The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-09-18 02:21:12

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

ส่วนท่ี ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำสั่งในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
127
คดีแพ่ง


อำนาจจดั การทรพั ยส์ นิ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๔๑๗ สทิ ธดิ งั กลา่ วเปน็

สิทธิเฉพาะตัวและเป็นสิทธิโดยเด็ดขาด ไม่ว่าผู้ทรงสิทธิจะมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองใน

อสงั หารมิ ทรพั ยน์ น้ั ๆ หรอื ไมก่ ต็ าม โจทกจ์ งึ มสี ทิ ธโิ ดยลำพงั ในการถอื เอาประโยชนแ์ หง่ ตกึ แถว

พพิ าทดว้ ยการนำออกใหเ้ ชา่ และมอี ำนาจจดั การทรพั ยส์ นิ ดงั กลา่ วโดยทำสญั ญาเชา่ กบั จำเลยได้

แตเ่ พยี งผเู้ ดยี ว ไมจ่ ำตอ้ งใหบ้ ตุ รของโจทกซ์ ง่ึ ถอื กรรมสทิ ธริ์ วมทำสญั ญาเชา่ รว่ มดว้ ย เมอื่ สำเนา

หนงั สอื สัญญาเช่าตึกแถวตามเอกสารหมาย จ.๓ ครบกำหนดระยะเวลา ๒ ปี แล้วต้งั แต่วันท่ี

๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ และโจทกไ์ ม่ประสงค์ท่ีจะใหจ้ ำเลยเชา่ อยู่อกี ต่อไป โจทกจ์ ึงมีอำนาจ

ฟ้อง อุทธรณ์ของจำเลยข้อน้ีฟังไม่ข้ึน ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า สัญญาเช่า

ตึกแถวพิพาทเลิกกันแล้วหรอื ไม่ เหน็ ว่า นอกจากสำเนาหนังสือสัญญาเชา่ ตกึ แถวตามเอกสาร

หมาย จ.๓ แล้ว จำเลยนำสืบรับว่าไม่มีการทำสัญญาเช่าฉบับอื่นกันอีก ที่จำเลยเบิกความว่า

โจทก์ใหค้ ำมั่นวา่ จะให้จำเลยเช่าตอ่ อกี ๒ ปี น้นั เปน็ การตกลงด้วยวาจา ไม่มีเอกสารหลกั ฐาน

ใด ๆ จงึ เหน็ ได้ว่าข้อต่อสูต้ ามคำใหก้ ารและตามข้ออุทธรณข์ องจำเลยว่าสญั ญาเชา่ มี ๒ ฉบับ

กำหนดระยะเวลาฉบับละ ๒ ปี โดยคู่สัญญามีเจตนาเช่ากนั เกิน ๓ ปี แตห่ ลกี เลย่ี งภาษี ไมจ่ ด

ทะเบียนการเช่านั้น จึงไม่เป็นความจริง นอกจากน้ี ในสำเนาหนังสือสัญญาเช่าตึกแถวตาม

เอกสารหมาย จ.๓ ไม่มีข้อความในลักษณะเป็นคำมั่นว่าจะให้จำเลยเช่าต่ออีกเมื่อครบ

กำหนดเวลาการเช่า ๒ ปี แลว้ อกี ทงั้ หากจะฟังวา่ มขี อ้ ตกลงด้วยวาจาว่าโจทกใ์ ห้คำมั่นที่จะให

จำเลยต่ออายุสัญญาเช่ากันอีก แต่จำเลยมิได้แสดงเจตนาสนองรับคำมั่นดังกล่าวก่อนครบ

กำหนดอายุสัญญาเช่า และจำเลยก็ยังมิได้มีหลักฐานการเช่าที่ดินพิพาทใหม่เป็นหนังสือลง

ลายมือชื่อโจทก์ ผู้รับผิด เป็นสำคัญ ดังนั้น เม่ือสำเนาหนังสือสัญญาเช่าตึกแถวตามเอกสาร

หมาย จ.๓ ระบเุ วลาสน้ิ สดุ ในวนั ท่ี ๓๐ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๕ จงึ เปน็ การเชา่ ทม่ี กี ำหนดระยะเวลา

แน่นอน และเมื่อครบกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว สัญญาเช่าย่อมระงับลง โจทก์ไม่จำต้องบอก

กล่าวล่วงหน้าก่อนดังข้ออุทธรณ์ของจำเลย และไม่จำเป็นว่าจำเลยจะเป็นฝ่ายประพฤติผิด

128 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉยั คด


สัญญาโดยการค้างชำระค่าเช่าหรือนำตึกแถวพิพาทออกให้ผู้อื่นเช่าช่วงหรือไม่ โจทก์บอก

เลิกสัญญาเช่าได้ และเมื่อโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาตามเอกสารหมาย จ.๕ ส่งให้จำเลย

ยังบ้านเลขท่ี ๘๐/๕๐๓ หมู่ท่ี ๕ ตำบลบางเมืองใหม่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัด

สมทุ รปราการ ซงึ่ จำเลยเบกิ ความรบั และแถลงรบั ในอทุ ธรณว์ า่ เปน็ ทอ่ี ยตู่ ามทะเบยี นราษฎรข์ อง

จำเลย แม้จำเลยจะไม่ได้รับเอกสารดังกล่าว ก็ต้องถือว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาโดยชอบแล้ว

สญั ญาเชา่ ตกึ แถวพพิ าทจงึ เลกิ กนั แลว้ ตง้ั แตว่ นั ครบกำหนดเวลาเชา่ อทุ ธรณข์ อ้ นข้ี องจำเลยฟงั

ไม่ข้ึนเช่นกัน ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในประการสุดท้ายมีว่า โจทก์เสียหายเพียงใด เห็นว่า

ตกึ แถวพพิ าท สงู ๔ ชนั้ อยตู่ ดิ ถนนราชปรารภ ใกลโ้ รงแรมอนิ ทรา และเปน็ ยา่ นธรุ กจิ การคา้ ท
่ี
สำคัญ โดยปรากฏตามภาพถ่าย หมาย จ.๗ และ จ.๘ รวมทงั้ หมาย ล.๑ ว่าจำเลยใชต้ กึ แถว

พพิ าทประกอบการคา้ และจำเลยนำสบื พยานเจอื สมพยานโจทกว์ า่ ตกึ แถวหอ้ งอนื่ ๆ อกี ๕ หอ้ ง

ทอี่ ยใู่ กลช้ ดิ ตดิ กนั กบั ตกึ แถวพพิ าทมกี ารตอ่ อายสุ ญั ญาเชา่ ในอตั ราคา่ เชา่ หอ้ งละ ๒๒,๕๐๐ บาท

ต่อเดือน โจทก์จึงสามารถนำตึกแถวพิพาทออกให้เช่าในอัตราค่าเช่าดังกล่าวได้ ค่าเสียหาย

เดือนละ ๒๒,๕๐๐ บาท ท่ีศาลช้ันต้นกำหนดจึงเป็นจำนวนท่ีเหมาะสมแล้ว อุทธรณ์ข้อนี้ของ

จำเลยฟงั ไมข่ ึน้ เช่นกนั ศาลชน้ั ตน้ พพิ ากษาชอบแลว้ ศาลอทุ ธรณ์เหน็ พอ้ งด้วย

พพิ ากษายืน คา่ ฤชาธรรมเนยี มช้นั อุทธรณ์ให้เปน็ พบั .

สว่ นท่ี ๒ ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำสง่ั ในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 129
คดีแพง่


ตวั อยา่ งคดคี ำสง่ั ทางปกครอง ละเมิด

พระราชบัญญตั คิ วามรับผดิ ทางละเมดิ ของเจา้ หน้าที่






ำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๑๔๐/๒๕๕๒


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบ้ืองต้น

วา่ เมือ่ วันที่ ๒๑ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๓ เจา้ หนา้ ท่ีของจำเลยทั้งสอง นายเนวิน ชดิ ชอบ รฐั มนตร

ชว่ ยวา่ การกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอนนั ต์ ดาโลดม อธบิ ดจี ำเลยท่ี ๑ และเจา้ พนกั งาน

ตำรวจเข้าตรวจค้นโรงงานของโจทก์และอายัดผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายและสินค้าที่เก็บไว้ใน

โรงงานทง้ั หมด รวม ๗๒ รายการ และเกบ็ ตวั อยา่ งผลติ ภณั ฑไ์ ปตรวจวเิ คราะห์ ๑๘ รายการ กบั

นำกุญแจมาคล้องปิดประตูโรงงานเพื่อระงับการผลิตวัตถุอันตรายของโจทก์ ศาลช้ันต้น

พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าหน้าท่ีท่ีอายัดผลิตภัณฑ์ของโจทก์ เฉพาะรายการ

ท่ี ๒๒, ๒๕, ๒๖, ๓๓, ๓๖, ๓๙, ๔๒,๕๘, ๖๑ และ ๖๒ ตามสำเนาหนงั สอื อายดั เอกสารหมาย

จ.๗

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คำส่ังอายัดผลิตภัณฑ์ของ

โจทกใ์ นรายการตามเอกสารหมาย จ.๗ และคำสงั่ ระงบั การกระทำทฝี่ า่ ฝนื โดยใหห้ ยดุ ผลติ วตั ถุ

อันตรายเป็นคำสั่งที่ชอบหรือไม่ โดยมีประเด็นต้องวินิจฉัยก่อนว่า ผลิตภัณฑ์ของโจทก์ตาม

เอกสารหมาย จ.๗ นอกจากทศี่ าลช้นั ต้นเพิกถอนคำสง่ั อายดั แลว้ เปน็ วตั ถอุ ันตรายชนดิ ท่ี ๓

ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือไม่ และโจทก์ได้รับอนุญาตให้มีไว้ใน

ครอบครองและผลติ วัตถอุ นั ตรายชนิดที่ ๓ หรอื ไม่ โจทกอ์ ุทธรณใ์ จความสำคัญวา่ ผลติ ภณั ฑ

ตามเอกสารหมาย จ.๗ มใิ ชว่ ตั ถอุ นั ตรายทงั้ หมด เนอ่ื งจากจำเลยทงั้ สองเกบ็ ตวั อยา่ งผลติ ภณั ฑ

ไปตรวจวเิ คราะหเ์ พยี ง ๑๘ รายการ ผลติ ภณั ฑท์ เ่ี หลอื นอกจากนน้ั บางรายการไมม่ รี ายละเอยี ด

ว่าเป็นสารประเภทใด บางรายการเป็นปุ๋ยและวัตถุดิบเท่านั้น โจทก์ได้รับอนุญาตให้ผลิตและ

130 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉัยคดี


ครอบครองวตั ถอุ นั ตราย ในปญั หานโ้ี จทกน์ ำสบื ไดค้ วามวา่ โจทกไ์ ดร้ บั อนญุ าตใหผ้ ลติ วตั ถมุ พี ษิ

และขึ้นทะเบียนวัตถุมีพิษแล้ว นอกจากโจทก์จะใช้โรงงานเป็นท่ีผลิตแล้ว โจทก์ยังใช้เก็บ

ผลิตภณั ฑอ์ ่ืน ซ่ึงบางรายการโจทกซ์ อ้ื มาเพือ่ จำหน่ายโดยถกู ต้องตามสำเนาใบเสรจ็ รบั เงิน ใบ

สง่ ของ ใบอนญุ าต และใบสำคัญ เอกสารหมาย จ.๑๘ ถึง จ.๒๔ เจา้ หนา้ ทมี่ คี ำส่ังอายัดสินค้า

ของโจทกท์ ว่ี างจำหนา่ ยอยตู่ ามทอ้ งตลาดทว่ั ประเทศตามหนงั สอื อายดั เอกสารหมาย จ.๗ กบั

ภาพถา่ ย หมาย จ.๙, จ.๔๐, จ.๔๓ และ จ.๕๐ สำหรบั จำเลยทง้ั สองนำสบื ไดค้ วามวา่ เนอ่ื งจาก

ได้รับการร้องเรียนจากเกษตรกรว่ามีผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายที่จำหน่ายในท้องตลาดไม่ได้

มาตรฐาน จำเลยที่ ๑ ตรวจสอบแลว้ พบวา่ เปน็ ผลติ ภณั ฑข์ องโจทก์ และปรากฏวา่ โจทกไ์ มไ่ ดร้ บั

อนุญาตให้ผลิตวัตถุอันตราย เจ้าหน้าที่ของจำเลยทั้งสองพร้อมด้วยเจ้าพนักงานตำรวจจึงไป

ตรวจสอบโรงงานของโจทก์ พบวา่ โจทกไ์ ดผ้ ลติ วตั ถอุ นั ตรายเปน็ ผลติ ภณั ฑต์ า่ ง ๆ จำนวนมาก

จงึ มคี ำสงั่ อายดั ผลติ ภณั ฑข์ องโจทกท์ ผี่ ลติ ขน้ึ มาแตย่ งั มใิ หน้ ำออกจำหนา่ ย และอายดั วตั ถดุ บิ ท
ี่
ใชใ้ นการผลติ เพอ่ื ตรวจสอบวเิ คราะห์ กบั ไดส้ ง่ั ระงบั การผลติ วตั ถอุ นั ตรายไวก้ อ่ นเพอื่ รอผลการ

ตรวจวเิ คราะหต์ ามสำเนาบนั ทกึ หนงั สอื อายดั เอกสารหมาย ล.๑ ถงึ ล.๔ และภาพถา่ ย หมาย

ล.๖ เนอ่ื งจากจำเลยทงั้ สองไมม่ บี คุ ลากรเพยี งพอทจ่ี ะมาเฝา้ ประจำโรงงานของโจทกเ์ พอื่ ปอ้ งกนั

มใิ หโ้ จทกผ์ ลติ วตั ถอุ นั ตราย จงึ จำเปน็ ตอ้ งนำกญุ แจมาคลอ้ งไวท้ ป่ี ระตโู รงงานชว่ั คราว จากการ

ตรวจผลติ ภณั ฑด์ งั กลา่ วปรากฏวา่ เปน็ วตั ถอุ นั ตรายประเภทท่ี ๒ และประเภทที่ ๓ กบั ปยุ๋ เคมซี ง่ึ

โจทกไ์ มไ่ ดร้ บั อนญุ าตใหผ้ ลติ และไมไ่ ดข้ นึ้ ทะเบยี นตามกฎหมาย ทงั้ บางรายการยงั มคี ณุ ภาพตำ่

กวา่ มาตรฐาน ตามสำเนาบนั ทกึ และตารางการตรวจสอบ เอกสารหมาย ล.๑๑ ถงึ ล.๑๓ เหน็ วา่

ตามพระราชบญั ญตั ิวตั ถอุ นั ตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๘ บัญญตั ิว่า วตั ถอุ นั ตรายแบ่งออก

ตามความจำเปน็ แกก่ ารควบคมุ ดงั นี.้ ... (๒) วัตถอุ ันตรายชนดิ ท่ี ๒ ไดแ้ ก่ วัตถุอนั ตรายทก่ี าร

ผลติ การนำเขา้ การสง่ ออก หรอื การมไี วใ้ นครอบครองตอ้ งแจง้ ใหพ้ นกั งานเจา้ หนา้ ทที่ ราบกอ่ น

และตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารทก่ี ำหนดดว้ ย (๓) วตั ถอุ นั ตรายชนดิ ที่ ๓ ไดแ้ ก่ วตั ถ


ส่วนที่ ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำส่ังในรปู คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
131
คดแี พง่


อนั ตรายทกี่ ารผลติ การนำเขา้ การสง่ ออก หรอื การมไี วใ้ นครอบครองตอ้ งไดร้ บั ใบอนญุ าต สว่ น

การระบชุ อื่ และชนดิ ของวตั ถอุ นั ตรายใหร้ ฐั มนตรวี า่ การกระทรวงอตุ สาหกรรมโดยความเหน็ ของ

คณะกรรมการวตั ถอุ นั ตรายมอี ำนาจประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา สำหรบั ผลติ ภณั ฑพ์ พิ าทของ

โจทกต์ ามสำเนาหนงั สอื อายดั เอกสารหมาย จ.๗ หรอื ล.๔ นนั้ นายวนิ ยั ปติ ยิ นต์ พยานจำเลย

ท้ังสองซึ่งเป็นผู้ตรวจพิสูจน์ผลิตภัณฑ์พิพาทที่ส่งมาตรวจ เบิกความประกอบสำเนาบันทึก

เอกสารหมาย ล.๑๑ วา่ เปน็ วตั ถอุ นั ตราย ซงึ่ สว่ นใหญเ่ ปน็ วตั ถอุ นั ตรายชนดิ ท่ี ๓ ตามประกาศ

กระทรวงอตุ สาหกรรม เอกสารหมาย ล.๑ โจทกม์ ภี าระการพสิ จู น์ แตโ่ จทกไ์ มม่ พี ยานหลกั ฐานท
ี่
นำสืบมาหักล้างพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองว่าผลิตภัณฑ์พิพาทของโจทก์ในรายการตาม

เอกสารหมาย จ.๗ นอกจากทีศ่ าลชั้นตน้ เพกิ ถอนคำสั่งอายัดแล้ว มใิ ชว่ ัตถุอนั ตรายชนิดท่ี ๓

ขอ้ เทจ็ จรงิ ฟงั ไดว้ า่ ผลติ ภณั ฑข์ องโจทกใ์ นรายการตามเอกสารหมาย จ.๗ นอกจากทศี่ าลชนั้ ตน้

เพกิ ถอนคำสง่ั อายดั เปน็ วตั ถอุ นั ตรายชนดิ ที่ ๓ ทต่ี อ้ งไดร้ บั ใบอนญุ าต ประเดน็ ตอ่ ไปมวี า่ โจทก

ได้รับใบอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองและผลิตวัตถุอันตรายชนิดที่ ๓ ตามพระราชบัญญัต

วัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ได้รับใบอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองซึ่ง

วัตถุอันตรายจากจำเลยที่ ๑ ตามสำเนาใบอนุญาต เอกสารหมาย จ.๓๔ แต่ปรากฏว่าใบ

อนุญาตหมดอายุไปต้ังแต่ก่อนเกิดเหตุคดีนี้แล้วตามเอกสารหมาย จ.๒๑ และ จ.๒๒ โดยท
ี่
พระราชบญั ญตั ิวตั ถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๓ ใหย้ กเลิกพระราชบญั ญตั วิ ตั ถมุ ีพษิ พ.ศ.

๒๕๑๐ และพระราชบญั ญตั ิวตั ถมุ ีพิษ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๖ และกำหนดชนิดวัตถุอนั ตราย

ตามพระราชบญั ญตั วิ ตั ถอุ นั ตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ ขน้ึ ใหม่ ตอ่ มามปี ระกาศกระทรวงอตุ สาหกรรม

ตามเอกสารหมาย ล.๑ กำหนดใหผ้ ผู้ ลติ ผนู้ ำเขา้ ผสู้ ง่ ออก และผมู้ ไี วใ้ นครอบครองทดี่ ำเนนิ การ

อยู่ก่อนแล้วแจ้งการดำเนินการของตนสำหรับวัตถุอันตรายชนิดท่ี ๒ หรือยื่นคำขออนุญาต

สำหรบั วัตถุอนั ตรายชนิดท่ี ๓ ตอ่ พนักงานเจ้าหนา้ ท่ขี องหนว่ ยงานผูร้ บั ผดิ ชอบภายในกำหนด

สามสบิ วนั นบั จากวนั ทปี่ ระกาศฉบบั นมี้ ผี ลใชบ้ งั คบั คอื วนั ท่ี ๒ พฤษภาคม ๒๕๓๘ โดยจะตอ้ ง

132 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉยั คด


ยื่นคำขออนุญาตผลติ วัตถุอันตรายชนดิ ที่ ๓ ภายในวนั ท่ี ๑ มถิ นุ ายน ๒๕๓๘ หากได้ยน่ื คำขอ

อนญุ าตภายในกำหนดเวลาดงั กลา่ ว ผผู้ ลติ รายนน้ั แมจ้ ะยงั ไมไ่ ดร้ บั ใบอนญุ าตผลติ วตั ถอุ นั ตราย

ชนิดที่ ๓ ก็สามารถท่ีจะประกอบกิจการผลิตวัตถุอันตรายชนิดท่ี ๓ ไปพลางก่อนได้จน

กว่าพนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งไม่อนุญาตตามมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย

พ.ศ. ๒๕๓๕ แตต่ ามสำเนาคำขออนญุ าตของโจทก์ เอกสารหมาย จ.๒๖ และ จ.๒๗ ปรากฏวา่

โจทก์เพ่ิงมายื่นคำขออนุญาตในปี ๒๕๔๓ ซึ่งพ้นกำหนดระยะเวลาตามประกาศกระทรวง

อุตสาหกรรมแลว้ โจทกจ์ งึ ไม่ไดร้ บั ประโยชนจ์ ากมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบญั ญัตวิ ตั ถุอนั ตราย
พ.ศ. ๒๕๓๕ ท่ีโจทก์อุทธรณ์ว่า ได้ย่ืนขออนุญาตก่อนเกิดเหตุ แต่จำเลยท่ี ๑ มิได้อนุญาต

ภายในกำหนดเวลานนั้ ฟงั ไมข่ นึ้ ขอ้ เทจ็ จรงิ ฟงั ไดว้ า่ ในวนั เวลาเกดิ เหตโุ จทกย์ งั มไิ ดร้ บั อนญุ าต

ให้มีไว้ในครอบครองและผลติ วัตถอุ ันตรายชนิดท่ี ๓ ดังน้ัน คำส่งั อายดั ผลิตภณั ฑข์ องโจทก์ใน

รายการตามเอกสารหมาย จ.๗ นอกจากท่ีศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งอายัดและคำส่ังระงับการ

กระทำทฝี่ า่ ฝนื โดยใหห้ ยดุ ผลติ วตั ถอุ นั ตราย จงึ เปน็ คำสง่ั ทช่ี อบ อทุ ธรณข์ องโจทกข์ อ้ นฟี้ งั ไมข่ นึ้

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยท้ังสองต่อไปมีว่า คำสั่งระงับการ

กระทำที่ฝา่ ฝนื โดยใหห้ ยดุ ผลติ วัตถอุ ันตรายตามมาตรา ๕๒ แห่งพระราชบัญญัติวตั ถอุ ันตราย

พ.ศ. ๒๕๓๕ ถือได้ว่าเป็นคำสั่งให้ปิดโรงงานได้หรือไม่ และการกระทำท่ีปิดโรงงานเป็นการ

กระทำละเมิดของเจ้าหน้าท่ขี องจำเลยทัง้ สองในการปฏบิ ตั ิหน้าทีห่ รอื ไม่ จำเลยทัง้ สองอุทธรณ

ใจความสำคัญว่า ตามมาตรา ๕๒ ให้พนกั งานเจา้ หน้าทีม่ ีอำนาจสัง่ ใหโ้ จทก์ระงบั การกระทำที่

ฝา่ ฝนื ถอื เทา่ กบั มอี ำนาจสงั่ ปดิ โรงงานของโจทกไ์ ด้ พเิ คราะหแ์ ลว้ พระราชบญั ญตั วิ ตั ถอุ นั ตราย

พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๕๒ วรรคหนง่ึ บญั ญตั วิ า่ เมอื่ ปรากฏตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ทวี่ า่ ผผู้ ลติ ผนู้ ำ

เขา้ ผู้สง่ ออก หรือผู้มไี วใ้ นครอบครองซ่ึงวตั ถอุ ันตรายฝ่าฝืนหรอื ไมป่ ฏบิ ตั ิตามพระราชบัญญัติ

นี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจส่ังให้ผู้นั้นระงับการกระทำท่ีฝ่าฝืน หรือแก้ไข หรือปรับปรุง

หรอื ปฏบิ ตั ใิ หถ้ กู ตอ้ งได้ ในการนหี้ ากเปน็ กรณมี เี หตอุ นั สมควร พนกั งานเจา้ หนา้ ทจ่ี ะอนญุ าตให


สว่ นที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาและคำส่ังในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
133
คดีแพง่


ผู้นั้นส่งออกไปซ่ึงวัตถุอันตรายนั้นเพ่ือคืนให้แก่ผู้ผลิตหรือผู้จัดส่งวัตถุอันตรายน้ันมาให้ หรือ

เพือ่ การอน่ื ตามความเหมาะสมก็ได้ โดยปฏบิ ัติตามหลักเกณฑ์ วธิ ีการ และเงอ่ื นไขท่ีพนักงาน

เจา้ หนา้ ทกี่ ำหนด วรรคสอง บญั ญตั วิ า่ เมอื่ มกี รณตี ามวรรคหนงึ่ ถา้ ปรากฏวา่ ผผู้ ลติ ผนู้ ำเขา้ ผ
ู้
ส่งออก หรือผู้มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายดังกล่าวไม่สามารถปฏิบัติให้ถูกต้องได้ ไม่ว่า

เพราะไมม่ คี วามสามารถหรอื เพราะเหตอุ นื่ ใด ใหพ้ นกั งานเจา้ หนา้ ทมี่ อี ำนาจสงั่ ใหบ้ คุ คลดงั กลา่ ว

สง่ มอบวตั ถอุ นั ตรายนนั้ แกพ่ นกั งานเจา้ หนา้ ท่ี ณ สถานทท่ี ก่ี ำหนด เพอื่ ทำลายหรอื จดั การตาม

ควรแกก่ รณี โดยคำนงึ ถงึ อนั ตรายทอี่ าจเกดิ ขนึ้ จากวตั ถอุ นั ตรายดงั กลา่ วดว้ ย วรรคสาม บญั ญตั

ว่า ในกรณีที่วัตถุอันตรายนั้นอาจจำหน่ายได้ ให้พนักงานเจ้าหน้าท่ีดำเนินการขายทอดตลาด

หรือขายให้แก่หน่วยงานของรัฐภายในสามเดือนนับแต่วันได้รับมอบเงินที่ขายได้ เม่ือหัก

คา่ ใชจ้ า่ ยในการเกบ็ รกั ษา การจำหนา่ ย และคา่ ภาระทเ่ี กยี่ วขอ้ งแลว้ ใหเ้ กบ็ ไวเ้ พอ่ื คนื แกเ่ จา้ ของ

แต่ถ้าพ้นกำหนดสามเดือนดังกล่าวแล้ว ยังจำหน่ายไม่ได้ หากพนักงานเจ้าหน้าท่ีเห็นว่าการ

ผอ่ นเวลาตอ่ ไปจะเปน็ อนั ตรายหรอื ภาระเกนิ ควร กใ็ หม้ อี ำนาจสงั่ ใหท้ ำลายหรอื จดั การตามควร

แก่กรณี วรรคส่ี บัญญัติว่า ในกรณีที่ต้องทำลายหรือจัดการตามควรแก่กรณี หากมีค่าใช้จ่าย

เกดิ ขน้ึ ใหเ้ จา้ ของวตั ถอุ นั ตรายมหี นา้ ทจี่ า่ ยหรอื ชดใชเ้ งนิ จำนวนนนั้ แกท่ างราชการ เหน็ วา่ ตาม

หลักความชอบด้วยกฎหมายนั้น พนักงานเจ้าหน้าท่ีจะมีอำนาจปิดโรงงานของโจทก์ได้น้ัน

กฎหมายตอ้ งบัญญตั ใิ หอ้ ำนาจไวโ้ ดยแจง้ ชัด แตก่ รณนี ป้ี รากฏว่ามาตรา ๕๒ บญั ญัติให้อำนาจ

แตเ่ พียงสงั่ ใหร้ ะงบั การกระทำทฝ่ี ่าฝืน หรือแกไ้ ข หรอื ปรบั ปรุง หรือปฏบิ ัติใหถ้ ูกต้อง และหาก

ไมส่ ามารถปฏบิ ัตใิ ห้ถูกตอ้ งได้ ก็ให้สง่ มอบวัตถุอนั ตรายเพื่อทำลาย หรือจำหน่าย หรอื จัดการ

ตามควรแก่กรณีดังกล่าว ดังนั้น ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ จึงมิได้ให

อำนาจพนกั งานเจา้ หนา้ ทม่ี คี ำสง่ั หรอื กระทำการปดิ โรงงานของโจทก์ การทเ่ี จา้ หนา้ ทข่ี องจำเลย

ท่ี ๑ นำกญุ แจมาปดิ ประตโู รงงานเพอื่ ปดิ การเขา้ ออก ถอื เสมอื นเปน็ การกระทำทป่ี ดิ โรงงานของ

โจทก์ ซงึ่ ตามพระราชบัญญัตวิ ตั ถอุ นั ตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ มิไดใ้ หอ้ ำนาจแก่จำเลยท้งั สองที่จะม


134 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คด


คำสั่งปิดโรงงานของโจทก์ได้ ข้ออ้างของจำเลยท้ังสองที่ว่าไม่มีบุคลากรเพียงพอท่ีจะมาเฝ้า

ประจำโรงงานเพอื่ ปอ้ งกนั มใิ หโ้ จทกผ์ ลติ วตั ถอุ นั ตราย จงึ จำเปน็ ตอ้ งนำกญุ แจมาคลอ้ งไวท้ ป่ี ระต

โรงงานชวั่ คราวนนั้ ฟงั ไมข่ น้ึ เนอื่ งจากบทบญั ญตั ติ ามพระราชบญั ญตั วิ ตั ถอุ นั ตราย พ.ศ. ๒๕๓๕

ก็มีบทกำหนดโทษแก่โจทก์ไว้แล้วสำหรับกรณีท่ีโจทก์กระทำการฝ่าฝืนคำสั่งอายัดผลิตภัณฑ์

และคำสง่ั ระงบั การกระทำทใ่ี หโ้ จทกห์ ยดุ ผลติ วตั ถอุ นั ตราย ดงั นน้ั คำสง่ั ระงบั การกระทำทฝี่ า่ ฝนื

โดยใหห้ ยดุ ผลิตวัตถอุ ันตรายตามมาตรา ๕๒ แห่งพระราชบัญญตั วิ ัตถุอนั ตราย พ.ศ. ๒๕๓๕

ถอื ไมไ่ ดว้ า่ เปน็ บทบญั ญตั ทิ ใี่ หอ้ ำนาจแกจ่ ำเลยทงั้ สองไปปดิ โรงงานของโจทกไ์ ด้ และการกระทำ

ท่ีถือว่าเป็นการปิดโรงงานของโจทก์เป็นการกระทำละเมิดด้วยความประมาทเลินเล่อของ

เจา้ หนา้ ทข่ี องจำเลยทงั้ สองในการปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ จำเลยทงั้ สองซง่ึ เปน็ หนว่ ยงานของรฐั จงึ ตอ้ งรบั

ผดิ ตอ่ โจทกใ์ นผลแหง่ ละเมดิ ทเ่ี จา้ หนา้ ทขี่ องจำเลยทงั้ สองไดก้ ระทำในการปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ อทุ ธรณ

ของจำเลยทัง้ สองที่วา่ มไิ ดก้ ระทำละเมิดและมใิ ช่ในการปฏบิ ัตหิ น้าทนี่ ้นั ฟังไมข่ นึ้

ปัญหาสุดท้ายตามอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยท้ังสองมีว่า ค่าสินไหมทดแทนมี

หรอื ไม่ เพยี งใด โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ตอ้ งสญู เสียโอกาสทางการตลาด ๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท

โจทกไ์ มอ่ าจนำสนิ คา้ ออกขายหรอื สง่ มอบใหแ้ กล่ กู คา้ ได้ คดิ เปน็ เงนิ ๑๔,๗๙๘,๗๐๖ บาท โจทก

ตอ้ งซือ้ เคร่ืองจกั รใหม่มาทดแทน เป็นเงนิ ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท และค่าจา้ งพนักงาน ๑๔๘,๖๐๐

บาท รวมค่าเสยี หาย เปน็ เงนิ ๒๑๙,๙๔๗,๓๐๖ บาท จำเลยทัง้ สองอุทธรณว์ า่ เครอ่ื งจกั รของ

โจทก์มีไว้เพื่อผลิตวัตถุอันตราย โจทก์มิได้นำสืบเร่ืองค่าจ้างพนักงาน และโจทก์กระทำผิด

กฎหมาย จึงเรียกคา่ สญู เสยี โอกาสทางการตลาดไม่ได้ ทัง้ โจทกไ์ ม่ได้รับความเสียหายแต่อยา่ ง

ใด เห็นว่า ค่าสินไหมทดแทนในมูลละเมิดจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น ตามประมวล

กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๔๓๘ บญั ญตั ใิ หศ้ าลวนิ จิ ฉยั ตามควรแกพ่ ฤตกิ ารณแ์ ละความ

รา้ ยแรงแห่งละเมิด และค่าสินไหมทดแทนนัน้ รวมถึงคา่ เสียหายอันจะพงึ บังคับให้ใชเ้ พ่ือความ

เสียหายอย่างใด ๆ อันไดก้ อ่ ข้นึ นัน้ ดว้ ย สำหรับคา่ สญู เสียโอกาสทางการตลาดนั้น คำสัง่ อายดั

ส่วนท่ี ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำสั่งในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
135
คดแี พ่ง


ผลติ ภณั ฑแ์ ละคำสงั่ ระงบั การผลติ วตั ถอุ นั ตรายเปน็ คำสง่ั ทช่ี อบ โดยเหตลุ ะเมดิ นเ้ี กดิ จากโจทก

ไม่ได้รับใบอนุญาต โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ ค่าเครื่องจักรใหม่

นนั้ โจทกถ์ กู ปดิ โรงงานเพยี งประมาณ ๕๐ วนั นา่ เชอื่ วา่ เครอ่ื งจกั รเดมิ ยงั คงใชง้ านไดต้ ามปกต

จึงไม่กำหนดให้ ส่วนค่าจ้างพนักงานน้ันโจทก์มิได้นำสืบว่าได้จ่ายให้พนักงานไปจริง จึงไม่

กำหนดให้เช่นกัน สำหรับค่าขาดประโยชน์จากการใช้โรงงานและค่าขาดรายได้ผลิตภัณฑ์อ่ืน

นั้น การท่ีจะรับฟังพยานหลักฐานของฝ่ายใดว่ามีน้ำหนักน่าเชื่อถือกว่ากันก็ต้องพิจารณาจาก

ขอ้ นำสบื ของทงั้ สองฝา่ ย จากขอ้ นำสบื ของโจทกเ์ ปน็ เรอ่ื งทอ่ี ยใู่ นความรเู้ หน็ ของโจทกเ์ พยี งฝา่ ย

เดยี ว แมก้ ระนนั้ โจทก์ก็นำสืบใหช้ ัดแจ้งไมไ่ ด้ แตศ่ าลช้นั ต้นกว็ นิ จิ ฉยั ใหต้ ามควรแก่พฤติการณ

และความร้ายแรงแห่งละเมิด โดยโรงงานของโจทก์ถูกปิดประมาณ ๕๐ วัน ท่ีศาลช้ันต้น

กำหนดให้โจทก์ได้รับเงนิ ๑๕๐,๐๐๐ บาท จึงนบั ว่าเหมาะสมแล้ว คำพิพากษาศาลชนั้ ต้นชอบ

แลว้ อทุ ธรณข์ องโจทกแ์ ละจำเลยทง้ั สองฟงั ไมข่ น้ึ สำหรบั อทุ ธรณข์ องโจทกแ์ ละจำเลยทง้ั สองใน

ประเดน็ อน่ื นอกจากนไ้ี ม่จำตอ้ งวินจิ ฉยั เพราะไมท่ ำใหผ้ ลแหง่ คดีเปลยี่ นแปลง

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชัน้ อุทธรณ์ใหเ้ ปน็ พับ.

136 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คด


ตวั อย่างคดจี า้ งทำของ






คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๗๒๑๘/๒๕๔๘


พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นตามท่ีคู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี

วา่ จำเลยท่ี ๒ เปน็ กรรมการผมู้ อี ำนาจทำการแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ เปน็ เจา้ ของโครงการ

ก่อสร้างอาคารสาธรเพลส และมอบใหบ้ รษิ ทั เฟรนด์ชปิ เอน็ เตอร์ไพรส์ จำกดั ซงึ่ เป็นบรษิ ัทใน

เครอื ของจำเลยที่ ๑ วา่ จา้ งนายเสรมิ ศกั ดิ์ นาคปาน ทำการกอ่ สรา้ งตามสญั ญาวา่ จา้ งและรบั จา้ ง

เอกสารหมาย ล.๖ โจทกเ์ ขา้ ทำการปแู ละตดิ ตงั้ หนิ แกรนติ ในหอ้ งรบั แขกและหอ้ งนำ้ ชนั้ ท่ี ๒ ชนั้

ที่ ๔ และชั้นที่ ๖ ในอาคารดังกล่าว จำนวน ๒๗ ห้อง จำเลยที่ ๒ เคยส่ังจ่ายเช็คธนาคาร

กรงุ เทพ จำกดั (มหาชน) สาขาถนนจนั ทร์ ลงวนั ท่ี ๑๘ ธนั วาคม ๒๕๓๘ จำนวนเงนิ ๑๐๐,๐๐๐

บาท ระบชุ อ่ื นายจบ รตั นพนั ธ์ กรรมการผมู้ อี ำนาจทำการแทนโจทก์ เปน็ ผรู้ บั เงนิ ตามสำเนาเชค็

เอกสารหมาย จ.๙ และจ่ายเงินสด จำนวน ๒๑๕,๐๐๐ บาท สำรองจ่ายเป็นค่าปูและติดต้ัง

หินแกรนติ ในอาคารดงั กล่าวตามใบเบกิ เอกสารหมาย จ.๑๐ แผ่นที่ ๑ ถงึ แผน่ ที่ ๔ ซง่ึ ตรงกับ

ใบเบิกตามเอกสารหมาย ล.๒ แผน่ ที่ ๑ ถึงแผ่นท่ี ๔ (แผ่นสุดทา้ ยใชแ้ บบฟอรม์ ตา่ งกัน) นาย

เสริมศกั ด์ทิ ้งิ งานไปกอ่ นงานแล้วเสรจ็

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยท้ังสองว่าจ้างโจทก์ป

และตดิ ตงั้ หนิ แกรนิตในหอ้ งรบั แขกและห้องนำ้ ชั้นท่ี ๒ ช้นั ที่ ๔ และช้นั ที่ ๖ ในโครงการสาธร-

เพลสตามฟอ้ งหรอื ไม่ โจทกม์ นี ายจบ รตั นพนั ธ์ เบกิ ความวา่ พยานนำใบเสนอราคา ลงวนั ท่ี ๘

พฤศจกิ ายน ๒๕๓๘ ตามเอกสารหมาย จ.๓ ไปเสนอตอ่ จำเลยที่ ๒ เมอื่ จำเลยที่ ๒ ตกลงวา่ จา้ ง

โจทก์ พยานนำหนงั สอื รบั งาน ลงวนั ท่ี ๒๖ พฤศจกิ ายน ๒๕๓๘ ตามเอกสารหมาย จ.๕ ไปฝาก

หวั หนา้ คนงานของจำเลยท่ี ๑ ที่โครงการสาธรเพลสเพือ่ มอบให้จำเลยที่ ๒ หลงั จากนั้นโจทก

เขา้ ทำการปแู ละตดิ ตงั้ หนิ แกรนติ ตามฟอ้ ง จำเลยที่ ๒ จา่ ยเงนิ คา่ จา้ งแกโ่ จทกแ์ ลว้ บางสว่ น เปน็

ส่วนท่ี ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำสง่ั ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
137
คดีแพ่ง


เงนิ รวม ๓๑๕,๐๐๐ บาท โดยจ่ายเป็นเชค็ ตามเอกสารหมาย จ.๙ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และ

เปน็ เงนิ สด จำนวน ๒๑๕,๐๐๐ บาท ตามใบเบกิ เอกสารหมาย จ.๑๐ สว่ นจำเลยทงั้ สองมจี ำเลย

ท่ี ๒ เปน็ พยานเบกิ ความวา่ พยานไมไ่ ดต้ กลงวา่ จา้ งโจทกใ์ หท้ ำการปแู ละตดิ ตงั้ หนิ แกรนติ ตาม

ฟอ้ ง พยานมอบเชค็ ตามเอกสารหมาย จ.๙ และเงนิ สดตามใบเบกิ เอกสารหมาย จ.๑๐ แกน่ าย

เสริมศักดิ์เพ่ือนำไปจ่ายแก่โจทก์ เนื่องจากนายเสริมศักด์ิมีปัญหาทางการเงินและขอเบิกเงิน

ล่วงหน้าไปจ่ายแก่โจทก์ซ่ึงเป็นผู้รับจ้างช่วง เห็นว่า สัญญาว่าจ้างและรับจ้างก่อสร้างตาม

เอกสารหมาย ล.๖ ระหว่างบริษัทเฟรนด์ชิปเอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ซ่ึงเป็นบริษัทในเครือของ

จำเลยท่ี ๑ กับนายเสริมศักด์ิมีการแบ่งงานออกเป็น ๑๕ งวด งานปูและติดตั้งหินแกรนิตใน

หอ้ งรับแขกและหอ้ งนำ้ ชั้นที่ ๒ ชัน้ ที่ ๔ และชน้ั ที่ ๖ เป็นเน้ืองานของงาน งวดท่ี ๑๑ เปน็ ต้น

ไป หากจำเลยท่ี ๒ ไม่ได้ตกลงว่าจ้างโจทก์ให้เข้าทำงานดังกล่าว และจำเลยท่ี ๒ จ่ายเงิน

จำนวน ๓๑๕,๐๐๐ บาท แกโ่ จทก์ เพราะทราบวา่ โจทกเ์ ปน็ ผรู้ บั เหมาชว่ งจากนายเสรมิ ศกั ดจิ์ รงิ

เมอ่ื ถงึ เวลาทจี่ ำเลยท่ี ๒ จา่ ยเงินคา่ งวดแกน่ ายเสริมศกั ด์ิ จำเลยท่ี ๒ นา่ จะตอ้ งหักเงนิ จำนวน

ดังกล่าวออกจากเงินค่างวดท่ีจ่ายแก่นายเสริมศักด์ิด้วย แต่ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเอง

ปรากฏวา่ ในการจ่ายเงินคา่ งาน งวดท่ี ๑๐ และงวดที่ ๑๑ แก่นายเสรมิ ศกั ดิ์ตามเอกสารหมาย

ล.๙ และ ล.๑๐ น้นั จำเลยท่ี ๒ จา่ ยเงินคา่ งาน งวดที่ ๑๐ และงวดท่ี ๑๑ แก่นายเสริมศักดิเ์ ปน็

เชค็ สั่งจา่ ยเงิน ๒,๓๖๐,๐๐๐ บาท ใกลเ้ คยี งกบั จำนวนเงินคา่ งาน งวดท่ี ๑๐ และงวดท่ี ๑๑ ท่

ระบใุ นสญั ญา โดยเฉพาะการจา่ ยเงนิ แกโ่ จทกต์ ามใบเบกิ เอกสารหมาย จ.๑๐ มขี นึ้ ในชว่ งเวลา

ใกลเ้ คยี งกบั ท่จี ำเลยที่ ๒ จ่ายเงนิ ค่างาน งวดที่ ๑๐ และงวดท่ี ๑๑ แกน่ ายเสริมศกั ดิ์ ซง่ึ จำเลย

ท่ี ๒ เองก็ได้เบิกความยอมรับในขอ้ นี้ แตอ่ ้างว่าจำเลยที่ ๒ จ่ายเงินค่างาน งวดที่ ๑๐ และงวด

ที่ ๑๑ แก่นายเสริมศักด์ิโดยไม่ได้หักเงินที่จ่ายแก่โจทก์ออกก่อน เพราะต้องการให้มีหลักฐาน

ว่าจำเลยท่ี ๑ จ่ายเงินแก่นายเสริมศักด์ิตรงตามงวดงานและนายเสริมศักดิ์ตกลงจะนำเงินมา

ชำระคนื ใหใ้ นภายหลงั ซงึ่ หากจำเลยที่ ๒ ตอ้ งการหลกั ฐานวา่ จา่ ยเงนิ ตรงตามงวด เพยี งใหน้ าย

138 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉยั คด


เสริมศักดิ์ทำหนังสือรับรองให้ ก็ย่อมเป็นอันใช้ได้แล้ว ทั้งจำเลยที่ ๒ เบิกความเองว่านาย

เสรมิ ศกั ดเิ์ รมิ่ มปี ญั หาทางการเงนิ มาตง้ั แตง่ าน งวดท่ี ๔ และงวดท่ี ๕ แลว้ จำเลยท่ี ๒ ยอ่ มตอ้ ง

ทราบดีว่าเป็นไปได้ยากท่ีนายเสริมศักดิ์จะนำเงินมาชำระคืนให้ในภายหลัง ข้ออ้างของจำเลย

ที่ ๒ ดงั กลา่ วจึงเห็นได้ชัดวา่ ขดั ตอ่ เหตผุ ล ท้งั ในเอกสารการหกั กลบลบหน้ีค่างาน งวดที่ ๑๒

ถึงงวดที่ ๑๔ ระหว่างนายเสริมศักดิ์กับจำเลยท่ี ๒ ตามเอกสารหมาย ล.๑๒ ปรากฏว่านาย

เสรมิ ศกั ด์ขิ อเบกิ เงิน จำนวน ๔,๔๔๐,๐๐๐ บาท เต็มตามจำนวนเงนิ คา่ งาน งวดที่ ๑๒ ถงึ งวด

ที่ ๑๔ ทร่ี ะบใุ นสญั ญา และจำเลยที่ ๒ ไดแ้ สดงรายการกบั จำนวนเงนิ ทจ่ี ำเลยที่ ๒ จา่ ยลว่ งหนา้

แก่นายเสริมศักด์ิหรือจ่ายแทนนายเสริมศักด์ิไปแล้วเพ่ือหักกลบลบหนี้กันโดยในรายการท
ี่
จำเลยท่ี ๒ แสดงวา่ เปน็ รายการที่จ่ายลว่ งหนา้ แกน่ ายเสริมศักดห์ิ รอื จา่ ยแทนนายเสรมิ ศกั ดิ์ไป

แล้วน้ันก็มิได้กล่าวถึงเช็คตามเอกสารหมาย จ.๙ และใบเบิกตามเอกสารหมาย จ.๑๐ แต่

ประการใด ทัง้ ที่เป็นเงนิ จำนวนมิใช่นอ้ ย การที่จำเลยที่ ๒ จ่ายเงนิ ตามเชค็ เอกสารหมาย จ.๙

และตามใบเบกิ เอกสารหมาย จ.๑๐ แกโ่ จทกโ์ ดยมไิ ดน้ ำเงนิ จำนวนดงั กลา่ วไปหกั ออกจากเงนิ

ค่างาน งวดที่ ๑๐ และงวดที่ ๑๑ กอ่ นท่จี ะจา่ ยเงนิ ค่างานทั้งสองงวดแก่นายเสรมิ ศักดิ์ ท้งั มไิ ด

นำมาคิดหักออกจากค่างาน งวดท่ี ๑๒ ถึงงวดที่ ๑๔ ด้วย ทำให้น่าเช่ือว่างานปูและติดต้ัง

หินแกรนิตของโจทก์ตามฟ้องมิได้เก่ียวข้องกับสัญญาว่าจ้างก่อสร้างและรับจ้างตามเอกสาร

หมาย ล.๖ และไมใ่ ชง่ านทอ่ี ยใู่ นความรบั ผดิ ชอบของนายเสรมิ ศกั ดิ์ แตเ่ ปน็ งานทจี่ ำเลยที่ ๒ ตก

ลงวา่ จา้ งโจทกเ์ องโดยตรงตามที่โจทก์อทุ ธรณ์ แมใ้ บเบิกตามเอกสารหมาย จ.๑๐ แผ่นท่ี ๑ ถงึ

แผ่นที่ ๓ และใบเบิกตามเอกสารหมาย ล.๒ แผ่นสุดท้าย ด้านบน จะมีข้อความว่า “บริษัท

เฟรนดช์ ิปเอน็ เตอรไ์ พรส์ จำกดั ใบเบิกเงนิ จ่ายแทนผูร้ บั จา้ ง นายเสริมศักด์ิ นาคปาน....” และ

ในหนงั สอื สง่ มอบงานตามเอกสารหมาย ล.๓ มขี อ้ ความระบวุ า่ “ขา้ พเจา้ จบ รตั นพนั ธ ์ ซง่ึ เปน็

ผรู้ บั เหมาชว่ งงาน แผนกงาน.... ของโครงการสาธรเพลส มคี วามประสงคจ์ ะสง่ ผลงาน....” แตใ่ บ

เบิกและหนังสือส่งมอบงานดังกล่าวเป็นแบบฟอร์มท่ีจำเลยท่ี ๑ จัดทำข้ึนเอง จึงน่าเช่ือตามที


สว่ นท่ี ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 139
คดีแพง่


โจทกอ์ ทุ ธรณว์ า่ เมอื่ โจทกเ์ ขา้ มาทำงานในโครงการกอ่ สรา้ งอาคารของจำเลยที่ ๑ เจา้ หนา้ ทขี่ อง

จำเลยท่ี ๑ ก็ได้ให้โจทก์ใช้แบบฟอร์มดังกล่าวในการขอเบิกเงินและส่งมอบงาน ส่วนท่ีใบเบิก

ตามเอกสารหมาย จ.๑๐ แผ่นท่ี ๑ ถงึ แผ่นที่ ๓ และเอกสารหมาย ล.๒ แผ่นสดุ ท้าย มชี อ่ื นาย

มหเุ ซน็ สะแม และนายวชิ ยั ซองดี หวั หนา้ คนงานของนายเสรมิ ศกั ด์ิ เปน็ ผเู้ บกิ นนั้ ใบเบกิ ตาม

เอกสารหมาย จ.๑๐ แผน่ ท่ี ๑ และเอกสารหมาย ล.๒ แผน่ สดุ ทา้ ย ระบชุ ดั เจนวา่ สำรองจา่ ยแก

นายจบ รัตนพันธ์ กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์ และใบเบิกตามเอกสารหมาย จ.๑๐

แผน่ ท่ี ๒ และแผน่ ท่ี ๓ ระบวุ ่าสำรองจ่ายแก่ผรู้ ับเหมาหินแกรนิต ชัน้ ท่ี ๒ ช้ันที่ ๔ และชัน้ ท่ี ๖

ซ่ึงหมายถึงโจทก์นั่นเอง ไม่มีฉบับใดที่ระบุว่าเป็นเงินสำรองจ่ายแก่นายเสริมศักด์ิ และแม

ปรากฏวา่ มลี ายมอื ชอื่ นายเสรมิ ศกั ดลิ์ งไวท้ ต่ี น้ ขวั้ เชค็ ทจ่ี ำเลยที่ ๒ สง่ั จา่ ยแกน่ ายจบตามเอกสาร

หมาย ล.๘ แตก่ ไ็ มป่ รากฏวา่ นายเสรมิ ศกั ดล์ิ งลายมอื ชอ่ื ไวใ้ นฐานะใด ทจี่ ำเลยที่ ๒ อา้ งวา่ จำเลย

ท่ี ๒ มอบเช็คตามเอกสารหมาย จ.๙ และเงินสดตามใบเบิก เอกสารหมาย จ.๑๐ แก่นาย

เสริมศักดิ์เพ่ือนำไปจ่ายแก่โจทก์ เนื่องจากนายเสริมศักดิ์มีปัญหาทางการเงินและขอเบิกเงิน

ล่วงหน้าไปจ่ายแก่โจทก์ซ่ึงเป็นผู้รับจ้างช่วง จึงรับฟังไม่ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒

ว่าจา้ งโจทกท์ ำการปแู ละติดตั้งหินแกรนติ ในหอ้ งรับแขกและหอ้ งน้ำ ชั้นท่ี ๒ ช้นั ที่ ๔ และชน้ั

ที่ ๖ ในโครงการสาธรเพลส จำนวน ๒๗ หอ้ ง ตามฟอ้ ง แตจ่ ำเลยท่ี ๒ กระทำการในฐานะผู้มี

อำนาจทำการแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ จงึ ตอ้ งชำระเงนิ คา่ จา้ งแกโ่ จทก์ โดยจำเลยท่ี ๒ ไมต่ อ้ ง

ร่วมรบั ผิดเปน็ การส่วนตวั นายจบเบิกความว่า งานที่จำเลยที่ ๒ ใหโ้ จทก์ทำและคา่ จา้ งรวมคา่

ของทจี่ ำเลยที่ ๒ ตกลงชำระแกโ่ จทกป์ รากฏตามหนงั สอื รบั งาน เอกสารหมาย จ.๕ จำเลยท่ี ๒

มิได้โต้แยง้ วา่ โจทกไ์ ม่ไดท้ ำงานตามที่ปรากฏในเอกสารดังกล่าว และมิไดโ้ ต้แยง้ ว่าราคาค่าจา้ ง

รวมคา่ ของ เปน็ เงนิ ๑,๒๐๑,๐๐๐ บาท ตามทป่ี รากฏในเอกสารดงั กลา่ วนน้ั สงู เกนิ ความเปน็ จรงิ

ทงั้ ไมไ่ ดโ้ ตแ้ ยง้ ทนี่ ายจบเบกิ ความวา่ จำเลยทง้ั สองยงั ไดว้ า่ จา้ งโจทกป์ หู นิ แกรนติ ทเ่ี คานเ์ ตอรใ์ น

หอ้ งนำ้ เพิม่ เตมิ เป็นเงินรวม ๖๒,๑๐๐ บาท ด้วย จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดชำระเงนิ แก่โจทก์

140 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉัยคด


๑,๒๖๓,๑๐๐ บาท แต่จำเลยท่ี ๑ ชำระเงินแก่โจทก์แล้ว ๓๑๕,๐๐๐ บาท คงค้างชำระอีก

๙๔๘,๑๐๐ บาท จำเลยท่ี ๑ จึงต้องชำระเงินจำนวนดังกลา่ วแกโ่ จทกพ์ รอ้ มดว้ ยดอกเบย้ี อัตรา

ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นบั แต่วนั ที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๓๙ ซึ่งเปน็ วันครบกำหนดทวงถามเป็นตน้ ไป

แตท่ โี่ จทกข์ อใหจ้ ำเลยที่ ๑ ชำระคา่ ตดิ ตามทวงถามแกโ่ จทกด์ ว้ ยนนั้ เงนิ ดงั กลา่ วถอื ไมไ่ ดว้ า่ เปน็

ผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ไมม่ หี นา้ ทตี่ อ้ งชำระเงนิ จำนวนดงั กลา่ วแก

โจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์ฟงั ข้ึนบางส่วน

พพิ ากษาแก้เป็นวา่ ใหจ้ ำเลยที่ ๑ ชำระเงิน จำนวน ๙๔๘,๑๐๐ บาท พร้อมดว้ ย

ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี คิดจากต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ ๒ กรกฎาคม

๒๕๓๙ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องเมื่อวันท่ี ๒๖

มิถนุ ายน ๒๕๔๑) ต้องไมเ่ กนิ ๑๔๐,๘๓๒.๓๕ บาท ใหจ้ ำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนยี มท้งั สอง

ศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าข้ึนศาลให้ใช้แทนเท่าท่ีโจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ

รวมกันเป็นเงนิ ๒๐,๐๐๐ บาท นอกจากทแี่ ก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชัน้ ตน้ .

สว่ นที่ ๒ ตวั อย่างคำพิพากษาและคำสัง่ ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 141
คดีแพง่


ตวั อยา่ งคดีจำนำ ประมวลรัษฎากร






คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ่ี ๖๒๗๓/๒๕๕๐


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันฟังได้

ว่า เม่ือวันท่ี ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๔๔ บริษัทแพทอง แอสโซซิเอทส์ จำกัด นำเงิน จำนวน

๙๐๐,๐๐๐ บาท มาขอออกบัตรเงินฝากจากจำเลย แล้วนำบัตรเงินฝากดังกล่าวไปจำนำเป็น

ประกันหนี้ท่ีบริษัทแพทอง แอสโซซิเอทส์ จำกัด เพื่อขอสินเชื่อหนังสือค้ำประกัน วงเงิน

๙๐๐,๐๐๐ บาท จากจำเลยตามบตั รเงนิ ฝาก และสญั ญาจำนำตราสารชนดิ ออกใหแ้ กบ่ คุ คลโดย

นาม เอกสารหมาย ล.๑ กบั ล.๒ และยังไมม่ กี ารเวนคนื หนังสอื ค้ำประกันดงั กล่าว ตอ่ มาเม่ือ

วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๔๕ บตั รเงนิ ฝากตามเอกสารหมาย ล.๑ ถงึ กำหนดชำระ แตบ่ รษิ ัท

แพทอง แอสโซซิเอทส์ จำกดั ไมต่ ดิ ตอ่ ขอใหจ้ ำเลยออกบตั รใหมห่ รอื ถอนเงนิ ตามบัตรเงนิ ฝาก

เมอ่ื วันท่ี ๑๐ มถิ ุนายน ๒๕๔๕ โจทกม์ คี ำส่ังอายดั เงนิ ฝากในบัญชีเงินฝากประเภทฝากประจำ

ของบริษัทแพทอง แอสโซซิเอทส์ จำกดั บญั ชเี ลขที่ ๐๑๒-๓-๐๓๘๐๐-๑ หรือบญั ชีอื่นใดทม่ี ชี อ่ื

บรษิ ทั แพทอง แอสโซซเิ อทส์ จำกดั เปน็ เจา้ ของหรอื เปน็ เจา้ ของรว่ มไปยงั จำเลย ครบกำหนดสง่

เงนิ ตามคำสง่ั อายดั ในวนั ที่ ๑๗ มถิ นุ ายน ๒๕๔๕ แตจ่ ำเลยไมส่ ง่ เงนิ ไปใหโ้ จทกต์ ามคำสงั่ อายดั

จนกระท่ังเม่ือวันท่ี ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๔๖ จำเลยนำต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยตามบัตรเงินฝาก

เอกสารหมาย ล.๑ ไปเปดิ บญั ชเี งนิ ฝากประเภทฝากประจำในนามบรษิ ทั แพทอง แอสโซซเิ อทส ์

จำกัด บัญชีเลขที่ ๐๑๒-๓-๐๔๐๕๕-๕ และระหวา่ งวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๔๕ ถงึ วนั ที่ ๒๘

พฤษภาคม ๒๕๔๖ จำเลยคิดดอกเบี้ยในเงินจำนวนดังกล่าวให้บริษัทแพทอง แอสโซซิเอทส์
จำกดั เทา่ กบั ดอกเบยี้ เงนิ ฝากในบญั ชเี งนิ ฝากประเภทออมทรพั ย์ และจำเลยยงั คงรกั ษาเงนิ ฝาก

ของบรษิ ทั แพทอง แอสโซซเิ อทส์ จำกดั จนถงึ ปจั จบุ นั คดมี ปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ อง

โจทกเ์ พยี งประการเดยี ววา่ จำเลยจะตอ้ งรบั ผดิ ชำระดอกเบยี้ แกโ่ จทกน์ บั แตว่ นั ท่ี ๑๘ มถิ นุ ายน

142 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉยั คดี


๒๕๔๕ ซง่ึ เปน็ วนั ถดั จากวนั ครบกำหนดสง่ เงนิ ตามคำสงั่ อายดั หรอื ไม่ โดยโจทกอ์ ทุ ธรณว์ า่ การ

ท่ีบรษิ ทั แพทอง แอสโซซเิ อทส์ จำกดั นำบัตรเงนิ ฝากไปทำสัญญาจำนำไว้แกจ่ ำเลย ไม่ใช่การ

จำนำสิทธิท่ีมีตราสาร จำเลยจึงต้องปฏิบัติตามคำส่ังอายัดของโจทก์ เห็นว่า จำเลยซึ่งเป็น

ธนาคารพาณิชย์ได้ออกบัตรเงินฝากให้แก่ผู้ฝากเงินโดยมีพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์

พ.ศ. ๒๕๐๕ รองรบั ซ่ึงตามมาตรา ๔ แหง่ พระราชบัญญตั ดิ ังกล่าวใหน้ ยิ าม “บตั รเงนิ ฝาก” ว่า

หมายความวา่ ตราสารซงึ่ เปลย่ี นมอื ไดท้ ธี่ นาคารพาณชิ ยอ์ อกใหแ้ กผ่ ฝู้ ากเงนิ เพอื่ เปน็ หลกั ฐาน

การรับฝากเงินและเพื่อแสดงสิทธิของผู้ทรงตราสารที่จะได้รับเงินฝากคืนเม่ือสิ้นระยะเวลาอัน

กำหนดไว้ โดยจะมกี ารกำหนดดอกเบยี้ ไวด้ ว้ ยหรอื ไมก่ ไ็ ด้ และกำหนดรายการทจ่ี ะตอ้ งมใี นบตั ร

เงินฝากไว้ในมาตรา ๙ ตรี ทงั้ มาตรา ๙ จัตวา ก็บญั ญตั ิใหน้ ำบทบญั ญัติแหง่ ประมวลกฎหมาย

แพง่ และพาณชิ ยบ์ างมาตราในลกั ษณะตวั๋ เงนิ มาใชบ้ งั คบั แกบ่ ตั รเงนิ ฝากโดยอนโุ ลมดว้ ย จงึ ถอื

ได้ว่าบัตรเงินฝากเปน็ ตราสารท่ีใชแ้ ทนสทิ ธิ เปน็ เอกสารท่ที ำขนึ้ ตามแบบพธิ ใี นกฎหมาย และ

เปน็ ตราสารทโ่ี อนเปลย่ี นมอื กนั ไดด้ ว้ ยวธิ กี ารทก่ี ำหนดไวใ้ นตราสารนน้ั แตกตา่ งไปจากสมดุ เงนิ

ฝากที่ธนาคารมอบให้ผู้ฝากเงินไว้เพียงเป็นหลักฐานในการฝากและถอนเงิน ท่ีโจทก์อุทธรณ์

วา่ บตั รเงินฝากตามเอกสารหมาย ล.๑ ไม่สามารถโอนเปลี่ยนมือกันได้ เพราะการโอนเปลย่ี น

มอื จะตอ้ งไดร้ บั ความยนิ ยอมจากจำเลยกอ่ น และจำเลยคงไมม่ ที างทจี่ ะยนิ ยอมนนั้ เหน็ วา่ ตาม

ขอ้ กำหนดและเงอื่ นไขของบตั รเงนิ ฝากดงั กลา่ ว ขอ้ ๓ กำหนดวธิ กี ารโอนเปลย่ี นมอื บตั รเงนิ ฝาก

วา่ ใหก้ ระทำโดยผโู้ อนและผ้รู ับโอนลงลายมือชอ่ื ท่ีด้านหลังบัตรเงินฝาก และผ้รู ับโอนต้องนำไป

จดทะเบยี นรบั บตั รเงนิ ฝากทธ่ี นาคารจำเลยเทา่ นน้ั หาไดก้ ำหนดใหต้ อ้ งไดร้ บั ความยนิ ยอมจาก

จำเลยกอ่ นอนั อาจจะเปน็ เหตใุ หไ้ มส่ ามารถโอนเปลยี่ นมอื กนั ไดด้ งั ทโ่ี จทกอ์ ทุ ธรณแ์ ตอ่ ยา่ งใดไม่

สทิ ธติ ามบตั รเงนิ ฝากจงึ เปน็ สทิ ธทิ ม่ี ตี ราสาร สามารถจำนำกนั ได้ จำเลยเปน็ ผรู้ บั จำนำสทิ ธติ าม

บตั รเงนิ ฝาก เอกสารหมาย ล.๑ ไวจ้ ากบรษิ ทั แพทอง แอสโซซเิ อทส์ จำกดั จงึ ยอ่ มมสี ทิ ธไิ ดร้ บั

ชำระหนจี้ ากทรพั ยท์ จ่ี ำนำกอ่ นโจทกซ์ งึ่ เปน็ เพยี งเจา้ หนบี้ รุ มิ สทิ ธสิ ามญั ของบรษิ ทั ดงั กลา่ ว การ

ส่วนท่ี ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำสง่ั ในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 143
คดแี พง่


ท่ีจำเลยไม่ส่งเงินไปให้โจทก์ตามคำส่ังอายัดถือไม่ได้ว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัด จำเลยจึงไม่ต้อง

รับผิดชำระดอกเบ้ียนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดส่งเงินตามคำสั่งอายัดของโจทก์ อุทธรณ์

ของโจทก์ฟงั ไมข่ นึ้ สว่ นทโ่ี จทกอ์ ุทธรณ์วา่ บัตรเงนิ ฝากตามเอกสารหมาย ล.๑ จัดทำขึน้ โดยมี

เจตนาลวงระหวา่ งจำเลยกบั บรษิ ทั แพทอง แอสโซซเิ อทส์ จำกดั เพอื่ ใหบ้ คุ คลภายนอกเขา้ ใจวา่

เป็นการจำนำ ความจริงแล้วเป็นการฝากเงินในบัญชีเงินฝากประเภทออมทรัพย์ ซ่ึงไม่ใช่เป็น

การจำนำนั้น เป็นอุทธรณใ์ นขอ้ ท่ไี มไ่ ดย้ กขน้ึ ว่ากนั มาแลว้ โดยชอบในศาลชั้นต้น ตอ้ งห้ามมิให

อทุ ธรณต์ ามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ มาตรา ๒๒๕ วรรคหนงึ่ ศาลอทุ ธรณไ์ มร่ บั

วนิ จิ ฉยั

พิพากษายนื ค่าฤชาธรรมเนยี มช้นั อุทธรณใ์ หเ้ ปน็ พบั .

144 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คดี


ตัวอยา่ งคดเี ชา่ ซอ้ื คำ้ ประกัน






๑. คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๘๖๑๓/๒๕๔๘


พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่า

โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสื่อมราคารถยนต์อันเป็นค่าเสียหายจากการที่โจทก์ขายรถยนต์ท่ีเช่าซื้อ

ไม่ได้เท่ากับราคาค่าเช่าซื้อที่ค้างอยู่จากจำเลยทั้งสองได้เพียงใด โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า ตาม

สัญญาเช่าซื้อ ข้อ ๑๐ กำหนดให้จำเลยท่ี ๑ ชำระค่าขาดราคารถยนต์เท่ากับค่าเช่าซื้อท่ีค้าง

ชำระ จำเลยที่ ๑ จงึ ตอ้ งชดใชร้ าคารถยนตส์ ว่ นทข่ี าดจนครบถว้ นนนั้ เหน็ วา่ ราคาคา่ เชา่ ซอ้ื เปน็

ราคารวมของเงินลงทุนของโจทก์และผลประโยชน์ท่ีโจทก์คำนวณไว้ล่วงหน้าสำหรับการลงทุน

เปน็ เวลา ๖๕ เดือน โดยให้จำเลยท่ี ๑ ชำระเป็นงวด งวดละ ๑๐,๕๒๗ บาท โจทก์ได้รบั ค่าเชา่

ซื้อแล้ว ๒๕ งวด และได้รับรถยนต์คืนแล้วตั้งแต่วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๔๑ ซ่ึงเป็นเวลา

หลงั จากทำสัญญาเช่าซื้อ ๓ ปีเศษ การท่ีจะกำหนดใหจ้ ำเลยท่ี ๑ ชำระคา่ เชา่ ซือ้ สว่ นทขี่ าดซ่ึง

รวมผลประโยชน์สำหรับการลงทุนนาน ๕ ปี ๕ เดือน ให้ครบตามจำนวนที่ตกลงไว้ย่อมเป็น

จำนวนเงินทสี่ งู เกนิ ส่วน โจทก์นำสบื วา่ โจทก์ลงทนุ ไป ๔๖๐,๐๐๐ บาท โจทก์ได้รบั ค่าเช่าซ้อื

ตามงวดแล้ว ๒๕ งวด ซ่งึ คำนวณโดยหกั ภาษีมูลคา่ เพิม่ ออกก่อน เป็นเงนิ ๒๔๕,๙๕๘ บาท

และได้รับเงินจากการขายรถยนต์อีก ๒๑๘,๑๘๑.๘๒ บาท จึงเป็นเงินท่ีโจทก์ได้รับแล้ว

๔๖๔,๑๓๙.๘๒ บาท สูงกว่าเงินลงทนุ ของโจทก์ แตเ่ มือ่ พิจารณาวา่ กิจการของโจทก์ประสงคท์ ี

จะแสวงหากำไรหรอื ผลตอบแทนซง่ึ โจทกน์ ำมาคดิ คำนวณไวใ้ นราคาทใี่ หจ้ ำเลยที่ ๑ เชา่ ซอ้ื อนั

เป็นผลประโยชน์ที่โจทก์ควรได้รับตามระยะเวลาท่ีระบุไว้ในสัญญาเช่าซ้ือ และค่าเสียหายอัน

เปน็ คา่ ขาดประโยชนท์ ศี่ าลชน้ั ตน้ กำหนดใหแ้ ลว้ เปน็ เงนิ ๒๗,๐๐๐ บาท มาประกอบดว้ ย ทศี่ าล

ช้ันต้นกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ ๓๐,๐๐๐ บาท จึงเหมาะสมแล้ว ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย

อุทธรณข์ องโจทก์ข้อนีฟ้ งั ไมข่ ึ้น

สว่ นที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำสัง่ ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
145
คดแี พ่ง


ปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการต่อไปมีว่า โจทก์สมควร

ไดร้ บั คา่ เสยี หายจากการขาดประโยชนร์ ะหวา่ งผดิ นดั จนถงึ วนั ทย่ี ดึ รถยนตค์ นื เพยี งใด โดยโจทก

อุทธรณ์ว่า ท่ีศาลช้ันตน้ วนิ ิจฉยั วา่ โจทกน์ ำสบื ลอย ๆ ไมป่ รากฏข้อเท็จจรงิ วา่ จะนำไปใหบ้ คุ คล

ใดเช่าซึ่งจะได้ค่าเช่าในอัตราท่ีขอมาน้ันทุกเดือน โจทก์เห็นว่าค่าขาดประโยชน์เป็นค่าเสียหาย

อย่างหน่ึงท่ีโจทก์มีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาค่าใช้ทรัพย์น้ันตลอดเวลาที่จำเลยท่ี ๑ ครอบครอง

รถยนตอ์ ยู่ เหน็ วา่ ขอ้ ตกลงในสญั ญาทใี่ หโ้ จทกเ์ รยี กคา่ ขาดประโยชนใ์ นอตั ราคา่ เชา่ ซอื้ เปน็ การ

กำหนดคา่ เสยี หายไวล้ ว่ งหนา้ วธิ หี นง่ึ มลี กั ษณะเปน็ การกำหนดเบยี้ ปรบั หากสงู เกนิ สว่ น ศาลม

อำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๓

วรรคหน่งึ คา่ เช่าซือ้ ต่อเดือนเปน็ จำนวนเงินรวมของราคารถยนต์ที่จำเลยที่ ๑ จะตอ้ งชำระต่อ

เดือนกับผลประโยชนท์ โี่ จทก์คำนวณไว้วา่ ควรจะไดร้ ับจากการลงทุนต่อเดอื น จงึ เป็นไปไม่ได้ท
ี่
จะกำหนดค่าขาดประโยชน์ต่อเดือนให้เท่ากับค่าเช่าซ้ือที่จะต้องชำระต่อเดือน เม่ือได้คำนึงถึง

อตั ราคา่ เชา่ เฉลยี่ ทง้ั วนั ทอ่ี าจมผี มู้ าขอเชา่ และวนั ทอ่ี าจไมม่ ผี มู้ าขอเชา่ ซงึ่ โจทกจ์ ะไมไ่ ดร้ บั คา่ เชา่

ในวันนั้น รวมทั้งค่าเช่าซื้อตามสัญญา ค่างวดค่าเช่าซ้ือ และจำนวนเงินทั้งหมดท่ีจำเลยท่ี ๑

ชำระใหโ้ จทกไ์ ปแลว้ ทศี่ าลชน้ั ตน้ กำหนดคา่ ขาดประโยชนใ์ ห้ เปน็ เงนิ ๒๗,๐๐๐ บาท นน้ั นบั วา่

เหมาะสมแล้ว ไม่มีเหตทุ ศ่ี าลอุทธรณจ์ ะแก้ไขโดยเพิ่มให้อีก อทุ ธรณข์ องโจทก์ขอ้ น้ฟี งั ไม่ข้ึน

ปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการสุดท้ายมีว่า โจทก์เรียก

ดอกเบ้ียในระหว่างผิดนัดได้ในอัตราเท่าใด โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบ้ียใน

อัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซ้ือ เอกสารหมาย จ.๕ ข้อ ๙ น้ัน เห็นว่า

ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่ง ซ่ึงมีลักษณะเป็นการกำหนดเบ้ียปรับไว

ลว่ งหนา้ เมอ่ื เบ้ยี ปรับน้ันสูงเกนิ ส่วน ศาลมอี ำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามประมวล

กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๓๘๓ วรรคหนง่ึ ทศ่ี าลชนั้ ตน้ กำหนดดอกเบยี้ ระหวา่ งผดิ นดั

ใหโ้ จทกใ์ นอตั รารอ้ ยละ ๗.๕ ตอ่ ปี นน้ั เหมาะสมแลว้ อทุ ธรณข์ องโจทกข์ อ้ นฟ้ี งั ไมข่ น้ึ อกี เชน่ กนั

146 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉัยคด


พพิ ากษายนื ค่าฤชาธรรมเนยี มในชัน้ อุทธรณใ์ หเ้ ป็นพบั .






. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๕๙๗๗/๒๕๔๙


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อ

วนั ที่ ๒๘ ธนั วาคม ๒๕๔๔ จำเลยท่ี ๑ ทำสญั ญาเชา่ ซอื้ รถยนต์ ยหี่ อ้ วอลโว่ หมายเลขทะเบยี น

๘ฬ - ๓๘๓๓ กรงุ เทพมหานคร ไปจากโจทกใ์ นราคา ๖๐๔,๘๐๐ บาท ตกลงชำระคา่ เชา่ ซอ้ื ๔๘

งวด งวดละ ๑๒,๖๐๐ บาท ต่อเดือน ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เริ่มชำระงวดแรกในวันท่ี ๑

กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ งวดตอ่ ไปชำระภายในวันที่ ๑ ของเดอื นถดั ไปจนกว่าจะครบ โดยมีจำเลย

ที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหน้ีร่วมตามสัญญาเช่าซ้ือ และสัญญาค้ำประกัน

เอกสารหมาย จ.๗ และ จ.๘ จำเลยท่ี ๑ ผดิ นดั ชำระค่าเชา่ ซอื้ ตงั้ แต่งวดที่ ๑๘ ประจำวันท่ี ๑

กรกฎาคม ๒๕๔๖ และไม่ส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์ โจทกม์ หี นงั สอื ทวงถามและบอกเลิกสัญญา

เช่าซื้อแก่จำเลยท่ี ๑ แลว้ ต่อมาเมอื่ วันที่ ๑๖ มนี าคม ๒๕๔๘ โจทกต์ ดิ ตามยดึ รถยนต์คืนได้

มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่า โจทก์มี

สทิ ธเิ รยี กคา่ เชา่ ซอื้ ทคี่ า้ งชำระนบั แตว่ นั ผดิ นดั จนถงึ วนั บอกเลกิ สญั ญาตามฟอ้ งไดห้ รอื ไม่ โจทก

อทุ ธรณว์ า่ โจทกม์ สี ทิ ธเิ รยี กคา่ เชา่ ซอ้ื ทค่ี า้ งชำระจากจำเลยที่ ๑ ได้ เนอื่ งจากตามสญั ญาเชา่ ซอื้

ขอ้ ๑ วรรคสอง และขอ้ ๑๔.๒ กำหนดใหผ้ เู้ ชา่ ซอื้ ชำระคา่ เชา่ ซอ้ื ทคี่ า้ งชำระกอ่ นเลกิ สญั ญาจน

ครบถ้วนแก่เจ้าของ จำเลยท่ี ๑ จึงต้องชำระค่าเช่าซื้อท่ีค้างชำระก่อนบอกเลิกสัญญา เห็นว่า

ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๕๗๔ เมอื่ มกี ารบอกเลกิ สญั ญา เพราะผเู้ ชา่ ซอื้

ผดิ นดั ชำระคา่ เชา่ ซอื้ ผใู้ หเ้ ชา่ ซอ้ื มสี ทิ ธริ บิ เงนิ ทผ่ี ใู้ หเ้ ชา่ ซอื้ รบั ไว้ และกลบั เขา้ ครอบครองทรพั ยท์
ี่
ใหเ้ ชา่ ซือ้ เทา่ นั้น การที่โจทก์กำหนดใหจ้ ำเลยท่ี ๑ ต้องชำระคา่ เช่าซ้อื ทั้งหมดในขณะที่โจทก์ม

สิทธิกลับเข้าครอบครองรถยนต์ ย่อมเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องซ้ำซ้อนกัน ไม่สอดคล้องกับ

บทบญั ญตั แิ หง่ กฎหมาย โจทกจ์ งึ ไมม่ สี ทิ ธทิ จี่ ะเรยี กรอ้ งใหจ้ ำเลยที่ ๑ ชำระคา่ เชา่ ซอื้ ทคี่ า้ งชำระ

ส่วนที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำส่ังในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 147
คดีแพ่ง


กอ่ นสญั ญาเลกิ กนั อกี ได้ โจทกค์ งเรยี กไดแ้ ตเ่ พยี งคา่ ทจ่ี ำเลยท่ี ๑ ใชท้ รพั ยท์ เี่ ชา่ ซอื้ ตลอดเวลาท
ี่
ครอบครองทรัพย์อยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๙๑ วรรคสาม และ

ค่าเสียหายเพราะเหตุอ่ืนท่ีจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดนอกเหนือจากค่าเสียหายอันเกิดแต่การใช้

ทรัพย์โดยชอบ ตามสัญญาเช่าซ้ือดังกล่าวท่ีระบุว่าเม่ือสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน ผู้เช่าซ้ือมีหน้าท่ี

ตอ้ งชำระคา่ เชา่ ซอื้ ทคี่ า้ งชำระอยกู่ อ่ นสญั ญาเลกิ กนั นน้ั เปน็ การกำหนดคา่ เสยี หายวธิ หี นงึ่ ซง่ึ ม

ลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับไว้ล่วงหน้า แม้โจทก์จะเรียกร้องมาเป็นค่าเช่าซื้อท่ีค้างชำระ

ไม่ได้เรียกร้องเป็นค่าเสียหายฐานผิดสัญญาต่อโจทก์ก็ตาม แต่ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์

กล่าววา่ โจทกไ์ ด้ทวงถามใหจ้ ำเลยที่ ๑ ชำระค่าเชา่ ซือ้ ที่ค้างชำระแล้ว แต่จำเลยที่ ๑ เพกิ เฉย
โจทกไ์ ดร้ บั ความเสยี หาย ซง่ึ พอถอื ไดว้ า่ โจทกเ์ รยี กคา่ เสยี หายในกรณจี ำเลยท่ี ๑ ใชร้ ถยนตอ์ นั

เป็นทรัพย์ของโจทก์ตลอดเวลาท่ีจำเลยที่ ๑ ยังคงครอบครองอยู่ ศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจ

กำหนดให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายพอสมควรแก่ความเสียหายที่เกิดข้ึนได้ตามประมวล

กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๓๘๓ เมอ่ื พเิ คราะหถ์ งึ คา่ เชา่ ซอื้ ตามสญั ญา คา่ งวดคา่ เชา่ ซอ้ื

และจำนวนเงนิ ทงั้ หมดท่จี ำเลยท่ี ๑ ชำระใหโ้ จทกไ์ ปแล้ว เหน็ สมควรกำหนดค่าเสยี หายส่วนน
ี้
ใหแ้ กโ่ จทก์ เดอื นละ ๔,๐๐๐ บาท เปน็ เวลา ๙ เดอื น เปน็ เงนิ ๓๖,๐๐๐ บาท อทุ ธรณข์ องโจทก

ข้อน้ีฟังข้ึนบางส่วน และเมื่อศาลกำหนดค่าขาดประโยชน์ให้แก่โจทก์นับแต่วันผิดนัดจนถึง

วนั เลกิ สญั ญา เดอื นละ ๔,๐๐๐ บาท จงึ เหน็ สมควรกำหนดคา่ ขาดประโยชนใ์ นอตั ราเดยี วกนั คอื

เดอื นละ ๔,๐๐๐ บาท นับแต่วันเลกิ สัญญาถงึ วันฟ้อง เป็นเวลา ๒ เดอื น เป็นเงนิ ๘,๐๐๐ บาท

รวมเป็นค่าเสยี หายทัง้ สนิ้ ๔๔,๐๐๐ บาท และนบั แตว่ นั ถดั จากวันฟอ้ งตอ่ ไปอกี ๖ เดือน ดว้ ย

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการต่อไปมีว่า โจทก์เรียก

ดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดได้ในอัตราเท่าใด ปัญหานี้ศาลช้ันต้นยังมิได้วินิจฉัย ศาลอุทธรณ์

เห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลช้ันต้นวินิจฉัยก่อน โจทก์อุทธรณ

วา่ โจทกม์ สี ทิ ธไิ ดร้ บั ดอกเบยี้ ในอตั รารอ้ ยละ ๑๕ ตอ่ ปี ของเงนิ คา่ เชา่ ซอื้ ทค่ี า้ งชำระ เหน็ วา่ แม


148 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คดี


โจทกจ์ ะมสี ทิ ธเิ รยี กดอกเบยี้ ในอตั รารอ้ ยละ ๑๕ ตอ่ ปี ตามขอ้ ตกลงในสญั ญาเชา่ ซอ้ื ขอ้ ๑๔.๔ ก

ตาม แต่ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งซ่ึงมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ย

ปรับไว้ล่วงหน้า เมื่อเบี้ยปรับนั้นสูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๓ วรรคหน่ึง จึงเห็นสมควรกำหนดดอกเบ้ีย

ระหวา่ งผดิ นดั ใหโ้ จทกใ์ นอตั รารอ้ ยละ ๗.๕ ตอ่ ปี ของคา่ เสยี หาย จำนวน ๓๖,๐๐๐ บาท อทุ ธรณ

ของโจทก์ข้อนี้ฟังข้นึ บางสว่ นเชน่ กนั

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยท้ังสองร่วมกันชำระเงิน จำนวน ๔๔,๐๐๐ บาท

พรอ้ มดอกเบย้ี ในอตั รารอ้ ยละ ๗.๕ ตอ่ ปี ของเงนิ ตน้ ๓๖,๐๐๐ บาท นบั ถดั จากวนั ฟอ้ งจนกวา่ จะ

ชำระเสร็จ และร่วมกันชำระค่าเสียหาย เดือนละ ๔,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องต่อไปอีก ๖

เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลช้ันต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในช้ันอุทธรณ์ให้

เป็นพับ.

สว่ นท่ี ๒ ตวั อย่างคำพิพากษาและคำส่งั ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 149
คดีแพง่


ตัวอยา่ งคดีเชา่ ทรพั ย์ ขบั ไล






คำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๔๕๙๕/๒๕๔๙


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นตามท่

คคู่ วามมไิ ดโ้ ตแ้ ยง้ กนั ในชนั้ นว้ี า่ ทดี่ นิ พพิ าทโฉนดเลขที่ ๘๑๙๘๐ ตำบลบางนา อำเภอพระโขนง

จงั หวัดพระนคร เคยเปน็ ของนายพยงค์ เจริญทรพั ย์ บดิ าโจทก์ ตอ่ มาเมอื่ วนั ท่ี ๓๐ สิงหาคม

๒๕๓๗ นายพยงคข์ ายทด่ี นิ พพิ าทแกน่ างธนาพร อนิ ทรอ์ นนั ต์ ภรยิ าอกี คนหนง่ึ ของนายพยงค์

โจทก์ประมูลซื้อที่ดินพิพาทได้จากการขายทอดตลาดตามคำส่ังศาลเม่ือวันท่ี ๓ กรกฎาคม

๒๕๔๕ ตามโฉนดทด่ี นิ และหนงั สอื สญั ญาซอ้ื ขายทดี่ นิ เอกสารหมาย จ.๔ และ จ.๑๑ จำเลยทง้ั

สองเปน็ สามภี รยิ ากนั จำเลยท่ี ๑ ทำสญั ญาเชา่ ทดี่ นิ พพิ าทจากนายพยงค์ รวม ๕ ฉบบั ฉบบั ละ

๓ ปี กำหนดเวลาเชา่ ตงั้ แตเ่ มอ่ื วนั ที่ ๑๓ ธนั วาคม ๒๕๓๕ จนถงึ วนั ที่ ๑๓ ธนั วาคม ๒๕๕๐ โดย

มขี อ้ ตกลงวา่ อาคารทผ่ี เู้ ชา่ ปลกู สรา้ งขนึ้ บนทดี่ นิ ทเ่ี ชา่ ใหต้ กเปน็ ของผใู้ หเ้ ชา่ เมอ่ื ครบกำหนดเวลา

เชา่ ตามหนงั สอื สญั ญาเชา่ ทด่ี นิ เอกสารหมาย ล.๔ แผน่ ท่ี ๑ ถงึ แผน่ ที่ ๕ จำเลยทงั้ สองใชท้ ดี่ นิ

พพิ าททำกิจการอู่ซอ่ มรถยนต์มาโดยตลอด

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยท้ังสองว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล

จำเลยทั้งสองออกจากท่ีดินพิพาทหรือไม่ และจำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามคำ

พิพากษาศาลช้ันต้นหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า โจทก์เป็นผู้รับโอนท่ีดินพิพาทมาใน

ภายหลงั ต้องผกู พันตามหนังสือสัญญาเช่าท่ีดินระหว่างนายพยงค์ เจริญทรัพย์ กับจำเลยท่ี ๑

เอกสารหมาย ล.๔ ซึง่ ครบระยะเวลาเชา่ ในวนั ที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ และหนังสือสัญญาเชา่

ทดี่ นิ ตามเอกสารหมาย ล.๔ เปน็ สัญญาตา่ งตอบแทนชนิดพิเศษ โจทก์รู้เห็นการทำสญั ญาเช่า

และยินยอมผูกพันตามสัญญาเชา่ ดังกลา่ ว โจทก์จงึ ไม่มอี ำนาจฟ้องจำเลยทงั้ สองเปน็ คดนี ี้ และ

จำเลยทง้ั สองไมจ่ ำตอ้ งชดใชค้ า่ เสยี หายแกโ่ จทก์ เหน็ วา่ ทจี่ ำเลยทง้ั สองอา้ งวา่ โจทกต์ อ้ งผกู พนั

150 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉยั คด


ตามหนังสือสัญญาเช่าท่ีดิน เอกสารหมาย ล.๔ ซึ่งครบกำหนดระยะเวลาเช่าในวันที่ ๑๓

ธันวาคม ๒๕๕๐ น้ัน ขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏวา่ จำเลยท่ี ๑ ทำสญั ญาเชา่ ท่ีดินพพิ าทกบั นายพยงค ์

รวม ๕ ฉบบั กำหนดเวลาเชา่ ฉบบั ละ ๓ ปี ตงั้ แตเ่ มอ่ื วนั ที่ ๑๓ ธนั วาคม ๒๕๓๕ ตอ่ เนอื่ งกนั ไป

จนถึงวันท่ี ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ตามหนังสอื สัญญาเชา่ ทด่ี นิ เอกสารหมาย ล.๔ แผน่ ท่ี ๑ ถงึ

แผ่นที่ ๕ แต่สัญญาเช่าท้ังห้าฉบับดังกล่าวลงวันท่ีทำสัญญาวันเดียวกัน กล่าวคือ วันท่ี ๑๓

ธนั วาคม ๒๕๓๕ แสดงว่านายพยงคแ์ ละจำเลยท่ี ๑ มีเจตนาทำสัญญาเชา่ มีกำหนดระยะเวลา
ทงั้ สน้ิ ๑๕ ปี แตท่ ำสญั ญาเชา่ ลงวนั ทลี่ ว่ งหนา้ รวม ๕ ฉบบั โดยใหแ้ ตล่ ะฉบบั มอี ายกุ ารเชา่ ๓ ป ี

เช่นน้ี เป็นการหลีกเลี่ยงไม่ไปจดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่ง

ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๕๓๘ หนงั สอื สญั ญาเชา่ ทด่ี นิ ตามเอกสารหมาย ล.๔

แผ่นที่ ๑ ถึงแผน่ ท่ี ๕ จงึ มผี ลบงั คบั เพียง ๓ ปี ตามหนงั สือสญั ญาเช่าทด่ี ินฉบบั แรก เอกสาร

หมาย ล.๔ แผ่นท่ี ๑ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๘ ตอนทา้ ย เท่านั้น
จำเลยทง้ั สองจะอา้ งวา่ จำเลยท่ี ๑ มสี ทิ ธอิ ยใู่ นทด่ี นิ พพิ าทจนถงึ วนั ที่ ๑๓ ธนั วาคม ๒๕๕๐ ยอ่ ม

ไมไ่ ด้ สว่ นทจ่ี ำเลยทงั้ สองอทุ ธรณว์ า่ หนงั สอื สญั ญาเชา่ ทดี่ นิ ตามเอกสารหมาย ล.๔ เปน็ สญั ญา

ตา่ งตอบแทนชนดิ พเิ ศษ โจทกร์ เู้ หน็ การทำสญั ญาเชา่ และยนิ ยอมผกู พนั ตามสญั ญาเชา่ ดงั กลา่ ว

โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีน้ีนั้น ในข้อน้ีจำเลยท้ังสองคงมีเพียงตัวจำเลยท้ัง

สองอา้ งตนเองเปน็ พยานวา่ โจทกซ์ งึ่ เปน็ บตุ รของนายพยงคร์ เู้ หน็ ขณะมกี ารทำสญั ญาเชา่ ทง้ั หา้

ฉบบั และภายหลงั ซ้อื ทีด่ นิ พพิ าทจากการขายทอดตลาด โจทก์เคยไปพบจำเลยทัง้ สองเพอ่ื ขอ

ขน้ึ คา่ เชา่ โดยจำเลยทัง้ สองไม่มีพยานหลกั ฐานอ่นื ประกอบให้ฟังได้เช่นน้นั คำเบกิ ความของ

จำเลยท้ังสองดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักและรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ตกลงยินยอมเข้าผูกพันตนที่จะ

ปฏบิ ตั ติ ามสญั ญาเชา่ แทนนายพยงค์ อนั จะทำใหถ้ อื ไดว้ า่ เปน็ การตกลงชำระหนแี้ กจ่ ำเลยทง้ั สอง

ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก และก่อให้เกิดสิทธิแก่จำเลยทั้งสองท่ีจะอยู่ในท่ีดินพิพาทต่อไปตาม

ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๓๗๔ เมอ่ื โจทกป์ ระมลู ซอื้ ทดี่ นิ พพิ าทไดจ้ ากการขาย

สว่ นท่ี ๒ ตวั อย่างคำพิพากษาและคำส่งั ในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ
์ 151
คดแี พ่ง


ทอดตลาดตามคำสงั่ ศาล แลว้ รบั โอนทดี่ นิ พพิ าทมาเปน็ ของโจทก์ ตอ้ งถอื วา่ เปน็ การรบั โอนทด่ี นิ

พพิ าทโดยสจุ ริต ขอ้ ตกลงเกีย่ วกบั การเชา่ ระหว่างนายพยงค์กับจำเลยท่ี ๑ อันเปน็ สญั ญาต่าง

ตอบแทนจงึ เพยี งแตก่ อ่ ใหเ้ กดิ บคุ คลสทิ ธิ มผี ลผกู พนั เฉพาะคกู่ รณี คอื นายพยงคก์ บั จำเลยท่ี ๑

เท่าน้ัน ไม่ผูกพันโจทก์ด้วย และเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่ีศาลช้ันต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชดใช้

คา่ เสยี หายแกโ่ จทก์ เปน็ เงนิ เดอื นละ ๓,๕๐๐ บาท จงึ ชอบแลว้ อทุ ธรณข์ องจำเลยทง้ั สองฟงั ไม

ขน้ึ

พิพากษายืน ให้จำเลยท้ังสองใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ ๑,๕๐๐

บาท.

152 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คด


ตัวอยา่ งคดีเชา่ ทรพั ย์ สัญญา ขับไล่ ละเมิด






คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๑๒๙๓/๒๕๕๑


พิเคราะห์แล้ว ในเบ้ืองต้นข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์จดทะเบียนการเช่าที่ดิน

พพิ าท โฉนดเลขท่ี ๓๓๒๒ ตำบลบางเสาธง อำเภอบางกอกนอ้ ย จงั หวดั ธนบรุ ี เนอ้ื ท่ี ๑ ไร่ ๕๕

ตารางวา จากหมอ่ มเจา้ ลายฉลทุ อง ทองใหญ่ โดยจดทะเบยี นการเชา่ มกี ำหนดเวลา ๑๕ ปี นบั

แตว่ นั ท่ี ๑ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๓๓ ถงึ วนั ท่ี ๓๑ มกราคม ๒๕๔๘ ตามสำเนาหนงั สอื สญั ญาเชา่ ทด่ี นิ

และแผนผัง เอกสารหมาย จ.๗ โจทก์สร้างสถานีบริการน้ำมันของโจทก์บนท่ีดินพิพาทตาม

สำเนาใบอนญุ าตกอ่ สรา้ งอาคาร เอกสารหมาย จ.๘ ตอ่ มาเมอ่ื วนั ท่ี ๑ มกราคม ๒๕๓๔ โจทกท์ ำ

สัญญาอนุญาตให้จำเลยใชส้ ิทธิและดำเนนิ งานในธรุ กจิ ของโจทก์ประเภทสถานบี ริการนำ้ มันใน

ทด่ี นิ พิพาทนับแตว่ ันท่ี ๑ กรกฎาคม ๒๕๓๔ ถงึ วันท่ี ๓๐ มถิ นุ ายน ๒๕๓๕ เม่ือครบกำหนด

ตามสญั ญา โจทกแ์ ละจำเลยทำสญั ญาฉบบั ใหมม่ ผี ลนบั แตว่ นั ท่ี ๑ มกราคม ๒๕๓๖ ถงึ วนั ท่ี ๓๑

ธันวาคม ๒๕๓๖ เม่ือครบกำหนดตามสญั ญา โจทกแ์ ละจำเลยตกลงทำสัญญาพิพาทฉบับใหม

เมือ่ วนั ที่ ๑ มกราคม ๒๕๓๗ มกี ำหนดเวลา ๑ ปี นับแตว่ ันทำสญั ญาถึงวนั ท่ี ๓๑ ธันวาคม

๒๕๓๗ มขี อ้ ตกลงวา่ เมอ่ื ครบกำหนดจำเลยตกลงใหโ้ จทกต์ อ่ สญั ญาออกไปอกี คราวละ ๑ เดอื น

แต่ไม่เกนิ วันที่ ๓๑ ธนั วาคม ๒๕๓๘ ตามสำเนาสญั ญาดำเนนิ งานสถานบี ริการ เอกสารหมาย

จ.๑๑

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจ

ฟอ้ งหรอื ไม่ จำเลยยกขอ้ ตอ่ สวู้ า่ โจทกม์ เี พยี งเอกสารหนงั สอื มอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.๔

แม้จะลงนามรับรองโดยโนตารีพับลิกของประเทศอังกฤษ ไม่อาจถือเป็นเอกสารที่แสดงถึงการ

รับรองฐานะการเป็นนิติบุคคลของโจทก์ โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสบื ให้พอฟงั ว่าโจทก์ไดจ้ ด

ทะเบยี นเปน็ นติ บิ คุ คลจรงิ และบคุ คลทมี่ อบอำนาจในหนงั สอื มอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.๔

ส่วนที่ ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำส่ังในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
153
คดแี พ่ง


มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีน้ีน้ัน เห็นว่า หนังสือมอบ

อำนาจตามเอกสารหมาย จ.๔ มิใช่เพียงแต่โนตารีพับลิกจะรับรองลายมือช่ือของผู้ทำเอกสาร

หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวเท่านั้น แต่โนตารีพับลิกยังมีข้อความรับรองฐานะความเป็น

นติ บิ คุ คลและกรรมการของนติ บิ คุ คลของโจทก์ ผมู้ อบอำนาจ ดว้ ยวา่ ตราสำคญั ของบรษิ ทั ทถ่ี กู

นำมาประทับไว้ที่สว่ นท้ายของหนงั สอื มอบอำนาจซ่ึงผนวกเขา้ กับตราสารรบั รองฉบบั น้ถี ือเปน็

ตราสารสำคัญอันแท้จริงของบริษัทโจทก์ และลายมือช่ือท่ีได้ลงไว้ท้ายหนังสือมอบอำนาจเป็น

ลายมอื ช่ือทแ่ี ท้จรงิ ของนิโคลสั แอนโทนี นอรแ์ มน สจวต โรเบริ ต์ สัน และดพิ า ไรวาเดอรา ซึ่ง

เป็นกรรมการและเลขานุการของบริษัทโจทก์ ตามลำดับ และได้รับรองยืนยันว่าหนังสือมอบ

อำนาจตามเอกสารหมาย จ.๔ ซ่ึงได้ประทับตราสำคัญและลงลายมือช่ือเป็นเอกสารที่ทำข้ึน

โดยถูกต้อง เม่ือในหนงั สือมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.๔ มขี ้อเทจ็ จริงยนื ยันวา่ โจทก์เปน็

นติ บิ คุ คลประเภทบรษิ ทั จำกดั แลว้ พยานหลกั ฐานโจทกม์ นี ำ้ หนกั เพยี งพอเชอ่ื ไดว้ า่ โจทกเ์ ปน็ นติ ิ

บุคคลตามกฎหมาย จึงไม่จำต้องมีหนังสือรับรองมานำสืบอีก พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่า

โจทก์มีอำนาจฟอ้ งคดีนี้ อุทธรณ์ของจำเลยในขอ้ นฟี้ ังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการท่ีสองมีว่า ศาลชั้นต้นม

อำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า แม้ว่าตามสัญญาดำเนินงานสถานีบริการตาม

เอกสารหมาย จ.๑๑ ซ่ึงโจทก์อาศัยเป็นหลักในคำฟ้อง ข้อ ๕ ระบุว่า ผู้ดำเนินงานตกลงจ่าย

ค่าธรรมเนยี มการได้สิทธเิ ป็นผูร้ บั อนุญาตใหใ้ ชช้ ื่อ รปู รอยประดิษฐ์ ขอ้ ความใด ๆ ซง่ึ การค้า

ช่ือทางการค้า เคร่ืองหมายการค้า และหรือเครื่องหมายบริการอันเปน็ สิทธิของบริษัทโจทก์....

ข้อสัญญาดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นสัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้า อันเป็นคดีท่ีอยู่ใน

อำนาจของศาลทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญาและการคา้ ระหวา่ งประเทศกลางทจี่ ะพจิ ารณาพพิ ากษาตาม

พระราชบัญญัติจัดต้ังศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดี

ทรพั ยส์ นิ ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๗ (๓) และตามความใน

154 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉัยคดี


มาตรา ๘ แหง่ พระราชบญั ญตั ดิ งั กลา่ วไดบ้ ญั ญตั หิ า้ มมใิ หศ้ าลชนั้ ตน้ อน่ื รบั คดที อ่ี ยใู่ นอำนาจศาล

ทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไว้พิจารณาพิพากษาก็ตาม แต่เม่ือศาลช้ันต้น

ได้รับฟ้องคดีน้ีไว้พิจารณา และจำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจ

พจิ ารณาพพิ ากษาของศาลชนั้ ตน้ แสดงวา่ จำเลยยอมรบั อำนาจของศาลชน้ั ตน้ ทจ่ี ะวนิ จิ ฉยั คดนี
้ี
ได้ เมอ่ื ศาลชนั้ ตน้ พิพากษาคดีแล้ว จำเลยเพิ่งยกปญั หานี้ขึ้นมาในชนั้ อุทธรณ์ กรณจี ึงล่วงเลย

เวลาทจี่ ะพจิ ารณาในปญั หานแี้ ลว้ จำเลยไมม่ สี ทิ ธอิ ทุ ธรณใ์ นปญั หาเรอื่ งอำนาจศาล ศาลอทุ ธรณ

จึงไม่รบั วนิ ิจฉัยในประเดน็ ดงั กลา่ ว

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการท่ีสามมีว่า คำพิพากษาศาล

ช้ันต้นที่วินิจฉัยว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นคำ

วินิจฉัยนอกประเด็นหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิและ

ดำเนินงานสถานีบริการน้ำมัน เม่ือโจทก์บอกเลิกสัญญา จำเลยและบริวารต้องออกจากที่ดิน

พพิ าท จงึ ขอใหบ้ งั คบั จำเลยขนยา้ ยทรพั ยส์ นิ และบรวิ ารออกจากทดี่ นิ พพิ าท การทโ่ี จทกม์ คี ำขอ

ดงั กลา่ วเทา่ กบั เปน็ การเรยี กรอ้ งสทิ ธใิ นการใชท้ ดี่ นิ พพิ าทจากจำเลยใหก้ ลบั มาเปน็ ของโจทก์ ซง่ึ

โจทกบ์ รรยายขอ้ เทจ็ จรงิ กลา่ วอา้ งถงึ สทิ ธขิ องโจทกท์ ม่ี อี ยตู่ ามทโ่ี จทกไ์ ดจ้ ดทะเบยี นสทิ ธกิ ารเชา่

ทดี่ นิ พพิ าทจากบคุ คลอน่ื โดยชอบมาดว้ ยแลว้ ถงึ แมจ้ ำเลยใหก้ ารต่อสวู้ า่ จำเลยไม่ได้ผดิ สญั ญา
อนญุ าตใหใ้ ชส้ ทิ ธแิ ละดำเนนิ งานสถานบี รกิ ารนำ้ มนั พพิ าท เมอื่ ทางพจิ ารณาไดค้ วามวา่ สญั ญา

ดำเนินงานสถานีบริการพิพาทเป็นโมฆะ คู่สัญญาไม่อาจกล่าวอ้างข้อสัญญาดังกล่าวมาเป็น

ประโยชนแ์ กฝ่ า่ ยตนได้ ยอ่ มมผี ลทำใหจ้ ำเลยไมม่ สี ทิ ธดิ ำเนนิ งานในสถานบี รกิ ารนำ้ มนั พพิ าทมา

ตงั้ แตต่ น้ การทศี่ าลชนั้ ตน้ ฟงั ขอ้ เทจ็ จรงิ วา่ การทจ่ี ำเลยอาศยั และดำเนนิ งานสถานบี รกิ ารนำ้ มนั

พิพาทตอ่ ไปเปน็ การกระทำละเมดิ ต่อโจทก์ จึงชอบท่โี จทกจ์ ะฟอ้ งขอให้ขบั ไล่จำเลยและบรวิ าร

ออกไปจากท่ีดินพิพาทได้น้ัน หาเป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นไม่ เพราะเป็นการ

วนิ จิ ฉยั ในประเดน็ วา่ โจทกม์ อี ำนาจฟอ้ งขบั ไลจ่ ำเลยและบรวิ ารออกจากทดี่ นิ พพิ าทเพอื่ เรยี กรอ้ ง

ส่วนที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำส่งั ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 155
คดแี พง่


สทิ ธใิ นการใชท้ ด่ี นิ พพิ าทกลบั มาเปน็ ของโจทกต์ ามทโ่ี จทกบ์ รรยายมาในฟอ้ งและคำขอทา้ ยฟอ้ ง

แล้ว คำพิพากษาศาลช้ันตน้ จงึ ชอบด้วยประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพง่ มาตรา ๑๔๒

อทุ ธรณข์ องจำเลยในขอ้ นจี้ งึ ฟงั ไมข่ น้ึ

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการสุดท้ายมีว่า โจทก์มีสิทธิเรียก

ค่าเสียหายจากจำเลยหรือไม่ จำเลยยกข้อต่อสู้ในทำนองว่าจำเลยได้ครอบครองสถานีบริการ

น้ำมันพิพาทมาโดยสุจริต หนังสือบอกกล่าวของโจทก์เป็นการบอกกล่าวโดยอาศัยสิทธิและ

หนา้ ทต่ี ามสญั ญาทเ่ี ปน็ โมฆะ จงึ ไมอ่ าจรบั ฟงั ไดว้ า่ มกี ารบอกกลา่ วโดยชอบทจี่ ะใหจ้ ำเลยตอ้ งรบั

ผิดใช้ค่าเสียหายจากมูลละเมิดน้ัน เห็นว่า เม่ือโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยขนย้าย

ทรัพย์สินและบริวารออกไปและส่งมอบสถานีบริการน้ำมันคืนแก่โจทก์ตามสำเนาหนังสือแจ้ง

เร่ืองไม่ตอ่ สญั ญา และไปรษณีย์ตอบรับ เอกสารหมาย จ.๑๕ และ จ.๑๖ แลว้ ไมว่ า่ จะเป็นการ

บอกกล่าวตามสัญญาที่มีผลเป็นสัญญาท่ีเป็นโมฆะหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์บอกกล่าวให้

จำเลยและบรวิ ารออกไปจากทดี่ นิ พพิ าทโดยชอบแลว้ จำเลยไมย่ อมออกไปจากทดี่ นิ พพิ าท การ

ท่ีจำเลยยังครอบครองที่ดินพิพาทต่อไปเป็นการอยู่โดยไม่มีเหตุท่ีจะอ้างได้ตามกฎหมาย การ

กระทำของจำเลยจงึ เปน็ การละเมดิ กอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายแกโ่ จทก์ ทำใหโ้ จทกไ์ มอ่ าจเขา้ ไปใช

ประโยชนใ์ นทีด่ ินพิพาทได้ โจทกจ์ ึงมีสทิ ธิเรียกคา่ เสียหายจากจำเลยในมลู ละเมิด

ส่วนท่ีจำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริต และอุทธรณ์คำส่ังงด

สืบพยานจำเลยของศาลช้ันต้นน้ัน ศาลอุทธรณ์เห็นควรไม่วินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคำ

พพิ ากษาเปลยี่ นแปลงไป ทศี่ าลชน้ั ตน้ พพิ ากษาใหจ้ ำเลยและบรวิ ารออกไปจากทด่ี นิ พพิ าทชอบ

แล้ว และการกำหนดค่าเสียหายแก่โจทก์นั้นเหมาะสม ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของ

จำเลยทุกขอ้ ฟังไม่ข้ึน

พพิ ากษายืน ให้จำเลยใชค้ า่ ทนายความชน้ั อทุ ธรณ์ ๕,๐๐๐ บาท แทนโจทก์.

156 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คดี


ตัวอย่างคดซี อ้ื ขาย






ำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๕๔๐/๒๕๔๘


พเิ คราะหแ์ ล้ว ขอ้ เทจ็ จรงิ ฟังเปน็ ยตุ ิว่า จำเลยท่ี ๑ เปน็ นติ บิ ุคคลประเภทบริษทั

จำกัด มจี ำเลยท่ี ๒ ถงึ ที่ ๔ เปน็ กรรมการ โจทกท์ ั้งสองรว่ มกันทำสญั ญาจะซ้ือจะขายท่ดี นิ ใน

โครงการสวนธญั ญธารกี บั จำเลยที่ ๑ จำนวน ๑ แปลง ราคา ๓๒๗,๖๐๐ บาท ตามสญั ญาจะซอื้

จะขายท่ีดิน เอกสารหมาย จ.๘ โจทก์ทั้งสองได้ชำระค่าจองและเงินดาวน์ตามงวดในสัญญา

ใหแ้ กจ่ ำเลยท่ี ๑ แลว้ ๙๘,๒๘๐ บาท ตามใบเสรจ็ รบั เงนิ เอกสารหมาย จ.๑๑ ถงึ จ.๔๙ หลงั จาก

ชำระเงินดาวน์ตามงวดแล้ว จำเลยที่ ๑ มีหนังสือแจ้งแก่โจทก์ทั้งสองถึงสาเหตุท่ีไม่พร้อมจะ

พัฒนาโครงการต่อไปตามเอกสารหมาย จ.๕๒ ต่อมาโจทก์ทั้งสองจึงมอบให้ทนายความมี

หนังสือบอกเลิกสัญญาตามหนังสือมอบอำนาจ หนังสือบอกเลิกสัญญา และใบตอบรับทาง

ไปรษณยี ์ เอกสารหมาย จ.๕๕ ถึง จ.๖๓ จำเลยทง้ั สีไ่ ด้รบั หนงั สอื ดังกลา่ วแลว้

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ท้ังสองข้อแรกว่า จำเลยที่ ๑ ผิด

สญั ญาตอ่ โจทกท์ งั้ สองและโจทกท์ ง้ั สองบอกเลกิ สญั ญาชอบดว้ ยกฎหมายหรอื ไม่ เหน็ วา่ โจทก

ทง้ั สองทำสัญญาจะซือ้ จะขายทด่ี ินกบั จำเลยที่ ๑ ตัง้ แต่วนั ที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ และได

ชำระเงนิ ดาวนใ์ หจ้ ำเลยท่ี ๑ โดยผอ่ นชำระเปน็ งวด งวดสดุ ทา้ ยเมอื่ วนั ที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๑ แม

จะไมต่ รงกำหนดตามสญั ญาบา้ ง แตจ่ ำเลยท่ี ๑ กร็ บั ไวโ้ ดยออกใบเสรจ็ รบั เงนิ ใหโ้ ดยไมอ่ ดิ เออื้ น

ถอื วา่ โจทกท์ ง้ั สองชำระเงนิ ครบถว้ นตามสญั ญา จำเลยที่ ๑ มไิ ดพ้ ฒั นาทด่ี นิ เพอื่ สง่ มอบใหโ้ จทก

ทั้งสอง แต่กลับมีหนังสือรายงานความคบื หนา้ ของโครงการ ลงวันที่ ๘ สงิ หาคม ๒๕๔๓ ตาม

เอกสารหมาย จ.๕๒ โดยระบวุ ่าจะสามารถส่งมอบทดี่ ินภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๔๔ แม้ตาม

สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน เอกสารหมาย จ.๘ จะมิได้กำหนดระยะเวลาโอนกรรมสิทธิ์ท่ีดินกัน

ไว้ แตต่ ามขอ้ ๓ ของสญั ญาระบวุ า่ เมอื่ ผจู้ ะซอื้ ไดช้ ำระเงนิ ตามขอ้ ตกลงเรยี บรอ้ ยแลว้ ผจู้ ะขาย

สว่ นที่ ๒ ตวั อย่างคำพิพากษาและคำส่ังในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
157
คดีแพ่ง


จะแจ้งให้ผู้จะซื้อมารับโอนกรรมสิทธ์ิที่ดินท่ีจะซื้อจะขายกันตามสัญญาน้ี โดยจะบอกกล่าว

ลว่ งหนา้ ๑๕ วนั และผจู้ ะขายจะโอนกรรมสทิ ธทิ์ ด่ี นิ ตามสญั ญาใหแ้ กผ่ จู้ ะซอื้ ทนั ที สญั ญาจะซอ้ื

จะขายทด่ี นิ ดงั กลา่ วเปน็ สญั ญาตา่ งตอบแทน โดยโจทกท์ งั้ สองจะตอ้ งชำระคา่ ทดี่ นิ ตามทกี่ ำหนด

ไวใ้ นสญั ญา ในขณะทจี่ ำเลยท่ี ๑ ตอ้ งพฒั นาทด่ี นิ เพอื่ พรอ้ มทจี่ ะจดทะเบยี นโอนใหโ้ จทกท์ ง้ั สอง

เมอื่ ชำระเงนิ ตามสญั ญาเสรจ็ สนิ้ แตจ่ ำเลยท่ี ๑ กลบั ปลอ่ ยใหเ้ วลาลว่ งผา่ นไปถงึ ๒ ปเี ศษ จงึ ม

หนงั สอื รายงานความคบื หนา้ ของโครงการใหโ้ จทกท์ ง้ั สองทราบ และผดั เวลาสง่ มอบทด่ี นิ ออกไป

อกี ๑ ปี นบั แตม่ หี นงั สอื ดงั กลา่ วซง่ึ เปน็ ระยะเวลาเนนิ่ นานโดยมไิ ดป้ ฏบิ ตั ติ ามสญั ญาเชน่ น้ี ถอื

ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแล้ว โจทก์ท้ังสองมีสิทธิบอกเลิกสัญญาต่อ

จำเลยท่ี ๑ ได้โดยหาจำตอ้ งบอกกล่าวกำหนดระยะเวลาให้จำเลยท่ี ๑ ชำระหนี้กอ่ นไม่ ที่ศาล

ช้ันต้นพิพากษามาน้ันไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์ อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ท้ังสองฟัง

ข้ึน เมื่อโจทก์ทั้งสองบอกเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนส
ู่
ฐานะดงั ทเี่ ปน็ อยเู่ ดมิ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๓๙๑ วรรคหนงึ่ จำเลยที่ ๑

จึงต้องคืนเงนิ ท่ีรับไวใ้ ห้แก่โจทกท์ ้ังสอง ๙๘,๒๘๐ บาท พร้อมดอกเบ้ียอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี

นบั ตงั้ แตเ่ วลาทไ่ี ดร้ บั ไวต้ ามมาตรา ๓๙๑ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๗ แตโ่ จทกท์ งั้ สองขอเรยี ก

ดอกเบยี้ นบั จากวนั ท่ี ๙ เมษายน ๒๕๔๑ ซ่งึ เป็นวนั ชำระเงนิ ดาวนง์ วดสดุ ท้าย จึงเหน็ สมควร

กำหนดใหต้ ามขอ

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยที่ ๒ ถึง

ที่ ๔ ตอ้ งรบั ผดิ ตอ่ โจทกท์ งั้ สองหรอื ไม่ เหน็ วา่ จำเลยที่ ๒ ถงึ ท่ี ๔ เปน็ เพยี งกรรมการผมู้ อี ำนาจ

กระทำการแทนบรษิ ทั จำเลยที่ ๑ ซง่ึ เปน็ นติ บิ คุ คลเทา่ นน้ั ตามหนงั สอื รบั รอง เอกสารหมาย จ.๑

และใบโฆษณาตามเอกสารหมาย จ.๓ ก็ระบุวา่ จำเลยท่ี ๒ ถึงที่ ๔ เปน็ กรรมการบรหิ าร โดย

เจ้าของโครงการและเจ้าของท่ีดิน คอื จำเลยที่ ๑, ที่ ๒ ถงึ ท่ี ๔ หาได้รว่ มกิจการกับจำเลยที่ ๑

ในฐานะสว่ นตวั ไม่ จำเลยที่ ๑ เปน็ นติ บิ คุ คล ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๗๐

158 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉยั คดี


วรรคสอง บญั ญตั วิ า่ ความประสงคข์ องนติ บิ คุ คลยอ่ มแสดงออกโดยผแู้ ทนนติ บิ คุ คล และมาตรา

๑๑๖๗ บญั ญตั วิ า่ ความเกย่ี วพนั กนั ในระหวา่ งกรรมการและบรษิ ทั และบคุ คลภายนอกนน้ั ทา่ น

ให้บังคบั ตามบทบัญญตั ิแหง่ ประมวลกฎหมายนี้วา่ ด้วยตัวแทน เม่อื คดีไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒

ถงึ ท่ี ๔ กระทำกจิ การในฐานะสว่ นตวั หรอื กระทำนอกเหนอื ขอบอำนาจของตวั แทน จำเลยที่ ๒

ถงึ ท่ี ๔ จงึ ไมต่ อ้ งรบั ผดิ เปน็ สว่ นตวั ทศ่ี าลชน้ั ตน้ พพิ ากษายกฟอ้ งจำเลยที่ ๒ ถงึ ที่ ๔ มานนั้ ศาล

อทุ ธรณ์เห็นพอ้ งด้วย อุทธรณ์ขอ้ นีข้ องโจทก์ท้ังสองฟังไมข่ ้ึน เมือ่ คดีฟังได้ดังกลา่ วข้างต้นแลว้

ไมจ่ ำตอ้ งวนิ ิจฉยั ประเดน็ เร่อื งฟอ้ งเคลอื บคลมุ เกยี่ วกับดอกเบ้ยี และความรับผดิ ของจำเลยท่ี ๓

และที่ ๔ อกี ต่อไป

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินให้โจทก์ท้ังสอง ๙๘,๒๘๐ บาท

พร้อมดอกเบ้ียอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับต้ังแต่วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๑ เป็นต้นไปจนกว่า

จะชำระเสรจ็ (ดอกเบยี้ เมอ่ื คำนวณถงึ วนั ฟอ้ งตอ้ งไมเ่ กนิ ๑๗,๘๑๓.๒๕ บาท) ใหจ้ ำเลยท่ี ๑ ใช

ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ท้ังสอง โดยกำหนดค่าทนายความ รวม ๔,๐๐๐

บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลช้ันต้น ค่าฤชาธรรมเนียมช้ันอุทธรณ

ระหว่างโจทกท์ ้ังสองกับจำเลยท่ี ๒ ถึงที่ ๔ ให้เป็นพบั .

ส่วนท่ี ๒ ตวั อยา่ งคำพิพากษาและคำสง่ั ในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 159
คดแี พง่


ตวั อย่างคดีซอื้ ขาย ตัวแทน






คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๗๑๔๘/๒๕๕๐


พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อแรกของจำเลยว่า ฟ้อง

ของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องโดยสรุปว่า เม่ือระหว่างวันที่ ๑

กรกฎาคม ๒๕๔๕ ถงึ วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๕ จำเลยส่งั ซอื้ สนิ คา้ จากโจทกไ์ ปหลายครง้ั รวม

เป็นเงิน ๑๗๙,๖๓๐.๓๖ บาท รายละเอยี ดปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายใบวางบิล และใบขนยา้ ย

สนิ คา้ เอกสารทา้ ยฟอ้ ง หมายเลข ๓ ตอ่ มาจำเลยผดิ นดั ไมช่ ำระหนคี้ า่ สนิ คา้ ขอใหบ้ งั คบั จำเลย

ชำระหนด้ี งั กลา่ วพร้อมดอกเบี้ยอัตรารอ้ ยละ ๗.๕ ต่อปี นบั ถัดจากวนั ฟ้องจนกวา่ จะชำระเสรจ็

แกโ่ จทก์ ดงั น้ี ถอื ไดว้ า่ ฟอ้ งของโจทกไ์ ดแ้ สดงโดยชดั แจง้ ซง่ึ สภาพแหง่ ขอ้ หาและคำขอบงั คบั ทงั้

ข้ออ้างท่ีอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา

๑๗๒ วรรคสอง แล้ว ส่วนข้อท่ีว่าหน้ีดังกล่าวเป็นต้นเงิน ส่วนลด และภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน

เทา่ ใดนน้ั เปน็ รายละเอยี ดทโี่ จทกส์ ามารถนำสบื ไดใ้ นชนั้ พจิ ารณา ไมท่ ำใหเ้ ปน็ ฟอ้ งเคลอื บคลมุ

แตอ่ ย่างใด อุทธรณ์ขอ้ นข้ี องจำเลยฟงั ไมข่ ึน้

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อต่อมาของจำเลยมีว่า จำเลยต้องรับผิดชำระ

ค่าสินค้าท่ีพิพาทแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ในข้อนี้โจทก์และจำเลยนำสืบตรงกันว่าจำเลยเป็น

ผรู้ บั เหมาก่อสร้างอาคารจากบรษิ ทั ไทยวลิ ล่นี ติ ต้ิง ๑ (๑๙๘๔) จำกดั ท่ตี ำบลอ้อมใหญ่ อำเภอ

สามพราน จังหวัดนครปฐม ระหว่างการก่อสร้าง นายนิกร เจริญพร ได้สั่งซ้ือสินค้าประเภท

อะลูมิเนียมและอุปกรณ์ติดตั้งอะลูมิเนียมจากโจทก์ในนามจำเลย โดยนายนิกรให้นายสพล

คมุ้ รงุ่ โรจน์ กรรมการผมู้ อี ำนาจของจำเลย เปน็ ผขู้ อเปดิ เครดติ ในการสง่ั ซอ้ื สนิ คา้ ดงั กลา่ วไวก้ บั


๑ การทับศัพท์ช่ือนิติบุคคลให้ใช้ตามที่ปรากฏในหนังสือรับรองนิติบุคคล ไม่ต้องใช้ตามหลักการทับศัพท์ของ

ราชบณั ฑิตยสถานก็ได.้

160 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉยั คด


โจทก์ หลังจากน้ันมีการส่ังซ้ือสินค้าในนามจำเลยเรื่อยมาตามสำเนาใบวางบิล และใบขนย้าย

สนิ คา้ เอกสารหมาย จ.๔, จ.๕ และ จ.๗ โดยโจทกน์ ำสนิ คา้ ไปส่งในสถานที่กอ่ สร้างของจำเลย

และมีนายนิกรเป็นผู้ลงลายมือช่ือรับใบวางบิล ซ่ึงต่อมาจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คชำระค่าสินค้า

ดงั กลา่ วให้แกโ่ จทก์แล้วตามสำเนาเช็ค เอกสารหมาย จ.๖ และ จ.๘ สำหรับการสง่ั ซอ้ื สนิ คา้ ท
ี่
พพิ าทในระหวา่ งวนั ที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๕ ถงึ วนั ที่ ๙ สงิ หาคม ๒๕๔๕ กย็ งั ปรากฏวา่ เปน็ การ

สัง่ ซ้อื ในนามจำเลยเช่นเดมิ ตามใบวางบิล เอกสารหมาย จ.๙ ถึง จ.๑๕ และนายนกิ รเปน็ ผู้ลง

ลายมือชื่อรับใบวางบิลไว้ทุกคร้ังดังเช่นที่เคยปฏิบัติต่อกันมา ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจึงถือว่า

จำเลยได้เชิดนายนิกรเป็นตัวแทนของจำเลยในการส่ังซื้อสินค้าจากโจทก์มาใช้ในงานก่อสร้าง

เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า นายนิกรได้รับสินค้าท่ีพิพาทไว้จากโจทก์ รวมเป็นเงินท้ังสิ้น

๑๗๙,๖๓๐.๓๖ บาท และยังไม่ได้ชำระค่าสินค้าแก่โจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่าสินค้าท
่ี
พิพาทแก่โจทก์ซ่ึงเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา

๘๒๑ ทจ่ี ำเลยอา้ งมาในอทุ ธรณว์ า่ จำเลยทำงานกอ่ สรา้ งแลว้ เสรจ็ ตงั้ แตเ่ ดอื นมถิ นุ ายน ๒๕๔๕

นายนกิ รสง่ั ซอ้ื สนิ คา้ ทพ่ี พิ าทในภายหลงั เนอ่ื งจากตกลงรบั จา้ งทำงานเพมิ่ เตมิ ใหแ้ กบ่ รษิ ทั ไทย-

วิลลี่นติ ตง้ิ (๑๙๘๔) จำกัด เปน็ การส่วนตวั ไม่เกี่ยวกับจำเลยนัน้ เห็นว่า แม้จะเป็นความจริง

ดังทีจ่ ำเลยอ้าง แต่ได้ความจากนายสพล พยานจำเลย ว่า หลังจากจำเลยส่งมอบงานก่อสรา้ ง

แล้ว ไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบหรือส่ังยกเลิกการสั่งซ้ือสินค้าของนายนิกรในนามจำเลยอีกต่อไป
ดงั นน้ั ยอ่ มทำใหโ้ จทกเ์ ขา้ ใจวา่ นายนกิ รยงั คงสงั่ ซอ้ื สนิ คา้ แทนจำเลยอยเู่ ชน่ เดมิ จำเลยจงึ ไมอ่ าจ

ยกขอ้ ตอ่ สดู้ งั กลา่ วมาปฏเิ สธความรบั ผดิ ตอ่ โจทกซ์ ง่ึ เปน็ บคุ คลภายนอกผสู้ จุ รติ ได้ ทศ่ี าลชนั้ ตน้

พิพากษามานนั้ ศาลอทุ ธรณ์เห็นพ้องดว้ ย อทุ ธรณ์ขอ้ นข้ี องจำเลยฟงั ไมข่ ้นึ เชน่ กัน

พิพากษายืน ใหจ้ ำเลยใชค้ ่าทนายความในช้นั อทุ ธรณ์ ๑,๕๐๐ บาท แทนโจทก.์

สว่ นที่ ๒ ตวั อย่างคำพิพากษาและคำสั่งในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 161
คดแี พ่ง


ตัวอยา่ งคดีทางสาธารณะ






คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๑๒๑๐/๒๕๕๑


พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบ้ืองต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นพี่ชายของจำเลยท่ี ๑

เดมิ ที่ดินโฉนดเลขท่ี ๑๖๐๔๓๗ เป็นกรรมสทิ ธ์ิของนายสงา่ พว่ งศิริ นอ้ งชายโจทก์ ตอ่ มานาย

สง่าขายทด่ี นิ แปลงดงั กลา่ วให้โจทก์ตามสำเนาสารบญั จดทะเบียนด้านหลังโฉนดท่ดี ิน เอกสาร

หมาย จ.๑ โดยมแี นวเขตทดี่ นิ ตดิ ตอ่ กบั ทด่ี นิ โฉนดเลขท่ี ๑๖๐๔๓๘ ซงึ่ เปน็ กรรมสทิ ธข์ิ องจำเลย

ท่ี ๑ ในปี ๒๕๔๓ จำเลยท่ี ๑ ได้แบง่ แยกท่ีดินโฉนดเลขท่ี ๑๖๐๔๓๘ ออกเป็น ๑๑ แปลง แลว้

ยกใหเ้ ปน็ กรรมสทิ ธขิ์ องจำเลยท่ี ๒ ถงึ ที่ ๑๐ โดยจำเลยท่ี ๑ เปน็ เจา้ ของกรรมสทิ ธดิ์ ว้ ย ๑ แปลง

และรวมถงึ ทด่ี นิ โฉนดเลขที่ ๓๓๗๐๘ ซงึ่ เปน็ ทางพพิ าทดว้ ย และตอ่ มาในปี ๒๕๔๖ จำเลยที่ ๑

ได้แบง่ แยกที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๗๐๘ โดยจดทะเบียนใส่ชอ่ื จำเลยทง้ั สิบเปน็ เจ้าของรวม ซึง่ ม

เนื้อที่ ๑ งาน ๑๑ ตารางวา ในปี ๒๕๔๒ โจทกแ์ บง่ แยกทดี่ ินโฉนดเลขท่ี ๑๖๐๔๓๗ ออกเปน็

๑๐ แปลง โดยอทุ ศิ ใหเ้ ปน็ ทางสาธารณประโยชน์ จำนวน ๑ แปลง โจทกเ์ ปน็ เจา้ ของกรรมสทิ ธ ์ิ

จำนวน ๑ แปลง คอื ทด่ี นิ โฉนดเลขที่ ๑๕๕๓๑๙ สว่ นทเ่ี หลอื จำนวน ๘ แปลง โจทกแ์ บง่ ขายให

บุคคลภายนอก ท่ีดินซ่ึงโจทก์อุทิศให้เป็นทางสาธารณประโยชน์มีลักษณะเป็นสามเหล่ียมมุม

แหลม ดา้ นทศิ เหนอื เชอื่ มตดิ ตอ่ กบั ลำรางสาธารณะ มคี วามกวา้ งประมาณ ๕๐ เซนตเิ มตร สว่ น

ดา้ นทต่ี ดิ กบั ทางภาระจำยอมดา้ นทศิ ใต้ มคี วามกวา้ งประมาณ ๕ เมตร และดา้ นทศิ ตะวนั ออกม

แนวเขตตดิ ตอ่ กบั ทางพพิ าทตลอดแนว สว่ นทางพพิ าท กวา้ งประมาณ ๖ เมตร ตลอดแนว และ

ยาวประมาณ ๕๐ เมตร ทิศเหนือติดกับลำรางสาธารณะโดยมีสะพานเชื่อมต่อกับทางภาระ

จำยอมซึ่งสามารถใช้สัญจรออกสู่ถนนสาธารณะได้ ทิศตะวันตกมีแนวเขตติดต่อกับทาง

สาธารณประโยชน์ในส่วนที่โจทก์อุทิศให้ ส่วนด้านทิศใต้ติดกับทางภาระจำยอมซ่ึงเป็นทาง

คอนกรตี กวา้ งประมาณ ๓ เมตร เมอ่ื ประมาณเดอื นพฤษภาคม ๒๕๔๖ จำเลยทงั้ สบิ รว่ มกนั นำ

162 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คด


เสาคอนกรตี เสรมิ เหลก็ สงู ประมาณ ๓ เมตร ปกั กน้ั ปดิ ทางพพิ าททางดา้ นทศิ เหนอื และทศิ ใต้ ม

ปญั หาตอ้ งวินิจฉยั ตามอทุ ธรณข์ องจำเลยทง้ั สิบว่า ทดี่ นิ พพิ าทโฉนดเลขท่ี ๓๓๗๐๘ เนอ้ื ท่ี ๑

งาน ๑๑ ตารางวา เปน็ ทางสาธารณะหรอื ไม่ นอกจากโจทกจ์ ะมตี วั โจทกเ์ ปน็ พยานเบกิ ความวา่

สภาพทางพิพาทก่อนท่ีจะมีการแบ่งแยกออกเป็น ๑๑ แปลง มีลักษณะเป็นคันนา ใช้สำหรับ

เดิน ตอ่ มาได้มีการปรบั ปรงุ เส้นทางเปน็ ถนนสำหรับรถยนตแ์ ล่นได้ จำเลยที่ ๑ ตกลงแบง่ หกั

ท่ีดินพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์โดยโจทก์กับจำเลยท่ี ๑ ไปติดต่อกับเจ้าพนักงานที่ดิน

ดว้ ยกนั โจทกย์ งั มนี ายไพบลู ย์ เวชชนะ เปน็ พยานเบกิ ความวา่ พยานไดอ้ าศยั อยใู่ นชมุ ชนใกล

กบั ทางพพิ าทต้ังแต่ปี ๒๕๓๕ มาเป็นเวลาเกนิ กวา่ ๑๐ ปี ทด่ี นิ พิพาทเดิมเปน็ บ่อเลยี้ งปลา คนั

บอ่ เปน็ ดนิ พยานและประชาชน จำนวน ๙๐ หลงั คาเรอื น ทอ่ี าศยั อยใู่ นมลู นธิ แิ ละชมุ ชนใกลก้ บั

ทางพพิ าทใชท้ างพพิ าทเปน็ ทางสญั จรไปมาเพอ่ื ออกสถู่ นนสาธารณะมาตลอด จำเลยที่ ๑ ยอม

ให้ประชาชนทั่วไปใช้ทางพิพาทได้โดยไม่เคยคัดค้าน พยานและนายสมัย กลิ่นมาลัย เคย

ร่วมกันพัฒนาทางพิพาทโดยเกล่ียเศษอิฐหักที่จำเลยท่ี ๑ นำมากองไว้ให้เป็นถนนสำหรับ

ประชาชนที่อาศัยอยู่ในชมุ ชนใชท้ างพพิ าทได้สะดวกด้วย จำเลยที่ ๑ ทำร้วั ลวดหนามกัน้ แนว

เขตทด่ี นิ ของตนเอง แตจ่ ำเลยท่ี ๑ ยงั คงเวน้ ทางพพิ าทไวใ้ หป้ ระชาชนใชส้ ญั จร ตอ่ มาปี ๒๕๔๖

จำเลยที่ ๑ ไดท้ ำรวั้ ฝังดว้ ยเสาคอนกรตี แลว้ ล้อมด้วยแผ่นกระเบอื้ งปดิ ล้อมกั้นทางพพิ าทไม่ให้

ประชาชนใชท้ างพพิ าท ทำใหท้ างสาธารณประโยชนส์ ว่ นทเี่ หลอื ไมส่ ามารถขบั รถยนตแ์ ลน่ ผา่ น

ได้ และนายสมคิด ปานนพภา หลานของโจทก์และจำเลยที่ ๑ เป็นพยานโจทก์เบิกความว่า

พยานมีบ้านอยู่ห่างจากทางพิพาทประมาณ ๑๐๐ เมตร ต่อมาพยานได้ซื้อท่ีดินจากโจทก์ ๓

แปลง เดมิ สภาพทางพพิ าทมคี วามกว้าง ๖ เมตร เปน็ ทางออกส่ถู นนสาธารณะ พยานใช้ทาง

พพิ าทมานาน ๑๓ ปี และประชาชนทว่ั ไปกใ็ ชท้ างพพิ าทดงั กลา่ วไดโ้ ดยไมม่ ผี ใู้ ดคดั คา้ นและไมม่

ผ้ใู ดอา้ งว่าเป็นทางสว่ นบคุ คล สว่ นจำเลยทั้งสิบนำสบื วา่ จำเลยท่ี ๑ แบง่ แยกที่ดินโฉนดเลขที่

๑๖๐๔๓๘ ออกเปน็ ๑๑ แปลง เพือ่ ยกกรรมสทิ ธิ์ใหแ้ กจ่ ำเลยที่ ๒ ถึงท่ี ๑๐ ซึง่ เปน็ บุตร โดย

ส่วนท่ี ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำสง่ั ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
163
คดแี พ่ง


จำเลยท่ี ๑ เปน็ เจ้าของกรรมสิทธิ์ ๑ แปลง และแบ่งหักทางพพิ าทไว้สำหรับเป็นทางเดินของ

จำเลยทงั้ สบิ จำเลยท่ี ๑ ไมเ่ คยแสดงเจตนาอทุ ศิ ใหท้ างพพิ าทเปน็ ทางสาธารณประโยชน์ จำเลย

ทงั้ สบิ ใชเ้ สาคอนกรตี ปกั ปดิ กน้ั ลอ้ มทางพพิ าทเพอ่ื ปอ้ งกนั ทรพั ยส์ นิ ของตนเอง เหน็ วา่ โจทกแ์ ละ

จำเลยท่ี ๑ ตา่ งเปน็ พนี่ อ้ งกนั ไมป่ รากฏวา่ เคยมสี าเหตโุ กรธเคอื งกนั มากอ่ น เดมิ ทด่ี นิ ของโจทก

และของจำเลยท่ี ๑ มแี นวเขตตดิ ตอ่ กนั มสี ภาพเปน็ ทงุ่ นาโลง่ ๆ ตามสำเนาโฉนดทด่ี นิ เอกสาร

หมาย จ.๑ และ จ.๒ (ซ้ำกับเอกสารหมาย ล.๕) ไมม่ ที างสาธารณประโยชน์ มลี ำรางสาธารณะ

ผ่านทางด้านทิศเหนือ แสดงว่าภายหลังเม่ือมีการแบ่งแยกท่ีดินแล้ว จึงได้เกิดทางพิพาทขึ้น

จำเลยทง้ั สบิ ไมไ่ ดป้ ฏเิ สธคำฟอ้ งของโจทกว์ า่ มกี ารใชท้ างพพิ าทกอ่ นปี ๒๕๒๒ และไมไ่ ดป้ ฏเิ สธ

วา่ ทางพพิ าทไมม่ คี นใชส้ ญั จรไปมา จงึ ฟงั ไดว้ า่ มกี ารใชท้ างพพิ าทกอ่ นปี ๒๕๒๒ ตอ่ มาโจทกไ์ ด

แบ่งแยกที่ดินและแบ่งหักที่ดินส่วนหน่ึงอุทิศให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ ซ่ึงติดกับทิศ

ตะวนั ออกของทางพพิ าทตลอดแนวและเชอ่ื มเปน็ เสน้ ทางเดยี วกนั ทำใหท้ างพพิ าทมคี วามกวา้ ง

ขึ้น ส่วนด้านทิศเหนือของทางพิพาทติดกับลำรางสาธารณะโดยมีสะพานข้ามลำรางสาธารณะ

เชอื่ มตอ่ กบั ทางภาระจำยอม แสดงใหเ้ หน็ วา่ สะพานดงั กลา่ วสรา้ งขน้ึ เพอ่ื ใหร้ บั กบั ทางพพิ าทและ

เชอ่ื มกบั ทางภาระจำยอมซง่ึ ออกสถู่ นนสาธารณะ เมอื่ ปี ๒๕๔๓ ทจ่ี ำเลยที่ ๑ แบง่ แยกทด่ี นิ เปน็

แปลงยอ่ ย โจทกน์ ำสบื วา่ โจทกแ์ ละจำเลยที่ ๑ ไปตดิ ตอ่ กบั เจา้ พนกั งานทดี่ นิ พรอ้ มกนั และเบกิ

ความตอบทนายจำเลยทง้ั สบิ ถามคา้ นวา่ ขณะทจี่ ำเลยท่ี ๑ จะแบง่ แยกทด่ี นิ ไดม้ าปรกึ ษาพยาน

เพอื่ แบง่ หกั ทดี่ นิ บางสว่ นของจำเลยที่ ๑ ออกเปน็ ทางสาธารณประโยชนโ์ ดยใหบ้ รรจบกบั ทดี่ นิ

ของพยานสว่ นทแ่ี บง่ หกั ใหเ้ ปน็ ทางสาธารณประโยชนเ์ ชน่ กนั แสดงวา่ จำเลยที่ ๑ ตกลงแบง่ หกั

ทางพพิ าทอทุ ศิ ใหเ้ ปน็ ทางสาธารณประโยชน์ จำเลยท่ี ๑ ไมไ่ ดน้ ำสบื หกั ลา้ งวา่ ไมเ่ ปน็ ความจรงิ

และตามสำเนาแผนทร่ี ะวาง เอกสารหมาย ล.๗ เปน็ รปู ทดี่ นิ หลงั จากทจ่ี ำเลยที่ ๑ แบง่ แยกทด่ี นิ

แล้ว ทางพิพาทก็เชื่อมติดกับทางสาธารณประโยชน์ที่โจทก์อุทิศให้ในลักษณะเดิม จึงเช่ือว่า

โจทก์เบกิ ความตามทีจ่ ำเลยที่ ๑ ซึ่งเปน็ นอ้ งสาวโจทกไ์ ด้แสดงเจตนาอุทิศทางพพิ าทไว้แต่แรก

164 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คดี


ทง้ั กอ่ นทจ่ี ำเลยที่ ๑ จะแบง่ แยกทด่ี นิ จำเลยท่ี ๑ เบกิ ความตอบทนายโจทกถ์ ามคา้ นวา่ แนวรวั้

ที่ล้อมทด่ี ินของจำเลยที่ ๑ มี ๒ แนว คอื แนวทหี่ นึง่ เป็นแนวลวดหนาม ไมไ่ ด้ก้ันทางพพิ าท

แนวทส่ี อง เปน็ แนวรวั้ ทำดว้ ยกระเบอ้ื ง ลอ้ มปดิ กน้ั ทางพพิ าท แนวรว้ั ลวดหนามหา่ งจากแนวรว้ั

กระเบื้องประมาณ ๕ เมตร ซ่ึงเจือสมและสอดคล้องกับที่นายไพบูลย์ พยานโจทก์ เบิกความ

ตอบทนายจำเลยทั้งสิบถามค้านว่า เดิมจำเลยที่ ๑ ทำร้ัวลวดหนามปิดกั้นเฉพาะท่ีดินส่วนใน

โดยไมไ่ ดก้ น้ั ทางพพิ าท การทจี่ ำเลยท่ี ๑ เวน้ ทางพพิ าทไวแ้ ละทำรว้ั ถดั จากทางพพิ าท แสดงให

เห็นเจตนาของจำเลยท่ี ๑ ว่าอุทิศทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณประโยชน์โดยให้เป็นเส้นทาง

เดยี วกนั กบั ทางสาธารณประโยชน์ที่โจทก์อุทิศให้ตามทโ่ี จทก์เบกิ ความไว้ เม่ือขอ้ เทจ็ จรงิ ฟงั ได้

วา่ จำเลยท่ี ๑ ไดอ้ ทุ ศิ ใหท้ างพพิ าทเปน็ ทางสาธารณประโยชนแ์ ลว้ ทจี่ ำเลยทงั้ สบิ นำสบื วา่ จำเลย

ท่ี ๑ ไม่ได้อุทิศให้ทางพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์และไม่อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปใช้

สญั จรไปมา จงึ ไม่มีน้ำหนกั ใหร้ ับฟัง ที่ศาลชั้นตน้ วินจิ ฉัยมานั้นชอบแลว้ ศาลอุทธรณ์เหน็ พ้อง

ด้วย อุทธรณข์ องจำเลยทัง้ สบิ ฟังไม่ข้นึ

พิพากษายืน คา่ ฤชาธรรมเนยี มในชั้นอุทธรณ์ให้เปน็ พับ.

สว่ นที่ ๒ ตวั อยา่ งคำพิพากษาและคำส่ังในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 165
คดแี พง่


ตวั อยา่ งคดีทดี่ นิ การครอบครองปรปักษ






คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ ๗๘๖/๒๕๕๐


พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงอันยุติในเบื้องต้นโดยที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นน้

ฟังได้ว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๖๕๕๕ ตำบลป้อมปราบ (สามยอด) อำเภอป้อมปราบศัตรูพ่าย

กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง อันได้แก่ ตึกแถว ๒ ห้อง เลขท่ี ๒๕๘/๑๕ และเลขท่ ี

๒๕๘/๑๖ เดิมเป็นของนาวาเอก ถิระ กรลกั ษณ์ (ยศในปัจจุบนั ) โดยตึกแถวปลกู สร้างขน้ึ เม่ือ

ประมาณปี ๒๕๐๐ ทด่ี นิ พรอ้ มตกึ แถวของนาวาเอก ถริ ะดงั กลา่ วอยตู่ ดิ กบั ทด่ี นิ โฉนดเลขที่ ๔๑๙

ซง่ึ เดิมเปน็ กรรมสิทธ์ขิ องนางสาวบุตรี กรลกั ษณ์ ป้าของโจทก์ ตอ่ มาเม่อื ปี ๒๕๑๒ ทด่ี นิ โฉนด

เลขท่ี ๔๑๙ ตกเป็นกรรมสทิ ธิข์ องโจทกโ์ ดยทางมรดกของนางสาวบตุ รี ปรากฏว่าบางส่วนของ

ตกึ แถว ๒ หอ้ ง ดงั กลา่ วรกุ ลำ้ เขา้ ไปในทด่ี นิ ของโจทกป์ ระมาณ ๑ ตารางวา ในปี ๒๕๒๖ โจทก

จดทะเบยี นแบง่ แยกทดี่ นิ สว่ นทถ่ี กู ตกึ แถวรกุ ลำ้ ออกจากทด่ี นิ โฉนดเลขท่ี ๔๑๙ เปน็ ทด่ี นิ พพิ าท

โฉนดเลขที่ ๑๕๖๑๘ เน้อื ที่ ๑ ตารางวา เม่อื ปี ๒๕๓๒ นาวาเอก ถริ ะโอนขายทด่ี ินโฉนดเลขท่ี

๑๖๕๕๕ พร้อมตกึ แถว ๒ ห้อง ใหแ้ ก่นายประยทุ ธ อรุณเรืองศิรเิ ลศิ พี่ชายจำเลย กอ่ นท่นี าย

ประยุทธจะซื้อทดี่ นิ พรอ้ มตกึ แถว ๒ หอ้ ง ดังกลา่ ว นายประยทุ ธไดเ้ ช่าทีด่ ินพรอ้ มตึกแถวจาก

นาวาเอก ถริ ะมากอ่ น ในปี ๒๕๓๐ และในปี ๒๕๓๑ นายประยทุ ธไดท้ ำหนงั สอื สญั ญาเชา่ ทด่ี นิ

พิพาทจากโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.๑ และ จ.๒ เม่ือปี ๒๕๓๘ นายประยุทธโอนขายท่ีดิน

โฉนดเลขท่ี ๑๖๕๕๕ พรอ้ มตกึ แถว ๒ หอ้ ง ให้แก่จำเลย คดีมปี ญั หาตอ้ งวนิ ิจฉัยตามอุทธรณ์

ของจำเลยวา่ ที่ดนิ พิพาทโฉนดเลขท่ี ๑๕๖๑๘ ซงึ่ ตกึ แถวของจำเลยปลูกสรา้ งรกุ ล้ำเข้าไป ตก

เปน็ กรรมสทิ ธข์ิ องจำเลยโดยการครอบครองปรปกั ษห์ รอื ไม่ เหน็ วา่ ตามคำเบกิ ความของจำเลย

อ้างสิทธิการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทโฉนดเลขท่ี ๑๕๖๑๘ ต่อเนื่องจากการครอบครอง

ของนาวาเอก ถริ ะ เจา้ ของทด่ี นิ เดมิ ทข่ี ายใหแ้ กน่ ายประยทุ ธ พช่ี ายจำเลย และการครอบครอง

166 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉัยคด


ของนายประยทุ ธทข่ี ายตอ่ ใหแ้ กจ่ ำเลย เนอื่ งจากขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏวา่ นาวาเอก ถริ ะครอบครอง

ทีด่ นิ พิพาทมาเป็นเวลากวา่ ๑๐ ปี โดยความสงบ เปดิ เผย และด้วยเจตนาเปน็ เจ้าของโดยไม่รู้

ว่าเป็นท่ีดินของบุคคลอ่ืน นาวาเอก ถิระจึงได้กรรมสิทธ์ิในท่ีดินพิพาทตามประมวลกฎหมาย

แพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ แล้ว อย่างไรกต็ าม ไดค้ วามจากนาวาเอก ถริ ะเบิกความเป็น

พยานโจทกว์ า่ ก่อนทน่ี ายประยุทธจะซ้อื ที่ดนิ โฉนดเลขที่ ๑๖๕๕๕ พร้อมตึกแถว ๒ ห้อง นาย

ประยุทธเช่าที่ดินพร้อมตึกแถวดังกล่าวมาก่อน และก่อนท่ีพยานจะขายที่ดินและตึกแถวให้แก่

นายประยุทธ พยานทราบว่าท่ีดินส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๖๕๕๕ รุกล้ำเข้าไปในที่ดิน

ของโจทก์ โดยโจทก์โต้แย้งว่าท่ีดินพิพาทล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ซึ่งพยานยอมรับว่าที่ดิน

พิพาทล้ำเข้าไปในท่ีดินของโจทก์จริง และพยานบอกแก่นายประยุทธเก่ียวกับที่ดินพิพาทว่าม

การลำ้ เขา้ ไปในทด่ี นิ ของโจทก์ หากนายประยทุ ธตอ้ งการซอ้ื หรอื เชา่ กใ็ หไ้ ปตดิ ตอ่ กบั โจทกเ์ อง

ได้ความดังน้ี แสดงว่านาวาเอก ถิระได้สละเจตนาครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทและยอมรับ

สทิ ธิของโจทกซ์ ึ่งมีช่ือในโฉนดทดี่ นิ พิพาทแล้ว จำเลยเป็นผูร้ ับโอนตึกแถวในที่ดินพิพาท จึงไม

อาจอา้ งวา่ นาวาเอก ถริ ะไดก้ รรมสทิ ธทิ์ ด่ี นิ พพิ าทโดยการครอบครองปรปกั ษ์ ทจี่ ำเลยอทุ ธรณว์ า่

คำเบกิ ความของนาวาเอก ถริ ะมไิ ดเ้ ปน็ การแสดงเจตนาสละการครอบครองทดี่ นิ พพิ าท และเปน็

การบอกกลา่ วเฉพาะตวั แกน่ ายประยทุ ธ มไิ ดบ้ อกกลา่ วไปยงั โจทก์ จงึ ไมม่ ผี ลผกู พนั ไปถงึ โจทก

นน้ั เหน็ วา่ พฤตกิ ารณข์ องนาวาเอก ถริ ะดงั กลา่ วเปน็ การแสดงเจตนาสละการครอบครองทดี่ นิ

พพิ าทแลว้ ทงั้ การสละการครอบครองไมจ่ ำตอ้ งบอกกลา่ วไปยงั โจทกด์ งั เชน่ กรณเี ปลย่ี นลกั ษณะ

แหง่ การยดึ ถอื ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๓๘๑ สว่ นการครอบครองทดี่ นิ

พิพาทของนายประยุทธต่อจากนาวาเอก ถิระนั้น ปรากฏว่าเดิมนายประยุทธเช่าท่ีดินพร้อม

ตกึ แถวจากนาวาเอก ถริ ะ ระหวา่ งนั้นเมอื่ ปี ๒๕๓๐ และปี ๒๕๓๑ นายประยุทธทำสัญญาเช่า

ทด่ี นิ พพิ าทจากโจทก์ ตอ่ มาเมอื่ ปี ๒๕๓๒ นายประยทุ ธซอ้ื ทดี่ นิ พรอ้ มตกึ แถวจากนาวาเอก ถริ ะ

ซ่ึงนายประยุทธเบิกความเป็นพยานจำเลยว่า นายประยุทธมิได้ชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์

สว่ นที่ ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำสง่ั ในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
167
คดีแพ่ง


เนือ่ งจากมีเจตนาท่จี ะครอบครองปรปักษท์ ีด่ นิ พิพาท เห็นว่า การท่ีนายประยุทธทำสัญญาเช่า

ทด่ี นิ พพิ าทจากโจทกเ์ ปน็ การยอมรบั โดยปรยิ ายวา่ ทด่ี นิ พพิ าทเปน็ กรรมสทิ ธข์ิ องโจทก์ และนาย

ประยุทธครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสัญญาเช่าที่ทำไว้กับโจทก์ เป็นการครอบครองแทน

โจทก์ แมส้ ญั ญาเช่าทด่ี นิ พพิ าทจะครบกำหนดระยะเวลาเช่าในวันท่ี ๓๑ ธนั วาคม ๒๕๓๑ โดย

มไิ ดม้ กี ารทำหนงั สอื สญั ญาเชา่ ทดี่ นิ พพิ าทกบั โจทกอ์ กี และนายประยทุ ธไดซ้ อื้ ทด่ี นิ โฉนดเลขท ี่

๑๖๕๕๕ พรอ้ มตกึ แถวจากนาวาเอก ถริ ะโดยมไิ ดช้ ำระคา่ เชา่ ทด่ี นิ พพิ าทใหแ้ กโ่ จทก์ แตเ่ มอื่ ไม

ปรากฏว่านายประยุทธได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ว่านายประ

ยุทธไม่มีเจตนาท่ีจะยึดถือท่ีดินพิพาทแทนโจทก์อีกต่อไป แม้นายประยุทธจะครอบครองที่ดิน

พิพาทต่อมาหลังจากสัญญาเช่าสิ้นสุดลงเป็นเวลานานเพียงใด ก็หาทำให้การครอบครองของ

นายประยทุ ธเปน็ การครอบครองโดยความสงบ เปดิ เผย และดว้ ยเจตนาเปน็ เจา้ ของไม่ ทจี่ ำเลย

อทุ ธรณว์ า่ เมอื่ สญั ญาเชา่ ตามหนงั สอื สญั ญาเชา่ ทด่ี นิ เอกสารหมาย จ.๒ สนิ้ สดุ ลง นายประยทุ ธ

มไิ ดช้ ำระคา่ เชา่ ใหแ้ กโ่ จทกอ์ กี ตอ่ ไป ถอื วา่ นายประยทุ ธโตแ้ ยง้ สทิ ธขิ องโจทกแ์ ลว้ เมอื่ โจทกม์ ไิ ด

ทวงถามคา่ เชา่ หรอื โตแ้ ยง้ คดั คา้ น การทนี่ ายประยทุ ธครอบครองทด่ี นิ พพิ าทหลงั จากสญั ญาเชา่

สิน้ สดุ ลงจนในวันท่ี ๑๔ ธนั วาคม ๒๕๓๒ นายประยุทธจงึ ซ้ือท่ีดินโฉนดเลขที่ ๑๖๕๕๕ พรอ้ ม

ตกึ แถวจากนาวาเอก ถริ ะ นายประยทุ ธจงึ อยใู่ นฐานะเจา้ ของทดี่ นิ พรอ้ มตกึ แถวดงั กลา่ ว รวมทง้ั

เข้าครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของต่อจากนาวาเอก ถิระนั้น เห็นว่า
นายประยุทธยอมรับสิทธิของโจทก์ในที่ดินพิพาทมาต้ังแต่ยังเป็นผู้เช่าท่ีดินจากนาวาเอก ถิระ

แม้ต่อมานายประยุทธจะซ้ือที่ดินพร้อมตึกแถวจากนาวาเอก ถิระ ก็หาทำให้การครอบครอง
ของนายประยทุ ธเปลย่ี นเปน็ การครอบครองดว้ ยเจตนายดึ ถอื เพอ่ื ตนไม่ ประกอบกบั นายประยทุ ธ

เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านรับว่า นายประยุทธเคยติดต่อขอซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก

อันเป็นการยอมรับสิทธิของโจทก์ในที่ดินพิพาทต่อเนื่องมาตั้งแต่แรก การครอบครองของนาย

ประยทุ ธจงึ เปน็ การครอบครองแทนโจทก์ ดงั นนั้ เมอื่ นายประยทุ ธขายทด่ี นิ พรอ้ มตกึ แถวใหแ้ ก


168 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉัยคดี


จำเลย จงึ ไมอ่ าจนบั ระยะเวลาซง่ึ นาวาเอก ถริ ะและนายประยทุ ธครอบครองอยกู่ อ่ นนนั้ รวมเขา้

กับระยะเวลาครอบครองของจำเลยได้ เม่ือนับระยะเวลาที่จำเลยครอบครองท่ีดินพิพาทตั้งแต

วันท่ี ๒๒ มีนาคม ๒๕๓๘ ถึงวันฟ้อง ยังไม่ครบ ๑๐ ปี จำเลยจึงไม่อาจอ้างการครอบครอง

ปรปักษข์ ึ้นยันโจทกไ์ ด้ ทศี่ าลชน้ั ต้นพพิ ากษามานั้นชอบแลว้ อทุ ธรณ์ของจำเลยลว้ นฟงั ไม่ขน้ึ

มีปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยอีกประการหนึ่งว่า จำเลยจะต้อง

ชำระค่าใช้ที่ดินพิพาทตามฟ้องหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ตึกแถวของจำเลยรุกล้ำเข้าไปในท่ีดิน

พิพาทซึง่ เป็นกรรมสิทธิข์ องโจทกโ์ ดยสุจริต จำเลยจึงต้องเสยี เงนิ ใหแ้ ก่โจทกเ์ ป็นคา่ ใชท้ ี่ดนิ นน้ั

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๑๒ วรรคแรก ท่ีจำเลยอุทธรณ์ว่า ท่ีดิน

พิพาทไม่มที างออกสู่ทางสาธารณะ มีเนือ้ ทีเ่ พยี ง ๑ ตารางวา ค่าใชท้ ดี่ ิน เดอื นละ ๒๐๐ บาท

เปน็ จำนวนพอสมควรแลว้ ทศี่ าลชนั้ ตน้ กำหนดราคาคา่ ใชท้ ด่ี นิ เดอื นละ ๖๐๐ บาท เปน็ จำนวน

ท่ีสูงเกินสมควรนั้น เห็นว่า ราคาค่าใช้ท่ีดินพิพาท เดือนละ ๒๐๐ บาท เป็นอัตราที่โจทก

กำหนดใหน้ ายประยทุ ธชำระต้ังแตป่ ี ๒๕๓๐ และปี ๒๕๓๑ ปจั จบุ ันท่ีดินย่อมมีราคาสูงขึ้นตาม

ภาวะเศรษฐกิจ การที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าใช้ที่ดิน เดือนละ ๖๐๐ บาท นับว่าเป็นจำนวนท่ี

พอสมควรแล้ว ไมม่ ีเหตเุ ปลีย่ นแปลงแกไ้ ข อุทธรณข์ องจำเลยข้อน้ฟี งั ไม่ขน้ึ เช่นกนั

พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนาย

ความ ๓,๐๐๐ บาท.

ส่วนที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำส่งั ในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 169
คดแี พง่


ตัวอยา่ งคดที ีด่ ิน ขบั ไล่






ำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๒๓๑๐/๒๕๔๗


พิเคราะห์แล้ว ขอ้ เท็จจริงรับฟงั ในเบื้องต้นได้ว่า เมอ่ื วนั ท่ี ๒๙ สงิ หาคม ๒๕๐๕

นายหยีฮิม จรกา และนางเซาะ จรกา บิดามารดาโจทก์ท้ังหก ได้ทำหนังสือยินยอมยกให

กรรมสทิ ธทิ์ ด่ี นิ เนอื้ ที่ ๒ งาน ของทด่ี นิ โฉนดเลขที่ ๑๒๒๘ อนั เปน็ ทดี่ นิ พพิ าทใหจ้ ำเลยที่ ๑ เพอื่

ก่อสร้างสำนักงานผดุงครรภ์ โดยมีเง่ือนไขว่าทางราชการจะนำท่ีดินไปซื้อขายหรือหักโอน

แลกเปลยี่ นกบั ผใู้ ดผหู้ นง่ึ หรอื หนว่ ยราชการอนื่ ไมไ่ ด้ เมอ่ื ราชการหมดความประสงคท์ จี่ ะใชท้ ด่ี นิ

ใหส้ ่งมอบคืนแกบ่ ดิ ามารดาโจทก์ทั้งหกทันทีตามเอกสารหมาย จ.๓ หลังจากนน้ั เมอ่ื ปี ๒๕๑๓

บิดามารดาโจทก์ท้ังหกได้แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขท่ี ๑๒๒๘ ในส่วนท่ีเป็นที่ดินพิพาทออกเป็น

ที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๘๙๗๒ ในปี ๒๕๑๗ จำเลยที่ ๑ ได้โอนทรัพย์สิน รวมท้ังสถานีอนามัย

สำนักงานผดุงครรภ์ ข้าราชการ ลูกจา้ ง และเงินงบประมาณของจำเลยท่ี ๑ ไปใหจ้ ำเลยที่ ๒

ตามกฎหมาย ต่อมาเมอื่ ปี ๒๕๒๑ จำเลยที่ ๒ ไดโ้ อนอำนาจหน้าท่ี กิจการ ทรัพย์สนิ และเงิน

งบประมาณของจำเลยท่ี ๒ เฉพาะในสว่ นทเ่ี กยี่ วกบั สำนกั งานสาธารณสขุ จงั หวดั และสำนกั งาน

สาธารณสขุ อำเภอในพนื้ ทป่ี กครองของกรงุ เทพมหานครไปเปน็ ของจำเลยที่ ๓ จากนนั้ เมอ่ื วนั ท ่ี

๖ มีนาคม ๒๕๒๘ นางเซาะ มารดาโจทก์ท้ังหก ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ส่งมอบที่ดิน

พิพาทโฉนดเลขที่ ๖๘๙๗๒ คนื แก่ตนตามเอกสารหมาย จ.๔ มีปญั หาต้องวินิจฉยั ตามอทุ ธรณ

ของโจทกท์ ง้ั หกวา่ ทด่ี นิ พพิ าทตกเปน็ สาธารณสมบตั ขิ องแผน่ ดนิ หรอื ไม่ โจทกท์ ง้ั หกอทุ ธรณว์ า่

ภายหลงั จากทางราชการสร้างศนู ย์บริการสาธารณสุขแห่งใหม่ขน้ึ ท่ีวัดปากบ่อแลว้ ไดม้ กี ารขน

ยา้ ยเครอ่ื งมอื และอปุ กรณจ์ ากสำนกั งานผดงุ ครรภใ์ นทดี่ นิ พพิ าทไปไวท้ ศี่ นู ยบ์ รกิ ารสาธารณสขุ

แหง่ ใหม่ สำนกั งานผดงุ ครรภซ์ ง่ึ ตง้ั อยใู่ นทด่ี นิ พพิ าทจงึ ปดิ บรกิ ารและไมม่ ปี ระชาชนมาใชบ้ รกิ าร

แตอ่ ยา่ งใด ในกรณที ย่ี งั มคี นของจำเลยที่ ๓ อยใู่ นสำนกั งานผดงุ ครรภซ์ งึ่ ตงั้ อยใู่ นทด่ี นิ พพิ าท ก


170 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉัยคด


เปน็ การอยใู่ นลกั ษณะพกั อาศยั เมอื่ จำเลยทงั้ สามไมไ่ ดใ้ ชป้ ระโยชนใ์ นทดี่ นิ พพิ าทเปน็ สำนกั งาน

ผดุงครรภ์ตามเจตนารมณ์ของนายหยีฮิมและนางเซาะแล้ว จำเลยทั้งสามจึงต้องส่งมอบที่ดิน

พิพาทคืนให้แก่โจทก์ท้ังหกน้ัน เห็นว่า ทางพิจารณาของจำเลยทั้งสามมีพยานบุคคลมาเบิก

ความยนื ยนั วา่ ศนู ยบ์ รกิ ารสาธารณสขุ ๒๒ สาขาสวนหลวง ยงั คงเปดิ ดำเนนิ การอยู่ โดยเฉพาะ

อยา่ งยงิ่ พยานของจำเลยทง้ั สามปาก อนั ได้แก่ นางสุธดิ า ณ ระนอง ซึง่ รับราชการในตำแหน่ง

พยาบาลวชิ าชพี ระดบั ๖ ปจั จบุ นั ปฏบิ ตั หิ นา้ ทเ่ี ปน็ หวั หนา้ พยาบาลทศี่ นู ยบ์ รกิ ารสาธารณสขุ ๘

ของจำเลยท่ี ๓ เบิกความวา่ เมอื่ ปี ๒๕๓๖ พยานรับราชการอยทู่ ศี่ ูนย์บริการสาธารณสขุ ๒๒

โดยเปน็ หวั หนา้ พยาบาล ทำหนา้ ทด่ี แู ลพยาบาลและเจา้ หนา้ ทท่ี งั้ ในศนู ยบ์ รกิ ารสาธารณสขุ ๒๒

วดั ปากบอ่ และศนู ยบ์ รกิ ารสาธารณสขุ ๒๒ สาขาสวนหลวง ศนู ยบ์ รกิ ารสาธารณสขุ ๒๒ สาขา

สวนหลวง ให้บริการตรวจโรคท่ัวไปทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ในตอนบ่ายจะให้บริการคลินิก

ส่งเสริมสุขภาพ เช่น ให้วัคซีนเด็ก ตรวจหญิงมีครรภ์ รวมทั้งออกไปเยี่ยมเยียนผู้ป่วยท่ีบ้าน

ในวนั เสาร์ สำหรบั วนั อาทติ ย์ หากมคี นไขฉ้ กุ เฉนิ เจา้ หนา้ ทก่ี จ็ ะใหบ้ รกิ ารรกั ษาพยาบาล มผี มู้ า

รับบริการตรวจโรคท่ัวไปประมาณ ๒,๐๐๐ ราย ต่อปี ฉีดวัคซีนแก่เด็ก ๑,๕๐๐ ราย ต่อปี ม

เจ้าหน้าท่ีประจำ ๒ คน คือ นางสาวมัลลิกา ประดับพลอย และนางสาวปราณี ศรีประภา

นอกจากน้ี จำเลยยังมีนางสาวมัลลิกา ประดับพลอย ซ่ึงรับราชการอยู่ท่ีศูนย์บริการสาธารณ-

สุข ๒๒ สาขาสวนหลวง ต้ังแตป่ ลายปี ๒๕๒๘ จนถงึ ปัจจุบนั มาเบกิ ความสนับสนุนว่า พยาน

พักอาศัยอยู่ท่ีศูนย์บริการสาธารณสุขดังกล่าว ในวันเสาร์และวันอาทิตย์ยังมีการเปิดให้บริการ

โดยจะเปน็ การฉดี ยารกั ษาวณั โรคสำหรบั คนไขท้ ถ่ี งึ กำหนดในการฉดี ยา การทำแผล กรณหี ญงิ

มีครรภ์ใกล้คลอดจะพาไปโรงพยาบาล แต่ในกรณีฉุกเฉินท่ีจำเป็นต้องทำคลอด พยานจะทำ

คลอดให้ เดก็ หญงิ นทั สดุ า จรกา ซง่ึ พยานเขา้ ใจวา่ คงเปน็ ลกู หลานของผบู้ รจิ าคทด่ี นิ เคยมารบั

การบริการฉีดวัคซีนตามที่กำหนดไว้ซึ่งต้องฉีดให้จนอายุครบ ๔ ปี ตามบัตรตรวจสุขภาพ

เดก็ เอกสารหมาย ล.๘ สำหรับเอกสารหมาย ล.๙ เป็นรายการในสมุดบนั ทกึ ซ่งึ ผู้ปว่ ยลงชอ่ื ไว


สว่ นที่ ๒ ตวั อยา่ งคำพิพากษาและคำสงั่ ในรปู คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
171
คดีแพ่ง


ในกรณที ีม่ ารับการบริการทีศ่ ูนย์บรกิ ารสาธารณสขุ แห่งนี้ บคุ คลในลำดับท่ี ๑๕ ถึงลำดับท่ี ๑๘

เปน็ ลกู หลานของผบู้ รจิ าคทดี่ นิ ให้ ศนู ยบ์ รกิ ารสาธารณสขุ ดงั กลา่ วยงั คงใหบ้ รกิ ารดา้ นผดงุ ครรภ์

หากคนไข้ประสงค์ท่ีจะคลอดที่ศูนย์บริการสาธารณสุขแห่งน้ี พยานจะทำคลอดให้ และมีนาย

สมชาย แกน่ สวุ รรณ ซง่ึ รบั ราชการอยทู่ ฝี่ า่ ยกฎหมาย กองการเจา้ หนา้ ท่ี ของจำเลยที่ ๑ มาเบกิ

ความเปน็ พยานจำเลยดว้ ยวา่ เมอ่ื ปี ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ไดร้ บั หนงั สอื จากทนายความของโจทก

ทงั้ หก พยานจงึ ไปตรวจสอบขอ้ เทจ็ จรงิ ณ ทดี่ นิ พพิ าทและถา่ ยภาพไวต้ ามภาพถา่ ย หมาย ล.๗

ส่วนโจทก์ท้ังหก แม้จะมีพยานบุคคลมาเบิกความยืนยันว่าศูนย์บริการสาธารณสุข ๒๒ สาขา

สวนหลวง มไิ ดเ้ ปดิ ใหบ้ รกิ ารแลว้ กต็ าม แตพ่ ยานโจทกท์ ง้ั หกทเ่ี บกิ ความสว่ นใหญเ่ กยี่ วพนั เปน็

ญาติของโจทกท์ ง้ั หก เม่ือพิเคราะห์ขอ้ นำสบื ของโจทกท์ ง้ั หกและของจำเลยทั้งสามแล้ว เหน็ ได

วา่ จำเลยทัง้ สามมพี ยานบคุ คลทเ่ี กีย่ วข้องโดยตรง โดยเฉพาะอย่างย่ิงนางสาวมัลลกิ า ปจั จบุ นั

ยังคงปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ีราชการประจำอยูท่ ี่ศูนย์บรกิ ารสาธารณสุขดงั กลา่ ว เม่อื พยานของจำเลยทั้ง

สามตา่ งเบกิ ความไดส้ อดคลอ้ งตอ้ งกนั รวมทง้ั มพี ยานเอกสารหลกั ฐานการใหบ้ รกิ ารแกผ่ มู้ ารบั

การรักษาพยาบาลตลอดจนภาพถ่ายเป็นข้อยืนยันด้วย ส่วนข้อนำสืบของโจทก์ทั้งหกเป็นแต

เพยี งการเบิกความลอย ๆ ไม่มพี ยานหลักฐานอน่ื ใดสนบั สนนุ ท้ังมิอาจนำพยานมาสืบหกั ลา้ ง

ข้อนำสืบของจำเลยทั้งสามได้ จึงเชื่อว่ายังมีการใช้ที่ดินพิพาทเปิดเป็นที่ทำการศูนย์บริการ

สาธารณสขุ เพอื่ ใหบ้ รกิ ารรกั ษาพยาบาลแกป่ ระชาชนอยู่ ทง้ั ยงั คงใหบ้ รกิ ารดา้ นผดงุ ครรภ์ ซง่ึ ไม

อาจถอื ไดว้ า่ ผดิ เจตนารมณห์ รอื ขดั ตอ่ เงอ่ื นไขตามหนงั สอื ยนิ ยอมยกใหก้ รรมสทิ ธทิ์ ดี่ นิ เอกสาร

หมาย จ.๓ แต่อย่างใด และทีโ่ จทก์ท้ังหกอทุ ธรณ์ว่า นายหยีฮิมและนางเซาะ บิดามารดาโจทก

ท้ังหก มีความประสงค์ให้เฉพาะแต่จำเลยท่ี ๑ ใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทเท่าน้ัน การโอน

สำนักงานผดงุ ครรภซ์ ่งึ เดิมสงั กดั จำเลยที่ ๑ ไปข้ึนอย่กู บั จำเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ตามลำดับ จงึ ไม่

อาจกระทำได้ ไมว่ า่ โดยนติ กิ รรมหรอื โดยผลของกฎหมาย เพราะขดั ตอ่ ความประสงคห์ รอื เจตนา

ท่ีแท้จริงของเจ้าของกรรมสิทธ์ิที่ดินอันเป็นการผิดเงื่อนไขตามหนังสือยินยอมยกให้กรรมสิทธ์


172 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉยั คด


ทด่ี นิ เอกสารหมาย จ.๓ นนั้ เหน็ วา่ ตามเงอ่ื นไขทน่ี ายหยฮี มิ กบั นางเซาะซงึ่ ทำหนงั สอื ยนิ ยอม

ยกใหก้ รรมสทิ ธทิ์ ด่ี นิ ตามเอกสารหมาย จ.๓ ไดร้ ะบไุ วว้ า่ ทางราชการจะนำทด่ี นิ ไปซอื้ ขายหรอื

หักโอนแลกเปล่ียนกับผู้ใดผู้หน่ึงหรือหน่วยราชการอื่นไม่ได้ มีลักษณะเป็นการห้ามในกรณ

ไปกระทำนิติกรรม ไม่รวมถึงโดยผลแห่งบทบัญญัติของกฎหมายด้วย เม่ือจำเลยที่ ๑ โอน

สำนักงานผดงุ ครรภ์ซ่ึงสงั กัดจำเลยที่ ๑ ไปขึน้ อยกู่ บั จำเลยท่ี ๒ และจำเลยที่ ๒ โอนไปขึน้ อย
ู่
กบั จำเลยที่ ๓ ตามลำดบั ทง้ั นี้ โดยผลแหง่ บทบญั ญตั ขิ องกฎหมาย มไิ ดเ้ ปน็ การซอ้ื ขายหรอื หกั

โอนแลกเปล่ียนกับหน่วยราชการอื่นแต่อย่างใด จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการผิดเง่ือนไขดังที่โจทก์ท้ัง

หกอทุ ธรณ์ ดงั นน้ั เมอื่ จำเลยที่ ๓ ยงั มกี ารใชท้ ด่ี นิ พพิ าทเปน็ ศนู ยบ์ รกิ ารสาธารณสขุ ๒๒ สาขา

สวนหลวง เพอื่ ใชบ้ รกิ ารรกั ษาพยาบาลแกป่ ระชาชนตรงตามเจตนารมณข์ องเจา้ ของกรรมสทิ ธ์ิ

ที่ดินและมิได้กระทำการผิดเงื่อนไขดังที่ระบุไว้ในหนังสือยินยอมยกให้กรรมสิทธ์ิที่ดินตาม

เอกสารหมาย จ.๓ การที่บิดามารดาของโจทก์ทั้งหกซ่ึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ยกท่ีดิน

พิพาทให้แก่จำเลยท่ี ๑ ซึ่งเปน็ สว่ นราชการ ท่ีดินพิพาทจึงตกเป็นของจำเลยท่ี ๑ นบั แตไ่ ดร้ ับ

การยกใหเ้ ปน็ ตน้ มาโดยมติ อ้ งจดทะเบยี นตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ที่ โจทกท์ ง้ั หกจงึ ไมม่ สี ทิ ธฟิ อ้ งขบั

ไล่ ดังนั้น จึงไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นอื่นที่อุทธรณ์ ศาลช้ันต้นพิพากษาชอบแล้ว ศาล

อทุ ธรณ์เหน็ พ้องด้วย อทุ ธรณ์ของโจทก์ทั้งหกฟังไมข่ น้ึ

พิพากษายนื ค่าฤชาธรรมเนียมในชนั้ อุทธรณ์ใหเ้ ปน็ พบั .

สว่ นที่ ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำสงั่ ในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 173
คดีแพ่ง


ตัวอย่างคดบี ริษทั






ำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ่ี ๙๗๑๐/๒๕๕๑


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่โจทก์โต้เถียงในอุทธรณ

วา่ โจทกข์ อใหศ้ าลชนั้ ตน้ มคี ำสงั่ เรยี กรายงานการประชมุ วสิ ามญั ผถู้ อื หนุ้ ครง้ั ที่ ๑/๒๕๔๒ จาก

จำเลยที่ ๑ แตจ่ ำเลยที่ ๑ แจง้ วา่ ไมม่ เี อกสารดงั กลา่ ว ตอ่ มาจำเลยทง้ั หกกลบั นำสบื อา้ งเอกสาร

นน้ั ทำใหโ้ จทกเ์ สยี เปรยี บในการดำเนนิ คดี จงึ ไมค่ วรรบั ฟงั เปน็ พยานนนั้ เหน็ วา่ แมก้ รณจี ะเปน็

ดังที่โจทก์อ้าง แต่เม่ือทนายจำเลยท้ังหกอ้างรายงานการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ ๑/

๒๕๔๒ ประกอบการถามค้านนายสมศักด์ิ เหมทานนท์ ขณะเบิกความเป็นพยานโจทก์ ไม่

ปรากฏว่าโจทก์โต้แย้งคัดค้านการนำเอกสารดังกล่าวมาสืบว่าไม่มีต้นฉบับ หรือว่าต้นฉบับนั้น

ปลอมทั้งฉบับหรือบางส่วน หรือสำเนาเอกสารนั้นไม่ถูกต้องกับต้นฉบับ และโจทก์ไม่ได้

ขออนุญาตคัดค้านในภายหลังก่อนศาลพิพากษา กรณีจึงต้องห้ามมิให้โจทก์คัดค้านการมีอย่

และความแท้จริงของเอกสารหรือความถูกต้องแห่งสำเนาเอกสารน้ันตามประมวลกฎหมายวิธ

พจิ ารณาความแพง่ มาตรา ๑๒๕ ศาลยอ่ มมอี ำนาจรบั ฟงั เอกสารดงั กลา่ วได้ อทุ ธรณข์ องโจทก

ข้อนฟี้ ังไม่ข้นึ

พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภท

บรษิ ทั จำกดั มจี ำเลยที่ ๑ ถงึ ที่ ๖ กบั ผมู้ ชี อื่ เปน็ กรรมการตามหนงั สอื รบั รอง เอกสารหมาย จ.๓

เดมิ จำเลยที่ ๑ มขี อ้ บงั คบั ทจ่ี ดทะเบยี นไวต้ ามสำเนาขอ้ บงั คบั เอกสารหมาย จ.๘ ตอ่ มาจำเลย

ที่ ๑ จดทะเบยี นเปลย่ี นแปลงแกไ้ ขขอ้ บงั คบั ใหมต่ ามสำเนาขอ้ บงั คบั เอกสารหมาย จ.๑๙ โจทก

เปน็ ผถู้ อื หนุ้ ของจำเลยที่ ๑ ตามสำเนาบญั ชรี ายชอื่ ผถู้ อื หนุ้ และสำเนาใบหนุ้ เอกสารหมาย จ.๒

และ จ.๑๑ ถงึ จ.๑๓ โจทกม์ อบอำนาจใหน้ ายสมศกั ด์ิ เหมทานนท์ ฟอ้ งคดแี ทนตามหนงั สอื มอบ

อำนาจ เอกสารหมาย จ.๑ ผู้ถอื หนุ้ ของจำเลยท่ี ๑ ณ วนั ที่ ๓ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๓ ปรากฏตาม

174 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉยั คดี


สำเนาบญั ชรี ายชอื่ ผถู้ อื หนุ้ เอกสารหมาย จ.๗ เมอ่ื วนั ที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๔๑ จำเลยที่ ๑ จดั

ประชมุ ใหญว่ สิ ามญั ผถู้ อื หนุ้ ครง้ั ที่ ๒/๒๕๔๑ ตามสำเนารายงานการประชมุ เอกสารหมาย จ.๔

เมอ่ื วนั ที่ ๒๘ สงิ หาคม ๒๕๔๑ จำเลยที่ ๑ จดั ประชมุ ใหญส่ ามญั ผถู้ อื หนุ้ ครง้ั ที่ ๑/๒๕๔๑ ตาม

สำเนารายงานการประชุม เอกสารหมาย จ.๕ เมื่อวันท่ี ๙ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๔๒ จำเลยที่ ๑ จัด

ประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้น คร้ังท่ี ๑/๒๕๔๒ ตามสำเนารายงานการประชุม เอกสารหมาย

ล.๑๖ เมอื่ วนั ที่ ๒๖ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๒ จำเลยที่ ๑ จดั ประชมุ วสิ ามญั ผถู้ อื หนุ้ ครงั้ ท่ี ๒/๒๕๔๒

ตามสำเนารายงานการประชมุ เอกสารหมาย ล.๙ เมอื่ วนั ที่ ๑๖ ธนั วาคม ๒๕๔๒ จำเลยที่ ๑ จดั

ประชมุ คณะกรรมการ ครง้ั ท่ี ๑๖/๒๕๔๒ ตามสำเนารายงานการประชมุ เอกสารหมาย จ.๖ เมอ่ื

วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๔๓ จำเลยที่ ๑ จัดประชมุ คณะกรรมการ ครงั้ ท่ี ๑/๒๕๔๓ ตามสำเนา

รายงานการประชมุ เอกสารหมาย ล.๓๕ เมอ่ื วนั ที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๔๓ จำเลยที่ ๑ จดั ประชมุ

คณะกรรมการ ครงั้ ท่ี ๒/๒๕๔๓ ตามสำเนารายงานการประชมุ เอกสารหมาย ล.๒๑ เมอ่ื วนั ท่ี ๘

กมุ ภาพันธ์ ๒๕๔๓ จำเลยที่ ๑ จัดประชมุ คณะกรรมการ ครงั้ ที่ ๓/๒๕๔๓ ตามสำเนารายงาน

การประชุม เอกสารหมาย ล.๓๘ เมอื่ วนั ที่ ๒๒ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๔๓ จำเลยที่ ๑ จัดประชุมใหญ

วสิ ามญั ผูถ้ ือหนุ้ คร้งั ที่ ๑/๒๕๔๓ ตามสำเนารายงานการประชมุ เอกสารหมาย จ.๑๕ เมอ่ื วันท ่ี

๒๕ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๓ จำเลยที่ ๒ มหี นงั สอื เชญิ ประชมุ วสิ ามญั ผถู้ อื หนุ้ ครง้ั ที่ ๒/๒๕๔๓ ตาม

สำเนาหนังสือเชญิ ประชมุ เอกสารหมาย จ.๑๗ เมื่อวนั ท่ี ๑๐ มนี าคม ๒๕๔๓ จำเลยที่ ๑ จดั

ประชุมวสิ ามัญผู้ถอื ห้นุ ครัง้ ที่ ๒/๒๕๔๓ ตามสำเนารายงานการประชมุ เอกสารหมาย จ.๑๘

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า กรณีมีเหตุเพิกถอนการ

จดทะเบียนรับผู้ซื้อหุ้นเพ่ิมทุนตามบัญชีรายช่ือผู้ถือหุ้น ลงวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ และ

เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้น คร้ังที่ ๑/๒๕๔๓ ที่จัดสรรหุ้นเพิ่มทุน จำนวน

๑๘,๗๕๐,๐๐๐ หนุ้ กบั เพกิ ถอนมตทิ ปี่ ระชมุ ใหญว่ สิ ามญั ผถู้ อื หนุ้ ครงั้ ที่ ๒/๒๕๔๓ ทล่ี งมตยิ นื ยนั

การจดั สรรหนุ้ เพมิ่ ทนุ ดงั กลา่ วใหเ้ ปน็ มตพิ เิ ศษตามฟอ้ งหรอื ไม่ ทโี่ จทกโ์ ตเ้ ถยี งในอทุ ธรณว์ า่ การ

ส่วนที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำสั่งในรปู คำพิพากษาของศาลอุทธรณ
์ 175
คดีแพ่ง


จดั สรรจำหนา่ ยหนุ้ เพมิ่ ทนุ ของจำเลยท่ี ๑ ผดิ ขอ้ บงั คบั ขอ้ ๕๙ เพราะจำเลยท่ี ๒ ถงึ ที่ ๖ นำหนุ้

เพมิ่ ทนุ ไปจดั สรรจำหนา่ ยใหแ้ กผ่ ทู้ ไี่ มใ่ ชผ่ ถู้ อื หนุ้ เดมิ กอ่ นมมี ตพิ เิ ศษใหเ้ พม่ิ ทนุ นนั้ พเิ คราะหแ์ ลว้

ตามขอ้ บงั คบั ของจำเลยที่ ๑ เอกสารหมาย จ.๘ ขอ้ ๕๙ ทโ่ี จทกก์ ลา่ วอา้ งระบวุ า่ ในการเพม่ิ ทนุ

น้ัน บรรดาหุ้นทอี่ อกใหมใ่ ห้เสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นท่ีมอี ยกู่ ่อนตามสว่ นของจำนวนห้นุ ที่ตนถอื อยู่

โดยการเสนอดังกล่าวจะต้องทำเป็นหนังสือแจ้งไปยังผู้ถือหุ้นให้ทราบว่าผู้ถือหุ้นชอบท่ีจะซื้อ

ได้กี่หุ้น และให้กำหนดวันว่าถ้าพ้นวันน้ันไปแล้ว มิได้มีการสนองมา จะถือว่าเป็นอันไม่รับซื้อ

เม่ือวันท่ีกำหนดล่วงไปแล้วก็ดี หรือผู้ถือหุ้นได้บอกมาว่าไม่รับซ้ือหุ้นนั้นก็ดี คณะกรรมการจะ

เอาหุ้นเชน่ น้ันขายใหแ้ ก่ผู้ถือหนุ้ คนอน่ื หรือจะรบั ซอ้ื ไวเ้ องกไ็ ด้ ได้ความตามสำเนารายงานการ

ประชมุ เอกสารหมาย จ.๔ (ตรงกบั เอกสารหมาย ล.๖) ว่า ในการประชมุ ใหญ่วสิ ามัญผูถ้ อื หุ้น

คร้ังท่ี ๒/๒๕๔๑ เมื่อวันท่ี ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๔๑ ที่ประชุมมีมติในวาระที่ ๒ ให้เพิ่มทุนอีก

๒,๗๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยออกหนุ้ สามญั ใหม่ ๒๗๒,๐๐๐,๐๐๐ หนุ้ หนุ้ ละ ๑๐ บาท ซงึ่ เปน็

การเพ่ิมทนุ ตามแผนการปรับโครงสร้างหนสี้ ิน ๓ ข้นั ตอน คือ ขน้ั ตอนที่ ๑ การออกหนุ้ สามัญ

๒๘,๐๐๐,๐๐๐ หนุ้ ใหแ้ กผ่ ถู้ อื หนุ้ เดมิ ในอตั รา ๑ ตอ่ ๑ ในราคาหนุ้ ละ ๑๐ บาท ขน้ั ตอนท่ี ๒ ขาย

หุ้นสามัญ ๑๒๐,๐๐๐,๐๐๐ ห้นุ ให้แกผ่ รู้ ว่ มทุนใหม่ ขน้ั ตอนที่ ๓ แปลงหนี้สินของธนาคารและ

บรษิ ทั เงนิ ทนุ ๑/๓ ของจำนวนหนปี้ ระมาณ ๙๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เปน็ หนุ้ สามญั ราคาหนุ้ ละ ๒๐

บาท และมอบอำนาจให้คณะกรรมการพิจารณานำหุ้นท่ีเพ่ิมทุนออกจัดสรรจำหน่ายได้เป็น

คราว ๆ ไปตามทคี่ ณะกรรมการจะพจิ ารณาเหน็ สมควร มตดิ งั กลา่ วทปี่ ระชมุ ใหญส่ ามญั ผถู้ อื หนุ้

ครั้งที่ ๑/๒๕๔๑ เมือ่ วนั ท่ี ๒๘ สงิ หาคม ๒๕๔๑ ลงมติในวาระท่ี ๖ ยืนยันเพ่อื ใหเ้ ปน็ มติพิเศษ

แลว้ ตามสำเนารายงานการประชมุ เอกสารหมาย จ.๕ (ตรงกบั เอกสารหมาย ล.๓) กบั ไดค้ วาม

ตามสำเนารายงานการประชุม เอกสารหมาย ล.๑๖ ว่า ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น คร้ังท ี่

๑/๒๕๔๒ เมื่อวันท่ี ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ ท่ีประชุมมีมติอนุมัติแผนปรับโครงสร้างหน้ีใหม่ใน

วาระที่ ๒ เรอื่ งการออกหนุ้ สามญั ใหมใ่ หแ้ กผ่ ถู้ อื หนุ้ เดมิ ในราคาหนุ้ ละ ๒๐ บาท เรอื่ งผลู้ งทนุ ใหม


176 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉัยคดี


จะลงทุนเพิ่มอีก ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ เหรียญ(สหรัฐอเมริกา) และเร่ืองการแปลงหน้ีเป็นทุนกับการ

ประนอมหนี้ และทป่ี ระชุมมีมตใิ นวาระที่ ๓ อนุมัตใิ หเ้ พมิ่ ทุนอกี ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ หนุ้ และมอบ

อำนาจใหค้ ณะกรรมการพิจารณานำหนุ้ ท่เี พิ่มทนุ ออกจดั สรรจำหนา่ ยไดเ้ ป็นคราว ๆ ไปตามที่

คณะกรรมการจะพิจารณาเห็นสมควร มติดังกล่าวที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งท่ี ๒/๒๕๔๒

เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ ลงมติในวาระ ๒ ที่ยืนยันให้เป็นมติพิเศษแล้วตามสำเนา

รายงานการประชุม เอกสารหมาย ล.๙ ในการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นดังกล่าวทั้งส่ีครั้งโจทก์ส่ง

ผู้แทนเข้าร่วมการประชุมและลงมติเห็นชอบด้วยโดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านตามรายช่ือผู้ถือหุ้น

ท่ีเข้าร่วมการประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้น คร้ังที่ ๒/๒๕๔๑ เมื่อวันท่ี ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๔๑

เอกสารหมาย ล.๕ รายชอ่ื ผถู้ อื หนุ้ ทเี่ ขา้ รว่ มการประชมุ ใหญส่ ามญั ผถู้ อื หนุ้ ครง้ั ท่ี ๑/๒๕๔๑ เมอื่

วนั ท่ี ๒๘ สงิ หาคม ๒๕๔๑ เอกสารหมาย ล.๒ รายชอ่ื ผถู้ อื หนุ้ ทเี่ ขา้ รว่ มการประชมุ วสิ ามญั ผถู้ อื

หุ้น ครงั้ ที่ ๑/๒๕๔๒ เมื่อวันท่ี ๙ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๔๒ ทา้ ยรายงานการประชุม เอกสารหมาย

ล.๑๖ กบั สำเนาหนงั สอื มอบฉนั ทะ เอกสารหมาย ล.๑๙ และรายชอ่ื ผถู้ อื หนุ้ ทเ่ี ขา้ รว่ มการประชมุ

วิสามัญผู้ถือหุ้น คร้ังที่ ๒/๒๕๔๒ เม่ือวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ ตามหนังสือมอบฉันทะ

เอกสารหมาย ล.๗ และรายช่ือผู้ถือหุ้น เอกสารหมาย ล.๘ ซ่ึงตามเอกสารดังกล่าวปรากฏ

ลายมอื ชอ่ื ผรู้ บั มอบฉนั ทะจากโจทกล์ งลายมอื ชอ่ื รบั รองเปน็ หลกั ฐานการเขา้ รว่ มประชมุ ดว้ ยทกุ

คร้ัง เห็นว่า ในขณะท่ีโจทก์กับผู้ถือหุ้นอื่นร่วมกันลงมติพิเศษให้เพ่ิมทุนซ่ึงมีที่มาจากแผนการ

ปรบั โครงสรา้ งหนข้ี องจำเลยท่ี ๑ ด้วยการจัดหาผูร้ ว่ มทนุ ใหม่เข้าเป็นผถู้ อื ห้นุ กับการแปลงหน้ี

เปน็ ทนุ ในการประชมุ ใหญส่ ามญั ผถู้ อื หนุ้ ครง้ั ท่ี ๑/๒๕๔๑ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๘ สงิ หาคม ๒๕๔๑ และใน

การประชมุ วสิ ามัญผถู้ อื หุ้น ครั้งที่ ๒/๒๕๔๒ เมอ่ื วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ น้ัน ขณะน้ันผู้

รว่ มลงทนุ ใหมย่ งั ไมไ่ ดม้ ฐี านะเปน็ ผถู้ อื หนุ้ ไดค้ วามตามทโ่ี จทกน์ ำสบื วา่ ผรู้ ว่ มทนุ กบั เจา้ หนเ้ี พงิ่

เขา้ เปน็ ผถู้ อื หนุ้ ครงั้ แรกเมอื่ วนั ท่ี ๒๔ ธนั วาคม ๒๕๔๒ วนั ท่ี ๑๑ มกราคม ๒๕๔๓ และวนั ท่ี ๒๐

มกราคม ๒๕๔๓ ตามรายช่อื ผถู้ ือหนุ้ ลำดบั ที่ ๑๒๔ ถึงลำดับที่ ๑๓๔ ตามสำเนาบัญชรี ายชอ่ื


Click to View FlipBook Version