ส่วนท่ี ๑ ความรทู้ ่ัวไป
27
ไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำพอสมควรแก่เหตุ ไม่มีความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๖๘๗
ข
อ้ สงั เกตในการทำคำพพิ ากษาคดีแพ่ง
กอ่ นตดั สนิ ควรอ่านสำนวนจนจบหลาย ๆ ครั้ง ถ้ามีพยานเอกสารกเ็ อาเอกสารมาตรวจ
ประกอบ ถา้ มกี ารอา้ งสำนวนอนื่ ๆ กต็ อ้ งเอามาอา่ นประกอบเสมอ บางสำนวนมกี ารชสี้ องสถาน
กะประเดน็ ไวเ้ รยี บรอ้ ย กพ็ จิ ารณาไปตามประเดน็ นน้ั ๆ แลว้ ถามตนเองวา่ จะเชอื่ ฝา่ ยไหน ในคด
ี
แพง่ การทจ่ี ะตดั สนิ ใหฝ้ า่ ยใดชนะนนั้ ตอ้ งดเู หตผุ ลวา่ ฝา่ ยใดจะมเี หตผุ ลดกี วา่ กนั วธิ จี ะคดิ เรอื่ ง
เหตผุ ลนนั้ คอื ใหค้ ดิ วา่ ถา้ จะตดั สนิ ใหฝ้ า่ ยนน้ั ชนะ จะตดั สนิ งา่ ยหรอื เขยี นไดง้ า่ ยกวา่ จะ
เขียนให้อีกฝ่ายหน่ึงชนะ มักเป็นการตัดสินท่ีถูกต้องเสมอ คำพิพากษาท่ีดีนั้นต้องม
ี
เหตผุ ลประกอบ จะเชอื่ หรือไมเ่ ชอ่ื กต็ อ้ งอา้ งเหตุผลวา่ ทำไมจึงเชอ่ื ทำไมจงึ ไมเ่ ชือ่ อยา่
เขยี นวา่ ศาลเชอ่ื วา่ อยา่ งนน้ั อยา่ งน้ี แตไ่ มแ่ สดงเหตผุ ล คคู่ วามเขาฟงั แลว้ จะไมส่ บายใจวา่ ทำไม
ศาลจึงเชอื่ อยา่ งนั้น ทำไมไม่เช่ืออยา่ งน
้ี
การเรียงคำพพิ ากษา ควรระวงั อย่าใชส้ ำนวนโวหารโลดโผนเกินไป เชน่ เขียนวา่ นาย
แดง พยานโจทก์ เบกิ ความเชน่ นน้ั เชน่ นไ้ี มน่ า่ เชอ่ื เพราะเจรจาเปน็ สองชวิ หา และไมค่ วรกลา่ ว
เสยี ดสผี ใู้ ดไมว่ า่ จะเปน็ คคู่ วามหรอื พยานในคดนี นั้ ทงั้ ไมค่ วรใชถ้ อ้ ยคำทจี่ ะมดั ตวั เองในภายหนา้
เชน่ กล่าวว่า พยานโจทก์คนน้ันคนน้เี บกิ ความเท็จตอ่ ศาล
ในหนังสือคำอธิบายพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง ร.ศ. ๑๒๗ ของเจ้าพระยา
ศรีธรรมาธิเบศ ได้เขยี นเก่ียวกับการเขยี นคำพิพากษาไว้ว่า
“การเขียนคำพิพากษาต้องระลึกเหมือนหนึ่งว่าจะเขียนให้ผู้ที่ไม่รู้ความแต่ต้น
ทราบเรอ่ื งตลอด เพราะฉะนนั้ จงึ ตอ้ งชใี้ หเ้ หน็ ขอ้ พพิ าททโ่ี จทกจ์ ำเลยกลา่ วหาและกลา่ วแก้ ให
้
เหน็ หลกั ฐานพยาน และเหตผุ ลทใี่ หเ้ ชอ่ื ฟงั คำฝา่ ยใด แลว้ ชข้ี าดตดั สนิ อยา่ ใหเ้ คลอื บแคลง ถา้ ม
ี
ตัวบทกฎหมายหรอื คำพิพากษาศาลสงู ท่ีพอเทียบเคียงอ้างได้ กอ็ า้ งประกอบคำตดั สินนั้นด้วย
๗ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๘๕๑/๒๕๔๔ ผู้ตายว่ิงเข้ามาชกจำเลยพร้อมท้ังพูดด้วยว่าจะฆ่าให้ตาย
จำเลยถูกชกจนล้มลง ผู้ตายคว้าเหล็กขูดชาฟท์ปลายแหลม ยาวประมาณ ๑ คืบ เข้ามาแทงจำเลย จำเลยใช
้
มือรับจนมีบาดแผลที่ฝ่ามือ จำเลยลุกขึ้นวิ่งหนี ผู้ตายวิ่งตามจำเลยและแทงถูกจำเลยที่ต้นแขนขวา และ
พยายามจะแทงจำเลยอีก จำเลยจึงชักอาวุธปืนยิงผู้ตาย ๑ นัด โดยมิได้เลือกว่าจะยิงท่ีใดและจะถูกผู้ตาย
หรือไม่ แล้วจำเลยได้หลบหนีไป การที่ผู้ตายใช้เหล็กขูดชาฟท์ปลายแหลมซึ่งสามารถทำอันตรายผู้อ่ืนถึงแก
่
ชีวิตได้เป็นอาวุธไล่แทงจำเลย จนกระท่ังจำเลยอยู่ในท่ีคับขันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย
เพียง ๑ นัด เพือ่ ใหพ้ น้ ภยันตรายซ่ึงเกดิ จากการประทุษร้ายอันละเมิดตอ่ กฎหมาย และเปน็ ภยนั ตรายทีใ่ กลจ้ ะ
ถึง ย่อมเป็นการกระทำท่ีพอสมควรแก่เหตุซึ่งถือได้ว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๖๘.
28 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉยั คดี
และตอ้ งระวงั ตดั สนิ ใหห้ มดกรณพี พิ าท ไมล่ ะเลยทง้ิ ไวใ้ หศ้ าลสงู แก้ ในทส่ี ดุ ตอ้ งระวงั ไมต่ ดั สนิ ใน
คดที ก่ี ฎหมายหา้ มไว้แลว้ และไมใ่ หเ้ กนิ คำขอ”
คดีแพ่งไม่เหมือนคดีอาญา เพราะโจทก์บรรยายฟ้องเล่าความทุกข์ร้อน และขอให้ศาล
บังคับจำเลยอย่างไร เขาก็กล่าวมาได้โดยไม่ต้องอ้างตัวบทกฎหมาย เป็นหน้าท่ีของศาลที่จะ
พิจารณาว่าเร่ืองน้ันเข้าลักษณะกฎหมายเร่ืองใด ฉะนั้น ผู้พิพากษาควรดูเน้ือความในฟ้อง
มากกวา่ จะไปดหู วั ขอ้ เรอ่ื งทฟ่ี อ้ ง เมอ่ื พจิ ารณาฟอ้ งแลว้ กด็ วู า่ ความจรงิ ควรปรบั เขา้ กบั กฎหมาย
ลกั ษณะใด กต็ ดั สนิ ไป มบี อ่ ย ๆ ทอ่ี าจสงสยั เชน่ โจทกฟ์ อ้ งวา่ จำเลยซอื้ ขา้ วไป แลว้ จำเลยออก
เช็คเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ให้ ไปข้นึ เงินกไ็ มไ่ ด้ จงึ ฟอ้ งเรยี กเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท โจทกส์ ง่ สำเนาเช็ค
มาดว้ ย สญั ญาซอ้ื ขายกไ็ มม่ ี จำเลยสวู้ า่ เชค็ ขาดอายคุ วาม ใชเ้ งนิ ไปแลว้ ดว้ ย ปรากฏวา่ วนั ทที่ ลี่ ง
ในเชค็ เกนิ ๑ ปี จรงิ ๆ บางคนเขา้ ใจวา่ เปน็ การฟอ้ งเรยี กเงนิ ตามเชค็ เลยตดั พยาน พพิ ากษาให้
โจทกแ์ พค้ ดี กรณเี ชน่ นค้ี วรพจิ ารณาฟอ้ งวา่ โจทกฟ์ อ้ งเรยี กเงนิ คา่ ขายขา้ วหรอื วา่ ฟอ้ งเรยี กเงนิ
ตามเช็คกันแน่ ถ้อยคำในฟ้องจะรู้ได้ว่าเรื่องอะไร การส่งสำเนาเช็คมาอาจเพื่อแสดงให้เห็นว่า
เขาไดร้ บั เชค็ แตข่ น้ึ เงนิ ไมไ่ ดก้ ไ็ ด้ สว่ นสญั ญาซอื้ ขายแมจ้ ะไมม่ ี และเปน็ การขายสงั หารมิ ทรพั ย์
เกิน ๕๐๐ บาท ก็จริง แต่จำเลยรับข้าวไปแล้ว โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
เพราะมกี ารชำระหนไี้ ปแลว้ ฟอ้ งรปู นไ้ี มค่ วรตัดพยาน ควรพจิ ารณาฟงั พยานต่อไป
ในคดีอาญาศาลอาจพิจารณาแต่พยานโจทก์ว่าไม่น่าเชื่อ โดยไม่ต้องพิจารณาพยาน
จำเลย แลว้ พพิ ากษายกฟอ้ งไปได้ แตค่ ดแี พง่ ควรพจิ ารณาทง้ั พยานโจทกแ์ ละพยานจำเลย เชน่
พยานโจทก์น่าเชือ่ เพยี งใด แล้วว่าพยานจำเลยไม่นา่ เช่ือ เพราะเหตุใด
ต้องวินิจฉัยประเด็นในฟ้องทุกข้อ เว้นแต่ประเด็นข้อแรกก็แพ้เสียแล้ว ก็ไม่จำต้อง
พจิ ารณาประเด็นข้อหลงั ๆ (ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒)
อยา่ งไรกด็ ี ตอ้ งไม่วนิ จิ ฉัยนอกประเด็นเปน็ อันขาด
การวินิจฉัยนอกประเด็นอาจทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
๑๔๒ (๑) ถงึ (๕) ๘ สำหรบั (๕) คอื กรณที อี่ าจยกขอ้ กฎหมายทเี่ กย่ี วกบั ความสงบเรยี บรอ้ ยของ
ประชาชนขึน้ อ้างนั้น กฎหมายใช้คำว่า “เมื่อศาลเหน็ สมควร” ในคำพพิ ากษาจงึ ควรใชถ้ อ้ ยคำ
ดว้ ยวา่ “สำหรับปัญหาเรือ่ ง ................ ศาลเหน็ สมควรยกขนึ้ ................... ”
คดแี พง่ นนั้ ศาลตอ้ งวนิ จิ ฉยั ในเรอ่ื งคา่ ฤชาธรรมเนยี มไวด้ ว้ ยเสมอตามประมวลกฎหมาย
วธิ พี จิ ารณาความแพง่ มาตรา ๑๔๑ (๕) เพราะประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ มาตรา
๑๖๗ บญั ญตั วิ า่ “คำสง่ั ในเรอื่ งคา่ ฤชาธรรมเนยี มนน้ั ไมว่ า่ คคู่ วามทงั้ ปวงหรอื แตฝ่ า่ ยใดฝา่ ยหนง่ึ
๘ ปัจจบุ นั มีมาตรา ๑๔๒ (๖) ด้วย ทั้งนี้ เพม่ิ เติมโดยมาตรา ๘ แหง่ พระราชบญั ญัติแกไ้ ขเพ่ิมเตมิ ประมวลกฎ
หมายวธิ ีพิจารณาความแพง่ (ฉบับท่ี ๑๒) พ.ศ. ๒๕๓๔ [ราชกจิ จานุเบกษา เลม่ ๑๐๘ ตอนที่ ๑๔๙ หนา้ ๒๑
(ฉบับพเิ ศษ) ลงวันท่ี ๒๗ สงิ หาคม ๒๕๓๔].
สว่ นท่ี ๑ ความรูท้ ั่วไป
29
จักมีคำขอหรือไม่ก็ดี ให้ศาลส่งั ลงไว้ในคำพิพากษาหรอื คำสงั่ ช้ีขาดคดหี รือในคำสัง่ จำหนา่ ยคด ี
...............” และมขี ้อสังเกต ดังน
้ี
(ก) สำหรบั คา่ ทนายความนน้ั ถา้ ผชู้ นะคดไี มม่ ที นายความวา่ ตา่ ง ศาลจะไมพ่ พิ ากษาให
้
ผู้แพ้คดใี ช้ค่าทนายความแก่ผู้ชนะคดี ๙ (ฎกี าที่ ๑๑๑๑/๒๔๙๖, ๕๖๙/๒๕๐๐)
(ข) โดยปกติความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมย่อมตกแก่คู่ความฝ่ายที่แพ้คดี แต่ก็เป็น
ดลุ พนิ จิ ของศาลทจ่ี ะใหฝ้ า่ ยชนะเสยี คา่ ธรรมเนยี มทง้ั หมดกไ็ ด้ ใหแ้ ตล่ ะฝา่ ยเสยี ตามสว่ นของตน
ก็ได้ หรือตามส่วนแห่งค่าธรรมเนียมทั้งปวงซ่ึงคู่ความทั้งสองฝ่ายได้เสียก็ได้ แต่ท้ังนี้ ให้ศาล
คำนงึ ถงึ เหตสุ มควรและความสจุ รติ ในการสคู้ วามหรอื การดำเนนิ คดขี องคคู่ วามทงั้ ปวง (ป.ว.ิ พ.
มาตรา ๑๖๑)
ถ้าโจทก์ชนะคดีบางส่วน ศาลฎีกาเคยตัดสินว่าตามธรรมดาให้จำเลยใช้ค่าขึ้นศาลแทน
เท่าที่โจทกช์ นะคดี (ฎีกาท่ี ๕๔๔/๒๕๐๐)๑๐
ฎีกาที่ ๔๙๙/๒๕๐๐ โจทก์ฟ้องต้ังทุนทรัพย์ แต่โจทก์ชนะคดีเพียงคำขออื่นท่ีไม่มีทุน
ทรัพย์ ศาลไม่ใหจ้ ำเลยใชค้ ่าขนึ้ ศาลแทนโจทกใ์ นข้อที่โจทก์แพ้
แตอ่ ยา่ งไรกด็ ี ควรสงั เกตฎกี าต่อไปน
ี้
ฎีกาท่ี ๗๕๑/๒๔๙๘ โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายมากไปกว่าที่ศาลให้จำเลยรับผิด แต
่
เป็นเพราะคำนวณให้ถูกต้องได้ยาก มิใช่โจทก์แกล้งเรียกให้สูง ศาลให้จำเลยเสียค่าข้ึนศาลแก
่
โจทกเ์ ตม็ ตามทีเ่ รียกรอ้ งได
้
ฎีกาท่ี ๘๐๙/๒๔๙๘ โจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเล้ียงดู แม้ศาลจะไม่ตัดสินให้จำเลยใช
้
เต็มตามจำนวนท่ีฟ้อง ถ้าโจทก์ฟ้องโดยสุจริต ศาลอาจให้จำเลยใช้ค่าข้ึนศาลแทนเต็มตาม
จำนวนท่ีฟอ้ งได
้
การสัง่ คา่ ฤชาธรรมเนียม ควรคำนึงถงึ ความสุจริตในการดำเนินคดี เชน่
๙ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๔๓๔/๒๕๒๐ โจทก์ชนะคดี โดยโจทก์ดำเนินคดีด้วยตนเองตลอดมา มิได้
แต่งทนายความ แม้โจทก์จะมีอาชีพเป็นทนายความ ก็ไม่มีค่าทนายความที่จำเลยควรจะใช้แทน ศาลไม่
พิพากษาใหจ้ ำเลยใชค้ ่าทนายความแกโ่ จทก์.
๑๐ คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๖๙๖๗/๒๕๔๐ เม่ือศาลช้ันต้นวินิจฉัยว่าจำเลยท่ี ๑ ต้องชำระดอกเบ้ียตาม
เช็คพิพาทท้ัง ๔ ฉบับ ให้โจทก์ และกำหนดในคำพิพากษาว่าให้จำเลยท่ี ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ดังน้ี จำนวนทุนทรัพย์ท่ีโจทก์ชนะคดีตามคำพิพากษา
ศาลช้ันต้นจึงหมายถึง เฉพาะจำนวนดอกเบ้ียท่ีเป็นข้อพิพาทและศาลช้ันต้นต้องวินิจฉัยเท่าน้ัน เพราะหาก
ศาลชั้นต้นต้องการให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าขึ้นศาลแทนโจทก์ทั้งหมด ก็ไม่จำต้องระบุว่าเฉพาะค่าขึ้นศาลให้
จำเลยท่ี ๑ ใช้แทนเทา่ ทุนทรพั ยท์ ี่โจทก์ชนะคดี.
30 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คดี
ฎีกาที่ ๙๕๘/๒๕๐๑ ฟ้องขอให้ทำลายพินัยกรรม อ้างว่าจำเลยฉ้อฉล และผู้ทำ
พินัยกรรมสติฟั่นเฟือน พิจารณาได้ความว่าจำเลยมิได้ฉ้อฉล และผู้ทำพินัยกรรมสติดี ข้อหา
ไม่มมี ลู แสดงว่าโจทกไ์ ม่สจุ รติ ไมค่ วรใหก้ องมรดกต้องใช้คา่ ฤชาธรรมเนียม
(ค) กรณีใดจะควรให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับน้ัน ให้คำนึงถึงเหตุผลสมควรและความ
สุจริตในการสู้ความหรือดำเนินคดี โดยมากถ้าเป็นเรื่องภายในครอบครัว เช่น ฟ้องหย่า หรือ
ระหวา่ งทายาทด้วยกัน หรอื พ่นี อ้ งกัน ถา้ ศาลเห็นสมควรกม็ กั จะใหพ้ ับไป
(ง) ค่าทนายความทุกคดีที่ศาลจะให้ ควรพิจารณาทุนทรัพย์และอัตราค่าทนายความ
ทา้ ยประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ เสมอ มบี อ่ ย ๆ ทศี่ าลใหเ้ กนิ ไป ทำใหศ้ าลสงู ตอ้ งแก ้
ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมีหมายเหตุไว้ว่า การที่ศาลจะคิดค่าทนายความ
ใหแ้ กผ่ ชู้ นะคดนี นั้ ใหพ้ จิ ารณาตามคดที ยี่ ากและงา่ ย กบั เทยี บดเู วลาและงานทที่ นายความตอ้ ง
ปฏิบัติในการว่าคดีเรื่องน้ัน ซ่ึงตามตารางมีอัตราขั้นต่ำและข้ันสูงไว้ ท่ีศาลให้ค่าทนายความ
นั้นมักไม่ตรงต่อความจริงที่คู่ความเขาเสียเงินจ้างทนายความ เพราะเขามักเสียมากกว่า และ
คคู่ วามอาจมองไปในแง่ทีแ่ กลง้ ก็ได้ เชน่ คดีทนุ ทรัพย์เปน็ ลา้ นบาท และสืบพยานมาตลอด ไป
ให้คา่ ทนายความในอตั ราขนั้ ต่ำเพยี ง ๑๐๐ บาท น้ัน ไมน่ า่ จะทำ หรือถ้าจะทำ ควรใหเ้ หตผุ ล
ในการทำคำพพิ ากษานั้น ควรคำนงึ ถงึ ประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความแพง่ มาตรา
๑๔๘ (๓) ไวด้ ว้ ย เมอ่ื ใดเหน็ ควรเขยี นลงไปว่าไมต่ ัดสิทธิโจทก์ทจ่ี ะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ ก็ควร
เขียนลงไป เพราะในบางกรณีกน็ ่าเขียนไว้ เช่น
ฎีกาท่ี ๔๘๖/๒๔๙๔ ฟ้องบรรยายข้อความผิดพลาด ซ่ึงปรากฏว่าเป็นความผิดพลาด
ของทนายความ แม้ศาลจะต้องพพิ ากษายกฟอ้ ง เพราะฟ้องผดิ ศาลมอี ำนาจท่จี ะอนญุ าตไวใ้ น
คำพิพากษาว่าไมจ่ ำกดั สทิ ธโิ จทก์ฟ้องใหม่ให้ตรงกบั ความจริง ๑๑
การที่จะเป็นผู้พิพากษาท่ีดีน้ัน จะดูได้จากคำพิพากษาของผู้นั้น การเขียน
คำพพิ ากษาใหเ้ หตผุ ลวนิ จิ ฉยั ปญั หาขอ้ กฎหมายและขอ้ เทจ็ จรงิ โดยละเอยี ด อา้ งหลกั กฎหมาย
หรือคำพิพากษาศาลฎีกาประกอบ อ่านแล้วทำให้เกิดเลื่อมใสและน่าเช่ือถือ ไม่แต่ผู้ใหญ่หรือ
๑๑ คำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ ๒๖๕/๒๕๓๔, ๘๒๕๒/๒๕๓๘ การท่ศี าลยกฟ้องเกย่ี วกับอำนาจฟ้องโดย
มิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทท่ีโจทก์ยกขึ้นอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในการฟ้องคดีของโจทก์ว่ามีอยู่จริง
หรือไม่ จึงสมควรท่ีจะกำหนดในคำพิพากษาว่าไม่ตัดสิทธิของโจทก์ท่ีจะฟ้องใหม่ภายในอายุความ ตาม
ประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ (๓).
คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี ๓๔๐๕/๒๕๔๑ เมอ่ื ปรากฏวา่ การทจี่ ำเลยเปน็ หนโี้ จทกห์ าใชก่ รณเี ปน็ หนที้ ไ่ี ม
่
มีหลักฐาน เพียงแต่หลักฐานที่นำมาคำนวณโต้แย้งสิทธิของจำเลยไม่ถูกต้อง ซึ่งหากศาลพิพากษาไปอาจเป็น
โทษแก่จำเลยได้ และภาระในการคำนวณยอดหน้ีเป็นหน้าที่ของโจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องและ
ใหโ้ อกาสโจทก์ทีจ่ ะฟอ้ งคดใี หมน่ ัน้ จงึ เป็นคณุ แกจ่ ำเลย.
สว่ นท่ี ๑ ความรู้ท่วั ไป
31
ผู้บังคับบัญชาจะพอใจ คู่ความที่ได้ฟังก็จะพลอยมีศรัทธาเล่ือมใสในความศักด์ิสิทธิ์แห่ง
ความยุตธิ รรมทผ่ี ้พู พิ ากษาผู้นน้ั เปน็ ผ้ปู ระสทิ ธปิ ระสาทให้
32 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉัยคดี
เหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คดี *
ศาสตราจารยว์ ิชา มหาคุณ
กระบวนการพิจารณาคดีในศาลยุติธรรมนั้น คำพิพากษานับว่าเป็นส่ิงสำคัญท่ีสุด
โดยเฉพาะคำพิพากษาของศาลฎีกา ซ่ึงกล่าวกันว่าเป็นท่ีพึ่งสุดท้ายของประชาชน เพราะเป็น
การชีข้ าดตดั สินคดีซึ่งค่คู วามแต่ละฝา่ ยได้ตอ่ สู้กันมาอย่างหนัก ด้วยสตปิ ัญญา ไหวพรบิ และ
เหตผุ ลทง้ั ขอ้ กฎหมายและขอ้ เทจ็ จรงิ ในอนั ทจี่ ะจงู ใจใหศ้ าลคลอ้ ยตาม คคู่ วามและผเู้ กยี่ วขอ้ งใน
คดีจึงต่างก็รอคอยผลขั้นสุดท้าย คือ การวินิจฉัยช้ีขาดของศาลว่าจะตัดสินคดีอย่างไร และให้
ฝา่ ยใดเปน็ ผชู้ นะคดี ซงึ่ เปน็ เรอื่ งทย่ี ากยงิ่ สำหรบั ผพู้ พิ ากษา เพราะจะตอ้ งใชค้ วามละเอยี ดถถ่ี ว้ น
ในการพิเคราะหค์ ำพยานท้ังสองฝา่ ย ซง่ึ ตอ้ งใชส้ ตปิ ัญญาเปน็ อย่างมาก นอกจากน้ี จะต้องยก
เหตผุ ลขน้ึ มาปรบั แกค่ ดใี หป้ ระจกั ษแ์ จง้ ถกู ตอ้ ง และสมเหตสุ มผล ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากหลกั แหง่ การ
วินจิ ฉัยคดีในคมั ภีรอ์ ินทภาษ ซง่ึ กลา่ วไวต้ อนหนง่ึ วา่
“...อนึ่ง อำมาตย์ผู้พิพากษาคดีนั้น พึงพิเคราะห์สอดส่องสำนวนแห่งโจทก์จำเลยจง
ละเอยี ด ใหร้ วู้ า่ ขอ้ หาและคำใหก้ ารขอ้ นน้ั พริ ธุ ขอ้ นน้ั เปน็ ใจความ ขอ้ นเี้ ปน็ พลความ ถา้ ใจความ
พริ ธุ และสำนวนอน้ั อยู่ บ่ มแิ จง้ จรงิ ควรซกั ใหซ้ กั ควรสบื ใหส้ บื เอาความจรงิ มาประกอบสำนวน
จงได้
อนงึ่ ใหพ้ เิ คราะหค์ ำพยาน จะตอ้ งดว้ ยมลู ความในประเดน็ ขอ้ อา้ งหรอื ไมต่ อ้ งดว้ ยขอ้ อา้ ง
ฯลฯ จะฟงั ได้หรือมไิ ดป้ ระการใดกใ็ หพ้ ิจารณาพพิ ากษาชำระให้ถูกต้อง ฯลฯ
อนึ่ง ให้ผู้พิพากษาจัดเอาฟ้องแห่งโจทก์ และคำให้การแห่งจำเลยเป็นเสมือนท่ีตั้งแห่ง
ตน้ ไม้ เอาขอ้ หาคำใหก้ ารซงึ่ รบั กนั ในสำนวนนน้ั เปน็ เสมอื นรากแกว้ ขอ้ ทมี่ ริ บั กนั อนั เปน็ ใจความ
ของโจทก์จำเลยระบุอ้างน้ันเป็นเสมือนคาคบอันใหญ่ ส่วนข้อที่มิรับกันอันเป็นพลความของ
โจทก์จำเลยท่ีระบุอ้างน้ันเป็นเสมือนสาขาก่ิงก้านเล็กน้อย เอาคำสักขีพยานซ่ึงสมในมูลคดี
ขอ้ อา้ งนน้ั เปน็ เสมอื นแกน่ เอากระแสความซงึ่ ในสำนวนนน้ั เปน็ เสมอื นใบ เอาถอ้ ยคำตคิ ำคา้ นท
่ี
จะสนบั สนนุ เพม่ิ เตมิ สำนวนควรจะซกั จะสบื นนั้ เสมอื นเปลอื ก เอาถอ้ ยคำตงิ คำคา้ นนอกสำนวน
ซ่ึงมิควรจะไต่สวนนั้นเปน็ เสมอื นไมก้ าฝาก ฯลฯ
อนง่ึ ใหอ้ ำมาตยผ์ พู้ พิ ากษาใครค่ รวญดสู ำนวนแหง่ โจทกจ์ ำเลยใหเ้ หน็ ขอ้ แพแ้ ละขอ้ ชนะ
จงประจักษ์แจ้ง แล้วจึงพิพากษาตัดสินข้อคดีน้ัน ประดุจดังอาการแห่งเหยี่ยวอันร่อนอยู่ใน
อากาศ คอยแลดหู มมู่ จั ฉาชาตใิ นมหานที และเหยยี่ วนนั้ ครน้ั เหน็ ปลาอนั วา่ ยอยปู่ ระจกั ษแ์ กจ่ กั ษ
ุ
* ตดั ตอนมาจากบทท่ี ๘ ของหนงั สอื เรอ่ื ง การใชเ้ หตผุ ลในทางกฎหมาย, พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒. (กรงุ เทพมหานคร
: โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, ๒๕๒๓), หนา้ ๑๕๕ – ๑๗๘.
สว่ นที่ ๑ ความรู้ทว่ั ไป
33
แล้ว ก็ร่อนลงมาโฉบฉาบเอาปลาได้ด้วยกรงเล็บของตน เหย่ียวนั้นก็ได้บริโภคเป็นภักษาหาร
และมอี ปุ มาฉนั ใด ใหผ้ พู้ พิ ากษาเลง็ ดกู ระทงใจความซงึ่ จะแพแ้ ละชนะหมายใหแ้ มน่ แทแ้ กใ่ จ แลว้
ใหจ้ บั เอากระทงความนน้ั ขนึ้ วนิ จิ ฉยั และขอ้ ความอนั ใดเปน็ แตเ่ พยี งใบกงิ่ กา้ น กาฝากสาขา ให้
พิพากษาชำระตัดรอนเสียให้ย่อยยับแล้วจับเอาแต่ใจความและสถานรากแก้วยึดไว้ จึงจะ
พิพากษาฆ่าความนนั้ ตายได้ ฯลฯ” ๑
จะเห็นได้ว่า หลักแห่งการวินิจฉัยคดีอันเก่าแก่น้ียังคงใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย เพราะเป็น
สัจธรรม ซ่ึงใครจะปฏิเสธเสียมิได้ว่ามีความดีเด่นท้ังในแง่ของภาษาอันงดงามและหลักการอัน
สูงส่ง ชี้ให้เห็นอย่างกระจ่างชัดว่าการวินิจฉัยคดีจักต้องอาศัยเหตุผลอันแจ่มประจักษ์และตรง
เปา้ หมายทสี่ ดุ จงึ จะพพิ ากษาคดไี ดถ้ กู ตอ้ งปราศจากขอ้ สงสยั ทงั้ ปวง นอกจากน้ี ยงั มขี อ้ แนะนำ
ในการเรยี งคำพพิ ากษาที่น่าศึกษาย่งิ วา่
“การเรียงคำพิพากษาเป็นกิจสำคัญอย่างหนึ่งในหน้าที่ผู้พิพากษา ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น
ผพู้ พิ ากษาทด่ี นี นั้ มใิ ชแ่ ตเ่ พยี งตดั สนิ ความไดย้ ตุ ธิ รรมและถกู ตอ้ งตามกฎหมายเทา่ นน้ั จกั ตอ้ ง
ตดั สนิ ใหผ้ ไู้ ดย้ นิ ไดฟ้ งั เหน็ ดว้ ยวา่ คำตดั สนิ นน้ั เปน็ ยตุ ธิ รรมและชอบดว้ ยกฎหมาย การท
ี่
จะใหไ้ ดผ้ ลอยา่ งน้ี กค็ อื จกั ตอ้ งชแี้ จงแสดงเหตผุ ลแหง่ การตดั สนิ ใหช้ ดั แจง้ บทกฎหมายหรอื คด
ี
แบบอย่างหรือหลักกฎหมายท่ีคู่กรณียกขึ้นอ้างจะนำมาปรับแก่คดีได้หรือไม่ประการใด ควร
กลา่ วอธบิ ายไว้ เมอื่ คกู่ รณไี ดฟ้ งั คำพพิ ากษาแลว้ ใหท้ ราบไดว้ า่ เขาชนะหรอื แพใ้ นประเดน็
ขอ้ ใดและเพราะเหตใุ ด การเรยี งคำพพิ ากษาโดยไมแ่ จง้ เหตผุ ล กลา่ วความรวบหวั รวบหางให้
ฝ่ายโนน้ แพ้ ฝ่ายนี้ชนะ อาจเป็นเหตใุ หค้ ู่ความเห็นไปวา่ เขาไมไ่ ด้รับความยตุ ธิ รรม
สว่ นคำพพิ ากษาในศาลชนั้ สูง ก็มขี ้อสำคัญท่ตี อ้ งเพ่งเล็งเช่นเดียวกนั คือ ประเดน็ ข้อ
พพิ าทใดทศี่ าลลา่ งวนิ จิ ฉยั ไวแ้ ละคกู่ รณโี ตเ้ ถยี งขน้ึ มา ยอ่ มเปน็ ประเดน็ ทศี่ าลสงู จกั ตอ้ งวนิ จิ ฉยั
ในการวนิ ิจฉยั ประเด็นข้อพิพาทเหลา่ น้ี เมื่อจะคงยนื หรอื กลับ แก้ประการใด ศาลสงู ควร
ยกเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยข้ึนชี้แจงพร้อมด้วยหลักฐานให้ชัดแจ้ง โดยเพ่งเล็งพยายามให
้
เปน็ ทปี่ ระจักษ์แก่ผู้พพิ ากษาศาลลา่ งและคกู่ รณีว่าศาลสูงกลบั แก้คำพิพากษาศาลล่าง หรือคง
ยืนเพราะเหตใุ ด
อนึ่ง ในการวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทใด ๆ ไม่ว่าในช้ันศาลล่างหรือศาลสูง ถ้าเป็นข้อ
กฎหมายกค็ วรยกบทกฎหมายหรือคดีแบบอย่างหรือหลกั เกณฑแ์ ห่งกฎหมายอา้ งไว้ด้วย ถ้าม
ี
คำพพิ ากษาซงึ่ ประกอบดว้ ยเหตผุ ลและหลกั ฐานเชน่ น้ี ยอ่ มทำใหค้ กู่ รณมี คี วามเลอ่ื มใสและเปน็
บรรทดั ฐานต่อไป ” ๒
๑ พระยานิติศาสตรไพศาลย์, องค์ธรรมสี่ประการของผู้พิพากษาตระลาการ, อนุสรณ์ในงานพระราชทาน
เพลงิ ศพ พระยานิตศิ าสตรไพศาลย์ (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มงคลการพิมพ,์ ๒๕๑๐), หน้า ๓๗.
๒ ขา่ วศาล เลม่ ๒ ฉบบั ที่ ๒๗ ลงวนั ที่ ๑๕ พฤศจกิ ายน ๒๔๗๕.
34 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉัยคด
ี
หลักการเรียงคำพิพากษาข้างต้นนี้ เน้นถึงการให้เหตุผลแห่งการวินิจฉัยคดีว่าเป็นส่ิง
สำคญั ทส่ี ดุ เพอื่ ใหค้ กู่ รณที ราบวา่ เขาชนะหรอื แพใ้ นประเดน็ ขอ้ ใด เพราะเหตใุ ด สว่ นศาลสงู นนั้
ถา้ จะกลบั จะแกค้ ำพพิ ากษาของศาลลา่ ง กจ็ ะตอ้ งหกั ลา้ งเหตผุ ลของศาลลา่ งใหต้ ก เพอ่ื ใหค้ กู่ รณ
ี
เลือ่ มใสและถอื เป็นบรรทดั ฐานต่อไป
หลักการวนิ จิ ฉยั คดี
ในการวนิ จิ ฉยั คดมี ใิ ชเ่ พยี งแตพ่ เิ คราะหห์ าเหตผุ ลหรอื วนิ จิ ฉยั เหตผุ ลตามความหมายทาง
ตรรกวทิ ยาเทา่ นน้ั แตห่ ลกั แหง่ กฎหมาย (legal rules) ความคดิ (ideas) และแนวทางความคดิ
(concepts) จะต้องแจ่มชัดอยู่ในถ้อยคำที่ใช้ด้วย ดังนั้น เหตุผลในคำพิพากษาจึงไม่ตกอยู่ใน
หลกั เกณฑต์ ายตวั ของตรรกวทิ ยา ไมแ่ ตเ่ ทา่ นน้ั หลกั และแนวความคดิ ทางกฎหมายยดื หยนุ่ ได ้
ซง่ึ ผพู้ พิ ากษาลอื นามชาวอเมรกิ นั ทา่ นหนงึ่ ชอ่ื โฮมส์ (Holmes) ไดก้ ลา่ วไวด้ ว้ ยถอ้ ยคำทช่ี ดั เจน
ทสี่ ดุ วา่ “ชวี ติ ของกฎหมายไมใ่ ชต่ รรกวทิ ยา แตเ่ ปน็ ประสบการณ”์ (The life of the law has not
been logic ; it has been experience.) ๓ อยา่ งไรกต็ าม ไดม้ ผี พู้ พิ ากษาชาวอเมรกิ นั ผมู้ ชี อ่ื เสยี ง
ยง่ิ อกี ทา่ นหนง่ึ ชอ่ื คารโ์ ดโซ (Cardozo) โตแ้ ยง้ วา่ “แตโ่ ฮมสก์ ไ็ มไ่ ดบ้ อกกลา่ วแกเ่ ราวา่ ตรรกวทิ ยา
มกั ถกู ละเลยเมอื่ ขาดประสบการณ”์ (But Holmes did not tell us that logic is to be ignored
when experience is silent.) ๔ คารโ์ ดโซเชอ่ื วา่ เหตผุ ลเปน็ สง่ิ สำคญั ยง่ิ ในการวนิ จิ ฉยั คดี ดงั นน้ั
ตรรกวิทยาซ่ึงเป็นหลักแห่งเหตุผลจึงมีส่วนช่วยในการวินิจฉัยชี้ขาดคดีอยู่มาก เราไม่ควรที่จะ
มองขา้ มไปเสีย
สิ่งสำคัญในคำพิพากษาอีกอย่างหนึ่งก็คือ ภาษากฎหมายจักต้องแจ่มชัด แต่มิใช
่
เฉียบขาดเหมือนหลักเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ มีผู้เปรียบว่าเหมือน “เนื้อผ้าที่โปร่งใส” (open
texture) ๕ และควรใช้ถ้อยคำที่มีความหมายตามธรรมดา หลีกเลี่ยงการใช้ศัพท์ทางวิชาการ
(technical words) เวน้ แต่ในกรณที ี่จำเป็นจรงิ ๆ ในการวินจิ ฉยั คดีผูพ้ พิ ากษาจะต้องปรับบท
กฎหมายแกค่ ดที ีเ่ กดิ ข้ึนใหบ้ ังเกิดเปน็ หลักกฎหมาย ซึ่งแจ่มชดั ดว้ ยถ้อยคำ หลกั กฎหมายมิใช่
หลักภาษาหรือหลักของตรรกวิทยา แต่เป็นหลักเพ่ือการตัดสินคดี (rules for deciding) ท่ีมี
ขอบเขตกวา้ งขวางกว่า
๓ Lord Lloyd of Hampstead, Introduction of Jurisprudence (London : Stevens & Sons Ltd., 1972),
p. 730.
๔ Benjamin N. Cardozo, The Nature of the Judicial Process (New Haven : Yale University Press,
1957), p. 33.
๕ See F. Waismann, on “Verifiability” in Logic and Language (ed. A.G.N. Flew), J, p. 119.
สว่ นที่ ๑ ความรู้ท่วั ไป
35
รวมความแล้ว ผู้พิพากษาจักต้องให้เหตุผลอย่างกระจ่างแจ้งและรัดกุม ซ่ึงนับว่าเป็น
ศลิ ปะอยา่ งหนง่ึ ของผพู้ พิ ากษาทจ่ี กั ตอ้ งทำใหค้ ำพพิ ากษาของตนงดงามทงั้ ในแงข่ องเหตผุ ลและ
ในแง่ของภาษา ซง่ึ เรยี กวา่ ศิลปะของการพิพากษาคดี (The Art of judgement) ๖
แต่อย่างไรก็ดี มิใช่ว่าคำพิพากษาจะงดงามด้วยเหตุผลและภาษาเสมอไป ซึ่งท้ังนี้เรา
ต้องยอมรับวา่ ผพู้ พิ ากษามีระดบั ความสามารถและประสบการณท์ ่ีแตกต่างกัน ความผิดพลาด
และความบกพรอ่ งในการวนิ จิ ฉยั ชข้ี าดคดจี งึ เกดิ ขนึ้ ไดเ้ สมอ ซง่ึ หากเปน็ คำวนิ จิ ฉยั ของศาลลา่ ง
คู่ความก็อาจโต้แย้งคัดค้านต่อศาลสูงได้ ดังภาษิตกฎหมายโรมันที่ว่า “ความสุจริตและความ
บริสทุ ธ์ขิ องผูพ้ ิพากษานัน้ จะยกมาเถยี งไม่ได้ แต่คำตดั สินของเขานั้นคคู่ วามอาจคัดคา้ นว่าผิด
กฎหมายหรอื ขอ้ เทจ็ จรงิ ได”้ (de fide et officio judicie nou recipitur quaestio sed de scienta
sive sit error juris sive facti) แตถ่ า้ คำวนิ จิ ฉยั ของศาลสงู ผดิ พลาดแลว้ คคู่ วามกไ็ มอ่ าจเยยี วยา
แกไ้ ขไดเ้ ลย ดงั นน้ั ผพู้ พิ ากษาจงึ ตอ้ งใชค้ วามพนิ จิ พเิ คราะหใ์ นการตดั สนิ ชข้ี าดคดแี ละพยายาม
ทจ่ี ะใหค้ ำพพิ ากษานนั้ กระจา่ งชดั ทงั้ ในดา้ นภาษาและในดา้ นเหตผุ ล มใิ หม้ ขี อ้ ผดิ พลาดดงั กลา่ ว
แลว้ ทง้ั น้ี เพอ่ื ให้ความยตุ ิธรรมดำเนนิ ไปด้วยดี สมดงั ภาษิตกฎหมายโรมนั ท่ีว่า “ตลุ าการควร
คำนึงถึงความยุตธิ รรมเสมอ” (judex aequitatem semper spectare debet)
การใหเ้ หตผุ ลในคำพิพากษา
ในปจั จบุ นั ผพู้ พิ ากษาไมม่ อี ำนาจบญั ญตั กิ ฎหมาย (legislative power) แตม่ คี วามผกู พนั
ทจี่ ะตอ้ งตดั สนิ คดตี ามกฎหมายเทา่ นน้ั ตามประมวลกฎหมายนโปเลยี น (Code Napoléon) และ
ประมวลกฎหมายอาญาของเบลเยยี ม (The Belgium Penal Code) ได้มหี ลักเกณฑท์ ี่ว่าดว้ ย
ความผดิ ฐานปฏเิ สธความยตุ ธิ รรม (the offence of denial of justice) กลา่ วคอื มาตรา ๔ แหง่
ประมวลกฎหมายนโปเลียน และมาตรา ๒๕๘ แห่งประมวลกฎหมายอาญาของเบลเยียม
บญั ญตั วิ า่ “การฟอ้ งคดขี อ้ หาปฏเิ สธความยตุ ธิ รรมอาจถกู นำมาใชต้ อ่ ผพู้ พิ ากษาซง่ึ ปฏเิ สธทจ่ี ะ
ตดั สนิ คดโี ดยอา้ งวา่ กฎหมายไมม่ ี กฎหมายเคลอื บคลมุ หรอื กฎหมายทมี่ อี ยไู่ มเ่ พยี งพอแกก่ าร
ตัดสิน” (A prosecution for denial of justice may be brought against the judge who
refuses to judge on the pretext that the law is silent, obsecure or insufficient) ๗ ซง่ึ
ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ ของไทยกไ็ ดบ้ ญั ญตั เิ รอื่ งนไ้ี วใ้ นมาตรา ๑๓๔ วา่ “ไมว่ า่
ในกรณใี ด ๆ หา้ มมใิ หศ้ าลทรี่ บั ฟอ้ งคดไี วป้ ฏเิ สธไมย่ อมพพิ ากษาหรอื มคี ำสง่ั ชข้ี าดคดโี ดยอา้ งวา่
ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่จะใช้บังคับแก่คดี หรือว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายท่ีจะใช้บังคับ
๖ Lord Denning, The Art of Judgement (London : Stevens & Sons Ltd., 1962), Foreword pp. VII –
VIII.
๗ CH. Perelman, The Idea of Justice and the Problem of Argument, translated from French by
John Petrie (London : Routledge & Kegan Paul, 1963), p. 90.
36 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินิจฉยั คด
ี
น้ันเคลือบคลุมหรือไม่บริบูรณ์” ข้อน้ีแสดงว่ากฎหมายบังคับให้ผู้พิพากษามีหน้าท่ีปรับบท
กฎหมายแกค่ ดพี รอ้ มทงั้ ใหเ้ หตผุ ลแหง่ การปรบั บทกฎหมายนนั้ ๆ ดว้ ย ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากมาตรา
๑๔๑ แหง่ ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ ซงึ่ บญั ญตั วิ า่ “คำพพิ ากษาหรอื คำสง่ั ของศาล
ให้ทำเป็นหนังสือ และต้องกล่าวหรือแสดง...ฯลฯ ... (๔) เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยทั้งปวง”
นอกจากน้ี มาตรา ๑๘๖ แหง่ ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญากบ็ ญั ญตั วิ า่ “คำพพิ ากษา
หรือคำส่ังต้องมีข้อสำคัญเหล่านี้เป็นอย่างน้อย...ฯลฯ...(๖) เหตุผลในการตัดสินท้ังในปัญหา
ข้อเทจ็ จริงและขอ้ กฎหมาย”
ดังนั้น ในการตัดสินคดีผู้พิพากษาจึงต้องพิเคราะห์ข้อเท็จจริงจากคำพยานทั้งสองฝ่าย
ว่าควรเช่อื หรือไมค่ วรเชอ่ื ด้วยเหตผุ ลอะไร และข้อกฎหมายทท่ี ง้ั สองฝา่ ยยกขึ้นอ้างอิงหรอื ขอ้
กฎหมายอนื่ ทศ่ี าลยกขน้ึ ปรบั กบั คดนี น้ั ศาลเหน็ สมควรเปน็ ประการใด และเพราะเหตผุ ลอนั ใด
การให้เหตุผลในคำพพิ ากษาจึงแยกพิจารณาออกได้เป็น ๒ กรณี คือ
๑. การใหเ้ หตุผลในปัญหาขอ้ กฎหมาย
๒. การใหเ้ หตุผลในปญั หาข้อเทจ็ จรงิ
๑. การใหเ้ หตุผลในปญั หาขอ้ กฎหมาย
โดยปกติในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายน้ัน ศาลจะไม่ให้เหตุผลว่าเหตุใดกฎหมายจึง
บัญญัติไว้เช่นนั้น หากแต่จะให้เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยว่าข้อพิพาทน้ันต้องปรับด้วยบทบัญญัติ
แหง่ กฎหมายบทใด หรอื ไม่อาจปรับดว้ ยบทกฎหมายนนั้ ๆ ไดเ้ ท่านน้ั
คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๖๒๓/๒๕๐๘ จำเลยชี้หน้าและว่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติ
งานตามหนา้ ทวี่ า่ “ปลดั นกิ รนจี้ ะเปน็ บา้ หรอื อยา่ งไร มาขดั ขวางกลน่ั แกลง้ จำเลย ทำงานไปโดย
เลือกทร่ี ักมักทีช่ งั ไม่ใหค้ วามเปน็ ธรรม พยายามกลนั่ แกลง้ จำเลยคนเดียว พยายามกลนั่ แกล้ง
จำเลยมาหลายครั้งแล้ว” ถ้อยคำและกิริยาเช่นนี้เป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตาม
หน้าทต่ี ามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๖ การกลา่ วเชน่ นีไ้ มใ่ ช่เป็นการกลา่ วในลักษณะ
ตอ่ ว่าดว้ ยความสจุ ริตทจี่ ะยกขึน้ อ้างให้พ้นผดิ
ข้อสังเกต ประโยคสุดท้ายของคำพิพากษาน้ีเป็นการให้เหตุผลของศาลฎีกาโต้แย้งกับ
ขอ้ ฎกี าของจำเลยซง่ึ ตอ่ สวู้ า่ จำเลยมคี วามชอบธรรมทจ่ี ะกลา่ วตอ่ วา่ เพอ่ื ปอ้ งกนั สว่ นไดเ้ สยี หรอื
ความเสียหายของตนไดต้ ามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๙ จำเลยจงึ ไม่ควรมีความผิด
ตามฟอ้ ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๖/๒๔๙๕ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีอาชีพขายเคร่ืองดื่ม ได้
ใช้บหุ รีต่ ราเรอื ๒ มวน แทนเงนิ ๒๐ สตางค์ ทอนให้แกผ่ ูซ้ ้ือเครื่องด่มื จากร้านของจำเลย โดย
สว่ นที่ ๑ ความรทู้ ่ัวไป
37
จำเลยมิได้รับอนุญาตจากรัฐบาล ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๔๗๑ ๘
มาตรา ๑๐ จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลล่างยกฟ้องโดยมีความเห็นว่า มาตรา ๑๐
พระราชบญั ญัติเงนิ ตรา พ.ศ. ๒๔๗๑ บญั ญตั ิวา่ “ผูใ้ ดทำ จำหน่าย หรอื ใช้ หรือนำออกใช้ซ่ึง
วตั ถุ เครอ่ื งหมายใด ๆ แทนเงนิ ฯลฯ ทา่ นว่ามคี วามผดิ ให้ปรับไมเ่ กนิ สามเท่าแห่งคา่ ท่ีตราไว้
ในวัตถุอันเป็นความผิดซ่ึงกระทำลงน้ัน หรือปรับไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท แล้วแต่จำนวนใดจะ
มากกว่ากัน” ข้อความตามน้ีย่อมหมายถึงวัตถุท่ีทำขึ้นโดยมีเจตนามุ่งหมายจะใช้แทนเงินโดย
เฉพาะเจาะจง และมเี ครื่องหมายใด ๆ แทนเงนิ เช่นวา่ มีคา่ เทา่ ใด ใหป้ รากฏในวัตถนุ ัน้ บหุ รนี่ ี
้
เป็นเพียงสินคา้ อยา่ งหนึง่ เทา่ น้ัน หามีลกั ษณะตามทกี่ ฎหมายบญั ญัตไิ ว้วา่ เป็นวตั ถแุ ทนเงินไม ่
การกระทำของจำเลยจงึ ยงั ไม่เป็นความผดิ ตามบทกฎหมายที่โจทกฟ์ อ้ ง
ศาลฎกี าเห็นพ้องด้วยศาลลา่ งว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผดิ ตามทีโ่ จทกฟ์ ้อง
เพราะบหุ รท่ี ่จี ำเลยใช้ทอนให้แกผ่ ซู้ ือ้ นนั้ หามลี ักษณะตามท่กี ฎหมายบญั ญตั ไิ ว้ว่าเปน็ วัตถุแทน
เงินไม
่
ในกรณีท่ีมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายหลายบทอาจจะปรับได้กับข้อพิพาท จะนำ
บทบญั ญตั ใิ ดมาปรบั เพราะเหตใุ ด? โปรดพิจารณาตวั อยา่ งต่อไปนี
้
คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๑๑๓๘/๒๕๐๕ เป็นเจ้าพนักงานทำการจับกุมเขาโดยชอบ
แล้ว แต่กลับทุจริต เรยี กและรบั เงินแล้วปลอ่ ยตวั ไป ไม่ส่งตัวเพอ่ื ดำเนินคดี ความผดิ ยอ่ มเขา้
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม
ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๕ แตไ่ มผ่ ดิ ตามมาตรา ๑๔๘ เพราะมาตรา ๑๔๘
เปน็ เรอื่ งเรมิ่ ตน้ ดว้ ยการใชอ้ ำนาจในตำแหนง่ โดยมชิ อบ แตม่ าตรา ๑๔๙ นน้ั เปน็ เรอื่ งเรม่ิ ตน้ โดย
ใชอ้ ำนาจในตำแหน่งโดยชอบ แลว้ กลับทจุ ริตในภายหลงั และเมอื่ ผดิ มาตรา ๑๔๙ อนั เปน็ บท
เฉพาะแล้ว ยอ่ มไม่ผิดมาตรา ๑๕๗ ซึง่ เปน็ บทท่วั ไปอกี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๘๘/๒๔๙๙ ตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำ
สยาม พระพทุ ธศักราช ๒๔๕๖ มาตรา ๓๐๘ กำหนดอายุความสทิ ธเิ รยี กร้องค่าเสยี หายใด ๆ
อนั เกดิ จากการทเ่ี รอื โดนกนั ไว้ ๖ เดอื น แตต่ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๔๔๘
กำหนดอายคุ วามเรอ่ื งละเมดิ ไว้ ๑ ปี ปญั หามวี า่ จะใชก้ ฎหมายฉบบั ใดบงั คบั ทปี่ ระชมุ ใหญศ่ าล
ฎีกาวินิจฉัยว่า “...อายุความตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำสยาม พระพุทธศักราช
๒๔๕๖ มาตรา ๓๐๘ นี้ บญั ญตั ใิ หใ้ ชต้ ง้ั แต่ พ.ศ. ๒๔๕๖ กอ่ นประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย
์
เม่ือประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยไ์ ด้ประมวลบทบญั ญตั ติ ่าง ๆ ตามกฎหมายสว่ นแพ่งข้นึ
แล้ว และวางบทบัญญัติไว้ชัดเจนในมาตรา ๓ ว่า ตั้งแต่วันท่ีใช้ประมวลกฎหมายน้ีสืบไป ให้
ยกเลกิ บรรดากฎหมาย กฎ และขอ้ บงั คบั อนื่ ๆ ในสว่ นทม่ี บี ญั ญตั ไิ วแ้ ลว้ ในประมวลกฎหมายน้ี
๘ ปัจจุบนั ถกู ยกเลิกไปแล้วโดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบญั ญัตเิ งนิ ตรา พ.ศ. ๒๕๐๑.
38 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉัยคด
ี
หรือซง่ึ แยง้ กับบทแหง่ ประมวลกฎหมายนี้ กเ็ ปน็ ที่เห็นได้ชดั ว่าบรรดากฎหมายเก่าทง้ั หลายใน
ส่วนท่ีมบี ัญญตั ไิ ว้แล้วก็ดี หรอื ขดั แย้งกบั บทบัญญตั แิ หง่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ยก์ ็ด
ี
เปน็ อนั ถกู ยกเลกิ ไปแลว้ ทงั้ สนิ้ เวน้ ไวแ้ ตใ่ นบางกรณที เี่ หน็ ควรยงั ใหใ้ ชอ้ ยู่ กต็ อ้ งมบี ญั ญตั ไิ วเ้ ปน็
พเิ ศษว่าเปน็ เช่นน้ัน ดังกรณที ่ปี รากฏในมาตรา ๑๓๒๖ เป็นต้น
คดีเร่ืองน้ีแม้จะเป็นความเสียหายอันเกิดแต่เรื่องเรือโดนกันก็ดี ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเร่ือง
ละเมดิ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยน์ เ้ี อง ซงึ่ ตามมาตรา ๔๔๘ กำหนดอายคุ วามไว้ ๑
ปี และมิได้บัญญตั ยิ กเว้นเป็นพิเศษไว้อย่างไร จงึ ตอ้ งใชอ้ ายุความตามมาตรา ๔๔๘ นเ้ี ป็นบท
บ
ังคับ...”
ในกรณีท่ีตัวบทกฎหมายเคลือบคลุมหรือหลักกฎหมายในเร่ืองนั้น ๆ มีอยู่ไม่
แจง้ ชดั ศาลอาจจะตอ้ งให้เหตผุ ลประกอบวา่ เจตนารมณข์ องกฎหมายนน้ั ๆ มีประการ
ใด หรือกล่าวอีกนยั หนง่ึ วา่ เหตใุ ดกฎหมายจึงบัญญัติเชน่ นั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๔๕๕/๒๕๐๙ ศาลฎีกาได้อธิบายเกี่ยวกับประมวลกฎหมาย
วิธพี จิ ารณาความแพง่ มาตรา ๘๙ วรรคแรก (ก) วา่ มาตราดงั กลา่ วได้ “บญั ญตั ิถึงการที่ผู้นำ
สืบพยานภายหลังสืบพยานหักล้างหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขถ้อยคำพยานของฝ่ายท่ีนำสืบก่อน
เฉพาะเมอื่ ขอ้ ความทผี่ นู้ ำสบื ภายหลงั เปน็ ขอ้ ความทพี่ ยานของฝา่ ยนำสบื กอ่ นเปน็ ผรู้ เู้ หน็ อยดู่ ว้ ย
เทา่ นน้ั กฎหมายจงึ บญั ญตั ใิ หผ้ นู้ ำสบื พยานภายหลงั ถามคา้ นไวก้ อ่ น เพอ่ื ใหพ้ ยานผนู้ น้ั อธบิ าย
ขอ้ ความทตี่ นรเู้ หน็ ขอ้ ทฝ่ี า่ ยหลงั นน้ี ำสบื ไวเ้ สยี กอ่ น เพอ่ื ปอ้ งกนั มใิ หฝ้ า่ ยหลงั เอาเปรยี บโดยนำ
สืบหักล้างไม่ให้ฝ่ายแรกรู้ตัว ไม่มีโอกาสเสนอพยานหลักฐานครบถ้วน เป็นการเสียความ
ยุติธรรม...”
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๔๔/๒๕๑๖ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๓๔๒ ประกอบกบั มาตรา ๑๓๔๓ แสดงใหเ้ หน็ วา่ กฎหมายมเี จตนารมณท์ จี่ ะปอ้ งกนั มใิ หท้ ด่ี นิ
ซึ่งอยู่ชิดแนวเขตพังลงตามธรรมชาติ เน่ืองจากมีการขุดดินใกล้แนวเขตที่ดินจนเกินไป จึง
ได้กำหนดไว้ว่าการขุดคูหรือร่องน้ำจะทำใกล้แนวเขตท่ีดินกว่าครึ่งหน่ึงแห่งส่วนลึกของคูหรือ
ร่องน้ำไม่ได้ ในกรณีที่ตกลงกันให้ถือเอาคันนาร่วมเป็นแนวเขตที่ดินร่วมกัน การวัดระยะท
่ี
กำหนดไว้ในมาตรา ๑๓๔๒ จะต้องวัดจากริมคันนารว่ ม ไมใ่ ช่วดั จากกึ่งกลางคนั นาร่วม (อ้าง
คำพิพากษาศาลฎกี าท่ี ๑๔๘๐/๒๔๙๓)
ในกรณีท่ีไม่มีบทกฎหมายโดยตรง แต่ศาลวินิจฉัยคดีโดยอาศัยหลักกฎหมาย
ท
ั่วไป ศาลอาจใหเ้ หตผุ ลด้วยวา่ เหตุใดหลักกฎหมายท่ัวไปจงึ เปน็ เชน่ นั้น
อุทาหรณ์ที่เด่นเรื่องหนึ่งในข้อนี้ คือ เหตุใดหลักกฎหมายจึงมีว่า “ความไม่รู้
กฎหมายไม่เป็นขอ้ แก้ตัว”
ส่วนที่ ๑ ความร้ทู ่วั ไป
39
เสด็จในกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธ์ิทรงกล่าวไว้ในหมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาล
ฎีกาที่ ๒๐๙/ร.ศ. ๑๒๙ ว่า “ฯลฯ...ในเรื่องเข้าใจกฎหมายผิดนั้น มีว่า จะยกการเข้าใจ
กฎหมายผดิ มาแกต้ วั ไมไ่ ด้ ดว้ ยเหตวุ า่ ถา้ ยอมใหแ้ กต้ วั ไดด้ ว้ ยขอ้ นแ้ี ลว้ ผทู้ ำผดิ ทกุ คนคงรอ้ งวา่
ตนเขา้ ใจกฎหมายผดิ ไป หลดุ โทษไดท้ กุ คน กฎหมายเปน็ อนั ไมต่ อ้ งมกี นั ตา่ งคนตา่ งทำอะไรได
้
ตามใจชอบ ฯลฯ จะยกการเข้าใจกฎหมายผดิ มาแก้ตวั ไม่ได้ เปน็ สภุ าษติ ชนั้ พวกโรมนั มาแลว้ ”
ซึง่ ตอ่ มาคำพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี ๖๗๘/๒๕๐๘ ไดว้ นิ ิจฉยั โดยถือหลักเดยี วกันว่า “...
แม้ศาลจะเห็นใจในความเข้าใจผิด ศาลก็ไม่มีอำนาจที่จะส่ังเป็นอย่างอื่นให้เป็นการฝ่าฝืน
กฎหมายได้ อนง่ึ การทม่ี ไิ ดป้ ฏบิ ตั ติ ามกฎหมายเพราะไมร่ กู้ ฎหมายในสว่ นแพง่ กไ็ มอ่ าจอา้ งเปน็
ข้อแกต้ ัวได้ เพราะถา้ ยอมให้อา้ งได้ กจ็ ะบงั เกิดผลว่ากฎหมายใช้บงั คบั ได้เฉพาะผรู้ ู้กฎหมาย”
ในบางกรณีศาลอ้างหลักการตีความกฎหมายเป็นเหตุผลในการปรับบทกฎ
หมายเขา้ กับรปู คดี
คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ ๘๔๔/๒๕๑๑ ซ้ือทรพั ยจ์ ากผู้ที่มใิ ชเ่ จา้ ของทรัพย์ ยอ่ มไมไ่ ด
้
กรรมสทิ ธิ์ เพราะผ้รู บั โอนไมม่ สี ทิ ธิดกี ว่าผ้โู อน
คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๑๕๓๑/๒๕๑๒ จำเลยใช้ขวาน ขนาด ๒ นวิ้ ครึ่ง ยาว ๓ นิ้ว
คร่ึง ด้ามยาว ๑๗ น้ิว นับว่าเป็นขวานขนาดใหญ่ ฟันข้างหลังผู้เสียหายที่คออันเป็นอวัยวะ
สำคัญโดยแรง เป็นบาดแผลฉกรรจ์ ถ้าไม่รักษาพยาบาลทันท่วงทีก็อาจถึงแก่ความตาย
เนอื่ งจากโลหติ ออกมากได้ กรรมยอ่ มเปน็ เครอื่ งชเ้ี จตนา จำเลยตอ้ งมคี วามผดิ ฐานพยายาม
ฆ่า
คำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๓/๒๕๐๓ การท่ีเจ้าของที่ดินลงลายมือชือ่ มอบอำนาจให้
เขานำโฉนดของตนไปทำการอย่างหนึ่งโดยไม่กรอกข้อความลงในใบมอบอำนาจ เขากลับ
ยกั ยอกลายมอื ชอ่ื นน้ั ไปทำการขายฝากทดี่ นิ เสยี ดงั นี้ เมอื่ ผซู้ อ้ื ฝากไวโ้ ดยสจุ รติ เจา้ ของทด่ี นิ จะ
อ้างความประมาทเลินเล่อของตนมาเพิกถอนนิติกรรมการขายฝากหาได้ไม่ สุจริตด้วยกัน
ผปู้ ระมาทเลินเลอ่ ย่อมเสียเปรียบ
หลกั กฎหมายทวั่ ไปทกี่ ฎหมายบญั ญตั ไิ วใ้ หเ้ ปน็ ดลุ พนิ จิ ของศาลทจี่ ะพจิ ารณาตามรปู คด
ี
ทีม่ าสู่ศาล ทน่ี า่ พจิ ารณาในท่นี ้ีอีกเรอื่ งหน่ึง คือ เรอ่ื งใดเปน็ เรอื่ งขัดตอ่ ความสงบเรียบร้อย
หรือศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน และศาลวินจิ ฉัยโดยอาศัยเหตผุ ลอะไร
คำพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี ๑๐๔๘/๒๔๙๒ มีขอ้ เทจ็ จรงิ ว่า โจทก์ซง่ึ เปน็ มารดาของเดก็
เกิดจากจำเลยซึ่งเป็นชายชู้ ฟ้องศาลขอให้จำเลยรับรองว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของจำเลย จำเลย
ต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะเร่ืองนี้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของ
ประชาชน ศาลฎกี าวนิ จิ ฉยั วา่ “การประพฤตผิ ดิ ศลี ธรรม หากจะมกี เ็ ปน็ เรอื่ งของหญงิ กบั ชายช
ู้
40 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉัยคดี
เด็กมิไดม้ ีส่วนในการกระทำอันเปน็ ผดิ ด้วย การพิพากษาให้เดก็ เป็นบตุ รอนั แทจ้ ริงของบิดาไม
่
เปน็ การขดั ตอ่ ความสงบเรยี บรอ้ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดแี ตป่ ระการใด กลบั เปน็ การแกไ้ ขใหช้ อบดว้ ย
ศลี ธรรมเสยี อกี เพราะเปน็ การถกู ตอ้ งและสมควรทจ่ี ะใหเ้ ดก็ เปน็ บตุ รของบดิ าทแ่ี ทจ้ รงิ ยงิ่ กวา่ ให
้
เปน็ บตุ รของผู้อืน่ ”
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๙๐/๒๔๙๒ ทำสัญญากันว่าโจทก์จ่ายเงินให้จำเลยเพื่อหา
ทนายฟอ้ งความเรอ่ื งทด่ี นิ ถา้ จำเลยแพค้ ดี เงนิ นนั้ เปน็ พบั ถา้ ชนะคดี จำเลยยอมโอนทดี่ นิ ทชี่ นะ
ความให้โจทก์ โดยโจทก์ต้องเล้ียงดูจำเลยตลอดชีวิต ดังน้ี เป็นสัญญาให้ได้รับประโยชน์ตอบ
แทนจากการเป็นความซึ่งตนไม่มีส่วนในมูลคดี เป็นการแสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อ่ืนเป็น
ความกัน ย่อมเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงเป็นโมฆะ
โจทก์จะมาฟ้องขอใหบ้ ังคับตามสญั ญาหรือฟ้องเรยี กเงินคนื ไม่ได้
ได้มีหมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ว่า “การทำสัญญาให้เขายืมเงินไป
เปน็ ความกนั นน้ั ไม่นา่ จะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดขี องประชาชน แต่
ถ้าผู้ใดออกเงินไปให้แก่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นความกันโดยตนไม่มีส่วนได้เสียในคดีน้ัน
และสัญญาว่าตนจะต้องได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินท่ีพิพาทกันแล้ว ตามกฎหมายอังกฤษถือ
ว่าเป็นความผิดทางอาญาฐานยุยงส่งเสริมให้เขาเป็นความกัน ซ่ึงเรียกว่า Maintenance หรือ
Champerty … ฯลฯ แมจ้ ะไมม่ ตี วั บทกฎหมายในทางอาญาเอาความผดิ แกบ่ คุ คลผปู้ ระพฤตดิ งั น
้ี
ในประเทศไทยก็ดี แต่เม่ือพิเคราะห์ถึงความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนแล้ว
การประพฤติดังน้ีย่อมทำให้เกิดความไม่สงบสุขแก่บ้านเมือง คดีความที่มีมูลหรือไม่มีมูลแต่
อาจจะระงบั กนั ดว้ ยวธิ ใี ดวธิ หี นง่ึ กจ็ ะขน้ึ มาสศู่ าลมากขน้ึ และการทก่ี ฎหมายองั กฤษยอมยกเวน้
ไวใ้ หผ้ อู้ น่ื ชว่ ยเหลอื ออกเงนิ ทองฟอ้ งรอ้ งกนั ในทางอาญาแลว้ ไมเ่ อาเปน็ ผดิ นน้ั กน็ า่ จะเปน็ เพราะ
เหตทุ ีค่ ดอี าญาเป็นเร่อื งทีบ่ ้านเมืองต้องการกำราบปราบปรามและให้ความยตุ ิธรรม...” ๙
๒. การใหเ้ หตผุ ลในปัญหาข้อเท็จจริง
เหตุผลในปัญหาข้อเท็จจริงนี้จะต้องเป็นเหตุผลท่ีสกัดเอามาจากข้อเท็จจริงในคด
ี
นน้ั เอง และเหตผุ ลนน้ั จะตอ้ งสอดคลอ้ งกบั สามญั สำนกึ ดว้ ยเสมอ มฉิ ะนนั้ จะไมม่ โี อกาสจงู ใจ
ให้ผใู้ ดคล้อยตามได้เลย
โปรดพิจารณาตัวอย่างปัญหาข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๙๐/๒๔๕๕
ซึ่งจำเลยถูกฟ้องในความผิดฐานข่มขนื กระทำชำเรา ศาลฎกี าวนิ จิ ฉยั วา่
“โจทก์เป็นหญิงสาว แตเ่ ป็นผ้รู สู้ กึ การดชี ัว่ แล้วในเชิงสังวาส ฝ่ายจำเลยเป็นคนคอ่ นขา้ ง
ชรา หญงิ สาวที่ใจไม่หนักแน่น บางทกี ็จะลังเล ทีแรกถึงจะยนิ ยอม ทีหลงั กลับไมย่ นิ ยอม และ
๙ ทวี เจริญพิทักษ์, คำพิพากษาฎีกาประจำพุทธศักราช ๒๔๙๖ (กรุงเทพมหานคร : เนติบัณฑิตยสภา,
๒๔๙๖), หน้า ๔๖๘.
สว่ นท่ี ๑ ความรู้ทัว่ ไป
41
พาโลหาเหตตุ า่ ง ๆ เร่ืองนถ้ี า้ โจทกเ์ ป็นหญิงท่ีน้ำใจหนกั แน่น สงวนตัวจริงแล้ว จะตอ้ งหาทาง
หลกี เลย่ี ง บอกกลา่ วเสยี ตง้ั แตค่ นื แรก ไมค่ วรจะสงบเนอื้ ความไว้ ปลอ่ ยใหจ้ ำเลยเขา้ ปลกุ ปลำ้ ทกุ
คนื มากครง้ั จนนบั ไมถ่ ว้ น เปน็ แตเ่ อาพดั ตจี ำเลยบา้ ง และเมอื่ จำเลยจบั แขน กน็ ง่ิ เฉยเสยี ปลอ่ ย
ใหจ้ ับเลน่ ตามสบายบา้ ง (อนั เป็นมารยาหญงิ ยัว่ ยวนชกั ชวนจำเลยซง่ึ เปน็ ชาย)”
ในทส่ี ุดกรรมการศาลฎกี าช้ีขาดคดนี ีว้ ่า “พิจารณาได้ความจรงิ แต่เพยี งว่า จำเลยได้เขา้
หาและปลกุ ปลำ้ จำเลยไมไ่ ดข้ นื ใจ ไมไ่ ดพ้ ยายามขม่ ขนื กระทำชำเราโจทกด์ จุ โจทกก์ ลา่ วหา ศาล
ลา่ งปรกึ ษาคดไี มร่ หู้ นกั เบาในทว่ งทที างประเวณธี รรม ไมช่ อบดว้ ยวธิ พี จิ ารณาอรรถคดี ควรให
้
ยกคำพพิ ากษาศาลล่างท้ังสองและให้ยกฟอ้ งโจทก์เสียดว้ ย”
แม้ว่าคำพิพากษาศาลฎกี าฉบบั นี้จะวินิจฉัยมากว่า ๖๐ ปี แลว้ ก็ตาม หลกั วินิจฉัยกค็ ง
ถอื เอาความสอดคล้องกบั สามัญสำนกึ เป็นสำคญั ตลอดมาจนทุกวันน้
ี
ตัวอยา่ งอืน่ ๆ อนั เก่ียวกับการให้เหตผุ ลในขอ้ เทจ็ จริง เช่น
ศาลแพ่งได้วินิจฉัยไว้ในคดีหนึ่งว่า “ศาลได้พิเคราะห์แล้วไม่น่าเชื่อว่าโจทก์จะได้ขาย
หรือให้ท่ีดินน้ีแก่นายจิ๋วเลย เพราะได้ความจากนายจ๋ิวว่าเวลาทำสัญญาโจทก์จำเลยก็ไปด้วย
กนั แตไ่ ฉนไมป่ รากฏวา่ จำเลยไดล้ งชอ่ื รว่ มขายหรอื รเู้ หน็ ในสญั ญาดว้ ย ทง้ั ๆ ทโี่ จทกจ์ ำเลยตา่ ง
ก็มีส่วนร่วมกันในทีด่ ินรายน้ี กับท้งั เมื่อพเิ คราะห์ถงึ สญั ญาโดยท่ัว ๆ ไปแลว้ สงสยั ว่าจะไม่ใช
่
สญั ญาทท่ี ำตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ ซงึ่ ระยะเวลาลว่ งเลยมาถงึ ๖ ปี แลว้ โดยรอ่ งรอยและสขี องหมกึ ก
็
ยงั ดใู หม่อยู่ ไม่สมกบั ท่ที ำในระยะเวลานานมาถงึ ๖ ปี เลย...”
ในคดีหนึ่งโจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้นายมนูถึงแก่ความตาย
จำเลยสวู้ า่ จำเลยมไิ ดข้ บั รถคนั เกดิ เหตุ เพราะขบั รถไมเ่ ปน็ ในวนั เกดิ เหตนุ ายมนู ผตู้ าย ซงึ่ เปน็
เจ้าของรถ เป็นผู้ขับ จำเลยน่ังไปด้วย เมื่อเกิดเหตุรถพลิกคว่ำ จำเลยกระเด็นไปอยู่บนถนน
ได้รบั บาดเจ็บเล็กนอ้ ย ศาลฎกี าไดว้ นิ ิจฉยั ข้อเท็จจริงไวต้ อนหน่งึ วา่ “...ตามปกตริ ถยนตท์ แ่ี ล่น
มาดว้ ยความเรว็ สงู แลว้ แฉลบจนถงึ พลกิ หงายคนั ขนึ้ เชน่ นน้ั คนในรถทไี่ มม่ สี ง่ิ ใดยดึ เหนย่ี วยอ่ ม
ต้องกระเดน็ ไปอย่หู า่ งรถประมาณ ๕ เมตร กแ็ สดงวา่ ผตู้ ายมไิ ด้ยดึ เหน่ยี วสงิ่ ใด ไมอ่ าจจะเปน็
ผู้ขับรถที่พอจะมีพวงมาลัยรถเป็นท่ียึดเหน่ียวไว้ได้บ้าง...” (คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๔๗๐/
๒๕๐๖)
ศาลได้วินิจฉัยในคดีอาญาเร่ืองหนึ่งว่า “ย่อมไม่มีมารดาที่ไหนจะฆ่าบุตรของตนเองท่
ี
คลอดออกมาแลว้ เพอ่ื แกก่ ารเพยี งจะปกปดิ ความอบั อายขายหนา้ เวน้ เสยี แตว่ า่ ผนู้ น้ั จะวกิ ลจรติ
ถา้ จำเลยมสี ตดิ อี ยา่ งคนธรรมดาและคดิ ทจี่ ะปกปดิ เชน่ นน้ั จรงิ กย็ งั มวี ธิ อี น่ื ทจ่ี ะทำไดด้ กี วา่ เชน่
การทำแทง้ เสียแตก่ ่อนคลอด” (คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๓๓๑/๒๕๑๓)
ศาลวนิ จิ ฉยั ในคดแี พง่ เรอ่ื งหนงึ่ วา่ “การทจ่ี ะนำสบื วา่ จำเลยท่ี ๑ ไดข้ บั รถไปในทางการท
ี่
จา้ งของจำเลยที่ ๒ หรอื ไมน่ นั้ ศาลเหน็ วา่ มคี วามยากพอ ๆ กบั เปน็ ความงา่ ยทจี่ ำเลยจะนำสบื วา่
ไมใ่ ชใ่ นทางการทจี่ า้ ง เพราะเมอ่ื เกดิ เรอื่ งขนึ้ แลว้ กย็ อ่ มเปน็ ธรรมดาทจ่ี ำเลยจะตอ้ งปฏเิ สธวา่ ไมร่ ู้
42 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉยั คดี
ไมเ่ หน็ พเิ คราะหต์ อ่ ไปอกี วา่ หากการทจี่ ำเลยท่ี ๑ ขนแกลบใหท้ างวดั ครง้ั นเ้ี ปน็ ไปโดยเรยี บรอ้ ย
ไมม่ เี หตกุ ารณอ์ ะไร เรอื่ งกค็ งแลว้ กนั ไป จำเลยท่ี ๒ กค็ งจะถอื วา่ ไดข้ นแกลบใหว้ ดั เรยี บรอ้ ยแลว้
ถือเป็นการยอมรับเอาผลของการที่จำเลยท่ี ๑ ได้ขับรถไปให้น่ันเอง ซึ่งก็เป็นไปตามธรรมดา
พเิ คราะหด์ งั นก้ี ย็ งั เหน็ วา่ ยงั ไมม่ ที างทจี่ ะวนิ จิ ฉยั ใหเ้ ปน็ โทษแกจ่ ำเลยท่ี ๒ ได้ จำเลยท่ี ๒ นำสบื
มาทงั้ หมดนนั้ ดเู ปน็ ทางปดิ กน้ั จำเลยท่ี ๑ เสยี หมดทกุ ประตู จำเลยที่ ๑ จะทำอะไรกไ็ มไ่ ดท้ ง้ั นน้ั
นอกจากเปน็ เดก็ ท้ายรถอย่างเดียว แตะตอ้ งพวงมาลยั รถไม่ได้เอาเสยี เลย”
ศาลอทุ ธรณไ์ ดว้ ินจิ ฉัยขอ้ เท็จจริงไวอ้ ยา่ งนา่ ฟงั ในคดหี น่ึงวา่ “จริงอยู่จำเลยมิไดล้ งชือ่ ไว้
ในเอกสารหมาย จ. ๒ แผน่ แรก ซง่ึ เปน็ แผน่ ทรี่ ะบจุ ำนวนหน้ี อาจเปน็ ชอ่ งทางใหม้ ผี ทู้ จุ รติ ดว้ ย
การสบั เปลย่ี นเฉพาะแผน่ แรก เปน็ เหตใุ หจ้ ำนวนหนเ้ี ปลย่ี นแปลงไปจากความเปน็ จรงิ แตเ่ ฉพาะ
คดีนี้ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ผู้ได้รับประโยชน์เป็นนิติบุคคล พยานโจทก์หรือเจ้าหน้าที่ของ
โจทก์ไม่มีส่วนได้เสียด้วยในประโยชน์ท่ีโจทก์จะได้รับ จึงไม่มีเหตุท่ีนายสันต์หรือเจ้าหน้าท่ีคน
อน่ื ของโจทกจ์ ะสบั เปลย่ี นเอกสารหมาย จ. ๒ แผน่ แรก เพราะนอกจากจะไมไ่ ดร้ บั ประโยชนด์ ว้ ย
แลว้ การกระทำนน้ั ก็ยงั เปน็ การเสยี่ งตอ่ คดอี าญาฐานปลอมเอกสารอกี ด้วย”
อีกคดีหนึ่งผู้เสียหายถูกยิงบาดเจ็บ ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และปรากฏว่าม
ี
คนรา้ ยเขา้ ไปยงิ ผเู้ สยี หายในโรงพยาบาล แตผ่ เู้ สยี หายไมถ่ งึ แกค่ วามตาย และผเู้ สยี หายใหก้ าร
ว่าจำคนรา้ ยได้ว่าคอื จำเลยในคดนี ี้ ศาลฎกี าไดว้ นิ จิ ฉยั ขอ้ เท็จจรงิ ไว้ตอนหนึง่ ว่า
“...ส่วนคำของผู้เสียหายก็เป็นทน่ี า่ สงสยั เช่นเดยี วกัน เหตุที่เปน็ เวลาถงึ ๑ นาฬิกา แลว้
และผู้เสียหายก็ได้รับบาดเจ็บถึงต้องเข้าห้องผ่าตัด ต้องให้เลือดให้น้ำเกลือ น่าจะมีความ
อ่อนเพลียหลับสนิทไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะยังเคล้ิม ๆ อยู่ ที่ผู้เสียหายว่าคนร้ายช้อนศีรษะให
้
พลิกหน้าไปเสียอีกทางหน่ึงก่อนจึงยิงน้ัน ก็ขัดต่อเหตุผล ไม่น่าเชื่อ คนร้ายจะเสียเวลาพลิก
ศีรษะผู้เสียหายไปเพ่ือประโยชน์อะไร ท่ีจริงแล้วคนร้ายน่าจะกลัวว่าผู้เสียหายจะตื่นขึ้นมาเห็น
เขา้ มากกวา่ เพราะในหอ้ งนนั้ กม็ แี สงสวา่ งมากพอเหน็ กนั ไดถ้ นดั ผเู้ สยี หายอาจสง่ เสยี งเอะอะขนึ้
กไ็ ด้ อนง่ึ แมห้ ากจะฟงั วา่ คนรา้ ยไดพ้ ลกิ ศรี ษะผเู้ สยี หายใหก้ ลบั ตะแคงไปอกี ทางหนง่ึ กอ่ นจงึ ยงิ
ดงั ทผ่ี เู้ สยี หายเบกิ ความกต็ าม แตค่ ดกี ไ็ ดค้ วามวา่ ผเู้ สยี หายในขณะนน้ั กำลงั เคลมิ้ ๆ อยู่ ฉะนน้ั
กวา่ ทผ่ี เู้ สยี หายจะรสู้ กึ ตวั ลมื ตาขนึ้ มา หนา้ ของผเู้ สยี หายกค็ วรจะพลกิ หนั ไปอกี ทางหนง่ึ แลว้ ไม่
นา่ เชื่อวา่ จะทนั เห็นจนจำคนรา้ ยไดถ้ นัด...” (คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี ๔๗๔/๒๕๑๖)
และโปรดพิจารณาคำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี ๑๗๑๑/๒๔๙๗ ซึ่งวินจิ ฉัยวา่
“ศาลฎกี าพเิ คราะหเ์ หน็ วา่ ตามทจี่ ำเลยยกปญั หาวธิ พี จิ ารณาขนึ้ มาในฎกี าดงั วา่ นี้ กโ็ ดย
มงุ่ หมายจะขอใหศ้ าลรบั ฟงั คำพยานโจทกใ์ นชน้ั ศาลอยา่ งเดยี วทง้ั ดนุ้ วา่ อยา่ งไรกต็ อ้ งอยา่ งนน้ั
หรอื อกี นยั หนงึ่ กเ็ ทา่ กบั มอบการชต้ี น้ ตายปลายเปน็ ไวแ้ กพ่ ยาน ซงึ่ หาเปน็ การถกู ตอ้ งไม่ พยาน
จะเบกิ ความอยา่ งไรกเ็ บกิ ไปไดโ้ ดยเสรี แตจ่ ะใหศ้ าลตอ้ งถกู ผกู มดั รบั ฟงั หมด สดุ แตพ่ ยานจะจงู
ไปทางไหนน้ัน ไม่ชอบด้วยความยุติธรรมเลย ศาลจะต้องใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักคำ
ส่วนที่ ๑ ความรทู้ ่วั ไป
43
พยานหลักฐานท้ังปวงในสำนวนว่าข้อไหนควรฟังได้ท้ังหมดหรือบางส่วนอย่างไร เพียงไร
หรอื ไม่ เพราะเหตุผลอันใด แล้วยกขึ้นรวบรวมเอามาประกอบสู่การวนิ ิจฉัยช้ีขาดว่าขอ้ เทจ็ จริง
เปน็ อยา่ งไร (ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗) คำชน้ั สอบสวนนน้ั กไ็ มม่
ี
บัญญัตหิ ้ามวา่ มิให้รับฟังเปน็ ข้อประกอบการพจิ ารณาของศาล จะฟงั ไดเ้ พียงไรหรือไม่นนั้ ก็สุด
แล้วแต่เหตุผลของแต่ละเร่ืองไป หากจะเกณฑ์ให้ศาลจำต้องถูกผูกมัดรับกลืนข้อเท็จจริงดังคำ
พยานโจทก์เบิกทั้งหมดทั้งส้ินโดยไม่ต้องใช้วิจารณญาณอย่างใดเลยแล้ว ก็อาจไม่ได้รับความ
ยุตธิ รรมดังเช่นเร่อื งน้.ี ..”
ตัวอยา่ งการให้เหตุผลในคำพิพากษาทีบ่ กพร่องหรอื ผดิ พลาด
ด้วยความเคารพอย่างสูงต่อศาลฎีกา การติชมคำพิพากษาบางตอนบางเร่ืองเป็นการต
ิ
ชมในเชิงวิชาการโดยเฉพาะเท่าน้ัน ท้ังน้ี เพ่ือประโยชน์ในการศึกษากฎหมายเกี่ยวกับเหตุผล
แห่งการวนิ จิ ฉยั คดี
ก. เหตผุ ลแบบกำป้นั ทบุ ดิน
๑. พเิ คราะห์แล้ว ไม่มเี หตผุ ลทจี่ ะอนุญาตใหโ้ จทก์ปดิ อากรแสตมป์เพมิ่ เติมในชน้ั น้ี ให
้
ยกคำรอ้ ง
๒. ศาลฎกี าเหน็ วา่ ตามมาตรา ๑๑๖ แหง่ กฎหมายลกั ษณะอาญา บญั ญตั วิ า่ “ผใู้ ดหมนิ่
ประมาทต่อเจ้าพนักงานซ่ึงกระทำการตามหน้าท่ีอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี...ท่านว่ามันมี
ความผิด ฯลฯ” คดนี ี้จำเลยไดห้ มน่ิ ประมาทนายรอ้ ยตำรวจโท ๑๐ ชติ ผกู้ ระทำการตามหน้าท่ ี
เพราะฉะน้ันจำเลยจึงมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๑๑๖ ดุจกล่าว
แล้ว...
๓. ศาลเหน็ วา่ พยานหลักฐานโจทกฟ์ ังไดว้ ่าจำเลยกระทำผดิ จริงตามข้อกลา่ วหา
ตามตัวอย่างทั้งสามข้างต้นนี้ เห็นได้ว่าศาลได้ให้เหตุผลท่ีส้ันจนเกินไป เลยไม่ทราบว่า
เหตผุ ลทีแ่ ท้จริงน้นั เป็นอย่างไร เช่น ตามตวั อย่างแรกศาลให้เหตผุ ลว่าไม่มเี หตผุ ลท่ีจะอนญุ าต
ซง่ึ เมื่ออา่ นแล้วกย็ ังไม่ทราบวา่ เพราะเหตใุ ดศาลจึงไมอ่ นญุ าต ความจรงิ แลว้ ศาลควรใหเ้ หตุผล
ว่าศาลไม่อนุญาตเพราะเหตุใด ส่วนตัวอย่างท่ี ๒ ศาลควรกล่าวว่าจำเลยกระทำการอย่างไร
ต่อนายร้อยตำรวจโท ชิต และการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดฐานไหน เพราะเหตุใด และใน
๑๐ ตามพระราชบัญญัตยิ ศตำรวจ พุทธศกั ราช ๒๔๘๐ มาตรา ๔ บัญญตั ิเกีย่ วกับยศตำรวจโดยมีคำว่า “นาย”
ทุกตำแหน่ง แต่ต่อมาพระราชบัญญัติยศตำรวจ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๐๔ มาตรา ๓ ได้แก้ไขเพิ่มเติมโดย
ตัดคำว่า “นาย” ออกจากยศตำรวจทุกตำแหน่ง ยกเว้น นายดาบตำรวจ หลังจากนั้นพระราชบัญญัติตำรวจ
แหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ลกั ษณะ ๔ ยศตำรวจและชัน้ ขา้ ราชการตำรวจ มาตรา ๒๔ บัญญตั ิว่า “ดาบตำรวจ”
จึงเปน็ การตดั คำว่า “นาย” ออกจาก นายดาบตำรวจ โดยปริยาย.
44 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉัยคดี
ตวั อยา่ งที่ ๓ ศาลไดด้ ว่ นสรปุ เลยวา่ จำเลยกระทำความผดิ จรงิ ตามขอ้ กลา่ วหาของโจทกโ์ ดยเชอ่ื
ตามพยานหลกั ฐานโจทก์แต่เพยี งอย่างเดยี ว
๔. เหตุผลนอกจากน้ีศาลชัน้ ตน้ ไดว้ ินิจฉยั ไวแ้ ล้ว
ข. เหตุผลไมเ่ พยี งพอ
๑. ส่วนฎีกาโจทก์ท่ีขอให้นับโทษของจำเลยต่อจากคดีแดงที่ ... ด้วยนั้น เห็นว่า เมื่อ
จำเลยตอ้ งโทษถึงตลอดชวี ติ แลว้ กไ็ มน่ ับโทษต่อไปอีก
ตามตัวอย่างนี้น่าคิดว่าเหตุผลท่ีศาลให้น่าจะไม่เพียงพอ ตามเหตุผลท่ีศาลให้นั้น
หมายความวา่ จำเลยตอ้ งตดิ คกุ ไมม่ วี นั ออก จงึ จะนบั โทษตอ่ ใหไ้ มไ่ ด้ ซง่ึ ความจรงิ หาเปน็ เชน่ นนั้
ไม่ เพราะแม้ศาลจะพิพากษาให้จำเลยต้องโทษตลอดชีวิตแล้วก็ตาม แต่ไม่เคยปรากฏเลยว่า
จำเลยตดิ คกุ ไปจนตาย เนอื่ งจากมกี ารลดหยอ่ นและอภยั โทษกนั อยเู่ สมอ ในไมช่ า้ กถ็ กู ปลอ่ ยตวั
๒. ศาลได้พิเคราะห์คำของ ร.ต.ท. สมพลแล้วน่าเชื่อ เพราะว่าถ้าสามีจำเลยไม่พูด
ดังกล่าว ร.ต.ท. สมพลคงไม่มาเบกิ ความยนื ยนั เช่นนี้ ...
๓. สำหรับความผิดฐานลักทรัพย์น้ัน โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยท้ังสอง
เข้าไปลักทรพั ย์ในเคหสถานแต่อย่างใด จึงไมอ่ าจลงโทษจำเลยในความผดิ ฐานนี้ได
้
๔. ชนั้ สอบสวนจำเลยไมย่ อมใหก้ าร แสดงวา่ จำเลยกระทำความผดิ แตย่ งั คดิ ไมอ่ อกวา่
จะต่อสคู้ ดีอย่างไร
๕. ลำพังเพยี งตบ ไมน่ ่าจะถึงกับเปน็ แผลแตก
๖. ข้อที่โจทก์ว่า จำเลยเป็นผู้ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งนั้น เป็นเพียงคำกล่าวของฝ่าย
โ
จทก์ กเ็ มื่อโจทกไ์ ม่รวู้ า่ จำเลยอยู่ท่ีไหน ทำไมจะรูว้ า่ ทท่ี ่ีเขาอยู่นั้นไมเ่ ปน็ หลักแหลง่
ค. เหตุผลไมห่ นกั แนน่
๑. คดีเร่ืองความรับผิดภาษีอากร แม้เป็นความแพ่ง ก็ต้องแปลกฎหมายโดยเคร่งครัด
เมอื่ ไมม่ บี ทใหเ้ กบ็ ภาษโี ดยตรงแลว้ จะนำบทอน่ื มาเทยี บเคยี งไมไ่ ด้ โจทกไ์ มต่ อ้ งเสยี ภาษกี ารคา้
ข้อสังเกต เหตุผลที่แท้จริงควรจะเป็นว่า กฎหมายเก่ียวกับภาษีอากรเป็นกฎหมายที
่
กระทบกระเทอื นถึงสทิ ธิหรอื กำหนดหนา้ ทีข่ องเอกชน จึงต้องตีความโดยเครง่ ครัด
๒. ศาลนเ้ี หน็ วา่ คา่ ปลงศพรวมคา่ ใชจ้ า่ ยอนั จำเปน็ นี้ ควรตอ้ งพจิ ารณาตามสมควรและ
ความจำเป็นตามฐานะของผู้ตาย ท้ังต้องพิจารณาถึงประเพณีการทำศพตามลัทธินิยม
ประกอบดว้ ย และตอ้ งไม่ใช่รายจา่ ยที่ฟุ่มเฟือยเกนิ ไป มใิ ช่ว่าเมื่อจ่ายไปเทา่ ไรแลว้ จะเรียกร้อง
เอาไดท้ ง้ั หมด เพราะจะเปน็ ชอ่ งทางใหเ้ พมิ่ ความเสยี หายเพอื่ เรยี กรอ้ งใหจ้ ำเลยตอ้ งใชม้ ากเกนิ
จำเปน็ สำหรบั คา่ บวชพระและเณรหนา้ ศพ คา่ แตรวง และคา่ เลยี้ งดแู ขกในการทำบญุ ๑๐๐ วนั
ภายหลงั ทเ่ี ผาศพแลว้ นนั้ ไมเ่ กยี่ วกบั การปลงศพ เพราะศพไดเ้ ผาไปแลว้ เปน็ ศรทั ธาของโจทก
์
ผเู้ ป็นเจ้าภาพจัดทำขนึ้ เอง ไม่ควรต้องใหจ้ ำเลยต้องรับผิดชอบใช้แทน
ส่วนที่ ๑ ความรทู้ ัว่ ไป
45
ข้อสงั เกต
(๑) เหตุผลของศาลไม่หนักแน่นพอ เพราะการบวชพระและเณรหน้าศพรวมทั้งแตรวง
ในงานศพก็เปน็ ประเพณีการทำศพตามลัทธินยิ มของไทย
(๒) การทำบุญ ๑๐๐ วัน ก็ควรถือเป็นส่วนหน่ึงของการปลงศพ แม้ศพจะเผาไปแล้วก
็
ตาม
ง. เหตุกับผลไม่ตรงกนั
การเพม่ิ หนุ้ ใหมใ่ นการเพม่ิ ทนุ บรษิ ทั น้ี บรษิ ทั จะตอ้ งเกบ็ เงนิ ไวส้ ำหรบั เขา้ ทนุ สำรองดว้ ย
แตส่ ำหรบั บรษิ ทั นไี้ ดข้ ายหนุ้ ทเี่ พม่ิ ใหมใ่ นอตั ราสงู กวา่ มลู คา่ หนุ้ ดงั นนั้ จงึ เปน็ สทิ ธขิ องบรษิ ทั ท
่ี
จะเอาเงนิ จำนวนทเ่ี พม่ิ ขนึ้ โดยไดก้ ำไรจากการขายหนุ้ นไี้ ปใชจ้ า่ ยตามวตั ถปุ ระสงคใ์ นกจิ การของ
บริษทั ตามที่เหน็ สมควรได
้
จ. เหตผุ ลที่ขัดกันเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๑๐๘๒/๒๕๑๑ ศาลช้ันต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ใช้มีด
พร้าเปน็ อาวธุ ฟันนายปลอบถงึ แก่ความตายจริง แตเ่ ห็นว่าผตู้ ายเป็นคนเกะกะ เข้าไปพูดแขวะ
หาเรอื่ งทา้ ทายยวั่ โทสะจำเลยกอ่ น แลว้ ใชม้ ดี พรา้ จะเขา้ ฟนั เมอ่ื จำเลยแยง่ มดี ไดแ้ ลว้ กย็ งั ไมฟ่ นั
ทนั ที ตอ่ เมอ่ื ผตู้ ายใชม้ ดี พรา้ จะเขา้ แทงจำเลย จำเลยจงึ ไดฟ้ นั แผลแรกลงไปบนศรี ษะ ผตู้ ายลม้
ลงไป เงยี บไปแลว้ แตเ่ หน็ จะเปน็ วา่ เพราะจำเลยโทสะจดั ทถี่ กู รงั แกกอ่ น ยบั ยง้ั ไมอ่ ยู่ จำเลย
จงึ ฟนั ซำ้ ลงไปอกี จนคอเกอื บขาด การกระทำของจำเลยตอนนเ้ี ปน็ การปอ้ งกนั เกนิ กวา่
เหตุ พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๗๒, ๖๙
ศาลอทุ ธรณพ์ ิพากษายืน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “...ท่ีศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำ
โดยปอ้ งกนั เกนิ สมควรแกเ่ หตแุ ละการกระทำโดยบนั ดาลโทสะดว้ ยนนั้ ศาลฎกี าเหน็ วา่ ยงั ไมช่ อบ
เพราะองคป์ ระกอบของการกระทำโดยปอ้ งกนั ตวั และการกระทำโดยบนั ดาลโทสะนน้ั ตา่ งกนั ถา้
กระทำลงโดยบนั ดาลโทสะกไ็ มใ่ ชเ่ รอื่ งกระทำเพอื่ ปอ้ งกนั ตวั หรอื ถา้ เปน็ การกระทำโดยปอ้ งกนั
ตวั กไ็ มใ่ ชเ่ รอื่ งทกี่ ระทำลงโดยบนั ดาลโทสะ ศาลฎกี าเหน็ วา่ การกระทำของจำเลยในคดนี เ้ี ปน็ การ
กระทำโดยป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ ไม่ใช่การกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๗๒”
ฉ. เหตผุ ล “เผ่ือเหนยี ว” หรอื ทำลายนำ้ หนักตนเอง
ในกรณีท่ีศาลให้เหตุผลเผ่ือเหนียวน้ัน แทนท่ีจะช่วยให้เหตุผลของคำวินิจฉัยหนักแน่น
ข้ึน กลับเป็นการทำลายน้ำหนักแห่งคำวินิจฉัยไปเป็นอันมาก ซ้ำในบางกรณีเป็นการขัดแย้ง
กันเอง เชน่
46 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉยั คด
ี
๑. คดนี โ้ี จทกฟ์ อ้ งบงั คบั จำเลยตามสญั ญากยู้ มื เงนิ จำเลยใหก้ ารตอ่ สวู้ า่ ตน้ เงนิ กจู้ ำนวน
ตามฟ้องน้ันเป็นเงินมัดจำค่าซื้อที่ดินท่ีโจทก์วางไว้กับจำเลยตามสัญญาซ้ือขายที่ดิน แต
่
เนอ่ื งจากขณะทำสญั ญาไมม่ แี บบพมิ พส์ ญั ญาซอ้ื ขาย จงึ เอาแบบพมิ พส์ ญั ญากมู้ ากรอกขอ้ ความ
แทน
ศาลวินิจฉัยว่า “...แม้จำเลยจะอ้างว่าเป็นการริบเงินมัดจำในการซื้อขายที่ดินก็ไม่ทำให
้
จำเลยพน้ ความรบั ผดิ ในเมอ่ื หลกั ฐานทจ่ี ำเลยทำใหโ้ จทกย์ ดึ ถอื ไวม้ ผี ลบงั คบั ในลกั ษณะกเู้ งนิ กนั
หากคู่กรณีประสงค์จะให้เป็นเพียงหลักฐานการวางเงินมัดจำในการซื้อขายที่ดิน ก็ไม่
นา่ จะทำหนงั สอื เปน็ สญั ญากู้ ตามขอ้ ตอ่ สขู้ องจำเลยมงุ่ ทจ่ี ะใหเ้ กดิ ผลในการรบิ เงนิ มดั จำ
ทจ่ี ำเลยอา้ งนน้ั เอง ซงึ่ จะเปน็ การนำสบื อนั ขดั ตอ่ เอกสารสญั ญากทู้ า้ ยฟอ้ ง ทจ่ี ำเลยอา้ ง
ว่าเมื่อรับโอนเงินมัดจำแล้ว ไม่มีแบบพิมพ์สัญญาซ้ือขาย จึงเอาแบบพิมพ์สัญญากู้เงิน
มากรอกแทนสัญญาซ้ือขายนั้น เป็นเร่ืองไร้เหตุผล รูปคดีไม่ว่าจะพิเคราะห์ในด้าน
เจตนาของคกู่ รณหี รอื ตามหลกั ฐานเอกสารทพี่ พิ าทกนั จำเลยไมม่ ที างชนะคดโี จทกไ์ ด”้
ข้อสังเกต คำวินิจฉัยของศาลออกไปท้ังในแง่ข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง สำหรับในแง
่
ขอ้ เทจ็ จรงิ นนั้ คงจะมงุ่ ประสงค์ “เผอื่ เหนยี ว” แตเ่ กรงวา่ ถา้ ออกไปในแงน่ ี้ เหตผุ ลแหง่ คำวนิ จิ ฉยั
จะขัดกันเองในแง่ที่ว่า เม่ือถือว่าเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารซ่ึงต้องห้ามตาม
ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ มาตรา ๙๔ อยแู่ ลว้ เหตไุ ฉนศาลจงึ รบั ฟงั ขอ้ นำสบื ของ
จำเลยดงั กลา่ วเพื่อวนิ จิ ฉัยในปัญหาข้อเท็จจรงิ ใหอ้ ีก
ในที่น้ีควรตัดข้อความตั้งแต่ “หากคู่กรณีประสงค์...” ซ่ึงเป็นคำวินิจฉัยในปัญหา
ขอ้ เทจ็ จรงิ ออกทงั้ หมด
๒. คดเี รอ่ื งหนงึ่ ศาลไดว้ นิ จิ ฉยั วา่ “ขอ้ ทโี่ จทกฎ์ กี าวา่ โจทกไ์ ดร้ อ้ งทกุ ข์ ไดฟ้ อ้ งคดี เปน็
การบอกล้างโมฆยี กรรมแลว้ น้นั ศาลฎีกาเห็นวา่ การรอ้ งทุกข์ก็ดี การฟอ้ งคดกี ด็ ี ไมใ่ ช่การบอก
ลา้ งโมฆยี กรรมตามมาตรา ๑๓๘ ๑๑ แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ถงึ แมจ้ ะรบั ฟงั เปน็
การบอกล้าง ศาลฎีกาก็เห็นว่าไม่เป็นการกระทบกระเทือนสิทธิของจำเลยท่ี ๒ ผู้รับซ้ือ
ฝาก และจำเลยท่ี ๓ ผรู้ บั โอนทพ่ี พิ าทนไ้ี วโ้ ดยสจุ รติ เสยี คา่ ตอบแทน และไดจ้ ดทะเบยี นการโอน
แล้ว ตามมาตรา ๑๓๒๙ และมาตรา ๑๓๐๐ แหง่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์”
๓. ศาลฎีกาได้มีคำสั่งในคดีหน่ึงว่า “ฎีกาของโจทก์ข้อที่อ้างมาว่าเป็นฎีกาข้อกฎหมาย
เพราะศาลอทุ ธรณว์ นิ จิ ฉยั คดเี ปน็ การฝา่ ฝนื คำพยานหลกั ฐานในทอ้ งสำนวนนนั้ แมห้ ากจะถอื ได
้
ว่าเป็นข้อกฎหมาย ก็เป็นข้อกฎหมายท่ีไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะถึง
อยา่ งไรก็ไม่ทำใหก้ ารวินิจฉยั คดมี ีผลเปลี่ยนแปลงไปได”้
ข้อสังเกต ผลในคดีน้ีจะเป็นว่า ถ้าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดี แม้ฝ่าฝืนคำพยานหลักฐาน
ในทอ้ งสำนวน ย่อมทำได้ ถา้ หากผลแห่งคดไี มเ่ ปล่ียนแปลง
๑๑ ปัจจุบนั ไดแ้ ก่ มาตรา ๑๗๖ แหง่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์.
ส่วนท่ี ๑ ความรทู้ ่ัวไป
47
๔. โจทกฟ์ อ้ งจำเลยขอรบั มรดกเฉพาะสว่ นของนางเนย้ ผตู้ าย โดยอา้ งวา่ โจทกเ์ ปน็ บตุ ร
ของนายชนุ กบั นางเนย้ ผตู้ าย เมอื่ นายชนุ ถงึ แกก่ รรมแลว้ นางเนย้ มาไดจ้ ำเลยเปน็ สามี จำเลย
ต่อสู้ในข้อหนึ่งว่า นางเน้ยกับจำเลยได้ตกลงแบ่งแยกทรัพย์สินท่ีมีอยู่ให้เป็นส่วนสัดของแต่
ละฝ่ายโดยเด็ดขาดอันเป็นข้อตกลงแบ่งสินบริคณห์กันโดยมีหนังสือสัญญาแบ่งทรัพย์สิน
เป็นหลักฐาน ศาลได้วินิจฉัยในข้อนี้ว่า “นางเน้ยกับจำเลยได้ทำสัญญาแบ่งทรัพย์สินกันตาม
เอกสารหมาย ... ซง่ึ เปน็ สญั ญาระหวา่ งสามภี รยิ าตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา
๑๔๖๑ ๑๒ และมผี ลใหท้ รพั ยส์ นิ ระหวา่ งนางเนย้ กบั จำเลยแยกออกจากกนั ตามประมวลกฎหมาย
แพง่ และพาณิชย์ มาตรา ๑๔๘๖ และมาตรา ๑๔๘๗ ๑๓ หรืออย่างน้อยที่สดุ ก็มลี ักษณะเป็น
ส
ญั ญาประนปี ระนอมยอมความอย่ดู ว้ ย...”
ช. เหตุผลนอกเร่ือง
ในคดหี นง่ึ มปี ญั หาวา่ เปน็ คดพี พิ าทเกย่ี วกบั เรอื่ งการตง้ั ผจู้ ดั การมรดกหรอื ไม่ ศาลกลา่ ว
ว่า พิเคราะห์แล้ว การตั้งผู้จัดการมรดกก็เพื่อให้ผู้น้ันเข้าไปมีอำนาจหน้าท่ีจัดการแบ่งทรัพย์
สินของผู้ตายให้เป็นไปตามกฎหมายอิสลาม “ผู้จัดการมรดกจึงเป็นตัวจักรสำคัญเก่ียวกับ
ทรัพย์สินมรดก ซ่ึงถ้าผู้จัดการมรดกแบ่งปันไม่ถูกต้อง ย่อมมีผลกระทบกระเทือนอัน
อาจทำใหก้ องมรดกและทายาทไดร้ บั ความเสยี หายได้ และในบางกรณผี จู้ ดั การมรดกยงั
ตอ้ งรบั ผดิ ในการปฏบิ ตั หิ นา้ ทขี่ องตนตอ่ กองมรดกอกี ดว้ ย ผจู้ ดั การมรดกกบั ทรพั ยส์ นิ
อนั เปน็ กองมรดกจงึ มคี วามเกย่ี วพนั กนั อยา่ งแยกไมอ่ อก” ฉะนแ้ี ลว้ คดพี พิ าทกนั เกยี่ วกบั
เรอื่ งตั้งผู้จดั การมรดกน้ี นบั ได้ว่าเปน็ คดีพิพาทเก่ยี วกับเร่อื งมรดกดว้ ย
ขอ้ สงั เกต ข้อความในเคร่อื งหมายคำพูดข้างตน้ ไม่น่าจะอยู่ในคำพิพากษา หากแต่เป็น
เ
รอื่ งเฉพาะในตำรากฎหมายวิชามรดกมากกวา่
ซ. เหตผุ ลในเชงิ เสียดสคี ู่ความ
๑. คดฟี อ้ งละเมดิ เรยี กคา่ เสยี หายเรอื่ งหนง่ึ ศาลไดว้ นิ จิ ฉยั ถงึ ความประมาทเลนิ เลอ่ ของ
จำเลยว่า “ถา้ หากจำเลยที่ ๑ จะได้ใชค้ วามระมดั ระวงั ในการขับแซงข้ึนไป อนั ไม่ใชท่ างจราจร
ของตนดแี ลว้ คอื ขบั ไปอยา่ งชา้ ๆ และเปดิ ไฟสงู เพอ่ื เหน็ ทางขา้ งหนา้ ชดั เจนยงิ่ ขนึ้ แลว้ จะไม
่
ชนเข้ากับรถบดถนนได้เลย แม้จะเพ่ิงเห็นรถบดถนนในระยะใกล้ ก็สามารถหยุดรถได้ทันหรือ
หลกี พ้น นีถ่ ้าเปน็ คนหรือวัวควายเดินอยูต่ รงรถบดถนน จำเลยท่ี ๑ ก็ต้องขับรถชนเหมอื นกนั
อยา่ งไม่มีปัญหา”
๑๒ เป็นบทบัญญัติเดิมในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก่อนที่จะมีการแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติ
แก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบบั ที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๕๓๓.
๑๓ เชน่ เดยี วกันกบั เชิงอรรถที่ ๑๑.
48 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินิจฉยั คด
ี
๒. ...ศาลจงึ เชื่อวา่ กรณนี โี้ จทก์ได้เสกสรรป้นั แตง่ พยานข้ึนมาเอง ไม่มที างทศ่ี าลจะเชื่อ
ตามทโี่ จทก์นำสืบ
๓. กเ็ มอ่ื ศาลไดม้ คี ำพพิ ากษาเสรจ็ เดด็ ขาดไปแลว้ แมโ้ จทกจ์ ะฟอ้ งไวก้ อ่ น และตา่ งโทษ
ฐานหนกั กวา่ กด็ ี แตก่ อ็ าศยั การกระทำเดยี วกนั นน้ั เอง ศาลฎกี าเหน็ ใจในเหตทุ โ่ี จทกย์ น่ื คำฟอ้ ง
ไวก้ อ่ น และเสียคา่ ใชจ้ า่ ยทางดำเนนิ คดีไปมากแล้ว เมอื่ วันอัยการฟอ้ งศาล ศาลตัดสิน โจทกก์
็
ยงั ไมไ่ ด้รับทราบทนั ท่วงทใี นอนั ที่จะขอใหร้ วมคดพี ิจารณาพิพากษาไปเสียคราวเดยี วกัน
แต่เหตุผลดงั กล่าว ยอ่ มช่วยไม่ได้
๔. เพราะถ้าเอารถมาจอดแล้ว เจ้าของสถานที่จอดไม่ยอมรับผิดชอบดูแลรักษาแล้ว
เจา้ ของรถจะเอารถไปจอดในปมั๊ จำเลยทำไม เอาไปจอดทง้ิ ไวข้ า้ งถนนไมด่ กี วา่ หรอื ไมต่ อ้ งเสยี
เงินด้วย
ญ. เหตผุ ลวกวน
ศาลไดต้ รวจสำนวนประชมุ ปรกึ ษาคดนี แ้ี ลว้ เหน็ วา่ ตามคำรอ้ งโจทกท์ แ่ี สดงวา่ จำเลยได
้
เบกิ ความไวว้ า่ อยา่ งไร ซง่ึ โจทกห์ าวา่ ขอ้ ความทจี่ ำเลยเบกิ ไวเ้ ปน็ ความเทจ็ โดยขดั กบั ความจรงิ
ท่ีมีอยู่ดังที่กล่าวในฟ้องน้ัน เห็นว่า ข้อความที่จำเลยเบิกความไว้ดังกล่าวกับความจริงท่ีว่า
มีอยู่อย่างใดน้ันไม่ขัดกัน ซึ่งถ้าจะให้จำเลยบอกอย่างส้ัน ๆ ว่าจำเลยรู้เห็นอย่างไรในคราว
นนั้ จำเลยกจ็ ะบอกวา่ จำเลยอยทู่ น่ี น่ั รเู้ หน็ วา่ นาย...ยงิ นาย...ตาย แตเ่ มอื่ คราวจำเลยเบกิ ความ
ที่ศาลซ่ึงจำเลยถูกซักไซ้ไล่เลียงให้บอกรายละเอียดในระหว่างท่ีเบิกความไว้น้ัน ซ่ึงได้ผลก
็
ตรงกันกับท่ีจำเลยเข้าใจ เนื่องจากได้ยินมากับหูรู้มากับตัวของจำเลยเอง เหตุฉะนั้นจึงถือว่า
จ
ำเลยจงใจเบิกความเทจ็ ไมไ่ ด้ในเม่ือจำเลยกลา่ วไปตามความเข้าใจโดยสจุ รติ ของจำเลย
ฎ. เหตผุ ลเกินความจำเปน็
๑. ก. ในฐานะโจทก์มีสิทธิฟ้องคดีได้โดยไม่ต้องรับความยินยอมจากสามี เพราะไม่ม
ี
กฎหมายหา้ มมิใหห้ ญิงมสี ามีฟอ้ งคดแี พ่ง คงบัญญตั ิเพียงวา่ หญิงมสี ามี ถ้ามิได้รบั อนญุ าตจาก
สามใี หท้ ำการใดแลว้ กจิ การนน้ั ไมผ่ กู พนั สนิ บรคิ ณหเ์ ทา่ นน้ั ทง้ั ขอ้ เทจ็ จรงิ คดนี ไ้ี ดค้ วามวา่ ก.
มไิ ดจ้ ดทะเบยี นสมรสกบั สามี
ข้อสังเกต ความจริงเฉพาะข้อความตอนทา้ ย กพ็ อเพยี งแกก่ ารวินิจฉยั อยู่แล้ว
๒. การจดั รา้ นสะอาดกด็ ี การตอ้ นรบั กด็ ี จดั เปน็ ศลิ ปะในการคา้ หาเปน็ เหตใุ หข้ ายนำ้ ชา
เกินกว่าราคาควบคุมไม่ ส่วนการชงน้ำชาดีน้ันอาจเก่ียวแก่ฝีมือหรือเอากำไรแต่น้อย ก็อาจ
ทำให้น้ำชามีรสดีได้ ถึงดังนี้ก็ไม่เป็นเหตุให้ขายเกินราคาควบคุมโดยไม่มีความผิดเช่นเดียว
กัน แต่ถ้าผู้ซ้ือสั่งผู้ขายให้ใส่นมสดและนมข้นเป็นพิเศษให้เป็นราคาถ้วยละ ๑ บาท ดังจำเลย
นำสบื มา กฟ็ งั ไมถ่ นดั วา่ จำเลยจงใจขายเกนิ ราคาควบคมุ เฉพาะรายนายหยาและนายโกะ๊ นต้ี าม
ส่วนที่ ๑ ความรู้ทวั่ ไป
49
หลกั ฐานคำพยานโจทกก์ ไ็ มป่ รากฏวา่ ไดส้ งั่ ใหจ้ ำเลยใสน่ มสดและนมขน้ เปน็ พเิ ศษ... ศาลชนั้ ตน้
ฟังขอ้ เทจ็ จริงวา่ จำเลยขายน้ำชาเกนิ ราคาควบคมุ ชอบแลว้
ท่ีกล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่า ในคำพิพากษาบางเร่ือง ท่านผู้พิพากษาก็ให้เหตุผลไว้แจ่ม
แจง้ แตบ่ างเรอ่ื งกไ็ มไ่ ดใ้ หเ้ หตผุ ลเลย บางเรอ่ื งกเ็ พยี งแตอ่ า้ งตวั บทกฎหมายโดยมไิ ดใ้ หเ้ หตผุ ล
วา่ เหตใุ ดจงึ ปรบั บทกฎหมายบทนนั้ บทน้ี ทง้ั ทกี่ รณยี งั มปี ญั หาอยู่ สำหรบั กรณที บ่ี างเรอ่ื งเหน็ ชดั
ว่าเขา้ กรณีน้ันหรือบทบญั ญัติน้ี ก็ไม่ต้องอ้างเหตผุ ลอะไรก็ได้ การอ้างบทกฎหมายนั้นเองเปน็
การให้เหตุผลอยู่แล้ว ตรงข้ามถ้าบทกฎหมายเคลือบคลุม ศาลต้องตีความโดยหาเจตนารมณ์
ของกฎหมายว่าเหตุใดจึงบัญญัติเช่นน้ัน ดังน้ี ศาลน่าจะอธิบายด้วยโดยให้เหตุผลที่ละเอียด
พอสมควร หรือในกรณีเปน็ ท่ีสงสยั ศาลกค็ วรให้เหตผุ ลอยา่ งละเอยี ดเชน่ กัน
เกีย่ วกบั กรณีที่ศาลวนิ จิ ฉยั คดหี รอื มคี ำสง่ั โดยปราศจากเหตผุ ลหรอื เหตผุ ลท่ีให้ไม
่
แ
จม่ แจ้งพอนน้ั ประธานศาลฎกี าในสมยั หนง่ึ ได้เคยตักเตือนผพู้ พิ ากษาท่านหนงึ่ ไวว้ า่
“...อันการใช้อำนาจในทางที่ไม่มีกฎหมายค้ำจุนสนับสนุนนั้น มีแต่จะทำให้
พระราชกำหนดกฎหมายตลอดจนอำนาจของศาลถกู โยกคลอนคลายความศกั ดส์ิ ทิ ธล์ิ ง
ขอให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลนั้นพิจารณาโดยตระหนัก และตั้งใจปฏิบัติหน้าท่ีแต่ด้วย
ความมเี กียรติสมกบั ศักดิ์และตำแหน่งตอ่ ไป ” ๑๔
๑๔ ข่าวศาล เลม่ ๓ ฉบับที่ ๔ ลงวนั ท่ี ๙ สิงหาคม ๒๔๘๘, หนา้ ๑๑๘.
50 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉัยคด
ี
เรอ่ื งถอ้ ยคำสำนวน *
หลวงการณุ ยน์ ราทร
อนั วา่ “ถอ้ ยคำสำนวน” ทจ่ี ะกลา่ วตอ่ ไปนมี้ งุ่ หมายกลา่ วถงึ หนงั สอื ทศ่ี าลจดเปน็ หลกั ฐาน
แห่งรายละเอียดท้ังหลายในการดำเนินคดีอาญา ๑ [ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๒ (๑๙) ] และบรรดากระบวนพจิ ารณาเกยี่ วด้วยการพิจารณาและการชข้ี าดตดั สนิ คดี
แพ่งทั้งหลายซง่ึ ศาลเปน็ ผู้ทำ (ประมวลกฎหมายวิธีพจิ ารณาความแพ่ง มาตรา ๔๖ วรรคแรก)
โดยเฉพาะที่เป็นคำเบิกความของพยาน รายงานกระบวนพิจารณา และคำพิพากษาเท่าน้ัน
ถอ้ ยคำสำนวนดจุ กลา่ วนเี้ ปน็ หนา้ ทอี่ นั สำคญั ของผพู้ พิ ากษาทจี่ ะตอ้ งปฏบิ ตั จิ ดั ทำอยเู่ ปน็ ปกต
ิ
เพอื่ ใชเ้ ปน็ หลกั ฐานในการพจิ ารณาพพิ ากษาคดคี วามตามกระบลิ เมอื ง และยอ่ มมผี ลเปน็ การ
แสดงออกอย่างดีทางหน่ึงซ่ึงความรู้ความสามารถตลอดจนอุตสาหะวิริยภาพของผู
้
พพิ ากษาวา่ เปน็ ประการใดดว้ ย จงึ ควรไดร้ บั การระมดั ระวงั ในการปฏบิ ตั จิ ดั ทำใหเ้ ปน็ ไป
โดยรดั กมุ สละสลวย และปราศจากขอ้ พงึ ตำหนไิ ดม้ ากเทา่ ใดจะเปน็ การดเี ทา่ นน้ั เพอ่ื แก
่
การระมดั ระวังดั่งว่านา่ จะได้คำนึงใหม้ ากทสี่ ดุ เท่าท่ีจะพงึ เป็นไปได้ดัง่ ตอ่ ไปน้
ี
๑. พึงใช้ถ้อยคำให้ถูกต้องเสมอไป คำใดที่เป็นคำในกฎหมาย ควรใช้ให้ตรงตาม
กฎหมาย ช่อื ของบุคคลกด็ ี ตำแหน่งหน้าท่กี ็ดี สถานที่ต่าง ๆ กด็ ี ควรให้ไดค้ วามเป็นที่แนช่ ดั
แล้วใช้ใหถ้ กู ต้องตรงกับทีเ่ ป็นจรงิ
๒. เนื้อความในถ้อยคำสำนวนอย่าให้สั้นเกินไปจนกลายเป็นห้วน ๆ และก็อย่าให้ยาว
เกนิ ไปจนกลายเปน็ เยน่ิ เยอ้ ทง้ั ควรเผอ่ื เหลอื เผอ่ื ขาดไวบ้ า้ งเพอื่ ผอู้ น่ื จะพงึ อา่ นเขา้ ใจความหมาย
ได้ถกู ต้อง โดยไมต่ อ้ งอ่านทบทวนไปมาหรอื ต้องตีความหมาย ซ่งึ ถา้ เป็นเชน่ น้นั และเผอญิ เกิด
เข้าใจผิดไปจากความหมายอนั แท้จรงิ เข้าแล้ว ก็อาจจะเป็นที่เสยี หายได้ แต่แคไ่ หนเพียงใดเล่า
จงึ จะรดั กมุ และสละสลวยดนี นั้ เปน็ เรอ่ื งทย่ี ากจะกลา่ วแยกแยะได้ ตอ้ งอาศยั ความรู้ ความถถี่ ว้ น
รอบคอบ และความช่างสังเกต ตลอดจนอุตสาหะวิริยภาพของแต่ละคนเป็นประมาณ จะพอ
กล่าวได้ในท่ีน้ีก็เพียงอย่างกว้าง ๆ เท่าน้ันว่า เกี่ยวกับคำเบิกความของพยาน แม้ข้อความที่
ไม่ใช่ประเด็นโดยตรง แต่เกี่ยวข้องกับประเด็นอันจะนำไปสู่ความแจ่มกระจ่างในการพิจารณา
พิพากษาไดแ้ ลว้ แม้จะเหน็ วา่ เป็นส่วนเลก็ ๆ น้อย ๆ ก็ตาม ก็ไม่ควรให้ขาดหายไปเสีย แต่จง
* จากดลุ พาห เล่ม ๗ ปที ี่ ๗ (กรกฎาคม ๒๕๐๓), หนา้ ๘๒๐ - ๘๒๒.
๑ “เช่น คำให้การพยาน รายงานการพิจารณา คำส่ัง และคำพิพากษา” สัญญา ธรรมศักดิ์, คำอธิบาย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา, พิมพ์คร้ังที่ ๔. (กรุงเทพมหานคร : สำนักอบรมศึกษา
กฎหมายแหง่ เนติบณั ฑติ ยสภา, ๒๕๒๔), หน้า ๑๙.
สว่ นที่ ๑ ความร้ทู วั่ ไป
51
เลือกเอาเพียงเท่าท่ีพอควรแก่กรณี และจะไม่เป็นการฟุ่มเฟือยหรือเยิ่นเย้อไปด้วย เก่ียวกับ
รายงานกระบวนพจิ ารณา กค็ วรใหป้ รากฏขอ้ ความถงึ การดำเนนิ กระบวนพจิ ารณาในนดั หนง่ึ ๆ
ไปอยา่ งใด เพยี งไร และถา้ มถี อ้ ยแถลงของคคู่ วามหรอื เหตกุ ารณอ์ นั ใดเกย่ี วขอ้ งแกก่ ารพจิ ารณา
คดีนัน้ ขนึ้ ก็พึงใหป้ รากฏไว้โดยชดั เจนเท่าที่เหน็ ว่าจะพอสมควรแกก่ รณีน้ัน ๆ อยา่ ให้ขาดหรือ
ห้วนและฟ่มุ เฟอื ยหรือเย่นิ เย้อไป ส่วนทีเ่ กี่ยวกบั คำพิพากษานนั้ เหตผุ ลแห่งการวินจิ ฉยั ทัง้
ในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กับคำวินิจฉัยของศาลในประเด็นแห่งคดี ควรให
้
เป็นที่แจ่มแจ้งแก่คู่ความและไม่มีข้อฉงนเกิดขึ้นในการบังคับคดีตามคำพิพากษา อน่ึง
ไม่จำเป็นแล้วก็ไม่ควรคัดคำเบิกความของพยานลงไว้ในคำพิพากษาเป็นปาก ๆ ไปให้เปลือง
หนา้ กระดาษตลอดจนเวลาในการอา่ นดว้ ย คำพพิ ากษาทรี่ ดั กมุ และสละสลวยดไี มจ่ ำเปน็ จะตอ้ ง
ยาวหลายหน้ากระดาษก็ได้ ทั้งหมดท่ีกล่าวน้ีควรพยายามเรียบเรียงถ้อยคำให้ถูกหลัก
ไวยากรณ์ ถกู ตามศพั ท์ ตลอดจนสำนวนทีน่ ยิ มใช้ และวางประโยคตามลำดบั ก่อนหลงั
อย่าให้ข้อความสับสน ไขว้เขวหรือซ้ำกัน วกวนไปมา เท่าท่ีจะพอทำได้โดยควรแก่กรณ ี
ควรระลกึ ไวเ้ สมอวา่ เราทำถอ้ ยคำสำนวนใหผ้ อู้ นื่ อา่ นดว้ ย และในเวลาเดยี วกนั ใหผ้ อู้ า่ น
เลื่อมใสศรัทธาในความรคู้ วามสามารถของเราด้วย แมจ้ ะเปลืองแรงเปลืองเวลาไปบา้ ง ก็
ควรเสยี สละ โดยไมพ่ ึงเหน็ แตง่ ่าย ๆ และเร็ว ๆ เปน็ ประมาณเท่านัน้
๓. ประการสดุ ทา้ ย ควรใหถ้ อ้ ยคำสำนวนอา่ นไดไ้ มย่ ากจนเกนิ ไป โดยกรณที เ่ี ขยี น
ด้วยลายมือ ไม่ควรจะหวัดจนถึงขนาดที่เรียกว่า “เขียนอ่านคนเดียว” และพึงระมัดระวังให้
เป็นไปตามกฎกระทรวงยุติธรรม ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธ
ี
พจิ ารณาความแพง่ พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๗ และพระราชบญั ญตั ใิ หใ้ ชป้ ระมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณา
ความอาญา พทุ ธศักราช ๒๔๗๗ (ฉบบั ท่ี ๒) ลงวนั ท่ี ๒๘ สิงหาคม พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๓ ซ่งึ
ความในขอ้ ๒ มีวา่
“บรรดาคำคคู่ วามและเอกสารหรอื แผน่ กระดาษไมว่ า่ อยา่ งใด ๆ ซงึ่ ประกอบเปน็ สำนวน
คดี ใหเ้ กบ็ รวบรวมไว้ในสำนวนคดนี ั้น เรยี งตามลำดับวนั และเวลาท่รี บั ไว้
พยานเอกสารหรือวัตถุซึ่งไม่เป็นการสะดวกแก่การที่จะเก็บรวมไว้ในสำนวน ก็ให้แยก
เกบ็ ไวต้ า่ งหาก รวมเปน็ เรอ่ื ง ๆ และใหม้ หี มายเหตตุ ดิ ตอ่ เทา้ ถงึ กนั ไวก้ บั สำนวนใหแ้ จง้ ชดั ” ดว้ ย
52 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉยั คดี
สำนวนโวหารในทางกฎหมาย
และ
การใชภ้ าษาไทยในงานเขยี
นคำพิพากษาหรือคำสง่ั *
ท่านเธยี ร เจริญวัฒนา
เร่ืองที่ได้รับมอบหมายให้บรรยายทั้งสองหัวข้อน้ีเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกันโดยตลอด
เพราะสำนวนโวหารในทางกฎหมายย่อมครอบคลุมไปถึงการใช้ภาษาไทยในงานเขียนคำ
พพิ ากษาและคำสงั่ ดว้ ย จงึ จะกลา่ วตดิ ตอ่ เปน็ เรอื่ งเดยี วกนั และขอทำความเขา้ ใจวา่ การบรรยาย
ภายในกรอบเวลาทกี่ ำหนดนม้ี ใิ ชก่ ารสอนภาษาไทย แตม่ งุ่ หมายทจ่ี ะจดุ ประกายหรอื กระตนุ้ ให
้
เห็นความสำคัญของภาษาไทย เพราะท่านจะได้พบในเวลาต่อไปว่าการปฏิบัติงานในหน้าท
่ี
ของผู้พิพากษานั้น ภาษาไทยมีความสำคัญที่จะต้องศึกษารองลงมาจากความรู้ด้าน
กฎหมาย
สำนวนโวหารในทางกฎหมาย
การเรียบเรียงถ้อยคำออกมาเป็นประโยค มีความติดต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นบทความ
ข้อเขียนหรือบันทึกความเห็น ความเรียงหรือบทประพันธ์ ฯลฯ ผู้เรียบเรียงหรือผู้เขียนย่อมมี
ลีลาในการเลือกสรรถอ้ ยคำต่าง ๆ มาใช้ ที่เรียกวา่ “สำนวนโวหาร” แตกตา่ งกนั สดุ แตว่ ่าผูน้ ั้น
มคี วามรู้ ความคดิ ความประณีตละเอยี ดลออ หรือไหวพรบิ มากน้อยเพียงใด นอกจากน้ัน ใน
แต่ละวงการหรือกลุ่มวิชาชีพ สำนวนโวหารที่ใช้ยังมีแบบแผนที่นิยมหรือถือปฏิบัติแตกต่าง
กันด้วย หรือแม้ในวงการเดียวกัน เช่น ในวงการประพันธ์ ก็จะเห็นได้ว่าสำนวนโวหารในการ
เขียนนวนิยายต่างกับที่ใช้ในการเขียนสารคดี หรือในด้านวิชาการสาขาต่าง ๆ เช่น ในทาง
วิทยาศาสตร์ การแพทย์ วศิ วกรรมศาสตร์ ฯลฯ ทต่ี ้องอาศยั ตำราหรือความรู้จากต่างประเทศ
การแปลหรอื การถ่ายทอดความรนู้ น้ั มาเป็นภาษาไทยย่อมจะมสี ำนวนโวหารในภาษาน้ันตดิ มา
ด้วย ภาษาไทยที่ใช้กันในวงการเหล่านี้อาจมีสำนวนโวหารแตกต่างไปจากวงการอื่น ๆ บ้าง
ในทางกฎหมายกเ็ ชน่ กนั ภาษาทใี่ ชใ้ นวงการกฎหมาย ไมว่ า่ จะใชใ้ นการรา่ งตวั บทกฎหมายหรอื
ในทางอรรถคดโี ดยทวั่ ไป กม็ ลี กั ษณะเฉพาะตา่ งจากวงการอนื่ ดงั ทเ่ี รยี กกนั วา่ “ภาษากฎหมาย”
* เอกสารประกอบการบรรยายในการอบรมผู้ช่วยผู้พิพากษาและผู้พิพากษาศาลช้ันต้น ณ สถาบันพัฒนา-
ข้าราชการฝา่ ยตุลาการศาลยตุ ิธรรม.
สว่ นที่ ๑ ความร้ทู ่วั ไป
53
หรือ “ภาษากฎหมายไทย” ซ่ึงเม่ือคนนอกวงการอ่านแลว้ มกั จะกล่าวว่าอา่ นไม่ค่อยเข้าใจ ไม่
ชวนอ่าน
กฎหมายเป็นข้อบังคับที่ใช้แก่บุคคลทั่วไป โดยหลักแล้วก็ควรจะเขียนเพ่ือให้คนทั่วไป
เข้าใจ แต่เน่ืองจากต้องการจะเขียนให้กะทัดรัดและครอบคลุมกรณีต่าง ๆ ได้กว้างขวางและ
ไม่ให้มีช่องโหว่ ไม่ให้ตีความไปได้หลายทางอย่างท่ีพูดกันว่าไม่ให้ด้ินได้ ถ้อยคำที่ใช้จึง
ต้องรัดกุม แตกต่างกับภาษาท่ีใช้กันโดยทั่วไป ผลจึงเป็นว่าที่ควรจะให้อ่านเข้าใจง่ายดังกล่าว
ข้างต้นกลายเป็นเข้าใจยากไป ต้องให้ผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนในทางนี้โดยเฉพาะมาอธิบายขยาย
ความอีกชั้นหนึ่ง ผู้ท่ีเรียนกฎหมายย่อมทราบดีว่าข้อความในตัวบทกฎหมายเพียงหนึ่ง
หรือสองบรรทัดอาจครอบคลุมถึงกรณีต่าง ๆ ซึ่งอาจนำมาอธิบายยกอุทาหรณ์ให้เห็นได
้
หลายหน้ากระดาษ ภาษาท่ีใชใ้ นตวั บทกฎหมายจงึ สนั้ ๆ หว้ น ๆ ดังท่ีมีผู้กลา่ วเปรียบเทียบวา่
จืดชืด ไม่มีสีสัน นอกจากถ้อยคำท่ีใช้ในตัวบทกฎหมาย คือ รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ
พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวงแลว้ ขอ้ บงั คบั ขององคก์ รหรือหน่วยงานอ่ืน ๆ
ตลอดจนระเบียบหรือคำสั่งต่าง ๆ ก็ใชส้ ำนวนโวหารแบบเดียวกัน และแตกตา่ งกับที่ใช้ในทาง
อรรถคดโี ดยทวั่ ไปซงึ่ ใชใ้ นการเขยี นคำคคู่ วาม คำรอ้ ง คำพพิ ากษา หรอื คำสงั่ ฯลฯ โดยเดน่ ชดั
ถึงกระน้ันในประเภทหลังนี้ก็ยังเต็มไปด้วยถ้อยคำในตัวบทกฎหมาย แต่ถ้าผู้เขียนมีสำนวน
โวหารดี อ่านแลว้ จะรูส้ ึกว่าสละสลวย นุ่มนวล ไม่แขง็ กระดา้ ง และประทบั ใจผู้อา่ นได้เชน่ กนั
สำนวนโวหารในทางกฎหมายทีด่ นี ้ัน ศาสตราจารยธ์ านนิ ทร์ กรัยวเิ ชยี ร ได้ให้คำแนะ
นำไวใ้ นหนงั สอื “ภาษากฎหมายไทย” วา่ ต้องประกอบดว้ ยคณุ ลักษณะสำคญั ๖ ประการ คอื
๑. แจ้งชัดและปราศจากช่องโหว่
๒. ส้นั กะทัดรดั
๓. ใช้ถ้อยคำในภาษากฎหมายให้เป็นระเบยี บเดียวกนั โดยตลอด
๔. ใช้ถอ้ ยคำที่ใชใ้ นตวั บทกฎหมาย
๕. สุภาพนมุ่ นวล และ
๖. สามารถจูงใจผูอ้ า่ นผ้ฟู ังให้คลอ้ ยตามได
้
มคี ำอธบิ ายโดยละเอยี ดหลายแงห่ ลายมมุ อยใู่ นหนงั สอื นน้ั แลว้ ขอใหอ้ า่ นศกึ ษาและควร
มีไว้เป็นคู่มือในการปฏิบัติงานต่อไป อย่างไรก็ดี ในช้ันนี้ขอกล่าวประกอบเพิ่มเติมพอเป็น
แ
นวทางโดยส้นั ๆ
ข้อ ๑ ท่ีว่า “แจ้งชัดและปราศจากช่องโหว่” น้ัน เป็นส่ิงที่ผู้ร่างกฎหมายยึดถือและ
ปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด และจะพิจารณาโดยรอบด้านหลายแง่หลายมุม แต่แม้จะพยายามให
้
รดั กมุ เพยี งไร กย็ ากทจ่ี ะมใิ หม้ ปี ญั หาถกเถยี งโตแ้ ยง้ กนั ตวั อยา่ งเชน่ เดมิ นนั้ ไมม่ ปี ญั หาวา่ การ
ลกั กระแสไฟฟา้ เปน็ ความผดิ หรอื ไม่ เพราะกฎหมายลกั ษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ มบี ทนยิ ามหรอื
54 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉยั คด
ี
คำอธบิ ายใหเ้ หน็ วา่ กระแสไฟฟา้ ซงึ่ เปน็ พลงั งานเปน็ ทรพั ยอ์ ยา่ งหนง่ึ การลกั กระแสไฟฟา้ จงึ เปน็
ความผดิ ฐานลักทรัพย์ ตอ่ มาเมื่อมีการประกาศใชป้ ระมวลกฎหมายอาญาซ่ึงมไิ ด้มคี ำนยิ ามคำ
ว่าทรัพย์ไว้เป็นพิเศษ เมื่อเกิดกรณีที่กล่าวหาว่าจำเลยลักกระแสไฟฟ้าอันเป็นความผิดตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔ หรอื มาตรา ๓๓๕ จำเลยกย็ กขอ้ กฎหมายขน้ึ ตอ่ สวู้ า่ ตาม
ประมวลกฎหมายอาญาไมม่ ีบัญญัติว่าทรัพย์คืออะไร จึงต้องใช้กฎหมายแพ่งวินิจฉัย และตาม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ทรพั ย์ ไดแ้ ก่ วตั ถอุ นั มรี ปู รา่ ง แตก่ ระแสไฟฟา้ เปน็ พลงั งาน
มิใช่วัตถุมีรูปร่างและไม่อาจหยิบถือเอาไปได้ จึงไม่เป็นทรัพย์ที่ลักกันได้ ดังนี้ จนศาลฎีกาได้
วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่และมีมติว่าการลักกระแสไฟฟ้าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๓๓๔ หรือมาตรา ๓๓๕ แลว้ แตก่ รณี (คำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ ๘๘๗/๒๕๐๑)
ตัวอย่างท่ี ๒ กรณีที่กฎหมายบัญญัติว่า “ผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดีหรือเทียบเท่า” น้ัน
ตำแหนง่ ทเ่ี ทยี บเทา่ คอื ตำแหนง่ อะไร ในชน้ั เดมิ กเ็ ขา้ ใจกนั วา่ หมายถงึ ผดู้ ำรงตำแหนง่ หวั หนา้
หรือผู้บังคับบัญชาของส่วนราชการท่ีมีฐานะเป็นกรม แต่เรียกช่ืออย่างอื่น เช่น สำนักงาน
ส่งเสรมิ งานตุลาการ (ในสมัยก่อน) สำนกั งบประมาณ ฯลฯ ผู้ดำรงตำแหนง่ ดังกลา่ วไม่เรยี กว่า
อธบิ ดี แต่เรียกว่าเลขาธิการ ผอู้ ำนวยการ ฯลฯ และมเี พยี งคนเดียวเทา่ นั้นในส่วนราชการนั้น
แตต่ อ่ มาภายหลงั เมอ่ื มกี ารปรบั ปรงุ ใหข้ า้ ราชการบางตำแหนง่ มอี ตั ราเงนิ เดอื นในระดบั เดยี วกบั
อธิบดี คือ ระดบั ๑๐ ในปจั จุบัน กเ็ ลยตีความกนั ว่าผู้ท่ีไดร้ บั เงนิ เดือนในระดับ ๑๐ คอื ผู้ดำรง
ตำแหน่งเทียบเท่าอธิบดี โดยถือเอาระดับเงินเดือนเป็นตัวเทียบ ดังที่มีการถกเถียงกันอยู่ใน
เ
วลาน้ี
ขอ้ ๒ ทว่ี า่ “สนั้ กะทดั รดั ” นน้ั ในส่วนที่เกีย่ วกับตวั บทกฎหมายไมส่ ู้จะมีปัญหา เพราะ
สนั้ กะทดั รดั อยแู่ ลว้ แตใ่ นสว่ นทใ่ี ชใ้ นทางอรรถคดที ว่ั ไปนนั้ มปี รากฏใหเ้ หน็ อยมู่ ากในคำคคู่ วาม
แมใ้ นคำพพิ ากษากค็ วรจะสน้ั ๆ เชน่ กนั เชน่ “ศาลไดพ้ เิ คราะหพ์ ยานหลกั ฐานโจทกแ์ ละจำเลย
แล้ว” หรือ “พิเคราะห์แล้ว” ไม่ควรจะขยายความต่อไปอีกว่า “ได้พิเคราะห์โดยละเอียดแล้ว”
“โดยละเอียดถ่ีถ้วนแล้ว” “โดยตระหนักแล้ว” “โดยถ่องแท้แล้ว” หรือใช้ว่า “ได้เพียรพยายาม
พเิ คราะหพ์ ยานโจทกแ์ ละจำเลยโดยละเอยี ดตลอดแลว้ ...... ” หรอื ฟมุ่ เฟอื ยกวา่ นนั้ อกี เชน่ “......
ดังนี้ เป็นการยากท่ีจะวินิจฉยั เชอื่ ขา้ งใดลงในทนั ทที ันใด ครั้นจะปล่อยไวไ้ ม่วนิ จิ ฉยั ก็จะคน้ หา
สาเหตุแห่งการยิงกันขึ้นจนเป็นคดีน้ีไม่ได้ จำเป็นจำต้องพิเคราะห์ถ้อยคำของคนทั้งสองให
้
ตระหนักถี่ถ้วนและรอบคอบ ชอบด้วยความยุติธรรมและเหมาะสมกับศีลธรรมอันดีของ
ป
ระชาชน โดยเฉพาะคนไทย ซง่ึ ทั้งนาย ก. และจำเลยกเ็ ปน็ คนไทย...... ”
ข้อ ๓ ท่ีว่า “ใช้ถ้อยคำในภาษากฎหมายให้เป็นระเบียบเดียวกันโดยตลอด”
ศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวเิ ชียร ก็ได้อธิบายโดยยกเอาคำกลา่ วของศาสตราจารย์ ดร. หยุด
แสงอทุ ยั วา่ “......เมอ่ื ใชถ้ อ้ ยคำอนั ใดในบทมาตราใดแลว้ กต็ อ้ งใชถ้ อ้ ยคำอนั เดยี วกนั นนั้ ในบท
สว่ นที่ ๑ ความรู้ทั่วไป
55
มาตราอน่ื ตลอดไปในการรา่ งกฎหมายนนั้ ......” เพราะถา้ ใชถ้ อ้ ยคำตา่ งกนั กจ็ ะทำใหเ้ กดิ สงสยั วา่
ถอ้ ยคำเหลา่ นน้ั เหมอื นกนั หรอื ไม่ โดยยกคำวา่ “คนเสมอื นไรค้ วามสามารถ” “บคุ คลผเู้ สมอื นไร
้
ความสามารถ” และ “บุคคลเสมอื นไร้ความสามารถ” เป็นตวั อย่าง
ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ ใช้ว่า “โดยแจ้งชัด” ส่วน
มาตรา ๑๗๗ ใชว้ า่ “โดยชัดแจง้ ” ซึง่ อ่านแล้วก็คงจะหมายถงึ “โดยชดั เจน” เชน่ เดียวกนั
คำอ่นื ๆ ท่คี ิดข้ึนใช้ เช่น โดยมชิ ักช้า โดยเรว็ โดยดว่ น โดยพลนั โดยทันที ก็ยังไมแ่ น
่
ช
ดั วา่ อยา่ งไหนจะเร็วกว่ากัน
ข้อ ๔ ท่ีว่า “ใช้ถ้อยคำท่ีใช้ในตัวบทกฎหมาย” หมายความว่า กฎหมายใช้คำน้ัน
อยา่ งไร ก็ควรใช้ตามนั้น อยา่ ใชต้ ามความเคยชิน หรอื นกึ ไปว่ากเ็ หมือน ๆ กันนน่ั แหละ เหตทุ ี่
จะลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กฎหมายใชว้ า่ “เหตบุ รรเทาโทษ” อยา่ ใช ้
เหตุอันควรปรานี อย่างท่ีใช้ในกฎหมายลักษณะอาญา ลดโทษ กับ ลดมาตราส่วนโทษ ม
ี
ความหมายต่างกนั อย่าใชส้ ลับกนั คำวา่ ทำผิด กระทำผดิ ทำความผิด กระทำความผิด ที่ใช้
กันท่ัว ๆ ไปในความหมายอย่างเดียวกัน แต่ในประมวลกฎหมายอาญาใช้ว่า “กระทำ
ความผิด” ทุกแห่ง คำว่า “ไม่เกินกว่า” เช่น ปรับไม่เกินกว่าหนึ่งพันบาท เดี๋ยวนี้ตัดคำว่า
กวา่ ออกเป็น ไม่เกนิ เชน่ ปรับไม่เกินหน่งึ พันบาท
ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ย่อมมีความผิด การฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ปฏิบัติ
ตามกฎหมายมีความหมายโดยทั่วไปอย่างเดียวกัน แต่ในกฎหมายใช้ต่างกัน “ฝ่าฝืน” ใช้ใน
กรณที ก่ี ฎหมายหา้ มมใิ หก้ ระทำ แลว้ ไปกระทำ เปน็ การฝา่ ฝนื แตถ่ า้ ในกฎหมายบงั คบั ใหป้ ฏบิ ตั
ิ
หรือให้กระทำอย่างใดแล้ว ไมป่ ฏิบตั ติ ามนนั้ ใช้ว่า “ไมป่ ฏบิ ตั ิตาม” เวลาใชต้ อ้ งดวู ่ากฎหมาย
บ
ทน้ันห้ามหรือบงั คับให้กระทำกอ่ น แล้วเลอื กใช้ใหถ้ กู ตอ้ ง
ขอ้ ๕ ทว่ี า่ “สภุ าพนมุ่ นวล” มคี วามหมายชดั เจนอยแู่ ลว้ คอื สภุ าพ ไมก่ า้ วรา้ ว เสยี ดสี
ประชดประชัน หรอื เล่นล้นิ
ตัวอย่างสำนวนโวหารที่ไม่เหมาะสม๑
(๑) โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหาย อ้างว่าจำเลยขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับ
บาดเจ็บ ต้องเยบ็ ทใี่ บหนา้ ถงึ ๓๙ เข็ม จำเลยตอ่ สใู้ นชัน้ อุทธรณ์วา่ ตามที่ศาลยกเอาบาดแผล
ท่ีใบหน้าวา่ ต้องเย็บถงึ ๓๙ เข็ม ข้ึนมาเปน็ ขอ้ สำคญั นน้ั จำเลยขอกราบเรยี นด้วยความเคารพ
วา่ คา่ ใช้จา่ ยในการรกั ษาพยาบาลน้ัน ทางโรงพยาบาลไมไ่ ดค้ ิดเอาตามจำนวนเขม็ ทเ่ี ยบ็
๑ วิชา มหาคณุ การใช้เหตุผลในทางกฎหมาย (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์รุง่ เรืองธรรม, ๒๕๒๗), หน้า
๑๕๒ – ๑๕๓.
56 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คดี
(๒) ตั้งแต่จำเลยเริ่มตกเป็นผู้ต้องหาของเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยก็เสียเปรียบทางรูป
คดอี ยแู่ ลว้ เพราะเจา้ พนกั งานตำรวจจบั เอง สอบสวนเอง เตะเอง ซอ้ มเอง แลว้ ปนั้ พยานขนึ้ มา
เอง ผลที่ได้รับก็คือ ยศและเงินเดือนเพิ่มมากข้ึน แถมด้วยเกียรติอันสูงย่ิงอีกว่าตำรวจไทย
ทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
(๓) โจทกก์ ลา่ วในฟอ้ งขอ้ หนงึ่ วา่ ใบหนา้ ของโจทกเ์ กดิ แผลเปน็ ยาวถงึ ๔ นว้ิ ทำใหเ้ สยี
โฉมติดตัว โจทกเ์ ปน็ หญิงสาวและโสด การมแี ผลเปน็ ทใ่ี บหน้ามากมายเชน่ น้ยี ่อมเสียหายหนกั
ไมอ่ าจคำนวณเปน็ เงินได้ แตโ่ จทก์ขอคดิ คา่ ทดแทนเปน็ เงนิ เพยี ง ๓,๐๐๐ บาท เท่าน้ัน
จำเลยให้การต่อสู้คดีตอนหนึ่งว่า ตามฟ้องของโจทก์นั้นไม่เป็นความจริง เพราะไม่เป็น
แผลเป็นที่ใบหน้ามากมายอย่างน้ัน แม้โจทก์จะเป็นสาวโสด ก็เป็นสาวแก่อายุมากแล้ว ถึง
อย่างไรกไ็ มท่ ำใหเ้ กิดความเสียหายอย่างมากมายตามท่โี จทกเ์ รยี กรอ้ ง
(๔) โจทกฟ์ ้องจำเลยที่ ๑ ซง่ึ เปน็ คนขับรถจกั ร จำเลยที่ ๒ ซงึ่ ทำหน้าที่ปิดเปิดแผงก้ัน
รถยนตเ์ วลารถไฟแลน่ ผา่ นถนน และการรถไฟแหง่ ประเทศไทยในฐานะนายจา้ งของจำเลยท่ี ๑
และจำเลยท่ี ๒ ซ่ึงเป็นจำเลยท่ี ๓ ให้ร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ฐานละเมิด โดยกล่าวว่าโจทก์ขับ
รถยนต์เก๋งมาตามถนนราชวิถีมุ่งหน้าจะไปอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ขณะท่ีรถยนต์ของโจทก์แล่น
ขา้ มทางรถไฟทีส่ ะพานอุภยั ฯ กถ็ กู รถจกั รซึง่ จำเลยที่ ๑ เป็นคนขับชน ทั้งน้ี เพราะจำเลยท่ี ๒
ซง่ึ เปน็ คนคอยปดิ เปดิ แผงกนั้ รถยนตน์ อนหลบั เสยี ทซี่ มุ้ สญั ญาณ จำเลยที่ ๑ กข็ บั รถมาทงั้ ๆ ท
ี่
ไมไ่ ดส้ ญั ญาณไฟเขยี ว ทำใหร้ ถยนตข์ องโจทกเ์ สยี หาย ๑๕,๐๐๐ บาท คา่ ขาดประโยชนร์ ะหวา่ ง
ซ่อม ๖๐ วัน วันละ ๑๐๐ บาท
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า การท่ีจำเลยท่ี ๒ นอนหลับไมเ่ ป็นการละเมดิ ตอ่ โจทก์ เพราะ
ไมใ่ ชเ่ ปน็ การกระทำโดยประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙ และการทจี่ ำเลยที่ ๒
นอนหลบั จะเรยี กวา่ กระทำในทางการทจี่ า้ งไมไ่ ด้ เพราะจำเลยที่ ๓ ไมไ่ ดจ้ า้ งจำเลยท่ี ๒ มานอน
หลบั
ข้อ ๖ ท่ีว่า “สามารถจูงใจผู้อ่านผู้ฟังให้คล้อยตามได้” นั้น ข้ึนอยู่กับความรู้
ความสามารถเฉพาะตัวทไี่ ดศ้ กึ ษาและมีประสบการณม์ า
หัวข้อทั้งหกข้างต้นนำไปใช้ได้ทั้งในการเขียนตัวบทกฎหมายและในทางอรรถคดี
โดยเฉพาะหวั ขอ้ ๑, ๒ และ ๓ น้ัน ผู้รา่ งกฎหมายจะยดึ ถอื กันอยา่ งเครง่ ครัด ในหวั ขอ้ ๑ ทว่ี ่า
จะตอ้ งแจง้ ชัดและปราศจากช่องโหว่ น้ัน ผรู้ ่างจะตอ้ งมองโดยรอบดา้ น และคดิ แลว้ คดิ อีก แต่ก
็
อดมิได้ที่จะมชี ่องโหวห่ รอื เกิดปัญหาให้ต้องตคี วามกันเสมอ ๆ ดงั มีตวั อย่างให้เห็นกันมากมาย
ในปัจจุบัน หรอื ในหัวข้อ ๓ นัน้ คำทีใ่ ช้ในท่แี หง่ หนง่ึ แล้ว หากจะนำไปใช้ในท่แี หง่ อืน่ โดยใหค้ ง
ความหมายอยา่ งเดิม ก็ต้องใชใ้ ห้เหมอื นกัน สำหรบั หัวข้อ ๔, ๕ และ ๖ เปน็ หลกั ทีต่ อ้ งยึดถือ
เพ่อื จะใช้ในการเขียนคำคคู่ วาม คำพพิ ากษา ฯลฯ ดงั ที่แบง่ ไวว้ า่ เปน็ ภาษาท่ใี ช้ในทางอรรถคดี
โดยทวั่ ไป แตก่ ็ตอ้ งไมท่ ิง้ หลกั ท่ีกำหนดในหัวขอ้ ๑, ๒ และ ๓ ด้วย
ส่วนท่ี ๑ ความรทู้ ่วั ไป
57
นอกจากน้ี โปรดพจิ ารณาดสู ำนวนโวหารในคำพิพากษาตอ่ ไปนี้
“......แต่จำเลยกระทำในขณะบันดาลโทสะ เพราะถูกนาย ก. ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วย
เหตอุ นั ไมเ่ ปน็ ธรรม จำเลยจงึ ควรไดร้ บั ความเมตตาปรานตี ามกฎหมาย อกี ประการหนงึ่ นาย ก.
ไดร้ อ้ งขอตอ่ ศาลวา่ หากมที างจะใหค้ วามกรณุ าแกจ่ ำเลยบา้ งภายในขอบเขตของกฎหมายและ
หลกั แหง่ ความยตุ ธิ รรมแลว้ นาย ก. จะยนิ ดดี ว้ ย ซง่ึ ศาลนรี้ สู้ กึ เหน็ ใจในความอาวรณข์ องนาย ก.
และพรอ้ มทจ่ี ะใหป้ ระกอบดลุ พนิ จิ ในการลงโทษจำเลย นอกจากนี้ ศาลยงั คำนงึ ถงึ บตุ รในครรภ
์
ของจำเลย......ศาลไมเ่ หน็ มเี หตอุ นั ใดทจ่ี ะควรใหเ้ ดก็ ผไู้ รเ้ ดยี งสาและไรค้ วามผดิ นต้ี อ้ งถอื กำเนดิ
มาในท่ามกลางระหว่างเสียงโซ่ตรวนอันไม่เป็นมงคลน้ัน แต่อย่างไรก็ดี การที่จำเลยรักพิสมัย
นาย ก. ดว้ ยอาวุธปนื เชน่ น้ี เปน็ การกระทบกระเทอื นจิตใจและหวาดเสยี วแก่ประชาชน ถงึ จะ
บนั ดาลโทสะสกั เพยี งใด ก็หาควรท่จี ะใชอ้ าวุธปืนดบั โทสะกนั ไม
่
จงึ พร้อมกันพิพากษาวา่ ......”
เห็นว่าเป็นการใช้สำนวนโวหารค่อนข้างฟุ่มเฟือย โลดโผน ผิดหลักการเขียนคำ
พพิ ากษาทจ่ี ะตอ้ งใชถ้ อ้ ยคำกะทดั รดั หนกั แนน่ ใชส้ ำนวนเรยี บ ๆ ไมใ่ ชโ้ วหารเกนิ ควร ไมก่ ลา่ ว
เกนิ เหตุ
ก
ารใช้ภาษาไทยในงานเขียนคำพพิ ากษาหรือคำสงั่
๑. การเขียนคำพิพากษาหรือคำส่ังก็เหมือนกับการเขียนเรียงความซึ่งไม่มีตำราสอน
โดยตรง มีแต่คำแนะนำเป็นหลักกว้าง ๆ เท่าน้ัน สำนวนโวหารท่ีดีจึงมีแบบอย่างให้ศึกษาได้
จากคำพพิ ากษาศาลฎกี าหรอื บทความทางกฎหมายทผ่ี รู้ เู้ ขยี นแสดงความเหน็ ซง่ึ มอี ยใู่ นหนงั สอื
ท่ีพิมพ์ในปจั จุบนั มากมาย ตอนไหนเห็นวา่ ดี มีเหตุมีผลเป็นทถี่ กู ใจ กค็ วรอ่านด้วยความพินจิ
พิเคราะห์ อย่าเพียงแต่ผ่าน ๆ ไป หรือเมื่ออ่านคำพิพากษาศาลฎีกาพบว่าเรื่องใดตอนใด
ท่ีน่าจะนำไปใช้ปรับแก่คดีท่ีอาจจะประสบในภายหลัง ก็น่าจะบันทึกไว้เพ่ือเป็นแนวทางใน
เวลาข้างหน้า เช่น คำวินิจฉัยในปัญหาว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ก็ศึกษาว่าเขียน
อย่างไร ยกข้อเท็จจริงปรับเข้ากับมาตรา ๑๗๒ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
อย่างไร อย่ากลา่ วแต่เพียงสั้น ๆ วา่ “เห็นว่าฟ้องของโจทก์ไม่เคลอื บคลมุ เพราะชัดเจนแล้ว”
สว่ นจะสน้ั ยาวเพยี งไร ก็แล้วแต่รูปคดี แต่ตอ้ งมีเหตผุ ลอธิบายให้เข้าใจได้ ดังตวั อย่างตอ่ ไปนี้
“......ปญั หาวา่ ฟอ้ งของโจทกเ์ คลอื บคลมุ หรอื ไม่ เหน็ วา่ คำฟอ้ งของโจทกบ์ รรยายวา่ ชา่ ง
กอ่ สรา้ งทจี่ ำเลยจา้ งมาใชเ้ ครอ่ื งจกั รขนาดใหญต่ อกเสาเขม็ ลงในบรเิ วณทดี่ นิ ทจ่ี ำเลยกอ่ สรา้ งตอ่
เตมิ อาคารของจำเลย เป็นผลทำให้เกดิ แรงสัน่ สะเทอื นอย่างรนุ แรง เปน็ เหตใุ หอ้ าคารบา้ นของ
โจทก์ ผนงั และเสาหนิ หกั และแตกรา้ ว คดิ เปน็ เงนิ คา่ เสยี หาย ๓๐๔,๙๒๕ บาท ขอใหจ้ ำเลยชำระ
ค่าเสียหายดังกล่าว คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่บรรยายแจ้งชัดซ่ึงสภาพแห่งข้อหาและ
คำขอบังคับ รวมท้ังข้ออ้างท่ีเป็นหลักแห่งข้อหานั้น ครบถ้วนเพียงพอให้จำเลยเข้าใจได
้
58 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉัยคดี
ตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง แลว้ ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากการ
ทจี่ ำเลยใหก้ ารตอ่ สวู้ า่ การลงเสาเขม็ อาคารของจำเลยใชว้ ธิ เี จาะเสาเขม็ ไมเ่ กดิ แรงสนั่ สะเทอื น
เป็นวิธีดีที่สุด และไม่ทำให้ที่ดินข้างเคียงและส่ิงปลูกสร้างเกิดความเสียหาย โต้แย้งคำฟ้อง
ของโจทก์ครบตามท่โี จทก์กลา่ วหา ฟ้องของโจทกจ์ ึงชอบดว้ ยกฎหมายและไมเ่ คลือบคลมุ ......”
(คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ ๔๑๗๑/๒๕๔๑)
สำนักงานศาลยุติธรรมได้จัดพิมพ์หนังสือคู่มือปฏิบัติราชการของตุลาการซ่ึงมีตัวอย่าง
การเขยี นคำพพิ ากษาหรอื คำสงั่ การจดรายงานกระบวนพจิ ารณา ตลอดจนการสง่ั คำรอ้ งตา่ ง ๆ
ไวเ้ ปน็ คมู่ อื สำหรบั ผพู้ พิ ากษาใชป้ ฏบิ ตั งิ าน และไดพ้ มิ พห์ นงั สอื เรอ่ื ง สำนวนโวหารและหลกั การ
วินจิ ฉัยข้อเทจ็ จริงจากคำพิพากษาศาลฎกี า ๒ เลม่ เกี่ยวกบั คดอี าญาเล่มหน่งึ และคดีแพ่งอกี
เล่มหนึ่ง โดยคัดเลือกคำพิพากษาศาลฎีกาท่ีเห็นว่าดีมอบให้ผู้พิพากษาไว้เพ่ือศึกษาเกี่ยวกับ
การใช้สำนวนโวหารและการวินิจฉัยข้อเท็จจริง จึงขอให้ใช้เป็นแบบอย่างหรือเป็นแนวทางใน
ก
ารเขียนคำพพิ ากษาด้วย
๒. ภาษาท่ใี ชใ้ นการเขียนคำพิพากษา ซ่งึ เรยี กว่า ภาษาหนังสอื หรือภาษาเขยี น ตา่ ง
กับภาษาพูดหรือท่ีในพจนานุกรมเรียกว่า ภาษาปาก อันหมายถึง ภาษาท่ีใช้พูดกันระหว่าง
กนั เองเพอื่ แสดงความคนุ้ เคย ไมเ่ ปน็ ทางการ สว่ นภาษาหนงั สอื นนั้ เปน็ ภาษาทใ่ี ชใ้ นราชการ ม
ี
แบบแผนและเครง่ ครัดในหลกั ภาษาหรือไวยากรณ์ ตำราไวยากรณ์ของเราในปจั จุบันเหน็ ไดว้ ่า
ส่วนหนง่ึ มาจากภาษาองั กฤษ เชน่ การแบ่งชนิดของคำเป็นคำนาม คำสรรพนาม คำกริยา คำ
วเิ ศษณ์ คำบุรพบท คำสนั ธาน และคำอุทาน การสร้างประโยคก็มีประโยคความเดียว ตรงกับ
Simple Sentence ประโยคความซอ้ น ตรงกบั Complex Sentence และประโยคความรวม ตรง
กบั Compound Sentence ฯลฯ เพราะฉะนนั้ ในบางกรณกี ารสรา้ งประโยคกด็ ี การใชค้ ำบรุ พบท
กด็ ี อาจเทียบเคียงกับภาษาองั กฤษได
้
ส่วนภาษาพูดหรือภาษาปากที่มีในคำเบิกความของพยานในสำนวน เมื่อจะใช้ในการ
เขียนคำพพิ ากษา ควรพิจารณาด้วยว่าควรจะนำมาใช้ไดม้ ากนอ้ ยเพียงไร หรือควรจะดดั แปลง
เปน็ ภาษาเขยี นอยา่ งไร จงึ จะใกลเ้ คยี งกบั ความเดมิ เชน่ คำวา่ “ไปโรงพกั ” ควรเปลยี่ นเปน็ “ไป
สถานีตำรวจ” “หยดุ พักเท่ยี ง” เป็น “หยดุ พักกลางวัน” “ถกู ซ้อม” เป็น “ถกู ทำร้าย” “จำเลย
โบกรถ” เป็น “จำเลยเรยี กให้รถหยุด” ฯลฯ คำท่ีเป็นภาษาพดู นีม้ ีคำอธบิ ายอยู่ในพจนานุกรม
ฉ
บับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ มากพอสมควร จงึ ยกมาใหด้ เู ป็นตัวอย่าง ดงั น้ี
๑) กฎหมู่ อำนาจกดดนั ทบ่ี คุ คลจำนวนมากนำมาใชบ้ บี บงั คบั ใหอ้ กี ฝา่ ยหนง่ึ กระทำหรอื
เวน้ กระทำสงิ่ ท่ีบุคคลจำนวนนั้นตอ้ งการ (มักไมเ่ ป็นไปตามตวั บทกฎหมาย)
๒) ก้นกฏุ ิ ท่ีสนทิ เป็นท่ีไว้วางใจได้
๓) กนิ เกลยี ว เข้ากนั ไดส้ นิท มักใชใ้ นความปฏเิ สธวา่ ไมก่ ินเกลียวกัน
สว่ นท่ี ๑ ความรู้ทว่ั ไป
59
๔) กนิ แกลบกินรำ โง่ เชน่ ฉันไม่ได้กนิ แกลบกินรำนี่ จะได้ไมร่ ู้เท่าทนั คุณ
๕) กินไมล่ ง เอาชนะไมไ่ ด้
๖) กินเส้น ชอบกนั เขา้ กนั ได้ มกั ใช้ในความปฏิเสธวา่ ไมก่ นิ เสน้ กนั
๗) ขี้ตดื ตระหนี่ ข้เี หนยี ว ก็วา่
๘) เจ้าพอ่ ผเู้ ปน็ ใหญ่หรือมีอิทธิพลในถนิ่ นั้น
๙) ชักใย บงการอยู่เบื้องหลงั
๑๐) เช่ือมือ เช่ือฝมี อื เชือ่ ความร้คู วามสามารถ
๑๑) ซอ้ นคนั ลักษณะทีจ่ อดรถขวางรถท่ีจอดเป็นระเบียบอยแู่ ลว้ เป็นการกีดขวางทาง
จราจร เรียกว่า จอดรถซอ้ นคัน
๑๒) แซงควิ สอดแทรกเข้ามาในระหว่างแถวเพื่อจะขึ้นหน้า
๑๓) ดนั ทุรงั ดือ้ ดึงไม่ยอมแพ้ ดื้อดงึ ไม่เข้าเร่ือง
๑๔) โดดร่ม โดยปริยายหมายความวา่ หนีงาน หนโี รงเรยี น
๑๕) ตกขอบ ท่ีสดุ ขา้ งใดข้างหน่งึ เชน่ ขวาตกขอบ, เต็มที่ เชน่ ฮาตกขอบ
๑๖) ตดิ ลบ มีรายจา่ ยเกนิ รายได้ ขาดจำนวน (ใชแ้ ก่เลขและการบัญช)ี
๑๗) ทิ้งทวน ทำอย่างไวฝ้ มี ือ ทำจนสดุ ความสามารถ ไมท่ ำอีกต่อไป ปลอ่ ยฝมี ือฝีปาก
เป็นคร้ังสุดทา้ ยกอ่ นจะเลกิ ไป ฉวยโอกาสทำเปน็ ครัง้ สุดทา้ ยกอ่ นจะหมดอำนาจ
๑๘) น้ำท่วมปาก พดู ไมอ่ อกเพราะเกรงจะมีภยั แก่ตนหรอื ผ้อู ืน่
๑๙) น้ำยา ความสามารถในทางใดทางหน่ึง (มักใช้ในทางตำหนิ เชน่ ไมม่ นี ้ำยา หรือ
หมดนำ้ ยา หมายความวา่ ไม่มสี ตปิ ัญญาความสามารถ หรอื หมดความสามารถ)
๒๐) ยักท่า ไมป่ ฏิบัตติ ามที่ตกลงกันไว้ เป็นการเล่นแง่เพื่อดทู ่วงทีของอีกฝ่ายหน่ึง
๒๑) ยัดไส้ สอดของปลอมไว้ข้างใน เช่น ธนบตั รยัดไส้
๒๒) รอบจดั มเี ลห่ ์เหลี่ยมมาก มปี ระสบการณม์ าก เจนจดั (ใช้ในทางไม่ดี)
๒๓) ลักไก่ หลอกล่อใหห้ ลงเขา้ ใจผิด ใชอ้ ุบายลวงให้หลง (มักใชแ้ ก่การกีฬา) เชน่ ยิง
ลูกลักไก่, ถือไพ่แต้มตำ่ แต่เพมิ่ เค้าเพ่อื ใหอ้ กี ฝ่ายหน่งึ เขา้ ใจผดิ วา่ ตนถือไพ่แตม้ สูง (ใช้แกก่ าร
เลน่ โปก๊ เกอรห์ รือเผ)
๒๔) ลกู แชร์ ผู้เล่นแชร์ ยกเวน้ เท้าแชร์
๒๕) เลน่ งาน กระทำเอา (มกั ใชใ้ นทางไมด่ ี เชน่ ถกู ดดุ า่ วา่ กลา่ ว ทำรา้ ย ฯลฯ) เชน่ ไข
้
ปา่ เลน่ งานเสียงอมแงม เจา้ นายเล่นงานลกู นอ้ งแตเ่ ชา้ ถูกเขาเล่นงานจนอาน
60 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินิจฉยั คด
ี
ข
อ้ สังเกตเก่ียวกับการใช้ภาษาไทย
สำนวนโวหารที่ใช้ในการเขียนคำพิพากษาก็ถือตามเร่ืองสำนวนโวหารในทางกฎหมาย
คือ ต้องใช้ภาษาหนังสือ ไม่ใช้ภาษาพูด ขอให้ยึดถือตามหลักที่ศาสตราจารย์ธานินทร์
กรยั วเิ ชยี ร วางไว้ ดงั ทย่ี กมาใหด้ ขู า้ งตน้ แลว้ คอื ชดั แจง้ กะทดั รดั ใชถ้ อ้ ยคำในตวั บทกฎหมาย
สุภาพนุ่มนวล ใช้สำนวนเรียบ ๆ ไม่หวือหวา ส่วนลีลาในการเขียนย่อมแตกต่างกันไปตาม
ลกั ษณะแหง่ คดวี า่ เปน็ คดอี าญาหรอื คดแี พง่ ถา้ เปน็ คดอี าญากแ็ ตกตา่ งกนั ไปอกี ตามรปู คดี เชน่
คดลี กั ทรพั ยซ์ งึ่ จะตอ้ งวนิ จิ ฉยั ขอ้ เทจ็ จรงิ วา่ จำเลยเปน็ คนรา้ ยหรอื ไม่ หรอื คดปี อ้ งกนั ซงึ่ จำเลยรบั
ว่าได้กระทำการอันเป็นความผิดตามท่ีถูกกล่าวหาจริง แต่อ้างว่ากระทำไปเพื่อป้องกันตัว จึง
ขอใหศ้ กึ ษาจากคำพพิ ากษาศาลฎกี าเปน็ แบบอยา่ ง ในหนงั สอื เรอ่ื ง สำนวนโวหารและหลกั การ
วนิ จิ ฉยั ขอ้ เทจ็ จรงิ จากคำพพิ ากษาศาลฎกี าจะมตี วั อยา่ งหลกั การวนิ จิ ฉยั คดปี ระเภทตา่ ง ๆ เพอื่
เ
ปน็ แนวในการเขียนคำพิพากษาไดอ้ ีกทางหน่ึงด้วย
มขี ้อแนะนำเลก็ ๆ น้อย ๆ เก่ียวกับการเขียนคำพพิ ากษา ดงั น้
ี
๑. ช่ือบุคคลในคดี สำหรับโจทก์ หรือโจทก์ท่ี ๑ โจทก์ท่ี ๒ จำเลยที่ ๑ จำเลยท่ี ๒
จำเลยที่ ๓ ปรากฏอย่แู ล้วในช่องคู่ความระหว่างใคร โจทก์ ใคร จำเลย กใ็ หใ้ ช้วา่ โจทก์ หรอื
โจทกท์ ่ี ๑ โจทกท์ ี่ ๒ กบั จำเลยท่ี ๑ จำเลยที่ ๒ จำเลยท่ี ๓ ตอ่ ไป สำหรบั ชอ่ื บคุ คลอนื่ ๆ ในการ
เรยี กครงั้ แรก ใชค้ ำนำหนา้ วา่ นาย นาง นางสาว ชอ่ื ตวั และชอื่ สกลุ ครงั้ ตอ่ ไปเรยี กแตช่ อื่ อยา่ ง
เดียว ไมต่ ้องมีนามสกุล ยศของทหารและตำรวจไม่นิยมใชค้ ำยอ่ ใช้พลเอก พลตำรวจเอก พนั
ตำรวจเอก ไม่ใช้ พล.อ. พล.ต.อ. หรือ พ.ต.อ. ศักราชท่ีอยู่ท้ายชื่อกฎหมายใช้ พ.ศ. ……
ทงั้ หมด ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธศักราช พุทธศกั ราช หรอื พ.ศ. ……
เมอื่ ไดก้ ลา่ วครั้งแรกว่าใครเปน็ ผเู้ สยี หายหรือผู้ตายแลว้ ต่อไปควรใช้วา่ ผู้เสียหาย หรือ
ผู้ตาย โดยตลอด
๒. ชื่อสถานท่ี สถานที่ราชการ หน่วยราชการหรือหน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ
รวมทั้งตำแหน่งซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานน้ัน ๆ ควรจะสนใจว่าเรียกอย่างไรแน่
เรียกว่า ผู้อำนวยการ ผวู้ ่าการ หรือประธาน ถา้ สงสัยควรสอบถามคู่ความหรือพยานท่ีมาเบกิ
ความเพ่ือใหป้ รากฏอยู่ในสำนวน อยา่ ปล่อยใหเ้ จา้ หน้าท่ผี ู้บันทกึ คำพยานพมิ พ์ไปผิด ๆ ถกู ๆ
จ
ะเกดิ ปัญหาเมอื่ จะเขียนคำพพิ ากษา
๓. ภาษาที่ใช้ต้องเป็นภาษาหนังสือ ไม่ใช่ภาษาพูด ในช้ันสืบพยานหากได้บันทึกคำ
พยานตามที่พยานเบิกความเป็นภาษาพูดไว้ เช่น ไปโรงพัก จำเลยถูกซ้อม โดนทำร้าย ต้อง
หยุดพักเท่ียง จำเลยโบกรถ เวลาเขียนคำพิพากษาควรปรับปรุงใช้คำอ่ืนที่มีความหมายอย่าง
ส่วนที่ ๑ ความรทู้ ว่ั ไป
61
เดียวกนั แทน เช่น เปลีย่ นเปน็ ไปสถานตี ำรวจ จำเลยถกู ทำร้าย หยุดพกั กลางวัน จำเลย
เ
รยี กให้รถหยุด
๔. ควรใชถ้ อ้ ยคำในกฎหมาย อยา่ เขยี นไปตามเคยชนิ หรอื ทร่ี สู้ กึ วา่ คลอ่ งปาก เชน่ การ
ครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ใช้ว่า บุคคลใด
ครอบครองทรพั ยส์ นิ ของผอู้ นื่ ไว้ “โดยความสงบและโดยเปดิ เผยดว้ ยเจตนาเปน็ เจา้ ของ” ก
็
พงึ ใชถ้ อ้ ยคำตามนี้ เหตทุ จ่ี ะรอการลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ กฎหมายใช
้
วา่ “ถา้ ไมป่ รากฏวา่ ผนู้ น้ั ไดร้ บั โทษจำคกุ มากอ่ น” กอ็ ยา่ ไปใชว้ า่ “ตอ้ งโทษจำคกุ มากอ่ น” หรอื
มาตรา ๗๘ ใชว้ ่า “เม่อื ปรากฏวา่ มเี หตุบรรเทาโทษ” กไ็ มค่ วรใช้ว่า “มเี หตอุ นั ควรปราน”ี ซึง่
เปน็ คำเกา่ ทใี่ ชใ้ นกฎหมายลกั ษณะอาญา ลดโทษ กบั ลดมาตราสว่ นโทษ ไมเ่ หมอื นกนั อยา่
ใชส้ บั กัน
๕. ในตอนท่วี ินจิ ฉยั คดี คอื ตอนทขี่ ้นึ ต้นว่า “ศาลได้พิเคราะหพ์ ยานหลักฐานโจทกแ์ ละ
จำเลยแลว้ ” หรอื “พเิ คราะหแ์ ลว้ ” ไมค่ วรมวี ลที ว่ี า่ “โดยละเอยี ดถถ่ี ว้ นแลว้ ” “โดยรอบคอบถถี่ ว้ น
ตลอดแลว้ ” หรอื “โดยตระหนกั รอบคอบแลว้ ” ไมก่ ลา่ วตำหนผิ อู้ นื่ ทไี่ มเ่ กยี่ วขอ้ งกบั คดที ำใหเ้ ขา
เสียหาย ไม่ตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์ความไม่เหมาะสมของคำพยานหรือบุคคลใดโดยชัดเจน
หรอื กลา่ วยนื ยนั วา่ พยานปากนนั้ ปากนเี้ บกิ ความเทจ็ อนั จะเปน็ เหตเุ กดิ ฟอ้ งรอ้ งเปน็ คดเี บกิ ความ
เทจ็ หรอื แจง้ ความเทจ็ กนั อกี คดหี นง่ึ ถา้ ไมเ่ ชอ่ื พยานปากใดหรอื ของฝา่ ยใด กค็ วรกลา่ วแตเ่ พยี ง
วา่ มพี ริ ธุ อยา่ งไร ขดั แยง้ กบั พยานปากอนื่ หรอื พยานหลกั ฐานอนื่ อยา่ งไร จงึ ไมม่ นี ำ้ หนกั หรอื ไม
่
น่าเชอ่ื หรือมีเหตอุ ันควรสงสยั
ในคดีอาญา ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยเป็นปัญหาข้อเท็จจริงแทบทั้งสิ้น จึงขอให้ระลึกถึง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗ วรรคแรก ที่บัญญัติว่า “ให้ศาลใช
้
ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานท้ังปวง อย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการ
กระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น” และในคดีอาญาต้องฟังพยานหลักฐานของ
โจทกเ์ ปน็ หลกั ซงึ่ ทา่ นไดศ้ กึ ษามาแลว้ ในเรอ่ื งการรบั ฟงั และการชงั่ นำ้ หนกั พยานหลกั ฐาน และ
จะตอ้ งนำมาใช้เสมอ ๆ
มกั จะมกี ารยกเอาคำเบกิ ความของพยานซงึ่ ขดั แยง้ กนั มาตำหนแิ ลว้ ฟงั เปน็ พริ ธุ วา่ ไมน่ า่
เชื่อว่าพยานจะได้รู้เห็นเหตุการณ์จริง ข้อน้ีควรระวังให้ดีว่าเป็นข้อแตกต่างในสาระสำคัญหรือ
เป็นเพียงพลความ ถ้าเป็นเพียงพลความ ก็ไม่น่าจะถือเป็นข้อพิรุธถึงกับจะไม่รับฟังคำพยาน
ดังกล่าว เพราะปกติจะให้ทุกคนสังเกตและจำสิ่งท่ีพบเห็นโดยละเอียดถ่ีถ้วนย่อมไม่ได้ ควร
พ
จิ ารณาถึงข้อเทจ็ จรงิ อ่ืน ๆ ประกอบด้วย
๖. เมอ่ื วนิ จิ ฉัยเสร็จแล้ว ก็จะถงึ ตอนพิพากษา อยา่ ลมื วา่ คำพพิ ากษาเปน็ คำสั่งหรอื คำ
บงการ ไมใ่ ชค่ วามเหน็ จะใช้ ควร ไมไ่ ด้ คอื ไมใ่ ชว้ า่ ควรลดโทษใหก้ งึ่ หนง่ึ ควรรอการลงโทษ
62 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉัยคดี
จำคุก ฯลฯ แตใ่ ชว้ า่ ลดโทษให้กึ่งหนง่ึ ให้รอการลงโทษจำคุก ใหร้ ิบของกลาง ฯลฯ คอื เป็น
คำส่ังท่ีเด็ดขาด สำหรับกรณีท่ีเห็นว่าควรรอการลงโทษหรือควรลดโทษให้มากน้อยเพียงใด
จะตอ้ งอย่ใู นชัน้ วนิ จิ ฉัย ซ่ึงสว่ นมากจะอย่ตู อนท้ายของคำวินิจฉัย
จำเลยใหก้ ารรบั สารภาพ ไมค่ วรมคี ำขยายอกี ว่า “โดยด”ี
ส่วนท่ี ๑ ความรู้ทว่ั ไป
63
สำนวนโวหารในทางกฎหมายและคำพพิ ากษา *
ท่านสมบูรณ์ บุญภินนท
์
หัวข้อน้ีมีวัตถุประสงค์ในการอบรมสรุปใจความ คือ ให้บรรยายถึงเร่ืองสำนวนโวหารที่
ใช้ในร่างกฎหมายและสำนวนโวหารทีใ่ ชใ้ นการเขยี นคำพพิ ากษา
คำว่า “สำนวนโวหาร” หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงแบบหน่ึง ๆ “สำนวนโวหาร
คำพพิ ากษา” จงึ หมายถงึ ถอ้ ยคำทใ่ี ชเ้ รยี บเรยี งคำพพิ ากษาเทา่ นนั้ มไิ ดห้ มายถงึ คำพพิ ากษาท
ี่
ใช้สำบัดสำนวนเล่นล้ินหรือใช้ช้ันเชิงในการเขียนแต่อย่างใด คำพิพากษาน้ันโดยกฎหมาย
ระเบียบข้อบังคับ และทางปฏิบัติท่ีวิวัฒนาการและยึดถือกันมามีข้อพึงปฏิบัติและข้อจำกัดอยู่
หลายประการ ซงึ่ เปน็ การตกี รอบใหส้ ำนวนโวหารคำพพิ ากษาเปน็ แบบการเรยี บเรยี งถอ้ ยคำทมี่
ี
เอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั อยา่ งหนง่ึ หาอาจเลยี นแบบจากความเรยี งชนดิ อน่ื เชน่ นวนยิ าย วรรณคด ี
จดหมายเหตใุ ด ๆ ไม่
กรอบแห่งสำนวนโวหาร กฎหมายท่ีเป็นกรอบในการเขียนคำพิพากษาในทางแพ่ง
มาตราแรก คอื ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ มาตรา ๑๔๑ ซง่ึ บญั ญตั วิ า่ คำพพิ ากษา
หรือ .... ของศาลใหท้ ำเปน็ หนังสือ และต้องกล่าวหรอื แสดง
(๑) ชือ่ ศาลที่พิพากษาคดนี น้ั
(๒) ชอ่ื คูค่ วามทกุ ฝ่ายและผแู้ ทนโดยชอบธรรมหรือผู้แทน ถา้ หากมี
(๓) รายการแห่งคดี
(๔) เหตุผลแหง่ คำวนิ ิจฉยั ทัง้ ปวง
(๕) คำวินิจฉัยของศาลในประเดน็ แหง่ คดีตลอดทัง้ คา่ ฤชาธรรมเนียม
ถ้าคดีนั้นมีการช้ีสองสถาน มาตรา ๑๘๓ บัญญัติว่า ในการช้ีสองสถาน ให้ศาลจด
ประเดน็ ข้อพิพาทลงไว้แลว้ “ใหศ้ าลพิจารณาและชีข้ าดตัดสินคดีไปตามนั้น” ซึ่งหมายถงึ ตาม
ประเดน็ ที่กำหนดไว้
ส่วนคดีอาญามีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๘๖ บัญญัติว่า คำ
พิพากษา .... ต้องมีข้อสำคัญเหลา่ น้เี ป็นอย่างนอ้ ย
(๑) ชอ่ื ศาลและวันเดอื นปี
(๒) คดีระหวา่ งใครโจทก์ใครจำเลย
* เอกสารประกอบการบรรยายในการอบรมผู้ช่วยผู้พิพากษา รุ่นที่ ๓๐ ณ สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่าย-
ตุลาการศาลยุติธรรม จากหนังสือท่ีระลึกงานพระราชทานเพลิงศพนายสมบูรณ์ บุญภินนท์, คัดมาจาก
ดุลพาห เล่ม ๓ ปที ี่ ๕๖ (กนั ยายน – ธนั วาคม ๒๕๕๒), หนา้ ๓๕ – ๔๔.
64 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉัยคด
ี
(๓) เรอื่ ง
(๔) ขอ้ หาและคำใหก้ าร
(๕) ขอ้ เทจ็ จริงซ่ึงพจิ ารณาได้ความ อนั หมายถงึ คำวินจิ ฉัยของศาลในประเดน็ แหง่ คด
ี
(๖) เหตุผลในการตดั สนิ ทงั้ ในปญั หาขอ้ เท็จจรงิ และขอ้ กฎหมาย
(๗) บทมาตราทีย่ กขนึ้ ปรับ
(๘) คำชข้ี าดใหย้ กฟ้องหรือลงโทษ
(๙) คำวนิ ิจฉยั ของศาลในเรอ่ื งของกลางหรือในเรื่องฟ้องทางแพ่ง
คำพิพากษาในคดีท่ีเก่ียวกับความผิดลหุโทษ ไม่จำต้องมีอนุมาตรา (๔) (๕) และ (๖)
แมใ้ นคดอี าญาจะไมม่ กี ารชสี้ องสถานกำหนดประเดน็ แตม่ าตรา ๑๘๖ (๖) ทวี่ า่ เหตผุ ลใน
การตัดสินทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย และมาตรา ๑๙๒ ท่ีห้ามมิให้พิพากษาหรือ
สง่ั เกินคำขอหรือทมี่ ไิ ดก้ ล่าวในฟ้อง ประกอบกัน ทำให้เหน็ ว่าในคดอี าญาศาลกต็ อ้ งวินิจฉัยอย
ู่
ในประเด็นแห่งคดีที่จะนำไปสู่การตัดสินว่าจำเลยมีความผิดหรือไม่ผิดตามฟ้องนั่นเอง ส่ิงใดท่ี
มิได้เป็นไปเพ่ือการตัดสินดังกล่าวย่อมเป็นการนอกประเด็น จะยกขึ้นวินิจฉัยมิได้ การท่ีศาล
วินิจฉัยถึงข้อพิรุธของพยานหลักฐานเพ่ือชั่ง หนักพยานในการวินิจฉัยประเด็นแห่งคดี คำ
วนิ จิ ฉยั ดงั กลา่ วไมเ่ ปน็ การวนิ จิ ฉยั นอกประเดน็ (คำพพิ ากษาฎกี าที่ ๑๑/๒๕๓๕) แตถ่ า้ กลา่ วถงึ
ความไม่ดีของพยานของโจทก์ จำเลย หรือบุคคลอ่ืนท่ีมิได้เป็นไปเพ่ือวินิจฉัยประเด็นแห่งคด ี
ยอ่ มถอื ว่าเป็นเร่ืองนอกประเด็น ตอ้ งห้ามมใิ ห้วนิ ิจฉยั
ในการปฏิบัติราชการของผู้พิพากษาจะมีการรายงานความดีความชอบกันทุกปี โดย
ผู้บังคับบัญชาลำดับแรกจะรายงานตามแบบรายงานการปฏิบัติราชการและการเสนอความดี
ความชอบของขา้ ราชการตลุ าการ ประจำ พ.ศ. .... ต่อผู้บงั คับบญั ชาตามลำดบั ช้ัน ในรายงาน
ดังกล่าวมีข้อ ๒ (๗) ให้รายงาน “ความสามารถในการทำคำพิพากษาหรือคำสั่ง ” โดยม
ี
หนงั สอื เวยี นอธบิ ายถงึ การกรอกขอ้ ความในรายงานขอ้ ๒ (๗) นว้ี า่ “หมายถงึ ความสามารถใน
การช้ีประเด็นข้อพิพาทของคู่ความโดยละเอียดและแจ่มแจ้ง และวินิจฉัยพยานหลักฐานโดย
มีเหตุผลดีและละเอียดลออ มีความสามารถอธิบายข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้เข้าใจโดย
รดั กมุ และแจ่มแจง้ และสามารถทำคำพพิ ากษาและคำสงั่ ไดโ้ ดยไม่เนิ่นช้า” คำอธบิ ายนี้ก็จะทำ
ให้เห็นลักษณะคำพิพากษาที่ว่า “ดี” น้ัน คือ วินิจฉัยถูกต้องตามประเด็น วินิจฉัย
พยานหลกั ฐานละเอียดลออ มีเหตผุ ลดี และยังตอ้ งรดั กุมและแจ่มแจ้งด้วย
ลักษณะสำนวนโวหารทด่ี ี
เมื่อพจิ ารณากฎหมาย ระเบียบ และทางปฏิบตั ิทีย่ ึดถือกันมาดังกลา่ วแล้ว จะเหน็ ได้วา่
สำนวนโวหารทด่ี นี นั้ ควรมลี ักษณะดังตอ่ ไปน
ี้
๑. อยใู่ นประเดน็
๒. ละเอียดแจ่มแจ้ง
สว่ นท่ี ๑ ความรูท้ ่วั ไป
65
๓. ถอ้ ยคำรดั กุม
๔. ใช้ภาษาทีด่ ี
๑. อยใู่ นประเดน็
สำนวนโวหารท่ีนับว่าดีได้ต้องเป็นสำนวนโวหารท่ีกล่าวเกี่ยวข้องกับประเด็นในคดีน้ัน
ถ้าเป็นการกล่าวเรื่อยเป่ือย การยกความประพฤติของผู้ที่เก่ียวข้องกับคดีมากล่าว ไม่อยู่ใน
ประเด็น ไม่นบั วา่ เปน็ โวหารทด่ี
ี
คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ถ้ามีการช้ีสองสถาน ได้กำหนดประเด็นไว้ว่าอย่างไรบ้าง
ควรกลา่ วไว้ดว้ ย โดยจัดไวใ้ นลำดับถดั จากจำเลยใหก้ าร เพื่อเป็นแนวทจ่ี ะวนิ จิ ฉัยตามประเดน็
ตามทก่ี ำหนดไวต้ อ่ ไป อยา่ งไรกด็ ี ประเดน็ ทกี่ ำหนดไวก้ บั ขอ้ เทจ็ จรงิ ทต่ี อ้ งวนิ จิ ฉยั อาจไมต่ รงกนั
ทเี ดียวกไ็ ด้ เชน่ กำหนดประเด็นขอ้ พพิ าทไว้ว่า “คดีขาดอายุความหรือไม่ ” แตก่ ารวนิ จิ ฉยั อาจ
ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยได้รบั สภาพหน้หี รือไม่ ตามทีค่ คู่ วามนำสืบโตเ้ ถยี งกนั โดยถา้ ฟงั วา่ จำเลย
ไดร้ ับสภาพหนีแ้ ล้ว คดีก็ไมข่ าดอายคุ วาม
ส่วนคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา ปกติไม่จำเป็นต้องกล่าวว่าศาลชั้นต้น
ช้ีสองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าอย่างไร เพราะในชั้นอุทธรณ์ฎีกาข้อท่ีโต้เถียงกัน
ขน้ึ มาอาจเปลย่ี นแปลงไปจากประเดน็ ทกี่ ำหนดไวเ้ ดมิ แลว้ เชน่ คงฎกี าเพยี งบางสว่ นในประเดน็
ข้อน้นั
คดีอาญาซ่ึงไม่มีการช้ีสองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาท เพราะปกติจะมีประเด็น
ขอ้ พพิ าทเพยี งวา่ จำเลยกระทำผดิ หรอื ไม่ หรอื ในคดแี พง่ ซง่ึ ไมม่ กี ารชส้ี องสถาน แมไ้ มม่ ปี ระเดน็
ขอ้ พพิ าททกี่ ำหนดไว้ ศาลกต็ อ้ งวนิ จิ ฉยั ประเดน็ ทคี่ คู่ วามนำสบื โตเ้ ถยี งกนั หรอื ขอ้ โตเ้ ถยี งตาม
คำฟอ้ งและคำใหก้ าร หรอื ในขอ้ ทศี่ าลอาจยกขน้ึ วนิ จิ ฉยั ได้ คำวนิ จิ ฉยั ดงั กลา่ วถอื วา่ เปน็ สำนวน
โวหารทอี่ ยู่ในประเดน็
การเขียนติชมวิจารณ์บุคคลนอกคดีน้ัน เป็นเรื่องไม่เก่ียวกับประเด็นที่พิพาทกันในคด ี
ถือว่าเปน็ เรือ่ งไม่อยใู่ นประเด็น ไมพ่ ึงนำมากล่าว เช่น ไปตำหนเิ จ้าพนักงานที่ดิน นายอำเภอ
พนักงานสอบสวน ฯลฯ หาเกีย่ วกับประเดน็ พพิ าทในคดีไม่ เพราะเจ้าหน้าทเี่ หลา่ นมี้ ไิ ด้เข้ามา
ต่อสู้คดีด้วย ไม่อาจแก้ตัวอย่างไรได้ ศาลเพียงแต่กล่าวหาเขาข้างเดียว จึงไม่สมควรจะกล่าว
อีกประการหน่ึงด้วย แม้เป็นศาลสูงจะว่ากล่าวศาลล่างดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ชอบด้วย
กฎหมาย ก็กล่าวแต่เพียงเท่านั้น จะถึงกับกล่าวว่าผู้พิพากษาศาลล่างไม่มีความรู้ ไม่เป็นการ
สมควร และเปน็ เร่อื งนอกประเดน็
สำนวนโวหารบางคำศาลใชโ้ ดยเจตนาจะวา่ กลา่ วคคู่ วามโดยไมจ่ ำเปน็ เปน็ การแสดงถงึ
ความไม่พอใจ อาจทำให้คู่ความคิดว่าเป็นความลำเอียงของศาลต้ังแต่แรก นับว่าเป็นสำนวน
นอกประเดน็ เชน่ กนั เชน่ กลา่ วถงึ ขอ้ นำสบื ของจำเลยทจี่ ะวนิ จิ ฉยั ตอ่ ไปวา่ “ทจ่ี ำเลยเพยี รนำสบื
วา่ ....” หรอื “ทจี่ ำเลยพยายามนำสบื วา่ ....” ทใ่ี ชค้ ำวา่ เพยี ร หรอื พยายาม เปน็ การใชถ้ อ้ ยคำท
่ี
66 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี
แสดงถึงความไม่เช่ือถือเสียแล้วก่อนท่ีจะวินิจฉัย เป็นคำกล่าวที่ไม่เช่ือโดยไม่มีเหตุผล นับว่า
เป็นคำกลา่ วทไี่ มม่ ีเหตุผล ไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย นบั วา่ นอกประเดน็ เช่นกนั
สำนวนโวหารที่วา่ “เปน็ ผลดแี ก่ (คู่ความฝา่ ยหน่งึ ฝา่ ยใด) อยู่แล้ว ” เช่น ทศ่ี าลลงโทษ
จำเลยเพียง ๓ ปี เป็นผลดีแก่จำเลยอยู่แล้ว หรือในคำพิพากษาฎีกาท่ี ๓๐๓/๒๔๘๘๑ ท่ีว่า
จำนวนเงนิ ทโ่ี จทกเ์ รยี กรอ้ งและทศี่ าลอทุ ธรณก์ ำหนดใหเ้ ปน็ รายเดอื นกน็ อ้ ย เปน็ ผลดแี กจ่ ำเลย
อยแู่ ล้ว ไม่ควรกล่าว เพราะดูเปน็ ถ้อยคำเยาะเย้ยเสยี ดสีว่าฝ่ายนน้ั เลวยง่ิ กว่าไดร้ ับโทษไปเสีย
อีก ทั้งเป็นการกล่าวว่าโจทก์หรือทนายโจทก์ไม่ฎีกา จึงทำให้ศาลฎีกาจะลงโทษหรือให้ใช
้
ค่าเสียหายเพ่ิมขึ้นไม่ได้ อาจทำให้ตัวโจทก์ไปต่อว่าทนายโจทก์ได้ นับเป็นเร่ืองนอกประเด็น
เช่นเดยี วกนั
สำนวนโวหารทวี่ ่า “ทีท่ นายจำเลยอ้างน้ันเปน็ ความเข้าใจผดิ ของทนายจำเลย” ดงั นี้ ขอ้
ท่ีว่าทนายจำเลยเข้าใจผิดเป็นเรื่องนอกประเด็น เพราะความจริงเขาอาจจะแกล้งไม่เข้าใจก็ได้
คอื เขาเข้าใจถกู ต้องอยแู่ ล้ว แต่เมอื่ ไดร้ บั แต่งต้ังเปน็ ทนายจำเลยกต็ ้องสู้คดีเชน่ นั้น การท่ศี าล
ไปวา่ เขา แสดงว่าศาลเองเขา้ ใจผดิ เป็นเรอ่ื งไม่ควรแสดงออกไปว่าศาลไมร่ ้เู ท่าทัน
มีคำสั่งคำร้องที่ ๒๔๘/๒๕๐๒ ท่ีว่า “ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่บิด
ผนั ให้เป็นปญั หาขอ้ กฎหมาย ศาลช้ันตน้ ไม่รบั ชอบแลว้ ให้ยกคำรอ้ ง” คำสั่งคำร้องฉบบั น้ศี าล
ฎีกายังเดินตามมาอีกหลายเร่ือง ซ่ึงเห็นได้ว่าคำส่ังไม่ได้ให้เหตุผลท่ีวินิจฉัยว่าเป็นข้อเท็จจริง
เลย คงกลา่ วหาวา่ ผฎู้ กี าบดิ ผนั ขอ้ เทจ็ จรงิ ใหเ้ ปน็ ขอ้ กฎหมายเทา่ นนั้ การบดิ ผนั เปน็ เพยี งอาการ
ไม่ใช่เหตุผลว่าเหตุใดจึงเป็นข้อเท็จจริง กรณีเช่นน้ีน่าจะให้เหตุผลว่าปัญหาท่ีแท้จริงคืออะไร
และปญั หานนั้ เปน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ การกลา่ วอา้ งวา่ บดิ ผนั จงึ นา่ จะเปน็ เรอ่ื งนอกประเดน็ เพราะไมเ่ ปน็
เหตุผลแก่กัน
๒. ละเอียดแจ่มแจง้
คำพพิ ากษาตอ้ งใหเ้ หตผุ ลวา่ เหตใุ ดจงึ วนิ จิ ฉยั เชน่ นนั้ เหตผุ ลนนั้ ตอ้ งละเอยี ดแจม่ แจง้ ถงึ
ขนาดท่ีคู่ความหรือผู้ฟังเข้าใจได้ว่าเหตุใดคู่ความฝ่ายน้ัน ๆ จึงแพ้หรือชนะคดี และทำให้ผู้ที
่
เกยี่ วขอ้ งกบั คดเี หน็ วา่ เปน็ ธรรมแลว้ (ไมใ่ ชค่ คู่ วามฝา่ ยแพค้ ดี เพราะไมว่ า่ ผพู้ พิ ากษาจะเขยี นด
ี
อยา่ งไร ฝา่ ยนค้ี งคดิ ว่าไมเ่ ปน็ ธรรมอยู่นั่นเอง)
การให้เหตุผลในคำวินิจฉัยแบ่งได้เป็น คำวินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริง และคำ
วนิ ิจฉัยในปญั หาขอ้ กฎหมาย
การวนิ จิ ฉยั ขอ้ เทจ็ จรงิ ตอ้ งใชพ้ ยานหลกั ฐานทค่ี คู่ วามนำสบื มาวนิ จิ ฉยั มใิ ชใ่ หค้ คู่ วาม
นำสบื พยานจนเสรจ็ สนิ้ กระแสความ แลว้ ศาลเพยี งวนิ จิ ฉยั เอาจากเหตผุ ลทวั่ ๆ ไป โดยมไิ ดน้ ำ
๑ กระทรวงยตุ ธิ รรม, สำนวนโวหารและหลกั การวนิ จิ ฉยั ขอ้ เทจ็ จรงิ จากคำพพิ ากษาศาลฎกี า เลม่ ๒ คดแี พง่
(กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพร์ ุ่งเรอื งธรรม, ๒๕๒๘), หน้า ๑๒๓.
ส่วนที่ ๑ ความร้ทู ่ัวไป
67
พยานหลักฐานท่ีคู่ความนำสืบมาวินิจฉัยแต่อย่างใด เช่น โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำการโดย
ประมาท จำเลยตอ่ สวู้ า่ ตนไมไ่ ดเ้ กย่ี วขอ้ งดว้ ย ศาลวนิ จิ ฉยั เพยี งวา่ จำเลยเปน็ ผบู้ งั คบั บญั ชาเขา
นา่ เชอ่ื วา่ ไดเ้ ขา้ ไปเกย่ี วขอ้ งรเู้ หน็ ดงั น้ี ถอื วา่ เปน็ การไมช่ อบดว้ ยประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณา
ความแพง่ มาตรา ๒๔๓ (๑) ศาลอทุ ธรณต์ อ้ งพพิ ากษายกคำพพิ ากษาศาลชน้ั ตน้ ใหศ้ าลชนั้ ตน้
พิพากษาใหม่
การวนิ จิ ฉยั ขอ้ เทจ็ จรงิ ในคดอี าญา ตอ้ งวนิ จิ ฉยั พยานหลกั ฐานโจทกก์ อ่ นวา่ นา่ เชอื่ ถอื
พอฟงั ลงโทษจำเลยหรือไม่ เช่น พยานเป็นผอู้ ยู่ใกลช้ ดิ เหตกุ ารณห์ รอื ไม่ แสงสว่างเปน็ อย่างไร
รแู้ ลว้ ไดบ้ อกกลา่ วแกผ่ ทู้ คี่ วรบอกกลา่ วอยา่ งไร หรอื ไม่ มคี วามสนทิ สนมเปน็ ญาตกิ บั ผเู้ สยี หาย
หรอื จำเลยอยา่ งไร ถ้าพยานมหี ลายปาก พยานเหลา่ นั้นเบิกความสอดคล้องต้องกนั หรือไม่ ถ้า
มีพยานวัตถุหรือบาดแผล คำเบิกความสอดคล้องกับพยานวัตถุหรือบาดแผลหรือไม่ ชั้น
สอบสวนจำเลยใหก้ ารอยา่ งไร ถา้ พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟงั ลงโทษจำเลย กไ็ มต่ ้องวินจิ ฉัย
พยานหลักฐานจำเลยอีก ถ้าพยานหลักฐานโจทก์น่าเช่ือถือ ต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานจำเลย
อีก ถ้าพยานหลักฐานโจทก์น่าเชื่อถือ ต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานจำเลยว่าไม่อาจหักล้าง
พยานหลักฐานโจทกไ์ ดเ้ พราะเหตใุ ด บางท่านมักกล่าวลอย ๆ วา่ พยานหลกั ฐานจำเลยไมอ่ าจ
หักล้างพยานหลกั ฐานโจทก์ไดโ้ ดยไม่ใหเ้ หตุผลอื่น ซึง่ ไมถ่ ูกตอ้ ง
สว่ นการวนิ จิ ฉยั ขอ้ เทจ็ จรงิ ทางแพง่ เปน็ เรอื่ งนำพยานหลกั ฐานมาชง่ั นำ้ หนกั กนั ตอ้ ง
วินจิ ฉัยวา่ ฝา่ ยหนึ่ง ๆ มพี ยานหลกั ฐานใดบ้าง ซึ่งปกตผิ ู้บรรยายจะนำพยานหลักฐานของฝ่าย
นำสบื กอ่ นมาวนิ จิ ฉยั วา่ นา่ เชอ่ื ถอื หรอื ไม่ ทำนองเดยี วกบั การวนิ จิ ฉยั พยานหลกั ฐานคดอี าญา แต
่
คดีแพ่งมักจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเป็นเวลานาน การอยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์เป็นเวลานาน เช่น
ทำนาอยใู่ กลท้ พ่ี พิ าทหรอื ไม่ และมกั มพี ยานเอกสารและพยานวตั ถปุ ระกอบใหว้ นิ จิ ฉยั ไดง้ า่ ยกวา่
วา่ ขอ้ เทจ็ จรงิ เปน็ อยา่ งไร เมอื่ วนิ จิ ฉยั พยานฝา่ ยหนงึ่ แลว้ กว็ นิ จิ ฉยั พยานของอกี ฝา่ ยหนง่ึ ตอ่ ไป
และพิจารณาด้วยว่าพยานหลักฐานของฝ่ายหน่ึงเจือสมทางนำสืบของอีกฝ่ายหน่ึงบ้างหรือไม ่
แล้ววินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของฝ่ายใดมีน้ำหนักมากกว่าอีกฝ่ายหน่ึง และฟังข้อเท็จจริงไป
ตามน้ัน การวินิจฉัยข้อเท็จจริงอาจมีข้อเท็จจริงเบื้องต้นท่ีรับกัน แล้วมาโต้เถียงกันเฉพาะ
ขอ้ เทจ็ จรงิ ตอนใดตอนหนึ่งกไ็ ด้
ตามทางปฏิบัติของผู้บรรยาย จะอ่านจากคำพิพากษาฎีกา สำนวนใดชอบ จะจดจำไว้
เป็นตัวอย่าง แล้วพยายามเขียนเลียนแบบตามนั้น แต่ปัจจุบันมีหนังสือสำนวนโวหารและ
หลกั การวนิ จิ ฉยั ขอ้ เทจ็ จรงิ จากคำพพิ ากษาศาลฎกี าทก่ี ระทรวงยตุ ธิ รรมพมิ พแ์ จก ๒ เลม่ อาญา
เล่มหน่ึง แพ่ง อีกเล่มหนึ่ง ท่านสามารถตรวจดู ชอบเร่ืองใดบ้าง ก็ยึดถือเป็นแบบอย่าง
นอกจากน้ันเมื่อท่านอ่านคำพิพากษาฎีกาใหม่ ๆ ถ้าท่านชอบก็ควรจดจำไว้ดัดแปลงแบบ
การเขียนของท่านด้วย เพราะคำพิพากษาฎีกาใหม่ ๆ จะแสดงถึงวิวัฒนาการของการเขียน
คำพพิ ากษาว่าเป็นไปอย่างไร
68 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี
ในการวนิ จิ ฉัยข้อเทจ็ จรงิ มถี อ้ ยคำต้องใชเ้ สมอ ควรจดจำไว้ใชใ้ นโอกาสอันควร เช่น
“สอดคล้องต้องกัน” หมายถึง คำพยานบุคคลของฝ่ายเดียวกันเบิกความตรงกัน
เปน็ เหตุให้นา่ เช่อื ถอื
“เจอื สม” หมายถงึ พยานฝา่ ยตรงกนั ขา้ มมาสอดคลอ้ งหรอื รบั กนั กบั พยานอกี ฝา่ ยหนงึ่
“พยานวตั ถสุ มกบั คำเบิกความของพยาน” แสดงว่าคำพยานน้ันนา่ เช่ือถือ
“เบิกความลอย ๆ” หมายถึง พยานบุคคลที่เบิกความด้วยปาก ไม่มีหลักฐานหรือ
เอกสารใด ๆ สนบั สนนุ ให้นา่ เช่อื ถอื เปน็ พยานทีม่ ีน้ำหนักน้อย
“ส่อแสดงว่า” ใช้เพื่อสรุปข้อเท็จจริงว่าเท่าท่ียกข้อเท็จจริงข้ึนอ้างนั้นส่อแสดงว่าผล
เป็นอย่างไร
สำหรบั การวนิ จิ ฉยั ขอ้ กฎหมายนน้ั ตอ้ งฟงั ขอ้ เทจ็ จรงิ กอ่ นโดยอาจฟงั จากทค่ี คู่ วามรบั
กนั หรอื วนิ จิ ฉยั จากทางนำสบื แลว้ ปรบั ขอ้ เทจ็ จรงิ เขา้ กบั ขอ้ กฎหมาย ถา้ บทกฎหมายไมช่ ดั แจง้
กต็ อ้ งแปลตามตวั อกั ษรหรอื เจตนารมณแ์ หง่ กฎหมายนนั้ ถา้ มคี ำพพิ ากษาฎกี าเปน็ บรรทดั ฐาน
อยู่แล้ว ก็ระบุนัยคำพิพากษาดังกล่าวด้วย การอ้างคำพิพากษาฎีกาไม่ต้องมีคำว่า “ศาล” คือ
มิใชค่ ำพพิ ากษาศาลฎีกา การอา้ งคำพิพากษาฎีกาต้องระบชุ ื่อค่คู วามด้วย
๓. ถ้อยคำรดั กุม
ถ้อยคำที่ใช้ในการวินิจฉัยต้องรัดกุม ข้อน้ีไม่ขัดกับข้อก่อนที่ว่าต้องละเอียดแจ่มแจ้ง
เพราะละเอียดแจ่มแจ้งน้ัน คือ ต้องเขียนให้เข้าใจได้ดี แต่ถ้อยคำรัดกุม หมายถึง ต้อง
ไม่ให้เขา้ ใจไปเปน็ อย่างอ่ืนไดอ้ กี การเขยี นข้อความยดื ยาวอาจไมช่ ดั แจ้งกไ็ ด้ เพราะยิ่งเพม่ิ
ขอ้ ความมากขึน้ ทำใหต้ ้องมีปัญหาในถ้อยคำทเ่ี พม่ิ เขา้ มาอกี กไ็ ด้ จึงควรตอ้ งเขยี นส้ัน ๆ ให้ได
้
ความชัดเจน กล่าวคอื ตอ้ งใหถ้ อ้ ยคำรดั กุม
การเขียนให้รัดกุมต้องคิดว่าจะเขียนใช้ถ้อยคำอย่างไรจึงจะตรงกับความหมายตามท
่ี
ผู้เขียนตั้งใจ บางคำตามพจนานุกรมแปลอย่างเดียวกัน แต่ความรู้สึกของคนฟังหาเหมือนกัน
ทเี ดยี วไม่ เชน่ คำวา่ “วตั ถุ” แปลวา่ สงิ่ ของ และคำวา่ “สง่ิ ของ” แปลวา่ วตั ถตุ า่ ง ๆ ถา้ จะเขยี น
ประโยคว่า “ส่ิงของท่ีจำเป็นสำหรับดำรงชีพ ” ก็ดูเป็นคำที่ใช้กัน แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นว่า “วัตถุที่
จำเปน็ สำหรบั ดำรงชพี ” หาเปน็ ถอ้ ยคำทถี่ กู ตอ้ งตามความหมายทป่ี ระสงคไ์ ม่ ฉะนน้ั หากเขยี น
ประโยคหนงึ่ แลว้ รสู้ กึ วา่ ยงั ไมต่ รงตามความหมายทตี่ งั้ ใจจะกลา่ ว อาจเปดิ พจนานกุ รมคำทเี่ ปน็
ปญั หา อาจทำให้ไดค้ ำทต่ี งั้ ใจจะกล่าวก็ได้
หากเขียนไปแล้วยืดยาวเกินไป ใหต้ รวจดูวา่ ยังมีคำท่ีไม่จำเป็นต้องกล่าวบ้างหรอื ไม่ ถ้า
ตัดแล้วไม่เสียความและไม่ขาดความสละสลวย ให้ตัดคำน้ันเสีย บางกรณีข้อความ ๒ ถึง ๓
ประโยค อาจนำมารวมเปน็ ประโยคเดียวกนั ได
้
การเขียนทางนำสืบโดยยกพยานแต่ละปากมากล่าวว่าพยานปากนั้นเบิกความอย่างไร
แตล่ ะปากไป เดมิ เคยมกี ารเขยี นกนั อยบู่ า้ ง ตอ่ มาถอื วา่ ไมร่ ดั กมุ ขณะนไี้ มม่ กี ารเขยี นเชน่ นแี้ ลว้
การมวี งเลบ็ อธิบายความอีกก็แสดงถึงการเขียนไมร่ ดั กมุ
สว่ นท่ี ๑ ความรู้ท่วั ไป
69
ปัจจบุ นั จำนวนคดมี มี ากขนึ้ ผู้พพิ ากษาตอ้ งเขยี นคำพิพากษามากข้นึ ความนยิ มในการ
เขยี นใหส้ นั้ และรดั กมุ ยงิ่ มมี ากขน้ึ ทกุ ที นอกจากขอ้ แนะนำดงั กลา่ วทท่ี ำใหเ้ ขยี นไดส้ น้ั และรดั กมุ
แล้ว ยังมีข้อแนะนำอีกบางประการ เช่น ช่ือบุคคลในคดี ควรเรียกท้ังชื่อและนามสกุลเพียง
ครงั้ เดยี ว ตอ่ ไปคงเรยี กเฉพาะชอ่ื ไมต่ อ้ งใสน่ ามสกลุ อกี เวน้ แตม่ บี คุ คลชอื่ เดยี วกนั ตง้ั แต่ ๒ คน
ขนึ้ ไปในคดนี น้ั ตอ้ งใสน่ ามสกลุ ดว้ ยเพอ่ื มใิ หส้ บั สน การอา้ งถงึ กฎหมายใด ใหร้ ะบชุ อื่ กฎหมาย ตาม
ดว้ ยมาตรา ถา้ จะอา้ งถงึ มาตราอนื่ ในกฎหมายฉบบั เดยี วกนั อกี กไ็ มต่ อ้ งระบชุ อ่ื กฎหมายอกี แลว้
คงระบถุ งึ มาตราไปไดท้ เี ดยี ว เวน้ แตม่ กี ฎหมายอน่ื คน่ั แตย่ อ่ หนา้ ใหมอ่ า้ งถงึ กฎหมายครง้ั เดยี ว
อีกเช่นเดิม บางกรณีประโยคไม่ชัด อาจต้องเติมบางคำลงไป เช่น ประโยคว่า “เด็กชายหญิง
ทั้งสองที่เป็นบุตรโจทก์จำเลยเป็นบิดา ” นั้น น่าจะเติมคำว่า “น้ัน ” ลงระหว่างโจทก์กับจำเลย
จะทำให้ชดั ขน้ึ ว่าเดก็ ท้งั สองมโี จทกเ์ ปน็ มารดาและมจี ำเลยเป็นบิดา
คำพิพากษาบางเรื่องเขียนยืดยาวเกินไป เช่น คำพิพากษาฎีกาท่ี ๘๒๖/๒๔๙๒ เรียง
โดยหลวงจำรญู เนตศิ าสตร์ ตคี วามคำวา่ “บตุ รทบี่ ดิ ารบั รองแลว้ ” วา่ หมายถงึ บคุ คลอยา่ งไร ซงึ่
ไดอ้ ธบิ ายยดื ยาว ทำใหข้ าดความรดั กมุ แตเ่ นอ่ื งจากในขณะนนั้ เปน็ ระยะเรม่ิ ประกาศใชป้ ระมวล
กฎหมายแพง่ และพาณิชย์ บรรพ ๕ และบรรพ ๖ ใหม่ ๆ คนยงั เขา้ ใจน้อย หลวงจำรญู เนติ-
ศาสตร์ทา่ นเปน็ อาจารยส์ อนกฎหมาย จงึ เจตนาท่ีจะอธบิ ายเพื่อความเขา้ ใจแจ่มแจง้ ของบุคคล
ทว่ั ไปดว้ ย แตป่ จั จบุ นั การเขยี นคำพพิ ากษายาว อธบิ ายละเอยี ดอยา่ งตำรากฎหมายนนั้ ไมเ่ ปน็
ที่นิยมอีกตอ่ ไป
การใช้สำนวนคำพิพากษาดังนวนิยายก็ถือว่าไม่รัดกุม ทั้งมีลักษณะไม่จริงจัง ไม่สมกับ
คำพพิ ากษาซ่งึ เปน็ เรอื่ งบงั คบั จงึ ไมค่ วรใชส้ ำนวนโวหารดังหนงั สอื นวนิยายดงั กล่าว
ผพู้ พิ ากษาบางทา่ นใชถ้ อ้ ยคำในวรรณคดเี รอื่ งรามเกยี รต์ิ เชน่ หลงั จากวนิ จิ ฉยั ฎกี าของ
จำเลยหมดแล้ว ย่อหน้าใหม่ว่า “บัดน้ีจะได้วินิจฉัยฎีกาของโจทก์ต่อไป” ดังนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็น
“ส่วนโจทก์ฎีกาเปน็ ประการแรกว่า....” กน็ า่ จะเพียงพอ จะทำให้ถอ้ ยคำรดั กมุ ขนึ้ อีกมาก
๔. ใชภ้ าษาท่ีดี
ภาษาที่ดี คือ ภาษาที่สุภาพ เป็นภาษาเขียน โดยปกติ ได้แก่ ภาษาที่เป็นภาษา
ทางราชการน่นั เอง ไมใ่ ช่ภาษาพดู ไมใ่ ชภ่ าษาแสลง และไม่ใชส้ ำนวนสวงิ สวายหรอื โลดโผน
ภาษาพูด เชน่ “จำเลยรบั เพราะถูกซอ้ ม” หรือ “ไม่ถกู กนั ” ซงึ่ ควรใช้ว่า “มสี าเหตโุ กรธ
เคอื งกัน”
คำบางคำอาจเปน็ ภาษาทด่ี ใี นสมยั หนง่ึ แตบ่ ดั นไี้ ดล้ ว่ งเลยสมยั ไปแลว้ เชน่ คำพพิ ากษา
ฎกี าท่ี ๑๗๑๑/๒๔๙๗ ทวี่ า่ “จะขอใหศ้ าลรบั ฟงั แตค่ ำพยานโจทกใ์ นชนั้ ศาลอยา่ งเดยี วทงั้ ดนุ้ วา่
อยา่ งไรกต็ อ้ งอยา่ งนนั้ หรอื นยั หนง่ึ กเ็ ทา่ กบั มอบการชต้ี น้ ตายปลายเปน็ ไวแ้ กพ่ ยาน ซง่ึ หาเปน็
การถกู ตอ้ งไม่ พยานจะเบกิ ความอยา่ งไรกเ็ บกิ ความไปไดโ้ ดยเสรี แตจ่ ะใหศ้ าลตอ้ งถกู ผกู มดั รบั
ฟังหมด สุดแต่พยานจะจูงไปทางไหนนั้น ไม่ชอบด้วยความยุติธรรมเลย....” และ “....หากจะ
เกณฑ์ให้ศาลจำต้องถูกผูกมัดรับกลืนข้อเท็จจริงดังคำพยานโจทก์เบิกความท้ังหมดทั้งส้ินโดย
70 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉยั คดี
ไม่ตอ้ งใชว้ ิจารณญาณอย่างใดเลยแล้ว กอ็ าจไมไ่ ด้รบั ความยตุ ิธรรม....”
คำวา่ “ชวิ หาเดยี วกลา่ วถอ้ ยเปน็ สอง” หรอื “ปลกู พชื ผลอาสนิ ” เปน็ ตน้ อาจเคยใชก้ นั ใน
สมัยก่อน แต่บัดน้ีไม่ใช้กันแล้วเช่นเดียวกัน การกล่าวถ้อยคำให้มีสัมผัสก็ดี การใช้คำพังเพย
โบราณมาปรับ เช่น “มอบการชี้ตน้ ตายปลายเป็นไวแ้ ก่พยาน....” ดังทก่ี ล่าวข้างต้น หรอื “กลบั
ยง่ิ สะทอ้ นใหเ้ หน็ เจตนารมณข์ องฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั ชิ ดั แจง้ ขนึ้ อกี วา่ ....” กเ็ หน็ วา่ ลว่ งเลยสมยั ไปแลว้
การใช้ภาษาไทยให้สละสลวย เทา่ ท่กี องผชู้ ว่ ยผูพ้ ิพากษาศาลฎีกาเคยคัดกันมา เชน่ ใน
ประโยคตดิ กนั หรอื ใกลก้ นั ไมค่ วรมคี ำซำ้ กนั เชน่ มคี ำวา่ “จงึ ” ในประโยคแรกแลว้ ประโยคทส่ี อง
ไม่ควรมคี ำว่า “จงึ ” อกี ควรเปลยี่ นคำว่า “จงึ ” ในประโยคแรกเปน็ “ย่อม ”
ตอ้ งใช้คำในกฎหมาย เม่อื เปน็ คำในกฎหมาย
อกั ขรวธิ ี ต้องใช้ตามพจนานกุ รม เช่น ภาระจำยอม แม้ตามตวั บทใช้ “ภารจำยอม” แต
่
เมือ่ อกั ขรวธิ เี ปลยี่ นไป คำพพิ ากษาตอ้ งเปล่ียนตาม หรอื “มรฎก” ตอ่ มาเปลีย่ นเป็น “มรดก”
การวนิ จิ ฉัย เมือ่ วินิจฉยั จบแล้ว ไมต่ อ้ งมคี ำวา่ “โดยสรปุ ” อกี คร้ังหนึง่ เพราะเมอ่ื เขยี น
ดแี ล้ว ค่คู วามยอ่ มรแู้ ล้วเขา้ ใจแล้ว ไมต่ อ้ งสรุปอกี
คำวา่ “ทงั้ สอง” มใิ ช่ “ท้ัง ๒” แต่ถ้า “ท้ัง ๒ คน” ใชไ้ ด
้
“พยานโจทก์มี หนักหลักฐานหนักแน่นม่ันคง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า....” ควรใช้เพียง
“พยานหลักฐานโจทก์มี หนกั ให้ฟงั ได้ว่า....”
การวนิ จิ ฉยั ในคำพิพากษาเป็นความเรียง ไมค่ วรแยกเปน็ หัวขอ้ ๑ ข้อ ๒ ข้อ ๓ เพราะ
ทำให้ตะกุกตะกกั ไมร่ าบรืน่
คำวา่ “และ หรอื ” เปน็ คำภาษาองั กฤษ ไมค่ วรใช้ เมอ่ื ใชค้ ำวา่ “หรอื ” กจ็ ะไดค้ วามหมาย
เทา่ กัน
คำปฏเิ สธขึ้นตน้ วา่ “หา” จะตอ้ งลงทา้ ยด้วย “ไม่ ” เช่น โจทกห์ าไดบ้ อกจำเลยไม่ จะตัด
คำว่า “ไม่ ” เสียไมไ่ ด้
รถตอ้ ง “แล่น” มิใช่ “วงิ่ ”
“วินจิ ฉยั ไปเลย” เปน็ ภาษาพูด ต้องใชว้ า่ “วนิ จิ ฉยั ไปทเี ดยี ว”
“กบั ” “แก่ ” “แต่ ” “ต่อ” ตอ้ งใช้ให้ถูก
“กับ” หมายถงึ รวมกัน หรือเก่ียวข้องกัน เช่น ฟ้ากบั ดนิ กนิ กับนอน หายวบั ไปกบั ตา
การใช้คำวา่ แจ้งความ “กับ” พนักงานสอบสวน ไม่ถูกตอ้ ง
“แก่ ” ใชน้ ำหน้านามฝา่ ยรบั เชน่ ให้เงนิ “แก่ ” เด็ก มิใช่ ให้เงิน “กบั ” เดก็
“แต่ ” ใชเ้ ชอ่ื มความกลบั กนั หรือแยง้ กัน เช่น ข้ึนแต่ลมลง
“ต่อ ” หมายถึง ทำให้ยาวออกไป เพ่ิมให้มาก เช่น ต่ออายุสัญญา ต่อความยาวสาว
ความยดื ยน่ื ตอ่ ศาล
สดุ ทา้ ยน้ีพงึ เชอื่ เถิดวา่ คำพิพากษาท่ีดี ไม่ต้องใช้สำนวนโวหารทแี่ ปลกออกไป สำนวน
โวหารที่เปน็ ภาษาราชการธรรมดากเ็ ป็นสำนวนโวหารคำพพิ ากษาแลว้
ส่วนท่ี ๑ ความรู้ท่ัวไป
71
การเรยี งคำพพิ ากษาและการใชค้ ำวา่ กบั แก่ แต่ ตอ่ *
ทา่ นประเสริฐ บญุ ศร
ี
ในปัจจุบันปัญหาในเรื่องการใช้คำว่า “กับ” “แก่” “แต่” “ต่อ” ในภาษาไทยยังมีความ
เขา้ ใจและการใชท้ ส่ี บั สนกนั อยมู่ าก อาจเปน็ เพราะใหค้ วามสนใจแกป่ ญั หานน้ี อ้ ยเกนิ ไป ไมว่ า่ จะ
เป็นข้อเขียนท่ีปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ หรือแม้แต่ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่ง
ประเทศไทย ตวั อยา่ งเช่น ใหส้ มั ภาษณ์ กบั ผู้สอ่ื ข่าว บอก กับ ผสู้ ื่อข่าว ทำประโยชน์ให้ กบั
ประเทศชาติ หรอื นำสนิ คา้ ราคาถกู มาขายให้ กบั ประชาชน ฯลฯ บางครงั้ การพดู หรอื การเขยี น
ขอ้ ความอยา่ งเดยี วกนั ในทหี่ า่ งกนั เพยี งไมก่ ปี่ ระโยค ตอนหนงึ่ ใช้ “กบั ” แตอ่ กี ตอนหนง่ึ ใช้ “แก”่
ทพ่ี บอยูเ่ สมอ คอื คำว่า ใหส้ มั ภาษณแ์ ก่ผู้สื่อขา่ ว เปิดเผยแก่ผู้สอ่ื ข่าว หรือแถลงแกผ่ สู้ อ่ื ขา่ ว
เนื่องจากคำว่า “กับ” น้ันมีความหมายและการใช้เป็นอย่างหน่ึง ส่วนคำว่า “แก่” น้ันก็ม
ี
ความหมายและการใช้เป็นอีกอย่างหน่ึง การใช้ผิดที่หรือสับสนย่อมทำให้ภาษาหนังสือใน
ขอ้ ความตอนนน้ั เสยี ไป หรอื เกดิ ความเขา้ ใจผดิ หรอื ไมเ่ ขา้ ใจความหมายแหง่ ขอ้ ความตอนนน้ั ไป
เลยทีเดยี ว
การใช้คำว่า “กับ” “แก่” “แต่” “ต่อ” นั้นมิได้มีปัญหาอยู่แต่ในภาษาพูดหรือภาษา
เขยี นทไ่ี ดเ้ หน็ หรอื ไดย้ นิ ไดฟ้ งั จากสอ่ื มวลชนเทา่ นน้ั แตย่ งั มปี ญั หาเกย่ี วพนั ถงึ ภาษากฎหมาย
โดยเฉพาะอย่างย่ิงในการเรียงคำพิพากษาหรือจดคำพยาน ซึ่งการใช้ที่ไม่ถูกต้องย่อมเกิด
ความไม่สละสลวยงดงาม หรือบางทีทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปได้ ตัวอย่างเช่น การจำนอง
ทรพั ยไ์ วแ้ กบ่ คุ คลอนื่ (ป.พ.พ. มาตรา ๗๑๒) มกั จะพบเสมอวา่ ใชก้ นั วา่ จำนองไวก้ บั บคุ คลอนื่
ถา้ ลกู หนี้สัญญาแก่เจ้าหน้ี (ป.พ.พ. มาตรา ๓๗๙) โอนกรรมสทิ ธ์ิแห่งทรพั ยส์ นิ ให้แก่ (ป.พ.พ.
มาตรา ๔๕๓) สง่ มอบใหแ้ ก่ (ป.พ.พ. มาตรา ๔๖๑) บอกกลา่ วแก่ (ป.พ.พ. มาตรา ๕๐๖) มอบ
ให้แก่ (ป.พ.พ. มาตรา ๕๒๔) ขายให้แก่ ให้แก่ จ่ายให้แก่ ไล่เบ้ียเอาแก่ (ป.พ.พ. มาตรา
๔๓๓) เหมาะสมแก่ (ป.พ.พ. มาตรา ๔๗๙) แจ้งความแก่ (ป.อ. มาตรา ๑๓๗ และมาตรา
๑๗๒) ลงโทษแก่ (ป.อ. มาตรา ๒ และมาตรา ๓) ดำเนนิ คดแี ก่ ใหแ้ ก่ (ป.อ. มาตรา ๑๖๗) ฟอ้ ง
ตอ่ ศาล เบิกความตอ่ ศาล (ป.อ. มาตรา ๑๗๕ และมาตรา ๑๗๗)
อดีตประธานศาลฎีกาท่านหน่ึงเคยปรารภถึงการสับสนในการใช้ “กับ” และ “แก่” ท
่ี
ปรากฏอยู่ในคำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ทา่ นประธานศาลฎกี าตอ้ งตรวจและสั่งออก
* คดั มาเฉพาะบางสว่ นจากดุลพาห เลม่ ๒ ปีท่ี ๓๐ (มีนาคม – เมษายน ๒๕๒๖), หนา้ ๔ – ๑๑.
72 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉัยคดี
ปัญหาดังกล่าวน้ีมิใช่เพ่ิงมีอยู่หรือเพ่ิงเกิดข้ึน แต่ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว ดังที่มีหลักฐาน
ปรากฏอยใู่ นประกาศใหใ้ ชค้ ำวา่ กบั แก่ แต่ ตอ่ ซง่ึ คดั มาจากประชมุ ประกาศรชั กาลที่ ๔ จ.ศ.
๑๒๒๑ (พ.ศ. ๒๔๐๒) ดงั ต่อไปน้ี
ประกาศ
ใหใ้ ช้คำว่า กับ แก่ แต่ ตอ่
ประกาศมาให้คนเขียนหนังสือทั้งปวงทราบทั่วแล้ว สังเกตใช้ให้ถูกในท่ีควรจะว่า (กับ)
วา่ (แก)่ วา่ (แด)่ วา่ (แต)่ วา่ (ตอ่ ) วา่ (ใน) วา่ (ยงั ) จงสงั เกตใหแ้ กแ่ ลว้ ใชใ้ หถ้ กู อยา่ ใหเ้ ปนกบั
ไปทกุ แหง่ แลอย่ากลัว (กับ) งกเงิ่นไป ฯ คนสองคนสามคนขน้ึ ไปทำกริ ยิ าเหมือนกันใชว้ ่ากับ
ผวั นอนกบั เมยี ผวั อยกู่ บั เมยี นายไปกบั บา่ ว คนหนง่ึ นงั่ พดู เลน่ กบั คนหนง่ึ นายปฤกษากบั บา่ ว
บตุ รรว่ มศขุ ทกุ ขกบั บดิ ามารดา ลกู คา้ ซอ้ื ขายกบั ชาวบา้ น ขนุ นางเจรจากบั แขกเมอื ง ลคอนเลน่
กับตลก คนหนงึ่ ววิ าทกับเพื่อนบา้ น ผ้รู ้ายตีรนั กนั กบั เจา้ เรือน คนโทษไปกบั ผคู้ มุ อะไรอ่นื ๆ
เช่นนีม้ ากมายนกั เอาที่คนสองคนสามคนฤามากทำกริ ิยาเดียวกันทำด้วยกัน จ่งึ ใชก้ ับ ฯ อน่ึง
ถ้าเปนของท่ไี ปด้วย มาด้วย อยูด่ ว้ ย ไดม้ าด้วย เสยี ไปหายไปดว้ ยกัน ก็ว่ากบั ได้ เหมือนหนึ่ง
คนไปกบั ยา่ มของตวั ไปกบั ดาบแลปนื ของตวั กว็ า่ ได้ คนมากบั หาบสงิ่ ของ คนแกม่ ากบั ไมท้ า้ ว
คนมากบั ชา้ ง กบั มา้ กบั โค กบั กระบอื คนอยกู่ บั หบี ผา้ ทองเกบ็ ไวก้ บั เงนิ ผา้ กบั เสอ้ื อยดู่ ว้ ยกนั
คนไดม้ ดี มากบั ดำ้ ไดข้ วานมากบั สว่ิ ไดป้ นื มากบั ดนิ ดำ ไดเ้ กวยี นมากบั ววั หบี ไฟไหมเ้ สยี กบั ผา้
เงนิ หายไปกับถุงด้วยกัน ของกด็ ี สตั วก์ ็ดี คนกด็ ี อยดู่ ้วยกนั ไปด้วยกนั ทำอะไรด้วยกัน ตอ้ งที่
จะออกชอ่ื ดว้ ยกนั วา่ กบั ไดส้ น้ิ คอื เงนิ กบั ทอง มอ่ เขา้ กบั เชงิ กราน บนั เหยี นกบั มา้ ตพดกบั โค
สายสนตพายกับกระบอื นกกบั กรง ทหารกับปืน คนกับช้าง มา้ กับรถ โคกับเกวยี น คนกบั รอง
ทา้ ว รม่ กบั รองทา้ ว ชา้ งกบั มา้ ลากบั อดู บตุ รกบั บดิ า ขา้ กบั เจา้ เรอื กบั คน อะไร ๆ เปนอนั มาก
ทไี่ ปดว้ ยกัน มาด้วยกัน อยดู่ ว้ ยกัน ทำอะไรดว้ ยกนั ว่ากับไดห้ มด แตถ่ วาย แลให้ แลรับ แล
เรยี กเอา บอกเลา่ วา่ กบั ไมไ่ ดเ้ ลย ฯ ทลู เกลา้ ทลู กระหมอ่ มถวายในหลวง ในพระบาทสมเดจ็ พระ
เจา้ อยหู่ วั ถวายในเจา้ ตา่ งกรม กำนนั ในทา่ นเสนาบดี ฯ ถวายพระพรแดพ่ ระเจา้ อยหู่ วั กราบทลู
พระกรณุ าแดพ่ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั กราบทลู ตอ่ เจา้ ตา่ งกรม เจา้ ยงั ไมไ่ ดต้ ง้ั กรม เรยี นตอ่
ทา่ นเสนาบดี แจง้ ความตอ่ ผสู้ ำเรจ็ ราชการเมอื ง กรมการฟอ้ งตอ่ ลกู ขนุ ศาลหลวง ใหใ้ ชร้ ะยะใน,
แด,่ ตอ่ , โดยสมควร นอกกวา่ นใ้ี ชแ้ ก่ คอื พระราชทานแก่ ใหแ้ ก่ บอกแก่ แจง้ ความแก่ ทำโทศ
แก่ ลงโทศแก่ใคร ๆ อะไร ๆ วา่ ไม่สดุ แล้วคำท่ีต่อกบั แจ้งแก่ รอ้ งเรยี นแก่ ทำคุณแก่ ทำให้แก่
บอกใหแ้ ก่ แจกจา่ ยแก่ เสยี ไปแก่ ลงพระราชอาญาแก่ ใหป้ รบั ไหมแก่ ไดแ้ ก่ เสยี แก่ ไวแ้ ก่ ไวใ้ จ
แก่ ไว้ความแก่ เอนดูแก่ เหนแก่ ใหถ้ อ้ ยคำแก่ ยอมแก่ โกรธแก่ ฤษยาแก่ ทรพั ยมรฎกตกแก ่
ทำรา้ ยแก่ เสยี สนิ บนแก่ มปี ระโยชนแ์ ก่ มอบหมายแก่ ไวธ้ รุ ะแก่ ใหส้ ลี ใหพ้ รแก่ สมควรแก่ จงม
ี
ส่วนท่ี ๑ ความรูท้ วั่ ไป
73
แก่ สงสารแก่ อนุเคราะห์แก่ ขายให้แก่ ให้ช่องแก่ แลอ่ืน ๆ ที่คล้ายกัน ให้ว่าแก่อย่าว่ากับ
เลย เหมือนคำท่ีจะควรว่าแต่น้ัน คือรับแต่ ขอแต่ เอาแต่ เรียกเอาแต่ พระราชทานแต่ ได้
อนเุ คราะหแ์ ต่ เรียกภาษีแต่ เอามาแต่ ฟังแต่ มาแต่ ซ้ือมาแต่ เรยี กเอาแต่ เก็บเอาแต่ รแู้ ต่ แล
อื่น ๆ ใชแ้ ต่ในทีว่ า่ ด้วยต้นทางมา
ประกาศมา ณ วนั พฤหัศ เดอื นยี่ แรมห้าค่ำ ปีมแมเอกศ๎ก
หลกั เกณฑ์การใชภ้ าษาดงั กล่าวมาขา้ งต้นยังเป็นท่ียอมรับอยใู่ นมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ว่า
เป็นหลักท่ีถูกต้อง ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ในการพูด เขียน หรือการเรียงคำพิพากษาของท่าน
การใช้ภาษาไทยท่ีไม่ถูกต้องในการเรียงคำพิพากษานั้น ท่านประทีป ชุ่มวัฒนะ อธิบด
ี
ผ้พู ิพากษาศาลอาญาธนบรุ ี (ในขณะนั้น) ทา่ นเคยกล่าวว่าเปน็ การ “ไมเ่ อื้อเฟอ้ื แกภ่ าษา”
ตัวอยา่ งการใช้ กบั แก่ แต่ ตอ่ และวลอี ืน่ บางวลที ่นี ่าสนใจมีดงั น้ี
๑. ใชบ้ ังคบั แก่ (ป.พ.พ. มาตรา ๑๐๖) จงึ นา่ จะเปน็ “ใชแ้ ก่”
๒. ลงโทษแก่ (ป.อ. มาตรา ๒ และมาตรา ๓)
๓. ดำเนินคดีแก่นายดำ (โดยนัย ข้อ ๑ และข้อ ๒) ฟ้องร้องแก่กรรมการ (ป.พ.พ.
มาตรา ๑๑๖๙)
๔. นำมาใชบ้ งั คบั แก่คำช้ขี าดของ (ป.ว.ิ พ. มาตรา ๒๑๘)
๕. สญั ญาแก่ (ป.พ.พ. มาตรา ๓๗๙)
๖. เอาไปจำนองแก่บุคคลอกี คนหน่งึ
ทรัพย์สนิ ซงึ่ จำนองไวแ้ ก่บุคคลคนหน่งึ (
ป.พ.พ. มาตรา ๗๑๒)
๗. บอกกลา่ วแก่ (ป.พ.พ. มาตรา ๕๖๖)
๘. ไล่เบ้ยี เอาแก่ (ป.พ.พ. มาตรา ๓๑๙)
๙. ว่ากลา่ วเอาความแก่ (ป.พ.พ. มาตรา ๙๖๗)
๑๐. บังคบั เอาแกจ่ ำเลย (ป.ว.ิ พ. มาตรา ๒๕๕ และ ป.พ.พ. มาตรา ๙๖๗)
๑๑. ไม่เหมาะสมแก่การทีจ่ ะใช้ (ป.พ.พ. มาตรา ๕๔๘)
๑๒. เป็นเหตุถึงแก่ (ป.พ.พ. มาตรา ๕๕๑) ทำให้เขาเสียหายถึงแก่ (ป.พ.พ. มาตรา
๔๒๐)
๑๓. ส่งมอบตราสารนั้นใหแ้ ก
่
บอกกลา่ วเป็นหนงั สือแจง้ การจำนำแก่ลกู หนี้ (ป.พ.พ. มาตรา ๗๕๐)
๑๔. บอกกลา่ วเลิกสญั ญาเช่า (ด้วยวาจา + เปน็ หนงั สอื ) แก่ผเู้ ชา่ (โดยนยั ขอ้ ๑๓)
๑๕. เกดิ ความเสยี หายแก่ (ป.พ.พ. มาตรา ๔๒๑)
๑๖. แจง้ ความแก่ (ป.อ. มาตรา ๑๓๗ และมาตรา ๑๗๓)
74 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉัยคด
ี
๑๗. ฟ้องตอ่ ศาล เบกิ ความตอ่ ศาล (ป.อ. มาตรา ๑๗๕ และมาตรา ๑๗๗)
๑๘. ขดั กับ (ความเปน็ จรงิ ) (ป.พ.พ. มาตรา ๕๒๗) ขัดตอ่ บทบัญญัตมิ าตรา ......
๑๙. เวน้ แตน่ ติ กิ รรมจะไดท้ ำเปน็ หนงั สอื และจดทะเบยี นการไดม้ ากบั พนกั งานเจา้ หนา้ ที่
๒๐. ถา้ มิไดท้ ำเปน็ หนงั สอื และจดทะเบียนต่อพนกั งานเจ้าหนา้ ที่
๒๑. รบั มอบอำนาจ แต่ .................
๒๒. บอกกล่าวบังคับจำนอง (ใช้กนั อย่เู สมอ)
บอกกลา่ วการบงั คับจำนอง (จากหนงั สอื ศจ. ดร ประกอบ หตุ ะสิงห์ ถ้าจะเขียน
ใหเ้ ตม็ รปู น่าจะมี “การ” เพราะ “บอกกลา่ ว” เป็นคำกริยา นา่ จะตามหลังด้วยคำนาม คือ การ
บงั คบั จำนอง
๒๓. รายงานการชันสตู รพลิกศพ ต้องมีคำวา่ “การ” ด้วย (โปรดดู แบบฟอรม์ ของกรม
ตำรวจ ๑ ทา้ ยฟอ้ ง) เพราะน่าจะมาจากรปู เต็มวา่ “รายงานแหง่ การชันสูตรพลิกศพ”
๒๔. โดยมิพกั คำนึงว่า (ป.วิ.พ. มาตรา ๑๖๖)
๒๕. โดยมิพักต้องเตือนเลย โดยมิพักต้องส่งมอบ มิพักต้องบอกกล่าวก่อน มิพักต้อง
พเิ คราะหว์ า่ โดยมพิ กั ตอ้ งดำเนนิ ตามลำดบั (ป.พ.พ. มาตรา ๒๐๔, มาตรา ๕๒๕, มาตรา ๕๖๔,
มาตรา ๗๐๒ และมาตรา ๙๖๗)
๒๖. ฝากไวแ้ ก่ (ป.พ.พ. มาตรา ๖๗๕ วรรคสอง) ไวแ้ ก,่ ให้ไวแ้ ก
่
๒๗. ออกใหแ้ ก่ (ป.พ.พ. มาตรา ๗๕๒) ใชแ้ ก่ตราสาร – จงึ ใชแ้ ก่เชค็ ไดด้ ้วย
๒๘. ตามสมควรแก่ (ป.พ.พ. มาตรา ๖๐๖ วรรคสอง และมาตรา ๔๒๙)
๒๙. สิทธเิ ชน่ น้ใี ช้แกผ่ รู้ บั โอน (ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๖๕)
๑ สำนกั งานตำรวจแห่งชาต.ิ
สว่ นท่ี ๑ ความรู้ทัว่ ไป
75
ขอ้ สงั เกตเกย่ี วกบั การใชภ้ าษาไทยในคำพพิ ากษา *
ทา่ นดษุ ฎี ห๎ลีละเมียร
การเรียงคำพิพากษาเป็นศิลปะและการสร้างวรรณกรรมท่ีช่วยยุติความขัดแย้งในสังคม
ด้วยความยุติธรรมโดยอาศัยกฎหมายและเหตุผลเป็นเครื่องมือ การเรียงคำพิพากษามิใช่เป็น
เพยี งเรอ่ื งของเทคนคิ ในการนำกฎหมายและเหตผุ ลมาปรบั ใชแ้ กข่ อ้ เทจ็ จรงิ ในแตล่ ะคดี การทจี่ ะ
สัมผัสถึงฝีมือและความสามารถของผู้พิพากษาที่ดีที่สุดทางหนึ่งก็คือ การได้อ่านคำพิพากษา
ของผ้พู พิ ากษาทา่ นนน้ั ๆ ดงั นั้น ผลงานทจ่ี ะเป็นเกียรติประวัติติดตวั ผพู้ ิพากษากค็ งไมพ่ น้ คำ
พิพากษาของแตล่ ะท่าน
ศาสตราจารย์ธานินทร ์ กรัยวิเชียร องคมนตรี ได้เคยกล่าวไว้ในบทบรรณาธิการของ
นติ ยสารดลุ พาหฉบับหนึ่งเมือ่ ราว ๆ พ.ศ. ๒๕๐๕ วา่ “บรรณาธกิ ารยังจดจำถ้อยคำของทา่ นผู้
พิพากษาอาวุโสผู้หนึ่งท่ีได้เอื้อเฟ้ือให้คำแนะนำไว้ว่า คำพิพากษาท่ีดีที่สุดน้ันจะเรียงอย่างไรก
็
ตาม จะต้องให้คู่ความทุกฝ่ายหายสงสัยหายข้องใจในคดีนั้น ๆ ว่าเหตุใดศาลจึงวินิจฉัยเช่น
นนั้ คำแนะนำนม้ี คี า่ เปน็ ‘อมตะ’ อนั แทจ้ รงิ และกไ็ ดบ้ ง่ แสดงชดั อยใู่ นตวั วา่ หวั ใจของคำพพิ ากษา
อย่ทู ่ี ‘เหตผุ ล’ นนั่ เอง” นอกจากนี้ ยงั มผี ูใ้ ชน้ ามปากกาว่า “ประณีต” เขียนไวใ้ นบทความ เรือ่ ง
ข้อสังเกตในการทำคำพิพากษา ของนติ ยสารบทบณั ฑติ ย์ เลม่ ๒๖ ตอน ๔ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๑๒
วา่ “…… การเขยี นคำพพิ ากษาทด่ี นี นั้ คอื การเขยี นคำพพิ ากษายกเหตผุ ลใหผ้ ฟู้ งั เลอ่ื มใสและ
เชอ่ื ถอื หรอื พดู งา่ ย ๆ กค็ อื ตดั สนิ ใหเ้ ขาพอใจ กลา่ วคอื จะลงโทษเขาทงั้ ทกี น็ า่ จะใหเ้ หตผุ ลใหน้ า่
ฟงั วา่ ทำไมเราจึงลงโทษ หรอื จะยกฟ้องก็ต้องให้เหตุผลใหเ้ ขาเหน็ ว่า เหตใุ ดจงึ ยกฟ้อง”
เหตุผลในคำพิพากษาต้องกระจ่างชัด รัดกุม และกะทัดรัด ประโยคทุกประโยคในคำ
พพิ ากษามคี วามหมาย คำแตล่ ะคำในคำพพิ ากษาสมควรไดร้ บั การกลนั่ กรองเปน็ อยา่ งดี แตล่ ะ
ประโยคจะต้องอยู่ตามลำดับของห้วงเหตุและห้วงผล ลีลาแห่งการเรียงคำพิพากษาจะต้อง
สละสลวย กระชบั สนั้ ทส่ี ดุ แตไ่ ดค้ วามมากและชดั เจนทส่ี ดุ หว้ งเหตแุ ละหว้ งผลจะตอ้ งกลมกลนื
และผสมผสานกันดี ท้ังน้ี เพื่อให้คู่ความรวมทั้งผู้ท่ีได้อ่านคำพิพากษาฉบับน้ัน ๆ เกิดความ
เช่ือถือและยอมรับในผลแห่งคำพิพากษา ถ้อยคำสำนวนท่ีใช้ในคำพิพากษาควรจะสั้นและ
ประหยัดท่สี ุด แตม่ คี วามหมายกวา้ งขวางและลึกซึง้ โดยเลอื กใช้ให้ตรงตามความมงุ่ หมายและ
* เอกสารประกอบการบรรยายในการอบรมผู้ช่วยผู้พิพากษาและผู้พิพากษาศาลช้ันต้น ณ สถาบันพัฒนา-
ขา้ ราชการฝ่ายตลุ าการศาลยุติธรรม.
76 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินิจฉยั คด
ี
ตามเหตตุ ามผลทตี่ อ้ งการใหป้ รากฏในคำพพิ ากษา ภาษาทใี่ ชใ้ นคำพพิ ากษาจะตอ้ งสภุ าพ เรยี บ
ง
า่ ย ถกู ตอ้ ง และไมเ่ ยนิ่ เยอ้ หรือโลดโผน ไม่ใช้ภาษาพูดหรอื ภาษาปาก ต้องเปน็ ภาษาเขยี น
ในส่วนย่อคำฟ้อง และย่อคำให้การ รวมท้ังในส่วนทางนำสืบของโจทก์และจำเลย
นั้น ต้องย่อความโดยไม่ให้เสียเนื้อหาสาระและกลั่นกรองสกัดเอาแต่สารัตถะมาเรียบเรียง
ตามแบบฉบับของคำพิพากษาเพ่ือให้สอดรับกับประเด็นและเหตุผลท่ีจะได้วินิจฉัยใน
สว่ นพเิ คราะหห์ รอื สว่ นคำวนิ จิ ฉยั ในคดตี อ่ ไป โดยเฉพาะการยอ่ ฟอ้ งคดอี าญา ตอ้ งกระทำใหค้ รบ
องค์ประกอบความผิดทางอาญา สำหรับในส่วนพิเคราะห์หรือส่วนคำวินิจฉัย การให้เหตุผล
ประกอบคำวินิจฉัยจะมีมากน้อยเพียงไร ข้ึนอยู่กับเน้ือหาสาระของคดีเฉพาะเรื่องเฉพาะราย
เ
หตผุ ลท่ปี ระกอบคำวินจิ ฉัยตอ้ งหนกั แน่นและโตแ้ ย้งได้ยาก
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า การเรียงคำพิพากษาคือศิลปะและเป็นวรรณกรรม จึงเป็นเร่ือง
ที่ต้องฝึกฝนและให้ความสนใจเป็นพิเศษ คำพิพากษาแต่ละฉบับเป็นเรื่องเฉพาะตัวและ
มีเอกลักษณ์ของผู้พิพากษาแต่ละท่านโดยแท้ ผู้พิพากษาแต่ละท่านจะมีวิธีการตามแบบฉบับ
ของตน คำพิพากษาจะดีแค่ไหนและเพียงใดนน้ั นอกจากจะต้องเรียงตามรูปแบบคำพิพากษา
ท่ีกำหนดไว้ในคู่มือตุลาการหรือคู่มือปฏิบัติราชการในแต่ละช้ันศาล รวมท้ังต้องปฏิบัติตาม
บทบญั ญตั วิ า่ ดว้ ยคำพพิ ากษาโดยเฉพาะแลว้ ความสำคญั ยอ่ มอยทู่ เ่ี หตผุ ลประกอบคำวนิ จิ ฉยั วา่
จะกระจา่ งชดั และหนกั แนน่ เพยี งใด และคคู่ วามแตล่ ะฝา่ ยหายขอ้ งใจสงสยั หรอื ไมว่ า่ เหตใุ ดศาล
จึงวินิจฉัยเช่นนั้น การที่จะมีลีลาแห่งการเรียงคำพิพากษาที่มีห้วงเหตุและห้วงผลผสมผสาน
สอดคลอ้ งและสละสลวยจนเปน็ ทย่ี อมรบั และเชอ่ื ถอื ในผลแหง่ คำพพิ ากษาไดน้ น้ั ยอ่ มขนึ้ อยกู่ บั
ผ
ู้พิพากษาแต่ละท่านจะมีทักษะและความสามารถในการใช้ภาษาไทยในคำพิพากษาอย่างไร
ต่อไปนี้เป็นข้อสังเกตเก่ียวกับการใช้ภาษาไทยในคำพิพากษาท่ีได้พบเห็นมาในการ
ป
ฏิบตั งิ าน
๑. ชื่อคู่ความท่ีมียศ ต้องเว้นวรรคระหว่างยศกับช่ือ (ตามคู่มือปฏิบัติราชการศาล
อุทธรณ์ พ.ศ. ๒๕๓๘) ๑
๑ ซึ่งได้มาจากหลักเกณฑ์การเว้นวรรคในการเขียนหนังสือไทยท่ีคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์เก่ียวกับ
การใช้ภาษาไทยของราชบัณฑิตยสถานพยายามรวบรวมหลักเกณฑ์เก่ียวกับการเว้นวรรคและตัวอย่างที่ม
ี
การเว้นวรรค การไม่เว้นวรรค และขนาดของวรรคตอนจากหนังสือตำราต่าง ๆ เอกสารราชการ วิทยานิพนธ์
เร่ืองการเว้นวรรคในการเขียนหนังสือไทย ตลอดจนพจนานุกรมต่าง ๆ มาประกอบการพิจารณากำหนด
หลกั เกณฑข์ ้นึ พร้อมทง้ั มตี ัวอย่างประกอบ (รายงานประจำปีของราชบณั ฑิตยสถาน ๒๕๒๙).