The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

48พระธรรมเทศนา หลวงปู่ชา สุภัทโท

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wonchai890, 2022-02-20 20:16:02

48พระธรรมเทศนา หลวงปู่ชา สุภัทโท

48พระธรรมเทศนา หลวงปู่ชา สุภัทโท

ตามปกตนิ น้ั นับตงั้ แต่หลวงพ่อไดอ้ ุปสมบทมา เมอื่ มีโอกาสเขา้ ไปเยีย่ มโยม
บิดามารดา หลังจากไดพ้ ดู คุยเรอื่ งอื่นมาพอสมควรแล้ว โยมพอ่ มักจะวกเข้าหาเรอื่ ง
ความเป็นอยใู่ นเพศสมณะ ทา่ นมักจะปรารภดว้ ยความเปน็ หว่ งแกมขอรอ้ งวา่

“อย่าลาสิกขานะ อยู่เป็นพระไปอย่างน้ีแหละดี สึกออกมามันยุ่งยากล�ำบาก
หาความสบายไมไ่ ด”้

ทา่ นไดย้ นิ แลว้ กน็ ง่ิ มไิ ดต้ อบ แตค่ รงั้ นซี้ งึ่ โยมพอ่ กำ� ลงั ปว่ ย ทา่ นกไ็ ดพ้ ดู เชน่ นน้ั อกี
พรอ้ มกับมองหน้าคลา้ ยกับรอฟังคำ� ตอบอยู่ ท่านจงึ บอกโยมพ่อไปวา่

“ไม่สึกไม่เสิกหรอก จะสึกไปท�ำไมกัน”

รูส้ ึกวา่ จะเป็นคำ� ตอบที่ท�ำใหโ้ ยมพอ่ พอใจ หลวงพอ่ มาอยเู่ ฝ้าดอู าการป่วยของ
โยมพ่อนบั เป็นเวลา ๑๓ วัน โยมพอ่ จึงไดถ้ งึ แก่กรรม

๕. พจิ ารณาธรรม

หลวงพอ่ เลา่ วา่ ในระหวา่ งเฝา้ ดอู าการปว่ ยของโยมพอ่ จนกระทงั่ ทา่ นถงึ แกก่ รรม
ทำ� ให้ไดพ้ ิจารณาถึงธาตกุ รรมฐาน พจิ ารณาดอู าการท่ีเกดิ ดับของสงั ขารท้งั ปวง และ
เกดิ ความสงั เวชใจวา่ อันชีวิตย่อมส้ินลงแค่นี้หรอื จะยากดีมจี นก็พากนั ดิ้นรนไปหา
ความตาย อนั เปน็ จดุ หมายปลายทาง อนั ความแก่ ความเจบ็ ความตาย นน้ั เปน็ สมบตั ิ
สากลทท่ี ุกคนจะตอ้ งได้รับ จะยอมรบั หรอื ไม่ ก็ไมเ่ หน็ ใครหนพี ้นสักราย

ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ เมือ่ จดั การกบั การฌาปนกจิ โยมบิดาเรยี บร้อยแล้ว หลวงพอ่
กเ็ ดนิ ทางกลบั สำ� นกั วดั หนองหลกั เพอื่ ตงั้ ใจศกึ ษาเลา่ เรยี นตอ่ ไป แตบ่ างวนั บางโอกาส
ท�ำให้ท่านนึกถึงภาพของโยมพ่อท่ีนอนป่วยร่างซูบผอมอ่อนเพลีย นึกถึงค�ำส่ังของ
โยมพ่อ และนึกถึงภาพท่ีท่านมรณะไปต่อหน้า ยิ่งท�ำให้เกิดความสลดใจสังเวชใจ
ความรสู้ กึ เหลา่ น้ีมนั ปรากฏเปน็ ระยะๆ

594

ในระหวา่ งพรรษานี้ ขณะทก่ี ำ� ลงั แปลหนงั สอื ธรรมบทจบไปหลายเลม่ ไดท้ ราบ
พุทธประวัติ สาวกประวัตจิ ากหนงั สือเหลา่ นั้น แลว้ มาพจิ ารณาดู การทเ่ี ราเรียนอย่นู ้ี
ครกู พ็ าแปลแตส่ งิ่ ทเี่ รารเู้ ราเหน็ มาแลว้ เชน่ เรอ่ื งตน้ ไม้ ภเู ขา ผหู้ ญงิ ผชู้ าย และสตั วต์ า่ งๆ
สัตวม์ ปี กี บ้าง ไมม่ ีปกี บา้ ง สัตว์มเี ทา้ บ้าง ซึง่ ลว้ นแตเ่ ราได้พบเหน็ เรยี นอย่างเดยี ว
และเรากไ็ ดเ้ รยี นบา้ งแลว้ จงึ อยากจะศกึ ษาทางปฏบิ ตั ดิ บู า้ ง เพอ่ื จะไดท้ ราบวา่ มคี วาม
แตกตา่ งกนั เพยี งใด แตย่ งั มองไมเ่ หน็ ครบู าอาจารยผ์ ใู้ ดพอจะเปน็ ทพ่ี ง่ึ ได้ จงึ ตดั สนิ ใจ
จะกลับบา้ น

พ.ศ. ๒๔๘๘ ในระหวา่ งฤดแู ลง้ ไดเ้ ขา้ กราบลาหลวงพอ่ พระครอู รรคธรรมวจิ ารณ์
เดินทางกลับมาพักอยู่วัดก่อนอกตามเดิม และในพรรษานั้น ก็ได้เป็นครูช่วยสอน
นกั ธรรมใหท้ า่ นอาจารยท์ วี่ ดั จงึ ไดเ้ หน็ ภกิ ษสุ ามเณรทเี่ รยี นโดยไมค่ อ่ ยเคารพในการ
เรยี น ไมเ่ อาใจใส่ เรยี นพอเปน็ พธิ ี บางรปู นอนนำ�้ ลายไหล จงึ ทำ� ใหเ้ กดิ ความสงั เวชใจ
มากขึ้น ตั้งใจว่าออกพรรษาแลว้ เราจะตอ้ งแสวงหาครูบาอาจารยด์ ้านวปิ ัสสนาใหไ้ ด้
เมอื่ สง่ นกั เรยี นเขา้ สอบและหลวงพอ่ กเ็ ขา้ สอบนกั ธรรมเอกดว้ ย (ผลการสอบปรากฏวา่
สอบ น.ธ.เอก ได้)

๖. ออกปฏิบัตธิ รรม

พ.ศ. ๒๔๘๙ (พรรษาท่ี ๘) ในระหวา่ งตน้ ปี ไดช้ วนพระรปู หนง่ึ เปน็ เพอ่ื นออกเดนิ
ธุดงค์มุ่งไปสู่จังหวัดสระบุรี ได้พักอยู่ตามป่าตามเขาไปเร่ือยๆ จนกระทั่งไปถึงเขต
หมบู่ า้ นยางคู่ ตำ� บลยางคู่ จงั หวดั สระบรุ ี ไดพ้ กั อยทู่ นี่ นั่ นานพอสมควร พจิ ารณาเหน็ วา่
สถานทยี่ งั ไมเ่ หมาะสมเทา่ ใดนกั ทง้ั ครบู าอาจารยก์ ย็ งั ไมด่ ี จงึ เดนิ ทางเขา้ สเู่ ขตจงั หวดั
ลพบรุ ี มุ่งสู่เขาวงกฎ อันเป็นสำ� นกั ของหลวงพอ่ เภา แตก่ ็นา่ เสียดายทหี่ ลวงพอ่ เภา
ทา่ นมรณภาพเสยี แลว้ เหลอื แตอ่ าจารยว์ รรณ ซงึ่ เปน็ ลกู ศษิ ยข์ องหลวงพอ่ เภา อยดู่ แู ล
สง่ั สอนแทนทา่ นเทา่ นนั้ แตก่ ย็ งั ดที ไี่ ดอ้ าศยั ศกึ ษาระเบยี บขอ้ ปฏบิ ตั ทิ ห่ี ลวงพอ่ เภาทา่ น
วางไว้ และได้อ่านคติพจน์ที่หลวงพ่อเขียนไว้ตามปากถ้�ำและตามท่ีอยู่อาศัยเพ่ือ
เตือนใจ ทั้งได้มีโอกาสศึกษาพระวินัยจนเป็นที่เข้าใจย่ิงข้ึน เป็นเหตุให้มีการสังวร

595

ระวงั ไมก่ ลา้ ฝา่ ฝนื แมแ้ ตส่ กิ ขาบทเลก็ ๆ นอ้ ยๆ การศกึ ษาวนิ ยั นน้ั ศกึ ษาจากหนงั สอื บา้ ง
และได้รับค�ำแนะน�ำจากพระอาจารย์ผู้ช�ำนาญท้ังปริยัติและปฏิบัติ ซ่ึงท่านมาจาก
ประเทศกัมพูชา เพื่อเข้ามาสอบทานพระไตรปิฎกไทย ท่านเล่าให้ฟังว่าท่ีแปลไว้ใน
หนงั สอื นวโกวาทนน้ั บางตอนยงั ผดิ พลาด ทา่ นอาจารยร์ ปู นน้ั เกง่ ทางวนิ ยั มาก จำ� หนงั สอื
บพุ พสกิ ขาไดแ้ มน่ ยำ� ทา่ นบอกวา่ เมอ่ื เสรจ็ ภารกจิ ในประเทศไทยแลว้ ทา่ นจะเดนิ ทาง
ไปประเทศพมา่ เพื่อศึกษาตอ่ ไป ทา่ นเป็นพระธดุ งค์ชอบอยู่ตามปา่

วนั หนงึ่ หลวงพอ่ ไดศ้ กึ ษาพระวนิ ยั กบั ทา่ นอาจารยร์ ปู นน้ั หลายขอ้ มอี ยขู่ อ้ หนงึ่
ซ่ึงท่านบอกคลาดเคลื่อนไป ตามปกติหลวงพ่อเม่ือได้ศึกษาวินัยและท�ำกิจวัตรแล้ว
คร้ันถึงกลางคืนท่านจะข้ึนไปพักเดินจงกรมนั่งสมาธิอยู่บนหลังเขา วันน้ันประมาณ
๔ ท่มุ กว่าๆ ขณะที่กำ� ลงั เดนิ จงกรมอยู่ ไดย้ นิ เสียงก่ิงไมใ้ บไมแ้ ห้งดังกรอบแกรบ
ใกลเ้ ขา้ มาทกุ ที ทา่ นเขา้ ใจวา่ คงจะเป็นงหู รือสัตวอ์ ยา่ งอ่นื ออกหากิน แต่พอเสียงน้ัน
ดงั ใกลๆ้ เขา้ มา ทา่ นจงึ มองเหน็ อาจารยเ์ ขมรรปู นน้ั หลวงพอ่ จงึ ถามวา่ “ทา่ นอาจารย์
มธี รุ ะอะไรจงึ ไดม้ าดกึ ๆ ดน่ื ๆ” ทา่ นจงึ ตอบวา่ “ผมบอกวนิ ยั ทา่ นผดิ ขอ้ หนง่ึ ” หลวงพอ่
จงึ เรยี นวา่ “ไมค่ วรลำ� บากถงึ เพยี งนเี้ ลย ไฟสอ่ งทางกไ็ มม่ ี เอาไวพ้ รงุ่ นจี้ งึ บอกผมใหม่
กไ็ ด”้ ท่านตอบว่า “ไมไ่ ด้ๆ เมอ่ื ผมบอกผดิ ถ้าผมตายในคนื นี้ทา่ นจำ� ไปสอนคนอนื่
ผดิ ๆ อีก กจ็ ะเปน็ บาปเปน็ กรรมเปล่าๆ” เมอื่ ทา่ นบอกเรียบรอ้ ยแลว้ ก็กลับลงไป

พดู ถงึ การปฏบิ ตั ทิ เ่ี ขาวงกฏในขณะนนั้ รสู้ กึ วา่ ยงั ไมแ่ ยบคายเทา่ ใดนกั หลวงพอ่
จึงคดิ จะหาอาจารยผ์ เู้ ชย่ี วชาญยง่ิ กวา่ นี้ เพอื่ ปฏิบตั ิและค้นคว้าต่อไป ทา่ นจงึ นึกถึง
ตงั้ แตค่ ร้ังยังเปน็ สามเณรอยูท่ ีว่ ัดกอ่ นอก เคยไดเ้ หน็ พระกรรมฐานมลี กู ปดั แขวนคอ
สำ� หรบั ใชภ้ าวนากนั ลมื ทา่ นอยากจะไดม้ าภาวนาทดลองดบู า้ ง นกึ หาอะไรไมไ่ ดจ้ งึ มอง
ไปเห็นลูกตะแบก (ลูกเปอื ยภูเขา) กลมๆ อยบู่ นตน้ ครัน้ จะไปเดด็ เอามาเองก็กลัว
จะเปน็ อาบตั ิ วนั หน่ึงมีพวกลิงพากันมาหกั กิง่ ไม้และรูดลูกตะแบกเหลา่ นนั้ มา คดิ วา่
เขาร้อยเป็นพวงคล้องคอ แต่เราไม่มีอะไรร้อยจึงถือเอาว่า เวลาภาวนาจบบทหนึ่ง
จงึ คอ่ ยๆ ปลอ่ ยลกู ตะแบกลงกระปอ๋ งทลี ะลกู จนครบรอ้ ยแปดลกู ทำ� อยอู่ ยา่ งนส้ี ามคนื
จงึ เกดิ ความรูส้ ึกวา่ ท�ำอย่างนไ้ี มใ่ ช่ทาง เพราะไม่ตา่ งอะไรกบั เจก๊ นบั ลกู หมากขายใน
ตลาด จงึ ไดห้ ยุดนบั ลกู ตะแบกเสยี

596

๗. เหตุการณ์แปลกๆ คร้ังที่ ๑

ในพรรษาท่ี ๘ น้ี ขณะจำ� พรรษาอยทู่ ว่ี ดั เขาวงกฏ วนั หนงึ่ ขณะทข่ี น้ึ ไปอยบู่ นหลงั เขา
หลงั จากเดนิ จงกรมและนงั่ สมาธแิ ลว้ กจ็ ะพกั ผอ่ นตามปกติ กอ่ นจำ� วดั จะตอ้ งสวดมนต์
ไหว้พระ แต่วันน้ันเชอื่ ความบริสทุ ธ์ิของตนเองจงึ ไมไ่ ดส้ วดอะไร ขณะทกี่ ำ� ลังเคล้มิ
จะหลบั ปรากฏวา่ เหมือนมีอะไรมารัดลำ� คอแนน่ เขา้ ๆ แทบหายใจไม่ออก ไดแ้ ต่นึก
ภาวนา พทุ โธ พทุ โธ เรอื่ ยไป เปน็ อยนู่ านพอสมควร อาการรดั คอนน้ั จงึ คอ่ ยๆ คลาย
ออกพอลืมตาไดแ้ ต่ตัวยงั กระดกิ ไม่ได้ จงึ ภาวนาตอ่ ไปจนพอกระดกิ ตวั ไดแ้ ต่ยังลุก
ไม่ได้ เอามือลบู คล�ำตวั นกึ วา่ มิใชต่ ัวของเรา ภาวนาจนลกุ นง่ั ได้แล้ว พอนั่งได้จงึ เกดิ
ความรู้สึกว่า เร่ืองการถือมงคลตื่นข่าวแบบสีลัพพตปรามาส ไม่ใช่ทางที่ถูกที่ควร
การปฏิบัติธรรมต้องเริ่มต้นจากมีศีลบริสุทธิ์ เป็นเหตุให้พิจารณาว่าสัตว์ท้ังหลายมี
กรรมเปน็ ของๆ ตน แนช่ ดั ลงไปโดยมติ อ้ งสงสยั นบั ตง้ั แตน่ น้ั มา หลวงพอ่ ชามคี วาม
ระวงั สำ� รวมดว้ ยดี มใิ หม้ คี วามบกพรอ่ งเกดิ ขนึ้ แมก้ ระทง่ั สงิ่ ของทไี่ ดม้ าไมบ่ รสิ ทุ ธต์ิ าม
วินยั และปจั จยั (เงินทอง) ท่านกส็ ละหมด และปฏญิ าณว่าจะไม่ยอมรับต้ังแตว่ นั น้ัน
มาจนกระทงั่ ถงึ ทกุ วันน้ ี

ในระหว่างพรรษาน้ัน ได้รับค�ำแนะน�ำจากโยมอินทร์มัคนายกวัดเขาวงกฏ
ซงึ่ เคยปฏบิ ตั ริ บั ใชพ้ ระอาจารยม์ น่ั มาแลว้ วา่ ทา่ นอาจารยม์ นั่ ภรู ทิ ตั โต เปน็ ผมู้ คี ณุ ธรรมสงู
ทั้งช�ำนาญด้านวิปัสสนาธุระ มีประชาชนเคารพเล่ือมใสมาก ท่านมีส�ำนักอยู่ท่ีวัดป่า
หนองผอื นาใน อ�ำเภอพรรณานคิ ม จงั หวดั สกลนคร

พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นพรรษาที่ ๙ จำ� พรรษาอย่ทู ่วี ดั เขาวงกฏ เม่ือออกพรรษาแล้ว
ได้เดนิ ทางไปหาทา่ นอาจารย์ม่ัน มพี ระไปดว้ ยกัน ๔ รปู เป็นพระภาคกลาง ๒ รูป
พากันเดินทางย้อนกลับมาท่ีจังหวัดอุบลฯ พักอยู่ท่ีวัดก่อนอกช่ัวคราว จึงพากัน
เดนิ ธดุ งคก์ รำ� แดดไปเรอื่ ยๆ จดุ หมายปลายทางคอื สำ� นกั พระอาจารยม์ นั่ ออกเดนิ ทาง
ไปได้พอถึงคืนที่ ๑๐ จึงถึงพระธาตุพนม นมัสการพระธาตุพนมและพักอยู่ท่ีน่ัน
หนึ่งคืน แล้วออกเดินทางไปอ�ำเภอนาแก ไปแวะนมัสการท่านอาจารย์สอนท่ีภูค้อ

597

เพ่ือศึกษาข้อปฏิบัติ แต่เม่ือสังเกตพิจารณาดูแล้วยังไม่เป็นที่พอใจนัก ได้พักอยู่ท่ี
ภคู อ้ สองคนื จงึ เดนิ ทางตอ่ ไป แยกกนั เดนิ ทางเปน็ ๒ พวกตรงนน้ั หลวงพอ่ ชามคี วาม
ตง้ั ใจวา่ กอ่ นจะไปถงึ พระอาจารยม์ น่ั ควรจะแวะสนทนาธรรมและศกึ ษาขอ้ ปฏบิ ตั จิ าก
พระอาจารยต์ า่ งๆ ไปก่อน เพอ่ื จะไดเ้ ปรียบเทยี บเทียบเคียงกนั ดู

๘. พบพระอาจารยม์ ่ัน ภูรทิ ัตโต

ดงั น้ัน เม่ือไดท้ ราบวา่ มีพระอาจารยด์ า้ นวปิ ัสสนาอยู่ทางทศิ ใด จึงไปนมัสการ
อยเู่ สมอ การกลับจากภคู อ้ น้ี คณะท่ไี ปด้วยกนั ได้รับความล�ำบากเหนด็ เหนื่อยมาก
จงึ มสี ามเณร ๑ รปู กบั อบุ าสก ๒ คน เหน็ วา่ ตนเองคงจะไปไมไ่ หว จงึ ลากลบั บา้ นกอ่ น
ยงั มเี หลอื แตห่ ลวงพอ่ กบั พระอกี ๒ รปู เดนิ ทางตอ่ ไปโดยไมย่ อมเลกิ ลม้ ความตงั้ ใจเดมิ
แมจ้ ะลำ� บากสกั ปานใดกต็ อ้ งอดทน หลายวนั ตอ่ มาจงึ เดนิ ทางถงึ สำ� นกั ของพระอาจารย์
มั่น ภรู ทิ ัตโต ส�ำนกั หนองผอื นาใน อำ� เภอพรรณนานิคม จังหวดั สกลนคร วนั แรก
พอยา่ งเขา้ สสู่ ำ� นกั มองดูลานวดั สะอาดสะอา้ น เห็นกิรยิ ามารยาทของเพอื่ นบรรพชติ
ก็เป็นท่นี า่ เล่ือมใสและเกดิ ความพอใจมากกวา่ ทใี่ ดๆ ที่เคยผ่านมา พอถงึ ตอนเย็น
จึงได้เข้าไปกราบนมัสการพร้อมศิษย์ของท่านและฟังธรรมร่วมกัน ท่านอาจารย์ได้
ซกั ถามเรอ่ื งราวตา่ งๆ เชน่ เกย่ี วกบั อายพุ รรษา และสำ� นกั ทเ่ี คยปฏบิ ตั มิ าแลว้ หลวงพอ่ ชา
ไดก้ ราบเรยี นวา่ มาจากสำ� นกั อาจารยเ์ ภา วดั เขาวงกฎ จ.ลพบรุ ี พรอ้ มกบั เอาจดหมาย
ท่โี ยมอินทร์ฝากมาถวาย ทา่ นอาจารย์มน่ั ได้พูดว่า “ดี ทา่ นอาจารย์เภาก็เปน็ พระแท้
องค์หนึ่งในประเทศไทย”

ตอ่ จากนนั้ ทา่ นกเ็ ทศนใ์ หฟ้ งั โดยปรารภถงึ เรอ่ื งนกิ ายวา่ “ไมต่ อ้ งสงสยั ในนกิ าย
ทงั้ สอง” ซึ่งเปน็ เรือ่ งท่ีหลวงพ่อสงสยั มากอ่ นนัน้ แล้ว ตอ่ ไปท่านกเ็ ทศนเ์ รอ่ื งสีลนเิ ทส
สมาธนิ เิ ทส ปญั ญานเิ ทส ใหฟ้ งั จนเปน็ ทพ่ี อใจและหายสงสยั และทา่ นไดอ้ ธบิ ายเรอื่ ง
พละ ๕ อิทธบิ าท ๔ ใหฟ้ ัง ซ่ึงขณะนั้นศิษยท์ ุกคนฟงั ด้วยความสนใจ มอี าการอัน
สงบเสง่ียม ทั้งๆ ท่ีหลวงพ่อและเพ่ือนเดินทางมาด้วยความเหน็ดเหน่ือยตลอดวัน
พอไดม้ าฟงั เทศนท์ า่ นอาจารยม์ น่ั แลว้ รสู้ กึ วา่ ความเมอื่ ยลา้ ไดห้ ายไป จติ ใจลงสสู่ มาธิ

598

ธรรมดว้ ยความสงบ มคี วามรสู้ กึ วา่ ตวั ลอยอยบู่ นอาสนะ นง่ั ฟงั อยจู่ นกระทงั่ เทย่ี งคนื
จงึ เลิกประชมุ

ในคนื ที่ ๒ ไดเ้ ขา้ นมสั การฟงั เทศนอ์ กี ทา่ นอาจารยม์ น่ั ไดแ้ สดงปกณิ กธรรมตา่ งๆ
จนจติ เราหายความสงสยั มคี วามรสู้ กึ ซงึ่ เปน็ การยากทจ่ี ะบอกคนอนื่ ใหเ้ ขา้ ใจได้

ในวนั ท่ี ๓ เนอ่ื งจากความจำ� เปน็ บางอยา่ ง จงึ ไดก้ ราบลาทา่ นอาจารยม์ นั่ เดนิ ทาง
ลงมาทางอำ� เภอนาแก ไมว่ า่ หลวงพอ่ จะเดนิ จงกรม หรอื นงั่ สมาธอิ ยู่ ณ ทใี่ ดๆ กต็ าม
ปรากฏวา่ ทา่ นอาจารยม์ น่ั คอยตดิ ตาม ตกั เตอื นอยตู่ ลอดเวลา พอเดนิ ทางมาถงึ วดั โปรง่
ครอง ซงึ่ เปน็ สำ� นกั ของพระอาจารยค์ ำ� ดี เหน็ พระทา่ นไปอยปู่ า่ ชา้ เกดิ ความสนใจมาก
เพราะมาคดิ วา่ เมอื่ เปน็ นกั ปฏบิ ตั จิ ะตอ้ งแสวงหาความสงบ เชน่ ปา่ ชา้ ซงึ่ เราไมเ่ คยอยู่
มากอ่ นเลย ถา้ ไมอ่ ยู่ คงไมร่ วู้ า่ มคี วามเหมาะสมเพยี งใด เมอื่ คนอนื่ เขาอยไู่ ด้ เรากต็ อ้ ง
อยู่ได้ จงึ ตดั สินใจจะไปอยปู่ า่ ชา้ และชวนเอาพ่อขาวแกว้ ไปเป็นเพือ่ นดว้ ย

๙. ปรากฏการณ์แปลกครง้ั ท่ี ๒

ชีวิตครั้งแรกท่ีเข้าอยู่ป่าช้าดูเหมือนเป็นเหตุบังเอิญ ในวันน้ันมีเด็กตายใน
หมู่บ้าน เขาจึงเอาฝังไว้ โยมเลยเอาไม้ไผ่ท่ีหามเด็กมานั้นสับเป็นฟากยกร้านเล็กๆ
พอนัง่ ได้ใกลๆ้ กบั หลุมฝังศพ หลวงพ่อชาเลา่ ว่า ทัง้ ๆ ทีต่ วั เองก็รสู้ กึ กลวั เหมือนกนั
แตไ่ ลใ่ หพ้ อ่ ขาวแกว้ ไปปกั กลดหา่ งกนั ประมาณ ๑ เสน้ เพราะถา้ อยใู่ กลก้ นั มนั จะถอื
เอาเปน็ ที่พึ่ง

คืนแรกขณะท่ีเดินจงกรมเกิดความกลัว เกิดความคิดว่า “หยุดเถอะพอแล้ว
เขา้ ไปนั่งในกลดเถอะ” ทั้งๆ ทย่ี งั ไมด่ กึ เท่าใด แต่ก็เกดิ ความคิดข้ึนใหมว่ ่า “ไมห่ ยดุ
เดนิ ตอ่ ไป เรามาแสวงหาของจรงิ ไมไ่ ดม้ าเลน่ ” ความคดิ ชวนหยดุ เขา้ กลดเพราะกลวั
กบั ความคดิ หักหา้ มวา่ ไม่หยดุ เดนิ ต่อไปยังไมด่ กึ มนั เกดิ แยง้ กันอย่เู ร่อื ยๆ ต้องฝืน
ความรู้สึกของตน อดกลั้นข่มใจไว้อย่างนั้น และในคืนแรกน้ีขณะเดินจงกรมอยู่
จติ เริม่ สงบ พอเดินไปถึงหลุมฝงั ศพ ปรากฏวา่ เรามองลงไปในหลุม เหน็ องคก์ �ำเนดิ

599

ของเดก็ ผชู้ ายชดั เจน ทงั้ ๆ ทเี่ ราไมท่ ราบวา่ เขาเอาเดก็ ผชู้ ายหรอื ผหู้ ญงิ มาฝงั ไว้ พอถงึ
ตอนเชา้ จงึ ได้ถามโยมว่าเอาเด็กผ้ชู ายหรือผูห้ ญิงไปฝงั เขาตอบว่าเดก็ ผู้ชาย คืนแรก
ผา่ นไปยังไม่มีเหตกุ ารณ์อะไรมากนกั ความกลวั ก็มไี ม่มาก

วันท่ี ๒ ก็มีคนตายอีก คราวนี้เป็นผู้ใหญ่ เขาพามาเผาห่างจากท่ีปักกลด
ประมาณ ๑๐ วา คืนนแ้ี หละเปน็ คนื สำ� คญั หลังจากเดินจงกรมได้เวลาพอสมควร
จึงเข้านัง่ สมาธิภายในกลด ไดย้ นิ เสยี งดัง กุกกกั ทางกองฟอน เรานึกวา่ หมามาแย่ง
กนิ ซากศพ สักครู่หน่งึ เสียงดงั แรงขนึ้ และใกล้เข้ามา ทา่ นคิดวา่ หรือจะเปน็ ควายของ
ชาวบา้ น เชอื กผกู ขาดมาหากนิ ใบไมใ้ นปา่ จติ ใจเรม่ิ กลวั เพราะเสยี งนนั้ ใกลเ้ ขา้ มาทกุ ที
หลวงพอ่ ไดต้ ง้ั ใจแนว่ แนว่ า่ ไมว่ า่ จะมอี ะไรเกดิ ขนึ้ แมต้ วั จะตายกไ็ มย่ อมลมื ตาขน้ึ มาดู
และจะไมย่ อมออกจากกลด ถา้ จะมอี ะไรมาทำ� ลาย กข็ อใหต้ ายภายในกลดนี้ พอเสยี งนนั้
ใกล้เขา้ มาๆๆ กป็ รากฏเปน็ เสียงคนเดิน เดินเขา้ มาข้างๆ กลด แล้วเดินออ้ มไปทาง
พอ่ ขาวแกว้ กะประมาณพอไปถึ ไดย้ นิ เสยี งดงั อกึ อกั ๆ แลว้ เสยี งคนเดนิ นน้ั กเ็ ดนิ ตรง
แนว่ มาท่ีหลวงพ่อชาอีก ใกล้เข้ามาๆ มาหยุดอยู่ขา้ งหน้าประมาณ ๑ เมตร

ตอนนแ้ี หละ ความกลวั ทง้ั หลายทม่ี อี ยใู่ นโลกดเู หมอื นจะมารวมกนั อยทู่ น่ี นั่ หมด
ลมื นึกถงึ บทสวดมนต์ท่จี ะป้องกัน ลืมหมดทกุ สิ่งทกุ อย่าง กลัวมากถึงขนาดนัง่ อยู่
ขา้ งๆ บาตร กน็ กึ เอาบาตรเปน็ เพอ่ื น แตค่ วามกลวั ไมล่ ดลงเลย ปรากฏวา่ เขายงั ยนื อยู่
ขา้ งหนา้ เรา ดหี นอ่ ยทเี่ ขาไมเ่ ปดิ กลดเขา้ มา ในชวี ติ ตงั้ แตเ่ กดิ มาไมเ่ คยมคี วามกลวั มาก
และนานเทา่ คร้งั น้ี เมอ่ื ความกลวั มันมีมากแลว้ มันก็มีท่สี ดุ ของความกลัว เลยเกดิ
ปญั หาถามตวั เองวา่ “กลวั อะไร?” คำ� ตอบกม็ ขี น้ึ วา่ “กลวั ตาย” ความตายมนั อยทู่ ไ่ี หน?
อย่ทู ี่ตวั เรา เมอ่ื รวู้ า่ อยทู่ ตี่ ัวเรา จะหนีพ้นมนั ไดไ้ หม? ไมพ่ น้ เพราะไม่ว่าจะอยู่ท่ีไหน
เวลาใด คนเดยี วหรอื หลายคน ในทีม่ ืดหรือทีแ่ จง้ ก็ตายได้ทัง้ นนั้ หนไี มพ่ ้นเลย
จะกลวั หรอื ไมก่ ลวั กไ็ มม่ ที างพน้ เมอื่ รอู้ ยา่ งนค้ี วามกลวั ไมร่ วู้ า่ หายไปไหน เลยหยดุ กลวั
ดูเหมอื นคล้ายกบั เราออกจากทีม่ ืดท่สี ุด มาพบแสงสว่างน่ันแหละ

เมอื่ ความกลวั หายไป ผทู้ ่ีเข้ามายนื อยหู่ นา้ กลดก็หายไปดว้ ย เมอ่ื ความกลวั กบั
ส่งิ ที่กลัวหายไปไดส้ ักครหู่ นง่ึ เกิดลมและฝนตกลงมาอย่างหนกั ผา้ จวี รเปยี กหมด

600

แมจ้ ะนง่ั อยภู่ ายในกลดกเ็ หมอื นนงั่ อยกู่ ลางแจง้ เลยเกดิ ความสงสารตวั เองวา่ ตวั เรานี้
เหมอื นลกู ไมม่ พี อ่ แม่ ไมม่ ที อี่ ยอู่ าศยั เวลาฝนตกหนกั เพอ่ื นมนษุ ยเ์ ขานอนอยใู่ นบา้ น
อยา่ งสบาย แตเ่ ราซิ มานงั่ ตากฝนอยอู่ ยา่ งนี้ ผา้ ผอ่ นเปยี กหมด คนอนื่ ๆ เขาคงไมร่ หู้ รอก
วา่ เรากำ� ลงั ตกอยใู่ นสภาพเชน่ นี้ ความวา้ เหวเ่ กดิ ขนึ้ นานพอสมควร เมอื่ นกึ ได้ กห็ า้ ม
ดว้ ยปญั ญา พจิ ารณาอาการอย่างนัน้ ก็สงบลง พอดไี ด้เวลารุ่งอรุณ จึงลุกจากที่น่งั
สมาธิ

ในระยะท่ีเกิดความกลัวนั้น รู้สึกปวดปัสสาวะ แต่พอกลัวถึงขีดสุดอาการ
ปวดปัสสาวะมีเลือดออกมาเป็นแท่งๆ ก่อน แล้วจึงมีน�้ำปัสสาวะออกมาท�ำให้รู้สึก
ตกใจนิดหน่ึง คิดว่าข้างในคงแตกหรือขาดจึงมีเลือดออกอย่างน้ี แต่ก็นึกได้ว่า
จะท�ำอย่างไรได้ ในเมื่อเรามไิ ดท้ �ำ มนั เป็นของมันเอง ถ้าถึงคราวตายกใ็ ห้มนั ตาย
ไปเสีย นึกสอนตัวเองไดอ้ ยา่ งน้กี ็สบายใจ ความกลัวตายหายไปต้งั แตน่ น้ั มา

พอได้เวลาบิณฑบาต พอ่ ขาวแกว้ กม็ าถามว่า “หลวงพ่อ...หลวงพอ่ เมอ่ื คืนน้ี
มอี ะไร เหน็ อะไรไปหาบ้าง? มนั เดินมาจากทางอาจารย์อยู่น่ันแหละ มันแสดงอาการ
ทน่ี ่ากลัวใสผ่ ม ผมจึงตอ้ งชักมีดออกมาขู่มัน มันจึงเดินกลบั ไป”

หลวงพอ่ ชาจงึ ตอบวา่ “จะมอี ะไรเลา่ หยดุ พดู ดกี วา่ ” พอ่ ขาวแกว้ กเ็ ลยหยดุ ถาม
หลวงพ่อคดิ ว่าถ้าขืนพดู ไป ถา้ พ่อขาวแก้วเกิดกลวั ข้ึนมา เดย๋ี วก็อยไู่ มไ่ ด้เท่าน้นั

เมอื่ อยปู่ า่ ชา้ ใกลว้ ดั ทา่ นอาจารยค์ ำ� ดไี ด้ ๗ วนั กม็ อี าการเปน็ ไข้ เลยพกั รกั ษาตวั
อยกู่ ับอาจารยค์ ำ� ดีประมาณ ๑๐ วัน จงึ ย้ายลงมาทางบา้ นตอ้ ง พกั อยู่ทปี่ ่าละเมาะ
บา้ นต้อง ไดเ้ วลานานพอสมควร

๑๐. นิมติ ถงึ พระอาจารยม์ ั่น

ในพรรษาท่ี ๙ น้ี ไดม้ าจำ� พรรษาอยกู่ บั ทา่ นอาจารยก์ นิ รี วดั ปา่ หนองฮี อ.ปลาปาก
จ.นครพนม มาขอพึ่งบารมปี ฏิบตั ธิ รรมกับทา่ น และไดร้ ับความสงเคราะหจ์ ากทา่ น
อาจารยเ์ ป็นอยา่ งดี

601

คืนวันหนึ่ง หลังจากหลวงพ่อท�ำความเพียรแล้วคิดจะพักผ่อนบนกุฏิเล็กๆ
พอเอนกายลง ศีรษะถึงหมอนด้วยการก�ำหนดสติ พอเคล้ิมไปเกิดนิมิตขึ้นว่า
ทา่ นอาจารยม์ นั่ ภรู ทิ ตั โต ไดม้ าอยใู่ กลๆ้ นำ� ลกู แกว้ ลกู หนง่ึ มายนื่ ใหแ้ ลว้ พดู วา่ “ชา...
เราจะใหล้ กู แกว้ ลกู นแ้ี กท่ า่ น มนั มรี ศั มสี วา่ งไสวมาก” หลวงพอ่ ยนื่ มอื ขวาไปรบั ลกู แกว้
ลกู นน้ั รบั กบั มอื ทา่ นอาจารยม์ น่ั แลว้ ลกุ ขน้ึ นง่ั พอรสู้ กึ ตวั กเ็ หน็ ตวั เองยงั กำ� มอื และอยู่
ในทา่ นั่งตามปกติ มอี าการคิดค้นธรรมะเพ่ือความรู้เกยี่ วกบั การปฏิบัติ

ในพรรษาทอ่ี ยกู่ บั อาจารยก์ นิ รนี น้ั ขณะทมี่ คี วามเพยี รปฏบิ ตั ธิ รรมอยา่ งเครง่ ครดั
ในวาระหน่งึ ไดเ้ กดิ การต่อสู้กบั ราคะธรรมอย่างแรง ไม่วา่ จะเดินจงกรม นัง่ สมาธิ
หรอื อยู่ในอริ ิยาบถใดกต็ าม ปรากฏว่ามโี ยนีของผ้หู ญิงชนดิ ต่างๆ ลอยปรากฏเต็ม
ไปหมด เกดิ ราคะขนึ้ จนทำ� ความเพยี รเกอื บไมไ่ ด้ ตอ้ งทนตอ่ สกู้ บั ความรสู้ กึ และนมิ ติ
เหล่าน้ันอย่างล�ำบากยากเย็นจริงๆ มีความรุนแรงพอๆ กับความกลัวท่ีเกิดข้ึน
ในคราวท่ไี ปอยปู่ า่ ช้านน่ั แหละ เดนิ จงกรมไม่ได้ เพราะองค์ก�ำเนดิ ถกู ผ้าเข้ากจ็ ะเกดิ
การไหวตวั ตอ้ งใหท้ ำ� ทเี่ ดนิ จงกรมในปา่ ทบึ และเดนิ ไดเ้ ฉพาะในทม่ี ดื ๆ เวลาเดนิ ตอ้ ง
ถลกสบงขึน้ พ้นเอวไว้จงึ จะเดินจงกรมตอ่ ไปได้ การต่อสกู้ ับกเิ ลสเปน็ ไปอยา่ งทรหด
อดทน ไดท้ ำ� ความเพยี รตอ่ สกู้ นั อยนู่ านเปน็ เวลา ๑๐ วนั ความรสู้ กึ และนมิ ติ เหลา่ นน้ั
จึงจะสงบลงและหายไป

เม่ือถึงหน้าแล้ง (ปี พ.ศ. ๒๔๙๐) หลวงพ่อจึงกราบลาท่านอาจารย์กินรี
เพอ่ื แสวงหาวเิ วกตอ่ ไป กอ่ นจากทา่ นอาจารยก์ นิ รไี ดใ้ หโ้ อวาทวา่ “ทา่ นชา... อะไรๆ กพ็ อ
สมควรแลว้ แต่ให้ท่านระวงั การเทศน์นะ”

ตอ่ จากนน้ั กไ็ ดเ้ ดนิ ทางไปเรอ่ื ยๆ แสวงหาทวี่ เิ วกบำ� เพญ็ สมณธรรมตอ่ ไป จนเดนิ
ธดุ งคไ์ ปถงึ บา้ นโคกยาว จงั หวดั นครพนม ไปพกั อยใู่ นวดั รา้ งแหง่ หนงึ่ หา่ งจากหมบู่ า้ น
ประมาณ ๑๐ เสน้ ในระยะนจ้ี ติ สงบและเบาใจ อาการมงุ่ จะเทศนก์ ็เร่มิ ปรากฏขนึ้ มา

602

๑๑. เหตุการณ์แปลกครัง้ ท่ี ๓

เมอื่ ไดป้ ฏบิ ตั ธิ รรมอยทู่ วี่ ดั รา้ งแหง่ นน้ั วนั หนง่ึ เขามงี านในหมบู่ า้ น มมี หรสพเปดิ
เครอ่ื งขยายเสยี งดงั ออื้ องึ มาก ขณะนนั้ หลวงพอ่ กำ� ลงั เดนิ จงกรมอยเู่ ปน็ เวลาประมาณ
๔ ทุ่ม เดนิ ได้นานพอสมควร จงึ นั่งสมาธิบนกฏุ ชิ ัว่ คราว ขณะที่น่ังอย่นู ้นั จติ ใจเข้าสู่
ความสงบ จนมคี วามรสู้ กึ วา่ เสยี งเปน็ เสยี ง จติ เปน็ จติ ไมป่ ะปนกนั ไมม่ คี วามกงั วล
อะไรทั้งส้ิน อาการเหล่าน้ีปรากฏเป็นเวลานาน ถ้าจะอยู่ตลอดคืนก็ได้ จนจิตเกิด
ความรสู้ กึ วา่ “เอาละพกั ผอ่ นเสยี ท”ี จงึ มกี ารพกั ผอ่ นตามสภาพของสงั ขาร พอเอนกาย
ลงศีรษะยังไม่ถงึ หมอน ดว้ ยสติเต็มเปยี่ ม จติ มีการน้อมเข้าสู่มรณสติเปน็ คร้ังแรก
จนกระทงั่ จติ ดำ� เนนิ เขา้ ไปผา่ นจดุ อนั หนงึ่ ไดป้ รากฏวา่ รา่ งกายระเบดิ เปน็ ผยุ ผง อาการ
จิตนั้นทะลุเข้าสู่จุดแห่งความสงบใสสะอาดอีกต่อไป เมื่อเวลานานพอสมควรแล้ว
จึงมีอาการถอนออกมาเป็นปกติธรรมดาอีกพักหนึ่ง แล้วก็มีอาการด�ำเนินเข้าไปถึง
จดุ อยา่ งเกา่ รา่ งกายมกี ำ� ลงั ระเบดิ รนุ แรงละเอยี ดยงิ่ กวา่ ครง้ั แรกประมาณ ๓ เทา่ แลว้ ก็
ทะลเุ ขา้ สจู่ ดุ นานพอสมควร จงึ มอี าการถอนออกมาถงึ ปกตจิ ติ ธรรมดา แลว้ กม็ อี าการ
นอ้ มเขา้ ไปผา่ นจุดอย่างเกา่ มีการระเบิดอย่างรนุ แรงยิ่งกวา่ ครัง้ ทสี่ องตั้ง ๓ เท่า จน
คลา้ ยๆ กับโลกนี้แหลกละเอียดไม่มีอะไรเหลือ แลว้ จึงทะลุเขา้ สูจ่ ุดมงุ่ สงบใสสะอาด
ท้งั ละเอียดยิ่งขึน้ ถงึ ๓ เท่า แล้วมีการถอนออกมาอกี เชน่ เคย

จึงมีความวิตกเกิดข้ึนว่านี่คืออะไร? มีค�ำตอบเกิดข้ึนว่า “ส่ิงน้ีไม่ต้องสงสัย
สง่ิ นคี้ อื ของเปน็ เอง” ตอ่ จากนนั้ กม็ คี วามเบาใจ ยากแกก่ ารทจี่ ะพดู ใหค้ นอน่ื เขา้ ใจได้
ลักษณะที่กล่าวมานี้ เราไมต่ อ้ งปรงุ แตง่ เป็นพลังจติ เป็นเองของมนั หลงั จากนน้ั การ
ปฏบิ ตั มิ คี วามรสู้ กึ เปลย่ี นแปลงไปจากเดมิ มากทเี ดยี ว เมอ่ื พกั อยทู่ ว่ี ดั รา้ งบา้ นโคกยาว
ไดค้ รบ ๑๙ วนั จงึ เดนิ ธดุ งคไ์ ปตามบา้ นเลก็ บา้ นนอ้ ยเรอ่ื ยไป การแสดงธรรมและการ
แกป้ ญั หาของตนเองและผอู้ น่ื รสู้ กึ วา่ มคี วามคลอ่ งแคลว่ มาก ไมม่ คี วามสะทกสะทา้ น
อะไรเลย

603

๑๒. ชนะใจตนย่อมพน้ ภัย

ในระยะเดินธุดงค์ระยะน้ี นอกจากมีพระเล่ือมเป็นเพ่ือน แล้วก็ยังมีเด็กเป็น
ลกู ศษิ ยอ์ กี ๒ คน เดนิ ตามไปดว้ ย แตเ่ ปน็ เดก็ พกิ าร คนหนงึ่ หหู นวก อกี คนหนงึ่ ขาเป๋
เขายงั อตุ สา่ หร์ ว่ มเดนิ ทางดว้ ย และทำ� ใหไ้ ดข้ อ้ คดิ อนั เปน็ ธรรมะสอนใจอยหู่ ลายอยา่ ง
คนหน่ึงนนั้ ขาดีตาดี แต่หพู กิ าร อกี คนหูดี แตข่ าพิการ เวลาเดินทาง คนขาเปเ๋ ดินไป
บางคร้ังขาข้างที่เป๋ก็ไปเกี่ยวข้างท่ีดี ท�ำให้หกล้มหกลุกบ่อยๆ คนที่หูหนวกนั้นเล่า
เวลาเราจะพดู ดว้ ย ตอ้ งใชม้ อื ใชไ้ มป้ ระกอบ แตพ่ อมนั หนั หลงั ให้ กอ็ ยา่ เรยี กใหเ้ มอ่ื ย
ปากเลย เพราะเขาไมไ่ ดย้ นิ เมอ่ื มคี วามพอใจ ความพกิ ารนนั้ ไมเ่ ปน็ อปุ สรรคขดั ขวาง
ในการเดนิ ทาง ความพกิ ารแมต้ วั เขาเองกไ็ มต่ อ้ งการ พอ่ แมข่ องเขากค็ งจะไมป่ รารถนา
อยากใหล้ กู พกิ ารอยา่ งน้นั แต่กห็ นกี ฎของกรรมไมพ่ ้น จริงดงั ท่ีพระพทุ ธองค์ตรัสว่า
สตั ว์ทัง้ หลายมีกรรมเป็นของๆ ตน มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเปน็ แดนเกดิ ฯลฯ
เมอ่ื พจิ ารณาความพกิ ารของเดก็ ทเ่ี ปน็ เพอ่ื นรว่ มเดนิ ทาง ยงั กลบั เอามาสอนตนเองวา่
เดก็ ทงั้ สองพกิ ารกาย เดนิ ทางได้ จะเขา้ รกเขา้ ปา่ กร็ ู้ แตเ่ ราพกิ ารใจ (ใจมกี เิ ลส) จะพา
เขา้ รกเข้าปา่ หรอื เปล่า คนพกิ ารกายอย่างเดก็ น้ี มไิ ดเ้ ป็นพษิ เป็นภัยแก่ใคร แต่ถา้ คน
พกิ ารใจมากๆ ยอ่ มสรา้ งความวนุ่ วายยงุ่ ยากแกม่ นษุ ยแ์ ละสตั วใ์ หไ้ ดร้ บั ความเดอื ดรอ้ น
มากทเี ดยี ว

ครน้ั วนั หนงึ่ เดนิ ทางไปถงึ ปา่ ใกลห้ มบู่ า้ นแหง่ หนงึ่ ซง่ึ อยใู่ นเขตจงั หวดั นครพนม
เปน็ เวลาคำ�่ แลว้ และไดต้ กลงจะพกั ในปา่ แหง่ นนั้ และไดม้ องไปเหน็ ทางเกา่ ซงึ่ คนไม่
คอ่ ยใชเ้ ดนิ เปน็ ทางผา่ นดงใหญเ่ ปน็ ลำ� ดบั ไปถงึ ภเู ขา พลนั กน็ กึ ถงึ คำ� สอนของคนโบราณ
วา่ เขา้ ปา่ อยา่ นอนขวางทางเกา่ จงึ เกดิ ความสงสยั อยากจะพสิ จู นด์ วู า่ ทำ� ไมเขาจงึ หา้ ม
จึงตกลงกับท่านเล่ือม ก็กางกลดตรงทางเก่านั่นแหละ ให้เด็กสองคนอยู่ท่ีก่ึงกลาง
ระหวา่ งกลดสองหลงั ครนั้ เวลาจำ� วดั หลงั จากนงั่ สมาธพิ อสมควรแลว้ ตา่ งคนตา่ งกพ็ กั
แตท่ า่ น (หลวงพ่อชา) คดิ ว่า ถ้าเด็กมองมาไมเ่ ห็นใคร เขาอาจจะกลัว จึงเลกิ ผา้ มุง้
ข้นึ พาดไวท้ หี่ ลงั กลด แลว้ ก็นอนตะแคงขวางทางอยใู่ ตก้ ลดนน่ั เอง หนั หลังไปทางปา่
หันหนา้ มาทางบา้ น

604

แตพ่ อกำ� ลงั เตรยี มตวั กำ� หนดลมหายใจเพอ่ื จะหลบั ทนั ทนี น้ั หกู แ็ วว่ ไดย้ นิ เสยี ง
ใบไม้แห้งดังกรอบแกรบๆ ซึ่งเป็นอาการก้าวเดินอย่างช้าๆ เป็นจังหวะใกล้เข้ามา
ใกล้เข้ามาจนได้ยินเสียงหายใจและวาระจิตก็บอกตัวเองว่า “เสือมาแล้ว” จะเป็น
สัตว์อื่นไปไม่ได้ เพราะอาการก้าวเดินและเสียงหายใจมันบ่งอยู่ชัดๆ เม่ือรู้ว่าเสือ
เดนิ มา เราก็คิดห่วงชวี ติ อยู่ระยะหนง่ึ และพลันจติ กส็ อนตนเองวา่ อยา่ หว่ งชีวิตเลย
แมเ้ สอื จะไมท่ ำ� ลาย เจา้ กต็ อ้ งตายอยแู่ ลว้ การตายเพอื่ รกั ษาสจั ธรรมยอ่ มมคี วามหมาย
เราพรอ้ มแลว้ ทจ่ี ะเปน็ อาหารของมนั ถา้ หากเราไมเ่ คยเปน็ คเู่ วรกบั มนั มนั คงจะไมท่ ำ�
อะไรเราได้ พร้อมกับจิตน้อมระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นท่ีพึ่ง
เม่ือเรายอมและพร้อมแล้วท่ีจะตาย จิตใจก็รู้สึกสบาย ไม่มีกังวล และปรากฏว่า
เสียงเดนิ ของมนั เงียบไป ได้ยนิ แต่เสียงหายใจ กะประมาณอยู่ห่างจากท่าน ๖ เมตร
ท่านนอนรอฟงั อยูส่ กั ครู่ เข้าใจวา่ มนั คงจะยนื พิจารณาอยู่ว่า “ใครเล่า...มานอนขวาง
ทางข้า” แตแ่ ล้วมันคิดอย่างไรไม่ทราบ มันจึงหันหลงั เดินกลบั ไป เสียงกรอบแกรบ
ของใบไมแ้ ห้งดังหา่ งออกไปๆ จนกระทั่งเงียบหายไปในปา่

หลวงพอ่ เลา่ ว่า เมือ่ เราทอดอาลัยในชีวติ วางมนั เสยี ไมเ่ สยี ดาย ไมก่ ลัวตาย
กท็ ำ� ให้เราเกดิ ความสบายและเบาใจจริงๆ คืนนัน้ ก็ผ่านไปจนได้ เวลาต่นื ข้นึ บ�ำเพญ็
ธรรม หลงั จากบณิ ฑบาตมาฉนั แลว้ ก็ออกเดินทางตอ่ ไป เพราะท่านไดร้ ้แู ลว้ ว่าทำ� ไม
คนโบราณจึงสอนไวว้ ่า เข้าปา่ อยา่ นอนขวางทางเก่า

หลวงพอ่ และคณะไดอ้ อกเดนิ ทางไปถงึ แมน่ ำ้� สงคราม อำ� เภอศรสี งคราม จงั หวดั
นครพนม จนกระทัง่ ถงึ แม่นำ้� โขง ขา้ มไปนมัสการพระพทุ ธบาทพลสันต์ฝิ ่ังลาว แล้ว
จึงขา้ มกลบั มา ย้อนกลบั มาทางอำ� เภอศรีสงคราม พกั อยบู่ ้านหนองกา ในเวลานัน้
บรขิ ารไมส่ มบรู ณ์ เนอื่ งจากหา่ งหมญู่ าตแิ ละขาดผศู้ รทั ธา บาตรทใ่ี ชอ้ ยนู่ น้ั รสู้ กึ วา่ เลก็
และมรี รู วั่ หลายแหง่ เกอื บใชไ้ มไ่ ด้ พระวดั หนองกาจงึ ถวายบาตรขนาดกลาง มชี อ่ งทะลุ
นดิ หนอ่ ย แตไ่ มม่ ฝี าบาตร จะหาฝาทไี่ หนกไ็ มไ่ ด้ ขณะเดนิ จงกรมอยกู่ ค็ ดิ ไดว้ า่ จะเอา
หวายถักเปน็ ฝาบาตร จงึ ใหโ้ ยมเขา้ ไปหาหวายมาให้ เกิดกังวลในการหาบรขิ าร

605

คนื วนั หนง่ึ ขณะทจี่ ดุ ไตก้ ำ� ลงั เอาหวายถกั เปน็ ฝาบาตรอยู่ จนขไี้ ตห้ ยดลงถกู แขน
พองข้ึน รู้สึกเจ็บแสบ จึงเกิดความร้สู กึ ขน้ึ วา่ “เรามามวั กงั วลในบรขิ ารมากเกินไป”
จงึ ไดป้ ลอ่ ยวางไวเ้ รมิ่ ทำ� กรรมฐานตอ่ ไป ไดเ้ วลานานพอสมควรจงึ หยดุ เพอื่ จะพกั ผอ่ น
แตพ่ อเคลม้ิ ไปจงึ สุบนิ นมิ ติ วา่ สมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เสด็จมาเตือนวา่ “สัพเพ
อเิ ม ปรกิ ขารา ปญั จกั ขนั ธานงั ปรวิ าราเยวะ บรขิ ารทง้ั ปวงเปน็ เพยี งเครอ่ื งประดบั ขนั ธ์
๕ เทา่ น้ัน” พอจบพุทธภาษิตนี้เท่านน้ั กร็ สู้ กึ ตัวพรอ้ มทั้งลกุ ขึ้นนงั่ ทนั ที เปน็ เหตุให้
พจิ ารณาไดค้ วามวา่ การไมร่ จู้ กั ประมาณในการบรโิ ภคบรขิ าร มคี วามกงั วลในการจดั หา
ย่อมเป็นการยุ่งยากขาดการปฏิบตั ธิ รรม ย่อมไม่ไดร้ ับผลอันตนพึงปรารถนา

พ.ศ. ๒๔๙๑ (พรรษาที่ ๑๐) ในระยะตน้ ปนี เี้ อง หลวงพอ่ จงึ ยา้ ยจากบา้ นหนองกา
เดินทางไปได้ระยะไกลพอสมควรจึงได้ข้อคิดว่า การคลุกคลีอยู่ร่วมกับผู้มีปฏิปทา
ไมเ่ สมอกนั ทำ� ใหเ้ กดิ ความลำ� บาก จงึ ไดต้ กลงแยกทางกนั กบั พระเลอื่ ม ตา่ งคนตา่ งไป
ตามชอบใจ ทา่ นเลอื่ มนำ� เดก็ สองคนนน้ั ไปสง่ บา้ นเขา สว่ นหลวงพอ่ กอ็ อกเดนิ ทางไป
คนเดยี ว จนกระทงั่ เดนิ มาถงึ วดั รา้ งในปา่ ใกลบ้ า้ นขา่ นอ้ ย ซงึ่ อยใู่ นเขตอำ� เภอศรสี งคราม
ท่านเองเหน็ วา่ เปน็ ท่ีวเิ วกเหมาะแกก่ ารบ�ำเพญ็ ธรรม จึงไดพ้ กั อย่ทู ว่ี ดั ร้างน้ัน บ�ำเพ็ญ
เพียรได้เต็มท่ี มีการส�ำรวมอย่างดีเพ่ือให้เกิดความรู้ มิได้มองหน้าผู้ใส่บาตรและ
ผ้ถู วายอาหารเลย เพียงแตร่ บั ทราบวา่ เป็นชายหรอื หญิงเท่านัน้ เดินจงกรมอยจู่ นเท้า
เกิดบวมเดินต่อไปไม่ได้ จึงพักการเดิน ได้แต่นั่งสมาธิอย่างเดียว ใช้ตบะธรรม
ระงบั อาพาธ เปน็ เวลา ๓ วนั เทา้ จงึ หายเจบ็ การเทศนก์ ด็ ี การรบั แขกกด็ ี ทา่ นกง็ ดไว้
เพราะตอ้ งการความสงบ ระยะท่ปี ฏิบัติอยนู่ ้นั ทง้ั ๆ ทไ่ี ดแ้ ยกทางกับเพ่อื นมา เพราะ
ไมอ่ ยากคลกุ คลี แตก่ เ็ กดิ ความอยากจะไดเ้ พอื่ นทดี่ ๆี อกี สกั คน จงึ เกดิ คำ� ถามขน้ึ วา่

“คนดนี ่ะอยูท่ ่ไี หน”

กม็ คี ำ� ตอบเกดิ ขนึ้ วา่ “คนดอี ยทู่ เ่ี รานแ่ี หละ ถา้ เราไมด่ แี ลว้ เราจะอยทู่ ไี่ หนกบั ใคร
มันก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ” จึงได้เป็นคติสอนตนเองมาจนกระทั่งทุกวันน้ี เมื่ออยู่ท่ีนั่น
ได้ครบ ๑๕ วนั แลว้ จงึ ออกเดินทางตอ่ ไปผ่านบ้านขา่ ใหญ่มาถงึ กลางป่า พกั ผอ่ นอยู่
เกดิ กระหายนำ�้ มาก บอ่ นำ�้ กไ็ มม่ ี จงึ เดนิ ตอ่ ไป พอจวนจะถงึ แอง่ นำ้� ทแ่ี หง้ แลง้ เกดิ ฝนตก

606

ลงมาอยา่ งแรง นำ�้ ฝนปนดนิ ไหลลงรวมในแอง่ ดว้ ยความกระหายจงึ ลว้ งเอาหมอ้ กรองนำ้�
เดนิ ลงไป เอาหมอ้ กรองจมุ่ ลงไปในนำ้� แตเ่ พราะนำ้� ขนุ่ มาก จงึ ไมไ่ หลเขา้ ในหมอ้ กรอง
เลยไม่ไดฉ้ นั น้ำ� จึงอดทนต่อความกระหายและเดินทางตอ่ ไป

๑๓. ผหู้ มดความโกรธ

เมอ่ื หลวงพอ่ เดนิ ทางมาจนกระทง่ั ถงึ วดั ปา่ ซงึ่ ตง้ั อยใู่ นเขตปา่ ชา้ (เปน็ ทพ่ี กั สงฆ)์
อยู่ในเขตจังหวัดนครพนม เป็นเวลาจวนจะเขา้ พรรษาอยู่แลว้ หลวงพอ่ จึงขอพักกบั
หวั หนา้ สงฆ์ มนี ามวา่ หลวงตาปมุ้ ไดส้ นทนาธรรมกนั นานพอสมควร ไดย้ นิ หลวงตา
รปู น้นั พูดวา่ “ทา่ นหมดความโกรธแล้ว” จงึ เป็นเหตุให้หลวงพ่อนึกแปลกใจ เพราะ
ค�ำพูดเช่นน้ีท่านไม่เคยได้ยินใครพูดมาก่อน จึงคิดว่าพระองค์นี้จะดีแต่พูดหรือว่า
ดเี หมอื นพดู เราจะตอ้ งพสิ จู นใ์ หร้ ู้ จงึ ตดั สนิ ใจขออยเู่ พอ่ื การศกึ ษาธรรม แตเ่ นอื่ งจาก
หลวงพอ่ ไปรปู เดยี ว ทงั้ อฏั ฐบรขิ ารกเ็ กา่ เตม็ ที เขาไมร่ ตู้ น้ สายปลายเหตเุ พราะไมม่ ใี คร
รบั รอง ถงึ แมจ้ ะขอจำ� พรรษาอยดู่ ว้ ย ทา่ นเหลา่ นน้ั กไ็ มย่ อม เลยตกลงกนั วา่ จะใหไ้ ปอยู่
ทีป่ ่าชา้ คนจนี ซึ่งอยู่นอกเขตวัดไม่ไกลนกั หลวงพอ่ ก็ยนิ ดจี ะไปอยูท่ ่นี ัน่ แตพ่ อถงึ
วันเขา้ พรรษา หลวงตาปุ้มและคณะจึงอนญุ าตใหจ้ �ำพรรษาในวดั ได้

ตอนหลังๆ ได้ทราบว่าหลวงตาปุ้มเกิดความลังเลใจ ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะให้
จำ� พรรษาอย่นู อกวดั หรอื ในวัด จึงไปปรึกษาทา่ นอาจารย์บญุ มา ได้ทราบวา่ อาจารย์
บญุ มาไดแ้ นะวา่ พระทม่ี อี ายพุ รรษามากมารปู เดยี วอยา่ งนี้ จะใหจ้ ำ� พรรษานอกวดั ดจู ะ
ไมเ่ หมาะ บางทที ่านอาจจะมีดขี องทา่ นอยู่ ควรใหจ้ �ำพรรษาในวดั ได้ แตต่ อ้ งท�ำตาม
ขอ้ กติกาดงั นี้

๑. ไมใ่ หร้ ับประเคนของจากโยม เปน็ แต่เพยี งคอยรับจากพระรปู อื่นที่ส่งให้
๒. ไมใ่ ห้ร่วมสงั ฆกรรม (อุโบสถ) เป็นแต่เพยี งให้บอกปรสิ ุทธ์ิ
๓. เวลาเขา้ ท่ีฉัน ใหน้ ั่งท้ายแถวของพระต่อกบั สามเณร

607

หลวงพอ่ ยนิ ดที ำ� ตามทกุ อยา่ ง แมท้ า่ นจะมพี รรษาได้ ๑๐ พรรษากต็ าม ทา่ นกลบั
ภมู ใิ จและเตือนตนเองว่า
“จะนั่งหัวแถวหรือหางแถวก็ไม่แปลก เหมือนเพชรนิลจินดาจะวางไว้ที่ไหน
ก็มีราคาเท่าเดมิ และจะได้เปน็ การลดทฏิ ฐิมานะใหน้ อ้ ยลงดว้ ย”
เม่อื ปลงตกเสยี อยา่ งนี้ จงึ อยู่ได้ด้วยความสงบสุข หลวงพอ่ เลา่ ว่า เมอื่ เราเป็น
คนพดู นอ้ ย คอยฟงั คนอน่ื เขาพดู แลว้ นำ� มาพจิ ารณาดู ไมแ่ สดงอาการทไ่ี มเ่ หมาะไมค่ วร
คอยสงั เกตจรยิ าวตั รของทา่ นเหลา่ นนั้ ยอ่ มทำ� ใหไ้ ดบ้ ทเรยี นหลายๆ อยา่ ง ภกิ ษสุ ามเณร
เหลา่ น้ันก็คอยสงั เกตความบกพร่องของหลวงพอ่ อยู่ เขายงั ไมไ่ วใ้ จ เพราะเพงิ่ มาอยู่
ร่วมกนั เป็นพรรษาแรก
ตามปกตหิ ลงั จากฉนั เชา้ เสรจ็ แลว้ ทา่ นนำ� บรขิ ารกลบั กฏุ ิ เมอื่ เกบ็ ไวเ้ รยี บรอ้ ยแลว้
หลวงพอ่ มกั จะหลบไปพกั เพอ่ื พจิ ารณาคน้ หาธรรมในเขตปา่ ชา้ ซง่ึ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของวดั
ตรงกลางปา่ ชา้ เขาปลกู ศาลาเลก็ ไวห้ ลงั หนงึ่ เมอื่ มองจากศาลายอ่ มมองเหน็ หลมุ ฝงั ศพ
และฝังเถ้าถ่านกระดูกของเพ่ือนมนุษย์เป็นหย่อมๆ ท�ำให้นึกถึงข้อธรรมะที่เคย
พจิ ารณาวา่
อธวุ ัง เม ชวี ิตงั ชีวติ ของเราไมย่ ่งั ยนื
ธุวงั เม มรณงั ความตายของเรายงั่ ยืน
อนิยตงั เม ชีวติ ัง ชวี ติ ของเราไม่เท่ียง
นิยตัง เม มรณัง ความตายของเราเทยี่ ง
สักวนั หนงึ่ เราก็จะตอ้ งทบั ถมดนิ เหมอื นคนเหล่านน้ั เราเกดิ มาเพือ่ ถมดนิ ใหส้ งู
ขนึ้ หรือ หรอื เกิดมาท�ำไม...

608

๑๔. เหตกุ ารณ์แปลกๆ ครงั้ ที่ ๔

อยตู่ อ่ มาวนั หนง่ึ ขณะทหี่ ลวงพอ่ กำ� ลงั พจิ ารณาธรรมชาตขิ องตน้ ไมใ้ บไมเ้ ถาวลั ย์
ตา่ งๆ อยทู่ ศ่ี าลาเลก็ กำ� ลงั สบายอารมณ์ มกี าตวั หนง่ึ บนิ มาจบั กง่ิ ไมใ้ กลๆ้ ศาลา สง่ เสยี ง
ร้อง กา...กา... ท่านไม่สนใจเพราะนึกว่าคงร้องไปตามประสาสัตว์ แต่ที่ไหนได้
พอมันร้วู า่ เราไม่สนใจ มันจงึ เคล่อื นลงมาจับที่พ้นื ตรงหนา้ เรา ห่างกันเพียงประมาณ
๒ เมตร ปากมนั คาบหญา้ แหง้ คาบแลว้ วาง พลางรอ้ งวา่ กราวๆ ... เหมอื นมนั จะยนื่
หญา้ แหง้ ให้ พอเราสนใจมองดแู ละรบั ทราบในใจวา่ ออ้ื ...เจา้ มาบอกอะไรเลา่ กากบ็ นิ
หนไี ป อยตู่ อ่ มาประมาณ ๓ วนั มเี ดก็ ชายคนหนง่ึ อายปุ ระมาณ ๑๓-๑๔ ปี ปว่ ยเปน็ ไข้
และตายไป เขาจงึ นำ� มาเผาในปา่ ชา้ ไมไ่ กลจากศาลา และหลงั จากเขาสวดมนตท์ ำ� บญุ
แลว้ ๓-๔ วัน ขณะทีห่ ลวงพอ่ ก�ำลังนง่ั พจิ ารณาธรรมอยู่ กม็ ีกาบนิ มาจับกิง่ ไม้ขา้ ง
ศาลาอกี เมอ่ื เราไมส่ นใจมนั กบ็ นิ ลงมาจบั ดนิ และแสดงอาการเหมอื นครง้ั แรก พอหลวงพอ่
มองดมู นั และรบั ทราบ กาตวั นนั้ กบ็ นิ หนไี ป... อยตู่ อ่ มาอกี ประมาณ ๓ วนั พช่ี ายของเดก็
ทต่ี ายไปแลว้ นน้ั ซงึ่ มอี ายปุ ระมาณ ๑๕-๑๖ ปี เกดิ ปว่ ยเปน็ ไขก้ ะทนั หนั และกต็ ายอกี
พวกญาติน�ำมาเผาในปา่ ช้านัน้ อกี

หลังจากท�ำบญุ ตักบาตรแล้วประมาณ ๓-๔ วัน ขณะท่หี ลวงพ่อนง่ั พกั อยใู่ น
ศาลากลางป่าช้า กม็ ีกาบินมาเกาะก่ิงไม้ ส่งเสยี งร้องเหมือนเก่า เมื่อไม่สนใจมันกบ็ นิ
ลงมาจับพืน้ คาบหญ้าแห้งเหมือนจะย่ืนให้ คาบวางๆ พอรับทราบแล้ว ก็นกึ ข้นึ ว่า
อะไรกันเล่า จะมาบอกอะไรอีก กาตวั นน้ั กบ็ ินหนีไป หลวงพอ่ จึงคดิ ว่า ๒ ครั้งก่อน
มนั ทำ� อย่างน้ี มคี นตาย ๒ คน แตค่ ราวน้ีมันมาทำ� อกี ท�ำไมจะมีคนตายอีกหรอื
อยตู่ อ่ มาอกี ๓-๔ วนั พส่ี าวของเดก็ พวกนนั้ ซงึ่ มอี ายปุ ระมาณ ๑๘-๑๙ ปี ปว่ ยเปน็ ไข้
และก็ไดต้ ายลงอีก และไดน้ ำ� มาเผาท่ีป่าชา้ น้ันอกี ความทกุ ข์เป็นอนั มากดเู หมือนจะ
มารวมแผดเผาพอ่ แมแ่ ละญาตขิ องเด็กพวกนนั้ ให้เกรียมไหม้ รอ้ งไหจ้ นแทบจะไม่มี
น�้ำตาออก ช่วั ระยะเพยี งครงึ่ เดือนเขาตอ้ งสญู เสียลูกไปตงั้ ๓ คน หลวงพ่อไดม้ า
เห็นสภาพของคนเหล่าน้ันผู้ได้รับความทุกข์โศก ยิ่งท�ำให้เกิดธรรมะเตือนตนมิให้
ประมาทในการทำ� ความเพียร ความทกุ ข์ความโศกย่อมเกดิ จากของท่เี รารกั หวงแหน

609

๑๕. สังวรระวงั ในพระวนิ ัย

ในพรรษาทีอ่ ยูป่ ่าชา้ แห่งนี้ จิตใจรูส้ ึกมีความหนกั แน่นและเข้มแขง็ พอสมควร
การท�ำความเพียรก็เป็นไปอย่างสม่�ำเสมอ และการเคารพต่อกฎกติกาท่ีต้ังไว้ก็มิได้
บกพรอ่ ง มคี วามสำ� รวมระวงั อยมู่ ไิ ดป้ ระมาท พระพทุ ธองคต์ รสั วา่ “ศลี จะรไู้ ดเ้ พราะ
อยรู่ ว่ มกนั นานๆ” ดงั นน้ั ของสง่ิ ใดทเ่ี หน็ วา่ ไมถ่ กู ตอ้ งตามพระวนิ ยั หรอื รบั ประเคนแต่
ไมไ่ ดอ้ งคแ์ หง่ การประเคน หลวงพอ่ กไ็ มฉ่ นั จะพจิ ารณาฉนั เฉพาะสงิ่ ทเ่ี หน็ วา่ ถกู ตอ้ ง
ตามพระวนิ ยั เทา่ นนั้ และมสี งิ่ ทท่ี ำ� ใหพ้ ระภกิ ษสุ ามเณรทอ่ี ยใู่ นวดั นนั้ เกดิ ความระมดั
ระวงั ขึ้นอีก ตวั อย่างเชน่

เร่อื งที่ ๑ ข้าวหมาก

เชา้ วนั หนงึ่ มโี ยมนำ� ขา้ วหมากมาถวาย พระเณรทกุ รปู ฉนั กนั หมด แตห่ ลวงพอ่
มิไดฉ้ นั รบั ประเคนแล้วเอาวางไว้ขา้ งๆ หลวงตาปมุ้ มองเห็นเข้า จงึ ถามวา่ “ทา่ นชา
ไม่ฉันขา้ วหมากหรือ ทำ� ไมล่ะ”

“ครับ ผมเห็นว่ามันมีกลิ่นและรสเหมือนเหล้า นิมนต์ตามสบายเถอะครับ”
หลวงพอ่ ตอบ

เร่ืองที่ ๒ ไมพ้ ยงุ

วันหนึ่งอยู่ในระหว่างกลางพรรษา พระเณรได้ชวนกันเอาเรือไปหาเก็บฟืน
มาไว้ต้มน�้ำย้อมผ้า ได้น�ำเรือเข้าไปในเขตไร่ร้าง พระเณรพากันไปแบกฟืนมาท้ิงไว้
ทฝ่ี ง่ั นำ�้ หลวงพอ่ ชาเปน็ คนขนลงเรอื หลวงพอ่ สงั เกตเหน็ ไมพ้ ยงุ ทอ่ นหนง่ึ เขาถากเปน็
ทรงกลม ยาวประมาณ ๒ เมตร ซ่งึ พระเณรแบกมาทิง้ ไว้ หลวงพอ่ คดิ วา่ ไม้ทอ่ นนี้
ต้องมีเจา้ ของ จึงไมย่ อมขนลงเรือ พอได้เวลาจนจะกลับ หลวงตาปุ้มเดินมาเห็นไม้
ท่อนนน้ั จึงถามว่า

610

“ทา่ นชา ทำ� ไมจงึ ไมแ่ บกไมท้ อ่ นนล้ี งเรอื ” หลวงพอ่ ตอบวา่ “ผมเหน็ วา่ มนั ไมส่ วย
(ผดิ วนิ ยั ) ครบั ” ทำ� ใหห้ ลวงตาปมุ้ สะดงุ้ นดิ หนอ่ ย จงึ ไมม่ ใี ครขนลงเรอื แลว้ จงึ พากนั
น�ำเรอื กลับวัด

เร่อื งที่ ๓ ข้าวหลาม

วันหนึ่งโยมเขาท�ำข้าวหลามเอามาเผาที่โรงครัว โรงครัวน้ันอยู่ไม่ไกลกุฏิของ
หลวงพอ่ และกฏุ ขิ องหลวงตารปู นน้ั เทา่ ใดนกั พอพากนั กลบั จากบณิ ฑบาต หลวงพอ่ ชา
ก็ข้ึนกุฏิเพ่ือเปลี่ยนบริขาร ส่วนหลวงตาปุ้มเดินเลยไปท่ีโรงครัว เผอิญในเวลาน้ัน
ไฟก�ำลังไหมข้ า้ วหลามเพราะโยมไมอ่ ยู่ หลวงตาเหลียวซา้ ยแลขวา นกึ ว่าไม่มคี นเหน็
จึงเอ้ือมมือไปจบั กระบอกขา้ วหลามพลิกลง แตห่ าร้ไู มว่ า่ หลวงพ่อชายนื ดอู ยู่ในหอ้ ง
ถึงเวลาฉนั โยมเขาน�ำข้าวหลามมาถวาย พระเณรฉันกันหมด แต่หลวงพอ่ ชารับและ
วางไว้ ไม่ฉัน หลวงตาปมุ้ ฉันได้ ๒-๓ ทอ่ น จึงเหลยี วมาดู เห็นหลวงพ่อไมฉ่ นั
จงึ ถามว่า

“ทา่ นชา ฉันข้าวหลามหรือเปล่า”

หลวงพ่อชาตอบ “เปล่าครบั ”

หลวงตาปมุ้ รสู้ กึ สะดงุ้ พรอ้ มกบั พดู ขน้ึ วา่ “ผมตอ้ งอาบตั แิ ลว้ ” (การทพ่ี ระจบั ของ
ทย่ี งั มไิ ดร้ บั ประเคน ถา้ ไมใ่ หข้ องนน้ั เคลอื่ นที่ มผี มู้ าประเคนทหี ลงั แลว้ ฉนั ตอ้ งอาบตั ิ
เฉพาะผจู้ บั แตถ่ า้ ใหข้ องเคลอื่ นไป แมจ้ ะมผี ปู้ ระเคนทหี ลงั แลว้ ฉนั กต็ อ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ
หมดทกุ รปู ทฉี่ นั ของนัน้ )

พอฉันเสรจ็ หลวงตาจะมาขอแสดงอาบัติดว้ ย แต่หลวงพอ่ พูดวา่ “ไมต่ อ้ งก็ได้
ใหส้ ำ� รวมตอ่ ไปเถอะ”

เทา่ นนั้ เอง จงึ ทำ� ความแปลกใจและเกรงใจแกพ่ ระเณรเหลา่ นน้ั ใหม้ คี วามเคารพ
นับถอื ในหลวงพอ่ ชามากข้นึ จนท่านพากนั ขอร้องใหห้ ลวงพอ่ น่ังฉนั ตามอายุพรรษา

611

และให้รับประเคนได้และอนุญาตให้ร่วมอุโบสถได้ หลวงพ่อตอบว่า “ท�ำอย่างน้ัน
ไม่เหมาะ ขอให้ถือตามกติกาเดิมท่ีได้ตกลงกันไว้ก่อนจะเข้าพรรษาเพื่อความสงบ
เรียบร้อยตอ่ ไป”

เรอ่ื งที่ ๔ ตีวัว

วนั หนง่ึ เกดิ นำ้� ทว่ มมาก แตท่ ว่ี ดั เปน็ ทด่ี อน ววั ควายชาวบา้ นไมม่ หี ญา้ จะกนิ บางตวั
ลอดรวั้ เข้ามากนิ หญ้า พระเณรเขาคอยไลอ่ อกบอ่ ยๆ วันนน้ั วัวตวั ทีน่ ่าสงสารตะแคง
ลอดร้ัวย่ืนคอเข้ามากินหญ้าในเขตวัด ที่ตรงน้ันเป็นร้ัวท่ีแน่นหนาพอดู หลวงพ่อ
ไดส้ งั เกตเหน็ หลวงตาปมุ้ ยนื ถอื ทอ่ นไมด้ กั อยขู่ า้ งๆ รว้ั พอมนั กดั กนิ หญา้ ได้ ๔-๕ ครง้ั
หลวงตาก็ประเคนด้วยท่อนไม้ตั้งหลายตุบ มันจะออกก็ออกยาก เพราะเขาเกะกะ
ตดิ รั้ว กวา่ จะออกได้ ก็ถกู หลวงตาตีดว้ ยท่อนไมต้ ้ังหลายครัง้ หลวงพ่อยืนอยหู่ า่ งๆ
พลางร�ำพึงกับตัวเองวา่ “โธ่เอ๋ย เจ้าวัวทนี่ า่ สงสาร เพราะความหิวบงั คบั เจา้ ให้ต้อง
ยื่นคอเข้ามากนิ หญา้ ในเขตวดั เขตของนักบญุ แต่ส่ิงท่นี กั บุญอย่างหลวงตาต้อนรบั
กค็ อื ทอ่ นฟนื หญา้ ทไี่ ดก้ นิ กบั ความเจบ็ ทถี่ กู ตมี นั ไมค่ มุ้ คา่ กนั เลย แตจ่ ะทำ� อยา่ งไรได้
หลวงตาทา่ นกท็ ำ� ไปอยา่ งคนหมดความโกรธแลว้ น”ี่ จงึ ทำ� ใหห้ ลวงพอ่ สงั เวชใจ และรสู้ กึ
คลายความนับถอื ลง แต่ทา่ นกไ็ ม่ไดพ้ ดู อะไร

๑๖. ทดลองฉันน�ำ้ มตู รเน่า

ในพรรษานนั้ หลวงพอ่ ทำ� ความเพยี รหนกั ยง่ิ ขน้ึ แมฝ้ นจะตกกย็ งั เดนิ จงกรมอยู่
เพอ่ื คน้ หาทางพน้ ทุกข์ มีเวลาจำ� วัดนอ้ ยทส่ี ดุ วันหนึง่ เกดิ สบุ นิ นมิ ติ ว่า ได้ออกไปใน
ทีแ่ หง่ หนึ่ง ไปพบคนแกแ่ ละปว่ ยร้องครวญคราง มคี นพยงุ ตวั ให้ลกุ ข้ึนนั่ง หลวงพ่อ
พิจารณาดูแล้วก็เดินผ่านไป จึงไปพบคนเจ็บหนักจวนจะตาย มีร่างกายซูบผอม
จะหายใจแตล่ ะครง้ั ทำ� ใหม้ องเหน็ กระดกู ซโ่ี ครงไลก่ นั เปน็ แถวๆ ทำ� ใหเ้ กดิ ความสงั เวช
จงึ เดินเลยไปพบคนตายนอนหงายอา้ ปาก ย่งิ ทำ� ใหเ้ กิดความสลดใจมาก

612

เมือ่ รู้สึกตัวกย็ งั จำ� ภาพในฝันนนั้ ไดด้ อี ยู่ จงึ คดิ หาทางพ้นทุกข์ รูส้ กึ เบื่อหนา่ ย
ตอ่ ชวี ติ คดิ อยากจะปลกี ตวั ขนึ้ ไปอยบู่ นยอดเขาประมาณ ๗ วนั ๑๕ วนั จงึ จะลงมา
บณิ ฑบาต แตม่ ปี ญั หาเรอ่ื งนำ้� ดมื่ จะตอ้ งดม่ื ทกุ วนั จงึ นกึ ถงึ กบในฤดแู ลง้ มนั อยใู่ นรู
อาศัยน�้ำเย่ียวมันเองมันก็มีชีวิตอยู่ได้ เม่ือคิดได้ดังน้ันจึงตกลงจะฉันน้�ำปัสสาวะ
ของตัวเอง จึงท�ำการทดลองดูก่อน วันนั้นหลังจากฉันอาหารแล้วจึงดื่มน�้ำบริสุทธิ์
จนอมิ่ อยไู่ ด้ประมาณ ๓ ชัว่ โมง รูส้ ึกปวดปัสสาวะ เวลาปสั สาวะออกมาจงึ เอาแก้ว
มารองไว้ เสร็จแล้วจึงเทหนา้ ฝาออกนิดหน่ึง จงึ ยกขนึ้ ดมื่ รสู้ กึ วา่ มีรสเคม็ ทีนี้อยู่ได้
ประมาณ ๒ ชัว่ โมง ก็ปวดปัสสาวะอีก เวลาปัสสาวะออกกเ็ อาแกว้ มารอง เสรจ็ แล้ว
ก็ดื่มเข้าไปอีก คราวนี้อยู่ได้ประมาณ ๒๐ นาที ก็ปวดปัสสาวะและก็ท�ำอย่างเก่า
ดม่ื เขา้ ไปอกี คราวนอี้ ยไู่ ด้ ๑๕ นาที กป็ วดอกี ถา่ ยออกมาแลว้ ดมื่ เขา้ ไปอกี และอยไู่ ด้
ประมาณ ๕ นาที ปวดปสั สาวะและถา่ ยออกมา หาอะไรรองแลว้ ดม่ื เขา้ ไป คราวนก้ี ะวา่
พอตกถงึ กระเพาะ กไ็ หลออกเปน็ ปสั สาวะเลย มสี ขี าวๆ จงึ ไดเ้ กดิ ความรสู้ กึ วา่ นำ้� ปสั สาวะ
เปน็ เศษของนำ้� แลว้ จะอาศยั ดม่ื อกี ไมไ่ ด้ จงึ ทอดอาลยั ในการทจ่ี ะหานำ้� ดมื่ เชน่ วธิ นี นั้

๑๗. โภชเนมตั ตญั ญตุ า

นอกจากนนั้ หลวงพ่อยงั หัดปลงผมด้วยตนเองจนเป็นนิสยั มาถึงทุกวันน้ี และ
เปน็ แบบอยา่ งใหศ้ ษิ ยท์ งั้ หลายไดท้ ำ� ตาม เมอื่ คดิ วา่ ไมอ่ าจไปอยบู่ นยอดเขาไดก้ ค็ ดิ หา
วธิ ใี หม่ โดยทำ� การอดอาหาร คอื ฉันวันเว้นวันสลบั กันไป ท�ำอยปู่ ระมาณ ๑๕ วัน
และในระหวา่ งนที้ �ำให้ร่างกายรอ้ นผดิ ปกตเิ หมือนถูกไฟเผา มีอาการทรุ นทุรายแทบ
จะทนไมไ่ หว จติ ใจกไ็ มส่ งบ จงึ นึกไดว้ า่ มใิ ชท่ าง ท�ำใหน้ ึกถงึ อปุ ัณณกปฏิปทา คอื
ขอ้ ปฏบิ ตั ไิ มผ่ ดิ ไดแ้ ก่ โภชเนมตั ตญั ญตุ า รจู้ กั ประมาณในการฉนั อาหาร พอสมควร
ไม่มากไม่นอ้ ย สำ� รวมอนิ ทรยี ์ ตนื่ ข้ึนทำ� ความเพียร ไม่เกยี จครา้ น และเมือ่ นึกไดจ้ งึ
หยดุ วธิ ที รมานนน้ั เสยี กลบั ฉนั อาหารเปน็ ปกติ วนั ละครงั้ ดงั เดมิ บำ� เพญ็ สมณธรรมได้
จติ ใจกส็ งบดี เวลาเขา้ สมาธิ สามารถถอดรปู รา่ งโดยมองเหน็ รปู รา่ งของตนอกี รา่ งหนงึ่
นง่ั อยขู่ า้ งหนา้ ดว้ ยความชดั เจน มไิ ดง้ ว่ งนอน ปราศจากนวิ รณท์ กุ อยา่ ง รสู้ กึ วา่ การปฏบิ ตั ิ
ก็สะดวกดี จติ ใจสงบเย็น

613

เมอ่ื ออกพรรษาแลว้ หลวงตาปมุ้ ชวนขา้ มไปตง้ั สำ� นกั กรรมฐานอยฝู่ ง่ั ประเทศลาว
หลวงพ่อไม่เหน็ ดีดว้ ย จึงไม่ยอมไป พอจวนจะสิ้นปี หลวงตาจึงพาลกู วดั ยา้ ยหนีไป
จากวัดนั้นไดป้ ระมาณ ๗ วัน หลวงพ่อก็ไดย้ ้ายจากท่ีนัน่ ไปเช่นกนั

พ.ศ. ๒๔๙๒ (พรรษาท่ี ๑๑) เมอ่ื ออกจากวดั ปา่ อำ� เภอศรสี งคราม แลว้ หลวงพอ่
กเ็ ดนิ ทางขน้ึ สภู่ ลู งั กา ซงึ่ อยใู่ นเขตอำ� เภอบา้ นแพง จ.นครพนม ไดไ้ ปพกั สนทนาธรรม
กบั อาจารยว์ นั เปน็ เวลา ๓ วนั จงึ ไดเ้ ดนิ ธดุ งคไ์ ปเรอื่ ยๆ นานพอสมควรจงึ ไดล้ งจาก
ภูลงั กา มากราบทา่ นอาจารย์กินรี วดั ป่าหนองฮีอีกทหี นึง่ ทา่ นอาจารยก์ นิ รไี ดเ้ ตอื น
สติวา่

“ทา่ นชา เอาละ่ การเท่ยี วธุดงค์ก็พอสมควรแล้ว ควรจะหาท่ีอยเู่ ปน็ หลักแหล่ง
ที่ราบๆ”

หลวงพอ่ จงึ เรยี นท่านว่า “กระผมจะกลับบา้ น”

ทา่ นอาจารยก์ นิ รจี งึ พดู วา่ “จะกลบั บา้ น คดิ ถงึ ใคร ถา้ คดิ ถงึ ผใู้ ด ผนู้ นั้ จะใหโ้ ทษ
แก่เรานะ”

หลวงพ่อชาจึงได้กราบลาท่านอาจารย์กินรีเดินทางต่อมาเป็นเวลาหลายวัน
จนกระทัง่ ไดม้ าถึงบ้านปา่ ตาว ต.ค�ำเตย อ.เลงิ นกทา จ.ยโสธร (แต่สมัยน้นั ขึน้ กบั
จ.อบุ ลฯ) ได้พักอย่ทู ่ปี ่าไมไ่ กลจากบา้ นเท่าใดนัก ไดม้ ีโอกาสเทศนส์ งั่ สอนประชาชน
แนะแนวทางการแหง่ การปฏบิ ตั ธิ รรมแกค่ นในถนิ่ นน้ั จนเกดิ ความเลอ่ื มใสพอสมควร
และไดพ้ กั อยเู่ ปน็ เวลา ๒ เดอื น จงึ ไดล้ าญาตโิ ยมเดนิ ทางลงมาทางใต้ กอ่ นจะจากมา
โยมไดม้ อบเดก็ คนหนง่ึ เปน็ ศษิ ย์ เมอ่ื เดนิ ทางมา อ.วารนิ ฯ แลว้ หลวงพอ่ จงึ ใหเ้ ดก็ ชาย
ทองดี ผเู้ ปน็ ศษิ ย์ บรรพชาเปน็ สามเณรทว่ี ดั วารนิ ทราราม เมอื่ หลวงพอ่ เดนิ ทางมาถงึ
บา้ นเกดิ แลว้ จงึ ไดไ้ ปพกั อยทู่ ป่ี า่ ชา้ บา้ นกอ่ เปน็ เวลา ๗ วนั มโี อกาสไดเ้ ทศนใ์ หญ้ าตโิ ยม
ฟงั พอรแู้ นวทางบ้างเป็นบางคนแลว้ หลวงพอ่ จึงได้ออกเดินทางไป อ.กนั ทรลกั ษณ์
จ.ศรสี ะเกษ และไดพ้ กั อยใู่ นปา่ ใกลบ้ า้ นสวนกลว้ ย และในพรรษาที่ ๑๑ นี้ กไ็ ดจ้ ำ� พรรษา
อยูท่ บ่ี ้านสวนกลว้ ย (ปัจจุบันสถานทนี่ ั้นเขาสรา้ งเปน็ วัดแลว้ )

614

พ.ศ. ๒๔๙๓ (พรรษาที่ ๑๒) ในระหวา่ งตน้ ปี ไดร้ บั จดหมายจากพระมหาบญุ มี
ซง่ึ เคยเปน็ เพอ่ื นปฏบิ ตั มิ าดว้ ยกนั แจง้ ขา่ วเรอื่ งการปฏบิ ตั ธิ รรมของหลวงพอ่ วดั ปากนำ�้
ภาษเี จรญิ ธนบรุ ี จึงเดินทางลงไปและไดพ้ กั อยู่กบั พระมหาบญุ มที วี่ ัดปากน�้ำ ๗ วัน
ไดม้ โี อกาสนมสั การหลวงพอ่ เจา้ อาวาส ไดส้ งั เกตและพจิ ารณาดแู ลว้ เหน็ วา่ เปน็ ไปเพอื่
รกั ษาโรคภยั บางอยา่ ง ยงั ไมถ่ กู นสิ ยั จงึ ไดเ้ ดนิ ทางไปพกั ทวี่ ดั ใหญ่ จงั หวดั พระนคร-
ศรีอยุธยา จ�ำพรรษาอยทู่ วี่ ดั นั้น ๒ พรรษา

๑๘. รกั ษาโรคดว้ ยธรรมโอสถ

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๔ น้นั เอง หลวงพอ่ ป่วยเปน็ โรคเกี่ยวกับท้อง มีอาการบวมขน้ึ
ทางดา้ นซา้ ย รู้สกึ เจ็บปวดทีท่ อ้ งมาก และผสมกับโรคหดื ทเี่ คยเปน็ อยู่แลว้ ซำ�้ เตมิ อกี
หลวงพอ่ ชาพจิ ารณาวา่ “อันตัวเราน้ีก็อยหู่ ่างไกลญาติพ่นี ้อง ข้าวของเงนิ ทองก็ไมม่ ี
เมอ่ื ปว่ ยขนึ้ มา ครนั้ จะไปรกั ษาทโี่ รงพยาบาลกข็ าดเงนิ ทอง จะเปน็ การทำ� ความยงุ่ ยาก
แกค่ นอนื่ อยา่ กระนน้ั เลย เราจะรกั ษาดว้ ยธรรมโอสถ โดยยดึ เอาพระธรรมเปน็ ทพี่ งึ่
ถา้ มนั จะหายกห็ าย ถ้าหากมนั ทนไม่ได้ กใ็ ห้มนั ตายไปเสยี ”

จงึ ทอดธรุ ะในสงั ขารของตน โดยการอดอาหาร ไมย่ อมฉนั จะดมื่ เพยี งแตน่ ำ้� นดิ ๆ
หน่อยๆ เท่านนั้ ทัง้ ไม่ยอมหลับนอน จึงไดแ้ ต่เดนิ จงกรมและนั่งสมาธิสลับกนั ไป
เวลารุ่งเชา้ เพ่ือนๆ เขาไปบณิ ฑบาต หลวงพ่อกเ็ ดนิ จงกรม พอเพ่ือนกลับมาก็ขนึ้ กุฏิ
นงั่ สมาธติ อ่ ไป มอี าการออ่ นเพลยี ทางรา่ งกาย แตก่ ำ� ลงั ใจดมี าก ไมย่ อ่ ทอ้ ตอ่ สง่ิ ทง้ั ปวง
หลวงพอ่ เคยพดู เตือนวา่ การอดอาหารนน้ั ระวงั ใหด้ ี บางทจี ะทำ� ใหเ้ ราหลง เพราะจติ
คดิ ไปมองดูเพ่ือนๆ เขาฉนั อาหารวา่ เปน็ การยงุ่ ยาก มภี าระมากจริงๆ เลยคดิ ว่าเป็น
การล�ำบากแกต่ ัวเอง อาจจะไม่ยอมฉันอาหาร จงึ เป็นทางใหต้ ายไดง้ ่ายๆ เสียดว้ ย

เมอื่ หลวงพอ่ อดอาหารมาไดค้ รบ ๘ วนั ทา่ นอาจารยฉ์ ลวยจงึ ไดข้ อรอ้ งใหก้ ลบั
ฉนั ดงั เดมิ โรคในกายปรากฏวา่ หายไป ทงั้ โรคทอ้ งโรคหดื ไมเ่ ปน็ อกี หลวงพอ่ จงึ กลบั
ฉนั อาหารตามเดมิ และไดใ้ หค้ ำ� แนะนำ� ไวว้ า่ เมอ่ื อดอาหารหลายวนั เวลากลบั ฉนั สง่ิ ที่
ควรระวังกค็ อื อย่าเพ่งิ ฉนั มากในวนั แรกๆ ถ้าฉันมากอาจตายได้ ควรฉันวนั ละน้อย
และเพิ่มขน้ึ ไปทกุ วันจนเป็นปกติ

615

ในระหว่างที่จ�ำพรรษาอยู่ที่วัดใหญ่น้ัน หลวงพ่อมิได้แสดงธรรมต่อใครอ่ืน
มแี ตอ่ บรมตวั เองโดยการปฏบิ ตั แิ ละพจิ ารณาเตอื นตนอยตู่ ลอดเวลา เมอื่ ออกพรรษา
แล้วได้เดินทางไปพักอยู่เกาะสีชัง เพื่อหาความสงบเป็นเวลาหน่ึงเดือน และถือคติ
เตอื นตนเองวา่ ชาวเกาะเขาไดอ้ าศัยพ้ืนดินทมี่ ีนำ�้ ทะเลล้อมรอบ ท่ที เี่ ขาอาศยั อยไู่ ด้
ตอ้ งพน้ นำ�้ จงึ จะเปน็ ทพ่ี งึ่ ได้ เกาะสชี งั เปน็ ทพี่ งึ่ ทางนอกของสว่ นรา่ งกาย เรามาอาศยั
อยู่ท่ีเกาะน้คี อื ท่พี ึ่งทางใน ซ่ึงเปน็ ทอี่ ันนำ้� คอื กิเลสตณั หาทว่ มไมถ่ งึ แม้เราจะอยบู่ น
เกาะสชี ัง แตก่ ย็ ังคน้ หาเกาะภายในอีกต่อไป ผทู้ ีท่ ่านได้พบและอาศยั เกาะอยูไ่ ดน้ ้ัน
ทา่ นยอ่ มอยเู่ ปน็ สขุ ตา่ งจากคนทลี่ อยคออยใู่ นทะเลคอื ความทกุ ข์ ซงึ่ มหี วงั จมนำ�้ ตาย
ทะเลภายนอกมีฉลามและสัตว์ร้ายอ่ืนๆ แต่ทะเลภายในย่ิงร้ายกว่าน้ันหลายเท่า
เมื่อได้ธรรมะจากทะเลและเกาะสีชังพอสมควร ซ่ึงเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว จึงออก
จากเกาะสชี งั เดนิ ทางกลับวดั ใหญ่ จงั หวดั อยธุ ยา และพักอยู่ท่ีวดั ใหญเ่ ป็นเวลานาน
พอสมควร จงึ ได้เดนิ ทางกลับมาบ้าน และได้มาพกั ทป่ี ่าช้าบา้ นก่อตามเคย มีโอกาส
เทศน์โปรดโยมแมแ่ ละพี่ชาย (ผูใ้ หญล่ า) และญาตพิ ่ีนอ้ งหลายคน จนเปน็ เหตุให้
งดท�ำปาณาติบาตและเชื่อม่ันในพระรัตนตรัยยิ่งข้ึน พักอยู่ท่ีป่าช้าบ้านก่อเป็นเวลา
๑๕ วนั จงึ เดินทางตอ่ ไป

พ.ศ. ๒๔๙๕ (เป็นพรรษาท่ี ๑๔) ในระหว่างตน้ ปนี ี้ หลวงพ่อเดินธุดงค์ขึ้นไป
จนถงึ บา้ นปา่ ตาว อำ� เภอเลงิ นกทา จงั หวดั ยโสธร ซงึ่ เปน็ สถานทเ่ี คยอยมู่ ากอ่ น คราวนไี้ ม่
ไปอยทู่ เี่ กา่ ไปอยจู่ ำ� พรรษาในปา่ หา่ งจากหมบู่ า้ น ๒ กโิ ลเมตร ซงึ่ ปจั จบุ นั เปน็ ทพ่ี กั สงฆ์
บำ� เพญ็ ธรรม หลวงพอ่ ไดม้ โี อกาสเทศนส์ ง่ั สอนประชาชนจนเตม็ ความสามารถ ทำ� ให้
เขาเข้าใจในหลักค�ำสอนในศาสนาดียิ่งข้ึน และเกิดความเล่ือมใส การรับแขกและ
การพบปะสนทนาธรรมมมี ากและบ่อยครั้งย่ิงขึ้น

สถานทพ่ี กั แหง่ นนั้ เรยี กวา่ วดั ถำ�้ หนิ แตก เปน็ ลานหนิ ดาด ทางดา้ นทศิ เหนอื ของ
ที่พักน้ันเป็นแอ่งน้�ำมีปลาชุม ทางทิศตะวันออกของแอ่งน�้ำเป็นคันหินสูงนิดหน่อย
ตอ่ จากคนั หนิ ไปทางดา้ นทศิ ตะวนั ตกเปน็ ทลี่ าดลงไป เวลานำ�้ ลน้ แอง่ กไ็ หลไปตามทลี่ าด
ลงสเู่ บอื้ งลา่ ง โดยมากมพี วกปลาดกุ พยายามตะเกยี กตะกายขน้ึ มาตามนำ้� บางตวั กข็ า้ ม
คนั หนิ ไปถงึ แอง่ นำ้� บางตวั กข็ า้ มไปไมร่ อดจงึ นอนอยบู่ นคนั หนิ หลวงพอ่ เคยสงั เกตเหน็

616

ตอนเชา้ ๆ ทา่ นจะเดนิ ไปดู เมอ่ื เหน็ ปลานอนอยบู่ นคนั หนิ จงึ จบั มนั ปลอ่ ยลงไปในแอง่ นำ�้
แลว้ จึงกลบั มาเอาบาตรไปบณิ ฑบาต

๑๙. ยอมอดเพอื่ ใหช้ วี ติ สตั ว์

เช้าวันหน่ึงก่อนจะออกบิณฑบาต หลวงพ่อจึงเดินไปดูปลาเพ่ือช่วยชีวิตมัน
ทกุ เชา้ แตว่ นั นนั้ ไมท่ ราบใครเอาเบด็ มาตกไวต้ ามรมิ แอง่ นำ้� เหน็ เบด็ ทกุ คนั มปี ลาตดิ อยู่
หลวงพ่อจึงร�ำพึงว่า เพราะมันกินเหย่ือเข้าไป เหย่ือน้ันมีเบ็ดด้วย ปลาจึงติดเบ็ด
มองดูปลาติดเบ็ด สงสารก็สงสาร แต่ช่วยมันไม่ได้ เพราะเบ็ดมีเจ้าของ ท่านจึง
มองดว้ ยความสลดใจ เพราะความหวิ แทๆ้ เจา้ จงึ หลงกนิ เหยอ่ื ทเี่ ขาลอ่ ไว้ ดน้ิ เทา่ ไรๆ
กไ็ มห่ ลดุ เปน็ กรรมของเจา้ เอง เพราะความไมพ่ จิ ารณาเปน็ เหตใุ หเ้ ตอื นตนวา่ ฉนั อาหาร
ไม่พิจารณา จะเป็นเหมือนปลากินเหย่ือย่อมติดเบ็ด ได้เวลาจึงกลับออกไปเท่ียว
ภิกขาจาร ครั้นกลับจากบิณฑบาต เห็นอาหารพิเศษ มองดูเห็นต้มปลาดุกตัวโตๆ
ทั้งนน้ั หลวงพอ่ นกึ รู้ทนั ทวี ่าต้องเปน็ ปลาตดิ เบ็ดที่เราเห็นน้ันแนๆ่ บางทอี าจจะเป็น
พวกทีเ่ ราเคยชว่ ยชีวิตเอามนั ลงน�้ำกไ็ ด้ ความจรงิ ก็อยู่ใกล้ๆ แอ่งน�้ำนี้เทา่ นั้น และ
โดยปกตแิ ล้วอาหารจะฉันก็ไม่คอ่ ยจะมีอยู่แล้ว แตห่ ลวงพ่อเกิดความรังเกียจข้นึ มา
ถงึ เขาจะเอามาประเคนกร็ บั วางไวต้ รงหนา้ ไมย่ อมฉนั ถงึ แมจ้ ะอดอาหารมานานกต็ าม
เพราะทา่ นคดิ ว่า ถ้าเราฉนั ของเขาในวนั น้ี วนั ต่อๆ ไปปลาในแอง่ น�้ำน้นั มันกจ็ ะถูก
ฆ่าหมด เพราะเขาจะทำ� เปน็ อาหารนำ� มาถวายเรา ปลาตัวใดท่อี ุตสา่ ห์ตะเกียกตะกาย
ขนึ้ มาพบแอง่ นำ้� แลว้ กย็ งั จะตอ้ งพากนั มาตายกลายเปน็ อาหารของเราไปหมด ดงั นนั้
หลวงพอ่ จงึ ไมย่ อมฉนั จงึ สง่ ใหพ้ ระทองดซี งึ่ นง่ั อยขู่ า้ งๆ พระทองดเี หน็ หลวงพอ่ ไมฉ่ นั
กไ็ มย่ อมฉนั เหมอื นกนั มอี ะไรทไี่ ปบณิ ฑบาตไดม้ ากแ็ บง่ กนั ฉนั ตามมตี ามได้ สว่ นโยม
ที่เขาต้มปลามาถวาย น่ังสังเกตอยู่ตั้งนาน เม่ือเห็นพระไม่ฉัน จึงเรียนถามว่า
“ท่านอาจารย์ ไมฉ่ นั ต้มปลาหรอื ครบั ” หลวงพ่อจงึ ตอบว่า “สงสารมนั ” เท่านัน้ เอง
ทำ� เอาโยมผนู้ ำ� มาถวายถงึ กบั นง่ิ องึ้ แลว้ จงึ พดู วา่ “ถา้ เปน็ ผม หวิ อยา่ งนค้ี งอดไมไ่ ดแ้ นๆ่ ”
ตงั้ แตน่ ัน้ มาปลาในแอ่งน�้ำนน้ั จงึ ไม่ถกู รบกวน พวกโยมกพ็ ากันเข้าใจวา่ ปลาของวดั

617

ท่านท้ังหลายลองนึกดูเถิดว่า หลวงพ่อมีจิตประกอบด้วยเมตตามากแค่ไหน
ถา้ เปน็ เราแลว้ จะทนความหวิ ได้หรอื เปล่ายงั ไม่แน่ สว่ นหลวงพ่อทา่ นทนหิวเพื่อเหน็
แก่ชีวิตเพื่อนร่วมวัด ถ้านึกรงั เกยี จหรือรู้วา่ เขาฆา่ มาเฉพาะ (อุททสิ ะมังสะ) แบบน้ี
ทา่ นจะไมย่ อมฉนั เลย ถา้ เปน็ เราๆ ทา่ นๆ ปลาทงั้ หลายในแอง่ นำ�้ นน้ั อาจจะสญู พนั ธ์ุ
ในระยะอนั สัน้ ก็อาจเปน็ ได้

ดงั นน้ั เมอ่ื หลวงพอ่ มาอยวู่ ดั หนองปา่ พงนี้ ทา่ นจงึ หา้ มไมใ่ หน้ ำ� สตั วม์ ชี วี ติ มาทำ�
ปาณาติบาตในวัดเป็นเด็ดขาด แม้วัดที่เป็นส�ำนักสาขาของท่านก็ถือปฏิบัติแบบ
เดียวกนั

พ.ศ. ๒๔๙๖ ซึ่งนับเปน็ ปที ่ี ๒ ที่หลวงพอ่ ไดอ้ ยู่ปา่ ใกลบ้ า้ นปา่ ตาว มีพระภกิ ษุ
สามเณรอยู่ ๙ รปู เมอื่ มพี ระเณรอยดู่ ว้ ยกนั หลายรปู หลวงพอ่ จงึ คดิ วา่ ควรจะปลกี ตวั
ไปอยแู่ ตล่ ำ� พงั คนเดยี ว เพอื่ ใหไ้ ดร้ บั ความสงบยงิ่ ขนึ้ จงึ ตกลงใหพ้ ระเณรอยจู่ ำ� พรรษา
ที่วัดถ้ำ� หินแตก ส่วนหลวงพ่อเอง ขน้ึ ไปจำ� พรรษาอย่ภู ูกอย ซง่ึ บรเิ วณน้นั หลังจาก
หลวงพอ่ ไดจ้ ากภกู อยไปหลายปี จงึ มผี คู้ น้ พบรอยพระพทุ ธบาทและเปน็ ทส่ี กั การบชู า
ของพุทธศาสนกิ ชนอยู่เดยี๋ วนี้ ภูกอยนี้ อยูห่ ่างจากถ้�ำหนิ แตกประมาณ ๓ กโิ ลเมตร
พอถงึ วนั อโุ บสถสวดพระปาฏโิ มกข์ หลวงพอ่ กล็ งมารว่ มทำ� สงั ฆกรรมทวี่ ดั ถำ�้ หนิ แตก
และได้ให้โอวาทเตือนสติพระภิกษุสามเณรมิได้ขาด บางโอกาสได้เทศน์ให้โยมฟัง
พอสมควร แล้วก็กลบั ไปทพี่ กั ภูกอยตามเดมิ

๒๐. ชวี ติ พระธุดงค์

ในระหวา่ งพรรษานห้ี ลวงพอ่ ปว่ ยเปน็ โรคเกย่ี วกบั ฟนั เหงอื กบวมทงั้ ขา้ งบนและ
ขา้ งลา่ ง รสู้ กึ บวมมาก หลวงพอ่ ทา่ นหายามารกั ษาตามมตี ามได้ โดยใชต้ บะธรรมและ
ขันติธรรมเปน็ ทีต่ งั้ พรอ้ มทง้ั พิจารณาวา่ พยาธิ ธมั โมมหิ พยาธิง อะนะตีโต เรามี
ความเจ็บไขเ้ ปน็ ธรรมดา หนคี วามเจ็บไข้ไปไมพ่ น้ รเู้ ท่าทนั สภาวธรรมน้ันๆ มคี วาม
อดทนอดกลั้น แยกโรคทางกายกับโรคทางใจออกเป็นคนละส่วน เม่ือกายป่วย
ก็ปว่ ยไป ไม่ยอมให้ใจป่วยดว้ ย แตถ่ า้ ยอมใหใ้ จป่วยด้วยก็เลยกลายเป็นปว่ ยดว้ ย

618

โรคสองชน้ั ความทกุ ขเ์ ป็นสองชน้ั เช่นเดียวกนั โรคปวดฟนั มันทรมานหลวงพ่อมาก
กว่าจะสงบลงไดต้ อ้ งใช้เวลาถงึ ๖ วนั

พูดถึงการสังวรระวังเรื่องศีลแล้ว เมื่อคราวออกปฏิบัติไปคนเดียวอยู่รูปเดียว
ยงิ่ มคี วามหวาดกลวั ตอ่ อาบตั มิ าก ออกปฏบิ ตั คิ รงั้ แรกมเี ขม็ เลม่ เดยี ว ทง้ั คดๆ เสยี ดว้ ย
ต้องระวังรักษากลัวมันจะหัก เพราะถ้าหักแล้วไม่รู้จะไปขอใคร ญาติพี่น้องก็ไม่มี
ดา้ ยสำ� หรบั เยบ็ กเ็ อาเสน้ ไหมสำ� หรบั จงู ผขี วนั้ เปน็ เสน้ แลว้ หอ่ รวมกนั ไวก้ บั เขม็ เมอื่ ผา้
เกา่ ขาดไปบา้ ง กไ็ มย่ อมขอ เวลาเดนิ ธดุ งคผ์ า่ นวดั ตา่ งๆ ตามชนบท ไมม่ ผี า้ สำ� หรบั ปะ
จงึ ไปชกั บงั สกุ ลุ เอาผา้ เชด็ เทา้ ตามศาลาวดั ปะสบงจวี รทข่ี าด เสรจ็ แลว้ กเ็ ดนิ ธดุ งคต์ อ่ ไป
และไดเ้ ตอื นตนเองวา่ ถา้ ไมม่ ใี ครเขาถวายดว้ ยศรทั ธา เธอกอ็ ยา่ ไดข้ อเขา เปน็ พระธดุ งค์
นี่ให้มนั เปลอื ยกายดซู ิ เธอเกดิ มาคร้งั แรกก็มิได้นงุ่ อะไรมใิ ชห่ รือ เปน็ เหตุใหพ้ อใจ
ในบรขิ ารทมี่ ี และเปน็ การหา้ มความทะเยอทะยานอยากในบรขิ ารใหมไ่ ดด้ มี าก พดู ถงึ
อาหารบณิ ฑบาตนบั วา่ มหี ลายๆ ครงั้ เวลาออกบณิ ฑบาต ไดแ้ ตข่ า้ วเปลา่ ๆ กย็ งั ดกี วา่
มไิ ดฉ้ นั ดแู ตส่ นุ ขั นน่ั ซิ มนั กนิ ขา้ วเปลา่ ๆ มนั ยงั อว้ นและแขง็ แรงดี แกลองเกดิ เปน็ หมา
สักชาตดิ ูซิ ทำ� ใหฉ้ นั ขา้ วเปลา่ ๆ ดว้ ยความพอใจและมกี �ำลงั ปฏิบัติธรรมต่อไป

พดู ถงึ เรอ่ื งอาพาธแลว้ หลวงพอ่ ไดเ้ คยผา่ นความลำ� บากมามาก ครงั้ หนง่ึ เมอ่ื อยู่
ในเขตสกลนคร นครพนม ปว่ ยเปน็ ไขม้ าหลายวนั อยคู่ นเดยี วกลางภเู ขา อาการหนกั
พอดู ลกุ ไม่ขนึ้ ตลอดวนั ด้วยความออ่ นเพลียจึงม่อยหลับไป พอรูส้ กึ ตวั กเ็ ป็นเวลา
เย็นมาก ตะวันจวนจะตกดนิ กำ� ลงั นอนลืมตาอยู่ ได้ยินอเี ก้งมนั ร้อง จงึ ตั้งปัญหา
ถามตวั เองวา่ พวกอเี กง้ และสตั วป์ า่ มนั ปว่ ยเปน็ ไหม? คำ� ตอบเกดิ ขนึ้ วา่ มนั ปว่ ยเปน็
เหมอื นกนั เพราะพวกมนั เปน็ สงั ขารทตี่ อ้ งปรงุ แตง่ เชน่ เดยี วกบั เรานแ่ี หละ มนั มยี ากนิ
หรือเปล่า? มันก็คงหากินยอดไม้ใบไม้ตามมีตามได้ มีหมอฉีดยาไหม? เปล่า...
ไมม่ เี ลย... แตก่ ย็ งั มอี เี กง้ และสตั วเ์ หลอื อยสู่ บื พนั ธก์ุ นั เปน็ จำ� นวนมากมใิ ชห่ รอื ? คำ� ตอบ
เกิดขนึ้ วา่ ใชแ่ ลว้ ถูกแล้ว

พอได้ข้อคิดเท่านี้ ท�ำให้มีก�ำลังใจดีข้ึนมาก จึงพยายามลุกนั่งจนได้และได้
พยายามทำ� ความเพยี รตอ่ ไป จนกระทงั่ ไขไ้ ดท้ เุ ลาลงเรอื่ ยๆ หลวงพอ่ พดู ใหฟ้ งั วา่ เปน็

619

ไขห้ นกั อยคู่ นเดยี วกลางภเู ขาไมต่ ายหรอก ถา้ ไมถ่ งึ ทต่ี าย แมจ้ ะไมม่ หี มอรกั ษากต็ าม
แต่กว่ามันจะหายนานหนอ่ ยเท่านนั้ เอง

พ.ศ. ๒๔๙๗ ในระหว่างปลายเดือน ๓ โยมมารดา (แม่พมิ พ์) ของหลวงพอ่
พรอ้ มทง้ั พชี่ าย (ผใู้ หญล่ า) และญาตโิ ยมอกี ๕ คน ไดเ้ ดนิ ทางขนึ้ ไปพบหลวงพอ่ เพอื่
นมัสการนมิ นตใ์ หก้ ลับลงมาโปรดญาตโิ ยมในถ่นิ ก�ำเนดิ หลวงพ่อพิจารณาเห็นเปน็
โอกาสอันเหมาะแล้วจึงรับนิมนต์ และตกลงให้โยมมารดาและคณะท่ีไปน้ันข้ึนรถ
โดยสารลงมากอ่ น สว่ นหลวงพอ่ พรอ้ มดว้ ยพระเชอ้ื พระหนู พระเลอื่ น สามเณรออ๊ ด
พรอ้ มดว้ ยพอ่ กี พอ่ ไต บา้ นปา่ ตาว เดนิ ธดุ งคล์ งมาเรอื่ ยๆ หยดุ พกั เปน็ ระยะๆ ตามทาง
เป็นเวลา ๕ วัน

๒๑. กำ� เนิดวัดหนองปา่ พง

วันนั้นเวลาตะวันบ่าย คณะของหลวงพ่อได้เดินทางมาถึงชายดงป่าพงแห่งน้ี
ซง่ึ เป็นวันจนั ทร์ ข้นึ ๔ ค่�ำ เดอื น ๔ ปีมะเสง็ ตรงกบั วันที่ ๘ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๙๗
ซึ่งเป็นนิมิตเครื่องหมายคร้ังส�ำคัญท่ีจะเปลี่ยนแปลงป่าท่ีน่าชมรื่นรมย์ไปด้วยรส
แห่งสัทธรรม

เชา้ วันที่ ๙ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๙๗ จึงได้พากันเข้าสำ� รวจสถานท่พี ักในดงปา่ นี้
โยมไดถ้ ากจอมปลวก ถางตน้ ไมเ้ ลก็ ๆ ออก จดั ทพี่ กั ใหใ้ กลต้ น้ มะมว่ งใหญห่ ลายตน้
ซึ่งอยู่ข้างโบสถ์ด้านทิศใต้ปัจจุบันน้ี ต่อมามีญาติโยมชาวบ้านก่อและบ้านกลาง
ผเู้ ลือ่ มใส จงึ ช่วยกนั ปลูกกฏุ ิเล็กๆ ใหอ้ าศัยกนั ต่อไป

เมอ่ื ไดม้ าอยทู่ ป่ี า่ พงแลว้ หลวงพอ่ ทา่ นถอื หลกั คำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ ทตี่ รสั วา่
“ทำ� ตนใหต้ ง้ั อยใู่ นคณุ อนั สมควรเสยี กอ่ น แลว้ จงึ สอนคนอนื่ ทหี ลงั จงึ จกั ไมเ่ ปน็ บณั ฑติ
สกปรก”

ไมว่ า่ กิจวัตรใดๆ เช่น กวาดวัด จัดที่ฉนั ลา้ งบาตร ตักน�ำ้ หาบน�้ำ ท�ำวตั ร
สวดมนต์ เดนิ จงกรม น่ังสมาธิ วนั พระถือเนสชั ชิก ไมน่ อนตลอดคืน หลวงพ่อชา

620

ลงมอื ทำ� เปน็ ตวั อยา่ งของศษิ ยโ์ ดยถอื หลกั ทวี่ า่ “สอนคนดว้ ยการทำ� ใหด้ ู ทำ� เหมอื นพดู
พดู เหมือนทำ� ”

ดังนั้นจึงมีศิษย์และญาติโยมเกิดความเคารพย�ำเกรงและเลื่อมใสในปฏิปทา
ที่หลวงพ่อด�ำเนินอยู่ เม่ือเทศน์ก็ช้ีแจงถึงหลักความจริงท่ีจะน�ำไปท�ำตามให้เกิด
ประโยชนไ์ ด้ หลวงพอ่ และศษิ ยร์ นุ่ แรกทเ่ี ขา้ มาอยตู่ อ้ งตอ่ สกู้ บั ไขป้ า่ ขณะนนั้ ยงั ชกุ ชมุ
มากเพราะเปน็ ป่าทึบ ยามพระเณรป่วยจะหายารกั ษาก็ยาก ตอ้ งตม้ บอระเพ็ดให้ฉนั
กพ็ อทเุ ลาลงบา้ ง เนอื่ งจากโยมผอู้ ปุ ฏั ฐากยงั ไมค่ อ่ ยเขา้ ใจในการอปุ ถมั ภ์ ทง้ั หลวงพอ่
กไ็ มย่ อมออกปากขอจากใครๆ แมจ้ ะพดู เลยี บเคยี งกไ็ มท่ ำ� ปลอ่ ยใหผ้ มู้ าพบเหน็ ดว้ ยตา
พจิ ารณาแลว้ เกดิ ความเลอ่ื มใสเอาเอง พูดถงึ อาหารการฉนั กจ็ ะร้สู ึกฝืดเคอื ง

๒๒. รบั พระราชทานสมณศักดิ์

เมอื่ หลวงพอ่ ไดม้ าอยเู่ ปน็ ทพี่ ง่ึ ทางใจของศษิ ย์ และญาตโิ ยมผใู้ ครต่ อ่ การปฏบิ ตั ิ
ธรรมทง้ั หลาย เรมิ่ แตป่ ี ๒๔๙๗ เปน็ ตน้ มา จนกระทง่ั ถงึ ปี ๒๕๑๓ มศี ษิ ยแ์ ละญาตโิ ยม
บางคนกราบเรยี นเรื่องการขออนุญาตตั้ง (สร้าง) วดั เมือ่ ก่อนน้นั หลวงพอ่ มกั พูดวา่
ไมต่ อ้ งขอสรา้ งวดั เรากส็ รา้ งกต็ ง้ั มานานแลว้ แตเ่ พอื่ ใหถ้ กู ตอ้ งตามกฎระเบยี บ หลวงพอ่
จงึ อนญุ าตใหม้ กี ารขอสรา้ งวดั ขนึ้ และเมอื่ ไดร้ บั อนญุ าตใหส้ รา้ งวดั เรยี บรอ้ ยแลว้ จงึ ได้
รบั ตราตัง้ ดังนี้

๑. เปน็ เจา้ อาวาสวดั หนองป่าพง เม่อื วันท่ี ๒๙ เมษายน ๒๕๑๖
๒. ไดร้ ับพระราชทานเปน็ พระราชาคณะ มีนามวา่ พระโพธิญาณเถร เมื่อวนั ท่ี
๕ ธันวาคม ๒๕๑๖
๓. เม่ือปลายเดือนมกราคม ปี ๒๕๑๗ ได้รับหนังสือให้เข้าไปอบรมเป็น
พระอุปัชฌาย์ และได้รบั ตราต้งั พระอปุ ัชฌาย์ เม่ือวนั ที่ ๔ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๑๗

621

๒๓. โยมมารดามรณะ

หลังจากหลวงพ่อชาและคณะได้เข้ามาอยู่ท่ีดงป่าพงนี้เดือนกว่า คุณแม่พิมพ์
ช่วงโชติ ซึ่งเป็นโยมมารดาของท่าน ก็ได้เข้ามาบวชเป็นชีอยู่ปฏิบัติธรรมตามอย่าง
พระลูกชาย พร้อมทง้ั มโี ยมผู้หญิงบวชตามอกี ๓ คน ยงั ผลให้คุณแม่พมิ พ์ไดร้ บั รส
แห่งธรรม ท�ำให้จิตใจเยือกเย็นเป็นที่พ่ึงแก่ตน ท�ำให้สตรีเหล่าอ่ืนผู้หวังความสงบ
ไดเ้ ขา้ บวชเพมิ่ จำ� นวนมากขนึ้ เรอ่ื ยๆ โยมแมช่ ไี ดส้ รา้ งความดี ทงั้ ทเ่ี ปน็ สว่ นอามสิ บชู า
และปฏบิ ตั บิ ชู าตามกำ� ลงั ความสามารถ ไดโ้ อกาสอปุ ถมั ภบ์ ำ� รงุ พระภกิ ษสุ ามเณร ทงั้ ใน
ยามปกตแิ ละคราวอาพาธเสมอมา

หลวงพ่อเองก็ได้ท�ำการบ�ำรุงโยมมารดาตามสมควรแก่หน้าท่ีอันบุตรท่ีดีจะพึง
กระทำ� แกผ่ บู้ งั เกดิ เกลา้ คอยเอาใจใสท่ ง้ั อาหารกายและอาหารใจมไิ ดเ้ พกิ เฉย ครนั้ หลาย
ปผี า่ นไป หนคี วามผพุ งั ไปไมพ่ น้ ดงั นน้ั เมอื่ คราวทโี่ ยมปว่ ย หลวงพอ่ และญาติ ตลอดทง้ั
บรรดาแมช่ ี กไ็ ดเ้ อาใจใสพ่ ยาบาลรกั ษาตามความสามารถ หลวงพ่อก็หาโอกาสเข้า
ไปเย่ียมและให้สติทางธรรมอยู่บ่อยๆ ผลสุดท้ายแม่ชีพิมพ์ก็ได้ทอดทิ้งร่างกายอัน
แก่หง่อมไปเมือ่ วนั ท่ี ๑๗ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕๑๗

กำ� หนดงานฌาปนกจิ ศพโยมแมใ่ นระยะวนั มาฆบชู า ซงึ่ ตรงกบั วนั ท่ี ๒๕ มนี าคม
พ.ศ. ๒๕๑๘ ในงานนไ้ี ดอ้ นญุ าตใหก้ ลุ บตุ รกลุ ธดิ าบวชเปน็ สามเณร ๑๐๕ รปู บวชเปน็
ชี ๗๒ คน เพ่ือถวายเป็นพุทธบชู า

๒๔. จารกิ สตู่ า่ งประเทศ ครั้งท่ี ๑

นบั เปน็ เวลา ๒๓ ปกี วา่ ทหี่ ลวงพอ่ ชาไดอ้ าศยั วดั บา้ นหนองป่าพง เปน็ หลกั ชัย
ในการประกาศสจั ธรรมอนั นำ� สนั ตสิ ขุ มาสมู่ วลมนษุ ย์ ไดม้ ภี กิ ษสุ ามเณรและประชาชน
เดินทางมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์เพ่ืออบรมการปฏิบัติธรรมเพิ่มจ�ำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทงั่ ไดข้ ยายสำ� นกั สาขาแยกออกไปในตา่ งอำ� เภอและตา่ งจงั หวดั ซงึ่ ในปจั จบุ นั น้ี

622

มอี ยปู่ ระมาณ ๘๒ สาขา มชี าวตา่ งประเทศเกดิ ความเลอื่ มใสมาขอบวชเปน็ ศษิ ยเ์ พอ่ื
อยปู่ ฏบิ ตั ธิ รรมเพม่ิ จำ� นวนมากขนึ้ จนกระทงั่ หลวงพอ่ ไดอ้ นญุ าตใหจ้ ดั ตง้ั สำ� นกั สาขา
ส�ำหรบั ชาวตา่ งประเทศขน้ึ เป็นสว่ นหนง่ึ ตา่ งหาก มชี อ่ื เรยี กวา่ วดั ปา่ นานาชาติ เป็น
สาขาที่ ๑๙ ของวดั หนองปา่ พง ตง้ั อยใู่ นเขตตำ� บลบงุ่ หวาย อำ� เภอวารนิ ชำ� ราบ จงั หวดั
อบุ ลราชธานี

ในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ อาจารยส์ เุ มโธ ไดเ้ ดนิ ทางไปเยยี่ มโยมมารดาทสี่ หรฐั อเมรกิ า
ขากลบั เดนิ ทางมาแวะประเทศองั กฤษ พกั ทสี่ ำ� นกั ธรรมประทปี แฮมปส์ เตท กรงุ ลอนดอน
ได้มีเจ้าหน้าท่ีของส�ำนักน้ันมาสนทนาธรรมจนเกิดศรัทธาเลื่อมใส เขาถามถึงส�ำนัก
ทเ่ี ปน็ ครบู าอาจารย์ นมิ นตใ์ หท้ า่ นอยจู่ ำ� พรรษาทอี่ งั กฤษ อาจารยส์ เุ มโธ จงึ ไดบ้ อกวา่
เปน็ ลกู ศษิ ยข์ องหลวงพอ่ ชาแหง่ วดั หนองปา่ พง อำ� เภอวารนิ ชำ� ราบ จงั หวดั อบุ ลราชธานี
ถา้ ตอ้ งการอยากใหอ้ ยใู่ นประเทศองั กฤษ กข็ อใหไ้ ปตกลงขอจากหลวงพอ่ ชาเสยี กอ่ น
ต่อจากนน้ั อาจารย์สุเมโธจึงได้เดินทางกลับประเทศไทย

จงึ เปน็ เหตใุ หช้ าวสงั ฆทรสั ตแ์ หง่ ประเทศองั กฤษ ไดต้ ดิ ตอ่ ขอนมิ นตห์ ลวงพอ่ ชา
และอาจารยส์ เุ มโธ ใหเ้ ดินทางไปประกาศสจั ธรรมและเพ่อื ประดษิ ฐานหลกั ปฏิบตั ิไว้
ในภาคพื้นตะวันตกให้เจริญรุ่งเรืองโชติช่วงชัชวาลตามสมควรแก่กาลและฐานะท่ีจะ
พึงมพี ึงเป็นได้ ดงั นนั้ เมอื่ วนั ท่ี ๒ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ซง่ึ เป็นปีทีห่ ลวงพ่อไดม้ ีอายุ
๕๙ ปี พรรษา ๓๘ หลวงพอ่ ไดอ้ อกเดนิ ทางจากวดั หนองปา่ พง สกู่ รงุ เทพฯ เมอ่ื วนั ท่ี ๕
พฤษภาคม ๒๕๒๐ (ตดิ ตามอ่านเรื่องราวโดยละเอยี ดจากบนั ทึกของหลวงพอ่ )

๒๕. การจาริกไปต่างประเทศ ครั้งท่ี ๒

คณะสังฆทรัสต์แห่งประเทศอังกฤษ ได้ติดต่อขอนิมนต์หลวงพ่อชา สุภัทโท
ใหจ้ ารกิ ไปเผยแผธ่ รรมะทน่ี นั่ เปน็ ครงั้ ที่ ๒ ในปี ๒๕๒๒ หลวงพอ่ จงึ ไดอ้ อกเดนิ ทาง
ไปตามคำ� นิมนตข์ องเขา พรอ้ มกับพระปภากโร อีกครง้ั หน่ึง เมือ่ วันที่ ๓๐ เมษายน
๒๕๒๒ นั้นเอง เมื่อเดินทางถึงประเทศอังกฤษแล้ว ก็ได้ให้การอบรมกรรมฐาน
แสดงธรรมและสนทนาธรรมกับผู้มาพบเป็นจ�ำนวนมากข้ึนกว่าการไปคร้ังแรก

623

หลายเทา่ นอกจากนั้นทา่ นยังได้ไปดสู ถานทท่ี ่เี ขาถวายเพือ่ จดั ตั้งเป็นส�ำนกั ถาวรขึน้
ในทแี่ หง่ ใหมน่ ้ี เปน็ ธรรมชาตนิ า่ รม่ รนื่ ใจเหมาะสมแกก่ ารปฏบิ ตั ธิ รรมอยา่ งยงิ่ เพราะ
บริเวณกว้างขวางดี รู้สึกว่าไม่คับแคบเหมือนแฮมสเตท ซ่ึงต้ังอยู่ในใจกลางเมือง
ลอนดอน ไมเ่ พยี งพอแกจ่ ำ� นวนคนผใู้ ครต่ อ่ การปฎบิ ตั ธิ รรมอยา่ งยงิ่ เพราะบรเิ วณนี้
กวา้ งขวางดี รสู้ กึ วา่ ไมค่ บั แคบเหมอื นแฮมปส์ เตท ซง่ึ ตง้ั อยใู่ นใจกลางเมอื งลอนดอน
ไมเ่ พยี งพอแกจ่ ำ� นวนผใู้ ครต่ อ่ การปฏบิ ตั ธิ รรม สว่ นสถานทแี่ หง่ ใหมน่ เี้ ปน็ ปา่ ธรรมชาติ
ของเมอื งหนาว มที ะเลสาบอยใู่ กลๆ้ มตี กึ เกา่ หลงั ใหญอ่ ยหู่ ลงั หนงึ่ ใชเ้ ปน็ ทพี่ กั อาศยั
และประกาศสัจธรรมของพระภิกษุสามเณร ซ่ึงล้วนเป็นชาวตะวันตกผู้ได้รับการ
บรรพชาอปุ สมบทไปจากวดั หนองป่าพง

จึงเป็นอันกล่าวได้ว่า พระสงฆ์ผู้เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อคณะนั้น ได้เข้ามา
อยู่อาศยั ทีแ่ หง่ ใหม่น้ี เพอื่ ปฏบิ ัติธรรมและประกาศสจั ธรรมเรอื่ ยมา คณะกรรมการ
ของธรรมประทปี เปน็ เพยี งผอู้ ปุ ถมั ภต์ ามสมควรแกฐ่ านะเทา่ นน้ั ปจั จบุ นั นไี้ ดร้ บั ความ
สนใจจากชาวไทยและชาวตา่ งประเทศใหก้ ารสนบั สนนุ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นับว่าท่าน
สุเมโธและคณะลูกศิษย์ ซึ่งเดินทางไปปฏิบัติหน้าท่ีในนามหลวงพ่อชาแห่งวัด
หนองปา่ พง ไดถ้ ่ายทอดหลักปฏิบตั ธิ รรมใหด้ ำ� รงอยใู่ นภาคพน้ื ตะวนั ตกน้นั ไดอ้ ยา่ ง
ดีย่ิง

๒๖. จาริกสอู่ เมริกา

หลวงพ่อชาออกเดนิ ทางสู่สหรฐั อเมริกา มที ่านปภากโรเปน็ ปจั ฉาสมณะ ได้ไป
พกั ทส่ี ำ� นกั กรรมฐานของนายแจค็ คอรน์ ฟลิ ด์ ผเู้ ปน็ ศิษย์ฝรงั่ ซง่ึ เคยมาบวชอยทู่ ่วี ัด
หนองป่าพง หลวงพ่อได้พักอยู่ท่ีส�ำนักนั้นเป็นเวลาเก้าวัน ท่านได้อบรมข้อปฏิบัติ
กรรมฐานแกช่ าวอเมรกิ นั เปน็ จำ� นวนมาก ทำ� ใหเ้ ขาเหลา่ นน้ั ไดร้ บั ปตี สิ ขุ เกดิ ความสนใจ
ในหลกั ปฏบิ ตั ติ ามแนวหลวงพอ่ สง่ั สอน แลว้ จงึ ออกจากแมสซาชเู สทเดนิ ทางไปเมอื ง
ซีแอตเต้ิล ซ่ึงเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของท่านปภากโรภิกขุ ออกจากซีแอตเติ้ลแล้ว
เดินทางเข้าสู่ชิคาโก แล้วเดินทางไปสู่ประเทศแคนาดา จากน้ันก็ได้ย้อนกลับมาท่ี

624

แมสซาชเู สท แลว้ เดนิ ทางตอ่ ไปทนี่ ครนวิ ยอรค์ แตล่ ะสถานทท่ี หี่ ลวงพอ่ ไดไ้ ปเยยี่ มนน้ั ๆ
ทา่ นกไ็ ดแ้ นะนำ� หลกั ปฏบิ ตั ธิ รรม ไดส้ นทนาธรรม และตอบปญั หาแกผ่ ทู้ สี่ นใจจนเปน็ ท่ี
ซาบซึ้งตรึงใจของเขาเหล่านนั้
เม่อื หลวงพอ่ กลับจากสหรัฐคืนสูอ่ ังกฤษแลว้ พักทแ่ี ฮมป์สเตท ท่านได้อยดู่ ูแล
การเคลื่อนยา้ ยบริขารของพระสงฆส์ านุศษิ ย์เพอ่ื เดนิ ทางไปสถานทแ่ี หง่ ใหม่ ซงึ่ เป็น
ทต่ี ั้งส�ำนกั ดังทกี่ ล่าวมาแลว้ นน้ั ต่อจากนนั้ ทา่ นก็ไดเ้ ดินทางไปเยี่ยมบ้านของมสิ เตอร์
ชอว์ เศรษฐชี าวพมา่ อยทู่ โ่ี อค๊ เกน็ โฮลท์ ไดร้ ว่ มสงั ฆกรรมบวชนาคกบั ทา่ นมหาสสี ยาดอว์
ซ่งึ เป็นพระเถระพมา่ เป็นอปุ ชั ฌายใ์ หก้ ารอุปสมบทกลุ บตุ ร
ต่อมาหลวงพ่อก็ได้รับนิมนตใ์ หเ้ ดินทางไปยังสก๊อตแลนด์ พักอยูท่ ่นี ่นั สองคนื
ผสู้ นใจในการปฏบิ ตั ธิ รรมซง่ึ เคยมาฝกึ ภาวนาธรรมกบั ทา่ นสเุ มโธกม็ อี ยไู่ มน่ อ้ ย และมี
ผู้สนใจคดิ อยากจะใหต้ ้ังส�ำนกั สาขาของหลวงพ่อขึ้นอกี ทนี่ ัน่ สกั หน่งึ แห่ง แต่ท่านยัง
พจิ ารณาอยู่วา่ จะมีความเหมาะสมเพียงใดหรอื ไม่
การเดนิ ทางไปประกาศสจั ธรรมในตา่ งประเทศของหลวงพอ่ ชา สภุ ทั โท ทง้ั สอง
คร้ังน้ี ถือได้ว่าหลวงพ่อได้น�ำหลักปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ยัง
ตา่ งประเทศ ในนามของคณะสงฆแ์ ละปวงชนชาวไทย ใหเ้ ปน็ ทรี่ จู้ กั ของชนชาวตะวนั ตก
เพอ่ื จะไดด้ ำ� รงคงอยใู่ นภาคพ้นื ส่วนน้ีตลอดชั่วกาลนาน
หลวงพ่อได้เดินทางกลับคืนสู่ประเทศไทยเพื่อกลับมาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของ
สานศุ ิษย์และพุทธศาสนกิ ชน เมอื่ วนั ที่ ๓๐ มิถนุ ายน ๒๕๒๒

625

อารมณท์ ้ังหลายน้ัน จะเป็นอารมณ์ทพี่ อใจกต็ าม
หรอื อารมณ์ทไี่ ม่พอใจกต็ าม
อารมณ์ทง้ั สองอย่างน้ี มนั เหมือนงเู หา่
งเู หา่ มันมพี ิษมาก
ถา้ มันฉกคนแลว้ ก็ท�ำให้ถงึ แกค่ วามตายได้
อารมณน์ ้ีกเ็ หมอื นกบั งูเห่าทีม่ พี ิษรา้ ยนน้ั
อารมณ์ที่พอใจกม็ พี ิษมาก อารมณท์ ไี่ มพ่ อใจกม็ ีพษิ มาก
มนั ทำ� ให้จติ ใจของเราไม่เป็นเสรี
ท�ำให้จิตใจไขว้เขวจากหลกั ธรรมของพระพุทธเจ้า

อารมณ์ทง้ั หลายทว่ี า่ มานี้ เหมอื นกันกับงูเห่าท่ีมีพิษรา้ ย
ถ้าไม่มีอะไรมาขวาง มันกเ็ ลือ้ ยไปตามธรรมชาตขิ องมนั
แมพ้ ษิ ของมันจะมีอยู่ มันกไ็ มแ่ สดงออกมา
ไมไ่ ดท้ �ำอนั ตรายเรา เพราะเราไม่ได้เขา้ ไปใกลม้ ัน

ดังน้ี ถา้ หากเปน็ คนท่ฉี ลาดแล้ว ก็จะปลอ่ ยหมด
ส่งิ ท่ดี ีกป็ ล่อยมันไป สิ่งที่ช่วั กป็ ลอ่ ยมนั ไป
สิ่งทช่ี อบใจก็ปล่อยมันไป ส่ิงทีไ่ มช่ อบก็ปล่อยมันไป
เหมือนอย่างเราปล่อยงเู ห่าตัวท่มี ีพิษร้ายน้นั
ปลอ่ ยให้มันเลอื้ ยของมนั ไป
มันก็เล้ือยไปท้งั พิษท่ีมีอยใู่ นตัวมนั นนั่ เอง

จากพระธรรมเทศนาเรื่อง “อยกู่ ับงูเหา่ ”

626

หนงั สอื อ้างอิง

พระโพธญิ าณเถร (ชา สุภทฺโท), ๔๘ พระธรรมเทศนา, ๒๕๕๘, พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๗,
มกราคม ๒๕๕๘, บรษิ ทั รุง่ ศลิ ปก์ ารพิมพ์ (1977) จ�ำกัด.

คำ� แผก่ ศุ ลแก่สรรพสตั ว์ท่ัวแดนแหง่ ไตรภพ

ณ วัดปา่ อัมพโรปญั ญาวนาราม อ�ำเภอบ้านบึง จงั หวดั ชลบรุ ี
ในพระสังฆราชปู ถมั ภ์ สมเด็จพระอรยิ วงศาคตญาณ (อมพฺ รมหาเถร)

สมเด็จพระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปรณิ ายก
วันศุกร์ที่ ๒๔ พฤศจกิ ายน พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐
ตรงกบั วันข้ึน ๖ คำ�่ เดือน ๑ เชา้ ทำ� ภตั กิจเสร็จ เวลาประมาณ ๐๙.๐๐ น.

ตง้ั นะโม ๓ จบ พรอ้ มกัน

มหากศุ ลผลบญุ ทงั้ หมด ทปี่ วงขา้ ฯ ทง้ั หลาย ไดอ้ ตุ สา่ หบ์ ำ� เพญ็ เพยี รมาแลว้ ดว้ ยกาย
วาจา ใจ ได้สร้างพุทธสถานทรัพยากร วดั ป่าอัมพโรปัญญาวนาราม สรา้ งศาลาท่ีประชมุ
เจริญพระพทุ ธมงคล สรา้ งพุทธปฏิมากรพระประธาน พระนาคปรกไวบ้ นศาลา และสร้าง
พระปางนง่ั ขดั สมาธไิ วท้ พี่ พิ ธิ ภณั ฑ์ ไดน้ อ้ มบรรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตุ วตั ถมุ งคลมหามงคล
พร้อมด้วยสิ่งศักดิ์สิทธ์ิในสากลโลก สร้างถนนลาดยางเข้าถึงประตูวัด สร้างแหล่งน�้ำ
สรา้ งกำ� แพงรอบพน้ื ทวี่ ดั พรอ้ มดว้ ยสรา้ งเสนาสนะ นอ้ มถวายจตปุ จั จยั ไทยทานแกพ่ ระสงฆ์
มาจากทศิ ทง้ั สี่ สรา้ งคลงั พสั ดแุ ละโรงครวั สรา้ งอาคารพพิ ธิ ภณั ฑ์ สรา้ งหนงั สอื โอวาทธรรม
ของวสิ ทุ ธบิ คุ คล ถวายไวใ้ นบวรพทุ ธศาสนา พรอ้ มดว้ ยอานสิ งสร์ กั ษาศลี ๕ ทอดผา้ บงั สกุ ลุ
รวมมหากุศลผลบญุ ทั้งหมด และทไ่ี ดบ้ �ำเพ็ญมาแตป่ างกอ่ น อันเกดิ จากน้ำ� ใจใสศรัทธา
ของปวงขา้ ฯ ท้งั หลาย

ณ โอกาสน้ี ปวงขา้ ฯ ทง้ั หลาย ขอนอ้ มจติ แผอ่ ทุ ศิ ใหบ้ ดิ ามารดา ผมู้ พี ระคณุ หาประมาณ
มไิ ด้ พระอปุ ชั ฌายผ์ เู้ ลศิ คณุ พระอาจารยผ์ เู้ กอื้ หนนุ และพระมหากษตั รยิ าธริ าชเจา้ ผทู้ รงมี
พระคณุ แกแ่ ผน่ ดนิ ไทยทกุ พระองค์ ผทู้ รงพระคณุ อนั ประเสรฐิ พรอ้ มดว้ ยพระบรมวงศานวุ งศ์
ทล่ี ว่ งลบั ไปแลว้ ตลอดทา่ นผมู้ บี ญุ มพี ระคณุ ทงั้ หลาย จงไดร้ บั มหากศุ ลผลบญุ ของปวงขา้ ฯ
ทงั้ หลาย ทไี่ ดพ้ รอ้ มใจกนั อทุ ศิ ในกาลน้ี โดยเจตนาตง้ั ใจในวนั น้ี แผอ่ ทุ ศิ มหากศุ ลผลบญุ
ให้แก่สรรพสัตว์ และเปรตญาตทิ ัง้ หลาย นบั แต่บรรพบรุ ษุ ในสมัยโบราณกาล ตลอดมา
จนถงึ ปจั จบุ นั ณ วนั นี้ และดวงวญิ ญาณของเหลา่ นกั รบผพู้ ลชี พี เพอื่ ปกปอ้ งแผน่ ดนิ ไทย
รวมทง้ั ญาตมิ ติ รหรอื มใิ ชญ่ าตมิ ใิ ชม่ ติ ร และสตั วเ์ หลา่ อน่ื ทเ่ี ปน็ กลางๆ พรอ้ มทง้ั เทพทง้ั ปวง
ใน ๑๐ แดนโลกธาตุ จงได้รบั และอนุโมทนา ส่วนมหากุศลผลบุญ ที่ปวงข้าฯ ท้งั หลาย
ได้ทำ� การอทุ ิศใหใ้ นกาลครง้ั น้ี เพือ่ ประโยชนส์ ขุ ไมม่ ปี ระมาณ

อนง่ึ สตั วเ์ หลา่ ใดยงั ไมร่ บั รู้ สว่ นมหากศุ ลผลบญุ ของปวงขา้ ฯ ทง้ั หลายทำ� การอทุ ศิ ให้
ขอเชญิ เทพทงั้ ปวงทกุ ชนั้ ภมู ิ จงนำ� มหากศุ ลผลบญุ ไปแจง้ แกส่ รรพสตั วท์ ง้ั หลาย ใหไ้ ดร้ บั
และอนโุ มทนา ที่ปวงข้าฯ ทั้งหลายตัง้ ใจอุทศิ ให้ เมือ่ ตกทกุ ข์ขอใหพ้ น้ จากทุกข์ เม่ือมีสุข
ขอใหม้ ีสุขยิง่ ๆ ขึ้นไป ตราบกา้ วเข้าสู่แดนบรมสุขเกษมสำ� ราญ โดยทว่ั กันเทอญ...

สาธุ สาธุ สาธุ


Click to View FlipBook Version