The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-09-18 02:21:12

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

ส่วนท่ี ๓ ภาคผนวก
527

ตราพระราชลญั จกรพระบรมราชโองการ




ท่ี ๒๕/๙๐ พระตำหนกั จติ รลดารโหฐาน



วนั ที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๖



ตามที่นกั โทษเดด็ ขาดหญงิ แพททรเิ ซีย แอน คาฮลิ เลขประจำตัว ๘๓๒/๒๕๓๔ แหง่

ทณั ฑสถานหญงิ ตอ้ งโทษฐานผดิ ตอ่ พระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ กำหนดโทษจำคกุ ๑๘ ป ี

๙ เดอื น ยนื่ ฎกี าขออภยั โทษ และนายจอหน์ เมเจอร์ นายกรฐั มนตรแี หง่ สหราชอาณาจกั ร ไดข้ อ

อภัยโทษมาอีกทางหน่ึงด้วย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้สอบสวนและเสนอ

ความเห็นมาน้ัน ได้พิเคราะห์พฤติการณ์และเหตุผลอื่น ๆ แล้ว ให้อภัยโทษปล่อยตัวนักโทษ

เด็ดขาดหญิง แพททรเิ ซยี แอน คาฮลิ ไปเถดิ



(พระปรมาภิไธย)



ผรู้ ับสนองพระบรมราชโองการ

บัญญตั ิ บรรทัดฐาน


รองนายกรฐั มนตร

พระบรมราชโองการทั้งสองฉบับนี้ เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ท่ีทรงโปรด

ให้ประกาศหรือให้มีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน กล่าวคือ พระบรม

ราชโองการฉบับประกาศสถาปนาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวง

นราธิวาสราชนครินทร์ เป็นไปตามมาตรา ๙ ซึ่งบัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระ

ราชอำนาจที่จะสถาปนาฐานันดรศักด์ิ....” และพระบรมราชโองการพระราชหัตถเลขา

พระราชทานอภยั โทษนกั โทษเดด็ ขาดนน้ั มาตรา ๑๗๙ บญั ญตั วิ า่ “พระมหากษตั รยิ ท์ รงไวซ้ งึ่

พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ” ท้ังสองกรณีน้ีพระบรมราชโองการต้องมี

รัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการตามมาตรา ๑๘๕ เพื่อความรับผิดชอบทางด้าน

การเมืองโดยตรง ในทางปฏิบัตินายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนอง

พระบรมราชโองการ

มีข้อน่าพิจารณาเกี่ยวกับภาษากฎหมายและราชาศัพท์ที่ใช้ในพระบรมราชโองการ

๒ ฉบับ นอ้ี ยบู่ างประการ คอื พระบรมราชโองการฉบบั สถาปนาสมเด็จพระเจา้ พี่นางเธอฯ นัน้

เปน็ การประกาศโดยใชข้ อ้ ความในบรุ ษุ ทสี่ ามและมกี ารใชร้ าชาศพั ทใ์ นพระบรมราชโองการฉบบั

น้ี แต่ตามพระบรมราชโองการฉบับพระราชหัตถเลขาพระราชทานอภัยโทษน้ัน ใช้ข้อความ

528 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี

สำหรับบุรุษที่หน่ึงและไม่มีการใช้ราชาศัพท์ การท่ีจะประกาศพระบรมราชโองการในรูปแบบ

อย่างไร ย่อมแล้วแต่ว่าเป็นเร่ืองใด และเรื่องนั้นมีนิติราชประเพณีปฏิบัติสืบเน่ืองกันมาแต่เก่า

ก่อนอยา่ งไร

อนึ่ง นิติราชประเพณีท่ีว่าน้ีก็อาจเปล่ียนแปลงไปได้ตามความเหมาะสมของเรื่องและ

กาลเวลาทผ่ี า่ นไป เชน่ เดยี วกนั กบั จารตี ประเพณที อี่ าจแปรเปลยี่ นไปตามยคุ สมยั และความนยิ ม

การเปลย่ี นแปลงในเรอื่ งรปู แบบและภาษาในพระบรมราชโองการอาจจะเปน็ พระราชดำรโิ ดยตรง

หรือหน่วยราชการท่ีรับผิดชอบเกี่ยวกับเร่ืองท่ีมีประกาศพระบรมราชโองการน้ัน หรือคณะ

องคมนตรีจะกราบบงั คมทูลฯ ถวายความเหน็ ประกอบพระราชดำรวิ า่ สมควรจะแก้ไขอย่างไร?


หากชอบด้วยพระราชดำริ กจ็ ะทรงลงพระปรมาภไิ ธยในพระบรมราชโองการนั้น

ต่อไปน้ีขอใหเ้ ราพจิ ารณารูปแบบอืน่ ของการใช้ราชาศัพท์ในกฎหมายบา้ ง

เมื่อครั้งที่คณะกรรมการตุลาการพิจารณาร่างประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการซ่ึง

คณะอนกุ รรมการเฉพาะกจิ ยกรา่ งขนึ้ มานน้ั กม็ กี รรมการตลุ าการผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ า่ นหนง่ึ ตงิ รา่ งฯ

ข้อ ๓๓ ซ่ึงมีความว่า “ผู้พิพากษาจักต้องสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยตาม

รัฐธรรมนูญซ่ึงมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ” นั้น ว่าถูกต้องแล้วหรือ? เหตุใดจึงไม่ใช้ราชา

ศัพท์? ผู้ร่างแถลงว่า “คัดลอกเอาความตอนนี้มาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับ

ปจั จบุ นั (ขณะน้นั คือ ฉบบั พทุ ธศักราช ๒๕๒๑) มาตรา ๒ ซง่ึ บญั ญัตวิ า่ :

“ประเทศไทยมกี ารปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษตั รยิ เ์ ปน็ ประมุข”

กรรมการตลุ าการผถู้ ามกล่าวตอ่ ไปว่า “แปลกท่รี ัฐธรรมนญู มาตรา ๒ บญั ญัติไว้เช่นน้ี

ทั้ง ๆ ท่ีในมาตราอ่ืน ๆ ซ่ึงบัญญัติเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ก็ใช้ราชาศัพท์โดยตลอด เช่น

มาตรา ๗ บญั ญตั วิ า่ “พระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ พทุ ธมามกะและทรงเปน็ อคั รศาสนปู ถมั ภก” และ

มาตรา ๘ บญั ญตั วิ า่ “พระมหากษตั รยิ ท์ รงดำรงตำแหนง่ จอมทพั ไทย” นอกจากนน้ั รฐั ธรรมนญู

ฉบบั กอ่ น ๆ อีกหลายฉบับก็บัญญัติไวผ้ ิดพลาดเช่นเดียวกนั กับฉบบั ปจั จุบนั แต่ก็มบี างฉบับที่

บญั ญัตไิ วถ้ กู ตอ้ ง เช่น ฉบบั พุทธศักราช ๒๕๐๒ และฉบับ พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๐ การบญั ญตั ิไว้

ผิดพลาดน้ีก็แสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่าทั้งผู้ร่างรัฐธรรมนูญและผู้ร่างประมวลจริยธรรมข้าราชการ

ตุลาการไม่ได้เฉลียวใจในเร่ืองน้ีเลย ในท่ีสุดเม่ือได้ขอความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์

บางท่านแล้ว คณะกรรมการตุลาการจึงบัญญัติ ข้อ ๓๓ แห่งประมวลจริยธรรมข้าราชการ

ตลุ าการใหม่ ว่า :

“ผู้พิพากษาจักต้องสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญซึ่งมี
พระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นพระประมขุ แห่งรัฐ ”

อยา่ งไรก็ตาม ผเู้ ชีย่ วชาญภาษาไทยบางทา่ นเห็นว่า คำวา่ “ทรง” ไมน่ า่ จะมี เพราะใช

คำวา่ “เปน็ ” และตามหลงั ดว้ ยคำนามราชาศพั ทอ์ ยแู่ ลว้ ตรงกนั ขา้ มทา่ นผรู้ ทู้ า่ นนเี้ หน็ วา่ ถา้ เปน็

คำสามานยนาม ควรมี “ทรง” นำหน้า ดงั เชน่

สว่ นท่ี ๓ ภาคผนวก
529

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช

๒๕๓๔) บญั ญัตใิ นเรอ่ื งเดยี วกนั น้ีไว้ในมาตรา ๒ ว่า :

“ประเทศไทยมกี ารปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมุข”


เมอ่ื เรว็ ๆ นี้ มรี า่ งกฎหมายฉบบั หนง่ึ ทผ่ี า่ นกระบวนการรา่ งมาโดยตลอดแลว้ และไดน้ ำ

ขนึ้ ทลู เกลา้ ฯ ถวายเพอื่ ทรงลงพระปรมาภไิ ธย แตท่ รงสง่ กลบั คนื มาเพอ่ื ใหพ้ จิ ารณาใหมเ่ กย่ี วกบั

การใช้ราชาศัพท์ในกฎหมายฉบับน้ี ซึ่งร่างกฎหมายฉบับน้ีมีข้อความตอนหน่ึงว่า “....ให้นำ

รายได้จาก....ขนึ้ ทูลเกลา้ ฯ....” ทรงทักท้วงวา่ :

“กฎหมายฉบับก่อน ๆ ใช้คำว่า ‘ทูลเกล้าฯ ถวาย’ ฉบับนี้จะ ทูลเกล้าฯ ไว้เฉย ๆ

เท่านัน้ หรือ?”

เมอื่ ได้มีการแกไ้ ขรา่ งฯ ถูกตอ้ งแล้ว มพี ระราชกระแสรับสัง่ ว่า :

“การใช้ราชาศพั ท์ให้ถูกต้องในทน่ี ้ี ไมใ่ ชเ่ รอื่ งจ้จู จ้ี กุ จกิ แตเ่ ป็นเร่ืองสำคัญ เพราะ


ปน็ กฎมหขี มอ้ านยา่ ส”
งั เกตเกยี่ วกบั ปญั หาเรอื่ งการใชร้ าชาศพั ท์ “ทลู เกลา้ ทลู กระหมอ่ มถวาย” อกี

บางประการ คือ

ประการแรก จะมีการใช้ราชาศัพท์ “ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย” เม่ือใดนั้น

พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ฉบับพทุ ธศักราช ๒๕๒๕ กำหนดว่า ใชแ้ กข่ องท่ียกได้ที่

ถวายแดพ่ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั สมเดจ็ พระบรมราชนิ นี าถ สมเดจ็ พระบรมราชนิ ี สมเดจ็

พระบรมราชชนนี สมเด็จพระยุพราช สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และสมเด็จพระบรมราช

กมุ ารี สว่ นพระราชวงศ์ลำดบั รองลงไป ใชค้ ำว่า “ถวาย” เทา่ น้ัน

ประการท่ีสอง สำหรับการถวายของที่ยกไม่ได้หรือนับไม่ได้ท่ีถวายแด่พระบาทสมเด็จ

พระเจา้ อยหู่ วั สมเดจ็ พระบรมราชนิ นี าถ สมเดจ็ พระบรมราชนิ ี สมเดจ็ พระบรมราชชนนี สมเดจ็

พระยุพราช สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และสมเด็จพระบรมราชกุมารีน้ัน พจนานุกรมฉบับ

ดงั กลา่ วใหใ้ ชค้ ำราชาศพั ทว์ า่ “นอ้ มเกลา้ นอ้ มกระหมอ่ มถวาย” เปน็ ตน้ วา่ “นอ้ มเกลา้ นอ้ ม

กระหมอ่ มถวายอาคารโรงพยาบาล”

ประการที่สาม ในการเขียนหนังสือนั้น พจนานุกรมฉบับเดียวกันน้ีกล่าวว่า คำ

ราชาศัพท์ “ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย” และ “น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย” อาจใช้

ไปยาลน้อยแทนได้ คอื เขยี นวา่ “ทลู เกล้าฯ ถวาย” และ “นอ้ มเกล้าฯ ถวาย”

มีตัวอย่างการใช้ราชาศัพท์ท่ีถูกต้องสำหรับคำว่า “ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย” แด

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ลำดับสูง และ “ถวาย” แด่พระราชวงศ์ลำดับ

รองลงมา ในกฎหมายฉบบั เดยี วกนั คอื พระราชกฤษฎกี าออกตามความในประมวลรษั ฎากรวา่

ด้วยการยกเวน้ ภาษีมูลคา่ เพิ่ม (ฉบับที่ ๒๗๒) พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๓ (๕) ซ่ึงบญั ญัติว่า :

530 สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉัยคดี

“การขายเหรียญทร่ี ะลึกเนอื่ งในวโรกาสสำคญั ต่าง ๆ และนำรายได้จากการขายเหรียญ

ดังกล่าวหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วข้ึนทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระ

เจา้ อยหู่ วั สมเดจ็ พระบรมราชนิ นี าถ สมเดจ็ พระบรมราชชนนี หรอื ถวายพระราชโอรสหรอื พระ

ราชธดิ าทกุ พระองคใ์ นพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั และสมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ นี าถ

หรอื สมเด็จพระบรมราชชนนี ท้งั นี้ เฉพาะท่ีกรมธนารกั ษ์เป็นผูผ้ ลติ และขาย โดยไดร้ ับอนญุ าต

จากรฐั มนตรวี า่ การกระทรวงการคลงั ”

อย่างไรก็ตาม ท่านผู้เชี่ยวชาญทางภาษาไทยบางท่านเห็นว่า คำว่า “พระราชโอรส”

และ “พระราชธดิ า” นนั้ สมควรจะเปน็ “พระบรมราชโอรส” และ “พระบรมราชธดิ า” ตาม

ลำดบั เพราะเปน็ พระบรมวงศานุวงศช์ ้ันเจา้ ฟา้

เราได้พิจารณาแล้วว่า ถ้าเป็นของที่ยกได้ ใช้ราชาศัพท์ว่า “ทูลเกล้าทูลกระหม่อม

ถวาย” หรอื “ทลู เกลา้ ฯ ถวาย” สว่ นของทยี่ กไมไ่ ดห้ รอื นบั ไมไ่ ด้ ใชร้ าชาศพั ทว์ า่ “นอ้ มเกลา้

นอ้ มกระหม่อมถวาย” หรอื “นอ้ มเกลา้ ฯ ถวาย”


ปัญหามีว่า ถ้าเป็นการ “เสนอ” ร่างกฎหมายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยก็ดี “เสนอ”

ความเห็น หรือ “เสนอ” คำแนะนำก็ดี จะใช้คำราชาศัพทส์ ำหรับคำวา่ “เสนอ” อย่างไร?

สำหรับร่างกฎหมายน้ัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทยฉบบั ปจั จบุ นั มาตรา ๙๔ ใช

วา่ “ใหน้ ายกรฐั มนตรนี ำรา่ งพระราชบญั ญตั นิ นั้ ขนึ้ ทลู เกลา้ ฯ ถวาย” ในมาตรา ๙๓ กบ็ ญั ญตั ไิ ว

ในทำนองเดยี วกัน ซึ่งนา่ จะถูกต้องแลว้ เพราะถือได้วา่ “รา่ งกฎหมาย” เป็น “ของทีย่ กได”้

ส่วนเร่ืองการ “เสนอ” ความเห็นหรือคำแนะนำนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

มาตรา ๑๐ วรรคสอง ใชว้ า่ “....คณะองคมนตรีมหี นา้ ทถ่ี วายความเหน็ ตอ่ พระมหากษัตริย.์ ...”

มาตรา ๑๗๔ ใชว้ า่ “....นายกรฐั มนตรถี วายคำแนะนำ....”

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๖๑ ใช้ว่า “รัฐมนตรีว่าการ

กระทรวงมหาดไทยมหี นา้ ทถี่ วายเรอื่ งราวตอ่ พระมหากษตั รยิ ์ พรอ้ มทง้ั ถวายความเหน็ วา่ ควร

พระราชทานอภัยโทษหรอื ไม.่ ...”

มาตรา ๒๖๑ ทวิ ใช้ว่า “ในกรณีที่คณะรัฐมนตรเี ห็นเปน็ การสมควรจะถวายคำแนะนำ

ตอ่ พระมหากษัตรยิ .์ ...”

จงึ มขี อ้ นา่ คดิ วา่ การใชค้ ำวา่ “ถวาย” ในบทบญั ญตั ติ า่ ง ๆ ทอ่ี า้ งถงึ นเ้ี ปน็ การใชร้ าชาศพั ท

ถกู ตอ้ งแลว้ หรอื ไม?่

คำวา่ “ถวาย” ใชส้ ำหรบั พระราชวงศล์ ำดบั รอง ๆ ลงมาดงั กลา่ วขา้ งตน้ ในกรณเี หลา่ น
ี้
ถ้าใช้กับพระมหากษัตริย์ น่าจะใช้คำข้ึนต้นว่า “กราบบังคมทูลฯ ถวายคำแนะนำ” หรือ

“กราบบังคมทูลฯ ถวายความเห็น” ทั้งน้ี โดยเทียบได้กับข้อความในบทบัญญัติของ

รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย มาตรา ๑๓๑ ส่วนกรณอี นื่ ๆ ซ่ึงย่อมแล้วแตเ่ น้อื ความ คำ

สว่ นที่ ๓ ภาคผนวก
531

กลาง ๆ น่าจะเป็นว่า “ขอพระราชทานถวาย” เพราะเร่ืองความคิดเห็นหรือคำแนะนำน้ีเป็น

เรอื่ งนามธรรม ดงั ทห่ี นงั สอื “ราชาศพั ท”์ ซงึ่ คณะกรรมการเอกลกั ษณแ์ หง่ ชาติ ๖ จดั ทำแนะนำ

และสำหรับภาษาพูดน้ันอาจจะกล่าวว่า “ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า....” หรือ

“ขา้ พระพุทธเจา้ คิดดว้ ยเกลา้ ฯ ว่า....” กไ็ ด

ในหนงั สอื รวมเรอ่ื งและขอ้ ปฏบิ ตั เิ กยี่ วกบั ราชสำนกั บดั นใี้ หใ้ ชค้ ำราชาศพั ทค์ ำหนง่ึ

ไวใ้ กลเ้ คยี งกบั เรอ่ื งทผี่ เู้ ขยี นเสนอน้ี คอื “กราบบงั คมทลู รายงาน” โดยไมม่ คี ำวา่ “ถวาย” ๗ แต

ในหนงั สอื “ราชาศพั ท”์ ของ “เสาวนติ ” นน้ั ใชค้ ำวา่ “กราบบงั คมทลู ถวายรายงาน” ๘ เฉพาะ

เรอื่ ง “รายงาน” น้ี เดมิ ใชค้ ำวา่ “กราบบงั คมทลู ฯ ถวายรายงาน” แตป่ จั จบุ นั มกี ารตดั คำวา่


“ถวาย” ออก เพอ่ื ความกระชับ จงึ ใชว้ ลที ่ีว่า “กราบบงั คมทลู รายงาน”

การใช้ราชาศัพท์ในกฎหมายเท่าท่ีผู้เขียนนำมาแสดง ณ ท่ีนี้ จะเห็นได้ว่า นอกจาก

ประกาศพระบรมราชโองการทไ่ี ดก้ ลา่ วไวใ้ นตอนตน้ แลว้ นนั้ แมใ้ นระหวา่ งผเู้ ชยี่ วชาญทางราชา

ศัพท์ด้วยกันก็ยังมีความเห็นแตกต่างกันอยู่ว่าเร่ืองใดควรจะใช้คำหรือจะกล่าวอย่างไร กับท้ัง

บางเรอื่ งทา่ นอาจจะเหน็ ตรงกนั แตท่ ใี่ ชแ้ ตกตา่ งกนั เพราะอาจไมเ่ ฉลยี วใจ จงึ ใชแ้ ตกตา่ งไปจาก

คำแบบแผนทค่ี วรใช้ก็ได้ พวกเราบรรดานกั กฎหมายก็คงจะสับสนอยู่เหมือนกันวา่ ตกลงจะถอื

เปน็ ยตุ อิ ยา่ งใด พดู ไปทำไมมี บรรดาศพั ทก์ ฎหมายหรอื ภาษากฎหมายทเี่ ราใชก้ นั อยนู่ น้ั บคุ คล

ทว่ั ไปกฉ็ งนและสบั สนยง่ิ กวา่ คำราชาศพั ทเ์ สยี อกี เพราะไมม่ ผี ใู้ ดมหี นา้ ทต่ี อ้ งใชค้ ำประเภทแบบ

แผน (formal language) เชน่ นเ้ี ปน็ ประจำ จงึ ไมท่ ราบความถกู ตอ้ งแนน่ อนของถอ้ ยคำ และจะ

หาคำเหล่าน้ีได้จากที่ใด ทางแก้ที่ดีที่สุดเก่ียวกับการใช้ราชาศัพท์นี้ก็คือ เม่ือจำเป็นต้องใช้คำ

ประเภทแบบแผนเช่นนี้ ก็ควรถือตามหนังสือ “ราชาศัพท์” ที่จัดพิมพ์เผยแพร่โดยสำนักงาน

เสริมสร้างเอกลกั ษณแ์ หง่ ชาติ สำนกั นายกรัฐมนตรี พุทธศกั ราช ๒๕๓๗ และในกรณีที่ยงั มขี อ้

ข้องใจอยู่ ก็สมควรไต่ถามหรือขอความเห็นจากท่านผู้รู้ในเรื่องนั้น เช่น เจ้าหน้าท่ีในสำนัก

พระราชวัง แต่เราจะหวังให้ท่านผู้รู้ทุกท่านมีความเห็นพ้องต้องกันในทุกเร่ืองคงจะไม่ได้

เช่นเดียวกับความเห็นของนักกฎหมายท่ีแตกต่างกันในปัญหากฎหมายเร่ืองเดียวกัน ซ่ึงก็คง

จะตอ้ งตกเปน็ หนา้ ทขี่ องนกั กฎหมายเองในฐานะทจี่ ะตอ้ งรา่ งกฎหมายหรอื เอกสารทางกฎหมาย

ท่ีมีการใช้ราชาศัพท์จะต้องช่ังน้ำหนักของเหตุผลแต่ละฝ่ายว่าควรจะใช้ราชาศัพท์ในกรณีน้ัน

อย่างไร เช่น ในเร่ืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย ซ่ึงมีประโยคท่ีว่า “มี
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ” หรือ “มีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข ” เท่าน้ันท่ีน่าจะ

ถกู ตอ้ ง เพราะต้องตามเกณฑ์กำหนดทแี่ สดงไว้ขา้ งต้นแล้ว


๖ หนา้ ๒๘.

๗ จัดพิมพ์โดยสำนักพระราชวัง พ.ศ. ๒๕๓๓ หนา้ ๑๑๘.

๘ เสาวนิต, ราชาศพั ท์, หน้า ๒๑.

532 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉยั คดี

ผู้เขียนใคร่ขออัญเชิญพระราชกระแสเกี่ยวกับการใช้คำราชาศัพท์ในกฎหมายที่แสดงไว

ข้างตน้ มาไวเ้ ป็นขอ้ สรุปและย้ำความสำคัญของเรื่องน้อี กี คำรบหนึ่ง คอื


“การใชร้ าชาศัพท์ใหถ้ ูกต้องในทนี่ ้ี ไม่ใชเ่ รื่องจ้จู ้ีจกุ จกิ แตเ่ ป็นเร่ืองสำคญั เพราะ

เปน็ กฎหมาย”





ส่วนที่ ๓ ภาคผนวก
535

คำสัง่ ศาลอุทธรณ์


ท่ี ๓๓ / ๒๕๕๒

เรอื่ ง แตง่ ตงั้ คณะกรรมการจดั ทำหนังสอื “ความรู้ทว่ั ไปเก่ยี วกับภาษาไทย” และ

หนังสอื “สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวนิ ิจฉยั คด”ี





ตามที่ศาลอุทธรณ์มีแผนงานเพ่ิมพูนการให้ความรู้แก่ผู้พิพากษาทุกระดับใน

ศาลอุทธรณ์ เพ่ืออำนวยความสะดวกในการเขียนคำพิพากษาหรือคำส่ังของศาลอุทธรณ์ให้มี

ประสทิ ธภิ าพยง่ิ ขน้ึ โดยไดจ้ ดั ทำหนงั สอื “แนวการวนิ จิ ฉยั คดขี องศาลฎกี าหรอื ศาลอทุ ธรณใ์ นปญั หา

ทศี่ าลชนั้ ตน้ พพิ ากษาหรอื มคี ำสง่ั ” แจกจา่ ยแกท่ า่ นผพู้ พิ ากษาทกุ ระดบั ในศาลอทุ ธรณ์ ตลอดจน

บุคคลและหน่วยงานท่เี กย่ี วขอ้ ง ซึง่ เป็นประโยชน์อย่างย่ิงต่อราชการศาลอุทธรณ์แล้ว นัน้

เพอื่ ใหค้ ำพพิ ากษาและคำสงั่ ของศาลอทุ ธรณม์ คี ณุ ภาพดยี ง่ิ ขน้ึ สามารถใชเ้ ปน็

แบบอยา่ งแกศ่ าลชนั้ อทุ ธรณอ์ น่ื ๆ ศาลชนั้ ตน้ คคู่ วามผมู้ อี รรถคดี นกั ศกึ ษากฎหมาย ตลอดจน

ประชาชนทวั่ ไปไดย้ ดึ ถอื ปฏบิ ตั อิ ยา่ งชดั เจนและถกู ตอ้ งยงิ่ ขนึ้ สมควรจดั ทำหนงั สอื “ความรทู้ ว่ั ไป

เกย่ี วกบั ภาษาไทย” และหนงั สอื “สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉยั

คด”ี เพอื่ ใหผ้ พู้ พิ ากษาในศาลอทุ ธรณใ์ ชเ้ ปน็ แบบอยา่ งในการเขยี นคำพพิ ากษาและคำสงั่ ใหถ้ กู ตอ้ ง

ทงั้ ในหลกั กฎหมายและการใชภ้ าษาไทยตามหลกั ไวยากรณท์ ดี่ ี โดยนำบทความตา่ งๆ เกย่ี วกบั การ

เรยี งคำพพิ ากษาหรอื คำสง่ั ซง่ึ ผทู้ รงคณุ วฒุ เิ ผยแพรไ่ วแ้ ลว้ มารวมพมิ พไ์ วใ้ นเลม่ เดยี วกนั สำหรบั

แจกจ่ายแก่ท่านผพู้ พิ ากษา บคุ คล และหนว่ ยงานที่เกย่ี วขอ้ งตอ่ ไป

จงึ แตง่ ตง้ั คณะกรรมการจดั ทำหนงั สอื “ความรทู้ วั่ ไปเกย่ี วกบั ภาษาไทย” และหนงั

สอื “สำนวนโวหารในการเรยี งคำพพิ ากษาและเหตผุ ลในการวนิ จิ ฉยั คด”ี ประกอบดว้ ย ขา้ ราชการ


า่ ยตุลาการศาลยตุ ธิ รรมดงั ตอ่ ไปน
ี้
๑. นายธนสิทธ์ิ นิลกำแหง ประธานกรรมการ

รองประธานศาลอทุ ธรณ

๒. นายอดุลย์ อุดมผล กรรมการ

เลขานกุ ารศาลอุทธรณ์

๓. นายธวชั ชัย สุรกั ขกะ กรรมการ

ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำกองผชู้ ว่ ยผพู้ ิพากษาศาลอุทธรณ์

536 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉยั คด


๔. นายเฉลิมพล ชอบธรรม กรรมการ

ผ้ชู ว่ ยผูพ้ ิพากษาศาลอทุ ธรณ์

๕. นางสาวมาลี กรทอง กรรมการ

ผูอ้ ำนวยการสำนกั อำนวยการประจำศาลอุทธรณ์

๖. นางดวงสมร เวชกจิ กรรมการ

บรรณารกั ษ์ ๘ ศูนยว์ ิทยบริการศาลยตุ ธิ รรม สำนกั งานศาลยุติธรรม

๗. นางจินตนาภา ณ ลำพนู กรรมการ

เจ้าหนา้ ที่ศาลยุตธิ รรม ๕ ศาลอุทธรณ

๘. นางสาวรดาวดี ศริ สิ วสั ด ์ิ กรรมการ

นติ กิ ร ๔ ศาลอุทธรณ

๙. นางสาวดษุ ฎี ห๎ลลี ะเมียร กรรมการและเลขานกุ าร

ผ้ชู ว่ ยผู้พพิ ากษาศาลอุทธรณ์แผนกคดเี ยาวชนและครอบครวั

๑๐. นายพรเทพ รัศม ี กรรมการและผชู้ ว่ ยเลขานกุ าร

รองเลขานุการศาลอทุ ธรณ์

๑๑. นางรงุ่ นภา รัตนประเสรฐิ ศรี กรรมการและผชู้ ว่ ยเลขานกุ าร

บรรณารกั ษ์ ๗ว ศนู ย์วิทยบริการศาลยุติธรรม สำนักงานศาลยตุ ิธรรม

๑๒. นายณัฐพนธ์ นวลเจริญ กรรมการและผชู้ ว่ ยเลขานกุ าร


นิตกิ ร ศาลอทุ ธรณ์

ใหค้ ณะกรรมการมหี นา้ ทดี่ ำเนนิ การจดั ทำหนงั สอื ดงั กลา่ วใหเ้ ปน็ ไปดว้ ยความ

เรยี บรอ้ ย เชน่ ตรวจทานบทความตา่ ง ๆ ประสานงานขออนญุ าตจากผเู้ ขยี นบทความนนั้ ๆ และ

พจิ ารณาคดั เลอื กคำพพิ ากษาและคำสงั่ ของศาลอทุ ธรณซ์ งึ่ มสี ำนวนโวหารทสี่ ละสลวยถกู ตอ้ งตาม

หลกั กฎหมายและการใชภ้ าษาไทยทด่ี เี พอ่ื ลงพมิ พเ์ ผยแพร่ ตลอดจนประสานงานในสว่ นทเี่ กย่ี วขอ้ ง


ตอ่ ไป

ทั้งน้ี ตัง้ แต่บดั นเี้ ป็นตน้ ไป



สัง่ ณ วนั ท่ี ๑๑ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๕๕๒





(นายอดิศกั ด ์ิ ทมิ มาศย)์

ประธานศาลอทุ ธรณ


สว่ นที่ ๓ ภาคผนวก
537

สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตุผลในการวินิจฉัยคดี


ISBN : 978-616-7273-06-8

ศาลอุทธรณ์ และสำนักงานศาลยตุ ิธรรม




ทีป่ รกึ ษา


นายวิรชั ชินวินจิ กลุ

นายธนสิทธิ์ นลิ กำแหง


บรรณาธกิ าร

นางสาวดษุ ฎี หล๎ ีละเมยี ร


คณะผ้จู ัดทำในการจดั พิมพ์ครงั้ แรก


นางดวงสมร เวชกิจ

นางรุ่งนภา รตั นประเสรฐิ ศร

นางจนิ ตนาภา ณ ลำพูน

นางสาวรดาวดี ศริ ิสวัสด
ิ์
นายณฐั พนธ์ นวลเจริญ

นางสาววไิ ล ต้อนโสกี


คณะผจู้ ดั ทำในการจดั พมิ พค์ รั้งทสี่ อง


นางสาววงษ์เดอื น ดาวเรือง

นางรงุ่ นภา รตั นประเสรฐิ ศรี

นายคำรณ นวลเจริญ

นายธรี ภัทร ์ เมฆฉา

นางสาวฐิติมานนั ท ์ อณุ หพพิ ัฒพงศ์

นางสาววไิ ล ตอ้ นโสกี


ออกแบบปกและจดั รปู เลม่

นางสาวดุษฎี ห๎ลีละเมียร

นางสาวฐติ ิมานนั ท์ อุณหพพิ ัฒพงศ




พมิ พ์ที

บริษทั ธนาเพรส จำกัด

๔๘/๒๖-๓๑ ซ.จุฬา ๗ ถ.บรรทดั ทอง แขวงวงั ใหม่ เขตปทุมวนั กรงุ เทพฯ ๑๐๓๓๐

โทร. ๐ ๒๒๑๕ ๗๒๒๐ โทรสาร ๐ ๒๒๑๔ ๐๐๓๘ E-mail : [email protected]

538 สำนวนโวหารในการเรียงคำพิพากษาและเหตผุ ลในการวนิ ิจฉยั คดี




Click to View FlipBook Version