The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-09-18 02:21:12

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

ส่วนที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาและคำสั่งในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 227
คดแี พ่ง


กบั หนเ้ี งินยมื จำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท รวมกันเปน็ ตน้ เงนิ ทก่ี ูย้ มื จำนวน ๓๒๓,๖๙๕ บาท ตาม

หนังสอื สญั ญากู้เงิน เอกสารหมาย จ.๑๔ มีปัญหาต้องวินจิ ฉัยตามอุทธรณข์ องโจทก์วา่ โจทก

จะเรียกร้องให้จำเลยชำระเงิน จำนวน ๓๐๓,๖๙๕ บาท ได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์ซ่ึงเป็น

บคุ คลธรรมดาเป็นนายวงแชร์ พระราชบญั ญตั กิ ารเล่นแชร์ พ.ศ.๒๕๓๔ มาตรา ๖ บัญญตั วิ า่

ห้ามมิให้บุคคลธรรมดาเป็นนายวงแชร์หรือจัดให้มีการเล่นแชร์ท่ีมีลักษณะอย่างหน่ึงอย่างใด

ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) เปน็ นายวงแชรห์ รอื จดั ใหม้ กี ารเลน่ แชรม์ จี ำนวนวงแชรร์ วมกนั มากกวา่ สามวง….

และมาตรา ๗ บัญญัติว่า บทบัญญัติในมาตรา ๖ ไม่กระทบกระเทือนถึงการที่สมาชิกวงแชร

จะฟ้องคดีหรือใช้สิทธิเรียกร้องเอากับนายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์ จากบทบัญญัติ

ดังกล่าวกฎหมายแยกการกระทำของนายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์ต่างหากจากสมาชิก

วงแชร์ ทง้ั ไดบ้ ญั ญตั ใิ หส้ ทิ ธแิ กส่ มาชกิ วงแชรใ์ นการเรยี กรอ้ งเอาแกน่ ายวงแชรห์ รอื ผจู้ ดั ใหม้ กี าร

เล่นแชร์เฉพาะกรณีนายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์เป็นบุคคลธรรมดาเท่าน้ัน โดยหาให้

สิทธิแก่นายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์ท่ีจะเรียกร้องเอาแก่สมาชิกวงแชร์ไม่ การกระทำ

ของฝา่ ยโจทกม์ วี ตั ถปุ ระสงคเ์ ปน็ การตอ้ งหา้ มชดั แจง้ โดยกฎหมาย จงึ ตกเปน็ โมฆะตามประมวล

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐ การที่โจทกน์ ำหน้ีทสี่ ืบเน่ืองจากการเล่นแชรด์ ังกล่าว

จำนวน ๓๐๓,๖๙๕ บาท ซงึ่ ฝา่ ฝนื ตอ่ กฎหมายมารวมไวใ้ นสญั ญากเู้ งนิ ตามเอกสารหมาย จ.๑๔

หนจ้ี ำนวนดงั กลา่ วจงึ ปราศจากมลู หนที้ จี่ ะบงั คบั ใหจ้ ำเลยรบั ผดิ ไดต้ ามกฎหมาย โจทกย์ อ่ มไมม่

สทิ ธเิ รยี กรอ้ งใหจ้ ำเลยรบั ผดิ ชำระเงนิ ๓๐๓,๖๙๕ บาท พรอ้ มดอกเบย้ี ได้ อทุ ธรณข์ องโจทกฟ์ งั

ไมข่ ้ึน

พิพากษายนื คา่ ฤชาธรรมเนยี มชัน้ อุทธรณใ์ ห้เปน็ พับ.

228 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉยั คดี


ตวั อยา่ งคดยี มื คำ้ ประกัน

(ตามพระราชกำหนดการปฏริ ูประบบสถาบนั การเงนิ


พ.ศ. ๒๕๔๐)






ำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๗๓๗๖/๒๕๔๘


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงในเบ้ืองต้นรับฟังได้ว่า

เมอ่ื วนั ท่ี ๑ มนี าคม ๒๕๓๘ จำเลยท่ี ๑ ไดท้ ำสญั ญากเู้ งนิ กบั บรษิ ทั เงนิ ทนุ หลกั ทรพั ยน์ ครหลวง-

เครดติ จำกดั (มหาชน) บรษิ ทั เจา้ หนเี้ ดมิ ที่ ๑ จำนวน ๑๖,๕๙๐,๐๐๐ บาท โดยจำเลยที่ ๑ ตกลง

ชำระดอกเบยี้ แกบ่ รษิ ทั เจา้ หนเี้ ดมิ ที่ ๑ ในอตั ราตามประกาศของบรษิ ทั เจา้ หนเี้ ดมิ ท่ี ๑ กลา่ วคอื

ในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อปี บวกด้วยอัตราดอกเบ้ียขั้นต่ำท่ีสุดท่ีธนาคารนครหลวงไทย จำกัด

(มหาชน) เรยี กเกบ็ จากลกู คา้ กเู้ งนิ ทด่ี ขี องธนาคารสำหรบั เงนิ กทู้ มี่ กี ำหนดเวลาชำระคนื ตน้ เงนิ

ไมน่ อ้ ยกวา่ ๑ ปี ซงึ่ ในขณะทำสญั ญาเทา่ กบั รอ้ ยละ ๑๒.๗๕ ตอ่ ปี ดงั นนั้ ดอกเบย้ี ตามสญั ญาก
ู้
เงินกับบรษิ ัทเจา้ หน้เี ดมิ ท่ี ๑ เทา่ กับอัตรารอ้ ยละ ๑๔.๒๕ ตอ่ ปี จำเลยท่ี ๑ ตกลงผ่อนชำระหนี้

ตน้ เงนิ และดอกเบยี้ แกบ่ รษิ ทั เจา้ หนเ้ี ดมิ ท่ี ๑ เดอื นละ ๔๕๕,๕๐๐ บาท ภายในกำหนดเวลา ๔ ป

หากจำเลยที่ ๑ ผดิ นดั ชำระหน้ี ยนิ ยอมใหบ้ รษิ ทั เจา้ หนเ้ี ดมิ ที่ ๑ คดิ ดอกเบย้ี ในอตั ราสงู สดุ ตาม

ประกาศของบรษิ ทั เจ้าหน้เี ดมิ ที่ ๑ ขณะทำสัญญาในอตั รารอ้ ยละ ๒๑ ต่อปี จำเลยที่ ๑ ได้รบั

เงนิ กจู้ ากบรษิ ทั เจา้ หนเี้ ดมิ ที่ ๑ แลว้ ในการนมี้ จี ำเลยที่ ๒ ถงึ ท่ี ๕ เปน็ ผคู้ ำ้ ประกนั หนขี้ องจำเลย

ที่ ๑ โดยยอมรบั ผดิ อยา่ งลกู หนีร้ ่วมตามสัญญากเู้ งิน หนงั สือขอรบั เงินกู้ และสัญญาค้ำประกัน

เอกสารหมาย จ.๑๕ ถงึ จ.๒๐ ตอ่ มาเมอ่ื วนั ที่ ๑๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๐ จำเลยท่ี ๑ ไดท้ ำสญั ญา

กู้เงินกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เอกสินจำกัด (มหาชน) บริษัทเจ้าหน้ีเดิมที่ ๒ จำนวน

๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยจำเลยท่ี ๑ ออกตั๋วสัญญาใชเ้ งนิ ฉบับลงวันที่ ๑๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๐

เพ่ือเป็นการชำระหนี้ โดยสัญญาว่าจะใช้เงิน จำนวน ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท แก่บริษัทเจ้าหน้ีเดิม

ส่วนที่ ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำสงั่ ในรปู คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
229
คดีแพง่


ที่ ๒ ภายในวนั ที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ พร้อมดอกเบ้ยี ในอตั ราร้อยละ ๑๘.๕ ต่อปี หากจำเลย

ท่ี ๑ ผดิ นดั ชำระหนี้ ยนิ ยอมใหบ้ รษิ ทั เจา้ หนเ้ี ดมิ ที่ ๒ คดิ ดอกเบย้ี ในอตั ราสงู สดุ ตามประกาศของ

บรษิ ทั เจา้ หนเ้ี ดมิ ที่ ๒ ขณะทำสญั ญาในอตั รารอ้ ยละ ๔๕ ตอ่ ปี จำเลยที่ ๑ ไดร้ บั เงนิ กจู้ ากบรษิ ทั

เจ้าหนีเ้ ดิมท่ี ๒ แล้ว ในการน้มี ีจำเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ เป็นผคู้ ำ้ ประกนั หน้ีของจำเลยที่ ๑ โดย

ยอมรับผดิ อย่างลกู หน้รี ว่ มตามคำขอสินเชอื่ ประเภทตว๋ั เงิน สัญญาคำ้ ประกนั และต๋ัวสญั ญาใช้

เงนิ เอกสารหมาย จ.๒๑ ถงึ จ.๒๔ ตอ่ มาบริษัทเจ้าหนเี้ ดมิ ท้ังสองถกู กระทรวงการคลงั มคี ำสัง่

ระงบั การดำเนนิ กจิ การ แตบ่ รษิ ทั เจา้ หนเี้ ดมิ ทงั้ สองไมอ่ าจฟน้ื ฟฐู านะได้ คณะกรรมการองคก์ าร-

เพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) อาศัยมาตรา ๓๐ แห่งพระราชกำหนดการปฏิรูป

ระบบสถาบนั การเงนิ พ.ศ. ๒๕๔๐ เขา้ ชำระบญั ชี แลว้ นำทรพั ยส์ นิ และหนสี้ นิ ในคดนี ขี้ องบรษิ ทั
เจ้าหน้ีเดิมทั้งสองออกขายโดยวิธีการประมูล โจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อได้ตามสัญญาขายสำหรับ

การจำหนา่ ยของ ปรส. เอกสารหมาย จ.๒๕ โจทกจ์ งึ เปน็ ผรู้ ับโอนสทิ ธเิ รียกร้องในหน้ีสินคดีน
ี้
จากบรษิ ทั เจา้ หนเ้ี ดมิ ทงั้ สองมาเปน็ ของโจทกโ์ ดยโจทกเ์ ปน็ เจา้ หนข้ี องจำเลยทง้ั หา้ ตามสญั ญาก
ู้
เงนิ กบั เปน็ เจา้ หนขี้ องจำเลยที่ ๑ ถงึ ท่ี ๓ ตามสญั ญากเู้ งนิ โดยออกตว๋ั สญั ญาใชเ้ งนิ ชำระหน้ี และ

ตามมาตรา ๓๐ ตรี แห่งพระราชกำหนดดังกล่าว โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ตามวิธีการและ

อัตราในสญั ญาเดิมซ่งึ จำเลยท่ี ๑ ผ่อนชำระหนใ้ี ห้โจทกบ์ างส่วน หน้ตี ามสญั ญากูเ้ งิน เอกสาร

หมาย จ.๑๕ จำเลยท่ี ๑ ผดิ นดั ชำระหนเี้ มอ่ื วนั ท่ี ๓๑ มนี าคม ๒๕๔๑ เมอ่ื คดิ ถงึ วนั ฟอ้ ง จำเลย

ที่ ๑ คา้ งชำระหนโ้ี จทกใ์ นตน้ เงนิ ๕,๔๖๘,๔๘๕.๑๑ บาท และโจทกค์ ดิ ดอกเบย้ี ตามประกาศของ

บริษทั เจ้าหนีเ้ ดิมที่ ๑ ในอตั ราร้อยละ ๑๙ และ ๒๑ ตอ่ ปี นับแตว่ ันผิดนดั จนกวา่ จะชำระเสร็จ

โดยคดิ ดอกเบยี้ ถงึ วนั ฟอ้ ง เปน็ จำนวน ๓,๖๘๕,๗๕๘.๙๖ บาท ตามรายการคดิ ยอดหนี้ เอกสาร

หมาย จ.๒๘ ส่วนหนี้ตามสัญญากู้เงินโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินชำระหน้ี เอกสารหมาย จ.๒๑

และ จ.๒๔ จำเลยที่ ๑ ผิดนัดชำระหนี้เมอื่ วนั ท่ี ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๒ เมอ่ื คดิ ถงึ วันฟอ้ ง จำเลย

ท่ี ๑ ค้างชำระหน้ีโจทก์ในต้นเงิน ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท และค้างชำระดอกเบ้ียโดยคิดถึงวันผิด

230 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉยั คดี


นดั จำนวน ๑,๐๓๓,๙๗๒.๖๐ บาท นอกจากน้ี โจทกค์ ดิ ดอกเบย้ี ตามประกาศของบรษิ ทั เจา้ หน
ี้
เดมิ ที่ ๒ ในอัตราร้อยละ ๒๑ ต่อปี นับแตว่ ันผิดนดั จนกว่าจะชำระเสรจ็ โดยคิดดอกเบ้ียถงึ วัน

ฟอ้ ง เปน็ จำนวน ๑,๗๔๔,๔๓๘.๓๗ บาท ตามรายการคดิ ยอดหนี้ เอกสารหมาย จ.๒๙ จำเลย

ท่ี ๒ ถงึ ที่ ๕ ผคู้ ำ้ ประกนั จงึ ตอ้ งรว่ มกบั จำเลยที่ ๑ ชำระหนแี้ กโ่ จทก์ โจทกซ์ งึ่ เปน็ ผรู้ บั โอนสทิ ธิ

เรียกร้องในหนี้สินคดีนี้จากบริษัทเจ้าหนี้เดิมทั้งสองมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยท่ี ๑ ได้ตาม

ขอ้ ตกลงในสัญญากูเ้ งินและในสัญญากเู้ งินโดยออกต๋วั สัญญาใชเ้ งนิ ชำระหนี้ระหวา่ งจำเลยท่ี ๑

กับบริษัทเจ้าหน้ีเดิมท้ังสองตามมาตรา ๓๐ ตรี แห่งพระราชกำหนดดังกล่าว ซ่ึงเป็นไป

ตามประกาศของบริษัทเจ้าหนี้เดิมทั้งสอง โดยอยู่ภายใต้บังคับตามประกาศของธนาคารแห่ง

ประเทศไทยที่ออกข้อกำหนดมาโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๐ (๑) และ (๒) แห่ง

พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ.

๒๕๒๒ ตามสำเนาประกาศ เอกสารหมาย จ.๑๐ และ จ.๑๑ แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าท่ีโจทก์คิด

ดอกเบ้ียตามประกาศของบริษัทเจ้าหน้ีเดิมทั้งสองนับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จเป็นการ

คิดดอกเบี้ยตามที่จำเลยท่ี ๑ ตกลงกับบริษัทเจ้าหน้ีเดิมทั้งสองว่าจะชำระดอกเบ้ียในกรณีท่

จำเลยที่ ๑ ผิดนัดชำระหน้ี อันเป็นการตกลงกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้า เข้าลักษณะเป็น

เบย้ี ปรบั ศาลชนั้ ตน้ จงึ ใชด้ ลุ พนิ จิ ลดดอกเบยี้ ลง กลา่ วคอื หนต้ี ามสญั ญากเู้ งนิ ลดดอกเบยี้ ลงเปน็

อตั ราเอ็มแอลอาร์บวกสองต่อปี [เอม็ แอลอาร์ของธนาคารนครหลวงไทย จำกดั (มหาชน)] แต่

ท้งั นี้ ต้องไม่เกนิ อตั ราร้อยละ ๒๑ ต่อปี ส่วนหนีต้ ามสญั ญากูเ้ งินโดยออกตวั๋ สญั ญาใช้เงนิ ชำระ

หนลี้ ดดอกเบ้ียลงเปน็ อตั ราร้อยละ ๑๙ ต่อป

ปัญหาท่ีจะต้องวินิจฉัยตามท่ีจำเลยท่ี ๑ ถึงที่ ๔ อุทธรณ์ประการแรกมีว่า การ

ชำระหนก้ี ลายเปน็ พ้นวิสัยเพราะมีพฤติการณอ์ ยา่ งใดอย่างหน่ึงท่ีจำเลยท่ี ๑ ลูกหนี้ ไม่ต้องรบั

ผดิ อนั จะถอื วา่ จำเลยที่ ๑ ยงั ไมผ่ ดิ นดั ชำระหนี้ และมผี ลทำใหจ้ ำเลยท่ี ๑ หลดุ พน้ จากการชำระ

หนต้ี ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๒๐๕ และมาตรา ๒๑๙ หรอื ไม่ ทจี่ ำเลยที่ ๑

ส่วนที่ ๒ ตวั อย่างคำพิพากษาและคำสง่ั ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 231
คดแี พง่


ถงึ ที่ ๔ อทุ ธรณอ์ ้างว่า มพี ฤตกิ ารณท์ ี่จำเลยท่ี ๑ ลูกหนี้ ไม่ตอ้ งรบั ผิด เนอื่ งจากมีวกิ ฤตกิ ารณ

ทางเศรษฐกจิ ครงั้ รา้ ยแรงในปี ๒๕๔๐ กระทรวงการคลงั มคี ำสงั่ ใหบ้ รษิ ทั เงนิ ทนุ หลกั ทรพั ยร์ ะงบั

การดำเนินกิจการถึง ๕๖ สถาบัน ซ่ึงบริษัทเจ้าหน้ีเดิมทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทเงินทุน

หลกั ทรัพยด์ งั กล่าว และคา่ เงินบาทเพม่ิ จาก ๒๕ บาท เป็น ๕๖ บาท ตอ่ ๑ เหรียญดอลลาร์

สหรัฐ ส่งผลทำให้เป็นการสุดวิสัยท่ีจำเลยที่ ๑ จะหาเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ได้ นับได้ว่าเป็น

กรณีการชำระหน้ีกลายเปน็ พ้นวสิ ัยทจี่ ะกระทำได้ จำเลยท่ี ๑ จงึ ยังไมผ่ ิดนัดชำระหนี้ และมีผล

ทำให้จำเลยท่ี ๑ หลุดพ้นจากการชำระหนีไ้ ด้ เหน็ วา่ ล้วนเปน็ ขอ้ เท็จจริงทจ่ี ำเลยท่ี ๑ ถงึ ที่ ๔

ไมไ่ ดย้ กขนึ้ วา่ กลา่ วในศาลชน้ั ตน้ เพราะระหวา่ งพจิ ารณาคดจี ำเลยท่ี ๑ ถงึ ที่ ๔ สละประเดน็ ขอ้

ตอ่ สทู้ กุ ขอ้ ไปแลว้ โดยยอมรบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ตามฟอ้ งของโจทกท์ กุ ประการ ยกเวน้ เรอื่ งดอกเบยี้ จงึ

เท่ากับจำเลยที่ ๑ ถงึ ที่ ๔ มไิ ดใ้ หก้ ารไว้ และจำเลยที่ ๑ ถงึ ที่ ๔ เพ่งิ หยบิ ยกขนึ้ วา่ กลา่ วในช้นั

อุทธรณ์ อันเป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรค

หนงึ่ ศาลอทุ ธรณไ์ มร่ ับวนิ ิจฉัยให้ และทจี่ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ อุทธรณก์ ม็ ไิ ดเ้ กย่ี วกบั หลกั การใน

รฐั ธรรมนญู และไมม่ ผี ลทำใหร้ ฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ มาตรา ๔

มาตรา ๒๗ ถงึ มาตรา ๓๐ และมาตรา ๔๘ ใชบ้ งั คบั ไมไ่ ดแ้ ตอ่ ยา่ งใด จงึ ไมใ่ ชป่ ญั หาขอ้ กฎหมาย

ที่เก่ยี วด้วยความสงบเรยี บร้อยของประชาชนท่ีจำเลยที่ ๑ ถงึ ที่ ๔ จะหยบิ ยกข้นึ ว่ากลา่ วในช้นั

อทุ ธรณไ์ ดต้ ามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ มาตรา ๒๒๕ วรรคสอง

ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามท่ีจำเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๔ อุทธรณ์อีกประการหนึ่งมี

ว่า โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องในหน้ีสินคดีน้ีจากบริษัทเจ้าหนี้เดิมทั้งสองมีสิทธิคิด

ดอกเบย้ี จากจำเลยที่ ๑ ไดต้ ามฟอ้ งหรอื ไม่ ทจ่ี ำเลยที่ ๑ ถงึ ท่ี ๔ อทุ ธรณอ์ า้ งวา่ แมต้ ามมาตรา

๓๐ ตรี แหง่ พระราชกำหนดการปฏริ ปู ระบบสถาบนั การเงนิ พ.ศ. ๒๕๔๐ จะกำหนดใหโ้ จทก์ ผ
ู้
รับโอนสิทธิเรียกร้อง มีสิทธิคิดดอกเบ้ียตามวิธีการและอัตราในสัญญาเดิม แต่การท่ีโจทก์คิด

ดอกเบี้ยจากจำเลยที่ ๑ ไม่เกินกว่าประกาศของบริษัทเจ้าหนี้เดิมท้ังสองโดยอยู่ภายใต้บังคับ

232 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี


ตามประกาศของธนาคารแหง่ ประเทศไทย กลา่ วคอื ในอตั รารอ้ ยละ ๑๙ และ ๒๑ ตอ่ ปี เอกสาร

หมาย จ.๑๐ และ จ.๑๑ เปน็ การไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย ขดั ตอ่ พระราชบญั ญตั หิ า้ มเรยี กดอกเบย้ี

เกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓ (ก) (ค) และมาตรา ๔ รวมท้ังขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่ง

ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๓๐ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยปล่อย

ให้สถาบันการเงินของเอกชนสามารถประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยได้เอง เห็นว่า ธนาคาร

แหง่ ประเทศไทยไมไ่ ดก้ ระทำโดยพลการ แตไ่ ดอ้ าศยั อำนาจตามความในมาตรา ๒๗ และมาตรา

๓๐ (๑) (๒) แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจ

เครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ และพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่ง

ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๓๐ เพราะมิฉะนั้นคงจะไม่สามารถนำ

พระราชบญั ญตั ดิ งั กลา่ วมาประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาใหม้ ผี ลใชบ้ งั คบั เปน็ กฎหมายได้ ดงั นน้ั

เมื่อโจทก์คิดดอกเบ้ียจากจำเลยท่ี ๑ ตามข้อตกลงในสัญญากู้เงินและสัญญากู้เงินโดยออก

ตว๋ั สญั ญาใชเ้ งินชำระหน้รี ะหวา่ งจำเลยที่ ๑ กับบริษทั เจ้าหนเี้ ดิมท้งั สองไม่เกินไปกว่าประกาศ

ของบรษิ ทั เจา้ หนเ้ี ดมิ ทง้ั สองโดยอยภู่ ายใตบ้ งั คบั ตามประกาศของธนาคารแหง่ ประเทศไทยแลว้

จึงชอบด้วยกฎหมายและไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐

มาตรา ๓๐ ท่ีจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ อทุ ธรณ์อา้ งวา่ โจทก์ไม่สามารถคดิ ดอกเบี้ยตามประกาศของ

บริษัทเจ้าหนี้เดิมท้ังสองได้ เนื่องจากโจทก์ไม่ได้ส่งประกาศของบริษัทเจ้าหนี้เดิมท้ังสองไปให

ธนาคารแห่งประเทศไทยและไม่ได้ปิดประกาศของบริษัทเจ้าหน้ีเดิมท้ังสองไว้ท่ีสำนักงานของ

โจทกต์ ามขอ้ บงั คบั ในประกาศของธนาคารแหง่ ประเทศไทย เหน็ วา่ เปน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทจ่ี ำเลยที่ ๑

ถงึ ที่ ๔ ไม่ไดย้ กข้นึ วา่ กลา่ วในศาลชนั้ ตน้ เพราะจำเลยท่ี ๑ ถงึ ที่ ๔ ไม่ได้ใหก้ ารไว้ จำเลยที่ ๑

ถงึ ท่ี ๔ เพง่ิ หยิบยกข้อเท็จจรงิ ดังกลา่ วข้ึนว่ากลา่ วในชนั้ อทุ ธรณ์ เปน็ การไมช่ อบตามประมวล

กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคหน่ึง ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้ ดังนั้น

โจทก์ซ่ึงเป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้สินคดีน้ีจากบริษัทเจ้าหน้ีเดิมท้ังสองจึงมีสิทธิคิด

ส่วนที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำสัง่ ในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
233
คดีแพง่


ดอกเบี้ยจากจำเลยที่ ๑ ได้ตามฟ้อง จำเลยท้ังสี่และที่ ๕ จึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ตาม

สัญญากู้เงินและสัญญากู้เงินโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินชำระหนี้ดังท่ีศาลช้ันต้นวินิจฉัย ที่ศาล

ชั้นตน้ พพิ ากษามานน้ั ชอบแลว้ อทุ ธรณท์ กุ ข้อของจำเลยท่ี ๑ ถงึ ท่ี ๔ ฟงั ไม่ข้นึ

พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทน

โจทก์ จำนวน ๑๙,๐๐๐ บาท.

234 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คดี


ตัวอยา่ งคดีเรียกทรัพย์คืน






คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๖๙๐๘/๒๕๔๙


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คู่ความแถลงรับกันตามรายงาน

กระบวนพจิ ารณาเมอื่ วนั ท่ี ๒๐ มถิ นุ ายน ๒๕๔๖ วา่ นายเอกชยั ประเสรฐิ ศลิ ป์ ผตู้ าย มหี นตี้ าม

คำพพิ ากษาในคดหี มายเลขแดงท่ี ธ.๑๖๕๕๗/๒๕๔๒ เอกสารหมาย ล.๑ เปน็ หนที้ เี่ กดิ จากการ

คำ้ ประกนั และหนดี้ งั กลา่ วยงั ชำระไมแ่ ลว้ เสรจ็ สว่ นหนต้ี ามสญั ญากมู้ กี ารชำระหนค้ี รบถว้ นแลว้

สัญญาจำนองและข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองเป็นไปตามเอกสารหมาย จ.๑ แล้วคู่ความ

ทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยาน คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า สัญญาจำนอง

และข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองตามเอกสารหมาย จ.๑ ครอบคลุมถึงหน้ีตามคำพิพากษา

เอกสารหมาย ล.๑ ท่ีจำเลยยังไมไ่ ด้รบั ชำระหนี้จากนายเอกชยั ผตู้ าย หรือไม่ เหน็ วา่ สญั ญา

จำนองและขอ้ ตกลงต่อทา้ ยสญั ญาจำนองทำขึน้ ๒ คร้ัง ในวนั เดียวกนั คร้งั แรกเปน็ ประกนั ใน

วงเงนิ ๓๐๐,๐๐๐ บาท ครัง้ ทสี่ องเปน็ ประกันในวงเงนิ ๑๐๐,๐๐๐ บาท สัญญาจำนองทัง้ สอง

ฉบับมีข้อความทำนองเดียวกันว่า ผู้จำนองตกลงจำนองท่ีดินแปลงที่กล่าวข้างต้นทั้งแปลงแก

ผู้รับจำนองเพ่ือเป็นประกันเงินซึ่งผู้จำนองเป็นหน้ีธนาคารผู้รับจำนอง ดังรายละเอียดปรากฏ

ตามข้อตกลงตอ่ ทา้ ยสัญญาจำนองน้ี ส่วนขอ้ ตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองทงั้ สองฉบับ ข้อ ๑ ม

ข้อความทำนองเดยี วกนั ว่า ด้วยผจู้ ำนองเป็นเจา้ ของกรรมสิทธิท์ ่ีดิน....ได้ตกลงจำนองที่ดนิ กับ

บรรดาตึกโรงเรือนและสิ่งปลูกสรา้ งตา่ ง ๆ ซึ่งมอี ยู่แลว้ ในทดี่ ินรายนหี้ รือทจ่ี ะมขี ้ึนตอ่ ไปในภาย

หน้าในท่ีดินรายนี้ท้ังสิ้นไว้แก่ผู้รับจำนองเป็นประกันหนี้ซึ่งผู้จำนองเป็นหนี้ผู้รับจำนองอยู่แล้ว

และในเวลาน้ีหรอื เวลาใดเวลาหน่ึงในภายหน้า ในเรอื่ งการกเู้ งิน การเบิกเงินเกินบญั ชี และหน้

ในลักษณะอืน่ ๆ ทุกประเภทท่ีเปน็ หนี้แก่ผรู้ บั จำนองท้ังหมด รวมทงั้ การขอรับสนิ เช่อื ประเภท

หมนุ เวยี น อนั เปน็ ประเพณกี ารให้สนิ เช่อื ของผรู้ บั จำนอง ซึง่ ผ้จู ำนองทราบดอี ยู่แลว้ ....จากข้อ

สว่ นที่ ๒ ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำสั่งในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
235
คดีแพง่


สญั ญานีแ้ สดงอยา่ งแจง้ ชัดวา่ การจำนองท่ีดินของนายเอกชยั นอกจากจะเพือ่ เป็นประกนั เงินท
ี่
นายเอกชัยกู้จากจำเลยในขณะทำสัญญาจำนองแล้ว ยังเป็นประกันหน้ีต่าง ๆ ซ่ึงนายเอกชัย

จะต้องรับผิดต่อจำเลยไม่ว่าในฐานะใด ๆ ต่อไปในอนาคตด้วย โดยจำกัดวงเงินจำนองที่นาย

เอกชัยจะต้องรับผิด รวม ๔๐๐,๐๐๐ บาท และค่าอุปกรณ์ ซ่ึงตามประมวลกฎหมายแพ่งและ

พาณชิ ย์ มาตรา ๖๘๑ วรรคสอง และมาตรา ๗๐๗ บญั ญตั วิ า่ หนใี้ นอนาคตหรอื หนม้ี เี งอื่ นไขจะ

ประกนั ไวเ้ พอ่ื เหตกุ ารณซ์ ง่ึ หนนี้ น้ั อาจเปน็ ผลไดจ้ รงิ กป็ ระกนั ได้ ดงั นนั้ เมอื่ ตอ่ มาภายหลงั นาย

เอกชยั ทำสญั ญาคำ้ ประกนั การขายลดเชค็ ของบรษิ ทั อมิ เมก็ ซเ์ คมคี ลั จำกดั จงึ ตอ้ งถอื วา่ สญั ญา

ค้ำประกนั ครัง้ หลังนีเ้ ป็นหนใ้ี นอนาคต สัญญาจำนองที่ดินซง่ึ เปน็ หนอ้ี ุปกรณ์ยอ่ มครอบคลุมถึง

หนต้ี ามสญั ญาคำ้ ประกนั อนั เปน็ หนปี้ ระธานดว้ ย แมม้ กี ารชำระหนตี้ ามสญั ญากคู้ รบถว้ นแลว้ แต

เมอื่ หนท้ี นี่ ายเอกชยั จะตอ้ งรบั ผดิ ในฐานะผคู้ ำ้ ประกนั ยงั คา้ งชำระ สญั ญาจำนองยงั ไมร่ ะงบั สนิ้ ไป

จำเลยจึงมีสิทธิที่จะไม่จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองท่ีดินและคืนโฉนดที่ดินให้โจทก์ ที่ศาลช้ันต้น

พพิ ากษามานัน้ ศาลอทุ ธรณไ์ ม่เหน็ พ้องดว้ ย อุทธรณข์ องจำเลยฟังขนึ้

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมท้ังสองศาลแทน

จำเลย โดยกำหนดคา่ ทนายความ รวม ๑,๐๐๐ บาท.

236 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉัยคด


ตวั อยา่ งคดลี ะเมิด






ำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๓๗๘๐/๒๕๔๘


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบ้ืองต้นตามที

คู่ความมิได้นำสืบโต้แย้งกันในช้ันนี้ว่า เมื่อวันท่ี ๑๔ เมษายน ๒๕๔๑ เวลาประมาณ ๒๓

นาฬกิ า โจทกข์ บั รถจกั รยานยนต์ หมายเลขทะเบยี น กรงุ เทพมหานคร ๑ห-๕๕๓๙ ไปตามถนน

กรุงเกษม จากแยกเทวกรรมมุ่งหน้าไปทางแยกสะพานขาว เมื่อถึงบริเวณตรงข้ามป๊ัมน้ำมัน

เชลล์ เกิดเหตุชนกับรถยนต์ หมายเลขทะเบียน ๖ข-๙๙๔๕ กรุงเทพมหานคร ซ่ึงจำเลยที่ ๑

เปน็ คนขบั เปน็ เหตใุ หโ้ จทกไ์ ดร้ บั อนั ตรายแกก่ ายสาหสั และรถจกั รยานยนตไ์ ดร้ บั ความเสยี หาย

มีปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยตามท่ีจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ข้อแรกว่า คดีน้ีเป็นคดีแพ่ง

เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิจารณาคดีส่วนแพ่งต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำ

พิพากษาคดสี ่วนอาญา การทีศ่ าลช้ันต้นพิพากษาคดนี โี้ ดยไม่รอใหค้ ดอี าญาท่พี นักงานอยั การ

เปน็ โจทกฟ์ ้องจำเลยท่ี ๑ เปน็ จำเลยต่อศาลแขวงดุสติ ในความผิดตอ่ ประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๓๐๐ และพระราชบญั ญตั จิ ราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓, ๕๒, ๑๕๑, ๑๕๗ ซง่ึ

โจทก์ในคดีน้เี ปน็ โจทก์ร่วมในคดีดงั กลา่ วด้วย ถงึ ทีส่ ุดกอ่ น เปน็ การไม่ชอบด้วยกฎหมาย เหน็

วา่ กรณที จ่ี ะตอ้ งนำขอ้ เทจ็ จรงิ ในคดสี ว่ นอาญามารบั ฟงั ในคดสี ว่ นแพง่ ตามประมวลกฎหมายวธิ

พจิ ารณาความอาญา มาตรา ๔๖ นน้ั คคู่ วามในคดสี ว่ นอาญาและคดสี ว่ นแพง่ จะตอ้ งเปน็ คคู่ วาม

เดยี วกนั แตจ่ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ในคดนี ม้ี ไิ ดเ้ ปน็ คคู่ วามในคดอี าญาทพ่ี นกั งานอยั การเปน็ โจทก

ฟ้องจำเลยที่ ๑ เปน็ จำเลยตอ่ ศาลแขวงดสุ ิต คำพิพากษาคดีอาญาดังกลา่ วจึงไม่ผกู พนั จำเลย

ท่ี ๒ และท่ี ๓ ในส่วนของจำเลยที่ ๒ และท่ี ๓ ศาลช้ันต้นจึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงจาก

พยานหลกั ฐานทค่ี คู่ วามนำสบื ในคดนี ้ี สว่ นโจทกใ์ นคดนี ซี้ งึ่ เปน็ ผเู้ สยี หายและเขา้ เปน็ โจทกร์ ว่ ม

ในคดที พี่ นกั งานอยั การเปน็ โจทกฟ์ อ้ งจำเลยที่ ๑ เปน็ จำเลยตอ่ ศาลแขวงดสุ ติ นนั้ แมจ้ ำเลยที่ ๑

สว่ นที่ ๒ ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำสงั่ ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 237
คดแี พ่ง


อยใู่ นฐานะคคู่ วามในคดดี งั กลา่ ว แตค่ ำพพิ ากษาคดสี ว่ นอาญาทจี่ ะมผี ลผกู พนั คคู่ วามในคดสี ว่ น

แพง่ ตามประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ นน้ั ตอ้ งเปน็ คำพพิ ากษาทถี่ งึ

ที่สุดแล้วเท่าน้ัน เมื่อปรากฏว่าขณะที่ศาลช้ันต้นมีคำพิพากษาคดีน้ี คดีส่วนอาญาท่ีพนักงาน

อยั การเปน็ โจทกฟ์ อ้ งจำเลยท่ี ๑ เปน็ จำเลยตอ่ ศาลแขวงดสุ ติ ยงั ไมถ่ งึ ทส่ี ดุ การรบั ฟงั ขอ้ เทจ็ จรงิ

ในสว่ นของจำเลยท่ี ๑ ในการพพิ ากษาคดนี ้ี ศาลชนั้ ตน้ จงึ ไมจ่ ำตอ้ งถอื ขอ้ เทจ็ จรงิ ตามทปี่ รากฏ

ในคำพพิ ากษาคดสี ว่ นอาญาดงั กลา่ ว และรบั ฟงั ขอ้ เทจ็ จรงิ จากพยานหลกั ฐานทค่ี คู่ วามนำสบื ใน

คดีน้ีได้เช่นกัน ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ มิได้ถึงกับ

บังคับว่าการพิจารณาคดีส่วนแพ่งต้องรอฟังข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา

กอ่ น แลว้ จงึ จะมคี ำพพิ ากษาในคดสี ว่ นแพง่ ไดเ้ สมอไป การทศี่ าลชนั้ ตน้ พพิ ากษาคดนี โี้ ดยไมร่ อ

ใหค้ ดอี าญาทพ่ี นกั งานอยั การเปน็ โจทกฟ์ อ้ งจำเลยที่ ๑ เปน็ จำเลยตอ่ ศาลแขวงดสุ ติ ถงึ ทสี่ ดุ กอ่ น

จึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ข้อนี้ฟังไม่ข้นึ

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ข้อต่อไปมีว่า ศาลชั้นต้น

กำหนดค่าเสียหายท่จี ำเลยท่ี ๑ ตอ้ งชดใชแ้ ก่โจทกส์ ูงเกนิ ควรหรอื ไม่ ในส่วนคา่ รกั ษาพยาบาล

ในโรงพยาบาล เป็นเงิน ๒๓๐,๑๐๘ บาท และค่ารกั ษาพยาบาลในอนาคต เปน็ เงนิ ๓๗,๐๐๐

บาท จำเลยท่ี ๑ อทุ ธรณว์ า่ แมจ้ ำเลยที่ ๑ เปน็ คนพาโจทกเ์ ขา้ รบั การรกั ษาทโี่ รงพยาบาลเอกชน

เอง แตโ่ จทกส์ ามารถยา้ ยไปรบั การรกั ษาทโ่ี รงพยาบาลของรฐั ได้ หากโจทกไ์ ปเขา้ รบั การรกั ษา

ทโ่ี รงพยาบาลของรัฐ จะเสยี คา่ ใชจ้ ่ายนอ้ ยลงไม่นอ้ ยกวา่ ๓ เท่า คือ คา่ รกั ษาพยาบาลไมเ่ กนิ

๑๐๐,๐๐๐ บาท และคา่ รกั ษาพยาบาลในอนาคตไมเ่ กนิ ๑๐,๐๐๐ บาท เหน็ วา่ ตามรายงานการ

ตรวจชนั สูตรบาดแผลของแพทย์ เอกสารหมาย จ.๑๙ ปรากฏวา่ โจทกไ์ ดร้ ับบาดเจ็บกระดูกตน้

ขาซา้ ยตอนลา่ งหกั ทงั้ สองขา้ ง กระดกู หนา้ แขง้ ขวาตอนบนหกั ทงั้ สองขา้ ง กระดกู ขอ้ มอื ขวาหกั

และนายแพทยว์ รวยี ์ ไวยวฒุ ิ แพทยโ์ รงพยาบาลมชิ ชน่ั เบกิ ความเปน็ พยานโจทกว์ า่ แพทยต์ อ้ ง

ผา่ ตดั นำเหลก็ ดามไว้ รอใหก้ ระดกู ตดิ แลว้ ผา่ ตดั นำเหลก็ ทด่ี ามไวอ้ อก โจทกเ์ ขา้ รบั การรกั ษาท
่ี

238 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉัยคดี


โรงพยาบาลมชิ ชนั่ ตง้ั แตว่ นั ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๔๑ จนถงึ วนั ที่ ๑ มถิ นุ ายน ๒๕๔๑ ขณะทโ่ี จทก

ออกจากโรงพยาบาล แพทยย์ งั ไมไ่ ดผ้ า่ ตดั นำเหลก็ ทดี่ ามไวอ้ อก ตามรายงานการตรวจบาดแผล

ของแพทย์และคำเบิกความของนายแพทย์วรวีย์ดังกล่าวแสดงว่าอาการบาดเจ็บท่ีเกิดขึ้นกับ

โจทก์จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง การที่โจทก์ยังคงรับการรักษาท่ีโรงพยาบาล

มชิ ชน่ั ตอ่ ไป ไมย่ า้ ยไปเขา้ รบั การรกั ษาในโรงพยาบาลของรฐั จงึ มเี หตผุ ล และคา่ รกั ษาพยาบาล

ในโรงพยาบาลกบั คา่ รกั ษาพยาบาลในอนาคตทศ่ี าลชนั้ ตน้ กำหนดถอื ไดว้ า่ เปน็ คณุ แกจ่ ำเลยท่ี ๑

อยแู่ ล้ว อุทธรณข์ องจำเลยท่ี ๑ เกยี่ วกับค่าเสยี หายสว่ นน้ีฟังไม่ขน้ึ

ในส่วนค่าพาหนะเดินทางและค่าซ่อมแซมรถจักรยานยนต์ที่ศาลช้ันต้นกำหนด

เปน็ เงนิ ๒,๐๐๐ บาท และ ๗,๐๐๐ บาท ตามลำดับ จำเลยท่ี ๑ อทุ ธรณว์ ่า คา่ พาหนะเดินทาง

โจทก์ไม่มีหลักฐาน ค่าใช้จ่ายส่วนน้ีไม่ควรเกิน ๑,๐๐๐ บาท ส่วนค่าซ่อมรถจักรยานยนต์

เนื่องจากรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุมีสภาพเก่ามาก ค่าซ่อมไม่ควรเกิน ๒,๐๐๐ บาท เห็น

วา่ ในสว่ นคา่ พาหนะเดินทางน้ัน นายชาญ จนั ทราโลก บิดาโจทก์ เบกิ ความว่า เมือ่ ออกจาก

โรงพยาบาลแลว้ โจทกย์ งั ตอ้ งไปทำกายภาพบำบดั ทโี่ รงพยาบาลเปน็ เวลา ๑ เดอื น ทศี่ าลชน้ั ตน้

กำหนดให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้แก่โจทก์ เป็นเงิน ๒,๐๐๐ บาท จึงเหมาะสมแล้ว และในส่วนค่า

ซ่อมแซมรถจักรยานยนต์ โจทกม์ หี ลกั ฐาน คอื บิลเงนิ สดจากร้านสขุ ชยั เจรญิ ยนตต์ ามเอกสาร

หมาย จ.๑๑ ซ่ึงระบคุ ่าอะไหล่ เปน็ เงนิ ๑๐,๕๑๐ บาท แต่ศาลชัน้ ตน้ กำหนดใหเ้ พยี ง ๗,๐๐๐

บาท โดยคำนงึ ถงึ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทว่ี า่ รถจกั รยานยนตค์ นั เกดิ เหตมุ สี ภาพเกา่ คา่ เสยี หายในสว่ นนที้
่ี
ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยท่ี ๑ ชดใช้แกโ่ จทกจ์ งึ เหมาะสมแลว้ เช่นกัน อุทธรณข์ องจำเลยท่ี ๑

เกี่ยวกับค่าเสยี หายสว่ นน้ฟี งั ไมข่ ้ึน

ในส่วนค่าเสียหายจากการทนทุกข์ทรมานและค่าเสื่อมสภาพร่างกายท่ีศาล

ช้ันต้นกำหนด เป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยท่ี ๑ อุทธรณ์ว่า การทนทุกข์ทรมานไม่อาจ

ประเมนิ ราคาเปน็ เงนิ ได้ และในวันท่โี จทก์ไปเบกิ ความตอ่ ศาลชน้ั ต้น โจทกเ์ คลอื่ นไหวร่างกาย

ส่วนที่ ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำสงั่ ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
239
คดแี พ่ง


ไดเ้ หมือนคนปกติ โจทกจ์ ึงไมเ่ สยี หายและไมค่ วรได้รบั คา่ เสยี หายในสว่ นน้ี เห็นวา่ ค่าเสียหาย

จากการทนทุกข์ทรมานเป็นค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงิน เม่ือจำเลยท่ี ๑ ทำให้โจทก์ได้รับความ

เสียหายแก่ร่างกาย โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายดังกล่าวจากจำเลยท่ี ๑ ได้ตามประมวล

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๖ และเมื่อพิเคราะห์ประกอบกับโจทก์ได้รับบาดเจ็บ

กระดูกต้นขาซ้ายตอนล่างหักทั้งสองข้าง กระดูกหน้าแข้งขวาตอนบนหักท้ังสองข้าง กระดูก

ขอ้ มอื ขวาหกั ตอ้ งเขา้ รบั การรกั ษาอยใู่ นโรงพยาบาลเปน็ เวลานานถงึ ๔๙ วนั หลงั จากนน้ั โจทก

ยงั ตอ้ งไปทำกายภาพบำบดั และผา่ ตดั นำเหลก็ ทด่ี ามไวอ้ อกอกี ตามคำเบกิ ความของนายแพทย

วรวีย์ยังปรากฏด้วยว่ากระดูกข้อมือขวาที่หักจะทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้มือขวาทำงานหนักได้

อกี ตอ่ ไป สว่ นขาทงั้ สองขา้ งทห่ี กั นอกจากจะทำใหโ้ จทกไ์ มส่ ามารถใชข้ าทงั้ สองขา้ งทำงานหนกั

ได้อีกต่อไปแล้ว ยังมีผลทำให้ขาทั้งสองข้างของโจทก์ยาวไม่เท่ากัน ทำให้การเดินไม่เป็นไป

ตามปกตอิ กี ด้วย ท่ีศาลชนั้ ตน้ กำหนดค่าเสยี หายส่วนน้ี เป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ถอื ไดว้ า่ เปน็

คณุ แกจ่ ำเลยท่ี ๑ อยแู่ ลว้ อทุ ธรณข์ องจำเลยท่ี ๑ เกย่ี วกบั คา่ เสยี หายสว่ นนฟ้ี งั ไมข่ นึ้ อกี เชน่ กนั

พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมช้ันอุทธรณ์แทนโจทก์ โดย

กำหนดค่าทนายความ ๔,๐๐๐ บาท.

240 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉยั คดี


ตัวอย่างคดสี ญั ญา






. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๕๖๑๖/๒๕๔๙


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตาม

อุทธรณ์ของโจทกว์ ่า มูลคดีน้เี กิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลชนั้ ต้นหรือไม่ คดนี โ้ี จทกฟ์ อ้ งบังคบั

ขอให้จำเลยชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บริการตามสัญญาการใช้บริการวิทยุคมนาคมซึ่งถือว่า

เป็นหน้ีเหนือบุคคล โจทก์จึงมีสิทธิท่ีจะเสนอคำฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล

หรือต่อศาลท่มี ลู คดีเกิดขึ้นในเขตศาลกไ็ ดต้ ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา

๔ (๑) ตามคำฟ้องได้ความว่า เมื่อจำเลยนำเครื่องวิทยุคมนาคมมาขอใช้บริการและทำคำขอ/

สญั ญาการใชบ้ รกิ ารวทิ ยคุ มนาคมระบบเซลลลู าร์ เอกสารทา้ ยฟอ้ ง หมายเลข ๕ ตอ่ ตวั แทนของ

โจทกแ์ ลว้ สำนกั งานของโจทกซ์ ง่ึ ตง้ั อยใู่ นเขตอำนาจของศาลชนั้ ตน้ จะพจิ ารณาอนมุ ตั ิ กรณยี อ่ ม

ถอื ไดว้ า่ การทำคำขอใชบ้ รกิ ารวทิ ยคุ มนาคมทจ่ี ำเลยกรอกขอ้ ความแลว้ ยนื่ ตอ่ ตวั แทนของโจทก

ดงั กลา่ วเปน็ การทำคำเสนอเพอ่ื ขอใชบ้ รกิ ารวทิ ยคุ มนาคมตอ่ โจทก์ สว่ นการพจิ ารณาอนมุ ตั คิ ำ

ขอและเปดิ สญั ญาณคลนื่ วทิ ยคุ มนาคมของสำนกั งานของโจทกน์ น้ั ถอื ไดว้ า่ เปน็ การกระทำอนั ใด

อันหน่ึงซึ่งมีผลเป็นการแสดงเจตนาสนองรับคำเสนอของจำเลยตามคำขอที่ได้ย่ืนขอใช้บริการ

แม้เป็นการแสดงเจตนาท่ีกระทำต่อจำเลยซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า แต่ก็ถือได้ว่าการตกลงทำ

สญั ญาการใชบ้ รกิ ารวทิ ยคุ มนาคมระหวา่ งโจทกก์ บั จำเลยทก่ี ระทำขนึ้ ในลกั ษณะเชน่ นต้ี ามปรกติ

ประเพณไี ดเ้ กดิ เปน็ สญั ญาขนึ้ เมอ่ื สำนกั งานของโจทกไ์ ดส้ นองรบั คำเสนอโดยการเปดิ สญั ญาณ

วิทยุคมนาคมอันมีผลทำให้จำเลยสามารถใช้วิทยุคมนาคมจากโจทก์ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคำ

บอกกล่าวไปถงึ จำเลย ผ้เู สนอ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๖๑ วรรคสอง

อีก เม่ือสัญญาการใช้วิทยุคมนาคมระหว่างโจทก์กับจำเลยได้เกิดขึ้นที่สำนักงานของโจทก์ซ่ึง

ต้ังอยู่ในเขตอำนาจของศาลช้ันต้นและโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้อันเกิดจากการใช


สว่ นที่ ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำสั่งในรปู คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
241
คดแี พง่


บริการตามสัญญาการใช้บริการวิทยุคมนาคมดังกล่าว ดังน้ัน ต้องถือได้ว่าศาลช้ันต้นเป็นศาล

หนง่ึ ทมี่ ลู คดนี เ้ี กดิ ขน้ึ ในเขตศาลตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ มาตรา ๔ (๑) ศาล

ชั้นต้นมีอำนาจท่ีจะพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ เทียบนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๑๙/๒๕๔๘

คำส่งั ของศาลชน้ั ต้นไม่ต้องดว้ ยความเห็นของศาลอทุ ธรณ์ อุทธรณข์ องโจทก์ฟงั ข้ึน

พิพากษายกคำส่ังศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้อง ให้ศาลช้ันต้นรับฟ้องและดำเนิน

กระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลในชั้นนี้ให้ศาล

ช้นั ตน้ รวมส่ังเมอ่ื มคี ำพิพากษา.






๒. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๖๖๕๗/๒๕๔๙


พเิ คราะห์แล้ว คดีมปี ญั หาต้องวนิ ิจฉัยตามอุทธรณข์ องจำเลยวา่ จำเลยเปน็ ฝ่าย

ผิดสัญญา ต้องรับผิดคืนเงินจองตามสัญญาเงินค่าประกันการจองสิทธิในการเช่าอาคาร

ศนู ย์การคา้ เซน็ ทรัลพลาซ่าชลบุรี เอกสารหมาย จ.๔ และ จ.๖ พรอ้ มดอกเบยี้ แก่โจทกห์ รอื ไม่

และตามอทุ ธรณข์ องโจทกว์ า่ เงนิ จองตามสญั ญาดงั กลา่ วจำเลยตอ้ งคนื พรอ้ มดอกเบย้ี นบั ตง้ั แต่

วนั ทจี่ ำเลยไดร้ บั เงนิ ไว้ คอื วนั ท่ี ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๔๐ หรอื ไม่ ในปญั หาแรกจำเลยอทุ ธรณว์ า่

เอกสารโฆษณาตามเอกสารหมาย จ.๗ ระบุชัดเจนว่าจำเลยขอสงวนสิทธิในการเปล่ียนแปลง

รายละเอยี ดตามใบโฆษณาเพอื่ ใหเ้ หมาะสมแกส่ ถานการณไ์ ด้ จำเลยยอ่ มสามารถเปลย่ี นแปลง

รูปแบบการก่อสร้างและระยะเวลาการก่อสร้างได้ตลอดเวลา ซ่ึงการก่อสร้างโครงการนี้เป็น

โครงการขนาดใหญ่ ต้องใชร้ ะยะเวลาและเงินลงทนุ จำนวนมาก แตเ่ นื่องจากช่วง พ.ศ. ๒๕๔๑

สภาวะทางเศรษฐกจิ ไมด่ ี มกี ารลดคา่ เงนิ บาท สถาบนั การเงนิ ไมป่ ลอ่ ยเงนิ กใู้ ห้ จำเลยตอ้ งชะลอ

โครงการไว้และพยายามติดต่อหาผู้ลงทุนจากต่างประเทศ แต่ยังมีนโยบายก่อสร้างต่อไป

เนื่องจากจำเลยได้ซื้อที่ดินในโครงการทั้งหมดและขออนุญาตต่อใบอนุญาตก่อสร้างไว้ตลอด

242 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉยั คดี


จำเลยไม่มเี จตนาท่จี ะระงบั การก่อสร้างแต่อยา่ งใด ภาพถา่ ยตามหมาย จ.๑๑ เป็นภาพถา่ ยใน

สว่ นของงานตอกเสาเขม็ ทด่ี ำเนนิ การเสรจ็ แลว้ แตใ่ นสว่ นการกอ่ สรา้ งในพน้ื ทอี่ นื่ ยงั ดำเนนิ การ

ก่อสร้างอยู่ จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา และตามสัญญาเงินค่าประกันการจองสิทธิในการ

เช่า เอกสารหมาย จ.๔ และ จ.๖ มีความชัดเจนว่าเมื่อสัญญาส้ินสุด โจทก์มีสิทธิจะได้รับแต

เพยี งเงินตน้ คืนเท่าน้นั เห็นวา่ ข้อเทจ็ จริงรับฟงั ได้วา่ โจทก์ทำสญั ญาจองสทิ ธใิ นการเช่าอาคาร

ศนู ยก์ ารค้าเซน็ ทรลั พลาซ่าชลบุรี จำนวน ๒ ฉบับ สัญญาฉบับแรก ตกลงเชา่ หอ้ ง หมายเลข

๓๓๒ ชั้น ๓ โดยโจทก์ได้ชำระเงินค่าประกันการจองสิทธิการเช่าในวันทำสัญญาแสดงเจตนา

จอง จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และในวนั ทำสญั ญาน้ี จำนวน ๒๙,๘๒๘ บาท สญั ญาฉบบั ท่ี ๒ ตก

ลงเชา่ หอ้ ง หมายเลข ๓๓๑ ชน้ั ๓ โดยโจทกไ์ ดช้ ำระเงนิ คา่ ประกนั การจองสทิ ธใิ นวนั ทำสญั ญา

แสดงเจตนาจอง จำนวน ๑๓๓,๘๔๘ บาท คงเหลอื เฉพาะเงินส่วนท่ีตอ้ งชำระในวันทำสญั ญา

เชา่ เปน็ เงิน ๑๒๙,๘๒๘ บาท และ ๑๓๓,๘๔๘ บาท ตามสัญญาเงนิ ค่าประกนั การจองสิทธใิ น

การเชา่ อาคารศูนยก์ ารคา้ เซ็นทรัลพลาซา่ ชลบรุ ี เอกสารหมาย จ.๔ และ จ.๖ แต่จนถึงวันฟ้อง

คดีอาคารศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่าชลบุรีไม่แล้วเสร็จ เห็นว่า สัญญาเงินค่าประกันการจอง

สิทธิในการเช่าอาคารศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่าชลบุรีทั้งสองฉบับเป็นสัญญาต่างตอบแทน

และโจทก์ได้ชำระเงินค่าประกันการจองสิทธิในการเช่าอาคารให้แก่จำเลยแล้ว จำเลยย่อมม

หนา้ ทต่ี อ้ งสรา้ งอาคารศนู ยก์ ารคา้ ดงั กลา่ วพรอ้ มสาธารณปู โภคใหโ้ จทกเ์ ชา่ ประกอบกจิ การคา้ ใน

อาคารศูนย์การค้าต่อไป ถึงแม้สัญญาท้ังสองฉบับจะไม่ได้กำหนดระยะเวลาการดำเนินการ

ก่อสร้างอาคารศูนย์การค้าพร้อมสาธารณูปโภคให้แล้วเสร็จไว้โดยชัดเจนก็ตาม แต่ไม่ใช่ว่า

จำเลยจะดำเนินการให้เสร็จเม่ือใดก็ได้แล้วแต่ความพอใจของจำเลย นับจากวันทำสัญญา คือ

วนั ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๔๐ จนถึงวันทีโ่ จทกม์ ีหนังสอื ขอยกเลกิ สัญญาและเรียกเงนิ ค่าประกัน
การจองสทิ ธใิ นการเชา่ คนื ไปยงั จำเลยเมอ่ื วนั ท่ี ๑๑ ตลุ าคม ๒๕๔๓ เปน็ เวลา ๓ ปเี ศษ จำเลยยงั

ไมส่ ามารถดำเนนิ การใหแ้ ลว้ เสรจ็ ในขณะทจี่ ำเลยโฆษณาวา่ อาคารศนู ยก์ ารคา้ เซน็ ทรลั พลาซา่ -

ส่วนท่ี ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำสั่งในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 243
คดแี พ่ง


ชลบุรีพร้อมเปิดบริการต้ังแต่ปี ๑๙๙๘ ตรงกับ พ.ศ. ๒๕๔๑ เช่นนี้ถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิด

สัญญาและโจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ข้อความในเอกสารโฆษณาตามเอกสารหมาย

จ.๗ จำเลยขอสงวนสทิ ธใิ นการเปลย่ี นแปลงรายละเอยี ดใหเ้ หมาะสมตามสถานการณ์ ซงึ่ จำเลย

อา้ งวา่ จำเลยยอ่ มสามารถเปลย่ี นแปลงระยะเวลากอ่ สรา้ งได้ ทงั้ ทอ่ี า้ งวา่ ยงั มไิ ดร้ ะงบั การกอ่ สรา้ ง

หาเปน็ ขอ้ กลา่ วอา้ งวา่ จำเลยมไิ ดเ้ ปน็ ฝา่ ยผดิ สญั ญาแตอ่ ยา่ งใด การบอกเลกิ สญั ญาของโจทกจ์ งึ

ชอบแลว้ เมอ่ื คู่สัญญาฝา่ ยหนึ่งใชส้ ทิ ธิเลิกสญั ญาแล้ว คสู่ ัญญาแต่ละฝา่ ยจำตอ้ งใหอ้ ีกฝ่ายหนึง่

ได้กลับคืนสู่ฐานะดังท่ีเป็นอยู่เดิม ส่วนเงินอันจะต้องใช้คืนในกรณีน้ีให้บวกดอกเบ้ียเข้าด้วย

จำเลยต้องคืนเงินจองท่ีโจทก์จ่ายไปตามสัญญาเงินค่าประกันการจองสิทธิในการเช่าอาคาร

ศูนย์การคา้ เซ็นทรัลพลาซา่ ชลบุรี เอกสารหมาย จ.๔ และ จ.๖ พรอ้ มดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ

๗.๕ ตอ่ ปี ของเงนิ จำนวนดงั กลา่ วแกโ่ จทก์ ทงั้ น้ี ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา

๓๖๙, ๓๘๖ และ ๓๙๑ สว่ นความในขอ้ ๒ ตอนทา้ ย และขอ้ ๙ ของสญั ญาดงั กลา่ วตามเอกสาร

หมาย จ.๔ และ จ.๖ ทีก่ ำหนดให้จำเลย ผรู้ บั จอง คนื เงินประกนั โดยไม่มีดอกเบยี้ หมายความ

ถงึ ผรู้ บั จองคนื เงนิ แกผ่ จู้ องในกรณที มี่ กี ารทำสญั ญาเชา่ อาคาร สญั ญาสาธารณปู โภค และสญั ญา

บริการ แล้วต่อมาสิ้นสุดสัญญาเช่าและสัญญาอุปกรณ์ดังกล่าวโดยผู้จองไม่ได้ปฏิบัติผิดสัญญา

หรอื กรณมี เี หตสุ ดุ วสิ ยั ใด ๆ ทำใหจ้ ำเลย ผรู้ บั จอง ไมส่ ามารถกอ่ สรา้ งอาคารศนู ยก์ ารคา้ ไดไ้ มว่ า่

ท้ังหมดหรือบางส่วน หรือในกรณีผู้รับจองต้องปรับปรุงแก้ไขแบบซ่ึงมีผลทำให้ห้องที่จอง

เปลยี่ นแปลงไปในสาระสำคญั และใหถ้ อื วา่ สญั ญาสนิ้ สดุ ลงทนั ที ซง่ึ ไมต่ อ้ งดว้ ยกรณคี นื เงนิ จอง

อันเป็นผลจากการเลิกสัญญาเนื่องจากจำเลยผิดสัญญาและมิใช่เหตุสุดวิสัยดังท่ีศาลชั้นต้น

วินิจฉัยให้เหตุผลไว้ชอบแล้ว ศาลช้ันต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงิน จำนวน ๒๖๓,๖๗๖ บาท

พร้อมดอกเบย้ี ในอตั ราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี แก่โจทก์ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์ อุทธรณ์

ทุกข้อของจำเลยฟังไมข่ ้ึน

244 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉัยคดี


ส่วนปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ในเร่ืองดอกเบี้ยท่ีต้องใช้จะใช

ตงั้ แตเ่ มอื่ ใดนนั้ เหน็ วา่ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๓๙๑ บญั ญตั ไิ วใ้ นวรรค

สอง เมอ่ื มกี ารเลกิ สญั ญา คสู่ ญั ญาแตล่ ะฝา่ ยจำตอ้ งใหอ้ กี ฝา่ ยหนง่ึ ไดก้ ลบั คนื สฐู่ านะดงั ทเ่ี ปน็ อยู่

เดมิ ตามวรรคหนง่ึ แลว้ วา่ เงนิ อนั จะตอ้ งใชค้ นื ในกรณนี ใี้ หบ้ วกดอกเบย้ี เขา้ ดว้ ย คดิ ตงั้ แตเ่ วลา

ที่ได้รับไว้ จำเลยจึงต้องใช้ดอกเบ้ียให้แก่โจทก์นับแต่เวลาท่ีจำเลยรับเงินจองจากโจทก์ไว้

อุทธรณข์ องโจทก์ฟงั ขึน้

พิพากษาแกเ้ ป็นวา่ สำหรับดอกเบ้ยี ของต้นเงิน ๒๖๓,๖๗๖ บาท ให้จำเลยชำระ

แกโ่ จทกน์ บั แตว่ นั ท่ี ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๔๐ เปน็ ตน้ ไปจนกวา่ จะชำระเสรจ็ ทงั้ นี้ ดอกเบย้ี คดิ ถงึ

วันฟอ้ ง (วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๔๔) ไมเ่ กนิ ๗๒,๕๑๐ บาท นอกจากทแ่ี ก้ใหเ้ ปน็ ไปตามคำ

พิพากษาศาลชน้ั ตน้ ค่าฤชาธรรมเนียมช้นั อทุ ธรณใ์ ห้เป็นพับ.






๓. คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๕๐/๒๕๕๑


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุต

ว่า เม่ือวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๗ ธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) ได้โอนกิจการ

รวมเขา้ กบั ธนาคารโจทก์ ซงึ่ การรวมกจิ การดงั กลา่ วทำใหโ้ จทกไ์ ดร้ บั โอนสนิ ทรพั ย์ หนสี้ นิ และ

หน้าที่ความรับผิดชอบ รวมท้ังสิทธิเรียกร้องที่มีต่อจำเลยในคดีนี้จากธนาคารดีบีเอส ไทยทน ุ

จำกดั (มหาชน) จำเลยเปน็ ลกู คา้ ของธนาคารดบี เี อส ไทยทนุ จำกดั (มหาชน) โดยเมอื่ วนั ท่ี ๑๐

มีนาคม ๒๕๔๗ จำเลยได้ย่ืนขอใช้บริการสินเช่ือบุคคลเพอร์ซันนัลพลัสกับธนาคารดีบีเอส

ไทยทนุ จำกดั (มหาชน) และจำเลยแจง้ ความประสงคใ์ หท้ างธนาคารจา่ ยตน้ เงนิ กโู้ ดยวธิ โี อนเงนิ

เขา้ บญั ชเี งนิ ฝากของจำเลยซง่ึ เปดิ ไวก้ บั ธนาคารกรงุ เทพ จำกดั (มหาชน) สาขาสลี ม บญั ชเี ลขท ี่

๑๑๘-๔-๖๙๗๘๐-๑ ธนาคารดีบเี อส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) ได้อนุมตั ิใหจ้ ำเลยกู้เงนิ จำนวน

ส่วนที่ ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำสัง่ ในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
245
คดแี พ่ง


๘๓,๐๐๐ บาท มรี ะยะเวลาชำระตน้ เงนิ และดอกเบยี้ ทง้ั หมดคนื รวม ๓๖ เดอื น จำเลยยอมเสยี

ดอกเบย้ี ในอตั รารอ้ ยละ ๐ ตอ่ ปี ในระยะเวลา ๓ เดอื นแรก หลงั จากนน้ั ยอมเสยี ดอกเบย้ี ในอตั รา

ข้ันต่ำสำหรับสินเช่ือบุคคล (CPR) (อัตราดอกเบ้ีย CPR เท่ากับร้อยละ ๑๘ ต่อปี) ซ่ึงอัตรา

ดอกเบย้ี ดงั กลา่ วอาจเปลยี่ นแปลงไดต้ ามประกาศของธนาคารฯ รายละเอยี ดปรากฏตามสญั ญา

ใหส้ ินเช่ือบุคคลเพอร์ซนั นลั พลสั เอกสารหมาย จ.๖ โจทก์มีสิทธิคดิ ดอกเบีย้ ผดิ นัดได้ในอัตรา

ร้อยละ ๒๔ ตอ่ ปี ตามเอกสารหมาย จ.๘, จ.๙ และ จ.๑๐ ปัญหาต้องวินจิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ อง

โจทก์มเี พยี งประการเดียววา่ ธนาคารดีบเี อส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) โอนเงินก้ใู หแ้ ก่จำเลย

และจำเลยได้รับเงินกู้ตามสัญญาให้สินเชื่อบุคคลเพอร์ซันนัลพลัส เอกสารหมาย จ.๖ จาก

ธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) แล้วหรือไม่ และจำเลยต้องรับผิดชำระหน้ีแก่โจทก์

เพยี งใด เหน็ วา่ คดนี โ้ี จทกม์ คี ำขอบงั คบั ใหจ้ ำเลยชำระหนเี้ ปน็ เงนิ จำนวนแนน่ อน ซงึ่ ศาลชน้ั ตน้

รับฟ้องไว้เป็นคดีมโนสาเร่ และจำเลยขาดนัดย่ืนคำให้การกับขาดนัดพิจารณา ศาลช้ันต้นจึง

อนุญาตให้โจทก์ส่งพยานเอกสารแทนการสืบพยานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ

แพง่ มาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคสาม (๑) ประกอบประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความแพ่ง มาตรา

๑๙๕ ดงั นน้ั ศาลจะพพิ ากษาใหโ้ จทกช์ นะคดไี ดก้ ต็ อ่ เมอ่ื โจทกน์ ำพยานหลกั ฐานมาแสดงใหศ้ าล

เหน็ วา่ ขอ้ อา้ งของโจทกม์ มี ลู และไมข่ ดั ตอ่ กฎหมายตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่

มาตรา ๒๐๖ วรรคหนงึ่ ประกอบประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ มาตรา ๑๙๕ ซงึ่ คดนี
ี้
โจทกไ์ ดอ้ า้ งสง่ เอกสารหมาย จ.๑ ถงึ จ.๑๐ เปน็ พยานตอ่ ศาลและชำระคา่ อา้ งเอกสารครบถว้ น

ตามคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว จึงสามารถรับฟังเอกสารท่ีโจทก์อ้างส่งต่อศาลเป็นพยานหลักฐานใน

คดีนี้ได้ และเมื่อพิจารณาเอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๑๐ ประกอบกันแล้ว เห็นว่า สอดคล้อง

เชื่อมโยงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัญชีกระแสรายวันของจำเลยท่ีเปิดไว้กับธนาคารกรุงเทพ

จำกดั (มหาชน) สาขาสลี ม บญั ชเี ลขที่ ๑๑๘-๔-๖๙๗๘๐-๑ ตามเอกสารหมาย จ.๑๐ ทธ่ี นาคาร

กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ส่งมาให้ตามคำสั่งเรียกของศาลชั้นต้นก็ปรากฏชัดเจนว่ามียอดเงิน

246 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉยั คดี


จำนวน ๘๓,๐๐๐ บาท เขา้ มาในบญั ชเี งนิ ฝากดงั กลา่ วในวนั ที่ ๒๖ มนี าคม ๒๕๔๗ ซงึ่ เปน็ เวลา

หลังจากท่ีจำเลยยื่นคำขอใช้บริการสินเชื่อบุคคลเพอร์ซันนัลพลัสกับธนาคารดีบีเอส ไทยทน ุ

จำกดั (มหาชน) เพยี ง ๑๖ วนั เทา่ นนั้ พยานหลกั ฐานของโจทกม์ นี ำ้ หนกั เพยี งพอใหร้ บั ฟงั ไดว้ า่

ขอ้ อา้ งของโจทก์มีมูลและไมข่ ดั ตอ่ กฎหมาย กรณีมีเหตุผลให้เชือ่ ได้ว่าธนาคารดีบีเอส ไทยทน ุ

จำกัด (มหาชน) โอนเงินกู้ให้แก่จำเลยและจำเลยได้รับเงินกู้ตามสัญญาให้สินเช่ือบุคคลเพอร์-

ซนั นัลพลสั เอกสารหมาย จ.๖ แล้ว ดังนนั้ เม่อื จำเลยผิดสญั ญาไมช่ ำระหนใี้ หแ้ กโ่ จทกผ์ ไู้ ด้รับ

โอนสทิ ธเิ รยี กรอ้ งทมี่ ตี อ่ จำเลยจากธนาคารดบี เี อส ไทยทนุ จำกดั (มหาชน) จำเลยจงึ ตอ้ งรบั ผดิ

ชำระหน้ีต้นเงินกู้ จำนวน ๕๒,๘๐๑.๖๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง เป็นเงินจำนวน

๑๒,๓๒๕.๒๐ บาท แกโ่ จทก์ แตท่ โี่ จทกข์ อใหจ้ ำเลยชำระดอกเบย้ี ผดิ นดั ในอตั รารอ้ ยละ ๒๔ ตอ่

ปี นบั แตว่ นั ถดั จากวนั ฟอ้ งเปน็ ตน้ ไปจนกวา่ ชำระเสรจ็ นน้ั เหน็ วา่ สงู เกนิ สว่ น เมอ่ื พเิ คราะหถ์ งึ

ทางได้เสียของโจทกท์ ุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายแล้ว เห็นควรกำหนดใหใ้ นอตั ราร้อยละ ๒๐

ตอ่ ปี ทศี่ าลชนั้ ตน้ พพิ ากษายกฟอ้ งมาไมว่ า่ ดว้ ยเหตกุ ารรบั ฟงั พยานหลกั ฐานทผี่ ดิ หลงกด็ ี หรอื

การช่ังน้ำหนักพยานหลักฐานก็ดีนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น

บางส่วน

พิพากษากลบั ใหจ้ ำเลยชำระเงิน จำนวน ๖๕,๔๗๔.๐๒ บาท พรอ้ มดอกเบี้ยใน

อตั ราร้อยละ ๒๐ ตอ่ ปี ของตน้ เงนิ จำนวน ๕๒,๘๐๑.๖๓ บาท นับแต่วันถดั จากวันฟอ้ ง (ฟ้อง

เมื่อวันท่ี ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๙) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่า

ฤชาธรรมเนยี มทง้ั สองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดคา่ ทนายความให้ รวมเปน็ เงนิ ๒,๕๐๐ บาท.

สว่ นที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำสั่งในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
247
คดีแพ่ง


ตวั อย่างคดีสญั ญา ต๋ัวเงิน ค้ำประกัน






ำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๓๘๕๔/๒๕๔๘


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำ

พิพากษาศาลช้ันต้นโดยคู่ความไม่อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านว่า เม่ือวันท่ี ๓๑ สิงหาคม ๒๕๓๘

จำเลยที่ ๑ ทำบันทึกรับสิทธิเบิกเงินกู้จากบริษัทเงินทุนวชิระธนทุน จำกัด วงเงินไม่เกิน

๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท และเบกิ เงนิ กโู้ ดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขท่ี ๕๖๔๒ ลงวันท่ี ๓๑ ธันวาคม

๒๕๔๐ จำนวนเงนิ ๔,๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามเอกสารหมาย จ.๑๑ มจี ำเลยท่ี ๒ และ ที่ ๓ ทำ

สญั ญาคำ้ ประกนั โดยยอมรบั ผดิ อยา่ งลกู หนร้ี ว่ ม ตอ่ มาจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยท่ี ๒ ลงลายมอื ชอ่ื

สง่ั จา่ ยเชค็ ตามเอกสารหมาย ๑ ชำระหนดี้ งั กลา่ ว แตธ่ นาคารตามเชค็ ปฏเิ สธการจา่ ยเงนิ บรษิ ทั

เงนิ ทนุ วชริ ะธนทนุ จำกดั ไดฟ้ อ้ งจำเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ ตอ่ ศาลแขวงพระนครเหนอื เปน็ คดอี าญา

ในขอ้ หาความผดิ ต่อพระราชบัญญตั วิ ่าดว้ ยความผดิ อันเกิดจากการใชเ้ ชค็ จำเลยที่ ๑ จงึ ชำระ

หน้ีให้บริษัทเงินทุนวชิระธนทุน จำกัด และบริษัทเงินทุนวชิระธนทุน จำกัด ขอถอนฟ้องคด

ดงั กลา่ ว ต่อมาโจทก์ไดร้ ับโอนสนิ ทรพั ย์และหน้ีสนิ มาจากบรษิ ทั เงินทุนวชิระธนทนุ จำกัด

ทางพิจารณาโจทก์นำสืบในส่วนท่ีโต้แย้งกันว่า เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๔๒

จำเลยท่ี ๑ ชำระหนี้ ๔,๒๕๐,๐๐๐ บาท โจทกจ์ ดั สรรเปน็ ชำระดอกเบย้ี ๑,๐๘๓,๒๙๙.๔๒ บาท

และชำระตน้ เงนิ ๓,๑๖๖,๗๐๐.๕๘ บาท คงคา้ งชำระตน้ เงนิ ๑,๒๓๓,๓๐๒.๔๒ บาท นบั แตว่ นั ท ี่

๑๕ มถิ นุ ายน ๒๕๔๒ ถงึ วนั ฟอ้ ง จำเลยที่ ๑ คา้ งชำระดอกเบยี้ ๒๑๗,๕๓๔.๒๗ บาท รวมเปน็

เงินทค่ี ้างชำระทงั้ สิ้น ๑.๔๕๐,๘๓๖.๖๙ บาท

จำเลยท่ี ๑ และที่ ๒ นำสืบว่า จำเลยท่ี ๑ ผอ่ นชำระหน้แี ละเปลี่ยนตวั๋ สัญญาใช้

เงนิ จนเหลือหน้ี ๔,๒๕๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ไดส้ ่ังจา่ ยเชค็ ตามเอกสารหมาย ล.๑ ชำระหนี

ใหแ้ กบ่ ริษัทเงินทุนวชิระธนทนุ จำกัด แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงนิ หลังจากที่บริษัทเงินทนุ -

248 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉัยคดี


วชิระธนทุน จำกัด นำเช็คตามเอกสารหมาย ล.๑ มาฟ้องเป็นคดีอาญาแล้ว มีการตกลง

ประนปี ระนอมยอมความกนั จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ตกลงชำระหน้ี ๔,๒๕๐,๐๐๐ บาท สว่ นบรษิ ทั

เงนิ ทนุ วชริ ะธนทนุ จำกดั จะไมค่ ดิ ดอกเบยี้ และไมต่ ดิ ใจเรยี กรอ้ งใด ๆ จากจำเลยที่ ๑ และที่ ๒

อกี หลงั จากนน้ั จำเลยท่ี ๑ โดยจำเลยที่ ๒ นำแคชเชียรเ์ ชค็ จำนวนเงนิ ดงั กล่าวไปมอบใหผ้ รู้ ับ

มอบอำนาจฟอ้ งคดอี าญาของบรษิ ทั เงนิ ทนุ วชริ ะธนทนุ จำกดั แตผ่ รู้ บั มอบอำนาจดงั กลา่ วไมไ่ ด

นำตั๋วสญั ญาใช้เงนิ มาคนื ตามขอ้ ตกลง นายสวา่ ง ต้ังนสิ ัยตรง ทนายความของจำเลยท่ี ๑ และ

ที่ ๒ ในคดอี าญา จงึ ขอใหศ้ าลแขวงพระนครเหนอื จดรายงานกระบวนพจิ ารณาวา่ โจทก์ (บรษิ ทั

เงินทุนวชิระธนทนุ จำกัด) ไม่ตดิ ใจเรยี กร้องส่ิงใดจากจำเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ อกี และรับวา่ จะคืน

เอกสารเก่ียวกับความเป็นหนี้ทั้งหมด รวมท้ังตั๋วเงินท่ีอยู่กับโจทก์ (บริษัทเงินทุนวชิระธนทุน

จำกัด) ให้แกจ่ ำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ดว้ ย

พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยท่ี ๑ และที่ ๒

เพยี งประการเดยี ววา่ จำเลยท่ี ๑ ชำระหนค้ี รบถว้ นแลว้ หรอื ไม่ เหน็ วา่ แมน้ างเปรมฤดี คงเมอื ง

และนายบุญสฤษด์ิ ตะกรุดแก้ว ผ้รู ับมอบอำนาจโจทก์ จะเบิกความยนื ยันวา่ จำเลยที่ ๑ คงค้าง

ชำระตน้ เงนิ ๑,๒๓๓,๓๐๒.๔๒ บาท พร้อมดอกเบ้ยี นบั ตัง้ แตว่ ันที่ ๑๕ มถิ นุ ายน ๒๕๔๒ แต

ตามสำเนาคำฟ้อง และสำเนารายงานกระบวนพิจารณาคดีอาญาหมายเลขดำที่ ช.๒๕๓๗/

๒๕๔๑ เอกสารหมาย ล.๓ และ ล.๔ ซงึ่ โจทกม์ ไิ ดโ้ ต้แย้งว่าไม่ใช่เอกสารท่ีแทจ้ ริง สามารถสรุป

ข้อเท็จจริงได้ว่า จำเลยท่ี ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คตามเอกสารหมาย ล.๑

ให้แกบ่ ริษัทเงินทุนวชริ ะธนทุน จำกดั เพ่อื ชำระหนต้ี ามบนั ทึกข้อตกลงการออกตวั๋ เงนิ โดยการ

ออกตว๋ั สัญญาใช้เงิน จำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท แตธ่ นาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงนิ บรษิ ทั

เงนิ ทนุ วชริ ะธนทนุ จำกดั จงึ นำเชค็ ดงั กลา่ วมาฟอ้ งจำเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ เปน็ คดอี าญา วนั นดั ไต

สวนมลู ฟอ้ งผรู้ บั มอบอำนาจบรษิ ทั เงนิ ทนุ วชริ ะธนทนุ จำกดั แถลงวา่ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชำระ

หนคี้ รบถ้วนแลว้ จงึ ไมต่ ดิ ใจเรยี กร้องสิ่งใดจากจำเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ อกี พรอ้ มกบั ขอถอนฟ้อง

สว่ นท่ี ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำสัง่ ในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 249
คดแี พง่


คดีอาญาและรับว่าจะคืนเอกสารเกี่ยวกับความเป็นหนี้ทั้งหมด รวมทั้งต๋ัวเงินให้แก่จำเลยที่ ๑

และที่ ๒ เอกสารดังกล่าวมีข้อเท็จจริงเจือสมกับทางนำสืบของจำเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ ที่อ้างว่า

หลังจากท่ีบริษัทเงินทุนวชิระธนทุน จำกัด ฟ้องเป็นคดีอาญาแล้ว มีการตกลงประนีประนอม

ยอมความกนั จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ตกลงชำระหน้ี จำนวน ๔,๒๕๐,๐๐๐ บาท และบรษิ ทั เงนิ ทนุ -

วชิระธนทุน จำกัด จะไมค่ ดิ ดอกเบี้ยและไมต่ ดิ ใจเรยี กร้องใด ๆ จากจำเลยท่ี ๑ และที่ ๒ อีก

สว่ นโจทกม์ ไิ ดน้ ำสบื หกั ลา้ งวา่ ไมม่ กี ารประนปี ระนอมยอมความระหวา่ งจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ กบั

บริษทั เงนิ ทุนวชิระธนทุน จำกัด ที่ว่าบริษัทเงินทุนวชิระธนทนุ จำกดั ตกลงไมค่ ิดดอกเบ้ียและ

ไม่ติดใจเรียกร้องใด ๆ อีก ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานท่ีจำเลยนำสืบจึงมีน้ำหนักมากกว่า

ปรากฏว่าจำเลยท่ี ๑ ทำบันทึกข้อตกลงในการออกตั๋วเงินกับบริษัทเงินทุนวชิระธนทุน จำกัด

เพยี งฉบับเดยี ว คือ ตามเอกสารหมาย จ.๑๑ ดังน้นั การท่ีจำเลยท่ี ๑ ส่งั จา่ ยเชค็ ตามเอกสาร

หมาย ล.๑ ชำระหนี้ใหแ้ กบ่ ริษัทเงินทนุ วชริ ะธนทนุ จำกดั ตามบันทกึ ข้อตกลงการออกตั๋วเงนิ

โดยการออกต๋วั สัญญาใชเ้ งิน จำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามสำเนาคำฟอ้ ง เอกสารหมาย ล.๓

จึงหมายถึงการส่ังจ่ายเช็คชำระหน้ีตามบันทึกข้อตกลงในการออกตั๋วเงิน เอกสารหมาย จ.๑๑

ซ่ึงเม่ือผู้รับมอบอำนาจบริษัทเงินทุนวชิระธนทุน จำกัด แถลงในวันไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญา

ดงั กลา่ ววา่ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชำระหนคี้ รบถว้ นแลว้ และรบั วา่ จะคนื เอกสารเกย่ี วกบั ความเปน็

หนี้ท้ังหมด รวมทง้ั ตวั๋ เงินซงึ่ อยู่กับบรษิ ัทเงินทนุ วชิระธนทุน จำกดั ใหแ้ ก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒

โดยไม่ติดใจเรียกร้องส่ิงใดจากจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อีก ต้องถือว่าบริษัทเงินทุนวชิระธนทุน

จำกัด ได้รับชำระหนี้สินตามบันทึกข้อตกลงในการออกต๋ัวเงิน เอกสารหมาย จ.๑๑ ครบถ้วน

แลว้ เพราะถา้ การท่จี ำเลยท่ี ๑ และที่ ๒ ชำระหน้ีครบถว้ นตามทบี่ นั ทกึ ไวใ้ นรายงานกระบวน

พจิ ารณาตามเอกสารหมาย ล.๔ หมายถงึ เฉพาะการชำระหนตี้ ามเชค็ เอกสารหมาย ล.๑ โดย

ไมไ่ ดห้ มายถึงการชำระหนี้สินตามบันทกึ ขอ้ ตกลงในการออกตัว๋ เงนิ เอกสารหมาย จ.๑๑ ก็ไม่

น่าจะตอ้ งบันทกึ ต่อไปว่าโจทก์ (บรษิ ทั เงินทนุ วชริ ะธนทุน จำกัด) รับวา่ จะคืนเอกสารเกยี่ วกบั

250 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉัยคดี


หนสี้ นิ ทงั้ หมดทจ่ี ำเลยท่ี ๑ และที่ ๒ มอี ยกู่ บั โจทก์ (บรษิ ทั เงนิ ทนุ วชริ ะธนทนุ จำกดั ) รวมทงั้ ตวั๋

เงนิ ให้แก่จำเลยที่ ๑ และท่ี ๒ เมื่อขอ้ เทจ็ จริงรบั ฟงั ไดว้ ่าบริษัทเงินทุนวชริ ะธนทุน จำกดั ได้รบั

ชำระหนตี้ ามบนั ทกึ ขอ้ ตกลงในการออกตวั๋ เงนิ เอกสารหมาย จ.๑๑ ครบถว้ นแลว้ จงึ ไมเ่ หลอื หน
้ี
ที่โจทก์จะนำมาบังคับเอาแก่จำเลยท่ี ๑ และที่ ๒ ได้อีก โดยให้มีผลไปถึงจำเลยที่ ๓ ซึ่งมิได

อทุ ธรณด์ ว้ ยตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ มาตรา ๒๔๕ (๑) อทุ ธรณข์ องจำเลย

ที่ ๑ และที่ ๒ ฟงั ขึน้

พิพากษากลบั ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลใหเ้ ปน็ พบั .

ส่วนท่ี ๒ ตวั อย่างคำพิพากษาและคำสั่งในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 251
คดแี พ่ง


คำส่ังในรปู คำพพิ ากษา





ตวั อยา่ งคดีขอจัดการมรดก






คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๙๗๘/๒๕๔๖


พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า พยานหลักฐาน

ของผรู้ อ้ งทน่ี ำสบื แสดงตอ่ ศาลชน้ั ตน้ มนี ำ้ หนกั รบั ฟงั ไดห้ รอื ไมว่ า่ ผรู้ อ้ งเปน็ ทายาทโดยธรรมของ

ผู้ตาย เห็นว่า ผูร้ อ้ งกลา่ วอ้างว่าเป็นบตุ รโดยชอบดว้ ยกฎหมายของผูต้ าย เป็นทายาทผู้มีสทิ ธ

รอ้ งขอจดั การมรดก ผรู้ อ้ งจงึ มภี าระการพสิ จู น์ ตอ้ งนำสบื พยานหลกั ฐานใหพ้ อเพยี งทจ่ี ะรบั ฟงั

ไดต้ ามขอ้ เทจ็ จรงิ ทกี่ ลา่ วอา้ ง และหลกั ฐานสำคญั ทใี่ ชแ้ สดงสถานะของบคุ คลวา่ เปน็ บตุ รของผใู้ ด

นั้น ก็ควรจะเป็นเอกสารท่ีทางราชการจัดทำรับรองข้ึน ได้แก่ สำเนาทะเบียนบ้าน หรือใบสูต

บัตร การที่ผู้ร้องเพียงแต่อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความยืนยันว่าผู้ร้องเป็นบุตรของผู้ตายตาม

บญั ชีเครือญาติ เอกสารหมาย ร.๑ ซ่ึงเป็นเอกสารทผ่ี ู้ร้องจัดทำข้ึนเอง และตามสำเนารายงาน

ประจำวนั รบั แจ้งเอกสารหาย เอกสารหมาย ร.๔ ที่เจา้ พนกั งานตำรวจจดแจ้งขอ้ ความตามคำ

บอกเลา่ ของผรู้ อ้ งโดยผรู้ อ้ งไมไ่ ดร้ ะบอุ า้ งสำเนาทะเบยี นบา้ นและใบสตู บิ ตั รของตนเปน็ พยาน ทง้ั

ไม่ปรากฏเหตุขัดข้องในการนำสืบเอกสารนั้น พยานหลักฐานของผู้ร้องจึงไม่มีน้ำหนักเพียง

พอทจ่ี ะรบั ฟงั ทศี่ าลชนั้ ตน้ วนิ จิ ฉยั วา่ พยานผรู้ อ้ งฟงั ไมไ่ ดว้ า่ ผรู้ อ้ งเปน็ บตุ รโดยชอบดว้ ยกฎหมาย

ของผตู้ ายนนั้ ตอ้ งดว้ ยความเหน็ ของศาลอทุ ธรณแ์ ลว้ อทุ ธรณข์ องผรู้ อ้ งฟงั ไมข่ น้ึ และแมผ้ รู้ อ้ ง

จะแนบสำเนาบัญชีทหารกองเกินซ่ึงปรากฏช่ือผู้ตายเป็นบิดาของผู้ร้องมาท้ายอุทธรณ์ด้วยก

ตาม กไ็ มอ่ าจรบั ฟงั เปน็ พยานหลกั ฐานของผรู้ อ้ ง เพราะผรู้ อ้ งไมไ่ ดแ้ สดงความจำนงทจ่ี ะอา้ งองิ

และไมไ่ ดอ้ ้างเอกสารนนั้ เปน็ หลักฐานไว้ในสำนวนความของศาลชนั้ ต้น

พิพากษายืน.

252 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คดี


ตวั อย่างคดขี อถอนผู้จดั การมรดก






คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๘๓๕๘/๒๕๕๑


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบ้ืองต้นรับฟังเป็นท่ียุต

ว่า ผู้ร้องเป็นบุตรของนางรังสาด เพ็ญประไพหรือมีพัฒน์ ผู้ตาย และผู้ร้องมีพ่ีน้องร่วมบิดา

มารดาเดยี วกนั ๔ คน คอื ผรู้ อ้ ง นางณตั ตยิ า ทองภกั ดี ผคู้ ดั คา้ น และนายนพดล เพญ็ ประไพ

เมอื่ ผตู้ ายถงึ แกค่ วามตาย ผรู้ อ้ งไดย้ น่ื คำรอ้ งขอเปน็ ผจู้ ดั การมรดก และศาลมคี ำสง่ั ตงั้ ผรู้ อ้ งเปน็

ผจู้ ดั การมรดกตามสำเนาคำสง่ั ศาลชน้ั ตน้ เอกสารหมาย ร.๑ หลงั จากนนั้ ผคู้ ดั คา้ นยนื่ คำคดั คา้ น

ในระหวา่ งไตส่ วนผรู้ อ้ งและผคู้ ดั คา้ นขอใหศ้ าลมคี ำสง่ั ตงั้ ใหผ้ รู้ อ้ งและผคู้ ดั คา้ นเปน็ ผจู้ ดั การมรดก

รว่ มกนั ศาลชนั้ ตน้ จงึ มคี ำสง่ั ตง้ั ผรู้ อ้ งและผคู้ ดั คา้ นเปน็ ผจู้ ดั การมรดกรว่ มกนั ตามสำเนารายงาน

กระบวนพจิ ารณา และสำเนาคำสั่งศาลชน้ั ตน้ เอกสารหมาย ร.๒

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านมีว่า มีเหตุที่จะถอดถอนผู้คัดค้าน

จากการเป็นผู้จัดการมรดกร่วมหรือไม่ ผู้ร้องนำสืบว่า เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์

มรดกให้แก่ทายาท ดังน้ี ท่ีดินโฉนดเลขท่ี ๓๕๓๖๗ ตำบลบ้านปูน อำเภอบางกอกน้อย

กรุงเทพมหานคร เป็นของนางณัตติยา ทองภักดี ท่ีดินโฉนดเลขที่ ๓๕๓๖๘ ตำบลบ้านปูน

อำเภอบางกอกนอ้ ย กรงุ เทพมหานคร เปน็ ของผรู้ อ้ ง และทด่ี นิ โฉนดเลขท่ี ๒๒๘๔ และ ๗๕๕๐

ตำบลบางยขี่ นั อำเภอบางกอกนอ้ ย กรงุ เทพมหานคร เปน็ ของนายนพดล เพญ็ ประไพ หลงั จาก

ที่ศาลต้ังผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน ผู้ร้องและผู้คัดค้านไม่สามารถแบ่ง

ทรัพย์สินให้แก่ทายาทได้ เน่ืองจากผู้คัดค้านอ้างว่าเป็นพินัยกรรมปลอม และได้ย่ืนฟ้องผู้ร้อง

เพื่อขอให้เพิกถอนพินัยกรรม ศาลช้ันต้นพิพากษายกฟ้อง ตามคดีหมายเลขแดงที่ ๓๓๒๗/

๒๕๔๗ ตามสำเนาคำพพิ ากษา เอกสารหมาย ร.๔ คดอี ยใู่ นระหวา่ งอทุ ธรณ์ และผคู้ ดั คา้ นไดย้ นื่

ฟ้องผู้ร้องกับพวกเป็นคดีอาญาต่อศาลอาญาธนบุรีในข้อหาปลอมพินัยกรรม ปลอมใบรับรอง

ส่วนที่ ๒ ตวั อย่างคำพิพากษาและคำสง่ั ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
253
คดีแพ่ง


แพทย์ ใช้หรืออา้ งพินัยกรรมปลอม ใชห้ รอื อา้ งใบรบั รองแพทยป์ ลอม เบิกความเทจ็ และนำสืบ

หรอื แสดงพยานหลกั ฐานอนั เปน็ เทจ็ ศาลอาญาธนบรุ แี ละศาลอทุ ธรณพ์ พิ ากษายกฟอ้ ง ตามคด

หมายเลขแดงที่ ๙๘๐/๒๕๔๖ ตามสำเนาคำพิพากษา เอกสารหมาย ร.๕ และ ร.๖ ต่อมาผ้

คัดคา้ นกู้ยมื เงนิ จากนายศิรโิ ชค สือ่ บรริ กั ษ์ โดยมอบโฉนดที่ดนิ เลขที่ ๓๕๓๖๘ ใหน้ ายศิรโิ ชค

ยดึ ถอื ไว้ ผูค้ ดั ค้านตกลงกับผรู้ อ้ งว่าจะไปเอาโฉนดทดี่ นิ คืนจากนายศริ ิโชค แต่แล้วผูค้ ัดคา้ นไม

ปฏิบัติตาม ผู้ร้องจึงฟ้องเรียกโฉนดท่ีดินคืนจากนายศิริโชค ผู้คัดค้านไปเบิกความเป็นพยาน

เขา้ ขา้ งนายศริ โิ ชคตามสำเนาคำใหก้ ารพยานจำเลย เอกสารหมาย ร.๗ ศาลชน้ั ตน้ พพิ ากษาให

นายศริ โิ ชคคนื โฉนดทดี่ นิ แกผ่ รู้ อ้ งตามสำเนาคำพพิ ากษา เอกสารหมาย ร.๘ เหน็ วา่ ขอ้ เทจ็ จรงิ

ในคดนี เี้ ปน็ การโตแ้ ยง้ กนั ระหวา่ งทายาทซง่ึ เกดิ จากการไมย่ อมรบั พนิ ยั กรรมของผคู้ ดั คา้ นเพยี ง

คนเดยี ว ทงั้ นี้ เนอื่ งมาจากผลของพนิ ยั กรรมทำใหผ้ คู้ ดั คา้ นไดร้ บั สว่ นแบง่ ในพนิ ยั กรรมทไ่ี มเ่ ปน็

ธรรม แต่พินัยกรรมก็เป็นการแสดงเจตนาของเจ้ามรดกที่ประสงค์จะให้ทรัพย์มรดกของตนตก

แกท่ ายาทคนใดซงึ่ จะมผี ลเปน็ ไปตามกฎหมายภายหลงั เมอ่ื เจา้ มรดกตายลง การโตแ้ ยง้ คดั คา้ น

ของผู้คัดค้านด้วยการนำคดีมาฟ้องเพื่อพิสูจน์ถึงผลว่าพินัยกรรมดังกล่าวเป็นพินัยกรรมปลอม

แม้จะเป็นสิทธิโดยชอบของผู้คัดค้านก็ตาม แต่การโต้แย้งคัดค้านของผู้คัดค้านสมควรท่ีจะ

กระทำตงั้ แตเ่ รม่ิ แรกทผ่ี รู้ อ้ งไดย้ นื่ คำรอ้ งขอเปน็ ผจู้ ดั การมรดกตามพนิ ยั กรรม การทผี่ คู้ ดั คา้ นยน่ื

คดั ค้านการเปน็ ผจู้ ดั การมรดกต่อมาในภายหลัง เท่ากบั ผู้คดั ค้านยอมรบั อย่แู ล้วว่ามีพนิ ยั กรรม

ดงั กลา่ วอยจู่ รงิ ทำใหม้ กี ารตกลงกนั ของผรู้ อ้ งและผคู้ ดั คา้ นในระหวา่ งการไตส่ วนจนศาลมคี ำสงั่

ตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้ร้อง หลังจากน้ันแทนท่ีผู้คัดค้านจะทำหน้าท่ีในฐานะ

ผู้จัดการมรดกร่วมด้วยการจัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมให้เป็นไปตามเจตนาของ

เจา้ มรดก แตผ่ คู้ ดั คา้ นกลบั นำคดมี าฟอ้ งรอ้ งกลา่ วอา้ งวา่ เปน็ พนิ ยั กรรมปลอมเพอื่ ขอใหศ้ าลเพกิ

ถอนพินัยกรรมก็ดี หรือนำคดีอาญามาฟ้องผู้ร้องกับพวกโดยอ้างว่าทำพินัยกรรมปลอมและใช้

หรอื อา้ งพนิ ยั กรรมปลอมกด็ ี หรอื นำโฉนดทดี่ นิ ทต่ี อ้ งแบง่ ปนั ใหแ้ กท่ ายาทไปใหบ้ คุ คลภายนอก

254 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คด


ยึดถือไว้โดยไม่มีเหตุท่ีจะอ้างได้ตามกฎหมายก็ดี ล้วนเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการ

จดั การมรดกรว่ มกบั ผรู้ อ้ ง ดงั นนั้ หากยงั คงใหผ้ คู้ ดั คา้ นเปน็ ผจู้ ดั การมรดกรว่ ม การจดั การมรดก

กจ็ ะยงั คงมปี ญั หาและไมอ่ าจลลุ ว่ งไดต้ ามทค่ี วร กรณจี งึ มเี หตสุ มควรทจ่ี ะถอนผคู้ ดั คา้ นจากการ

เปน็ ผู้จดั การมรดกรว่ มกับผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา ๑๗๒๗ วรรค

หน่ึง ที่ศาลชนั้ ตน้ วินิจฉัยมานน้ั ศาลอุทธรณเ์ หน็ พอ้ งดว้ ย อุทธรณ์ของผ้คู ัดค้านฟังไม่ขน้ึ

พิพากษายืน ให้ผู้คัดค้านใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนผู้ร้อง โดย

กำหนดคา่ ทนายความ ๒,๐๐๐ บาท.

ส่วนท่ี ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำสงั่ ในรปู คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
255
คดีแพ่ง


ตัวอย่างคดขี อให้เพกิ ถอนการขายทอดตลาด






๑. คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๓๔๕๖/๒๕๔๘


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว จำเลยท้ังสองอุทธรณ์ว่า แม้ตาม

คำร้องไมร่ ะบชุ ดั ว่าเจา้ พนกั งานบงั คับคดีดำเนนิ การบงั คับคดฝี า่ ฝืนต่อบทบญั ญตั แิ ห่งประมวล

กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ แตจ่ ำเลยทงั้ สองกไ็ ดร้ ะบไุ วแ้ ลว้ วา่ ผซู้ อ้ื ทรพั ยม์ คี วามผกู พนั กบั

เจ้าหน้าที่สินเช่ือของโจทก์ เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการโดยใช้อำนาจหน้าท่ีเอื้อประโยชน์

ให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ ถือได้ว่าการขายทอดตลาดคร้ังน้ีดำเนินการไปโดยไม่ชอบ การอนุญาตขาย

ของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเป็นการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมาย

วธิ พี จิ ารณาความแพง่ เหน็ วา่ การขอใหเ้ พกิ ถอนหรอื แกไ้ ขกระบวนวธิ กี ารบงั คบั คดที งั้ ปวงหรอื

วิธกี ารบังคบั ใด ๆ โดยเฉพาะตามประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความแพง่ มาตรา ๒๙๖ วรรค

สอง จะต้องเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่ง

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ส่วนการขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด

ทรพั ยส์ นิ ตามประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐๙ ทวิ วรรคสอง จะตอ้ งเปน็

กรณีท่ีลูกหน้ีตามคำพิพากษาเห็นว่าราคาที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินน้ันมีจำนวนต่ำ

เกินสมควร และการขายทอดตลาดทรัพย์สินในราคาต่ำเกินสมควรนั้นเกิดจากการคบคิดกัน

ฉอ้ ฉลในระหวา่ งผทู้ เี่ กย่ี วขอ้ งในการเขา้ สรู้ าคา หรอื ความไมส่ จุ รติ หรอื ความประมาทเลนิ เลอ่ อยา่ ง

รา้ ยแรงของเจา้ พนักงานบังคบั คดใี นการปฏบิ ัติหน้าท่ี ตามคำร้องของจำเลยท้งั สองไมไ่ ดก้ ล่าว

อา้ งวา่ เจา้ พนกั งานบงั คบั คดดี ำเนนิ การบงั คบั คดตี ามคำพพิ ากษาศาลชน้ั ตน้ ฝา่ ฝนื ตอ่ บทบญั ญตั ิ

แหง่ กฎหมายลกั ษณะการบงั คบั คดอี ยา่ งใด เชน่ มไิ ดแ้ จง้ คำสง่ั ศาลและวนั ขายทอดตลาดใหผ้ มู้ ี

สว่ นไดเ้ สยี ทราบตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ มาตรา ๓๐๖ วรรคหนงึ่ จำเลยทง้ั

สองอ้างในคำร้องว่าผู้ซ้ือทรัพย์รายน้ีมีความผูกพันกับเจ้าหน้าท่ีสินเชื่อของโจทก์ และเชื่อว่า

256 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉัยคด


เจ้าหน้าท่ีสินเชื่อของโจทก์ได้รับความร่วมมือจากเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยใช้ตำแหน่งหน้าท
่ี
เอ้ือประโยชนใ์ ห้แกผ่ ู้ซ้ือทรัพย์ ทัง้ ๆ ท่รี ะยะเวลาการประกาศขายทอดตลาดยังมอี ยู่อีก ๒ ครง้ั

การทเ่ี จา้ พนกั งานบงั คบั คดขี ายทอดตลาดทรพั ยส์ นิ ไปในราคาตำ่ เชน่ น้ี เชอื่ วา่ ผซู้ อ้ื ทรพั ยไ์ ดร้ บั

ความร่วมมือจากเจ้าพนักงานบังคับคดี ดังน้ี เห็นได้ว่าเป็นแค่การคาดคะเนของจำเลยท้ังสอง

สบื เนอื่ งจากจำเลยทงั้ สองเหน็ วา่ ราคาทไี่ ดจ้ ากการขายทอดตลาดทรพั ยส์ นิ ตำ่ เกนิ สมควรเทา่ นนั้

ไมไ่ ดเ้ ปน็ การยนื ยนั หรอื มขี อ้ เทจ็ จรงิ ใดสนบั สนนุ วา่ การขายทอดตลาดทรพั ยส์ นิ ไดร้ าคาดงั กลา่ ว

เกิดจากการคบคิดกันฉ้อฉลในระหว่างผู้เกี่ยวข้องในการเข้าสู้ราคาหรือความไม่สุจริตของเจ้า

พนักงานบังคับคดีในการปฏิบัติหน้าท่ี หากจะให้รับคำร้องของจำเลยทั้งสองไว้และทำการไต

สวนตอ่ ไป กเ็ ทา่ กบั ใหจ้ ำเลยทง้ั สองแสวงหาพยานหลกั ฐานจากการไตส่ วนคำรอ้ งเทา่ นนั้ ขอ้ อา้ ง

ตามคำรอ้ งเปน็ เรอ่ื งโตแ้ ยง้ ราคาขายซงึ่ อาจแตกตา่ งจากการซอื้ ขายกนั ตามปกติ ไมเ่ ปน็ เหตใุ ห

ศาลอทุ ธรณม์ คี ำสง่ั เพกิ ถอนหรอื แกไ้ ขกระบวนวธิ กี ารบงั คบั คดหี รอื เพกิ ถอนการขายทอดตลาด

ทรพั ยส์ นิ ตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ มาตรา ๒๙๖ วรรคสอง หรอื มาตรา ๓๐๙

ทวิ วรรคสอง ที่ศาลช้นั ตน้ มีคำสั่งวา่ กรณไี มจ่ ำต้องไต่สวน ยกคำร้อง จึงชอบแลว้ ศาลอุทธรณ์

เหน็ พ้องดว้ ย อทุ ธรณข์ องจำเลยทง้ั สองฟงั ไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนยี มชั้นอุทธรณใ์ หเ้ ปน็ พบั .






๒. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๗๐๗๖/๒๕๔๘


พิเคราะห์แล้ว ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า การขายทอดตลาด

ของเจา้ พนกั งานบงั คบั คดเี ปน็ ไปโดยฝา่ ฝนื ตอ่ กฎหมายหรอื ไม่ ขอ้ เทจ็ จรงิ รบั ฟงั ไดต้ ามรายงาน

การขายทอดตลาดทรพั ยท์ ด่ี นิ ทง้ั หา้ แปลงพรอ้ มสงิ่ ปลกู สรา้ งดงั กลา่ วของเจา้ พนกั งานบงั คบั คด

เมอื่ วนั ท่ี ๒๒ เมษายน ๒๕๔๒ วา่ เจา้ พนกั งานบงั คบั คดไี ดป้ ระเมนิ ราคาทดี่ นิ ทง้ั หา้ แปลงพรอ้ ม

ส่วนที่ ๒ ตวั อยา่ งคำพิพากษาและคำส่งั ในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ
์ 257
คดีแพ่ง


สิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไว้ เป็นเงิน ๑๓,๘๔๕,๑๕๐ บาท โดยสำนักงานวางทรัพย์กลางประเมิน

ราคาไว้ เป็นเงิน ๑๙,๕๐๕,๒๗๕ บาท เจา้ พนกั งานบงั คับคดไี ดท้ ำการขายทอดตลาด รวม ๑๑

ครง้ั ครง้ั ท่ี ๑ มีผ้เู สนอราคา ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ครงั้ ท่ี ๓ มผี เู้ สนอราคา ๑๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท

และครง้ั ที่ ๑๐ มผี เู้ สนอราคา ๑๓,๘๕๐,๐๐๐ บาท แตเ่ จา้ พนกั งานบงั คบั คดงี ดการขาย สว่ นครง้ั

ท่ี ๒ ถึงครั้งท่ี ๗ และคร้ังที่ ๙ โจทก์ของดการขาย จนกระท่ังคร้ังท่ี ๑๑ มีผู้เสนอราคา

๑๓,๘๕๐,๐๐๐ บาท โจทกค์ ดั คา้ นวา่ ราคาตำ่ แตเ่ จา้ พนกั งานบงั คบั คดพี จิ ารณาอนมุ ตั ใิ หข้ ายใน

ราคาดงั กลา่ ว เหน็ วา่ แมเ้ จา้ พนกั งานบงั คบั คดจี ะอนมุ ตั ใิ หข้ ายในราคาใกลเ้ คยี งกบั ราคาประเมนิ

ของเจ้าพนักงานบงั คบั คดี แตต่ ามขอ้ เทจ็ จริงที่ปรากฏในการขายทอดตลาด ครั้งที่ ๑ มผี เู้ สนอ

ราคา ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท และมีผูเ้ สนอราคาสูงสดุ ในการขาย คร้งั ที่ ๓ ถึง ๑๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท

ซง่ึ สงู กวา่ ราคาทเ่ี จา้ พนกั งานบงั คบั คดอี นมุ ตั ใิ หข้ ายมาก ประกอบกบั สำนกั งานวางทรพั ยก์ ลาง

และเจ้าพนักงานท่ีดินจังหวัดระยองได้ประเมินราคาท่ีดินทั้งห้าแปลงดังกล่าวไว้ใกล้เคียงกัน

จำนวนประมาณ ๑๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยในสว่ นการประเมนิ ของเจา้ พนกั งานทด่ี นิ ยงั ไมร่ วมถงึ

ราคาสงิ่ ปลกู สร้างบนทดี่ ินซ่งึ เปน็ อาคารคอนโดมิเนยี ม ๕ ช้ัน ลักษณะเป็นโครงสร้างคอนกรตี

เสรมิ เหลก็ ทย่ี งั กอ่ สรา้ งไมเ่ สรจ็ ซงึ่ บรษิ ทั เดอะที เอ เอส เค คอนสตรคั ชนั่ จำกดั ประกอบกจิ การ

รับเหมาก่อสรา้ ง ได้ตีราคาไว้ประมาณ ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท แสดงใหเ้ หน็ วา่ ราคาทีเ่ จา้ พนกั งาน

บังคบั คดอี นุมตั ิใหข้ ายและราคาท่เี จ้าพนกั งานบงั คบั คดปี ระเมินไวเ้ ป็นราคาท่ีตำ่ เกนิ ไป หากมี

การประกาศขายใหม่ น่าเชอ่ื วา่ จะได้ราคาสูงกวา่ อนั เปน็ ไปตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมายของ

การขายทอดตลาดซึ่งต้องการให้ขายได้ราคาสูงที่สุดเท่าที่สามารถจะประมูลขายได้ การท่ีเจ้า

พนักงานบังคับคดีดำเนินการขายและอนุมัติในราคาต่ำเกินไปดังกล่าวจึงเป็นการฝ่าฝืนต่อ

บทบัญญัติแห่งกฎหมายและเจตนารมณ์ของการขายทอดตลาด สมควรให้เพิกถอนการขาย

ทอดตลาดของเจา้ พนักงานบงั คับคดดี งั กลา่ ว ทีศ่ าลชนั้ ต้นมีคำสั่งใหย้ กคำรอ้ ง ศาลอทุ ธรณ์ไม

เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผรู้ อ้ งฟังข้นึ

258 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉัยคดี


พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยให

ประกาศขายทอดตลาดใหมต่ ่อไป คา่ ฤชาธรรมเนยี มช้ันอทุ ธรณใ์ หเ้ ปน็ พับ.

สว่ นท่ี ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำสง่ั ในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
259
คดีแพ่ง


ตัวอย่างคดีขับไล่ (ชัน้ อทุ ธรณค์ ำส่งั อนุญาตให้ถอนฟ้อง)






ำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๒๕๔๙/๒๕๔๔


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตาม

อุทธรณ์ของจำเลยวา่ ศาลช้นั ตน้ ชอบทจี่ ะอนญุ าตใหโ้ จทก์ถอนฟอ้ งหรอื ไม่ เหน็ ว่า คำฟอ้ งของ

โจทก์ไม่ปรากฏรายละเอียดว่าห้องเช่าที่โจทก์ขอให้ศาลขับไล่จำเลยและบริวารออกไปนั้นมีค่า

เชา่ หรอื อาจใหเ้ ชา่ ไดใ้ นขณะยน่ื ฟอ้ งเดอื นละเทา่ ใด แตเ่ นอื่ งจากศาลชน้ั ตน้ รบั ฟอ้ งโจทกค์ ดนี ไ้ี ว

อย่างคดีมโนสาเร่ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งดังกล่าว ท้ังจำเลยก็ยื่นคำให้การในวันนัด

สบื พยานโจทกซ์ งึ่ เปน็ กระบวนพจิ ารณาของคดมี โนสาเร่ ฉะนน้ั จงึ อนมุ านไดว้ า่ หอ้ งเชา่ ดงั กลา่ ว

มคี า่ เชา่ หรอื อาจใหเ้ ชา่ ในขณะยนื่ ฟอ้ งไดไ้ มเ่ กนิ เดอื นละสพ่ี นั บาท จำเลยอทุ ธรณว์ า่ ศาลชนั้ ตน้

ไมค่ วรอนญุ าตใหโ้ จทกถ์ อนฟอ้ งคดนี ้ี เพราะทำใหจ้ ำเลยเสยี เปรยี บและจำเลยอาจจะถกู ฟอ้ งเปน็

คดใี หม่ จงึ เปน็ อทุ ธรณโ์ ตแ้ ยง้ ดลุ พนิ จิ ของศาลชนั้ ตน้ เปน็ อทุ ธรณใ์ นปญั หาขอ้ เทจ็ จรงิ ตอ้ งหา้ ม

มใิ หอ้ ทุ ธรณต์ ามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ มาตรา ๒๒๔ วรรคสอง ทศ่ี าลชน้ั ตน้

รบั อทุ ธรณข์ องจำเลยไวเ้ ปน็ การไม่ชอบ ศาลอทุ ธรณ์ไมร่ บั วนิ ิจฉยั

พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลช้ันอุทธรณ์ทั้งหมดแก่

จำเลย คา่ ฤชาธรรมเนยี มชน้ั อุทธรณน์ อกจากนใี้ ห้เปน็ พับ.

260 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉัยคด


ตวั อย่างคดีเชา่ ทรพั ย์ (ชน้ั บังคบั คดี)






ำพพิ ากษาศาลอุทธรณท์ ี่ ๒๑๓๖/๒๕๔๘


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ

ของจำเลยว่า การท่ีศาลช้ันต้นยกคำร้องขอให้งดการบังคับคดีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ คดีนี้

จำเลยยน่ื คำรอ้ งอา้ งวา่ ไมม่ หี นต้ี ามคำพพิ ากษาอกี ตอ่ ไป เพราะจำเลยไดอ้ อกจากตกึ แถวพพิ าท

ไปแล้วและชำระหน้ีตามคำพพิ ากษาจนครบถว้ นแล้ว เห็นวา่ ตามคำร้องของจำเลยมไิ ด้โตแ้ ยง้

วา่ ศาลออกหมายบงั คบั คดโี ดยไมช่ อบและขอใหศ้ าลเพกิ ถอนหมายบงั คบั คดแี ตอ่ ยา่ งใด คำรอ้ ง

ของจำเลยจึงมิใช่คำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๖ วรรคหน่ึง

ตามท่ีจำเลยอุทธรณ์ แต่คำร้องของจำเลยเป็นการขอให้งดการบงั คบั คดีตามประมวลกฎหมาย

วธิ พี ิจารณาความแพง่ มาตรา ๒๙๒ (๒) ซ่ึงเปน็ อำนาจของศาลทจ่ี ะสั่งได้ในกรณที ีเ่ ห็นสมควร

ตามคำรอ้ งของจำเลยอา้ งวา่ ขณะโจทกฟ์ อ้ งคดี จำเลยไดอ้ อกจากตกึ แถวพพิ าทไปแลว้ จงึ เปน็

การยกข้อเท็จจริงข้ึนมาใหม่ซึ่งขัดกับที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ออกจากตึกแถว

พิพาท ถือว่าอยู่ในตึกแถวพิพาทโดยละเมิด จึงพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สิน

ออกจากตึกแถวพิพาท ข้ออ้างของจำเลยจึงเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาของศาลช้ันต้นโดยไม่

ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาแต่อย่างใด จึงรับฟังไม่ได้ ส่วนที่จำเลยอ้างว่าได้ชำระหน้ีตาม

คำพิพากษาครบถ้วนแล้ว ซึ่งโจทก์คัดค้านว่าไม่เป็นความจริง จำเลยยังคงค้างชำระหน้ีตาม

คำพิพากษาอยู่อีก ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาทเศษ น้ัน จึงเป็นเรื่องท่ีจำเลยจะต้องไปว่ากล่าวแก่โจทก์

เปน็ อกี เรอื่ งหนงึ่ ตา่ งหาก จะยกเอามาเปน็ เหตใุ หศ้ าลยกเลกิ หมายบงั คบั คดหี รอื งดการบงั คบั คด

หาได้ไม่ ที่ศาลช้ันต้นยกคำร้องของจำเลยโดยอ้างเหตุว่าตามคำร้องของจำเลยอ้างว่าไม่มีหน
้ี
ตามคำพิพากษาให้บังคับคดีต่อไป จึงไม่มีเหตุที่จะร้องขอให้งดการบังคับคดีนั้น ศาลอุทธรณ์

ส่วนที่ ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำสัง่ ในรปู คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
261
คดีแพ่ง


เหน็ พอ้ งดว้ ยในผล อทุ ธรณข์ องจำเลยฟงั ไมข่ น้ึ และไมจ่ ำตอ้ งวนิ จิ ฉยั ในปญั หาเรอื่ งการขอเลอ่ื น

คดตี อ่ ไป

พิพากษายืน คา่ ฤชาธรรมเนียมช้ันอุทธรณใ์ ห้เปน็ พับ.

262 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉยั คด


ตวั อย่างคดซี อื้ ขาย (ชนั้ บังคับคด)ี






คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๑๑๘๙/๒๕๔๕


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยตาม

อุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยจะต้องชำระเงินค่าใช้จ่ายในการออกโฉนดและค่าธรรมเนียม

การโอน ค่าอากร รวมทั้งค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย รวมเป็นเงินจำนวน

๖,๗๗๐,๐๖๓ บาท ท่ีโจทก์ออกให้แทนจำเลย คืนให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า เหตุท่ีโจทก์ต้อง

จ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จำนวนดังกล่าวแทนจำเลยน้ัน สืบเน่ืองมาจากจำเลยเพิกเฉยไม่ยอมไป

ดำเนนิ การขอออกโฉนดและจดทะเบยี นโอนกรรมสทิ ธทิ์ ด่ี นิ ตามสญั ญาประนปี ระนอมยอมความ

งวดท่ี ๓ ใหแ้ ก่โจทก์ภายในกำหนด ตามคำพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี ๔๑๘๘/๒๕๓๓ โจทก์จึงตอ้ ง

บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวโดยถือเอาคำพิพากษาซึ่งออกตามสัญญาประนี-

ประนอมยอมความแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และคำพพิ ากษาศาลฎกี าฉบบั ดงั กลา่ วกไ็ ด

พิพากษาสั่งในเร่ืองค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และสิทธิในที่ดินตามสัญญา

ประนปี ระนอมยอมความ งวดท่ี ๓ ไวโ้ ดยชดั แจ้งว่าใหฝ้ ่ายจำเลย ผู้ขาย เป็นผู้ชำระ ถา้ โจทก

ชำระแทน ใหห้ กั จากเงนิ คา่ ทด่ี นิ ทโ่ี จทกต์ อ้ งชำระแกจ่ ำเลย ดงั นนั้ เมอื่ ขอ้ เทจ็ จรงิ ไดค้ วามจากคำ

รอ้ งของโจทก์ ฉบบั ลงวนั ที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๓๖ ซงึ่ จำเลยมไิ ดโ้ ตแ้ ยง้ คดั คา้ นเปน็ อยา่ งอน่ื วา่ ใน

การออกเอกสารทด่ี ิน ส.ค.๑ เลขที่ ๒๓๕, ๒๓๖ และ ๒๓๗ ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ

จังหวัดชลบุรี ให้แก่โจทก์ และเจ้าพนักงานท่ีดินได้ออกโฉนดท่ีดินเป็นโฉนดเลขท่ี ๖๒๘๔ ถึง

๖๒๘๘ รวม ๕ โฉนด และเจา้ พนกั งานทด่ี นิ โอนกรรมสทิ ธท์ิ ด่ี นิ ทกุ แปลงดงั กลา่ วใหแ้ กโ่ จทกน์ นั้

โจทกไ์ ดเ้ สยี คา่ ใชจ้ า่ ย คา่ ธรรมเนยี มการโอน คา่ อากร และคา่ ภาษเี งนิ ไดบ้ คุ คลธรรมดาหกั ณ ท
ี่
จ่าย รวมเป็นเงิน ๖,๗๗๐,๐๖๓ บาท แทนจำเลย จำเลยจึงต้องรับผดิ ชำระเงินจำนวนดงั กลา่ ว

คนื ใหแ้ กโ่ จทก์ มฉิ ะนนั้ โจทกย์ อ่ มมสี ทิ ธหิ กั เงนิ จำนวนดงั กลา่ วนน้ั จากเงนิ คา่ ทด่ี นิ ทโ่ี จทกจ์ ะตอ้ ง

ส่วนที่ ๒ ตวั อยา่ งคำพิพากษาและคำสง่ั ในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
263
คดแี พ่ง


ชำระแก่จำเลยได้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว เมื่อปรากฏว่าจำเลยได้รับเงินค่าท่ีดินที่

โจทก์วางไว้ต่อศาลไปแล้ว โดยนำที่ดินมาวางไว้เป็นหลักประกัน ศาลอุทธรณ์จึงเห็นพ้องด้วย

กบั ศาลชน้ั ตน้ ทมี่ คี ำสง่ั ใหจ้ ำเลยคนื เงนิ จำนวนดงั กลา่ วแกโ่ จทก์ หากไมป่ ฏบิ ตั ติ าม กใ็ หย้ ดึ ทด่ี นิ

ทจ่ี ำเลยนำมาวางเปน็ ประกนั ออกขายทอดตลาดนำเงนิ มาชำระแกโ่ จทก์ ทจี่ ำเลยอทุ ธรณว์ า่ การ

โอนกรรมสทิ ธท์ิ ดี่ นิ งวดท่ี ๓ เปน็ การโอนตามสญั ญาประนปี ระนอมยอมความ ฉบบั ลงวนั ที่ ๒๖

สงิ หาคม ๒๕๒๓ จงึ เปน็ การซอื้ ขายทดี่ นิ กอ่ นวนั ที่ ๒๗ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๒๕ อนั เปน็ วนั ทพี่ ระราช

กำหนดแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ประมวลรษั ฎากร (ฉบบั ที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๒๕ จะมผี ลใชบ้ งั คบั จำเลยซงึ่ เปน็

ผูข้ ายไม่ตอ้ งเสียภาษเี งนิ ได้บุคคลธรรมดาหกั ณ ท่จี ่ายในการขอจดทะเบยี นสิทธิและนิตกิ รรม

เกยี่ วกบั ทด่ี นิ กด็ ี เจา้ พนกั งานทดี่ นิ จงั หวดั ชลบรุ ี สาขาสตั หบี คำนวณคา่ ธรรมเนยี มการโอน คา่

อากร และคา่ ภาษเี งนิ ไดบ้ คุ คลธรรมดาหกั ณ ทจ่ี า่ ยไมถ่ กู ตอ้ ง เพราะกำหนดราคาประเมนิ ทด่ี นิ

ทงั้ หมด เปน็ เงนิ ทง้ั สนิ้ ๑๑๑,๓๑๓,๑๐๓ บาท ทง้ั ๆ ทคี่ วามจรงิ จำเลยมเี งนิ ไดจ้ ากการขายทดี่ นิ

ตามคำพิพากษาตามยอมเพยี ง ๒๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ก็ดี ข้อโต้แยง้ ของจำเลยดังกลา่ วจำเลยได้

พยายามหยิบยกข้ึนอ้างเป็นข้อคดั คา้ นตลอดมาต้ังแตก่ ารคดั ค้านคำร้องของโจทก์จนกระท่ังถึง

การอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลช้ันต้นน้ัน ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ล้วนเป็นข้อคัดค้านที่จำเลย

โต้แย้งว่าการคำนวณและเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการโอน ค่าอากร และค่าภาษีเงินได้บุคคล

ธรรมดาหัก ณ ท่ีจ่ายในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ท่ีดินท่ีโจทก์ดำเนินการโดยถือเอาคำ

พิพากษาซ่ึงออกตามสัญญาประนีประนอมยอมความแทนการแสดงเจตนาของจำเลย เจ้า

พนกั งานที่ดนิ กระทำโดยไม่ชอบดว้ ยประมวลรษั ฎากรและระเบียบของทางราชการ ข้อคดั คา้ น

ของจำเลยเช่นนี้ เป็นเรื่องที่จำเลยในฐานะผู้ขายซ่ึงเป็นผู้มีเงินได้และมีหน้าท่ีต้องเสีย

ค่าธรรมเนียมการโอน ค่าอากร และค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในการจดทะเบียนสิทธิและ

นิติกรรม จะต้องใช้สิทธิอุทธรณ์คัดค้านและฟ้องร้องเอาคืนจากกรมท่ีดินและกรมสรรพากรท่ี

จำเลยอ้างว่าเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการโอนและค่าภาษีอากรไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเอา

264 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉยั คด


เอง จำเลยจะหยบิ ยกขอ้ คดั คา้ นเชน่ วา่ นม้ี าอา้ งเพอ่ื ปฏเิ สธไมย่ อมคนื เงนิ ดงั กลา่ วแกโ่ จทกไ์ มไ่ ด ้

อทุ ธรณ์ในขอ้ ต่าง ๆ เหล่าน้ีของจำเลยจึงฟังไม่ข้นึ

ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยประการสุดท้ายท่ีว่า การอ้างเอกสารหมาย จ.๒ ถึง

จ.๒๓ ของโจทก์กระทำไม่ถูกตอ้ ง เพราะโจทกม์ ิได้สง่ สำเนาเอกสารใหจ้ ำเลยทราบกอ่ น ๓ วัน

และมไิ ดน้ ำตน้ ฉบบั เอกสารดงั กลา่ วมาสง่ ทงั้ ๆ ทต่ี น้ ฉบบั กอ็ ยทู่ โี่ จทก์ และสำเนาเอกสารทอ่ี า้ ง

กม็ ไิ ดถ้ า่ ยเอกสารมาจากตน้ สงั กดั ของผทู้ ำเอกสารและครอบครองตน้ ฉบบั เอกสาร ซงึ่ จำเลยได

แถลงคัดค้านไว้ต่อศาลช้ันต้นแล้วน้ัน เห็นว่า ในการวินิจฉัยคดีน้ีศาลมิได้รับฟังพยานเอกสาร

ตามเอกสารหมาย จ.๒ ถึง จ.๒๓ มาประกอบการวินิจฉัยข้อเท็จจริงใด ๆ เลย หากแต่เป็น

ขอ้ เทจ็ จรงิ ทโี่ จทกแ์ ละจำเลยไดร้ บั กนั เปน็ ทยี่ ตุ แิ ลว้ ทง้ั สน้ิ โดยเฉพาะสำเนาคำพพิ ากษาศาลฎกี า

ท่ี ๔๑๘๘/๒๕๓๓ ตามเอกสารหมาย จ.๒ กเ็ ป็นคำพิพากษาศาลฎกี าในคดีนซ้ี ึ่งเปน็ สว่ นหนึง่

ของสำนวนคดีน้ีนั่นเอง ดังนั้น อุทธรณ์ข้อน้ีของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการ

วินจิ ฉยั เพราะไม่อาจทำให้ผลของคดีเปลยี่ นแปลงได้ ศาลอทุ ธรณจ์ ึงไม่รบั วินจิ ฉัยให

พิพากษายนื ให้จำเลยใชค้ า่ ทนายความชนั้ อทุ ธรณ์ ๑,๕๐๐ บาท แทนโจทก.์

ส่วนท่ี ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำสง่ั ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
265
คดแี พ่ง


ตวั อยา่ งคดที างจำเปน็ (ชัน้ คดั ค้านผูพ้ พิ ากษา)






ำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๘๗๗๖/๒๕๕๐


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ

ของโจทก์ท่ี ๑ ว่า คำร้องคัดค้านผู้พิพากษาของโจทก์ที่ ๑ เข้าเง่ือนไขตามประมวลกฎหมาย

วิธพี จิ ารณาความแพง่ มาตรา ๑๑ หรือไม่ เหน็ ว่า เหตุทีค่ คู่ วามจะคดั คา้ นผู้พพิ ากษาคนใดคน

หนง่ึ ในศาลนนั้ ตอ้ งเปน็ เหตใุ ดเหตหุ นง่ึ ดงั ทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ นประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่

มาตรา ๑๑ ซงึ่ มที ง้ั หมด ๗ อนมุ าตรา ดว้ ยกนั แตต่ ามคำรอ้ งของโจทกท์ ่ี ๑ คดั คา้ นผพู้ พิ ากษา

เจา้ ของสำนวนและองคค์ ณะวา่ มคี ำสง่ั คมุ้ ครองชว่ั คราวแกโ่ จทกโ์ ดยมไิ ดค้ ำนงึ ถงึ ความปลอดภยั

และการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ของโจทก์และบริวารของโจทก์ หากให้ผู้พิพากษาทั้งสองนั่ง

พิจารณาเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีนี้ต่อไปอีก ก็จะทำให้ความยุติธรรมอันเก่ียวด้วย

ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีในเร่ืองความปลอดภัยในชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

ต้องเสียไป จึงขอไม่ให้ผู้พิพากษาท้ังสองออกนั่งพิจารณาเพ่ือดำเนินกระบวนพิจารณาคดีน
ี้
ต่อไป เห็นวา่ ไม่ใช่เป็นการคัดคา้ นผ้พู ิพากษาตามบทมาตราดงั กล่าว แตเ่ ป็นกรณที โ่ี จทกท์ ี่ ๑

ไมพ่ อใจคำสงั่ ของศาลชนั้ ตน้ ทมี่ คี ำสง่ั คำรอ้ งขอคมุ้ ครองชวั่ คราวของโจทกท์ ี่ ๑ ทไ่ี มเ่ ปน็ ไปตาม

คำขอของโจทกท์ ่ี ๑ ทง้ั ทศี่ าลชน้ั ตน้ มคี ำสงั่ ใหค้ มุ้ ครองชว่ั คราวแกโ่ จทกท์ ี่ ๑ ภายในขอบเขตหรอื

โดยมเี งอ่ื นไขตามทีป่ ระมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความแพง่ มาตรา ๒๕๗ บัญญัตใิ หอ้ ำนาจไว้

หากโจทก์ที่ ๑ เห็นว่าศาลชั้นต้นมีคำส่ังไม่เป็นไปตามคำขอของโจทก์ท่ี ๑ ประมวลกฎหมาย

วิธีพิจารณาความแพ่งก็ให้ทางแก้ไขโดยให้คู่ความใช้สิทธิอุทธรณ์คำส่ัง มิฉะนั้นแล้วเมื่อโจทก

ที่ ๑ มคี ำขออยา่ งไร หากศาลมีคำสั่งไม่เปน็ ไปตามท่โี จทกท์ ี่ ๑ ขอแล้ว โจทกท์ ี่ ๑ กจ็ ะคดั ค้าน

ผพู้ พิ ากษาทกุ ครงั้ ไป อนั เปน็ การดำเนนิ กระบวนพจิ ารณาทไี่ มม่ บี ญั ญตั ไิ วใ้ นประมวลกฎหมาย

วธิ พี จิ ารณาความแพง่ ซงึ่ เปน็ การกระทบกระเทอื นตอ่ การปฏบิ ตั หิ นา้ ทขี่ องผพู้ พิ ากษาทจ่ี ะยงั ให้

266 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉัยคด


เกิดความยุติธรรมแก่คู่ความทุกฝ่าย และยังทำให้กระบวนพิจารณาต้องล่าช้าซ่ึงจะทำให้ตัว

ความตอ้ งส้ินเปลอื งคา่ ใช้จา่ ยโดยใชเ่ หตุ คำรอ้ งของโจทกท์ ี่ ๑ จึงไมเ่ ปน็ การคดั คา้ นผพู้ ิพากษา

ตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ มาตรา ๑๑ ทศ่ี าลชน้ั ตน้ มคี ำสงั่ ยกคำรอ้ งนน้ั ชอบ

แล้ว ศาลอุทธรณเ์ ห็นพ้องดว้ ย อุทธรณข์ องโจทกท์ ่ี ๑ ฟังไม่ขึน้

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนยี มช้ันอุทธรณใ์ ห้เปน็ พบั .

ส่วนที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาและคำส่ังในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 267
คดีแพ่ง


ตวั อย่างคดีมรดก ขอถอนผูจ้ ดั การมรดก พนิ ัยกรรม

(ชน้ั ขอเงนิ คา่ ธรรมเนียมศาลคนื )






ำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๙๕๘๗/๒๕๔๘


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์เพียงแต่

ฟอ้ งขอใหเ้ พกิ ถอนจำเลยที่ ๑ จากการเปน็ ผจู้ ดั การมรดกของผตู้ าย เปน็ คดไี มม่ ที นุ ทรพั ย์ การท
ี่
ศาลช้ันต้นมีคำส่ังให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มเป็น ๒๐๐,๐๐๐ บาท จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ชอบทีโ่ จทกจ์ ะขอคนื คา่ ข้นึ ศาลสว่ นท่ีเกนิ ไป ๑๙๙,๘๐๐ บาท ได้ เห็นวา่ คดีน้ีโจทก์ไมไ่ ด้ฟ้อง

ขอให้เพิกถอนจำเลยท่ี ๑ จากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเพียงประการเดียว แต่ได้ฟ้อง

ขอใหพ้ นิ ยั กรรมของผตู้ ายเปน็ โมฆะและกำจดั มใิ หจ้ ำเลยท่ี ๑ และที่ ๒ รบั มรดกของผตู้ ายดว้ ย

อยา่ งไรกด็ ี เนอื่ งจากคา่ ขนึ้ ศาลตามตาราง ๑ ทา้ ยประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ เปน็

ค่าธรรมเนียมศาลในการย่ืนคำฟ้อง ซ่ึงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา

๑๔๙ วรรคหน่ึง บญั ญัตใิ หผ้ ูฟ้ อ้ งคดีเป็นผชู้ ำระ คา่ ขึ้นศาลที่โจทกไ์ ด้ชำระในเวลายื่นคำฟ้องจงึ

นบั วา่ เปน็ คา่ ฤชาธรรมเนยี มอยา่ งหนงึ่ การทโี่ จทกย์ น่ื คำรอ้ งขอคา่ ขน้ึ ศาลคนื โดยอา้ งวา่ ไดช้ ำระ

เกินไปกว่าท่ีจะต้องชำระตามกฎหมายย่อมเท่ากับเป็นการยกเหตุว่าค่าฤชาธรรมเนียมน้ันมิได้

กำหนดหรือคำนวณให้ถูกต้อง ในกรณีเช่นนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา

๑๖๘ บัญญัติยกเว้นให้สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาในปัญหาเร่ืองค่าฤชาธรรมเนียมเพียง

อย่างเดียวได้ ดังนี้ แม้โจทก์จะใช้สิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาในปัญหาดังกล่าว แต่ศาลอุทธรณ์ก็ไม

รบั วนิ จิ ฉยั เพราะเปน็ การอทุ ธรณค์ ำสง่ั ระหวา่ งพจิ ารณาทม่ี ไิ ดโ้ ตแ้ ยง้ ไว้ ผลเทา่ กบั ศาลอทุ ธรณ

ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนท่ีขอคืนค่าขึ้นศาลนั่นเอง หาใช่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดีของโจทก์

เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ดังที่โจทก์กล่าวอ้าง โจทก์จึงชอบท่ีใช้สิทธิฎีกาตามประมวลกฎหมาย

วิธีพิจารณาความแพ่งต่อไป เม่ือโจทก์มิได้ใช้สิทธิฎีกาหรือกล่าวถึงปัญหาน้ีไว้ในคำแก้ฎีกา

268 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคด


ตั้งแต่ในชั้นท่ีจำเลยท้ังส่ีย่ืนฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ท่ีย้อนสำนวนไปให้ศาลช้ันต้นส่ง

พนิ ยั กรรมของผตู้ ายไปตรวจพสิ จู น์ และศาลฎกี ามคี ำพพิ ากษาจนคดถี งึ ทส่ี ดุ ไปแลว้ โจทกย์ อ่ ม

ไม่มีสิทธิมาขอคืนค่าข้ึนศาลท่ีอ้างว่าชำระเกินไปคืนได้อีก เม่ือวินิจฉัยดังน้ี จึงไม่จำเป็นต้อง

วินจิ ฉัยปญั หาตามอุทธรณ์ของโจทก์อกี ต่อไป ทศ่ี าลช้ันตน้ มีคำสง่ั มาน้นั ศาลอทุ ธรณเ์ ห็นพอ้ ง

ดว้ ยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ฟงั ไม่ขนึ้

พิพากษายนื ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณใ์ หเ้ ปน็ พบั .

ส่วนท่ี ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำสั่งในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ
์ 269
คดแี พง่


ตวั อย่างคดีสัญญา (ช้นั ไมร่ ับคำคคู่ วาม)






คำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๕๖๑๖/๒๕๔๙


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตาม

อุทธรณ์ของโจทกว์ ่า มลู คดีนเ้ี กดิ ขึ้นในเขตอำนาจของศาลชน้ั ต้นหรอื ไม่ คดนี ี้โจทก์ฟอ้ งบงั คับ

ขอให้จำเลยชำระหน้ีอันเกิดจากการใช้บริการตามสัญญาการใช้บริการวิทยุคมนาคมซ่ึงถือว่า

เป็นหน้ีเหนือบุคคล โจทก์จึงมีสิทธิที่จะเสนอคำฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล

หรือต่อศาลที่มลู คดีเกดิ ข้ึนในเขตศาลกไ็ ดต้ ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา

๔ (๑) ตามคำฟ้องได้ความว่า เม่ือจำเลยนำเคร่ืองวิทยุคมนาคมมาขอใช้บริการและทำคำขอ/

สญั ญาการใชบ้ รกิ ารวทิ ยคุ มนาคมระบบเซลลลู ารต์ ามเอกสารทา้ ยฟอ้ ง หมายเลข ๕ ตอ่ ตวั แทน

ของโจทกแ์ ลว้ สำนกั งานของโจทกซ์ ง่ึ ตงั้ อยใู่ นเขตอำนาจของศาลชนั้ ตน้ จะพจิ ารณาอนมุ ตั ิ กรณ

ย่อมถือได้ว่าการทำคำขอใช้บริการวิทยุคมนาคมที่จำเลยกรอกข้อความแล้วยื่นต่อตัวแทนของ

โจทก์ดังกล่าวเป็นการทำคำเสนอเพื่อขอใช้บริการวิทยุคมนาคมต่อโจทก์ ส่วนการพิจารณา

อนุมัติคำขอและเปิดสัญญาณคลื่นวิทยุคมนาคมของสำนักงานของโจทก์น้ัน ถือได้ว่าเป็นการ

กระทำอันใดอันหนึ่งซึ่งมีผลเป็นการแสดงเจตนาสนองรับคำเสนอของจำเลยตามคำขอที่ได้ย่ืน

ขอใชบ้ รกิ าร แมเ้ ปน็ การแสดงเจตนาทกี่ ระทำตอ่ จำเลยซง่ึ มไิ ดอ้ ยเู่ ฉพาะหนา้ แตก่ ถ็ อื ไดว้ า่ ตาม

ปรกติประเพณีการตกลงทำสัญญาการใช้บริการวิทยุคมนาคมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่กระทำ

ขน้ึ ในลกั ษณะเชน่ นไี้ ดเ้ กดิ เปน็ สญั ญาขน้ึ เมอ่ื สำนกั งานของโจทกไ์ ดส้ นองรบั คำเสนอโดยการเปดิ

สัญญาณวิทยุคมนาคมอันมีผลทำให้จำเลยสามารถใช้วิทยุคมนาคมจากโจทก์ได้โดยไม่

จำเป็นตอ้ งมีคำบอกกลา่ วไปถงึ จำเลย ผู้เสนอ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา

๓๖๑ วรรคสอง อีก เม่ือสัญญาการใช้บริการวิทยุคมนาคมระหว่างโจทก์กับจำเลยได้เกิดขึ้นท
่ี
สำนกั งานของโจทกซ์ งึ่ ตง้ั อยใู่ นเขตอำนาจของศาลชนั้ ตน้ และโจทกฟ์ อ้ งขอใหบ้ งั คบั จำเลยชำระ

270 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉัยคดี


หนอ้ี นั เกดิ จากการใชบ้ รกิ ารตามสญั ญาการใชบ้ รกิ ารวทิ ยคุ มนาคมดงั กลา่ ว ดงั นนั้ ตอ้ งถอื ไดว้ า่

ศาลชนั้ ตน้ เปน็ ศาลหนง่ึ ทมี่ ลู คดนี เ้ี กดิ ขนึ้ ในเขตศาลตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่

มาตรา ๔ (๑) ศาลชน้ั ตน้ มอี ำนาจทจ่ี ะพจิ ารณาพพิ ากษาคดนี ไ้ี ด้ เทยี บนยั คำพพิ ากษาศาลฎกี า

ที่ ๖๑๙/๒๕๔๘ คำสั่งของศาลช้ันต้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์ อุทธรณ์ของโจทก

ฟงั ข้ึน

พพิ ากษายกคำสงั่ ศาลชน้ั ตน้ ทไ่ี มร่ บั ฟอ้ ง ใหศ้ าลชน้ั ตน้ รบั ฟอ้ งและดำเนนิ กระบวน

พิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมท้ังสองศาลในชั้นน้ี ให้ศาลชั้นต้น

รวมสัง่ เม่ือมคี ำพิพากษา.

ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ

และ


ตวั อย่างคำสง่ั ในรปู คำพิพากษาศาลอุทธรณ์




คดีอาญา



ส่วนที่ ๒ ตวั อยา่ งคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรปู คำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 273
คดีอาญา


คำพพิ ากษา





ตัวอย่างคดีกรรโชก พยายาม






ำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๙๓๓๓/๒๕๔๗


พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยกระทำ

ความผดิ ตามฟอ้ งหรอื ไม่ โจทกม์ นี ายทองใบ มณนี ารถ ผเู้ สยี หาย และนายอธนิ ตั ิ ไวยพฒั น์ เบกิ

ความเปน็ พยานในทำนองเดยี วกนั สรปุ ไดว้ า่ ตามวนั เวลาเกดิ เหตุ ขณะทพ่ี ยานโจทกท์ ง้ั สองจอด

รถจักรยานยนต์รอรับผู้โดยสารท่ีหน้าเคเอ็มแมนช่ัน ซอยจรัญสนิทวงศ์ ๕๗ แขวงบางบำหร ุ

เขตบางพลดั กรงุ เทพมหานคร จำเลยนง่ั รถกระบะสเี ขยี วมาจอด แลว้ ลงมาพดู ขม่ ขใู่ หผ้ เู้ สยี หาย

ไปเคลยี รค์ า่ วนิ ทผ่ี เู้ สยี หายคา้ งจา่ ยใหจ้ ำเลย ๓๐ วนั เปน็ เงนิ ๖๐๐ บาท มฉิ ะนนั้ ใหเ้ ปลย่ี นสเี สอื้

ใสใ่ หม่ หากยงั ใสเ่ สอ้ื สเี ดมิ ถา้ พบจะเจอดแี น่ เหน็ วา่ พยานโจทกท์ งั้ สองเบกิ ความไดส้ อดคลอ้ ง

ตอ้ งกนั โดยไมม่ ขี อ้ พริ ธุ นา่ ระแวงสงสยั ทงั้ พยานโจทกท์ งั้ สองไมเ่ คยมสี าเหตโุ กรธเคอื งกบั จำเลย

มาก่อน ย่อมไม่มีเหตุที่จะต้องเบิกความปรักปรำจำเลยโดยไม่เป็นความจริง พยานหลักฐาน

เกย่ี วกบั ทอี่ ยขู่ องจำเลยไมม่ นี ำ้ หนกั รบั ฟงั หกั ลา้ งพยานหลกั ฐานของโจทกไ์ ด้ ขอ้ เทจ็ จรงิ รบั ฟงั

ไดโ้ ดยปราศจากขอ้ สงสยั วา่ ตามวนั เวลาและสถานทเ่ี กดิ เหตตุ ามฟอ้ ง จำเลยขม่ ขใู่ หผ้ เู้ สยี หายไป

เคลยี รค์ า่ วนิ ทผ่ี เู้ สยี หายคา้ งจา่ ยใหจ้ ำเลย ๓๐ วนั เปน็ เงนิ ๖๐๐ บาท มฉิ ะนน้ั ใหเ้ ปลย่ี นสเี สอ้ื ใส

ใหม่ หากยังใส่เส้ือสีเดิม ถ้าพบจะเจอดีแน่ ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีสิทธิท่ีจะได้รับค่าวินรถ

จกั รยานยนตใ์ นซอยจรญั สนทิ วงศ์ ๕๗ โดยชอบดว้ ยกฎหมาย การกระทำของจำเลยจงึ เปน็ การ

ข่มขืนใจผ้เู สียหายใหย้ อมใหห้ รือยอมจะใหจ้ ำเลยได้เงิน จำนวน ๖๐๐ บาท และอีกวันละ ๒๐

บาท โดยขเู่ ขญ็ วา่ จะทำอันตรายต่อชีวิต รา่ งกาย หรอื เสรภี าพของผู้เสยี หาย แต่ไมป่ รากฏวา่

ผู้เสียหายให้หรือยอมจะให้เงินจำนวนดังกล่าวแก่จำเลย แม้ผู้เสียหายจะเบิกความว่าหลังจาก

274 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คด


นายยอดชยั แซอ่ ง้ึ ถกู ทำรา้ ย ผเู้ สยี หายยงิ่ เกดิ ความกลวั มากขนึ้ ไดพ้ ยายามหาเงนิ เพอ่ื นำไปให

จำเลย แต่ยังหาไม่ได้ จึงไม่ได้นำไปให้ ก็ยังไม่อาจแปลได้ว่าผู้เสียหายยอมจะให้เงินจำนวน

ดังกล่าวแก่จำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามกรรโชก ท่ีศาลชั้นต้น

พิพากษามาน้ันชอบแล้ว อทุ ธรณข์ องจำเลยฟังไมข่ น้ึ

พพิ ากษายืน.

ส่วนที่ ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำสัง่ ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
275
คดอี าญา


ตัวอยา่ งคดีโกงเจา้ หนี้






. คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ท่ี ๔๕๙๙/๒๕๔๕


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ตามทางไต่สวนมูลฟ้องได้ความว่า

โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลเยาวชนและครอบครัวกลางตามเอกสาร

หมาย จ.๒ ถึง จ.๔ แตจ่ ำเลยผิดนัดไมช่ ำระหน้ตี ามคำพิพากษา โจทกจ์ ึงดำเนินการบงั คับคด ี

แตไ่ มส่ ามารถยดึ ทรพั ยไ์ ด้ จงึ ไดฟ้ อ้ งขอใหจ้ ำเลยเปน็ บคุ คลลม้ ละลาย ปรากฏตามทางนำสบื ใน

คดลี ม้ ละลายวา่ เมอื่ ระหวา่ งตน้ เดอื นมกราคม ๒๕๔๐ ถงึ ปลายเดอื นพฤศจกิ ายน ๒๕๔๒ เวลา

กลางวันและกลางคืนต่อเน่ืองกนั จำเลยโอนรถยนต์ ย่หี อ้ โลตสั หมายเลขทะเบียน ๔อ-๘๘๘๘

กรงุ เทพมหานคร รถยนต์ ยหี่ อ้ เบนซ์ หมายเลขทะเบยี น ๑ศ-๒๒๑๘ กรงุ เทพมหานคร รถยนต ์

ย่ีห้อเบนซ์ หมายเลขทะเบียน ๗ธ-๙๙๙๙ กรุงเทพมหานคร รถจ๊ิป ย่ีห้อเชอร์โรกี หมายเลข

ทะเบียน ๖ธ-๔๐๐๐ กรุงเทพมหานคร รถยนต์ ยี่ห้อวอลโว่ หมายเลขทะเบียน ๔ศ-๗๖๒๓

กรุงเทพมหานคร (คันเดียวกับรถยนต์ หมายเลขทะเบยี น ๒ษ-๐๐๖๖ กรุงเทพมหานคร ตาม

คำฟอ้ ง รายการท่ี ๙) รถยนต์ ยห่ี อ้ โฟลกสวาเกน หมายเลขทะเบยี น ๖ฌ-๖๗๐๘ กรงุ เทพมหานคร

รถยนต์ ย่ีห้อซูซูกิ หมายเลขทะเบียน ๒อ-๗๐๐๐ กรุงเทพมหานคร รถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า

หมายเลขทะเบยี น ๓ณ-๗๑๕๓ กรงุ เทพมหานคร หนุ้ บรษิ ทั ว.ี เอส. เอส. เอน็ เตอรไ์ พรส์ จำกดั

และหุ้นบริษัทอาร์. วี. เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด ให้แก่ผู้อื่นเพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ และ

จำเลยไมม่ ที รพั ยส์ นิ อน่ื ใดทจี่ ะยดึ ชำระหนไี้ ด้ โจทกท์ ราบวา่ จำเลยกระทำความผดิ เมอ่ื ประมาณ

ปลายเดอื นพฤศจกิ ายน ๒๕๔๒ ก่อนฟ้องคดนี ี้ไม่ได้รอ้ งทุกข์ มปี ญั หาตอ้ งวินจิ ฉัยตามอทุ ธรณ

ของโจทกเ์ พยี งวา่ ฟอ้ งของโจทกข์ าดอายคุ วามแลว้ หรอื ไม่ โจทกอ์ ทุ ธรณว์ า่ การเบกิ ความของ

โจทกใ์ นคดลี ม้ ละลายเมอ่ื วนั ท่ี ๙ สงิ หาคม ๒๕๔๒ วา่ จำเลยมพี ฤตกิ ารณจ์ ำหนา่ ยทรพั ยส์ นิ ของ

จำเลยให้แก่ผู้อ่ืนเพ่ือให้ครบองค์ประกอบในการฟ้องคดีล้มละลาย ส่วนรายละเอียดลึก ๆ

276 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉัยคด


เก่ียวกับการโอนทรัพย์ว่าใครเป็นผู้โอนให้แก่ใคร อย่างไร เมื่อใด โจทก์ไม่อาจทราบได ้

เนอื่ งจากเปน็ รายละเอยี ดทางกฎหมาย แมท้ รพั ยต์ ามเอกสารหมาย ล.๖ และ ล.๙ จะเปน็ ทรพั ย

รายเดียวกัน โจทก์ก็ไม่เคยยืนยันว่ารู้เห็นการโอนทรัพย์กันเมื่อไร ประกอบกับคำฟ้องคดีน้ียัง

มีทรัพย์อ่ืนอีกหลายรายการท่ีจำเลยโอนให้บุคคลภายนอกซึ่งไม่เกี่ยวกับคดีล้มละลาย

นนั้ เห็นว่า โจทก์เปน็ อดตี ภรยิ าของจำเลย ย่อมทราบวา่ จำเลยมีทรพั ยอ์ ะไรบ้าง เมื่อโจทกไ์ ม

สามารถบังคับคดีตามหมายบังคับคดีในคดีหมายเลขแดงท่ี ๘๘/๒๕๔๐ ของศาลเยาวชนและ-

ครอบครัวกลางตามเอกสารหมาย จ.๕ โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายหมายเลขดำท
่ี
ล.๕๕๑/๒๕๔๑ ของศาลแพ่ง เม่ือวันท่ี ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๑ โดยบรรยายฟ้องว่าโจทก์ไม่
สามารถบังคับคดีตามหมายบังคับคดีในคดีหมายเลขแดงที่ ๘๘/๒๕๔๐ ของศาลเยาวชนและ-

ครอบครัวกลางตามเอกสารหมาย จ.๕ เพราะจำเลยไม่สามารถชำระหน้ีให้โจทก์ได้เลย และ

จำเลยได้ยักย้ายทรัพย์ตามเอกสารหมาย จ.๖ แสดงว่าขณะท่ีโจทก์ยื่นฟ้องคดีล้มละลาย

ดงั กลา่ ว โจทกท์ ราบแลว้ วา่ จำเลยโอนทรพั ยข์ องจำเลยไปใหแ้ กผ่ อู้ นื่ แลว้ โจทกจ์ งึ ไมส่ ามารถบงั คบั

คดไี ด้ การทีโ่ จทก์เบกิ ความในคดีลม้ ละลายดังกล่าวเมอ่ื วนั ท่ี ๙ สงิ หาคม ๒๕๔๒ ว่าจำเลยมี

พฤติการณ์จำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยให้แก่บุคคลภายนอกตามสำเนาคำให้การพยานโจทก ์

เอกสารหมาย ล.๘ และทรัพย์ตามบัญชีระบุพยานและบัญชีทรัพย์ในคดีล้มละลายตามสำเนา

บญั ชีระบพุ ยาน และสำเนาบญั ชีทรพั ย์ เอกสารหมาย ล.๖ และ ล.๙ นนั้ กเ็ ปน็ ทรพั ย์รายการ

เดียวกันกับทรัพย์ในคดีน้ีทั้งหมดท่ีโจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้โอนไปให้แก่ผู้อื่นเพ่ือมิให้โจทก์ได้รับ

ชำระหนี้ คำเบิกความของโจทก์เป็นการยืนยันให้เห็นว่าโจทก์รู้ว่าจำเลยโอนทรัพย์ดังกล่าวไป

ใหแ้ กผ่ อู้ นื่ ตง้ั แตว่ นั ท่ี ๙ สงิ หาคม ๒๕๔๒ เปน็ อยา่ งชา้ คดนี เี้ ปน็ ความผดิ อนั ยอมความได้ โจทก ์

ผู้เสียหาย ฟ้องคดีเองโดยมิได้ร้องทุกข์ไว้โดยชอบภายในกำหนดเวลา ๓ เดือน แต่เพิ่งนำคดี

มาฟอ้ งเมือ่ วันที่ ๑๘ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๔๓ จงึ เกินกำหนดระยะเวลา ๓ เดือน นบั แต่วันท่รี เู้ รื่อง


Click to View FlipBook Version