The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-09-18 02:21:12

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

ส่วนท่ี ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 377
คดอี าญา


ไปด้วย เมื่อรถแท็กซีพ่ าผเู้ สยี หายมายงั ทเ่ี กดิ เหตแุ ลว้ นายฮิมกับพวกร่วมกนั ทำรา้ ยผู้เสียหาย

และนำทรพั ยส์ นิ ของผเู้ สยี หายไป ผเู้ สยี หายใหก้ ารดว้ ยวา่ คนรา้ ยมชี อ่ื เลน่ วา่ นายฮมิ นายเป้ และ

นางสาวยุ้ย นอกจากน้ี ผู้เสียหายได้บอกตำหนิรูปพรรณของคนร้ายอีกด้วย พยานสืบสวนจน

ทราบจากสายลับว่ามีคนร้ายท่ีมีช่ือเล่นตามท่ีผู้เสียหายบอกจริง แต่พยานยังตามหาตัวไม่ได้

ต่อมาอีกประมาณ ๑๐ วัน จงึ ไดร้ ับแจง้ จากสายลบั ว่านายฮมิ เข้ามาในซอยมามนี พยานจึงไป

เชญิ ตวั มาสอบถาม นายฮมิ รบั วา่ รว่ มกบั นายเปแ้ ละนางสาวยยุ้ ปลน้ ทรพั ยผ์ เู้ สยี หายไปจรงิ แลว้

นำทรพั ยท์ ป่ี ลน้ มาแบง่ กนั จากนนั้ ไดต้ ดิ ตามหานายเปแ้ ละนางสาวยยุ้ ตอ่ มาจงึ ทราบวา่ นายเป

คอื จำเลยซงึ่ ถกู จบั กมุ ในความผดิ เกย่ี วกบั อาวธุ ปนื และถกู คมุ ขงั อยใู่ นเรอื นจำ จงึ แจง้ ใหพ้ นกั งาน

สอบสวนทราบ นอกจากน้ี โจทกม์ พี นั ตำรวจโท ฉลอม แสงซอ่ื พนกั งานสอบสวน มาเบกิ ความ

ว่า ในวันเกิดเหตุหลังจากพยานไปดูที่เกิดเหตุแล้ว ได้ไปพบผู้เสียหายที่โรงพยาบาล แต่ผู้

เสียหายไม่สามารถพูดได้ เน่ืองจากศีรษะบวม จนกระท่ังในวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘

ผู้เสียหายมาแจ้งความ และจากการสอบสวนตอ่ มาจึงทราบวา่ คนร้ายมี ๓ คน คอื นายสมศกั ด์ิ

จำเลย และนางสาวยยุ้ จงึ ออกหมายจบั หลงั จากนนั้ จบั กมุ นายสมศกั ดไิ์ ด้ ในการสอบสวนนาย

สมศักดิ์ให้การรับสารภาพว่าร่วมกับจำเลยและนางสาวยุ้ยปล้นทรัพย์ผู้เสียหายจริงตามบันทึก

คำใหก้ ารของผตู้ อ้ งหา เอกสารหมาย จ.๖ ในคดอี าญาหมายเลขแดงที่ ๑๗๗๐/๒๕๔๙ ของศาล

ช้ันต้น ต่อมาทราบว่าจำเลยถูกจับกุมในความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน พยานจึงให้ผู้เสียหายมาดู

ภาพถ่ายของจำเลย ผู้เสียหายดูแล้วยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายท่ีร่วมปล้นทรัพย์ไปจริงตาม

ขอ้ มลู สว่ นบคุ คลขณะขอมบี ตั ร เอกสารหมาย จ.๘ เหน็ วา่ แมโ้ จทกจ์ ะมผี เู้ สยี หายเพยี งผเู้ ดยี ว

ที่ประสบเหตุการณ์มาเบิกความเป็นพยานก็ตาม แต่คำเบิกความของผู้เสียหายดังกล่าวม

รายละเอยี ดลำดบั เรอื่ งราวไดเ้ ชอ่ื มโยงกนั สมกบั เหตกุ ารณท์ เี่ กดิ ขน้ึ หลงั เกดิ เหตแุ ลว้ ผเู้ สยี หาย

ไดไ้ ปแจง้ ข้อเทจ็ จรงิ ทเ่ี กิดขึ้นใหด้ าบตำรวจ นพิ นธฟ์ ังเพือ่ สบื จบั คนร้าย ขอ้ เท็จจริงทผี่ ูเ้ สียหาย

แจง้ ความตามทดี่ าบตำรวจ นพิ นธเ์ บกิ ความกถ็ กู ตอ้ งตรงกนั กบั ทผ่ี เู้ สยี หายไดเ้ บกิ ความดงั กลา่ ว

378 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉยั คด


ขา้ งตน้ ประกอบกับคำใหก้ ารของนายสมศักด์ิตามบันทกึ คำใหก้ ารของผู้ต้องหา เอกสารหมาย

จ.๖ ในคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี ๑๗๗๐/๒๕๔๙ ของศาลช้ันต้น ท่ีให้การรับสารภาพว่าร่วม

กับจำเลยและพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย ก็ได้ความสอดคล้องกับคำเบิกความของผู้เสียหายอีก

ด้วย แม้คำให้การดังกล่าวจะเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลย แต่ก็ไม่ใช่คำ

ซดั ทอดเพอื่ ให้ตนเองพ้นผดิ แต่อยา่ งใด จึงไมต่ ้องหา้ มให้รับฟงั นอกจากนี้ ถ้อยคำพยานโจทก์

ท่ีเบิกความมาดังกล่าวไม่มีพิรุธที่จะทำให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลยให้ต้องรับ

โทษ เช่ือได้ว่าพยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความไปตามความจริงท่ีรู้เห็นมา ที่จำเลยนำสืบอ้างว่า

ครง้ั แรกรว่ มเดนิ ทางไปกบั ผเู้ สยี หาย แตไ่ ดแ้ ยกตวั กลบั กอ่ นทจี่ ะเกดิ เหตนุ นั้ คงมแี ตค่ ำเบกิ ความ

ของจำเลยเท่าน้ัน ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบสนับสนุนอีก ทั้งยังขัดแย้งกับคำให้การของ

จำเลยในชนั้ สอบสวนตามบนั ทกึ คำใหก้ ารของผตู้ อ้ งหา เอกสารหมาย จ.๔ ทไ่ี ดใ้ หก้ ารวา่ จำเลย

อยู่ในทีเ่ กดิ เหตุด้วย แตไ่ ม่ได้ร่วมกระทำความผดิ คำเบิกความของจำเลยดังกล่าวจงึ ไมอ่ าจรบั

ฟังได้ ส่วนท่ีผู้เสียหายไม่ได้เบิกความยืนยันว่าใครเป็นผู้ปลดทรัพย์ของผู้เสียหายไปในขณะท่

ผเู้ สยี หายถกู ทำรา้ ยลม้ ลงกบั พนื้ กรณกี ย็ งั ไมม่ เี หตทุ ำใหเ้ กดิ ขอ้ สงสยั ดงั ทจ่ี ำเลยอทุ ธรณอ์ า้ งมา

แต่อย่างใด เน่ืองจากขณะนั้นผู้เสียหายถูกตีทำร้ายที่บริเวณใบหน้าอย่างแรงจนทรุดลงและ

มีอาการหายใจไม่ออก ย่อมไม่อาจจะให้ความสนใจต่อผู้ที่มาปลดเอาทรัพย์ไป และท่ีจำเลย

อุทธรณ์อ้างว่าในเรื่องช่ือของคนร้ายซ่ึงผู้เสียหายเบิกความว่าขณะไปแจ้งความยังไม่ได้ระบุชื่อ

คนรา้ ย แต่ได้บอกรูปพรรณสัณฐานใหท้ ราบ แต่ดาบตำรวจ นิพนธ์เบกิ ความวา่ ขณะผเู้ สียหาย

มาแจ้งความ ได้ระบุช่ือเล่นของคนร้ายและแจ้งรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายให้ทราบด้วย จึง

แตกตา่ งในสาระสำคญั เกย่ี วกบั ตวั ผกู้ ระทำความผดิ นน้ั เหน็ วา่ ขอ้ เทจ็ จรงิ ไมไ่ ดค้ วามแนช่ ดั วา่ ท
ี่
ผเู้ สียหายเบิกความวา่ ไม่ได้บอกชือ่ คนรา้ ยนั้นเป็นช่อื จรงิ หรือชอื่ เลน่ กรณยี งั ฟังไมไ่ ด้ว่าพยาน
โจทก์เบิกความแตกต่างกัน พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงได้ความว่าก่อนเกิดเหตุนาย

สมศกั ดใ์ิ หจ้ ำเลยพานางสาวยยุ้ มาพบผเู้ สยี หาย จากนนั้ จำเลยรว่ มกบั พวกพาผเู้ สยี หายไป เมอ่ื

สว่ นที่ ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
379
คดีอาญา


ถงึ ทเี่ กดิ เหตุ นายสมศกั ดซ์ิ งึ่ ตดิ ตามมาไดท้ ำรา้ ยผเู้ สยี หายโดยจำเลยกเ็ ขา้ รว่ มทำรา้ ยดว้ ย เมอ่ื ม

การปลดทรัพย์สินของผู้เสียหายที่ติดตัวมาแล้ว จำเลยกับนายสมศักด์ิและนางสาวยุ้ยก็พากัน

หลบหนีไป แม้โจทก์จะไม่มีพยานมาสืบให้เห็นได้ว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยกับนายสมศักด์ิและ

นางสาวยยุ้ คบคดิ รว่ มกนั วางแผนปลน้ ทรพั ยผ์ เู้ สยี หาย และขณะทจี่ ำเลยพาผเู้ สยี หายเดนิ ทางไป

โรงแรม นายสมศกั ดจิ์ ะไมไ่ ดร้ ว่ มเดนิ ทางไปดว้ ยกต็ าม แตต่ ามพฤตกิ ารณท์ โี่ จทกน์ ำสบื มากเ็ หน็

ได้ว่าจำเลยกับนายสมศักด์ิและพวกร่วมกันคบคิดมาก่อนท่ีจะพาผู้เสียหายไปปลดทรัพย ์

มิฉะน้ันแล้วจำเลยคงไม่ยินยอมให้นางสาวยุ้ยซ่ึงจำเลยได้ให้การไว้ตามบันทึกคำให้การของ

ผตู้ ้องหา เอกสารหมาย จ.๔ ว่าเป็นครู่ ักของตน ไปหลับนอนกับผู้เสียหาย และทนี่ ายสมศักด
ิ์
ไม่ได้ร่วมเดินทางมากับจำเลยด้วยในตอนแรกนั้น ก็ปรากฏว่านายสมศักดิ์ได้ติดตามจำเลยมา

โดยตลอดจนถงึ ทเ่ี กดิ เหตุ กรณจี งึ แสดงใหเ้ หน็ วา่ เปน็ การแบง่ หนา้ ทกี่ นั กระทำแลว้ และแมค้ ดนี
ี้
จะไม่ปรากฏว่ามีการตรวจยึดรถจักรยานยนต์ท่ีนายสมศักดิ์ใช้ขับมายังท่ีเกิดเหตุและได้ใช้ใน

การพาทรพั ยร์ วมทงั้ การหลบหนขี องนายสมศกั ดก์ิ บั จำเลยและพวกกต็ าม กไ็ มท่ ำใหข้ อ้ เทจ็ จรงิ

ฟังไม่ได้ว่าในการกระทำความผิดของจำเลยกับพวกไม่ได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ

เพ่ือความสะดวกในการกระทำความผิด การพาทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิด และการ

หลบหนไี ป ดงั นน้ั ขอ้ เทจ็ จรงิ จงึ รบั ฟงั ไดว้ า่ จำเลยรว่ มกบั นายสมศกั ดแิ์ ละนางสาวยยุ้ ปลน้ ทรพั ย์

ของผู้เสียหายตามบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้าย เอกสารหมาย จ.๑ ในคดีอาญาหมายเลข

แดงท่ี ๑๗๗๐/๒๕๔๙ ของศาลช้ันต้น ในการปล้นทรัพย์ดังกล่าวจำเลยกับพวกร่วมกัน

ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส ทั้งจำเลยกับพวกได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็น

ยานพาหนะเพื่อความสะดวกในการปล้นทรัพย์และพาทรัพย์ท่ีได้จากการปล้นทรัพย์ดังกล่าว

ไป หรือให้พ้นจากการจับกุม ท่ีศาลช้ันต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องน้ันชอบ

แล้ว อทุ ธรณข์ องจำเลยข้อน้ฟี งั ไมข่ ึน้

380 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉัยคดี


ปัญหาอีกประการหน่ึงที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า สมควรลงโทษ

จำเลยสถานเบาหรือไม่ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายอยู่ในสภาพท่ีไม่สามารถจะต่อสู้หรือ

ป้องกันตนเองได ้ จึงเป็นการง่ายที่จำเลยจะได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายไปโดยไม่ต้องทำร้าย

ผู้เสียหาย แต่การท่ีจำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส และจำเลย

กบั พวกยงั ใชย้ านพาหนะในการกระทำความผดิ และพาทรพั ยท์ ป่ี ลน้ ทรพั ยไ์ ปดว้ ย กรณจี งึ เปน็ เรอ่ื ง

ทรี่ า้ ยแรงอยา่ งยงิ่ ทศี่ าลชน้ั ตน้ วางโทษจำคกุ ดงั กลา่ วขา้ งตน้ จงึ เหมาะสมกบั พฤตกิ ารณแ์ หง่ รปู คด

แล้ว อทุ ธรณข์ องจำเลยข้อนฟี้ ังไมข่ ึ้นเช่นกนั

พพิ ากษายืน.

สว่ นที่ ๒ ตวั อยา่ งคำพิพากษาและคำสงั่ ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 381
คดอี าญา


ตวั อย่างคดปี ลน้ ทรพั ย์ ทำให้เสียทรพั ย์ ความผิดต่อร่างกาย






ำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๑๐๑๔/๒๕๔๙


ศาลอุทธรณต์ รวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทจี่ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ อทุ ธรณ์ว่า

จำเลยทัง้ สามไมม่ เี จตนาจะเข้าไปเอาทรัพย์สรุปทำนองวา่ การกระทำของจำเลยที่ ๒ และท่ี ๓

ไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธและใช้ยานพาหนะนั้น เห็นว่า ข้ออ้างดังกล่าว

นอกจากจะขดั กบั คำรบั สารภาพของจำเลยทงั้ สามในชนั้ พจิ ารณาแลว้ โจทกย์ งั มผี เู้ สยี หายทงั้ สอง

เบิกความสอดคล้องต้องกันว่า ผู้เสียหายเปิดร้านนครหลวงคาราโอเกะอยู่ที่ชุมชนนครหลวง

ซอยเสอื ใหญ่อทุ ศิ แขวงลาดยาว เขตจตจุ ักร กรุงเทพมหานคร โดยมผี ู้หญงิ ไวค้ อยบริการผสม

เคร่ืองด่ืมให้แก่ลูกค้า ส่วนผู้เสียหายที่ ๒ เป็นเพ่ือนผู้เสียหายที่ ๑ มาช่วยเสิร์ฟอาหารให้แก

ลกู ค้าทร่ี ้านดงั กล่าวทุกวัน วันเกิดเหตุ เวลาเท่ียงคนื เศษ จำเลยท่ี ๑ ซึ่งผเู้ สยี หายที่ ๑ ร้จู กั มา

กอ่ น มาขอใหผ้ เู้ สยี หายที่ ๑ เรยี กนางสาวดวงพร รนื่ นสุ าร ออกไปคยุ กบั จำเลยที่ ๑ ผเู้ สยี หาย

ท่ี ๑ ไมอ่ นญุ าต เพราะอยใู่ นระหวา่ งปฏบิ ตั งิ าน แตจ่ ำเลยที่ ๑ บอกขอเวลาเพยี ง ๒ ถงึ ๓ นาท ี

ผู้เสยี หายที่ ๑ จงึ อนุญาต ผเู้ สยี หายที่ ๒ ได้ยนิ นางสาวดวงพรพดู กบั จำเลยที่ ๑ วา่ มีลูกมีเมยี

แลว้ อยา่ มายงุ่ กบั นางสาวดวงพร ทำใหจ้ ำเลยท่ี ๑ โกรธและพดู กบั นางสาวดวงพรวา่ เดย๋ี วเหน็

ดีแน่ หลงั จากน้ันจำเลยที่ ๑ ก็ขบั รถจกั รยานยนต์ออกไป ตอ่ มาในเวลา ๓ นาฬกิ าเศษ จำเลย

ท้ังสามขับรถจักรยานยนต์มาจอดและเดินตรงมาท่ีร้านโดยถือมีดปลายแหลม ยาวประมาณ

๑ ฟตุ มาคนละเลม่ และจำเลยที่ ๓ ยงั มไี มท้ อ่ นลกั ษณะคลา้ ยไมเ้ บสบอลมาดว้ ย ผเู้ สยี หายท่ี ๒

จึงรีบเดินสวนออกไปเพ่ือจะไปแจ้งแก่เจ้าพนักงานตำรวจ เมื่อจำเลยทั้งสามเดินเข้าไปถึงตัว

ผ้เู สยี หายท่ี ๑ จำเลยที่ ๑ ได้ใชม้ ดี ปลายแหลมจี้ท่หี น้าอก ส่วนจำเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ ไดต้ รงเขา้

ทำลายข้าวของเครือ่ งใช้ในรา้ น ระหว่างนั้นจำเลยที่ ๑ ผละจากตัวผเู้ สยี หายท่ี ๑ เพอ่ื จะไปคยุ

กับนางสาวดวงพร จำเลยที่ ๒ จึงถือมีดเข้ามาจี้ท่ีคอแทน แล้วจำเลยท่ี ๒ กระชากสร้อยคอ

382 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉัยคด


ทองคำพรอ้ มจท้ี องคำจากคอผเู้ สยี หายที่ ๑ ไป โดยจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ กเ็ หน็ อยดู่ ว้ ย หลงั จาก

นนั้ จำเลยทงั้ สามขบั รถจักรยานยนต์นงั่ ซอ้ นทา้ ยออกจากร้านตรงมาทีผ่ ู้เสียหายท่ี ๒ ซึ่งยืนอยู่

ทบี่ รเิ วณตโู้ ทรศพั ทส์ าธารณะ จำเลยคนหนงึ่ ตะโกนถามวา่ โทรศพั ทแ์ จง้ ตำรวจหรอื ผเู้ สยี หาย

ที่ ๒ ไมต่ อบและทำทจี ะวงิ่ หนี จำเลยท่ี ๒ ใชไ้ มต้ ผี เู้ สยี หายที่ ๒ ทบ่ี รเิ วณศรี ษะ สว่ นจำเลยท่ี ๑

และท่ี ๓ ใชม้ ดี ไลฟ่ นั แตผ่ เู้ สยี หายที่ ๒ ยกแขนขนึ้ กนั ทำใหม้ ดี ถกู แขนและลม้ ลง จากนนั้ จำเลย

ทงั้ สามกข็ บั รถจกั รยานยนตไ์ ป จากคำเบกิ ความของผเู้ สยี หายทงั้ สองดงั ทก่ี ลา่ ว นอกจากจะเหน็

ดว้ ยกบั คำวนิ ิจฉัยทเ่ี ปน็ เหตุเป็นผลของศาลชน้ั ตน้ แล้ว ยังเหน็ วา่ หากจำเลยทงั้ สามไมป่ ระสงค

ตอ่ ทรพั ยข์ องผเู้ สยี หายท่ี ๑ จรงิ แลว้ เมอ่ื จำเลยที่ ๒ กระชากสรอ้ ยคอทองคำพรอ้ มจที้ องคำของ

ผเู้ สยี หายที่ ๑ แลว้ จำเลยที่ ๑ และท่ี ๓ เหน็ จำเลยท่ี ๑ และที่ ๓ จะตอ้ งชว่ ยกนั หา้ มปราม การ

ท่ีจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ไม่ห้ามปราม แต่กลับพากันหลบหนีไปพร้อมกับสร้อยคอทองคำและจ
ี้
ทองคำของผเู้ สยี หายท่ี ๑ เชน่ น้ี พยานหลกั ฐานโจทกป์ ระกอบคำรบั สารภาพของจำเลยทง้ั สาม

ยอ่ มรบั ฟงั ไดแ้ ลว้ วา่ จำเลยทง้ั สามประสงคท์ จี่ ะเอาทรพั ยข์ องผเู้ สยี หายท่ี ๑ ดว้ ย การกระทำของ

จำเลยทง้ั สามจงึ เปน็ ความผดิ ฐานปลน้ ทรพั ยโ์ ดยมอี าวธุ และใชย้ านพาหนะตามคำพพิ ากษาศาล

ชัน้ ต้น อุทธรณข์ องจำเลยที่ ๒ และท่ี ๓ ฟงั ไมข่ นึ้

ส่วนที่จำเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ อุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ

จำคกุ นน้ั เหน็ วา่ สำหรบั ขอ้ หาปลน้ ทรพั ยโ์ ดยมอี าวธุ และใชย้ านพาหนะนนั้ ศาลชน้ั ตน้ วางโทษ

จำคุกก่อนเพิ่มโทษและลดโทษขั้นต่ำที่สุดท่ีจะลงได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐

วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๔๐ ตรี แล้ว ศาลอทุ ธรณ์ไมอ่ าจใช้ดุลพนิ ิจวางโทษให้ต่ำกวา่ นไี้ ด ้

สว่ นขอ้ หาทำรา้ ยรา่ งกายและขอ้ หาทำใหเ้ สยี ทรพั ยน์ น้ั เหน็ วา่ พฤตกิ ารณข์ องจำเลยทง้ั สามเปน็

เรอ่ื งอกุ อาจ เปน็ ภยั ตอ่ รา่ งกายและทรพั ยส์ นิ ของสจุ รติ ชน สมควรลงโทษสถานหนกั ศาลชนั้ ตน้

ใชด้ ลุ พนิ จิ วางโทษเหมาะสมแลว้ เมอื่ ศาลชน้ั ตน้ ลงโทษจำคกุ จำเลยทงั้ สาม รวม ๓ กระทง และ

กระทงหนึ่งจำคุกเกิน ๓ ปี กรณีจึงไม่อาจรอการลงโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา

ส่วนที่ ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำสง่ั ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 383
คดอี าญา


มาตรา ๕๖ ได้ อทุ ธรณข์ องจำเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ขอ้ นฟ้ี งั ไมข่ นึ้ เชน่ กนั แตท่ ศ่ี าลชน้ั ตน้ พพิ ากษา

โดยลดโทษใหจ้ ำเลยที่ ๒ และท่ี ๓ คนละกง่ึ หนง่ึ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ แลว้

คงจำคุกคนละ ๑๒ ปี ๑๘ เดอื น นนั้ ไม่ถกู ต้อง ศาลอทุ ธรณเ์ หน็ สมควรแกไ้ ข

พิพากษาแกเ้ ป็นว่า คงจำคุกจำเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ คนละ ๑๒ ปี ๑๒ เดือน นอก

จากท่ีแกค้ งให้เปน็ ไปตามคำพพิ ากษาศาลชั้นต้น.

384 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คด


ตวั อย่างคดปี ลน้ ทรพั ย์ ลหุโทษ






. คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๖๙๔๘/๒๕๕๑


พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสี

กระทำความผดิ ตามฟอ้ งหรอื ไม่ เหน็ วา่ ขอ้ เทจ็ จรงิ รบั ฟงั ไดต้ ามคำพพิ ากษาศาลชน้ั ตน้ ซงึ่ โจทก

และจำเลยทง้ั สมี่ ไิ ดอ้ ทุ ธรณโ์ ตแ้ ยง้ เปน็ อยา่ งอนื่ วา่ วนั เวลาเกดิ เหตตุ ามฟอ้ ง จำเลยที่ ๑ และท่ี ๒

ร่วมกันชิงทรัพย์โดยมีอาวุธในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำความผิด หรือพา

ทรัพย์น้ันไป หรือเพ่ือให้พ้นการจับกุม และร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทาง

สาธารณะโดยไมม่ เี หตอุ นั สมควร จำเลยท่ี ๓ และที่ ๔ รว่ มกนั กบั จำเลยที่ ๑ และท่ี ๒ ชงิ ทรพั ย

อันเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามคำฟ้องของโจทก์หรือไม่ โจทก์มีนายสมชาย ทิมอ่อน

ผเู้ สยี หาย นายชชู าติ ชศู ริ ิ และนางสาวอษุ ณยี ์ สมพนั ธ์ ซง่ึ เปน็ ประจกั ษพ์ ยานผรู้ เู้ หน็ เหตกุ ารณ ์

เบิกความสอดคลอ้ งกันวา่ ขณะจำเลยที่ ๑ ชิงทรัพยผ์ ูเ้ สียหาย จำเลยท่ี ๔ ยืนอยทู่ ีฝ่ ่งั ตรงกัน

ข้ามและมองซ้ายมองขวา ส่วนจำเลยที่ ๒ ขับรถจักรยานยนต์โดยมีจำเลยท่ี ๓ นั่งซ้อนท้าย

จอดรออยหู่ า่ งจากจำเลยท่ี ๔ ประมาณ ๑๐ เมตร เมอ่ื จำเลยท่ี ๑ ชงิ ทรพั ยผ์ เู้ สยี หายแลว้ จำเลย

ที่ ๑ วงิ่ ไปซอ้ นทา้ ยรถจกั รยานยนตท์ จี่ ำเลยท่ี ๒ ขบั หลบหนไี ปพรอ้ มกบั จำเลยท่ี ๓ สว่ นจำเลย

ที่ ๔ ถกู จับในบรเิ วณทีเ่ กดิ เหตุ นอกจากน้นั นายชชู าติเบกิ ความวา่ รถจักรยานยนตท์ จี่ ำเลย

ท่ี ๒ ขบั มผี า้ เทปพนั ปดิ ไฟหนา้ ทำใหเ้ หน็ ไฟหนา้ รถจาง ๆ แผน่ ปา้ ยทะเบยี นดา้ นหลงั รถมเี ทป

พันปิด ทำให้ไม่สามารถมองเห็นหมายเลขทะเบียนของรถจักรยานยนต์ได้ ปรากฏตามภาพ

ถา่ ย หมาย จ.๗ แผน่ ที่ ๓ อนั เปน็ การแสดงใหเ้ หน็ วา่ จำเลยทง้ั สไี่ มป่ ระสงคท์ จี่ ะใหผ้ ใู้ ดทราบวา่

รถจกั รยานยนตท์ ใี่ ชเ้ ปน็ ยานพาหนะในการกระทำความผดิ มหี มายเลขทะเบยี นอะไร เพอ่ื จะทำ

ให้เปน็ การยากแก่การตดิ ตามจับกุมเมือ่ มกี ารกระทำความผิดเกิดขนึ้ นอกจากน้ี เมื่อพเิ คราะห

ถงึ อาวธุ ทใี่ ชใ้ นการกระทำความผดิ ตามภาพถา่ ย หมาย จ.๗ แผน่ ท่ี ๑ เหน็ ไดว้ า่ เปน็ ขวานขนาด

สว่ นที่ ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
385
คดีอาญา


ใหญแ่ ละมดี คทั เตอรข์ นาดใหญ่ ทำใหย้ ากแกก่ ารพาไปโดยมดิ ชดิ จงึ เชอื่ วา่ จำเลยท่ี ๓ และที่ ๔

ร้เู หน็ ดว้ ยในการทีจ่ ำเลยท่ี ๑ พาอาวธุ ขวานไปดว้ ย เพราะจำเลยท้งั สนี่ ่ังด่มื สรุ าด้วยกันกอ่ นไป

ลงมอื กระทำความผดิ สว่ นมดี คทั เตอรน์ นั้ พยานโจทกต์ า่ งจำไมไ่ ดว้ า่ คน้ ไดจ้ ากจำเลยคนใด แม

จำเลยที่ ๓ และท่ี ๔ อา้ งวา่ เปน็ ชา่ งไม้ ขวานและมดี คทั เตอรเ์ ปน็ อปุ กรณใ์ นการประกอบอาชพี

นน้ั เหน็ วา่ ขณะเกดิ เหตเุ ปน็ เวลา ๑ นาฬกิ า ซงึ่ นอกเวลาทำงานของจำเลยทง้ั สี่ บรเิ วณทเ่ี กดิ เหต

ก็มิใช่ที่ทำงานของจำเลยทั้งสี่ และจำเลยที่ ๑ ได้ใช้ขวานเป็นอาวุธในการชิงทรัพย์ผู้เสียหาย

ขอ้ อา้ งของจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ จงึ ฟงั ไมข่ น้ึ การทจี่ ำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ซอ้ นทา้ ยรถจกั รยานยนต

ไปกับจำเลยที่ ๑ และท่ี ๒ ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด มีการเตรียมอาวุธและปกปิดหมายเลข

ทะเบียนรถจักรยานยนต์ท่ีใช้ในการกระทำความผิดอันเป็นการส่อให้เห็นว่ามีการเตรียมการ

เพื่อกระทำความผิด เมื่อจำเลยท่ี ๒ ขับรถจักรยานยนต์ผ่านผู้เสียหายแล้ว จำเลยท่ี ๒ ได้

ขับรถจักรยานยนต์ย้อนไปจอดท่ีถนนฝั่งตรงกันข้าม แล้วจำเลยที่ ๑ และที่ ๔ ลงจาก

รถจักรยานยนต์ จำเลยที่ ๔ ยืนคุมเชิงและมองซ้ายมองขวา จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จอด

รถจกั รยานยนตร์ อจำเลยท่ี ๑ และที่ ๔ จากนนั้ จำเลยท่ี ๑ ขา้ มถนนไปหาผเู้ สยี หาย จำเลยท่ี ๑

ใชข้ วานทพี่ าตดิ ตวั มาขผู่ เู้ สยี หายใหส้ ง่ มอบเงนิ แกจ่ ำเลยท่ี ๑ แลว้ จำเลยที่ ๑ วงิ่ หนไี ปซอ้ นทา้ ย

รถจกั รยานยนต์ทีจ่ ำเลยที่ ๒ และท่ี ๓ จอดรออยู่ และจำเลยที่ ๑ ถึงท่ี ๓ หลบหนไี ปดว้ ยกัน

ส่วนจำเลยท่ี ๔ ถูกพลเมืองดีควบคุมตัว จึงมิได้หลบหนีไปพร้อมจำเลยท่ี ๑ ถึงที่ ๓ ดังนั้น

พฤติการณ์ของจำเลยที่ ๓ และท่ี ๔ จึงเป็นตัวการร่วมกับจำเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ ชิงทรัพย์

ผเู้ สยี หาย เมอ่ื การชงิ ทรพั ยเ์ ปน็ การกระทำความผดิ ดว้ ยกนั ตงั้ แตส่ ามคนขนึ้ ไป จำเลยทง้ั สจ่ี งึ ม

ความผดิ ฐานรว่ มกนั ปลน้ ทรพั ยโ์ ดยมอี าวธุ ตดิ ตวั โดยใชย้ านพาหนะตามฟอ้ ง อทุ ธรณข์ องโจทก

ฟังข้ึน

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยท้ังส่ีมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา

๘๓, ๓๔๐ วรรคสอง ประกอบ ๓๔๐ ตรี, ๓๗๑ เปน็ การกระทำความผดิ หลายกรรมต่างกนั ให้

386 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉัยคดี


ลงโทษทุกกรรมเปน็ กระทงความผดิ ไปตามมาตรา ๙๑ ฐานปล้นทรพั ยโ์ ดยมีอาวุธติดตวั โดยใช

ยานพาหนะเพอื่ กระทำความผดิ หรือพาทรัพย์นนั้ ไป หรือเพ่ือให้พ้นการจับกุม ให้จำคุกคนละ

๑๘ ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให

ปรบั คนละ ๙๐ บาท รวมจำคกุ คนละ ๑๘ ปี และปรบั คนละ ๙๐ บาท จำเลยท่ี ๑ และที่ ๒ ใหก้ าร

รบั สารภาพ ลดโทษใหก้ ง่ึ หนง่ึ จำเลยท่ี ๓ และท่ี ๔ นำสบื เปน็ ประโยชนแ์ กก่ ารพจิ ารณาอยบู่ า้ ง

ลดโทษให้หนงึ่ ในสาม จำเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ คงจำคกุ คนละ ๙ ปี และคงปรบั คนละ ๔๕ บาท

จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ คงจำคกุ คนละ ๑๒ ปี และคงปรบั คนละ ๖๐ บาท ไมช่ ำระคา่ ปรบั ใหจ้ ดั การ

ตามมาตรา ๒๙ นอกจากทแ่ี ก้ให้เปน็ ไปตามคำพิพากษาศาลชน้ั ต้น.






๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๗๙๓๔/๒๕๕๑


พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า ตามวันเวลาและสถานท่ีเกิดเหต

ตามฟอ้ ง มีคนร้าย ๓ คน ใช้รถจกั รยานยนต์ ๒ คนั เป็นยานพาหนะ และใช้อาวุธมดี ดาบเปน็

อาวธุ รว่ มกนั ปลน้ ทรพั ยท์ รี่ า้ น ๑๐๘ ชอ็ ป ไดเ้ งนิ และทรพั ยส์ นิ ตา่ ง ๆ ไป รวมเปน็ เงนิ ๖๓,๖๔๘

บาท แล้วพากันหลบหนีไป ที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องน้ัน

สำหรบั ความผดิ ฐานพาอาวุธมีดไปในเมือง หมบู่ า้ น หรือทางสาธารณะโดยไมม่ ีเหตุอันสมควร

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑ มีระวางโทษปรบั ไมเ่ กิน ๑๐๐ บาท เมื่อจำเลยตอ้ ง

คำพิพากษาให้ลงโทษปรับไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๓ ทวิ ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย คงมี

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยเพียงว่า จำเลยกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์

หรือไม่ โจทก์มีนางสาวอารัญชลี เข่ือนเมือง พนักงานของร้าน ๑๐๘ ช็อป พยานโจทก์ เบิก

ความว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยซ่ึงสวมเสื้อคลุมสีดำและสวมหมวกกันน็อกเปิดประตูเข้ามา

ส่วนท่ี ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำสัง่ ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
387
คดอี าญา


ในร้าน แล้วหยิบกระทิงแดง ๑ ขวด มาวางท่ีเคาน์เตอร์ จำเลยเปิดหมวกกันน็อกข้ึนและพูด

กับพยานวา่ ขอซ้ือบตั รเตมิ เงนิ คา่ โทรศัพทเ์ คล่อื นที่ ราคา ๑๕๐ บาท ๑ ใบ พยานสังเกตเห็น

ว่าจำเลยฟันหลอที่ด้านหน้าและมีหนวดเครา ขณะที่พยานกำลังหยิบบัตรเติมเงินค่า

โทรศัพท์เคลื่อนท่ีให้ จำเลยเรียกคนร้ายอีกคนซ่ึงอยู่นอกร้านให้เข้ามา เม่ือคนร้ายคนนั้นเข้า

มาแลว้ ไดเ้ ขา้ ไปประกบลกู คา้ คนหนงึ่ ใหอ้ ยเู่ ฉย ๆ และไมใ่ หอ้ อกจากรา้ น สว่ นจำเลยใชอ้ าวธุ มดี

ดาบ ยาวประมาณ ๑.๕ ฟตุ ขบู่ งั คบั พยานใหส้ ง่ เงนิ และบตั รเตมิ เงนิ คา่ โทรศพั ทเ์ คลอื่ นที่ ทง้ั สง่ั

ใหห้ ยบิ สรุ า ยหี่ อ้ รเี จนซ่ี ให้ แลว้ จำเลยหยบิ สนิ คา้ อนื่ ในรา้ นใสก่ ระเปา๋ ทจี่ ำเลยสะพายมา จำเลย

กับพวกอยู่ในร้านนานประมาณ ๑๐ นาที หลังจากน้ันจำเลยกับพวกพากันหลบหนีไปด้วย

รถจักรยานยนต์ ๒ คัน เห็นว่า ภายในร้านที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากไฟฟ้า นางสาวอารัญชลี

พยานโจทก์ เห็นจำเลยในระยะใกล้ชิดเป็นเวลานาน จึงมีโอกาสสังเกตรูปร่างและลักษณะการ

แต่งกายของจำเลยตลอดจนจดจำตำหนิของจำเลยท่ีฟันหน้าหลอได้ ท้ังจำเลยพูดกับพยาน

โจทก์หลายคร้ัง เช่ือว่าพยานโจทก์เห็นจำเลยและจำได้จริง ท้ังพยานโจทก์ได้แจ้งต่อพนักงาน

สอบสวนว่าจำคนร้ายที่เข้ามาในร้านได้ ซึ่งโจทก์มีพันตำรวจโท ชูศักด์ิ ขนาดนิด พนักงาน

สอบสวน เบกิ ความยืนยนั ในข้อน้ีดว้ ยวา่ เม่อื เจ้าพนักงานตำรวจจบั กมุ จำเลยไดแ้ ลว้ นำอาวุธ

มีดดาบที่ยึดเปน็ ของกลางมาให้พยานโจทก์ดู พยานโจทก์กย็ ืนยนั วา่ เปน็ อาวุธมดี ดาบท่ีจำเลย

ใชก้ ระทำความผดิ และเมอื่ พนกั งานสอบสวนนำจำเลยไปทำแผนประกอบคำรบั สารภาพ พยาน

โจทกย์ นื ยนั วา่ จำเลยเปน็ คนรา้ ยทป่ี ลน้ ทรพั ย์ ในชน้ั สอบสวนจำเลยกใ็ หก้ ารรบั สารภาพและนำช
ี้
ทเ่ี กดิ เหตปุ ระกอบคำรบั สารภาพ ทจี่ ำเลยนำสบื วา่ ไมไ่ ดก้ ระทำความผดิ แตใ่ หก้ ารรบั สารภาพ

ในชน้ั สอบสวน เพราะเกรงวา่ จะถกู พนกั งานสอบสวนทำรา้ ย กเ็ ปน็ การกลา่ วอา้ งลอย ๆ ไมอ่ าจ

หกั ล้างพยานโจทก์ได้ ทศ่ี าลช้ันตน้ พพิ ากษาลงโทษจำเลยฐานปล้นทรพั ย์น้ัน ศาลอุทธรณเ์ หน็

พ้องด้วย อทุ ธรณข์ องจำเลยฟังไมข่ ึน้

388 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินิจฉยั คด


อนึ่ง ท่ีศาลชั้นต้นเพ่ิมโทษจำเลยหน่ึงในสาม เพราะจำเลยเคยต้องคำพิพากษา

ใหจ้ ำคกุ ในคดอี น่ื มากอ่ น และภายในระยะเวลา ๕ ปี นบั แตว่ นั พน้ โทษ จำเลยไดก้ ระทำความผดิ

คดนี ซี้ ำ้ อกี นน้ั ปรากฏวา่ ในระหวา่ งการพจิ ารณาของศาลอทุ ธรณ์ ไดม้ พี ระราชบญั ญตั ลิ า้ งมลทนิ

ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา

พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเป็นวันที่พระราชบัญญัติฉบับน้ีมีผลใช้บังคับ จึงต้องถือว่าจำเลยมิได้เคยถูก

ลงโทษในความผดิ นนั้ มากอ่ น กรณไี มอ่ าจเพม่ิ โทษจำเลยได้ ปญั หาดงั กลา่ วเปน็ ขอ้ กฎหมายอนั

เกย่ี วกบั ความสงบเรยี บรอ้ ย แมจ้ ำเลยจะมไิ ดอ้ ทุ ธรณ์ ศาลอทุ ธรณก์ ม็ อี ำนาจยกขน้ึ อา้ งและแกไ้ ข

ให้ถกู ตอ้ งได้ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง

พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เพ่ิมโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๙๒ เมอื่ ลดโทษใหก้ ง่ึ หนง่ึ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ แลว้ ฐานปลน้ ทรพั ย ์

คงจำคุก ๑๐ ปี ๖ เดือน ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุ

อนั สมควร ปรบั ๓๖ บาท รวมจำคกุ จำเลย ๑๐ ปี ๖ เดอื น และปรบั ๓๖ บาท นอกจากทแี่ กค้ งให

เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชน้ั ตน้ .

สว่ นท่ี ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรปู คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
389
คดีอาญา


ตวั อยา่ งคดยี ักยอก






. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๕๒๓๕/๒๕๔๗


พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบ้ืองต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันท่ี ๑๗ เมษายน ๒๕๔๑

นางสาวขนษิ ฐา สนั ตกิ ลุ ซงึ่ เปน็ หวั หนา้ หนว่ ยอรา่ มรตั น์ ๑ ของบรษิ ทั อเมรกิ นั อนิ เตอรแ์ นชชนั่ -

แนลแอสชวั รนั ส์ จำกดั โจทกร์ ว่ ม ไดม้ อบฉนั ทะใหจ้ ำเลยซง่ึ ทำงานในตำแหนง่ เลขานกุ ารไปเบกิ

ถอนเงินค่าเบ้ียประกนั ภยั จำนวน ๒๗,๑๘๙ บาท จากธนาคารกรุงศรอี ยธุ ยา จำกดั (มหาชน)

สาขาสุรวงศ์ ตามสำเนาใบถอนเงิน เอกสารหมาย จ.๒ จริง คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตาม

อุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีพยานปากนางสาว

ขนษิ ฐาเบกิ ความไดค้ วามว่า พยานทำงานอยทู่ ี่บริษัทอเมริกนั อนิ เตอรแ์ นชชั่นแนลแอสชวั รันส ์

จำกัด มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วยอร่ามรัตน์ ๑ มีหน้าที่อบรมตัวแทนขายประกัน รับเบี้ย

ประกันภยั แลว้ นำส่งแกโ่ จทกร์ ่วม เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ มีนางถุงเงิน น้อยพญา มา

แจง้ วา่ กรมธรรมป์ ระกนั ภยั ของนางสมพงษ์ สกุ ใส มพี ริ ธุ เนอ่ื งจากมใี บแจง้ หนต้ี ดิ อยกู่ บั ใบเตอื น

เนอ่ื งจากนางสมพงษจ์ ะชำระเบยี้ ประกนั ภยั โดยตลอดและไมเ่ คยตดิ คา้ ง ขอใหพ้ ยานตรวจสอบ

พยานจึงตรวจสอบบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาสุรวงศ์ ซ่ึงเป็น

บญั ชเี งนิ ฝากทพี่ ยานเปดิ บญั ชไี วเ้ พอ่ื ใหต้ วั แทนผขู้ ายประกนั โอนเงนิ คา่ เบยี้ ประกนั ภยั เขา้ บญั ชี

เงินฝากดังกล่าว จากการตรวจสอบได้ความว่า นางถุงเงินโอนเงินค่าเบ้ียประกันภัยมา ๒

รายการ ซ่ึงเป็นเบี้ยประกันภัยของนางสมพงษ์ จำนวน ๒๗,๑๘๙ บาท และนายเงิน สุกใส

จำนวน ๔,๐๑๕ บาท ส่วนเงินท่เี หลอื อกี ประมาณ ๒๖ บาท เปน็ คา่ ใช้จา่ ย ต่อมาพยานมอบ

ฉันทะให้จำเลยไปถอนเงนิ จำนวน ๓๑,๒๓๐ บาท ตามสำเนาใบถอนเงนิ เอกสารหมาย จ.๒

เม่ือจำเลยเบิกเงินแล้วต้องนำไปชำระแก่โจทก์ร่วมทันที แต่ปรากฏว่าจำเลยไม่ได้นำเบ้ีย

ประกนั ภยั ของนางสมพงษไ์ ปชำระแกโ่ จทกร์ ว่ ม สว่ นจำเลยมตี วั จำเลยนำสบื รบั วา่ เมอ่ื วนั ท่ี ๑๗

390 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคด


เมษายน ๒๕๔๑ จำเลยเบกิ เงนิ จำนวน ๒๗,๑๘๙ บาท จากบญั ชเี งนิ ฝากธนาคารของนางสาว

ขนิษฐา เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินของลูกค้าโอนมาเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของนางสาว

ขนษิ ฐา เมอ่ื เบกิ เงนิ จากธนาคารแลว้ จะนำมามอบใหน้ างสาวขนษิ ฐา จากนนั้ นางสาวขนษิ ฐาจะ

สง่ั ใหจ้ ำเลยนำเงนิ จำนวนดงั กลา่ วไปทำอะไรบา้ ง จำเลยจำไมไ่ ด้ เหน็ วา่ เมอ่ื จำเลยนำสบื วา่ ได

ไปถอนเงนิ จำนวน ๒๗,๑๘๙ บาท ตามท่นี างสาวขนิษฐามอบหมายแล้ว แต่จำเลยเบิกความ

ลอย ๆ แต่เพียงวา่ จำไมไ่ ดว้ า่ ได้นำเงนิ จำนวนดงั กลา่ วไปทำอะไรบา้ ง แต่เม่อื พิเคราะห์คำเบกิ

ความของพยานโจทกป์ ากนางถงุ เงนิ ไดค้ วามวา่ เมอ่ื เดอื นมกราคม ๒๕๔๓ พยานไดร้ บั แจง้ จาก

ลกู คา้ ชอ่ื นางสมพงษว์ า่ ยงั ไมไ่ ดร้ บั ใบเสรจ็ รบั เงนิ คา่ เบย้ี ประกนั ภยั ของปี ๒๕๔๑ นอกจากน้ี ยงั

ได้รับใบทวงหน้ีค่าเบี้ยประกันภัยจากโจทก์ร่วมด้วย ท้ังตามคำเบิกความของนางสาวขนิษฐา

ประกอบใบแจ้งหน้ีตามเอกสารหมาย จร.๓ ได้ความว่า บริษัทอเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนล-

แอสชัวรันส์ จำกัด ได้ส่งใบเตือนให้นางสมพงษ์ชำระเบี้ยประกันภัยของปี ๒๕๔๒ ซ่ึงมีการ

คำนวณดอกเบ้ียเงินกู้ไว้ด้วย ดอกเบี้ยเงินกู้สืบเนื่องมาจากกรณีผู้เอาประกันภัยไม่ชำระเบ้ีย

ประกันภัย โจทก์ร่วมจะดำเนินการให้ผู้เอาประกันภัยกู้เงินโดยอัตโนมัติเพ่ือนำไปชำระเบี้ย

ประกนั ภยั ดงั น้ัน เม่ือขอ้ เทจ็ จริงฟงั ไดว้ า่ นางสมพงษ์ไดน้ ำเบย้ี ประกันภัยมาชำระผา่ นนางถงุ -

เงินซ่ึงเป็นตัวแทนขายประกันแล้ว แต่เมื่อนางถุงเงินโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของนางสาว

ขนิษฐา นางสาวขนษิ ฐาได้มอบฉันทะใหจ้ ำเลยไปถอนเงนิ จำนวน ๓๑,๒๓๐ บาท เพือ่ นำไป

ชำระค่าเบ้ียประกันภยั ดังกลา่ วให้แก่โจทกร์ ว่ ม เมื่อข้อเทจ็ จรงิ ปรากฏว่าโจทก์รว่ มออกใบเตือน

ให้นางสมพงษ์พร้อมกับมีอัตราดอกเบ้ียเงินกู้ของเบี้ยประกันภัยก่อนปี ๒๕๔๒ อยู่ด้วย ย่อม

แสดงวา่ โจทกร์ ว่ มยงั ไมไ่ ดร้ บั ชำระเบย้ี ประกนั ภยั จากนางสมพงษ์ ดงั นน้ั แมจ้ ำเลยจะเบกิ ความ

ลอย ๆ ว่า หลังจากเบิกเงินจากบัญชีเงินฝากของนางสาวขนิษฐาแล้ว จำไม่ได้ว่านางสาว

ขนิษฐาส่ังให้นำเงินไปทำอะไรบ้าง อันแสดงว่าจำเลยไม่สามารถยืนยันได้ว่านำเงิน จำนวน

๒๗,๑๘๙ บาท ไปชำระเบีย้ ประกันภัยของนางสมพงษ์ใหแ้ ก่โจทกร์ ว่ มหรือไม่ พยานหลักฐาน

ส่วนท่ี ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำสัง่ ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
391
คดอี าญา


โจทกท์ นี่ ำสบื รบั ฟงั โดยปราศจากขอ้ สงสยั วา่ จำเลยมไิ ดน้ ำเงนิ จำนวน ๒๗,๑๘๙ บาท ไปชำระ

เบ้ียประกันภัยของนางสมพงษ์ให้แก่โจทก์ร่วมตามที่นางสาวขนิษฐามอบหมาย แต่จำเลยได

เบียดบังเอาเงินดังกล่าวเป็นของตนโดยทุจริต จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก

อนึ่ง ตามทางนำสืบได้ความจากนางถุงเงินซึ่งเป็นตัวแทนขายประกันของโจทก

รว่ มวา่ ไดร้ บั เบยี้ ประกนั ภยั จากนางสมพงษเ์ พอ่ื นำสง่ ใหโ้ จทกร์ ว่ มแลว้ โดยนำฝากเขา้ บญั ชเี งนิ

ฝากของนางสาวขนิษฐาซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยอร่ามรัตน์ ๑ ก่อน ท้ังน้ี เพื่อให้มีการนำเบ้ีย

ประกันภัยดังกล่าวมาชำระให้แก่โจทก์ร่วมอีกทอดหนึ่ง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเบี้ยประกันภัย

ตามทน่ี างถงุ เงนิ นำฝากธนาคารในบญั ชเี งนิ ฝากของนางสาวขนษิ ฐาเพอ่ื ชำระใหแ้ กโ่ จทกร์ ว่ มนน้ั

เมอื่ นางถงุ เงินซง่ึ เป็นตวั แทนขายประกันได้รับเงินจำนวนดงั กลา่ วจากนางสมพงษซ์ ึ่งเปน็ ผเู้ อา

ประกันภัยแล้ว เงินจำนวนดังกล่าวย่อมเป็นเบี้ยประกันภัยของโจทก์ร่วม ส่วนการที่โอนเข้า

บญั ชเี งินฝากของหัวหน้าหนว่ ยอร่ามรัตน์ ๑ แลว้ มกี ารถอนเงนิ จำนวนดังกลา่ วเพื่อนำสง่ ให้แก

โจทก์ร่วมนั้น เป็นเพียงข้ันตอนการรับเบี้ยประกันภัยตามท่ีตัวแทนขายประกันของโจทก์ร่วม

หลาย ๆ ระดบั ถอื ปฏบิ ตั เิ ทา่ นน้ั ดงั นน้ั เมอื่ เงนิ ทร่ี บั มาเปน็ เบย้ี ประกนั ภยั ทช่ี ำระตามกรมธรรม

ประกันภัยแล้ว ย่อมเป็นเงินของโจทก์ร่วม เมื่อจำเลยได้เบียดบังไปโดยทุจริต โจทก์ร่วมย่อม

เปน็ ผู้เสยี หาย จึงมสี ทิ ธเิ ขา้ รว่ มเปน็ โจทกก์ ับพนกั งานอยั การได้ ที่ศาลชั้นตน้ มคี ำสงั่ อนุญาตให้

บรษิ ทั อเมรกิ นั อนิ เตอรแ์ นชชน่ั แนลแอสชวั รนั ส์ จำกดั ผเู้ สยี หาย เขา้ รว่ มเปน็ โจทกน์ น้ั ชอบดว้ ย

ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๓ (๒) , ๓๐ นอกจากน้ี แมต้ ามทางนำสบื จะ

ได้ความวา่ นางสาวขนิษฐาทราบการกระทำความผดิ ของจำเลยครั้งแรกเม่ือเดือนพฤศจิกายน

๒๕๔๒ ก็ตาม แต่นางสาวขนิษฐาเป็นเพียงตัวแทนขายประกันของโจทก์ร่วม ไม่มีอำนาจร้อง

ทุกขต์ ่อพนักงานสอบสวน ย่อมทำให้ต้องมีการรายงานตอ่ ผบู้ รหิ ารของโจทก์รว่ มเป็นลำดบั ชัน้

ดงั นน้ั ตอ่ มาเมอื่ โจทกร์ ว่ มทราบถงึ การกระทำความผดิ ของจำเลยเมอื่ วนั ท่ี ๒๐ มนี าคม ๒๕๔๓

392 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉยั คดี


จึงได้ทำหนังสือมอบอำนาจ ลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๓ ให้นางสาวขนิษฐาไปร้องทุกข์ต่อ

พนักงานสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.๔ และนางสาวขนิษฐาได้ไปร้องทุกข์เม่ือวันที่ ๓๐

มีนาคม ๒๕๔๓ ซึ่งอยู่ภายในกำหนดระยะเวลา ๓ เดือน นับแต่วันท่ีรู้เรื่องความผิดและรู้ตัว

ผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๖ ฟอ้ งของโจทก์จึงไมข่ าดอายุความ

คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยในประการสุดท้ายว่า มีเหต

รอการลงโทษหรอื รอการกำหนดโทษแกจ่ ำเลยหรอื ไม่ เหน็ วา่ แมจ้ ำเลยจะใหก้ ารตอ่ สคู้ ดมี าโดย

ตลอด แต่ตามทางนำสืบจำเลยก็เบิกความยอมรับว่าวันเกิดเหตุจำเลยเป็นผู้ไปเบิกเงินจาก

ธนาคารตามทนี่ างสาวขนษิ ฐามอบหมาย การนำสบื ของจำเลยจงึ เปน็ ประโยชนแ์ กก่ ารพจิ ารณา

อยู่บ้าง แม้ตามพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดจะเป็นการกระทำท่ีฉวยโอกาส ขาดความ

ซ่ือสัตย์สุจริตต่อหัวหน้างานและหน้าที่การงาน แต่จำเลยก็ต้องถูกดำเนินคดีเป็นคดีน้ี ทำให

เสอ่ื มเสยี ประวตั ิ เชอ่ื วา่ นา่ จะเปน็ บทเรยี นอนั มคี า่ ทจี่ ำเลยตอ้ งจดจำ เมอื่ ไมป่ รากฏวา่ จำเลยเคย

กระทำความผิดมาก่อน เพื่อให้โอกาสแก่จำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดี ประกอบอาชีพท่ีสุจริต

เพอ่ื เลยี้ งตนเองและครอบครวั ตอ่ ไป เหน็ วา่ การใชว้ ธิ กี ารรอการลงโทษและคมุ ความประพฤตไิ ว

น่าจะแก้ไขพฤติกรรมของจำเลยได้ผลดีกว่าการลงโทษจำคุกในระยะส้ัน ที่ศาลช้ันต้นลงโทษ

จำคกุ จำเลยมานนั้ ไมต่ อ้ งดว้ ยความเหน็ ของศาลอทุ ธรณ์ อทุ ธรณข์ องจำเลยฟงั ขนึ้ บางสว่ น แต

เพื่อให้จำเลยหลาบจำ เหน็ ควรลงโทษปรบั อีกสถานหนงึ่

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลย ๔,๐๐๐ บาท อีกสถานหนึ่ง โทษจำคุกให้

รอการลงโทษมีกำหนด ๒ ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก ๓ เดือน

ต่อ ๑ ครั้ง ภายในระยะเวลารอการลงโทษ กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือ

สาธารณประโยชน์ มกี ำหนด ๒๐ ชว่ั โมง ตามทจี่ ำเลยและพนกั งานคมุ ประพฤตเิ หน็ สมควรตาม

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ หากจำเลยไมช่ ำระคา่ ปรบั ใหจ้ ดั การตามประมวลกฎหมาย

อาญา มาตรา ๒๙ , ๓๐ นอกจากท่ีแกค้ งใหเ้ ป็นไปตามคำพพิ ากษาศาลชัน้ ตน้ .

สว่ นท่ี ๒ ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำสั่งในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 393
คดอี าญา



๒. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๑๐๑๑ – ๑๐๑๒/๒๕๔๙


พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นตามที่คู่ความมิได้นำสืบโต้แย้งกัน

ในชั้นน้ีว่า จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ ย่ีห้อวอลโว่ หมายเลขทะเบียน ๖ธ-๙๕๘๘

กรุงเทพมหานคร จากบริษัทสามเอลิสซิ่ง จำกัด ผู้เสียหาย ในราคา ๓๖๕,๙๔๐ บาท และ

รถยนต์ ยหี่ ้อบีเอม็ ดบั บลิว หมายเลขทะเบียน ๒ศ-๔๑๑๐ กรงุ เทพมหานคร จากผู้เสียหายอกี

คนั หนง่ึ ในราคา ๘๕๑,๔๐๐ บาท ตามสญั ญาเชา่ ซอ้ื เอกสารหมาย จ.๓ และ จ.๑๐ จำเลยชำระ

คา่ เชา่ ซอ้ื แกผ่ เู้ สยี หายบางสว่ นแลว้ ผดิ นดั โจทกม์ หี นงั สอื ทวงถามใหจ้ ำเลยชำระหนตี้ ามสญั ญา

บอกเลิกสัญญา และให้จำเลยคืนรถยนต์ที่เช่าซ้ือแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย มีปัญหาต้องวินิจฉัย

ตามอุทธรณข์ องจำเลยวา่ จำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกหรือไม่ โจทกม์ นี ายอาคม บญุ กลุ

หวั หนา้ หนว่ ยสนิ เชอื่ และเรง่ รดั หนขี้ องผเู้ สยี หาย เปน็ พยานเบกิ ความวา่ ภายหลงั จำเลยผดิ นดั

ไมช่ ำระคา่ เชา่ ซอ้ื และผู้เสยี หายมหี นงั สอื ทวงถามไปยังจำเลยแลว้ พยานไปพบจำเลยท่จี ังหวัด

ชุมพร จำเลยให้พยานไปรอท่ีโรงแรม จะนำเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างไปชำระ แต่จำเลยไม่ได้ไปพบ

พยานตามนดั ตอ่ มาจำเลยแจง้ แกพ่ ยานวา่ จำเลยขายรถยนตท์ เี่ ชา่ ซอ้ื ยหี่ อ้ วอลโว่ ใหค้ นอนื่ ไป

แลว้ จะนำผซู้ อื้ มาทำสญั ญากบั ผเู้ สยี หาย โดยไมไ่ ดบ้ อกวา่ ขายใหใ้ คร สว่ นรถยนตท์ เี่ ชา่ ซอื้ ยหี่ อ้

บีเอ็มดบั บลิว ตอนแรกจำเลยบอกว่าฝากเพื่อนไว้ในคา่ ยทหาร โดยไม่ได้บอกวา่ ฝากไว้กับใคร

เช่นกัน ตอนหลงั จำเลยกลบั บอกวา่ อยู่ทีอ่ ำเภอเชียงแสน จังหวัดเชยี งราย พยานเคยตามไปท
่ี
อำเภอเชียงแสน ได้ข้อมูลว่ารถยนต์คันดังกล่าวพัวพันกับคดียาเสพติด แต่หารถยนต์คัน

ดังกล่าวไม่พบ ต่อมาภายหลังจำเลยถูกจับกุมดำเนินคดีนี้ จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวน
ตามบนั ทกึ คำให้การของผูต้ อ้ งหา เอกสารหมาย จ.๒๕ และ จ.๒๖ ว่า จำเลยไปทำงานกบั สามี
ท่จี งั หวัดชมุ พร และฝากรถยนตท์ ัง้ สองคันไว้กบั เพอื่ นทีก่ รุงเทพมหานคร ไมไ่ ด้หลบหนีไปทใ่ี ด

ผู้เสียหายเขา้ ใจไปเองว่าจำเลยนำไปขายให้คนอน่ื แลว้ พฤติการณ์ของจำเลยตามคำเบกิ ความ

394 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คด


ของนายอาคมประกอบกบั คำใหก้ ารของจำเลยดงั กลา่ วแสดงใหเ้ หน็ วา่ จำเลยมเี จตนาทจี่ ะเบยี ด

บังรถยนต์ท้ังสองคันของผู้เสียหายที่จำเลยเช่าซ้ือไปเป็นของจำเลยหรือบุคคลท่ีสามโดยทุจริต

สว่ นทจี่ ำเลยกลา่ วในอทุ ธรณว์ า่ จำเลยเพยี งแตท่ ำสญั ญาเชา่ ซอ้ื รถยนตท์ ง้ั สองคนั แทนนายสงา่

หอมกลนิ่ สามจี ำเลย นายสงา่ เปน็ คนนำรถยนตท์ ง้ั สองคนั ไปใช้ และจำเลยไมท่ ราบวา่ นายสงา่

นำรถยนตท์ ง้ั สองคนั ไปขายแกผ่ ใู้ ดนนั้ จำเลยมเี พยี งมารดาของจำเลยซง่ึ ยอ่ มตอ้ งเขา้ ขา้ งจำเลย

มาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยไม่มีพยานหลักฐานอ่ืนใดมาประกอบให้รับฟังได

เชน่ นั้น ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวจึงรบั ฟังไม่ได้ ทีศ่ าลช้ันตน้ วินิจฉัยวา่ จำเลยกระทำความผดิ

ฐานยักยอกมานนั้ ชอบแล้ว อทุ ธรณข์ องจำเลยฟังไมข่ น้ึ

พพิ ากษายนื .

สว่ นท่ี ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำสั่งในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
395
คดีอาญา


ตวั อย่างคดียักยอก ลักทรัพย์ ความผดิ เกยี่ วกบั เอกสาร






คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๕๐๗๒/๒๕๔๗


พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อแรกมีว่า จำเลย

กระทำความผิดฐานยกั ยอกตามฟ้องหรอื ไม่ โจทก์มีนางจริ ะภา ศิรพิ งษ์ ผู้จัดการฝา่ ยบัญชีและ

การเงินของโจทกซ์ งึ่ ทำหน้าทดี่ ูแลการรบั จา่ ยเงิน ควบคมุ ดแู ลการลงบญั ชี การรับจา่ ยเงินของ

พนักงาน รวมทั้งการส่งของและเก็บเงินจากลูกค้า และเป็นผู้ตรวจสอบการทำงานของจำเลย

เบิกความยนื ยันว่า จำเลยเป็นพนกั งานการเงินของโจทก์ มหี นา้ ท่รี บั เงนิ จากพนักงานทไ่ี ปเกบ็

เงินจากลูกค้า ทำเช็คจ่ายและจา่ ยเงนิ สดยอ่ ย เขยี นใบสำคญั การรบั เงิน เขยี นใบนำฝากนำเขา้

บญั ชธี นาคารของโจทก์ เขยี นรายงานการรบั เงนิ จากลกู คา้ ประจำวนั และทำบญั ชลี กู หนคี้ า้ งรบั

เพอื่ ประกอบงบการเงนิ กลา่ วคอื หลงั จากจำเลยไดร้ บั เงนิ จากลกู คา้ ของโจทก์ จำเลยจะตอ้ งนำ

เงินเข้าบัญชีธนาคารของโจทก์โดยเขียนใบนำฝากตามแบบฟอร์มของธนาคารและส่งมอบให้

พนกั งานของโจทกเ์ พอื่ นำไปดำเนนิ การทธ่ี นาคารตอ่ ไป ในระหวา่ งเดอื นกรกฎาคม ๒๕๓๘ ถงึ

วันท่ี ๓๐ เมษายน ๒๕๔๒ โจทก์ตรวจสอบพบว่าลกู ค้าหลายรายของโจทก์สั่งซ้อื สินคา้ แล้วยงั

ไมไ่ ดช้ ำระคา่ สนิ คา้ จงึ ไดต้ ดิ ตามทวงถาม ปรากฏวา่ ลกู คา้ ดงั กลา่ วแจง้ วา่ ไดช้ ำระคา่ สนิ คา้ ใหแ้ ก

โจทกเ์ รยี บรอ้ ยแลว้ โจทกจ์ งึ ตรวจสอบทางบญั ชี พบวา่ จำเลยกระทำการทจุ รติ โดยจำเลยรบั เงนิ

และเชค็ ทล่ี กู คา้ นำมาชำระคา่ สนิ คา้ ไวแ้ ลว้ ไมน่ ำเขา้ บญั ชธี นาคารของโจทก์ แตไ่ ดย้ กั ยอกเงนิ ไป

เปน็ ของตนเองและนำเชค็ เงนิ สดไปเขา้ บญั ชธี นาคารของจำเลย รวมทง้ั ไดย้ กั ยอกใบเสรจ็ รบั เงนิ

เพ่อื ปกปดิ โจทก์เก่ยี วกับการชำระค่าสนิ ค้าของลูกค้าดังกลา่ ว เมอื่ ลูกคา้ รายใหมช่ ำระค่าสินคา้

จำเลยจะนำเชค็ หรอื เงนิ สดไปลงบญั ชชี ำระคา่ สนิ คา้ ของลกู คา้ รายแรก แลว้ นำใบเสรจ็ รบั เงนิ ของ

ลกู คา้ รายแรกมาแสดง จำเลยไดย้ กั ยอกเงนิ ไปทงั้ สน้ิ จำนวน ๗๙๐,๔๒๘.๘๑ บาท พยานโจทก

ดังกล่าวเบิกความสอดคล้องกับนายภานวุ ฒั น์ เรง่ รักงาม พนกั งานรับส่งเอกสารของโจทก์ ซง่ึ

396 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉยั คด


เบกิ ความยนื ยนั วา่ เมอ่ื วนั ที่ ๙ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๒ นายภานวุ ฒั นไ์ ดเ้ กบ็ เงนิ คา่ สนิ คา้ จากบรษิ ทั

บญุ รอดบรวิ เวอร่ี จำกดั จำนวน ๑๕,๔๐๐ บาท ตามรายการเรยี กเกบ็ เงนิ ทจี่ ำเลยจดั ทำขนึ้ โดย

มอบเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยแล้ว แต่จากการตรวจสอบทางบัญชีของโจทก์ปรากฏว่า

จำเลยไม่ได้นำเงนิ จำนวนดังกล่าวเข้าบญั ชธี นาคารของโจทก์ และนายอนรุ ตั น์ โต๊ะกู พนักงาน

รักษาความปลอดภัยของโจทก์ เบิกความว่า จำเลยได้มอบสำเนาใบเสร็จรับเงินค่าสินค้าของ

ลกู คา้ ทจี่ ำเลยยกั ยอกไป จำนวน ๒๖ ฉบบั ตามเอกสารหมาย จ.๒๖ ใหแ้ กน่ ายอนรุ ตั นเ์ พอื่ นำไป

มอบใหแ้ กน่ างจริ ะภา เหน็ วา่ พยานโจทกท์ ง้ั สามปากดงั กลา่ วไมม่ สี าเหตโุ กรธเคอื งกบั จำเลยมา

ก่อน จงึ ไมม่ เี หตุที่จะปรกั ปรำจำเลยให้ต้องรบั โทษ ประกอบกับจำเลยยอมรบั วา่ ได้ยกั ยอกเงนิ

และเอกสารของโจทก์ไปโดยได้ส่งมอบสำเนาใบเสร็จรับเงินที่ตนเองยักยอกไปตามเอกสาร

หมาย จ.๒๖ ให้แก่โจทก์และทำบันทึกยินยอมชดใช้เงินที่ยักยอกไป จำนวน ๗๙๐,๔๒๘.๘๑

บาท ใหแ้ กโ่ จทกไ์ วต้ ามเอกสารหมาย จ.๓๔ และ จ.๓๖ โดยจำเลยไมม่ พี ยานหลกั ฐานมานำสบื

หักล้างพยานโจทก์ดังกล่าวแต่ประการใด ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐาน

ยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก ศาลอทุ ธรณเ์ ห็นพ้องดว้ ยกบั คำ

วนิ จิ ฉัยของศาลช้นั ตน้ อุทธรณ์ของจำเลยในขอ้ นี้ฟงั ไม่ขึน้

ปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อต่อไปมีว่า จำเลยกระทำความผิด

ฐานใช้เอกสารปลอมหรือไม่ นางจิระภา ศิรพิ งษ์ พยานโจทก์ เบกิ ความวา่ ในส่วนของลูกคา้ ที่

ชำระคา่ สนิ คา้ เปน็ เชค็ ขดี ครอ่ ม จำเลยไดก้ ระทำการทจุ รติ โดยหลงั จากจำเลยไดร้ บั เชค็ ขดี ครอ่ ม

ของลกู คา้ จากพนักงานเก็บเงินของโจทกแ์ ลว้ จำเลยได้ส่งมอบเช็คดงั กล่าวให้แก่พนักงานเพื่อ

นำเข้าบัญชีธนาคารของโจทก์ แล้วพนักงานของโจทก์นำสำเนาใบนำฝากซ่ึงธนาคารได

ประทับตราและลงลายมือชื่อพนักงานของธนาคารไว้ส่งมอบให้แก่จำเลย โดยจำเลยมีหน้าท่

เขยี นใบสำคญั การรบั เงนิ ซง่ึ มรี ายละเอยี ดของลกู คา้ ใบเสรจ็ รบั เงนิ ทล่ี กู คา้ ชำระ และจำนวนเงนิ

แนบไปกับสำเนาใบนำฝากและสำเนาใบเสร็จรับเงินเสนอให้แก่กรรมการของโจทก์เพ่ืออนุมัติ

ส่วนท่ี ๒ ตวั อย่างคำพิพากษาและคำส่ังในรปู คำพิพากษาของศาลอุทธรณ
์ 397
คดอี าญา


ใบสำคญั การรบั เงนิ ดงั กลา่ ว แตจ่ ำเลยไดย้ กั ยอกสำเนาใบนำฝากเชค็ ดงั กลา่ วไป แลว้ เขยี นใบนำ

ฝากปลอมโดยระบุรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนเงินและเช็คเป็นเท็จรวมทั้งปลอมลายมือชื่อ

พนกั งานธนาคารเพอื่ เสนอแกก่ รรมการของโจทกต์ ามเอกสารหมาย จ.๒๔ เหน็ วา่ พยานโจทก

ดังกลา่ วเบิกความยืนยันวา่ สำเนาใบนำฝากตามเอกสารหมาย จ.๘, จ.๑๑, จ.๑๓, จ.๑๖, จ.๑๙

และ จ.๒๔ เปน็ เอกสารปลอมโดยสามารถเปรยี บเทยี บกบั เอกสารสำเนาใบนำฝากตามเอกสาร

หมาย จ.๑๐, จ.๑๒, จ.๑๕ และ จ.๑๙ ซง่ึ เป็นเอกสารที่แท้จริง การดำเนนิ การเกี่ยวกับเอกสาร

ดังกล่าวล้วนแล้วแต่อยู่ในหน้าท่ีและความรับผิดชอบของจำเลยทั้งส้ิน โดยจำเลยเป็นผู้เสนอ

เอกสารดังกล่าวแก่กรรมการของโจทก์เพ่ืออนุมัติทั้งที่เป็นเอกสารปลอมและมีข้อความอันเป็น

เทจ็ ประกอบกบั หลงั จากตรวจสอบพบ จำเลยกร็ บั วา่ ไดก้ ระทำการทจุ รติ ยกั ยอกเงนิ และเอกสาร

ของโจทกไ์ ปโดยไมไ่ ดโ้ ตแ้ ยง้ แตป่ ระการใด ขอ้ เทจ็ จรงิ จงึ ฟงั ไดว้ า่ จำเลยเสนอเอกสารดงั กลา่ วแก่

กรรมการของโจทกเ์ พอื่ อนมุ ตั โิ ดยรวู้ า่ เปน็ เอกสารปลอม เปน็ ความผดิ ฐานใชเ้ อกสารปลอมตาม

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๘ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๒๖๔ ศาลอทุ ธรณเ์ ห็นพอ้ ง

ดว้ ยกับคำพิพากษาศาลช้ันตน้ อุทธรณ์ของจำเลยในขอ้ น้ีฟังไม่ขน้ึ

ปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อต่อไปมีว่า จำเลยกระทำความผิด

ฐานลักทรพั ยส์ ำเนาใบเสร็จรับเงนิ ของโจทกซ์ ึ่งเปน็ นายจา้ งหรอื ไม่ นางจิระภา ศิรพิ งษ์ พยาน

โจทก์ เบกิ ความสอดคลอ้ งกบั คำเบกิ ความของนายอนรุ ตั น์ โตะ๊ กู พนกั งานรกั ษาความปลอดภยั

ของโจทก์ โดยยืนยันว่าหลังจากตรวจพบการทุจริตของจำเลยแล้ว จำเลยได้มอบสำเนา

ใบเสร็จรบั เงนิ ค่าสินค้า จำนวน ๒๖ ฉบับ ตามเอกสารหมาย จ.๒๖ ให้แกน่ ายอนรุ ตั น์เพือ่ นำ

ไปมอบให้แก่นางจิระภา เห็นว่า การท่ีจำเลยมอบสำเนาใบเสร็จรับเงินดังกล่าวให้แก่นาย

อนรุ ตั นห์ ลงั จากมกี ารตรวจพบวา่ จำเลยกระทำการทจุ รติ แสดงวา่ จำเลยไดย้ ดึ ถอื ใบเสรจ็ รบั เงนิ

ดงั กลา่ วไวซ้ ง่ึ เปน็ การกระทำนอกขอบอำนาจหนา้ ทข่ี องตนเองเพอ่ื ประกอบการกระทำทจุ รติ ของ

จำเลย จึงเป็นการนำทรัพย์ของโจทก์ซ่ึงเป็นนายจ้างไปโดยทุจริต เป็นความผิดฐานลักทรัพย


398 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คด


ของนายจ้างตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑๑) วรรคแรก คำพิพากษาของศาล

ชนั้ ตน้ ชอบแลว้ ศาลอทุ ธรณเ์ ห็นพ้องดว้ ย อุทธรณข์ องจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึน้

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อต่อไปมีว่า การกระทำของจำเลย

เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน และศาลชั้นต้น

พิพากษาเกินคำขอของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า การกระทำของจำเลยในการยักยอกทรัพย์ของ

โจทก์ ใช้เอกสารปลอม และลักทรัพย์สามารถแยกเจตนาแห่งการกระทำออกจากกันได้ และ

จำเลยไดก้ ระทำความผดิ ดงั กลา่ วต่างวันและเวลากนั จึงเปน็ ความผิดหลายกรรมตา่ งกนั โจทก์

ได้บรรยายฟอ้ งระบุวา่ ระหวา่ งประมาณเดอื นกรกฎาคม ๒๕๓๘ ถงึ วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๔๒

จำเลยได้กระทำความผิดต่อกฎหมายอาญาท้ังกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทและหลาย

กรรมต่างวาระกันด้วยการบรรยายข้อเท็จจริงเก่ียวกับการกระทำความผิดฐานยักยอก ฐาน

ปลอมและใช้เอกสารปลอม ฐานเอาไปเสียซ่ึงเอกสารของผู้อื่น และฐานลักทรัพย์ของนายจ้าง

โดยอา้ งบทมาตราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๘, ๒๖๔, ๒๖๘, ๓๓๔, ๓๓๕ (๑๑)

และ ๓๕๒ ไวแ้ ลว้ ศาลชนั้ ตน้ ยอ่ มมอี ำนาจลงโทษจำเลยในความผดิ หลายกรรมดงั กลา่ วได้ โดย

โจทก์ไม่จำต้องอ้างบทมาตราที่เก่ียวกับการลงโทษหลายกรรมตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๙๑ มาดว้ ย และกรณีไม่ใชเ่ ร่อื งท่โี จทกไ์ มป่ ระสงค์จะลงโทษแต่ประการใด คำพิพากษา

ศาลชน้ั ตน้ ทลี่ งโทษจำเลยตามความผดิ ทไี่ ดค้ วามดงั กลา่ วจงึ ชอบแลว้ อทุ ธรณข์ องจำเลยในขอ้ น
ี้
ฟงั ไม่ขน้ึ

ปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อต่อไปมีว่า สิทธินำคดีอาญามา

ฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานยักยอกระงับไปแล้วหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำเบิกความ

ของพันตำรวจตรี ศิริพงษ์ ประมวลมา พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางรัก และ

สำเนารายงานประจำวนั เกยี่ วกบั คดตี ามเอกสารหมาย ล.๑ วา่ โจทกถ์ อนคำรอ้ งทกุ ข์ เนอ่ื งจาก

ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยด้วยตนเอง จึงไม่ทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ใน

สว่ นท่ี ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำสั่งในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
399
คดีอาญา


ความผิดดังกล่าวระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๒) แต

ประการใด คำพพิ ากษาศาลชน้ั ตน้ ชอบแลว้ ศาลอทุ ธรณเ์ หน็ พอ้ งดว้ ย อทุ ธรณข์ องจำเลยในขอ้ น
้ี
ฟงั ไมข่ ึน้

ป้ญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อต่อไปมีว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบ

คลมุ หรอื ไม่ เหน็ วา่ โจทกบ์ รรยายฟอ้ งระบวุ า่ ระหวา่ งประมาณเดอื นกรกฎาคม ๒๕๓๘ ถงึ วนั ท ี่

๓๐ เมษายน ๒๕๔๒ จำเลยไดก้ ระทำความผดิ ตอ่ กฎหมายอาญาทง้ั กรรมเดยี วผดิ ตอ่ กฎหมาย

หลายบทและหลายกรรมต่างวาระกันโดยบรรยายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดของ

จำเลยแต่ละบทความผิดดังกล่าวไว้ชัดแจ้งเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้อง

ของโจทกช์ อบดว้ ยประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ อุทธรณข์ องจำเลย

ในข้อนี้ฟังไมข่ น้ึ

ป้ญหาท่ีต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อสุดท้ายมีว่า มีเหตุสมควรลงโทษ

จำเลยสถานเบาและรอการลงโทษให้จำเลยหรือไม่ เห็นว่า จำเลยกระทำความผิดหลายบท

หลายกระทงตา่ งกรรมตา่ งวาระกนั โดยอาศยั อำนาจหนา้ ทข่ี องตนเอง และกระทำการโดยมกี าร

ตระเตรยี มวางแผนรวมทง้ั ปกปดิ การกระทำของตนเอง ทำใหโ้ จทกต์ อ้ งเสยี หายเปน็ จำนวนเงนิ

ถึง ๗๙๐,๔๒๘.๘๑ บาท พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง ท่ีศาลช้ันต้นพิพากษาลงโทษ

จำเลยทกุ กระทงความผดิ รวมจำคกุ เพยี ง ๓ ปี นบั วา่ เปน็ คณุ แกจ่ ำเลยมากแลว้ ไมม่ เี หตทุ ศี่ าล

อทุ ธรณ์จะเปลย่ี นแปลงแกไ้ ข อุทธรณ์ของจำเลยในข้อนฟ้ี ังไมข่ ึน้ เช่นกนั

พพิ ากษายนื .

400 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คด


ตัวอย่างคดีลักทรพั ย






๑. คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๖๑๐๘/๒๕๔๙


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ท่ีจำเลยอุทธรณ์ประการแรกว่า

คดนี ีโ้ จทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผดิ ฐานลักทรัพย์โดยบรรยายข้อเทจ็ จริงและรายละเอยี ดท
่ี
เกย่ี วกบั เวลาซงึ่ เกดิ การกระทำนน้ั ๆ ไวท้ งั้ เวลากลางวนั และเวลากลางคนื ซงึ่ ไมป่ รากฏชดั และ

จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้เพียงว่าจำเลยกระทำความผิดในเวลา

กลางวนั อันเป็นความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑๑) เท่าน้นั มอิ าจรบั ฟงั

เป็นยุติว่าจำเลยกระทำความผิดในเวลากลางคืน การที่ศาลช้ันต้นวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิด

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑) ดว้ ย แลว้ ปรบั บทลงโทษตามมาตรา ๓๓๕ วรรค

สาม (ทถ่ี กู มาตรา ๓๓๕ (๑) (๑๑) วรรคสอง) จงึ ไมช่ อบดว้ ยกฎหมายนน้ั เหน็ วา่ ฟอ้ งของโจทก

บรรยายไว้ว่าจำเลยกระทำความผิดเม่ือระหว่างวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ เวลากลางวัน

จนถงึ วนั ท่ี ๒๙ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๗ เวลากลางคนื ก่อนเท่ียง วนั และเวลาใดไม่ปรากฏชัด ตอน

หนงึ่ และอกี ตอนหนง่ึ เมอ่ื ระหวา่ งวนั ที่ ๑ มนี าคม ๒๕๔๗ เวลากลางวนั จนถงึ วนั ที่ ๒ มนี าคม

๒๕๔๗ เวลากลางคนื กอ่ นเท่ยี ง วันและเวลาใดไมป่ รากฏชดั การบรรยายฟอ้ งเช่นนย้ี อ่ มเปน็ ที

เข้าใจได้ว่าจำเลยกระทำความผิดในเวลากลางวันหรือมิฉะนั้นก็เป็นในเวลากลางคืน เวลาใด

เวลาหน่งึ ซ่ึงไม่แน่ชัด ดังน้ี เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพโดยไม่ปรากฏชัดว่ากระทำความผิดใน

เวลากลางวนั หรอื กลางคนื จะฟงั วา่ จำเลยใหก้ ารรบั สารภาพวา่ กระทำความผดิ ในเวลากลางคนื

อนั เปน็ ความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑) ย่อมไม่ชอบ เพราะเป็นการรบั

ฟังข้อเท็จจริงอันเป็นผลร้ายแก่จำเลย และควรวินิจฉัยไปในทางให้เป็นผลดีแก่จำเลยว่าจำเลย

กระทำความผิดในเวลากลางวัน ดังนั้น จำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้างตามประมวล

กฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑๑) เท่านั้น และปรับบทลงโทษแก่จำเลยตามบทกฎหมาย

ส่วนท่ี ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำส่งั ในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 401
คดอี าญา


ทถี่ กู ตอ้ งตอ่ ไป ทศ่ี าลชน้ั ตน้ วนิ จิ ฉยั ปญั หาดงั กลา่ วมานน้ั ศาลอทุ ธรณไ์ มเ่ หน็ พอ้ งดว้ ย อทุ ธรณ

ของจำเลยขอ้ นี้ฟังขน้ึ

ท่ีจำเลยอุทธรณ์ประการต่อมาว่า ตามคำร้องขอฝากขัง ครั้งที่ ๑ ระบุว่าเหล็ก

ชตี ไพน์ จำนวน ๑๙ แผน่ เปน็ วสั ดอุ ปุ กรณท์ ใี่ ชส้ ำหรบั งานกอ่ สรา้ ง ดงั นนั้ โดยสภาพการใชง้ าน

ย่อมเกดิ ความเสียหายชำรดุ บกพร่อง ทัง้ ขอ้ เท็จจรงิ ไมป่ รากฏว่าราคาของเหลก็ ชีตไพน์ที่โจทก์

กำหนดไว้ตามฟ้องเป็นราคาสำหรับเหล็กชีตไพน์ที่เพิ่งซื้อมาใหม่หรือเป็นราคาสำหรับเหล็ก

ชตี ไพนท์ ผี่ า่ นการใชง้ านมาแลว้ ดงั นน้ั ขอ้ เทจ็ จรงิ ทเี่ กยี่ วกบั คา่ เสยี หายสว่ นนจี้ งึ ไมอ่ าจกำหนด

จำนวนได้แน่นอน คำให้การรับสารภาพของจำเลยเป็นเพียงการยอมรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ

การกระทำในส่วนความผิดทางอาญาเท่านั้น ไม่ใช่คำให้การในส่วนแพ่งสำหรับความผิดในมูล

ละเมดิ เมอ่ื วตั ถแุ หง่ หนไ้ี มอ่ าจกำหนดจำนวนไดแ้ นน่ อน ทง้ั โจทกม์ ไิ ดน้ ำสบื ขอ้ เทจ็ จรงิ เกย่ี วกบั

คา่ เสยี หายในสว่ นนี้ ทศี่ าลชน้ั ตน้ รบั ฟงั ขอ้ เทจ็ จรงิ ในสว่ นนโ้ี ดยอาศยั เพยี งคำฟอ้ งของโจทกจ์ งึ ไม

ชอบดว้ ยกฎหมายนั้น เหน็ ว่า โจทก์ฟอ้ งวา่ จำเลยลักแผ่นเหลก็ ชตี ไพน์ จำนวน ๑๙ แผน่ ราคา

แผน่ ละ ๑๓,๒๐๐ บาท รวมเปน็ เงินทัง้ สิ้น ๒๕๐,๘๐๐ บาท ของผเู้ สยี หายซ่ึงเปน็ นายจ้างของ

จำเลยไปโดยทุจริต จำเลยให้การรับสารภาพโดยมิได้โต้แย้งเร่ืองราคาของแผ่นเหล็กชีตไพน ์

ซ่งึ เทา่ กับยอมรบั วา่ แผน่ เหล็กดังกลา่ วมีราคาตามทโี่ จทก์กลา่ วในฟอ้ งจรงิ จำเลยจะมาโต้เถียง

ในชนั้ นว้ี า่ คำใหก้ ารรบั สารภาพของจำเลยเปน็ เพยี งการยอมรบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ในสว่ นทเี่ กยี่ วกบั การ

กระทำความผดิ ทางอาญาเทา่ นน้ั ไมใ่ ชค่ ำใหก้ ารในสว่ นแพง่ สำหรบั ความผดิ ในมลู ละเมดิ หาได้

ไม่ เพราะเปน็ การโตเ้ ถยี งขอ้ เทจ็ จรงิ ทจี่ ำเลยใหก้ ารรบั สารภาพแลว้ ทงั้ ยงั เปน็ การยกขอ้ เทจ็ จรงิ

ข้ึนใหม่ในช้ันอุทธรณ์ซึ่งเป็นปัญหาท่ีมิได้ยกข้ึนว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลช้ันต้นอีกด้วย

อุทธรณ์ของจำเลยข้อน้ีจึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา ๒๒๕ วรรคหน่ึง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพจิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๕ ศาล

อทุ ธรณไ์ มร่ ับวินจิ ฉัย สว่ นทจ่ี ำเลยอทุ ธรณข์ อให้ลงโทษสถานเบาน้ัน เห็นว่า โทษที่ศาลชน้ั ตน้

402 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉัยคดี


กำหนดเปน็ อตั ราโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑) (๑๑) วรรคสอง ซงึ่ มรี ะวาง

โทษจำคกุ ตง้ั แตห่ นงึ่ ปถี งึ เจด็ ปี สว่ นระวางโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑๑)

วรรคแรก กฎหมายกำหนดให้จำคุกตั้งแต่หน่ึงปีถึงห้าปี จึงต้องกำหนดโทษจำเลยเสียใหม่

เพื่อให้เหมาะสมกับความร้ายแรงแห่งการกระทำความผิด และท่ีจำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการ

ลงโทษจำคกุ นนั้ เห็นวา่ จำเลยมีอายุ ๕๗ ปี มอี าชพี รบั จ้าง ทง้ั ยังเปน็ ผนู้ ำในครอบครัว ย่อม

ต้องมีความรู้สึกผิดชอบช่ัวดีและปฏิบัติตนเพื่อให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่บุคคลในครอบครัว แต่

จำเลยกลับกระทำความผิดเสียเอง ท้ังยังเป็นการลักทรัพย์ของนายจ้างซ่ึงมีราคาสูงถึง

๒๕๐,๘๐๐ บาท โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้บรรเทาผลร้ายแห่งความเสียหายแต่ประการใด

พฤตกิ ารณแ์ หง่ คดจี งึ ไมม่ เี หตทุ จ่ี ะรอการลงโทษจำคกุ ใหจ้ ำเลย อทุ ธรณข์ องจำเลยขอ้ นฟ้ี งั ไมข่ น้ึ

พพิ ากษาแกเ้ ป็นวา่ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕

(๑๑) วรรคแรก ใหจ้ ำคกุ กระทงละ ๔ ปี รวม ๒ กระทง เปน็ จำคกุ ๘ ปี ลดโทษใหต้ ามประมวล

กฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กงึ่ หนง่ึ แลว้ คงจำคกุ ๔ ปี นอกจากทแ่ี กใ้ หเ้ ปน็ ไปตามคำพพิ ากษา

ศาลชั้นต้น.






๒. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๘๑๑๘/๒๕๕๑


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบ้ืองต้นรับฟังได้ว่า

เมื่อวันท่ี ๑๖ ตุลาคม ๒๕๔๘ เวลาประมาณ ๒๑ นาฬิกา จำเลยไปเดินดูสินค้าในห้าง

สรรพสนิ คา้ คารฟ์ รู ์ สาขารชั ดาภเิ ษก ซง่ึ เปน็ หา้ งสรรพสนิ คา้ ในกจิ การของบรษิ ทั เซน็ คาร์ จำกดั

ผู้เสยี หาย ตอ่ มาในเวลา ๒๑.๓๐ นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจจบั กมุ จำเลยโดยยึดแบรนด์รังนก

๓ กลอ่ ง ราคา ๒,๕๔๑ บาท เปน็ ของกลางตามบญั ชขี องกลางคดอี าญา เอกสารหมาย จ.๑ คดมี

ปญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องจำเลยวา่ จำเลยกระทำความผดิ ตามคำพพิ ากษาศาลชน้ั ตน้

สว่ นที่ ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำสง่ั ในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
403
คดอี าญา


หรอื ไม่ โจทกม์ นี ายพษิ ณุ สรุ ะพนั ธ์ พนกั งานรกั ษาความปลอดภยั ของหา้ งสรรพสนิ คา้ ทเ่ี กดิ เหต ุ

เป็นประจักษ์พยานเบิกความได้ความว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ ขณะพยานเดินตรวจดูความ

เรยี บร้อยทชี่ ัน้ ๒ ของห้างสรรพสินคา้ บริเวณชน้ั วางสินค้าประเภทสุรา พยานเหน็ จำเลยหยบิ

แบรนดร์ งั นก ๓ กล่อง จากชั้นวางสนิ ค้าใส่กระเปา๋ สะพายของจำเลย จากนั้นจำเลยเดินไปมา

เพอ่ื ดสู นิ คา้ ประเภทอนื่ พยานตดิ ตามดคู วามเคลอ่ื นไหวของจำเลย ครหู่ นง่ึ พยานเหน็ จำเลยผา่ น

จุดชำระเงินออกไปโดยไม่ชำระราคาสินค้า พยานจึงเดินเข้าไปหาจำเลย แล้วแสดงตนเป็น

พนักงานของห้างสรรพสินค้าและสอบถามจำเลยว่าได้ชำระราคาสินค้าแล้วหรือไม่ พร้อมกับ

ขอตรวจคน้ ตวั จำเลย จำเลยยนิ ยอม ผลการตรวจค้นพบแบรนดร์ ังนก ๓ กลอ่ ง อยใู่ นกระเปา๋

สะพายของจำเลย พยานจึงเชิญจำเลยไปท่ีห้องรับรองของห้างสรรพสินค้า แล้วแจ้งให้เจ้า

พนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลห้วยขวางเดินทางมาจับกุมและดำเนินคดีแก่จำเลยใน

ขอ้ หาลกั ทรพั ยต์ ามบนั ทกึ การจบั กมุ เอกสารหมาย จ.๖ เหน็ วา่ ประจกั ษพ์ ยานโจทกเ์ บกิ ความ

ถึงพฤติการณ์ของจำเลยโดยมีเน้ือหาสาระเช่ือมโยงกันเป็นข้ันเป็นตอน กับมีบัญชีของกลาง

คดีอาญาตามเอกสารหมาย จ.๑ และบันทึกการจับกุมตามเอกสารหมาย จ.๖ เป็นหลักฐาน

อา้ งอิงน่าเชอ่ื ถอื แมพ้ ยานโจทก์ปากนี้จะมไิ ด้เบิกความใหร้ ายละเอียดว่าวนั เกดิ เหตุมพี นักงาน

รักษาความปลอดภัยของห้างสรรพสินค้าเข้าเวรตามหน้าที่จำนวนกี่คน ห้างสรรพสินค้าท่ีเกิด

เหตุมีโทรทัศน์วงจรปิดหรือไม่ และมีกฎระเบียบการรักษาความปลอดภัยอย่างไร ข้อเท็จจริง

ดังกล่าวก็เป็นเพียงเร่ืองปลีกย่อยที่ไม่เก่ียวกับการกระทำของจำเลย จึงไม่ถึงกับทำให้คำเบิก

ความของพยานโจทกใ์ นข้อสาระสำคัญต้องเสียไปหรือรับฟังไม่ได้ดังท่ีจำเลยอุทธรณ์ ทั้งการที่

พยานโจทก์ตัดสินใจเข้าไปค้นตัวจำเลยและแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมและดำเนินคดีแก

จำเลยในขอ้ หาลกั ทรพั ยใ์ นระยะเวลากระชนั้ ชดิ หลงั เกดิ เหตทุ นั ทเี ชน่ นี้ ยอ่ มเปน็ ขอ้ บง่ ชวี้ า่ พยาน

โจทกต์ อ้ งเหน็ การกระทำของจำเลยและแนใ่ จวา่ จำเลยมที รพั ยส์ นิ ของหา้ งสรรพสนิ คา้ ไวใ้ นความ

ครอบครองโดยมิชอบ เพราะหากพยานโจทก์กลา่ วหาจำเลยโดยปราศจากมลู ความจรงิ พยาน

404 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉัยคด


โจทก์อาจถูกจำเลยร้องเรียนต่อห้างสรรพสินค้าซึ่งจะมีผลกระทบต่อหน้าที่การงาน และพยาน

โจทก์อาจตกเป็นผู้ต้องหาเสียเองโดยง่าย ประกอบกับข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าพยานโจทก

เรยี กรอ้ งเงนิ ทองหรอื ผลประโยชนอ์ ย่างใด ๆ จากจำเลย จงึ เช่อื ไดว้ ่าพยานโจทก์กลา่ วหาและ

จบั กมุ จำเลยตามอำนาจหนา้ ทอี่ ยา่ งตรงไปตรงมาโดยยดึ ถอื พยานหลกั ฐานเปน็ สำคญั มไิ ดก้ ลน่ั

แกล้งปรักปรำใสร่ า้ ยใหจ้ ำเลยต้องรับโทษ ทจ่ี ำเลยอทุ ธรณ์ว่า ขณะเกดิ เหตุมีลกู ค้าจำนวนมาก

อยูใ่ นหา้ งสรรพสินค้าที่เกดิ เหตุ จงึ ไมน่ ่าเป็นไปได้วา่ จำเลยจะกล้านำแบรนด์รังนกของกลางใส

ในกระเปา๋ สะพายของจำเลยนน้ั เห็นว่า ขอ้ เทจ็ จริงไดค้ วามตามคำเบิกความตอบทนายจำเลย

ถามคา้ นของพนั ตำรวจโท สมคดิ สมบรู ณ์ พนกั งานสอบสวน พยานโจทก์ วา่ ในชว่ งทพ่ี ยานรบั

ราชการในทอ้ งทเ่ี กดิ เหตปุ ระมาณ ๗ ปี พยานไดร้ บั แจง้ เหตลุ กั ทรพั ยใ์ นหา้ งสรรพสนิ คา้ คารฟ์ รู ์

เป็นประจำ ดังนน้ั การทหี่ า้ งสรรพสนิ ค้าทีเ่ กิดเหตุจะมลี ูกคา้ เป็นจำนวนมากในขณะเกดิ เหตจุ ึง

มิใช่ข้อพิสูจน์ว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ ทั้งเมื่อพิจารณาคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนตาม

บนั ทกึ คำใหก้ ารของผตู้ อ้ งหา เอกสารหมาย จ.๗ เปรยี บเทยี บกบั คำเบกิ ความของจำเลยในชน้ั

พิจารณาแล้ว เห็นได้ชัดว่าจำเลยให้ข้อเท็จจริงขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ ในช้ันสอบสวน

จำเลยใหก้ ารว่าจำเลยหยิบกลอ่ งแบรนดร์ ังนก ๓ กลอ่ ง มาแกะดูสินคา้ ภายในกลอ่ ง แลว้ นำไป

วางบนชน้ั วางสนิ คา้ เชน่ เดมิ แตใ่ นชนั้ สบื พยานจำเลย จำเลยเบกิ ความวา่ เมอ่ื จำเลยแกะกลอ่ ง

แบรนดร์ งั นก ๓ กลอ่ ง เพอื่ ดวู นั หมดอายขุ องสนิ คา้ แลว้ จำเลยหยบิ แบรนดร์ งั นกทงั้ ๓ กลอ่ ง ใส

ในรถเข็น แล้วเดินดสู นิ คา้ ประเภทอ่นื จากนั้นไดเ้ ข็นรถเข็นนำสนิ คา้ ดงั กล่าวไปยังจุดชำระเงิน

เพ่อื ชำระราคาสนิ คา้ แตเ่ งินไม่พอ จงึ เดนิ ออกไปเพือ่ ถอนเงินจากเคร่อื งฝากถอนเงินอตั โนมตั ิ

(ตเู้ อทเี อม็ ) แลว้ ถกู จบั กมุ การทจี่ ำเลยตอ่ สเู้ พอ่ื ใหต้ นเองหลดุ พน้ จากความผดิ โดยอา้ งเหตผุ ลใน

ข้อสำคัญแตกต่างกัน เป็นที่สับสน ไม่อยู่กับร่องกับรอย และรับฟังเอาเป็นความจริงแน่นอน

ในทางใดทางหนึ่งมิได้ นับเป็นข้อพิรุธ ไม่น่าเช่ือถือ และไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐาน

โจทก์ แมจ้ ำเลยจะมนี างสาวกษมาภรณ์ ทาทอง เปน็ พยานเบกิ ความสนบั สนนุ แตพ่ ยานจำเลย

สว่ นท่ี ๒ ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาและคำสงั่ ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 405
คดอี าญา


ปากน้ีไม่เคยไปให้การต่อพนักงานสอบสวน ท้ังเป็นพยานท่ีจำเลยไม่เคยกล่าวถึงในคำให้การ

มากอ่ น ถอื เปน็ พยานทจ่ี ำเลยเพิง่ อ้างขึน้ ใหมใ่ นชัน้ พิจารณา จึงไมม่ นี ้ำหนักใหร้ บั ฟัง ท่จี ำเลย

อุทธรณ์อีกว่า คำรับสารภาพของจำเลยในช้ันจับกุมตามบันทึกการจับกุม เอกสารหมาย จ.๖

เป็นคำรบั สารภาพทจ่ี ำเลยมิได้ใหก้ ารดว้ ยความสมัครใจ และจำเลยมิไดอ้ ่านข้อความ จึงรับฟงั

ไมไ่ ดน้ นั้ เหน็ วา่ ศาลชนั้ ตน้ มไิ ดน้ ำคำรบั สารภาพของจำเลยในชน้ั จบั กมุ มารบั ฟงั เปน็ ผลรา้ ยแก

จำเลย กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในข้อน้ี เม่ือพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนัก

มนั่ คง สมเหตสุ มผล คดจี งึ รบั ฟงั ไดโ้ ดยปราศจากขอ้ สงสยั วา่ จำเลยเปน็ คนรา้ ยลกั แบรนดร์ งั นก

๓ กลอ่ ง ของผเู้ สยี หายไป จำเลยจงึ มคี วามผดิ ตามฟอ้ ง ทจ่ี ำเลยอทุ ธรณใ์ นประการสดุ ทา้ ยขอให

ลงโทษสถานเบานนั้ เหน็ วา่ การทจ่ี ำเลยนำสนิ คา้ ของผเู้ สยี หายซกุ ซอ่ นไวใ้ นกระเปา๋ สะพายของ

จำเลยส่อแสดงว่าจำเลยเตรียมการและวางแผนเพ่ือกระทำความผิดมาต้ังแต่แรก ประกอบกับ

สนิ คา้ ที่จำเลยลักไปมใิ ช่สนิ คา้ ทจี่ ำเป็นต่อการดำรงชพี ในชวี ิตประจำวัน ท้งั จำเลยกระทำความ

ผิดโดยหวังแต่ประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายเดือดร้อนของผู้อ่ืน พฤติการณ

แหง่ คดถี อื เป็นเรอื่ งรา้ ยแรง ที่ศาลชนั้ ตน้ ลดโทษใหโ้ ดยจำคุกจำเลยมกี ำหนด ๑ ปี ๔ เดอื น จงึ

เหมาะสมแลว้ ศาลอุทธรณ์เหน็ พอ้ งดว้ ย อุทธรณข์ องจำเลยฟงั ไมข่ น้ึ

พพิ ากษายนื .

406 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉัยคด


ตัวอย่างคดลี กั ทรพั ย์ ความผดิ เกี่ยวกับเอกสาร

ความผิดเก่ียวกบั บัตรอิเลก็ ทรอนกิ ส






ำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๘๒/๒๕๕๒


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาข้อกฎหมายตาม

อุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า ใบบันทึกรายการขายท่ีพนักงานขายของห้างทองไพจิตร

นำมาใหจ้ ำเลยลงลายมือชื่อทง้ั ๔ ฉบับ เม่ือจำเลยใชบ้ ตั รอเิ ลก็ ทรอนกิ สข์ องผเู้ สยี หายไปชำระ

คา่ สนิ คา้ เปน็ เอกสารสทิ ธหิ รอื ไม่ โดยจำเลยอทุ ธรณว์ า่ การทจ่ี ำเลยลงลายมอื ชอื่ ผเู้ สยี หายในใบ

บนั ทกึ รายการขายดงั กลา่ วเปน็ ความผดิ ฐานปลอมเอกสารธรรมดาตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๒๖๔ วรรคหนง่ึ เทา่ นนั้ ไมใ่ ชเ่ ปน็ ความผดิ ฐานปลอมเอกสารสทิ ธติ ามประมวลกฎหมาย

อาญา มาตรา ๒๖๕ เพราะการท่ีจำเลยลงลายมือช่ือผู้เสียหายปลอมในใบบันทึกรายการขาย

ดังกล่าวเป็นเพียงหลักฐานว่าจำเลยซื้อสินค้าจากร้านดังกล่าวเท่านั้น ไม่ได้เป็นหลักฐาน

แหง่ การก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรอื ระงบั ซึ่งสิทธิ พิเคราะหแ์ ล้ว เหน็ ว่า การทจี่ ำเลยนำ

บตั รอเิ ลก็ ทรอนกิ สข์ องผเู้ สยี หายไปใชช้ ำระคา่ สนิ คา้ ทซี่ อ้ื จากรา้ นดงั กลา่ ว แลว้ พนกั งานของหา้ ง

ทองไพจติ รนำบตั รอเิ ลก็ ทรอนกิ สด์ งั กลา่ วไปรดู กบั เครอื่ งรดู บตั รเพอ่ื พมิ พใ์ บบนั ทกึ รายการขาย

และนำมาให้จำเลยลงลายมือชื่อ ก็เพ่ือเป็นหลักฐานว่าผู้ท่ีมีชื่อเป็นเจ้าของบัตรอิเล็กทรอนิกส

ดังกล่าว คือ ผู้เสียหาย ได้ซ้ือสินค้าจากร้านเป็นเงินค่าสินค้าตามที่ระบุไว้ในใบบันทึกรายการ

ขาย แลว้ นำใบบนั ทกึ รายการขายดงั กลา่ วไปแสดงตอ่ ธนาคารซง่ึ เปน็ ผอู้ อกบตั รใหแ้ กผ่ เู้ สยี หาย

เพ่ือเรียกเก็บเงินค่าสินค้าท่ีขายไป ใบบันทึกรายการขายดังกล่าวจึงมิใช่เป็นเพียงหลักฐานท
่ี
แสดงวา่ จำเลยไดซ้ อ้ื สนิ คา้ ไปเทา่ นน้ั แตเ่ ปน็ หลกั ฐานทกี่ อ่ ใหผ้ ทู้ ขี่ ายสนิ คา้ มสี ทิ ธเิ รยี กเกบ็ เงนิ คา่

สินค้าจากธนาคารผู้ออกบัตร และเม่ือธนาคารผู้ออกบัตรชำระค่าสินค้าตามใบบันทึกรายการ

ขายดงั กลา่ วแล้ว จะเรียกเก็บเงนิ จากผ้เู สียหายซง่ึ เป็นเจ้าของบัตรท่ธี นาคารออกให้ ใบบนั ทึก

สว่ นที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำสง่ั ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
407
คดีอาญา


รายการขายท่ีจำเลยลงลายมือชื่อจึงเป็นหลักฐานที่ก่อให้เกิดสิทธิที่ธนาคารผู้ออกบัตรไปเรียก

เก็บเงินจากผู้เสียหายอีกทอดหน่ึง ใบบันทึกรายการขายจึงเป็นเอกสารสิทธิตามประมวล

กฎหมายอาญา มาตรา ๑ (๙) การทจ่ี ำเลยลงลายมอื ชอ่ื ผเู้ สยี หายปลอมในใบบนั ทกึ รายการขาย

ดงั กลา่ วจงึ เปน็ ความผดิ ฐานปลอมเอกสารสทิ ธแิ ละใชเ้ อกสารสทิ ธปิ ลอมตามทศ่ี าลชนั้ ตน้ วนิ จิ ฉยั

อุทธรณ์ของจำเลยขอ้ นฟี้ งั ไม่ข้ึน

ปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของจำเลยประการต่อไปมีว่า การที่จำเลย

นำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้เสียหายไปใช้ซ้ือสินค้า แล้วลงลายมือชื่อผู้เสียหายปลอมในใบ

บันทึกรายการขาย เป็นความผิดกรรมเดียวกัน ต้องลงโทษจำเลยในบทหนักเพียงกรรมเดียว

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยนำบัตรอิเล็กทรอนิกส

ของผู้เสียหายไปใช้ชำระค่าสินค้าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๙/๕

และ ๒๖๙/๗ ซ่ึงประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติเป็นความผิดไว้โดยเฉพาะในหมวด ๔ ความ

ผิดเก่ียวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ แยกต่างหากจากการกระทำความผิดเก่ียวกับเอกสาร เพราะ

การกระทำความผิดในหมวดน้ีนอกจากจะทำให้ผู้ที่เป็นเจ้าของบัตรอิเล็กทรอนิกส์ได้รับความ

เสียหายแล้ว ยังมีผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจและความน่าเชื่อถือของกิจการธนาคารหรือ
สถาบันการเงินอย่างกว้างขวาง ทั้งการนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ไปใช้ในบางกรณี เช่น การเบิก

ถอนเงินสดจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติ ผู้ที่นำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ไปใช้ก็ไม่จำเป็นต้องลง

ลายมอื ชอื่ ใด ๆ ดงั นน้ั การทจี่ ำเลยนำบตั รอเิ ลก็ ทรอนกิ สข์ องผเู้ สยี หายไปใชก้ บั การทจี่ ำเลยลง

ลายมอื ชอ่ื ของผเู้ สยี หายปลอมในใบบนั ทกึ รายการขายจงึ เปน็ การกระทำคนละขนั้ ตอนกนั และม

ผลกระทบต่อผู้ที่ได้รับความเสียหายต่างคนกัน จึงเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกัน ท่ีศาล

ช้ันต้นพพิ ากษาในประเด็นนี้ชอบแล้ว อุทธรณข์ องจำเลยฟังไม่ข้ึน

ปัญหาประการสุดท้ายตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า มีเหตุสมควรรอการลงโทษ

ใหจ้ ำเลยหรือไม่ เห็นวา่ จำเลยไมเ่ คยไดร้ ับโทษจำคกุ มาก่อน ขณะกระทำความผดิ จำเลยเป็น

408 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉยั คดี


นกั ศกึ ษาของมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั จนั ทรเกษม ชนั้ ปที ่ี ๔ โปรแกรมวชิ าภาษาองั กฤษธรุ กจิ ตาม

หนังสอื รบั รองสภาพนกั ศกึ ษา เอกสารทา้ ยอุทธรณ์ หมายเลข ๓ หลังจากกระทำความผิดแลว้

จำเลยรู้สำนึกในการกระทำความผิด ได้ชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายแล้ว ๑๐๐,๐๐๐ บาท จน

ผู้เสียหายพอใจ และไม่ประสงค์จะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญาต่อไป ตามที่ปรากฏใน

ฟอ้ งของโจทกแ์ ละบนั ทกึ คำใหก้ ารชน้ั สอบสวนเพมิ่ เตมิ ของสถานตี ำรวจนครบาลพหลโยธนิ เมอ่ื

วนั ท่ี ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๐ เอกสารท้ายอทุ ธรณ์ หมายเลข ๑ ซง่ึ โจทก์ไดร้ บั สำเนาอทุ ธรณ

พรอ้ มเอกสารดงั กลา่ วแลว้ ไมโ่ ตแ้ ยง้ จงึ เหน็ สมควรใหโ้ อกาสจำเลยกลบั ตวั เปน็ พลเมอื งดโี ดยรอ

การลงโทษไว้ แตเ่ พอ่ื ใหจ้ ำเลยเขด็ หลาบ และไมก่ ลบั มากระทำความผดิ อกี สมควรลงโทษปรบั

จำเลยอีกสถานหนึ่ง และคุมความประพฤติจำเลยไว้ด้วย ท่ีศาลช้ันต้นพิพากษาลงโทษจำเลย

โดยไม่รอการลงโทษใหน้ ้ัน ศาลอทุ ธรณ์ไม่เห็นพอ้ งดว้ ย อทุ ธรณข์ องจำเลยข้อนีฟ้ ังขน้ึ

พิพากษาแกเ้ ป็นว่า ให้ปรบั ในความผดิ ฐานลักทรพั ย์ ๑,๐๐๐ บาท ความผดิ ฐาน

ใช้เอกสารสิทธิปลอม ๑,๐๐๐ บาท และความผิดฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่น ๑๐,๐๐๐

บาท รวมปรบั ๑๒,๐๐๐ บาท ลดโทษให้ก่งึ หน่งึ แล้ว คงปรบั ๖,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการ

ลงโทษไว้ ๒ ปี คุมความประพฤติจำเลยโดยใหจ้ ำเลยไปรายงานตัวตอ่ พนักงานคุมประพฤติ ๔

เดอื น ตอ่ ครง้ั ตลอดระยะเวลาทรี่ อการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไมช่ ำระ

ค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม

คำพพิ ากษาศาลช้นั ตน้ .

ส่วนท่ี ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำสั่งในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 409
คดีอาญา


ตวั อยา่ งคดลี กั ทรัพย์ ความผดิ ต่อเสรีภาพ






ำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๕๖๑๙/๒๕๔๕


พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจรงิ เบอ้ื งตน้ ฟังได้ว่า จำเลยท้งั สองได้รว่ มกันหน่วงเหน่ยี ว

กกั ขงั ผู้เสยี หายไว้ในห้องพักของจำเลยท้ังสอง โดยจำเลยที่ ๑ ไดใ้ ช้อาวุธมีดเปน็ อาวธุ จี้บงั คบั

ขม่ ขืนใจผ้เู สยี หายจนยอมทจ่ี ะไมอ่ อกไปจากห้องพักของจำเลยทง้ั สองด้วย และจำเลยท่ี ๒ ได้

ขอกญุ แจรถจากผเู้ สยี หายเพอื่ นำไปใชข้ บั รถยนตข์ องมารดาผเู้ สยี หายออกจากอาคารทพ่ี กั และ

นำไปจอดไวท้ ลี่ านจอดรถของอาคารหลงั อนื่ ตอ่ มาเจา้ พนกั งานตำรวจไดต้ ดิ ตามจบั กมุ จำเลยทงั้

สองพร้อมกับยึดรถยนต์ของมารดาผู้เสียหายและช่วยเหลือนำตัวผู้เสียหายกลับคืนมาได้ คงม

ปญั หาตอ้ งวินิจฉยั ตามอทุ ธรณ์ของจำเลยท่ี ๒ วา่ ศาลชน้ั ตน้ วินิจฉัยวา่ จำเลยที่ ๒ เป็นตัวการ

รว่ มกันกับจำเลยท่ี ๑ ในการกระทำความผดิ ข้อหาข่มขืนใจผูเ้ สยี หายไม่ใหอ้ อกไปจากหอ้ งพกั

ของจำเลยทั้งสองโดยมีอาวุธมีดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙ วรรคสอง และ

วนิ จิ ฉยั วา่ จำเลยที่ ๒ กระทำความผดิ ขอ้ หารว่ มกนั ลกั ทรพั ยต์ ามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา

๓๓๕ (๑) (๗) ชอบหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองมีเจตนาร่วมกันหน่วงเหน่ียวกักขัง

ผู้เสียหายไว้ในห้องพักของจำเลยท้ังสอง โดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้หลอกพาผู้เสียหายเข้าไปใน

ห้องพกั ดงั กลา่ ว แลว้ ให้อยกู่ บั จำเลยที่ ๑ เป็นทำนองให้จำเลยท่ี ๑ ควบคมุ ตัวผู้เสยี หายไมใ่ ห้

ออกไปจากห้องพัก แล้วจำเลยท่ี ๑ ได้ใชอ้ าวธุ มีดจี้บังคับขม่ ขนื ใจผู้เสียหาย แมจ้ ำเลยที่ ๒ จะ

ไมไ่ ดอ้ ยใู่ นหอ้ งพกั ขณะทจี่ ำเลยท่ี ๑ ใชอ้ าวธุ มดี ขม่ ขผู่ เู้ สยี หายกต็ าม แตพ่ ฤตกิ ารณท์ จ่ี ำเลยที่ ๒

ร่วมกันคบคิดกับจำเลยที่ ๑ กระทำการเพื่อให้บรรลุผลของการหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหาย

ยอ่ มถอื ไดว้ า่ การกระทำทกุ อยา่ งตามความประสงคน์ นั้ ซง่ึ แตล่ ะคนไดก้ ระทำลงไปเปน็ การกระทำ

ของจำเลยท้ังสอง กรณีจึงถือได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่ใช้อาวุธมีดในการข่มขืนใจ

ผเู้ สยี หายเปน็ เสมอื นการกระทำของจำเลยท่ี ๒ ดว้ ย สว่ นปญั หาวา่ จำเลยทงั้ สองมเี จตนารว่ มกนั

410 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉัยคดี


ลักทรัพย์รถยนต์ของมารดาผู้เสียหายด้วยหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาโดยอาศัยหลักท่ีว่าการ

กระทำ (กรรม) เปน็ เครอื่ งชเี้ จตนา การทจี่ ำเลยที่ ๒ นำกญุ แจรถจากผเู้ สยี หายไปตดิ เครอ่ื งยนต

และขับรถยนตข์ องมารดาผู้เสียหายเคลือ่ นที่จากสถานทซ่ี งึ่ ผ้เู สยี หายจอดรถไว้ แล้วแลน่ ไปยัง

สถานทแี่ หง่ อน่ื เพอ่ื ใหพ้ น้ ไปจากการครอบครองของผเู้ สยี หาย แลว้ ไมค่ นื กญุ แจรถใหผ้ เู้ สยี หาย

แสดงให้เห็นเจตนาที่จะแย่งการครอบครองเพ่ือนำรถยนต์ไปจากผู้เสียหาย และพฤติการณ์ท่

จำเลยท่ี ๒ ต้องการถอดแผน่ ปา้ ยทะเบียนรถออก แสดงถึงเจตนาทจี่ ะยดึ ถอื เอารถยนต์ไว้โดย

เจตนาทจุ รติ ฉะนัน้ ที่ศาลช้ันตน้ วนิ ิจฉัยว่าจำเลยท่ี ๒ รว่ มกระทำความผดิ กบั จำเลยที่ ๑ ใน

ขอ้ หาขม่ ขนื ใจผเู้ สยี หายโดยมอี าวธุ มดี และขอ้ หาลกั ทรพั ยใ์ นเวลากลางคนื โดยพพิ ากษาลงโทษ

จำเลยท่ี ๒ ในความผดิ ดงั กลา่ วนนั้ ตอ้ งดว้ ยความเหน็ ของศาลอทุ ธรณ์ ทง้ั การกำหนดโทษตาม

คำพิพากษาศาลช้ันต้นก็เป็นคุณแก่จำเลยท่ี ๒ มากแล้ว กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงแก้ไข

คำพพิ ากษาของศาลช้นั ต้น อทุ ธรณข์ องจำเลยท่ี ๒ ฟังไม่ข้ึน

พพิ ากษายืน.

สว่ นที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำส่ังในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
411
คดอี าญา


ตวั อย่างคดีลกั ทรัพย์ รบั ของโจร






. คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๙๒๙๘/๒๕๕๑


พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบ้ืองต้นฟังได้ตามท่ีคู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้ว่า

เมอื่ ระหวา่ งวนั ที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๔๙ เวลากลางคนื หลงั เทยี่ ง ถงึ วนั ที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๔๙

เวลากลางคืนก่อนเที่ยง วันเวลาใดไมป่ รากฏชัด มีคนร้ายลักรถจกั รยานยนต์ ย่หี อ้ ยามาฮ่า รุ่น

นโู ว หมายเลขทะเบียน ยงบ กรุงเทพมหานคร ๓๕๖ ราคา ๕๗,๐๐๐ บาท ของบริษัทเพ็นน-์

เอเชยี จำกดั ทอี่ ยใู่ นความครอบครองของนายสถาพร ใจเกย๋ี ง ผเู้ สยี หาย ขณะจอดไวท้ ลี่ านจอด

รถของรา้ นนครคาเฟ่ ตอ่ มาเมอื่ วนั ท่ี ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๔๙ เวลากลางคนื หลงั เทยี่ ง ผเู้ สยี หาย

พบจำเลยขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวมาจอดท่ีลานจอดรถของร้านนครคาเฟ่ เจ้าพนักงาน

ตำรวจจับจำเลยและยึดรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวเป็นของกลาง ช้ันจับกุมและชั้นสอบสวน

จำเลยใหก้ ารรบั สารภาพฐานรบั ของโจรตามบนั ทกึ การจบั กมุ และบนั ทกึ คำใหก้ ารของผตู้ อ้ งหา

เอกสารหมาย จ.๗ และ จ.๑๐

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานรับ

ของโจรตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรอื ไม่ จำเลยอทุ ธรณอ์ ้างวา่ จำเลยเชา่ ซ้ือรถจกั รยานยนต์

ของกลางจากนายสมศกั ด์ิ ไมท่ ราบชอื่ สกลุ ในราคา ๔๐,๐๐๐ บาท ใกลเ้ คยี งกบั ราคาทอ้ งตลาด

และนายสมศกั ดสิ์ ง่ มอบรถจกั รยานยนตพ์ รอ้ มกญุ แจรถทที่ ำขน้ึ โดยบรษิ ทั ผผู้ ลติ มใิ ชเ่ ปน็ กญุ แจ

รถท่ีป๊ัมหรือทำขึ้นเอง ทำให้จำเลยเช่ือโดยสุจริตว่ามิใช่รถจักรยานยนต์ที่ได้มาจากการกระทำ

ความผดิ หลงั จากนนั้ จำเลยนำรถจกั รยานยนตข์ องกลางออกใชอ้ ยา่ งเปดิ เผย เมอื่ ผเู้ สยี หายขอ

ตรวจดู จำเลยก็ยินยอมให้ตรวจแต่โดยดี แสดงว่าจำเลยไม่ทราบว่ารถจักรยานยนต์ของกลาง

เปน็ ทรพั ยท์ ไ่ี ดม้ าจากการกระทำความผดิ นนั้ เหน็ วา่ การทจี่ ะคน้ หาเจตนาของจำเลยวา่ จำเลย

รบั รถจกั รยานยนตข์ องกลางโดยรหู้ รอื ไมว่ า่ เปน็ ทรพั ยท์ ไ่ี ดม้ าจากการกระทำความผดิ เปน็ การ

412 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉัยคด


ยากที่โจทก์จะนำสืบด้วยประจักษ์พยานได้ จำเป็นต้องอาศัยเหตุผลกรณีแวดล้อมและพิรุธ

แห่งการกระทำเป็นเคร่ืองชี้เจตนา คดีนี้ภายหลังรถจักรยานยนต์ของกลางหายไป ๓ สัปดาห์

เศษ ผู้เสียหายพบจำเลยขับรถจักรยานยนต์ของกลางไปท่ีร้านนครคาเฟ่โดยไม่ได้ติดแผ่น

ป้ายทะเบียนและฝาครอบเคร่ืองยนต์ที่มีรอยถลอกถูกถอดออก จำเลยอ้างว่าจำเลยเช่าซ้ือ

รถจักรยานยนต์ของกลางจากนายสมศกั ดใิ์ นราคา ๔๐,๐๐๐ บาท โดยไมท่ ราบว่าเปน็ ทรพั ย์ท่ี

ได้มาจากการกระทำความผิด แต่การเช่าซ้ือรถจักรยานยนต์ของกลางตามข้อกล่าวอ้างของ

จำเลยนั้น จำเลยมีหน้าที่ชำระค่าเช่าซ้ือเพียงเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท และนายสมศักด์ิส่ง

มอบรถจกั รยานยนตข์ องกลางแก่จำเลยในวันท่จี ำเลยตกลงเช่าซอื้ แสดงว่าขณะท่ีนายสมศกั ด
ิ์
ส่งมอบรถจักรยานยนต์ของกลางแก่จำเลย จำเลยเพิ่งชำระค่าเช่าซื้อให้นายสมศักดิ์เพียง

๒,๐๐๐ บาท ซงึ่ หากมกี ารเชา่ ซอ้ื รถจกั รยานยนตพ์ พิ าทกนั จรงิ นายสมศกั ดนิ์ า่ จะตอ้ งใหจ้ ำเลย

ทำสญั ญาเชา่ ซอ้ื เปน็ หลกั ฐานดว้ ย เพราะยงั มเี งนิ คา่ เชา่ ซอ้ื ทจี่ ำเลยจะตอ้ งชำระแกน่ ายสมศกั ด
ิ์
จำนวนมากและยังเหลือระยะเวลาการชำระค่าเช่าซ้ืออีกยาวนาน แต่ตามคำเบิกความของ

จำเลยปรากฏว่าการเช่าซ้ือรถจักรยานยนต์ของกลางระหว่างนายสมศักดิ์กับจำเลยไม่ได้ทำ

สัญญาเช่าซื้อกันไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งไม่น่าจะเป็นเช่นน้ัน ส่วนท่ีจำเลยอ้างว่าจำเลยเช่าซ้ือ

รถจักรยานยนต์จากนายสมศักดิ์ในราคาใกล้เคียงกับราคาท้องตลาด และนายสมศักด์ิมอบ

กญุ แจรถจักรยานยนต์ของบรษิ ัทผผู้ ลิตแก่จำเลย ทำใหจ้ ำเลยเชื่อโดยสจุ ริตวา่ รถจักรยานยนต์

ของกลางมิใช่ทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดนั้น ในข้อน้ีจำเลยเบิกความด้วยว่าขณะที่

นายสมศกั ดส์ิ ง่ มอบรถจกั รยานยนตข์ องกลางแกจ่ ำเลย รถจกั รยานยนตข์ องกลางไมไ่ ดต้ ดิ แผน่

ป้ายทะเบียน และนายสมศักด์ิไม่ได้นำสมุดคู่มือจดทะเบียนไปให้จำเลยดู ซ่ึงเป็นเร่ืองผิดปกต

วิสัย เพราะโดยปกติแผ่นป้ายทะเบียนย่อมต้องติดอยู่ที่ตัวรถจักรยานยนต์และสมุดคู่มือจด

ทะเบียนย่อมต้องอยู่ท่ีผู้เป็นเจ้าของรถ จำเลยอ้างว่าจำเลยสอบถามนายสมศักดิ์แล้ว นาย

สมศักด์ิตอบว่าจะนำไปให้ในสัปดาห์ถัดไป แต่หากเป็นเช่นน้ันจริง จำเลยน่าจะต้องสอบถาม

สว่ นที่ ๒ ตวั อยา่ งคำพิพากษาและคำสั่งในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ
์ 413
คดีอาญา


นายสมศักดิ์ด้วยว่าขณะน้ันแผ่นป้ายทะเบียนรถจักรยานยนต์และสมุดคู่มือจดทะเบียนอยู่ท่ีใด

และเหตุใดนายสมศักดิ์จึงไม่สามารถนำแผ่นป้ายทะเบียนมามอบให้จำเลยหรือนำสมุดคู่มือจด

ทะเบียนมาให้จำเลยดูในวันดังกล่าว เพราะเมื่อนายสมศักด์ิไม่มีท้ังแผ่นป้ายทะเบียนและสมุด

คู่มอื จดทะเบยี น จำเลยน่าจะตอ้ งเกดิ ความสงสยั และสอบถามเรอื่ งดังกล่าวจากนายสมศักดใิ์ ห้

ได้ความแน่ชัดก่อนตกลงเช่าซื้อ แต่ตามคำเบิกความของจำเลยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำ

เชน่ นนั้ ประกอบกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏวา่ ผเู้ สยี หายและเจา้ พนกั งานตำรวจพบแผน่ ปา้ ยทะเบยี น

รถจกั รยานยนตข์ องกลางในทเี่ กบ็ ของใตเ้ บาะทนี่ งั่ ในชน้ั พจิ ารณาจำเลยเบกิ ความอา้ งวา่ จำเลย

เพง่ิ ไดร้ บั แผน่ ปา้ ยทะเบยี นดงั กลา่ วจากนายสมศกั ดใ์ิ นวนั ถกู จบั แลว้ จำเลยขบั รถจกั รยานยนต

ไปเที่ยวต่อ จึงยังไม่ได้ติดแผ่นป้ายทะเบียนที่รถจักรยานยนต์ แต่ในชั้นสอบสวนจำเลยให้

การตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา เอกสารหมาย จ.๑๐ ว่า จำเลยได้รับแผ่นป้ายทะเบียน

รถจกั รยานยนตข์ องกลางจากนายสมศกั ดต์ิ งั้ แตก่ อ่ นวนั ถกู จบั กมุ ประมาณ ๑ สปั ดาห์ หลงั จาก

นน้ั จำเลยไปทำงานท่ีจังหวัดสมุทรสาคร เพิ่งกลบั มาในวนั ถูกจับกุม คำเบิกความของจำเลยใน

ชน้ั พจิ ารณาและชน้ั สอบสวนจงึ แตกตา่ งกนั แตจ่ ำเลยใหก้ ารในชน้ั สอบสวนในวนั รงุ่ ขนึ้ หลงั จาก

วันถูกจับกุม น่าจะยังไม่ทันได้คิดตกแต่งเร่ืองราวให้ดูแนบเนียน เชื่อว่าจำเลยได้รับแผ่นป้าย

ทะเบียนรถจักรยานยนตจ์ ากนายสมศักดิ์ก่อนวนั ถกู จบั กุมประมาณ ๑ สปั ดาห์ ดงั คำใหก้ ารใน

ชน้ั สอบสวน การทจี่ ำเลยใชร้ ถจกั รยานยนตข์ องกลางโดยเกบ็ แผน่ ปา้ ยทะเบยี นไวใ้ นทเ่ี กบ็ ของ

ใต้เบาะทน่ี ง่ั เปน็ เวลานานหลายวันก่อนถกู จบั กุม ทั้งยงั ถอดฝาครอบเครือ่ งยนต์ซ่ึงมีรอยถลอก

เป็นตำหนิออก แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยว่าจำเลยไม่ต้องการให้เจ้าของติดตามเอา

คืนได้นั่นเอง ส่วนที่จำเลยให้การในชั้นสอบสวนด้วยว่าจำเลยไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนท
่ี
รถจักรยานยนต์ เน่ืองจากไม่มีนอตน้ัน หากจำเลยเช่าซ้ือรถจักรยานยนต์ของกลางจากนาย

สมศกั ดโิ์ ดยสจุ รติ เมอื่ จำเลยรบั แผน่ ปา้ ยทะเบยี นจากนายสมศกั ด์ิ แมน้ ายสมศกั ดไิ์ มไ่ ดใ้ หน้ อต

มาด้วย จำเลยก็น่าจะต้องรีบหานอตมาติดแผ่นป้ายทะเบียนที่รถจักรยานยนต์โดยเร็ว เพราะ

414 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉัยคดี


จำเลยยอ่ มตอ้ งทราบดวี า่ การใชร้ ถจกั รยานยนตท์ ไี่ มต่ ดิ แผน่ ปา้ ยทะเบยี นเปน็ เรอ่ื งผดิ กฎหมาย

ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้ ส่วนท่ีจำเลยกล่าวในอุทธรณ์ด้วยว่าจำเลยนำ

รถจกั รยานยนตข์ องกลางไปใชโ้ ดยเปดิ เผย เมอ่ื ผเู้ สยี หายขอตรวจดู จำเลยกย็ นิ ยอมใหต้ รวจแต

โดยดี แสดงว่าจำเลยไม่ทราบว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นทรัพย์ท่ีได้มาจากการกระทำ

ความผิดนั้น ในข้อนี้เมื่อจำเลยรับรถจักรยานยนต์ของกลางไว้จากนายสมศักดิ์โดยเสีย

ค่าตอบแทน ย่อมเป็นธรรมดาอยู่เองที่จำเลยจะต้องนำออกใช้ และจำเลยให้การไว้ในชั้น

สอบสวนดว้ ยวา่ ในวนั ทจ่ี ำเลยถกู จบั จำเลยจอดรถจกั รยานยนตข์ องกลางทลี่ านจอดรถของรา้ น

นครคาเฟ่ ขณะทจ่ี ำเลยยนื พดู คยุ กบั เพอื่ นอยนู่ น้ั ผเู้ สยี หายไปพบและขอตรวจดรู ถจกั รยานยนต

ของกลาง แสดงว่าในขณะนั้นจำเลยไม่มีโอกาสท่ีจะปฏิเสธไม่ยอมให้ผู้เสียหายตรวจด

รถจักรยานยนตข์ องกลาง การทจี่ ำเลยนำรถจกั รยานยนต์ของกลางไปใชโ้ ดยเปดิ เผย และเมอื่

ผู้เสียหายขอตรวจดู จำเลยก็ได้ยินยอมให้ตรวจแต่โดยดี จึงมิใช่ข้อเท็จจริงที่แสดงว่าจำเลย

ไมท่ ราบวา่ รถจกั รยานยนตข์ องกลางเปน็ ทรพั ยท์ ไี่ ดม้ าจากการกระทำความผดิ ดงั ทก่ี ลา่ วอา้ ง ท
่ี
ศาลชนั้ ตน้ ฟงั ขอ้ เทจ็ จรงิ วา่ จำเลยรบั รถจกั รยานยนตข์ องกลางโดยรวู้ า่ เปน็ ทรพั ยท์ ไี่ ดม้ าโดยการ

กระทำความผิดจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ข้ึน และกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ

ในส่วนท่ีเกีย่ วกบั ความรับผดิ ของจำเลยขอ้ อน่ื เพราะไม่ทำให้ผลของคดเี ปลยี่ นแปลงไป

ส่วนท่ีจำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำคุกสถานเบา ลดโทษ และรอการลงโทษ

จำคุกน้ัน เห็นว่า ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด ๒ ปี โดยไม่รอการลงโทษนั้น

เหมาะสมแก่สภาพแห่งความผิดแล้ว อุทธรณข์ องจำเลยขอ้ นฟ้ี ังไม่ขึน้ เช่นกนั

พิพากษายนื .

ส่วนท่ี ๒ ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำสง่ั ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
415
คดอี าญา



. คำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๒๕๐๖/๒๕๕๒


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ท่ีโจทก์อุทธรณ์ข้อแรกว่า จำเลย

ใหก้ ารรับสารภาพข้อหาลักทรัพยใ์ นเวลากลางคนื ตามฟ้อง แตศ่ าลชน้ั ตน้ วางบทลงโทษจำเลย

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑) วรรคแรก ซ่งึ มีอตั ราโทษจำคุกต้ังแต่ ๑ ปี ถงึ

๕ ปี และปรบั ตัง้ แต่ ๒,๐๐๐ บาท ถึง ๑๐,๐๐๐ บาท โดยวางโทษจำคุกเพยี ง ๔ เดอื น และปรับ

๔,๐๐๐ บาท เปน็ การวางโทษจำคกุ ตำ่ กวา่ อตั ราโทษทกี่ ฎหมายกำหนด จงึ ไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย

น้ัน เห็นวา่ คดีน้โี จทก์บรรยายฟ้องข้อหาลกั ทรพั ย์ว่า เม่อื ระหวา่ งวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๔๙

เวลากลางคนื หลงั เทยี่ ง ถงึ วนั ท่ี ๓๑ สงิ หาคม ๒๕๔๙ เวลากลางวนั ตอ่ เนอ่ื งตดิ ตอ่ กนั วนั เวลาใด

ไมป่ รากฏชดั ไดม้ คี นรา้ ยลกั ผา้ เชด็ หนา้ ๑ ผนื ราคา ๓๐ บาท ชดุ ผา้ ปทู น่ี อน ๑ ชดุ ราคา ๔๐๐

บาท ของผเู้ สยี หายไปโดยทจุ รติ ทง้ั นี้ จำเลยเปน็ คนรา้ ยลกั ทรพั ยด์ งั กลา่ ว โดยมคี ำขอใหล้ งโทษ

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔ และมาตรา ๓๓๕ มาด้วยเช่นนี้ ตามคำฟ้องของ

โจทกอ์ นั เกย่ี วกบั เวลาเกดิ เหตลุ กั ทรพั ยจ์ งึ อาจเปน็ เวลากลางคนื หลงั เทยี่ งหรอื เวลากลางวนั กไ็ ด ้

เม่ือจำเลยให้การรับสารภาพฐานลักทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องโดยมิได้ระบุว่าลักทรัพย์ในเวลา

กลางวันหรอื ในเวลากลางคืน จงึ ยงั ฟังไมไ่ ด้ว่าจำเลยใหก้ ารรับสารภาพฐานลักทรัพยใ์ นเวลาใด

แน่ โจทกจ์ งึ มหี นา้ ทน่ี ำสบื ใหเ้ หน็ ไดว้ า่ จำเลยกระทำความผดิ ฐานลกั ทรพั ยใ์ นเวลากลางคนื เมอื่

โจทกไ์ มส่ บื พยาน ขอ้ เทจ็ จรงิ จงึ ฟงั ไมไ่ ดว้ า่ จำเลยกระทำความผดิ ฐานลกั ทรพั ยใ์ นเวลากลางคนื

ทศ่ี าลชนั้ ตน้ พพิ ากษาวา่ จำเลยมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑) จงึ เปน็

การผดิ หลง ทถ่ี กู ตอ้ งจำเลยคงมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔ ซง่ึ มอี ตั รา

โทษจำคกุ ไมเ่ กนิ ๓ ปี และปรบั ไมเ่ กนิ ๖,๐๐๐ บาท แตท่ ศี่ าลชน้ั ตน้ วางโทษกอ่ นลดโทษใหโ้ ดย

จำคุก ๔ เดือน และปรับ ๔,๐๐๐ บาท จึงเป็นการกำหนดโทษตามอัตราโทษของประมวล

กฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔ แลว้ หาไดว้ างโทษตำ่ กวา่ ทกี่ ฎหมายบญั ญตั ไิ ม่ อทุ ธรณข์ องโจทก


416 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉัยคดี


ท่ีขอให้วางโทษกอ่ นลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑) วรรคแรก จึงฟงั

ไมข่ นึ้ อยา่ งไรกต็ าม ศาลอทุ ธรณเ์ หน็ สมควรแกไ้ ขคำพพิ ากษาศาลชนั้ ตน้ เกย่ี วกบั ความผดิ ของ

จำเลยเสยี ให้ถกู ต้อง แม้ไมม่ คี ู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์

คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไปว่า สมควรรอการลงโทษจำคุกจำเลย

หรือไม่ เห็นว่า จำเลยลักทรัพย์ ราคารวม ๔๓๐ บาท ของผู้เสียหายอันเป็นทรัพย์ท่ีมีราคา

เลก็ นอ้ ย ไมป่ รากฏวา่ จำเลยเคยไดร้ บั โทษจำคกุ มากอ่ น พฤตกิ ารณแ์ หง่ คดมี ใิ ชเ่ รอื่ งรา้ ยแรง ท
่ี
ศาลชั้นต้นรอการลงโทษให้แก่จำเลยโดยกำหนดเง่ือนไขเพื่อคุมประพฤติจำเลยไว้ นับว่า

เหมาะสมแก่สภาพความผิดของจำเลยแล้ว ส่วนท่ีโจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยถูกฟ้องมาพร้อมกัน

รวมคดีนี้ด้วย ๗ คดี แสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทำความผิดซ้ำซากเสมือนเป็นอาชญากรมือ

อาชพี นน้ั เหน็ วา่ ขอ้ อทุ ธรณข์ องโจทกเ์ ปน็ การสนั นษิ ฐานทเี่ ปน็ ผลรา้ ยแกจ่ ำเลย ไมเ่ ปน็ เหตผุ ล

เพียงพอที่จะรับฟังว่าจำเลยกระทำความผิดซ้ำซากและไม่เข็ดหลาบดังท่ีโจทก์อ้างได้ วิธีการ

รอการลงโทษโดยกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมประพฤติน่าจะเป็นการแก้ไขเยียวยาจำเลยอันเป็น

ประโยชน์แก่สังคมโดยรวมมากกว่าการจำคุกในระยะสั้น ที่ศาลช้ันต้นให้โอกาสจำเลยกลับตน

เป็นพลเมืองดีโดยการรอการลงโทษและคุมประพฤตินั้นชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย

อุทธรณข์ อ้ นข้ี องโจทก์ฟงั ไม่ขึ้นเชน่ กนั

พพิ ากษาแก้เปน็ ว่า จำเลยมคี วามผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔

นอกจากทแี่ กใ้ ห้เปน็ ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

ส่วนท่ี ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำสง่ั ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
417
คดอี าญา


ตวั อย่างคดลี กั ทรพั ย์ รับของโจร ความผดิ เก่ยี วกับเอกสาร






ำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๓๐๑๑/๒๕๔๗


พเิ คราะห์แลว้ ข้อเท็จจริงฟงั ได้ในเบ้ืองต้นว่า เมือ่ วันที่ ๑๕ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๓๙

นางสาวณชยา จว๋ิ พฒั นากลุ เชา่ ซอ้ื รถยนต์ ยห่ี อ้ มาสดา้ สนี ำ้ เงนิ หมายเลขทะเบยี น ก-๒๔๔๙

ตราด มาจากบรษิ ทั เงนิ ทนุ เอกธนกจิ จำกดั (มหาชน) ตอ่ มาเมอ่ื วนั ที่ ๒๒ ตลุ าคม ๒๕๔๒ เวลา

ประมาณ ๑๗ นาฬกิ า เจา้ พนกั งานตำรวจศนู ยป์ อ้ งกนั และปราบปรามการโจรกรรมรถจบั จำเลย

ได้พร้อมรถยนต์ ย่ีห้อมาสด้า สีน้ำเงิน ของบริษัทเงินทุนเอกธนกิจ จำกัด (มหาชน) โดย

ด้านหน้าและด้านหลังรถติดแผ่นป้ายทะเบียน ๑ฬ-๕๐๖๖ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นแผ่นป้าย

ทะเบยี นปลอม และทกี่ ระจกบงั ลมดา้ นหนา้ ขา้ งซา้ ยมกี ารนำแผน่ ปา้ ยวงกลมแสดงการเสยี ภาษี

รถยนตป์ ระจำปี ๒๕๔๓ สนี ำ้ เงนิ เลขที่ ๑๕๐๒๑๔๒ ทกี่ รมการขนสง่ ทางบกออกใหแ้ กร่ ถยนต

คันอ่ืนมาแก้ไขในชอ่ งเลขทะเบียน วนั ส้นิ อายุ และนายทะเบยี นจงั หวัด โดยใช้ยาลบหมึกสีขาว

ลบขอ้ ความเดมิ ในชอ่ งดงั กลา่ วออก แลว้ เขยี นขอ้ ความดว้ ยหมกึ สดี ำซอ้ นทบั ขอ้ ความเดมิ ลงไป

ใหม่ ระบุเลขทะเบียน ๑ฬ-๕๐๖๖ กรงุ เทพมหานคร ระบวุ นั สน้ิ อายุ ๒๑ เม.ย. ๒๕๔๓ และระบุ

นายทะเบยี นกรงุ เทพมหานครในชอ่ งนายทะเบยี น นอกจากน้ี ภายในรถยนตย์ งั ตรวจพบสำเนา

รายการจดทะเบียนรถยนต์น่ังส่วนบุคคล หมายเลขทะเบียน ก-๒๔๔๙ ตราด พร้อมหนังสือ

เดนิ ทางประเทศไทยของผเู้ สยี หาย ผลการตรวจหมายเลขของแผน่ ปา้ ยทะเบยี นของกลางพบวา่

แผ่นป้ายทะเบียน ๑ฬ-๕๐๖๖ กรุงเทพมหานคร ท่ีแท้จริง กรมการขนส่งทางบกได้ออกให้แก

รถยนต์ ย่ีห้อฮอนด้า รุน่ ซีวิก สเี ขยี ว ซ่ึงก่อนเกดิ เหตนุ ายคงกระพนั ทวีพาณชิ ย์ พ่ีชายจำเลย

เคยมชี อ่ื ในรายการจดทะเบยี นเปน็ ผถู้ อื กรรมสทิ ธ์ิ อนงึ่ สำหรบั ขอ้ หาปลอมเอกสารราชการ ศาล

ชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ส่วนข้อหาใช้เอกสารราชการปลอม โจทก์และจำเลยมิได้อุทธรณ์ คด

เปน็ อนั ยตุ ติ ามคำพพิ ากษาศาลชน้ั ตน้ ปญั หาทตี่ อ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องจำเลยประการแรกม


418 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉยั คดี


วา่ จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ สำหรบั ข้อหาลักทรพั ยร์ ถยนต์ตามฟ้องน้ัน โจทกม์

นางสาวณชยา ผู้เสียหาย เบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุพยานได้รู้จักกับจำเลยและมีการไปเท่ียว

ด้วยกันโดยจำเลยขอยืมกุญแจรถของพยาน อ้างว่าจะนำรถยนต์ดังกล่าวไปซ้ือโจ๊ก ต่อมา

ภายหลงั จำเลยบอกพยานวา่ ชว่ งลา่ งรถยนตไ์ มค่ อ่ ยดี จะพาไปซอ่ มกบั เจา้ ของอทู่ รี่ จู้ กั กนั จงึ นดั

มาพบกนั ทห่ี า้ งสรรพสนิ คา้ เซน็ ทรลั พลาซา่ สาขาลาดพรา้ ว พยานขบั รถยนตด์ งั กลา่ วมาจอดท
่ี
ลานจอดรถชั้นใต้ดิน และไปรอจำเลยท่ีจุดนัดหมาย แต่จำเลยมาช้ากว่ากำหนดประมาณ ๑

ช่ัวโมง พร้อมแจ้งว่าเจ้าของอู่ไม่อยู่ ไม่สามารถทำได้ จึงมาส่งพยานท่ีลานจอดรถ ปรากฏว่า

รถยนตด์ งั กล่าวหายไป พยานเขา้ ใจว่าถกู บรษิ ัทผ้ใู หเ้ ช่าซื้อยึดรถยนตไ์ ปแลว้ เนื่องจากขาดส่ง

ค่างวด จำเลยจึงขอบัตรจอดรถ อ้างว่าจะไปเจรจาติดต่อให้ แต่ก็ไม่ติดต่อกลับมา พยานจึง

โทรศพั ทต์ ดิ ตอ่ สอบถาม จำเลยแจง้ วา่ ใหบ้ คุ คลตดิ ตอ่ แลว้ แตย่ งั ไมไ่ ดเ้ รอื่ ง พยานจงึ ไปรอ้ งทกุ ข ์

ตอ่ มาจำเลยไดต้ ดิ ตอ่ เสนอขายรถยนตม์ อื สองโดยใหโ้ อนเงนิ ใหก้ อ่ น จำนวน ๙๐,๐๐๐ บาท และ

จำเลยจะนำรถยนต์มือสองมาให้ หลังจากพยานโอนเงินให้ไป จำเลยก็ไม่ติดต่อกลับมาอีก

จนกระทงั่ ภายหลงั เจา้ พนกั งานตำรวจจบั จำเลยไดพ้ รอ้ มรถยนต์ ยห่ี อ้ มาสดา้ สนี ำ้ เงนิ ดงั กลา่ ว

สว่ นจำเลยอ้างตนเองเปน็ พยานเบิกความว่า จำเลยรู้จักกับผ้เู สียหายกอ่ นเกิดเหตปุ ระมาณ ๕

เดอื น โดยคบกันในลักษณะครู่ ัก ซงึ่ บางครงั้ จำเลยจะชว่ ยออกเงินชำระคา่ งวดรถยนตด์ งั กล่าว

ภายหลงั ผเู้ สยี หายไมส่ ามารถผ่อนชำระค่างวดไดแ้ ละเกรงว่าบรษิ ัทผ้ใู หเ้ ชา่ ซื้อจะมายึดรถยนต์

คนื ผเู้ สยี หายจงึ ขบั รถยนตด์ งั กลา่ วมาจอดไวท้ บี่ า้ นจำเลย และตกลงใหจ้ ำเลยหารถยนตม์ อื สอง

ยี่ห้อเปอโยต์ รุ่น ๔๐๕ ราคาประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ บาท มาให้แทน โดยผู้เสียหายโอนเงิน

บางส่วน จำนวน ๙๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลย ส่วนท่ีเหลือจะทำสัญญาเช่าซื้อผ่อนเป็นรายงวด

ต่อมาผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ว่ารถยนต์ดังกล่าวหายไปเพื่อบริษัทผู้ให้เช่าซื้อจะได้ไม่เรียก

คา่ เสยี หาย แตร่ ะหวา่ งนำรถยนตม์ อื สอง ยห่ี อ้ เปอโยต์ ไปให้ เกยี รเ์ กดิ ชำรดุ ทำใหไ้ มส่ ามารถนำ

รถยนต์ไปส่งมอบ ผู้เสียหายจึงเกิดความไม่พอใจ เข้าใจว่าจำเลยฉ้อโกง ข้อเท็จจริงในขณะ

สว่ นท่ี ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำสัง่ ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 419
คดีอาญา


เกิดเหตุจะเป็นอย่างไรนั้น คงมีแต่คำเบิกความของผู้เสียหายและจำเลยยันกันอยู่ กล่าวคือ

ผู้เสียหายส่งมอบการครอบครองรถยนต์ให้จำเลยหรือไม่ จึงต้องอาศัยพยานแวดล้อมกรณีฟัง

ประกอบคำเบกิ ความของผเู้ สยี หายและของจำเลย สมควรพเิ คราะหด์ ว้ ยวา่ ผเู้ สยี หายสง่ มอบการ

ครอบครองรถยนตข์ องกลางใหจ้ ำเลยครอบครองหรอื ไม่ ผเู้ สยี หายเบกิ ความถึงพฤตกิ รรมของ

จำเลยกอ่ นเกดิ เหตวุ า่ ผเู้ สยี หายรจู้ กั จำเลย แลว้ ไปเทย่ี วดว้ ยกนั ทพ่ี ทั ยา จำเลยยมื กญุ แจรถของ

ผเู้ สยี หาย อา้ งวา่ จะนำรถยนตไ์ ปซอ้ื โจก๊ ตอ่ มาจำเลยแจง้ แกผ่ เู้ สยี หายวา่ ชว่ งลา่ งของรถยนตไ์ ม

คอ่ ยดี จะพาไปซอ่ มกบั เจา้ ของอทู่ ร่ี จู้ กั กนั จงึ นดั ผเู้ สยี หายมาพบกนั ทห่ี า้ งสรรพสนิ คา้ เซน็ ทรลั -

พลาซา่ สาขาลาดพรา้ ว ผเู้ สยี หายขบั รถยนตไ์ ปจอดทลี่ านจอดรถชน้ั ใตด้ นิ และไปรอจำเลยทจ่ี ดุ

นดั หมาย แตจ่ ำเลยมาชา้ กวา่ กำหนด พรอ้ มกบั แจง้ วา่ เจา้ ของอไู่ มอ่ ยู่ ไมส่ ามารถทำได้ จงึ มาสง่

ผเู้ สยี หายทลี่ านจอดรถ แตป่ รากฏวา่ รถยนตข์ องกลางหายไป ผเู้ สยี หายเขา้ ใจวา่ ถกู บรษิ ทั ผใู้ ห

เช่าซื้อยึดรถยนต์ไปแล้ว เนื่องจากขาดส่งค่างวด จำเลยจึงขอบัตรจอดรถ อ้างว่าจะไปเจรจา

ตดิ ตอ่ ให้ แตก่ ไ็ มต่ ดิ ตอ่ กลบั มาหาผเู้ สยี หาย ผเู้ สยี หายโทรศพั ทต์ ดิ ตอ่ สอบถามจำเลย จำเลยแจง้

ว่าให้บุคคลติดต่อแล้ว แต่ยังไม่ได้เรื่อง ต่อมาผู้เสียหายจึงไปร้องทุกข์ อันเป็นการยืนยันว่า

รถยนตข์ องกลางจอดอยทู่ ช่ี นั้ ใตด้ นิ แลว้ หายไป โดยผเู้ สยี หายเขา้ ใจวา่ บรษิ ทั ผใู้ หเ้ ชา่ ซอ้ื รถยนต์

ยดึ คนื ไป เนอื่ งจากขาดสง่ คา่ งวด แตข่ ณะนน้ั จำเลยไดข้ อบตั รจอดรถจากผเู้ สยี หาย อา้ งวา่ จะไป

เจรจาตดิ ตอ่ ให้ แตก่ ไ็ มต่ ดิ ตอ่ มา จนผเู้ สยี หายโทรศพั ทไ์ ปสอบถาม จำเลยจงึ แจง้ วา่ ใหบ้ คุ คลไป

ตดิ ตอ่ แลว้ แตย่ งั ไมไ่ ดเ้ รอ่ื ง ทำใหผ้ เู้ สยี หายไปรอ้ งทกุ ขต์ อ่ เจา้ พนกั งานตำรวจ นอกจากน้ี โจทก

มรี ้อยตำรวจเอก นกิ ร ชัยวีระวงศ์ ผจู้ บั กมุ จำเลยพร้อมรถยนต์ของกลาง เบกิ ความวา่ พยาน

จับกุมจำเลยขณะใช้กุญแจรถเปิดรถยนต์ของกลางด้านคนขับ จำเลยอ้างว่าได้ซ้ือรถยนต์ของ

กลางจากชายคนหนง่ึ ในราคา ๓๔๐,๐๐๐ บาท ซอ้ื มาประมาณ ๑ เดอื นเศษ พยานกบั พวกตรวจ

ค้นรถยนต์ของกลาง พบสำเนารายการจดทะเบียนรถยนต์ ยี่ห้อมาสด้า หมายเลขทะเบียน

ก-๒๔๔๙ ตราด ระบุช่ือนางสาวณชยา จิ๋วพัฒนากุล เป็นผู้ครอบครอง โดยมีบริษัทเงินทุน

420 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉยั คดี


เอกธนกิจ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และยังพบหนังสือเดินทางประเทศไทยของ

นางสาวณชยาตามสำเนาสญั ญาเชา่ ซอ้ื เอกสารหมาย จ.๑ สำเนาหนงั สอื เดนิ ทาง เอกสารหมาย

จ.๓ และสำเนารายการจดทะเบยี น เอกสารหมาย จ.๔ พยานจงึ จบั กมุ จำเลยโดยทำบนั ทกึ การ

จับกุมตามเอกสารหมาย จ.๖ และโจทก์ยังมีร้อยตำรวจเอก ชาตรี แขวงสูงเนิน พนักงาน

สอบสวน เบิกความว่า ในช้ันสอบสวนตอนแรกพยานแจ้งข้อหาปลอมและใช้เอกสารราชการ

ปลอม จำเลยใหก้ ารปฏเิ สธ ตอ่ มาพยานแจง้ ขอ้ หาแกจ่ ำเลยเพม่ิ เตมิ วา่ ลกั ทรพั ยห์ รอื รบั ของโจร

ตามบันทึกการแจ้งข้อหาเพิ่มเติม เอกสารหมาย จ.๑๕ จำเลยให้การปฏิเสธ แต่หลังจากนั้น

จำเลยใหก้ ารรบั สารภาพในขอ้ หาลกั ทรพั ยแ์ ละขอ้ หาใชเ้ อกสารราชการปลอม โดยปฏเิ สธขอ้ หา

รบั ของโจรตามบนั ทกึ คำให้การของผู้ต้องหา เอกสารหมาย จ.๑๖ เห็นวา่ รอ้ ยตำรวจเอก นกิ ร

และร้อยตำรวจเอก ชาตรีไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุท่ีจะ

ระแวงวา่ จะเบกิ ความบดิ เบอื นขอ้ เทจ็ จรงิ ใหเ้ ปน็ ผลรา้ ยแกจ่ ำเลย เชอ่ื วา่ พยานโจทกท์ ง้ั สองเบกิ

ความไปตามความเปน็ จรงิ คำเบกิ ความของพยานโจทกท์ ง้ั สองจงึ มนี ำ้ หนกั รบั ฟงั ไดว้ า่ จำเลยให

การในช้ันจับกุมตามบันทึกการจับกุม เอกสารหมาย จ.๖ และให้การรับสารภาพในข้อหาลัก

ทรพั ยด์ ว้ ยความสมคั รใจและตามความสตั ยจ์ รงิ ตามบนั ทกึ คำใหก้ ารของผตู้ อ้ งหา เอกสารหมาย

จ.๑๖ ซ่งึ มีรายละเอยี ดเกีย่ วกบั การท่ีจำเลยรจู้ กั ผเู้ สยี หายแลว้ คบกนั ในลกั ษณะคู่รัก ท้ังยังช่วย

ออกเงนิ ชำระคา่ งวดรถยนตเ์ มอ่ื ผเู้ สยี หายบอกจำเลยวา่ ผอ่ นชำระไมไ่ หว และจำเลยกไ็ มส่ ามารถ

ชว่ ยผอ่ นชำระได้ ทำใหเ้ กรงวา่ เจา้ หนา้ ทขี่ องบรษิ ทั ผใู้ หเ้ ชา่ ซอื้ จะมายดึ รถยนตค์ นื จำเลยจงึ ทำ

กุญแจรถสำรองไว้ ต่อมาจำเลยมีปัญหากับผู้เสียหาย เน่ืองจากผู้เสียหายไปคบผู้ชายคนใหม่

จำเลยจงึ นดั เพอ่ื ตกลงกบั ผเู้ สยี หาย แตก่ อ่ นไปพบผเู้ สยี หายทจ่ี ดุ นดั หมาย จำเลยไดใ้ ชก้ ญุ แจรถ

สำรองขับรถยนต์ของกลางที่ผู้เสียหายจอดไว้ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินขึ้นไปจอดที่ชั้นหน่ึง เมื่อ

จำเลยกับผู้เสียหายพูดจาตกลงกันไม่ได้ จำเลยจึงเดินมาส่งผู้เสียหาย แต่ไม่พบรถยนต์ของ

กลาง อันเป็นข้อเท็จจริงท่ีอยู่ในความรู้เห็นของจำเลยซ่ึงยากที่พนักงานสอบสวนจะเสริมเติม

ส่วนที่ ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำส่ังในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
421
คดีอาญา


แตง่ ขนึ้ มาเองได้ ทงั้ คำใหก้ ารในชน้ั สอบสวนดงั กลา่ วยงั สอดคลอ้ งกบั คำเบกิ ความของผเู้ สยี หาย

จึงสนับสนนุ คำเบกิ ความของผเู้ สียหายใหม้ นี ้ำหนกั นา่ รับฟงั ย่งิ ข้ึน ทจี่ ำเลยนำสืบวา่ ผ้เู สยี หาย

ขบั รถยนตไ์ ปจอดไวท้ บ่ี า้ นจำเลย แลว้ ตกลงใหจ้ ำเลยหารถยนตม์ อื สองให้ โดยมบี ดิ ามารดาของ

จำเลยมาเบกิ ความสนบั สนนุ วา่ จำเลยชว่ ยออกเงนิ ชำระคา่ งวดเปน็ บางครงั้ นนั้ นอกจากจะเปน็

การผดิ วสิ ยั ทผ่ี เู้ สยี หายจะนำรถยนตไ์ ปจอดไวท้ บ่ี า้ นจำเลยและตกลงรบั รถยนตม์ อื สอง ยหี่ อ้ เปอ-

โยต์ รุ่น ๔๐๕ ซงึ่ มรี าคาประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ บาท โดยผู้เสียหายยงั ต้องมอบเงินอกี ๙๐,๐๐๐

บาท ใหแ้ กจ่ ำเลย รวมทง้ั ยงั ตอ้ งทำสญั ญาเชา่ ซอื้ ผอ่ นชำระเปน็ งวดใหอ้ กี ดงั ทศ่ี าลชนั้ ตน้ วนิ จิ ฉยั

ไวแ้ ลว้ ทงั้ เปน็ ทเ่ี หน็ ไดว้ า่ ขอ้ นำสบื ของจำเลยดงั กลา่ วยงั ขดั กบั บนั ทกึ การจบั กมุ ทจี่ ำเลยอา้ งวา่

ซอื้ รถยนตข์ องกลางมาในราคา ๓๔๐,๐๐๐ บาท และขดั กบั คำใหก้ ารรบั สารภาพในชน้ั สอบสวน

ของจำเลย ข้อนำสืบของจำเลยจึงมีพิรุธ ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้

พยานหลกั ฐานทโ่ี จทกน์ ำสบื มนี ำ้ หนกั มน่ั คงรบั ฟงั ไดโ้ ดยปราศจากขอ้ สงสยั วา่ จำเลยเปน็ คนรา้ ย

ลักทรัพย์ของผู้เสยี หาย ทศี่ าลชัน้ ต้นวนิ ิจฉัยวา่ จำเลยกระทำความผดิ ข้อหารับของโจรน้ัน ศาล

อุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ข้ึน อน่ึง เมื่อการกระทำของจำเลยเป็น

ความผดิ ฐานลกั ทรพั ยแ์ ลว้ กรณจี งึ ไมจ่ ำตอ้ งวนิ จิ ฉยั วา่ จำเลยกระทำความผดิ ฐานรบั ของโจรอกี

สำหรับอุทธรณ์ของจำเลยอีกประการหน่ึงที่ขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการ

ลงโทษใหจ้ ำเลยในความผดิ ฐานใชเ้ อกสารราชการปลอมนน้ั เหน็ วา่ จำเลยลกั ทรพั ยร์ ถยนตข์ อง

ผเู้ สยี หายโดยใชก้ ลอบุ ายหลอกลวง แลว้ จำเลยยงั ใชเ้ อกสารราชการปลอมอกี นบั วา่ เปน็ ภยั ตอ่

สังคม ทั้งจำเลยยังให้การปฏิเสธต่อสู้คดีมาโดยตลอด ข้ออ้างที่ว่าจำเลยกระทำความผิดเพ่ือ

หลีกเลี่ยงการตดิ ตามยึดรถยนต์คืน และจำเลยอายเุ พยี ง ๒๒ ปี มบี ิดามารดาชราภาพซึง่ ตอ้ ง

ดแู ลนนั้ เมอื่ เปรยี บเทยี บกบั พฤตกิ ารณแ์ หง่ คดแี ลว้ เหน็ วา่ การทศ่ี าลชน้ั ตน้ ลงโทษจำคกุ จำเลย

๓ ปี โดยไมร่ อการลงโทษจำคกุ ใหแ้ กจ่ ำเลยนนั้ ยอ่ มเหมาะสมและชอบแลว้ ศาลอทุ ธรณเ์ หน็ พอ้ ง

ด้วย อทุ ธรณ์ของจำเลยข้อนีฟ้ งั ไม่ขน้ึ เชน่ กัน

422 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉยั คดี


พพิ ากษาแก้เปน็ ว่า จำเลยมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔

ให้จำคกุ ๓ ปี ลดโทษใหต้ ามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หนึง่ ในสาม คงจำคกุ ๒ ปี

เม่ือรวมกับโทษจำคุกฐานใช้เอกสารราชการปลอมอีก ๓ ปี เป็นจำคุก ๕ ปี นอกจากท่ีแก้ให

เปน็ ไปตามคำพิพากษาศาลชน้ั ต้น.

ส่วนท่ี ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำสัง่ ในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
423
คดอี าญา


ตวั อย่างคดีหมน่ิ ประมาท

ความผิดตอ่ พระราชบญั ญัติการพมิ พ






คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๗๙๕๗/๒๕๔๗


พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบ้ืองต้นว่า หนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับลง

วนั ท่ี ๒๓ สงิ หาคม ๒๕๔๓ ไดล้ งพมิ พบ์ ทความในหนา้ ๓ คอลมั น์ “น.ต.ประสงค์ สนุ่ ศริ ิ พดู ” ซง่ึ

จำเลยท่ี ๑ เป็นเจ้าของคอลัมน์ดังกล่าว มใี จความตอนหนง่ึ ของขอ้ ความในจดหมายของผ้ทู ใ่ี ช้

นามว่า “อรวรรณ” ว่า ....โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ยินคำสัมภาษณ์ของคุณทักษิณว่า ถ้าได้เป็น

นายกรัฐมนตรีและจัดต้ังรัฐบาลแล้ว ก็จะขอคุมงานทางด้านเศรษฐกิจท้ังหมด พวกเราฟังแล้ว

เกดิ อาการชอ็ กและงงไปชวั่ ขณะ ทง้ั ๆ ทเี่ คยงงและเคยชอ็ กมาแลว้ ในเรอ่ื งการพกั หนเ้ี กษตรกร

เปน็ เวลา ๓ ปี และเรอ่ื งการใหเ้ งนิ แกห่ มบู่ า้ นตา่ ง ๆ ทว่ั ประเทศ หมบู่ า้ นละ ๑ ลา้ นบาท ซง่ึ เปน็

เรอ่ื งทเี่ ปน็ ไปไมไ่ ด้ กย็ งั กลา้ โฆษณาใหห้ ลงเชอื่ คณุ ทกั ษณิ รำ่ เรยี นมาทางอาชญวทิ ยา มคี วามร
ู้
อะไรในทางเศรษฐศาสตร์ ความร่ำรวยท่ีได้รับจากการผูกขาดท่ีไม่มีผู้แข่งขันเป็นความร่ำรวย

จากการเอาเปรียบคนอ่ืน และคุณทักษิณเคยเอาความร่ำรวยเหล่านั้นกลับคืนไปทำประโยชน์

อะไรให้แก่ประชาชนหรือไม่ ก็ไม่เคยเห็น ถ่ินฐานบ้านเกิดของตนเองแท้ ๆ ทางเชียงใหม่

มีอะไรบ้างไหมท่ีคุณทักษิณทำให้ สร้างให้ แม้กระทั่งค่าบริการโทรศัพท์มือถือ ๑ ของบริษัท

คุณทักษิณเพียงบาทเดียวก็ไม่ยอมลดราคาให้ ไม่เคยบริจาคเงินอะไรให้กองทุนช่วยชาติท
่ี
ประชาชนทไี่ มส่ มู้ อี นั จะกนิ อยา่ งพวกเราซงึ่ รว่ มจติ รว่ มใจกนั ระดมเงนิ ตามอตั ภาพของตน เพราะ

มจี ติ สำนกึ รกั ชาติ รกั แผน่ ดนิ หวาดกลวั จะสนิ้ ชาติ แมจ้ ะเปน็ เงนิ คนละเลก็ ละนอ้ ยกต็ าม แตเ่ ปน็

การสร้างขวัญและกำลังใจต่อส่วนรวม โดยเฉพาะต่อผู้เข้ามาบริหารประเทศแทนรัฐบาลชุดท
่ี

๑ พจนานุกรมศัพท์เทคโนโลยีสารสนเทศของราชบัณฑิตยสถานบัญญัติศัพท์จากคำว่า mobile phone ไว้ว่า

“โทรศัพท์เคล่อื นท่ี”.

424 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉยั คดี


แล้วซึ่งบริหารล้มเหลวมาแล้ว โดยมีคุณทักษิณร่วมอยู่ด้วยนั่นเอง....พวกเราจึงอยากให้คุณ

ทักษณิ เลิกคิดตงั้ พรรคการเมือง เลิกคดิ ทีจ่ ะเข้ามาช่วยชาติบา้ นเมืองด้วยการเป็นนกั การเมอื ง

อาศัยประชาชนไปสู่ความย่ิงใหญ่ ไปสู่ความมั่งคั่งใหญ่กว่าเดิม พวกเราประชาชนรู้จักธาตุแท้

ของทา่ นแลว้ ....อยา่ อจิ ฉารษิ ยาคนอน่ื ทก่ี ำลงั แกไ้ ขความหายนะตา่ ง ๆ ทถี่ กู ทง้ิ ไวโ้ ดยรฐั บาลชดุ

ท่ีแลว้ ลองใช้สตปิ ัญญาไตร่ตรองดูว่าท่ีพูดมาทั้งหมดนจ้ี รงิ หรอื ไม่ พวกเราบอกได้เพยี งวา่ รู้สึก

เสยี ใจทม่ี คี นเหน็ แกต่ วั ทส่ี ดุ รว่ มอยใู่ นแผน่ ดนิ เดยี วกนั กบั พวกเราในขณะน.ี้ ... นอกจากน้ี จำเลย

ที่ ๑ ยังเขียนข้อความเพิ่มเติมต่อท้ายอีกว่า ....ไปไหนมาไหนเวลานี้ได้ยินหนาหูขึ้นว่าคุณ

ทักษณิ เปน็ คนเห็นแก่ตวั มากกว่าส่วนรวม ใชเ้ งนิ ปทู างเขา้ สกู่ ารเมืองอยา่ งน่ากลัว ไม่คำนงึ ถึง

เรื่องผิดหรือถูกอะไรทั้งสิ้น พรรคการเมืองที่ต้ังขึ้นถูกมองไปในทางลบมากกว่าจะบวก เพราะ

เปน็ พรรคทใ่ี ชว้ ธิ ดี ดู คนมาใชง้ านดว้ ยเงนิ เอามาใชโ้ มแ่ ปง้ ใหค้ ณุ ทกั ษณิ กนิ ลำพงั ตวั คณุ ทกั ษณิ

เองน้ัน บทบาททางการเมืองท่ีเคยแสดงมาแล้วก็ไม่มีอะไรท่ีน่าประทับใจพอที่จะทำให้ผู้คน

เชอ่ื มนั่ วา่ คณุ ทกั ษณิ จะเปน็ นายกรฐั มนตรที ด่ี ไี ด้ บารมที างการเมอื งในตวั ของคณุ ทกั ษณิ ยงั ตอ้ ง

ใช้เวลาสั่งสมอีกมาก ลำพังเงินเพียงอย่างเดียวยังไม่พอที่จะให้ผู้คนทั่วไปยอมรับในการก้าว

ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศในทางการเมืองขณะน้ี ยิ่งพรรคการเมืองท่ีจัดตั้งขึ้นเป็นพรรคท่ีเต็มไป

ด้วยเสือสิงห์กระทิงแรดกบเต่าไดโนเสาร์ที่แตกจากคอกอ่ืนมารวมกันอยู่อย่างภาพท่ีเห็นใน

ขณะนแ้ี ลว้ คณุ ทกั ษณิ เปน็ นายกรฐั มนตรขี องคนเหลา่ นไ้ี ดเ้ ทา่ นน้ั แตจ่ ะเปน็ นายกรฐั มนตรขี อง

ประเทศนั้นยังมองไม่เห็นหนทาง.... ไม่ใช่ให้เสือสิงห์กระทิงแรดกบเต่าไดโนเสาร์เหล่าน้ันเป็น

ผู้นำคุณทักษิณไปลงเรือดำน้ำรัสเซียลำนั้นท่องมหาสมุทรอย่างไม่มีวันโผล่ข้ึนมาอีก ปัญหาที่

จะตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องโจทกเ์ พยี งประเดน็ เดยี วมวี า่ ขอ้ ความทลี่ งพมิ พใ์ นคอลมั น์ “น.ต.

ประสงค์ สนุ่ ศริ ิ พดู ” เปน็ การใสค่ วามหมนิ่ ประมาทโจทกห์ รอื ไม่ เมอื่ ไดอ้ า่ นขอ้ ความในคอลมั น

ดงั กลา่ วทงั้ หมดแลว้ เหน็ ไดว้ า่ เปน็ บทความทม่ี งุ่ ประสงคถ์ งึ ตวั โจทกโ์ ดยตรงในฐานะทโ่ี จทกเ์ ปน็

หัวหน้าพรรคไทยรักไทย เป็นการวิพากษ์วิจารณ์โจทก์และนโยบายพรรคไทยรักไทย โดย

ส่วนที่ ๒ ตวั อยา่ งคำพิพากษาและคำสงั่ ในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
425
คดีอาญา


เฉพาะที่โจทก์ให้สัมภาษณ์ว่าถ้าได้เป็นนายกรัฐมนตรีและจัดต้ังรัฐบาลแล้วจะคุมทางด้าน

เศรษฐกจิ ทงั้ หมด ทง้ั จะพกั หนเี้ กษตรกร เปน็ เวลา ๓ ปี และใหเ้ งนิ แกห่ มบู่ า้ นตา่ ง ๆ ทวั่ ประเทศ

หมบู่ า้ นละ ๑ ลา้ นบาท วา่ เปน็ เรอ่ื งทเ่ี ปน็ ไปไมไ่ ด้ โดยเหน็ วา่ โจทกก์ ลา้ โฆษณาใหห้ ลงเชอ่ื ทง้ั ๆ

ทโ่ี จทกร์ ำ่ เรยี นมาทางอาชญวทิ ยา ไมม่ คี วามรทู้ างเศรษฐศาสตร์ แมโ้ จทกจ์ ะประสบความสำเรจ็

และรำ่ รวยเปน็ มหาเศรษฐี เพราะไดร้ บั สมั ปทานผกู ขาดในธรุ กจิ ดา้ นสอื่ สารโทรคมนาคม เหน็ วา่

เปน็ การแสดงความคดิ เหน็ และความวติ กหว่ งใยในปญั หาบา้ นเมอื งโดยสจุ รติ ตามเหตุตามผลท่ี

ประชาชนทว่ั ไปยอ่ มสามารถแสดงความคดิ เหน็ ได้ แมจ้ ะมขี อ้ ความทเี่ ปน็ การเสยี ดสโี จทกร์ นุ แรง

อยบู่ า้ งในทำนองวา่ โจทกร์ ำ่ รวย แตก่ ไ็ มเ่ คยชว่ ยเหลอื หรอื เสยี สละตอ่ สว่ นรวม ไมเ่ คยบรจิ าคเงนิ

ให้แก่กองทุนช่วยชาติ เป็นการเห็นแก่ตัว ไม่สำนึกบุญคุณแผ่นดินและความเดือดร้อนของคน

รว่ มชาติ คา่ บรกิ ารโทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทกี่ ไ็ มล่ ดลงเลยแมแ้ ตบ่ าทเดยี ว โจทกจ์ งึ ไมค่ วรจดั ตง้ั พรรค

การเมอื งเพอื่ อาศยั ประชาชนไปสคู่ วามยงิ่ ใหญแ่ ละความมง่ั คง่ั กวา่ เดมิ ซง่ึ กป็ รากฏขอ้ เทจ็ จรงิ วา่

โจทกแ์ มร้ ำ่ รวยจากการไดร้ บั สมั ปทานในการประกอบธรุ กจิ ดา้ นสอื่ สารโทรคมนาคมทมี่ ลี กั ษณะ

ผูกขาด แต่ก็ยังไม่เคยลดค่าบริการโทรศัพท์เคล่ือนท่ีและไม่ยอมบริจาคเงินสมทบกองทุนช่วย

ชาติอันเป็นการเสียสละเล็ก ๆ น้อย ๆ เพ่ือประเทศชาติ ข้อความดังกล่าวเท่ากับเป็นการ

เปรียบเทียบให้โจทก์ตระหนักว่าการที่จะเป็นนักการเมืองและผู้นำประเทศชาติได้นั้น ต้องเป็น

ผเู้ สยี สละเพอื่ สว่ นรวมและประเทศชาติ จงึ เปน็ การตชิ มและวพิ ากษว์ จิ ารณด์ ว้ ยความเปน็ ธรรม

เพื่อประโยชน์ส่วนรวมซึ่งประชาชนย่อมมีสิทธิกระทำได้โดยชอบ ในเม่ือโจทก์อาสาเข้ามา

เป็นนักการเมืองด้วยการตั้งพรรคการเมืองและเป็นหัวหน้าพรรคโดยเสนอตัวว่าจะเป็น

นายกรัฐมนตรี รับผิดชอบต่อประชาชนและประเทศชาติ จึงเป็นบุคคลสาธารณะท่ีประชาชน

ทว่ั ไปรวมทง้ั สอื่ มวลชนมสี ทิ ธทิ จี่ ะตชิ ม ศกึ ษาวเิ คราะห์ วพิ ากษว์ จิ ารณ์ และแสดงความคดิ เหน็

โดยสจุ รติ เกี่ยวกบั โจทก์และนโยบายพรรคไทยรกั ไทยว่าสมควรไดร้ บั ความไวว้ างใจให้มาจัดตั้ง

รฐั บาลบรหิ ารประเทศชาตไิ ดห้ รอื ไม่ ทงั้ น้ี เพราะเปน็ เรอื่ งเกยี่ วกบั ผลประโยชนแ์ ละความอยรู่ อด

426 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉยั คด


ของประเทศชาตแิ ละประชาชนโดยตรง ทงั้ ขอ้ ความในคอลมั นด์ งั กลา่ วมใิ ชว่ า่ จะไมเ่ ปน็ ความจรงิ

เสยี ทเี ดยี ว สว่ นขอ้ ความทจ่ี ำเลยท่ี ๑ เขยี นเพม่ิ เตมิ ตอ่ จากจดหมายของผใู้ ชน้ ามวา่ “อรวรรณ”

ก็มีลักษณะเป็นการเขียนเตือนโจทก์ให้รับฟังความคิดเห็นของประชาชนคนหนึ่งท่ีมีนามว่า

“อรวรรณ” และแกไ้ ขใหถ้ กู ตอ้ ง ทงั้ จำเลยท่ี ๑ ไดแ้ สดงความคดิ เหน็ โดยสจุ รติ ตอ่ ไปวา่ แมโ้ จทก

จะมเี งนิ มากกต็ าม กไ็ มใ่ ชว่ า่ จะเปน็ นายกรฐั มนตรที ดี่ ไี ด้ ยงั ตอ้ งใชเ้ วลาสงั่ สมบารมที างการเมอื ง

อีกมากเพ่ือให้ประชาชนทั่วไปยอมรับ โดยเปรียบเทียบเตือนสติให้เห็นว่านักการเมืองเป็น

เสมอื นเสอื สงิ หก์ ระทงิ แรด ซงึ่ เปน็ คำเปรยี บเปรยทวั่ ๆ ไป ไมว่ า่ สอื่ มวลชนหรอื ประชาชนทวั่ ๆ

ไปมักได้ยนิ และพดู กนั จนเป็นเรื่องปกตธิ รรมดาว่ามีความหมายถงึ นักการเมอื งท่มี ที ั้งผูเ้ กง่ กลา้

เชยี่ วชาญ มีประสบการณ์สูง รวมท้ังผ้มู ภี าพลักษณห์ รอื มีพฤตกิ ารณ์ไมด่ ี ร้เู ท่าทันคน ใครจะ

หลอกใช้ง่าย ๆ ไม่ได้ ดังน้ัน โจทก์ต้องส่ังสมบารมีอีกมาก จึงจะสามารถปกครองและเป็น

หวั หนา้ นกั การเมอื งประเภทดงั กลา่ วได้ ไมใ่ ชใ่ หน้ กั การเมอื งเหลา่ นน้ั มาครอบงำชกั พาใหโ้ จทก

มวั หมองจนทำใหไ้ มป่ ระสบความสำเรจ็ ทางการเมอื ง ซง่ึ เปน็ การแสดงความคดิ เหน็ และตชิ มโดย

สุจริตด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของประชาชนและสื่อมวลชนพึงกระทำได้โดยชอบ ทั้ง

ปรากฏวา่ สมาชกิ พรรคทล่ี งสมคั รรบั เลอื กตง้ั เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรในนามพรรคไทยรกั -

ไทยซงึ่ มโี จทกเ์ ปน็ หวั หนา้ พรรคไดร้ บั การเลอื กตงั้ เขา้ มามากทส่ี ดุ จนสามารถจดั ตงั้ รฐั บาลไดโ้ ดย

มีโจทก์เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดินเพื่อกระทำตามนโยบายดังกล่าวได้ ดังน้ัน

ขอ้ ความทผี่ ซู้ งึ่ ใชน้ ามวา่ “อรวรรณ” และจำเลยท่ี ๑ เขยี นทว้ งตงิ และวพิ ากษว์ จิ ารณต์ ชิ มไวด้ ว้ ย

ความเป็นห่วง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพักหน้ีเกษตรกร เป็นเวลา ๓ ปี และการให้เงินกองทุน

หมู่บ้าน หมู่บ้านละ ๑ ล้านบาท แต่โจทก์ก็ยังสามารถคุมนโยบายด้านเศรษฐกิจจนประสบ

ความสำเร็จและพาประเทศชาติฟื้นตัวขึ้นมาได้จนเป็นที่พอใจอย่างในปัจจุบัน บทความที่ลง

พมิ พใ์ นคอลมั นด์ งั กลา่ วไมท่ ำใหโ้ จทกเ์ สยี ชอ่ื เสยี ง ถกู ดหู มนิ่ ถกู เกลยี ดชงั หรอื ทำใหโ้ จทกไ์ ดร้ บั

ความเสียหายแต่อย่างใด จึงยังไม่เป็นความผิดฐานหม่ินประมาทด้วยเอกสารตามประมวล


Click to View FlipBook Version