The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-09-18 02:21:12

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

สว่ นท่ี ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำส่ังในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
327
คดอี าญา


เหน็ ว่า การยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยน้ัน ตอ้ งเป็นกรณีทพี่ ยานหลักฐานท่โี จทก

นำสืบยังเป็นท่ีสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ กรณีไม่อาจนำมาบังคับใช้ตามอำเภอใจ

เมื่อปรากฏว่าพยานหลักฐานของโจทก์เก่ียวกับการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนมีพยานเอกสาร

รบั ฟงั เจอื สมกบั ขอ้ อา้ งของพยานบคุ คลแลว้ ศาลยอ่ มตอ้ งฟงั ขอ้ เทจ็ จรงิ ตามขอ้ นำสบื ของโจทก์

ข้ออ้างของจำเลยท้ังสองไมม่ ีเหตผุ ลที่จะรบั ฟัง อุทธรณ์ของจำเลยทงั้ สองในขอ้ นฟ้ี ังไม่ขน้ึ

ปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยท้ังสองในประการต่อไปมีว่า คดีของ

โจทกใ์ นสว่ นทีเ่ กยี่ วกบั เชค็ ตามเอกสารหมาย จ.๓, จ.๕ และ จ.๑๐ ขาดอายคุ วามหรอื ไม่ ขอ้

นี้เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลชั้นต้นเม่ือวันท่ี ๒๒

สิงหาคม ๒๕๓๙ ซ่ึงอยู่ภายในกำหนดอายุความ แต่เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ตัวจำเลยท่ี ๒ ซ่ึงเป็น

กรรมการผู้มอี ำนาจของจำเลยที่ ๑ มาศาลในขณะฟ้องคดีโดยเพ่ิงจบั กมุ ตัวจำเลยที่ ๒ ไดเ้ ม่ือ

วนั ที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๔ ซึง่ พ้นกำหนดเวลา ๕ ปี นับแต่วันที่ ๑๔ มิถนุ ายน ๒๕๓๙ วันที่

๒๘ มถิ นุ ายน ๒๕๓๙ และวันที่ ๒๐ มถิ ุนายน ๒๕๓๙ อันเปน็ วนั ที่ธนาคารตามเชค็ ปฏเิ สธการ

จ่ายเงินตามเช็ค เอกสารหมาย จ.๓, จ.๕ และ จ.๑๐ และถือเป็นวันกระทำความผิดตามเช็ค

ดังกลา่ วท้ังสามฉบับแล้ว คดขี องโจทก์ในส่วนท่ีเก่ียวกับเชค็ ตามเอกสารหมาย จ.๓, จ.๕ และ

จ.๑๐ ย่อมขาดอายุความ ดังนั้น สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เก่ียวกับเช็คตาม

เอกสารหมาย จ.๓, จ.๕ และ จ.๑๐ ยอ่ มระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญา

มาตรา ๓๙ (๖) ทศ่ี าลชนั้ ตน้ พพิ ากษาลงโทษจำเลยทงั้ สองในสว่ นทเี่ กยี่ วกบั เชค็ ทง้ั สามฉบบั มา

นั้น ศาลอทุ ธรณไ์ ม่เหน็ พอ้ งดว้ ย อุทธรณ์ของจำเลยทง้ั สองในข้อนฟ้ี ังข้นึ

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยท้ังสองในประการสุดท้ายมีว่า ศาล

ช้ันต้นพิพากษาลงโทษจำเลยท่ี ๑ ชอบหรือไม่ ข้อน้ีเห็นว่า แม้ศาลช้ันต้นจะฟังข้อเท็จจริงว่า

จำเลยทงั้ สองรว่ มกนั กระทำความผดิ และตอ้ งรบั โทษตามฟอ้ งกต็ าม แตเ่ มอ่ื จำเลยที่ ๑ มสี ถานะ

เปน็ นติ บิ คุ คล เปน็ บคุ คลสมมตุ ิ ซงึ่ โดยสภาพไมอ่ าจรบั โทษเหมอื นเชน่ บคุ คลธรรมดาทกุ สถาน

328 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉยั คด


การท่ีศาลช้ันต้นนำโทษจำคุกมาใช้บังคับแก่จำเลยท่ี ๑ จึงเป็นการกำหนดโทษโดยไม่ถูกต้อง

และถือเป็นการพิพากษาโดยมิชอบ ศาลอุทธรณ์จึงเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องกับสถานะของ

จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟงั ขน้ึ เช่นกนั

พพิ ากษาแก้เปน็ ว่า ให้ลงโทษปรบั จำเลยท่ี ๑ เปน็ เงนิ ๑๐,๐๐๐ บาท และจำคุก

จำเลยที่ ๒ มกี ำหนด ๑ เดอื น หากจำเลยที่ ๑ ไมช่ ำระคา่ ปรบั ใหจ้ ดั การตามประมวลกฎหมาย

อาญา มาตรา ๒๙ ยกฟ้องโจทกใ์ นสว่ นท่เี ก่ียวกับเช็คตามเอกสารหมาย จ.๓, จ.๕ และ จ.๑๐

นอกจากท่ีแก้ใหเ้ ปน็ ไปตามคำพพิ ากษาศาลช้นั ต้น.

ส่วนที่ ๒ ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำสงั่ ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 329
คดีอาญา


ตัวอย่างคดีความผิดต่อร่างกาย

ลหโุ ทษ ความผดิ ตอ่ พระราชบญั ญัตอิ าวธุ ปนื ฯ






คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๙๒๘/๒๕๔๗


พเิ คราะห์แลว้ ขอ้ เท็จจริงเบอ้ื งต้นฟงั ไดว้ า่ ตามวันเวลาและสถานท่เี กดิ เหตตุ าม

ฟอ้ ง จำเลยที่ ๒ ใชอ้ าวธุ ปนื ของกลางยงิ นายววิ ฒั น์ จนั ทรศริ วิ ฒั นา โจทกร์ ว่ ม โดยเจตนาฆา่ ๑

นัด กระสุนปืนถูกบริเวณด้านหลังเหนือบ้ันเอวซ้าย ได้รับบาดเจ็บสาหัส มีปัญหาต้องวินิจฉัย

ตามอุทธรณข์ องจำเลยที่ ๑ วา่ จำเลยท่ี ๑ เป็นผใู้ ช้ จา้ ง วานให้จำเลยท่ี ๒ กระทำความผดิ

หรอื ไม่ โจทกม์ โี จทกร์ ว่ มและนางสทุ ธริ ตั น์ คงสมจติ ภรยิ าทม่ี ไิ ดจ้ ดทะเบยี นสมรสของโจทกร์ ว่ ม

เบิกความทำนองเดียวกนั ว่า เมือ่ เดือนธนั วาคม ๒๕๔๓ โจทก์รว่ มมเี รือ่ งทะเลาะวิวาทชกตอ่ ย

กบั จำเลยท่ี ๑ เนอ่ื งจากจำเลยท่ี ๑ ซ่ึงเปน็ นกั ดนตรที ี่ร้านอาหารยกยอมารีนา มักจะเล่นดนตรี

ผดิ ทำนอง ทำใหน้ างสทุ ธริ ตั นซ์ งึ่ เปน็ นกั รอ้ งทรี่ า้ นอาหารดงั กลา่ วรอ้ งเพลงไดไ้ มด่ แี ละถกู ลกู คา้

ต่อว่า หลังเกิดเหตุเจ้าของร้านอาหารเรียกโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ ๑ มาปรับความเข้าใจกันจน

โจทกร์ ่วมยินยอมชดใช้คา่ เสียหายใหจ้ ำเลยท่ี ๑ เป็นเงนิ ๕,๐๐๐ บาท ในคืนเกิดเหตุโจทกร์ ่วม

ไปรอรับนางสทุ ธิรัตน์ท่ีร้านอาหารดงั กลา่ วตามปกติ เม่ือนางสุทธิรตั นร์ อ้ งเพลงเสรจ็ แล้ว เวลา

ประมาณ ๒๓ นาฬิกา โจทก์ร่วมขับรถยนตเ์ ก๋งพานางสุทธิรัตน์กลับทพี่ กั เมือ่ กลบั มาถึงทพ่ี กั

คอื อาคารเพรสซิเดนซเ์ พลส ขณะกำลงั เดินเขา้ ไปในอาคารทีพ่ กั โจทก์ร่วมถูกจำเลยท่ี ๒ ใช

อาวธุ ปนื ยงิ ๑ นดั กระสนุ ปนื ถกู ทบี่ รเิ วณเอวดา้ นหลงั นางสทุ ธริ ตั นพ์ าโจทกร์ ว่ มสง่ โรงพยาบาล

กรุงธน ๑ แพทย์ผ่าตัดรักษาโจทก์ร่วมได้ทัน จึงไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หลังเกิดเหต

รอ้ ยตำรวจเอก วสิ นั ต์ วตั รายวุ งศ์ ทำการสบื สวนทราบวา่ จำเลยท่ี ๑ เปดิ รา้ นอาหารชอ่ื รวั้ เงนิ อย
ู่
ในซอยจรัญสนิทวงศ์ ๔๐ แขวงบางย่ขี นั เขตบางพลดั กรุงเทพมหานคร ต่อมาเมื่อวันท่ี ๑๗

กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๔ เวลาประมาณ ๑๐ นาฬิกา ร้อยตำรวจเอก วิสนั ตก์ ับพวกได้เดินทางไปท
่ี

330 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉัยคด


รา้ นอาหารรว้ั เงิน พบจำเลยที่ ๑ กบั จำเลยที่ ๒ นั่งคยุ กนั จึงควบคุมตัวจำเลยท้ังสองและขอ

ตรวจคน้ พบอาวธุ ปนื กงึ่ อัตโนมัติ ขนาด .๓๒ พร้อมซองกระสุนปนื และกระสุนปืน จำนวน ๓

นดั ทต่ี วั จำเลยที่ ๒ จงึ ทำบนั ทึกการจบั กุมจำเลยท้งั สองตามเอกสารหมาย จ.๙ เหน็ วา่ จำเลย

ที่ ๑ ถกู จบั กมุ พรอ้ มกบั จำเลยที่ ๒ ทรี่ า้ นอาหารรว้ั เงนิ ของจำเลยที่ ๑ เมอื่ วนั ท่ี ๑๗ กมุ ภาพนั ธ ์

๒๕๔๔ เวลาประมาณ ๑๐ นาฬิกา ซง่ึ มใิ ช่เวลาเปดิ ร้านอาหารตามปกตเิ พื่อใหค้ นทั่วไปมาใช้

บรกิ าร แสดงใหเ้ หน็ วา่ จำเลยที่ ๑ รจู้ กั คนุ้ เคยกบั จำเลยที่ ๒ เปน็ อยา่ งดี จงึ ยนิ ยอมใหจ้ ำเลยที่ ๒

เขา้ ไปนงั่ พดู คยุ ในรา้ นอาหารไดใ้ นเวลาทย่ี งั ไมเ่ ปดิ บรกิ าร ในคนื เกดิ เหตนุ างสทุ ธริ ตั นเ์ บกิ ความ

ดว้ ยวา่ เหน็ จำเลยที่ ๒ มานง่ั ดม่ื เบยี รท์ หี่ อ้ งอาหารยกยอมารนี าโดยนงั่ อยทู่ โ่ี ตะ๊ หนา้ ดา้ นซา้ ยของ

เวที ห่างจากจุดที่พยานยืนอยู่ ๑ เมตรเศษ ย่อมมีโอกาสจดจำลักษณะและการแต่งกายของ

จำเลยที่ ๒ ได้ ในระหวา่ งนนั้ จำเลยท่ี ๑ ลงจากเวทไี ปเขา้ หอ้ งนำ้ ถงึ ๓ ครง้ั ซง่ึ ตามปกตจิ ำเลย

ท่ี ๑ ไมเ่ คยปฏิบตั เิ ช่นน้นั คำเบกิ ความดังกลา่ วของนางสุทธริ ตั นส์ อดคล้องกบั คำใหก้ ารในชน้ั

สอบสวนของจำเลยท่ี ๒ ตามบนั ทกึ คำใหก้ ารของผตู้ อ้ งหา เอกสารหมาย จ.๑๕ ซง่ึ ทำขนึ้ ในวนั

เดียวกันกับท่ีจับกุมจำเลยที่ ๒ ได้ จำเลยท่ี ๒ ย่อมยังไม่มีโอกาสคิดป้ันแต่งเรื่องให้ตนพ้น

ผิด ย่ิงกว่านั้นจำเลยที่ ๒ เบิกความตอบคำถามค้านของโจทก์ยอมรับว่าได้ลงช่ือในบันทึก

คำให้การของผู้ต้องหาตามเอกสารหมาย จ.๑๕ โดยไม่ได้ถูกบังคับขู่เข็ญและได้อ่านข้อความ

ในเอกสารก่อนแล้ว เชื่อได้ว่าจำเลยที่ ๒ ให้การโดยสมัครใจไปตามความเป็นจริงตามบันทึก

คำให้การของผู้ต้องหา เอกสารหมาย จ.๑๕ จำเลยที่ ๒ ยอมรับว่าเม่ือวันท่ี ๑๐ กุมภาพันธ ์

๒๕๔๔ เวลา ๑๗.๓๐ นาฬิกา จำเลยท่ี ๒ ไดไ้ ปพบจำเลยที่ ๑ ท่ีร้านอาหารรั้วเงนิ จำเลยที่ ๑

เล่าให้ฟังว่าถูกแฟนของนักร้องท่ีห้องอาหารยกยอมารีนาตบทำร้ายร่างกาย ต้องการให้จำเลย

ท่ี ๒ เอาคนื ใหห้ นอ่ ย หมายถงึ ใหไ้ ปทำรา้ ยแกแ้ คน้ ใหห้ นอ่ ย และใหเ้ งนิ จำเลยที่ ๒ ไปกนิ เหลา้

จำนวน ๑,๐๐๐ บาท ต่อมาวนั เกิดเหตุ เวลา ๒๑.๓๐ นาฬกิ า จำเลยที่ ๑ ติดต่อกบั จำเลยท่ี ๒

ทางวิทยุติดตามตัวให้มาพบที่ร้านอาหารยกยอมารีนา เมื่อไปถึงร้านอาหาร เห็นจำเลยที่ ๑

สว่ นท่ี ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำส่ังในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ
์ 331
คดีอาญา


กำลงั เลน่ ดนตรี จำเลยที่ ๒ จงึ ไปนงั่ ทโี่ ตะ๊ ขา้ ง ๆ เวที ตอ่ มาไดน้ ดั แนะกบั จำเลยที่ ๑ ในหอ้ งนำ้

ชายของร้านอาหารโดยจำเลยที่ ๑ แจ้งให้ทราบว่าผู้ที่จะให้ทำร้ายร่างกายแต่งกายด้วยเสื้อผ้า

อะไร จำเลยที่ ๒ จึงทราบรปู พรรณของผ้ทู ี่ต้องการใหท้ ำรา้ ย จำเลยที่ ๒ ไม่เคยรู้จกั โจทกร์ ่วม

ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ไม่มีเหตุท่ีจำเลยท่ี ๒ จะใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิง

โจทก์ร่วมเช่นนั้น ท่ีจำเลยท่ี ๒ อ้างว่าใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม เน่ืองจากโกรธท่ีโจทก์ร่วมขับ

รถยนตป์ าดหนา้ รถจกั รยานยนตข์ องจำเลยท่ี ๒ จนลม้ กเ็ ปน็ การกลา่ วอา้ งลอย ๆ ทง้ั ขดั แยง้ กบั

คำใหก้ ารของจำเลยท่ี ๒ ในชนั้ สอบสวน จงึ ไมม่ นี ำ้ หนกั ใหร้ บั ฟงั จำเลยที่ ๑ รบั วา่ รจู้ กั กบั จำเลย

ที่ ๒ จำเลยที่ ๑ รสู้ ึกโกรธทถี่ ูกโจทก์รว่ มชกต่อยกอ่ นหนา้ น้ัน หลงั เกดิ เหตุก็จบั กมุ จำเลยท่ี ๒

ไดท้ ร่ี า้ นอาหารรว้ั เงนิ ของจำเลยท่ี ๑ พฤตกิ ารณแ์ หง่ คดมี เี หตเุ ชอ่ื มโยงกนั เชอื่ ไดว้ า่ จำเลยที่ ๑

เป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ ๒ ทำร้ายผู้เสียหาย จำเลยท่ี ๑ ใช้ให้จำเลยท่ี ๒ เอาคืนให้หน่อย เม่ือ

พิจารณาถึงสาเหตุแล้ว มีเพียงว่าจำเลยท่ี ๑ โกรธแค้นท่ีถูกโจทก์ร่วมชกต่อย ซ่ึงเป็นเรื่องไม

ร้ายแรงถึงขนาดท่ีจะทำร้ายโจทก์ร่วมให้ถึงแก่ชีวิต ในช้ันสอบสวนจำเลยท่ี ๒ ให้การไว้ตาม

บนั ทกึ คำใหก้ ารของผตู้ อ้ งหา เอกสารหมาย จ.๑๕ ดว้ ยวา่ เอาคนื ใหห้ นอ่ ย หมายถงึ ใหไ้ ปทำ

รา้ ยแก้แคน้ ใหห้ นอ่ ย เน่อื งจากจำเลยที่ ๑ ถกู ตบทำรา้ ยรา่ งกาย รปู คดเี ชื่อได้ว่าจำเลยท่ี ๑ ม

เจตนาใช้ให้จำเลยท่ี ๒ ทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมคืนเพ่ือแก้แค้น หาได้มีเจตนาถึงกับจะฆ่าให

ตายไม่ การทจ่ี ำเลยท่ี ๒ กระทำรนุ แรงถงึ ขนั้ เจตนาฆา่ นน้ั เปน็ การเกนิ เลยไปจากขอบเขตทใี่ ช

ของจำเลยท่ี ๑ จำเลยที่ ๑ จงึ ตอ้ งรบั ผดิ ทางอาญาเพยี งสำหรบั ความผดิ เทา่ ทอ่ี ยใู่ นขอบเขตทใ่ี ช

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๗ อยา่ งไรก็ตาม เมือ่ จำเลยท่ี ๑ มีเจตนาเพยี งทำรา้ ย

ร่างกายก็ตาม แต่เม่ือการทำรา้ ยน้ันเกดิ ผลรุนแรงถงึ บาดเจ็บสาหสั จำเลยที่ ๑ ยอ่ มต้องรับผดิ

ฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗

เพราะอนั ตรายสาหัสเป็นผลธรรมดาอนั ยอ่ มเกิดขน้ึ ไดจ้ ากการทำรา้ ยรา่ งกายตามท่ีจำเลยที่ ๑

ได้ใช้ จำเลยท่ี ๑ จงึ มคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗, ๘๔ ประกอบดว้ ย

332 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉยั คดี


มาตรา ๘๗ วรรคสอง ท่ีศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยท่ี ๑ มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดย

ไตรต่ รองไวก้ อ่ นตามมาตรา ๒๘๙ (๔), ๘๐ ประกอบมาตรา ๘๔ วรรคทา้ ย ศาลอทุ ธรณไ์ มเ่ หน็

พ้องดว้ ย อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ฟงั ข้ึนบางส่วน

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ได้รับ

อนั ตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗, ๘๔ ประกอบด้วยมาตรา ๘๗ วรรค

สอง จำคกุ ๓ ปี นอกจากที่แก้คงใหเ้ ปน็ ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

สว่ นที่ ๒ ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 333
คดีอาญา


ตัวอย่างคดคี วามผิดตอ่ เสรภี าพ กรรโชก






คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๑๙๕/๒๕๕๒


พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า พื้นที่ตั้งแผงลอยหน้าร้านกิมฮง

ในย่านตลาดโบ๊เบ๊ แขวงคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ที่นางสาว

ลำดวน แสงปางหรอื แสนปาง ผเู้ สยี หาย กบั นายวทิ นาหรอื วทิ ยา พนั ธศ์ รี ใชข้ ายเสอ้ื ผา้ ซง่ึ เกดิ

เหตกุ ลา่ วหาจำเลยวา่ กรรโชกเอาเงนิ เปน็ คา่ ใชพ้ น้ื ทน่ี นั้ เปน็ ทางเดนิ เทา้ สาธารณะอยนู่ อกจดุ ท่

กรุงเทพมหานครผ่อนผันอนุญาตให้มีการวางขายสินค้าได้ แต่เดิมผู้เสียหายหรือนายวิทนา ผู

วางขายสินค้าบนพืน้ ท่เี กิดเหตุ ต้องเสียเงินเป็นคา่ ใชพ้ ้นื ท่ใี หแ้ กน่ ายประสทิ ธ์ิ และจะต้องชำระ

ค่าปรับเป็นประจำทุกเดือนให้กรุงเทพมหานครโดยสำนักงานเขตป้อมปราบศัตรูพ่ายตาม

กฎหมายวา่ ดว้ ยการรกั ษาความสะอาดและความเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ยของบา้ นเมอื ง เมอื่ เดอื น

มีนาคม ๒๕๔๘ มีผู้ค้าแผงลอยในย่านตลาดโบ๊เบ๊จำนวนหนึ่งไปร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรีใน

ขณะนั้นว่าถูกผู้ทำตัวมีอิทธิพลหรือมาเฟียข่มขู่และบังคับเรียกเอาเงินค่าวางแผง รัฐบาลใน
ขณะนนั้ จงึ ประกาศนโยบายไมใ่ หม้ กี ารเรยี กเกบ็ เงนิ จากผคู้ า้ แผงลอยและใหด้ ำเนนิ คดแี กผ่ ทู้ ำตวั

มอี ทิ ธพิ ล จำเลยถกู เจา้ พนกั งานตำรวจจบั กมุ ในขอ้ หากรรโชกผคู้ า้ ในตลาดโบเ๊ บ๊ และสำนกั งาน

ปอ้ งกนั และปราบปรามการฟอกเงนิ มคี ำสง่ั ยดึ และอายดั ทรพั ยส์ นิ ของจำเลยทง้ั หมด หลงั จากนน้ั

ผเู้ สยี หายหรอื นายวทิ นาไมไ่ ดช้ ำระคา่ ใชพ้ นื้ ทวี่ างแผงดงั กลา่ วใหแ้ กน่ ายประสทิ ธอ์ิ กี ตอ่ มาเมอื่

จำเลยไดร้ บั การปลอ่ ยตวั ชวั่ คราวออกมาแลว้ จำเลยตดิ ตอ่ ไปยงั นายวทิ นา แจง้ วา่ พนื้ ทว่ี างแผง

หนา้ รา้ นกมิ ฮงเปน็ ของจำเลย ขอเกบ็ เงนิ คา่ ใชพ้ นื้ ท่ี วนั เกดิ เหตจุ ำเลยไปเกบ็ เงนิ ทแ่ี ผงดงั กลา่ ว

ผู้เสียหายหยิบเงิน จำนวน ๔,๐๐๐ บาท ซ่ึงใส่ซองเตรียมไว้ส่งให้นายวิทนา แล้วนายวิทนา

มอบใหจ้ ำเลยไป มปี ญั หาทต่ี อ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องจำเลยวา่ จำเลยกระทำความผดิ ตามคำ

พพิ ากษาศาลชน้ั ตน้ หรอื ไม่ โจทกม์ ผี เู้ สยี หายมาเบกิ ความเปน็ พยานยนื ยนั วา่ ผเู้ สยี หายมฐี านะ

334 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉยั คด


เป็นเจ้าของแผงที่จำเลยเรียกเก็บเงินค่าใช้พ้ืนท่ีวางแผงโดยเป็นหุ้นส่วนกับนายวิทนา เม่ือ

จำเลยมาเรยี กเกบ็ เงนิ ทแี่ ผงนน้ั จำเลยพดู จาเกรยี้ วกราดใสผ่ เู้ สยี หายและนายวทิ นา แสดงความ

ไม่พอใจท่ีผู้เสียหายพูดโทรศัพท์ไปบอกเล่าเร่ืองท่ีจำเลยเรียกเก็บเงินค่าใช้พื้นที่วางแผงกับ

เจ้าพนักงานตำรวจ กับทำท่าทีคุกคามผู้เสียหายด้วยการมองต้ังแต่ศีรษะจดเท้า ผู้เสียหาย

กลัวว่าจะถูกจำเลยทำร้ายและเกรงว่าจะไม่ได้ขายของในท่ีน้ันต่อไป จึงยอมหยิบเงิน จำนวน

๔,๐๐๐ บาท ซงึ่ ใสซ่ องเตรยี มไว้ แลว้ สง่ ใหน้ ายวทิ นามอบใหจ้ ำเลยไป และโจทกม์ พี นั ตำรวจโท

เฉลิมชัย วงษเ์ จยี ม เป็นพยานเบิกความวา่ ผ้เู สียหายเคยโทรศัพทต์ ิดตอ่ มาขอคำปรกึ ษาจาก

พยานเกี่ยวกับเร่ืองท่ีจำเลยมาเรียกเก็บเงินจากผู้ค้าแผงลอย พยานขอทราบหมายเลข

โทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยจากผู้เสียหาย แล้วโทรศัพท์ติดต่อไปหาจำเลย สอบถามว่าเหต

ใดจงึ ไปเรยี กเกบ็ เงนิ จากผคู้ า้ แผงลอยอกี จำเลยอา้ งวา่ ไมม่ เี งนิ จงึ ตอ้ งมาเกบ็ เงนิ จากผคู้ า้ แผง

ลอย พยานจึงขอฝากผู้เสียหายด้วย อ้างว่าเป็นญาติ อย่าไปทำร้ายผู้เสียหาย และหลังจาก

ผเู้ สยี หายจา่ ยเงนิ ใหแ้ กจ่ ำเลยไป ๔,๐๐๐ บาท แลว้ พยานเปน็ ผแู้ นะนำใหผ้ เู้ สยี หายไปรอ้ งทกุ ข

ต่อพนักงานสอบสวน เห็นว่า แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายซ่ึงเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวที่

กลา่ วอา้ งวา่ จำเลยเรยี กเงนิ ๔,๐๐๐ บาท จากผเู้ สยี หายกต็ าม แตเ่ มอื่ ทางเดนิ เทา้ ทเี่ กดิ เหตเุ ปน็

สาธารณสมบัติของแผน่ ดนิ ทป่ี ระชาชนมสี ทิ ธใิ ชร้ ่วมกนั ผใู้ ดจะอา้ งความเปน็ เจา้ ของหรอื นำไป

ให้เช่าหรือเช่าช่วงมิได้ ท่ีจำเลยมาขอเก็บค่าเช่าพื้นที่วางสินค้าท่ีเกิดเหตุ ไม่ว่าจำเลยจะอ้าง

ความเป็นเจ้าของพื้นท่ีหรือมีสิทธิเหนือพ้ืนท่ีดังกล่าวอย่างไรก็ตาม ล้วนเป็นข้ออ้างที่ไม่ม

กฎหมายรบั รอง จงึ เปน็ ขอ้ อา้ งทไี่ มช่ อบดว้ ยกฎหมาย การมาขอเกบ็ เงนิ คา่ เชา่ พนื้ ทวี่ างสนิ คา้ ที่

เกดิ เหตจุ งึ เปน็ การกระทำโดยมชิ อบ และการพดู วา่ จะนำพน้ื ทเี่ กดิ เหตไุ ปใหผ้ อู้ น่ื เชา่ กด็ ี หรอื จะ

เอาพน้ื ทคี่ นื กด็ ี จนผเู้ สยี หายกบั นายวทิ นาซง่ึ ไมม่ หี นา้ ทหี่ รอื ภาระทจี่ ะตอ้ งชำระคา่ เชา่ แกจ่ ำเลย

เกดิ ความกลวั และยนิ ยอมใหเ้ งนิ ๔,๐๐๐ บาท แกจ่ ำเลยตามทจี่ ำเลยเรยี กรอ้ ง ทงั้ ทผ่ี เู้ สยี หายได

ขอคำปรกึ ษาจากพนั ตำรวจโท เฉลมิ ชยั ซง่ึ เปน็ เจา้ พนกั งานตำรวจผดู้ แู ลความสงบเรยี บรอ้ ยของ

ส่วนท่ี ๒ ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำสัง่ ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 335
คดอี าญา


ประชาชนคนหนึ่ง และพันตำรวจโท เฉลิมชัยยังได้โทรศัพท์ไปหาจำเลย แล้วบอกว่าขออย่า

ไดม้ าเกบ็ เงนิ จากผเู้ สยี หายเชน่ น้ี จงึ เชอ่ื วา่ ผเู้ สยี หายเบกิ ความตามทเ่ี กดิ ขนึ้ จรงิ ตามพฤตกิ ารณ

ดังกล่าวแสดงวา่ ผู้เสียหายกับนายวิทนาเกรงกลัวคำข่ขู องจำเลย การกระทำของจำเลยจึงครบ

องค์ประกอบความผดิ ฐานกรรโชกแลว้ ส่วนทจ่ี ำเลยอุทธรณอ์ า้ งว่า ผเู้ สียหายเป็นเพียงลูกจา้ ง

ของนายวิทนา และเงินที่จำเลยรับมาเป็นของนายวิทนา ผู้เสียหายจึงมิใช่ผู้เสียหายตาม

กฎหมายนน้ั เหน็ วา่ ขอ้ เทจ็ จรงิ ฟงั ยตุ ติ ามทไี่ ดว้ นิ จิ ฉยั ขา้ งตน้ แลว้ วา่ ผเู้ สยี หายกบั นายวทิ นาเปน็

ผู้ค้าขายเส้ือผ้าบนพ้ืนที่เกิดเหตุ และผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าตนมีอาชีพค้าขายโดยเป็น

หนุ้ ส่วนกับนายวทิ นาซงึ่ ผู้เสยี หายนบั ถือเหมอื นพชี่ าย อกี ท้ังนายวิทนาก็ไดใ้ ห้การต่อพนักงาน

สอบสวนวา่ ผเู้ สยี หายเปน็ ญาติ มแี ผงคา้ ขายอยตู่ ดิ กนั ตามเอกสารหมาย จ.๗ แมใ้ นชนั้ พจิ ารณา

นายวิทนาจะเบิกความแตกต่างกับคำให้การในช้ันสอบสวนว่าผู้เสียหายเป็นลูกจ้างก็ตาม แต

นายวิทยาเบิกความหลังเกิดเหตุนานถึง ๑ ปีเศษ จึงอาจจะเบิกความช่วยเหลือจำเลยเพื่อ

มิให้ต้องรับโทษ ต่างกับท่ีให้การต่อพนักงานสอบสวนหลังเกิดเหตุเพียง ๖ วัน ซึ่งย่อมจดจำ

รายละเอียดได้ดีกว่าและยังไม่มีเวลาท่ีจะบิดเบือนข้อเท็จจริง และที่พยานจำเลยปากนางวิลัย

คงสวุ รรณ นางบญุ สง่ วรศกั ดก์ิ ลุ ชยั กบั นางนลิ รตั น์ ยาวเิ ศษ เบกิ ความทำนองเดยี วกนั วา่ ทราบ

วา่ ผเู้ สยี หายเปน็ ลกู จา้ งของนายวทิ นาจากคำบอกเลา่ ตอ่ ๆ กนั มา สว่ นผเู้ สยี หายจะไดเ้ งนิ เดอื น

จากนายวิทนาเดือนละเท่าใด เป็นหุ้นส่วนกันหรือไม่ หรือเป็นญาติกันหรือไม่ พยานต่าง

ไม่ทราบ ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังหักล้างพยานโจทก

ไดข้ อ้ เทจ็ จรงิ ฟงั ไดว้ า่ ผเู้ สยี หายเปน็ ผใู้ ชพ้ นื้ ทเี่ กดิ เหตวุ างสนิ คา้ ขาย และถกู จำเลยเรยี กเกบ็ เงนิ

ค่าเช่าพ้ืนท่ีดังกล่าว ผู้เสียหายย่อมได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำของจำเลย จึง

เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามคำพิพากษาศาลช้ันต้น

อทุ ธรณข์ องจำเลยฟงั ไม่ขึน้

พพิ ากษายนื .

336 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คดี


ตวั อย่างคดีความผดิ ต่อเสรีภาพ ข่มขนื กระทำชำเรา






คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๗/๒๕๕๒


พเิ คราะหแ์ ล้ว ข้อเทจ็ จริงรบั ฟังไดเ้ ปน็ ยุติว่า ขณะเกดิ เหตผุ เู้ สียหายท่ี ๓ มีอาย ุ

๑๔ ปีเศษ เรียนหนังสืออยู่ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรียนไชยฉิมพลีวิทยาคม อยู่ในอำนาจ

ปกครองของผเู้ สียหายที่ ๑ ซง่ึ เป็นมารดา โดยผู้เสียหายที่ ๑ อยู่กินฉันสามีภริยากบั ผเู้ สยี หาย

ที่ ๒ บิดาของผเู้ สียหายที่ ๓ โดยไมไ่ ดจ้ ดทะเบียนสมรส พักอาศยั อยทู่ บ่ี า้ นเลขท่ี ๗๒/๙๐ หม
ู่
ที่ ๕ แขวงบางแวก เขตภาษเี จริญ กรุงเทพมหานคร ซงึ่ เปน็ อาคารพาณิชย์ ๓ ชัน้ ผู้เสยี หาย

ที่ ๑ มีอาชีพทำเครือ่ งเงินโดยใช้ช้นั ๓ ของอาคารดังกล่าวเป็นโรงงานทำเคร่ืองเงิน จำเลยเปน็

ลูกจ้างทำเครอื่ งเงนิ ของผเู้ สียหายท่ี ๑ และพกั อาศยั อยู่กับผเู้ สียหายที่ ๑ ท่ชี ้ัน ๓ ของอาคาร

ดังกล่าว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้

โดยปราศจากขอ้ สงสยั วา่ จำเลยกระทำความผดิ ทง้ั สองกระทงตามฟอ้ งหรอื ไม่ โดยโจทกอ์ ทุ ธรณ

สรุปความได้ว่า โจทก์มีผู้เสียหายท่ี ๓ เบิกความยืนยันถึงการกระทำของจำเลย ช้ันสอบสวน

ผเู้ สยี หายท่ี ๓ กใ็ หก้ ารยนื ยนั ไวเ้ ชน่ นนั้ และจำเลยใหก้ ารรบั สารภาพและนำชที้ เี่ กดิ เหตปุ ระกอบ

คำรับสารภาพ คำเบิกความของจำเลยรับฟงั ไมไ่ ด้ เพราะจำเลยไมเ่ คยให้การไวใ้ นชั้นสอบสวน

เหน็ วา่ คดนี โี้ จทกฟ์ อ้ งกลา่ วอา้ งวา่ จำเลยกระทำความผดิ ฐานพรากเดก็ อายยุ งั ไมเ่ กนิ สบิ หา้ ปไี ป

เสยี จากมารดา ผปู้ กครอง หรอื ผดู้ แู ลโดยปราศจากเหตอุ นั สมควรเพอื่ การอนาจารตามประมวล

กฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม กระทงหน่งึ และฐานกระทำชำเราเดก็ หญงิ อายยุ ังไม่

เกนิ สบิ หา้ ปซี งึ่ มใิ ชภ่ รยิ าของตนโดยเดก็ หญงิ นนั้ ไมย่ นิ ยอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา

๒๗๗ วรรคแรก อีกกระทงหนง่ึ สำหรบั เหตกุ ารณ์ท่เี กดิ ขึ้น ผู้เสียหายท่ี ๑ เบิกความว่า พยาน

มาทราบเร่ืองในวันท่ี ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ จากการสอบถามขอ้ เท็จจริงจากผูเ้ สยี หายที่ ๓

โดยในวนั เกดิ เหตพุ ยานออกไปสง่ ของตงั้ แตเ่ วลาประมาณ ๑๔ นาฬกิ า และกลบั ถงึ บา้ นในเวลา

ส่วนที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำสง่ั ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
337
คดีอาญา


ประมาณ ๑๘ นาฬิกา ส่วนผูเ้ สียหายที่ ๓ กลับถงึ บา้ นเมื่อเวลาเกอื บ ๑๙ นาฬิกา พยานโจทก

คงมแี ตผ่ เู้ สียหายท่ี ๓ เป็นประจกั ษพ์ ยานโดยผู้เสยี หายท่ี ๓ เบกิ ความว่า ในวันเกดิ เหตุ เวลา

ประมาณ ๑๗ นาฬิกา บิดามารดาของพยานไม่อยู่ที่บ้าน พยานออกไปซื้อของท่ีตลาดวัดฉิม

ภายหลังจากซื้อของเสร็จแล้ว พยานเดินกลับบ้าน เม่ือเดินมาถึงใกล้ปากซอยแหลมทองซึ่ง

ขณะนน้ั ยงั ไมม่ ดื พยานพบจำเลยยนื อยทู่ บี่ รเิ วณปากซอยอกี ซอยหนงึ่ ฝงั่ เดยี วกนั จำเลยเขา้ มา

หาพยานและบอกว่ามเี รอ่ื งจะคยุ กบั พยาน แต่พยานบอกวา่ ไม่มีเรอื่ งจะคยุ ดว้ ย จากนน้ั จำเลย

กระชากแขนพยาน แลว้ ดงึ เขา้ ไปในซอยบางแวก ตรงขา้ มกบั ซอยแหลมทอง ซงึ่ มปี า่ รก จำเลย

พาพยานเขา้ ไปในบรเิ วณขา้ งทาง ตอ่ จากนน้ั จำเลยผลกั พยานลม้ ลงทพ่ี นื้ ในลกั ษณะนอนหงาย

แลว้ จำเลยถอดเสอ้ื ผา้ ของพยานออก เหลอื แตเ่ พยี งเสอื้ ชนั้ ใน จำเลยถอดกางเกงของจำเลยออก

แลว้ ลว้ งเขา้ ไปในกระเปา๋ กางเกงของจำเลย หยบิ ถงุ ยางอนามยั ออกมาสวมใสท่ อ่ี วยั วะเพศของ

จำเลย จำเลยขนึ้ ครอ่ มตวั พยาน แลว้ ดนั ขาพยานใหต้ งั้ ขนึ้ จากนน้ั นำอวยั วะเพศของจำเลยสอด

ใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของพยาน ขยับตัวข้ึนลงประมาณ ๕ ถึง ๑๐ นาที จากนั้นจำเลยนำ

อวยั วะเพศของจำเลยออก ถอดถุงยางอนามัยออก แลว้ จำเลยนำอวยั วะเพศของจำเลยสอดใส่

เข้าไปในอวยั วะเพศของพยานอกี ๓ ถงึ ๔ ครัง้ คร้งั ละประมาณ ๕ ถงึ ๑๐ นาที โดยจำเลยใช

มอื กดแขนทง้ั สองขา้ งของพยานไวแ้ ละตบทใ่ี บหนา้ ของพยานดว้ ย เมอ่ื จำเลยกระทำชำเราพยาน

เสร็จแลว้ จำเลยลกุ ข้ึนสวมใส่เสื้อผ้า พยานกล็ ุกขึ้นสวมใส่เส้ือผ้า แลว้ เดินทางกลับถึงบ้านเมอื่

เวลาประมาณ ๑๙ นาฬกิ า เหน็ วา่ ข้อเทจ็ จริงที่ไดจ้ ากคำเบิกความของผเู้ สยี หายท่ี ๓ น้นั ได้

ความวา่ ขณะทผ่ี เู้ สยี หายที่ ๓ เดนิ กลบั บา้ นมาถงึ ปากซอยแหลมทองนน้ั ยงั ไมม่ ดื โดยผเู้ สยี หาย

ที่ ๓ เบกิ ความตอบทนายจำเลยถามคา้ นตอ่ มาวา่ บรเิ วณดงั กล่าวไม่ค่อยมีคนเดนิ มาก ขณะท่ี

พบจำเลย ท้องฟ้าเริ่มมดื แล้ว แมพ้ ยานจะเบิกความในทำนองปฏเิ สธว่ามคี นเดนิ น้อยหรือมีคน

เดนิ บา้ ง แตก่ ม็ ไิ ดอ้ า้ งวา่ เปน็ ทเี่ ปลย่ี ว หา่ งไกลผคู้ น พยานมไิ ดส้ อบถามจำเลยวา่ จะคยุ เรอ่ื งอะไร

กับพยาน นับว่าผิดวิสัย เพราะพยานกับจำเลยเป็นคนรู้จักกัน พักอาศัยอยู่ในอาคารพาณิชย


338 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คดี


เดียวกัน พยานคงเบิกความแต่เพียงว่าพยานบอกว่าไม่มีเรื่องจะคุยด้วย ในตอนที่จำเลย

กระชากแขนพยาน แลว้ ดงึ เขา้ ไปในซอยบางแวก พยานกม็ ไิ ดร้ อ้ งใหค้ นชว่ ยเหลอื ซอยบางแวก

เป็นซอยท่ีอยู่ตรงกันข้ามกับซอยแหลมทอง ปากซอยมีอาคารพาณิชย์ตามหมายเลข ๕ และ

หมายเลข ๖ ในแผนท่ีสังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุตามเอกสารหมาย จ.๓ แสดงว่าเป็นแหล่ง

ชุมชน มีประชาชนอยู่อาศัย ขณะเกิดเหตุ พยานอายุ ๑๔ ปีเศษ มีการศึกษาถึงระดับ

มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓ ไมถ่ งึ กบั ไรเ้ ดยี งสา ทพี่ ยานอา้ งวา่ พยานเกรงกลวั วา่ จำเลยจะทำรา้ ย จงึ มไิ ด

รอ้ งใหค้ นชว่ ย นบั วา่ ขดั ตอ่ เหตผุ ล และจากคำเบกิ ความของพยานไมป่ รากฏวา่ มพี ฤตกิ ารณใ์ ดท
่ี
พยานจะตอ้ งกลวั จำเลยถงึ ขนาดไมก่ ลา้ ขดั ขนื แมจ้ ำเลยจะมอี ายุ ๒๑ ปี แตจ่ ำเลยกเ็ ปน็ ลกู จา้ ง

ของผู้เสียหายท่ี ๑ ซ่ึงเป็นมารดาของพยาน ย่อมไม่มีเหตุผลที่พยานจะตกอยู่ในอำนาจบังคับ

ของจำเลย แผนทสี่ งั เขปแสดงสถานทเ่ี กดิ เหตตุ ามเอกสารหมาย จ.๓ คงมแี ตค่ ำอธบิ ายถงึ เพงิ ท
่ี
นงั่ ซง่ึ ผตู้ อ้ งหา (จำเลย) มายนื ดกั รอผเู้ สยี หายที่ ๓ เทา่ นน้ั ชนั้ สอบสวนผเู้ สยี หายที่ ๓ กใ็ หก้ าร

ถงึ เหตุการณ์ตอนนวี้ า่ เกิดขน้ึ เมอ่ื พยานเดินมาถงึ บรเิ วณใกล้ปากซอยบางแวก แล้วพบจำเลย

มาดกั รอ ตอ่ จากนนั้ จำเลยกระชากแขนลากตวั พยานเขา้ ไปในซอยบางแวกตามบนั ทกึ คำใหก้ าร

ของผรู้ อ้ งทกุ ข์ ผกู้ ลา่ วโทษ หรอื พยาน เอกสารหมาย จ.๕ พยานหลกั ฐานของโจทกจ์ งึ มเี หตอุ นั

ควรสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา

ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจารตามฟ้องหรือไม่ จึงให้ยก

ประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา

๒๒๗ วรรคสอง ทศ่ี าลชน้ั ตน้ พพิ ากษายกฟอ้ งโจทกใ์ นความผดิ ฐานน้ี ศาลอทุ ธรณเ์ หน็ พอ้ งดว้ ย

แต่สำหรับความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซ่ึงมิใช่ภริยาของตนโดย

เด็กหญิงไม่ยินยอมน้ัน ผู้เสียหายที่ ๓ เบิกความว่า จำเลยกระทำชำเราโดยครั้งแรกจำเลย

สวมถงุ ยางอนามยั สว่ นครงั้ ที่ ๒ ถงึ ครงั้ ที่ ๔ จำเลยไมไ่ ดส้ วมถงุ ยางอนามยั นายแพทยณ์ ฐั วฒุ ิ

ออ้ ยศรสี กลุ พยานโจทก์ ซงึ่ ตรวจรา่ งกายของผเู้ สยี หายเมอ่ื วนั ท่ี ๒๙ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๗ แลว้

สว่ นท่ี ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
339
คดอี าญา


พบหลักฐานของการผ่านการร่วมประเวณีภายในระยะเวลาประมาณ ๗ วัน ตามรายงาน

ความเหน็ การตรวจชนั สูตรบาดแผลของแพทย์ เอกสารหมาย จ.๒ ซงึ่ ครอบคลมุ มาถึงวันเกิด

เหตใุ นคดีน้ี ในช้นั สอบสวนเมอื่ วนั ที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ และวันท่ี ๕ ธนั วาคม ๒๕๔๗

จำเลยให้การรับสารภาพและนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพตามบันทึกคำให้การของ

ผู้ต้องหา เอกสารหมาย จ.๑๐ และบันทึกการนำช้ีท่ีเกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพพร้อม

ภาพถา่ ย เอกสารหมาย จ.๑๓ โดยโจทกม์ ีพันตำรวจตรี วโิ รจน์ เทพหนู พนักงานสอบสวน มา

เบิกความยนื ยันข้อเทจ็ จริงในสว่ นนที้ ่จี ำเลยอ้างวา่ ขณะถกู จับกุมเจา้ พนกั งานตำรวจใหจ้ ำเลย

ลงชื่อในเอกสารที่มีข้อความแล้วโดยจำเลยไม่ได้อ่านข้อความน้ัน เพราะจำเลยอ่านหนังสือได้

เพยี งบางคำ และเจา้ พนกั งานตำรวจกไ็ มไ่ ดอ้ า่ นขอ้ ความใหจ้ ำเลยฟงั เจา้ พนกั งานตำรวจนำตวั

จำเลยไปควบคุมไว้ในห้องขังโดยบอกว่าถูกจับกุมในคดีข่มขืนกระทำชำเรา เม่ือวันที่ ๓๐

พฤศจกิ ายน ๒๕๔๗ จำเลยบอกเจ้าพนักงานตำรวจดว้ ยวา่ จะมที นายความมาฟังการสอบสวน

จำเลยนำชีท้ เ่ี กดิ เหตตุ ามภาพถา่ ย หมาย จ.๑๓ โดยไม่สามารถขัดขนื ได้ พันตำรวจตรี วิโรจน์

พนักงานสอบสวน บอกจำเลยวา่ หากไมร่ ับสารภาพ จะติดคกุ หลายปี และแนะนำให้จำเลยรบั

สารภาพ จำเลยจงึ ให้การรับสารภาพตามคำแนะนำของเจา้ พนกั งานตำรวจ โดยในคร้ังแรกเจา้
พนักงานตำรวจไม่ได้อ่านข้อความในเอกสารให้จำเลยฟัง ต่อมาเม่ือเจ้าพนักงานตำรวจ

สอบปากคำจำเลยเพมิ่ เตมิ ในครงั้ ทสี่ องและอา่ นขอ้ ความในเอกสารใหจ้ ำเลยฟงั เมอ่ื จำเลยทราบ

ข้อความในเอกสารดงั กลา่ ว จำเลยจงึ ให้การปฏเิ สธ เหน็ ว่า บันทึกคำให้การของผตู้ อ้ งหาตาม

เอกสารหมาย จ.๑๐ มรี ายละเอยี ดขอ้ มลู สว่ นบคุ คลของจำเลย พฤตกิ ารณใ์ นการกระทำความผดิ

ไม่มีข้อพิรุธหรือน่าสงสัยว่าจะมีการปรุงแต่งข้อเท็จจริง การนำช้ีที่เกิดเหตุประกอบคำรับ

สารภาพก็กระทำเป็นขั้นตอน ท่ีจำเลยอ้างว่าจำเลยไม่สามารถขัดขืนได้ ก็ไม่ปรากฏว่าพัน

ตำรวจตรี วิโรจน์ พนักงานสอบสวน บังคับขเู่ ขญ็ จำเลยแตป่ ระการใด ท่ีจำเลยอ้างวา่ จำเลยให้

การรับสารภาพตามคำแนะนำของเจ้าพนักงานตำรวจนั้น ทนายจำเลยก็มไิ ดถ้ ามค้านในเร่ืองน้


340 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉยั คด


ไวใ้ นขณะทีพ่ นั ตำรวจตรี วิโรจน์ พนักงานสอบสวน มาเบิกความ รูปคดีเชื่อไดว้ า่ จำเลยใหก้ าร

รบั สารภาพและนำชที้ เี่ กดิ เหตปุ ระกอบคำรบั สารภาพดว้ ยความสมคั รใจ ทง้ั ไมป่ รากฏเหตผุ ลอน่ื

ใดทจ่ี ะถอื วา่ เปน็ การสอบสวนทไ่ี มช่ อบดงั ทจ่ี ำเลยกลา่ วในคำแกอ้ ทุ ธรณ์ ทจ่ี ำเลยใหก้ ารปฏเิ สธ

ในภายหลงั เมอ่ื วนั ท่ี ๘ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๘ ตามใบตอ่ คำใหก้ าร เอกสารหมาย จ.๑๑ กป็ รากฏวา่

จำเลยไม่ขอให้การโดยไม่มีรายละเอียดแห่งข้อเท็จจริง นับเป็นข้อพิรุธ จำเลยมีโอกาสท่ีจะ

บดิ เบอื นขอ้ เทจ็ จรงิ ได้ ซง่ึ ในชน้ั พจิ ารณาจำเลยมไิ ดเ้ บกิ ความกลา่ วถงึ ขอ้ เทจ็ จรงิ ในวนั เวลาเกดิ

เหตุว่าจำเลยอยู่ท่ีใดและดำเนินชีวิตประการใด จำเลยเบิกความยอมรับว่าจำเลยได้เสียกับ

ผูเ้ สยี หายท่ี ๓ และอา้ งว่าเมื่อวนั ที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ ผูเ้ สียหายที่ ๑ พบว่าจำเลยอยู่ใน

ห้องของผู้เสียหายที่ ๓ ซึ่งมิใช่ข้อสนับสนุนให้เห็นถึงความบริสุทธ์ิของจำเลย พยานหลักฐาน

ของโจทกจ์ งึ รบั ฟงั ไดว้ า่ ในวนั เวลาและสถานทเี่ กดิ เหตตุ ามฟอ้ ง จำเลยกระทำชำเราผเู้ สยี หายท ี่

๓ แต่อยา่ งไรกต็ าม หากผู้เสยี หายท่ี ๓ ไมย่ ินยอมในภาวะเช่นน้นั ผูเ้ สียหายท่ี ๓ ยอ่ มตอ้ งปัด

ปอ้ ง ดนิ้ รน และรอ้ งเรยี กใหค้ นมาชว่ ยเหลอื แตผ่ เู้ สยี หายท่ี ๓ หาไดก้ ระทำเชน่ นน้ั ไม่ คงอา้ งวา่

เนอื่ งจากบรเิ วณทเี่ กดิ เหตเุ ปน็ ซอยเปลยี่ ว ไมม่ คี นเดนิ ผา่ น หากรอ้ งไปกเ็ หนอื่ ยเปลา่ นบั วา่ ขดั

ต่อเหตุผล ทั้งบรเิ วณปากซอยบางแวกมีอาคารพาณิชยต์ ามหมายเลข ๕ และหมายเลข ๖ ใน

แผนท่ีสังเขปแสดงสถานท่ีเกิดเหตุตามเอกสารหมาย จ.๓ นอกจากนี้ ขณะท่ีจำเลยนำอวัยวะ

เพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายท่ี ๓ ก็ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายที่ ๓

พยายามตอ่ สู้ แขง็ ขนื หรอื กระทำการใดๆ เพอื่ มใิ หอ้ วยั วะเพศของจำเลยลว่ งลำ้ เขา้ ไปในอวยั วะ

เพศของผเู้ สยี หายท่ี ๓ ไดโ้ ดยงา่ ย หลงั จากเกดิ เหตเุ มอ่ื ผเู้ สยี หายที่ ๓ กลบั ถงึ บา้ น ผเู้ สยี หายท ่ี

๓ กม็ ไิ ดเ้ ลา่ เหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ ใหผ้ เู้ สยี หายที่ ๑ และท่ี ๒ ฟงั อา้ งวา่ เนอ่ื งจากกลวั บดิ ามารดาไล

ออกจากบ้าน นับวา่ ไมส่ มเหตุผล เพราะผู้เสียหายที่ ๓ อ้างวา่ ตนมไิ ดย้ ินยอมให้จำเลยกระทำ

เช่นนั้น อีกประการหน่ึงภายหลังเกิดเหตุจำเลยยังคงกลับไปอยู่ที่บ้านของผู้เสียหายทั้งสาม

ข้อเท็จจริงตามฟอ้ งจำเลยสำเร็จความใคร่ถึง ๔ ครงั้ ผเู้ สียหายที่ ๓ เบิกความว่า แต่ละครั้งใช้

สว่ นท่ี ๒ ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำส่ังในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 341
คดอี าญา


เวลาประมาณ ๕ ถึง ๑๐ นาที และเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านวา่ จำเลยกระทำชำเรา

พยานอยปู่ ระมาณเกอื บ ๑ ชวั่ โมง คดมี เี หตอุ นั ควรสงสยั วา่ จำเลยไดก้ ระทำชำเราผเู้ สยี หายท่ี ๓

โดยผู้เสียหายที่ ๓ ยินยอม ถึงแม้โจทก์จะฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ ๓

โดยผเู้ สยี หายที่ ๓ ไม่ยนิ ยอม แตก่ ารทีผ่ ู้ใดกระทำชำเราเดก็ หญิงอายุยังไมเ่ กนิ สิบหา้ ปีซ่งึ มิใช่

ภรยิ าของตนโดยเดก็ หญงิ นนั้ จะยนิ ยอมหรอื ไมก่ ต็ ามกเ็ ปน็ ความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๒๗๗ วรรคแรก จึงถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงตามท่ีปรากฏในทางพิจาณาแตกต่างกับ

ข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรค

สอง สว่ นท่ีจำเลยอา้ งวา่ จำเลยคดิ วา่ ผเู้ สยี หายท่ี ๓ มอี ายปุ ระมาณ ๑๗ ถึง ๑๘ ปี เนื่องจาก

ผเู้ สยี หายที่ ๓ มรี ปู รา่ งใหญ่ เหน็ วา่ ผเู้ สยี หายมอี ายุ ๑๔ ปเี ศษ เรยี นหนงั สอื ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี

๓ ซง่ึ จำเลยกเ็ บกิ ความยอมรบั วา่ ผเู้ สยี หายที่ ๓ บอกจำเลยวา่ หากเรยี นจบชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓

จะแต่งงานกับจำเลย พิเคราะห์ภาพถ่ายของผู้เสียหายที่ ๓ ในบันทึกการช้ีตัวผู้ต้องหาตาม

เอกสารหมาย จ.๖ แผน่ ที่ ๓ แลว้ ไมป่ รากฏวา่ ผเู้ สยี หายที่ ๓ มรี ปู รา่ งสมบรู ณก์ วา่ เดก็ หญงิ ปกต

ทวั่ ไปในวัยเดยี วกนั อนั จะทำให้จำเลยสำคญั ผิดในอายุของผ้เู สยี หายท่ี ๓ ดงั ทจี่ ำเลยกลา่ วอา้ ง

จำเลยจึงไม่อาจกล่าวอ้างได้ว่าจำเลยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตาม

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙ วรรคสาม ท่ีศาลช้ันต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์มาทั้งสอง

กระทงนั้น ไม่ต้องด้วยความเหน็ ของศาลอุทธรณ์ อุทธรณข์ องโจทก์ฟงั ข้นึ บางส่วน

อน่ึง ขณะจำเลยกระทำความผิดเมื่อวันท่ี ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ ประมวล

กฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗ (เดิม) ยังมีผลบังคับใช้อยู่ แม้ในระหว่างการพิจารณาของศาล

อุทธรณ์ ไดม้ พี ระราชบัญญัติแก้ไขเพม่ิ เติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบบั ท่ี ๑๙) พ.ศ. ๒๕๕๐

มาตรา ๓ ยกเลิกความในมาตราดังกล่าวและให้ใช้ความใหม่แทน โดยมีผลใช้บังคับต้ังแต

วันท่ี ๒๐ กันยายน ๒๕๕๐ โดยแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบภายนอก กล่าวคือ ๑. บัญญัติให้

ความหมายของการกระทำชำเรา ๒. เปน็ การกระทำกบั เดก็ ไมว่ า่ เดก็ หญงิ หรอื เดก็ ชาย รวมทงั้

342 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉัยคด


เหตุเพิ่มโทษและเหตุยกเว้นโทษ แต่การกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่

ภรยิ าของตนโดยเดก็ หญงิ นนั้ ยนิ ยอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗ (ทแ่ี กไ้ ข) กย็ งั

บัญญัติเป็นความผิดอยู่เช่นเดิม โดยมีระวางโทษในอัตราเดียวกัน ดังนั้น ประมวลกฎหมาย

อาญา มาตรา ๒๗๗ (ท่ีแกไ้ ข) จึงไมเ่ ป็นคณุ แกจ่ ำเลย ต้องใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา

๒๗๗ (เดิม) มาใชบ้ งั คบั แกก่ ารกระทำความผิดของจำเลย

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน

สบิ หา้ ปซี งึ่ มใิ ชภ่ รยิ าของตนโดยเดก็ หญงิ นน้ั ยนิ ยอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗

วรรคแรก (เดมิ ) จำคกุ ๔ ปี ภายหลงั เกดิ เหตจุ ำเลยมไิ ดห้ ลบหนี ตลอดจนในชน้ั สอบสวนจำเลย

ให้การรับสารภาพและนำช้ีท่ีเกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ นับได้ว่าเป็นการลุแก่โทษต่อ

เจ้าพนักงานและให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ

ลดโทษใหห้ นงึ่ ในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคกุ ๒ ปี ๘ เดอื น นอกจาก

ที่แกใ้ ห้เป็นไปตามคำพพิ ากษาศาลชน้ั ต้น.

ส่วนท่ี ๒ ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำสง่ั ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
343
คดอี าญา


ตวั อยา่ งคดีฉ้อโกง






๑. คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๖๐๔๑/๒๕๔๗


พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบ้ืองต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง

จำเลยนำเช็คของบริษัทพีแอนด์บีรัชดาโฮเต็ล จำกัด ซ่ึงมีกรรมการลงช่ือเพียงคนเดียวและ

ประทับตราบริษัท ไปตดิ ต่อกับนายอรรถ ช่องนนทรี ผู้ช่วยผู้จดั การธนาคารกสิกรไทย จำกัด

(มหาชน) สาขาห้วยขวาง เพอื่ เบกิ เงินสด จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท จากธนาคารกสกิ รไทย

จำกดั (มหาชน) สาขาหว้ ยขวาง อา้ งวา่ บรษิ ทั ตอ้ งการใชเ้ งนิ ดว่ น และรบั ทจี่ ะตดิ ตอ่ ใหก้ รรมการ

อกี คนหนงึ่ มาลงชอื่ ในเชค็ ใหค้ รบตามเงอื่ นไขการสง่ั จา่ ยในวนั รงุ่ ขนึ้ และจำเลยไดร้ บั เงนิ ตามเชค็

จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ไปครบถว้ นแลว้ ต่อมาบรษิ ทั พแี อนด์บรี ชั ดาโฮเต็ล จำกัด มีหนงั สอื

ปฏิเสธการหักเงินในบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน โจทก์ร่วมจึงโอนเงินจำนวนดังกล่าวคืนเข้า

บญั ชเี งนิ ฝากของบรษิ ทั ปญั หาทตี่ อ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องจำเลยมวี า่ จำเลยกระทำความผดิ

ตามฟอ้ งหรอื ไม่ โจทกแ์ ละโจทกร์ ว่ มมนี ายปรชี า ถริ กจิ พงศ์ ประธานกรรมการบรษิ ทั พแี อนดบ์ -ี

รัชดาโฮเต็ล จำกัด เป็นพยานเบกิ ความยืนยนั วา่ พยานไมไ่ ด้สงั่ ใหจ้ ำเลยนำเช็คของบรษิ ทั ทมี่ ี

กรรมการลงชอ่ื คนเดยี วและประทบั ตราบรษิ ทั ไปเบกิ เงนิ จากธนาคารโจทกร์ ว่ ม พยานปากนเี้ ปน็

ผบู้ งั คบั บญั ชาของจำเลย ไมม่ สี าเหตโุ กรธเคอื งกบั จำเลยมากอ่ น ไมม่ เี หตรุ ะแวงสงสยั วา่ จะกลน่ั

แกล้งจำเลย เบิกความน่าเช่ือถือ ข้อเท็จริงจึงฟังได้ว่านายปรีชาไม่ได้ส่ังให้จำเลยนำเช็คของ

บรษิ ทั พแี อนดบ์ รี ชั ดาโฮเตล็ จำกดั ทมี่ กี รรมการลงชอื่ คนเดยี วและประทบั ตราบรษิ ทั ไปเบกิ เงนิ

จากธนาคารโจทกร์ ่วม การทจ่ี ำเลยนำเช็คดงั กลา่ วไปเบกิ เงินจากธนาคารโจทกร์ ่วมโดยอ้างวา่

บริษัทให้จำเลยนำมาเบิกและจะจัดการให้กรรมการลงช่ือครบ ๒ คน ในวันรุ่งข้ึนจึงเป็นการ

หลอกลวงโจทก์ร่วมด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดความจริงอันควรบอกให้แจ้ง

และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งเงินสด จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท จากโจทก์ร่วม ที


344 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คด


จำเลยนำสืบทำนองว่ามีคนเลียนเสียงนายปรีชาและนายสุธี กัลยาณพงศ์ คนขับรถของ

นายปรีชา ส่ังให้จำเลยกระทำการตามข้อนำสืบน้ันไม่น่าเช่ือ เพราะจำเลยอายุ ๔๘ ปี สำเร็จ

การศึกษาระดับปรญิ ญาตรี และทำงานในตำแหน่งผจู้ ัดการฝ่ายการเงนิ หากมีการสงั่ ให้จำเลย

กระทำการตามขอ้ นำสบื จรงิ จำเลยกไ็ มน่ า่ จะหลงเชอ่ื นำเงนิ ไปวางไวข้ า้ งถงั โมป่ นู ทสี่ วนอาหาร

บ้านต้นซุง จำเลยน่าจะให้รับเงินไปจากมือจำเลย ย่ิงนายปรีชาเป็นประธานกรรมการบริษัท

จำเลยย่ิงน่าจะไม่เช่ือว่านายปรีชาต้องการให้มีการส่งมอบเงินในลักษณะไม่ชอบมาพากล

ดงั กลา่ ว ขอ้ นำสบื ของจำเลยขดั ตอ่ เหตผุ ล ไมม่ นี ำ้ หนกั ทจ่ี ะรบั ฟงั ขอ้ เทจ็ จรงิ จงึ ฟงั ไดว้ า่ จำเลย

ได้กระทำความผิดตามฟ้อง จำเลยจึงมีความผิดฐานฉ้อโกง ส่วนที่จำเลยขอให้รอการลงโทษ

นนั้ เหน็ วา่ จำเลยใหก้ ารปฏเิ สธตลอดมา ทง้ั จำเลยไดอ้ าศยั ตำแหนง่ ผจู้ ดั การฝา่ ยการเงนิ ซงึ่ เปน็

ตำแหนง่ ทไี่ ดร้ บั ความไวว้ างใจกระทำความผดิ จงึ ไมม่ เี หตอุ นั ควรปรานที จ่ี ะรอการลงโทษ ทศ่ี าล

ชน้ั ต้นพพิ ากษามานั้นชอบแลว้ อุทธรณข์ องจำเลยฟงั ไม่ขึ้น

พิพากษายืน.






๒. คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๑๑๙๗/๒๕๔๘


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่

คคู่ วามไมโ่ ตเ้ ถยี งกนั วา่ จำเลยกบั พน่ี อ้ งอกี ๙ คน เปน็ เจา้ ของรวมในทดี่ นิ ๒ แปลง อยทู่ แี่ ขวง

บางระมาด เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร แปลงแรกโฉนดเลขที่ ๖๕๘๔๑ เนือ้ ที่ ๒ ไร่ ๓ งาน

๓๓ ตารางวา แปลงที่สองโฉนดเลขท่ี ๖๕๘๔๒ เนอ้ื ท่ี ๒ ไร่ ๒ งาน ๕๖ ตารางวา ตามสำเนา

โฉนดทด่ี นิ เอกสารหมาย จ.๓ และ จ.๕ เมอื่ วนั ท่ี ๔ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๓๙ โจทกร์ ว่ มทำสญั ญาจะ

ซื้อจะขายที่ดินแปลงแรกจากจำเลยในราคา ๒๖,๖๖๐,๐๐๐ บาท ต่อมาเม่ือวันที่ ๒ กันยายน

๒๕๓๙ โจทก์ร่วมทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงที่สองจากจำเลยอีกในราคา ๒๐,๐๐๐,๐๐๐

ส่วนที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาและคำสงั่ ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 345
คดีอาญา


บาท ตามสญั ญาจะซอ้ื จะขาย เอกสารหมาย จ.๒ และ จ.๔ มขี อ้ ตกลงโอนกรรมสทิ ธท์ิ ด่ี นิ ทงั้ สอง

แปลงในวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ เม่ือถึงกำหนดนัดจำเลยกับพวกไม่ได้จดทะเบียนโอน

กรรมสิทธิ์ท่ีดินท้ังสองแปลงให้แก่โจทก์ร่วม ปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมมี

วา่ จำเลยกระทำความผดิ ฐานฉอ้ โกงดงั ฟอ้ งหรอื ไม่ โจทกร์ ว่ มอทุ ธรณว์ า่ ศาลชน้ั ตน้ ฟงั วา่ โจทก

ร่วมมิได้ยึดถือหนังสือมอบอำนาจที่จำเลยแสดงแก่โจทก์ร่วมเป็นสาระสำคัญในการตกลงเข้า

ทำสัญญาจะซ้ือจะขายน้ัน เป็นการวินิจฉัยคลาดเคล่ือนต่อข้อเท็จจริง เพราะโจทก์ร่วมให้

ความสำคญั แกห่ นงั สอื มอบอำนาจดงั กลา่ วและเชอ่ื ถอื จำเลยทเ่ี ปน็ ขา้ ราชการตำแหนง่ เจา้ หนา้ ท่ี

พยาบาล จำเลยแจ้งแก่โจทก์ร่วมว่าพ่ีน้องทุกคนลงช่ือในหนังสือมอบอำนาจให้แก่จำเลยแล้ว

โจทกร์ ว่ มหลงเช่อื จงึ ทำสัญญากับจำเลย พเิ คราะหแ์ ล้ว โจทกร์ ว่ ม นางฐติ ิมา เปยี่ มพงศ์สานต ์

ภริยาโจทก์รว่ ม และนายวนิ ยั ทับมณี กับนายวิรชั น่มิ น้อย นายหนา้ ฝา่ ยโจทกร์ ว่ ม เบิกความ

ว่า จำเลยนำหนังสือมอบอำนาจจากพ่ีน้องที่ให้ขายท่ีดินมาแสดงแก่โจทก์ร่วมขณะเสนอขาย

ท่ีดนิ โจทก์ร่วมเบกิ ความว่า เหตทุ ีต่ กลงกบั จำเลยคนเดยี ว เพราะจำเลยมหี นังสอื มอบอำนาจ

จากพี่น้องมาแสดง ส่วนนางฐิติมาเบิกความทำนองเดียวกันกับโจทก์ร่วมว่า หากไม่มีหนังสือ

มอบอำนาจดังกล่าว ตนกับโจทก์ร่วมคงจะไม่ตกลงซื้อที่ดินจากจำเลย แต่ข้อเท็จจริงกลับได

ความจากที่นางฐิติมาเบิกความตอบคำถามค้านว่า ในวันทำสัญญาจะซื้อจะขายท่ีดินทั้งสอง

แปลง จำเลยนำหนังสือมอบอำนาจมาแสดงไม่ครบจำนวนเจ้าของรวม คงขาดหนังสือมอบ

อำนาจจากนายฉลาด ศรีฉ่อง อีก ๑ ราย จำเลยแจ้งว่าเมื่อถึงวันนัดโอนกรรมสิทธ์ิท่ีดินนาย

ฉลาดจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้ เม่ือมีคำรับรองของจำเลยกับนางสมวรรณ รอดทอง

นายหนา้ ฝ่ายจำเลย ตนจึงเช่อื ว่าการโอนกรรมสิทธ์ิทดี่ ินไม่นา่ จะมีปัญหาอยา่ งใด และไดค้ วาม

จากโจทกร์ ว่ มกบั นางฐติ มิ าวา่ นางฐติ มิ าประกอบธรุ กจิ ซอื้ ขายทดี่ นิ มาตงั้ แตป่ ี ๒๕๓๓ ในการซอื้

ทด่ี นิ ทง้ั สองแปลงโจทกร์ ว่ มกบั นางฐติ มิ าดำเนนิ การรว่ มกนั วนั ทำสญั ญานางฐติ มิ ากอ็ ยดู่ ว้ ยทง้ั

สองครั้ง เห็นว่า การที่โจทก์ร่วมกับนางฐิติมาตกลงให้โจทก์ร่วมเข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายกับ

346 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉยั คด


จำเลยทง้ั ทจ่ี ำเลยไม่มหี นังสอื มอบอำนาจจากนายฉลาด เจา้ ของรวมอีกรายหนึง่ มาแสดง นาง

ฐิติมาซง่ึ มอี าชพี ในทางซอ้ื ขายที่ดนิ ย่อมรู้ดีวา่ หากนายฉลาดไมต่ กลงยินยอมขายที่ดนิ ดว้ ย แม

จำเลยจะไดร้ บั มอบอำนาจจากเจา้ ของรวมคนอน่ื ทเี่ หลอื กต็ าม การโอนกรรมสทิ ธทิ์ ดี่ นิ ทงั้ แปลง

ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ดังน้ี การท่ีโจทก์ร่วมยังตกลงใจเข้าทำสัญญากับจำเลยทั้งท่ีทราบความ

ดังกล่าวย่อมแสดงชัดแจ้งอยู่ว่าโจทก์ร่วมกับนางฐิติมาไม่ได้ถือเอาหนังสือมอบอำนาจจาก

เจา้ ของรวมคนอน่ื เปน็ หลกั ฐานสำคญั ประกอบการตดั สนิ ใจของตนยงิ่ ไปกวา่ คำรบั รองของจำเลย

และนายหน้า ดังที่ได้ความจากโจทก์ร่วมกับนางฐิติมาว่า เหตุท่ีตกลงซื้อท่ีดินทั้งสองแปลง

เนอื่ งจากเชอ่ื ถอื ในตวั จำเลยและผทู้ เ่ี ปน็ นายหนา้ ทเี่ ชอื่ ถอื จำเลย เพราะเหน็ วา่ จำเลยรบั ราชการ

เปน็ เจา้ หนา้ ทพี่ ยาบาล คดนี ข้ี อ้ เทจ็ จรงิ ไดค้ วามวา่ ทด่ี นิ ทงั้ สองแปลงทจี่ ำเลยเสนอขายแกโ่ จทก

รว่ มเปน็ ทด่ี นิ ทจ่ี ำเลยเปน็ เจา้ ของรว่ มกบั พนี่ อ้ งของจำเลยจรงิ ดงั ทจ่ี ำเลยแจง้ แกโ่ จทกร์ ว่ ม คงม

ปญั หาวา่ จำเลยเสนอขายทด่ี นิ ดงั กลา่ วแกโ่ จทกร์ ว่ มโดยจำเลยกบั พน่ี อ้ งไมม่ เี จตนาขายทด่ี นิ อนั

เปน็ พฤตกิ ารณท์ ่ีแสดงว่าจำเลยมีเจตนาหลอกลวงโจทก์รว่ มมาแต่ต้นหรือไม่ ได้ความจากนาย

มนตรี ศรฉี อ่ ง พยานโจทกซ์ งึ่ เปน็ นอ้ งของจำเลยและเปน็ เจา้ ของรวมในทด่ี นิ ทงั้ สองแปลง วา่ พ
่ี
นอ้ งทกุ คนตกลงกันให้นำท่ีดินทัง้ สองแปลงออกขายแลว้ แบ่งเงินกัน โดยพน่ี อ้ งทกุ คนมีสทิ ธไิ ป

หาผซู้ อื้ ตอ่ มาจำเลยบอกวา่ มผี สู้ นใจจะซอื้ แลว้ พนี่ อ้ งจงึ มอบใหจ้ ำเลยไปทำสญั ญา จำเลยบอก

ว่าได้รับมัดจำไว้ ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท และนำสัญญาไปให้พี่น้องดูด้วย เมื่อถึงกำหนดนัดโอน

กรรมสทิ ธทิ์ ด่ี นิ จำเลยบอกวา่ ผซู้ อื้ ขอเลอื่ นการโอน มกี ารนดั โอนกรรมสทิ ธอิ์ กี หลายครงั้ จนถงึ

เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๐ ตนกับพ่ีน้องไปท่ีสำนักงานท่ีดิน แต่ไม่พบผู้ซ้ือ จำเลยติดต่อผู้ซ้ือ

ไม่ได้ จึงพากันเดินทางกลับและริบเงินมัดจำของผู้ซื้อโดยตนได้รับส่วนแบ่งจากเงินมัดจำท่ีริบ

น้ันดว้ ย แมน้ ายฉลาด นอ้ งของจำเลยอีกผ้หู นง่ึ ซง่ึ เป็นเจา้ ของรวมในที่ดนิ ท้งั สองแปลงด้วย จะ

เบิกความเป็นพยานโจทก์ในทำนองปฏิเสธว่าไม่ทราบกำหนดนัดโอนกรรมสิทธ์ิที่ดินและไม่
ทราบเรอื่ งเงนิ มดั จำ ทง้ั ไมเ่ คยไดร้ บั สว่ นแบง่ จากจำเลยกรณขี ายทดี่ นิ ใหแ้ กภ่ รยิ าโจทกร์ ว่ ม แต


สว่ นท่ี ๒ ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำส่ังในรปู คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 347
คดีอาญา


นายฉลาดก็รบั ว่าเคยพูดคยุ กนั ระหว่างพนี่ อ้ งว่าหากจะขาย ใหข้ ายที่ดินทง้ั แปลง แลว้ ตนจะไป

โอนกรรมสทิ ธใิ์ หท้ สี่ ำนกั งานทด่ี นิ และเมอ่ื ตอบคำถามคา้ นกร็ บั วา่ มกี ารพดู คยุ กนั ระหวา่ งพน่ี อ้ ง

ว่าให้จำเลยเป็นผู้ดำเนินการขายที่ดินท้ังสองแปลง โดยพ่ีน้องรวมทั้งตนเองต่างไม่คัดค้าน

เพียงแต่บอกจำเลยว่านัดโอนกรรมสิทธิ์ท่ีดินกันเม่ือใด ให้แจ้งให้ทราบเพ่ือพี่น้องจะได้ไป

ดำเนนิ การโอนให้ ดงั น้ี จงึ ฟงั ไดว้ า่ พน่ี อ้ งของจำเลยซงึ่ เปน็ เจา้ ของรวมในทด่ี นิ ทงั้ สองแปลงตา่ ง

เหน็ ชอบและมอบใหจ้ ำเลยเปน็ ผขู้ ายทดี่ นิ แทนตนได้ หาใชจ่ ำเลยกบั พนี่ อ้ งไมม่ เี จตนาขายทดี่ นิ

ไม่ ส่วนเรื่องการไม่ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธ์ิที่ดินในวันนัดนั้น ได้ความจากโจทก์ร่วมเบิก

ความว่า เมื่อถึงวันท่ี ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ ซึ่งเป็นวันโอนกรรมสิทธ์ิท่ีดิน จำเลยไม่ได้ไปท
่ี
สำนักงานที่ดิน จำเลยขอผัดผ่อน อ้างว่าอาจจะนำท่ีดินไปขายให้แก่ผู้อื่นในราคาท่ีสูงกว่า แต่

โจทก์ร่วมยังประสงค์ท่ีจะให้จำเลยโอนกรรมสิทธ์ิที่ดินให้ จึงตกลงให้จำเลยเลื่อนการโอน

กรรมสทิ ธท์ิ ดี่ นิ เปน็ วนั ท่ี ๒๘ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๐ เมอ่ื ตอบคำถามคา้ น โจทกร์ ว่ มกบั นางฐติ มิ า

รับว่าข้อความด้านหลังหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายตามเอกสารหมาย จ.๒ นั้น นางฐิติมาเป็น

ผู้เขียน โจทก์ร่วมได้ลงช่ือรับรองข้อความท่ีเขียนไว้ เว้นแต่ข้อความว่าวันที่ ๑๑ เมษายน

๒๕๔๐ เทา่ นนั้ ทโี่ จทกร์ ว่ มไมไ่ ดล้ งชอื่ ศาลอทุ ธรณต์ รวจดขู อ้ ความดา้ นหลงั หนงั สอื สญั ญาจะซอ้ื

จะขายดงั กลา่ วแลว้ มขี อ้ ความระบวุ า่ เมอื่ วนั ที่ ๗ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๐ ผจู้ ะซอ้ื จะขายตกลงเลอ่ื น

การโอนกรรมสทิ ธทิ์ ด่ี นิ ครง้ั ทห่ี นง่ึ ไปเปน็ วนั ที่ ๒๘ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๐ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๗ กมุ ภาพนั ธ ์

๒๕๔๐ เล่ือนเป็นคร้งั ทส่ี องไปเป็นวนั ท่ี ๑๕ เมษายน ๒๕๔๐ เมือ่ วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๔๐

เลื่อนเป็นครั้งที่สามไปเป็นวันท่ี ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๐ และเม่ือวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๐

เลอื่ นเปน็ คร้งั ทส่ี ไ่ี ปเปน็ ภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๐ โดยในครงั้ ที่สามและครั้งท่สี ีบ่ นั ทกึ ไว

ว่าผู้จะขายฝ่ายเดียวขอเล่ือน และมีลายมือช่ือโจทก์ร่วมลงช่ือในช่องผู้จะซ้ือในการเลื่อนคร้ัง

ที่หนึ่ง ครั้งท่ีสอง และครั้งที่ส่ี ดังน้ี ตามข้อความด้านหลังเอกสารดังกล่าวแสดงว่าโจทก์ร่วม

ทราบและยินยอมให้มีการเลื่อนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินก่อนถึงวันนัดในครั้งที่หนึ่งเมื่อวันที่ ๘

348 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉัยคดี


กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๐ และวันนัดครั้งทสี่ องเม่อื วนั ที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ แลว้ กรณมี ใิ ชจ่ ำเลย

ไมไ่ ปโอนกรรมสทิ ธท์ิ ด่ี นิ ในวนั นดั ทงั้ สองครงั้ ดงั กลา่ วโดยไมแ่ จง้ แกโ่ จทกร์ ว่ มกอ่ นดงั ทโี่ จทกร์ ว่ ม

อา้ งในอทุ ธรณไ์ ม่ ขอ้ เทจ็ จรงิ ไดค้ วามตามทโ่ี จทกแ์ ละโจทกร์ ว่ มนำสบื มาดงั กลา่ ว จงึ ไมป่ รากฏวา่

จำเลยหลอกลวงโจทก์ร่วมแต่อย่างใด ทั้งหากจำเลยมีเจตนาหลอกลวงโจทก์ร่วมมาแต่ต้น

จำเลยคงไม่แจ้งแก่โจทก์ร่วมเม่ือเล่ือนการโอนกรรมสิทธิ์ท่ีดินครั้งที่หน่ึงว่าตนอาจนำท่ีดินไป

ขายแกผ่ ู้อน่ื ทีใ่ ห้ราคาสูงกว่า พฤติการณแ์ หง่ คดีตามข้อเทจ็ จริงทพ่ี ิจารณาไดค้ วามบง่ ชอี้ ยวู่ ่าพี

นอ้ งของจำเลยมอบใหจ้ ำเลยขายทดี่ นิ แทน จำเลยจงึ เสนอขายทด่ี นิ แกโ่ จทกร์ ว่ ม สว่ นโจทกร์ ว่ ม

เชอื่ ถอื คำรบั รองของจำเลยกบั นางสมวรรณวา่ จำเลยสามารถดำเนนิ การใหเ้ จา้ ของรวมคนอน่ื ท
่ี
เปน็ พนี่ อ้ งกบั จำเลยจดทะเบยี นโอนกรรมสทิ ธทิ์ ดี่ นิ ทง้ั สองแปลงแกโ่ จทกร์ ว่ มได้ จงึ ตกลงเขา้ ทำ

สญั ญาจะซอื้ จะขายทดี่ นิ ทงั้ สองแปลงกบั จำเลยและวางเงนิ มดั จำไวแ้ กจ่ ำเลยเพอ่ื ผกู มดั จำเลยใน

ฐานะคสู่ ญั ญา ดงั ทไี่ ดค้ วามจากโจทกร์ ว่ มวา่ เมอื่ จำเลยแจง้ วา่ อาจนำทด่ี นิ ไปขายใหแ้ กผ่ อู้ นื่ เปน็

ทำนองบา่ ยเบย่ี งวา่ จะไมป่ ฏบิ ตั ติ ามสญั ญาทใ่ี หไ้ วแ้ กโ่ จทกร์ ว่ ม โจทกร์ ว่ มยงั ยนื ยนั ความประสงค

ที่จะได้ท่ีดินและตกลงยินยอมให้จำเลยเล่ือนการโอนกรรมสิทธ์ิที่ดินในวันท่ี ๘ กุมภาพันธ์

๒๕๔๐ ไปกอ่ น ท้งั ทข่ี ณะนัน้ โจทก์ร่วมอาจถอื ว่าจำเลยเปน็ ฝา่ ยผดิ สญั ญาและเรยี กค่าเสียหาย

จากจำเลยตามท่ีกำหนดไวใ้ นสัญญาสำหรบั ที่ดินแปลงแรก เป็นเงิน ๑๑,๓๒๐,๐๐๐ บาท และ

สำหรบั ทดี่ นิ แปลงทส่ี อง เปน็ เงนิ ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท แตโ่ จทกร์ ว่ มกห็ าไดก้ ระทำไม่ กรณจี งึ หาใช

โจทก์ร่วมเข้าทำสัญญาเพราะถูกจำเลยหลอกลวงมาแต่ต้นดังที่โจทก์ร่วมกล่าวหาไม่ การที่

จำเลยไม่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธ์ิที่ดินแก่โจทก์ร่วมเป็นเรื่องจำเลยเปลี่ยนเจตนาซ่ึงเป็น

เหตกุ ารณท์ เี่ กดิ ขนึ้ ภายหลงั ทำสญั ญาจะซอ้ื จะขาย ทศ่ี าลชนั้ ตน้ ฟงั วา่ มลู คดเี ปน็ เรอ่ื งผดิ สญั ญา

ทางแพ่ง การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงและพิพากษายกฟ้องมาน้ัน ศาล

อุทธรณ์เหน็ พอ้ งดว้ ย อทุ ธรณข์ องโจทก์รว่ มฟังไม่ขึ้น

พิพากษายนื .

สว่ นที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำสัง่ ในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ
์ 349
คดีอาญา



๓. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๙๔๕๖/๒๕๔๘


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังยุติตามทางนำสืบที

โจทก์และจำเลยรับกันและฟังยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยโจทก์และจำเลยมิได้อุทธรณ

โต้แย้งว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยรับราชการอยู่ท่ีสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน

(สำนกั งาน ก.พ.) ระหวา่ งเวลาเกดิ เหตตุ ามฟอ้ งมกี ารโอนเงนิ จำนวน ๓๔๖,๕๐๐ บาท จำนวน

๑,๓๐๐,๐๐๐ บาท จำนวน ๔๘๐,๐๐๐ บาท จำนวน ๑,๗๕๐,๐๐๐ บาท จำนวน ๒,๓๐๐,๐๐๐

บาท และจำนวน ๘๘๐,๐๐๐ บาท ตามใบนำฝากและใบบันทกึ รายการ เอกสารหมาย จ.๑ ถึง

จ.๘ เขา้ บญั ชเี งนิ ฝากสะสมทรพั ยธ์ นาคารกรงุ เทพ จำกดั (มหาชน) สาขาสำนกั งาน ก.พ. บญั ช

เงินฝากออมทรัพยธ์ นาคารกสกิ รไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเทเวศร์ บญั ชเี งินฝากออมทรัพย์

ธนาคารกสกิ รไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสุทธิสาร และบญั ชีเงินฝากออมทรัพยธ์ นาคารไทย-

พาณชิ ย์ จำกดั (มหาชน) สาขาบางลำพู ของจำเลย ตามใบคำขอเปดิ บัญชี และรายการบัญชี

เอกสารหมาย จ.๑๐ ถงึ จ.๑๖, จ. ๑๙ และ จ.๒๐ หลงั จากไดร้ บั เงนิ จำนวนดงั กลา่ วแลว้ จำเลย

ไม่ไปทำงานและหลบหนี ผู้เสียหายได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อร้อยตำรวจเอก ทองศูนย์ อุ่นวงศ์

พนกั งานสอบสวนสถานตี ำรวจนครบาลบางซอ่ื ตามรายงานประจำวนั เกยี่ วกบั คดี เอกสารหมาย

จ.๙ ร้อยตำรวจเอก ทองศูนย์สืบทราบว่าจำเลยหลบหนีไปอยู่ท่ีจังหวัดราชบุรี จึงขอออก

หมายจบั ศาลชน้ั ตน้ ได้ออกหมายจับจำเลยตามหมายจับ เอกสารหมาย จ.๒๙ และจำเลยถูก

จบั กุมเม่ือวันท่ี ๔ มถิ นุ ายน ๒๕๔๖ ตามบันทึกผลการตรวจค้น และบนั ทกึ การจบั กุม เอกสาร

หมาย จ.๓๐ และ จ.๓๑ ชน้ั จบั กมุ และชนั้ สอบสวนจำเลยใหก้ ารปฏเิ สธ คงมปี ญั หาทตี่ อ้ งวนิ จิ ฉยั

ในชัน้ อุทธรณว์ า่ จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม

พิเคราะห์แล้ว โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า ประมาณเดือนตุลาคม

๒๕๔๕ นางสาวพนดิ า โรจนร์ ตั นชยั นอ้ งภรยิ าของพยานซง่ึ ทำงานทเี่ ดยี วกนั กบั จำเลย บอกวา่

350 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉยั คดี


จำเลยสามารถจำหนา่ ยโทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทไี่ ดใ้ นราคาตำ่ กวา่ ราคาทอ้ งตลาด เปน็ เครอื่ งของศนู ย

จำหน่ายโทรศัพท์เอไอเอส จำเลยจำหน่ายให้แก่เพ่ือนร่วมงานหลายครั้งแล้ว พยานสนใจ

ซื้อหรือไม่ แต่การซื้อต้องโอนเงินค่าสินค้าไปก่อน พยานไม่แน่ใจ จึงรอดูเหตุการณ์สักระยะ

หนงึ่ ตอ่ มาประมาณเดอื นธนั วาคม ๒๕๔๕ นางสาวพนดิ าโทรศพั ทบ์ อกพยานวา่ ยงั สามารถซอ้ื

โทรศพั ทเ์ คลอื่ นทกี่ นั ไดอ้ ยู่ สว่ นใหญจ่ ะเปน็ โทรศพั ทเ์ คลอื่ นที่ ยห่ี อ้ โนเกยี รนุ่ ๓๓๑๐ ซง่ึ ขายใน

ราคาเครอื่ งละ ๒,๘๐๐ บาท พยานตอ้ งการซอ้ื ใหถ้ กู กวา่ นางสาวพนดิ าใหพ้ ยานตดิ ตอ่ กบั จำเลย

ด้วยตนเอง พยานจึงติดต่อกับจำเลย จำเลยบอกพยานว่าหากจะซื้อให้ถูกกว่าราคาดังกล่าว

จะตอ้ งซื้อ ๑๐๐ เครื่อง ขึ้นไป ถึงจะไดร้ าคาเครอื่ งละ ๒,๗๕๐ บาท จึงนัดพบกนั ก่อนวันท่ี ๒๕

ธันวาคม ๒๕๔๕ ท่ีโรงแรมแกรนด์ทาวเวอร์อินน์ ถนนพระราม ๖ เมื่อถึงวนั นดั พยานกบั เพอื่ น

คอื รอ้ ยตำรวจเอก วรี ปรชั ญ์ วงศร์ ตั น์ เจา้ พนกั งานตำรวจสถานตี ำรวจนครบาลพระโขนง ไปพบ

จำเลย ณ สถานที่นัด พยานตกลงซ้ือโทรศัพท์เคลื่อนที่ย่ีห้อและรุ่นดังกล่าว จำนวน ๑๒๖

เครอ่ื ง ในราคาเครื่องละ ๒,๗๕๐ บาท เป็นเงนิ ๓๔๖,๕๐๐ บาท ตอ่ มาเมือ่ วนั ที่ ๒๕ ธันวาคม

๒๕๔๕ พยานโอนเงนิ จากธนาคารกรงุ เทพ จำกดั (มหาชน) สาขาถนนศรนี ครนิ ทร์ เขา้ บญั ชเี งนิ

ฝากของจำเลยทธี่ นาคารกรงุ เทพ จำกดั (มหาชน) สาขาสำนกั งาน ก.พ. จำนวน ๓๔๖,๕๐๐

บาท จำเลยบอกว่าจะสง่ สินค้าภายใน ๒ สัปดาห์ แต่ไมไ่ ดส้ ง่ ตามกำหนด จนกระทัง่ เมอื่ วันที่

๒๐ มกราคม ๒๕๔๖ จำเลยให้พยานไปพบนายมนัส เซอร์ประยูร แถวส่ีแยกใกล้สนามม้า

นางเล้ิง พยานไปพบ นายมนัสมอบโทรศัพท์เคลื่อนท่ีให้พยานครบ ๑๒๖ เคร่ือง แล้วพยาน

นำไปขายท่ีร้าน ๒ ร้าน ซ่ึงจำช่ือไม่ได้ ตงั้ อยู่บนช้นั ๔ และช้ัน ๖ ของศูนย์การค้ามาบญุ ครอง

ในราคาเคร่ืองละ ๓,๕๕๐ บาท ในวันเดียวกันนั้นจำเลยติดต่อกลับมายังพยานว่าจำเลยมี

โทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทรี่ นุ่ เดยี วกนั อกี ๕๐๐ เครอ่ื ง จะขายใหใ้ นราคาเครอื่ งละ ๒,๖๐๐ บาท ใหพ้ ยาน

โอนเงินไปให้ก่อน แล้วจะส่งสินค้าให้อีกประมาณ ๒ สัปดาห์ พยานเห็นว่าได้กำไรดี จึงตอบ

ตกลง และในวันรุง่ ขนึ้ พยานโอนเงนิ จำนวน ๑,๓๐๐,๐๐๐ บาท เข้าบญั ชเี งินฝากของจำเลยที่

สว่ นที่ ๒ ตวั อย่างคำพิพากษาและคำส่งั ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
351
คดีอาญา


ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเทเวศร์ ในวันเดียวกันนั้นจำเลยติดต่อกลับมาหา

พยาน บอกวา่ มีบัตรเตมิ เงนิ วนั -ทู-คอล มูลคา่ ใบละ ๓๐๐ บาท จะขายให้ในราคาใบละ ๒๔๐

บาท ทงั้ หมด ๒,๐๐๐ ใบ ใหพ้ ยานชว่ ยจำเลยทำยอดการจำหนา่ ย พยานเหน็ วา่ มกี ำไร จงึ ตกลง

ซอ้ื และโอนเงนิ เขา้ บญั ชเี งนิ ฝากของจำเลยทธี่ นาคารกสกิ รไทย จำกดั (มหาชน) สาขาสทุ ธสิ าร

จำนวน ๔๘๐,๐๐๐ บาท จำเลยแจง้ วา่ สปั ดาหห์ นา้ พยานจะไดร้ บั บตั รเตมิ เงนิ ตอ่ มาเมอ่ื วนั ท่ี ๒๖

มกราคม ๒๕๔๖ จำเลยแจ้งว่าโทรศัพท์เคลื่อนท่ีรุ่นดังกล่าวใกล้จะหมดแล้ว จำเลยจัดหาได้

จำนวน ๗๐๐ เคร่ือง จะลดราคาให้เหลือเคร่ืองละ ๒,๕๐๐ บาท ตอนแรกพยานไม่ต้องการ

เพราะของทสี่ งั่ ไวย้ งั ไมไ่ ด้ จำเลยพยายามเกลย้ี กลอ่ มวา่ เปน็ ลอ็ ตสดุ ทา้ ยแลว้ พยานไมแ่ นใ่ จและ

ต้องการไปดูท่ีศูนย์การค้ามาบุญครองก่อนว่าจะจำหน่ายได้หรือไม่ วันรุ่งข้ึนพยานจึงไปดูโดย

พกเงนิ สดไปดว้ ย หากตกลงกจ็ ะหาทโี่ อนเงนิ ใหจ้ ำเลย เมอ่ื ไปดแู ลว้ เหน็ วา่ นา่ จะขายได้ พอดกี บั

จำเลยโทรศพั ทแ์ จง้ มาใหร้ บี โอนเงนิ ไปทธี่ นาคารกรงุ เทพ จำกดั (มหาชน) โดยแยกเปน็ ๒ บญั ช ี

พยานจงึ โอนเงนิ ผา่ นตเู้ อทเี อม็ ครง้ั ละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท จำนวน ๑๐ ครงั้ ไปเขา้ บญั ชเี งนิ ฝากของ

จำเลยทีธ่ นาคารดงั กลา่ ว สาขาสำนักงาน ก.พ. และโอนเงนิ ผ่านตู้เอทีเอ็ม จำนวน ๔๙๐,๐๐๐

บาท กับอีกจำนวน ๒๖๐,๐๐๐ บาท ไปเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด

(มหาชน) สาขาสยามแมค็ โคร ถนนจรญั สนทิ วงศ์ หลงั จากนนั้ จำเลยตดิ ตอ่ กลบั มาทพี่ ยานวา่ ยงั

สามารถหาโทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทร่ี ุน่ เดียวกนั ได้อกี ๓,๐๐๐ เครอื่ ง ขายให้ในราคาเคร่ืองละ ๒,๓๐๐

บาท พยานปฏิเสธ จำเลยแจ้งวา่ จำเลยมีคแู่ ขง่ ขอใหร้ ับไวช้ ่วยจำหน่วยคร่งึ หนง่ึ พยานยงั ไม่

ตัดสินใจ จนกระท่งั เม่ือวนั ที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๖ จำเลยโทรศัพทม์ าตามว่าใหช้ ่วยซอื้ พยาน

ตกลงช่วยซื้อ ๑,๐๐๐ เคร่ือง และโอนเงิน จำนวน ๒,๓๐๐,๐๐๐ บาท เข้าบัญชีเงินฝากของ

จำเลยทีธ่ นาคารกสิกรไทย จำกดั (มหาชน) ทัง้ ในวนั เดยี วกนั จำเลยติดต่อขอใหพ้ ยานซ้อื บัตร

เตมิ เงนิ วนั -ท-ู คอล มลู คา่ ใบละ ๓๐๐ บาท จำนวน ๔,๐๐๐ ใบ ในราคาใบละ ๒๒๐ บาท พยาน

ทกั ทว้ งวา่ ของเกา่ กย็ งั ไมไ่ ด้ จำเลยบอกวา่ สปั ดาหห์ นา้ จะไดแ้ ลว้ ไดพ้ รอ้ มกนั หมด ใกลส้ นิ้ เดอื น

352 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คด


แลว้ ตอ้ งทำยอดใหไ้ ด้ พยานชว่ ยจำเลยซอื้ และไปโอนเงนิ เขา้ บญั ชเี งนิ ฝากของจำเลยทธ่ี นาคาร

ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาบางลำพู เม่อื วนั ที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๔๖ รวมเป็นเงนิ ทโ่ี อน

ให้จำเลยไปโดยไม่ได้รับสินค้า จำนวน ๖,๗๑๐,๐๐๐ บาท จำเลยแจ้งพยานว่าให้รอรับสินค้า

ทั้งหมดในวันท่ี ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ พยานรอจนถึงวันนัดตอนเช้า จำเลยโทรศัพท์

แจ้งว่าช่วงบ่ายให้ไปรับของกับนายมนัส ณ ที่เดิมซ่ึงเคยไปรับ พยานไป ไม่พบนายมนัส จึง

โทรศพั ทต์ ดิ ตอ่ นายมนสั แจง้ วา่ จำเลยไมไ่ ดบ้ อกใหจ้ า่ ยของออก พยานพยายามตดิ ตอ่ กบั จำเลย

แตต่ ดิ ตอ่ ไมไ่ ด้ พยานสอบถามนายมนสั นายมนสั ตดิ ตอ่ กบั จำเลย ปรากฏวา่ จำเลยไมไ่ ปทำงาน

พยานติดต่อกับนางสาวพนิดาเพื่อให้ช่วยตรวจสอบที่ทำงานของจำเลย นางสาวพนิดาแจ้งว่า

จำเลยไมไ่ ปทำงาน พยานตดิ ตอ่ ไปทบี่ า้ นของจำเลย ทางบา้ นจำเลยแจง้ วา่ จำเลยไมอ่ ยู่ ไมท่ ราบ

ไปไหน พยานพยายามตดิ ต่อไปเรื่อย ๆ จนคร้งั หนึง่ นายสุกจิ บุญศรีเกษม มาตดิ ต่อกบั พยาน

อ้างว่าเป็นทนายความ นายสุกิจเข้าใจว่าพยานเป็นเหมือนนักเลงมาทวงหนี้ พยานพยายาม

อธบิ ายและหาทนายความไปพบนายสกุ จิ ทส่ี ำนกั งาน นายสกุ จิ รบั วา่ จะชว่ ยไกลเ่ กลย่ี และตดิ ตอ่

กับจำเลยเพอ่ื ชำระหน้ใี ห้ เม่อื ใกล้ครบ ๓ เดือน พยานจงึ ไปแจง้ ความรอ้ งทุกข์ รอ้ ยตำรวจเอก

วีรปรัชญ์พยายามสืบหาตัวจำเลย ภายหลังจึงทราบว่าจำเลยอยู่ท่ีจังหวัดราชบุรี พยานทราบ

จากนางสาวกนษิ ฐา ก๋องแกน่ ซึ่งเปน็ พนักงานขายโทรศัพทเ์ คล่อื นท่อี ยู่ทศ่ี นู ย์การคา้ เซน็ ทรัล-

ปนิ่ เกลา้ วา่ ไดข้ ายโทรศพั ทเ์ คลอื่ นท่ี ยห่ี อ้ โนเกยี รนุ่ ๓๓๑๐ ใหแ้ กจ่ ำเลย เครอื่ งละ ๓,๖๐๐ บาท

และบตั รเตมิ เงนิ ใบละ ๒๘๒ บาท โดยโจทกม์ นี างสาวพนดิ ามาเบกิ ความสนบั สนนุ วา่ กอ่ นเกดิ

เหตุพยานเป็นผู้แจ้งแก่ผู้เสียหายว่าจำเลยขายโทรศัพท์เคล่ือนท่ีราคาถูกกว่าท้องตลาด และ

ชักชวนให้ผู้เสียหายซ้ือไปขายทำกำไร กับเป็นผู้แจ้งแก่ผู้เสียหายว่าจำเลยไม่มาทำงานและ

หลบหนีไปหลังเกิดเหตุ และโจทก์มีนายมนัสมาเบิกความสนับสนุนว่า พยานมีอาชีพขับ

รถจักรยานยนต์รับจ้าง พยานรู้จักจำเลยมาประมาณ ๒ ปี จำเลยเคยว่าจ้างให้พยานส่ง

โทรศัพทเ์ คล่อื นที่ ประมาณต้นปี ๒๕๔๖ พยานไปส่งโทรศพั ทเ์ คล่อื นที่ ยี่ห้อโนเกยี รนุ่ ๓๓๑๐

ส่วนท่ี ๒ ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาและคำสั่งในรปู คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
353
คดอี าญา


ใหแ้ กผ่ เู้ สยี หายประมาณ ๒ ครงั้ ทหี่ ลงั สนามมา้ นางเลงิ้ ๑๐๐ กวา่ เครอื่ ง จำตวั เลขแนน่ อนไมไ่ ด

โดยพยานไปรับโทรศัพท์เคล่ือนท่ีดังกล่าวจากนางสาวกนิษฐาซึ่งอยู่ท่ีปิ่นเกล้า กับโจทก์มี

นางสาวกนิษฐาเบิกความสนับสนุนว่า พยานเปิดร้านขายโทรศัพท์เคล่ือนที่อยู่ที่ศูนย์การค้า

เซ็นทรัลป่ินเกล้า พยานรู้จักจำเลยประมาณเดือนกันยายน ๒๕๔๕ เพราะจำเลยมาซื้อ

โทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทที่ ร่ี า้ น ครง้ั แรกจำเลยซอื้ โทรศพั ทเ์ คลอื่ นที่ ยห่ี อ้ โนเกยี รนุ่ ๓๓๑๐ พยานขาย

โทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทรี่ นุ่ ดงั กลา่ วใหจ้ ำเลยในราคาตำ่ สดุ และลา่ สดุ เครอื่ งละ ๓,๖๕๐ บาท เมอ่ื จำเลย

สงั่ ซอ้ื พยานจะไปซอื้ ทศี่ นู ยก์ ารคา้ มาบญุ ครองหรอื ตวั แทนจำหนา่ ยอน่ื มาใหจ้ ำเลย การรบั ของ

ครง้ั แรก ๆ นายมนัส คนส่งของของจำเลย จะไปด้วย พยานจะบอกรา้ นทขี่ ายว่าให้ส่งของให

นายมนสั แลว้ พยานจะโทรศพั ทไ์ ปสอบถามวา่ นายมนสั ไดร้ บั ของแลว้ หรอื ไม่ นอกจากน้ี โจทก

ยังมีนายวิทวัส เพ็ญไพรัตน์กุล และนางสาววาสนา แสงธีระพาณิชย์ ซึ่งจำหน่ายโทรศัพท์

เคล่ือนท่ีอยู่ที่ศูนย์การค้ามาบุญครอง เบิกความสนับสนุนว่า เม่ือวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๖

พยานทง้ั สองซ้ือโทรศัพทเ์ คลือ่ นท่ี ย่หี ้อโนเกยี รนุ่ ๓๓๑๐ จากผ้เู สียหาย รวม ๑๒๖ เครื่อง ใน

ราคาเครอ่ื งละ ๓,๕๕๐ บาท ซงึ่ ราคาตลาดของโทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทร่ี นุ่ นจ้ี ำหนา่ ยใหแ้ กล่ กู คา้ ทวั่ ไป

ในราคา ๔,๕๐๐ บาท พยานทง้ั สองตรวจสอบดแู ลว้ คอ่ นขา้ งมน่ั ใจวา่ เปน็ ของแท้ เหน็ วา่ พยาน

โจทกท์ ง้ั หกปากเบกิ ความตามทแี่ ตล่ ะคนรเู้ หน็ ไดอ้ ยา่ งสอดคลอ้ งตอ้ งกนั นบั ตง้ั แตน่ างสาวพนดิ า

ทราบข่าวท่ีจำเลยสามารถจำหน่ายโทรศัพท์เคล่ือนท่ีได้ในราคาถูกกว่าท้องตลาด แล้วแจ้งแก่

ผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายสนใจและเช่ือใจติดต่อกับจำเลย จำเลยก็ไปซ้ือโทรศัพท์เคล่ือนที่จาก

นางสาวกนษิ ฐามาในราคาแพงและขายใหแ้ กผ่ เู้ สยี หายในราคาถกู แลว้ ใหน้ ายมนสั นำไปสง่ มอบ

ให้แก่ผู้เสียหาย หลังจากได้รับแล้วผู้เสียหายนำโทรศัพท์เคล่ือนที่ไปขายให้แก่นายวิทวัสและ

นางสาววาสนา เมอื่ ผเู้ สยี หายขายโทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทไ่ี ดก้ ำไรแลว้ จำเลยจงึ พดู ชกั จงู ใหผ้ เู้ สยี หาย

ซอ้ื โทรศัพทเ์ คลอื่ นทีก่ ับบตั รเตมิ เงนิ จนผเู้ สยี หายหลงเชอื่ และโอนเงินไปใหจ้ ำเลย ๕ ครงั้ รวม

เปน็ เงนิ ๖,๗๑๐,๐๐๐ บาท แตผ่ เู้ สยี หายไมไ่ ดร้ บั ของ จนกระทง่ั จำเลยไมไ่ ปทำงานและหลบหน


354 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉยั คดี


ไป โดยคำเบกิ ความของพยานโจทกท์ ง้ั หกดงั กลา่ วไมป่ รากฏขอ้ แตกตา่ งในสาระสำคญั ไมว่ า่ จะ

เปน็ การเบกิ ความตอบคำถามโจทก์ ตอบทนายจำเลยถามคา้ น หรอื ตอบโจทกถ์ ามตงิ แมพ้ ยาน

โจทกบ์ างปาก คอื นายมนสั และนางสาวกนษิ ฐา จะเบกิ ความสบั สนไปบา้ งเกย่ี วกบั การสง่ มอบ

โทรศัพท์เคล่ือนที่และการส่ังซ้ือโทรศัพท์เคลื่อนท่ีกับบัตรเติมเงิน แต่ความสับสนน้ันก็เกิดจาก

การถามค้านของทนายจำเลยซึ่งสามารถใช้คำถามนำได้ ไม่มีผลทำให้คำเบิกความของพยาน

โจทกท์ งั้ สองและพยานหลักฐานโจทกอ์ น่ื ๆ มีน้ำหนกั นอ้ ยลงไป โดยเฉพาะพยานโจทก์ท้ังหก

ตา่ งไมเ่ คยมสี าเหตโุ กรธเคอื งกบั จำเลยมากอ่ น ทง้ั พยานโจทกบ์ างปากยงั มผี ลประโยชนร์ ว่ มกบั

จำเลย ขอ้ ระแวงวา่ จะเบกิ ความปรักปรำจำเลยย่อมไมม่ ี คำเบิกความของพยานโจทก์ท้ังหกจึง

น่าเช่ือถือ ท่ีจำเลยนำสืบว่าไมเ่ คยร้จู ักผู้เสยี หาย จำเลยติดต่อขายโทรศัพทเ์ คลื่อนท่ใี ห้แก่ห้าง

หุ้นส่วนจำกัด เลอลักษณ์ ซึ่งมีนายมนต์ชยั เลศิ ลกั ษณศ์ ริ ิกลุ และนายเลอชัย เลศิ ลักษณศ์ ริ กิ ุล

เป็นกรรมการ จำเลยติดต่อกับห้างดังกล่าวมาประมาณ ๑ ปี มีการส่งของให้เป็นหมื่นเคร่ือง

จำเลยเพง่ิ ทราบวา่ ผเู้ สยี หายเปน็ บตุ รของนายเลอชยั หลกั ฐานทว่ี า่ ตดิ ตอ่ ขายใหแ้ กห่ า้ งดงั กลา่ ว

คอื ใบนำฝากเงนิ จำนวน ๒,๓๐๐,๐๐๐ บาท ตามเอกสารหมาย จ.๗ เหตทุ ผี่ เู้ สยี หายแจง้ ความ

ดำเนนิ คดแี กจ่ ำเลย เพราะหา้ งหนุ้ สว่ นจำกดั เลอลกั ษณส์ ง่ั ซอ้ื โทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทจ่ี ากจำเลย ๕๐๐

เครอ่ื ง โอนเงนิ ลว่ งหนา้ กอ่ น ๕๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยไมส่ ง่ มอบให้ เพราะเจา้ พนกั งานตำรวจยดึ

โทรศัพท์เคลื่อนที่ไว้ จำเลยถูกผู้เสียหายและร้อยตำรวจเอก วีรปรัชญ์ข่มขู่ จำเลยจึงหลบหนี

นน้ั เปน็ เรอ่ื งเลอื่ นลอย ปราศจากพยานหลกั ฐานสนบั สนนุ ใบนำฝากเงนิ ตามเอกสารหมาย จ.๗

ท่จี ำเลยอา้ งว่าเป็นหลกั ฐานการตดิ ต่อซื้อขายกบั ห้างห้นุ ส่วนจำกดั เลอลกั ษณ์ ก็ไมป่ รากฏแต

อย่างใดว่าผู้มีอำนาจของห้างดังกล่าวเป็นผู้โอนเงินให้แก่จำเลย โดยเฉพาะท่ีจำเลยเบิกความ

ตอ่ มาวา่ หลักฐานการโอนเงินตามเอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๗ วางอยู่บนโต๊ะทำงานของจำเลย

ผเู้ สยี หายและรอ้ ยตำรวจเอก วรี ปรชั ญไ์ ปยงั ทท่ี ำงานและเปน็ คนนำไป กข็ ดั ตอ่ เหตผุ ลและความ

เปน็ จรงิ เพราะหลกั ฐานการโอนเงนิ ทงั้ หมดดงั กลา่ วเปน็ หลกั ฐานสำคญั ทแี่ สดงวา่ ผนู้ ำฝากหรอื

ส่วนที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำสง่ั ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 355
คดอี าญา


ผโู้ อนไดน้ ำฝากหรอื โอนเงนิ เขา้ บญั ชเี งนิ ฝากของจำเลยจรงิ หลกั ฐานทง้ั หมดดงั กลา่ วจะไปอยใู่ น

ความครอบครองของจำเลยไดอ้ ยา่ งไรและเพอื่ ประโยชนอ์ นั ใด นอกจากคำเบกิ ความทเ่ี ลอื่ นลอย

ปราศจากเหตุผล ขัดต่อเหตุผลและความเป็นจริงแล้ว จำเลยยังไม่เบิกความถึงท่ีมาของ

โทรศพั ทเ์ คลอื่ นทแี่ ละบตั รเตมิ เงนิ ทน่ี ำมาหรอื อา้ งวา่ จะนำมาจำหนา่ ย ไมแ่ สดงหลกั ฐานการซอื้

ขาย ไม่แสดงหลักฐานการรับเงินจากผู้ท่ีจำเลยอ้างว่าจำหน่ายให้ พยานหลักฐานจำเลยจึงมี

น้ำหนักน้อย ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยซ้ือ

โทรศพั ทเ์ คลอื่ นทจ่ี ากนางสาวกนษิ ฐา จำนวน ๑๒๖ เครอื่ ง ในราคาเครอ่ื งละ ๓,๖๕๐ บาท แลว้

นำมาขายใหแ้ กผ่ เู้ สยี หายในราคา ๒,๗๕๐ บาท ตอ่ มาระหวา่ งวนั เวลาเกดิ เหตจุ ำเลยเสนอขาย

โทรศพั ทเ์ คลอื่ นทแ่ี ละบตั รเตมิ เงนิ ในราคาถกู กวา่ ทอ้ งตลาดใหแ้ กผ่ เู้ สยี หาย และผเู้ สยี หายสงั่ ซอื้

โทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทจ่ี ากจำเลย จำนวน ๕๐๐ เครอื่ ง ๗๐๐ เครอ่ื ง และ ๑,๐๐๐ เครอ่ื ง รวมทงั้ สงั่ ซอื้

บัตรเติมเงิน จำนวน ๒,๐๐๐ ใบ และ ๔,๐๐๐ ใบ แล้วผู้เสียหายจ่ายเงินให้จำเลย จำนวน

๑,๓๐๐,๐๐๐ บาท จำนวน ๔๘๐,๐๐๐ บาท จำนวน ๑,๗๕๐,๐๐๐ บาท จำนวน ๒,๓๐๐,๐๐๐

บาท และจำนวน ๘๘๐,๐๐๐ บาท ตามลำดบั แตจ่ ำเลยไมส่ ง่ มอบโทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทแี่ ละบตั รเตมิ

เงนิ ใหโ้ จทก์ สว่ นพฤตกิ ารณข์ องจำเลยดงั ทกี่ ลา่ วมาจะเปน็ การฉอ้ โกงผเู้ สยี หายหรอื ไมน่ น้ั เหน็

วา่ การท่ีจำเลยซื้อโทรศพั ทเ์ คลื่อนท่มี าในราคาถงึ ๓,๖๕๐ บาท แล้วขายใหผ้ ู้เสยี หายในราคา

เพยี ง ๒,๗๕๐ บาท โดยยอมขาดทนุ ถึงเคร่ืองละ ๙๐๐ บาท จำนวนถงึ ๑๒๖ เคร่ือง เปน็ เงนิ ท
ี่
ขาดทนุ ถงึ ๑๑๓,๔๐๐ บาท เปน็ เรอื่ งผดิ ปกตวิ สิ ยั ทผ่ี ปู้ ระกอบธรุ กจิ หรอื สจุ รติ ชนทว่ั ไปจะกระทำ

กนั พฤตกิ ารณข์ องจำเลยจงึ เปน็ การหลอกลวงผเู้ สยี หายโดยแสดงขอ้ ความอนั เปน็ เทจ็ เพอ่ื แสดง

ใหผ้ เู้ สยี หายเหน็ จรงิ และหลงเชอ่ื โดยสนทิ ใจวา่ จำเลยสามารถซอ้ื และจดั หาโทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทม่ี า

ขายให้แก่ผู้เสียหายในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดและผู้เสียหายสามารถนำไปขายทำกำไรต่อได้

เมื่อผู้เสียหายยอมส่ังซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่และบัตรเติมเงินตามที่จำเลยหลอกลวง แล้วส่งมอบ

เงนิ ใหแ้ กจ่ ำเลยทง้ั ๕ ครง้ั เปน็ เงนิ ถงึ ๖,๗๑๐,๐๐๐ บาท โดยปรากฏชดั แจง้ วา่ จำเลยไมม่ เี จตนา

356 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉยั คด


จะจดั หาโทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทแ่ี ละบตั รเตมิ เงนิ ให้ การกระทำของจำเลยจงึ เปน็ ความผดิ ตามฟอ้ ง ท
ี่
ศาลชน้ั ต้นพพิ ากษายกฟอ้ งไม่ต้องด้วยความเหน็ ของศาลอุทธรณ์ อุทธรณ์ของโจทกฟ์ งั ขน้ึ

พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑

การกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน จึงให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทง

ความผดิ ไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ จำคกุ กระทงละ ๑ ปี รวม ๕ กระทง เปน็

จำคุก ๕ ปี ให้จำเลยคนื หรอื ชดใช้เงนิ ๖,๗๑๐,๐๐๐ บาท แก่ผเู้ สยี หาย.

ส่วนที่ ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำส่งั ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 357
คดีอาญา


ตวั อยา่ งคดีชงิ ทรัพย์ พยายาม






คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๕๓๔๔/๒๕๔๕


พเิ คราะห์แล้ว ข้อเท็จจรงิ รบั ฟังไดว้ ่า ตามวนั เวลาเกดิ เหตุดังฟอ้ ง ผ้เู สยี หายพบ

จำเลยท่ี ๒ กบั พวกทบี่ รเิ วณหอ้ งนำ้ สาธารณะ ตอ่ มาผเู้ สยี หายแจง้ แกน่ ายดาบตำรวจ ๑ อำนาจ

ไกรทองสุข กับพวกว่าถูกพวกของจำเลยท่ี ๒ กระชากสร้อยคอทองคำพร้อมพระเล่ียมทองท่

บรเิ วณหอ้ งนำ้ สาธารณะดงั กลา่ ว เจา้ พนกั งานตำรวจตดิ ตามจบั กมุ จำเลยที่ ๒ กบั พวกไดใ้ นคนื

วนั เดยี วกนั นนั้ โดยผเู้ สยี หายเป็นผชู้ ี้ให้จับ มีปัญหาตอ้ งวนิ ิจฉยั ตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ วา่

จำเลยท่ี ๒ กระทำความผดิ ฐานพยายามชงิ ทรพั ยห์ รอื ไม่ โจทกม์ ผี เู้ สยี หายเบกิ ความเปน็ พยาน

ได้ความว่า เหตุที่เกิดในตอนแรกขณะนายขันธ์พงษ์ เทียบเมือง มาพบผู้เสียหายและบอก

แก่ผู้เสียหายว่าเพื่อนของผู้เสียหายให้ไปพบท่ีหน้าห้องน้ำสาธารณะ เมื่อผู้เสียหายกับนาย

ขันธ์พงษ์ไปถึงบริเวณห้องน้ำสาธารณะ นายขันธ์พงษ์ขอดูนาฬิกาข้อมือของผู้เสียหาย ผู้

เสียหายจึงถอดนาฬิกาข้อมือให้ดู แล้วนายขันธ์พงษ์ยึดนาฬิกาข้อมือของผู้เสียหายไว้ จำเลย

ที่ ๒ ไมไ่ ดอ้ ยใู่ นทเี่ กดิ เหตแุ ละไมไ่ ดม้ สี ว่ นเกยี่ วขอ้ งดว้ ยแตป่ ระการใด สว่ นเหตทุ เี่ กดิ ในตอนหลงั

ไดค้ วามจากคำเบกิ ความของผเู้ สยี หายวา่ หลงั จากผเู้ สยี หายถอดนาฬกิ าขอ้ มอื ใหน้ ายขนั ธพ์ งษ

ไปแลว้ ระหวา่ งนนั้ ผเู้ สยี หายยนื อยกู่ บั นายขนั ธพ์ งษ์ มจี ำเลยท่ี ๑ และที่ ๒ เดนิ เขา้ มาหา ตอ่ มา

ระหวา่ งนน้ั ผเู้ สยี หายคยุ อยกู่ บั จำเลยท่ี ๑ ทบี่ รเิ วณกำแพงนอกหอ้ งนำ้ จำเลยที่ ๒ เดนิ เขา้ ไปใน

หอ้ งนำ้ และเรยี กนายขนั ธพ์ งษเ์ ขา้ ไปดว้ ย ผเู้ สยี หายคยุ กบั จำเลยท่ี ๑ ประมาณ ๒ นาที แลว้ เดนิ

ไปหานายขนั ธพ์ งษแ์ ละพดู ขอนาฬกิ าขอ้ มอื คนื นายขนั ธพ์ งษล์ อ็ กคอผเู้ สยี หายไปทขี่ า้ งกำแพง

และพูดขู่ว่ารู้ไหมกูเป็นใครพร้อมกับพูดขอสร้อยคอทองคำที่คอของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหาย


๑ เช่นเดียวกันกับเชิงอรรถท่ี ๑ ใน ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๕๗/๒๕๔๗ ของตัวอย่างคดีความผิด

เก่ยี วกับเอกสาร.

358 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คด


ปฏิเสธพร้อมกับเอามือกำสร้อยคอทองคำที่คอไว้ นายขันธ์พงษ์ก็กำสร้อยคอทองคำของ

ผเู้ สยี หาย ระหวา่ งนนั้ จำเลยที่ ๒ เขา้ มาใชน้ ว้ิ มอื จที้ บ่ี รเิ วณหลงั ผเู้ สยี หาย แลว้ ผเู้ สยี หายถกู นาย

ขนั ธพ์ งษต์ อ่ ยทบี่ รเิ วณลนิ้ ปแ่ี ละกดั ทมี่ อื เพอ่ื แยง่ เอาสรอ้ ยคอทองคำ แตผ่ เู้ สยี หายไมย่ อมปลอ่ ย

สรอ้ ยคอทองคำทก่ี ำไว้ พอผเู้ สยี หายสะบดั หลดุ ไดก้ ำสรอ้ ยคอทองคำทขี่ าดวงิ่ หนไี ปแจง้ เหตใุ ห

นายดาบตำรวจ อำนาจทราบทนั ที ซงึ่ นายดาบตำรวจ อำนาจ ผรู้ ว่ มจบั กมุ จำเลยท่ี ๒ เบกิ ความ

เป็นพยานยนื ยันวา่ เมอื่ ได้รบั แจง้ เหตจุ ากผูเ้ สยี หายแล้ว ได้ให้ผเู้ สียหายพาไปยังที่เกดิ เหตุ แต่

ไม่พบจำเลยที่ ๒ กับพวก จึงเดินตามหาในบริเวณใกล้เคียง พบและจับกุมนายขันธ์พงษ์กับ

จำเลยที่ ๑ พวกของจำเลยท่ี ๒ ไว้ได้โดยผู้เสียหายเป็นผู้ชี้ให้จับ หลังจากนั้นติดตามจำเลย

ท่ี ๒ ไปท่ีซอยวัดวชิรธรรมสาธิต และจับกุมจำเลยท่ี ๒ ได้ในคืนวันเดียวกันโดยมีผู้เสียหาย

ช้ีตัวยืนยันให้จับกุมเช่นกัน ชั้นจับกุมแจ้งข้อหาแก่จำเลยที่ ๒ กับพวกว่าร่วมกันปล้นทรัพย ์

จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพตามบันทกึ การจับกุม เอกสารหมาย จ.๑๑ นอกจากนี้ โจทก์ยัง

มีพันตำรวจตรี พรชัย ขจรกลิ่น พนักงานสอบสวน เบิกความเป็นพยานอีกว่า ในวันเกิดเหตุ

เม่อื นายดาบตำรวจ อำนาจจับกมุ จำเลยที่ ๒ กบั พวกมามอบให้ดำเนินคดใี นขอ้ หาปลน้ ทรัพย

แลว้ พนั ตำรวจตรี พรชยั ไดส้ อบสวนและทำบนั ทกึ คำใหก้ ารของผเู้ สยี หายไว้ แลว้ ออกไปตรวจ

สถานท่ีเกิดเหตุและจัดทำแผนที่แสดงสถานท่ีเกิดเหตุไว้ทันทีตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิด

เหตุคดีอาญา และแผนท่ีสังเขปแสดงสถานท่ีเกิดเหตุ เอกสารหมาย จ.๑๔ และ จ.๔ ในวัน

เดยี วกนั นนั้ เมอื่ แจง้ ขอ้ หาแกจ่ ำเลยท่ี ๒ จำเลยท่ี ๒ ใหก้ ารรบั สารภาพและพาไปชจี้ ดุ ทผี่ เู้ สยี หาย

ยนื อยทู่ หี่ นา้ รา้ นเบบบ้ี ลงิ ก์ จดุ ทผ่ี เู้ สยี หายเดนิ ผา่ น จดุ ทใี่ ชก้ ำลงั ประทษุ รา้ ยผเู้ สยี หาย เสน้ ทางท
ี่
ใช้หลบหนี และเส้นทางท่ีผู้เสียหายว่ิงหนี จึงได้จัดทำบันทึกการนำช้ีที่เกิดเหตุประกอบคำรับ

สารภาพและถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐานตามเอกสารหมาย จ.๑๕ และภาพถ่าย หมาย จ.๕ ถึง

จ.๑๐ เห็นว่า นายดาบตำรวจ อำนาจและพันตำรวจตรี พรชัยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจกับ

ผู้เสียหายต่างไมเ่ คยรูจ้ ักหรือมสี าเหตโุ กรธเคอื งกับจำเลยท่ี ๒ มาก่อน ยอ่ มไมม่ เี หตผุ ลอนั ใดที


สว่ นท่ี ๒ ตวั อย่างคำพิพากษาและคำสง่ั ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
359
คดอี าญา


จะตอ้ งกล่ันแกล้งใหร้ ้ายและปรกั ปรำจำเลยที่ ๒ ทง้ั เม่อื เกิดเหตุขึ้นแล้วผ้เู สียหายกเ็ ขา้ แจ้งเหต

ตอ่ นายดาบตำรวจ อำนาจในทนั ทที ว่ี ง่ิ หลบหนมี าได้ และพานายดาบตำรวจ อำนาจเดนิ ตามหา

และจับกุมพวกของจำเลยท่ี ๒ ได้ท่ีบริเวณใกล้เคียงท่ีเกิดเหตุ เม่ือนายดาบตำรวจ อำนาจ

สอบถามพวกของจำเลยที่ ๒ ทราบว่าจำเลยที่ ๒ ร่วมก่อเหตุดว้ ย และจำเลยที่ ๒ มบี า้ นอยู่ท
่ี
ซอยวชริ ธรรมสาธติ จงึ ตดิ ตามไปจบั กมุ จำเลยที่ ๒ ไดใ้ นคนื วนั เดยี วกนั ซง่ึ ในชนั้ จบั กมุ และชนั้

สอบสวนจำเลยที่ ๒ กใ็ หก้ ารรบั สารภาพและพาพนกั งานสอบสวนไปนำชท้ี เ่ี กดิ เหตปุ ระกอบคำ

รบั สารภาพและถา่ ยภาพไวเ้ ปน็ หลกั ฐานในวนั เดยี วกนั ประกอบกบั จำเลยที่ ๒ เบกิ ความรบั วา่

พนกั งานสอบสวนพาจำเลยที่ ๒ ไปนำชที้ เี่ กดิ เหตแุ ละใหถ้ า่ ยภาพประกอบการนำชที้ เ่ี กดิ เหตไุ ว

ตามหมาย จ.๕ ถงึ จ.๑๐ โดยไมป่ รากฏว่ามกี ารขเู่ ขญ็ หรือใชก้ ำลังประทษุ ร้ายจำเลยท่ี ๒ แต

ประการใด ซ่ึงภาพถา่ ยการนำช้ที ีเ่ กิดเหตแุ ต่ละภาพมขี ้อความอธบิ ายการนำช้ีทเ่ี กิดเหตุแตล่ ะ

จุดไวโ้ ดยมีจำเลยที่ ๒ ลงลายมือช่อื รับรองความถกู ต้อง นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ ยงั เบกิ ความ

ตอบโจทก์ถามค้านรับว่าจำเลยที่ ๒ ได้ลงลายมือชื่อไว้ในเอกสารหมาย จ.๑๘ อันเป็นบันทึก

คำใหก้ ารของผตู้ อ้ งหาทจ่ี ำเลยท่ี ๒ ใหก้ ารไวใ้ นชนั้ สอบสวนจรงิ ซง่ึ ขอ้ ความในบนั ทกึ ดงั กลา่ วม

ขอ้ เทจ็ จรงิ เกย่ี วกบั พฤตกิ ารณท์ จี่ ำเลยที่ ๒ กระทำสอดคลอ้ งกบั ทผ่ี เู้ สยี หายไดเ้ บกิ ความมาและ

สอดคลอ้ งกบั การนำชท้ี เ่ี กดิ เหตขุ องจำเลยท่ี ๒ นา่ เชอ่ื วา่ ในระหวา่ งทผ่ี เู้ สยี หายถกู นายขนั ธพ์ งษ ์

พวกของจำเลยท่ี ๒ ทำร้ายร่างกายและขู่บังคับเอาสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองที่คอ

ผู้เสียหาย แล้วเกิดย้ือแย่งสร้อยคอทองคำกันนั้น จำเลยท่ี ๒ เข้าช่วยเหลือนายขันธ์พงษ์โดย

ใช้น้ิวมือจี้ที่บริเวณหลังผู้เสียหายเพ่ือให้ผู้เสียหายเข้าใจว่าเป็นอาวุธ อันเป็นการร่วมกับนาย

ขนั ธพ์ งษใ์ ชก้ ำลงั ประทษุ รา้ ยผเู้ สยี หายทกี่ ระทำตอ่ เนอ่ื งกบั การลกั ทรพั ยเ์ พอ่ื ใหเ้ กดิ ความสะดวก

แก่การที่นายขันธ์พงษ์และจำเลยท่ี ๒ จะพาเอาทรัพย์น้ันไป แต่ผู้เสียหายสะบัดหลุดและว่ิง

หลบหนีไปได้ การกระทำจึงไมบ่ รรลุผล จำเลยที่ ๒ จงึ ยอ่ มมีความผิดฐานพยายามชิงทรพั ย์ ที่

จำเลยท่ี ๒ อา้ งวา่ ถกู เจา้ พนกั งานตำรวจใชผ้ า้ คลมุ ศรี ษะและตบศรี ษะ จำเลยที่ ๒ จงึ ยนิ ยอมลง

360 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉัยคด


ลายมอื ชอื่ ในเอกสารทมี่ กี ารพมิ พข์ อ้ ความไวก้ ด็ ี ขอ้ ความทอ่ี ธบิ ายไวใ้ ตภ้ าพถา่ ยการนำชท้ี เี่ กดิ

เหตมุ ขี อ้ ความไมถ่ กู ตอ้ งกด็ ี ไมม่ เี หตผุ ลเพยี งพอทจี่ ะรบั ฟงั ได้ เนอื่ งจากจำเลยท่ี ๑ ซง่ึ ถกู จบั กมุ

พร้อมจำเลยที่ ๒ และนายขนั ธพ์ งษใ์ นเรอื่ งเดียวกัน เม่ือจำเลยท่ี ๑ ใหก้ ารปฏเิ สธในชั้นจับกุม

และชั้นสอบสวน นายดาบตำรวจ อำนาจกับพันตำรวจตรี พรชัยก็บันทึกคำให้การนั้นไว้ดังที

จำเลยท่ี ๑ ใหก้ ารตามบันทกึ การจับกุม และบันทกึ คำใหก้ ารของผู้ต้องหา เอกสารหมาย จ.๑๑

และ จ.๑๖ ซงึ่ ถา้ หากมกี ารทำรา้ ยและบงั คบั ใหล้ งลายมอื ชอื่ ในกระดาษทมี่ กี ารพมิ พข์ อ้ ความไว

แลว้ จรงิ คำใหก้ ารในชนั้ จบั กมุ และชน้ั สอบสวนของจำเลยที่ ๑ กน็ า่ จะมขี อ้ ความรบั สารภาพดว้ ย

สว่ นขอ้ ความทอี่ ธบิ ายไวใ้ ตภ้ าพถา่ ยการนำชท้ี เ่ี กดิ เหตทุ จี่ ำเลยท่ี ๒ เปน็ ผนู้ ำชจี้ ดุ ทเี่ กดิ เหตแุ ต

ละจุดซึ่งจำเลยท่ี ๒ อ้างว่าเป็นข้อความท่ีไม่ถูกต้องน้ัน เป็นคำกล่าวอ้างลอย ๆ ซึ่งในช้ัน

สบื พยานจำเลยท่ี ๒ กไ็ ม่ได้ใหเ้ หตุผลในการโต้แยง้ ไว้ จึงไม่อาจรับฟังได้ ขอ้ เท็จจรงิ เชอื่ ไดว้ า่

จำเลยที่ ๒ ให้การในชนั้ จบั กมุ ในช้นั สอบสวน และนำช้ที ่ีเกิดเหตปุ ระกอบคำรับสารภาพด้วย

ความสมคั รใจ และขอ้ ความในเอกสารนน้ั ถกู ตอ้ ง จงึ ยอ่ มรบั ฟงั เอกสารดงั กลา่ วประกอบคำเบกิ

ความของผูเ้ สียหายลงโทษจำเลยท่ี ๒ ได้ อทุ ธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ฟังไมข่ นึ้

พพิ ากษายืน.

สว่ นท่ี ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำสั่งในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
361
คดอี าญา


ตวั อย่างคดีทำใหเ้ สยี ทรัพย์






คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๕๓๔๐/๒๕๔๕


พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมว่า พยาน

หลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า

ข้อเท็จจริงในคดฟี ังไดว้ า่ โจทก์ร่วมซอ้ื รถยนตค์ นั เกิดเหตมุ าต้งั แตว่ ันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๔๐ แลว้

จอดเก็บไว้ในโกดังเก็บสินค้าของโจทก์ร่วมที่เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร โดยมิได้นำไป

แล่นขนส่งใช้งาน และได้ให้จำเลยซ่ึงเป็นพนักงานขับรถไปสตาร์ตอุ่นเคร่ืองรถยนต์ประมาณ

เดอื นละ ๑ ครง้ั นบั ถงึ ชว่ งเกดิ เหตเุ มอ่ื ปี ๒๕๔๒ เปน็ เวลา ๑ ปเี ศษ แลว้ แตต่ ง้ั แตป่ ี ๒๕๔๒ ม

นายสมนึก มีนศิริ พนักงานขับรถของโจทก์ร่วมอีกคนหน่ึง ไปสตาร์ตอุ่นเคร่ืองรถยนต์คัน

ดังกล่าวแทนจำเลยบ้าง แต่นายสมนึกกระทำแทนเดือนใดบ้างนั้น พยานโจทก์บางปากเบิก

ความวา่ นายสมนกึ กระทำแทนเฉพาะเดอื นมกราคมและเดอื นกมุ ภาพันธ์ สว่ นนายสุชิน วดั โต

พยานโจทก์ เบกิ ความวา่ พยานเหน็ นายสมนกึ เปน็ ผสู้ ตารต์ อนุ่ เครอ่ื งรถยนตต์ ง้ั แตช่ ว่ งตน้ เดอื น

มกราคม ๒๕๔๒ จนถงึ วนั ที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๒ และนางสาวชศู รี ยเี่ จรญิ หวั หนา้ งานโกดงั ซง่ึ

จะเป็นผู้มอบกุญแจรถของรถยนต์คันเกิดเหตุให้เม่ือจำเลยสตาร์ตอุ่นเคร่ืองรถยนต์และ

ควบคมุ ดแู ลการทำงานของจำเลย เบกิ ความเกยี่ วกบั วนั ทจี่ ำเลยมาสตารต์ อนุ่ เครอื่ งรถยนตค์ รงั้

สดุ ท้าย โดยตอนแรกเบิกความวา่ เมือ่ วนั ท่ี ๓๐ มนี าคม ๒๕๔๒ ตอนหลังเบิกความวา่ เมอ่ื วนั ท ่ี

๓๑ มีนาคม ๒๕๔๒ จึงรับฟังเอาแน่นอนไมไ่ ดว้ ่าเปน็ วันใด อีกทง้ั จำเลยยงั นำสืบโต้แยง้ อยู่ว่า

ตั้งแตต่ น้ ปี ๒๕๔๒ จำเลยไม่ไดเ้ ปน็ ผู้สตาร์ตอุ่นเครอ่ื งรถยนต์คนั เกดิ เหตแุ ลว้ แต่เป็นพนกั งาน

ขับรถคนอนื่ กระทำแทน ซ่ึงจำเลยไดใ้ ห้การไว้ตอ่ พนกั งานตรวจแรงงานในชั้นสอบสวนตามคำ

ร้องทกุ ขข์ องจำเลยว่าโจทก์ร่วมเลกิ จ้างโดยไม่จา่ ยคา่ ชดเชยในทำนองเดียวกัน ดังนน้ั ท่พี ยาน

โจทก์อา้ งว่าปลายเดือนมีนาคม ๒๕๔๒ จำเลยเปน็ ผ้สู ตาร์ตอุ่นเคร่ืองรถยนตค์ นั เกดิ เหตุ จึงยงั

362 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉยั คด


นา่ สงสัย ยงิ่ กว่านัน้ นายสมนกึ ซึง่ เป็นผสู้ ตาร์ตอ่นุ เคร่ืองรถยนต์คนั ดงั กล่าวตงั้ แต่ตน้ ปี ๒๕๔๒

เบกิ ความเปน็ พยานวา่ ขณะท่พี ยานไปสตาร์ตอ่นุ เคร่อื งรถยนต์ครง้ั แรกและครง้ั ท่สี องเมอื่ วันที่

๑๕ มกราคม ๒๕๔๒ และเมอ่ื วนั ที่ ๒๔ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๒ ตามลำดบั เครอ่ื งยนตม์ สี ภาพปกต

ครง้ั ทสี่ ามเมื่อวนั ที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๒ สตารต์ เครอ่ื งยนตไ์ ม่ตดิ สาเหตเุ พราะแบตเตอรห่ี มด

ไมใ่ ชส่ าเหตเุ กยี่ วกบั เครอ่ื งยนต์ อกี ๑ เดอื น ตอ่ มา ในวนั ที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๒ นายสมนกึ

จงึ ไดร้ บั มอบหมายใหไ้ ปถอดแบตเตอรจ่ี ากรถยนตค์ นั ดงั กลา่ ว ในวนั นน้ั นายสมนกึ กไ็ มไ่ ดส้ งั เกต

ว่ามาตรวัดรอบเคร่ืองยนต์เสียหายหรือไม่ ซ่ึงตรงกับที่นางสาวชูศรีเบิกความตอบคำถามค้าน

ของทนายจำเลยว่า เม่ือวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๒ นายสมนึกบอกพยานว่าแบตเตอร่ีหมด

ไม่ได้บอกว่ามาตรวัดรอบเครื่องยนต์ชำรุด วันท่ีถอดแบตเตอร่ีออกจากรถยนต์ก็ไม่ได้แจ้งให้

ทราบเชน่ เดยี วกนั นายวนิ ยั นพรตั น์ พยานโจทกแ์ ละโจทกร์ ว่ มอกี ปากหนง่ึ ซงึ่ เปน็ หวั หนา้ งาน

คมุ สตอ๊ กโกดงั ของโจทกร์ ว่ ม กเ็ บกิ ความวา่ เมอื่ วนั ที่ ๓๑ มนี าคม ๒๕๔๒ ทจ่ี ำเลยเปน็ ผสู้ ตารต์

อนุ่ เครอื่ งรถยนต์ กส็ ามารถสตารต์ อนุ่ เครอ่ื งยนตไ์ ดต้ ามปกติ ยอ่ มแสดงวา่ ในเวลานนั้ ยงั ไมเ่ กดิ

ปญั หาใด ๆ และหลงั จากทม่ี าตรวดั รอบเครือ่ งยนต์ชำรดุ จนกระท่งั บดั น้ี โจทกร์ ่วมกไ็ มเ่ คยนำ

ชา่ งมาตรวจสอบเพ่ือซอ่ มแซมหรือหาสาเหตุท่ีแท้จริงของความเสยี หายแตอ่ ยา่ งใด นอกจากนี้

ไดค้ วามอกี วา่ รถยนตค์ นั เกดิ เหตเุ ปน็ รถยนตท์ ใี่ ชร้ ะบบไฟฟา้ แตไ่ มไ่ ดน้ ำไปแลน่ ใชง้ านตามปกต ิ

และเมอ่ื แบตเตอรห่ี มด กม็ ไิ ดแ้ กไ้ ขโดยเปลย่ี นแบตเตอรห่ี รอื ชารต์ ไฟในทนั ที จนลว่ งเลยมาเปน็

เวลา ๑ เดอื นเศษ จงึ ดำเนินการ ดังน้ี จะฟังเอาแน่นอนตามข้อสมมติฐานท่ีนายเจน บญุ ธรรม

ผู้จัดการฝ่ายบริการของบริษัทวรจักรยนต์ จำกัด ซ่ึงไม่ได้ปฏิบัติงานซ่อมรถยนต์มาเป็นเวลา

๑๐ ปี แลว้ ตอบข้อหารือของนายประสทิ ธิ์ ดีประเสรฐิ วงศ์ กรรมการผ้มู อี ำนาจของโจทกร์ ว่ ม

ทางโทรศพั ทว์ า่ สาเหตทุ ม่ี าตรวดั รอบเครอื่ งยนตช์ ำรดุ เพราะการสตารต์ อนุ่ เครอื่ งรถยนตอ์ ยา่ ง

แรงขณะรถยนต์จอดอยู่หาได้ไม่ พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมเท่าท่ีนำสืบมายังมีข้อ

สงสัยตามสมควรว่าจำเลยทำให้มาตรวดั รอบเครอ่ื งยนต์ของโจทกร์ ว่ มเสียหายใชก้ ารไมไ่ ดต้ าม

ส่วนท่ี ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำส่ังในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 363
คดีอาญา


ฟ้องหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา

ความอาญา มาตรา ๒๒๗ ศาลชน้ั ตน้ พพิ ากษายกฟอ้ งจำเลยนน้ั ชอบแลว้ ศาลอทุ ธรณเ์ หน็ พอ้ ง

ดว้ ย อทุ ธรณ์ของโจทก์รว่ มฟังไมข่ ึน้

พพิ ากษายืน.

364 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉัยคดี


ตวั อย่างคดบี ุกรุก






ำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๕๗๕๗/๒๕๔๕


พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบ้ืองต้นฟังยุติว่า โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของท่ีดิน

พิพาทตามโฉนดที่ดิน เอกสารหมาย จ.๑ โดยซ้ือมาจากนางนันทนา ฟูตระกูล เมื่อวันที่ ๑๑

กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๓๐ โดยขณะทซ่ี อ้ื มานนั้ จำเลยไดเ้ ชา่ ทด่ี นิ เพอ่ื ทำนาจากเจา้ ของเดมิ อยกู่ อ่ นแลว้

และต่อมาหลังจากท่ีโจทก์ร่วมซ้ือมาแล้ว โจทก์ร่วมยังคงให้จำเลยเช่าทำนาในท่ีดินต่อไป

ตามเดิม โดยมอบให้นายวิวัธน์ สุทธิภู เป็นผู้ดูแลเก็บค่าเช่านาแทน ต่อมาเม่ือวันที่ ๒๘

เมษายน ๒๕๓๔ โจทก์ร่วมมีหนังสือแจ้งขอบอกเลิกการเช่านาไปยังจำเลย ซ่ึงต่อมา

คณะกรรมการการเชา่ ท่ีดนิ เพอ่ื เกษตรกรรมประจำแขวงกระทมุ่ ราย (ค.ช.ก. แขวงกระทมุ่ ราย)

ไดป้ ระชมุ แลว้ มมี ตเิ มอ่ื วนั ท่ี ๑ เมษายน ๒๕๓๖ ใหย้ บั ยง้ั การบอกเลกิ การเชา่ นาไว้ เปน็ เวลา ๒

ปี และใหจ้ ำเลยสง่ ทนี่ าคนื ใหแ้ กผ่ ใู้ หเ้ ชา่ นาเมอ่ื สนิ้ สดุ ฤดกู ารทำนาปี ๒๕๓๗ ตามเอกสารหมาย

จ.๕ แต่เม่อื ครบกำหนดเวลาดังกล่าวแลว้ จำเลยก็ไมส่ ง่ มอบทน่ี าคนื แกโ่ จทกร์ ว่ ม แตย่ ังคงเข้า

ทำนาในทด่ี นิ ของโจทกร์ ว่ มเรอ่ื ยมา จนกระทงั่ ในวนั เกดิ เหตเุ มอื่ วนั ที่ ๒๐ ตลุ าคม ๒๕๔๑ จำเลย

ได้นำรถแทร็กเตอร์เข้าไปทุบบดที่ดินพิพาทเพื่อเตรียมทำนาต่อไปอีก โจทก์ร่วมจึงแจ้งความ

รอ้ งทกุ ขต์ อ่ เจา้ พนกั งานตำรวจสถานตี ำรวจนครบาลสวุ นิ ทวงศเ์ พอ่ื ใหจ้ บั กมุ จำเลยมาดำเนนิ คด

น้ี คดมี ปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ในชน้ั อทุ ธรณว์ า่ จำเลยมเี จตนาทจ่ี ะบกุ รกุ ทด่ี นิ ของโจทกร์ ว่ มจรงิ ตาม

ฟอ้ งหรอื ไม่ เหน็ ว่า เมื่อข้อเทจ็ จริงฟงั ได้ดงั กล่าวมาแลว้ ว่า จำเลยเข้าทำนาในท่ีดนิ พิพาทโดย

เชา่ จากเจ้าของเดมิ อยกู่ ่อนหนา้ ท่โี จทกร์ ่วมจะมาซอื้ ทด่ี นิ พพิ าทในปี ๒๕๓๐ แล้ว และได้ความ

ว่าหลังจากโจทก์ร่วมซื้อที่ดินมาแล้ว ก็ยังคงให้จำเลยเช่าทำนาเร่ือยมาจนถึงปี ๒๕๓๔ โจทก์

รว่ มทำเรอื่ งขอบอกเลกิ การเชา่ นาเสนอตอ่ ค.ช.ก. แขวงกระทมุ่ ราย เพอ่ื พจิ ารณา ตอ่ มา ค.ช.ก.

แขวงกระทุ่มราย มีมติให้ยับย้ังการบอกเลิกการเช่านาไว้มีกำหนด ๒ ปี โดยให้จำเลยส่งมอบ

ส่วนท่ี ๒ ตวั อยา่ งคำพิพากษาและคำสง่ั ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 365
คดอี าญา


ที่นาคืนให้แก่โจทก์ร่วมเมื่อสิ้นสุดฤดูการทำนาปี ๒๕๓๗ ตามเอกสารหมาย จ.๕ แต่เมื่อครบ

กำหนดแล้ว จำเลยก็ยังคงทำนาในท่ีดินพิพาทต่อไปโดยไม่ส่งมอบท่ีนาคืนแก่โจทก์ร่วม ซ่ึง

โจทก์ร่วมได้เบิกความในส่วนน้ีว่า เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยยังคงทำนาในท่ีดินพิพาท

ต่อไปโดยไม่ชำระค่าเช่า จนกระท่ังปี ๒๕๓๙ โจทก์ร่วมมีหนังสือแจ้งเตือนไปยังจำเลย แต่ก็

เพิกเฉย ตอ่ มาเมื่อวนั ท่ี ๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๐ โจทกร์ ่วมจะดำเนนิ คดีแก่จำเลย แต่นายสมจิตร

สรอ้ ยประดษิ ฐ์ ผใู้ หญบ่ า้ น ขอรอ้ งไว้ จงึ มกี ารตกลงกนั วา่ จำเลยจะคนื ทน่ี าใหแ้ กโ่ จทกร์ ว่ มในวนั

ทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.๖ และในวันน้ันโจทก์ร่วมได้ให้นายวิวัธน์เข้าทำนาใน

ที่ดินพิพาทแทนโจทก์ร่วม ซึ่งเป็นฤดูการทำนาประจำปี ๒๕๔๐ แล้วมาเก็บเก่ียวในวันท่ี ๑๖

ตลุ าคม ๒๕๔๑ หลงั จากนน้ั ๓ วนั จำเลยกบ็ กุ รกุ เขา้ มาใชร้ ถแทรก็ เตอรท์ บุ บดดนิ เพอื่ เตรยี มทำนา

ในที่ดินพิพาทอีก โจทก์ร่วมจึงเข้าแจ้งความเพื่อให้จับกุมจำเลยมาดำเนินคดีน้ี ส่วนจำเลยได้

นำสบื โตแ้ ยง้ วา่ ในปี ๒๕๔๐ โจทกร์ ว่ มแจง้ แกจ่ ำเลยเพอ่ื ใหเ้ ลกิ ทำนาเพอ่ื ปรบั ปรงุ ทดี่ นิ แตก่ ลบั

ใหค้ นอนื่ เขา้ ทำนาแทน ดงั นนั้ จำเลยจงึ เขา้ ไปทำนาตอ่ โจทกร์ ว่ มแจง้ ความเพอ่ื ใหจ้ บั กมุ จำเลย

มาดำเนนิ คดนี ้ี และกอ่ นหนา้ นนั้ โจทกร์ ว่ มไดท้ ำหนงั สอื โดยปลอมลายมอื ชอ่ื ของจำเลย อา้ งวา่ ได

ว่าจ้างจำเลยทำนาในท่ีดินพิพาทเพื่อเป็นนิติกรรมอำพรางสิทธิการเช่าที่นาของจำเลยตาม

เอกสารหมาย ล.๒ และยงั ปลอมหนงั สอื ตามเอกสารหมาย ล.๓ รบั รองวา่ จำเลยไดบ้ อกเลกิ การ

เชา่ นาแลว้ ความจรงิ จำเลยเพยี งแตเ่ คยลงลายมอื ชอ่ื ไวใ้ นกระดาษเปลา่ เทา่ นนั้ และยงั ไดป้ ลอม

หนังสือตามเอกสารหมาย ล.๔ ระบุว่าจำเลยคืนท่ีนาให้แก่นางฉวี มารดาของโจทก์ร่วม แล้ว

เพอื่ ใชเ้ ปน็ หลกั ฐานเสนอ ค.ช.ก. แขวงกระทมุ่ ราย และ ค.ช.ก. กรงุ เทพมหานคร เพอื่ พจิ ารณา

ดังน้นั เมือ่ จำเลยถูกจบั กุม จำเลยจึงได้ยนื่ เร่ืองถงึ ค.ช.ก. แขวงกระทมุ่ ราย เพอ่ื ขอให้วินจิ ฉัย

ว่าจำเลยยังคงมีสิทธิเช่านาในที่ดินพิพาทอยู่ต่อไปอีกหรือไม่ ซึ่งปรากฏต่อมาในภายหลังว่า

ค.ช.ก. แขวงกระทมุ่ ราย ไดป้ ระชมุ เรอื่ งนถี้ งึ ๓ ครงั้ แลว้ มมี ตวิ า่ จำเลยยงั คงมสี ทิ ธเิ ชา่ นาในทด่ี นิ

พพิ าทตงั้ แตป่ ี ๒๕๓๙ จนถงึ ปี ๒๕๔๔ ตามรายงานการประชมุ เอกสารหมาย ล.๖ ถงึ ล.๘ และ

366 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คดี


โจทก์ร่วมก็ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อ ค.ช.ก. กรุงเทพมหานคร แล้ว ต่อมา ค.ช.ก.

กรงุ เทพมหานคร พจิ ารณาแลว้ มคี ำวนิ จิ ฉยั ใหย้ กอทุ ธรณข์ องโจทกร์ ว่ มและวนิ จิ ฉยั วา่ จำเลยยงั มี

สทิ ธเิ ชา่ ทำนาในทด่ี นิ พพิ าทตอ่ ไปอกี ๖ ปี นบั แตว่ นั ที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๘ ตามเอกสารหมาย

ล.๙ ซง่ึ คำเบกิ ความของจำเลยประกอบเอกสารตา่ ง ๆ ดงั กลา่ วฟงั ไดส้ อดคลอ้ งกบั คำเบกิ ความ

ของวา่ ทรี่ อ้ ยตรี สทุ ศั น์ กาเซม็ ตำแหนง่ เจา้ พนกั งานปกครอง ระดบั ๕ สำนกั งานเขตหนองจอก

กรุงเทพมหานคร ซ่ึงเป็นหน่ึงในคณะกรรมการและเลขานุการ ค.ช.ก. แขวงกระทุ่มราย ท่ีได

ตรวจสอบเอกสารเกยี่ วกบั เรอื่ งนแ้ี ละมาเบกิ ความตอ่ ศาลในฐานะพยานโจทกว์ า่ เมอ่ื ครบกำหนด

สิ้นฤดกู ารทำนาปี ๒๕๓๗ ตามเอกสารหมาย จ.๕ และจำเลยไม่ยอมออกจากที่นา จงึ ถูกโจทก

รว่ มแจง้ ความดำเนนิ คดี ตอ่ มาจำเลยไดย้ น่ื คำรอ้ งตอ่ ค.ช.ก. แขวงกระทมุ่ ราย เพอ่ื ใหว้ นิ จิ ฉยั วา่

จำเลยยังมีสิทธิเช่าทำนาอยู่ต่อไปตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ.

๒๕๒๔ หรอื ไม่ ปรากฏตอ่ มาวา่ ค.ช.ก. แขวงกระทมุ่ ราย ไดป้ ระชมุ พจิ ารณาแลว้ มคี ำวนิ จิ ฉยั วา่

จำเลยยังมีสิทธิเช่าทำนาอยู่ตามเอกสารหมาย ล.๘ และ ล.๑๑ โจทก์ร่วมจึงได้ยื่นอุทธรณ

คำวนิ จิ ฉยั ตอ่ ค.ช.ก. กรงุ เทพมหานคร และความปรากฏตอ่ มาตามเอกสารหมาย ล.๙ และ ล.๑๐

ว่า ค.ช.ก. กรงุ เทพมหานคร ไดว้ ินิจฉัยอทุ ธรณข์ องโจทกร์ ว่ มแลว้ มีมติใหย้ กอุทธรณข์ องโจทก์

ร่วมและมีคำวินิจฉัยถือว่าจำเลยยังเป็นผู้เช่านาในท่ีดิน โดยระยะเวลาการเช่าให้นับต่อไปอีก

๖ ปี นบั แตว่ นั ท่ี ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๘ เปน็ ตน้ ไป ดงั นนั้ ขอ้ เทจ็ จรงิ จากพยานหลกั ฐานของโจทก ์

โจทก์ร่วม และของจำเลยท่ีนำสืบมาจึงฟังได้ว่าตามวันเวลาท่ีโจทก์และโจทก์ร่วมกล่าวหาว่า

จำเลยทง้ั สองนำรถทบุ บดหรอื รถแทรก็ เตอรเ์ ขา้ ไปทบุ ทด่ี นิ พพิ าทเพอ่ื เตรยี มทำนาเมอ่ื วนั ที่ ๒๐

ตุลาคม ๒๕๔๑ นั้น จึงยังอยู่ในระยะเวลาการเช่า ๖ ปี ตามท่ีจำเลยมีสิทธิเข้าทำนาในที่ดิน

ของโจทก์ร่วมได้ตามคำวินิจฉัยของ ค.ช.ก. กรุงเทพมหานคร เอกสารหมาย ล.๙ และ ล.๑๐

ดังกล่าวมาแล้ว ฉะนั้น การที่จำเลยเข้าไปใช้รถแทร็กเตอร์ทุบบดปรับที่ดินพิพาทเพ่ือเตรียม

ทำนาตามทโี่ จทกฟ์ อ้ งจงึ เปน็ การกระทำทจ่ี ำเลยเชอ่ื โดยสจุ รติ วา่ จำเลยมสี ทิ ธทิ จี่ ะเขา้ ไปกระทำ

สว่ นท่ี ๒ ตวั อย่างคำพิพากษาและคำสงั่ ในรปู คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
367
คดอี าญา


เชน่ นั้นได้ อีกทงั้ ไดค้ วามมาแต่แรกแลว้ ว่าจำเลยได้เชา่ ทำนาในท่ดี นิ พิพาทอยกู่ อ่ นทโ่ี จทก์รว่ ม

จะซอื้ ท่ีดนิ พิพาทมา และหลงั จากโจทก์ร่วมซอื้ ท่ดี ินพพิ าทแล้วก็ยงั ไดค้ วามวา่ โจทกร์ ่วมยังคง

ใหเ้ ขา้ ทำนาตอ่ ไปเรอื่ ยมา โดยมกี ารเวน้ ชว่ งระยะเวลาสน้ั ๆ ในปี ๒๕๔๐ ทจี่ ำเลยไมไ่ ดเ้ ขา้ ทำนา

ท้ังน้ี เพราะโจทก์ร่วมกับจำเลยมีปัญหาโต้แย้งเกี่ยวกับการบอกเลิกการเช่าของโจทก์ร่วมว่า

ชอบดว้ ยกฎหมายตามพระราชบญั ญตั ิการเช่าทด่ี ินเพ่ือการเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔ หรือไม ่

ซงึ่ ปญั หาขอ้ โตแ้ ยง้ ดงั กลา่ วในทสี่ ดุ ค.ช.ก. กรงุ เทพมหานคร กม็ คี ำวนิ จิ ฉยั ยนื ยนั วา่ จำเลยยงั ม

ฐานะเปน็ ผเู้ ชา่ นาและมสี ทิ ธเิ ขา้ ทำนาในทด่ี นิ พพิ าทโดยมรี ะยะเวลาการเชา่ ตอ่ ไปอกี ๖ ปี นบั แต

วนั ท่ี ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๘ ตามท่ีวินิจฉยั มาแลว้ คดีฟังไม่ได้วา่ จำเลยมีเจตนาบุกรุกท่ดี ินของ

โจทกร์ ว่ มเพอ่ื แยง่ การครอบครองหรอื รบกวนการครอบครองโดยปกตสิ ขุ ตามทโ่ี จทกฟ์ อ้ ง ฉะนน้ั

จำเลยจงึ ไมม่ คี วามผดิ ตามฟอ้ ง และคดไี มจ่ ำตอ้ งวนิ จิ ฉยั อทุ ธรณข์ องโจทกร์ ว่ มอกี ตอ่ ไปวา่ จำเลย

ได้ประพฤติผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่านาแก่โจทก์ร่วมหรือไม่ และโจทก์ร่วมมีสิทธิบอกเลิกการ

เช่านาแก่จำเลยได้หรือไม่ ท้ังน้ี เพราะเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับคดีในส่วนแพ่ง ซึ่งไม่มีผลทำให

คำพพิ ากษาในสว่ นคดอี าญานเ้ี ปลยี่ นแปลงไปเปน็ อยา่ งอน่ื ดงั นน้ั ทศ่ี าลชน้ั ตน้ พพิ ากษายกฟอ้ ง

โจทก์มานัน้ จงึ ชอบแล้ว ศาลอทุ ธรณ์เหน็ พ้องด้วย อทุ ธรณ์ของโจทก์รว่ มฟังไม่ขนึ้

พพิ ากษายนื .

368 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉัยคด


ตวั อยา่ งคดีบุกรุก อนาจาร






คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๙๐๑/๒๕๔๘


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ในวัน

เวลาเกดิ เหตตุ ามฟอ้ ง จำเลยซง่ึ รจู้ กั กบั โจทกร์ ว่ มไดไ้ ปหาโจทกร์ ว่ มทห่ี อ้ งพกั ของโจทกร์ ว่ ม โดย

จำเลยเคาะประตเู รยี กใหโ้ จทกร์ ว่ มเปดิ ประตหู อ้ ง ในวนั รงุ่ ขน้ึ เจา้ พนกั งานตำรวจไปจบั กมุ จำเลย

ที่บ้านพักของจำเลย มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า คดีน้ีมีผ้

พิพากษาน่ังพิจารณาคดีครบองค์คณะตามกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า ในระหว่าง

การพจิ ารณาคดตี ง้ั แตว่ นั ที่ ๑๘ กนั ยายน ๒๕๔๕ ถงึ วนั ที่ ๒๖ กนั ยายน ๒๕๔๕ มผี พู้ พิ ากษานงั่

พจิ ารณาคดเี พยี งคนเดยี ว อนั เปน็ การนงั่ พจิ ารณาคดไี มค่ รบองคค์ ณะตามกฎหมาย เหน็ วา่ เมอ่ื

พจิ ารณาจากรายงานกระบวนพจิ ารณาของศาลชนั้ ตน้ ในสำนวนคดนี แ้ี ลว้ ปรากฏวา่ มลี ายมอื ชอื่

ของผพู้ พิ ากษาจำนวนสองคนทกุ ฉบบั อนั เปน็ การพจิ ารณาคดที คี่ รบองคค์ ณะตามพระธรรมนญู

ศาลยตุ ธิ รรม มาตรา ๒๖ แลว้ สว่ นขอ้ เทจ็ จรงิ ทวี่ า่ มผี พู้ พิ ากษานงั่ พจิ ารณาคดจี รงิ เพยี งคนเดยี ว

หรอื ไมน่ น้ั เปน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทจ่ี ำเลยเพง่ิ ยกขน้ึ กลา่ วอา้ งในชน้ั อทุ ธรณ์ ถอื เปน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทจี่ ำเลย

มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา ๒๒๕ วรรคหน่ึง ประกอบประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ ศาล

อุทธรณจ์ ึงไมร่ บั วนิ ิจฉยั ให

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการต่อไปมีว่า คดีนี้ผู้เสียหายได

ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า สำหรับความผิดฐานบุกรุกเคหสถานในเวลา

กลางคนื ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕ (๓) ประกอบมาตรา ๓๖๔ นนั้ เปน็ ความผดิ

อาญาแผ่นดิน ไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัวอันยอมความได้ ดังนั้น แม้ผู้เสียหายจะไม่ได้ร้องทุกข ์

พนักงานสอบสวนก็มีอำนาจสอบสวนได้โดยไม่ต้องมีคำร้องทุกข์จากผู้เสียหาย เมื่อมีการ

สว่ นท่ี ๒ ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาและคำสัง่ ในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ
์ 369
คดอี าญา


สอบสวนโดยชอบ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดดังกล่าว ส่วนความผิดฐานกระทำ

อนาจารแกบ่ ุคคลอายุกว่า ๑๕ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๘ นนั้ เป็นความผดิ

อนั ยอมความไดต้ ามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๑ ซง่ึ ตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณา

ความอาญา มาตรา ๑๒๑ วรรคสอง บญั ญตั วิ า่ แตถ่ า้ เปน็ คดคี วามผดิ ตอ่ สว่ นตวั หา้ มมใิ หท้ ำ

การสอบสวน เวน้ แตจ่ ะมคี ำรอ้ งทกุ ขต์ ามระเบยี บ มาตรา ๑๒๓ วรรคสอง บญั ญตั วิ า่ คำรอ้ งทกุ ข

นั้นตอ้ งปรากฏชอ่ื และที่อยู่ของผรู้ ้องทกุ ข์ ลกั ษณะแห่งความผดิ พฤติการณ์ตา่ ง ๆ ที่ความผดิ

นน้ั ไดก้ ระทำลง ความเสยี หายทไี่ ดร้ บั และชอ่ื หรอื รปู พรรณของผกู้ ระทำผดิ เทา่ ทจี่ ะบอกได้ และ

วรรคสาม บญั ญตั วิ า่ คำรอ้ งทกุ ขน์ จ้ี ะทำเปน็ หนงั สอื หรอื รอ้ งดว้ ยปากกไ็ ด้ ถา้ เปน็ หนงั สอื ตอ้ งม

วันเดือนปีและลายมือช่ือของผู้ร้องทุกข์ ถ้าร้องด้วยปาก ให้พนักงานสอบสวนบันทึกไว้ ลงวัน

เดือนปีและลงลายมือช่ือผู้บันทึกกับผู้ร้องทุกข์ในบันทึกน้ัน แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้ตามคำฟ้อง

โจทก์ก็มิได้บรรยายมาให้ปรากฏว่าผู้เสียหายได้มีการร้องทุกข์ตามระเบียบแล้ว และในชั้น

พจิ ารณาโจทกแ์ ละโจทกร์ ว่ มไมไ่ ดส้ ง่ คำรอ้ งทกุ ขเ์ ปน็ พยานแตอ่ ยา่ งใด สว่ นตวั โจทกร์ ว่ มกไ็ มไ่ ด

เบิกความว่าได้ร้องทุกข์แล้ว แต่กลับเบิกความว่าเจ้าของบ้านเป็นผู้ไปแจ้งความ ส่วนท่ีมีการ

บันทึกไวใ้ นบนั ทึกการจับกมุ ตามเอกสารหมาย จ.๓ ว่าได้รอ้ งทกุ ขไ์ ว้ตามระเบยี บแลว้ นั้น กไ็ ด

ความจากพันตำรวจตรี วีระพงษ์ เชาวพล พยานโจทกแ์ ละโจทกร์ ่วมซ่งึ เป็นผู้จับกุมจำเลย วา่

พยานไดร้ บั คำบอกเลา่ จากโจทกร์ ว่ มเทา่ นนั้ สว่ นผจู้ บั กมุ เองกไ็ ดร้ บั แจง้ ทางวทิ ยวุ า่ ใหไ้ ปจบั กมุ

จำเลย สำหรับตราประทับด้านบนของบันทึกการจับกุมดังกล่าวมีเพียงว่า ปจว.ข้อ ๗ เวลา

๑๖.๒๐ นาฬกิ า วันท่ี ๒๘ ธนั วาคม ๒๕๔๔ ซ่ึงนอกจากไมป่ รากฏวา่ เป็นรายงานประจำวันที่

เก่ียวกับการร้องทุกข์แล้ว ก็ปรากฏว่าเป็นรายงานประจำวันท่ีมีข้ึนหลังจากการทำบันทึกการ

จบั กมุ ดงั กลา่ วแลว้ จงึ รบั ฟงั ไมไ่ ดว้ า่ เปน็ คำรอ้ งทกุ ขข์ องโจทกร์ ว่ ม สว่ นพนกั งานสอบสวนกเ็ บกิ

ความเพยี งวา่ ในวนั จับกมุ จำเลย เวลา ๑๓ นาฬกิ า ผจู้ ับกุมนำจำเลยมามอบให้ และจำเลยกับ

ผเู้ สียหายขอเจรจากัน แต่ตกลงกนั ไม่ได้ จงึ ดำเนนิ คดีแก่จำเลย โดยไม่ไดเ้ บกิ ความถึงว่าโจทก


370 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉยั คด


ร่วมได้ร้องทุกข์ไว้ตามระเบียบแล้ว ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมดังกล่าว

จงึ รบั ฟงั ไมไ่ ดว้ า่ โจทกร์ ว่ มไดร้ อ้ งทกุ ขต์ ามระเบยี บในความผดิ ฐานนแี้ ลว้ พนกั งานสอบสวนยอ่ ม

ไมม่ อี ำนาจสอบสวนในความผดิ ดังกล่าว ฉะนนั้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟอ้ งจำเลยในความผดิ ฐาน

กระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่า ๑๕ ปี ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา ๑๒๐ และมาตรา ๑๒๑ วรรคสอง อทุ ธรณ์ของจำเลยขอ้ น้ฟี ังขนึ้ บางสว่ น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการต่อไปมีว่า จำเลยกระทำ

ความผิดฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีโจทก์ร่วมเป็น

ประจักษ์พยานเบิกความว่า ในคืนเกิดเหตุขณะโจทก์ร่วมนอนอยู่กับบุตร ได้ยินเสียงผู้ชายมา

เคาะประตหู อ้ งและเรยี กชอื่ โจทกร์ ว่ ม โจทกร์ ว่ มเขา้ ใจวา่ เปน็ สามี จงึ คลานไปเปดิ ประตู แลว้ เขา้

มงุ้ นอนทนั ที ชายดงั กลา่ วเขา้ ไปกอดดา้ นหลงั พรอ้ มกบั พดู วา่ ลกู ผหู้ ญงิ หรอื ผชู้ าย โจทกร์ ว่ มจงึ

ทราบว่าไม่ใช่สามี โจทก์ร่วมจึงแกล้งพูดว่าจะไปหยิบขวดนมและแอบหันมาดู จำได้ว่าเป็น

จำเลย เนอื่ งจากมแี สงสวา่ งจากไฟของหอ้ งนำ้ ขา้ งเคยี ง โจทกร์ ว่ มจงึ ไปแจง้ ใหน้ ายบญุ สง่ พดั จนั่

ซง่ึ พกั อยทู่ ห่ี อ้ งใกลเ้ คยี ง ทราบวา่ จำเลยเขา้ หาโจทกร์ ว่ ม และนำไปทหี่ อ้ งพกั ของโจทกร์ ว่ ม แต

ไมพ่ บจำเลยแลว้ พบแตร่ องเทา้ แตะ ๑ คู่ ทหี่ นา้ หอ้ ง และผลไม้ ๑ ถงุ ในหอ้ ง ในวนั รงุ่ ขน้ึ โจทก

ร่วมไปแจ้งแก่เจ้าของบ้าน และเจ้าของบ้านไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ แล้วโจทก์ร่วม

นำไปจับกุมจำเลย นายบุญส่ง พยานโจทก์ร่วม เบิกความว่า ในคืนเกิดเหตุโจทก์ร่วมมาร้อง

เรียกขอความช่วยเหลือ มีอาการตัวสั่น บอกว่าจำเลยเข้าหาโจทก์ร่วม จึงตามไปดู แต่ไม่พบ

จำเลย พบรองเท้าแตะ ๑ คู่ ทหี่ น้าห้อง และพบผลไม้ ๑ ถงุ ในห้อง พนั ตำรวจตรี วีระพงษ์

เชาวพล ผจู้ บั กมุ จำเลย พยานโจทกแ์ ละโจทกร์ ว่ ม เบกิ ความวา่ ในวนั รงุ่ ขนึ้ ของวนั เกดิ เหตไุ ดร้ บั

แจง้ เหตุ จงึ เดนิ ทางไปพบโจทกร์ ว่ ม สอบถามโจทกร์ ว่ มยนื ยนั วา่ จำเลยบกุ รกุ เขา้ ไปในหอ้ งนอน

และกอดโจทก์รว่ มแลว้ หลบหนีไปโดยโจทกร์ ว่ มมอบรองเท้าแตะ ๑ คู่ เปน็ ของกลาง และนำไป

จับกุมจำเลย ร้อยตำรวจเอก กิตติกวนิ โพธสิ์ ขุ พนกั งานสอบสวน พยานโจทกแ์ ละโจทกร์ ่วม

สว่ นท่ี ๒ ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรปู คำพิพากษาของศาลอุทธรณ
์ 371
คดอี าญา


เบิกความว่า ในวันรุ่งข้ึนของวันเกิดเหตุ ผู้จับกุมนำจำเลยและโจทก์ร่วมมามอบให้พยานโดย

โจทก์ร่วมประสงค์จะเรยี กค่าเสยี หาย แตจ่ ำเลยตกลงชดใช้คา่ เสยี หายให้ จำนวน ๒,๐๐๐ บาท

จึงตกลงกันไม่ได้ พยานจึงแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน และกระทำ

อนาจารแกบ่ คุ คลอายกุ วา่ ๑๕ ปี โดยทำใหบ้ คุ คลนนั้ เขา้ ใจผดิ วา่ ตนเปน็ บคุ คลอน่ื จำเลยใหก้ าร

รบั สารภาพตามบนั ทกึ คำใหก้ ารของผตู้ อ้ งหา เอกสารหมาย จ.๕ สว่ นจำเลยเบกิ ความวา่ ในวนั

เกดิ เหตโุ จทก์รว่ มไปขอยมื เงนิ จำเลย จำนวน ๕๐๐ บาท โดยเสนอขายบรกิ ารทางเพศเปน็ การ

ตอบแทน และนดั ใหจ้ ำเลยไปหาทหี่ อ้ งพกั ของโจทกร์ ว่ ม ในเวลาเกดิ เหตจุ ำเลยจงึ นำผลไม้ ๑ ถงุ

ไปเคาะประตหู อ้ งและเรียกใหโ้ จทกร์ ่วมเปิดประตูรับผลไม้จากจำเลย แต่เนือ่ งจากมคี นเห็น จึง

ใหจ้ ำเลยกลบั ไปกอ่ น ในวนั รงุ่ ขนึ้ เจา้ พนกั งานตำรวจไปพบจำเลย บอกใหไ้ ปเจรจากบั โจทกร์ ว่ ม

แตโ่ จทก์รว่ มเรยี กคา่ เสยี หาย จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท จงึ ตกลงกันไม่ได้ จำเลยลงลายมือชือ่ ใน

บนั ทกึ คำใหก้ ารของผตู้ อ้ งหาโดยไมไ่ ดอ้ า่ นขอ้ ความ เมอื่ ทราบวา่ เปน็ คำใหก้ ารรบั สารภาพ จงึ ได

มีหนงั สือรอ้ งเรยี นขอความเป็นธรรม โดยมีนายสมนึก ทองคำดี ทนายความจำเลย เป็นพยาน

สนบั สนนุ เหน็ วา่ โจทกร์ ว่ มเบกิ ความถงึ พฤตกิ ารณข์ องจำเลยทกี่ ระทำตอ่ โจทกร์ ว่ มเปน็ ขนั้ ตอน

มีรายละเอียดสอดคล้องกัน ท้ังเป็นการผิดปกติวิสัยที่โจทก์ร่วมซึ่งเป็นหญิงมีสามีและบุตรอย
ู่
จะปั้นแต่งเรื่องที่ตนถูกชายกระทำในเรื่องที่เสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของตนเองอย่างร้ายแรงขึ้นมา

ปรกั ปรำจำเลยโดยไมม่ มี ลู ความจรงิ ประกอบกบั โจทกร์ ว่ มกไ็ มเ่ คยมสี าเหตโุ กรธเคอื งกบั จำเลย

มากอ่ น จึงไมม่ เี หตุทีโ่ จทกร์ ว่ มจะกล่ันแกลง้ ให้ร้ายจำเลย เชือ่ ได้วา่ โจทกร์ ่วมเบิกความไปตาม

ความเปน็ จรงิ หลงั เกดิ เหตใุ นคนื นนั้ โจทกร์ ว่ มไดไ้ ปขอความชว่ ยเหลอื จากนายบญุ สง่ ซง่ึ พกั อย
ู่
ทหี่ อ้ งใกลเ้ คยี งกนั ซง่ึ นายบญุ สง่ มาเบกิ ความสนบั สนนุ สอดคลอ้ งกบั คำเบกิ ความของโจทกร์ ว่ ม

แมพ้ ยานโจทกร์ ว่ มปากนจี้ ะไมเ่ คยไปใหก้ ารในชนั้ สอบสวน แตพ่ ยานโจทกป์ ากนไ้ี มม่ สี ว่ นไดเ้ สยี

กับโจทก์รว่ มหรอื เคยมสี าเหตุใด ๆ กับจำเลยมากอ่ น นบั ว่าเปน็ พยานคนกลาง ย่อมมนี ำ้ หนกั

แกก่ ารรบั ฟงั แมพ้ ยานโจทกป์ ากนจ้ี ะเบกิ ความเกยี่ วกบั การเปดิ ปดิ ไฟในหอ้ งทเี่ กดิ เหตแุ ตกตา่ ง

372 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉยั คด


จากโจทกร์ ว่ มบา้ ง กไ็ มเ่ ปน็ พริ ธุ ถงึ กบั รบั ฟงั ไมไ่ ด้ ในวนั รงุ่ ขนึ้ โจทกร์ ว่ มนำเจา้ พนกั งานตำรวจไป

จับกุมจำเลยทันที อันเป็นการสนับสนุนให้รับฟังว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดข้ึนจริง และในวัน

ดังกล่าวจำเลยได้ให้การรับข้อเท็จจริงสอดคล้องกับคำเบิกความของโจทก์ร่วมดังปรากฏตาม

บันทึกคำให้การของผู้ต้องหา เอกสารหมาย จ.๕ โดยมีผู้จับกุมและพนักงานสอบสวนมาเบิก

ความสนบั สนนุ รบั รองเอกสารดงั กลา่ ว ซงึ่ ตามบนั ทกึ คำใหก้ ารดงั กลา่ วมรี ายละเอยี ดถงึ ประวตั

ส่วนตัวของจำเลยและข้อเท็จจริงเก่ียวกับคดี ยากแก่การที่พนักงานสอบสวนจะบันทึกข้ึนเอง

โดยปรากฏตามบนั ทกึ คำใหก้ ารดงั กลา่ ววา่ พนกั งานสอบสวนไดแ้ จง้ สทิ ธติ ามกฎหมายใหจ้ ำเลย

ทราบแล้ว จึงใช้ยันแก่จำเลยในชั้นพิจารณาได้ นอกจากนี้ ปรากฏว่าจำเลยได้เจรจากับโจทก์

ร่วมโดยยินยอมที่จะชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ร่วมด้วย อันเป็นการสนับสนุนแสดงให้เห็นว่า

จำเลยยอมรับผิดชอบในเรือ่ งที่เกดิ ข้ึน แต่เน่ืองจากโจทกร์ ่วมเรยี กค่าเสยี หายสูงเกินไป จำเลย

จึงไม่ได้ชดใช้ค่าเสยี หาย พยานหลักฐานโจทก์และโจทกร์ ่วมที่นำสืบมาดังกลา่ วจึงมีน้ำหนกั แก่

การรับฟังได้ ส่วนจำเลยก็นำสืบรับเจือสมกับพยานโจทก์และโจทก์ร่วมว่าในวันเวลาเกิดเหตุ

จำเลยไปที่ห้องท่ีเกิดเหตุ เคาะประตูและเรียกช่ือโจทก์ร่วม ถุงผลไม้ในห้องที่เกิดเหตุเป็นของ

จำเลยจรงิ เพยี งแตอ่ า้ งวา่ โจทกร์ ว่ มนดั ใหจ้ ำเลยไปพบเพอ่ื ขายบรกิ ารทางเพศ เมอื่ โจทกร์ ว่ มรบั

ผลไมจ้ ากจำเลย โจทกร์ ว่ มบอกว่ามีคนเห็น จงึ ให้จำเลยกลับไปก่อน เห็นว่า ขอ้ อา้ งของจำเลย

ดังกล่าวไม่มีเหตุผลแก่การรับฟัง เพราะขณะเกิดเหตุเป็นเวลาวิกาล อันเป็นเวลาที่สามีของ

โจทกร์ ว่ มอาจกลับมาจากการทำงานและพบเห็นการกระทำของโจทก์รว่ มได้ ท้ังหากโจทก์รว่ ม

เป็นคนนัดให้จำเลยไปพบตามท่ีจำเลยอ้างจริงแล้ว โจทก์ร่วมก็ไม่น่าจะเอาเร่ืองกับจำเลยหรือ

เรยี กคา่ เสยี หายสงู เชน่ น้ี โดยทไี่ มป่ รากฏวา่ สามขี องโจทกร์ ว่ มหรอื มผี ใู้ ดเหน็ การกระทำดงั กลา่ ว

ทั้งไม่ปรากฏพฤติการณ์ของโจทก์ร่วมตามที่จำเลยกล่าวอ้างมาก่อน ส่วนท่ีจำเลยอุทธรณ์ว่า

จำเลยกับโจทก์ร่วมสนิทกัน โจทก์ร่วมย่อมจำเสียงเรียกของจำเลยและของสามีโจทก์ร่วมได

น้ัน เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์ร่วมไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมสนิทสนมกับจำเลย

ส่วนที่ ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำสั่งในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
373
คดอี าญา


ขณะเกิดเหตุเป็นเวลาวิกาล เป็นช่วงเวลาที่สามีโจทก์ร่วมจะกลับบ้าน และโจทก์ร่วมนอนอยู

ในมงุ้ แลว้ คลานออกมาเปดิ ประตแู ละเขา้ นอนทนั ทโี ดยไมท่ นั สนใจวา่ จำเลยไมใ่ ชส่ ามโี จทกร์ ว่ ม

ซงึ่ ก็เป็นไปได้ จึงไม่เป็นพิรุธถึงกับรับฟังไม่ได้ ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยไม่ได้ให้การรับ

สารภาพในชั้นสอบสวน จำเลยลงลายมือช่ือในบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาโดยไม่ได้อ่าน

ขอ้ ความ ตอ่ มาทนายความจำเลยไดร้ อ้ งขอความเปน็ ธรรมแลว้ นนั้ เหน็ วา่ โจทกแ์ ละโจทกร์ ว่ มม

พนกั งานสอบสวนเป็นพยานยืนยันวา่ ได้สอบปากคำจำเลย แล้วอา่ นข้อความให้จำเลยฟงั และ

จำเลยลงลายมอื ชอื่ ไว้ ซงึ่ ปรากฏตามบนั ทกึ คำใหก้ ารของผตู้ อ้ งหา เอกสารหมาย จ.๕ วา่ จำเลย

ได้ลงลายมือช่ือไว้ทุกแผ่นโดยไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนขู่เข็ญหรือบังคับให้จำเลยให้การ

แตอ่ ยา่ งใด สว่ นหนงั สอื ขอความเปน็ ธรรมของทนายความจำเลยนนั้ ปรากฏตามเอกสารหมาย

ล.๒ วา่ ทำขน้ึ หลงั จากจำเลยไดใ้ หก้ ารไปแลว้ เปน็ เวลาถงึ ๑๗ วนั ทงั้ ไมป่ รากฏผลการสอบสวน

ว่าพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนโดยไม่ชอบอย่างไร พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนัก

หกั ล้างพยานหลักฐานโจทก์และโจทกร์ ่วมได้ ข้อเทจ็ จรงิ ฟงั ได้วา่ ในวนั เกดิ เหตุจำเลยบกุ รกุ เข้า

ไปในห้องที่เกิดเหตุโดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยจึงมีความผิดฐานบุกรุกเคหสถานในเวลา

กลางคนื ตามฟอ้ ง อุทธรณข์ องจำเลยข้อนฟ้ี งั ไมข่ น้ึ

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการสุดท้ายมีว่า มีเหตุสมควร

ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษใหจ้ ำเลยหรือไม่ เหน็ วา่ จำเลยกระทำความผดิ โดยไม่ไดใ้ ช

อาวธุ หรือขเู่ ข็ญบังคบั หรือได้ทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมแต่ประการใด ท้ังจำเลยยินดีที่จะชดใช้

ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ร่วม แต่โจทก์ร่วมเรียกค่าเสียหายสูงเกินไป ที่ศาลช้ันต้นกำหนดโทษ

จำคกุ กอ่ นลดโทษใหจ้ ำเลยโดยจำคกุ ๑ ปี นนั้ ยอ่ มหนกั เกนิ ไป ศาลอทุ ธรณเ์ หน็ สมควรกำหนด

โทษเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่รูปคดี ส่วนท่ีจำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษด้วยน้ัน เห็นว่า

จำเลยเข้าไปในห้องนอนของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้หญิงในเวลาวิกาลอันเป็นการกระทบกระเทือน

ถึงความเส่ือมเสียต่อช่ือเสียงของโจทก์ร่วม ทั้งเป็นการกระทำท่ีกระทบกระเทือนต่อความ

374 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉัยคดี


ปลอดภัยในทรัพย์สินของผู้อื่นได้ ขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุ ๒๓ ปี นับว่าอยู่ในวัยท่ีม

วุฒิภาวะและมีความรู้สำนึกผิดชอบชั่วดีแล้ว แต่กลับมากระทำความผิดโดยไม่คำนึงถึงความ

เสอ่ื มเสยี แกโ่ จทกร์ ว่ ม ทง้ั โจทกร์ ว่ มยงั ตดิ ใจเอาความแกจ่ ำเลย แมจ้ ำเลยจะไมเ่ คยตอ้ งโทษจำคกุ

มากอ่ น กไ็ มใ่ ชเ่ หตปุ รานที จ่ี ะรอการลงโทษใหไ้ ด้ ทศี่ าลชนั้ ตน้ ใชด้ ลุ พนิ จิ กำหนดโทษจำคกุ จำเลย

โดยไม่รอการลงโทษให้นั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังข้ึน

บางสว่ น

พิพากษาแก้เปน็ วา่ ใหล้ งโทษจำเลยฐานบุกรกุ เคหสถานในเวลากลางคนื จำคุก

๙ เดอื น ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หน่งึ ในสาม คงจำคกุ ๖ เดือน ให

ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่า ๑๕ ปี นอกจากที่แก้ให

เปน็ ไปตามคำพิพากษาศาลชน้ั ต้น.

ส่วนที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำสั่งในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 375
คดีอาญา


ตวั อยา่ งคดีปล้นทรพั ย์






ำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๑๓๔๖/๒๕๕๑


พเิ คราะหแ์ ลว้ ขอ้ เทจ็ จรงิ รบั ฟงั ไดใ้ นเบอื้ งตน้ วา่ ตามวนั เวลาและสถานทเี่ กดิ เหต

ตามฟ้อง ผู้เสียหายถูกนายสมศักดิ์หรือฮิม แช่มมั่นคง กับพวก รวม ๓ คน ปล้นทรัพย์สิน

ของผเู้ สยี หายไป ดงั น้ี โทรศพั ทเ์ คลอ่ื นท่ี ๑ เครอื่ ง ราคา ๙,๙๙๙ บาท สรอ้ ยคอทองคำ หนกั ๑

บาท ราคา ๙,๔๐๐ บาท จที้ องคำรปู รชั กาลท่ี ๕ จำนวน ๑ อนั ราคา ๒,๐๐๐ บาท แหวนทองคำ

หัวพลอยล้อมเพชร จำนวน ๑ วง ราคา ๔๐,๐๐๐ บาท และเงินสด ๔,๖๐๐ บาท รวมราคา

๖๕,๙๙๙ บาท ตามบญั ชที รพั ย์ถูกประทษุ รา้ ย เอกสารหมาย จ.๑ ในคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี

๑๗๗๐/๒๕๔๙ ของศาลช้ันต้น ในการปล้นทรัพย์ดังกล่าวนายสมศักด์ิกับพวกร่วมกันทำร้าย

ผเู้ สยี หายจนไดร้ บั บาดเจบ็ ทบ่ี รเิ วณศรี ษะ มบี าดแผลฉกี ขาดและบาดแผลบวมชำ้ กระดกู ดงั้ จมกู

กระดูกแก้มซ้าย และขากรรไกรบนหกั ตอ้ งรักษาตัวประมาณ ๒ เดอื น ถา้ ไม่มีโรคแทรกซอ้ น

ตามผลการตรวจชนั สตู รบาดแผลของแพทยท์ า้ ยฟอ้ ง เปน็ เหตใุ หผ้ เู้ สยี หายไดร้ บั อนั ตรายสาหสั

ต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่าย่ีสิบวัน

ตอ่ มาเมอ่ื วนั ท่ี ๒๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๘ เจา้ พนกั งานตำรวจจบั กมุ นายสมศกั ดไิ์ ด้ ชนั้ สอบสวน

นายสมศักด์ิให้การรับสารภาพว่าร่วมกับจำเลยและนางสาวยุ้ยปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย เมื่อวันท ี่

๒๒ ธนั วาคม ๒๕๔๘ พนั ตำรวจโท ฉลอม แสงซอ่ื พนกั งานสอบสวน ไดแ้ จง้ ขอ้ กล่าวหาแก่

จำเลยซง่ึ ถกู จบั กมุ ในคดอี นื่ วา่ ปลน้ ทรพั ยเ์ ปน็ เหตใุ หผ้ อู้ น่ื ไดร้ บั อนั ตรายสาหสั โดยใชย้ านพาหนะ

เพ่ือกระทำผิด หรือพาทรัพย์น้ันไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุมตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา

เอกสารหมาย จ.๓ โดยกลา่ วหาจำเลยเชน่ เดยี วกบั ในชน้ั จบั กมุ จำเลยใหก้ ารปฏเิ สธตามบนั ทกึ

คำให้การของผู้ต้องหา เอกสารหมาย จ.๔ สำหรับนายสมศักด์ิต่อมาได้ถูกฟ้องและให้การรับ

สารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่ากระทำความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับ

376 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คดี


อันตรายสาหัสโดยใชย้ านพาหนะเพื่อกระทำผิด หรือพาทรพั ยน์ ้นั ไป หรอื เพอื่ ให้พ้นการจบั กมุ

ตามคดอี าญาหมายเลขแดงที่ ๑๗๗๐/๒๕๔๙ ของศาลชนั้ ตน้ และคดถี งึ ทสี่ ดุ แลว้ คดมี ปี ญั หาท
ี่
จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม ่

โจทก์มีผู้เสียหายมาเบิกความเป็นพยานยืนยันว่า เม่ือนายสมศักด์ิพานางสาวยุ้ยมาแนะนำให

รู้จกั จำเลยเดินทางมาพร้อมกับนางสาวยุย้ และจำเลยได้ร่วมนั่งดื่มเบียร์กับพยานอีกประมาณ

๑ ช่ัวโมง บริเวณที่น่ังมีแสงสว่าง สามารถจดจำใบหน้ากันได้ เม่ือพยานพานางสาวยุ้ยนั่งรถ

แทก็ ซี่เพื่อไปร่วมหลบั นอน จำเลยก็เดินทางไปดว้ ยโดยอ้างว่าจะพาไปโรงแรมและเพ่ือจะได้รบั

นางสาวยุ้ยกลับบ้านด้วย เมอ่ื รถแทก็ ซี่พาเขา้ ไปในซอยซ่ึงมลี ักษณะรกและไม่มโี รงแรม จึงพา

กันลงจากรถแท็กซ่ี แล้วเดินมาที่ปากซอย ต่อมาได้ขึ้นรถแท็กซ่ีซ่ึงนางสาวยุ้ยบอกให้ไปส่งท
ี่
โรงแรม แตเ่ มอื่ ถงึ ทเี่ กดิ เหตุ นางสาวยยุ้ บอกใหจ้ อดรถ เมอ่ื ลงจากรถ กพ็ ากนั เดนิ เขา้ ไปในซอย

แตไ่ มพ่ บโรงแรม เมอ่ื เดนิ ไปสกั ครู่ นายสมศกั ดข์ิ บั รถจกั รยานยนตต์ ามมา แลว้ ใชไ้ มข้ นาดใหญ

ตีที่ใบหน้าพยานด้านขวาจนแตก เมื่อพยานทรุดกับพื้น จำเลยได้ใช้เท้ากระทืบบริเวณใบหน้า

พยานดว้ ย พยานหายใจไมค่ อ่ ยออก แตย่ งั รสู้ กึ ตวั วา่ มคี นมาปลดเอาทรพั ยส์ นิ ไป จากนน้ั จำเลย

กับพวกก็พากันข้ึนรถจักรยานยนต์หลบหนีไป และโจทก์มีดาบตำรวจ นิพนธ์ เอ้ือประเสริฐ

เจ้าพนักงานตำรวจฝา่ ยสืบสวนสถานตี ำรวจนครบาลคันนายาว มาเบิกความวา่ เม่อื วันท่ี ๑๔

พฤศจกิ ายน ๒๕๔๘ ผเู้ สยี หายเดนิ ทางมาพบพยานทหี่ อ้ งสบื สวน แจง้ วา่ ถกู คนรา้ ย ๓ คน เปน็

ผู้ชาย ๒ คน ผู้หญิง ๑ คน ปล้นทรัพย์ไปที่บริเวณที่เกิดเหตุ พยานสอบถามเหตุการณ์จาก

ผเู้ สยี หายไดค้ วามวา่ กอ่ นเกดิ เหตผุ เู้ สยี หายมาเทย่ี วทย่ี า่ นมนี บรุ จี นดกึ แลว้ เทย่ี วตอ่ ไปตามรา้ น

อนื่ ๆ เรอ่ื ย ๆ จนถงึ รา้ นคาราโอเกะ กพ็ บกบั คนรา้ ยทช่ี อื่ นายฮมิ มกี ารพดู คยุ และเจรจาวา่ จะหา

ผหู้ ญงิ ใหผ้ เู้ สยี หายไดร้ ว่ มหลบั นอนดว้ ย แลว้ นายฮมิ ลงมาทช่ี น้ั ลา่ งของรา้ น จากนน้ั มเี พอ่ื นของ

นายฮมิ เปน็ ผ้ชู าย ๑ คน ผู้หญงิ ๑ คน ข้นึ มากับนายฮมิ แลว้ ผู้เสยี หายกบั นายฮมิ และพวกทงั้

สามคนไดพ้ ากนั ออกจากรา้ นและมาขน้ึ รถแทก็ ซี่ โดยคนรา้ ย ๑ คน ขบั รถจกั รยานยนตต์ ามหลงั


Click to View FlipBook Version