The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-09-18 02:21:12

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

สว่ นท่ี ๒ ตวั อยา่ งคำพิพากษาและคำส่ังในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
477
คดเี ดก็ หรอื เยาวชนกระทำความผดิ


สามกระทำความผดิ สบื เนอ่ื งจากสภาพปญั หาครอบครวั การศกึ ษา การคบเพอื่ น สญั ชาตญาณ

ความอยากรู้อยากเห็นตามวัย รวมทั้งความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมในฐานะคนรักและเพ่ือน

ระหวา่ งผเู้ สยี หายกบั จำเลยทงั้ สาม พฤตกิ ารณแ์ หง่ การกระทำความผดิ ของจำเลยทง้ั สามจงึ มใิ ช

เปน็ อาชญากรทางเพศทป่ี ระทษุ รา้ ยตอ่ สตรเี พศทวั่ ไปอนั จะเปน็ ภยั ตอ่ สงั คมสว่ นรวม แมข้ อ้ หาท
่ี
จำเลยทั้งสามกระทำความผิดจะเป็นคดีอุกฉกรรจ์และมีอัตราโทษสูงก็ตาม แต่ขณะกระทำ

ความผดิ จำเลยทงั้ สามยงั เปน็ เยาวชน วฒุ ภิ าวะทางความคดิ การตดั สนิ ใจ และความยบั ยง้ั ชงั่ ใจ

ยงั นอ้ ยกวา่ ผใู้ หญ่ และกระทำความผดิ เพราะมสี ถานะความสมั พนั ธร์ จู้ กั กนั กบั ผเู้ สยี หายมากอ่ น

ประกอบกบั ผเู้ สยี หายมสี ว่ นยนิ ยอมดว้ ย จำเลยทง้ั สามจงึ สมควรไดร้ บั การฝกึ และอบรม สง่ั สอน

ขัดเกลานิสัยและความประพฤติยิ่งกว่าการท่ีจะถูกลงโทษ ฉะน้ัน การท่ีศาลชั้นต้นเปล่ียนโทษ

จำคุกเป็นส่งตัวจำเลยทั้งสามไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน-

กรุงเทพมหานคร มีกำหนด ๖ เดอื น สำหรบั จำเลยท่ี ๒ และคนละ ๑ ปี สำหรับจำเลยที่ ๑ กบั

ท่ี ๓ นนั้ จงึ เปน็ วธิ กี ารทเี่ หมาะสมกบั บคุ ลกิ ลกั ษณะ สขุ ภาพ และภาวะแหง่ จติ ของจำเลยทง้ั สาม

แล้ว เชื่อว่าระยะเวลาฝึกและอบรมดังกล่าวเพียงพอท่ีจะขัดเกลาจิตสำนึกและนิสัยให้จำเลย

ท้ังสามรู้ผิดชอบชั่วดี มีความยับยั้งชั่งใจ และสามารถกลับตนเป็นพลเมืองดีของสังคมได ้

คำพิพากษาศาลช้ันต้นชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวเห็นพ้องด้วย

อุทธรณ์ของโจทกฟ์ งั ไมข่ ึน้

พิพากษายนื .

478 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉยั คดี


ตวั อยา่ งคดคี วามผดิ ตอ่ พระราชบญั ญัต

ควบคมุ กิจการเทปและวสั ดุโทรทัศน์






คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ ี่ ๑๕๓๘/๒๕๕๑


ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มี

ปญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องโจทกว์ า่ การทศ่ี าลชนั้ ตน้ รบั ฟงั ขอ้ เทจ็ จรงิ จากรายงานแสดง

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานครมา

วินิจฉัยประกอบคำฟ้องว่าจำเลยไม่อาจเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง

น้ันชอบหรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยประกอบกิจการให้เช่า แลกเปล่ียน และจำหน่ายด้วย

ประการใด ๆ ซึ่งแผ่นดีวีดีและแผ่นวีซีดี รวม ๒๕๔ แผ่น โดยทำเป็นธุรกิจต้ังแผงวางขายท่ี

ตลาดนัด และเป็นเจ้าของกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาล
ชน้ั ตน้ อา่ นรายงานแสดงขอ้ เทจ็ จรงิ เกยี่ วกบั จำเลยแลว้ จำเลยแถลงวา่ ไมก่ ลา้ กระทำความผดิ อกี

จะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ขอให้ลงโทษสถานเบา โจทก์และจำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ศาล

ชั้นต้นจึงพิพากษาคดีโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ

อาญา มาตรา ๑๗๖ วรรคหน่ึง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและ

วธิ พี จิ ารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๖ ซงึ่ ใหน้ ำบทบญั ญตั ิในประมวล

กฎหมายวธิ พี ิจารณาความอาญามาบงั คับใชโ้ ดยอนโุ ลมเทา่ ทีไ่ มข่ ดั หรอื แยง้ กบั พระราชบญั ญตั

ดังกล่าว และวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและรายงานแสดงข้อเท็จจริงเก่ียวกับจำเลย

นั้น จำเลยอยู่ในระหว่างศึกษาเล่าเรียน ไม่น่าเช่ือว่าจะสามารถลงทุนเป็นผู้ประกอบกิจการ

จำหนา่ ยเทปและวสั ดโุ ทรทศั นโ์ ดยทำเปน็ ธรุ กจิ อนั จะเปน็ ความผดิ ตามฟอ้ ง แมจ้ ำเลยใหก้ ารรบั

สารภาพ ก็ไม่อาจลงโทษได้ พิพากษายกฟ้อง เหน็ วา่ รายงานแสดงข้อเท็จจรงิ เกี่ยวกบั จำเลย

ซ่ึงพนักงานคุมประพฤติของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานครเสนอต่อ

สว่ นที่ ๒ ตัวอย่างคำพิพากษาและคำส่ังในรูปคำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์
479
คดีเด็กหรอื เยาวชนกระทำความผิด


ศาลชน้ั ตน้ กเ็ พอ่ื ใหน้ ำขอ้ เทจ็ จรงิ ในเรอื่ งอายุ ประวตั ิ ความประพฤติ สตปิ ญั ญา การศกึ ษาอบรม

สขุ ภาพ ภาวะแหง่ จติ นสิ ยั อาชพี ฐานะของจำเลย ตลอดจนสง่ิ แวดลอ้ มทง้ั ปวง ฯลฯ มาวนิ จิ ฉยั

ถึงสาเหตุแห่งการกระทำความผิด เพื่อจะได้ใช้วิธีการลงโทษหรือแก้ไขผู้กระทำความผิดได

ถกู ตอ้ งเหมาะสมเปน็ ราย ๆ ไป ซงึ่ ถอื เป็นประเด็นทจ่ี ะต้องพจิ ารณาดว้ ยตามมาตรา ๗๘ แห่ง

พระราชบัญญัตดิ งั กลา่ ว มิได้กระทำขึน้ เพ่อื เปน็ พยานหลักฐานหรอื เป็นการสบื พยานวา่ จำเลย

กระทำความผดิ ตามฟอ้ งหรอื ไม่ แมต้ ามมาตรา ๘๑ แหง่ พระราชบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว ศาลมอี ำนาจ

รบั ฟงั รายงานเกยี่ วกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ตามมาตรา ๗๘ ทม่ี ใิ ชข่ อ้ เทจ็ จรงิ เกยี่ วกบั การกระทำความผดิ ที่

ถกู ฟอ้ งโดยไมต่ อ้ งมพี ยานบคุ คลประกอบ กเ็ ปน็ การนำมารบั ฟงั เพอื่ ประกอบการพจิ ารณาเรอ่ื ง

โทษและวธิ กี ารทจี่ ะดำเนนิ การแกจ่ ำเลยเทา่ นน้ั มใิ ชพ่ ยานหลกั ฐานทจี่ ะนำมาวนิ จิ ฉยั การกระทำ

ท่ถี กู ฟ้องด้วย ดังนัน้ ทศ่ี าลชั้นตน้ นำขอ้ เทจ็ จรงิ จากรายงานแสดงขอ้ เท็จจริงเก่ยี วกับจำเลยมา

รับฟังแล้วพิพากษายกฟ้อง จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา และข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากคำ

ฟ้องประกอบคำให้การรับสารภาพของจำเลยฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐาน

ประกอบกจิ การใหเ้ ชา่ แลกเปลยี่ น หรอื จำหนา่ ยซง่ึ เทปและวสั ดโุ ทรทศั นโ์ ดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าต ท
่ี
ศาลชน้ั ตน้ ยกฟอ้ งในความผดิ ฐานน้ี จงึ ไมต่ อ้ งดว้ ยความเหน็ ของศาลอทุ ธรณแ์ ผนกคดเี ยาวชน-

และครอบครวั อทุ ธรณข์ องโจทก์ฟังข้ึน

พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและ

วสั ดโุ ทรทศั น์ พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา ๖ วรรคหนงึ่ , ๓๔ ลงโทษปรบั ๔,๐๐๐ บาท จำเลยใหก้ ารรบั

สารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ก่ึงหน่ึงตามประมวล

กฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงปรับ ๒,๐๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับ ให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกและ

อบรมท่ีสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร มีกำหนด ๑๕ วัน ตาม

พระราชบญั ญตั จิ ดั ตงั้ ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ.

๒๕๓๔ มาตรา ๑๐๗.

480 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉยั คด


ตัวอยา่ งคดคี วามผดิ ต่อรา่ งกาย





คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๗๖๓๖/๒๕๔๘




พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบ้ืองต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันท่ี ๒๘ เมษายน ๒๕๔๖

เวลาประมาณ ๑ นาฬกิ า ผ้เู สียหายท้งั สาม คือ นายนฐั พล จันทรค์ ำ นายสมบูรณ์ ทวแี สง และ

นายณัฐวุฒิ เรียงเพชร กับพวกไปรับประทานอาหารที่ร้านเรนโบว์ที่เกิดเหตุ ต่อมาเวลา

ประมาณ ๓ นาฬิกา ผู้เสียหายทั้งสามกับพวกได้ออกมาจากร้าน และเกิดเหตุทำร้ายกันที่

บรเิ วณหนา้ รา้ นเรนโบว์ ผเู้ สยี หายทง้ั สามไดร้ บั บาดเจบ็ ตามรายงานความเหน็ การตรวจชนั สตู ร

บาดแผลของแพทย์ เอกสารหมาย จ.๑, จ.๒ และ จ.๓ ตอ่ มาเจา้ พนกั งานตำรวจจบั กมุ จำเลยทงั้

สามและกลา่ วหาเปน็ คดีน้ี สำหรบั จำเลยที่ ๒ ไม่มคี ู่ความฝ่ายใดอทุ ธรณ์ คดีเฉพาะจำเลยท่ี ๒

เป็นอนั ยตุ ไิ ปตามคำพพิ ากษาศาลช้ันต้น

คดมี ปี ัญหาตอ้ งวนิ ิจฉัยตามอุทธรณข์ องจำเลยที่ ๑ และท่ี ๓ ว่า จำเลยที่ ๑ และ

ที่ ๓ ไดร้ ว่ มกระทำความผิดตามฟอ้ งหรือไม่ เหน็ ว่า โจทกม์ นี ายนัฐพล จนั ทร์คำ นายสมบรู ณ์

ทวีแสง และนายณัฐวุฒิ เรียงเพชร เป็นผู้เสียหาย พร้อมด้วยนางเสาวณี จินากุล ซ่ึงเป็น

ประจกั ษพ์ ยาน และนางสาวสมบรู ณ์ ลบทอง พยานโจทก์ เบกิ ความรบั ฟงั ตอ้ งกนั วา่ จำเลยทงั้

สามกบั นายสมชาติ วรวงศาโรจน์ รว่ มกนั ทำรา้ ยผเู้ สยี หายทงั้ สาม โดยนายนฐั พล ผเู้ สยี หายที่ ๑

เบกิ ความวา่ จำเลยที่ ๑ ใชอ้ าวธุ มดี ฟนั ผเู้ สยี หายท่ี ๑ วง่ิ หนไี ปทเี่ กาะกลางถนน แลว้ มชี ายอกี

๓ คน วง่ิ ตามไปใชโ้ ซฟ่ าด สว่ นนายณฐั วฒุ ิ ผเู้ สยี หายท่ี ๓ เบกิ ความวา่ เหน็ จำเลยทงั้ สามรมุ ทำ

ร้ายผ้เู สยี หายที่ ๑ ท่ีเกาะกลางถนน โดยจำเลยท่ี ๑ ถืออาวธุ มีด จำเลยท่ี ๒ ถอื โซ่ สว่ นจำเลย

ที่ ๓ จะมอี าวธุ หรอื ไม่ จำไมไ่ ด้ นายสมบรู ณ์ ผเู้ สยี หายที่ ๒ เบกิ ความวา่ จำเลยที่ ๑ ใชอ้ าวธุ มดี

ฟันพยานที่บริเวณกลางหลัง พยานเดินหนีไปที่ร้านขายของชำ ห่างจากท่ีเกิดเหตุประมาณ

๑๕๐ เมตร โดยมจี ำเลยท่ี ๑ ถอื อาวธุ มดี เดนิ ตามไป นางสาวสมบรู ณ์ พยานโจทก์ เบกิ ความวา่

สว่ นที่ ๒ ตวั อยา่ งคำพิพากษาและคำส่ังในรูปคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณ์
481
คดเี ดก็ หรือเยาวชนกระทำความผิด


พยานจำจำเลยทั้งสามได้จากสเี สื้อที่สวมขณะเกดิ เหตุ หลังเกิดเหตไุ มน่ านเจ้าพนกั งานตำรวจ

จับกุมจำเลยทั้งสามกับพวกได้ พยานได้ไปให้ปากคำต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ส่วนนางเสาวณ ี

ประจักษ์พยาน เบิกความว่า ได้ยืนยันกับพนักงานสอบสวนว่าจำเลยทั้งสามเป็นคนทำร้าย

พยานโจทก์เหลา่ นีต้ ่างเบิกความยืนยันวา่ ผู้เสียหายทงั้ สามถกู จำเลยทัง้ สามกับพวกทำร้าย ทงั้

บาดแผลตามทปี่ รากฏในรายงานความเหน็ การตรวจชนั สตู รบาดแผลของแพทย์ เอกสารหมาย

จ.๑, จ.๒ และ จ.๓ ก็ตรงกับบาดแผลท่ีผู้เสียหายท้ังสามเบิกความ แม้คำเบิกความของนาง

เสาวณจี ะเบกิ ความวา่ จำเลยที่ ๑ ถอื โซแ่ ละจำเลยท่ี ๓ ถอื อาวธุ มดี ซง่ึ แตกตา่ งจากคำเบกิ ความ

ของผเู้ สยี หายที่ ๑ และผูเ้ สยี หายที่ ๓ ก็ตาม แต่นางเสาวณกี ็เบกิ ความยนื ยันวา่ สามารถจดจำ

จำเลยทงั้ สามกบั พวกทเี่ ขา้ มารมุ ทำรา้ ยผเู้ สยี หายที่ ๑ ได้ โดยไดใ้ หก้ ารตอ่ พนกั งานสอบสวนไว

ตามบนั ทกึ คำใหก้ ารของพยาน เอกสารหมาย จ.๑๐ หลงั เกดิ เหตไุ มน่ านวา่ เหน็ จำเลยท่ี ๑ (ผกู

จกุ ) และจำเลยท่ี ๒ (เสอ้ื เหลอื ง) รมุ ทำรา้ ยนายนฐั พล สว่ นนายสมชาตแิ ละจำเลยท่ี ๓ (เสอื้ ฟา้ )

รว่ มกนั ทำรา้ ยนายสมบรู ณ์ ตอ่ มานายณฐั วฒุ แิ ละนางสาวสมบรู ณซ์ ง่ึ เดนิ แยกไปกอ่ นไดย้ นิ เสยี ง

เอะอะ นายณัฐวฒุ จิ ึงว่งิ เขา้ มาช่วยนายนฐั พล ทำใหน้ ายณัฐวฒุ ถิ กู รมุ ตแี ทน อนั เปน็ การระบุถึง

พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสามว่าได้ร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายท้ังสาม ร้อยตำรวจเอก อำนาจ

กาหลง พนักงานสอบสวน เบิกความว่า เจ้าพนักงานตำรวจไปถึงท่ีเกิดเหตุ พบชาย ๔ คน

กำลังทำร้ายร่างกายผู้ชายคนหนึ่ง จึงเข้าทำการจับกุมโดยมีพยานชี้ตัวจำเลยทั้งสามว่าเป็น

คนรา้ ย ส่วนทจี่ ำเลยที่ ๑ และที่ ๓ อุทธรณว์ า่ พยานโจทกเ์ บิกความขดั กันเกย่ี วกบั เร่อื งแสง

สว่างในที่เกิดเหตุน้ัน เห็นว่า ผู้เสียหายที่ ๑ และผู้เสียหายที่ ๓ ต่างเบิกความว่าสามารถ

มองเหน็ เหตกุ ารณไ์ ดจ้ ากแสงไฟบรเิ วณรา้ นเรนโบวท์ เ่ี กดิ เหตแุ ละไฟกลางถนน โดยเฉพาะนาย

นฐั พลเบกิ ความตอบทปี่ รกึ ษากฎหมายจำเลยทง้ั สามถามคา้ นวา่ ขณะเกดิ เหตมุ แี สงไฟจากหนา้

ร้าน มองเห็นได้ประมาณไม่เกิน ๓๐ เมตร รวมทัง้ มีแสงไฟจากเกาะกลางถนน แสงไฟจากวนิ

รถจักรยานยนต์รับจ้าง แสงไฟจากข้างร้านอาหาร และแสงไฟจากสถานอาบอบนวดที่อยู่

482 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉัยคด


ใกลเ้ คยี ง ดงั นน้ั พยานโจทกจ์ งึ มไิ ดเ้ บกิ ความขดั แยง้ กนั นอกจากน้ี ปรากฏวา่ เมอ่ื เจา้ พนกั งาน

ตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสามได้ พยานโจทก์ต่างให้ปากคำต่อเจ้าพนักงานตำรวจหลังเกิดเหต

ไมน่ าน จึงไมม่ ีขอ้ สงสยั ในประเดน็ เร่อื งแสงสว่างในทเ่ี กดิ เหตุ พฤติการณต์ ามคำเบิกความของ

ประจักษ์พยานโจทก์ดังกล่าวรับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่าสามารถจดจำได้แน่นอนว่า

จำเลยท่ี ๑ และท่ี ๓ เป็นคนร้ายร่วมกระทำความผิดตามฟ้อง ส่วนท่ีจำเลยท่ี ๑ และที่ ๓

อทุ ธรณข์ อใหร้ อการลงโทษนน้ั เหน็ วา่ คดนี ฟ้ี งั ไดว้ า่ จำเลยที่ ๑ และท่ี ๓ รว่ มกนั ใชอ้ าวธุ มดี ทำ

ร้ายผเู้ สยี หายทงั้ สาม เป็นเหตุให้ผูเ้ สียหายท้ังสามได้รับอนั ตรายแก่กาย ท่ีศาลชัน้ ตน้ พพิ ากษา

ให้ส่งตัวจำเลยท่ี ๑ และท่ี ๓ ไปฝึกและอบรมท่ีสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน-

กรุงเทพมหานครนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว จึงไม่สมควรที่จะรอการลงโทษให้

ศาลช้ันต้นพพิ ากษาชอบแลว้ อทุ ธรณข์ องจำเลยท่ี ๑ และท่ี ๓ ฟังไมข่ นึ้

พพิ ากษายนื .

สว่ นที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพพิ ากษาและคำสงั่ ในรูปคำพิพากษาของศาลอุทธรณ
์ 483
คดีเด็กหรอื เยาวชนกระทำความผิด


ตัวอยา่ งคดีชงิ ทรพั ย์





คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ที่ ๖๘๖๘/๒๕๔๘




พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติว่า ใน

วนั เกดิ เหตจุ ำเลยตบหนา้ ผเู้ สยี หาย ๑ ครง้ั แลว้ นางสาวปลากระชากสรอ้ ยคอทองคำพรอ้ มพระ

เลยี่ มทอง ๑ องค์ ของผเู้ สยี หาย แตไ่ ดส้ รอ้ ยคอทองคำไปเพยี งบางสว่ น คดมี ปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั

ในชั้นอุทธรณ์ว่า จำเลยร่วมชิงทรัพย์ของผู้เสียหายตามฟ้องของโจทก์หรือไม่ ผู้เสียหายเบิก

ความเป็นพยานโจทก์ว่า ผู้เสียหายเข้าไปร้องเพลงในตู้เพลงคาราโอเกะบริเวณช้ันที่สองของ

หา้ งสรรพสนิ คา้ โลตสั สาขาบางแค กบั เดก็ หญงิ สพุ รรษา อนุ่ ยา และเดก็ หญงิ ทพิ ยว์ รรณหรอื เจน

สทุ ธิสทิ ธิ์ สว่ นจำเลยกบั นางสาวปลารอ้ งเพลงอยใู่ นตู้เพลงคาราโอเกะอีกต้หู นึง่ ผูเ้ สียหายร้อง

เพลงได้ ๑ เพลง ก็ออกจากตู้เพลง นางสาวปลาเข้ามาพูดกบั ผเู้ สยี หายว่าจำเลยจะขอคุยดว้ ย

หลงั จากน้นั ทง้ั สองฝา่ ยเดนิ พูดคยุ กนั ในทำนองวา่ ฝา่ ยนางสาวปลากล่าวหาว่าผู้เสียหายไปแยง่

คนรักของนางสาวปลา จำเลยกับนางสาวปลาเดินตามหลังฝ่ายของผู้เสียหายตั้งแต่อยู่ภายใน

หา้ งสรรพสนิ คา้ โลตสั สาขาบางแค ผเู้ สียหายบอกจำเลยกับนางสาวปลาวา่ จะกลบั บ้าน จำเลย

กับนางสาวปลายังคงเดินตามหลังผู้เสียหายออกมาตามเส้นทางที่ไปยังบ้านของผู้เสียหาย

จนกระทงั่ ถงึ ทเ่ี กดิ เหตหุ นา้ โรงเรยี นราชวนิ ติ ประถม บางแค นางสาวปลาดงึ แขนผเู้ สยี หายเขา้

ไปท่ีบริเวณปากซอยทางเข้าหมู่บ้านเริงอนันต์ แล้วนางสาวปลาบอกจำเลยว่าให้ตบผู้เสียหาย

จำเลยบอกผู้เสียหายว่าผลัดกันตบคนละทีไหม แล้วจำเลยตบหน้าข้างซา้ ยของผู้เสียหายอยา่ ง

แรง ๑ ที ขณะเดยี วกนั นางสาวปลากระชากสรอ้ ยคอทองคำของผเู้ สยี หายขาดหลดุ ออก แลว้ ทงั้

สองคนวง่ิ หนไี ปในทศิ ทางเดยี วกนั หา่ งกนั ประมาณ ๒ เมตร เหน็ วา่ แมผ้ เู้ สยี หายจะเบกิ ความ

วา่ ไมเ่ คยรจู้ กั จำเลยกบั นางสาวปลามากอ่ น แตเ่ มอื่ ออกจากตเู้ พลงคาราโอเกะ นางสาวปลาพดู

กล่าวหาว่าผู้เสียหายไปแย่งคนรักของตน ขอพูดคุยกับผู้เสียหายในเร่ืองดังกล่าว ผู้เสียหายก


484 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคด


ยงั คงเดนิ ไปเรอ่ื ยๆ ภายในหา้ งสรรพสนิ คา้ โลตสั สาขาบางแค โดยมนี างสาวปลากบั จำเลยเดนิ

ตามหลงั ซงึ่ เปน็ การยนิ ยอมพดู คยุ ในเรอ่ื งทนี่ างสาวปลากลา่ วหา ตอ่ มาผเู้ สยี หายยงั ไดบ้ อกแก

นางสาวปลากับจำเลยว่าจะกลบั บ้าน หาไดม้ ลี กั ษณะของการเดนิ หนีนางสาวปลากบั จำเลยแต

อยา่ งใด เช่อื วา่ ข้อกล่าวหาของนางสาวปลาดงั กลา่ วมมี ูลที่เกิดขึน้ จรงิ หาใชเ่ ปน็ การทน่ี างสาว

ปลากบั จำเลยนดั แนะกนั สรา้ งเรอ่ื งเพอ่ื ถอื โอกาสใชก้ ำลงั ชงิ ทรพั ยผ์ เู้ สยี หาย การทจ่ี ำเลยตบหนา้

ผู้เสียหายและนางสาวปลากระชากสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไปจึงเป็นเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึน

อย่างฉับพลันโดยท้ังสองคนมิได้นัดแนะกันมาก่อน แม้ภายหลังจากท่ีนางสาวปลากระชาก

สรอ้ ยคอทองคำของผเู้ สยี หายแลว้ นางสาวปลากบั จำเลยตา่ งวง่ิ หนไี ปดว้ ยกนั กย็ งั ไมอ่ าจฟงั วา่

จำเลยร่วมกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ของผู้เสียหายกับนางสาวปลาด้วย ศาลช้ันต้นยกฟ้อง

โจทก์ในข้อหาชิงทรัพย์ชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวเห็นพ้องด้วย

อุทธรณ์ของโจทกฟ์ ังไม่ขึ้น

พิพากษายนื .

ส่วนท่ี ๒ ตวั อย่างคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรปู คำพพิ ากษาของศาลอุทธรณ
์ 485
คดีเดก็ หรอื เยาวชนกระทำความผดิ


ตวั อย่างคดปี ล้นทรัพย์ ความผิดตอ่ รา่ งกาย





คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ ๑๔๑๒/๒๕๕๑




พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ในเบ้ืองต้นว่า ในคืนเกิดเหตุ จำเลย

ท่ี ๑ และนายวรชน เลาพฤกษาพนั ธ์ นง่ั รถจกั รยานยนตม์ าดว้ ยกนั สว่ นจำเลยที่ ๒ นง่ั ซอ้ นทา้ ย

รถจกั รยานยนตข์ องตนทใ่ี หน้ ายถานวุ ฒั นห์ รอื เบริ ด์ สงิ หะ ขบั แลน่ ตามกนั มาจากเขตจอมทอง

ฝ่ังธนบุรี ผ่านใต้สะพานพุทธจนถึงสี่แยกวัดตึก แล้วจอดอยู่ท่ีริมถนนเยาวราชหน้าตึกแถว

ซ่ึงมีผู้เสียหายกำลังไขกุญแจประตูบ้าน นายวรชนลงจากรถจักรยานยนต์ ตรงเข้าไปทำร้าย

ผเู้ สยี หายและกระชากกระเปา๋ สะพายจากตวั ผเู้ สยี หาย แลว้ ตา่ งขบั รถจกั รยานยนตอ์ อกไปจากท่ี
เกิดเหตุ ระหวา่ งนั้นจ่าสบิ ตำรวจ สำเริง แกน่ นาคำ และสิบตำรวจโท บญุ เหลอื หม่ืนสทิ ธิ์ ขบั

รถจกั รยานยนตผ์ า่ นมาประสบเหตุ จงึ ไลต่ ดิ ตามไปทนั รถจกั รยานยนตค์ นั หนง่ึ และจบั จำเลยที่ ๑

กับนายวรชนได้พร้อมกระเป๋าสะพายของผู้เสียหายซึ่งอยู่กับนายวรชน จากน้ันวันรุ่งข้ึนจึงจับ

จำเลยที่ ๒ ได้พร้อมรถจักรยานยนต์เป็นของกลาง ส่วนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ มีบาดแผล

เลอื ดออกทศี่ รี ษะ แกม้ ขวา และกรามบวมชำ้ มเี ลอื ดออกใตเ้ ยอ่ื หมุ้ สมองดา้ นขวาสว่ นหนา้ เปน็

อันตรายสาหัสตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ เอกสารหมาย จ.๑ เจ้าพนักงาน

ตำรวจแจง้ ขอ้ กลา่ วหาแกจ่ ำเลยทงั้ สองวา่ รว่ มกนั ปลน้ ทรพั ยเ์ ปน็ เหตใุ หผ้ อู้ น่ื ไดร้ บั อนั ตรายสาหสั

และโดยใช้รถจกั รยานยนต์เปน็ ยานพาหนะ มีปัญหาต้องวินจิ ฉยั ตามอุทธรณข์ องจำเลยทงั้ สอง

ว่า จำเลยท้ังสองได้รว่ มกนั กระทำความผดิ ตามฟ้องหรือไม่ แม้ผ้เู สยี หาย ประจกั ษ์พยานโจทก์
จะเบกิ ความถงึ แตร่ ายละเอยี ดในการกระทำของนายวรชนขณะปลน้ ทรพั ย์ แตก่ ไ็ ดค้ วามวา่ กอ่ น

ถูกปล้นทรพั ยผ์ ู้เสียหายลงจากรถแท็กซที่ ี่บรเิ วณใกลส้ ีแ่ ยกวดั ตกึ เดนิ ไปตามถนนเยาวราช ม

รถจกั รยานยนต์ ๒ คนั แตล่ ะคนั มคี นนงั่ ซอ้ นทา้ ย รวม ๔ คน ขบั ยอ้ นเสน้ ทางเดนิ รถแลน่ ไปทาง

เดยี วกนั กบั ทผ่ี เู้ สยี หายเดนิ อยทู่ ร่ี มิ ทางเทา้ และแลน่ เลยผเู้ สยี หายไปเลย้ี วขวาเขา้ ซอยเลอ่ื นฤทธ์ิ

486 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉยั คดี


เม่ือผู้เสียหายกำลังไขกุญแจประตูเข้าบ้าน สังเกตเห็นรถจักรยานยนต์ทั้งสองคันแล่นออกจาก

ซอยมาจอดทหี่ นา้ บา้ น แลว้ คนทนี่ ง่ั ซอ้ นทา้ ยคนหนง่ึ ลงจากรถจกั รยานยนตม์ าหาผเู้ สยี หาย และ

จบั ศรี ษะของผเู้ สยี หายกระแทกกบั ประตเู หลก็ ยดื เหน็ วา่ ขณะเกดิ เหตเุ ปน็ ยามวกิ าล ผเู้ สยี หาย

เปน็ หญงิ เดนิ มาตามลำพงั บนถนน ยอ่ มตอ้ งมคี วามสงั เกตระแวดระวงั ภยั เปน็ ธรรมดา เชอ่ื วา่ ได

เหน็ พฤตกิ รรมของจำเลยทงั้ สองกบั พวกเปน็ ทผ่ี ดิ สงั เกต โดยจำเลยทงั้ สองนา่ จะทราบมาแตต่ น้

แล้วว่าไปอยู่ในท่ีเกิดเหตุด้วยจุดประสงค์ใด ประกอบกับได้ความจากนายศักดิ์สิทธ์ิ หัวหน้า

พนักงานรักษาความปลอดภัยในซอยเล่ือนฤทธ์ิ ว่า ขณะขับรถจักรยานยนต์ออกตรวจในซอย

เห็นรถจักรยานยนต์ ๒ คัน ขับวนเวียนหลายรอบอยู่ในซอย ด้วยความสงสัยจึงตามไป พบ

รถจกั รยานยนตท์ ง้ั สองคนั จอดทห่ี นา้ บา้ นผเู้ สยี หาย ขณะผเู้ สยี หายกำลงั เปดิ ประตบู า้ น มชี าย ๒

คน ที่ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์แต่ละคันเข้าไปทำร้ายผู้เสียหาย ดึงกระเป๋าสะพายไป แล้วข้ึน

รถจกั รยานยนตห์ ลบหนี เหน็ วา่ คำเบกิ ความดงั กลา่ วมคี วามสอดคลอ้ งเชอื่ มโยงกบั พฤตกิ ารณ

ก่อนเกิดเหตุตามที่ผู้เสียหายเบิกความ ดังนี้ รูปคดีไม่น่าเชื่อว่ากรณีเป็นการกระทำของนาย

วรชนโดยลำพงั เพราะพฤตกิ ารณท์ จี่ ำเลยทงั้ สองกบั พวกขบั รถจกั รยานยนตจ์ ากฝงั่ ธนบรุ มี าถงึ

ที่เกิดเหตุบนถนนเยาวราชฝ่ังกรุงเทพฯ เป็นระยะทางไกลและใช้เวลาพอสมควร แล้วยังขับ

รถจักรยานยนต์ดูลาดเลาผู้เสียหาย และไปขับวนเวียนอยู่ในซอยเพ่ือรอโอกาสท่ีจะกระทำ

ความผดิ โดยจำเลยท้งั สองยังอยู่ใกล้ชดิ กบั เหตกุ ารณข์ ณะกระทำความผดิ สามารถช่วยเหลือ

พวกของตนได้ และหลบหนีไปด้วยกัน ย่อมเป็นการแสดงชัดแจ้งว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนา

ร่วมกระทำความผิดด้วยกันมาแต่แรก ท่ีจำเลยที่ ๑ นำสืบและอุทธรณ์ว่า มิได้เป็นผู้ขับ

รถจักรยานยนต์ แต่นายวรชนเป็นคนขับ จึงตกอยู่ในสภาพจำยอม ไม่อาจหลีกเล่ียงไปไหน

ได้ และยงั ได้รอ้ งหา้ มมใิ หก้ ระทำ จึงหาใช่ผรู้ ่วมกระทำความผดิ นัน้ เห็นวา่ ผเู้ สียหายและนาย

ศักด์ิสิทธิ์ต่างเบิกความตรงกันว่าคนน่ังซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ได้ลงจากรถตรงเข้ามาทำร้าย

ผเู้ สยี หาย ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั คำเบกิ ความของจา่ สบิ ตำรวจ สำเรงิ วา่ ขณะจบั กมุ พบกระเปา๋ สะพาย

ส่วนที่ ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำสง่ั ในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
487
คดเี ด็กหรือเยาวชนกระทำความผิด


ของผเู้ สยี หายอยทู่ น่ี ายวรชนซง่ึ เปน็ คนซอ้ นทา้ ยรถจกั รยานยนต์ ขอ้ ตอ่ สขู้ องจำเลยที่ ๑ เชน่ นนั้

จึงเป็นเพียงข้ออ้างให้เชื่อว่าจำเลยท่ี ๑ มิได้เป็นตัวการร่วมคบคิดกระทำความผิด แต่หามี

น้ำหนักรับฟงั ไดไ้ ม่ พยานหลักฐานโจทก์ทีน่ ำสบื ฟงั ไดว้ า่ จำเลยที่ ๑ ขบั รถจักรยานยนต์โดยม

นายวรชนนง่ั ซอ้ นทา้ ยมายงั ทเี่ กดิ เหตแุ ละขบั พาหลบหนจี นถกู จบั ได้ การกระทำของจำเลยท่ี ๑

เป็นการแบ่งหน้าที่กันกระทำอันมีลักษณะเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดแล้ว อุทธรณ์ของ

จำเลยท่ี ๑ ฟังไม่ขึ้น ส่วนท่ีจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ว่า คำรับสารภาพตามบันทึกการจับกุม และ

บันทึกคำรับสารภาพของจำเลยที่ ๒ เอกสารหมาย จ.๘ และ จ.๑๐ ไม่ได้กระทำต่อหน้า

สหวชิ าชพี ศาลชนั้ ตน้ ไมอ่ าจนำมารบั ฟงั เปน็ พยานหลกั ฐานได้ เหน็ วา่ ตามประมวลกฎหมายวธิ

พจิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๓๔/๒ ใหน้ ำบทบญั ญตั ใิ นมาตรา ๑๓๓ ทวิ และมาตรา ๑๓๓ ตร

เรอ่ื งการจดั ใหม้ นี กั จติ วทิ ยาหรอื นกั สงั คมสงเคราะห์ บคุ คลทเ่ี ดก็ รอ้ งขอ และพนกั งานอยั การเขา้

ร่วมในการถามปากคำ มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่การสอบสวนผู้ต้องหาอายุไม่เกินสิบแปดป

เฉพาะกรณีในช้ันสอบสวนเท่านั้น มิได้บัญญัติรวมถึงในช้ันจับกุมด้วย และแม้ตามประมวล

กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๘๔ จะมใิ หน้ ำถอ้ ยคำรบั สารภาพของผถู้ กู จบั วา่ ตนได

กระทำความผิดมารับฟังเป็นพยานหลักฐาน แต่ในช้ันพิจารณา จำเลยท่ี ๒ นำสืบเบิกความ

ยอมรับว่าน่ังซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันท่ีนายถานุวัฒน์ขับไปพร้อมกับจำเลยท่ี ๑ และนาย

วรชน อันเป็นการเจือสมกับคำเบิกความของพยานโจทก์ เพียงแต่บ่ายเบี่ยงอยู่ว่ามิใช่ผู้ร่วม

กระทำความผิด ดงั นน้ั หากไมม่ คี ำรบั สารภาพในช้นั จบั กุม กส็ ามารถวินิจฉยั ถงึ ความผิดของ

จำเลยท่ี ๒ ไดจ้ ากพยานหลกั ฐานอนื่ ของโจทก์ และกรณไี มอ่ าจรบั ฟงั ไดว้ า่ จำเลยท่ี ๒ เขา้ หา้ ม

การทำร้ายผู้เสียหาย เป็นการป้องกันสิทธิของผู้เสียหายซึ่งจะไม่มีความผิดตามประมวล

กฎหมายอาญา มาตรา ๖๘ อทุ ธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ข้นึ

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยท้ังสองต่อไปว่า มีเหตุสมควรรอการ

ลงโทษหรือไม่ เห็นว่า จำเลยท้ังสองร่วมกับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหาย

488 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ จิ ฉยั คดี


ไดร้ บั อนั ตรายสาหสั นบั วา่ เปน็ พฤตกิ ารณท์ ร่ี า้ ยแรง เปน็ อนั ตรายตอ่ สจุ รติ ชนอยา่ งยงิ่ แมจ้ ำเลย

ท่ี ๑ จะยกข้ออ้างเกย่ี วกับสถานะทางการศึกษาว่ายงั เรียนหนังสือ และจำเลยท่ี ๒ ได้ยกเหตุ

ท่ีต้องมีภาระรับผิดชอบต่อครอบครัว ซ่ึงเป็นการง่ายต่อการกล่าวอ้าง ท้ังเทียบไม่ได้กับการ

กระทำของจำเลยทั้งสองกับพวกท่ีกระทำการโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ไม่คำนึงถึงความ

เสยี หายและความเดอื ดรอ้ นของผอู้ น่ื จงึ ไมม่ เี หตทุ จี่ ะปรานรี อการลงโทษ ทศี่ าลชน้ั ตน้ ใชด้ ลุ พนิ จิ

ลงโทษจำคุกและเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยทั้งสองไปฝึกและอบรมยังสถานพินิจและ

คุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานครน้ัน นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งการกระทำ

ความผดิ ของจำเลยทัง้ สอง ศาลอุทธรณ์แผนกคดเี ยาวชนและครอบครัวเห็นพ้องด้วย อทุ ธรณ

ของจำเลยทั้งสองฟังไมข่ น้ึ

พิพากษายืน.

สว่ นที่ ๒ ตัวอยา่ งคำพิพากษาและคำส่งั ในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์
489
คดีเดก็ หรอื เยาวชนกระทำความผดิ


ตวั อย่างคดีละเมิดอำนาจศาล





คำพิพากษาศาลอุทธรณท์ ่ี ๗๖๓๗/๒๕๔๘




ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตาม

อุทธรณ์ของผู้ถูกกล่าวหาว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามท่ีถูก

กลา่ วหาหรอื ไม่ ในปญั หาดงั กลา่ ว นางสาวนภิ า อนิ ใหม่ ผกู้ ลา่ วหา เบกิ ความยนื ยนั วา่ ระหวา่ ง

ทผี่ ถู้ กู กลา่ วหาปฏบิ ตั หิ นา้ ทที่ ป่ี รกึ ษากฎหมายจำเลยใหน้ ายพยบั เอยี ดฉมิ บตุ รชายของนางสาว

นภิ า ไดเ้ รยี กเงนิ คา่ วา่ ความ นดั ละ ๑,๕๐๐ บาท รวม ๒ นดั เปน็ เงนิ ๓,๐๐๐ บาท ผถู้ กู กลา่ วหา

ไดท้ วงเงนิ จำนวนดังกล่าวหลายครงั้ จนเมอื่ ถึงวันนัดสบื พยานจำเลยนัดสดุ ทา้ ย ผูถ้ กู กล่าวหา

ไดท้ วงเงนิ จากนางสาวนภิ าอกี ทำใหน้ างสาวนภิ ามาสอบถามผพู้ พิ ากษาเจา้ ของสำนวนวา่ ตอ้ ง

จา่ ยเงนิ คา่ วา่ ความใหท้ ป่ี รกึ ษากฎหมายจำเลยหรอื ไม่ ตอ่ มาเมอ่ื นางสาวนภิ าพบผถู้ กู กลา่ วหาท
ี่
บริเวณช้ันล่างของศาลชน้ั ตน้ ผถู้ ูกกล่าวหาไดช้ ้หี น้าและพูดขม่ ขนู่ างสาวนิภา เหน็ วา่ นางสาว

นภิ า ผกู้ ลา่ วหา เปน็ มารดาจำเลย เพงิ่ พบและรจู้ กั ผถู้ กู กลา่ วหา เนอ่ื งจากศาลชนั้ ตน้ ขอแรงผถู้ กู

กล่าวหาให้เป็นที่ปรึกษากฎหมายจำเลยให้แก่บุตรชายของนางสาวนิภา เหตุท่ีเกิดเป็นปัญหา

ขนึ้ เพราะนางสาวนภิ าสอบถามผพู้ พิ ากษาเจา้ ของสำนวนเรอ่ื งคา่ วา่ ความ และเมอ่ื ผถู้ กู กลา่ วหา

เดินเข้ามาใกล้ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนจึงกล่าวเตือนว่าเรียกค่าท่ีปรึกษากฎหมายไม่ได้

เนอ่ื งจากศาลสงั่ จา่ ยใหอ้ ยแู่ ลว้ หลงั จากนน้ั เมอื่ ผถู้ กู กลา่ วหาพบนางสาวนภิ าอกี ผถู้ กู กลา่ วหาจงึ

ต่อว่าและพูดจาทำนองข่มขู่ว่าจำเลยซ่ึงเป็นบุตรชายของนางสาวนิภาอาจติดคุกได้ ทำให้

นางสาวนิภาเกิดความกลัว ดังน้ัน เม่ือพบผู้พิพากษาท่ีเป็นองค์คณะ จึงได้แจ้งให้ทราบถึง

พฤตกิ ารณข์ องผถู้ กู กลา่ วหา ขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏตามรายงานกระบวนพจิ ารณา ฉบบั ลงวนั ที่ ๒๗

มกราคม ๒๕๔๘ และหนงั สือร้องทุกข์ของผู้กลา่ วหา เมอ่ื ไมป่ รากฏว่านางสาวนภิ า ผกู้ ลา่ วหา

และผู้ถูกกล่าวหามีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน จึงไม่มีข้อระแวงสงสัยว่านางสาวนิภาจะกล่าว

490 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉัยคด


อา้ งรวมทง้ั จดั ทำหนงั สอื รอ้ งทกุ ขแ์ ละเบกิ ความปรกั ปรำใหร้ า้ ยผถู้ กู กลา่ วหาเพอื่ ทำใหต้ อ้ งไดร้ บั

โทษในเรอื่ งทไ่ี มเ่ ปน็ ความจรงิ เชอื่ ไดว้ า่ นางสาวนภิ าเบกิ ความเปน็ พยานตามทร่ี เู้ หน็ แมค้ ำเบกิ

ความจะมีรายละเอียดแตกต่างไปจากหนังสือร้องทุกข์บ้าง ก็เป็นเพียงพลความ มิใช่ข้อ

สาระสำคญั ทจี่ ะทำใหค้ ำเบกิ ความดงั กลา่ วถงึ กบั รบั ฟงั ไมไ่ ด้ เมอื่ ประมวลพยานหลกั ฐานทงั้ จาก

คำเบิกความของนางสาวนิภา ผู้กล่าวหา และหนังสือร้องทุกข์ประกอบกับรายงานกระบวน

พจิ ารณา ฉบบั ลงวนั ท่ี ๒๗ มกราคม ๒๕๔๘ รวมทง้ั คำเบกิ ความทเี่ จอื สมของผถู้ กู กลา่ วหาแลว้

ฟงั ไดว้ า่ ผถู้ กู กลา่ วหาเรยี กคา่ วา่ ความจากนางสาวนภิ าอนั เปน็ การกระทำทม่ี ชิ อบ เนอ่ื งจากผถู้ กู

กล่าวหาสามารถเบิกเงินค่าป่วยการจากศาลช้ันต้นได้อยู่แล้ว ผู้ถูกกล่าวหาได้ทวงเงินจำนวน

ดังกล่าวหลายคร้ัง แม้กระท่ังที่หน้าห้องพิจารณาในศาลชั้นต้น การกระทำของผู้ถูกกล่าวหา

จึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล

ตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ มาตรา ๓๑ (๑) และมาตรา ๓๓ ประกอบประมวล

กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ พยานหลักฐานของผู้ถูกกล่าวหาไม่อาจหักล้าง

พยานหลักฐานของผู้กล่าวหาได้ ส่วนท่ีผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการ

ลงโทษนน้ั เหน็ วา่ แมก้ ารกระทำของผูถ้ ูกกล่าวหาจะเป็นการใชว้ ชิ าชีพทนายความไปในทางท
ี่
ไม่สมควร ทั้งขัดต่อจริยธรรมและมรรยาทของผู้ประกอบวิชาชีพทนายความก็ตาม แต่ท่ีศาล

ชน้ั ตน้ พพิ ากษาจำคกุ ผถู้ กู กลา่ วหาถงึ ๓ เดอื น นนั้ หนกั เกนิ ไป เหน็ สมควรกำหนดโทษเสยี ใหม

ให้เหมาะสมโดยไมร่ อการลงโทษให้ อุทธรณข์ องผถู้ ูกกล่าวหาฟงั ข้นึ บางส่วน

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุก ๑ เดือน นอกจากท่ีแก้ให้เป็นไปตาม

คำพิพากษาศาลชน้ั ต้น.

ส่วนท่ี ๒ ตัวอย่างคำพพิ ากษาและคำส่งั ในรูปคำพิพากษาของศาลอทุ ธรณ
์ 491
คดเี ด็กหรอื เยาวชนกระทำความผิด


คำส่งั ในรปู คำพิพากษา





ตัวอย่างคดีตอ้ งห้ามอุทธรณ์

เพราะเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจรงิ






ำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ท่ี ๒๓๓๗/๒๕๔๘


ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว

เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ ซึ่งระวางโทษ

จำคกุ ไมเ่ กนิ สองปี หรอื ปรบั ไมเ่ กนิ สพี่ นั บาท หรอื ทงั้ จำทง้ั ปรบั และศาลชนั้ ตน้ มคี ำพพิ ากษาให

ปรบั จำเลย ๕๐๐ บาท จำเลยอุทธรณว์ า่ จำเลยมิไดก้ ระทำความผิด จึงเปน็ อุทธรณ์ในปัญหา

ข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๓ ทว ิ

ประกอบพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและ

ครอบครัว พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๑๒๑ หากจำเลยมีความประสงค์ที่จะอุทธรณ์ในปัญหา

ข้อเท็จจรงิ จำเลยตอ้ งยื่นคำรอ้ ง (พร้อมอทุ ธรณ)์ เพ่อื ขอให้ผู้พิพากษาศาลช้ันต้นซงึ่ พิจารณา

หรือลงช่ือในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งอนุญาตให้อุทธรณ์ได้ หากพิเคราะห์เห็นว่า

ขอ้ ความทตี่ ดั สนิ นนั้ เปน็ ปญั หาสำคญั อนั ควรสศู่ าลอทุ ธรณ์ หรอื อธบิ ดกี รมอยั การ (อยั การสงู สดุ )

หรือพนักงานอัยการซ่ึงอธิบดีกรมอัยการ (อัยการสูงสุด) ได้มอบหมายลงลายมือช่ือรับรอง

ในอุทธรณ์ว่ามีเหตุอันควรที่ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัย ท้ังนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา

ความอาญา มาตรา ๑๙๓ ตรี ประกอบพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลเยาวชนและครอบครัวและ

วิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๖ จึงจะรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้

พจิ ารณาได้ แตไ่ มป่ รากฏวา่ ขณะยน่ื อทุ ธรณจ์ ำเลยไดย้ นื่ คำรอ้ งเพอ่ื ขอใหผ้ พู้ พิ ากษาศาลชนั้ ตน้

ทพี่ จิ ารณาและลงชอ่ื ในคำพพิ ากษามคี ำสง่ั อนญุ าตใหจ้ ำเลยอทุ ธรณใ์ นปญั หาขอ้ เทจ็ จรงิ รวมทง้ั

492 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉยั คด


จำเลยกม็ ไิ ดย้ น่ื คำรอ้ งเพอ่ื ขอใหอ้ ธบิ ดกี รมอยั การ (อยั การสงู สดุ ) หรอื พนกั งานอยั การซงึ่ อธบิ ด

กรมอยั การ (อยั การสงู สดุ ) ไดม้ อบหมายลงลายมือชอ่ื รบั รองให้อุทธรณ์ ดงั นนั้ ท่ศี าลชัน้ ตน้ ม

คำสงั่ ไมร่ บั อทุ ธรณข์ องจำเลยจงึ ชอบแลว้ คดนี เี้ ปน็ คดอี าญาทเี่ ดก็ หรอื เยาวชนเปน็ ผถู้ กู กลา่ วหา

วา่ กระทำความผดิ ในหมวด ๑ บทท่วั ไป แห่งพระราชบญั ญตั ิจดั ตง้ั ศาลเยาวชนและครอบครัว

และวิธพี ิจารณาคดีเยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๓๔ มมี าตรา ๖ บญั ญตั ิให้นำบทบัญญัตใิ น

ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญามาใชบ้ งั คบั แกค่ ดเี ยาวชนเทา่ ทไ่ี มข่ ดั หรอื แยง้ กนั เมอ่ื

ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๙๓ ทวิ และมาตรา ๑๙๓ ตรี ไดบ้ ญั ญตั โิ ดย

แจ้งชัดเก่ียวกับการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไว้แล้ว กรณีจึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธ

พิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๐ มาปรับใช้แก่คดีนี้อีก ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของ

จำเลยมานัน้ ชอบแล้ว อุทธรณข์ องจำเลยฟังไมข่ ้นึ

พิพากษายนื .

สว่ นที่ ๓

ภาคผนวก



ส่วนที่ ๓ ภาคผนวก
495

ภาคผนวก หมายเลข ๑





ขอ้ ความตอ่ จาก “ว่า” ควรเวน้ วรรคหรือไม่ *





๑. กระบวนพจิ ารณาซง่ึ กระทำโดยศาล ควรเว้นวรรค เช่น


๑.๑ ศาลเห็นว่า ศาลเชอ่ื วา่ ศาลฟังว่า

๑.๒ ศาลวินิจฉัยว่า

๑.๓ ศาลส่งั วา่

๑.๔ ศาลมคี ำสัง่ วา่

๑.๕ ศาลพิจารณาแลว้ พิพากษาว่า ศาลพพิ ากษาวา่

๑.๖ ศาลพพิ ากษาแก้เป็นวา่

๑.๗ ศาลพิพากษากลับวา่

๑.๘ มปี ัญหาทีจ่ ะตอ้ งวินจิ ฉยั วา่

๑.๙ ขอ้ เทจ็ จรงิ ฟงั ไดใ้ นเบ้อื งตน้ วา่


๑.๑๐ ข้อเท็จจรงิ ได้ความวา่


๒. กระบวนพิจารณาซึง่ กระทำโดยคคู่ วาม ควรเว้นวรรค เชน่


๒.๑ โจทกฟ์ อ้ งว่า

๒.๒ จำเลยให้การว่า

๒.๓ โจทก์ (หรือจำเลย) แถลงว่า


๒.๔ โจทก์ (หรอื จำเลย) ย่นื คำรอ้ ง (หรือคำแถลง) วา่


๓. คำเบกิ ความของพยานหรอื คำให้การในชัน้ สอบสวน ควรเวน้ วรรค เช่น


๓.๑ ผ้เู สียหายเบิกความว่า

๓.๒ โจทก์ (หรอื จำเลย) อา้ งตนเองเป็นพยานเบกิ ความวา่

๓.๓ นายแดง พยานโจทก์ เบกิ ความวา่

๓.๔ พนักงานสอบสวนเบิกความวา่

๓.๕ จำเลยให้การในชน้ั สอบสวนวา่

๓.๖ นายดำ พยานจำเลย ให้การไวใ้ นช้ันสอบสวนวา่


* คำแนะนำของทา่ นศกั ด์ิ สนองชาติ อดตี รองประธานศาลฎกี า คดั มาจากบทที่ ๕ การเขยี นคำพพิ ากษา ใน

คมู่ อื ปฏบิ ตั ริ าชการศาลอทุ ธรณ์ พ.ศ. ๒๕๓๘ (กรงุ เทพมหานคร : ศาลอทุ ธรณ,์ ๒๕๓๘), หนา้ ๑๓๕ – ๑๓๖.

496 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉยั คด


๔. ขอ้ ความอ่นื ไมค่ วรเว้นวรรค ๑ เชน่


๔.๑ ผลของการตรวจพิสูจนป์ รากฏวา่ ของกลางเปน็ เฮโรอีน

๔.๒ โจทกเ์ หน็ ว่าจำเลยเป็นญาติ จงึ ใหย้ ืมเงิน

๔.๓ นายแดง พยานโจทก์ เบกิ ความวา่ ขณะเกดิ เหตพุ ยานไดย้ นิ ผตู้ ายดา่ จำเลยวา่ เปน็


คนเนรคุณ [ เว้นแตข่ ้อความท่ดี า่ นน้ั อย่ใู นเครอื่ งหมายคำพูด (อญั ประกาศ) หรอื ในทำนองนั้น

เชน่ ผูต้ ายด่าจำเลยวา่ “อา้ ยเนรคณุ ” หรือ ผ้ตู ายดา่ จำเลยวา่ อ้ายเนรคุณ ]


๑ ในหลักภาษาไทยมีประโยคท่ีเรียกวา่ “สงั กรประโยค” ซึ่งมอี งค์ประกอบของประโยคแบง่ ออกเป็น ๒ สว่ น


ไดแ้ ก่ มุขยประโยค อันเปน็ สว่ นหลกั หรือส่วนสำคัญของประโยค แตไ่ มส่ มบูรณ์ดว้ ยตัวเอง และ อนุประโยค

อันเป็นส่วนรองของประโยคที่ช่วยทำให้สังกรประโยคครบถ้วนสมบูรณ์ ดังน้ัน มุขยประโยคและอนุประโยคจึง

ต้องเป็นองค์ประกอบซ่ึงกันและกันในสังกรประโยค จะขาดเสียซ่ึงส่วนใดส่วนหน่ึงไม่ได้ โดยปกติมุขยประโยค

และอนุประโยคจะอย่ตู ดิ ตอ่ กันในประโยคเดยี วกนั โดยไม่มกี ารเว้นวรรค

กระบวนพิจารณาซ่ึงกระทำโดยศาลในข้อ ๑.๑ ถึงข้อ ๑.๑๐ รวมทั้งกระบวนพิจารณาซ่ึงกระทำโดย

ค่คู วามในข้อ ๒.๑ ถงึ ขอ้ ๒.๔ และคำเบกิ ความของพยานหรอื คำให้การในช้ันสอบสวนในขอ้ ๓.๑ ถึงข้อ ๓.๖

เป็นส่วนหลักที่เรียกว่า มุขยประโยค ในสังกรประโยค ดังน้ัน ประโยคหรือข้อความต่อจาก “ว่า” ซึ่งหมายถึง

อนุประโยค จะต้องอยู่ติดต่อกันกับมุขยประโยคโดยไม่มีการเว้นวรรค แต่ในคำพิพากษาและคำส่ังของศาล

รวมท้งั กระบวนพิจารณาต่าง ๆ ในศาลมกี ารเว้นวรรค ถอื ไดว้ า่ เป็นขอ้ ยกเว้นของหลกั ภาษาไทยดังกล่าว อาจ

เป็นเพราะมีความประสงค์ท่ีจะทำให้ประโยคหรือข้อความต่อจาก “ว่า” ที่เก่ียวกับกระบวนพิจารณาซึ่งกระทำ

โดยศาลในข้อ ๑.๑ ถงึ ขอ้ ๑.๑๐ รวมทัง้ กระบวนพิจารณาซง่ึ กระทำโดยค่คู วามในข้อ ๒.๑ ถงึ ข้อ ๒.๔ และคำ

เบิกความของพยานหรือคำให้การในชั้นสอบสวนในข้อ ๓.๑ ถึงข้อ ๓.๖ ซ่ึงอาจเป็นข้อความที่ศาลพิพากษา

ขอ้ ความที่เปน็ คำฟอ้ งหรอื คำให้การ รวมทงั้ ขอ้ ความทีเ่ ปน็ คำเบิกความของผ้เู สียหาย ฯลฯ มคี วามชัดเจนแยก

เดน่ ออกมา

ส่วนในข้อ ๔. ข้อความอ่ืนไม่ควรเว้นวรรค เป็นตัวอย่างของการใช้ “ว่า” ตามปกติในภาษาไทย

ทั่วไปที่ไม่ต้องเว้นวรรคสำหรับประโยคหรือข้อความต่อจาก “ว่า” ดังนั้น นอกเหนือจากกระบวน

พิจารณาซ่ึงกระทำโดยศาลในข้อ ๑.๑ ถึงข้อ ๑.๑๐ รวมท้ังกระบวนพิจารณาซ่ึงกระทำโดยคู่ความในข้อ ๒.๑

ถงึ ขอ้ ๒.๔ และคำเบิกความของพยานหรือคำให้การในชน้ั สอบสวนในขอ้ ๓.๑ ถึงข้อ ๓.๖ ดังกลา่ วขา้ งตน้ ซึง่

เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนแล้ว ประโยคหรือข้อความต่อจาก “ว่า” ไม่สมควรเว้นวรรค โดยเฉพาะในประโยคท่ี

เรยี กว่า สังกรประโยค ยกเวน้ ในกรณที มี่ คี วามจำเปน็ จริง ๆ

ข้อสังเกต คำว่า “เห็นว่า” เมื่อนำมาใช้เป็นคำเดียวโดด ๆ ก่อนข้อความที่พิเคราะห์หรือวินิจฉัยคดี

ให้มีการเว้นวรรคทงั้ ข้างหนา้ และขา้ งหลงั

ส่วนท่ี ๓ ภาคผนวก
497

๔.๔ โจทก์ (หรอื จำเลย) บอกวา่ หรอื โจทก์ (หรอื จำเลย) พดู วา่ [ เวน้ แตข่ อ้ ความทบี อก

หรือพดู น้ันอยู่ในเครอื่ งหมายคำพูด (อญั ประกาศ) หรอื ในทำนองนนั้ ]


๔.๕ ผเู้ สยี หายไปแจง้ ความต่อผใู้ หญ่บ้านวา่ ถูกปล้นและระบวุ ่าจำเลยเป็นคนรา้ ย

๔.๖ โจทก์กับจำเลยทำบนั ทกึ ไว้ว่าตกลงเลกิ คดกี ัน

๔.๗ พยานคดิ วา่ หรอื เข้าใจวา่ เพอ่ื นมารอ้ งเรยี ก จึงเปิดประตูรบั

๔.๘ จำเลยทราบวา่ โจทกร์ ่วมแอบไปเบกิ เงนิ




ฯลฯ

498 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉยั คด


ภาคผนวก หมายเลข ๒





เรยี งประโยค *




พ. นววรรณ




ประโยคภาษาไทย เรียงไดห้ ลายอยา่ ง ตามปกติคำทที่ ำหน้าท่ปี ระธานมักอยู่ตน้ ประโยค


ถดั ไปเป็นกริยา ถา้ กรยิ าน้นั มีกรรม ก็เรียงกรรมไวท้ ้ายกรยิ าอีกทีหนงึ่

แต่บางประโยคก็เอากรรมไว้หน้าประธาน เช่น เข็มกลัดอันนี้ฉันไม่เห็นอยากได้ เอา

ประธานไวท้ า้ ยสดุ เชน่ เสอื้ ขาด ๆ ทนใสไ่ ดย้ งั ไงกนั เธอ หรอื เอากรรมแทรกไวร้ ะหวา่ งประธาน

กบั กรยิ า เชน่ ฉนั นะ่ รถคนั นไ้ี มช่ อบหรอก ทงั้ นี้ แลว้ แตว่ า่ จะเนน้ ขอ้ ความใดกเ็ อาขอ้ ความนน้ั ไว้


้นประโยคเพื่อใหเ้ ด่นกวา่ ข้อความอน่ื

ประโยคท่ีมีแต่ ประธาน กริยา กรรม ดังกล่าวแล้ว เรียงถ้อยคำได้ง่าย ไม่ชวนให

เขา้ ใจผิด แตป่ ระโยคท่ซี บั ซอ้ น มีคำขยายหรือมีข้อความขยาย การจดั เรียงถอ้ ยคำในประโยค

ก็ยุ่งยากข้ึน จำเป็นต้องระมัดระวังเรื่องการวางรูปประโยคและการลำดับความ โดยท่ัวไป

ข้อความท่เี รยี งไวใ้ กล้กันมักชวนให้นกึ วา่ มีความเกย่ี วเนื่องกนั ประโยคว่า หลอ่ นไดแ้ ลเหน็ เด็ก

น้อยไร้เดียงสาข้างชายหนุ่มท่ีกำลังกระโดดโลดเต้น ชวนให้คิดว่าผู้ท่ีกำลังกระโดดโลดเต้น

คือชายหนุ่ม ส่วน หล่อนได้แลเห็นเด็กน้อยไร้เดียงสาที่กำลังกระโดดโลดเต้นข้างชายหนุ่ม

ผู้ท่ีกำลังกระโดดโลดเต้นคือเด็กน้อย ประโยคว่า นายเผือกถูกฟ้องฐานวิ่งราวทรัพย์ในศาล

อาญา นายเผือกวิ่งราวทรัพย์ในศาลอาญา จึงถูกฟ้อง ส่วน นายเผือกถูกฟ้องในศาลอาญา

ฐานว่ิงราวทรัพย์ หมายความว่า นายเผือกว่ิงราวทรัพย์ จึงถูกฟ้องในศาลอาญา ประโยคว่า

เขาเป็นคนใช้ของนายที่ดีที่สุด ผู้ท่ีดีที่สุดคือนาย ส่วน เขาเป็นคนใช้ท่ีดีท่ีสุดของนาย ผู้ที

ดีทส่ี ดุ คือคนใช้ ประโยควา่ เสื้อของผู้หญงิ สวยในร้าน ผู้หญิงสวยทีอ่ ยใู่ นรา้ นเปน็ เจ้าของเสอ้ื

สว่ น เสอื้ ในรา้ นของผหู้ ญงิ สวย ผหู้ ญงิ สวยเปน็ เจา้ ของรา้ นทม่ี เี สอื้ จะใหข้ อ้ ความใดสมั พนั ธก์ บั

คำอะไรกต็ อ้ งเอาไวใ้ กล้ ๆ กนั มฉิ ะนน้ั อาจเกดิ ปญั หาวา่ ผเู้ ขยี นเขยี นอยา่ งหนง่ึ ผอู้ า่ นอา่ นเขา้ ใจ

ไปอีกอย่างหนึง่




* คัดมาจากหนังสือเรื่อง การใช้ภาษา (กรุงเทพมหานคร : สมาคมสตรีอุดมศึกษาแห่งประเทศไทย,

๒๕๑๕), หน้า ๙๗ – ๙๘.

ส่วนท่ี ๓ ภาคผนวก
499
บางประโยคไม่มีข้อความขยายนามดังประโยคข้างต้น แต่มีกริยาประกอบด้วยคำหลาย

คำ การเรียงกริยาเหล่านั้นสับกัน ความหมายย่อมต่างกัน ประโยคว่า เขาไปเดินที่หาด

ทราย หมายความว่า เขาจะเร่ิมเดินเม่ือไปถึงหาดทราย ส่วน เขาเดินไปที่หาดทราย หมาย

ความว่า เขาเดินไปถึงหาดทรายแล้วอาจจะหยุดเดิน ประโยคว่า เส้ือสีเทาเมื่อไรคุณจะมารับ

เสยี ที ผพู้ ดู เตอื นใหผ้ ฟู้ งั มาเอาเสอื้ สเี ทาไป สว่ น เสอ้ื สเี ทาเมอื่ ไรคณุ จะรบั มาเสยี ที ผพู้ ดู เตอื นให

ผฟู้ งั ไปเอาเสอื้ สเี ทามา ประโยควา่ รฐั บาลสนบั สนนุ ใหค้ นมอี าชพี รฐั บาลสนบั สนนุ คนไรอ้ าชพี

ใหม้ อี าชพี สว่ น รฐั บาลใหส้ นบั สนนุ คนมอี าชพี รฐั บาลใหช้ ว่ ยกนั สนบั สนนุ คนทม่ี อี าชพี อยแู่ ลว้

การเรียงประโยคต่างกันย่อมมีผลต่างกัน ถ้าเรียงดี ประโยคน้ันก็ส่ือความหมาย

ถ่ายทอดความคิดความรู้สึกของผู้เขียนผู้พูดไปสู่ผู้อ่านผู้ฟังได้ดังประสงค์ ถ้าเรียงไม่ดีก็ย่อม

ได้ผลตรงกนั ข้าม

500 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉัยคดี


ภาคผนวก หมายเลข ๓





คำในภาษาไทยท่ีอาจจะเขยี นผิดในคำพิพากษา


คำทีถ่ ูก คำทผี่ ิด คำทีถ่ กู คำท่ีผิด

อกั ษร ก.

กงสุล กงศลุ กฎหมาย กฏหมาย

กบฏ กบฎ กรรมสิทธิ ์ กรรมสทิ ธ ิ

กระตือรอื ร้น กระตอื รือล้น, กระบวนการยุตธิ รรม ขบวนการยตุ ิธรรม

กะตือรือร้น

กอปร กอป, กอบร * กะโหลก กระโหลก

กากบาท กากบาด, กากะบาท * กาลเทศะ กาละเทศะ

ก้าวรา้ ว กร้าวร้าว * กจิ จะลกั ษณะ กจิ ลกั ษณะ

กิตติมศกั ด์ ิ กติ ิมศกั ดิ ์ เกษยี นหนงั สือ เกษยี ณหนงั สอื ,

เกษียรหนงั สือ

เกินดลุ เกนิ ดุลย์




อกั ษร ข.

ขบถ ขบฏ ขาดดุล ขาดดุลย

ขีดคน่ั (จำกัด) ขดี ขน้ั (เกณฑก์ ำหนด) ขันฑสกร ขันทสกร




อกั ษร ค.

ครรลอง คันลอง, คลั ลอง คลนิ กิ คลินคิ , คลนี ิก, คลนี ิค

คลุมเครอื ครมุ เคลอื , คลุมเคลอื คอ้ น ฆ้อน

คะนอง คนอง คำนวณ คำนวน

เครือ่ งยนต์ เครือ่ งยนตร์ * เคร่ืองสำอาง เครอื่ งสำอางค

โครงการ โครงการณ์ โควตา โควต้า




อักษร ง.

งบดุล งบดุลย์ * เงินทดรอง เงนิ ทดลอง

ส่วนที่ ๓ ภาคผนวก
501

คำทถี่ ูก คำทผ่ี ดิ คำทถ่ี ูก คำท่ีผดิ

อักษร จ.

จลาจล จราจล จัดสรร จดั สรรค์

จัตรุ สั จตุรสั จะระไน จาระนยั , จารไน

จำนง จำนงค์ จุลทรรศน์ (กลอ้ ง) จุลทัศน์

เจตนารมณ ์ เจตนารมย ์ เจยี ระไน เจยี ระนัย, เจียรไน

โจทก์จำเลย โจทย์จำเลย




อกั ษร ฉ.

ฉะนนั้ ฉน้ัน ฉนั สามีภริยา ฉนั ทส์ ามภี ริยา




อักษร ช.

ชอ้ นสอ้ ม ชอ้ นซ่อม เชาวน์ (ไหวพริบ) เชาว์ (เรว็ )

เชต้ิ เชร้ิ ์ต, เชิ๊ต




อักษร ซ.

ซกั ไซ้ ซกั ไซร้ เซน็ ชอ่ื เซน็ ต์ชอ่ื

เซนตเิ มตร เซน็ ติเมตร




อักษร ด.

ดำรง ดำรงค์ ดลุ ดุลย

ดุลอำนาจ ดลุ ย์อำนาจ ดลุ พนิ ิจ, ดลุ ยพนิ จิ –

เดียดฉนั ท์ เดียจฉนั ท ์




อกั ษร ต.

ตระเวน ตระเวณ ตะราง (คุก) ตาราง

ต่าง ๆ นานา ตา่ ง ๆ นา ๆ ตาตาราง ตาตะราง

ตำรับ ตำหรบั * เตน็ ท ์ เต๊นท




อักษร ถ.

แถลงการณ ์ แถลงการ * ถนนลาดยาง ถนนราดยาง

502 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวินิจฉยั คดี


คำทีถ่ กู คำที่ผิด คำที่ถูก คำท่ีผดิ

อกั ษร ท.

ทยอย ทะยอย ทแยง ทะแยง

ทรราช (ผู้ปกครอง) ทรราชย์ (ลัทธิ) ทระนง ทรนง

ทรัพยสทิ ธ ิ ทรัพยสิทธ์ิ ทะนง ทนง

ทะเลสาบ ทะเลสาป * เท้าความ ท้าวความ

เทดิ ทูน เทอดทนู , เทดิ ทลู แท็กซ่ี แท๊กซ
่ี
แทรกแซง แซกแซง โทรทรรศน์ โทรทศั น์ (เครอื่ งรับ)

(กลอ้ งส่องทางไกล)

โทรมหญิง โซมหญงิ




อกั ษร ธ.

ธำรง ธำรงค์




อักษร น.

นกพิราบ นกพิราป, นกพิราบ นนทรี นนทรีย์

* นานัปการ นานบั ประการ * น้ำมนั กา๊ ด น้ำมนั ก๊าซ

นเิ ทศ นิเทศก,์ นเิ ทศน ์ นเิ วศวิทยา นเิ วศน์วิทยา

เนืองนติ ย ์ เนืองนิจ * ไนต์คลับ ไนทค์ ลับ




อกั ษร บ.

บล็อก บล๊อก, บล๊อค, บล็อก บอระเพด็ บรเพด็

บงั กะโล บงั กะโลว,์ บังกาโล, บันดาล บนั ดาล

บงั กาโลว

บนั ได บรรได บางลำพ ู บางลำภู

บาดทะยัก บาดทยกั , บาทยัก บาทหลวง บาดหลวง

บำเหน็จ บำเน็จ, บำเหนด็ บณิ ฑบาต บิณฑบาตร

* บดิ พล้วิ บิดพริว้ * บคุ ลากร บุคคลากร

บคุ ลิก บคุ คลกิ บุษราคมั บษุ ราคำ

เบญจเพส เบญจเพศ เบรก เบรค

แบง่ สนั ปนั ส่วน แบง่ สรรปันสว่ น

ส่วนที่ ๓ ภาคผนวก
503

คำที่ถกู คำทีผ่ ดิ คำทถ่ี กู คำท่ีผิด

อกั ษร ป.

ปฏิกิริยา ปฏกิ รยิ า * ประจัญบาน ประจนั บาน

* ประจนั หนา้ ประจัญหนา้ ประณตี ปราณีต

ประตมิ ากรรม ปฏิมากรรม ประนปี ระนอม ปรานีประนอม

ประสบการณ์ ประสพการณ์ ปราดเปรื่อง ปราชญเ์ ปรอื่ ง

ประสีประสา ปะสปี ะสา ปะการงั ประการัง

** ปรานี (เอ็นด)ู ปราณี (ผมู้ ชี ีวติ ) ปราศรัย ปราศัย

ปรารถนา ปราถนา * ปล้นสะดม ปลน้ สดมภ,์ ปลน้ สะดมภ์

ปาฏิหาริย ์ ปาฏหิ ารย ์ ปิกนกิ ปคิ นิค

เปอรเ์ ซ็นต ์ เปอร์เซนต ์ ไปรษณยี บตั ร ไปรษณยี ์บัตร

ไปรษณยี ภัณฑ์ ไปรษณยี ภ์ ณั ฑ ์




อักษร ผ.

ผลลพั ธ์ ผลลัพย ์ ผลดั เปลี่ยน ผดั เปล่ยี น

ผลดั ผา้ ผดั ผ้า ผลดั เวร ผดั เวร

ผัดผอ่ น ผลัดผ่อน ผดั วัน ผลดั วัน

ผดั เวลา ผลัดเวลา ผัดศาล ผลดั ศาล

ผดั หน ี้ ผลดั หน ้ี * ผาสุก ผาสุข

เผอเรอ เผลอเรอ แผนการ แผนการณ




อักษร พ.

พรรณนา พรรณา, พรรนา พร้อมสรรพ พร้อมสรรพ์

พฤติการณ ์ พฤติการ พละกำลงั พลกำลัง

พลิ้ว พรวิ้ พะวง พวง

พังทลาย พังทะลาย พัศด ี พัสดี

พสั ด ุ พศั ด ุ * พาณิช (พอ่ คา้ ) พาณิชย,์ พานชิ

พธิ ีรตี อง พิธรี ีตรอง พาณชิ ย์ (การค้าขาย) พานิช

พมึ พำ พมึ พมั พสิ ดาร พิศดาร

เพริศพรงิ้ เพริดพร้ิง เพชฌฆาต เพชรฆาต

เพยี บพรอ้ ม เพรยี บพรอ้ ม เพมิ่ พนู เพม่ิ พลู

504 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉยั คด


คำทถ่ี ูก คำทีผ่ ิด คำท่ีถกู คำทผี่ ิด

อกั ษร ฝ.

ฟั่น ฝ้นั




อักษร ภ.

ภาพยนตร ์ ภาพยนต์ ภารกจิ ภาระกจิ

ภาวการณ ์ ภาวะการ, ภาวะการณ ์ เภทภัย เพทภยั




อกั ษร ม.

มนิลา (เชอื ก) มะนลิ า มโนสาเร่ มะโนสาเร่

มรณกรรม มรณะกรรม มรณภาพ มรณะภาพ

มลทนิ มนทิน มหรสพ มโหรสพ

มกั กะสนั มักสัน มัคคเุ ทศก์ มัคคุเทศน์

มงั สวริ ัต ิ มังสวริ ตั * มสั ม่ัน มัสหม่ัน

มาตรการ มาตราการ * มาตรฐาน มาตราฐาน

ม่าย หม้าย มา่ เหมีย่ ว มะเหม่ยี ว

แมงกะพรนุ แมงกระพรุน โมฆกรรม โมฆะกรรม

โมฆยี กรรม โมฆียะกรรม




อักษร ย.

* ยอ่ มเยา ยอ่ มเยาว์ เยาวว์ ัย เยาวยั

ยงุ ก้นปล่อง ยงุ ก้นป่อง




อักษร ร.

รง (ยางไม้) รงค์ (ส)ี รถยนต์ รถยนตร

* รสชาติ รสชาด รหสั ระหัส

รักษาการ รักษาการณ์ รักษาการณ์ รกั ษาการ

(ปฏิบัตหิ นา้ ท่ีแทน (ดแู ลเหตกุ ารณ์) (ดแู ลเหตุการณ์) (ปฏบิ ัตหิ น้าทีแ่ ทน

ชวั่ คราว) ชัว่ คราว)

รงั สรรค ์ รังสรร รชั ดาภเิ ษก รัชดาภิเศก

สว่ นท่ี ๓ ภาคผนวก
505

คำที่ถูก คำท่ีผดิ คำท่ีถกู คำท่ีผดิ

รากเหง้า รากเงา่ ราคาเยา ราคาเยาว

* ราดยางถนน ลาดยางถนน รนื่ รมย ์ ร่นื รมณ

รมุ่ ร่าม รุ่มล่าม, ลุ่มร่าม รเู้ ท่าไมถ่ ึงการณ์ รู้เทา่ ไมถ่ งึ การ

* รูปการ รปู การณ์ เร่ยี ไร (เกบ็ เงนิ ) เรีย่ ราย (เกลือ่ นกลาด)




อักษร ล.

ลมหวน ลมหวล ลออ ละออ

ละลำ่ ละลกั ระรำ่ ละลกั , ละรำ่ ละลกั ลังถงึ รังถึง

ลายเซ็น ลายเซนต,์ ลายเซน็ ต์ ลำไย ลำใย

ล่ำลา ร่ำลา ลำไส ้ ลำใส้

ลขิ สทิ ธ ์ิ ลขิ สทิ ธ ิ * ลดิ รอน รดิ รอน, ริดลอน

ลกุ ลล้ี กุ ลน รกุ รี้ลกุ รน, ลุกลลี้ กุ รน * ล่ยุ รุ่ย

ลูกเกด ลูกเกต ลกู บาศก์ ลูกบาศ

เล้าโลม เรา้ โลม เลกิ รา เลกิ ลา

เลือกสรร เลอื กสรรค ์ * เลือดกบปาก เลือดกลบปาก

โล่ โลห่ ์ ไลเ่ ลยี่ ไลเ่ รี่ย




อักษร ว.

* วอกแวก วอ่ กแวก่ วัชพืช วัชชพืช

วาทยกร วาทยากร วาทศลิ ป์ วาทะศลิ ป

วิกฤตการณ,์ วกิ ฤตการ, วิกฤติการ, วกิ ฤตกาล, วกิ ฤตกิ าล วิกฤตการ, วิกฤตกิ าร,

วกิ ฤติการณ์ วกิ ฤตกาล, วิกฤตกิ าล (เวลาอันวิกฤติ) วิกฤตการณ์, วิกฤติการณ

(เหตกุ ารณอ์ ันวกิ ฤติ)

วิ่งเป้ียว ว่งิ เปรยี้ ว วง่ิ ผลัด วิ่งผัด

วิปลาส วิปลาศ วปิ สั สนา วิปสั นา

วพิ ากษ์วิจารณ์ วิพากยว์ จิ ารณ์ เวนคนื เวรคืน




อักษร ศ.

ศกั ยภาพ ศักยะภาพ ศลิ ปกรรม ศิลปะกรรม

ศิลปลักษณะ ศิลปะลักษณะ * ศลิ ปวฒั นธรรม ศิลปะวัฒนธรรม

506 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉยั คด


คำท่ีถกู คำท่ีผิด คำท่ถี ูก คำทผี่ ดิ

ศิลปวัตถุ ศิลปะวตั ถ ุ ศิลปวิจารณ ์ ศลิ ปะวจิ ารณ์

ศลิ ปศกึ ษา ศิลปะศึกษา ศิลปหตั ถกรรม ศิลปะหตั ถกรรม

* ศิลปะ ศิลป ศิลปะการแสดง ศิลปการแสดง

ศิลปะปฏบิ ตั ิ ศิลปปฏิบตั ิ ศลิ ปะประดษิ ฐ์ ศลิ ปประดษิ ฐ์

ศิลปะประยุกต ์ ศลิ ปประยกุ ต ์ * ศลิ ปะและวัฒนธรรม ศิลปและวฒั นธรรม

ศิลปะสถาปัตยกรรม ศลิ ปสถาปตั ยกรรม ศลิ ปะสากล ศลิ ปสากล

ศลิ ปะอตุ สาหกรรม ศิลปอุตสาหกรรม ศกึ ษานิเทศก์ ศึกษานเิ ทศ




อกั ษร ส.

สกดั สะกดั สถานการณ ์ สถานการ, สถานะการ,

สถานะการณ

สถิต สถติ ย์ สภาวการณ์ สภาวะการณ

* สมดุล สมดุลย์ ** สมุหบ์ ัญชี สมหุ บัญช

สรา้ งสรรค์ สร้างสรร, สรา้ งสรรพ์ สะกด สกด

สะกดิ สกดิ สะดวก สดวก

สะบดั สบัด สะพรงึ กลวั สพึงกลวั , สะพึงกลัว

สักหลาด สกั กะหลาด สังเกตการณ์ สังเกตการ, สังเกตุการ

สงั เขป สังเขบ สังสรรค ์ สงั สันทน,์ สังสรร

** สญั ลักษณ ์ สญั ญลักษณ์ สนั ดาป สันดาบ

สันนษิ ฐาน สัณนษิ ฐาน สับปะรด สับปะรส, สปั รด

สปั หงก สบั ประหงก, สบั ปะหงก, สัพยอก สัพยอก

สปั งก

สมั ปทาน สมั ประทาน สัมมนา สมั นา

สากกะเบือ สากกระเบือ สาทสิ ลักษณ์ สาทศิ ลักษณ์

สาธารณสถาน สาธารณะสถาน สาบสญู สาปสูญ

สาปแชง่ สาบแช่ง สาร (หนังสอื ) สาส์น

สารพัด สาระพดั สาระสำคญั สารสำคญั

สาลกิ า สารกิ า สำปะหลงั สัมปะหลงั

สำมะโนครวั สำโนครวั , สัมมโนครัว * สงิ โต สิงห์โต

สินบรคิ ณห ์ สินบริคนห ์ สีสนั สีสรร, สีสรรค,์ สสี รรพ

* สุญญากาศ สูญญากาศ

ส่วนท่ี ๓ ภาคผนวก
507

คำท่ีถกู คำท่ีผดิ คำท่ีถูก คำท่ผี ิด

อกั ษร ห.

* หน้าปดั หนา้ ปัทม์ หยากไย ่ หยกั ไย

หลักการ หลักการณ ์ หลดุ ลุ่ย หลดุ รยุ่

เหมน็ สาบ เหม็นสาป * เหล็กใน เหลก็ ไน

เหลวไหล เหลวใหล




อกั ษร อ.

อนุญาต อนญุ าติ อนุมัติ อนุมตั

อนุสาวรีย์ อนุเสาวรีย ์ * อเนก เอนก

อเนจอนาถ อเนจ็ อนาถ อ้อยควั่น ออ้ ยขว้นั

อะล่มุ อล่วย, อลุ่มอลว่ ย, * อะไหล่ อะหล่ัย, อาหลย่ั , อะไหล่

อะล้มุ อลว่ ย อะลุ่มอะหลว่ ย

อัธยาศัย อัธยาศรัย อปั ระมาณ อปั มาณ

อาเจียน อาเจียร * อาเซยี อาเชีย

อำนาจบาตรใหญ่ อำนาจบาทใหญ ่ * อำมหติ อำมะหิต

อิรยิ าบถ อริยาบถ, อิริยาบท อุดมการณ ์ อดุ มการ

** อปุ การคุณ อปุ การะคณุ อุปโลกน์ อุปโลก

* เอเชีย เอเซยี ไอศกรมี ไอสกรมี , ไอสครมี , ไอศครมี

508 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉัยคด


ภาคผนวก หมายเลข ๔





คำทบั ศัพทจ์ ากภาษาต่างประเทศ


(ท่ีอาจจะใช้ในคำพพิ ากษา)



อักษร ก.

* กงสุล (ส ไม่ใช่ ศ – consul) ก๊อก (cock)

กอซ (ผา้ ปดิ แผล – gauze) ก๊อปป้ ี (copy)

กอลฟ์ (golf) กะรัต (carat, karat)

* ก๊าซ, แก๊ส (gas) กาสโิ น (casino)

กโิ ลเฮริ ตซ์ (kilohertz) เกม (game)

เกสตเ์ ฮาส์ (guest house) เกาต ์ (gout)

แกป๊ (หมวกแกป๊ – cap) โกโก้ (cacao)



อกั ษร ค.

ครสิ ต์มาส (Christmas) คลัตซ์ (clutch)

* คลนิ ิก (ก ไมใ่ ช่ ค – clinic) ค็อกเทล (cocktail)

คอนเสริ ต์ (concert) คอฟฟชี อป (coffeeshop)

คอยด์ (coil) คอลมั น์ (column)

** คอร์รัปชัน (corruption) * คทั เตอร์ (cutter)

คทั ลยี า (cattleya) คสั ซ

คาทอลิก (catholic) คาสเซต (เทป) (cassette)

คุกก้ ี (cookie) เคก้ (cake)

เคเบลิ (cable) เครดิต (credit)

เครดิตฟองซเิ อร์ (credit foncier) เคานต์ดาวน์ (countdown)

เคานเ์ ตอร ์ (counter) แคตตาล็อก (catalogue)

* แคปซูล (ป ไมใ่ ช่ บ – capsule) แคลอร ี (calorie)

* โค้ก (coke) โคเคน (cocaine)

โค้ด (code) โคม่า (coma)

โควตา (quota)

ส่วนที่ ๓ ภาคผนวก
509


อักษร จ.

* จ๊ิป (รถจป๊ิ – geep) ** แจกเกต (jacket)



อกั ษร ช.

ชอ็ ต (short) ชาร์จไฟ (charge)

** เชติ้ (shirt) โช้กอพั



อกั ษร ซ.

ซอส (sauce) ซิการ์ (cigar)

* ซิป (ป ไม่ใช ่ บ – zip) ซีเมนต์ (cement)

* ซปุ (ป ไมใ่ ช่ บ – soup) เซรามกิ (ceramic)

เซลล์ (cell) แซ็กโซโฟน (saxophone)



อักษร ด.

ดราฟต ์ (draft) ** ดอลลาร์ (dollar)

ดัม๊ (รถด๊ัม) ** ดิจิทลั (digital)

ดิสก์ (disc, disk) เดนมารก์ (ก ไม่ใช่ ค – Denmark)

ไดนาไมต ์ (dynamite)



อักษร ต.

ตอร์ปิโด (torpedo) * เตน็ ท์ (tent)



อกั ษร ท.

ทอฟฟ ่ี (toffee) * ทาวนเ์ ฮาส์ (townhouse)

* เทคนิค (technique) เทคโนโลย ี (technology)

เทปคาสเซต (cassette tape) เทเลก็ ซ์ (telex)

แทก็ ซ่ี (taxi) แทง็ ก์น้ำ (tank)

510 สำนวนโวหารในการเรียงคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินจิ ฉัยคดี


อักษร น.

นอต (knot หรอื nut) * เนกไท (ก ไมใ่ ช่ ค – necktie)

** โน้ต (note)



อกั ษร บ.

บร่ันดี (brandy) บลอ็ ก (block)

บอ๊ บ (ผม) (bob) * บอล (ball)

บงั กะโล (bungalow) บลั ลาสต์ (ballast)

บัลลนู (balloon) เบรก (brake)

แบคทเี รยี (bacteria) * แบตเตอร่ี (battery)

โบว์ลิง (bowling)



อกั ษร ป.

ปลั๊ก (plug) ป๊ัม (นำ้ มัน)

ปารเ์ กต ์ (parquet) ปกิ นกิ (picnic)

ปิกอพั เป๊ก (กดกระดาษ) (peg)

** เปอร์เซ็นต์ (percent) แป๊ป (นำ้ ) (pipe)

โป๊กเกอร์ (poker)



อักษร พ.

พาสเจอรไ์ รซ์ (pasteurize) พีระมิด (pyramid)

เพริ ์ล (pearl) เพอร์เฟกต์ (perfect)

แพลทนิ ัม (platinum) โพล (สำรวจความคิดเหน็ ) (poll)



อักษร ฟ.

ฟรตุ พนั ซ์ (fruit punch) ** ฟอยล ์ (กระดาษฟอยล์ – foil)

** ฟลิ ม์ (film) ฟตุ บอล (football)

ฟุลสแก๊ป (foolscap) แฟชน่ั (fashion)

แฟลกซ์ (flax) ไฟแช็ก

สว่ นท่ี ๓ ภาคผนวก
511

อกั ษร ม.

มอยส์เจอไรเซอร์ (moisturizer) มะกะโรนี (macaroni)

มารค์ (marc) โมเสก (mosaic)



อกั ษร ย.

ยิปซมั (gypsum)



อักษร ร.

รักบี้ (rugby) รัมมี

รบิ บิ้น (ribbon) รีไซเคลิ (recycle)

รเู ลต็ ต์ (roulette) แรก็ เกต (racket)

โรตารี (Rotary)



อกั ษร ล.

ล็อกเกต (locket) ลติ มัส (litmus)

ลิฟต ์ (lift) * เลต็ เตอร์ออฟเครดติ (letter of credit)

เลนส ์ (lens) แลคเกอร ์ (lacquer)



อกั ษร ว.

วาล์ว (valve) วินด์เซริ ฟ์ (windsurf)

วสิ ก้ี (whisky) โวลต์ (volt)



อกั ษร ส.

สกูรว์ (screw) สกรู ไร

สเกต (skate) * สเกตซ์ (ภาพ) (sketch)

สแกน (scan) สแครมเบลิ

สตาร์ต (start) สตาร์ตเตอร์ (starter)

* สตฟั ฟ์ (stuff) สตกิ เกอร์ (sticker)

สเตนเลส, สแตนเลส (stainless) สเตอริโอ (stereo)

* สนุกเกอร ์ (snooker) สแน็กบาร์ (snack bar)

512 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี


สปอตไลต์ (spotlight) สปาเกตตี (spaghetti)

** สปารต์ า (มดี ) (sparta) สเปรย์ (spray)

สลอ๊ ตแมชีน (slot machine) สไลด์ (slide)

สวิตช์ (switch) * สเวตเตอร ์ (sweater)

เสิรจ์ (ผา้ ชนดิ หนงึ่ – serge) เสริ ฟ์ (serve)

แสตมป์ (stamp)



อักษร อ.

อพารต์ เมนต ์ (apartment) ออโตเมติก (automatic)

ออฟฟศิ (office) อะเซทิลนี (acetylene)

* อะลมู เิ นียม (aluminium) * อลั ตราไวโอเลต (ultraviolet)

อลั บมั (album) ** อินเทอรเ์ น็ต (internet)

อิเล็กตรอน (electron) * อเิ ล็กทรอนิกส์ (electronics)

อเิ ลก็ โทน (electone) เอกซเรย ์ (x-rays)

เอเชยี (Asia) เอนไซม์ (enzyme)

แอร์ฟรานซ์ (Air France) * แอลกอฮอล ์ (alcohol)

แอสไพรนิ (aspirin) แอสฟัลต ์ (asphalt)

โอก๊ (oak) โอต (ขา้ ว) (oat)

โอลมิ ปกิ (Olympic) ** ไอศกรีม (ice-cream)



อักษร ฮ.

ฮอกกี้ (hockey) เฮริ ตซ์ (hertz)

โฮเตล็ (hotel) ไฮดรอลิก (hydraulic)

ไฮไฟ (hi-fi) ไฮโล

สว่ นท่ี ๓ ภาคผนวก
513

ภาคผนวก หมายเลข ๕





ชื่อกฎหมายและศักราช *




ท่านเธียร เจริญวฒั นา




ชอื่ กฎหมายอาจแบง่ ออกไดเ้ ปน็ ๓ ส่วน สว่ นแรกเปน็ คำบอกใหร้ วู้ า่ เปน็ พระราชบัญญตั ิ

พระราชกำหนด หรอื พระราชกฤษฎกี า สว่ นทส่ี องเปน็ ชอื่ เฉพาะของกฎหมายนน้ั สว่ นทส่ี ามเปน็

ศักราชบอกปที ตี่ รากฎหมายน้นั ขึน้ เช่น

๑. พระราชบัญญัติลักษณพิจารณาความแพ่งอาญาสำหรับศาลคดีต่างประเทศเมือง

นครเชยี งใหม่ จลุ ศักราช ๑๒๕๐

๒. พระราชบญั ญตั สิ ัตวพาหะนะ รตั นโกสินทรศก ๑๑๐

๓. พระราชบญั ญตั ิอากรการพนนั รัตนโกสนิ ทรศก ๑๑๑

๔. พระราชบัญญตั ิว่าด้วยการเนรเทศ ร.ศ. ๑๓๑

๕. พระราชบัญญตั ิสัญชาติ พระพทุ ธศักราช ๒๔๕๖

๖. พระราชบญั ญตั กิ ารเดินเรอื ในน่านนำ้ สยาม พระพุทธศกั ราช ๒๔๕๖

๗. พระราชบัญญตั ิลกั ษณปกครองทอ้ งท่ี พระพุทธศกั ราช ๒๔๕๗

๘. พระราชบญั ญตั ิยาเสพยต์ ดิ ใหโ้ ทษ พระพทุ ธศักราช ๒๔๖๕

๙. พระราชบญั ญัตศิ ลุ กากร พุทธศกั ราช ๒๔๖๙

๑๐. พระราชบัญญัติไม่อนุมัติพระราชกำหนดระเบียบราชการบริหารนครบาล

เพชรบูรณ์ พุทธสกั ราช ๒๔๘๗ พทุ ธสักราช ๒๔๘๗

๑๑. พระราชบญั ญตั กิ ู้เงนิ เพอื่ การบูรณะประเทศ พ.ศ. ๒๔๘๙

๑๒. พระราชบัญญตั ใิ หใ้ ช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๔๙๙

๑๓. พระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะขาด


แคลนนำ้ มันเช้อื เพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ พ.ศ. ๒๕๑๗


มขี ้อสงั เกตเกี่ยวกบั ช่อื พระราชบัญญตั ิตา่ ง ๆ ดังนี

๑. เรื่องศกั ราช


* ตัดตอนมาจากบทความเรื่อง ข้อสังเกตเก่ียวกับการใช้ภาษาไทย ตอนที่ ๒ ซึ่งเป็นเอกสารประกอบการ
บรรยายในการอบรมผู้ชว่ ยผู้พพิ ากษา รุ่นท่ี ๑๗ เม่อื วนั ท่ี ๒๔ มิถุนายน ๒๕๑๘ [ลงพิมพ์ในดลุ พาห เลม่ ๕

ปที ่ี ๒๓ (กันยายน – ตลุ าคม ๒๕๑๙), หนา้ ๒๕ - ๓๐].

514 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินจิ ฉัยคด

(๑) เดิมการนับวันเดือนปีของไทยใช้นับแบบจันทรคติ สำหรับปีใช้ จุลศักราช

หรือใช้ยอ่ วา่ จ.ศ. (จลุ ศักราชน้อยกวา่ พทุ ธศักราช ๑๑๘๑ ปี เชน่ จุลศักราช ๑๒๕๐ ตรงกับ

พ.ศ. ๒๔๓๑ จุลศกั ราช ๑๓๓๘ ตรงกบั พ.ศ. ๒๕๑๙)

(๒) ต่อมาได้มีประกาศให้ใช้วันอย่างใหม่ (แบบสากลนิยม หรือที่เรียกว่า แบบ

สรุ ยิ คต)ิ ไมใ่ ชข้ น้ึ แรม เดอื นอา้ ย เดอื นยอี่ ยา่ งแตก่ อ่ น คอื ใชว้ นั ทแี่ ละเดอื นมกราคม กมุ ภาพนั ธ ์

ฯลฯ ดงั ทใี่ ชอ้ ยใู่ นปจั จบุ นั นี้ สำหรบั ปใี หใ้ ชร้ ตั นโกสนิ ทรศก หรอื ร.ศ. แทนจลุ ศกั ราช โดยใหน้ บั

ร.ศ. ๑ ในปที ่ตี งั้ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ร.ศ. ๑ จึงตรงกบั จ.ศ. ๑๑๔๔ และ พ.ศ. ๒๓๒๕ และเร่มิ ใช

นบั วันเดอื นปีอย่างใหมน่ ้ีตัง้ แต่วันที่ ๑ เมษายน ร.ศ. ๑๐๘ (พ.ศ. ๒๔๓๒) เปน็ ต้นมา (ปอี ยา่ ง

เกา่ เรมิ่ ตงั้ แต่ ๑ เมษายน ถงึ ๑๓ มนี าคม) ศกั ราชซง่ึ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของชอ่ื กฎหมายจงึ เปลยี่ นมา

ใช้ รัตนโกสินทรศก หรือ ร.ศ. แทน

(๓) รัตนโกสนิ ทรศก หรอื ร.ศ. ใชม้ าจนถงึ ร.ศ. ๑๓๑ จึงไดม้ ปี ระกาศ ลงวนั ท ่ี

๒๑ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๓๑ ให้เปล่ียนการนับปีจากรัตนโกสินทรศก หรือ ร.ศ. เป็น พระ

พุทธศักราช หรือ พ.ศ. เหตผุ ลในการเปลี่ยนพอจะสรปุ ได้วา่ การใช้ ร.ศ. นัน้ ไม่สะดวกเมือ่ จะ

กล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีต เพราะจะต้องนับย้อนหลัง และจะต้องใช้ว่า “ก่อนรัตนโกสินทรศก”

หรือก่อน ร.ศ. อยเู่ รือ่ ยไป (ทำนองเดยี วกับ B.C. ในภาษาองั กฤษ) พระพทุ ธศักราชเร่มิ ใช้ใน

ประกาศของทางราชการเมื่อเดือนมนี าคม ๒๔๕๕ ในสว่ นท่ีเกย่ี วกบั ช่อื กฎหมายนน้ั เนอ่ื งจาก

เปน็ เวลาเกอื บสนิ้ ปี และไมม่ กี ฎหมายออกใชร้ ะหวา่ งนนั้ คำวา่ “พระพทุ ธศกั ราช ๒๔๕๕” จงึ ไม

ปรากฏในช่ือของพระราชบญั ญตั ิใด และเรมิ่ มีต้งั แต่ “พระพทุ ธศกั ราช ๒๔๕๖” เป็นต้นมา

(๔) คำว่า “พระพุทธศักราช” ใช้มาจนถึงปลายปี ๒๔๖๘ จึงใช้ “พุทธศักราช”

แทน โดยตดั คำว่า “พระ” ออก เริ่มใช้ครงั้ แรก (เทา่ ท่คี ้นพบ) ในประกาศจดั การปกครองกรม

มหาดเลก็ หลวง ลงวนั ที่ ๕ มนี าคม พทุ ธศกั ราช ๒๔๖๘ แตย่ งั ไมพ่ บประกาศของทางราชการวา่

เหตุใดจงึ ตัดคำวา่ “พระ” ออก

(๕) คำว่า “พุทธศักราช” ใช้มาจนถึงเดือนกันยายน ๒๔๘๙ จึงเปลี่ยนมาใช้

“พ.ศ.” แทน

ดงั ท่กี ลา่ วมานีพ้ อสรปุ ได้ว่า ศกั ราชทตี่ ่อทา้ ยเปน็ ส่วนหนึง่ ของชอ่ื พระราชบัญญัติต่าง ๆ

นัน้

๑. ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๔๕๖ ถึง พ.ศ. ๒๔๖๘ ใชว้ ่า พระพทุ ธศักราช......

๒. ต้งั แต่ พ.ศ. ๒๔๖๙ ถึง พ.ศ. ๒๔๘๘ ใชว้ ่า พุทธศักราช......

๓. ตัง้ แต่ พ.ศ. ๒๔๘๙ ถึงปัจจบุ ัน ใชว้ า่ พ.ศ. ......

อยา่ งไรกด็ ี คำว่า “พระพทุ ธศกั ราช พุทธศกั ราช หรอื พ.ศ.” น้ี บางท่านก็ไม่ถือเครง่ ครดั

โดยใช้กันท่ัว ๆ ไปว่า พ.ศ. ......เป็นส่วนมาก เช่น พระราชบัญญัติยาเสพย์ติดให้โทษ พ.ศ.

๒๔๖๕ พระราชบญั ญตั กิ ารพนนั พ.ศ. ๒๔๗๘ ทย่ี งั ถอื กนั เครง่ ครดั จรงิ ๆ เทา่ ทสี่ งั เกตเหน็ กแ็ ต

เฉพาะในการรา่ งกฎหมาย ดงั จะเหน็ ไดว้ า่ เมอื่ มพี ระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพมิ่ เตมิ กฎหมายฉบบั เดมิ

ส่วนที่ ๓ ภาคผนวก
515

ที่ใช้ว่า “พระพุทธศกั ราช หรอื พุทธศกั ราช” คงเรยี กเต็มวา่ “พระพทุ ธศกั ราช หรอื พทุ ธศักราช”

เสมอ

(๖) ชื่อพระราชบัญญัติตามตัวอย่างที่ ๑๐ และที่ ๑๓ น้ัน จะเห็นว่ามีพุทธ

ศักราช หรือ พ.ศ. ซ้อนกันอยู่ ๒ จำนวน ท้ังนี้ ก็เพราะจำนวนแรกเป็นศักราชของพระราช


กำหนด (ดงั ท่พี มิ พ์ด้วยตวั ดำไวแ้ ลว้ ) ส่วนจำนวนหลังเปน็ ศกั ราชของพระราชบัญญัติ

๒. สยาม – ไทย

เม่ือ พ.ศ. ๒๔๘๒ ทางราชการเปลยี่ นชอื่ ประเทศจาก “สยาม” เป็น “ไทย” เพอื่ ทจ่ี ะใหค้ ำ

ว่า “สยาม” ท่ีปรากฏอยู่ในกฎหมายต่าง ๆ รวมทั้งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม

เปลยี่ นเป็น “ไทย” ให้หมด รัฐธรรมนญู แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ วา่ ดว้ ยนามประเทศ พทุ ธศักราช ๒๔๘๒

มาตรา ๓ จงึ บญั ญัติวา่

“มาตรา ๓ นามประเทศนี้ให้เรียกว่า ประเทศไทย และบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือ

กฎหมายอื่นใดซงึ่ ใช้คำว่า สยาม ให้ใช้คำว่า ไทย แทน”

จากบทบัญญัติดังกล่าวน้ี พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำสยาม พระพุทธศักราช

๒๔๕๖ จงึ เปลย่ี นเปน็ พระราชบญั ญตั กิ ารเดนิ เรอื ในนา่ นนำ้ ไทย พระพทุ ธศกั ราช ๒๔๕๖ คำวา่

“สยาม” ในพระราชบญั ญัตศิ ลุ กากร พทุ ธศกั ราช ๒๔๖๙ หรือในกฎหมายอ่นื ๆ ก็เปล่ยี นเป็น


“ไทย” หมดด้วยเหตุน
้ี
๓. ประมวลกฎหมาย

ประมวลกฎหมายออกใช้บงั คับโดยพระราชบัญญัตใิ ห้ใชป้ ระมวลกฎหมายน้ัน ๆ เชน่

(๑) พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พุทธศักราช

๒๔๗๗

(๒) พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง พุทธศักราช

๒๔๗๗

(๓) พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ

พาณชิ ย์ พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๗

(๔) พระราชบัญญัตใิ หใ้ ชพ้ ระธรรมนญู ศาลยุติธรรม พุทธศกั ราช ๒๔๘๒

(๕) พระราชบญั ญัตใิ ห้ใช้ประมวลกฎหมายทดี่ นิ พ.ศ. ๒๔๙๗

(๖) พระราชบัญญัติใหใ้ ช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๔๙๙

จะเห็นไดว้ า่ คำวา่ “พุทธศกั ราช ๒๔๗๗” หรอื “พ.ศ. ๒๔๙๗” หรือ “พ.ศ. ๒๔๙๙” เป็น

ส่วนหน่ึงของชื่อพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายน้ัน มิใช่ของประมวลกฎหมาย ฉะนั้น

เม่ือจะพูดถึงประมวลกฎหมาย จึงไม่ใช้ศักราชต่อท้าย คือ เรียกว่า ประมวลกฎหมายท่ีดิน

516 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คด


ประมวลกฎหมายอาญา ไมใ่ ช้วา่ ประมวลกฎหมายทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๙๗ หรอื ประมวลกฎหมาย


าญา พ.ศ. ๒๔๙๙

๔. ประกาศของคณะปฏิวตั

ประกาศของคณะปฏิวัติ (อย่าลืมคำว่า “ของ”) ใช้บังคับเป็นกฎหมายเช่นเดียวกับ

พระราชบัญญัติ หากจะยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติม ก็ต้องตราเป็นพระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิม

เตมิ ประกาศของคณะปฏวิ ตั ฉิ บบั นนั้ ๆ อยา่ งไรกด็ ี ประกาศของคณะปฏวิ ตั บิ างฉบบั ซง่ึ ถา้ หาก

เป็นกรณีปกติแล้วจะต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกาน้ัน จะมีข้อความว่า “ให้ประกาศของ

คณะปฏวิ ตั ิฉบับน้ีมผี ลใช้บงั คบั เชน่ เดยี วกบั พระราชกฤษฎีกาที่ออกตามความในมาตรา....แห่ง

พระราชบญั ญตั .ิ .....” ดงั จะเหน็ ไดใ้ นประกาศของคณะปฏวิ ตั ิ ฉบบั ที่ ๑๔๒, ๑๔๓, ๑๔๕, ๑๕๑,

๑๕๒, ๑๕๓, ๑๕๔, ๒๓๐, ๒๓๑ เปน็ ต้น กรณีเชน่ นปี้ ระกาศของคณะปฏวิ ตั ฉิ บบั น้ัน ๆ อาจ

ยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาเท่าน้ัน เช่น พระราชกฤษฎีกาแก้ไขเพิ่มเติม

ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๕๑ ลงวนั ท่ี ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ พ.ศ. ๒๕๑๗

ขอให้สังเกตว่าประกาศของคณะปฏิวัติน้ีมีคำว่า “ฉบับที่....” ต่อท้าย แต่ไม่มีศักราช

กำกับ และใช้ ข้อ ๑ ข้อ ๒ แทน มาตรา ๑ มาตรา ๒ การที่ไม่มีศักราชกำกับทำใหเ้ กิดปัญหา

เพราะประกาศของคณะปฏวิ ตั ิ ฉบบั ที่ ๑๑ เกดิ มซี อ้ นกนั ๒ ฉบบั ฉบบั หนง่ึ เปน็ ของคณะปฏวิ ตั

เมอื่ พ.ศ. ๒๕๐๑ อีกฉบับหนง่ึ เป็นของคณะปฏวิ ตั เิ มอื่ พ.ศ. ๒๕๑๔ เพอื่ หลีกเลี่ยงปัญหาน้ี จงึ

ใชข้ อ้ ความวา่ “ลงวนั ท.่ี .....พ.ศ. ......” ตอ่ ทา้ ยหลงั คำวา่ “ฉบบั ท.่ี ...” เชน่ พระราชบญั ญตั ยิ กเลกิ


ประกาศของคณะปฏวิ ตั ิ ฉบบั ท่ี ๔ ลงวนั ที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๔ พ.ศ. ๒๕๑๗

๕. กฎหมายขององคก์ ารบรหิ ารส่วนทอ้ งถน่ิ

กฎหมายซึ่งกรุงเทพมหานครตราขึ้น เรียกว่า “ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร” ท่ีเทศบาล

ตราขน้ึ เรยี กวา่ “เทศบญั ญตั ”ิ ทอ่ี งคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ตราขนึ้ เรยี กวา่ “ขอ้ บญั ญตั จิ งั หวดั ”

ทส่ี ขุ าภบิ าลตราขึ้น เรียกว่า “ข้อบงั คับสุขาภบิ าล”

ส่วนที่ ๓ ภาคผนวก
517

ภาคผนวก หมายเลข ๖





ภาษาไทย ๕ นาที





การอ่านชื่อมาตราย่อยท่ีเปน็ ภาษาบาลีและสันสกฤต




ในการประชุมร่วมของรัฐสภาเม่ือวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ เพ่ือ

พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่....) พุทธศักราช......

มาตรา ๒๑๑ นั้น ได้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาหลายคนได้มาสอบถาม

ขา้ พเจา้ เกย่ี วกบั การอา่ นมาตรายอ่ ยของมาตรา ๒๑๑ เชน่ ทวิ ตรี จตั วา เบญจ ฯลฯ วา่ จะอา่ น

อยา่ งไร โดยเฉพาะ คำวา่ “ฉ, ทศ, โสฬส” เพราะถา้ อา่ น “ฉ” วา่ “ฉะ” อ่าน “ทศ” ว่า “ทด” หรือ

อา่ น “โสฬส” วา่ “โส-ลด” จะไดไ้ หม ขา้ พเจา้ กไ็ ดช้ แี้ จงไปวา่ คำบาลที น่ี ำมาใชใ้ นกรณอี ยา่ งนตี้ อ้ ง

อา่ นตามแบบบาลี คอื

คำวา่ “ทวิ” ก็อา่ นวา่ “ทะ-ว”ิ แปลว่า สอง

คำว่า “ตร”ี เป็นคำสนั สกฤต ก็อ่านว่า ”ตฺร”ี แปลว่า สาม ถ้าใช้คำบาลี จะตอ้ งเป็น “ต”ิ

คำวา่ “จตั วา” เปน็ คำสนั สกฤต กอ็ า่ นวา่ “จดั -ตะ-วา” แปลวา่ สี่ ถา้ เปน็ คำบาลี ตอ้ งเปน็

“จตุ”

คำว่า “เบญจ” ต้องอา่ นวา่ “เบน็ -จะ” แปลวา่ ห้า

คำว่า “ฉ” ต้องอ่านว่า “ฉะ” แปลวา่ หก คำนี้คอ่ นข้างมปี ญั หา เพราะบางคนไมก่ ล้า

อ่านว่า “ฉะ” เลยอา่ นเปน็ “ฉอ” บา้ ง “ฉ้อ” บ้าง เพราะอยา่ งในหนงั สือเวสสันดรชาดก กัณฑ์

“ฉกษตั รยิ ”์ กอ็ า่ นเปน็ “ฉอ้ -กะ-สดั ” หรอื คำวา่ “ฉทานศาลา” กอ็ า่ นเปน็ “ฉอ้ -ทา-นะ-สา-ลา” แต

ในกรณที ่ีเปน็ ศพั ทย์ ่อยของมาตราในกฎหมาย ตอ้ งอา่ นวา่ “ฉะ” เพ่ือจะได้เข้าชุดกบั คำอืน่

คำวา่ “สัตต” ตอ้ งอา่ นว่า “สดั -ตะ” แปลว่า เจ็ด

คำวา่ “อัฏฐ” ตอ้ งอ่านวา่ “อัด-ถะ” แปลว่า แปด

คำวา่ “นว” ตอ้ งอ่านว่า “นะ-วะ” แปลว่า เกา้

คำวา่ “ทศ” ต้องอา่ นวา่ “ทะ-สะ” แปลว่า สิบ ไมใ่ ช่ “ทด” อยา่ งในคำวา่ “ทศนิยม” และ

“ทศวรรษ” ซึง่ อา่ นวา่ “ทด-สะ-น-ิ ยม” และ “ทด-สะ-วดั ”

คำว่า “เอกาทศ” ต้องอา่ นวา่ “เอ-กา-ทะ-สะ” ไมใ่ ช่ “เอ-กา-ทด” แปลว่า สบิ เอ็ด

คำว่า “ทวาทศ” ต้องอ่านวา่ “ทะ-วา-ทะ-สะ” ไมใ่ ช่ “ทะ-วา-ทด” แปลวา่ สิบสอง

คำวา่ “เตรส” ต้องอา่ นวา่ “เต-ระ-สะ” ไม่ใช่ “เต-รด” แปลว่า สิบสาม

คำว่า “จตุทศ” ต้องอ่านวา่ “จะ-ตุ-ทะ-สะ” ไม่ใช่ “จะ-ตุ-ทด” แปลว่า สบิ ส่ี

518 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉยั คด


คำวา่ “ปณั รส” ต้องอ่านว่า “ปนั -นะ-ระ-สะ” ไมใ่ ช่ “ปนั -รด” หรอื “ปัน-นะ-รด” แปลว่า

สบิ ห้า

คำวา่ “โสฬส” ตอ้ งอา่ นวา่ “โส-ละ-สะ” ไมใ่ ช่ “โส-ลด” แปลวา่ สบิ หก คำนใ้ี นภาษาไทยก

มีใช้ และออกเสียงวา่ “โส-ลด” เชน่ สวรรค์ชน้ั โสฬส

คำว่า “สตั ตรส” ตอ้ งอ่านวา่ “สดั -ตะ-ระ-สะ” ไม่ใช่ “สดั -ตะ-รด” แปลว่า สิบเจ็ด ถา้ อา่ น

วา่ “สดั -ตะ-รด” จะต้องแปลว่า รส ๗ หรือ ๗ รส

คำวา่ “อฏั ฐารส” ตอ้ งอา่ นวา่ “อดั -ถา-ระ-สะ” ไมใ่ ช่ “อดั -ถา-รด” แปลวา่ สบิ แปด ถา้ ออก

เสยี งวา่ “อดั -ถา-รด” จะหมายถงึ นามของพระพทุ ธรปู ยนื ขนาดใหญ่ สงู ประมาณ ๑๘ ศอก หรอื

ประกอบด้วยพระคณุ ๑๘ ประการ ซึ่งเรยี กว่า พระอฏั ฐารส [พรฺ ะ-อัด-ถา-รด]

คำวา่ “เอกนู วสี ต”ิ ตอ้ งอา่ นวา่ “เอ-ก-ู นะ-ว-ี สะ-ต”ิ ไมใ่ ช่ “เอ-กนู -ว-ี สะ-ต”ิ แปลวา่ สบิ เกา้

ตามรปู ศพั ทภ์ าษาบาลปี ระกอบดว้ ย “เอก (หนงึ่ ) : อนู (หยอ่ น) : วสี ติ (ยสี่ บิ )” ซง่ึ ตามตวั แปลวา่

“ยสี่ ิบหยอ่ นหนึง่ ” ก็คอื สิบเกา้ น่ันเอง ในภาษาบาลที า่ นไม่ใช้ “นวทส” [นะ-วะ-ทะ-สะ]

คำวา่ “วสี ต”ิ ตอ้ งอา่ นว่า “ว-ี สะ-ติ” แปลว่า ย่สี บิ

ในรา่ งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย แก้ไขเพมิ่ เตมิ (ฉบบั ท.่ี ...) พุทธศักราช......

มาตรา ๒๑๑ มีแค่ “วีสต”ิ เท่านั้น ถา้ จะต้องมี ๒๑, ๒๒ ฯลฯ ตอ่ ไป ก็ตอ้ งเพม่ิ คำวา่ “เอกวีสต”ิ

[เอ-กะ-วี-สะ-ต]ิ พาวีสติ [พา-ว-ี สะ-ต]ิ ฯลฯ ตอ่ ไปอกี เช่นกนั

ข้าพเจ้าได้ฟังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาอภิปรายในวันนั้น รู้สึกว่า

สว่ นใหญ่อา่ นไดถ้ ูกตอ้ ง น่าชมเชยมาก





จำนงค์ ทองประเสริฐ

๕ ก.ย. ๓๙

สว่ นที่ ๓ ภาคผนวก
519

ภาคผนวก หมายเลข ๗





การใชร้ าชาศพั ทใ์ นกฎหมาย *



ศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชยี ร



ศาสตราจารย์ ดร. กาญจนา นาคสกลุ ใหค้ ำนิยาม “ราชาศัพท”์ วา่ หมายถงึ คำศัพท

และสำนวนทีใ่ ช้สำหรบั พระราชาและพระบรมวงศานวุ งศ์ ซงึ่ รวมทงั้ คำทคี่ นอื่นใชใ้ นการพดู กับ

พระราชวงศแ์ ละในการพดู ถึงพระราชวงศด์ ว้ ย ๑

คำราชาศัพท์นี้บรรพบุรุษของเรากำหนดขึ้นใช้เป็นคำสุภาพประเภทแบบแผน (formal

language) มา ๘๐๐ ปี เศษแลว้ ทงั้ ยงั พฒั นาเพม่ิ คำใหเ้ หมาะแกย่ คุ สมยั ตลอดมาจนถงึ ปจั จบุ นั

เก่ยี วกบั ความเป็นมาของคำราชาศพั ทข์ องไทยน้นั ศาสตราจารย์ กาญจนา ฯ ได้กลา่ ว

ไวว้ า่ “ในตอนปลายสมยั สโุ ขทยั มกี ารใชค้ ำทไี่ พเราะและมวี ธิ กี ารทส่ี รา้ งสรรคภ์ าษาใชก้ บั พระเจา้

แผน่ ดนิ มากขน้ึ ทงั้ คำเรยี กขาน คำบรรยายกริ ยิ าอาการ และคำนามทวั่ ไป ซง่ึ นา่ จะจดั เปน็ ราชา

ศัพท์ได้ แบบอย่างการใช้ราชาศัพท์น่าจะรับมาจากเขมร แต่น่าจะต้องทำความเข้าใจว่า

ววิ ัฒนาการการใชร้ าชาศัพท์นน้ั เกดิ จากพฒั นาการของภาษาในสงั คมไทยน้ันเอง กล่าวคือ คน

ไทยเป็นคนท่ีมีธรรมชาติอ่อนน้อมถ่อมตน ยกย่องผู้อื่นเป็นลักษณะนิสัยและวัฒนธรรมประจำ

ชาตอิ ยแู่ ลว้ การพดู จากบั ผทู้ คี่ วรเคารพ กบั พอ่ แม่ กบั ครบู าอาจารย์ กบั พระ จะใชค้ ำสภุ าพออ่ น

น้อม ผิดกับถ้อยคำท่ีใช้กับคนเท่า ๆ กัน กับผู้น้อย หรือกับผู้ที่ด้อยกว่าตน ลักษณะค่านิยม

เชน่ น้เี องย่อมสง่ ให้มีการยกย่องบุคคลใน ๒ สถาบัน คอื สถาบันพระมหากษัตรยิ ์ และสถาบนั

ศาสนาด้วย การเคารพยกย่องสถาบันทั้งสองเป็นการยกย่องเคารพที่สูงย่ิงกว่าการให้ความ

เคารพพอ่ แม่ ครบู าอาจารย์ เพราะเกยี่ วพนั กบั อำนาจทอ่ี าจมถี งึ ชวี ติ และเกยี่ วกบั ความเชอ่ื ซง่ึ ม

ผลทางจติ ใจ การยกยอ่ งและใหค้ วามเคารพนนั้ ยง่ิ จะตอ้ งสงู กวา่ ปรกตธิ รรมดา วฒั นธรรมไทยจงึ

เปน็ แรงผลกั ดนั สำคญั แรงหนง่ึ ทท่ี ำใหเ้ กดิ การใชค้ ำราชาศพั ท์ หากสงั เกตจากถอ้ ยคำจากศพั ทท์ ่ี

ใช้เป็นคำราชาศัพท์จะทราบว่าคำเกือบทั้งหมดเป็นคำภาษาบาลีและสันสกฤตซ่ึงเป็นคำทาง

ศาสนาน่ันเอง เห็นได้ชัดว่าคำราชาศัพท์ของไทยผูกพันกับศาสนาและมีท่ีมาจากเหตุผลทาง

ศาสนา แตเ่ นือ่ งจากไทยคุ้นเคยกบั เขมร และเขมรมีการใชร้ าชาศัพทอ์ ยูด่ ้วย ไทยจงึ ยืมวิธกี าร

สร้างราชาศัพท์แบบเขมรมาใช้ ซึ่งนับว่าเป็นความฉลาดอย่างยิ่งของบรรพบุรุษไทยท่ีสามารถ
นำสง่ิ ทม่ี อี ยรู่ อบตัวมาปรบั เปล่ยี นใช้ใหเ้ หมาะแกค่ วามตอ้ งการของเราเอง” ๒


* เอกสารประกอบการบรรยายในการอบรมผู้ช่วยผู้พิพากษา รุ่นที่ ๓๕ ณ สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่าย-

ตลุ าการศาลยุติธรรม.

๑ กาญจนา นาคสกุล, “ทม่ี าของราชาศพั ทใ์ นภาษาไทย,” ศลิ ปกรรมปรทิ รรศน์ ๙ (๒๕๓๗) ๒ : ๔๖.

๒ เร่อื งเดยี วกนั , หน้า ๔๙ – ๕๐.

520 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คด


กอ่ นทจี่ ะไดพ้ จิ ารณาในเรอื่ งการใชค้ ำราชาศพั ทใ์ นปจั จบุ นั โดยตรง กม็ ขี อ้ ทน่ี า่ สนใจมาก

เร่ืองหนึ่งเก่ียวกับเร่ืองราชาศัพท์นี้ คือ พระประมุขของประเทศไทยในบางรัชสมัยมีพระราช

ปรารภเกย่ี วกับการใชร้ าชาศัพทป์ ระการใดบา้ ง?

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสรับส่ังถึงมูลเหตุท่ีจัดพิมพ์

หนงั สอื “ราชาศพั ท์” ขึ้นเปน็ ครั้งแรกเมื่อวนั ที่ ๑ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๔๔๐ ว่า :



“เรอื่ งราชาศพั ทน์ เี้ ขา้ ใจวา่ มผี ใู้ หญ่ ๆ จดไว้ เชน่ อาลกั ษณบ์ า้ ง จางวางมหาดเลก็ บา้ ง แต

ไมไ่ ดเ้ คยนำขนึ้ กราบบงั คมทลู หรอื วา่ จะควรจะจำเปน็ ฤๅ ไมแ่ ตส่ กั ครงั้ เดยี ว จดลงไวน้ นั้ อาจได

รอคำเพททลู ของขา้ ราชการทรี่ แู้ บบเคยใชก้ นั มาบา้ ง ทไ่ี ดเ้ ลา่ เรยี นรภู้ าษามคธบา้ ง ทวี่ อ่ งไวพลกิ

แพลงถอ้ ยคำซง่ึ เหน็ วา่ หยาบใหเ้ พราะขน้ึ บา้ ง ถา้ ทลู ขน้ึ ไป โปรดวา่ ดี กจ็ ดไว้ แตโ่ ดยมากมกั จะ

เป็นรับส่ังว่า คำนี้ให้เรียกเสียเช่นน้ัน ก็จดไว้ แล้วเอามาเปรียบเทียบเคียงกับถ้อยคำอื่นที

คลา้ ยคลงึ จดเทยี บคำลงไว้ แลว้ ไมไ่ ดเ้ คยกราบทลู แลไมถ่ วายใหท้ อดพระเนตร ตำราทจี่ ดนน้ั ก

ตา่ ง ๆ กัน เพราะเหตฉุ ะน้นั บางทกี ถ็ ูก บางทีกไ็ ม่ถกู บางทกี ไ็ ม่เคยเรยี กเลยจนไมไ่ ดย้ นิ ต้ังแต

เกดิ มาจนแก่ บางทกี เ็ รยี กเสยี อยา่ งอนื่ บางคำทลู ขน้ึ ไปกก็ รว้ิ อยา่ งเชน่ ดอกถนั วลิ านค้ี ำหนง่ึ แน

ละ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กรว้ิ นกั เหน็ จะสกั ๓ – ๔ หน วา่ แมวมนั เปน็ เจา้ นาย

อะไรจึงเรียกนมไม่ได้ ถึงทีเด็ก ๆ กินนม ทำไมจึงเรียกว่ารับประทานนมได้ ทำไมไม่เรียกรับ

พระราชทานถัน ศัพท์ที่คิดขึ้นผิดเช่นน้ีอย่างเดียวกับช้าง เรียกว่า สัตว์โต เป็นกระดาษเขียน

ประกาศปดิ เสาทอ้ งพระโรง ทา่ นนกั จดทงั้ หลายไมค่ อ่ ยจะเขา้ ไปถงึ มแี ตม่ หาดเลก็ หนมุ่ ๆ จำได

แลว้ กแ็ ลว้ กนั ยงั มอี กี หลายคำทห่ี ายไปเสยี แลว้ กม็ ี คำทเี่ หลอื อยเู่ ชน่ นเ้ี ปน็ คำทผ่ี ฟู้ งั มกั เขา้ ใจวา่

เรยี กวา่ นมแมว กรว้ิ ตอ้ งเรยี กวา่ ถนั วลิ า จงึ จะถกู การทเี่ ขา้ ใจกลบั เชน่ นไี้ มร่ วู้ า่ เปน็ ดว้ ยเหตใุ ด

มจี นถงึ เหตใุ หญโ่ ตกไ็ ด้ เชน่ กบั กระปิ มผี แู้ ตง่ หนงั สอื ถวายเหน็ จะเปน็ ฎกี า เรยี กวา่ งาปิ ใหต้ รง

กับภาษาพมา่ กรวิ้ ว่าอตุ ริ รบั สัง่ ใหเ้ ขียนประกาศสัน้ ๆ ไปปิดไวท้ ่กี ำแพงหน้าพระที่น่งั พุทไธ-

สวรรย์ หา้ มอยา่ ให้เรียกกระปิวา่ งาปิ ให้เรียกวา่ “เย่อื เคย” ฤๅคงเรียกว่า กระปิ ก็ตาม ถา้ จะ

เปรียบลกั ษณะทีเ่ ข้าใจผิดเชน่ น้ี คล้ายกบั ๙ ทุม่ ๖ ทมุ่ ทีใ่ ช้กนั ชุกชุมเดีย๋ วน้ี ฟังอย่างไทยก็ไม่

เขา้ ใจ อย่างฝรั่งก็ไมเ่ ขา้ ใจ แกเ้ ท่าไหร่ก็ไมห่ าย” ๓



ในรัชสมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยูห่ วั แพทยซ์ ่งึ จะต้องกราบบงั คมทูล

รายงานอาการไข้ของคนไข้ในพระองค์ รู้สึกว่าไม่ควรจะกราบบังคมทูลฯ ถึงส่ิงที่สกปรกหรือ

ลามกอนาจาร แตโ่ ดยหนา้ ทแี่ พทย์กต็ อ้ งกระทำ

ดังน้ัน เมือ่ จะกล่าวถึงการถ่ายอจุ จาระ ถา่ ยปสั สาวะ มักใช้วา่ :

“ไมค่ วรจะกราบบังคมทลู พระกรณุ า คนไขไ้ ด้ปัสสาวะ ๔ ครงั้ อุจจาระ ๒ ครั้ง”


๓ อา้ งถงึ ใน เสาวนิต, ราชาศพั ท์ (พระนคร : ประมวลสาสน์ , ๒๕๐๖), คำนำ.

สว่ นที่ ๓ ภาคผนวก
521

ดังน้ี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยทรงพระราชบันทึกมาเป็นการล้อ ๆ

ในรายงานอาการไขว้ า่ :

“เม่ือไม่ควรจะกราบบังคมทูลพระกรุณา แล้วบอกมาทำไม” ๔

มีการบอกเล่าสืบทอดกันมาว่า ตอนต้น ๆ รัชกาลปัจจุบัน มีอยู่คร้ังหน่ึงที่พระบาท

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคในอ่าวไทย รับสั่งถามผู้ตามเสด็จผู้หน่ึง

ว่า :

“นัน่ เกาะอะไร?”

ผถู้ กู ถามนงิ่ อยสู่ กั ครู่ แลว้ กราบบงั คมทลู พระกรณุ าวา่ “ทรงพระนามวา่ เกาะชา้ ง” รบั สงั่

ตอบด้วยพระอารมณ์ดีว่า :

“ออ้ เป็นญาติของฉนั เหมอื นกันนะ”


ก่อนที่จะพิจารณาการใช้ราชาศัพท์ในกฎหมายโดยตรง สมควรท่ีจะกล่าวถึงหลัก

เบอ้ื งตน้ เกย่ี วกับการใชร้ าชาศพั ทโ์ ดยทว่ั ไปบางประการก่อน คือ ๕


๑. เมื่อเข้าเฝ้าทลู ละอองธุลพี ระบาท

(ก) ในโอกาสที่กราบบังคมทูลฯ ด้วยวาจาโดยไม่มีพระราชดำรัสด้วยก่อน หรือใน

กรณีที่เขียนเป็นหนงั สือกราบบังคมทูลพระกรณุ า ต้องใชค้ ำขึ้นต้นว่า “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลี

พระบาทปกเกล้าปกกระหมอ่ ม ขา้ พระพุทธเจา้ นาย.... (หรอื นาง....)” แลว้ จึงดำเนินเรอ่ื ง

และลงท้ายวา่ “ด้วยเกลา้ ดว้ ยกระหมอ่ ม ขอเดชะ”

ในการเขียนคำวา่ “กราบบงั คมทลู พระกรณุ า” นี้ มขี อ้ สังเกตอกี ประการหนึ่ง คอื

การใชไ้ ปยาลนอ้ ย (ฯ) แทนคำวา่ “พระกรณุ า” ได้ คอื เขยี นวา่ “กราบบงั คมทลู ฯ” ถา้ หากใช

แต่เพียงคำว่า “กราบบังคมทูล” และไม่มีไปยาลน้อย ก็เป็นราชาศัพท์ท่ีมีความหมายอย่าง

เดยี วกนั แตใ่ ชส้ ำหรบั สมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ นี าถ สมเดจ็ พระบรมราชนิ ี สมเดจ็ พระ

บรมราชชนนี สมเดจ็ พระยพุ ราช สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และสมเดจ็ พระบรมราชกมุ ารี

(ข) ในกรณที ีม่ พี ระราชดำรสั สง่ั ผ้ทู ี่รบั พระราชกระแสรบั สง่ั ทเี่ ปน็ ชาย กราบบังคม

ทูลฯ รับว่า “ข้าพระพุทธเจ้าข้าขอรับ รับใส่เกล้าใส่กระหม่อม” ส่วนผู้ที่รับพระราชกระแส

รบั สั่งท่ีเปน็ หญิง กราบบังคมทูลฯ รับว่า “เพคะ ใส่เกลา้ ใสก่ ระหม่อม” เมือ่ กราบบงั คมทลู ฯ

เลา่ เรอื่ งแลว้ ผรู้ บั พระราชกระแสรบั สง่ั ไมว่ า่ จะเปน็ ชายหรอื เปน็ หญงิ ลงทา้ ยวา่ “ดว้ ยเกลา้ ดว้ ย

กระหม่อม ขอเดชะ”


๔ เรอ่ื งเดียวกนั , คำนำ.

๕ ในการเรียบเรียงหลักเบื้องต้นเก่ียวกับการใช้ราชาศัพท์โดยท่ัวไปนี้ ผู้เขียนถือตามหนังสือ “ราชาศัพท์” ท่

จัดพิมพ์เผยแพรโ่ ดย สำนกั งานเสริมสร้างเอกลักษณแ์ ห่งชาติ สำนักนายกรฐั มนตรี พุทธศักราช ๒๕๓๗ และ

ตามพจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕.

522 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

(ค) ผพู้ ดู ทเี่ ปน็ ชายหรอื หญงิ ในปจั จบุ นั ใชส้ รรพนามบรุ ษุ ท่ี ๑ วา่ “ขา้ พระพทุ ธเจา้ ”

ผพู้ ดู ทเี่ ปน็ หญงิ ตามแบบแผนแตเ่ กา่ กอ่ นใหเ้ รยี กตนเองวา่ “เกลา้ กระหมอ่ มฉนั ” แตป่ จั จบุ นั

คำน้ีกย็ งั ใชไ้ ดใ้ นโอกาสลำลอง

(ง) ในการกราบบงั คมทลู รบั คำนน้ั หากเปน็ ชายใชค้ ำวา่ “พระพทุ ธเจา้ ขา้ ขอรบั ”

(คำวา่ “ขอรบั ” น้ี ยอ่ มาจากวลี “ขอรบั ใสเ่ กลา้ ใสก่ ระหมอ่ ม”) บางครงั้ พดู สนั้ ๆ วา่ “พะยะคะ่

ขอรบั ” หรอื “พระพทุ ธเจา้ ขา้ ” หรอื “พทุ ธเจา้ ขา้ ” ถา้ เปน็ หญงิ ใชค้ ำวา่ “เกลา้ กระหมอ่ มฉนั ”

และลงทา้ ยดว้ ยคำวา่ “เพคะ”

(จ) ในกรณที ม่ี พี ระราชดำรสั ทกั ทาย ผเู้ ขา้ เฝา้ ซง่ึ เพง่ิ ปลอดภยั จากอนั ตรายหรอื หาย

จากโรคร้ายกราบบังคมทูลฯ วา่ “เดชะ พระบารมปี กเกล้าปกกระหมอ่ ม”

(ฉ) ในกรณที ไี่ ดร้ บั พระราชทานพระราชานเุ คราะหด์ ว้ ยประการตา่ ง ๆ ในการกราบ

บังคมทูลพระกรุณาให้ต่อท้ายเรื่องว่า “พระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น” หรือจะกราบบังคม

ทูลฯ ว่า “พระเดชพระคุณเปน็ ลน้ เกล้าฯ หาทีส่ ิน้ สุดมิได”้ กไ็ ด้

(ช) ในกรณจี ำเปน็ ตอ้ งกราบบงั คมทลู ฯ ถงึ เรอ่ื งทพี่ ลง้ั พลาดไปแลว้ หรอื เกรงจะพลง้ั

พลาด หรอื เป็นเรื่องหยาบ หรอื เกีย่ วกับของสกปรก อนั ไมค่ วรกลา่ ว แต่จำเป็นตอ้ งกล่าว เชน่

เร่อื งอุจจาระ ปสั สาวะ อาการของคนไขใ้ นบางเร่อื ง ให้ขนึ้ ตน้ ดว้ ยคำวา่ “พระราชอาญามิพน้

เกล้าฯ” หรอื “พระราชอาญาเป็นลน้ เกลา้ ฯ” เช่น กลา่ วว่า “พระราชอาญามพิ น้ เกล้าฯ ม


ควรจะกราบบังคมทูลพระกรุณา....”

๒. การใชค้ ำกริยานุเคราะห์ “ทรง”

(ก) ในกรณีใช้คำกริยาต่อพระมหากษัตริย์ และเป็นคำกริยาท่ีเป็นคำสามัญใช้กัน

ทวั่ ไป กใ็ ช้ “ทรง” นำคำกรยิ าสามญั นน้ั ๆ เชน่ ทรงบำเพญ็ พระราชกศุ ล ทรงศลี ทรงศกึ ษาเลา่

เรยี น ทรงดนตรี ทรงทกั ทาย ทรงเลน่ นำ้ ทรงปฏเิ สธ ทรงบชู าพระ ทรงตกั บาตร ทรงปฏบิ ตั

ตามคำแนะนำของแพทย์ ทรงสำราญพระราชอริ ยิ าบถ ทรงสำราญพระราชหฤทยั ทรงลงพระ

ปรมาภิไธย

(ข) ถา้ หากคำกรยิ าเปน็ ราชาศพั ทอ์ ยแู่ ลว้ จะไมใ่ ช้ “ทรง” นำหนา้ เชน่ คำวา่ เสวย

เสด็จ ทอดพระเนตร สดบั พระธรรมเทศนา บรรทม ตรัส ประสูติ เสียพระทยั พระราชทาน คำ

เหลา่ น้จี ะมคี ำวา่ “ทรง” ข้างหนา้ ไมไ่ ด

(ค) ใช้คำกริยานุเคราะห์ “ทรง” นำหน้าอาการนาม ซึ่งเป็นคำราชาศัพท์อยู่แล้ว

โดยเฉพาะคำอาการนามราชาศพั ทท์ ขี่ น้ึ ตน้ ดว้ ยคำวา่ “พระ” ซงึ่ อาการนามเหลา่ นที้ ำหนา้ ทเ่ี ปน็

กรยิ าวลี (verbial phrases) ราชาศพั ท์ เชน่ ทรงพระราชสมภพ ทรงพระสรวล ทรงพระกนั แสง

ทรงพระครรภ์ ทรงพระเยาว์ ทรงพระมหากรณุ า ทรงพระประชวร ทรงพระราชดำเนนิ ทรง

พระพิโรธ ทรงพระราชดำริ ทรงพระอักษร ทรงพระราชนิพนธ์ ทรงพระราชวินิจฉัย ทรง

ส่วนท่ี ๓ ภาคผนวก
523
พระสบุ นิ ทรงพระสคุ นธ์ ทรงพระสำราญ และทรงพระเจรญิ (ในความหมายวา่ “ทรงอว้ นพ”ี

คือ “อ้วนข้นึ ” ตรงกนั ข้ามกบั คำว่า “ซูบพระองค”์ คือ “ผอมลง”)

(ง) ในกรณที ใ่ี ชค้ ำกรยิ า “เปน็ ” หรอื “ม”ี ถา้ ตอ่ ทา้ ยดว้ ยคำนามราชาศพั ท์ ไมต่ อ้ งใช

คำกรยิ านเุ คราะห์ “ทรง” นำคำวา่ “เปน็ ” หรอื “ม”ี เชน่ เปน็ พระมหากษตั รยิ ์ เปน็ พระประมขุ

ของชาติ เปน็ พระราชโอรส เปน็ พระรชั ทายาท มพี ระบรมราชโองการ มพี ระบรมราชวนิ จิ ฉยั ม

พระราชกระแสรบั สงั่ มพี ระราชดำริ (หรอื “ทรงพระราชดำร”ิ ) มพี ระมหากรณุ า (หรอื “ทรงพระ

มหากรณุ า”)

(จ) ในบางกรณอี าจใชค้ ำวา่ “เสดจ็ ” แทนคำวา่ “ทรง” ในฐานะเปน็ กรยิ านเุ คราะห

เชน่ เสดจ็ พระราชดำเนนิ เสดจ็ ฯ ไป เสดจ็ ฯ กลบั เสดจ็ ฯ ประพาส เสดจ็ ฯ ประทบั แรม เสดจ็

เถลิงถวลั ยราชสมบัติ เสด็จสวรรคต

“เสด็จ” มีอีกความหมายหนึ่ง คือ เป็นคำเรียกเจ้านายชั้นพระองค์เจ้าข้ึนไป

(“เจ้านาย” นี้มสี ามานยนามบอกชน้ั อยู่ ๓ ชน้ั คือ เจา้ ฟา้ พระองค์เจ้า และหม่อมเจ้า)

คำวา่ “เสดจ็ ในกรม” เปน็ คำเรยี กเจา้ นายทท่ี รงกรม “ทรงกรม” หมายถงึ เจา้ นาย

ท่ีทรงมีความดีความชอบแก่แผ่นดินและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้มีพระราชอิสริยยศ

และทรงมี “กรม” หรอื หน่วยงานต่างหากอกี กรมหน่ึง เรียกว่า “เจา้ ต่างกรม” ซ่งึ มี ๖ ช้นั คือ

สมเดจ็ กรมพระยา กรมพระยา กรมพระ กรมหลวง กรมขนุ และกรมหมน่ื คำวา่ “เสดจ็ ในกรม”

นมี้ กั จะใชภ้ ายหลงั จากทกี่ ลา่ วถงึ พระนามเตม็ ของเจา้ นายพระองคน์ นั้ แลว้ เชน่ พระเจา้ บรมวงศ์

เธอ พระองคเ์ จา้ รพพี ฒั นศกั ด์ิ กรมหลวงราชบรุ ดี เิ รกฤทธิ์ (ตอ่ ดว้ ยขอ้ ความในเรอ่ื งทปี่ ระสงคจ์ ะ

กล่าว) จากนน้ั หากจะอ้างอิงถึงเจา้ นายพระองค์น้ีอกี อาจใช้คำวา่ “เสดจ็ ในกรม” ได้ ในฐานะ

เปน็ สรรพนามบรุ ษุ ทสี่ าม ซงึ่ บางครงั้ กใ็ ช้ “เสดจ็ ในกรมหลวงราชบรุ ฯี ” หรอื “เสดจ็ ในกรมฯ”

ซงึ่ คำเหลา่ นี้ใชไ้ ด้ทง้ั ภาษาเขียนและภาษาพดู

ในบางครง้ั คำวา่ “เสดจ็ ” กบั คำวา่ “สมเดจ็ ” ฟงั ดเู สมอื นเปน็ คำเดยี วกนั ดงั ทช่ี าววงั

สมยั ก่อนเคยพูดเชงิ ล้อเลยี นกันว่า :

“เสด็จรับส่ังให้มาดูเสด็จว่า เสด็จจะเสด็จหรือไม่เสด็จ ถ้าเสด็จไม่เสด็จ เสด็จจะเสด็จ

เอง”


๓. มีคำราชาศัพท์อยู่คู่หนึ่งซ่ึงบุคคลทั่วไปมักจะสับสนและใช้กันผิด คือ

“พระมหากรณุ าธคิ ุณ” กบั “พระมหากรณุ า”

“พระมหากรุณาธิคุณ” น้ัน หมายถึง พระคุณอันยิ่งใหญ่ท่ีมีความกรุณาใหญ่หลวง

ความสำคัญอยู่ที่ “พระคุณ” ส่วน “พระมหากรุณา” นั้น แปลว่า ความกรุณาใหญ่หลวง

ความสำคญั อยทู่ ่ี “พระกรณุ า” ดงั นน้ั จงึ ควรกลา่ ววา่ “นบั เปน็ พระมหากรณุ าธคิ ณุ เปน็ ทยี่ งิ่ ท
่ี
ทรง .... ” และ “ขอพระราชทาน พระมหากรณุ าทรง .... ”

524 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉยั คด

๔. คำกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย

วาจา

ในวโรกาสสำคัญต่าง ๆ เช่น วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันขึ้นปีใหม่ ฯลฯ มีตัวอย่างท
ี่
อาจนำไปใชไ้ ด้ คอื


อเดชะ ฝ่าละอองธลุ ีพระบาทปกเกล้าปกกระหมอ่ ม

เน่ืองในวันเฉลิมพระชนมพรรษาอันเป็นมหามงคลยิ่งนี้ ข้าพระพุทธเจ้า.... และ....ขอ

พระราชทานพระบรมราชวโรกาสนอ้ มเกลา้ นอ้ มกระหมอ่ มถวายพระพรชยั มงคล ขออำนาจแหง่

คุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธ์ิท้ังหลายในสากลพิภพ ได้โปรดอภิบาลบันดาลให้ใต้

ฝ่าละอองธุลีพระบาท สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุก

พระองค์ ทรงพระเกษมสำราญทกุ ทพิ าราตรี ทรงพระเจรญิ มพี ระชนมายยุ งิ่ ยนื นาน พรอ้ มสรรพ

ด้วยจตรุ พธิ พรชัย พระเกยี รตคิ ุณแผ่ไพศาล ปรากฏไปทั่วทกุ สารทศิ สถติ เปน็ ม่ิงขวัญค้มุ เกลา้

แก่เหล่าขา้ พระพุทธเจา้ และพสกนกิ รไทยตลอดช่ัวกาลนาน



ดว้ ยเกล้าดว้ ยกระหม่อม ขอเดชะ


รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการใช้ราชาศัพท์ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการใช้ราชาศัพท์ตาม

พระอสิ รยิ ศกั ดข์ิ องเจา้ นายนนั้ โปรดดู “ราชาศพั ท”์ เรยี บเรยี งโดย คณะอนกุ รรมการเฉพาะกจิ

จดั ทำหนงั สอื ราชาศพั ท์ คณะกรรมการเอกลกั ษณแ์ หง่ ชาติ สำนกั เลขาธกิ ารนายกรฐั มนตรี พ.ศ.

๒๕๓๗

ณ ที่นี้ ผู้เขียนขออัญเชิญพระบรมราชโองการประกาศสถาปนาสมเด็จพระเจ้าพ่ีนาง

เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบรมราชโองการพระ

ราชหัตถเลขาพระราชทานอภัยโทษนักโทษเด็ดขาด มาเป็นอุทาหรณ์ในการใช้ราชาศัพท์ใน

กฎหมายท่ีเปน็ แบบฉบบั อนั ถูกตอ้ ง รวม ๒ ฉบับ

การอัญเชิญพระบรมราชโองการท้ังสองฉบับที่แสดง ณ ท่ีน้ี และพระราชกระแสรับส่ัง

เก่ียวกับราชาศัพท์ในกฎหมายท่ีปรากฏในตอนต่อไปในบทความน้ี ผู้เขียนได้รับพระมหา

กรณุ าธคิ ณุ พระราชทานพระบรมราชานญุ าตแลว้ และรสู้ กึ ซาบซงึ้ ในพระมหากรณุ าธคิ ณุ เปน็ ท
่ี
ยิง่

ส่วนที่ ๓ ภาคผนวก
525

ตราพระราชลญั จกรพระบรมราชโองการ

ประกาศสถาปนา


สมเด็จพระเจ้าพีน่ างเธอ เจ้าฟา้ กลั ยาณวิ ฒั นา

กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร



(พระปรม
าภิไธย)

พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช มหติ ลาธเิ บศรรามาธบิ ดี จกั รนี ฤบดนิ ทร

สยา
มินทราธิวาส บรมนาถบพติ ร

มพี ระบรมราชโองการโปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ มใหป้ ระกาศวา่ โดยทที่ รงพระราชดำรวิ า่

สมเด็จพระเจ้าพ่ีนางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา เป็นสมเด็จพระโสทรเชษฐภคินีอันสนิทแต่

พระองคเ์ ดยี ว ทไี่ ด้ทรงรว่ มสขุ ร่วมทุกข์กนั มาแตย่ ังทรงพระเยาว์ ทง้ั เป็นท่ที รงเคารพนับถือใน

ฐานะทท่ี รงมอี ุปการคุณมาแตห่ นหลงั ดงั มขี อ้ ความปรากฏอยใู่ นประกาศสถาปนาเปน็ สมเดจ็

พระเจา้ พน่ี างเธอ เจา้ ฟ้า นน้ั แลว้ ต่อมาสมเด็จพระเจ้าพ่ีนางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณวิ ัฒนา ก็ยังใฝ่

พระหฤทยั มนั่ คงอยมู่ ไิ ดท้ อดทง้ิ ในอปุ ภารกจิ ทม่ี แี กพ่ ระองค์ โดยเจตจำนงมงุ่ หมายแตจ่ ะใหท้ รง

พระเกษมสขุ และทรงพระเจรญิ ยงิ่ ดว้ ยพระราชอสิ รยิ ยศในมไหศรู ยสมบตั ิ ไดท้ รงปฏบิ ตั พิ ระราช

กิจแทนพระองค์ในหลายวาระ และทรงรับเป็นพระธุระในการส่วนพระองค์สมเด็จพระบรมราช

ชนนีให้ดำเนินลุล่วงไปด้วยความเรียบร้อย ท้ังได้ปฏิบัติวัฏฐากสมเด็จพระบรมราชชนนีอย่าง

ใกลช้ ดิ ในทที่ กุ สถาน และรกั ษาพยาบาลเมอ่ื ทรงพระประชวรโดยมไิ ดม้ คี วามเบอ่ื หนา่ ยยอ่ หยอ่ น

ดว้ ยมพี ระประสงคจ์ ะแบง่ เบาพระราชภาระ ทำใหท้ รงคลายพระราชกงั วล และวางพระราชหฤทยั

ใ นก
ารส่วนสมเด็จพระบรมราชชนนไี ดเ้ ปน็ อนั มาก

นอกจากนน้ั สมเดจ็ พระเจา้ พน่ี างเธอ เจา้ ฟา้ กลั ยาณวิ ฒั นา ยงั มพี ระหฤทยั เปย่ี มไปดว้ ย

พระเมตตากรณุ าปรารถนาทจ่ี ะใหป้ ระชาชนทกุ ชนชน้ั ไดม้ วี ชิ าความรู้ มฐี านะความเปน็ อยู่ และม

สุขภาพอนามัยท่ีดีถ้วนหน้า จึงทรงพระอุตสาหะรับเป็นอาจารย์สอนอยู่ในสถาบันอุดมศึกษา

ตา่ ง ๆ โดยมไิ ดท้ รงคดิ เห็นแกค่ วามเหนอ่ื ยยาก ทง้ั ทรงรบั เปน็ พระธรุ ะบริหารกองทนุ การกุศล

สมเดจ็ ยา่ ทรงเปน็ ประธานมลู นธิ โิ รคไตมาแตแ่ รกเรม่ิ และทรงรบั มลู นธิ ติ ลอดจนสมาคมอนื่ ๆ ท
่ี
เกยี่ วขอ้ งกบั การศกึ ษา การสงั คมสงเคราะห์ และการสาธารณสขุ ไวใ้ นพระอปุ ถมั ภอ์ กี เปน็ จำนวน

มาก ได้ทรงปฏบิ ัติบรหิ ารกองทนุ มูลนิธิที่ทรงเป็นประธานและบริหารอยู่โดยเต็มสตกิ ำลงั ปรีชา

สามารถ และไดพ้ ระราชทานความชว่ ยเหลอื นานปั การแกม่ ลู นธิ แิ ละสมาคมทอี่ ยใู่ นพระอปุ ถมั ภ์

ทำใหก้ จิ การตา่ ง ๆ ของกองทนุ มลู นธิ ิ และสมาคมเหลา่ นนั้ ดำเนนิ กา้ วหนา้ มาดว้ ยความมนั่ คง

และก่อเกดิ ประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนอยา่ งใหญห่ ลวง พระเกยี รตคิ ณุ ด้านนเี้ ปน็ ที่

526 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวินิจฉยั คดี


ประจกั ษเ์ ดน่ ชดั ดว้ ยเหตนุ ส้ี ถาบนั อดุ มศกึ ษาในประเทศและองคก์ ารระหวา่ งประเทศมากแหง่ จงึ


ด้ถวายปริญญาดุษฎบี ัณฑติ กติ ติมศกั ด์ิในสาขาวชิ าตา่ ง ๆ และเหรียญสดดุ ีพระกติ ตคิ ณุ

มาบัดน้ี สมเด็จพระเจ้าพ่ีนางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ทรงเจริญด้วยวัสสายุ วัยวุฒ ิ

กอปรด้วยพระอัธยาศัยซื่อตรง ดำรงพระองค์มั่นอยู่ในสุจริตธรรม สัมมาจารี มีความกตัญญู

กตเวทเี ปน็ อยา่ งยงิ่ ทงั้ ทรงพระคณุ แกบ่ า้ นเมอื งปรากฏอยเู่ ปน็ อเนกปรยิ าย สมควรทจี่ ะสถาปนา


พระอสิ รยิ ศกั ดใิ์ หส้ ูงข้ึน โดยอนโุ ลมตามแบบอยา่ งโบราณราชประเพณ

จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสส่ังให้สถาปนา สมเด็จพระเจ้าพ่ีนางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิ-

วัฒนา ขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้าต่างกรมฝ่ายใน มีพระนามตามจารึกในพระ

สุพรรณบฏั ว่า สมเดจ็ พระเจา้ พ่ีนางเธอ เจ้าฟ้ากลั ยาณิวฒั นา กรมหลวงนราธวิ าสราชนครนิ ทร์

ขอจงเจริญพระชนมายุ พรรณ สุข พล ปฏิภาณ คุณสารสมบัติ สรรพสิริสวัสด์ิพิพัฒนมงคล


ฐิ ศภุ ผลธนสารสมบรู ณ์ วรเกียรติคณุ อดลุ ยยศ ปรากฏย่งิ ยืนนาน เทอญ

ประกาศ ณ วนั ท่ี ๗ พฤษภาคม พทุ ธศักราช ๒๕๓๘ เปน็ ปที ่ี ๕๐ ในรชั กาลปจั จบุ ัน





ผ้รู ับสนองพระบรมราชโองการ


ชวน หลีกภัย


นายกรัฐมนตร


Click to View FlipBook Version