The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-09-18 02:21:12

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

ส่วนท่ี ๑ ความร้ทู ่วั ไป
77

ตัวอยา่ งเชน่ พลเอก สพรงั่ กลั ยาณมติ ร

ดาบตำรวจ จำรัส บตุ รดี (ปัจจุบนั ไมใ่ ชว้ า่ “นายดาบตำรวจ”


แลว้ )


๒. ชือ่ คู่ความทีไ่ ม่เวน้ วรรคระหว่างคำนำหน้าชื่อ หรือบรรดาศักดิ์ หรือสมณศกั ด์ิ หรอื

ฐานนั ดรศักด์กิ บั ชอื่ หรือราชทนิ นาม

ตวั อยา่ งเช่น นายสญั ญา ธรรมศักดิ์

นางสาวเฌอมาลย์ บุณยศักด์ิ

ทา่ นผหู้ ญิงพูนศขุ พนมยงค

คณุ หญิงพรทิพย์ โรจนสนุ ันท

พระมนภู ันยว์ ิมลสาร

สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์


หม่อมราชวงศค์ กึ ฤทธ ์ิ ปราโมช


๓. ชอื่ คคู่ วามทไี่ ม่เวน้ วรรคระหวา่ งคำนำหนา้ ชื่อท่ีเปน็ ตำแหน่งทางวชิ าการกับชอื่


ตวั อย่างเช่น ศาสตราจารย์ธานินทร ์ กรยั วเิ ชยี ร

๔. ชอ่ื คคู่ วามกรณที มี่ คี ำนำหนา้ ชอ่ื หลายประเภท ตอ้ งเวน้ วรรคระหวา่ งคำนำหนา้ ชอ่ื แต

ละประเภท


ตวั อย่างเชน่ ศาสตราจารย์ คุณหญงิ แม้นมาส ชวลิต


๕. ชื่อคู่ความที่เป็นนิติบุคคลกรณีบริษัทจำกัด ให้เขียนคำว่า “บริษัท” ติดกับชื่อนิติ

บุคคล แต่เว้นวรรคระหว่างชื่อนิติบุคคลกับคำว่า “จำกัด” ถ้าเป็นบริษัทมหาชน ให้มีคำว่า

“(มหาชน)” ต่อท้ายด้วย

ตัวอยา่ งเชน่ บริษทั วี แอนด์ ที ออคดิ แมน จำกดั


บรษิ ัทการบนิ ไทย จำกัด (มหาชน)


๖. ชือ่ ค่คู วามที่เปน็ นิติบคุ คลกรณีหา้ งหนุ้ สว่ น ให้เวน้ วรรคระหวา่ งคำว่า “ห้างหนุ้ สว่ น

จำกดั ” และ “ห้างหุ้นส่วนสามญั นิติบคุ คล” กบั ชอื่ นติ ิบคุ คล


๒ เดิมตามพระราชบัญญัติยศตำรวจ พุทธศกั ราช ๒๔๘๐ พระราชบัญญัติยศตำรวจ (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๕

และพระราชบัญญัติยศตำรวจ (ฉบับท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๐๔ บัญญัติให้ใช้ว่า “นายดาบตำรวจ” ต่อมาพระราช

บญั ญตั ิตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ลักษณะ ๔ ยศตำรวจและช้ันขา้ ราชการตำรวจ มาตรา ๒๔ บัญญตั ิให้ใช

ว่า “ดาบตำรวจ” (ราชกิจจานเุ บกษา เล่ม ๑๒๑ ตอนท่ี ๑๘ ก หน้า ๑๐ ลงวันที่ ๑๔ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๗).

78 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉยั คดี


ตัวอยา่ งเช่น หา้ งหุ้นส่วนจำกัด เทพอุปถัมภ


หา้ งหนุ้ ส่วนสามัญนติ ิบคุ คล เมโทร


๗. ชอื่ คคู่ วามทเี่ ปน็ นติ บิ คุ คลกรณธี นาคารเปน็ บรษิ ทั มหาชน ใหม้ คี ำวา่ “(มหาชน)” ตอ่

ทา้ ยด้วย

ตัวอยา่ งเช่น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)


ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกดั (มหาชน)


๘. ช่อื คู่ความที่เป็นนิตบิ ุคคลซ่ึงมขี ้อความยาว ๆ หรอื เปน็ คำหลายคำประกอบกัน ให้

เขียนตามหนังสือรบั รองนิตบิ คุ คล ไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งเขยี นติดกันเสมอไป

ตัวอย่างเช่น บรษิ ัทเทโร เอน็ เทอรเ์ ทนเมนต์ จำกดั


หา้ งห้นุ ส่วนจำกัด สมิท จอห์นสนั แอนด์ซนั


๙. ช่อื คคู่ วามทเ่ี ป็นโจทก์กรณีพนกั งานอยั การในกรุงเทพมหานคร ใหใ้ ช้วา่ “พนกั งาน

อัยการ สำนกั งานอยั การสงู สุด” เวน้ แตค่ ดที ่มี าจากศาลจงั หวดั มีนบรุ ี กล่าวคอื

๙.๑ ถา้ เปน็ คดที เี่ กดิ กอ่ นกฎกระทรวงแบง่ สว่ นราชการสำนกั งานอยั การสงู สดุ

พ.ศ. ๒๕๔๖ ใชบ้ งั คับ ให้ใชว้ า่ “พนกั งานอัยการประจำศาลจงั หวัดมนี บรุ ”ี


๙.๒ ถา้ เปน็ คดที เ่ี กดิ หลงั กฎกระทรวงฯ ใหใ้ ชว้ า่ “พนกั งานอยั การจงั หวดั มนี บรุ ”ี

๑๐. ชอื่ คคู่ วามท้ังในคดแี พ่งและคดอี าญา กรณีผ้เู ยาว์ซ่ึงมีผ้แู ทนโดยชอบธรรม ใหใ้ ส่ชื่อ

ผเู้ ยาว์ และระบวุ า่ “โดย ...(ชอื่ ผ้แู ทนโดยชอบธรรม)... เปน็ ผแู้ ทนโดยชอบธรรม”

ตัวอยา่ งเชน่ เด็กหญิงศจี แมน้ ญาติ โดย นางผดุงศร ี แม้นญาติ เปน็ ผแู้ ทน


โดยชอบธรรม


๑๑. ช่อื คคู่ วามในคดแี พง่ กรณฟี อ้ งผจู้ ัดการมรดก มี ๒ กรณี ดงั น
้ี
๑๑.๑ กรณีฟ้องผู้จัดการมรดกให้รับผิดในการกระทำของเจ้ามรดก ให้ใส่ช่ือผู ้

จัดการมรดก และระบุว่ากระทำ “ในฐานะผู้จดั การมรดกของ ...(ชือ่ เจ้ามรดก)...จำเลย”

ตวั อย่างเชน่ นางเจริญ ผาแดง ในฐานะผู้จดั การมรดกของนายธง ผาแดง

จำเลย

๑๑.๒ ถ้ามีการฟอ้ งขอใหผ้ ูจ้ ดั การมรดกรับผิดเปน็ สว่ นตวั ดว้ ย ให้ใสค่ ำว่า “ใน

ฐานะสว่ นตวั ” กอ่ นระบวุ า่ กระทำ “ในฐานะผจู้ ดั การมรดกของ ...(ชอ่ื เจ้ามรดก)...จำเลย”

ตัวอยา่ งเช่น นางเจริญ ผาแดง ในฐานะสว่ นตัวและในฐานะผู้จดั การมรดก

ของนายธง ผาแดง จำเลย

ส่วนที่ ๑ ความรูท้ ัว่ ไป
79

๑๒. ชื่อคู่ความในคดีแพ่งกรณีคู่ความตายในระหว่างการพิจารณาคดี ไม่ว่าในชั้นศาล

ไหน และมผี ้รู ้องขอเขา้ เปน็ คู่ความแทนทผี่ ู้มรณะ ให้ใสช่ อ่ื คู่ความผูม้ รณะ แล้วตอ่ ดว้ ยชอื่ ผูร้ ้อง

ขอเขา้ เป็นคู่ความแทน โดยระบวุ า่ “ผ้เู ขา้ เปน็ คู่ความแทน” ตอ่ ทา้ ยดว้ ย

ตวั อยา่ งเชน่ นายเอกชยั พนัสนคิ ม โดย นางสาวพาช่ืน พนสั นคิ ม ผ้เู ขา้


เป็นคคู่ วามแทน


๑๓. ชื่อคู่ความในคดีอาญากรณีราษฎรเป็นโจทก์ตายในระหว่างการพิจารณาคดี ไม่ว่า

ในชั้นศาลไหน และมผี รู้ ้องขอเขา้ ดำเนินคดีแทน ให้ใสช่ อื่ โจทก์เดมิ แลว้ ต่อดว้ ยช่อื ผูร้ อ้ งขอเขา้

ดำเนินคดแี ทน โดยระบวุ า่ “ผูเ้ ขา้ ดำเนนิ คดตี ่างผตู้ าย” ต่อท้ายดว้ ย

ตัวอย่างเชน่ นายเอกชยั พนัสนคิ ม โดย นางสาวพาชื่น พนสั นคิ ม ผ้เู ข้า


ดำเนินคดตี ่างผูต้ าย


๑๔. ช่ือคู่ความกรณีคดีละเมิดอำนาจศาล ซึ่งปกติเป็นโจทก์กับจำเลย จะกลายเป็น “ผ
ู้

ล่าวหา” กับ “ผ้ถู กู กลา่ วหา”

๑๕. คำวา่ “นายประกนั ” เปน็ ภาษาทวั่ ไป แตใ่ นคำพพิ ากษาและคำสงั่ ใหใ้ ชว้ า่ “ผปู้ ระกนั ”


งั้ น้ี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

๑๖. ชือ่ เรือ่ งในคดีอาญา

๑๖.๑ กรณลี ักทรัพย์หรือรบั ของโจร และกรณปี ลน้ ทรัพย์หรอื รับของโจร ให้ใช้

ได้ ๒ แบบ คอื

ลกั ทรัพย์ รับของโจร หรอื ลกั ทรัพย์ หรอื รบั ของโจร

ปล้นทรัพย์ รับของโจร หรือ ปลน้ ทรพั ย์ หรอื รับของโจร

๑๖.๒ ถา้ มคี วามผดิ ลหโุ ทษดว้ ย ใหใ้ สค่ ำวา่ “ลหโุ ทษ” ขา้ งหลงั สดุ ของความผดิ

ตามประมวลกฎหมายอาญา แตก่ อ่ นความผดิ อาญาตามกฎหมายอนื่ (ในกรณที มี่ คี วามผดิ อาญา

ตามกฎหมายอื่นด้วย)

ตวั อย่างเชน่ ความผิดต่อชีวิต พยายาม ลหุโทษ ความผิดต่อพระราช

บญั ญตั อิ าวธุ ปืนฯ

๑๖.๓ ความผิดอาญาตามกฎหมายอื่น ๆ ให้ใช้โดยเร่ิมต้นว่า “ความผิดต่อ”

แลว้ ตามด้วยชื่อของพระราชบญั ญตั ินัน้ ๆ โดยไม่ต้องมี พ.ศ.

ตัวอยา่ งเชน่ ความผดิ ต่อพระราชบัญญัตยิ าเสพติดให้โทษ

ความผดิ ต่อพระราชบัญญตั จิ ราจรทางบก

80 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉยั คดี


ข้อยกเว้น ชื่อพระราชบัญญัติท่ีมีข้อความยาว ๆ ไม่ต้องใช้อย่างเต็ม ๆ ทั้งหมดของ

ช่ือพระราชบัญญัตินั้น กล่าวคือ ให้ใช้โดยเร่ิมต้นว่า “ความผิดต่อ” แล้วตามด้วยชื่อของ

พระราชบญั ญตั เิ ฉพาะวรรคแรก และมเี ครอื่ งหมาย ฯ (ไปยาลนอ้ ย หรอื เปยยาลนอ้ ย) กำกบั ไว้

ตัวอยา่ งเช่น พระราชบญั ญตั อิ าวธุ ปืน เคร่อื งกระสนุ ปืน วตั ถรุ ะเบดิ ดอกไม

เพลงิ และสง่ิ เทยี มอาวธุ ปนื พ.ศ. ๒๔๙๐ ใหใ้ ชว้ า่ “ความผดิ ตอ่

พระราชบัญญัตอิ าวธุ ปืนฯ”

พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจด

ทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูล

นธิ ิ พ.ศ. ๒๔๙๙ ใหใ้ ชว้ า่ “ความผดิ ตอ่ พระราชบญั ญตั กิ ำหนด


ความผดิ เกี่ยวกับห้างห้นุ สว่ นจดทะเบยี นฯ”

๑๗. “วรรค” ในความหมายทั่วไปตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง

ชว่ งหน่งึ ของคำหรือขอ้ ความที่สดุ ลงแลว้ เวน้ เปน็ ชอ่ งวา่ งไวร้ ะยะหนง่ึ เรยี กวา่ เวน้ วรรค

แต่ถ้าใช้ในความหมายทางกฎหมาย หมายถึง ย่อหน้าหนึ่ง ๆ ของบทบัญญัติใน


แต่ละมาตราของกฎหมาย

๑๘. “รถยนต์” ลงท้ายด้วย “ยนต์” ซ่ึงเป็นภาษาบาลี ส่วน “ภาพยนตร์” ลงท้ายด้วย

“ยนตร์” ซึ่งเป็นภาษาสันสกฤต แต่ตามพระราชบัญญัติรถยนตร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ และพระราช

บญั ญตั ริ ถยนตรฉ์ บบั แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ตอ่ ๆ มาจนถงึ พระราชบญั ญตั ริ ถยนตร์ (ฉบบั ท่ี ๑๑) พ.ศ.

๒๕๔๔ ใชค้ ำว่า “รถยนตร์” ซึ่งไมถ่ ูกตอ้ ง แต่เมอ่ื ได้ประกาศใช้เชน่ น้ี เวลากล่าวถงึ พระราช

บญั ญตั ิรถยนตร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ จะใช้ว่า “รถยนตร์” กไ็ ด้ แต่ต่อมาเมื่อปี ๒๕๔๖ ได้มพี ระราช

บญั ญตั ริ ถยนต์ (ฉบบั ที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๕๔๖ ซง่ึ เปน็ ฉบบั แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ เรมิ่ ใชค้ ำวา่ “รถยนต”์ และ

ในพระราชบญั ญตั ริ ถยนต์ (ฉบับท่ี ๑๕) พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่เป็นฉบับแกไ้ ขเพิม่ เติมล่าสดุ ก็ใชค้ ำวา่


“รถยนต”์ ดงั นน้ั จงึ สมควรใชอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งตามหลกั ภาษาไทยวา่ “พระราชบญั ญตั ริ ถยนต์ ......”

๑๙. “ภาระจำยอม” ไม่ใชค่ ำสมาส เพราะคำว่า “จำยอม” เปน็ คำในภาษาไทย ดังนน้ั คำ

วา่ “ภาระ” ต้องมี ะ (ประวสิ รรชนีย์) แตใ่ นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ทรัพย์

สนิ ลักษณะ ภารจำยอม ใช้คำว่า “ภารจำยอม” ซึง่ ไมถ่ กู ตอ้ ง เวลาเรียงคำพพิ ากษาให้ใช้คำ

วา่ “ภาระจำยอม” แตเ่ มอ่ื ตอ้ งอา้ งตวั บทกฎหมาย จะใชค้ ำวา่ “ภารจำยอม” ตามบทบญั ญตั ทิ
่ี

ประกาศใช้กไ็ ด

๒๐. ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ใช้ข้อความว่า “……มีไว้ใน

ครอบครองซ่งึ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษในประเภท….” ดังนนั้ ก็ให้ใชว้ า่ “มไี ว้ในครอบครอง” โดยไม่

ตอ้ งมคี ำวา่ “การ” หรอื “ความ” เพราะใช้กนั จนเปน็ การทว่ั ไปแลว้ แต่จริง ๆ ตอ้ งมคี ำว่า “การ”

ส่วนที่ ๑ ความร้ทู ่ัวไป
81

หรอื “ความ” ประกอบดว้ ย เพราะคำวา่ “ครอบครอง” เปน็ คำกรยิ า (verb) เมอ่ื ใชก้ บั คำวา่ “ใน”

ซึ่งเปน็ บรุ พบท (preposition) สมควรทำใหเ้ ป็นคำนามที่เรยี กวา่ อาการนาม (abstract noun)

ด้วยการเติมคำว่า “การ” หรอื “ความ” แล้วแตก่ รณ ี

นอกจากนี้ ใหใ้ ชค้ ำว่า “เมทแอมเฟตามนี ” เฉย ๆ อย่าใช้วา่ “เมทแอมเฟตามีน-

ไฮโดรคลอไรด์” โดยเฉพาะอย่าใชค้ ำว่า “ยาบา้ ” อย่างเดด็ ขาด เพราะเป็นภาษาปากหรือภาษา


พูด และคำว่า “ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษในประเภท….” ใหม้ คี ำวา่ “ใน” เสมอ

๒๑. สว่ นตามพระราชบัญญัติอาวธุ ปนื เครอ่ื งกระสุนปืน วตั ถรุ ะเบิด ดอกไม้เพลิง และ

สิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ ใช้ข้อความว่า “มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้

รบั อนญุ าต” ซงึ่ ถกู ตอ้ ง จงึ ตอ้ งมคี ำวา่ “ความ” ดว้ ยเสมอ แตจ่ ะพบบอ่ ยมากทไ่ี มม่ คี ำวา่ “ความ”


พราะใชต้ ามพระราชบัญญตั ิยาเสพตดิ ให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒

๒๒. “อาวธุ ปนื ” และ “ปนื ” ในคำพพิ ากษาสมควรใชค้ ำวา่ “อาวธุ ปนื ” เพอื่ ใหค้ วามรสู้ กึ

เปน็ ทางการและหนกั แนน่ สำหรบั การพพิ ากษาคดี รวมทง้ั ใหส้ อดคลอ้ งกบั พระราชบญั ญตั อิ าวธุ

ปนื เครื่องกระสุนปืน วตั ถุระเบดิ ดอกไม้เพลงิ และส่งิ เทียมอาวธุ ปนื พ.ศ. ๒๔๙๐ เว้นแต่บาง

ขอ้ ความของขอ้ เทจ็ จรงิ ในคดสี มควรใชค้ ำวา่ “ปนื ” เฉย ๆ เชน่ นายแดงไดย้ นิ เสยี งปนื ดงั ขนึ้ เมอื่

เวลา ๒๒ นาฬกิ า นายดำยงิ ปนื ขน้ึ ฟา้ เพอื่ ขู่ ทงั้ น้ี แลว้ แตค่ วามเหมาะสมของเนอื้ หาในขอ้ ความ


ั้น ๆ แตส่ ว่ นใหญ่ของคำพพิ ากษาทั้งฉบับสมควรใชค้ ำวา่ “อาวธุ ปืน”

๒๓. “ลงชือ่ ” หรอื “ลงลายมือชอื่ ” ในคำพพิ ากษาไมส่ มควรใช้ว่า “เซน็ ชือ่ ” เพราะให

ความรสู้ กึ วา่ เปน็ ภาษาปากหรอื ภาษาพดู แมจ้ ะมรี ะบไุ วใ้ นพจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน

วา่ “เซ็น” ในความหมายหนึง่ หมายถึง ลงลายมอื ชื่อ กต็ าม ทั้งนี้ ด้วยเหตุเกรงว่าจะเขยี นผดิ


เป็น “เซ็นต”์

๒๔. “ขวามอื ” และ “ซา้ ยมอื ” ใหค้ วามรสู้ กึ วา่ เปน็ ภาษาปากหรอื ภาษาพดู สมควรตดั คำ

วา่ “มอื ” ออก แลว้ ใชแ้ ตเ่ พยี งวา่ “ดา้ นขวา” หรอื “ขา้ งขวา” และ “ดา้ นซา้ ย” หรอื “ขา้ งซา้ ย”

แทน รวมทงั้ “ดา้ นบนขวามอื ” ใหใ้ ชว้ า่ “ดา้ นบนขวา” หรอื “ดา้ นบนทางขวา” และ “ดา้ นลา่ ง


า้ ยมือ” กใ็ ห้ใช้ว่า “ดา้ นลา่ งซา้ ย” หรอื “ดา้ นลา่ งทางซ้าย” แล้วแตก่ รณีทเ่ี หมาะสม

๒๕. “โทรศัพท์มือถือ” ซ่ึงใช้กันอย่างแพร่หลาย ถือได้ว่าเป็นภาษาปากหรือภาษาพูด

ถา้ เปน็ ภาษาเขยี น ตอ้ งใชต้ ามพจนานกุ รมศพั ทเ์ ทคโนโลยสี ารสนเทศของราชบณั ฑติ ยสถานวา่

“โทรศัพทเ์ คลอื่ นที”่

82 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉัยคดี


๒๖. “ทีวี” เป็นเพียงภาษาปากหรือภาษาพูดที่มาจากคำย่อ “TV” ของคำในภาษา

องั กฤษวา่ “television” สมควรใช้เปน็ ภาษาเขียนโดยใชศ้ พั ท์บัญญตั ิว่า “เครื่องรับโทรทัศน์”


รือ “โทรทัศน”์ ท้ังนี้ แลว้ แตเ่ นื้อหาในแตล่ ะข้อความ

๒๗. “ทำการ” ไม่สมควรนำมาใช้ เพราะเป็นการเปลืองถ้อยคำโดยไม่จำเป็น และให้

ความหมายไม่แตกตา่ งจากกรณที ่ไี ม่มีคำว่า “ทำการ” เชน่ ทำการจับกมุ ใหใ้ ช้ “จับกุม” เฉย ๆ


ลฯ ยกเวน้ ในกรณที ี่จำเป็นจรงิ ๆ และจำต้องใช้ มิฉะน้ันส่อื ความหมายไม่ตรงตามที่ต้องการ

๒๘. “เอา” สมควรเล่ียงไปใช้คำอื่นที่จะสื่อความหมายอย่างเดียวกันในเนื้อความน้ัน ๆ

แทน เชน่ เอาไป อาจเลย่ี งไปใชว้ า่ “นำไป” หรอื “พาไป” แทน หรอื ลกั เอาโทรศพั ทเ์ คลอื่ นท่ี ก

ให้ตัดคำว่า “เอา” ออก โดยใช้แต่เพียงว่า ลักโทรศัพท์เคล่ือนท่ี หรอื ปลน้ ทรัพย์เอาสร้อยคอ

ทองคำ ก็ใหใ้ ชแ้ ตเ่ พียงว่า ปลน้ ทรัพยส์ ร้อยคอทองคำ ฯลฯ เว้นแต่ในกรณีทหี่ ากใช้คำวา่ “เอา”

แลว้ จะสอ่ื ความหมายไดช้ ดั เจน หรอื ไมอ่ าจใชค้ ำอน่ื แทนได้ เชน่ ยดึ ถอื เอาทรพั ยน์ น้ั ไว้ ฉกฉวย


อาซง่ึ หน้า ฯลฯ

๒๙. “บังอาจ” สมควรตัดออก แมจ้ ะมีความหมายในพจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน


า่ หมายถึง กลา้ ละเมิดกฎหมาย

๓๐. การเรียงคำพิพากษาหรือคำส่ังสมควรเลือกใช้ถ้อยคำในตัวบทกฎหมาย แม้จะเป็น

ถอ้ ยคำล่วงสมยั เชน่ เม่ือกล่าวอา้ งถึงประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ วรรค

หน่ึง ท่ใี หค้ ิดดอกเบีย้ ของหน้เี งนิ ในระหวา่ งผิดนดั ในอัตราร้อยละเจด็ กึ่งตอ่ ปี กส็ มควรใชค้ ำวา่

“กงึ่ ” ตามตวั บทกฎหมายมาตราดงั กลา่ ว ๓ อยา่ งไรกต็ าม ถา้ มไิ ดก้ ลา่ วอา้ งถงึ มาตราดงั กลา่ ว ก


าจจะใช้ “เจ็ดครง่ึ ตอ่ ป”ี หรือ “๗.๕ ตอ่ ป”ี ในการเรียงคำพพิ ากษาหรือคำสง่ั ก็ได้

๓๑. แม้เอกสารหลักฐานในสมัยก่อนจะใช้ว่า “แผนท่ีวิวาท” แต่ก็สมควรให้เปล่ียนเป็น


“แผนที่พิพาท”๔

๓๒. ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ เรียกความผิดต่อชีวิตฐานหน่ึงว่า

“ความผิดฐานฆ่าผู้อน่ื โดยเจตนา” ไมส่ มควรใชต้ ามกฎหมายลกั ษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ มาตรา


๓ ดู คำอภปิ รายเร่ือง ภาษากฎหมายไทย โดยศาสตราจารยธ์ านินทร ์ กรัยวเิ ชียร, หน้า ๓๙ ประกอบ.

๔ จาก บทความเรื่อง การเขียนคำพิพากษา โดยท่านดำริ ศุภพิโรจน์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ (ในขณะน้ัน)

ในนิตยสารดลุ พาหเลม่ หนึ่งนานมาแลว้ .

สว่ นที่ ๑ ความรู้ท่วั ไป
83

๒๔๙ ซง่ึ ยกเลกิ ไปแลว้ วา่ “ความผดิ ฐานฆา่ คนตายโดยเจตนา” เพราะเมอื่ มกี ารฆา่ แลว้ ตอ้ งตาย


สมอ ๕

๓๓. “ถนนสาทรเหนือ” และ “ถนนสาทรใต”้ เปลย่ี นจาก “สาธร” มาเป็น “สาทร” กลา่ ว


อื ธ เปลย่ี นเป็น ท เพราะมาจากช่ือของหลวงสาทรราชายกุ ต์

๓๔. ในภาษาไทยทั่วไปใช้ได้ทั้ง “ภรรยา” และ “ภริยา” โดยคำว่า “ภริยา” ให้ความ

หมายที่สภุ าพกวา่ แตใ่ นคำพิพากษาให้ใชว้ ่า “ภรยิ า” ท้ังนี้ เพราะตามประมวลกฎหมายแพง่


ละพาณิชย์ บรรพ ๕ ครอบครัว ใชค้ ำวา่ “ภรยิ า”

๓๕. “ทัศนะ” และ “ทรรศนะ” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานนิยามความหมาย

เหมอื นกันวา่ “ความเหน็ , การเหน็ , เคร่อื งรเู้ ห็น, ส่งิ ทเี่ ห็น, การแสดง”

แต่ “ทศั นะ” จะใชเ้ มอ่ื เปน็ ความเหน็ ทว่ั ๆ ไป สว่ น “ทรรศนะ” มกั เปน็ คำทนี่ ยิ มใช


กบั ความเหน็ ทางปรัชญา ๖


๓๖. “ดุลพินิจ” หรือ “ดลุ ยพินิจ” ใชไ้ ดท้ ัง้ สองคำ หมายถงึ การวินจิ ฉยั ที่เหน็ สมควร

๓๗. คำใดท่ีกล่าวหรือใช้ได้หลายอย่าง หากเริ่มต้นกล่าวถึงหรือใช้คำใดคำหน่ึงในคำ

พพิ ากษาแล้ว กส็ มควรใช้คำนัน้ ๆ ตลอดทั้งฉบับ

ตัวอย่างเช่น หากใชค้ ำวา่ “ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ” แลว้ กส็ มควรใชใ้ นคำพพิ าก-

ษาตลอดทง้ั ฉบบั ไมใ่ ชบ่ างแหง่ ใช้ “ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ” แตบ่ าง

แหง่ ใช้ “ยาเสพตดิ ” เพราะจะทำใหล้ ลี าการเรยี งคำพพิ ากษาดู


ไมเ่ ปน็ ระบบและระเบยี บ

๓๘. ความแตกต่างระหว่าง “แมง” กับ “แมลง”

แมง หมายถงึ สตั วไ์ ม่มีกระดูกสนั หลังขนาดเล็ก มี ๘ ขา

ตวั อย่างเชน่ แมงป่อง แมงมมุ

แมลง หมายถงึ สัตวไ์ มม่ ีกระดูกสันหลังขนาดเล็ก มี ๖ ขา

ตัวอย่างเชน่ แมลงสาบ แมลงวนั แมลงปอ


๕ เช่นเดียวกนั กบั เชงิ อรรถท่ี ๓, หนา้ ๓๒.

๖ นายจำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต และเลขาธิการราชบัณฑิตยสถาน (ในขณะนั้น) อธิบายไว้ในจด

หมายข่าวราชบณั ฑติ ยสถาน ฉบับท่ี ๖๑ ปีท่ี ๖ (มิถุนายน ๒๕๓๙).

84 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉยั คด


๓๙. ความแตกต่างระหวา่ ง “ทดรอง” กับ “ทดลอง”

ทดรอง หมายถึง ออกเงินหรอื ทรัพยไ์ ปก่อน

ตวั อยา่ งเชน่ เงนิ ทดรองจา่ ย

ทดลอง หมายถงึ ลองทำ ลองให้ทำ ทดสอบขอ้ สมมตุ ฐิ าน


ตัวอย่างเชน่ ห้องทดลอง ทดลองวิทยาศาสตร

๔๐. ความแตกตา่ งระหว่าง “ผัด” กบั “ผลดั ”

ผัด หมายถงึ ขอเล่ือนเวลา

ตัวอย่างเชน่ ผัดหน้ี ผัดศาล ผัดวัน ผัดเวลา ผดั ผ่อน (ผัดพอให้ทเุ ลาหรอื

หยอ่ นคลายลง)

ผลดั หมายถึง เปลีย่ นแทนที่กนั


ตวั อยา่ งเช่น ผลดั เปลยี่ น ผลัดเวร ผลดั ผ้า

๔๑. ความแตกต่างระหว่าง “กระบวนการ” กับ “ขบวนการ”

กระบวนการ ใหค้ วามหมายในนยั ทีด่ ี ในทางบวก (positive)

ตวั อยา่ งเช่น กระบวนการยตุ ิธรรม กระบวนการทางวิทยาศาสตร

ขบวนการ ให้ความหมายในนัยที่ไมด่ ี ในทางลบ (negative)

ตัวอยา่ งเชน่ ขบวนการก่อการร้าย ขบวนการลกั ลอบขนนำ้ มันเถอื่ น


การจำหนา่ ยยาเสพตดิ ให้โทษกระทำกันเปน็ ขบวนการ


๔๒. ความแตกตา่ งระหว่าง “ทรราช” กบั “ทรราชย”์

ทรราช หมายถึง ผู้ปกครองบ้านเมืองท่ีใช้อำนาจตามอำเภอใจและทำความ

เดอื ดรอ้ นทารณุ ใหแ้ กผ่ ูอ้ ยใู่ ต้การปกครองของตน

ทรราชย์ หมายถงึ ระบบหรือลทั ธทิ ีผ่ ้ปู กครองบ้านเมืองใช้อำนาจตามอำเภอใจ

และทำความเดอื ดรอ้ นทารณุ ใหแ้ กผ่ อู้ ยใู่ ตก้ ารปกครองของตน (หรอื จะใชว้ า่ “ระบบทรราช” ก


ได)้

๔๓. ความแตกต่างระหว่าง “อนญุ าต” กับ “อนมุ ตั ิ”

อนุญาต จะใช้ในกรณีท่ีมีระเบียบแบบแผนท่ีจะต้องปฏิบัติอยู่แล้วอย่างชัดเจน

โดยไม่ต้องมีความเห็นอะไรประกอบอีก ใช้ได้ทั้งแบบมีพิธีรีตอง เช่น ส่งใบลาหยุดงานเพ่ือให้

ผู้บังคับบัญชาอนญุ าต และแบบไมม่ พี ิธีรีตอง เชน่ ขอลากลับก่อนเวลาโดยไม่ตอ้ งสง่ ใบลาและ

ผูบ้ งั คับบัญชาอนุญาต

อนมุ ัติ จะใช้เฉพาะแบบมีพิธรี ตี อง โดยต้องมคี วามเหน็ เกยี่ วกับเรอื่ งนั้น ๆ ประ

กอบดว้ ย เปน็ การอนญุ าตใหก้ ระทำไดต้ ามมตทิ ต่ี กลงกนั ไว้ คอื จะอนมุ ตั ไิ ดก้ เ็ ฉพาะแตใ่ นเรอ่ื งท
่ี

สว่ นท่ี ๑ ความร้ทู วั่ ไป
85

เป็นไปตามกฎเกณฑ์ข้อบังคับท่ีกำหนดไว้เท่าน้ัน เช่น การเสนอโครงการต่อผู้บังคับบัญชา

โครงการน้นั ต้องทำตามกฎเกณฑ์ข้อบังคบั ท่ีกำหนด ผบู้ ังคบั บญั ชาจงึ จะอนมุ ตั ิได


ดังนั้น “อนุมัต”ิ จึงใช้กบั เรื่องทมี่ ีมติ ถา้ ไม่มมี ติ ก็ให้ใช้ “อนญุ าต”

๔๔. ความแตกต่างระหว่าง “รฐั ธรรมนูญ” กับ “กฎหมายรัฐธรรมนญู ” ๗

รัฐธรรมนูญ (Constitution) หมายถึง กฎหมายสูงสุดของรัฐว่าด้วยระบบการ

ปกครองประเทศ

กฎหมายรฐั ธรรมนญู (Constitutional law) หมายถงึ วชิ ากฎหมายสาขามหา


ชนทสี่ อนเกย่ี วกบั รฐั ธรรมนญู

๔๕. ความแตกตา่ งระหวา่ ง “ตรา” กับ “ออก” ในความหมายของการออกกฎหมาย

ตรา จะใช้กับการออกกฎหมายประเภทพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด และ

พระราชกฤษฎีกา

ตวั อยา่ งเชน่ การยบุ กระทรวง ทบวง กรมใหต้ ราเป็นพระราชกฤษฎกี า

ออก จะใชก้ ับการออกกฎหมายประเภทกฎ ขอ้ บังคับ และระเบยี บ

ตัวอยา่ งเชน่ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราช

บญั ญตั นิ ี้ และใหม้ อี ำนาจออกกฎกระทรวงเพอ่ื ปฏบิ ตั กิ ารตาม


พระราชบัญญตั นิ ี้


๔๖. ความแตกตา่ งระหว่าง “บญั ญัติ” กับ “กำหนด”

บัญญัติ จะใช้ในความหมายของการตราหรือกำหนดขึ้นไว้เป็นกฎหมายสำหรับ

กรณที ี่เปน็ พระราชบญั ญตั หิ รอื พระราชกำหนด รวมท้ังประมวลกฎหมาย

ตัวอยา่ งเชน่ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๗

บัญญตั ิว่า

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ บัญญัตวิ า่

กำหนด จะใช้ในความหมายของการกำหนดขึ้นไวเ้ ปน็ ขอ้ บังคับหรอื หลักเกณฑ

สำหรบั กรณีท่เี ปน็ พระราชกฤษฎกี า กฎ ขอ้ บงั คับ หรือระเบียบ

ตวั อยา่ งเชน่ ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกำหนดในกฎ

ก.พ. เพ่ือให้การแต่งต้ังและการออกบัตรประจำตัวพนักงาน

เจา้ หนา้ ทเ่ี ปน็ ไปดว้ ยความเรยี บรอ้ ย จงึ กำหนดระเบยี บปฏบิ ตั

ไว้ดงั น้ี (ระเบยี บสำนักงาน ป.ป.ส.)


๗ ดู จดหมายขา่ วราชบณั ฑิตยสถาน ฉบับที่ ๗๓ ปีที่ ๗ (มถิ ุนายน ๒๕๔๐) ประกอบ.

86 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉัยคด


๔๗. ความแตกตา่ งระหวา่ ง “แห่ง” กับ “ของ” ในทางกฎหมาย

“แห่ง” และ “ของ” ต่างเป็นบุรพบทท่ีใช้สำหรับนำหน้านามที่เป็นเจ้าของหรือผู

ครอบครอง ปกตินิยมใช้ “ของ” มากกว่า “แห่ง” แต่ในทางกฎหมายต่างกัน กลา่ วคอื

แห่ง จะใชเ้ มื่อกล่าวถึงมาตราใดมาตราหนงึ่ ของกฎหมาย

ตวั อยา่ งเช่น ตามมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์

ของ เม่อื กล่าวถงึ มาตราใดมาตราหนง่ึ ในรฐั ธรรมนูญ จะใช้ “ของ” แทน “แหง่ ”

เพราะหลกี เล่ียงไม่ให้มคี ำวา่ “แห่ง” ซ้ำกนั

ตัวอยา่ งเช่น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕๘ ของรัฐธรรมนูญแห่ง


ราชอาณาจกั รไทยฉบบั ปจั จุบนั


๔๘. ความแตกตา่ งระหว่าง “ฝ่าฝืน” กบั “ไมป่ ฏิบตั ติ าม”

ฝา่ ฝนื จะใช้ในกรณีท่ีกฎหมายหา้ มมิให้กระทำ แลว้ ไปกระทำเขา้

ตัวอยา่ งเชน่ ผไู้ ดร้ บั ใบอนญุ าตใหจ้ ำหนา่ ยหรอื มไี วใ้ นครอบครองซงึ่ ยาเสพ

ติดให้โทษในประเภท ๒ ฝ่าฝืนจำหน่ายยาเสพติดดังกล่าว

นอกสถานท่ซี ึ่งระบไุ วใ้ นใบอนุญาต

ไม่ปฏิบัติตาม จะใช้ในกรณีที่กฎหมายบังคับให้กระทำหรือปฏิบัติตาม แล้วไม่

กระทำหรือไม่ปฏบิ ตั ิตามนนั้

ตวั อยา่ งเชน่ เภสชั กรผมู้ หี นา้ ทคี่ วบคมุ การผลติ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษในประเภท

๓ ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบญั ญตั ิยาเสพตดิ -

ใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ กลา่ วคอื ไม่ควบคุมใหม้ ฉี ลากหรือเอก


สารกำกบั ยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ทีผ่ ลิตขนึ้


๔๙. ความแตกต่างระหว่าง “กสิกรรม” กับ “เกษตรกรรม”

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานนิยามศัพท์คำว่า “กสิกรรม” และ “เกษตร

กรรม” ไว้ต่างกนั กลา่ วคอื

กสกิ รรม หมายถงึ การทำไร่ไถนา

เกษตรกรรม หมายถึง การใช้ที่ดินเพาะปลูกพืชต่าง ๆ รวมทั้งการเลี้ยงสัตว์


การประมง และการปา่ ไม้

๕๐. ความแตกตา่ งระหวา่ ง “อาชีพ” กบั “วิชาชีพ”

อาชพี หมายถงึ งานทท่ี ำเป็นประจำเพื่อเล้ียงชพี

ตัวอย่างเชน่ พนักงานทำความสะอาด คนสวน ช่างไม ้

วชิ าชพี หมายถงึ อาชพี ทต่ี อ้ งอาศัยวิชาความร้แู ละความสามารถ

ตัวอยา่ งเชน่ สถาปนิก แพทย์ ทนายความ

สว่ นที่ ๑ ความรทู้ ั่วไป
87

๕๑. ความแตกตา่ งระหว่าง “ทศั น”์ กบั “ทรรศน์” ๘

ทศั น์ ใชเ้ ปน็ สว่ นทา้ ยของคำสมาสสำหรบั ศพั ทบ์ ญั ญตั ทิ ม่ี าจากคำภาษาองั กฤษ

ทีล่ งท้ายดว้ ย “vision”

ตวั อย่างเชน่ television บัญญัติศัพท์ว่า “เครื่องรับโทรทัศน์” หรือ “โทร

ทัศน”์

ทรรศน์ ใช้เป็นส่วนท้ายของคำสมาสสำหรับศัพท์บัญญัติท่ีมาจากคำภาษา

องั กฤษทลี่ งท้ายดว้ ย “scope”

ตวั อยา่ งเชน่ microscope บญั ญตั ิศพั ท์วา่ “จุลทรรศน”์


telescope บญั ญตั ศิ ัพทว์ ่า “โทรทรรศน์”



๕๒. ถนนลาดยาง แต่ ราดยางถนน

๕๓. อ้อยควั่น แต่ ฟั่นด้าย ฟน่ั เชือก และฟนั่ เทยี น

คว่ัน หมายถงึ ทำให้เป็นรอยดว้ ยคมมีดโดยรอบ

ฟนั่ หมายถึง ทำสง่ิ เปน็ เสน้ หลายเส้นใหเ้ ข้าเกลยี วกัน เช่น ฟั่นด้าย ฟน่ั เชือก,


คลึงขีผ้ ง้ึ ที่มไี สอ้ ยภู่ ายในให้เป็นเลม่ เทยี น เรยี กว่า ฟ่ันเทยี น


๕๔. ทะเลสาบ แมลงสาบ สาบสญู ยกเวน้ สาปแช่ง

๕๕. “กฎ” ทกุ คำ ใช้ ฎ เช่น กฎหมาย กฎบตั ร กฎกระทรวง ฯลฯ มคี ำเดยี วทีใ่ ช้ ฏ คอื


รากฏ (รวมทัง้ ปรากฏการณ)์

๕๖. “เซ้ง” “โอนการเช่า” และ “โอนสิทธิการเช่า” มีความหมายอย่างเดียวกัน ในคำ

พิพากษาหรือคำสั่งฉบับหนึ่งสมควรเลือกใช้เพียงคำใดคำหนึ่งเพ่ือให้เป็นระบบและระเบียบ

เดียวกนั โดยตลอดท้ังฉบบั ไม่ควรใช้ใหส้ บั สนปนกนั แต่คำท่ีเหมาะสมและเปน็ ภาษากฎหมาย


ือ โอนสทิ ธิการเชา่ ๙

๕๗. คำเบิกความในช้ันศาล หรือคำเบิกความในชั้นพิจารณา แต่คำให้การในชั้นสอบ

สวน


๘ เชน่ เดียวกนั กับเชงิ อรรถที่ ๖.

๙ เชน่ เดยี วกันกับเชงิ อรรถที่ ๓.

88 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉยั คด


๕๘. ตามพระราชบญั ญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔ บทนิยามศัพท์ ให้ใช้วา่


ชอ่ งเดนิ รถ” ๑๐ ไมใ่ ช่ “ชอ่ งทางเดนิ รถ” รวมทั้ง “ช่องเดนิ รถประจำทาง” ๑๑

๕๙. คำภาษาไทยทน่ี า่ สนใจเปน็ พเิ ศษในการเรยี งคำพพิ ากษา ไดแ้ ก่

กะโหลก มกั เขียนผิดเป็น กระโหลก

กะทัดรัด มกั เขยี นผิดเป็น กระทดั รดั

กระบะ มักเขียนผดิ เปน็ กะบะ

กาลเทศะ มักเขยี นผดิ เปน็ กาละเทศะ

กิจจะลักษณะ มกั เขยี นผดิ เป็น กจิ ลักษณะ

ทรัพยสิทธิ มกั เขียนผิดเป็น ทรพั ยสิทธ์ิ

นานัปการ มกั เขียนผดิ เป็น นานบั ประการ

บิดพลิว้ มักเขยี นผดิ เป็น บิดพริ้ว

บคุ ลากร มกั เขยี นผดิ เป็น บคุ คลากร

ปรานี (เอ็นดดู ว้ ยความสงสาร) มักเขยี นผิดเป็น ปราณี (ผมู้ ีชีวติ ,

สตั ว,์ คน)

ผาสกุ มกั เขียนผิดเปน็ ผาสุข

ลดิ รอน มักเขียนผดิ เป็น รดิ รอน, ริดลอน

สมหุ บ์ ญั ช ี มักเขยี นผดิ เป็น สมุหบัญชี

สัญลักษณ์ มักเขียนผดิ เปน็ สญั ญลกั ษณ์

สาธารณประโยชน ์ มกั เขียนผิดเป็น สาธารณะประโยชน์


หนา้ ปัด มกั เขยี นผดิ เปน็ หนา้ ปทั ม์


๖๐. “ศิลปะ” เมอื่ ใช้เปน็ คำเดียวโดด ๆ ต้องมี ะ (ประวิสรรชนีย)์ แต่ถ้าเข้าสมาสโดย

เป็นคำพยางค์หนา้ กบั คำบาลีสันสกฤตอื่น จะไม่ประวสิ รรชนีย์ แมจ้ ะออกเสียง “อะ” เช่น ศิลป

กรรม ศิลปลักษณะ ศิลปวัฒนธรรม ศิลปวัตถุ ศิลปวิจารณ์ ศิลปวิทยา ศิลปศาสตร์

ศิลปศกึ ษา ศลิ ปหตั ถกรรม ฯลฯ


๑๐ หมายถึง ทางเดินรถท่ีจัดแบ่งเป็นช่องสำหรับการเดินรถ โดยทำเคร่ืองหมายเป็นเส้นหรือแนวแบ่งเป็นช่อง

ไว้.

๑๑ หมายถึง ช่องเดินรถท่ีกำหนดให้เป็นช่องเดินรถสำหรับรถโดยสารประจำทางหรือรถบรรทุกคนโดยสาร

ประเภททีอ่ ธิบดกี ำหนด.

สว่ นที่ ๑ ความร้ทู ั่วไป
89
แต่ ศลิ ปะการแสดง ศิลปะปฏบิ ตั ิ ศิลปะประดษิ ฐ์ ศลิ ปะประยกุ ต์ ศลิ ปะและ

วฒั นธรรม ศลิ ปะสถาปตั ยกรรม ศลิ ปะสากล ศลิ ปะอตุ สาหกรรม ใหเ้ ขยี นคำวา่ “ศลิ ป –” โดย


มี ะ (ประวสิ รรชนยี ์) เป็น “ศิลปะ –” ๑๒ เพราะไม่ใช่คำสมาส

๖๑. “บันทึกการจับกุม เอกสารหมาย จ.๑” ศาลฎีกาให้ใช้ติดกันโดยไม่เว้นวรรคว่า

“บนั ทกึ การจบั กมุ เอกสารหมาย จ.๑” โดยความเคารพ ผรู้ วบรวมเหน็ วา่ นา่ จะเวน้ วรรคระหวา่ ง

“บนั ทกึ การจบั กมุ ” และ “เอกสารหมาย จ.๑” เพราะคำวา่ “เอกสารหมาย จ.๑” มลี กั ษณะเปน็ คำ


วิเศษณ์ (adjective) ขยายหรอื ประกอบคำว่า “บันทึกการจับกมุ ”


๖๒. “ภาพถ่าย หมาย ล.๒” ไมใ่ ช้วา่ “ภาพถ่าย เอกสารหมาย ล.๒”

๖๓. พระราชบญั ญตั วิ ัตถทุ ีอ่ อกฤทธิ์ต่อจติ และประสาท พ.ศ. ๒๕๑๘ มีคำวา่ “ท”่ี แต่คำ


ว่า “วัตถุออกฤทธิ์” ไม่มคี ำว่า “ท”ี่


๖๔. “จำเลยที่ ๑, จำเลยท่ี ๓ และจำเลยที่ ๔” อาจใชเ้ ปน็ “จำเลยที่ ๑, ที่ ๓ และท่ี ๔”

๖๕. “จำคุกจำเลยที่ ๑ ๓ ป”ี อาจทำใหเ้ ข้าใจสบั สน สมควรใช้เป็น “จำคุกจำเลยที่ ๑ ม


กำหนด ๓ ป”ี

๖๖. “มาตรา ๓๓๕ (๑) (๗) (๑๑)” ไมใ่ ชว้ า่ “มาตรา ๓๓๕ (๑),(๗),(๑๑)” กลา่ วคอื ไมม่


, (จุลภาค) ระหวา่ งอนุมาตรา

๖๗. “ระหวา่ ง ..…. กบั ..…. ” ไม่ใช่ “ระหวา่ ง …... และ ……” แตกต่างจากในภาษา


องั กฤษทีใ่ ช้ between ..…. and ……

๖๘. ไม่ใช้ “ปี พ.ศ. ….” แตใ่ หใ้ ช้ว่า “ป.ี ...” หรือ “พ.ศ. ....” อย่างใดอยา่ งหนง่ึ แล้วแต่


วามเหมาะสมของเนือ้ ความ

๖๙. ไมใ่ ช้ “เป็นรายเดอื น ๆ ละ” แตใ่ ห้ใช้วา่ “เปน็ รายเดอื น เดอื นละ”

ไมใ่ ช้ “ตกลงชำระคา่ เชา่ ซอ้ื ……งวด ๆ ละ” แตใ่ หใ้ ชว้ า่ “ตกลงชำระคา่ เชา่ ซอ้ื ……

งวด งวดละ”


๑๒ รวมความรู้ในการใช้ภาษาไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน (กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์พร้ินติ้งแอนด์-

พบั ลิชชง่ิ จำกดั (มหาชน), ๒๕๕๐), หนา้ ๙๐.

90 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คด


๗๐. ถา้ ใชค้ ำวา่ “ประมาณ” นำหนา้ แลว้ ไมต่ อ้ งใชค้ ำวา่ “เศษ” ประกอบอกี หรอื ถา้ ใช

คำวา่ “เศษ” ประกอบแล้ว ไมใ่ หใ้ ช้คำวา่ “ประมาณ” นำหน้าอีก

ตวั อย่างเชน่ ประมาณ ๑๐ นาฬิกา


๑๐ นาฬิกาเศษ
ไม่ใช้ว่า ประมาณ ๑๐ นาฬกิ าเศษ


๗๑. เคร่ืองหมาย % (เปอรเ์ ซน็ ต)์ ไม่ใช้ในคำพพิ ากษา แต่ให้ใช้คำว่า “อตั รารอ้ ยละ”


ทน

๗๒. ในภาษาไทยไม่นิยมใช้ประโยคแบบกรรมวาจก (passive voice) กล่าวคือ ประ

โยคทมี่ ี “กรรม” หรอื ผถู้ กู กระทำเปน็ ประธาน แลว้ มคี ำวา่ “ถกู ” อยหู่ นา้ กรยิ า พยายามหลกี เลย่ี ง

ยกเวน้ ในกรณที ่ีจำเป็นจริง ๆ๑๓

ศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี สอนไว้ในหนังสือ เรื่อง โวหาร

กฎหมายไทย ว่า “ผู้เขียนมีข้อสังเกตว่าภาษาไทยจะใช้กรรมวาจกเฉพาะเรื่องที่เป็นอัปมงคล

เทา่ นน้ั เชน่ ถกู ฆา่ ถกู ตี ถูกจับ ถกู ดา่ ถกู ฟอ้ ง ถูกลงโทษ ข้อยกเว้นการใช้กรรมวาจกท่ีเปน็

มงคลนั้น ผู้เขียนคิดออกเพียงเร่ืองเดียว คือ ถูกลอตเตอร่ี ซ่ึงก็เป็นเพียงสำนวนในภาษาพูด


เทา่ นน้ั ”

๗๓. ถ้อยคำซึ่งเป็นสำนวนในภาษากฎหมายไทยท่ีมีสัมผัสนอกและสัมผัสใน เช่น หน
้ี

กลื่อนกลืนกนั หกั กลบลบหนี้ อายคุ วามสะดุดหยุดอยู่ ซอื้ ขายเสรจ็ เด็ดขาด ฯลฯ ๑๔

๗๔. ทำไมคำวา่ “วญิ ญูชน” จงึ ไม่มเี ชงิ ทีต่ วั “ญ”

คณะกรรมการชำระพจนานุกรมของราชบัณฑิตยสถานมีความเห็นว่า ในการ

เขียนตัว“ญ” ที่ประสมด้วยสระอุหรือสระอู แล้วตัดเชิงท่ีตัว “ญ” ออกน้ัน เน่ืองมาจากความ

ขดั ขอ้ งในการพมิ พ์ เพราะถา้ คงเชงิ ทต่ี วั “ญ” ไวใ้ นเวลาพมิ พส์ ระอหุ รอื สระอลู งไป สระอหุ รอื สระ

อจู ะทบั ตวั “ญ” จงึ ไดต้ ดั เชงิ ทต่ี วั “ญ” ออก ความจรงิ ไดต้ ดั มาตงั้ แตใ่ นปทานกุ รมฉบบั กรมตำรา

กระทรวงธรรมการ พ.ศ. ๒๔๗๐ แลว้ อยา่ งไรกต็ าม หากจะเขยี นตวั “ญ” ประสมดว้ ยสระอหุ รอื

สระอู และไมต่ ดั เชงิ ตวั “ญ” ออก กไ็ มถ่ อื วา่ ผดิ แตจ่ ะทำใหเ้ กดิ ความลกั ลนั่ ในการเขยี นหรอื การ

พมิ พเ์ ทา่ นน้ั ดงั นนั้ เพอื่ ความเปน็ เอกภาพในการเขยี นตวั “ญ” ทปี่ ระสมดว้ ยสระอหุ รอื สระอู จงึ

เห็นวา่ สมควรตัดเชิงทตี่ ัว “ญ” ออก ดงั ท่ีปรากฏในพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน


๑๓ ดู “ข้อ ๓๐ คำวา่ ‘ถูก’ ” ใน ขอ้ สังเกตเกีย่ วกับภาษาไทย ตอนที่ ๕ การใชแ้ ละความหมายของคำบางคำ

โดยทา่ นเธียร เจริญวฒั นา, หนา้ ๖๕ ซง่ึ เปน็ เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตร “การเสริมสร้างประสทิ ธิภาพ

การปฏบิ ตั งิ านของผชู้ ่วยผพู้ พิ ากษาในศาลสูง” ประกอบ.

๑๔ เช่นเดียวกนั กับเชิงอรรถท่ี ๓, หน้า ๑๖.

สว่ นท่ี ๑ ความรทู้ วั่ ไป
91
๗๕. ทำไม “ครสิ ตจักร” [คฺรดิ -ตะ-จัก] ไมเ่ ขียนคำว่า “ครสิ ต– ” โดยมี ะ (ประวิสรร-

ชนีย์) เปน็ “ครสิ ตะจักร” ทั้งที่คำว่า “ครสิ ต–” เปน็ คำในภาษาอังกฤษ ไม่นา่ จะเข้าสมาสได้

ตามหลักการเข้าสมาส ถ้าเป็นคำบาลีกับคำบาลี หรือคำสันสกฤตกับคำสันสกฤต

หรือคำบาลกี บั คำสันสกฤต หากคำหน้าทปี่ ระสมลงทา้ ยด้วยสระอะ ก็ไมต่ ้องประวสิ รรชนีย์ แต่

ถา้ ประสมกบั คำอ่นื ทีไ่ มใ่ ช่คำบาลีสันสกฤต ตอ้ งประวิสรรชนีย์

ความจริงแล้วคำบาลีสันสกฤตกับคำในภาษากรีกหรือภาษาละตินก็เป็นภาษาใน

ตระกลู เดยี วกนั ทเ่ี รยี กวา่ Indo – European Family จงึ พอจะอนโุ ลมใหเ้ ขา้ สมาสกนั ได้ อยา่ งไร

ก็ตาม โดยท่ัวไปจะไม่พยายามนำคำในภาษาอังกฤษหรือคำในภาษากรีกหรือภาษาละตินมา

เขา้ สมาสกบั คำบาลสี นั สกฤต แตเ่ นอื่ งจากคำวา่ “ครสิ ตจกั ร” รวมทงั้ “ครสิ โตวาท” เคยใชโ้ ดย

ไม่ประวิสรรชนีย์มานานจนเป็นที่นิยมหรือติดแล้ว จึงอนุโลมให้ใช้ได้ เพราะเห็นว่าไม่ผิดหลัก

ภาษามากนัก

สว่ น “ครสิ ตม์ าส” [ครฺ ดิ -สะ-มาด] และ “ครสิ ตศ์ กั ราช” [ครฺ ดิ -สกั -กะ-หรฺ าด] รวมทงั้

“ครสิ ตศ์ ตวรรษ” [ครฺ ดิ -สดั -ตะ-วดั ] ไมไ่ ดอ้ อกเสยี งตวั “ต” จงึ การนั ตท์ ตี่ วั “ต” “ครสิ ตม์ าส” เปน็

คำทับศัพท์ของคำในภาษาอังกฤษ คือ Christmas ไม่ใช่คำสมาส เพียงแต่ดูรูปแล้วคล้ายคำ

สมาสเทา่ นนั้ สว่ น “ครสิ ตจกั ร” นยิ มอา่ นออกเสยี งวา่ [ครฺ ดิ -ตะ-จกั ] เปน็ แบบคำสมาส จงึ ไมไ่ ด


การันตท์ ต่ี วั “ต”

๗๖. “ปรัชญา” ผู้ที่เคร่งครัดต่อหลักหรือกฎเกณฑ์ในภาษาไทย จะอ่านว่า [ปฺรัด-ยา]

เมอ่ื ชำระพจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้เก็บคำอา่ นแตเ่ ฉพาะ [ปฺรดั -ยา]

แตต่ ่อมาเก็บคำอา่ นตามความนิยมดว้ ยว่า [ปฺรดั -ชะ-ยา] เน่อื งจากมีการใชก้ นั มาก เพราะออก

เสียงง่ายกวา่ เปน็ ไปตามธรรมชาติของการอ่านออกเสียง กลา่ วคือ ระหวา่ งเสยี ง “ช” กับ “ย”

หากมเี สยี งแทรก จะทำใหอ้ า่ นงา่ ยและพดู งา่ ย จงึ อนโุ ลมใหอ้ า่ นวา่ [ปรฺ ดั -ชะ-ยา] ดว้ ย แตถ่ า้ จะ


ห้ถกู หลกั หรอื กฎเกณฑก์ ารอ่านออกเสยี งในภาษาไทยแลว้ สมควรอ่านว่า [ปรฺ ดั -ยา]

๗๗. “ประวตั ศิ าสตร”์ แตเ่ ดมิ พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ เกบ็ คำ

อา่ นแต่เฉพาะ [ปรฺ ะ-หวฺ ัด-ต-ิ สาด] เทา่ น้นั แต่ต่อมาเกบ็ คำอ่านตามความนยิ มเพิม่ อกี ๑ คำ ว่า


[ปฺระ-หวฺ ัด-สาด]

๗๘. ถ้าคำในภาษาต่างประเทศคำใดมีศัพท์บัญญัติเป็นภาษาไทย ก็สมควรใช้คำท
่ี
เป็นศัพท์บัญญัติ หากจำเป็นต้องใช้คำทับศัพท์ ก็ต้องเป็นไปตามหลักการทับศัพท์ของราช-


บัณฑติ ยสถาน คำทับศพั ทบ์ างคำคน้ หาได้จากพจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน

๗๙. การทับศัพท์ช่ือคู่ความท่ีเป็นนิติบุคคล ให้ใช้ตามที่ปรากฏในหนังสือรับรองนิต

บคุ คล ไมต่ อ้ งใช้ตามหลกั การทับศัพท์ของราชบัณฑติ ยสถาน

92 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

๘๐. pollution ราชบัณฑติ ยสถานบัญญัติศพั ทว์ ่า “มลพษิ ” ไมใ่ ช่ “มลภาวะ” หากเปน็

noise pollution ใชใ้ นภาษาไทยวา่ “มลพษิ ทางเสยี ง” air pollution ใชใ้ นภาษาไทยวา่ “มลพษิ


างอากาศ” และ water pollution ใช้ในภาษาไทยวา่ “มลพิษทางนำ้ ”

๘๑. globalisa (za) tion บญั ญตั ิศัพทว์ า่ “โลกาภิวตั น”์ ไม่ใช่ “โลกาภวิ ฒั น์” กล่าวคือ ต

ไมใ่ ช่ ฒ เพราะเปน็ คำสนธิมาจากคำว่า “โลก” และ “อภวิ ตั น์”

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ นิยามศัพท์ “โลกาภิวัตน์” ไว

วา่ “การแพรก่ ระจายไปทวั่ โลก ; การทปี่ ระชาคมโลกไมว่ า่ จะอยู่ ณ จดุ ใด สามารถรบั รู้ สมั พนั ธ

หรือรับผลกระทบจากส่ิงที่เกิดข้ึนได้อย่างรวดเร็วกว้างขวาง ซ่ึงเนื่องมาจากการพัฒนาระบบ


สารสนเทศ”

๘๒. hardware บญั ญตั ศิ พั ทเ์ ปน็ ภาษาไทยใน ๒ ความหมาย คอื ๑. “สว่ นเครอ่ื ง” และ


๒. “ส่วนอุปกรณ์” หรอื ทบั ศพั ท์วา่ “ฮารด์ แวร์”

๘๓. software บญั ญตั ศิ พั ทเ์ ป็นภาษาไทยวา่ “สว่ นชุดคำส่ัง” หรอื ทบั ศัพทว์ ่า “ซอฟ-


วร์”



๘๔. internet ราชบัณฑิตยส
ถานทับศพั ทว์ ่า “อินเทอร์เนต็ ” ไมใ่ ช่ “อินเตอรเ์ นต็ ”

๘๕. video หากทบั ศพั ทใ์ หใ้ ชว้ า่ “วดิ โิ อ” ทง้ั นี้ ตามหลกั การทบั ศพั ทข์ องราชบณั ฑติ ย-

สถาน หรอื บญั ญตั ศิ พั ทเ์ ปน็ ภาษาไทยวา่ “วดี ทิ ศั น”์ ซง่ึ เปน็ ศพั ทบ์ ญั ญตั ทิ ศ่ี าสตราจารยบ์ รรจบ


พนั ธเุ มธา กรรมการชำระพจนานุกรมของราชบัณฑติ ยสถาน เปน็ ผู้บญั ญตั ศิ พั ทไ์ ว้

๘๖. video conference บญั ญตั ศิ พั ทเ์ ปน็ ภาษาไทยวา่ “การประชมุ ทางวดี ทิ ศั น”์ สว่ น

v
ideo teleconference บญั ญัตศิ ัพท์เปน็ ภาษาไทยวา่ “การประชมุ ทางไกลโดยวีดทิ ศั น์”

๘๗. digital ซง่ึ ขณะนีใ้ ชก้ ันอยา่ งแพร่หลายวา่ “ดิจติ อล” ราชบัณฑติ ยสถานได้ทับศัพท


ตามหลกั การทบั ศัพท์ของราชบัณฑติ ยสถานว่า “ดจิ ิทลั ”

๘๘. digital videodisc (DVD) บัญญัติศัพท์เป็นภาษาไทยว่า “แผ่นวีดิทัศน์ระบบดิ-

จทิ ลั ” สว่ น video compact disc (VCD) และ Mpeg 3 (MP3) สอบถามไปทรี่ าชบณั ฑติ ยสถาน


ล้ว ยังไม่มคี ำบญั ญัตศิ ัพทเ์ ป็นภาษาไทย

๘๙. บตั ร A.T.M. ราชบณั ฑติ ยสถานมไิ ดบ้ ญั ญตั ศิ พั ทไ์ ว้ แตม่ กี ารใชก้ นั อยา่ งแพรห่ ลาย

เปน็ ภาษาไทยวา่ “บตั รบรกิ ารเงนิ ดว่ น” หรอื “บตั รฝากถอนเงนิ อตั โนมตั ”ิ และจะทบั ศพั ทว์ า่

“บัตรเอทีเอม็ ” กไ็ ด้ กลา่ วคอื ไมม่ ี . (มหพั ภาค) ระหว่างคำว่า “เอทีเอ็ม”

ส่วนที่ ๑ ความรทู้ ัว่ ไป
93

ส่วนตู้ A.T.M. มีการใช้กันอย่างแพร่หลายเป็นภาษาไทยว่า “เคร่ืองบริการเงิน

ดว่ น” หรอื “เครอื่ งฝากถอนเงนิ อตั โนมตั ”ิ และทบั ศพั ทว์ า่ “เครอ่ื งเอทเี อม็ ” แตร่ าชบณั ฑติ ย-


ถานบญั ญัติศพั ทไ์ วว้ ่า “เคร่ืองรบั จา่ ยเงินอตั โนมัติ”

๙๐. jean ตามพจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถานใชค้ ำทบั ศพั ทว์ า่ “ยนี ” ซง่ึ หมายถงึ

ผา้ ฝา้ ยเนอ้ื หนาหยาบ มกั ยอ้ มสเี ขม้ กลา่ วคอื มสี ภาพของผา้ เปน็ ผนื หรอื เปน็ ชน้ิ ยงั มไิ ดต้ ดั เยบ็

เปน็ เสอื้ ผา้ เชน่ เดยี วกนั กบั cloth หากหมายถงึ ผา้ เปน็ ผนื ๆ หรอื เปน็ ชน้ิ ๆ กจ็ ะไมเ่ ตมิ es แต

ถา้ หมายถึง เส้ือผ้าที่ตัดเยบ็ แล้ว จะใช้วา่ clothes หรือ clothing

ถ้าจะใช้ในความหมายว่า “กางเกงยีนส์” จะใช้ว่า jeans และทับศัพท์ว่า “ยีนส์”

เพราะเปน็ กางเกง ตอ้ งมี ๒ ขา จงึ เตมิ s เชน่ เดยี วกนั กบั shorts ซง่ึ หมายถงึ กางเกงขาสน้ั และ

trousers ซ่ึงหมายถึง กางเกงขายาว โดยความเคารพ ผเู้ ขยี นจงึ เหน็ วา่ “กางเกงยนี ส์” ตอ้ งม ี


ส์” ด้วย ไม่ใช่ กางเกงยีน

๙๑. gene ซง่ึ ค่กู บั chromosome อนั เป็นเร่อื งเกีย่ วกบั พนั ธุกรรม จะใช้คำทับศพั ทว์ ่า


“ยนี ”

๙๒. foil ใชค้ ำทบั ศพั ทว์ า่ “ฟอยล”์ หมายถงึ กระดาษฟอยลท์ ใี่ ชห้ อ่ ยาเสพตดิ คำนม้ี กั


เขยี นกันผิด ๆ เพราะไม่ทราบคำในภาษาอังกฤษ

๙๓. การใช้กรรมวิธีทางเคมีเพื่อรักษาโครงหนังสัตว์ไม่ให้เน่าเป่ือย แล้วตกแต่งให้ดู

เหมือนสัตว์จริง ซ่ึงในภาษาไทยเรียกกันอย่างติดปากว่า “สต๊าฟ” ความจริงเป็นคำทับศัพท์ท
ี่
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานเก็บไว้ว่า “สตัฟฟ์” เพราะมาจากคำในภาษาอังกฤษว่า


“stuff”

๙๔. คำทับศัพท์ที่น่าสนใจเป็นพเิ ศษในการเรยี งคำพิพากษา ไดแ้ ก

คอรร์ ัปชัน (corruption) มกั เขียนผิดเป็น คอรัปชั่น

เค้ก (cake) มักเขียนผดิ เป็น เค็ก

โควตา (quota) มักเขยี นผดิ เปน็ โควตา้

แจกเกต (jacket) มักเขยี นผดิ เปน็ แจ็กเกต

เช้ิต (shirt) มักเขียนผดิ เป็น เชิร้ ต์ , เช๊ิต

ดอลลาร์ (dollar) มกั เขยี นผิดเปน็ ดอลลา่ ร์

เต็นท์ (tent) มักเขยี นผิดเป็น เตน๊ ท

โน้ต (note) มกั เขยี นผิดเปน็ โน๊ต

ฟิลม์ (film) มักเขยี นผิดเปน็ ฟลิ ม์

มีดสปารต์ า (sparta) มกั เขียนผดิ เปน็ มดี สะปาร์ตา

94 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉัยคด


ไอศกรมี (ice-cream) มกั เขียนผดิ เปน็ ไอศครีม, ไอสกรีม,


ไอสครมี


๙๕. คำทับศัพท์ท่ีมีวรรณยุกต์กำกับซึ่งเก็บอยู่ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานม

ดงั น้ี ๑๕

กอ๊ ก (กอ๊ กน้ำ, ไม้ก๊อก) ก๊อบป้ี กา๊ ซ แก๊ส ก๊บิ กุ๊ก (พ่อครวั ) แกง๊ แกป๊ (หมวก,

ปืน) โกโก้ คุกก้ี เค้ก โคก้ (ถ่าน) โคมา่ จุ๊บ เชิต้ เซรุม่ ไต้ฝุ่น ทอฟฟี่ แท็กซ่ี โน้ต บรนั่ ดี บ๊อบ

(ผม) แบตเตอร่ี ปรู๊ฟ (กระดาษ) ปลั๊ก (ไฟฟ้า) ปั๊ม (น้ำมัน) เป๊ก (กดกระดาษ) แป๊บ (น้ำ)


ปก๊ เกอร์ ฟลุ สแกป๊ แฟชน่ั มัมมี่ รกั บี้ รมั ม่ี ริบบนิ้ วิสกี้ สลุ ตา่ น โอก๊ (ตน้ ไม้) ฮอกกี้

๙๖. คำทับศพั ท์ทมี่ ี ๘ (ไมไ้ ตค่ ู้) กำกบั ซึ่งเก็บอยูใ่ นพจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน

มดี งั น้ี ๑๖

กาแล็กซี ค็อกคัส ค็อกเทล ช็อกโกเลต (หรือ ช็อกโกแลต) เชค็ เชลแลก็ ซกิ แซก็

เซ็น (ชอ่ื ) แซ็กคาริน (นำ้ ตาลเทยี ม) แซก็ คารนิ โซเดียม ไดแซก็ คาไรด์ เตน็ ท์ ทรัมเปต็ แทก็ ซ่ ี

แท็งก์น้ำ บล็อก เปอร์เซ็นต์ โมโนแซ็กคาไรด์ แร็กเกต ล็อกเกต อิเล็กตรอน อิเล็กทรอนิกส์

อิเล็กโทน เอม็ บรโิ อ ฮาเร็ม โฮเตล็


๑๕ คำทับศัพท์เหล่านี้ในชั้นแรกต้องการให้ออกเสียงใกล้เคียงกับภาษาเดิม จึงต้องมีวรรณยุกต์กำกับเพื่อให้ม

เสียงสูงและเสียงต่ำ ดังนั้น ในปทานุกรมฉบับกรมตำรา กระทรวงธรรมการ พ.ศ. ๒๔๗๐ และพจนานุกรม

ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ จึงเก็บคำทับศัพท์ท่ีมีวรรณยุกต์กำกับไว้เป็นจำนวนมาก ต่อมาเมื่อ

มีการจัดพิมพ์พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้มีการนำคำทับศัพท์ในพจนานุกรมฉบับ

ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ มาเก็บไวท้ ั้งหมด นอกจากน้ี ยังไดน้ ำคำทบั ศพั ท์ท่ีมีวรรณยุกต์กำกบั และใช

กันอย่างแพร่หลายแล้ว แต่ยังมิได้เก็บไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ มาเก็บเพ่ิมไว้

ด้วย แม้ขณะน้ันราชบัณฑิตยสถานจะวางหลักเกณฑ์การทับศัพท์ว่าคำทับศัพท์ไม่จำเป็นต้องมีวรรณยุกต์

กำกับก็ตาม ท้ังนี้ เพราะคำในภาษาต่างประเทศโดยเฉพาะภาษาอังกฤษออกเสียงไม่แน่นอน รวมทั้งม

ปัญหาว่าจะใช้วรรณยุกต์ใดกำกับ จึงจะออกเสียงได้ถูกต้อง และปัจจุบันได้นำคำทับศัพท์เหล่าน้ีมาเก็บไว้ใน

พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ด้วย.

๑๖ คำทับศัพท์เหล่านี้ก็เช่นเดียวกันกับคำทับศัพท์ท่ีมีวรรณยุกต์กำกับ กล่าวคือ ในชั้นแรกต้องการให้ออก

เสียงใกล้เคียงกับภาษาเดิมในคำท่ีมีเสียงส้ัน จึงต้องมีไม้ไต่คู้กำกับ และมีการเก็บไว้ต้ังแต่ในปทานุกรม

ฉบับกรมตำรา กระทรวงธรรมการ พ.ศ. ๒๔๗๐ และพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ แล้ว

ต่อมาได้มีการนำมาเก็บไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ รวมท้ังในพจนานุกรมฉบับ

ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ซ่ึงเปน็ ฉบับปัจจุบัน.

ส่วนท่ี ๑ ความรูท้ ัว่ ไป
95

๙๗. “เซนติกรัม เซนติเมตร เซนติลิตร เซนติเกรด” มักเขียนผิดเป็น “เซ็นติกรัม

เซ็นตเิ มตร เซน็ ติลติ ร เซ็นตเิ กรด” ที่ถูก ไม่มี ๘ (ไม้ไตค่ ้)ู กำกับ

ตรงกนั ข้ามกบั “เปอรเ์ ซ็นต์” มกั เขยี นผดิ เปน็ “เปอร์เซนต์” ทถ่ี ูก มี ๘ (ไมไ้ ต่ค้)ู


ำกบั

๙๘. ตัวเลขที่ประกอบคำในภาษาตา่ งประเทศ ตอ้ งเป็นเลขอารบิก

ตัวอย่างเช่น MP 3 – CD


NSX – VC920

๙๙. การเขียนเลขหมายโทรศัพท์ ประเทศไทยได้ใช้ตามมาตรฐานของสหภาพโทร

คมนาคม หรือ ITU (International Telecommunication Union) เพือ่ ใหเ้ ป็นมาตรฐานเดียวกนั

ท่ัวโลก กล่าวคือ ตามหนังสือราชการและสากลจะเขียนเลขหมายโทรศัพท์ ไม่ว่าเลขหมาย

โทรศัพทจ์ ะกี่หลัก เขยี นตดิ กันทลี ะ ๔ หลัก เรียงจากทา้ ย โดยไม่ตอ้ งมี – ค่ันระหว่างทีละ ๔

หลัก

ตวั อยา่ งเช่น โทรศัพท์ ๐ ๒๓๗๓ ๘๔๕๓

โทรสาร ๐ ๒๕๔๑ ๒๖๒๘


โทรศัพทเ์ คลอ่ื นท่ ี ๐๘ ๔๖๖๙ ๑๖๘๐

๑๐๐. ทะเบยี นรถ

๑๐๐.๑ รถยนต์ส่วนบคุ คล

ก. ทะเบียนรถกรงุ เทพมหานคร

ตัวอย่างเชน่ พห ๑๔๕ กรงุ เทพมหานคร

๒ฮ – ๕๑๘๙ กรงุ เทพมหานคร

ข. ทะเบียนรถตา่ งจังหวดั

ตวั อยา่ งเชน่ กพ ๗๔๖๗ สระบรุ ี

ค – ๓๕๗๒ นครราชสีมา

๑๐๐.๒ รถจกั รยานยนต

ก. ทะเบยี นรถกรงุ เทพมหานคร

ตัวอย่างเชน่ ธยพ กท ๑๕๓

กรุงเทพมหานคร ๔ จ – ๘๐๔๔

ข. ทะเบียนรถต่างจงั หวัด

ตัวอยา่ งเชน่ พสล สข ๓๗๒

นครปฐม ฆ – ๕๒๔๙

96 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉยั คด


๑๐๑. ชอ่ื เมอื งหลวงของทุกประเทศ ใหม้ คี ำว่า “กรงุ ” นำหน้า

ตวั อย่างเชน่ กรงุ โตเกยี ว เมอื งหลวงของประเทศญีป่ ่นุ


กรงุ ปราก เมอื งหลวงของประเทศเชก


๑๐๒. ชอ่ื เมืองใหญ่ของแต่ละประเทศ ใหม้ ีคำว่า “นคร” นำหน้า

ตวั อย่างเช่น นครชิคาโก นครซดิ นีย์

แตถ่ ้าเปน็ เมืองใหญม่ าก ๆ อาจใช้คำว่า “มหานคร” นำหนา้


ตวั อย่างเชน่ มหานครนวิ ยอร์ก

๑๐๓. เม่ือใช้ชื่อประเทศอย่างเป็นทางการโดยระบุสถานะของประเทศ ไม่ต้องมีคำว่า

“ประเทศ” อยู่ข้างหนา้ อกี

ตัวอย่างเช่น ประเทศฝรง่ั เศส หรอื ใชอ้ ยา่ งเปน็ ทางการวา่ “สาธารณรฐั ฝรงั่ -

เศส” (French Republic)

ประเทศสวติ เซอรแ์ ลนด์ หรอื ใชอ้ ยา่ งเปน็ ทางการวา่ “สมาพนั ธ-

รัฐสวสิ ” (Swiss Confederation)

ประเทศอเมริกา หรอื ใชอ้ ย่างเป็นทางการวา่ “สหรฐั อเมรกิ า”

(United States of America)

ประเทศเยอรมนี หรือใช้อย่างเป็นทางการว่า “สหพันธ์สา-


ธารณรฐั เยอรมัน” (Federal Republic of Germany)


๑๐๔. ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อใช้อย่างเป็นทางการ จะมีคำว่า

“ราชอาณาจกั ร” (Kingdom) ประกอบอยขู่ า้ งหน้า

ตวั อย่างเช่น ประเทศไทย หรอื ใชอ้ ยา่ งเปน็ ทางการวา่ “ราชอาณาจกั รไทย”

ประเทศสเปน หรือใช้อย่างเป็นทางการว่า “ราชอาณาจักร


สเปน” (Kingdom of Spain)


๑๐๕. “ฮ่องกง” ใช้อย่างเป็นทางการว่า “เขตบริหารพิเศษฮ่องกง” ๑๗ ไม่ใช้ว่า “เขต

ปกครองพิเศษฮ่องกง” หรือ “เขตการปกครองพิเศษฮ่องกง” เพราะเดิมเคยเป็นดินแดนในปก

ครองขององั กฤษ เม่อื ส่งมอบคนื ให้สาธารณรฐั ประชาชนจนี ตามสัญญาเช่า ๙๙ ปี ทห่ี มดอาย ุ

ฮอ่ งกงกย็ งั คงมสี ทิ ธขิ าดในการดแู ลกจิ การทงั้ หมดภายในเขตแดนของตน ทงั้ ยงั มกี ารใชส้ กลุ เงนิ

คอื ดอลลารฮ์ ่องกง เป็นของตนเองตา่ งหากจากสาธารณรฐั ประชาชนจีนทีใ่ ช้สกลุ เงินหยวน


๑๗ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี และประกาศราชบัณฑิตยสถาน เรื่อง กำหนดช่ือทวีป ประเทศ เมืองหลวง

มหาสมุทร ทะเล และเกาะ.

ส่วนท่ี ๑ ความร้ทู ่ัวไป
97

“มาเกา๊ ” ใช้อยา่ งเปน็ ทางการว่า “เขตบรหิ ารพเิ ศษมาเกา๊ ” ๑๘ ไม่ใช้ว่า “เขตปก

ครองพเิ ศษมาเก๊า” หรอื “เขตการปกครองพิเศษมาเกา๊ ” เพราะเดมิ เคยเป็นดินแดนในปกครอง

ของโปรตุเกส เมื่อส่งมอบคืนให้สาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๙๙

มาเกา๊ กย็ งั คงมสี ทิ ธขิ าดในการดแู ลกจิ การทงั้ หมดภายในเขตแดนของตน ทง้ั ยงั มกี ารใชส้ กลุ เงนิ


เป็นของตนเองตามเดมิ คอื ปาตากาส์ (patacas) หรอื MOP$

๑๐๖. หากสงสัยวา่ ชือ่ จงั หวัด เขต อำเภอ และกง่ิ อำเภอในประเทศไทยเขียนถูกหรือผดิ

ก็ให้ไปตรวจดูได้จากประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี และประกาศราชบัณฑิตยสถาน เรื่อง การ


เขียนชอ่ื จังหวัด เขต อำเภอ และกิง่ อำเภอ

๑๐๗. กฎหมาย กรมธรรม์ กฎบัตร คำแถลงการณ์ คำพิพากษา คำร้อง คำให้การ

ฉลาก โฉนด เช็ค ฎีกา ต้นฉบับ ธรรมนูญ บันทึก บทบัญญัติ ประกาศ พระราชบัญญัต


รณบตั ร ระเบียบการ รฐั ธรรมนูญ สนธสิ ญั ญา หมายค้น ฯลฯ ให้ใช้ลกั ษณนามว่า “ฉบับ”

๑๐๘. ลกั ษณนามคำว่า “คนั ” ใช้กับ กระบวย คันเบ็ด รม่ ฉัตร ธนู หนา้ ไม้ ชอ้ นสอ้ ม


รว้ ไถ รถยนต์ รถจักรยาน รถจักรยานยนต์ จักรเยบ็ ผ้า ฯลฯ


๑๐๙. เลือ่ ย ใชล้ ักษณนามว่า “ปื้น”

๑๑๐. ลักษณนามคำวา่ “ปาก” ใช้กับเครือ่ งกบั ดกั สตั วท์ ่มี ปี ากกวา้ ง เชน่ แห อวน โพง


าง สวิง รวมทงั้ ใชก้ บั พยานบุคคลด้วย

๑๑๑. พระสงฆ์ ในภาษาเขียนใช้ลักษณนามว่า “รูป” แต่ถ้าเป็นภาษาปากหรือภาษา

พดู อาจใชว้ ่า “องค์” หากเปน็ พระอรหนั ต์ นิยมใช้ลักษณนามว่า “องค์” ทัง้ นี้ เพอ่ื ใหแ้ ตกต่าง

จากพระสงฆ์ทว่ั ไป เพราะพระอรหันต์เป็น “อริยสงฆ”์ หมายถึง ผ้หู มดกเิ ลสแลว้ จึงใชล้ ักษณ


นามอย่างเดียวกนั กบั พระพุทธเจา้ หรือพระพุทธรูป

๑๑๒. ชา้ งบา้ น ใชล้ กั ษณนามวา่ “เชอื ก” สว่ น ชา้ งปา่ ใชล้ กั ษณนามวา่ “ตวั ” ถา้ มชี า้ ง

อย่รู วมกนั เปน็ จำนวนมาก ไมว่ ่าจะเป็นช้างบา้ นหรือชา้ งปา่ ใช้ลกั ษณนามว่า “โขลง”

ตัวอย่างเชน่ ในโขลงชา้ งมชี ้างบา้ น ๓ เชอื ก และช้างปา่ ๒ ตัว


ลกู ชา้ งขึ้นอยู่กบั แมช่ ้างเป็นช้างบา้ นหรอื ช้างปา่ ถ้าเป็น ลูกชา้ งบ้าน ใชล้ กั ษณ

นามว่า “เชือก” ส่วน ลกู ช้างปา่ ใชล้ กั ษณนามวา่ “ตัว”

หากเป็นชา้ งขึน้ ระวาง เชน่ ช้างหลวง ใชล้ ักษณนามวา่ “ช้าง”


๑๘ เชน่ เดยี วกนั กับเชงิ อรรถที่ ๑๗.

98 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉัยคดี


๑๑๓. การใช้ “หา....ไม่” และ “หาอาจ....ได้ไม่” ๑๙

คำวา่ “หา” หากใช้ควบกับคำปฏเิ สธเปน็ “หา....ไม”่ หมายความว่า ไมเ่ ปน็ ไม่ใช ่

ไมม่ ี เปลา่ ฯลฯ มกั ใชค้ รอ่ มคำกรยิ า เชน่ หาเปน็ ความผดิ ไม่ เทา่ กบั ไมเ่ ปน็ ความผดิ ดงั นน้ั ถา้

จะมี “ไม่” อยู่ข้างทา้ ย จะตอ้ งมี “หา” อยู่ขา้ งหน้าเสมอ

ขอ้ สงั เกต ถา้ ขา้ งหน้าใช้คำปฏิเสธอยแู่ ล้ว เช่น ไม่ใช่ ไมเ่ ปน็ ไม่มี ฯลฯ จะเตมิ คำ

วา่ “ไม”่ เขา้ ไปขา้ งทา้ ยอกี ไม่ได้

ตัวอยา่ งเชน่ การกระทำของจำเลยหาเปน็ การพรากผเู้ ยาวไ์ ปเพอ่ื การอนา-

จารอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา

๓๑๗ ไม่

เทา่ กบั การกระทำของจำเลยไม่เปน็ การพรากผเู้ ยาวไ์ ปเพอื่ การอนา-

จารอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา

๓๑๗

ถา้ ใชค้ ำวา่ “หาอาจ” อยขู่ า้ งหนา้ คำกรยิ า กต็ อ้ งมคี ำวา่ “ไดไ้ ม”่ หรอื “ไม”่ ตอ่ ทา้ ย

เช่นกัน เชน่ หาอาจกระทำเช่นนนั้ ได้ไม่ หาอาจเปน็ เช่นนนั้ ไม

ตวั อย่างเชน่ การเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานของผู้อ่ืนในยามวิกาล


หาอาจกระทำไดไ้ ม่


๑๑๔. การใช้ “ตาม....นน้ั ” “ตามที.่ ...นั้น” และ “อนุสนธิ....น้นั ” กับ “ด้วย....” ในหนังสอื

ราชการ ๒๐

การเขียนหนังสือราชการ ถ้าขึ้นต้นด้วยคำว่า “ตาม” หรือ “ตามท่ี” และ “อน

สนธ”ิ แล้ว เมือ่ จบขอ้ ความในตอนนั้น จะตอ้ งมคี ำว่า “น้ัน” อย่ขู า้ งท้ายเสมอ


แต่ถา้ ข้ึนตน้ ดว้ ยคำว่า “ด้วย” ไม่ตอ้ งมคี ำว่า “นนั้ ” ต่อท้าย

๑๑๕. การใช้ “อย่างใดอย่างหนึง่ ” “คนใดคนหนึง่ ” และ “ส่งิ ใดสงิ่ หนึ่ง”

นายจำนงค ์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต ได้ให้คำแนะนำไว้ว่า ต้องใช้โดยเอา “....

ใด” ข้ึนก่อน แล้วตามด้วย “....หน่ึง” ๒๑ เป็น “อย่างใดอย่างหน่ึง” “คนใดคนหนึ่ง” “ส่ิงใดส่ิง

หนึ่ง” ฯลฯ


๑๙ “ข้อ ๓๔ คำทแ่ี ยกคร่อมขอ้ ความ” ใน ข้อสังเกตเก่ยี วกับภาษาไทย ตอนที่ ๕ การใช้และความหมายของ

คำบางคำ, หน้า ๖๙.

๒๐ เชน่ เดียวกนั กับเชงิ อรรถที่ ๑๙, หนา้ ๗๐.

๒๑ จำนงค์ ทองประเสรฐิ , ภาษาของเรา (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แพร่พิทยา, ๒๕๑๘), หนา้ ๕.

ส่วนท่ี ๑ ความรูท้ ่วั ไป
99

๑๑๖. การใช้ “ท่ี ซ่ึง อนั ” ซึ่งเป็นประพนั ธสรรพนาม (relative pronoun)

ควรใชต้ ามความเหมาะสมของขอ้ ความท่ีจะนำไปใช้ “ที่ ซึง่ อนั ” บางทอี าจใช้แทน

กนั ได้ แตอ่ ยา่ ใชค้ ำใดคำหนง่ึ เพยี งคำเดยี วตดิ ๆ กนั สมควรทจี่ ะเปลยี่ นไปใชค้ ำอนื่ ในทง้ั สามคำ

ให้เหมาะสมและกลมกลืน ซง่ึ จะทำใหเ้ กดิ ความไพเราะในเน้ือหาท่ีถ่ายทอดออกมา

ตวั อยา่ งเช่น ประเทศมหาอำนาจท่ียิ่งใหญ

ยอดเขาซ่งึ สูงที่สุดในประเทศไทย คือ ดอยอินทนนท


มหาสมทุ รอนั กว้างใหญ่ไพศาล


๑๑๗. การใช้ “และ” “กบั ” “รวมท้ัง” และ “ตลอดจน”

จะใช้ในกรณีเช่ือมคำหรือข้อความเข้าด้วยกัน มีความหมายว่ารวมกันหรือ

เกย่ี วขอ้ งกนั และใชใ้ นประโยคทม่ี ขี อ้ ความคลอ้ ยตามกนั ไมส่ มควรใชค้ ำใดคำหนงึ่ เพยี งคำเดยี ว

ติด ๆ กัน สมควรทจ่ี ะเปล่ยี นไปใชค้ ำอนื่ ในทัง้ สีค่ ำให้เข้ากับเนือ้ หาของข้อความนัน้ ๆ

“รวมทั้ง” และ “ตลอดจน” จะใช้ในกรณีท่ีมีการใช้คำว่า “และ” และ “กับ” อยู่แล้ว

ถา้ จะใชค้ ำวา่ “และ” และ “กบั ” อกี จะทำใหข้ ้อความนน้ั ไม่สละสลวยและไม่รน่ื หู เพราะมคี ำว่า

“และ” และ “กบั ” มากเกนิ ไป ทำใหส้ มควรเลยี่ งไปใชค้ ำวา่ “รวมทง้ั ” และ “ตลอดจน” แทน แตม่

ข้อนา่ สงั เกตว่า คำวา่ “รวมท้ัง” เมอ่ื นำมาใช้ จะอย่ใู นตำแหน่งก่อนคำวา่ “ตลอดจน” เสมอ

ตัวอย่างเช่น ห้ามจำเลยที่ ๑ กับท่ี ๒ ซึ่งเป็นเยาวชนคบเพื่อนไม่ดีและ

เทย่ี วเตรใ่ นเวลากลางคนื รวมทง้ั ดมื่ สรุ าและเสพยาเสพตดิ ให


โทษทกุ ชนิดตลอดจนเล่นการพนนั


๑๑๘. จำเลยและพวก ควรใชเ้ ป็น จำเลยกบั พวก

โจทกแ์ ละจำเลยและพวก ควรใช้เป็น โจทก์กบั จำเลยและพวก


โจทก์และจำเลยกบั พวก


๑๑๙. จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอ

ใหบ้ วกโทษตามฟอ้ ง ใชส้ นั ธาน (conjunction) วา่ “และ” เพราะทง้ั สองประโยคมขี อ้ ความคลอ้ ย

ตามกัน

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยท่ี ๒ ในคดีท่ีโจทก์

ขอให้นับโทษตอ่ ใชส้ ันธานว่า “แต”่ เพราะทั้งสองประโยคมขี อ้ ความขัดแย้งกนั


ใช้วลีว่า “บคุ คลคนเดียวกบั ” จะฟงั ดูดกี วา่ “บุคคลเดยี วกบั ”

๑๒๐. เม่ือมีการกล่าวถึงอะไรที่มีหลาย ๆ อย่างด้วยกัน สิ่งสุดท้ายจะมีคำว่า “และ” อยู่

ข้างหน้าดว้ ย โดยจะตอ้ งมกี ารเว้นวรรคระหวา่ งสง่ิ รองสุดท้ายกบั ส่ิงสุดทา้ ยทมี่ ีคำวา่ “และ” อยู่

ข้างหน้า

100 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คด


ตวั อย่างเชน่ ผลไม้ในตะกรา้ หวายมหี ลายชนิด ได้แก่ ลิ้นจี่ กลว้ ย มะม่วง


ส้ม องนุ่ และแก้วมังกร


๑๒๑. ความแตกต่างระหวา่ ง “ไดแ้ ก”่ กบั “เชน่ ”

ได้แก่ จะใช้ในกรณีท่ีมีหลาย ๆ อย่างและต้องกล่าวถึงทุกอย่าง ไม่ใช่กล่าวถึง

เพยี งบางอยา่ ง และให้ใช้โดยมีการเว้นวรรคทงั้ ขา้ งหนา้ และขา้ งหลังของคำวา่ “ไดแ้ ก่”

เชน่ จะใช้ในกรณีทม่ี ีหลาย ๆ อย่าง แต่ต้องการกล่าวถึงเพียงบางอย่าง

ขอ้ สงั เกต เมอื่ ใชค้ ำวา่ “เชน่ ” แลว้ ตอนทา้ ยไมต่ อ้ งมคี ำวา่ “เปน็ ตน้ ” กลา่ วคอื

ให้ปล่อยไว้เฉย ๆ หรือเม่ือต้องการแสดงว่าเป็นเพียงตัวอย่างและยังมีอีกมาก ก็ให้ใช้ “ฯลฯ”


(ไปยาลใหญ่ หรอื เปยยาลใหญ่) ในตอนทา้ ยประโยค

๑๒๒. การใช้ “เป็นตน้ ”

จะใช้ในกรณีท่ีมีหลาย ๆ อย่าง แต่จะกล่าวถึงเพียงบางอย่าง โดยมีคำว่า “เป็น

ตน้ ” อยทู่ ่ตี อนท้ายประโยค เพ่ือละบางอย่างที่มิไดก้ ลา่ วถึงไว้


ตวั อยา่ งเชน่ ในสวนผลไม้ของฉนั มสี ้ม กลว้ ย มะมว่ ง เป็นตน้

๑๒๓. การใช้ “อน่ึง”

จะใช้ในกรณีท่ีเขียนถึงเร่ืองใดเรื่องหนึ่งท่ีต่อเน่ืองและเกี่ยวข้องเช่ือมโยงกันมา

โดยตลอด แลว้ จำตอ้ งเขยี นถงึ เรอ่ื งอน่ื ทแ่ี ตกตา่ งออกไป แตพ่ อมคี วามสมั พนั ธก์ นั บา้ ง ใหใ้ ชค้ ำ

ว่า “อนึ่ง” ก่อนท่ีจะเขียนถึงเร่ืองอ่ืนที่แตกต่างออกไป โดยให้เว้นวรรคข้างหลังคำว่า “อนึ่ง”

เลก็ นอ้ ย (= ๑ เคาะตวั อกั ษร) นอกจากน้ี คำวา่ “อนง่ึ ” จะใชโ้ ดยอยใู่ นยอ่ หนา้ เดยี วกนั หรอื ขนึ้ ยอ่


หน้าใหม่กไ็ ด้

๑๒๔. “ฉะนน้ั ” “ดงั นน้ั ” “ดงั น”้ี “ทง้ั น”้ี “นอกจากนน้ั ” “นอกจากน”ี้ “เพราะฉะนน้ั ”


และ “ยง่ิ ไปกวา่ นนั้ ” ใหเ้ วน้ วรรคข้างหลงั เลก็ นอ้ ย (= ๑ เคาะตัวอกั ษร)

๑๒๕. “คือ” และ “กลา่ วคือ” ให้ใชโ้ ดยเว้นวรรคท้งั ข้างหนา้ และข้างหลงั (= ๑ เคาะตัว


ักษร)

๑๒๖. จากการตรวจร่างคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ทำให้ต้องอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่ง

ศาลชน้ั ตน้ จงึ พบวา่ คำพพิ ากษาหรอื คำสง่ั ศาลชนั้ ตน้ บางฉบบั ไมใ่ ชบ้ รุ พบท (preposition) หรอื

สันธาน (conjunction) เกยี่ วกับเวลา เช่น เมือ่ บรรยายขอ้ เทจ็ จรงิ ในทางนำสบื จะเริ่มต้นด้วย

“วนั ท”่ี โดยไมม่ คี ำวา่ “เมอ่ื ” ดงั นนั้ เพอ่ื ความสละสลวยและถกู หลกั ไวยากรณไ์ ทย สมควรใชค้ ำ

วา่ “เมอ่ื ” กบั วนั เดอื นปที เี่ ขยี นเปน็ ครงั้ แรก และเมอื่ บรรยายถงึ เหตกุ ารณต์ อ่ ๆ มา อาจใชค้ ำวา่

“ตอ่ มาเมอ่ื ” “ตอ่ มาใน” “ครน้ั เมอื่ ” “จากนนั้ เมอื่ ” “จากนนั้ ใน” “หลงั จากนนั้ เมอ่ื ” “หลงั จากนนั้ ใน”

ส่วนที่ ๑ ความร้ทู ัว่ ไป
101
“ต่อจากนั้นเมื่อ” และ “ต่อจากนั้นใน” แล้วแต่กรณี ประกอบกับวันเดือนปีหรือเวลาต่อ ๆ มา

ทั้งนี้ แล้วแต่ความเหมาะสมของเน้ือความในแต่ละข้อเท็จจริง อย่าใช้แต่เฉพาะ “เม่ือ” หรือ


ต่อมาเมอ่ื ” กับทกุ ลำดบั เหตุการณใ์ นคดี

๑๒๗. คำตอ่ ไปน้ีใช้กบั “ตอ่ ”


เบิกความต่อศาล รายงานต่อ ร้องทุกขต์ อ่ แจง้ ความต่อ แจง้ ต่อ

๑๒๘. คำต่อไปนใ้ี ชก้ บั “แก”่

ยกให้แก่ จำนองแก่ แบ่งให้แก่ บังคับเอาแก่ ไล่เบ้ียเอาแก่ ว่ากล่าวเอาแก่


ายให้แก่ บอกเลกิ สัญญาแก่ ดำเนนิ คดีแก่ แจ้งแก่

๑๒๙. การใช้เครื่องหมาย – (ยัติภังค)์

ในท่ีน้ีจะกล่าวถึงเฉพาะกรณีท่ีใช้เขียนไว้สุดบรรทัดแรกเพื่อต่อพยางค์หรือ

คำสมาส เม่ือจำเปน็ ตอ้ งเขยี นแยกกนั คนละบรรทัด กลา่ วคือ

๑๒๙.๑ คำทแ่ี ยกกนั แลว้ ตอ้ งมี – ทส่ี ดุ บรรทดั แรก มกั จะเปน็ กรณที พ่ี ยางคใ์ ด

พยางค์หนึ่งของคำนั้น ๆ ไมม่ ีความหมาย เชน่ นาฬกิ า คำว่า “ฬิ” ไมม่ คี วามหมาย ประธาน

คำว่า “ธาน” ไม่มคี วามหมาย และ วนิ จิ ฉัย คำว่า “ฉัย” ไม่มีความหมาย ฯลฯ

๑๒๙.๒ กรณีวิสามานยนาม (proper noun) ซึ่งเป็นนามเฉพาะ เช่น บริษัท

ไทยประกนั ชวี ติ จำกดั จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั สำนกั ราชเลขาธกิ าร ฯลฯ เมอ่ื ตอ้ งเขยี นแยก

กนั คนละบรรทัด พยางค์ท่ีอยู่สดุ บรรทัดแรกตอ้ งมี –

ตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยแหง่ แรกของประเทศไทย คือ จฬุ าลงกรณ์มหา-


วิทยาลยั

๑๓๐. การใช้เครือ่ งหมายวงเล็บ

เคร่ืองหมายวงเล็บ ( ) ซึ่งเรียกว่า นขลิขิต (parentheses) และวงเล็บเหลี่ยม

[ ] (square brackets) ในกรณที ่ีจำเปน็ ตอ้ งมวี งเล็บซ้อนวงเลบ็ วงเล็บเหลี่ยม [ ] จะอยดู่ ้าน

นอกสดุ

ตัวอยา่ งเช่น [ราชกิจจานุเบกษา เลม่ ๑๐๘ ตอนที่ ๑๔๙ หนา้ ๒๑ (ฉบับ


พิเศษ) ลงวันท่ี ๒๗ สงิ หาคม ๒๕๓๔]

๑๓๑. การใช้เครอื่ งหมาย ๆ (ไม้ยมก)

เครื่องหมาย ๆ ที่เขียนหลังคำ วลี ประโยค ให้อ่านซ้ำคำหรือซ้ำความน้ัน ๆ ๒

คร้งั และเวลาใช้ ๆ ต้องเว้นวรรคเล็กน้อยทงั้ ข้างหน้าและข้างหลงั (= ๑ เคาะตวั อักษร)

ตัวอย่างเชน่ แต่ละครั้ง ๆ อา่ นว่า แต่-ละ-ครง้ั -แต-่ ละ-คร้งั

ในวันหน่ึง ๆ อา่ นว่า ใน-วัน-หนึง่ -วนั -หนง่ึ

102 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี


๑๓๒. การใชเ้ ครอ่ื งหมาย ฯ (ไปยาลนอ้ ย หรือเปยยาลนอ้ ย)

ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะกรณีที่ใช้ละส่วนท้ายของวิสามานยนามซึ่งมีการเขียนมา

ก่อนแลว้ ในตอนต้น

ตัวอย่างเชน่ เมอื่ กลา่ วถงึ เปน็ ครงั้ แรก จะเขยี นอยา่ งเตม็ ๆ วา่ “สถานพนิ จิ -

และคมุ้ ครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร”


ถา้ จะกลา่ วถึงอีกในครัง้ ต่อไป จะใชว้ ่า “สถานพนิ ิจฯ” กไ็ ด

๑๓๓. เมื่อกล่าวถึงวิสามานยนามเป็นครั้งแรกอย่างเต็ม ๆ มาแล้ว ถ้าจะกล่าวถึงอีกใน

ครั้งต่อไป จะใชค้ ำวา่ “ดังกล่าว” ประกอบ เพื่อละทจี่ ะเขยี นอยา่ งเตม็ ๆ กไ็ ด้

ตวั อย่างเช่น เมือ่ กลา่ วถงึ เป็นครงั้ แรก จะเขียนอย่างเต็ม ๆ ว่า “โรงพยา-

บาลบำราศนราดรู ”

ถา้ จะกลา่ วถงึ อกี ในครงั้ ตอ่ ไป จะใชว้ า่ “โรงพยาบาลดงั กลา่ ว”

ก็ได้

ข้อสังเกต ต้องระมัดระวังอย่าใช้ “....ดังกล่าว” โดยตลอดในคำพิพากษาทั้งฉบับ

ขอ้ ความบางตอนสมควรใชว้ สิ ามานยนามอยา่ งเตม็ ๆ แตบ่ างขอ้ ความกส็ มควรใช้ “....ดงั กลา่ ว”


ทั้งนี้ แลว้ แตค่ วามสอดคลอ้ งและกลมกลนื กันของข้อความนัน้ กบั เนอ้ื หาในแต่ละขอ้ เท็จจรงิ

๑๓๔. ชื่อบริษัทเมื่อจะกล่าวถึงอีกในครั้งต่อไป นอกจากใช้คำว่า “ดังกล่าว” ประกอบ

รวมทง้ั ใชเ้ ครอ่ื งหมาย ฯ (ไปยาลนอ้ ย หรอื เปยยาลนอ้ ย) ประกอบ เพอ่ื ละทจี่ ะกลา่ วถงึ ชอ่ื บรษิ ทั

อยา่ งเตม็ ๆ แลว้ ยงั อาจจะใชค้ ำวา่ “บรษิ ทั ” เฉยๆ โดยไมม่ คี ำวา่ “ดงั กลา่ ว” หรอื เครอื่ งหมาย ฯ

ประกอบกไ็ ด้ ทัง้ น้ี แลว้ แตค่ วามเหมาะสม

ตวั อยา่ งเชน่ บรษิ ทั นำ้ ตาลตะวนั ออก จำกดั เมอื่ จะกลา่ วถงึ อกี ในครงั้ ตอ่ ไป


จะใช้ว่า “บริษทั ดงั กล่าว” “บริษัทฯ” หรือ “บรษิ ัท” กไ็ ด

๑๓๕. การอ่านเครือ่ งหมาย ฯลฯ (ไปยาลใหญ่ หรือเปยยาลใหญ่)๒๒

๑๓๕.๑ กรณีท่ีเครื่องหมาย ฯลฯ อยู่ข้างท้ายข้อความ ให้อ่านว่า “ละ” หรือ

“และอื่น ๆ”

ตัวอยา่ งเช่น ผลไม้ในตะกร้ามีหลายชนิด ได้แก่ ส้ม กล้วย มะม่วง ลิ้นจ่ ี

แก้วมังกร ฯลฯ อ่านว่า ผน-ละ-ไม้-ใน-ตะ-กฺร้า-มี-หฺลาย-ชะ-

นิด-ได้-แก-่ สม้ -กลฺ ้วย-มะ-ม่วง-ลิน้ -จ่-ี แก้ว-มัง-กอน ละ

หรืออา่ นวา่ ผน-ละ-ไม้-ใน-ตะ-กฺร้า-มี-หฺลาย-ชะ-นิด-ได้-แก่-ส้ม-กฺล้วย-มะ-

มว่ ง-ล้นิ -จ่ี-แก้ว-มงั -กอน และ-อ่นื -อ่ืน


๒๒ เช่นเดยี วกันกับเชงิ อรรถท่ี ๑๒, หนา้ ๖๑.

ส่วนท่ี ๑ ความรทู้ ัว่ ไป
103

๑๓๕.๒ กรณที ่เี ครอ่ื งหมาย ฯลฯ อยู่ตรงกลางขอ้ ความ ใหอ้ า่ นว่า “ละถงึ ”

ตัวอย่างเช่น พยญั ชนะไทย ๔๔ ตวั มี ก ฯลฯ ฮ อา่ นวา่ พะ-ยนั -ชะ-นะ-ไท-


สี่-สบิ -ส-่ี ตวั มี กอ ละ-ถงึ ฮอ


๑๓๖. เม่ือมีการกล่าวถึงช่ือและนามสกุลอย่างเต็ม ๆ เป็นคร้ังแรกในแต่ละส่วนของคำ

พพิ ากษาแลว้ หากจะกลา่ วถึงอีกในสว่ นเดิมของคำพพิ ากษา ใหใ้ ชเ้ ฉพาะคำนำหน้าชอ่ื และชอ่ื

เท่านน้ั

ตวั อย่างเช่น ในสว่ นของทางนำสบื โจทก์ เมอื่ กลา่ วถงึ “นายถนอม พมุ่ อยู่”

อย่างเตม็ ๆ เปน็ ครงั้ แรกแลว้

ตอ่ มาเม่ือจะกล่าวถึง “นายถนอม พุ่มอยู่” ในสว่ นของทางนำ

สืบโจทก์อีก ให้ใชใ้ นครัง้ ต่อไปว่า “นายถนอม” เทา่ น้ัน

แตเ่ มือ่ เรยี งคำพพิ ากษาถงึ สว่ นตอ่ ไปของคำพิพากษา เช่น ในสว่ นพิเคราะห์ ตอน

แรกเมอ่ื ตอ้ งกลา่ วถงึ ใหใ้ ชช้ อื่ และนามสกลุ อยา่ งเตม็ ถา้ จะกลา่ วถงึ อกี ใหใ้ ชแ้ คค่ ำนำหนา้ ชอ่ื และ

ชอ่ื เทา่ น้นั

ตวั อย่างเชน่ ในส่วนพเิ คราะห์ เมอื่ ตอ้ งกล่าวถงึ เป็นคร้งั แรก ให้ใช้ว่า “นาย

ถนอม พ่มุ อยู่” อยา่ งเต็ม ๆ

เมื่อต้องกล่าวถึงอีกในส่วนพิเคราะห์ ให้ใช้ในคร้ังต่อไปว่า


“นายถนอม” เทา่ น้ัน


๑๓๗. หากมีคู่ความหรือพยานเป็นชาวต่างประเทศ เม่ือมีการกล่าวถึงช่ือและนามสกุล

อยา่ งเตม็ ๆ เปน็ ครง้ั แรกในสว่ นใดของคำพพิ ากษาแลว้ หากตอ้ งกลา่ วถงึ อกี ในครงั้ ตอ่ ไปของคำ

พิพากษาสว่ นเดิม กใ็ ห้ใชค้ ำนำหน้าชอ่ื กับนามสกุล ไม่ใช่ใชค้ ำนำหนา้ ช่ือกับชื่อแบบคนไทย

ตวั อยา่ งเช่น “นายจอห์นสัน วิลเลียมส์” เมือ่ ตอ้ งกล่าวถงึ อีก ก็ใหใ้ ช้ในครั้ง

ตอ่ ไปว่า “นายวิลเลยี มส”์

แตถ่ า้ เปน็ ชอ่ื แปลก ๆ และไมแ่ นใ่ จวา่ อะไรคอื นามสกลุ กเ็ ขยี นอยา่ งเตม็ ๆ ทง้ั ชอ่ื


ละนามสกุลในคำพิพากษาตลอดทัง้ ฉบับ

๑๓๘. เมอ่ื เขียนชื่อและนามสกุลแล้ว ให้เว้นวรรคก่อนทจี่ ะมขี ้อความตอ่ ไป

ตวั อย่างเชน่ นายสมศกั ดิ ์ พทุ ธพิ งษ์ เดนิ ทางไปตา่ งจงั หวัด

แต่ถ้ามีชื่อเพียงอย่างเดียว ก็ให้เขียนข้อความอ่ืนติดต่อกันมาเลยโดยไม่ต้องเว้น

วรรค

ตวั อย่างเช่น นายสมศกั ด์ิเดนิ ทางไปตา่ งจงั หวดั

104 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉยั คด


๑๓๙. เมื่อเขียนชื่อและนามสกุล แล้วระบุว่าเป็น ผู้เสียหาย ในครั้งแรกของส่วนใดของ

คำพิพากษาแล้ว หากจะกลา่ วถงึ อีกในส่วนเดมิ ของคำพิพากษา ใหใ้ ชแ้ ค่ “ผเู้ สยี หาย”

ตวั อยา่ งเชน่ นายจำรัส พงษ์มณี ผู้เสยี หาย เม่ือตอ้ งกลา่ วถึงอกี ใหใ้ ชใ้ น

ครง้ั ตอ่ ไปวา่ “ผู้เสยี หาย”

กรณี ผู้ตาย กเ็ ช่นเดยี วกนั หากจะกล่าวถงึ อีกในส่วนเดมิ ของคำพิพากษา ใหใ้ ช

แค่ “ผ้ตู าย”

ตวั อย่างเชน่ นางราตรี ศรฟี า้ ผตู้ าย เมอื่ ตอ้ งกลา่ วถงึ อกี ใหใ้ ชใ้ นครง้ั ตอ่ ไป

ว่า “ผู้ตาย”

ฯลฯ

แต่เม่ือเรียงคำพิพากษาถึงส่วนต่อไปซ่ึงอยู่คนละย่อหน้า ให้ใช้ช่ือและนามสกุล

พรอ้ มทงั้ ระบสุ ถานะในคดอี ยา่ งเตม็ ๆ เมอื่ กลา่ วถงึ เปน็ ครงั้ แรกของยอ่ หนา้ นน้ั ๆ โดยเฉพาะใน

สว่ นพพิ ากษา ตอ้ งเขยี นชอื่ และนามสกลุ พรอ้ มทงั้ ระบสุ ถานะในคดอี ยา่ งเตม็ ๆ เพราะเปน็ สว่ น


ำคญั ทีส่ ุดของคำพิพากษา

๑๔๐. ข้อความวา่ “ร้อยตำรวจเอก สมพร วฒุ ิศกั ด์ิ พนกั งานสอบสวน พยานโจทก์ เบกิ

ความวา่ ......” มกี ารเว้นวรรคถึง ๔ แห่ง ดงั นี

๑) เว้นวรรคระหว่างยศ “ร้อยตำรวจเอก” กับชื่อและนามสกุล “สมพร วุฒิ-

ศกั ด”์ิ เพราะเป็นชื่อคู่ความทีม่ ียศ

๒) เว้นวรรคทั้งขา้ งหนา้ และข้างหลังตำแหนง่ “พนักงานสอบสวน” ซง่ึ เปน็ คำ

วิเศษณ์ (adjective) ขยายความชอื่ คคู่ วามทีม่ ยี ศ “รอ้ ยตำรวจเอก สมพร วฒุ ิศักดิ”์

๓) เว้นวรรคท้ังข้างหน้าและข้างหลังสถานะในคดี “พยานโจทก์” ซึ่งเป็นคำ

วเิ ศษณ์ขยายความชอ่ื คู่ความทีม่ ียศ และตำแหนง่ “รอ้ ยตำรวจเอก สมพร วฒุ ศิ กั ดิ์ พนกั งาน

สอบสวน” เพ่อื ทำใหช้ ดั เจนมากข้ึน

๔) เว้นวรรคข้างหลังคำกริยา “เบิกความว่า” เพ่ือทำให้ข้อความต่อ ๆ มาซ่ึง


ปน็ เน้ือหาของคำเบกิ ความแยกเดน่ ออกมา

๑๔๑. วลีบอกเวลาทเี่ ปน็ กลุ่มคำยาว ๆ ใหเ้ ว้นวรรคหลงั วลบี อกเวลานน้ั ๆ

ตัวอยา่ งเช่น ภายหลังเกิดเหตุแล้ว นายยงยุทธ สุขศรี ไปแจ้งความต่อ


พนักงานสอบสวน

๑๔๒. กรณีที่มีการแก้ไขคำฟ้องท้ังในคดีแพ่งและคดีอาญา เวลาย่อฟ้องให้ใช้ว่า “โจทก์

ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า......” เฉพาะคดีแพ่ง กรณีแก้ไขคำให้การ เวลาย่อคำให้การให้ใช้ว่า

“จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า......” หากเป็นกรณีจำเลยฟ้องแย้งเข้ามาด้วย ให้ใช้ว่า

“จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า......” แต่ถ้าเป็นกรณีท่ีมีการแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งรวมกัน

สว่ นที่ ๑ ความรู้ทว่ั ไป
105
มา ใหใ้ ช้ว่า “จำเลยให้การ แก้ไขคำใหก้ าร และฟอ้ งแยง้ ว่า......” และในกรณที ่ีมีการแก้ไขคำ

ให้การ ฟอ้ งแยง้ และแกไ้ ขฟ้องแย้งด้วย ใหใ้ ช้ว่า “จำเลยใหก้ าร แกไ้ ขคำให้การ ฟอ้ งแย้งและ

แกไ้ ขฟอ้ งแยง้ ว่า......” (คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี ๔๘๔๕/๒๕๓๗)


กรณีโจทกใ์ หก้ ารแกฟ้ ้องแยง้ ให้ใชว้ ่า “โจทกใ์ หก้ ารแก้ฟ้องแยง้ ว่า......”

๑๔๓. คดีไม่มีข้อพิพาท เป็นกรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา

๑๘๘ (๑) ใหเ้ ริม่ คดโี ดยใชว้ า่ “ผรู้ ้องยนื่ คำรอ้ งขอวา่ ......” ถา้ มกี ารแก้ไขคำรอ้ งขอด้วย ให้ใช้ว่า

“ผู้ร้องยื่นคำร้องขอและแกไ้ ขคำร้องขอว่า......”

ข้อสังเกต อยา่ ลืมว่า ตอ้ งใช้ “คำร้องขอ”

หากมีผู้คัดค้าน อันทำให้กลายเป็นคดีมีข้อพิพาท ให้ใช้ว่า “ผู้คัดค้านยื่นคำ

คัดค้านว่า......” หากผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านและฟ้องแย้งมาด้วย ให้ใช้ว่า “ผู้คัดค้านยื่นคำ


ัดคา้ นและฟ้องแย้งว่า......”

๑๔๔. คดีลักทรัพย์หรือรับของโจร มิได้บรรยายฟ้องระบุสถานที่เกิดเหตุไว้ ลงโทษ

ไมไ่ ด้ ทง้ั น้ี ตามแนวคำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี ๔๘๐๗/๒๕๓๖ กลา่ วคอื โจทกฟ์ อ้ งวา่ จำเลยกระทำ

ความผดิ ฐานลกั ทรพั ยห์ รอื รบั ของโจร แตร่ ะบสุ ถานทซ่ี งึ่ เกดิ การกระทำความผดิ เฉพาะขอ้ หารบั

ของโจร ฟ้องโจทก์ในข้อหาลักทรัพย์จึงเป็นฟ้องท่ีไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา

ความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) แมท้ างพจิ ารณาจะไดค้ วามวา่ การกระทำของจำเลยเปน็ ความผดิ

ฐานลักทรัพย์ก็ตาม ศาลก็ไม่มีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยได้ การที่ศาลจะมีอำนาจลงโทษ

จำเลยไดต้ ามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ จะตอ้ งเปน็ เรอ่ื งทคี่ ำฟอ้ ง

ของโจทก์ได้บรรยายมาครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘

(๑) ถึง (๗) เสียก่อน

เพราะฉะนั้น จึงต้องระมัดระวังอย่าลืมระบุ “เหตุเกิดท่ี......” หากสถานท่ีเกิด

เหตุลักทรัพย์หรือรับของโจรเป็นสถานที่แห่งเดียวกัน จะระบุรวมกันว่า “เหตุลักทรัพย์และรับ

ของโจรเกดิ ท.ี่ .....” กไ็ ด้ แตถ่ า้ สถานทเี่ กดิ เหตลุ กั ทรพั ยห์ รอื รบั ของโจรเปน็ สถานทคี่ นละแหง่ ก

ใหร้ ะบแุ ยกกนั เปน็ คนละสว่ น กลา่ วคอื ระบุ “เหตลุ กั ทรพั ยเ์ กดิ ท.่ี .....” ในชว่ งทา้ ยของขอ้ ความท
ี่
บรรยายฟอ้ งเกีย่ วกบั การกระทำความผดิ ฐานลักทรพั ย์ และเช่นเดียวกนั ก็ใหร้ ะบุ “เหตรุ บั ของ

โจรเกิดท่ี......” ในช่วงท้ายของข้อความที่บรรยายฟ้องเก่ียวกับการกระทำความผิดฐานรับของ


โจรดว้ ย

๑๔๕. ในคำพิพากษาศาลช้ันต้น เม่ือเร่ิมต้นพิเคราะห์โดยต้ังเป็นคำถามปัญหาแรกว่า

“มีปัญหาท่ตี อ้ งวนิ จิ ฉัยประการแรกว่า......” หรือ “ปัญหาทตี่ อ้ งวนิ ิจฉยั ประการแรกมีวา่ ......”

แลว้ หากมคี ำถามปญั หาทตี่ อ้ งวนิ จิ ฉยั อกี เพยี งปญั หาเดยี ว ใหต้ ง้ั เปน็ คำถามปญั หาตอ่ ไปวา่

“มปี ญั หาทตี่ อ้ งวนิ จิ ฉยั อกี ประการหนง่ึ วา่ ......” หรอื “ปญั หาทตี่ อ้ งวนิ จิ ฉยั อกี ประการหนงึ่ มวี า่

106 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉัยคด

......” ซงึ่ ตรงกบั ในภาษาองั กฤษทใ่ี ชว้ า่ “The one….,the other…...” ดงั นนั้ ถา้ มคี ำถามปญั หาท
่ี
ตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตอ่ ไปอกี เพยี งปญั หาเดยี วเทา่ นน้ั อยา่ ใชว้ า่ “มปี ญั หาทต่ี อ้ งวนิ จิ ฉยั ประการสดุ ทา้ ย

วา่ ......” หรอื “ปญั หาทตี่ อ้ งวนิ จิ ฉยั ประการสดุ ทา้ ยมวี า่ ......” แตถ่ า้ มคี ำถามปญั หาทตี่ อ้ งวนิ จิ ฉยั

ต้ังแต่ ๓ ปัญหาขึ้นไป คำถามปัญหาประการที่สองและประการต่อ ๆ มา (ถ้ามี) ให้ใช้ว่า “ม

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า......” หรือ “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า......”

หรือจะใชโ้ ดยระบุลำดับทีข่ องคำถามปัญหาอยา่ งชดั เจน เช่น “มปี ัญหาทีต่ ้องวินิจฉัยประการท
ี่
สองวา่ ......” หรอื “ปญั หาทตี่ อ้ งวนิ จิ ฉยั ประการทสี่ ม่ี วี า่ ......” และคำถามปญั หาทตี่ อ้ งวนิ จิ ฉยั เปน็

ปญั หาสดุ ทา้ ย ใหใ้ ชว้ า่ “มปี ญั หาทตี่ อ้ งวนิ จิ ฉยั ประการสดุ ทา้ ยวา่ ......” หรอื “ปญั หาทต่ี อ้ งวนิ จิ ฉยั


ระการสุดท้ายมวี ่า......”

๑๔๖. ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ก็เช่นเดียวกัน เมื่อเร่ิมต้นพิเคราะห์โดยตั้งเป็นคำถาม

ปัญหาแรกว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในช้ันอุทธรณ์ประการแรกว่า......” หรือ “ปัญหาท่ีต้อง

วนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ อง....ประการแรกมวี า่ ......” แลว้ หากมคี ำถามปญั หาทต่ี อ้ งวนิ จิ ฉยั อกี

เพียงปัญหาเดียว ให้ตัง้ เปน็ คำถามปัญหาต่อไปว่า “มปี ญั หาทตี่ อ้ งวินิจฉัยตามอทุ ธรณข์ อง....

อีกประการหนึ่งว่า......” หรือ “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์อีกประการหนึ่งมีว่า......”

ดงั นนั้ ถ้ามีคำถามปัญหาท่ตี ้องวนิ จิ ฉัยต่อไปอกี เพยี งปญั หาเดียวเท่านน้ั อยา่ ใช้วา่ “มีปญั หาท่ี

ตอ้ งวนิ จิ ฉยั ในชนั้ อทุ ธรณป์ ระการสดุ ทา้ ยวา่ ......” หรอื “ปญั หาทต่ี อ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ อง....

ประการสุดท้ายมีว่า......” แต่ถ้ามีคำถามปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยต้ังแต่ ๓ ปัญหาข้ึนไป คำถาม

ปญั หาประการท่ีสองและประการต่อ ๆ มา (ถา้ ม)ี ใหใ้ ชว้ า่ “มปี ัญหาทีต่ อ้ งวนิ ิจฉยั ตามอุทธรณ

ของ....ประการต่อไปว่า......” หรือ “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ประการต่อไปมีว่า......”

หรือจะใช้โดยระบุลำดับท่ีของคำถามปัญหาอย่างชัดเจน เช่น “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้น

อทุ ธรณป์ ระการทส่ี องวา่ ......” หรอื “ปญั หาทต่ี อ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ อง....ประการทสี่ มี่ วี า่ ......”

และคำถามปญั หาทตี่ อ้ งวนิ จิ ฉยั เปน็ ปญั หาสดุ ทา้ ย ใหใ้ ชว้ า่ “มปี ญั หาทตี่ อ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณ


ของ....ประการสดุ ทา้ ยวา่ ......” หรอื “ปญั หาทต่ี อ้ งวนิ จิ ฉยั ในชนั้ อทุ ธรณป์ ระการสดุ ทา้ ยมวี า่ ......”

๑๔๗. เวลาเรียงคำพิพากษาให้ระมัดระวังการเรียงประโยคที่อาจทำให้การส่ือความ

หมายคลาดเคล่ือน ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด และไม่อาจถ่ายทอดห้วงเหตุห้วงผลตรงตามที

ตอ้ งการได้ ๒๓


๒๓ อ่านเอกสารเรอื่ ง “เรียงประโยค” โดย พ.นววรรณ ในภาคผนวก หมายเลข ๒ ประกอบ ซึง่ คดั มาจากการ

ใช้ภาษาไทย (กรุงเทพมหานคร : สมาคมสตรอี ดุ มศึกษาแห่งประเทศไทย, ๒๕๑๕), หน้า ๙๗ – ๙๘.

สว่ นท่ี ๑ ความรูท้ ั่วไป
107

๑๔๘. การย่อฟ้องในคดีแพ่ง ไม่ต้องลอกข้อความในคำขอท้ายฟ้องว่า “ขอให้จำเลยใช้

ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์” มาดว้ ย เพราะแม้คคู่ วามไม่มคี ำขอ ศาลกม็ หี น้าที่ต้องส่ังคา่ ฤชา


ธรรมเนยี มใหอ้ ยแู่ ล้ว

๑๔๙. ในคดีแพ่งเมื่อศาลช้ันต้นพิพากษาให้โจทก์ไม่เต็มตามฟ้อง ให้มีคำสั่งเร่ืองค่าฤชา

ธรรมเนียมโดยใชข้ ้อความวา่ “ให้จำเลยใชค้ า่ ฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึน้ ศาลให้ใช้


ตามทนุ ทรพั ยท์ โ่ี จทก์ชนะคดี โดยกำหนดคา่ ทนายความ......บาท”

๑๕๐. ในคดีแพ่งศาลอทุ ธรณ์มีคำส่ังเร่ืองค่าฤชาธรรมเนียมดังต่อไปน้ี ๒๔

๑๕๐.๑ ในกรณีพิพากษายืน ใช้ข้อความว่า “ให้โจทก์ (หรือจำเลย) ใช้ค่า

ทนายความชน้ั อทุ ธรณ.์ .....บาท แทนจำเลย (หรือโจทก์)”

แต่ถ้าฝ่ายท่ีชนะคดีไม่ได้แก้อุทธรณ์ ใช้ข้อความว่า “โจทก์ (หรือจำเลย) ไม่แก

อุทธรณ์ จึงไมก่ ำหนดคา่ ทนายความชั้นอุทธรณ์ให”้

๑๕๐.๒ ในกรณพี ิพากษายก

ก. อทุ ธรณต์ อ้ งหา้ มตามกฎหมาย ใชข้ อ้ ความวา่ “พพิ ากษายกอทุ ธรณ

ของโจทก์ (หรือจำเลย) คืนค่าธรรมเนียมศาลช้ันอุทธรณ์ทั้งหมดแก่โจทก์ (หรือจำเลย) ค่า

ทนายความชน้ั อทุ ธรณ์ให้เปน็ พับ”

ข. ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาศาลช้ันต้นตามประมวลกฎหมายวิธี

พจิ ารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๓ (๑) และ (๒) ใช้ข้อความว่า “พิพากษายกคำพพิ ากษาศาล

ชน้ั ตน้ ใหศ้ าลชนั้ ตน้ ดำเนนิ กระบวนพจิ ารณาตอ่ ไป แลว้ พพิ ากษาใหมต่ ามรปู คดี คา่ ฤชาธรรม

เนยี มทงั้ สองศาลให้ศาลชั้นตน้ รวมสง่ั เมื่อมีคำพิพากษาใหม”่

๑๕๐.๓ ในกรณพี พิ ากษากลบั ใช้ขอ้ ความว่า “ให้โจทก์ (หรอื จำเลย) ใช้คา่

ฤชาธรรมเนียมทงั้ สองศาลแทนจำเลย (หรอื โจทก์) โดยกำหนดคา่ ทนายความ รวม......บาท”

๑๕๐.๔ ในกรณพี ิพากษาแก

ก. ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระเงินมากหรือน้อยกว่าท่ีศาล

ช้ันต้นพิพากษา แต่ไม่เต็มตามฟ้อง ใช้ข้อความว่า “ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมท้ังสองศาล

แทนโจทก์ เฉพาะค่าข้ึนศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่า

ทนายความ รวม......บาท”

ข. ศาลอทุ ธรณพ์ พิ ากษาแกใ้ หโ้ จทกช์ นะคดเี ตม็ ตามฟอ้ ง ใชข้ อ้ ความวา่

“ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมท้งั สองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ รวม......บาท”

สว่ นการสั่งว่า “ค่าฤชาธรรมเนียมช้ันอุทธรณใ์ ห้เป็นพบั ” หรือ “คา่ ฤชาธรรมเนียม

ทัง้ สองศาลใหเ้ ป็นพับ” ใช้ไดแ้ ทบทกุ กรณี แลว้ แตค่ วามเหมาะสม


๒๔ ค่มู อื ปฏิบตั ิราชการศาลอทุ ธรณ์ พ.ศ. ๒๕๓๘ (กรุงเทพมหานคร : ศาลอุทธรณ,์ ๒๕๓๘), หน้า ๒๙๐.

108 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉัยคด

ในกรณีที่คู่ความชำระค่าขึ้นศาลมาไม่ครบในชั้นอุทธรณ์ ให้เรียกเพิ่มโดยจดเป็น

รายงานกระบวนพิจารณา

แต่ในกรณีท่ีคู่ความเสียค่าข้ึนศาลเกินมา ให้ส่ังคืนไว้ในตอนท้ายของคำพิพากษา

ศาลอุทธรณ์วา่ “และคืนค่าขน้ึ ศาลส่วนทเ่ี กิน......บาท ให้แกโ่ จทก์ (หรือจำเลย)”

ส่วนที่ ๒

ตัวอย่างการใชเ้ หตุผลในการวินิจฉยั คดี


และ

การใช้ภาษาไทยในการเรยี งคำพิพากษา


และคำสงั่ ในรปู คำพิพากษา

ของศาลอุทธรณ์



ส่วนท่ี ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำสัง่ ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 111



บทนำ




ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของการเรียงคำพิพากษาและคำส่ังในรูปคำพิพากษาของศาล

อทุ ธรณซ์ งึ่ คดั มาเฉพาะสว่ นพเิ คราะหห์ รอื สว่ นคำวนิ จิ ฉยั ในคดี อนั แสดงใหเ้ หน็ ถงึ การใชเ้ หตผุ ล

ในการวินิจฉัยคดีและการใช้ภาษาไทยในการถ่ายทอดห้วงเหตุห้วงผลท่ีผสมผสานกับหลัก

กฎหมายและสามญั สำนกึ ของการวินจิ ฉยั คดี โดยแบ่งออกเป็น ๔ สว่ น ได้แก



๑. ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณแ์ ละตวั อยา่ งคำสงั่ ในรปู คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณค์ ด

แพ่ง

๒. ตัวอย่างคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และตัวอย่างคำส่ังในรูปคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

คดอี าญา

๓. ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณแ์ ละตวั อยา่ งคำสง่ั ในรปู คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณค์ ด

ครอบครวั และคดแี พ่งเก่ยี วกบั เด็กและเยาวชน (ยชพ.)

๔. ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณแ์ ละตวั อยา่ งคำสงั่ ในรปู คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณค์ ด

เยาวชนกระทำความผดิ (ยชอ.)



ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ

และ


ตวั อย่างคำสง่ั ในรปู คำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์




คดแี พง่



ส่วนท่ี ๒ ตวั อย่างคำพิพากษาและคำสั่งในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 115
คดแี พ่ง


คำพพิ ากษา





ตัวอย่างคดีขอแบ่งทรพั ย์






คำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๑๒๑๑/๒๕๕๑


พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ

นางสาวพศิ วง ตรคี รฑุ พนั ธ์ ตามคำสงั่ ศาลจงั หวดั นนทบรุ ี เอกสารหมาย จ.๑ ทด่ี นิ พพิ าทโฉนด

เลขที่ ๓๙๖๙ ตำบลบา้ นชา่ งหล่อ (บางเสาธง) อำเภอบางกอกน้อย กรงุ เทพมหานคร เนอ้ื ที่ ๓

งาน ๔๗ ตารางวา เดิมเป็นของนายศิริ ตรีครุฑพันธ์ และนางสาวพิศวง หลังจากนายศิริถึง

แก่กรรมแล้ว นางสว่าง ตรีครุฑพันธ์ มารดาจำเลย รับโอนมรดกเฉพาะส่วนของนายศิริ และ

ต่อมานางสว่างได้โอนส่วนของตนให้จำเลยและนางสาวพิศวง ปัจจุบันท่ีดินพิพาทมีผู้ถือ

กรรมสิทธิ์รวม ๒ คน คือ นางสาวพิศวง และจำเลย โดยโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ

นางสาวพศิ วงถอื กรรมสทิ ธิ์ ๓ ใน ๔ สว่ น เนอื้ ท่ี ๒๖๐ ตารางวา สว่ นจำเลยถอื กรรมสทิ ธ์ิ ๑ ใน

๔ สว่ น เนอื้ ท่ี ๘๗ ตารางวา คดนี โ้ี จทกฟ์ อ้ งขอใหจ้ ำเลยแบง่ สว่ นของนางสาวพศิ วง คดมี ปี ญั หา

ทตี่ อ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องจำเลยประการแรกวา่ วตั ถปุ ระสงคใ์ นการเปน็ เจา้ ของรวมในทด่ี นิ

พิพาทมีลักษณะเป็นการถาวรหรือไม่ เห็นว่า แม้นางสว่าง มารดาจำเลย จะยกท่ีดินพิพาท

เฉพาะส่วนของตนให้แก่จำเลยและนางสาวพิศวงโดยประสงค์จะให้จำเลยและนางสาวพิศวง

บตุ รทงั้ สอง อยรู่ ว่ มกนั ในทดี่ นิ พพิ าทตามทจี่ ำเลยนำสบื แตก่ เ็ ปน็ เพยี งความประสงคข์ องผเู้ ปน็

มารดาที่ย่อมประสงค์จะให้บุตรอยู่พร้อมเพรียงกันในที่ดินของบิดามารดา การท่ีนางสว่าง

เจ้าของท่ีดิน ยกที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่บุตรท้ังสองร่วมกันโดยปรากฏข้อเท็จจริงว่า

นางสาวพิศวงไม่ได้อยู่อาศัยในท่ีดินแปลงดังกล่าวด้วย โดยไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขท่ี ๗๐/๑

หมบู่ า้ นภาณรุ งั ษี จงั หวดั นนทบรุ ี กอ่ นทนี่ างสาวพศิ วงจะถงึ แกก่ รรม และแมจ้ ะมกี ารเกบ็ คา่ เชา่

116 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉยั คดี


มาแบ่งปันกันระหว่างเจ้าของรวมในบ้านเลขที่ ๓๐๔/๑, ๓๐๔/๒ และ ๓๐๔/๕ ซ่ึงปลูกอยู่บน

ทด่ี นิ พพิ าทโดยมไิ ดก้ ำหนดเวลาสนิ้ สดุ ตามทจี่ ำเลยอทุ ธรณก์ ต็ าม มใิ ชเ่ ปน็ เรอื่ งทม่ี วี ตั ถปุ ระสงค

จะให้การเป็นเจ้าของรวมมีลักษณะเป็นการถาวรอันจะแบ่งกันไม่ได้ตามความหมายแห่ง

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๓ วรรคแรก ดังนั้น โจทก์ในฐานะผู้จัดการ

มรดกของนางสาวพศิ วง เจา้ ของรวมคนหนง่ึ จงึ มสี ทิ ธฟิ อ้ งขอใหแ้ บง่ กรรมสทิ ธริ์ วมในทดี่ นิ แปลง

พิพาทได้ อทุ ธรณ์ของจำเลยขอ้ น้ฟี ังไมข่ น้ึ

ปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยประการที่สองตามอุทธรณ์ของจำเลยเรื่องการครอบครอง

ทดี่ นิ พพิ าทเปน็ สดั สว่ นนนั้ เหน็ วา่ จำเลยใหก้ ารเพยี งวา่ จำเลยไดค้ รอบครองทด่ี นิ พพิ าทในฐานะ

เจ้าของกรรมสิทธ์ิรวมตามจำนวนเนื้อที่ ๘๗ ตารางวา ในส่วนท่ีมีบ้านเลขที่ ๓๐๔/๖ ต้ังอย
ู่
เท่านั้น จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าจำเลยครอบครองท่ีดินพิพาทเป็นสัดส่วนแต่อย่างใด ท่ีศาล

ชั้นต้นวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทเป็นสัดส่วน เป็นการ

วินิจฉัยนอกเหนือจากประเด็นที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้ และไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบ

เรยี บรอ้ ยของประชาชน ศาลจะยกขึน้ วินิจฉยั เองไมไ่ ด้ จึงเปน็ อทุ ธรณ์ในขอ้ ทีไ่ ม่ไดย้ กขนึ้ ว่ากัน

มาแลว้ โดยชอบในศาลชนั้ ตน้ ตอ้ งหา้ มมใิ หอ้ ทุ ธรณต์ ามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่

มาตรา ๒๒๕ วรรคหนง่ึ ศาลอุทธรณ์ไมร่ บั วินิจฉัย

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า โจทก์ขอแบ่งกรรมสิทธิ์โดยชอบด้วย

กฎหมายหรือไม่ เหน็ ว่า เมอ่ื โจทก์ในฐานะผจู้ ัดการมรดกของนางสาวพิศวง ตรคี รฑุ พนั ธ์ เป็น

เจ้าของรวมในที่ดินพิพาท โดยไม่ปรากฏว่ามีนิติกรรมห้ามมิให้แบ่ง โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกให้

แบ่งแยกท่ีดนิ ได้ ทง้ั ปรากฏขอ้ เทจ็ จรงิ ว่าโจทก์มอบหมายให้ทนายความมหี นงั สอื แจ้งให้จำเลย

ไปดำเนนิ การแบ่งแยกทด่ี นิ พิพาทในวนั ท่ี ๒๑ สิงหาคม ๒๕๔๖ เวลา ๙ นาฬกิ า ณ สำนักงาน

ทด่ี นิ กรงุ เทพมหานคร สาขาบางกอกนอ้ ย จำเลยกน็ ำสบื ยอมรบั วา่ จำเลยไดไ้ ปทส่ี ำนกั งานทด่ี นิ

ดงั กลา่ วตามวนั และเวลาทโี่ จทกม์ หี นงั สอื แจง้ ไปจรงิ เพยี งแตอ่ า้ งวา่ ไมพ่ บโจทกท์ สี่ ำนกั งานทด่ี นิ

ส่วนที่ ๒ ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 117
คดีแพง่


เท่านั้น และต่อมาโจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เนื่องจากจำเลยไม่ยอมแบ่งที่ดินพิพาท กรณ

เช่นน้ีถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งสิทธิของโจทก์เกิดขึ้นแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยตามประมวล

กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ ทศี่ าลช้ันตน้ พิพากษามานั้น ศาลอทุ ธรณ์เห็นพ้อง

ดว้ ยในผล อทุ ธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึน้ เช่นกัน

พิพากษายืน ให้จำเลยใชค้ า่ ทนายความช้ันอทุ ธรณ์ ๑,๕๐๐ บาท แทนโจทก.์

118 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉัยคดี


ตัวอย่างคดีขอแสดงกรรมสทิ ธ์ิทด่ี ิน






คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๖๕๖/๒๕๕๐


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบ้ืองต้นรับฟังเป็นท่ียุต

ว่า ผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นทายาทของนางวรเวทย์พิศิษฐ์ เจ้ามรดก ต่อมาผู้ร้องและผู้คัดค้าน

กับทายาทคนอื่นของนางวรเวทย์พิศิษฐ์อีก ๓ คน ได้ตกลงแบ่งทรัพย์มรดกกันตามสัญญา

ประนีประนอมยอมความ เอกสารหมาย ร.๖ ภายหลังจากการแบ่งกันแล้วคงมีเฉพาะทรัพย์

มรดกทดี่ นิ โฉนดเลขท่ี ๑๑๔๐ ตำบลวงั บรู พาภริ มย์ อำเภอพระนคร กรงุ เทพมหานคร พรอ้ มสงิ่

ปลูกสร้างตึกแถว เลขท่ี ๕๒ ตามสญั ญาประนีประนอมยอมความซึง่ ได้ตกลงยกใหแ้ ก่นางสาว

ระเมยี ร ศวิ ะศรยิ านนท์ นน้ั ผคู้ ดั คา้ นและนางสาวเอมใจ ศวิ ะศรยิ านนท์ ในฐานะผจู้ ดั การมรดก

ได้โอนใส่ชื่อทายาทท้ัง ๕ คน เป็นเจ้าของกรรมสิทธ์ิรวมตามสำเนาโฉนดที่ดิน เอกสารหมาย

ร.๓ ต่อมาเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๔๔ นางสาวระเมียรถึงแก่ความตายตามสำเนามรณบัตร

เอกสารหมาย ร.๙ ผรู้ อ้ งยน่ื คำรอ้ งขอเปน็ ผจู้ ดั การมรดกของนางสาวระเมยี ร ศาลชน้ั ตน้ มคี ำสง่ั

ตั้งผรู้ ้องเป็นผจู้ ัดการมรดกตามคำสงั่ ศาล เอกสารหมาย ร.๒๐

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน

พิพาทพร้อมตึกแถวโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ ผู้ร้องนำสืบว่า ผู้จัดการมรดกได้แบ่ง

ทด่ี นิ มรดกและตกึ แถว เลขท่ี ๒๑ ซงึ่ อยบู่ นทดี่ นิ โฉนดเลขท่ี ๑๑๔๑ ใหแ้ กน่ างสาวระเมยี ร ศวิ ะ-

ศริยานนท์ สว่ นท่ีดินโฉนดเลขที่ ๑๑๔๐ ซงึ่ มตี ึกแถว เลขท่ี ๕๒ ตงั้ อยู่ ผจู้ ัดการมรดกมไิ ด้โอน

ให้แกน่ างสาวระเมียร แต่โอนใสช่ ือ่ ทายาททั้ง ๕ คน ตามสำเนาโฉนดทดี่ นิ เอกสารหมาย ร.๓

ในขณะที่โอนใส่ชือ่ ทายาททง้ั ๕ คน นางสาวระเมียรทกั ท้วงแล้ว แต่ผจู้ ัดการมรดกอา้ งว่าหมด

เวลาราชการแล้ว จึงทำการโอนให้ไม่ได้ นางสาวระเมียรทวงถามให้ผู้จัดการมรดกปฏิบัติตาม

สัญญาประนีประนอมยอมความมาโดยตลอด แต่ผู้จัดการมรดกขอผัดผ่อนเร่ือยมา นางสาว

สว่ นที่ ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำสงั่ ในรปู คำพิพากษาของศาลอุทธรณ
์ 119
คดแี พง่


ระเมียรอาศัยอยู่ในตึกแถว เลขที่ ๕๒ บนที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๔๐ มาตั้งแต่ปี ๒๕๑๙ จน

ถึงแก่กรรมเมื่อปี ๒๕๔๔ และอาศัยในฐานะเจ้าของตั้งแต่ปี ๒๕๒๘ ซึ่งเป็นปีที่ทำสัญญา

ประนีประนอมยอมความ ไม่มีทายาทอ่ืนใดคัดค้าน นางสาวระเมียรนำตึกแถว เลขที่ ๕๒ ใน

สว่ นหนา้ ใหผ้ อู้ นื่ เชา่ นางสาวระเมยี รไมไ่ ดแ้ บง่ คา่ เชา่ ใหแ้ กท่ ายาทคนอนื่ และเปน็ ผแู้ จง้ รายการ

ประเมนิ ภาษโี รงเรอื นและทดี่ นิ แตผ่ เู้ ดยี ว นางสาวระเมยี รครอบครองตกึ แถว เลขท่ี ๕๒ รวมเปน็

ระยะเวลา ๒๐ ปีเศษ ก่อนถึงแก่ความตายนางสาวระเมียรทำพินัยกรรมยกท่ีดินโฉนดเลขท ี่

๑๑๔๐ พรอ้ มตกึ แถว เลขที่ ๕๒ ใหผ้ รู้ อ้ งตามสำเนาพนิ ยั กรรม เอกสารหมาย ร.๑๙ ผคู้ ดั คา้ นนำ

สืบวา่ ผคู้ ัดค้านและนางสาวเอมใจ ศวิ ะศรยิ านนท์ เป็นผู้จดั การมรดกของนางวรเวทย์ พิศษิ ฐ

หรอื เนอื้ ออ่ นตามคำสงั่ ศาล เอกสารหมาย ร.๕ การแบง่ ทรพั ยม์ รดกระหวา่ งทายาทเปน็ ไปตาม

สญั ญาประนีประนอมยอมความ เอกสารหมาย ร.๖ นางสาวระเมยี รได้ทรพั ย์มรดกเปน็ ตึกแถว

เลขที่ ๒๑ กับตกึ แถว เลขท่ี ๕๒ มกี ารแบง่ แยกโฉนดเมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๓๐ ใหท้ ายาท

ตามสญั ญาประนปี ระนอมยอมความ สำหรับโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๑๑๔๐ พร้อมตึกแถว เลขท่ี ๕๒

ควรจะโอนใสช่ อ่ื ของนางสาวระเมียรเป็นเจา้ ของกรรมสิทธ์ิ แตไ่ ม่ทราบวา่ เพราะเหตุใดจึงใส่ช่อื

ทายาททงั้ ๕ คน เปน็ เจา้ ของกรรมสทิ ธริ์ วม ภายหลงั จากนางสาวระเมยี รถงึ แกค่ วามตาย ผรู้ อ้ ง

โอนมรดกเฉพาะส่วนสำหรับท่ีดินโฉนดเลขที่ ๑๑๔๐ จากนางสาวระเมียรไปเป็นของผู้ร้อง

สำหรับพินัยกรรมท่ีผู้ร้องอ้างว่านางสาวระเมียรทำข้ึนและย่ืนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ

นางสาวระเมยี รนนั้ ผคู้ ดั คา้ นยน่ื คำรอ้ งคดั คา้ นและโตแ้ ยง้ วา่ เปน็ พนิ ยั กรรมปลอม และไมเ่ ชอื่ วา่

นางสาวระเมยี รไดท้ ำขึ้น เหน็ ว่า จากพยานหลักฐานของผ้รู ้องและจากทางนำสืบของผูค้ ัดคา้ น

ตา่ งยนื ยนั วา่ ทด่ี นิ พรอ้ มตกึ แถวพพิ าทเปน็ กรรมสทิ ธข์ิ องนางสาวระเมยี ร ผตู้ าย โดยเปน็ ไปตาม

สัญญาประนีประนอมยอมความ เอกสารหมาย ร.๖ ที่ทายาททุกคนได้ตกลงจับสลากแบ่งกัน

สว่ นเหตใุ ดจงึ ใสช่ อื่ ทายาททง้ั ๕ คน ถอื กรรมสทิ ธใ์ิ นทดี่ นิ พรอ้ มตกึ แถว เลขท่ี ๕๒ ไมอ่ าจทราบ

ได้ เมอื่ ผมู้ ชี อื่ ถอื กรรมสทิ ธใ์ิ นโฉนดพพิ าทตามเอกสารหมาย ร.๙ มไิ ดโ้ ตแ้ ยง้ เปน็ อนื่ โดยเฉพาะ

120 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินิจฉยั คดี


ผู้ร้อง ผู้คัดค้าน และนางก่องกูล บุญมาก ต่างก็ยอมรับว่าโฉนดที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทเป็น

ของนางสาวระเมียร จึงต้องฟังว่าการท่ีมีชื่อทายาทท้ัง ๕ คน ในโฉนดตามสำเนาโฉนดท่ีดิน

เอกสารหมาย ร.๙ เปน็ เพยี งการมีชื่อถอื กรรมสทิ ธิแ์ ทนนางสาวระเมยี ร ผู้ตาย เท่านั้น แม้ทาง

ทะเบียนจะมีชอ่ื ของทายาทท้ัง ๕ คน ถอื กรรมสิทธ์ริ ่วมกนั ในโฉนดท่ดี นิ กไ็ ม่อาจรบั ฟงั เปน็ อื่น

ไปได้นอกจากเป็นกรรมสิทธิ์ของนางสาวระเมียรตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เอกสาร

หมาย ร.๖ เท่าน้ัน เมื่อท่ีดินพร้อมตึกแถวพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนางสาวระเมียร การท
่ี
นางสาวระเมยี รครอบครองอยอู่ าศยั และทำประโยชนโ์ ดยนำออกใหบ้ คุ คลภายนอกเชา่ บางสว่ นก

ดี การเสียภาษีที่ดินและภาษีโรงเรือนก็ดี ก็เป็นการแสดงสิทธิของผู้ที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธ์

ตามปกติ ดังนั้น การครอบครองและอยู่อาศัยของนางสาวระเมียรในท่ีดินโฉนดซ่ึงตนเองเป็น

เจา้ ของกรรมสิทธ์ิ แม้จะครอบครองตดิ ตอ่ กันมากว่า ๑๐ ปี กต็ าม ก็ไมอ่ าจรับฟงั ไดว้ ่าเป็นการ

ครอบครองปรปกั ษท์ ดี่ นิ ของผอู้ นื่ เมอื่ นางสาวระเมยี ร ผตู้ าย ทำพนิ ยั กรรมยกทด่ี นิ พรอ้ มตกึ แถว

พิพาทให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องย่อมได้กรรมสิทธ์ิโดยพินัยกรรมรวมท้ังสิทธิและหน้าท่ีท่ีมีต่อทรัพย์

มรดกนั้นด้วย ผู้ร้องจึงย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์มรดกนั้นจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิ

ยดึ ถอื ไวเ้ พอ่ื นำมาโอนใหแ้ กต่ นตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการนน้ั ๆ ไดอ้ ยแู่ ลว้ ผรู้ อ้ งไมอ่ าจอา้ งสทิ ธ

ของนางสาวระเมยี ร เจา้ มรดก และสทิ ธทิ ต่ี นครอบครองตอ่ มาวา่ เปน็ การครอบครองปรปกั ษต์ าม

ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๓๘๒ ทศ่ี าลชน้ั ตน้ วนิ จิ ฉยั และมคี ำพพิ ากษามานน้ั

ศาลอทุ ธรณ์ไม่อาจเหน็ พ้องดว้ ย อทุ ธรณ์ของผูค้ ดั คา้ นฟังขึน้

พพิ ากษากลบั ใหย้ กคำรอ้ ง คา่ ฤชาธรรมเนยี มในชนั้ อุทธรณ์ใหเ้ ป็นพบั .

ส่วนท่ี ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำสั่งในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
121
คดแี พง่


ตวั อย่างคดีขับไล่






. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๑๘๘/๒๕๔๘


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตาม

คำพิพากษาศาลช้ันต้นซ่ึงคู่ความมิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลจดทะเบียน

ที่สหรัฐอเมริกา และได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย

ในประเทศไทย กอ่ นคดีนโี้ จทก์ฟอ้ งจำเลยกบั พวก รวม ๔ คน ต่อศาลแพ่งกรงุ เทพใต้ และศาล

แพ่งกรุงเทพใต้พิพากษาให้จำเลยกับพวกร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ หากไม่ชำระ ให้ยึด

ที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๔๐๒๑ ตำบลปากคลองภาษีเจริญ (วัดอัปสรสวรรค์) อำเภอภาษีเจริญ

กรงุ เทพมหานคร พร้อมสง่ิ ปลกู สร้าง คอื บา้ นเลขท่ี ๑๔๕/๓๕ อันเปน็ ทรพั ย์จำนอง ออกขาย

ทอดตลาดนำเงินมาชำระตามคดีหมายเลขดำที่ ย.๒๕๗/๒๕๓๙ หมายเลขแดงที่ ย.๒๒๐๐/

๒๕๔๐ ของศาลแพง่ กรงุ เทพใต้ จำเลยไมป่ ฏบิ ตั ติ ามคำพพิ ากษา โจทกจ์ งึ นำเจา้ พนกั งานบงั คบั

คดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์จำนองดังกล่าวออกขายทอดตลาด โดยโจทก์เข้าส้

ราคาและประมลู ซอ้ื ได้ แตเ่ มอ่ื ครบกำหนดตามหนงั สอื ทโ่ี จทกบ์ อกกลา่ วใหอ้ อกจากทดี่ นิ และสงิ่

ปลกู สรา้ งแลว้ จำเลยยงั คงอยใู่ นทด่ี นิ และสง่ิ ปลกู สรา้ งตอ่ มาโดยละเมดิ นบั ถงึ วนั ฟอ้ ง เปน็ เวลา

๒๖ วนั มปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องจำเลยขอ้ แรกวา่ โจทกม์ สี ทิ ธถิ อื ครองหรอื ไดม้ าซง่ึ

กรรมสิทธ์ิในท่ีดินและส่ิงปลูกสร้างพิพาทหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลจด

ทะเบยี นทส่ี หรฐั อเมรกิ า และไมป่ รากฏวา่ มสี นธสิ ญั ญาระหวา่ งประเทศไทยและสหรฐั อเมรกิ าให้

โจทก์ซ่ึงเป็นนิติบุคคลต่างประเทศมีกรรมสิทธ์ิในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยหรือได้รับ

อนุญาตจากรัฐมนตรีตามประมวลกฎหมายที่ดิน โจทก์จึงไม่มีสิทธิครอบครองและได้มาซ่ึง

กรรมสิทธ์ิที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทน้ัน เห็นว่า แม้โจทก์เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนท่

สหรัฐอเมรกิ า แตโ่ จทก์มวี ัตถุประสงคป์ ระกอบกิจการธนาคารพาณชิ ย์ ซง่ึ ตามพระราชบญั ญัติ

122 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คด


การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๔ ให้คำนิยาม “ธนาคารพาณิชย์” หมายความว่า

ธนาคารท่ีได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ และหมายความรวมถึงสาขาของ

ธนาคารต่างประเทศที่ได้รบั อนุญาตให้ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟัง

ได้ว่าโจทก์ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ในประเทศ

ไทย โจทกจ์ ึงเปน็ ธนาคารพาณิชย์ตามความหมายแห่งพระราชบญั ญัติดงั กล่าว ซง่ึ แมธ้ นาคาร

พาณชิ ยจ์ ะถกู หา้ มมใิ หซ้ อ้ื หรอื มไี วเ้ ปน็ ประจำซง่ึ อสงั หารมิ ทรพั ย์ แตก่ ม็ ขี อ้ ยกเวน้ ใหก้ ระทำการ

ดงั กลา่ วได้ หากเปน็ การไดอ้ สงั หารมิ ทรพั ย์น้นั มาจากการชำระหนี้ หรือจากการประกนั การให

สินเชื่อ หรือการซื้ออสังหาริมทรัพย์ท่ีจำนองไว้แก่ธนาคารพาณิชย์น้ันจากการขายทอดตลาด

โดยคำสั่งศาลหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.

๒๕๐๕ มาตรา ๑๒ (๔) (ข) แตธ่ นาคารพาณชิ ยน์ ัน้ ตอ้ งจำหน่ายอสงั หาริมทรพั ยท์ ไ่ี ด้มาโดยวิธี

ดังกล่าวภายในเวลาห้าปี นับแต่วันที่อสังหาริมทรัพย์น้ันตกเป็นของตน เว้นแต่ธนาคารแห่ง

ประเทศไทยจะขยายระยะเวลาใหต้ ามมาตรา ๑๒ ตรี เมอ่ื โจทกไ์ ดท้ ดี่ นิ พรอ้ มสง่ิ ปลกู สรา้ งพพิ าท

ซงึ่ เปน็ ทรพั ยท์ จี่ ำนองไวแ้ กโ่ จทกโ์ ดยการซอื้ จากการขายทอดตลาดโดยคำสง่ั ศาล โจทกย์ อ่ มได

กรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมส่ิงปลูกสร้างพิพาท แม้ไม่ปรากฏว่ามีสนธิสัญญาระหว่างประเทศไทย

และสหรัฐอเมริกาให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยดังที่จำเลยอุทธรณ ์

เพยี งแตโ่ จทกต์ อ้ งจำหนา่ ยทดี่ นิ พรอ้ มสง่ิ ปลกู สรา้ งดงั กลา่ วออกไปภายในเวลาทก่ี ำหนดไวต้ าม

พระราชบญั ญตั กิ ารธนาคารพาณชิ ย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๑๒ ตรี เทา่ นนั้ อทุ ธรณข์ องจำเลยขอ้

นฟ้ี ังไมข่ ้ึน

จำเลยอุทธรณ์อีกข้อหนึ่งว่า โจทก์ไม่ได้นำท่ีดินพร้อมส่ิงปลูกสร้างพิพาทออก

ให้เช่าจริง จำเลยจึงไม่จำต้องชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าขาดประโยชน์ ทั้งท่ีดินและสิ่งปลูกสร้าง

พพิ าทกต็ งั้ อยใู่ นซอยเลก็ ถนนเขา้ ออกไมส่ ะดวก และมสี ภาพเกา่ เนอ่ื งจากกอ่ สรา้ งมานาน หาก

นำออกใหเ้ ชา่ จริง จะได้คา่ เชา่ ไม่เกนิ เดือนละ ๕,๐๐๐ บาท น้นั เหน็ ว่า การอยู่ในท่ีดนิ และส่ิง

สว่ นท่ี ๒ ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาและคำสง่ั ในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
123
คดีแพง่


ปลูกสร้างพิพาทภายหลังจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บอกกล่าวให้ออกเป็นการอยู่โดย

ละเมิด จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ซึ่งแม้โจทก์จะนำสืบไม่ได้ว่าสามารถนำท่ีดิน

พรอ้ มสิง่ ปลูกสรา้ งพิพาทออกให้เชา่ ไดถ้ ึงเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ดังทก่ี ล่าวอา้ ง แต่จำเลยกร็ บั

ในอุทธรณว์ ่าทดี่ ินและสิง่ ปลูกสร้างพพิ าทสามารถนำออกใหเ้ ช่าไดไ้ ม่เกินเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท

ที่ศาลชัน้ ตน้ กำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ เดอื นละ ๖,๐๐๐ บาท และคา่ ขาดประโยชน์ เป็นเวลา

๒๖ วัน ก่อนฟ้อง จำนวน ๕,๒๐๐ บาท จึงเหมาะสมแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

เช่นกนั

พพิ ากษายืน คา่ ฤชาธรรมเนยี มชัน้ อุทธรณใ์ ห้เปน็ พบั .






. คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๕๖๑/๒๕๔๘


พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธ

ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องพักพิพาทในอาคารท่ีปลูกสร้างขึ้นในที่ดินของบริษัทเก้าพัฒนา-

อพาร์ตเมนต์ จำกัด หรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความจากพยานหลักฐานท่ีโจทก์และจำเลยนำสืบ

ประกอบเอกสารหมาย จ.๒, จ.๔, จ.๖ และ ล.๕ เกยี่ วกบั การซอ้ื ทด่ี นิ การขออนญุ าตปลกู สรา้ ง

อาคารในทด่ี นิ การขอเลขหมายประจำบา้ น และการรบั โอนทด่ี นิ ทใ่ี ชป้ ลกู สรา้ งอาคารของบรษิ ทั

เกา้ พัฒนาอพาร์ตเมนต์ จำกดั ว่า เม่ือวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๓๗ โจทก์ นายประวทิ ย์ ตัง้ วงศ์ศริ ิ

และนายสพุ จน์ ยงพพิ ฒั นว์ งศ์ เปน็ ตวั แทนซอื้ ทดี่ นิ ทใี่ ชป้ ลกู สรา้ งอาคารใหแ้ กบ่ รษิ ทั เกา้ พฒั นา-

อพาร์ตเมนต์ จำกัด ตวั การ หลังจากน้นั โจทกไ์ ดย้ น่ื คำขอปลูกสร้างอาคารคอนกรีตเสรมิ เหล็ก

สงู ๙ ช้ัน จำนวน ๓ หลงั ในท่ีดนิ ดังกลา่ วในนามตนเอง และกรงุ เทพมหานครออกใบอนุญาต

กอ่ สรา้ งอาคารใหแ้ กโ่ จทกเ์ มอื่ วนั ท่ี ๓๐ กนั ยายน ๒๕๓๗ ครนั้ วนั ท่ี ๒๙ ธนั วาคม ๒๕๓๗ นาย

ประวิทย์และนายสุพจน์ ตัวแทน ได้โอนที่ดินท่ีซ้ือให้แก่บริษัทเก้าพัฒนาอพาร์ตเมนต์ จำกัด

124 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉัยคด


ตวั การ และในวันเดยี วกนั นน้ั บริษัทเกา้ พฒั นาอพาร์ตเมนต์ จำกัด ผูร้ บั โอน ได้นำที่ดินท่ีไดร้ บั

โอนมาท้ังเก้าโฉนดไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหน้ีไว้แก่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด

(มหาชน) เมื่อก่อสร้างอาคารขึ้นในท่ีดินดังกล่าวเสร็จแล้ว เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๘

โจทกจ์ งึ ไดย้ น่ื คำขอเลขหมายประจำบา้ นสำหรบั อาคารทที่ ำการกอ่ สรา้ ง นอกจากนี้ ยงั ไดค้ วาม

จากพยานหลกั ฐานทโ่ี จทกน์ ำสบื ประกอบเอกสารหมาย จ.๘ ถงึ จ.๑๑ เพม่ิ เตมิ อกี วา่ ตอ่ มาเมอื่

วนั ท่ี ๑๖ กนั ยายน ๒๕๔๐ โจทกไ์ ดน้ ำอาคาร สงู ๙ ชนั้ จำนวน ๓ หลงั ทปี่ ลกู สรา้ งขน้ึ ในทดี่ นิ

ของบรษิ ทั เกา้ พฒั นาอพารต์ เมนต์ จำกดั เลขท่ี ๑๕๐/๑-๑๒๘, ๑๕๒/๑-๑๒๘ และ ๑๕๔/๑-๑๒๗

ไปจดทะเบยี นจำนองไวแ้ กธ่ นาคารกรงุ ศรอี ยธุ ยา จำกดั (มหาชน) เพอื่ เปน็ ประกนั หนข้ี องบรษิ ทั

เก้าพัฒนาอพาร์ตเมนต์ จำกัด ท่ีได้จดทะเบียนจำนองไว้ตามสัญญาจำนอง ฉบับลงวันท่ี ๒๙

ธันวาคม ๒๕๓๗ และบันทึกข้อตกลงเรื่องข้ึนเงินจำนองเป็นประกัน ครั้งท่ี ๑ ลงวันที่ ๒๘

มถิ นุ ายน ๒๕๓๙ โดยบรษิ ทั เกา้ พฒั นาอพารต์ เมนต์ จำกดั ไดท้ ำหนงั สอื ใหค้ ำรบั รองในการจด

ทะเบยี นจำนองวา่ อาคารในทด่ี นิ ดงั กลา่ วเปน็ ของโจทกแ์ ละยนิ ยอมใหโ้ จทกผ์ เู้ ปน็ เจา้ ของอาคาร

ทำนิติกรรมจำนองเพิ่มหลักทรัพย์ส่ิงปลูกสร้างเป็นประกันได้ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้โจทก์จะ

เปน็ ผขู้ ออนญุ าตปลกู สรา้ งอาคารและไดร้ บั อนญุ าตจากกรงุ เทพมหานครใหป้ ลกู สรา้ งอาคารขนึ้

ในที่ดินดังกล่าวซึ่งเป็นของบริษัทเก้าพัฒนาอพาร์ตเมนต์ จำกัด ตลอดจนเป็นผู้ขอให้สำนัก

ทะเบียนเขตธนบรุ อี อกเลขหมายประจำบา้ นสำหรับอาคารทป่ี ลูกสร้างขนึ้ ก็ตาม แต่โจทกก์ ็มไิ ด้

นำสบื แสดงใหเ้ หน็ วา่ การปลกู สรา้ งอาคารทง้ั สามหลงั ขนึ้ ในทด่ี นิ ซงึ่ มใิ ชท่ ด่ี นิ ของโจทกน์ น้ั โจทก

ได้กระทำโดยอาศัยสิทธิอะไร และมีข้อสัญญาในการปลูกสร้างอาคารระหว่างโจทก์กับบริษัท

เกา้ พัฒนาอพาร์ตเมนต์ จำกดั กันไว้หรือไม่ ทงั้ มไิ ด้นำสบื ให้เห็นว่าการปลกู สร้างอาคาร สูง ๙

ชนั้ จำนวน ๓ หลัง ทมี่ ีจำนวนห้องพกั มากถึง ๓๘๓ ห้อง ซ่งึ ต้องใชเ้ งนิ ทุนในการดำเนินการ

กอ่ สรา้ งจำนวนมากเช่นน้ี โจทกไ์ ด้ใช้เงินของตนเองหรือของผู้ใดมาทำการกอ่ สรา้ ง แต่กลบั ได

ความวา่ หลงั จากทโ่ี จทกไ์ ดร้ บั ใบอนญุ าตใหก้ อ่ สรา้ งอาคารจากกรงุ เทพมหานครแลว้ ประมาณ ๓

ส่วนท่ี ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำส่งั ในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
125
คดีแพ่ง


เดือน ท้ังโจทก์ นายประวิทย์ และนายสุพจน์ซึ่งเป็นตัวแทนได้โอนที่ดินสำหรับใช้ปลูกสร้าง

อาคารที่ซ้อื รวม ๙ โฉนด ใหแ้ กบ่ ริษัทเก้าพัฒนาอพาร์ตเมนต์ จำกดั ตวั การ โดยในวนั เดียว

กนั กับที่ไดร้ ับโอนท่ีดินมา บรษิ ัทก็ไดน้ ำทีด่ นิ ทั้งเก้าโฉนดน้ไี ปจดทะเบยี นจำนองไวแ้ กธ่ นาคาร

กรงุ ศรอี ยธุ ยา จำกดั (มหาชน) ทนั ที ประกอบกบั เมอ่ื มกี ารกอ่ สรา้ งอาคารในทด่ี นิ ดงั กลา่ วเสรจ็

แล้ว โจทก์ได้นำอาคารท่ีก่อสร้างทั้งสามหลังไปจดทะเบียนจำนองเพ่ิมหลักทรัพย์ส่ิงปลูกสร้าง

เป็นประกนั หน้ีตามสัญญาจำนองท่ีบริษทั เกา้ พฒั นาอพาร์ตเมนต์ จำกัด ทำไวแ้ ก่ธนาคารกรุง-

ศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ผู้รับจำนอง โดยไม่ปรากฏเหตุผลว่าเหตุใดโจทก์จึงต้องกระทำ

เชน่ นนั้ จงึ เชอ่ื ไดว้ า่ เงนิ ทใ่ี ชใ้ นการกอ่ สรา้ งอาคารทง้ั สามหลงั ในทดี่ นิ ซงึ่ บรษิ ทั เกา้ พฒั นาอพารต์ -

เมนต์ จำกัด ซ้ือมาเป็นเงินของบริษัทซึ่งได้มาจากการจำนองท่ีดินท่ีซ้ือไว้แก่ธนาคารกรุงศรี-

อยุธยา จำกัด (มหาชน) นั่นเอง โดยเฉพาะอย่างย่ิงในการโอนที่ดินให้แก่บริษัทเก้าพัฒนา-

อพารต์ เมนต์ จำกัด ตวั การ โจทก์ นายประวทิ ย์ และนายสุพจนไ์ ด้ให้ถอ้ ยคำไว้ตอ่ เจา้ พนกั งาน

ที่ดินตามบันทึกถ้อยคำ เอกสารหมาย ล.๕ ว่า โจทก์กับพวกซื้อที่ดินโดยถือแทนบริษัท

เกา้ พฒั นาอพารต์ เมนต์ จำกดั และตอ่ มาไดจ้ ดทะเบยี นจดั ตง้ั บรษิ ทั กบั กระทรวงพาณชิ ยแ์ ลว้ เมอื่

วันท่ี ๑๔ ตลุ าคม ๒๕๓๗ โดยมโี จทก์กบั พวกท้งั สามคนเป็นกรรมการของบริษัท แสดงวา่ การ

ซื้อท่ีดินท่ีใช้ปลูกสร้างอาคารท้ังสามหลังก็ดี การขออนุญาตก่อสร้างอาคารทั้งสามหลังในท่ีดิน
ดังกล่าวก็ดี ได้กระทำในระหว่างดำเนินการจดทะเบียนก่อตั้งบริษัท และเม่ือมีการจดทะเบียน

จัดต้ังบริษทั ขน้ึ แล้ว กไ็ ด้มีการโอนทีด่ นิ ทใ่ี ช้ปลูกสร้างอาคารให้แกบ่ รษิ ทั ตวั การ เม่อื วนั ท่ี ๒๙

ธันวาคม ๒๕๓๗ ซึ่งบริษัทเก้าพัฒนาอพาร์ตเมนต์ จำกัด ที่ก่อตั้งขึ้นน้ีมีวัตถุประสงค์ในการ

ประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้างอาคารท่ีพักอาศัยตามหนังสือรับรอง เอกสารหมาย ล.๑๒

ขอ้ เท็จจรงิ จงึ ฟังได้วา่ การทโ่ี จทก์ นายประวทิ ย์ และนายสพุ จน์ดำเนนิ การจดั ซือ้ ท่ดี นิ ท่ีใชป้ ลกู

สรา้ งอาคารทงั้ สามหลงั กด็ ี การทโ่ี จทกด์ ำเนนิ การขออนญุ าตปลกู สรา้ งอาคารในทด่ี นิ กด็ ี การท
่ี
โจทก์ดำเนินการขอเลขหมายประจำบ้านสำหรับอาคารท่ีก่อสร้างข้ึนก็ดี และการท่ีโจทก์นำ

126 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉัยคด


อาคารทกี่ อ่ สรา้ งแลว้ ไปจดทะเบยี นจำนองเปน็ ประกนั หนขี้ องบรษิ ทั กด็ ี ลว้ นเปน็ การดำเนนิ การ

แทนบรษิ ทั เกา้ พฒั นาอพารต์ เมนต์ จำกดั เพอื่ ใหส้ มประโยชนต์ ามวตั ถปุ ระสงคข์ องบรษิ ทั ทงั้ สนิ้

อาคารและหอ้ งพกั ทป่ี ลกู สรา้ งขน้ึ ในทด่ี นิ ทซ่ี อื้ มาจงึ เปน็ กรรมสทิ ธขิ์ องบรษิ ทั เกา้ พฒั นาอพารต์ -

เมนต์ จำกัด ไม่ใช่ของโจทก์ เม่ือไม่ปรากฏว่าการที่จำเลยเข้าไปพักอาศัยอยู่ในห้องพักของ

อาคารทป่ี ลกู สรา้ งขน้ึ โดยอาศยั สทิ ธขิ องโจทก์ โจทกย์ อ่ มไมม่ อี ำนาจฟอ้ งขบั ไลจ่ ำเลยและบรวิ าร

ออกจากห้องพักพิพาท ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยในผล

อุทธรณ์ของโจทกฟ์ ังไมข่ ึน้

พิพากษายนื จำเลยไม่แกอ้ ุทธรณ์ จงึ ไม่กำหนดคา่ ทนายความช้ันอุทธรณ์ให้.







๓. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๒๐๔๔/๒๕๕๑


พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้อุทธรณ์โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า เม่ือ

วนั ที่ ๑ ธนั วาคม ๒๕๔๓ จำเลยทำสญั ญาเช่าตึกแถว ๔ ช้นั เลขที่ ๑๒๐/๓ ถนนราชปรารภ

แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรงุ เทพมหานคร จากโจทก์ มกี ำหนด ๒ ปี อตั ราคา่ เชา่ เดอื นละ

๒๐,๐๐๐ บาท ตามสำเนาหนงั สอื สญั ญาเชา่ ตกึ แถว เอกสารหมาย จ.๓ ครบกำหนดสญั ญาเชา่

แลว้ จำเลยยงั คงอยใู่ นตกึ แถวพพิ าท คดมี ปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องจำเลยในประการ

แรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตามสำเนาสัญญาเช่าตึกแถว เอกสารหมาย จ.๓

โจทกผ์ เู้ ปน็ เจา้ ของกรรมสทิ ธร์ิ วมทำสญั ญาเชา่ กบั จำเลยในฐานะผใู้ หเ้ ชา่ โดยปรากฏตามโฉนด

ทด่ี นิ ซ่ึงปลกู สร้างตึกแถวพิพาท เอกสารหมาย จ.๑ วา่ โจทก์จดทะเบยี นเปน็ ผทู้ รงสทิ ธเิ กบ็ กนิ

เฉพาะส่วนในท่ีดินดังกล่าวต้ังแต่วันท่ี ๕ มกราคม ๒๕๓๙ เป็นต้นไปจนตลอดชีวิตของโจทก์

โจทก์จึงเป็นผู้ทรงสิทธิเก็บกินในตึกแถวพิพาทซ่ึงเป็นส่วนควบของที่ดินน้ันด้วย และโจทก์ใน

ฐานะผทู้ รงสทิ ธิย่อมมีสทิ ธคิ รอบครอง ใช้ และถอื เอาซึ่งประโยชน์แห่งทรพั ยส์ นิ นัน้ ได้ ท้ังยังม


Click to View FlipBook Version