินส่วนทเี่ หลอื อกี ๒ ไรเ่ ศษ มาปลูกสร้างตลาด ป.พลาซา่ แลว้ นำ
ออกให้บุคคลอ่ืนเช่าช่วงเพ่ือค้าขายสินค้า นายสาครได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินของนางสาว
เสริมเป็นจำนวนมาก โดยมีผู้ร้องและนางจันทร์ร่วมรู้เห็น จึงเห็นได้ว่านางสาวเสริมจำเป็น
จะต้องมีผู้ดูแลรักษาผลประโยชน์ อนึ่ง แม้หลังจากศาลช้ันต้นมีคำส่ังให้ผู้คัดค้านเป็นผู้พิทักษ์
แล้ว ผู้คัดค้านได้พยายามดำเนินการทำสัญญาเช่ากับผู้เช่าอาคารแผงลอยหรือร้านค้าด้วย
ตนเองโดยมิได้รื้อถอนตลาด ป.พลาซ่า ซ่ึงสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตและทำให้ถูกปรับวันละ
๓๐,๐๐๐ บาท ดังทีผ่ รู้ อ้ งอุทธรณ์ก็ตาม แตเ่ มื่อพจิ ารณาหนงั สอื สัญญาเช่าอาคารแผงลอยหรือ
ร้านค้า ลงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๔๔ แล้ว เห็นว่า มีข้อความ (๑) ผู้ให้เช่าเป็น “ผู้พิทักษ์”
นางสาวเสริม ปอประสิทธิ์ (คนเสมอื นไร้ความสามารถ) ตามคำสงั่ ศาลเยาวชนและครอบครวั -
กลาง คดีหมายเลขดำท่ี ๑๖๖๔/๒๕๔๓ และคดีหมายเลขแดงที่ ๗๗๙/๒๕๔๔ ลงวันที่ ๑๓
มถิ นุ ายน ๒๕๔๔ ถอื ไดว้ ่าเปน็ การแถลงขอ้ เทจ็ จริงใหผ้ เู้ ชา่ ทราบโดยแสดงใหเ้ ห็นเจตนาของผู้
คัดค้านอย่างชัดเจนว่าเป็นการกระทำการแทนเพื่อประโยชน์ของนางสาวเสริม แต่เน่ืองจาก
ขณะนั้นผู้คัดค้านเป็นเพียงผู้พิทักษ์ จึงไม่มีอำนาจทำสัญญาเช่าแทนนางสาวเสริมได้ จนทำ
468 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉยั คดี
ให้พ่อค้าแม่ค้าผู้ทำสัญญาเช่ากับผู้คัดค้านฟ้องร้องดำเนินคดีแก่ผู้คัดค้านในข้อหาฉ้อโกง เม่ือ
พเิ คราะหพ์ ฤตกิ ารณ์ต่าง ๆ ทผี่ ู้คัดค้านได้กระทำแลว้ เชอ่ื วา่ การทผี่ คู้ ดั ค้านถูกฟ้องฐานฉอ้ โกง
หรือแม้แต่ถูกบริษัทเอส. เค. เมฆขาว จำกัด แจ้งความในข้อหาบุกรุกจนเจ้าพนักงานตำรวจ
สถานีตำรวจนครบาลคันนายาวจับกุมดำเนินคดีนั้น ไม่ใช่เพราะความไม่สุจริตของผู้คัดค้าน
แตอ่ ยา่ งใด เมอื่ คำนงึ ถงึ ผลประโยชนแ์ ละความผาสกุ ของนางสาวเสรมิ รวมทงั้ การทจ่ี ะไดร้ บั การ
ตรวจรักษาพยาบาลจากแพทย์อย่างต่อเน่ือง เห็นว่า ผู้ร้องเปน็ ผู้ดูแลนางสาวเสริมเป็นอย่างดี
ตลอดมา ส่วนผู้คัดค้านเป็นผู้พิทักษ์และได้ดำเนินการรักษาผลประโยชน์ในทรัพย์สินของ
นางสาวเสริม ดังนั้น ท้ังผู้ร้องและผู้คัดค้านจึงมีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้อนุบาลของนางสาว
เสริมร่วมกัน ที่ศาลช้ันต้นมีคำส่ังแต่งต้ังผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นผู้อนุบาลของนางสาวเสริมนั้น
ชอบแลว้ อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขนึ้
พพิ ากษายืน คา่ ฤชาธรรมเนยี มชัน้ อทุ ธรณ์ใหเ้ ป็นพับ.
สว่ นท่ี ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำสัง่ ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 469
คดีครอบครัว
ตัวอย่างคดีขอทำนติ ิกรรมแทนผ้เู ยาว์
ค
ำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ่ี ๒๔๘๑/๒๕๕๑
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงท่ีคู่ความมิได้อุทธรณ์โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติ
วา่ ผเู้ ยาวเ์ ปน็ นอ้ งรว่ มบดิ ามารดาเดยี วกนั กบั นางสาวพรอ้ มพชั ร สวุ รรณประไพศรี และนางสาว
พร้อมพันธุ์ สุวรรณประไพศรี ขณะย่ืนคำร้องผู้เยาว์อายุ ๑๙ ปีเศษ (ผู้เยาว์เกิดเม่ือวันที่ ๑๖
พฤษภาคม ๒๕๓๑ และจะบรรลุนติ ภิ าวะในวนั ท่ี ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๑) ผูเ้ ยาวก์ ับนาวสาว
พร้อมพัชรและนางสาวพร้อมพันธุ์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขท่ี ๑๑๐๐๖, ๑๑๐๐๗
และ ๑๔๒๖๗ ถงึ ๑๔๒๗๒ ตำบลเทพศริ นิ ทร์ (ปอ้ มปราบศตั รพู า่ ย) อำเภอปอ้ มปรามศตั รพู า่ ย
(สามเพ็ง) กรุงเทพมหานคร พร้อมอาคารพาณิชย์ นางสาวพรอ้ มพัชรและนางสาวพร้อมพนั ธ
์ุ
ประสงคจ์ ะขายทด่ี นิ พรอ้ มอาคารพาณชิ ยด์ งั กลา่ ว แตผ่ เู้ ยาวไ์ มย่ นิ ยอม คดมี ปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั
ตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า มีเหตุสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องซ่ึงเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ทำ
นติ กิ รรมขอแบง่ กรรมสทิ ธแ์ิ ทนผเู้ ยาวห์ รอื ไม่ เหน็ วา่ แมต้ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย ์
มาตรา ๑๓๖๓ เจ้าของรวมยอ่ มมีสิทธเิ รยี กให้แบ่งทรพั ยส์ นิ ได้ แตต่ ามมาตรา ๑๓๖๐ เจา้ ของ
รวมคนหนง่ึ ๆ ยอ่ มมสี ทิ ธใิ ชท้ รพั ยส์ นิ นนั้ โดยไมข่ ดั ตอ่ สทิ ธขิ องเจา้ ของรวมคนอน่ื ๆ เมอ่ื ปรากฏ
ว่าผู้เยาว์ซ่ึงเป็นเจ้าของรวมคนหนึ่งยังไม่ประสงค์จะแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในเวลาน้ี แม้
นางสาวพรอ้ มพชั รและนางสาวพรอ้ มพนั ธุ์ ผถู้ อื กรรมสทิ ธร์ิ วมอกี ๒ คน จะมเี หตตุ อ้ งใชจ้ า่ ยเงนิ
อันได้มาจากการแบ่งแยกกรรมสิทธ์ิรวมในทรัพย์สินดังกล่าวนำออกขาย แต่ก็มิใช่เร่ืองจำเป็น
เรง่ ดว่ นหรอื เปน็ กรณฉี กุ เฉนิ อกี ทง้ั หากทอดเวลาการขายทรพั ยส์ นิ ดงั กลา่ วออกไปอกี ระยะหนงึ่
ย่อมมีแต่จะเกิดประโยชน์แก่นางสาวพร้อมพัชรและนางสาวพร้อมพันธุ์เอง เพราะนับวันราคา
ทดี่ นิ มแี ตจ่ ะสงู ขน้ึ เรอื่ ย ๆ ประการสำคญั การทอดเวลาออกไปดงั กลา่ วมไิ ดเ้ นน่ิ นานเกนิ จนทำให้
นางสาวพรอ้ มพชั รและนางสาวพรอ้ มพนั ธไ์ุ ดร้ บั ความเดอื ดรอ้ นเกนิ ควร เนอื่ งจากผเู้ ยาวก์ ำลงั จะ
470 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉัยคดี
บรรลุนิตภิ าวะในเดอื นพฤษภาคม ๒๕๕๑ นี้ ซ่งึ จะสามารถจัดการทรัพยส์ นิ ของตนเองได้ เพ่ือ
ประโยชนข์ องผเู้ ยาวใ์ นอนาคต สมควรใหผ้ เู้ ยาวม์ โี อกาสตดั สนิ ใจดว้ ยตนเองเมอ่ื ถงึ เวลาอนั ควร
ซ่ึงจะเป็นประโยชน์แก่ผู้เยาว์ย่ิงกว่า จึงยังไม่มีเหตุท่ีจะอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมแบ่งแยก
กรรมสทิ ธท์ิ ดี่ นิ แทนผเู้ ยาว์ อทุ ธรณข์ องผรู้ อ้ งฟงั ไมข่ น้ึ ศาลชนั้ ตน้ มคี ำสงั่ ชอบแลว้ ศาลอทุ ธรณ
์
เห็นพอ้ งด้วย
พพิ ากษายนื ค่าฤชาธรรมเนยี มชั้นอทุ ธรณ์ให้เป็นพับ.
สว่ นท่ี ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำสัง่ ในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 471
คดีครอบครวั
ตวั อยา่ งคดขี อใหแ้ ยกกนั อยรู่ ะหว่างสมรส ขอให้ลงช่อื
เปน็ เจา้ ของรวมในสินสมรส (ชัน้ บังคับคดี)
ค
ำพิพากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๑๑๘๖/๒๕๕๑
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ม
ี
ปญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องจำเลยวา่ คำสงั่ ศาลชนั้ ตน้ ทใ่ี หง้ ดไตส่ วนคำรอ้ งของจำเลย ลง
วนั ท่ี ๒๗ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๐ ชอบหรือไม่ เหน็ ว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ ๒
กล่าวถึงรถยนต์กระบะ ยี่ห้อมาสด้า หมายเลขทะเบยี น ๖ ผ - ๖๐๐๑ กรงุ เทพมหานคร ว่าให
้
เป็นกรรมสิทธ์ิและสิทธิครอบครองของโจทก์ ไม่มีข้อความตอนใดระบุถึงรถยนต์ ย่ีห้อเบนซ ์
หมายเลขทะเบยี น งษ - ๑๙๐๑ กรงุ เทพมหานคร และรถยนตก์ ระบะ ยห่ี อ้ อซี ซู ุ ตามคำรอ้ งของ
จำเลยไว้ด้วย เม่ือพิจารณาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ ๕ ซึ่งระบุว่า สินสมรส
ระหว่างโจทก์กับจำเลยนอกจากท่ีกล่าวข้างต้นตามสัญญายอมนี้ โจทก์ยินยอมให้ตกเป็นของ
จำเลย โดยโจทก์จะไม่เขา้ ไปเก่ียวข้องอีกตอ่ ไป ดังนั้น รถยนต์ ยห่ี อ้ เบนซ์ และรถยนต์กระบะ
ยี่ห้ออีซูซุ ดังกล่าว หากโจทก์ยังมิได้ขายไปก่อนวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังที
่
โจทก์แถลงต่อศาลช้ันต้น รถยนต์ทั้งสองคันย่อมตกเป็นของจำเลยตามข้อตกลงในข้อ ๕ ส่วน
ข้อตกลงเรื่องการแบ่งผลประโยชน์จากสินสมรส โดยโจทก์จะต้องนำเงินดังกล่าวเข้าบัญชีเงิน
ฝากให้จำเลย เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท ตามที่ตกลงกันในข้อ ๓ น้ัน มิได้เกี่ยวข้องหรือเป็น
เงือ่ นไขกบั ข้อตกลงในข้อ ๒ หรือข้อ ๕ แตอ่ ยา่ งใด จำเลยจึงไม่มสี ิทธิท่จี ะอ้างว่าหากโจทกไ์ ม่
ยอมสง่ มอบรถยนตท์ ง้ั สองคนั ใหจ้ ำเลย จำเลยชอบทจ่ี ะไมป่ ฏบิ ตั ติ ามสญั ญาประนปี ระนอมยอม
ความโดยไม่นำเงินเข้าบัญชีเงินฝากตามท่ีตกลงกันได้ หากจำเลยเห็นว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตาม
สัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่ส่งมอบรถยนต์ท้ังสองคันให้จำเลย จำเลยก็ชอบที่จะ
ขอใหศ้ าลชน้ั ตน้ ออกหมายบงั คบั คดแี กโ่ จทกต์ ามกฎหมายตอ่ ไปเทา่ นน้ั ดงั นนั้ เมอื่ จำเลยผดิ นดั
472 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉัยคด
ี
ไมน่ ำเงนิ เขา้ บญั ชเี งนิ ฝากตามทตี่ กลงในสญั ญาประนปี ระนอมยอมความ โจทกก์ ช็ อบทจี่ ะขอให
้
ศาลบังคับคดีโดยอายัดเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลยได้ ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าการท่ีโจทก์ไม่ส่ง
มอบรถยนตท์ ง้ั สองคนั ใหแ้ กจ่ ำเลยเปน็ เรอื่ งทจ่ี ำเลยจะตอ้ งบงั คบั คดแี กโ่ จทกต์ อ่ ไป ไมเ่ ปน็ เหตทุ
ี่
จำเลยจะไมย่ อมจา่ ยเงนิ แกโ่ จทก์ เดอื นละ ๒๐,๐๐๐ บาท จงึ ไมจ่ ำตอ้ งไตส่ วนคำรอ้ งและมคี ำสง่ั
ใหง้ ดไตส่ วนคำรอ้ งของจำเลยนน้ั ชอบแลว้ ศาลอทุ ธรณแ์ ผนกคดเี ยาวชนและครอบครวั เหน็ พอ้ ง
ด้วย อทุ ธรณ์ของจำเลยฟงั ไม่ข้ึน
พพิ ากษายนื ค่าฤชาธรรมเนยี มในชั้นอุทธรณใ์ หเ้ ปน็ พับ.
ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์
และ
ตัวอยา่ งคำส่ังในรปู คำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คดีเดก็ หรือเยาวชนกระทำความผิด
(ยชอ.)
สว่ นท่ี ๒ ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
475
คดเี ด็กหรอื เยาวชนกระทำความผิด
คำพพิ ากษา
ตวั อย่างคดขี ม่ ขืนกระทำชำเรา
คำพิพากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๔๖๔๔/๒๕๔๘
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว
คดมี ปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องโจทกว์ า่ การกระทำของจำเลยทง้ั สามเปน็ อาชญากรทาง
เพศ เปน็ ภยนั ตรายต่อสวัสดภิ าพของเด็กหญิง จำเลยทงั้ สามไมม่ ีความละอายตอ่ บาป ไม่เกรง
กลวั กฎหมายบา้ นเมอื ง กระทำความผดิ อกุ อาจรนุ แรง การสง่ ตวั ไปฝกึ และอบรมในเวลาอนั นอ้ ย
นิดไม่เพียงพอท่ีจะทำให้จำเลยทั้งสามกลับตนเป็นพลเมืองดี และจำเลยท้ังสามก็จะกลับมา
กระทำความผดิ ซำ้ สมควรฝกึ และอบรมจำเลยที่ ๑ กบั ที่ ๓ คนละ ๓ ปี และจำเลยท่ี ๒ เปน็ เวลา
๒ ปี จงึ จะทำใหจ้ ำเลยทง้ั สามกลบั ตนเปน็ พลเมอื งดแี ละเกดิ ความเปน็ ธรรมแกผ่ เู้ สยี หายนนั้ เหน็
ว่า ปรากฏจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่าผู้เสียหายกับจำเลยทั้งสามต่างเป็นเพ่ือนและรู้จัก
กนั มากอ่ น วนั เกดิ เหตผุ เู้ สยี หายขออนญุ าตโจทกร์ ว่ มผเู้ ปน็ บดิ าออกไปเทย่ี วงานวนั วาเลนไทน์
แล้วผู้เสียหาย จำเลยทั้งสาม กับพวกพากันไปงานเล้ียงวันเกิดเพ่ือนท่ีบ้านของนายสาธิต
หรือฟลุ๊ค วิชัยพรหม ข้อเท็จจริงเบื้องต้นจึงเป็นกรณีที่ผู้เสียหายออกจากบ้านโดยความรู้เห็น
ยนิ ยอมของโจทกร์ ว่ มและสมคั รใจไปกบั จำเลยทงั้ สาม มใิ ชเ่ ปน็ เรอ่ื งทจี่ ำเลยทงั้ สามหรอื คนใดคน
หนงึ่ ลอ่ ลวงฉดุ ครา่ พาผเู้ สยี หายไปโดยพลการอยา่ งคนแปลกหนา้ โดยฝนื ใจ ผเู้ สยี หายเบกิ ความ
ตอบคำถามค้านของที่ปรึกษากฎหมายจำเลยท้ังสามว่า ผู้เสียหายยินยอมท่ีจะมีเพศสัมพันธ
์
กบั จำเลยท่ี ๒ เนอื่ งจากชอบพอกบั จำเลยที่ ๒ รวมทง้ั ยนิ ยอมใหจ้ ำเลยที่ ๑ มเี พศสมั พนั ธด์ ว้ ย
แตไ่ ม่ยินยอมใหจ้ ำเลยท่ี ๓ กระทำชำเราเท่านน้ั ฉะน้ัน พฤติการณใ์ นขณะเกิดเหตทุ ีผ่ ู้เสียหาย
สมัครใจมีเพศสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๑ และท่ี ๒ แม้จะเป็นการกระทำที่ล่วงละเมิดทางเพศต่อ
476 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉัยคดี
ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กหญิงอันเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมและไม่สมควรอย่างยิ่งก็ตาม แต
่
มูลเหตุก็เกิดจากความยินยอมพร้อมใจของผู้เสียหายที่รู้จักรักใคร่ชอบพอกับจำเลยที่ ๒ และ
เปน็ เพอ่ื นรจู้ กั กบั จำเลยที่ ๑ และท่ี ๓ มากอ่ น ประกอบกบั ขณะเกดิ เหตจุ ำเลยทงั้ สามอายเุ พยี ง
๑๖ ปเี ศษ ๑๕ ปีเศษ และ ๑๔ ปีเศษ ตามลำดับ อายยุ ังอยู่ในเกณฑเ์ ยาวชนทมี่ ีความอยากร้
ู
อยากเหน็ และมคี วามคกึ คะนองตามวัย ไมป่ รากฏว่าจำเลยท้งั สามมีความประพฤตเิ สยี หาย มี
ลกั ษณะเปน็ นกั เลงอนั ธพาล กอ่ ความเดอื ดรอ้ นรำคาญแกผ่ อู้ นื่ หรอื มพี ฤตกิ ารณก์ ระทำความผดิ
ในทางประเวณตี อ่ สตรเี พศทว่ั ไป เมอ่ื พจิ ารณาถงึ สาเหตแุ หง่ การกระทำความผดิ และความเหน็
ของพนักงานคุมประพฤติสำหรับจำเลยท้ังสามจากรายงานแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเด็กและ
เยาวชนของสถานพนิ จิ และคมุ้ ครองเดก็ และเยาวชนกรงุ เทพมหานครแลว้ ปรากฏวา่ บดิ ามารดา
ของจำเลยที่ ๑ ไมม่ เี วลาอบรมดแู ลจำเลยที่ ๑ อยา่ งใกลช้ ดิ จำเลยที่ ๑ คบเพอื่ นทม่ี พี ฤตกิ รรม
ดม่ื สรุ า สาเหตทุ กี่ ระทำความผดิ เพราะอยใู่ กลช้ ดิ กบั ผเู้ สยี หาย จงึ เกดิ อารมณท์ างเพศและขาด
ความยบั ยงั้ ชง่ั ใจ สว่ นจำเลยท่ี ๒ ปรากฏขอ้ เทจ็ จรงิ จากรายงานการตรวจจติ วทิ ยาวา่ จำเลยที่ ๒
มีวุฒภิ าวะตำ่ กว่าวัย ความรูส้ กึ บกพร่อง ตอ้ งการความมัน่ คง แต่มีลกั ษณะถดถอย ขาดทกั ษะ
ในการควบคุมอารมณ์ของตนเอง บิดามารดาไม่มีเวลาดูแลเอาใจใส่ ผลการเรียนตกต่ำ สอบ
ได้เกรดเฉลี่ยในชั้นมัธยมศึกษาเพียง ๐.๘๓ คบเพื่อนท่ีมีพฤติกรรมด่ืมสุรา สาเหตุที่กระทำ
ความผิด เนื่องจากเคยเป็นคู่รักกับผู้เสียหายมาก่อน มีโอกาสอยู่ด้วยกัน และมีความต้องการ
ทางเพศ สว่ นจำเลยที่ ๓ มสี ภาพครอบครวั ไมเ่ ปน็ ปกตสิ ขุ บดิ ามารดาเลกิ รา้ งกนั จำเลยท่ี ๓ อย
ู่
กับมารดาท่ีต้องทำงาน ไม่มีเวลาดูแลเอาใจใส่ จำเลยที่ ๓ ออกจากโรงเรียนขณะเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปที ี่ ๒ คบเพอื่ นซึ่งมพี ฤตกิ รรมดม่ื สุรา เคยดหู นังโป๊ท่ีแสดงการรว่ มเพศ สาเหตุท่
ี
กระทำความผิด เพราะมึนเมาและมีความต้องการทางเพศ ดังนั้น เม่ือพิเคราะห์ถึงประวัติภูมิ
หลังทางครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยท้ังสาม และสภาพแวดล้อมทาง
กายภาพ ตลอดจนภาวะแหง่ จติ ของจำเลยทง้ั สามแลว้ เหน็ วา่ ปจั จยั ทเ่ี ปน็ สาเหตทุ ำใหจ้ ำเลยทง้ั