รสอะไรก็ไมเ่ หมือน รสขา้ ว รสแกง รสสารพดั กไ็ ม่เทียบเท่ารสผู้หญิง หลงติด
เขา้ ไปแลว้ ถอนไดย้ าก เพราะมนั เปน็ กาม โผฏฐพั พะกเ็ ชน่ กนั จบั ตอ้ งอะไรกไ็ มท่ ำ� ให้
มนึ เมาป่ันปว่ นจนหัวชนกัน เหมือนกับจบั ตอ้ งผูห้ ญงิ
ฉะนนั้ เมอื่ ลกู ทา้ วพญาทไี่ ปเรยี นวชิ ากบั อาจารยต์ กั สลิ าจนจบแลว้ จะลาอาจารย์
กลบั บา้ น อาจารยจ์ ึงสอนวา่ เวทมนตรก์ ลมายาอะไรๆ ก็สอนให้บอกให้จนหมดแล้ว
เม่ือกลับไปครองบ้านครองเมืองแล้ว มีอะไรมาก็ไม่ต้องกลัว จะสู้ได้หมดท้ังนั้น
จะมสี ัตว์ประเภทใดมากไ็ ม่ตอ้ งกลวั ไมว่ ่าจะเปน็ สัตวม์ ีฟนั อยใู่ นปาก หรือมเี ขาอยู่
บนหวั มีงวง มงี า ก็คุ้มกันได้ท้งั สน้ิ แตไ่ มร่ ับรองอยแู่ ตเ่ ฉพาะสตั ว์จ�ำพวกหนง่ึ ท่เี ขา
ไมไ่ ดอ้ ยบู่ นหวั แตห่ ากไปอยหู่ นา้ อก สตั วช์ นดิ นไี้ มม่ มี นตช์ นดิ ใดจะคมุ้ กนั ได้ มแี ตจ่ ะ
ตอ้ งคมุ้ กนั ตวั เอง รจู้ กั ไหม สตั วท์ ม่ี เี ขาอยหู่ นา้ อกนน่ั แหละ ทา่ นจงึ ใหร้ กั ษาตวั เอาเอง
ธรรมารมณ์ทีเ่ กดิ ขนึ้ กบั ใจแล้ว ทำ� ใหอ้ ยากไดเ้ งนิ อยากไดท้ อง อยากไดส้ ่ิง
อยากได้ของ ธรรมารมณอ์ ย่างนน้ั ไม่พอใหล้ ม้ ตาย แต่ถา้ เป็นธรรมารมณ์ที่ชุ่มดว้ ย
น�้ำกามเกิดข้ึนแล้ว มันท�ำให้ลืมพ่อลืมแม่ แม้พ่อแม่เลี้ยงมา ก็หนีจากไปได้โดย
ไม่คำ� นงึ ถึง พอเกดิ ขึ้นแลว้ รั้งไมอ่ ยู่ สอนกไ็ ม่ฟัง
รปู หนงึ่ เสยี งหนงึ่ กลนิ่ หนงึ่ รสหนง่ึ โผฏฐพั พะหนงึ่ ธรรมารมณห์ นงึ่ เปน็ บว่ ง
เป็นบ่วงของพญามาร พญามารแปลว่าผู้ให้ร้ายต่อเรา บ่วงแปลว่าเคร่ืองผูกพัน
บว่ งของพญามารเปรยี บไดก้ บั แรว้ ของนายพราน นายพรานทเี่ ปน็ เจา้ ของแรว้ นน่ั แหละ
คือพญามาร เชอื กเป็นบว่ งเครอ่ื งผกู ของนายพราน
สตั วท์ ง้ั หลาย เมอื่ ไปตดิ บว่ งเขา้ แลว้ ลำ� บาก มนั ผกู ไวด้ งึ ไว้ รอจนเจา้ ของแรว้ มา
เหมอื นกบั นกไปติดแร้วเข้า แลว้ มนั รัดถกู คอ ดนิ้ ไปไหนก็ไม่หลดุ ด้ินปดั ไปปดั มา
อย่างน้ันแหละ มันผูกไว้คอยนายพรานเจ้าของแร้ว คร้ันเจ้าของมาเห็นก็จบเร่ือง
น่นั แหละพญามาร น่ากลวั มาก สัตวท์ ง้ั หลายกลัวมาก เพราะหนไี ปไหนไม่พ้น
บ่วงก็เช่นกัน รปู เสยี ง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์ เป็นบว่ งผูกเอาไว้
เมอื่ เราติดในรปู เสียง กลนิ่ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ กเ็ หมือนกนั กบั ปลากนิ เบด็
44
รอให้เจ้าของเบ็ดมา ดิ้นไปไหนก็ไม่หลุด อันที่จริงแล้ว มันย่ิงกว่าปลากินเบ็ด
ตอ้ งเปรียบไดก้ บั กบกนิ เบ็ด เพราะกบกนิ เบ็ดนัน้ มนั กนิ ลงไปถงึ ไส้ถึงพุง แตป่ ลา
กนิ เบ็ด กก็ นิ อย่แู คป่ าก
คนตดิ ในรูป ในเสยี ง ในกล่ิน ในรส ก็เหมอื นกัน แบบคนติดเหล้า ถ้าตบั ยงั
ไมแ่ ขง็ ไมเ่ ลิก ติดตอนแรกๆ กย็ ังไมร่ ้จู กั เรือ่ ง ก็หลงเพลิดเพลนิ ไปเรอื่ ยๆ จนเกดิ
โรคร้ายขนึ้ น่ันแหละ เปน็ ทกุ ข์
เหมอื นบรุ ษุ ผหู้ นง่ึ หวิ นำ้� จดั เพราะเดนิ ทางมาไกล มาขอกนิ นำ้� เจา้ ของนำ�้ กบ็ อกวา่
นำ�้ นจ้ี ะกนิ กไ็ ด้ สมี นั กด็ ี กลน่ิ มนั กด็ ี รสมนั กด็ ี แตว่ า่ กนิ เขา้ ไปแลว้ มนั เมานะ บอกใหร้ ู้
เสยี กอ่ น เมาจนตาย หรอื เจบ็ เจยี นตายนน่ั แหละ แตบ่ รุ ษุ ผหู้ วิ นำ�้ กไ็ มฟ่ งั เพราะหวิ มาก
เหมอื นคนไขห้ ลงั ผ่าตัดทถี่ ูกหมอบงั คับให้อดนำ้� กร็ ้องขอนำ้� กนิ
คนหิวในกามก็เหมอื นกัน หวิ ในรปู ในเสียง ในกล่นิ ในรส ลว้ นของเป็นพิษ
พระพุทธเจา้ ได้บอกไว้ว่า รูป เสยี ง กล่นิ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์น้ัน มันเปน็ พิษ
เปน็ บว่ ง กไ็ ม่ฟังกัน เหมอื นกับบุรุษหวิ น้ำ� ผู้นั้น ทีไ่ ม่ยอมฟงั ค�ำเตือน เพราะความหวิ
กระหายมนั มมี าก ถงึ จะตอ้ งทกุ ขย์ ากลำ� บากเพยี งใดกข็ อใหไ้ ดก้ นิ นำ้� เถอะ เมอ่ื ไดก้ นิ
ได้ด่มื แลว้ มนั จะเมาจนตายหรอื เจยี นตายกช็ ่างมนั จบั จอกนำ้� ได้กด็ ่มื เอาๆ เหมือน
กบั คนหวิ ในกาม ก็กินรูป กนิ เสียง กินกลนิ่ กินรส กนิ โผฏฐพั พะ กินธรรมารมณ์
รสู้ ึกอรอ่ ยมาก กก็ ินเอาๆ หยดุ ไมไ่ ด้ กินจนตาย ตายคากาม
อยา่ งนที้ ่านเรยี กวา่ ติดโลกียวสิ ัย ปญั ญาโลกยี ์กแ็ สวงหารูป เสียง กล่นิ รส
โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์ ถงึ ปัญญาจะดสี ักปานใด ก็ยงั เปน็ ปัญญาโลกียอ์ ยู่นนั่ เอง
สุขปานใดก็แค่สุขโลกีย์ มนั ไมส่ ุขเหมอื นโลกุตระ คือมนั ไม่พ้นโลก
การฝกึ ทางโลกตุ ระ คอื ทำ� ใหม้ นั หมดอปุ าทาน ปฏบิ ตั ใิ หห้ มดอปุ าทาน ใหพ้ จิ ารณา
รา่ งกายนแ่ี หละ พจิ ารณาซำ้� แลว้ ซำ�้ อกี ใหม้ นั เบอื่ ใหม้ นั หนา่ ย จนเกดิ นพิ พทิ า ซง่ึ เกดิ
ไดย้ าก มนั จงึ เป็นของยาก ถ้าเรายังไม่เห็นก็ยิ่งดมู ันยาก
45
เราทง้ั หลายพากันมาบวชเรียน เขียน อ่าน มาปฏบิ ัติภาวนา ก็พยายามตง้ั ใจ
ของตัวเอง แต่ก็ท�ำไดย้ าก ก�ำหนดขอ้ ประพฤตปิ ฏิบตั ิไวอ้ ย่างน้อี ย่างน้ันแลว้ กท็ ำ� ได้
เพยี งวนั หน่ึง สองวนั หรอื แคส่ องชัว่ โมง สามชว่ั โมง กล็ ืมเสียแลว้ พอระลึกขน้ึ ได้
กจ็ ับมนั ตง้ั ไวอ้ กี กไ็ ดเ้ พยี งชว่ั คราว พอรปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
ผ่านมา ก็พังไปเสยี อกี แลว้ พอนึกได้ ก็จับต้งั อีก ปฏิบตั ิอกี นี่ เรามกั เปน็ เสยี อยา่ งนี้
เพราะสรา้ งทำ� นบไวไ้ มด่ ี ปฏบิ ตั ไิ มท่ นั เปน็ ไมท่ นั เหน็ มนั กเ็ ปน็ อยอู่ ยา่ งนน้ั มนั จงึ เปน็
โลกตุ ระไมไ่ ด้ ถา้ เปน็ โลกตุ ระได้ มนั พน้ ไปจากสงิ่ ทงั้ หลายนแี้ ลว้ มนั กส็ งบเทา่ นน้ั เอง
ที่ไม่สงบทุกวันน้ีก็เพราะของเก่ามันมากวนอยู่ไม่หยุด มันตามมาพัวพันเพราะมัน
ตดิ ตัวเคยชนิ เสยี แล้ว จะแสวงหาทางออกทางไหน มันกค็ อยมาผกู ไวด้ ึงไว้ไม่ให้ลมื
ที่เก่าของมนั เราจงึ เอาของเก่ามาใช้ มาชม มาอยู่ มากินกนั อยูอ่ ย่างน้ัน
ผู้หญิงก็มีผู้ชายเป็นอุปสรรค ผู้ชายก็มีผู้หญิงเป็นอุปสรรค มันพอปานกัน
ถา้ ผู้ชายอยกู่ บั ผ้ชู ายด้วยกัน มันกไ็ มม่ อี ะไร หรือผู้หญิงอยู่กบั ผหู้ ญิงด้วยกนั มันก็
อย่างนนั้ แหละ แต่พอผ้ชู ายไปเห็นผู้หญงิ เขา้ หวั ใจมันเต้นตกิ๊ ตก๊ั ๆ ผู้หญิงเหน็ ผู้ชาย
เขา้ ก็เหมือนกัน หวั ใจกเ็ ตน้ ติก๊ ตั๊กๆ เพราะมนั ดงึ ดูดซึ่งกนั และกัน
นกี่ ็เพราะไมเ่ หน็ โทษของมัน หากไมเ่ หน็ โทษแลว้ ก็ละไม่ได้ ตอ้ งเหน็ โทษใน
กามและเหน็ ประโยชนใ์ นการละกามแลว้ จงึ จะทำ� ได้ หากปฏบิ ตั ยิ งั ไมพ่ น้ แตพ่ ยายาม
อดทนปฏิบัติต่อไป ก็เรียกว่า ท�ำได้ในเพียงระดับของศีลธรรม แต่ถ้าปฏิบัติได้
เหน็ ชดั แลว้ จะไมต่ อ้ งอดทนเลย ทม่ี นั ยากมนั ลำ� บาก กเ็ พราะยังไมเ่ ห็น
ในทางโลกนั้น สิ่งใดส่ิงหนึ่งที่เราท�ำไว้ ถ้าจวนเสร็จเรียบร้อย เราก็สบาย
ถา้ ยงั ไมเ่ สรจ็ กเ็ ปน็ หว่ งผกู พนั นค่ี อื โลกยี ์ มนั ผกู พนั ตามไปอยเู่ รอ่ื ย วา่ จะทำ� ใหห้ มดนนั้
มนั หมดไมเ่ ปน็ หรอก เหมอื นกนั กบั พอ่ คา้ พบใครกว็ า่ ถา้ หมดหนห้ี มดสนิ แลว้ จะบวช
เมอื่ ไรมนั จะหมดหนหี้ มดสนิ เมอื่ กไู้ มห่ ยดุ แลว้ จะหมดไดอ้ ยา่ งไร นแี่ หละปญั ญาโลกยี ์
การปฏิบัติของเรานี่ กใ็ หเ้ ฝ้าดูจติ ใจไว้ ขอ้ วตั รขอ้ ใดมนั หย่อน พอเห็นพอรสู้ ึก
ก็ให้ต้ังข้ึนใหม่ ถ้ามันหย่อนอีก ผู้มีสติก็ดึงข้ึนมา ท�ำอยู่อย่างนั้นแหละ เรียกว่า
ทำ� ไมร่ จู้ ักแลว้ เพราะว่ามนั เปน็ โลกีย์ มันจงึ ดึงไปดงึ มาอย่นู น่ั แหละ
46
การมาบวชนนั้ เปน็ ของยาก จะตอ้ งตง้ั อกตง้ั ใจ เป็นผูม้ ศี รทั ธา ปฏิบัติไปจน
มนั รู้ มันเหน็ ตามความเป็นจรงิ มนั จงึ จะเบอื่ เบื่อนน้ั ไม่ใชช่ ัง ต้องเบ่อื ทั้งรกั ทง้ั ชงั
เบื่อท้งั สุขทัง้ ทุกข์ คือเหน็ ทกุ อยา่ งไม่เป็นแกน่ สารน่ันเอง
ธรรมะของพระพทุ ธเจา้ นน้ั ซบั ซอ้ น ไมเ่ หน็ ไดโ้ ดยงา่ ย ถา้ ไมม่ ปี ญั ญาแลว้ เหน็ ไมไ่ ด้
เหมอื นเราไดไ้ มม้ าทอ่ นหนงึ่ เปน็ ไมท้ อ่ นใหญ่ แตค่ วามเปน็ จรงิ ไมท้ อ่ นนอ้ ยกแ็ ทรกอยู่
ในไมท้ อ่ นใหญน่ นั้ แหละ หรอื ไดไ้ มท้ อ่ นนอ้ ยมา ไมท้ อ่ นใหญม่ นั กแ็ ทรกอยใู่ นนนั้ ดว้ ย
โดยมากคนเราเหน็ ไม้ท่อนใหญ่ ก็เหน็ แตว่ า่ มนั ใหญ่ เพราะคิดว่านอ้ ยจะไมม่ ี
ไดไ้ มท้ อ่ นนอ้ ยกเ็ หน็ แตม่ นั นอ้ ย เพราะคดิ วา่ ใหญไ่ มม่ ี มนั ไมม่ องไปขา้ งหนา้ ไมม่ อง
ไปข้างหลัง เมอื่ สุขกน็ ึกวา่ จะมีแต่สขุ เมื่อทกุ ขก์ น็ ึกวา่ จะมแี ตท่ กุ ข์ ไมเ่ ห็นว่าทุกขอ์ ยู่
ทไ่ี หน สขุ กอ็ ยู่ทีน่ นั่ สุขอยทู่ ่ไี หน ทุกข์กอ็ ย่ทู ่นี น่ั ไมเ่ หน็ วา่ ใหญ่อยทู่ ี่ไหน นอ้ ยก็อยู่
ทน่ี ั่น น้อยอยูท่ ่ไี หน ใหญ่กอ็ ยทู่ น่ี ่ัน ให้คิดเห็นอยา่ งน้นั
คนเราไม่รู้จักคิดย้อนหน้าย้อนหลัง เห็นแต่หน้าเดียวไปเลยจึงไม่จบสักที
ทุกอย่างมันต้องเห็นสองหน้า มีความสุขเกิดข้ึนมา ก็อย่าลืมทุกข์ ทุกข์เกิดข้ึนมา
กอ็ ยา่ ลมื สขุ มันเก่ยี วเน่อื งซ่ึงกันและกนั เช่นวา่ อาหารนั้นเปน็ คณุ แกม่ นษุ ยแ์ กส่ ัตว์
ทง้ั หลาย เปน็ ประโยชนแ์ กร่ า่ งกาย อยา่ งนี้เปน็ ตน้ แต่ความเป็นจรงิ อาหารเป็นโทษ
กม็ ีเหมือนกนั มใิ ช่มันจะให้คุณแต่อย่างเดยี ว มันใหโ้ ทษด้วยก็มี เมือ่ ใดเราเหน็ คณุ
ก็ต้องเหน็ โทษของมนั ด้วย เหน็ โทษกต็ อ้ งเห็นคุณดว้ ย เมอื่ ใดมคี วามชงั กใ็ ห้นกึ ถงึ
ความรกั คิดไดอ้ ย่างน้จี ะทำ� ให้จติ ใจของเราไม่ซวนเซไปมา
ไดอ้ า่ นหนงั สอื ของเซนทพี่ วกเซนเขาแตง่ พวกเซนเปน็ พวกมงุ่ ปฏบิ ตั ิเขาไมใ่ คร่
สอนกันเป็นคำ� พดู นกั เป็นตน้ วา่ พระเซนรูปหน่ึงนงั่ หาวนอนขณะภาวนา อาจารย์
กถ็ ือไมม้ าฟาดเข้าทกี่ ลางหลงั ลกู ศษิ ย์ที่ถกู ตีก็พูดวา่ “ขอบคณุ ครบั ” เซนเขาสอนกนั
อย่างนนั้ สอนใหเ้ รยี นรู้ดว้ ยการกระท�ำ
วนั หน่ึงพระเซนนงั่ ประชมุ กนั ธงที่ปักอยู่ขา้ งนอกกโ็ บกปลิวอยู่ไปมา พระเซน
สององคก์ เ็ กดิ ปญั หาขน้ึ มา ทำ� ไมธงจงึ โบกปลวิ ไปมา องคห์ นง่ึ วา่ เพราะมลี ม อกี องค์
47
กว็ า่ เพราะมธี งตา่ งหาก ตา่ งกโ็ ตเ้ ถยี งโดยยดึ ความคดิ เหน็ ของตน อาจารยก์ เ็ ลยตดั สนิ วา่
มคี วามเห็นผดิ ดว้ ยกนั ท้ังคู่ เพราะความจริงแล้ว ธงกไ็ มม่ ี ลมกไ็ มม่ ี
นี่ ต้องปฏิบัติให้ไดอ้ ยา่ งนี้ อยา่ ใหม้ ลี ม อยา่ ใหม้ ีธง ถ้ามีธงกต็ ้องมลี ม ถ้ามีลม
กต็ อ้ งมีธง มนั กเ็ ลยจบกนั ไมไ่ ด้สกั ที นา่ เอาเร่อื งน้ีมาพิจารณา วางให้มนั ว่างจากลม
วา่ งจากธง ความเกิดไมม่ ี ความแกไ่ มม่ ี ความเจบ็ ตายไม่มี มนั วา่ ง ทเี่ ราเข้าใจวา่ ธง
เข้าใจว่าลมน้ัน มันเปน็ แตค่ วามร้สู กึ ที่สมมุตขิ ้นึ มาเทา่ นนั้ ความจรงิ มนั ไม่มี น่าจะ
เอาไปฝกึ ใจของเรา
ในความว่างนั้น มจั จุราชตามไม่ทัน ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
ตามไมท่ นั มนั หมดเรื่อง
ถา้ ไปเห็นวา่ มีธงอยู่ กต็ ้องมลี มมาพดั ถา้ มลี มอยู่ กต็ ้องไปพดั ธง มันไมจ่ บ
สกั ที เพราะความเหน็ ผดิ แตถ่ า้ เปน็ สมั มาทฏิ ฐคิ วามเหน็ ชอบแลว้ ลมกไ็ มม่ ี ธงกไ็ มม่ ี
ก็เลยหมด หมดเรา หมดเขา หมดความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
หมดทุกอย่าง
ถา้ เปน็ โลกยี วิสยั ก็สอนกนั ไม่จบ ไม่แล้วสักที เราฟงั ก็วา่ มนั ยาก เพราะมัน
เป็นปัญญาโลกีย์ หากเราพิจารณาได้ เราก็มีปัญญามาก พระพุทธเจ้าของเราก็
เหมือนกัน เม่อื ตอนทีท่ า่ นครองโลกอยู่ ทา่ นกม็ ีปญั ญาโลกีย์ ต่อเมอื่ ท่านมีปัญญา
มากเขา้ ทา่ นจงึ ดับโลกยี ไ์ ด้ เปน็ โลกุตระ เปน็ ผู้เลศิ ในโลก ไมม่ ใี ครเหมอื นทา่ น
ถ้าเราท�ำความคิดไว้ในใจให้ได้ดังน้ี เห็นรูปก็ว่ารูปไม่มี ได้ยินเสียงก็ว่าเสียง
ไมม่ ี ไดก้ ลน่ิ ก็วา่ กล่นิ ไม่มี ล้ิมรสกว็ า่ รสไม่มี มนั ก็หมด ทีเ่ ปน็ รูปน้นั กเ็ พยี งความ
รสู้ ึก ได้ยนิ เสียงก็สกั แต่ว่าความรู้สึก ทม่ี กี ล่นิ กส็ กั แตว่ า่ มีกลนิ่ เป็นเพยี งความร้สู ึก
รสก็เป็นแตเ่ พยี งความรสู้ ึก แล้วกห็ ายไป ตามความเป็นจริงก็ไมม่ ี
รปู เสยี ง กล่นิ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นีเ้ ป็นโลกยี ์ ถ้าเป็นโลกุตระแล้ว
รูปไม่มี เสียงไมม่ ี กลิ่นไมม่ ี รสไม่มี โผฏฐัพพะไม่มี ธรรมารมณไ์ มม่ ี เป็นแตค่ วาม
48
รูส้ ึกเกิดขน้ึ เทา่ น้ัน แล้วกห็ ายไป ไม่มอี ะไร เมอ่ื ไมม่ อี ะไร ตัวเราก็ไมม่ ี ตัวเขาก็ไมม่ ี
เมือ่ ตัวเราไมม่ ี ของเราก็ไม่มี ตัวเขาไมม่ ี ของเขากไ็ มม่ ี ความดับทกุ ขน์ ัน้ เป็นไปใน
ท�ำนองน้ี คือไม่มีใครจะไปรับเอาทุกข์ แล้วใครจะเป็นทุกข์ ไม่มีใครไปรับเอาสุข
แล้วใครจะเป็นสุข
นพ่ี อทกุ ขเ์ ขา้ กเ็ รยี กวา่ เราทกุ ข์ เพราะเราไปเปน็ เจา้ ของ มนั กท็ กุ ข์ สขุ เกดิ ขนึ้ มา
เราก็ไปเป็นเจ้าของสุข มันก็สุข ก็เลยยึดมั่นถือม่ัน อันน้ันแหละเป็นตัว เป็นตน
เปน็ เรา เปน็ เขา ขึน้ มาเดีย๋ วนั้น มันกเ็ ลยเปน็ เรื่องเป็นราวไปอกี ไม่จบ
การที่พวกเราท้ังหลายออกจากบ้านมาสู่ป่า ก็คือมาสงบอารมณ์ หนีออกมา
เพอ่ื สู้ ไมใ่ ชห่ นมี าเพอ่ื หนี ไมใ่ ชเ่ พราะแพเ้ ราจงึ มา คนทอี่ ยใู่ นปา่ แลว้ กไ็ ปตดิ ปา่ คนอยู่
ในเมืองแล้วกไ็ ปติดเมืองนน้ั เรียกว่า คนหลงป่า คนหลงเมือง
พระพุทธเจ้าท่านว่า ออกมาอยู่ป่าเพื่อกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวกต่างหาก
ไมใ่ ช่ให้มาติดปา่ มาเพอ่ื ฝกึ เพอ่ื เพาะปญั ญา มาเพาะใหเ้ ชอ้ื ปัญญามนั มีขน้ึ อยใู่ นท่ี
วุ่นวาย เชอ้ื ปญั ญามนั เกิดขน้ึ ยาก จึงมาเพาะอยู่ในป่าเท่านั้นเอง เพาะเพ่ือจะกลบั ไป
ต่อสูใ้ นเมือง
เราหนรี ปู หนีเสียง หนกี ลิน่ หนรี ส หนโี ผฏฐพั พะ หนธี รรมารมณ์มาอย่างน้ี
ไม่ใช่หนีเพ่ือจะแพ้ส่ิงทั้งหลายเหล่าน้ี หนีเพ่ือมาฝึก หรือมาเพาะให้ปัญญาเกิด
แลว้ จะกลับไปรบกับมนั จะกลับไปต่อสูก้ ับมนั ดว้ ยปัญญา
ไม่ใชเ่ ขา้ ไปอยู่ในปา่ แลว้ ไม่มรี ปู เสียง กลน่ิ รส แลว้ ก็สบาย ไม่ใชอ่ ยา่ งนนั้
แตต่ ้องการจะมาฝกึ เพาะเช้ือปัญญาใหเ้ กดิ ขนึ้ ในปา่ ในที่สงบ เมอ่ื สงบแล้ว ปัญญา
จะเกดิ
เมอ่ื ใครค่ รวญพจิ ารณาแลว้ กจ็ ะเหน็ วา่ รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณน์ น้ั
เป็นปฏปิ ักษต์ ่อเรากเ็ พราะเราโง่ เรายงั ไม่มปี ญั ญา แต่ความเปน็ จรงิ แล้ว สงิ่ เหล่าน้ี
คอื ครูสอนเราอย่างดี
49
เมอ่ื อยใู่ นปา่ แลว้ อยา่ ไปยดึ ปา่ อยา่ มอี ปุ าทานในปา่ เรามานเ้ี พอื่ มาทำ� ใหป้ ญั ญาเกดิ
ถา้ ยงั ไมม่ ปี ญั ญา กจ็ ะเหน็ วา่ รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณน์ น้ั เปน็ ปฏปิ กั ษ์
กบั เรา เปน็ ข้าศึกของเรา
ถา้ ปญั ญาเกดิ ขนึ้ แลว้ รปู เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณน์ นั้ ไมใ่ ชข่ า้ ศกึ
แต่เป็นสภาวะท่ีให้ความรู้ความเห็นแก่เราอย่างแจ้งชัด เม่ือสามารถกลับความเห็น
อยา่ งน้ี แสดงว่าปัญญาไดเ้ กิดขึ้นแล้ว
ยกตัวอย่างงา่ ยๆ อยา่ งไกป่ ่า เราก็รู้กันทกุ คนวา่ ไกป่ ่านน้ั เป็นอยา่ งไร สัตวใ์ น
โลกนที้ จ่ี ะกลวั มนษุ ยย์ ง่ิ ไปกวา่ ไกป่ า่ นน้ั ไมม่ แี ลว้ เมอ่ื มาอยใู่ นปา่ นคี้ รง้ั แรก กเ็ คยสอน
ไกป่ า่ เคยเฝา้ ดูมนั แล้วก็ได้ความรจู้ ากไกป่ ่าหลายอย่าง
ครัง้ แรกมนั มาเพยี งตัวเดียว เดินผ่านมา เราก็เดนิ จงกรมอยู่ในป่า มันจะเขา้
มาใกล้ กไ็ มม่ องมนั มนั จะทำ� อะไรกไ็ มม่ องมนั ไมท่ ำ� กริ ยิ าอนั ใดกระทบกระทงั่ มนั เลย
ตอ่ ไปก็ลองหยดุ มองดมู นั พอสายตาเราไปถูกมันเข้า มนั วง่ิ หนเี ลย แตพ่ อเราไม่มอง
มนั ก็คุ้ยเข่ยี อาหารกนิ ตามเรื่องของมัน แต่พอมองเมื่อไรก็วงิ่ หนีเมอื่ นั้น
นานเข้าสกั หน่อย มนั คงเหน็ ความสงบของเรา จติ ใจของมนั กเ็ ลยวา่ ง แต่พอ
หว่านข้าวให้เทา่ นนั้ ไก่มนั ก็หนีเลย กช็ า่ งมัน ก็หวา่ นทงิ้ ไวอ้ ยา่ งนนั้ แหละ เดย๋ี วมนั
ก็กลับมาท่ตี รงน้นั อีก แตย่ งั ไม่กล้ากนิ ข้าวทห่ี ว่านไวใ้ ห้ มันไม่รู้จกั นกึ ว่าเราจะไปฆ่า
ไปแกงมนั เรากไ็ มว่ ่าอะไร กนิ กช็ า่ ง ไมก่ ินกช็ า่ ง ไม่สนใจกบั มนั
ไมช่ า้ มนั กไ็ ปคยุ้ เขย่ี หากนิ ตรงนน้ั มนั คงเรม่ิ มคี วามรสู้ กึ ของมนั แลว้ วนั ตอ่ มา
มันก็มาตรงน้ันอีก มันก็ได้กินข้าวอีก พอข้าวหมดก็หว่านไว้ให้อีก มันก็วิ่งหนีอีก
แตเ่ มอ่ื ทำ� ซ�ำ้ อยอู่ ย่างนีเ้ ร่ือยๆ ตอนหลังมนั ก็เพยี งแต่เดินหนีไปไม่ไกล แล้วกก็ ลบั มา
กินขา้ วที่หวา่ นให้น้นั นกี่ ไ็ ดเ้ รื่องแลว้
ตอนแรก ไกม่ นั เหน็ ขา้ วสารเปน็ ขา้ ศกึ เพราะมนั ไมร่ จู้ กั เพราะมนั ดไู มช่ ดั มนั จงึ
ว่ิงหนเี ร่ือยไป ตอ่ มามนั เช่ืองเข้า จงึ กลับมาดูตามความเปน็ จรงิ ก็เห็นวา่ นขี่ ้าวสาร
50
นี่ไม่ใช่ข้าศึก ไม่มีอันตราย มันก็มากินจนตลอดทุกวันน้ี น่ีเรียกว่าเราก็ได้ความรู้
จากมนั
เราออกมาอยใู่ นปา่ กน็ ึกวา่ รปู เสยี ง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณใ์ นบา้ น
เปน็ ขา้ ศกึ ตอ่ เรา จรงิ อยู่ เมอื่ เรายงั ไมร่ ู้ มนั กเ็ ปน็ ขา้ ศกึ จรงิ ๆ แตถ่ า้ เรารตู้ ามความเปน็ จรงิ
ของมันแลว้ กเ็ หมอื นไกร่ จู้ ักขา้ วสารว่าเปน็ ขา้ วสาร ไมใ่ ช่ข้าศกึ ขา้ ศกึ ก็หายไป
เรากบั รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์ กเ็ หมอื นกนั ฉนั นนั้ มนั ไมใ่ ช่
ข้าศึกของเราหรอก แต่เพราะเราคิดผิด เห็นผิด พิจารณาผิด จึงว่ามันเป็นข้าศึก
ถา้ พิจารณาถกู แลว้ ก็ไม่ใชข่ ้าศึก แตก่ ลบั เป็นส่ิงท่ีให้ความรู้ ใหว้ ชิ า ใหค้ วามฉลาด
แก่เราต่างหาก
แต่ถ้าไม่รู้ก็คิดว่าเป็นข้าศึก เหมือนกันกับไก่ ที่เห็นข้าวสารเป็นข้าศึกมัน
นน่ั แหละ ถา้ เห็นข้าวสารเป็นข้าวสารแล้ว ข้าศกึ มนั กห็ ายไป พอเปน็ อยา่ งน้กี เ็ รียกว่า
ไกม่ ันเกดิ วปิ ัสสนาแล้ว เพราะมนั ร้ตู ามเป็นจรงิ มนั จึงเชอื่ ง ไม่กลัว ไมต่ นื่ เตน้
เรานกี้ เ็ หมือนกันฉันนั้น รปู เสียง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณน์ ี้เปน็
เครื่องให้เราตรัสรูธ้ รรมะ เป็นท่ีใหข้ ้อคดิ แก่ผ้ปู ฏบิ ัติทัง้ หลาย ถ้าเราเห็นชัดตามเป็น
จรงิ แลว้ ก็จะเป็นอยา่ งนนั้ ถ้าไม่เห็นชดั ก็จะเป็นขา้ ศึกต่อเราตลอดไป แลว้ เรากจ็ ะ
หนไี ปอยู่ปา่ เรือ่ ยๆ
อย่านึกว่า เรามาอยู่ป่าแล้ว ก็สบายแล้ว อย่าคิดอย่างน้ัน อย่าเอาอย่างน้ัน
อย่าเอาความสงบแค่น้ัน ว่าเราไมค่ อ่ ยไดเ้ ห็นรปู ไม่ได้ยนิ เสยี ง ไม่ไดก้ ลนิ่ ไม่ไดร้ ส
โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์แลว้ เรากอ็ ยูส่ บายแล้ว อยา่ คิดเพียงแคน่ ั้น ใหค้ ิดวา่ เรามา
เพื่อเพาะเช้ือปัญญาให้เกิดขึ้น เมื่อมีปัญญารู้ตามเป็นจริงแล้ว ก็ไม่ลุ่มๆ ดอนๆ
ไม่ตำ�่ ๆ สูงๆ
พอถูกอารมณ์ดีก็เป็นอย่างหนึ่ง ถูกอารมณ์ร้ายก็เป็นอย่างหน่ึง ถูกอารมณ์
ทช่ี อบใจกเ็ ปน็ อยา่ งหนงึ่ ถกู อารมณท์ ไี่ มช่ อบใจกเ็ ปน็ อยา่ งหนง่ึ ถา้ เปน็ อยา่ งนี้ กแ็ สดงวา่
51
มนั ยงั เป็นขา้ ศกึ อยู่ ถา้ หมดขา้ ศึกแล้ว มันจะเสมอกัน ไม่ลุม่ ๆ ดอนๆ ไมต่ �่ำๆ สงู ๆ
รู้เร่ืองของโลกว่า มันอย่างน้ันเอง เป็นโลกธรรม โลกธรรมเลยเปลี่ยนเป็นมรรค
โลกธรรมมแี ปดอยา่ ง มรรคกม็ แี ปดอยา่ ง โลกธรรมอยทู่ ไี่ หน มรรคกอ็ ยทู่ นี่ นั่ ถา้ รแู้ จง้
เมื่อใด โลกธรรมเลยกลายเป็นมรรคแปด ถา้ ยังไมร่ ู้ มันก็ยังเป็นโลกธรรม
เม่ือสมั มาทิฏฐเิ กดิ ข้ึน ก็เปน็ ดังนี้ มนั พน้ ทุกข์อยู่ทตี่ รงน้ี ไมใ่ ช่พน้ ทุกข์โดยวงิ่
ไปทต่ี รงไหน ฉะนั้น อยา่ พรวดพราด การภาวนาตอ้ งคอ่ ยๆ ท�ำ การทำ� ความสงบ
ต้องค่อยๆ ท�ำ มันจะสงบไปบ้างก็เอา มันจะไม่สงบไปบ้างก็เอา เรื่องจิตมันเป็น
อย่างน้นั เรากอ็ ยู่ของเราไปเรือ่ ยๆ
บางครงั้ ปัญญามนั กไ็ มเ่ กิด กเ็ คยเป็นเหมอื นกัน เม่ือไม่มีปญั ญา จะไปคดิ ให้
ปญั ญามนั เกิด มันก็ไมเ่ กดิ มันเฉยๆ อยู่อยา่ งนน้ั ก็เลยมาคดิ ใหม่ เราจะพจิ ารณา
สง่ิ ทไ่ี มม่ ี มนั กไ็ มไ่ ด้ เมอ่ื ไมม่ เี รอ่ื งอะไรกไ็ มต่ อ้ งไปแกม้ นั ไมม่ ปี ญั หากไ็ มต่ อ้ งไปแกม้ นั
ไม่ต้องไปค้นมัน อยู่ไปเฉยๆ ธรรมดาๆ อย่างนั้นแหละ แต่ต้องอยู่ด้วยความมี
สตสิ มั ปชญั ญะ อยดู่ ว้ ยปญั ญา ไมใ่ ชอ่ ยเู่ พลนิ ไปตามอารมณ์ อยดู่ ว้ ยความระมดั ระวงั
ปฏบิ ตั ิของเราไปเรือ่ ยๆ ถา้ มีเรื่องอะไรมา กพ็ จิ ารณา ถา้ ไม่มี ก็แลว้ ไป
ไดไ้ ปเห็นแมงมุมเป็นตวั อย่าง แมงมมุ ทำ� รงั ของมันเหมือนขา่ ย มันสานข่ายไป
ขึงไวต้ ามช่องต่างๆ เราไปน่งั พจิ ารณาดูมนั ท�ำข่ายขึงไวเ้ หมอื นจอหนงั เสร็จแลว้ มันก็
เกบ็ ตวั มนั เองเงยี บอยตู่ รงกลางขา่ ย ไมว่ ง่ิ ไปไหน พอมแี มลงวนั หรอื แมลงอนื่ ๆ บนิ ผา่ น
ขา่ ยของมนั พอถกู ขา่ ยเทา่ นน้ั ขา่ ยกส็ ะเทือน พอขา่ ยสะเทือนปบุ๊ มนั กว็ ง่ิ ออกจากรงั
ทันที ไปจับตัวแมลงไว้เป็นอาหาร เสร็จแล้วมันก็เก็บตัวมันไว้ท่ีกลางข่ายตามเดิม
ไม่ว่าจะมีผึ้งหรือแมลงอื่นใดมาถูกข่ายของมัน พอข่ายสะเทือน มันก็ว่ิงออกมาจับ
แมลงนั้น แล้วกก็ ลบั ไปเกาะน่งิ อยู่ที่ตรงกลางข่าย ไม่ให้ใครเห็นทุกทไี ป
พอไดเ้ หน็ แมงมมุ ทำ� อยา่ งนน้ั เรากม็ ปี ญั ญาแลว้ อายตนะทง้ั หก คอื ตา หู จมกู
ลิน้ กาย ใจ น้ี ใจอยตู่ รงกลาง ตา หู จมกู ลิ้น กาย แผพ่ งั พานออกไป อารมณน์ ้ัน
เหมอื นแมลงตา่ งๆ พอรปู มากม็ าถงึ ตา เสยี งมากม็ าถงึ หู กลนิ่ มากม็ าถงึ จมกู รสมากม็ า
ถงึ ลน้ิ โผฏฐพั พะมากม็ าถงึ กาย ใจเปน็ ผรู้ จู้ กั มนั กส็ ะเทอื นถงึ ใจ เทา่ นเี้ กดิ ปญั ญาแลว้
52
เราจะอยู่ด้วยการเก็บตัวไว้ เหมือนแมงมุมท่ีเก็บตัวไว้ในข่ายของมันไม่ต้อง
ไปไหน พอแมลงต่างๆ มันผา่ นข่าย กท็ ำ� ใหส้ ะเทือนถึงตวั รู้สกึ ได้ กอ็ อกไปจบั
แมลงไว้ แลว้ ก็กลับไปอยู่ทเ่ี ดิม
ไมแ่ ตกตา่ งอะไรกบั ใจของเราเลย อยตู่ รงน้ี ใหอ้ ยดู่ ว้ ยสตสิ มั ปชญั ญะ อยดู่ ว้ ย
ความระมดั ระวัง อยดู่ ้วยปัญญา อยู่ดว้ ยความคิดถกู ตอ้ ง เราอยู่ตรงนีเ้ มอ่ื ไมม่ ีอะไร
เรากอ็ ยเู่ ฉยๆ แตไ่ ม่ใช่อยูด่ ้วยความประมาท
ถงึ เราจะไมเ่ ดนิ จงกรม ไมน่ ง่ั สมาธิ ไมอ่ ะไรกช็ า่ งเถดิ แตเ่ ราอยดู่ ว้ ยสตสิ มั ปชญั ญะ
อยดู่ ว้ ยความระมดั ระวงั อยูด่ ว้ ยปัญญา ไมใ่ ช่อยดู่ ้วยความประมาท นเ่ี ปน็ ส่ิงส�ำคัญ
ไมใ่ ชเ่ ราจะนง่ั ตลอดวนั ตลอดคนื เอาแตพ่ อกำ� ลงั ของเรา ตามสมควรแกร่ า่ งกายของเรา
แต่เรอ่ื งจติ น้ี เปน็ ของส�ำคญั มาก ใหร้ ้อู ายตนะวา่ มนั สง่ ส่ายเขา้ มาเป็นอย่างไร
ใหร้ จู้ ักสง่ิ ท้งั หลายเหลา่ นี้เหมอื นแมงมมุ ที่พอข่ายสะเทอื น มนั กว็ งิ่ ไปจับเอาตวั แมลง
ได้ทันที
ฉะนั้น เมื่ออารมณ์มากระทบอายตนะ มันก็มาถงึ จิตทนั ที เม่ือไปจับผ่านทกุ ข์
กใ็ หเ้ หน็ มนั โดยความเปน็ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา แลว้ จะเอามนั ไปไวท้ ไี่ หนละ อนจิ จงั
ทุกขัง อนตั ตาเหล่าน้ี กเ็ อาไปไว้เปน็ อาหารของจิตของเรา ถา้ ทำ� ไดอ้ ย่างนี้ มนั กห็ มด
เท่านั้นแหละ
จิตที่มอี นจิ จัง ทุกขงั อนตั ตา เป็นอาหาร เปน็ จติ ทก่ี �ำหนดรู้ เมอ่ื ร้วู ่าอนั น้ันเป็น
อนจิ จงั มนั กไ็ มเ่ ทยี่ ง ทกุ ขงั เปน็ ทกุ ข์ อนตั ตากไ็ มใ่ ชเ่ ราแลว้ ดมู นั ใหช้ ดั มนั ไมเ่ ทย่ี ง
มนั เปน็ ทกุ ข์ มนั ไมเ่ ปน็ แกน่ สาร จะเอามนั ไปทำ� ไม มนั ไมใ่ ชต่ วั ไมใ่ ชต่ น ไมใ่ ชข่ องเรา
จะไปเอาอะไรกบั มนั มันก็หมดตรงน้ี
ดแู มงมมุ แลว้ กน็ อ้ มเขา้ มาหาจติ ของเรา มนั กเ็ หมอื นกนั เทา่ นนั้ ถา้ จติ เหน็ อนจิ จงั
ทุกขัง อนตั ตา มนั กว็ าง ไม่เปน็ เจา้ ของสุข ไมเ่ ป็นเจา้ ของทุกข์อีกแลว้ ถา้ เห็นชดั ได้
อยา่ งนี้ มนั กไ็ ดค้ วามเทา่ นน้ั แหละ จะทำ� อะไรๆ อยกู่ ส็ บาย ไมต่ อ้ งการอะไรอกี แลว้ มแี ต่
การภาวนาจะเจรญิ ยิ่งขน้ึ เท่าน้นั
53
ถา้ ทำ� อยา่ งนอ้ี ยดู่ ว้ ยความระมดั ระวงั กเ็ ปน็ การทเ่ี ราจะพน้ จากวฏั สงสารได้ ทเี่ รา
ยงั ไมพ่ น้ จากวฏั สงสาร กเ็ พราะยงั ปรารถนาอะไรๆ อยทู่ งั้ นนั้ การไมท่ ำ� ผดิ ไมท่ ำ� บาปนน้ั
มนั อยใู่ นระดบั ศลี ธรรม เวลาสวดมนตก์ ว็ า่ ขออยา่ ใหพ้ ลดั พรากจากของทรี่ กั ทชี่ อบใจ
อยา่ งนม้ี ันเปน็ ธรรมของเด็กนอ้ ย เป็นธรรมของคนที่ยงั ปลอ่ ยอะไรไม่ได้ นี่คอื ความ
ปรารถนาของคน ปรารถนาใหอ้ ายยุ นื ปรารถนาไมอ่ ยากตาย ปรารถนาไมอ่ ยากเปน็ โรค
ปรารถนาไมอ่ ยากอยา่ งน้นั อยา่ งน้ี น่ีแหละความปรารถนาของคน
ยมั ปจิ ฉงั นะ ละภะติ ตัมปิ ทกุ ขัง มีความปรารถนาสิง่ ใดไม่ไดส้ ิ่งนัน้ น่ันก็
เปน็ ทกุ ข์ นแ่ี หละมนั สบั หวั เขา้ ไปอกี มนั เปน็ เรอ่ื งปรารถนาทง้ั นนั้ ไมว่ า่ ใครกป็ รารถนา
อยา่ งน้ันทุกคน ไมเ่ หน็ มใี ครอยากหมด อยากจนจริงๆ สักคน
การปฏบิ ตั ธิ รรมเปน็ สงิ่ ละเอยี ด ผมู้ กี ริ ยิ านมุ่ นวล สำ� รวม ปฏบิ ตั ไิ มเ่ ปลยี่ นแปลง
สม�ำ่ เสมออยเู่ ร่อื ยนั่นแหละ จงึ จะรจู้ กั มนั จะเกิดอะไรก็ชา่ งมันเถิด ขอแต่ใหม้ ่ันคง
แน่วแน่เอาไว้ อยา่ ซวนเซหวน่ั ไหว.
54
๕
การฝึกใจ
ชีวิตคนในสมัยของท่านอาจารย์มั่นและท่านอาจารย์เสาร์นั้นสบายกว่าใน
สมยั น้มี าก ไม่มีความวุน่ วายมากเหมอื นอย่างทกุ วันนี้ สมยั โนน้ พระไมต่ อ้ งมายุ่ง
เกย่ี วกบั พธิ รี ตี องตา่ งๆ เหมอื นอยา่ งเดยี๋ วนี้ ทา่ นอาศยั อยตู่ ามปา่ ไมไ่ ดอ้ ยเู่ ปน็ ทห่ี รอก
ธดุ งค์ไปโน่น ธุดงคไ์ ปน่เี ร่อื ยไป ท่านใช้เวลาของท่านปฏบิ ัตภิ าวนาอยา่ งเต็มที่
สมัยโน้น พระทา่ นไมไ่ ดม้ ขี ้าวของฟุ่มเฟอื ยมากมายอยา่ งทมี่ กี ันทกุ วนั น้หี รอก
เพราะมนั ยังไม่มอี ะไรมากอย่างเดี๋ยวน้ี กระบอกนำ้� กท็ ำ� เอา กระโถนก็ทำ� เอา ทำ� เอา
จากไมไ้ ผ่นั่นแหละ
ชาวบ้านก็นานๆ จึงจะมาหาสักที ความจริงพระท่านก็ไม่ได้ต้องการอะไร
ทา่ นสนั โดษกบั สงิ่ ทท่ี า่ นมี ทา่ นอยไู่ ป ปฏบิ ตั ภิ าวนาไป หายใจเปน็ กรรมฐานอยนู่ นั่ แหละ
พระทา่ นกไ็ ดร้ บั ความลำ� บากมากอยเู่ หมอื นกนั ในการทอี่ ยตู่ ามปา่ ตามเขาอยา่ งนนั้
ถา้ องคใ์ ดเปน็ ไขป้ า่ ไขม้ าลาเรยี ไปถามหาขอยา อาจารยก์ จ็ ะบอกวา่ “ไมต่ อ้ งฉนั ยาหรอก
เรง่ ปฏิบัติภาวนาเขา้ เถอะ”
ความจริง สมัยน้ันก็ไม่มีหยูกยามากอย่างสมัยนี้ มีแต่สมุนไพรรากไม้ที่ขึ้น
อย่ตู ามปา่ พระต้องอยอู่ ย่างอดอยา่ งทนเหลอื หลาย ในสมยั นั้น เจ็บไข้เล็กๆ น้อยๆ
ท่านกป็ ล่อยมันไป เดย๋ี วนีส้ ิ เจ็บปว่ ยอะไรนิดหน่อยกว็ งิ่ ไปโรงพยาบาลแล้ว
บรรยายแก่ภกิ ษุชาวตะวนั ตก ท่มี าจากวดั บวรนเิ วศวหิ าร เมือ่ มีนาคม ๒๕๒๐
55
บางทกี ต็ อ้ งเดนิ บณิ ฑบาตตงั้ หา้ กโิ ล พอฟา้ สางกต็ อ้ งรบี ออกจากวดั แลว้ กวา่ จะ
กลบั กโ็ นน่ สบิ โมง สบิ เอด็ โมงโนน่ แลว้ กไ็ มใ่ ชบ่ ณิ ฑบาตไดอ้ ะไรมากมาย บางทกี ไ็ ด้
ขา้ วเหนยี วสกั กอ้ น เกลอื สกั หนอ่ ย พรกิ สกั นดิ เทา่ นน้ั เอง ไดอ้ ะไรมาฉนั กบั ขา้ วหรอื ไม่
ก็ช่าง ท่านไม่คิด เพราะมันเป็นอย่างนั้นเอง ไม่มีองค์ใดกล้าบ่นว่าหิวหรือเพลีย
ทา่ นไมบ่ ่น เฝ้าแต่ระมัดระวงั ตน
ท่านปฏบิ ตั อิ ยู่ในปา่ อยา่ งอดทน อนั ตรายกม็ ีรอบดา้ น สัตวด์ รุ ้ายก็มีอยหู่ ลาย
ในป่าน้ัน ความยากล�ำบากกายล�ำบากใจในการอยู่ธุดงค์ก็มีอยู่หลายแท้ๆ แต่ท่าน
ก็มคี วามอดความทนเปน็ เลศิ เพราะสิง่ แวดลอ้ มสมัยนั้นบังคับใหเ้ ป็นอย่างน้นั
มาสมยั นี้ สง่ิ แวดลอ้ มบงั คบั เราไปในทางตรงขา้ มกบั สมยั โนน้ ไปไหนเรากเ็ ดนิ ไป
ตอ่ มากน็ ง่ั เกวยี น แลว้ กน็ งั่ รถยนต์ แตค่ วามทะยานอยากมนั กเ็ พมิ่ ขน้ึ เรอื่ ยๆ เดยี๋ วนี้
ถ้าไมใ่ ชร่ ถปรับอากาศก็จะไมย่ อมน่งั ดจู ะไปเอาไมไ่ ด้เทยี วแหละ ถา้ รถนั้นไมป่ รบั
อากาศ คณุ ธรรมในเรอ่ื งความอดทนมนั คอ่ ยอ่อนลงๆ การปฏิบัติภาวนาก็ย่อหยอ่ น
ลงไปมากเด๋ียวนี้ เราจึงเห็นนักปฏิบัติภาวนาชอบท�ำตามความเห็น ความต้องการ
ของตัวเอง
เมื่อผู้เฒ่าผู้แก่พูดถึงเร่ืองเก่าๆ แต่คร้ังก่อน คนเด๋ียวน้ีฟังเหมือนว่าเป็น
นิทาน นยิ าย ฟังไปเฉยๆ แต่ไมเ่ ขา้ ใจเลยแหละ เพราะมนั เขา้ ไม่ถงึ พระภิกษทุ ี่บวช
ในสมยั ก่อนนั้น จะตอ้ งอย่กู บั พระอปุ ัชฌายอ์ ยา่ งนอ้ ยหา้ ปี นีเ่ ป็นระเบียบท่ถี อื กนั มา
และตอ้ งพยายามหลกี เลย่ี งการพดู คยุ อยา่ ปลอ่ ยตวั เทย่ี วพดู คยุ มากเกนิ ไป อยา่ อา่ น
หนังสือ แตใ่ หอ้ ่านใจของตัวเอง
ดวู ดั หนองปา่ พงเปน็ ตวั อยา่ ง ทกุ วนั นม้ี พี วกทจ่ี บจากมหาวทิ ยาลยั มาบวชกนั มาก
ตอ้ งคอยหา้ มไมใ่ หเ้ อาเวลาไปอา่ นหนงั สอื ธรรมะ เพราะคนพวกนชี้ อบอา่ นหนงั สอื แลว้
ก็ได้อ่านหนังสือมามากแล้ว แต่โอกาสท่ีจะอ่านใจของตัวเองน่ะหายากมาก ฉะน้ัน
ระหว่างที่มาบวชสามเดือนน้ี ก็ต้องขอให้ปิดหนังสือ ปิดต�ำรับต�ำราต่างๆ ให้หมด
ในระหว่างทบี่ วชนน้ี ะ่ เปน็ โอกาสวิเศษแลว้ ทจี่ ะได้อ่านใจของตัวเอง
56
การตามดใู จของตวั เองนี่ นา่ สนใจมาก ใจทย่ี งั ไมไ่ ดฝ้ กึ มนั กค็ อยวงิ่ ไปตามนสิ ยั
เคยชนิ ทยี่ งั ไมไ่ ดฝ้ กึ ไมไ่ ดอ้ บรม มนั เตน้ คกึ คกั ไปตามเรอ่ื งตามราวตามความคะนอง
เพราะมนั ยงั ไมเ่ คยถกู ฝกึ ดงั นนั้ จงฝกึ ใจของตวั เอง การปฏบิ ตั ภิ าวนาในทางพทุ ธศาสนา
กค็ ือการปฏิบตั ิเรือ่ งใจ ฝกึ จติ ฝึกใจของตวั ฝกึ อบรมจติ ของตวั เองนแ่ี หละ เร่อื งน้ี
ส�ำคัญมาก การฝึกใจเปน็ หลักสำ� คญั พุทธศาสนาเป็นศาสนาของใจ มนั มเี ทา่ นี้ ผทู้ ่ี
ฝกึ ปฏิบัติทางจติ คือผูป้ ฏิบัติธรรมในทางพทุ ธศาสนา
ใจของเรานี่มันอยู่ในกรง ย่ิงกว่านั้น มันยังมีเสือท่ีก�ำลังอาละวาดอยู่ใน
กรงนั้นด้วย ใจทม่ี นั เอาแต่ใจของเราน้ี ถ้าหากมันไม่ได้อะไรตามทมี่ ันตอ้ งการแลว้
มันก็อาละวาด เราจะต้องอบรมใจด้วยการปฏิบัติภาวนา ด้วยสมาธิ นี่แหละท่ีเรา
เรียกว่า “การฝึกใจ”
ในเบ้อื งตน้ ของการฝึกปฏิบตั ธิ รรม จะต้องมศี ีลเปน็ พน้ื ฐานหรือรากฐาน ศีลนี้
เปน็ สงิ่ อบรมกาย วาจา ซง่ึ บางทกี จ็ ะเกดิ การวนุ่ วายขนึ้ ในใจเหมอื นกนั เมอื่ เราพยายาม
จะบงั คบั ใจ ไมใ่ ห้ทำ� ตามความอยาก
กนิ นอ้ ย นอนนอ้ ย พดู น้อย นสิ ัยความเคยชนิ อยา่ งโลกๆ ลดมนั ลง อย่ายอม
ตามความอยาก อยา่ ยอมตามความคดิ ของตน หยดุ เป็นทาสมันเสยี พยายามตอ่ สู้
เอาชนะอวชิ ชาให้ได้ ด้วยการบังคับตวั เองเสมอ นเ่ี รยี กวา่ ศีล
เมอ่ื พยายามบงั คบั จติ ของตวั เองนนั้ จติ มนั กจ็ ะดนิ้ รนตอ่ สู้ มนั จะรสู้ กึ ถกู จำ� กดั
ถูกขม่ ข่ี เมือ่ มันไม่ไดท้ �ำตามที่มันอยาก มนั ก็จะกระวนกระวายดิ้นรน ทีนี้เหน็ ทกุ ข์
ชดั ละ
“ทกุ ข”์ เป็นขอ้ แรกของอริยสจั ๔ คนทง้ั หลายพากันเกลยี ดกลวั ทกุ ข์ อยาก
หนีทุกข์ ไมอ่ ยากให้มที ุกข์เลย ความจรงิ ทุกขน์ แ่ี หละจะทำ� ใหเ้ ราฉลาดข้นึ ล่ะ ทำ� ให้
เกดิ ปญั ญา ทำ� ให้เรารจู้ ักพจิ ารณาทุกข์ สุขน่ันซิ มันจะปิดหูปิดตาเรา มันจะทำ� ให้
ไม่รจู้ ักอด ไมร่ จู้ กั ทน ความสุขสบายทงั้ หลายจะทำ� ให้เราประมาท
57
กเิ ลสสองตวั นี้ ทุกขเ์ หน็ ได้ง่าย ดงั น้นั เราจงึ ต้องเอาทกุ ขน์ แ่ี หละมาพิจารณา
แลว้ พยายามท�ำความดับทุกข์ใหไ้ ด้ แต่กอ่ นที่จะปฏบิ ัติภาวนา กต็ ้องรู้จักเสียกอ่ นว่า
ทกุ ข์คืออะไร
ตอนแรก เราจะต้องฝึกใจของเราอย่างนี้ เราอาจยังไมเ่ ขา้ ใจวา่ มันเป็นอยา่ งไร
ทำ� ไป ทำ� ไปกอ่ น ฉะนนั้ เมอ่ื ครอู าจารยบ์ อกใหท้ ำ� อยา่ งใด กท็ ำ� ตามไปกอ่ น แลว้ กจ็ ะ
คอ่ ยมคี วามอดทนอดกลนั้ ขน้ึ เอง ไมว่ า่ จะเปน็ อยา่ งไร ใหอ้ ดทนอดกลน้ั ไวก้ อ่ น เพราะ
มันเป็นอย่างนั้นเอง อย่างเช่นเม่ือเริ่มฝึกน่ังสมาธิ เราก็ต้องการความสงบทีเดียว
แต่ก็จะไม่ได้ความสงบ เพราะมันยังไม่เคยท�ำสมาธิมาก่อน ใจก็บอกว่า “จะน่ัง
อยา่ งนแ้ี หละ จนกวา่ จะไดค้ วามสงบ”
แตพ่ อความสงบไมเ่ กดิ กเ็ ปน็ ทกุ ข์ กเ็ ลยลกุ ขนึ้ วงิ่ หนเี ลย การปฏบิ ตั อิ ยา่ งนไี้ มเ่ ปน็
“การพัฒนาจิต” แต่มันเป็น “การทอดทิ้งจิต” ไม่ควรจะปล่อยใจไปตามอารมณ์
ควรทีจ่ ะฝกึ ฝนอบรมตนเองตามค�ำส่ังสอนของพระพุทธเจ้า ข้ีเกียจกช็ ่าง ขยันกช็ ่าง
ใหป้ ฏบิ ตั มิ นั ไปเรอื่ ยๆ ลองคดิ ดซู ิ ทำ� อยา่ งนจ้ี ะไมด่ กี วา่ หรอื การปลอ่ ยใจตามอารมณน์ นั้
จะไมม่ ีวันถึงธรรมของพระพทุ ธเจา้
เมอ่ื เราปฏบิ ตั ิธรรม ไมว่ า่ อารมณ์ใดจะเกิดขนึ้ กช็ า่ งมนั แตใ่ ห้ปฏบิ ัตไิ ปเรอ่ื ยๆ
ปฏบิ ตั ใิ หส้ มำ่� เสมอ การตามใจตวั เองไมใ่ ชแ่ นวทางของพระพทุ ธเจา้ ถา้ เราปฏบิ ตั ธิ รรม
ตามความคดิ ความเหน็ ของเรา เราจะไมม่ วี นั รแู้ จง้ วา่ อนั ใดผดิ อนั ใดถกู จะไมม่ วี นั รจู้ กั
ใจของตวั เอง และไมม่ วี นั รจู้ กั ตวั เอง ดงั นน้ั ถา้ ปฏบิ ตั ธิ รรมตามแนวทางของตนเองแลว้
ย่อมเป็นการเสียเวลามากท่ีสุด แต่การปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้าแล้ว
ยอ่ มเปน็ หนทางตรงท่สี ุด
ขอใหจ้ ำ� ไว้วา่ ถงึ จะขี้เกียจกใ็ ห้พยายามปฏิบตั ิไป ขยนั ก็ให้ปฏิบัตไิ ป ทุกเวลา
และทุกหนทุกแห่ง นี่จึงจะเรียกว่า “การพัฒนาจิต” ถ้าหากปฏิบัติตามความคิด
ความเหน็ ของตนเองแล้ว ก็จะเกิดความคดิ ความสงสัยไปมากมาย มันจะพาให้คดิ
ไปวา่ “เราไม่มบี ุญ เราไมม่ ีวาสนา ปฏิบัตธิ รรมก็นานนักหนา แลว้ ยังไมร่ ู้ ยงั ไม่เหน็
58
ธรรมเลยสักที” การปฏิบัติธรรมอย่างน้ี ไม่เรียกว่าเป็น “การพัฒนาจิต” แต่เป็น
“การพฒั นาความหายนะของจิต”
ถา้ เมอื่ ใดทป่ี ฏบิ ตั ธิ รรมไป แลว้ มคี วามรสู้ กึ อยา่ งนว้ี า่ ยงั ไมร่ อู้ ะไร ยงั ไมเ่ หน็ อะไร
ยงั ไมม่ อี ะไรใหมๆ่ เกดิ ขน้ึ บา้ งเลย นกี่ เ็ พราะทปี่ ฏบิ ตั มิ ามนั ผดิ ไมไ่ ดป้ ฏบิ ตั ติ ามคำ� สอน
ของพระพทุ ธเจา้
พระพทุ ธเจา้ ทรงสอนวา่ “อานนท์ ปฏิบตั ิให้มาก ท�ำใหม้ าก แล้วจะส้นิ สงสัย”
ความสงสยั จะไมม่ ีวันสิ้นไปไดด้ ว้ ยการคิด ด้วยทฤษฎี ด้วยการคาดคะเนหรือด้วย
การถกเถยี งกนั หรอื จะอยเู่ ฉยๆ ไมป่ ฏบิ ตั ิภาวนาเลย ความสงสยั ก็หายไปไมไ่ ดอ้ กี
เหมอื นกนั กเิ ลสจะหายสนิ้ ไปไดก้ ด็ ว้ ยการพฒั นาทางจติ ซง่ึ จะเกดิ ไดก้ ด็ ว้ ยการปฏบิ ตั ิ
ทีถ่ ูกต้องเทา่ นัน้
การปฏบิ ตั ทิ างจติ ทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงสอนนนั้ ตรงกนั ขา้ มกบั หนทางของโลกอยา่ ง
สน้ิ เชงิ คำ� สง่ั สอนของพระองคม์ าจากพระทยั อนั บรสิ ทุ ธ์ิ ทไ่ี มข่ อ้ งเกยี่ วกบั กเิ ลสอาสวะ
ท้ังหลาย นี่คอื แนวทางของพระพุทธเจ้าและสาวกของพระองค์
เมอ่ื เราปฏบิ ตั ธิ รรม เราตอ้ งทำ� ใจของเราใหเ้ ปน็ ธรรม ไมใ่ ชเ่ อาธรรมะมาตามใจเรา
ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ ทุกข์ก็จะเกิดข้ึน แต่ไม่มีใครสักคนหรอกที่จะพ้นจากทุกข์ไปได้
พอเร่ิมปฏบิ ตั ิ ทกุ ขก์ ็อยู่ตรงนน้ั แลว้
หนา้ ทขี่ องผปู้ ฏบิ ตั นิ น้ั จะตอ้ งมสี ติ สำ� รวม และสนั โดษ สง่ิ เหลา่ นจ้ี ะทำ� ใหเ้ ราหยดุ
คอื เลกิ นสิ ยั ความเคยชนิ ทเี่ คยทำ� มาแตเ่ กา่ กอ่ น ทำ� ไมถงึ ตอ้ งทำ� อยา่ งนี้ ถา้ ไมท่ ำ� อยา่ งน้ี
ไมฝ่ กึ ฝนอบรมใจตนเองแล้ว มันก็จะคกึ คะนองวนุ่ วายไปตามธรรมชาตขิ องมัน
ธรรมชาตขิ องใจนม้ี นั ฝกึ กนั ได้ เอามาใชป้ ระโยชนไ์ ด้ เปรยี บไดก้ บั ตน้ ไมใ้ นปา่
ถา้ เราปลอ่ ยท้ิงไว้ตามธรรมชาตขิ องมัน เรากจ็ ะเอามันมาสรา้ งบ้านไม่ได้ จะเอามาทำ�
แผน่ กระดานกไ็ มไ่ ด้ หรอื ทำ� อะไรอยา่ งอนื่ ทจี่ ะใชส้ รา้ งบา้ นกไ็ มไ่ ด้ แตถ่ า้ ชา่ งไมผ้ า่ นมา
ต้องการไมไ้ ปสรา้ งบา้ น เขากจ็ ะมองหาตน้ ไมใ้ นปา่ นี้ และตดั ตน้ ไม้ในปา่ นี้เอาไปใช้
ประโยชน์ ไมช่ ้าเขาก็สร้างบ้านเสร็จเรียบร้อย
59
การปฏิบัติภาวนาและการพัฒนาจิตก็คล้ายกันอย่างน้ี ก็ต้องเอาใจท่ียังไม่ได้
ฝกึ เหมือนไม้ในป่านแ่ี หละ มาฝึกมนั จนมันละเอยี ดประณีตข้ึน ร้ขู นึ้ และว่องไวขนึ้
ทุกอย่างมันเปน็ ไปตามภาวะธรรมชาตขิ องมนั เมื่อเรารู้จักธรรมชาติ เขา้ ใจธรรมชาติ
เราก็เปลย่ี นมันได้ ท้ิงมนั ก็ได้ ปล่อยมนั ไปกไ็ ด้ แลว้ เรากจ็ ะไมท่ ุกขอ์ กี ต่อไป
ธรรมชาติของใจเรามนั ก็อย่างน้ัน เม่ือใดท่ีเกาะเกย่ี วผกู พัน ยึดมั่นถือมน่ั กจ็ ะ
เกดิ ความวนุ่ วายสบั สน เดย๋ี วมนั กจ็ ะวง่ิ วนุ่ ไปโนน่ ไปนี่ พอมนั วนุ่ วายสบั สนมากๆ เขา้
เรากค็ ดิ วา่ คงจะฝกึ อบรมมนั ไมไ่ ดแ้ ลว้ แลว้ กเ็ ปน็ ทกุ ข์ นกี่ เ็ พราะไมเ่ ขา้ ใจวา่ มนั ตอ้ ง
เป็นของมันอยา่ งน้ันเอง
ความคดิ ความรู้สึก มนั จะวิ่งไปวงิ่ มาอยอู่ ยา่ งน้ี แมเ้ ราจะพยายามฝึกปฏิบตั ิ
พยายามใหม้ นั สงบ มนั กเ็ ปน็ ของมนั อยอู่ ยา่ งนน้ั มนั จะเปน็ อยา่ งอน่ื ไปไมไ่ ด้ เมอ่ื เรา
ติดตามพจิ ารณาดูธรรมชาติของใจอยบู่ ่อยๆ ก็จะคอ่ ยๆ เขา้ ใจว่า ธรรมชาตขิ องใจ
มันเป็นของมนั อยอู่ ย่างนนั้ มนั จะเป็นอยา่ งอื่นไปไม่ได้
ถา้ เราเหน็ อนั นช้ี ดั เรากจ็ ะทง้ิ ความคดิ ความรสู้ กึ อยา่ งนนั้ ได้ ทนี ก้ี ไ็ มต่ อ้ งคดิ นนั่
คิดนอ่ี กี คอยแตบ่ อกตัวเองไวอ้ ย่างเดียววา่ “มันเป็นของมันอยา่ งนั้นเอง” พอเข้าใจ
ไดช้ ดั เหน็ แจง้ อยา่ งนแี้ ลว้ ทนี ก้ี จ็ ะปลอ่ ยอะไรๆ ไดท้ งั้ หมด กไ็ มใ่ ชว่ า่ ความคดิ ความ
รู้สกึ มันจะหายไป มนั ก็ยังอยู่น่ันแหละ แตม่ ันหมดอ�ำนาจเสียแล้ว
เปรยี บก็เหมอื นกบั เดก็ ที่ชอบซน เลน่ สนุก ทำ� ใหร้ �ำคาญจนเราต้องดุเอาตเี อา
แตเ่ รากต็ อ้ งเข้าใจวา่ ธรรมชาตขิ องเด็กกเ็ ป็นอย่างนั้นเอง พอรูอ้ ย่างน้ี เราก็ปลอ่ ย
ใหเ้ ด็กเล่นไปตามเรื่องของเขา ความเดอื ดร้อนรำ� คาญของเราก็หมดไป มนั หมดไป
ไดอ้ ยา่ งไร กเ็ พราะเรายอมรบั ธรรมชาตขิ องเดก็ ความรูส้ กึ ของเราเปล่ยี น และเรา
ยอมรับธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย เราปล่อยวาง จิตของเราก็มีความสงบเยือกเย็น
นเ่ี รามีความเข้าใจอันถกู ตอ้ งแล้ว เปน็ สัมมาทฏิ ฐิ
ถา้ ยังไม่มีความเขา้ ใจทีถ่ ูกต้อง ยงั เป็นมจิ ฉาทิฏฐอิ ยู่ แมจ้ ะไปอยูใ่ นถำ�้ ลึกมืด
สักเทา่ ใด ใจมนั กย็ งั ยุง่ เหยิงอยู่ หรือจะไปอยูบ่ นอากาศ สูงปานใด มนั กย็ ังยงุ่ เหยงิ
60
วนุ่ วายอยู่ ใจจะสงบไดก้ ด็ ว้ ยความเหน็ ทถี่ กู ตอ้ ง เปน็ สมั มาทฏิ ฐเิ ทา่ นนั้ ทนี ก้ี ห็ มดปญั หา
จะต้องแก้ เพราะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึน้
นมี่ นั เปน็ อยา่ งนี้ เราไมช่ อบมนั เราปลอ่ ยวางมนั เมอื่ ใดทม่ี คี วามรสู้ กึ เกาะเกยี่ ว
ยดึ มั่นถอื มนั่ เกิดขน้ึ เราปล่อยวางทนั ที เพราะรูแ้ ลว้ วา่ ความรู้สึกอยา่ งนน้ั มนั ไม่ได้
เกดิ ขนึ้ มาเพอื่ จะกวนเรา แมบ้ างทเี ราอาจจะคดิ อยา่ งนนั้ แตค่ วามเปน็ จรงิ ความรสู้ กึ นนั้
เป็นของมันอย่างนัน้ เอง
ถา้ เราปลอ่ ยวางมนั เสยี รปู กเ็ ปน็ สกั แตว่ า่ รปู เสยี งกส็ กั แตว่ า่ เสยี ง กลนิ่ กส็ กั แตว่ า่
กลนิ่ รสกส็ กั แตว่ า่ รส โผฏฐพั พะกส็ กั แตว่ า่ โผฏฐพั พะ ธรรมารมณก์ ส็ กั แตว่ า่ ธรรมารมณ์
เปรยี บเหมอื นนำ�้ มนั กบั นำ้� ทา่ ถา้ เราเอาทง้ั สองอยา่ งนเี้ ทใสข่ วดเดยี วกนั มนั กไ็ มป่ นกนั
เพราะธรรมชาติมันตา่ งกัน เหมอื นกับทค่ี นฉลาดก็ต่างกับคนโง่ พระพุทธเจ้ากท็ รง
อยู่กับรูป เสยี ง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ แต่พระองค์ทรงเป็นพระอรหันต์
พระองค์จงึ ทรงเหน็ ส่ิงเหล่านเี้ ปน็ เพยี งสงิ่ “สกั ว่า” เท่านัน้
พระองคท์ รงปล่อยวางมันไปเรื่อยๆ ต้ังแต่ทรงเข้าพระทยั แล้ววา่ ใจกส็ กั ว่าใจ
ความคิดก็สกั ว่าความคิด พระองค์ไมท่ รงเอามันมาปนกนั ใจก็สกั วา่ ใจ ความคิด
ความรสู้ ึกกส็ ักวา่ ความคดิ ความรสู้ กึ ปลอ่ ยใหม้ ันเป็นเพียงสิง่ “สกั ว่า” รูปกส็ ักวา่ รปู
เสียงกส็ ักวา่ เสยี ง ความคิดก็สักวา่ ความคิด จะตอ้ งไปยึดม่นั ถือม่นั ทำ� ไม ถ้าคดิ ได้
รสู้ กึ ได้อย่างนี้ เรากจ็ ะแยกมนั ได้ ความคดิ ความรสู้ ึก (อารมณ์) อยู่ทางหน่งึ ใจก็
อย่อู กี ทางหนึ่ง เหมอื นกบั น�้ำมนั กบั น้ำ� ท่า อยู่ในขวดเดยี วกันแต่มันแยกกันอยู่
พระพุทธเจา้ และพระอรหนั ตสาวกของพระองค์ ก็อยู่รว่ มกับปุถุชนคนธรรมดา
ท่ไี มไ่ ดร้ ธู้ รรม ท่านไม่ไดเ้ พยี งอยรู่ ่วมเท่านั้น แตท่ ่านยังสอนคนเหลา่ นัน้ ทง้ั คนฉลาด
คนโง่ ใหร้ จู้ กั วธิ ที จี่ ะศกึ ษาธรรม ปฏบิ ตั ธิ รรม และรแู้ จง้ ในธรรม ทา่ นสอนได้ เพราะ
ทา่ นไดป้ ฏบิ ตั มิ าเอง ทา่ นรวู้ า่ มนั เปน็ เรอ่ื งของใจเทา่ นนั้ เหมอื นอยา่ งทไ่ี ดพ้ ดู มานแ่ี หละ
ดังน้นั การปฏบิ ตั ิภาวนานี้ อย่าไปสงสยั มนั เลย เราหนจี ากบ้านมาบวชไมใ่ ช่
เพ่อื หนมี าอย่กู บั ความหลง หรืออยู่กับความขลาดความกลวั แตห่ นมี าเพอื่ ฝกึ อบรม
61
ตวั เอง เพือ่ เป็นนายตวั เอง ชนะตัวเอง ถา้ เราเขา้ ใจไดอ้ ย่างนี้ เรากจ็ ะปฏบิ ตั ธิ รรมได้
ธรรมะจะแจม่ ชดั ข้นึ ในใจของเรา
ผทู้ เ่ี ขา้ ใจธรรมะกเ็ ข้าใจตวั เอง ใครเขา้ ใจตัวเองกเ็ ขา้ ใจธรรมะ ทกุ วันนีก้ ็เหลอื
แตเ่ ปลอื กของธรรมะเท่านั้น ความเปน็ จริงแลว้ ธรรมะมอี ยทู่ กุ หนทุกแหง่ ไมจ่ �ำเป็น
ที่จะต้องหนีไปไหน ถ้าจะหนีก็ให้หนีด้วยความฉลาด ด้วยปัญญา หนีด้วยความ
ช�ำนิช�ำนาญ อยา่ หนดี ้วยความโง่ ถ้าเราต้องการความสงบ กใ็ ห้สงบดว้ ยความฉลาด
ดว้ ยปัญญา เท่าน้นั กพ็ อ
เมื่อใดท่เี ราเห็นธรรมะ นน่ั ก็เปน็ สัมมาปฏิปทาแลว้ กิเลสกส็ กั แต่วา่ กเิ ลส ใจก็
สักแตว่ า่ ใจ เมื่อใดท่เี ราทงิ้ ได้ ปลอ่ ยวางได้ แยกได้ เม่ือน้นั มนั กเ็ ปน็ เพียงสิง่ สกั วา่
เป็นเพียงอย่างนี้อย่างน้ันส�ำหรับเราเท่าน้ันเอง เม่ือเราเห็นถูกแล้ว ก็จะมีแต่ความ
ปลอดโปร่ง ความเป็นอิสระตลอดเวลา
พระพุทธองคต์ รสั ว่า “ดูกอ่ นภิกษุทัง้ หลาย ท่านอย่ายึดมั่นในธรรม” ธรรมะ
คอื อะไร คอื ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ ง ไมม่ อี ะไรทไ่ี มใ่ ชธ่ รรมะ ความรกั ความเกลยี ดกเ็ ปน็ ธรรมะ
ความสขุ ความทุกขก์ เ็ ป็นธรรมะ ความชอบความไมช่ อบกเ็ ป็นธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นส่ิง
เลก็ น้อยแค่ไหน ก็เปน็ ธรรมะ
เมอ่ื เราปฏิบตั ิธรรม เราเขา้ ใจอนั น้ี เราก็ปลอ่ ยวางได้ ดังนนั้ ก็ตรงกับคำ� สอน
ของพระพุทธเจ้าท่ีว่า ไมใ่ หย้ ดึ มนั่ ถือม่ันในสงิ่ ใด
ทกุ อยา่ งทเี่ กดิ ขน้ึ ในใจเรา ในจติ เรา ในรา่ งกายของเรา มแี ตค่ วามแปรเปลยี่ นไป
ทัง้ นั้น พระพทุ ธองคจ์ งึ ทรงสอนไมใ่ หย้ ึดม่นั ถอื ม่นั พระองค์ทรงสอนพระสาวกของ
พระองคใ์ ห้ปฏบิ ตั เิ พื่อละ เพือ่ ถอน ไมใ่ ห้ปฏบิ ัตเิ พอ่ื สะสม
ถา้ เราท�ำตามคำ� สอนของพระองค์ เรากถ็ ูกเทา่ นั้นแหละ เราอยูใ่ นทางท่ีถูกแลว้
แต่บางทกี ็ยงั มีความวุน่ วายเหมอื นกนั ไม่ใชค่ ำ� สอนของพระองค์ท�ำให้ว่นุ วาย กิเลส
ของเรานนั่ แหละทม่ี นั ทำ� ใหว้ นุ่ วาย มนั มาบงั คบั ความเขา้ ใจอนั ถกู ตอ้ งเสยี กเ็ ลยทำ� ให้
เราวุ่นวาย
62
ความจรงิ การปฏบิ ตั ติ ามคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ นนั้ ไมม่ อี ะไรลำ� บาก ไมม่ อี ะไร
ยงุ่ ยาก การปฏบิ ตั ติ ามทางของพระองคไ์ มม่ ที กุ ข์ เพราะทางของพระองคค์ อื “ปลอ่ ยวาง”
ให้หมดทกุ ส่ิงทกุ อยา่ ง
จดุ หมายสงู สดุ ของการปฏบิ ตั ภิ าวนานนั้ ทา่ นทรงสอนให้ “ปลอ่ ยวาง” อยา่ แบก
ถอื อะไรให้มันหนกั ทิ้งมนั เสีย ความดกี ท็ ิ้ง ความถูกตอ้ งกท็ ง้ิ
ค�ำวา่ “ทงิ้ ” หรือ “ปล่อยวาง” ไมใ่ ชไ่ ม่ตอ้ งปฏบิ ตั ิ แตห่ มายความวา่ ให้ปฏิบตั ิ
“การละ” “การปลอ่ ยวาง” นน่ั แหละ
พระองค์ทรงสอนให้พิจารณาธรรมท้ังหลาย ที่กายที่ใจของเรา ธรรมะไม่ได้
อยู่ไกลที่ไหน อยู่ท่ตี รงน้ี อย่ทู ีก่ ายทใ่ี จของเรานี่แหละ
ดังนั้น นักปฏบิ ัติตอ้ งปฏิบตั อิ ยา่ งเข้มแขง็ เอาจรงิ เอาจัง ให้ใจมันผอ่ งใสขึ้น
สวา่ งข้นึ ให้มันเปน็ ใจอิสระ
ท�ำความดอี ะไรแลว้ ก็ปล่อยมันไป อยา่ ไปยดึ ไว้ หรืองดเว้นการท�ำชว่ั ได้แลว้
กป็ ลอ่ ยมนั ไป พระพทุ ธเจา้ ทรงสอนใหอ้ ยกู่ บั ปจั จบุ นั นี้ ทนี่ แ่ี ละเดย๋ี วนไี้ มใ่ ชอ่ ยกู่ บั อดตี
หรืออนาคต
คำ� สอนทเี่ ขา้ ใจผดิ กนั มาก แลว้ กถ็ กเถยี งกนั มากทสี่ ดุ ตามความคดิ เหน็ ของตน
กค็ ือเร่อื ง “การปลอ่ ยวาง” หรือ “การท�ำงานด้วยจติ ว่าง” นแ่ี หละ การพูดอย่างนี้
เรยี กวา่ พดู “ภาษาธรรม” เมอื่ เอามาคดิ เปน็ ภาษาโลก มนั กเ็ ลยยงุ่ แลว้ กต็ คี วามหมายวา่
ถา้ อย่างน้นั ทำ� อะไรก็ได้ตามใจชอบละซิ
ความจรงิ มนั หมายความอยา่ งนี้ อปุ มาเหมอื นวา่ เราแบกกอ้ นหนิ หนกั อยกู่ อ้ นหนงึ่
แบกไปกร็ สู้ กึ หนกั แตก่ ไ็ มร่ จู้ ะทำ� อยา่ งไรกบั มนั กไ็ ดแ้ ตแ่ บกอยอู่ ยา่ งนนั้ แหละ พอมี
ใครบอกว่า ให้โยนมันทิ้งเสียซิ ก็มาคิดอีกแหละว่า “เอ ถ้าเราโยนมันทิ้งไปแล้ว
เราก็ไม่มีอะไรเหลือนะ่ ซ”ิ กเ็ ลยแบกอย่นู ั่นแหละ ไมย่ อมท้ิง
63
ถึงจะมีใครบอกว่า โยนทิ้งไปเถอะ แล้วจะดีอย่างน้ัน เป็นประโยชน์อย่างน้ี
เรากย็ งั ไมย่ อมโยนทง้ิ อยนู่ นั่ แหละ เพราะกลวั แตว่ า่ จะไมม่ อี ะไรเหลอื กเ็ ลยแบกกอ้ นหนิ
หนักไว้ จนเหนอ่ื ยอ่อนเพลยี เตม็ ที จนแบกไมไ่ หวแล้ว ก็เลยปลอ่ ยมนั ตกลง
ตอนทปี่ ล่อยมนั ตกลงน่แี หละ กจ็ ะเกดิ ความรเู้ รอื่ ง “การปลอ่ ยวาง” ขนึ้ มาเลย
เราจะรู้สึกเบาสบาย แล้วก็รู้ได้ด้วยตัวเองว่า การแบกก้อนหินน้ันมันหนักเพียงใด
แตต่ อนที่เราแบกอย่นู น้ั เราไม่รหู้ รอกวา่ “การปล่อยวาง” มนั มีประโยชนเ์ พียงใด
ดงั น้ัน ถา้ มีใครมาบอกให้ปล่อยวาง คนทย่ี งั มดื อยกู่ ไ็ มร่ ู้ ไมเ่ ข้าใจหรอก กจ็ ะ
หลับหูหลับตาแบกก้อนหินก้อนนั้นอย่างไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งมันหนักจนเหลือ
ทจ่ี ะทนนน่ั แหละ ถงึ จะยอมปลอ่ ย แลว้ กจ็ ะรสู้ กึ ไดด้ ว้ ยตวั เองวา่ มนั เบามนั สบายแคไ่ หน
ท่ีปล่อยมันไปได้
ตอ่ มาเราอาจจะไปแบกอะไรอกี กไ็ ด้ แตต่ อนนเี้ ราพอรแู้ ลว้ วา่ ผลของการแบกนนั้
เปน็ อยา่ งไร เรากจ็ ะปลอ่ ยวางมนั ไดโ้ ดยงา่ ยขน้ึ ความเขา้ ใจในความไรป้ ระโยชนข์ อง
การแบกหาม และความเบาสบายของการปล่อยวางน่ีแหละ คือตัวอย่างที่แสดงถึง
การรู้จักตัวเอง
ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในตวั ของเรา กเ็ หมอื นกอ้ นหนิ หนกั กอ้ นนนั้ พอคดิ วา่ จะปลอ่ ย
“ตวั เรา” กเ็ กดิ ความกลวั วา่ ปลอ่ ยไปแลว้ กจ็ ะไมม่ อี ะไรเหลอื เหมอื นกบั ทไ่ี มย่ อมปลอ่ ย
กอ้ นหนิ ก้อนน้ัน แตใ่ นท่ีสดุ เมือ่ ปลอ่ ยมนั ไปได้ เราก็จะรู้สกึ เองถึงความเบาสบาย
ในการท่ีไมไ่ ดย้ ึดม่นั ถือม่ัน
ในการฝกึ ใจนี้ เราตอ้ งไมย่ ดึ มนั่ ทงั้ สรรเสรญิ ทงั้ นนิ ทา ความตอ้ งการแตส่ รรเสรญิ
และไมต่ ้องการนนิ ทานั้น เป็นวถิ ที างของโลก แตแ่ นวทางของพระพทุ ธเจ้าน้นั ใหร้ บั
สรรเสริญตามเหตุตามปัจจัยของมัน และก็ให้รับนินทาตามเหตุตามปัจจัยของมัน
เหมอื นกัน
เหมอื นอยา่ งกบั การเลยี้ งเดก็ บางทถี า้ เราไมด่ เุ ดก็ ตลอดเวลา มนั กด็ เี หมอื นกนั
ผใู้ หญ่บางคนดุมากเกินไป ผ้ใู หญ่ที่ฉลาดย่อมรู้จกั วา่ เม่อื ใดควรดุ เมือ่ ใดควรชม
64
ใจของเรากเ็ หมอื นกนั ใชป้ ญั ญาเรยี นรจู้ กั ใจ ใชค้ วามฉลาดรกั ษาใจไว้ แลว้ เรา
กจ็ ะเปน็ คนฉลาดทร่ี จู้ กั ฝกึ ใจ เมอ่ื ฝกึ บอ่ ยๆ มนั กจ็ ะสามารถกำ� จดั ทกุ ขไ์ ด้ ความทกุ ข์
เกิดขน้ึ ที่ใจนเ่ี อง มนั ทำ� ใหใ้ จสบั สน มืดมวั มันเกิดขนึ้ ทนี่ ี่ มนั ก็ตายที่น่ี
เรอ่ื งของใจมนั เปน็ อยา่ งนี้ บางทกี ค็ ดิ ดี บางทกี ค็ ดิ ชว่ั ใจมนั หลอกลวง เปน็ มายา
จงอยา่ ไวใ้ จมนั แตจ่ งมองเขา้ ไปทใ่ี จ มองใหเ้ หน็ ความเปน็ อยอู่ ยา่ งนนั้ ของมนั ยอมรบั
มนั ทงั้ นนั้ ทงั้ ใจดใี จชวั่ เพราะมนั เปน็ ของมนั อยา่ งนน้ั ถา้ เราไมไ่ ปยดึ ถอื มนั มนั กเ็ ปน็
ของมันอยูแ่ คน่ ั้น แตถ่ า้ เราไปยดึ มนั เข้า เราก็จะถูกมันกดั เอา แลว้ เราก็เปน็ ทุกข์
ถา้ ใจเป็นสัมมาทฏิ ฐิแลว้ กจ็ ะมีแตค่ วามสงบ จะเปน็ สมาธิ จะมคี วามฉลาด
ไม่ว่าจะน่ังหรือจะนอน ก็จะมีแต่ความสงบ ไม่ว่าจะไปไหน ท�ำอะไร ก็จะมีแต่
ความสงบ
วนั นี้ ทา่ น (ภกิ ษชุ าวตะวนั ตก) ไดพ้ าลกู ศษิ ยม์ าฟงั ธรรม ทา่ นอาจจะเขา้ ใจบา้ ง
ไมเ่ ข้าใจบ้าง ผมไดพ้ ดู เรือ่ งการปฏบิ ัตเิ พอ่ื ให้ทา่ นเขา้ ใจไดง้ า่ ย ทา่ นจะคิดวา่ ถกู หรือ
ไมก่ ต็ าม กข็ อใหท้ ่านลองน�ำไปพจิ ารณาดู
ผมในฐานะอาจารยอ์ งคห์ นึง่ ก็อยู่ในฐานะคลา้ ยๆ กัน ผมเองก็อยากฟงั ธรรม
เหมือนกัน เพราะไม่ว่าผมจะไปท่ีไหน ก็ต้องไปแสดงธรรมให้ผู้อ่ืนฟัง แต่ตัวเอง
ไมไ่ ดม้ โี อกาสฟงั เลย คราวนกี้ ด็ ทู า่ นพอใจในการฟงั ธรรมอยู่ เวลาผา่ นไปเรว็ เมอ่ื ทา่ น
นง่ั ฟงั อย่างเงียบๆ เพราะทา่ นกำ� ลังกระหายธรรมะ ท่านจึงตอ้ งการฟัง
เม่ือก่อนนี้ การแสดงธรรมก็เป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่ง แต่ต่อมาความ
เพลิดเพลินก็ค่อยหายไป รูส้ ึกเหน่อื ยและเบือ่ กก็ ลับอยากเป็นผู้ฟังบา้ ง เพราะเม่อื
ฟงั ธรรมจากครอู าจารย์น้ัน มันเขา้ ใจงา่ ยและมกี �ำลังใจ แตเ่ มอ่ื เราแกข่ นึ้ มีความหวิ
กระหายในธรรมะ รสชาตขิ องมันกย็ ่งิ เอร็ดอรอ่ ยมากข้นึ
การเปน็ ครอู าจารยข์ องผอู้ น่ื นนั้ จะตอ้ งเปน็ ตวั อยา่ งแกพ่ ระภกิ ษอุ นื่ ๆ เปน็ ตวั อยา่ ง
แก่ลูกศิษย์ เป็นตัวอย่างแก่ทุกคน ฉะน้ัน อย่าลืมตนเองแล้วก็อย่าคิดถึงตนเอง
ถา้ ความคดิ อยา่ งนัน้ เกิดขึ้น รบี ก�ำจดั มันเสยี ถ้าท�ำได้อยา่ งน้กี จ็ ะเปน็ ผ้ทู รี่ จู้ ักตัวเอง
65
วธิ ปี ฏบิ ตั ธิ รรมมมี ากมายเปน็ ลา้ นๆ วธิ ี พดู เรอื่ งการภาวนาไมม่ ที จี่ บ สง่ิ ทจี่ ะทำ�
ใหเ้ กดิ ความสงสยั มมี ากมายหลายอยา่ ง แตใ่ หก้ วาดมนั ออกไปเรอ่ื ยๆ แลว้ จะไมเ่ หลอื
ความสงสัย
เม่อื เรามีความเข้าใจถกู ตอ้ งเช่นนี้ ไม่วา่ จะนั่งหรอื จะเดิน กจ็ ะมีแต่ความสงบ
ความสบาย ไม่ว่าจะปฏิบัติภาวนาที่ไหน ให้มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม อย่าถือว่า
จะปฏบิ ตั ภิ าวนาแตเ่ ฉพาะขณะนั่งหรือเดนิ เทา่ น้ัน ทุกสิ่งทกุ อย่าง ทกุ หนทุกแห่งเปน็
การปฏบิ ัตไิ ด้ทัง้ นน้ั
ใหร้ สู้ กึ ตวั ทวั่ พรอ้ มอยตู่ ลอดเวลา ใหม้ สี ตอิ ยู่ ใหเ้ หน็ การเกดิ ดบั ของกายและใจ
แตอ่ ย่าใหม้ ันมาทำ� ใจใหว้ นุ่ วาย ใหป้ ล่อยวางมันไป ความรักเกิดขึ้น ก็ปล่อยมนั ไป
มนั มาจากไหน ก็ใหม้ ันกลบั ไปทน่ี น่ั ความโลภเกิดขึ้น ก็ปลอ่ ยมันไป ตามมนั ไป
ตามดวู า่ มนั อยทู่ ีไ่ หน แล้วตามไปส่งมนั ให้ถึงที่ อย่าเกบ็ มันไวส้ ักอยา่ ง
ถ้าท่านปฏิบตั ิได้อย่างนี้ ทา่ นกจ็ ะเหมอื นกบั บ้านวา่ งหรอื พูดอกี อย่างหนึง่ กค็ อื
นีค่ ือใจวา่ ง เป็นใจทีว่ ่างและอิสระจากกเิ ลสความชวั่ ทงั้ หลาย เราเรียกวา่ “ใจว่าง”
แตไ่ มใ่ ชว่ า่ งเหมอื นวา่ ไมม่ อี ะไร มนั วา่ งจากกเิ ลส แตเ่ ตม็ ไปดว้ ยความฉลาด ดว้ ยปญั ญา
ฉะนน้ั ไม่วา่ จะท�ำอะไร กท็ �ำด้วยปญั ญา คดิ ดว้ ยปญั ญา จะมีแต่ปัญญาเท่าน้ัน
น่เี ป็นคำ� สอนทผี่ มขอมอบให้ในวันน้ี ถา้ การฟงั ธรรมทำ� ใหใ้ จท่านสงบกด็ ีแลว้
ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งจดจำ� อะไร บางทา่ นอาจจะไมเ่ ชอื่ ถา้ เราทำ� ใจใหส้ งบ ฟงั แลว้ กไ็ มใ่ หผ้ า่ นไป
แตน่ ำ� มาพจิ ารณาอยเู่ รอื่ ยๆ อยา่ งน้ี เรากเ็ หมอื นเครอื่ งบนั ทกึ เสยี ง เมอื่ เรา “เปดิ ” มนั
มันกอ็ ยู่ตรงนั้น อยา่ กลวั ว่าจะไมม่ อี ะไร เม่ือใดทที่ ่านเปดิ เคร่อื งบนั ทึกเสยี งของทา่ น
ทกุ อย่างกอ็ ยู่ในน้นั
ขอมอบธรรมะน้ีตอ่ พระภิกษทุ ุกรูป และตอ่ ทุกคน บางท่านอาจจะรภู้ าษาไทย
เพียงเล็กน้อย แตก่ ็ไมเ่ ป็นไร ใหท้ ่านเรยี นภาษาธรรมเถิด เท่าน้ีก็ดเี พยี งพอแล้ว.
66
๖
อ่านใจธรรมชาติ
การภาวนา หมายความวา่ ใหค้ ิดดใู หช้ ัดๆ พยายามอย่ารีบรอ้ นเกินไป อยา่ ชา้
เกินไป คอ่ ยท�ำคอ่ ยไป แต่ให้มีวธิ ีการและจุดหมายในการปฏบิ ัติภาวนาน้นั
ทกุ คนทอี่ อกมาปฏบิ ตั นิ นั้ กอ็ อกมาดว้ ย “ความอยาก” กนั ทง้ั นนั้ มนั มคี วามอยาก
แตค่ วามอยากนบี้ างทมี นั กป็ นกบั ความหลง ถา้ อยากแลว้ ไมห่ ลง มนั กอ็ ยากดว้ ยปญั ญา
ความอยากอย่างนีท้ า่ นเรยี กว่าเปน็ บารมขี องตน แต่ไม่ใชท่ กุ คนนะทมี่ ีปัญญา
บางคนไมอ่ ยากจะใหม้ นั อยาก เพราะเขา้ ใจวา่ การมาปฏบิ ตั กิ เ็ พอื่ ระงบั ความอยาก
ความจรงิ นะ่ ถา้ หากวา่ ไมม่ คี วามอยากกไ็ มม่ ขี อ้ ปฏบิ ตั ิ ไมร่ วู้ า่ จะทำ� อะไร ลองพจิ ารณา
ดูกไ็ ด้
ทกุ คน แมอ้ งคพ์ ระพทุ ธเจา้ ของเรากต็ าม ทท่ี า่ นออกมาปฏบิ ตั กิ เ็ พอ่ื จะใหบ้ รรเทา
กเิ ลสทัง้ หลายนนั้
แตว่ า่ มนั ตอ้ งอยากทำ� อยากปฏบิ ตั ิ อยากใหม้ นั สงบ และกไ็ มอ่ ยากใหม้ นั วนุ่ วาย
ทงั้ สองอยา่ งนมี้ นั เปน็ อปุ สรรคทง้ั นนั้ ถา้ เราไมม่ ปี ญั ญา ไมม่ คี วามฉลาดในการกระทำ�
อยา่ งนน้ั เพราะวา่ มนั ปนกนั อยู่ อยากทง้ั สองอยา่ งนมี้ ันมรี าคาเท่าๆ กนั
บรรยายธรรมแกพ่ ระนวกะ หลงั ทำ� วัตรเย็น ณ วดั หนองป่าพง สงิ หาคม ๒๕๒๑
67
อยากจะพน้ ทกุ ข์ มนั เปน็ กเิ ลสสำ� หรบั คนไมม่ ปี ญั ญา อยากดว้ ยความโง่ ไมอ่ ยาก
มนั กเ็ ปน็ กเิ ลส เพราะไมอ่ ยากอนั นนั้ มนั ประกอบดว้ ยความโงเ่ หมอื นกนั คอื ทง้ั อยาก-
ไมอ่ ยาก ปญั ญากไ็ มม่ ี ทงั้ สองอยา่ งนม้ี นั เปน็ กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยโคกบั อตั ตกลิ มถานโุ ยโค
ซึ่งพระพุทธองค์ของเราขณะที่พระองค์ก�ำลังทรงปฏิบัติอยู่นั้น ท่านก็หลงในอย่างน้ี
ไม่รู้วา่ จะทำ� อยา่ งไร ท่านหาอบุ ายหลายประการกวา่ จะพบของสองสงิ่ น้ี
ทกุ วนั น้ี เราทง้ั หลายกเ็ หมอื นกนั ถกู สง่ิ ทงั้ สองอยา่ งนม้ี นั กวนอยู่ เราจงึ เขา้ สทู่ าง
ไม่ได้ก็เพราะอันนี้ ความเปน็ จริงน้ี ทกุ คนท่มี าปฏบิ ตั กิ ็เปน็ ปุถชุ นมาท้งั นัน้ ปถุ ชุ นก็
เต็มไปด้วยความอยาก ความอยากท่ไี มม่ ปี ัญญา อยากด้วยความหลง ไมอ่ ยากมันก็
มีโทษเหมอื นกนั “ไมอ่ ยาก” มันกเ็ ป็นตัณหา “อยาก” มันกเ็ ปน็ ตณั หาอีกเหมอื นกนั
ทนี ้ีนักปฏบิ ตั ยิ งั ไม่รูเ้ ร่ืองวา่ จะเอาอยา่ งไรกนั เดินไปขา้ งหน้ากไ็ ม่ถกู เดนิ กลับ
ไปข้างหลงั ก็ไมถ่ กู จะหยดุ ก็หยดุ ไมไ่ ด้ เพราะมนั ยงั อยากอยู่ มนั ยังหลงอยู่ มแี ต่
ความอยาก แต่ปัญญาไมม่ ี มันอยากด้วยความหลง มันกเ็ ปน็ ตณั หา ถึงแม้ไมอ่ ยาก
มนั ก็เป็นความหลง มนั ก็เป็นตณั หาเหมอื นกัน เพราะอะไร เพราะมันขาดปญั ญา
ความเปน็ จรงิ นน้ั ธรรมะมนั อยตู่ รงนนั้ แหละ ตรงความอยากกบั ความไมอ่ ยาก
นัน่ แหละ แตเ่ ราไมม่ ีปัญญา ก็พยายามไม่ใหอ้ ยากบ้าง เดีย๋ วกอ็ ยากบา้ ง อยากให้
เป็นอย่างนั้น ไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ ความจริงทั้งสองอย่างนี้หรือทั้งคู่น้ี มันตัว
เดยี วกันทัง้ นน้ั ไมใ่ ช่คนละตัว แตเ่ ราไมร่ เู้ รอ่ื งของมัน
พระพทุ ธเจ้าของเราและสาวกทัง้ หลายของพระองค์นั้น ท่านก็อยากเหมอื นกัน
แต่ “อยาก” ของทา่ นนั้นเปน็ เพียงอาการของจติ เฉยๆ หรือ “ไม่อยาก” ของท่าน
ก็เป็นเพยี งอาการของจิตเฉยๆ อกี เหมอื นกนั มันวูบเดยี วเทา่ น้นั ก็หายไปแลว้
ดงั นน้ั ความอยากหรอื ไมอ่ ยากนี้ มนั มอี ยตู่ ลอดเวลา แตส่ ำ� หรบั ผมู้ ปี ญั ญานนั้
“อยาก” กไ็ มม่ อี ปุ าทาน “ไมอ่ ยาก” กไ็ มม่ อี ปุ าทาน เปน็ “สกั แตว่ า่ ” อยากหรอื ไมอ่ ยาก
เทา่ น้นั ถ้าพูดตามความจรงิ แลว้ มันก็เป็นแต่อาการของจติ อาการของจิตมันเปน็
ของมนั อยา่ งน้นั เอง ถา้ เรามาตะครุบมันอยูท่ ีใ่ กล้ๆ นี่ มนั ก็เห็นชดั
68
ดงั นนั้ จงึ วา่ การพจิ ารณานนั้ ไมใ่ ชร่ ไู้ ปทอี่ น่ื มนั รตู้ รงนแี้ หละ เหมอื นชาวประมง
ที่ออกไปทอดแหนั่นแหละ ทอดแหออกไปถูกปลาตัวใหญ่ เจ้าของผู้ทอดแหจะคิด
อยา่ งไร กก็ ลวั กลวั ปลาจะออกจากแหไปเสยี เมอ่ื เปน็ เชน่ นน้ั ใจมนั กด็ นิ้ รนขน้ึ ระวงั มาก
บังคับมาก ตะครบุ ไปตะครบุ มาอยูน่ ่ันแหละ ประเดีย๋ วปลามันกอ็ อกจากแหไปเสีย
เพราะไปตะครุบมันแรงเกินไป อย่างนั้นโบราณท่านพูดถึงเร่ืองอันน้ี ท่านว่าค่อยๆ
ทำ� มนั แต่อย่าไปหา่ งจากมนั
นี่คือปฏิปทาของเรา ค่อยๆ คลำ� มันไปเรอ่ื ยๆ อยา่ งนั้นแหละ อย่าปล่อยมนั
หรอื ไม่อยากรู้มัน ตอ้ งรู้ ตอ้ งรู้เรื่องของมัน พยายามทำ� มนั ไปเร่อื ยๆ ให้เปน็ ปฏิปทา
ขี้เกยี จเรากท็ ำ� ไม่ข้ีเกียจเราก็ทำ� เรยี กว่าการปฏิบัตติ ้องทำ� ไปเร่อื ยๆ อย่างน้ี
ถ้าหากว่าเราขยนั ขยนั เพราะความเชอ่ื มนั มีศรัทธา แตป่ ัญญาไม่มี ถา้ เป็น
อย่างน้ี ขยันไปๆ แลว้ มนั กไ็ มเ่ กิดผลอะไรข้นึ มากมาย ขยันไปนานๆ เข้า แต่มนั
ไม่ถกู ทาง มนั ก็ไม่สงบระงับ ทนี ้ีกจ็ ะเกดิ ความคดิ ว่า เรานบี้ ญุ นอ้ ยหรอื วาสนาน้อย
หรอื คิดไปวา่ มนษุ ย์ในโลกนี้คงท�ำไมไ่ ด้หรอก แลว้ ก็เลยหยดุ เลิกทำ� เลิกปฏบิ ตั ิ
ถ้าเกิดความคดิ อยา่ งน้เี มื่อใด ขอใหร้ ะวังใหม้ าก ใหม้ ีขนั ติความอดทน ให้ทำ�
ไปเรื่อยๆ เหมือนกับเราจับปลาตวั ใหญ่ กใ็ ห้คอ่ ยๆ คล�ำมนั ไปเรือ่ ยๆ ปลามนั ก็จะ
ไม่ดิ้นแรง ค่อยๆ ท�ำไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ไม่ช้าปลาก็จะหมดก�ำลัง มันก็จับง่าย
จบั ใหถ้ นัดมือเลย ถา้ เรารีบจนเกินไปปลามันกจ็ ะหนีดนิ้ ออกจากแหเทา่ น้นั
ดังนน้ั การปฏบิ ตั นิ ี้ ถา้ เราพิจารณาตามพืน้ เพของเรา เชน่ ว่า เราไม่มีความรู้
ในปรยิ ตั ิ ไมม่ คี วามรู้ในอะไรอน่ื ท่ีจะให้การปฏบิ ตั มิ นั เกิดผลขึ้น กด็ ูความรทู้ ีเ่ ป็น
พนื้ เพเดมิ ของเรานน่ั แหละ อนั นนั้ กค็ อื “ธรรมชาตขิ องจติ ” นเ่ี อง มนั มขี องมนั อยแู่ ลว้
เราจะไปเรยี นรู้มัน มนั ก็มอี ยู่ หรือเราจะไม่ไปเรียนรมู้ ัน มนั กม็ อี ยู่
อย่างท่ีท่านพูดว่า พระพุทธเจ้าจะบังเกิดขึ้นก็ตาม หรือไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ธรรมะก็คงมอี ยู่อย่างนัน้ มันเป็นของมันอยอู่ ย่างนัน้ ไม่พลิกแพลงไปไหน มนั เปน็
สัจธรรม เราไมเ่ ข้าใจสจั ธรรม ก็ไมร่ วู้ ่าสจั ธรรมเปน็ อยา่ งไร นี้เรยี กวา่ การพิจารณา
ในความรูข้ องผปู้ ฏบิ ตั ทิ ไ่ี มม่ พี ้นื ปริยตั ิ
69
ขอใหด้ ูจติ พยายามอ่านจติ ของเจ้าของ พยายามพดู กบั จติ ของเจา้ ของ มนั จงึ
จะรูเ้ ร่อื งของจติ คอ่ ยๆ ท�ำไป ถา้ ยงั ไมถ่ ึงที่ของมนั มนั ก็ไปอย่อู ย่างนัน้
ครูบาอาจารย์บางท่านบอกว่าท�ำไปเรื่อยๆ อย่าหยุด บางทีเรามาคิด “เออ
ทำ� ไปเรอ่ื ยๆ ถา้ ไมร่ เู้ รอื่ งของมนั ถา้ ทำ� ไมถ่ กู ทม่ี นั มนั จะรอู้ ะไร” อยา่ งนเ้ี ปน็ ตน้ กต็ อ้ ง
ท�ำไปเร่ือยๆ กอ่ น แล้วมันกจ็ ะเกิดความรูส้ กึ นกึ คิดขนึ้ ในสง่ิ ทเี่ ราพากเพียรท�ำนน้ั
มันเหมือนกันกับบุรุษท่ีไปสีไฟ ได้ฟังท่านบอกวา เอาไม้ไผ่สองอันมาสีกัน
เข้าไปเถอะ แล้วจะมไี ฟเกดิ ขน้ึ บรุ ษุ นน้ั กจ็ บั ไม้ไผเ่ ขา้ สองอัน สกี ันเข้า แต่ใจร้อน
สไี ปไดห้ นอ่ ยกอ็ ยากใหม้ นั เปน็ ไฟ ใจกเ็ รง่ อยเู่ รอื่ ย ใหเ้ ปน็ ไฟเรว็ ๆ แตไ่ ฟกไ็ มเ่ กดิ สกั ที
บรุ ษุ นนั้ กเ็ กดิ ความขเ้ี กยี จ แลว้ กห็ ยดุ พกั แลว้ จงึ ลองสอี กี นดิ แลว้ กห็ ยดุ พกั ความรอ้ น
ท่พี อมอี ยบู่ า้ งก็หายไปละ่ สิ เพราะความรอ้ นมนั ไมต่ ดิ ตอ่ กัน
ถา้ ทำ� ไปเรอ่ื ยๆ อยา่ งน้ี เหนอ่ื ยกห็ ยดุ มแี ตเ่ หนอ่ื ยอยา่ งเดยี วกพ็ อได้ แตม่ ขี เี้ กยี จ
ปนเขา้ ดว้ ย เลยไปกนั ใหญ่ แลว้ บรุ ษุ นน้ั กห็ าวา่ ไฟไมม่ ี ไมเ่ อาไฟ กท็ ง้ิ เลกิ ไปไมส่ อี กี
แล้วกไ็ ปเท่ยี วประกาศว่า ไฟไม่มี ทำ� อยา่ งน้ีไม่ได้ ไมม่ ไี ฟหรอก เขาได้ลองท�ำแลว้
กจ็ รงิ เหมอื นกนั ทไี่ ดท้ ำ� แลว้ แตท่ ำ� ยงั ไมถ่ งึ จดุ ของมนั คอื ความรอ้ นยงั ไมส่ มดลุ กนั
ไฟมันก็เกดิ ขึ้นไม่ได้ ท้ังที่ความจรงิ ไฟมันก็มอี ยู่ อยา่ งนีก้ เ็ กดิ ความทอ้ แทข้ น้ึ ในใจ
ของผปู้ ฏบิ ัติน้นั ก็ละอนั นไ้ี ปท�ำอนั โน้นเรอื่ ยไป อนั นี้ฉันใดกฉ็ นั นนั้
การปฏิบตั ิน้ัน ปฏิบัตทิ างกายทางใจท้งั สองอย่างมนั ต้องพรอ้ มกัน เพราะอะไร
เพราะพน้ื เพมนั เปน็ คนมกี เิ ลสทง้ั นนั้ พระพทุ ธเจา้ กอ่ นทจ่ี ะเปน็ พระพทุ ธเจา้ ทา่ นกม็ กี เิ ลส
แต่ท่านกม็ ปี ัญญามากหลาย พระอรหันต์ก็เหมอื นกัน เมอื่ ยงั เปน็ ปถุ ชุ นอยกู่ ็เหมือน
กบั เรา
เมอื่ ความอยากเกดิ ขนึ้ มา เรากไ็ มร่ จู้ กั เมอื่ ความไมอ่ ยากเกดิ ขนึ้ มา เรากไ็ มร่ จู้ กั
บางทกี ร็ อ้ นใจ บางทีก็ดใี จ ถ้าใจเราไม่อยาก ก็ดใี จแบบหนง่ึ และว่นุ วายอกี แบบหน่งึ
ถา้ ใจเราอยาก มนั กว็ นุ่ วายอยา่ งหนงึ่ และดใี จอยา่ งหนงึ่ มนั ประสมประเสกนั อยอู่ ยา่ งนี้
70
อนั นคี้ อื ปฏปิ ทาของผปู้ ฏบิ ตั ธิ รรม เหมอื นอยา่ งพระวนิ ยั ทเ่ี ราฟงั ๆ กนั ไปน้ี ดแู ลว้
มนั ก็เปน็ ของยาก จะตอ้ งรักษาสิกขาบททกุ อยา่ ง ใหไ้ ปทอ่ งทุกอยา่ ง เม่อื จะตรวจดู
ศลี ของเจา้ ของ ก็ตอ้ งไปตรวจดทู ุกสิกขาบท ก็คดิ หนักใจวา่ “โอ อยา่ งนี้ไม่ไหวแลว้ ”
ความจรงิ เมอื่ พระพทุ ธเจา้ ทา่ นสอนใหพ้ จิ ารณากาย อยา่ งเชน่ เกสา โลมา นขา
ทันตา ตโจ มนั กม็ ีแตก่ ายทง้ั นนั้ อย่างทที่ า่ นใหก้ รรมฐานครง้ั แรก ก็มแี ต่เร่ืองกาย
ท้ังน้ัน ทา่ นให้พจิ ารณาอยู่ตรงนี้ ใหด้ ูตรงนี้ ถ้าเราพิจารณาแลว้ เห็นไมช่ ัด มันก็จะ
เห็นคนไมช่ ัดสักคน คนอน่ื ก็ไม่ชัด ตวั เราเองก็ไมช่ ดั เหน็ ตัวเรากส็ งสัย เห็นคนอื่น
กส็ งสยั มนั สงสยั อยตู่ ลอดไป แตถ่ า้ เราสามารถเหน็ ตวั เราไดช้ ดั เทา่ นนั้ มนั กห็ มดสงสยั
เพราะอะไร เพราะรปู นามมนั เหมอื นกนั ทง้ั นนั้ ถา้ หากเราเหน็ ชดั ในตวั เราคนเดยี ว
กเ็ หมอื นเหน็ คนทงั้ โลก ไมต่ อ้ งตามไปดทู กุ คน กร็ วู้ า่ คนอน่ื กเ็ หมอื นกบั เรา เรากเ็ หมอื น
กบั เขา ถา้ เราคดิ ไดเ้ ชน่ นี้ ภาระของเรากน็ อ้ ยลง ถา้ เราไมค่ ดิ เชน่ นนั้ ภาระของเรากม็ าก
เพราะจะต้องตามไปดูทุกคนในจักรวาลน้ี จึงจะรู้จักคนทุกคน ภาระมันก็มากน่ะสิ
ถ้าคิดอย่างน้ี มันกท็ ำ� ให้ท้อแท้
อย่างพระวินัยของเรานี้ก็เหมือนกัน มีสิกขาบทอยู่มากมายเหลือเกิน ไม่รู้จัก
เท่าไหร่ ถ้าเพยี งนึกว่า จะตอ้ งอ่านให้ครบทุกสกิ ขาบท ก็แย่แล้ว ไมไ่ หวแลว้ เหน็ ว่า
เหลือวิสยั เสยี แล้ว เหน็ จะไม่มที างไปตรวจดูศลี ใหส้ มบรู ณบ์ รบิ รู ณ์ได้ นีค่ วามเขา้ ใจ
ของเรามันเป็นอยา่ งนั้น เหมอื นอยา่ งวา่ ทา่ นใหร้ ู้แจ้งซึง่ มนุษยท์ ้ังหลาย กค็ ดิ ว่าจะ
ตอ้ งไปดคู นให้ทุกคน มันถงึ จะรู้ทุกคน อย่างนมี้ ันก็มากเท่าน้นั แหละ
นก่ี เ็ พราะวา่ เรามนั ตรงเกนิ ไป ตรงตามตำ� รา ตรงตามคำ� ของครบู าอาจารยเ์ กนิ ไป
เพราะถ้าเราเรียนปริยัติขนาดน้ัน มันก็ไปไม่ไหวเหมือนกัน มันท�ำให้หมดศรัทธา
เหมอื นกัน เรียกวา่ เรายงั ไมเ่ กิดปัญญา ถา้ ปัญญามันเกิดแลว้ กจ็ ะเหน็ ว่าคนท้งั หมด
กค็ อื คนคนเดยี ว ถา้ มนั คอื คนคนเดยี ว เรากพ็ จิ ารณาแตเ่ ราคนเดยี วกเ็ พยี งพอ เพราะ
เราก็มีรูป มีนาม ลักษณะของรูปนามมันก็เป็นอยู่อย่างน้ี คนอ่ืนก็เป็นอยู่อย่างนี้
เหมือนกนั ปัญญาจะท�ำให้เห็นได้เชน่ นน้ั ทีน้ภี าระทีจ่ ะตอ้ งคิดก็นอ้ ยลง เพราะเหน็
เสยี แลว้ ว่า มนั เป็นของอยา่ งเดียวกนั
71
ดงั นัน้ พระพุทธเจา้ ทา่ นจงึ วา่ อัตตะนา โจทะยตั ตานัง จงเตือนตนดว้ ยตนเอง
ใหเ้ ตอื นตวั เจา้ ของเองน้ี ไมม่ ที อี่ นื่ ถา้ เราเหน็ ตวั เราเองแลว้ มนั กเ็ หมอื นกนั หมดทกุ คน
เพราะอนั เดยี วกัน บริษทั เดยี วกัน ยหี่ อ้ เดยี วกัน เพยี งแต่ต่างสีสัณฐานกนั เทา่ น้นั
เหมือนอย่างยาทัมใจกับยาบวดหาย มันก็ยารักษาโรคปวดเหมือนกัน เพียงแต่ว่า
มันเปล่ยี นชื่อ เปลย่ี นรปู ห่อเสียหนอ่ ยเท่านน้ั แท้จรงิ มันกร็ ักษาโรคเดยี วกนั
ถ้าเราเห็นได้เช่นนี้ มันก็จะง่ายข้ึน ค่อยๆ ท�ำมันไปเรื่อยๆ อย่างนั้นแหละ
แลว้ มนั กจ็ ะเกดิ ความฉลาดขน้ึ ในการกระทำ� ทำ� ไปเรอื่ ยๆ จนกวา่ มนั จะเกดิ ความเหน็
แล้วจะเหน็ ความจริงของมนั จริงๆ
ถา้ จะพดู เรอื่ งปรยิ ตั แิ ลว้ ทกุ อยา่ งมนั กเ็ ปน็ ปรยิ ตั ไิ ดท้ ง้ั นน้ั ตากเ็ ปน็ ปรยิ ตั ิ หกู เ็ ปน็
ปรยิ ตั ิ จมกู กเ็ ปน็ ปรยิ ตั ิ ปากกเ็ ปน็ ปรยิ ตั ิ ลน้ิ กเ็ ปน็ ปรยิ ตั ิ กายกเ็ ปน็ ปรยิ ตั ิ เปน็ ปรยิ ตั ิ
หมดทกุ อย่าง รูปเป็นอยา่ งนน้ั ก็รวู้ ่ารูปเปน็ อยา่ งน้นั แต่ว่าเรามันมัวไปตดิ อยู่ในรปู
ไมร่ ู้จกั หาทางออก เสียงเป็นอยา่ งน้ัน ก็รู้ว่าเสยี งเปน็ อย่างนัน้ แตก่ ็ไปตดิ อยู่ในเสยี ง
ไมร่ จู้ กั หาทางออก ดงั นั้น รูป เสยี ง กล่นิ รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณน์ ้ี มันจงึ เปน็
ห่วงท่ีเกาะเกีย่ วใหม้ นุษย์สตั ว์ท้งั หลายตดิ อยู่ในตวั ของมัน ฉะนนั้ ก็ให้เราปฏบิ ตั ิไป
คลำ� ไปอยา่ งนน้ั แหละ แลว้ วนั หนง่ึ กจ็ ะตอ้ งไดค้ วามรู้ เกดิ ความรสู้ กึ อกี อยา่ งหนง่ึ ขน้ึ มา
ทจ่ี ะไดค้ วามรู้ เกดิ ความรสู้ กึ อกี อยา่ งหนง่ึ ขนึ้ มาไดน้ ี้ มนั จะเกดิ ไดจ้ ากการปฏบิ ตั ิ
ท่ีไมห่ ยดุ ไม่ทอ้ ถอย ปฏิบตั ิไป ท�ำไปนานเข้าๆ พอสมควรกบั นสิ ัยปัจจัยของตน
มนั กจ็ ะเกดิ ความรสู้ กึ อยา่ งหนงึ่ ทเ่ี รยี กวา่ “ธมั มวจิ ยะ” มนั จะเกดิ โพชฌงคข์ องมนั เอง
โพชฌงคท์ ้งั หมดมนั จะเกิดอยอู่ ยา่ งนี้ สอดสอ่ งธรรมไป
โพชฌังโค สะติสงั ขาโต ธัมมานัง วจิ ะโย ตะถา
วิรยิ ัมปตี ปิ สั สทั ธิ- โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร
สะมาธุเปกขะโพชฌงั คา สตั เตเต สัพพะทสั สินา
เบ้ืองแรกมันเกิดอยา่ งน้ี อาการน้ีมันจะเกิดข้นึ มา มนั กเ็ ป็นโพชฌงค์เปน็ องค์ที่
ตรัสรู้ธรรมะทง้ั น้นั ถ้าเราได้เรียนรู้มัน ก็รู้ตามปรยิ ัติเหมอื นกัน แต่ไมม่ องเห็นท่มี ัน
72
เกิดท่ใี นใจของเรา ไม่เหน็ ว่ามนั เป็นโพชฌงค์ ความเป็นจรงิ นน้ั โพชฌงค์นั้นเกิดมา
ในลกั ษณะอยา่ งนี้ พระพทุ ธเจา้ ท่านจึงบญั ญตั ิ ผูร้ ทู้ ้ังหลายกบ็ ัญญตั ิ เป็นข้อความ
ออกมาเปน็ ปรยิ ัติ ปรยิ ตั นิ กี้ ็เกดิ จากทไ่ี ดม้ าจากการปฏิบตั ิ แตม่ ันถอนตัวออกมาเป็น
ปริยัติ เปน็ ตวั หนงั สือ แล้วกไ็ ปเป็นคำ� พูด แลว้ โพชฌงคก์ เ็ ลยหายไป หายไปโดย
ทเี่ ราไมร่ ู้ แตค่ วามเปน็ จรงิ นัน้ มนั ก็ไมไ่ ด้หายไปไหน มนั มีอยใู่ นนท้ี ้งั หมด
มนั จะเกดิ ธมั มวจิ ยะ การพนิ จิ พจิ ารณาตามไป เกดิ ความเพยี ร เกดิ ปตี แิ ละอน่ื ๆ
ขน้ึ ทงั้ หมด ไปตามลำ� ดบั ของโพชฌงค์ ถา้ มนั เกดิ การกระทำ� ขนึ้ ทง้ั หมดดงั น้ี มนั กเ็ ปน็
องค์ทีต่ รัสรธู้ รรมะ ถา้ ท�ำถูกทาง ปฏิบัติถกู ทาง มนั ตอ้ งเกิดอาการอยา่ งนี้ ธรรมะ
มนั ก็ต้องมีอยู่ในนี้
ดังน้นั ทา่ นจงึ วา่ คอ่ ยๆ คลำ� ไป คอ่ ยๆ พิจารณาไป อย่านกึ ว่ามันอยขู่ ้างโนน้
อยา่ นกึ ว่ามันอย่ขู ้างนี้ เหมือนอยา่ งพระภกิ ษุท่านหนงึ่ ของเรา ทา่ นไปเรียนบาลแี ปล
ธรรมบทกับเขา เรียนไม่ได้เพราะไปนึกแต่ว่า ปฏิบัติกรรมฐานนั้นมันแจ้ง มันรู้
มนั สะอาด มนั เหน็ ทา่ นกอ็ อกมาปฏบิ ตั อิ ยูท่ ี่วัดหนองป่าพง ท่านวา่ จะมานง่ั ปฏิบตั ิ
แลว้ ไปแปลบาลี ทา่ นนกึ วา่ จะไปรอู้ ยา่ งนนั้ ไปเหน็ อยา่ งนนั้ กเ็ ลยอธบิ ายใหท้ า่ นฟงั วา่
เห็นอันเกิดจากการปฏิบัติธรรมนั้นอย่างหนึ่ง เห็นจากการเรียนปริยัติธรรมน้ันก็อีก
อยา่ งหนงึ่ มนั กเ็ หน็ เหมอื นกนั แตว่ า่ มนั ลกึ ซง้ึ กวา่ กนั ถา้ เหน็ จากการปฏบิ ตั แิ ลว้ มนั ละ
มนั ละไปเลย หรอื ถา้ ยงั ละไมห่ มด กพ็ ยายามตอ่ ไปเพอ่ื ละใหไ้ ด้ มคี วามโกรธเกดิ ขนึ้ มา
มีความโลภเกิดข้ึนมา ท่านไม่วางมัน พิจารณาดูท่ีมันเกิด แล้วก็พิจารณาโทษให้
มันเห็นด้วย แล้วก็เห็นโทษในการกระท�ำนั้น เห็นประโยชน์ในการละส่ิงท้ังหลาย
เหลา่ น้นั ความเห็นอันนี้ ไมใ่ ชอ่ ยทู่ ี่โน่นทนี่ ี่ มนั อยูใ่ นจิตของตนเอง จติ ท่ีมนั ผ่องใส
ไม่ใช่อน่ื ไกล
อันน้ีนักปริยัติและนักปฏิบัติพูดกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง โดยมากมักจะโทษกันวา
นักปฏิบัติพูดไม่มีรากฐาน พูดไปตามความเห็นของตน ความเป็นจริงมันก็อย่าง
เดียวกันแหละ เหมือนหน้ามือกับหลังมือ เมื่อเราคว�่ำมือลง หน้ามือมันก็หายไป
แต่มนั ไมไ่ ดห้ ายไปไหน มนั หายไปอยู่ข้างล่างนน่ั แหละ แตม่ องไมเ่ ห็นเพราะหลงั มอื
73
มันบังอยู่ แล้วเม่ือเราหงายฝา่ มือข้นึ หลังมือมนั กห็ ายไป แต่มนั ก็ไม่ไดห้ ายไปไหน
มนั ก็หายไปอยู่ท่ขี ้างลา่ งเหมอื นกันนนั่ แหละ
ดงั น้นั ให้เราร้ไู วอ้ ยา่ งน้ี เมื่อเกย่ี วกบั การปฏบิ ัติ อย่าไปคิดว่ามันหายไปไหน
ถึงจะเรยี นรูข้ นาดไหน หาเท่าไหรก่ ไ็ ม่เห็นก็ไม่รจู้ กั คอื ไม่ร้ตู ามทเ่ี ปน็ จริง ถา้ รตู้ าม
ความเปน็ จริงเมอ่ื ไหรก่ จ็ ะ “ละ” ไดเ้ มอื่ น้นั ถอนอุปาทานได้ ไมม่ คี วามยึดหรือถา้ มี
ความยึดอยูบ่ า้ ง มนั ก็จะบรรเทาลง
ผปู้ ฏบิ ตั กิ ช็ อบอยา่ งน้ี หลงอยา่ งน้ี พอปฏบิ ตั กิ อ็ ยากไดง้ า่ ยๆ อยากใหไ้ ดต้ ามใจ
ของตน กข็ อให้ดอู ยา่ งน้ี ดรู า่ งกายของเราน่แี หละ มันไดอ้ ย่างใจของเราไหม จิตก็
เหมอื นกนั มนั กเ็ ปน็ ของมนั อยอู่ ยา่ งนนั้ จะใหเ้ ปน็ อยา่ งทเี่ ราอยากไมไ่ ด้ แลว้ คนกช็ อบ
มองข้ามมนั เสีย อะไรไมถ่ กู ใจกท็ ิ้ง อะไรไม่ชอบใจก็ทิ้ง แต่ก็หารไู้ มว่ า่ ส่ิงทชี่ อบใจ
หรือไม่ชอบใจนนั้ อันใดผดิ อันใดถูก รูแ้ ตเ่ พยี งวา่ อนั นนั้ ไมช่ อบ อนั นั้นแหละผิด
ไม่ถูก เพราะเราไมช่ อบ อันใดท่เี ราชอบ อันนน้ั แหละถูก อย่างน้ีมนั ใชไ้ ม่ได้
สง่ิ ทงั้ หลายเหลา่ นี้ มนั กล็ ว้ นแตเ่ ปน็ ธรรมะ อยา่ งเราเรยี นปรยิ ตั มิ า เมอื่ เกดิ ความ
รสู้ กึ อยา่ งใด มนั กว็ ง่ิ ไปตามปรยิ ตั ิ เวลาเราภาวนา ขอ้ นนั้ เปน็ อยา่ งนน้ั ขอ้ นเ้ี ปน็ อยา่ งนี้
อะไรต่ออะไรมนั ก็ตอ้ งวง่ิ ไปตามน้ี ถ้าเราไมม่ ีปรยิ ัติ หรอื ไม่ได้เรยี นปริยัติมา เราก็มี
ธรรมชาติจิตของเรา เมื่อมีความรู้สึกนึกคิดไปตามธรรมชาติจิตอันนี้ ถ้าหากว่า
มปี ัญญาพจิ ารณา มนั ก็เปน็ ปรยิ ัตดิ ้วยกนั ทง้ั น้ัน ธรรมชาติจิตของเรานกี่ ็เปน็ ปรยิ ตั ิ
ทวี่ ่าธรรมชาตจิ ิตของเราเป็นปรยิ ัตนิ ้นั คอื เมื่อมคี วามร้สู ึกนึกคดิ ข้นึ มาอยา่ งไร
พระพทุ ธเจ้าท่านใหพ้ ิจารณาอารมณอ์ นั นั้น อาศัยอารมณอ์ ันนนั้ เป็นปรยิ ตั ิ สำ� หรบั
ผู้ภาวนาท่ีไม่มีความรู้ในปริยัติ จ�ำต้องอาศัยความจริงอันน้ี ทุกอย่างมันก็เป็นมา
อยา่ งน้ีเหมือนกัน
ฉะนน้ั คนเรียนปริยัตกิ ด็ ี คนไมเ่ รยี นปริยัติกด็ ี ถา้ หากว่ามศี รัทธา มีความเชอ่ื
อย่างท่ีว่ามาแลว้ มาฝึกปฏบิ ตั ิใหม้ ีความเพียร มขี นั ตคิ วามอดทนให้สม�ำ่ เสมอ มสี ติ
เปน็ หลัก คอื ความระลกึ ได้วา่ เรานัง่ อยู่ เรายืนอยู่ เรานอนอยู่ เราเดินอยู่ ใหร้ ู้ตวั
ทกุ อิริยาบถ
74
สตสิ มั ปชญั ญะสองอยา่ งนี้ สตคิ วามระลกึ ได้ สมั ปชญั ญะความรตู้ วั มนั ไมห่ า่ ง
กนั เลย มนั เกดิ ขนึ้ พรอ้ มกนั เรว็ ทสี่ ดุ เราจะไมร่ วู้ า่ อะไรเปน็ อะไร ความระลกึ ไดเ้ กดิ ขน้ึ
ความรตู้ วั มนั กเ็ กดิ ขน้ึ มาดว้ ย เมอ่ื จติ เราตงั้ มน่ั อยอู่ ยา่ งนี้ มนั กร็ สู้ กึ งา่ ยๆ คอื ระลกึ ไดว้ า่
เราอยอู่ ย่างไร เป็นอะไร ทำ� อะไร มีสตเิ มอ่ื ใดกม็ คี วามรตู้ วั อยู่เม่อื น้นั
ทนี ก้ี ม็ ปี ญั ญา แตบ่ างทปี ญั ญามนั นอ้ ย มนั มาไมค่ อ่ ยทนั มสี ตอิ ยกู่ จ็ รงิ มคี วาม
รสู้ กึ อยกู่ จ็ รงิ แตว่ า่ มนั กผ็ ดิ ของมนั ไดเ้ หมอื นกนั แตแ่ ลว้ ตวั ปญั ญามนั จะวง่ิ เขา้ มาชว่ ย
สติความระลกึ ได้ และสัมปชญั ญะความรตู้ วั น้ัน มเี ป็นพ้นื ฐานอยู่แลว้ กค็ วรอบรม
ปัญญาด้วยอารมณ์ของวปิ ัสสนากรรมฐาน เช่นวา่ มันจะรู้อยูร่ ะลกึ ได้ ก็ใหร้ ะลึกมัน
ไดอ้ ยู่ อารมณเ์ กดิ ขน้ึ มาอยา่ งไร กใ็ หร้ ะลกึ อารมณน์ นั้ ไดอ้ ยู่ แตใ่ หเ้ หน็ ไปพรอ้ มๆ กนั วา่
มนั มีอนจิ จงั เป็นรากฐาน มที ้ังทุกขงั มนั เป็นทกุ ข์ ทนยาก มีท้ังอนัตตา อนั ไม่ใช่
ตวั ตนท้ังนนั้ แหละ มัน “สกั แต่วา่ ” เกิดความรู้สึกขึน้ มาแล้ว ไม่มีตวั ตน แลว้ มนั ก็
หายไปเทา่ น้ันเอง คนท่ี “หลง” ก็ไปเอาโทษกับมนั จึงไมร่ จู้ กั ใช้สง่ิ ท้งั หลายน้ีให้เกดิ
ประโยชน์
ถ้าหากว่ามีปัญญาอยู่พร้อมแล้ว ความระลึกได้และความรู้ตัวมันจะติดต่อกัน
เปน็ ล�ำดับ แตถ่ า้ ปัญญานั้นยังไมผ่ อ่ งใส สตสิ มั ปชัญญะมันก็อาจจะมีผิดบา้ งถกู บ้าง
ถ้าเป็นอย่างน้ันต้องมีปัญญามาช่วย พระพุทธเจ้าท่านทรงใช้อารมณ์ของวิปัสสนา
กรรมฐานมาตา้ นทานมนั เลยวา่ สตนิ ม้ี นั กไ็ มแ่ นน่ อน มนั ลมื ไดเ้ หมอื นกนั สมั ปชญั ญะ
ความร้ตู ัวน้กี ็ไม่แน่นอน มันลว้ นแต่เปน็ ของไม่เท่ยี ง
อะไรทม่ี นั ไมเ่ ทย่ี ง แลว้ เราไมร่ ทู้ นั มนั อยากจะใหม้ นั เทยี่ ง มนั กเ็ ปน็ ทกุ ขเ์ ทา่ นนั้
เป็นทุกข์เพราะไม่ได้ตามปรารถนา ไม่ได้ตามความอยากจะให้มันเป็นอยู่อย่างนั้น
ซึ่งเป็นความอยากที่เกิดจากอ�ำนาจจิตที่สกปรกด้วยความไม่รู้จักอันนี้มันก็เกิดกิเลส
ตัณหาตรงนแ้ี หละ
พอมคี วามรู้สกึ เกิดข้ึนมา เชน่ วา่ เราไดก้ ระทบรปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ
กม็ คี วามชอบใจบา้ ง ไมช่ อบใจบา้ ง คอื มคี วามยดึ มน่ั ถอื มน่ั เตม็ อยใู่ นใจของเรา ดงั นนั้
75
พระพุทธเจ้าท่านจงึ ใหค้ ล่คี ลายออก เรอ่ื งทีม่ นั เกดิ ขึ้นมาน่ี ให้ยกเอาความไม่เทีย่ ง
เป็นหลักวินิจฉัย อะไรท่ีมันเกิดข้ึนมาให้เห็นว่า ถึงเราจะชอบมันหรือไม่ชอบมัน
อันน้ีไม่แน่นอน อันนี้ไม่เที่ยง ถ้าเราไปยึดม่ันมัน มันก็พาให้เราเป็นทุกข์ ท�ำไม
เปน็ ทุกข์ เพราะเราไมม่ อี �ำนาจที่จะบังคับใหเ้ ป็นไปตามใจของเราได้ทกุ อยา่ ง
เมือ่ ได้รบั อารมณม์ าแลว้ จิตทหี่ ลงท่ีไมม่ คี วามรู้มนั ก็ไปอย่างหนึง่ จิตท่ีรูม้ นั ก็
ไปอกี อยา่ งหนงึ่ พอมคี วามรสู้ กึ เกดิ ขนึ้ จติ ทร่ี มู้ นั กเ็ หน็ วา่ ไมค่ วรยดึ มนั่ ในสง่ิ เหลา่ นน้ั
ถา้ ไมม่ ปี ญั ญา มนั หลงตามไปดว้ ยความโง่ ไมเ่ หน็ เปน็ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา เหน็ แต่
พอว่า เราชอบใจอนั นี้ มันถกู แล้ว มันดแี ลว้ อันไหนเราไม่ชอบใจ อันนั้นมนั ไมด่ ี
อย่างนัน้ จงึ ไมเ่ ขา้ ถึงธรรมะ
ธรรมทงั้ หลายเหลา่ นี้ ไมใ่ ชต่ ัว ไมใ่ ชต่ น ไม่ใชเ่ รา ไม่ใชเ่ ขา พระพุทธเจ้าท่าน
ให้เห็นเป็น “สักแต่ว่า” ให้ยืนอยู่ตรงนี้เสมอ ดังน้ัน เราจะไปเลือกอารมณ์ไม่ได้
ถา้ อารมณม์ นั วง่ิ มาหาเราทงั้ ทางดี ทางชว่ั ทางผดิ ทางถกู แลว้ เราไมร่ เู้ พราะไมม่ ปี ญั ญา
เราก็จะวง่ิ ตามมนั ไป ตามไปด้วยตัณหา ดว้ ยความอยาก แลว้ เดีย๋ วกด็ ใี จ เดี๋ยวก็
เสยี ใจ เพราะอะไร เพราะเอาใจของเราเปน็ หลกั อะไรทเ่ี ราชอบใจ กเ็ ขา้ ใจวา่ อนั นน้ั ดี
อะไรทีเ่ ราไมช่ อบใจ ก็เขา้ ใจวา่ อนั น้นั ไม่ดี อยา่ งนเี้ รียกวา่ ยังหา่ งไกลธรรมะ ยงั ไม่รู้
ธรรมะ มันก็เดือดร้อน เพราะความหลงมนั เตม็ อยู่
ถา้ พูดเร่อื งจิต ก็ตอ้ งพดู อยา่ งนี้ ไม่ต้องออกไปห่างตัว ใหเ้ หน็ วา่ อันนม้ี ันไม่แน่
อันนีเ้ ปน็ ทกุ ข์ อนั นเี้ ปน็ อนตั ตา ไม่ใช่อัตตา ถ้าเหน็ อย่างนไี้ ปเรือ่ ยๆ น้กี ็เป็นอารมณ์
ของวปิ สั สนา เราควรรู้จักอารมณอ์ ันนี้ ตามอารมณอ์ ยา่ งนี้ มนั จะทำ� ใหเ้ กิดปญั ญา
ทา่ นจงึ เรียกว่า อารมณข์ องวปิ สั สนา
อารมณข์ องสมถกรรมฐานนนั้ ทา่ นใหก้ ำ� หนดอานาปานสติ คอื ลมหายใจเขา้ ออก
น้เี ปน็ รากฐาน ควบคุมจิตของเราใหอ้ ยู่ในกระแสของลมนี้ ใหม้ นั แน่วแนน่ ง่ิ นอนอยู่
เม่ือเราพยายามท�ำตาม ดังน้ัน จิตของเราก็จะสงบ น่ีท่านเรียกว่า อารมณ์ของ
สมถกรรมฐาน
76
อารมณ์ของสมถกรรมฐานนี้จะท�ำจิตให้สงบ เพราะจิตมันวุ่นวายมาไม่รู้กี่ปี
กชี่ าตแิ ลว้ ลองนงั่ ดเู ดยี๋ วนก้ี ไ็ ด้ อาการวนุ่ วายจะเกดิ ขน้ึ ทนั ที มนั จะไมย่ อมใหเ้ ราสงบ
ฉะน้นั ท่านจงึ ให้พจิ ารณาอันนั้น เช่น เกสา โลมา นขา ทนั ตา ตโจ ท่านใหพ้ จิ ารณา
กลบั ไปกลบั มา เมอื่ ท�ำอยา่ งนี้ บางคนพิจารณา ตโจ หนัง รู้สึกพจิ ารณาไดส้ บาย
เพราะถูกจริต ถ้าอันใดถูกจริตของเรา อันนั้นก็จะเป็นอารมณ์กรรมฐานของเรา
สำ� หรบั ปราบกิเลสทง้ั หลายให้มันเบาบางลง
บางคนมีความโลภ โกรธ หลง อย่างแรงกล้า ก็ไมม่ อี ะไรจะปราบเจ้ากเิ ลสนไี้ ด้
พอพิจารณามรณสติ คือการระลึกถึงความตายอยู่บ่อยๆ ก็เกิดความสลดสังเวช
เพราะว่าจนมนั ก็ตาย รวยมนั กต็ าย ดีมนั ก็ตาย ชว่ั มนั กต็ าย อะไรๆ มันกต็ ายหมด
ท้ังน้ัน ยิ่งพิจารณาไป จิตใจก็ย่ิงเกิดความสลดสังเวช พอนั่งสมาธิก็สงบได้ง่ายๆ
เพราะมันถกู จริตของเรา
อารมณข์ องสมถกรรมฐานน้ี ถา้ ไมถ่ กู จรติ ของเรามนั กไ็ มส่ ลด ไมส่ งั เวช อนั ใด
ท่ีถกู กับจรติ อนั น้ันก็จะประสบบอ่ ยๆ มคี วามรูส้ ึกนึกคดิ ในอาการน้ันบ่อยๆ แตเ่ รา
ไมค่ อ่ ยจะไดส้ งั เกต จงึ ควรสงั เกตเพ่อื ให้ได้ประโยชน์ เปรยี บเหมอื นกบั อาหารทีเ่ ขา
จัดมาให้ สำ� รบั หนงึ่ มันก็มีหลายอย่าง เราก็ชิมไปทุกถ้วยทกุ อยา่ งน่นั แหละ แล้วก็จะ
รู้เองวา่ อาหารอยา่ งไหนทเ่ี ราชอบ อยา่ งไหนท่ีเราไม่ชอบ อย่างไหนชอบกว็ ่ามีรสชาติ
อรอ่ ยกว่าอยา่ งอ่ืน นี่พูดถึงอาหาร
นก่ี เ็ ทยี บใหเ้ หน็ กบั จรติ ของคนเรา กรรมฐานทถี่ กู จรติ มนั กส็ บาย อยา่ งอานาปานสติ
ก�ำหนดลมหายใจเขา้ ออก ถา้ ถูกจรติ แล้วกส็ บาย ไมต่ ้องไปเอาอยา่ งอื่น พอนงั่ ลงก็
ก�ำหนดลมหายใจเขา้ ออก กเ็ ห็นชดั ฉะนนั้ เอาของใกล้ๆ น่ีดกี ว่า ก�ำหนดลมหายใจ
ให้มันเข้า มันออก อยู่น้ันแหละ ดูมันอยู่ตรงนั้นแหละ ดูไปนานๆ ท�ำไปเร่ือยๆ
จติ มันจะค่อยวาง สญั ญาอน่ื ๆ มา มันก็จะห่างกันออกไปเรือ่ ยๆ เหมอื นคนเราท่อี ยู่
หา่ งไกลกนั การตดิ ต่อก็น้อย
เมอ่ื เราสนใจ อานาปานสตมิ นั กจ็ ะงา่ ยขน้ึ เราทำ� บอ่ ยๆ กจ็ ะชำ� นาญการดลู มขน้ึ
ตามล�ำดบั ลมยาวเปน็ อยา่ งไรเรากร็ ู้ ลมสั้นเปน็ อยา่ งไรเราก็รู้ แล้วก็จะเหน็ วา่ ลมท่ี
77
เข้าออกน้ี มนั เปน็ อาหารอยา่ งวเิ ศษ มนั จะคอ่ ยตดิ ตามไปเองของมนั ทลี ะข้ัน จะเหน็
วา่ มนั เปน็ อาหารยิ่งกว่าอาหารทางกายอยา่ งอ่ืน
จะนั่งอยูก่ ็หายใจ จะนอนอยกู่ ห็ ายใจ จะเดนิ ไปก็หายใจ จะนอนหลบั ก็หายใจ
ลมื ตาขนึ้ กห็ ายใจ ถา้ ขาดลมหายใจนก้ี ต็ าย แมแ้ ตน่ อนหลบั อยกู่ ย็ งั ตอ้ งกนิ ลมหายใจน้ี
พจิ ารณาไปแลว้ เลยเกดิ ศรทั ธา เหน็ วา่ ทเี่ ราอยทู่ กุ วนั นก้ี เ็ พราะอนั นเี้ อง ขา้ วปลาอาหาร
ตา่ งๆ กเ็ ปน็ อาหารเหมอื นกนั แตเ่ ราไมไ่ ดก้ นิ มนั ทกุ เวลานาทเี หมอื นลมหายใจ ซง่ึ จะ
ขาดระยะไม่ได้ ถา้ ขาดก็ตาย ลองดูก็ได้ ถา้ ขาดระยะสกั ๕-๑๐ นาที มนั จวนจะ
ตายไปแลว้
นพ่ี ดู ถงึ ความรสู้ กึ นกึ คดิ ของผปู้ ฏบิ ตั ิ มนั จะรขู้ นึ้ มาอยา่ งนี้ แปลกไหม แปลกซิ
ซงึ่ ถา้ หากไมไ่ ดพ้ จิ ารณาตามลมหายใจอยา่ งนี้ กจ็ ะไมร่ สู้ กึ วา่ มนั เปน็ อาหารเหมอื นกนั
จะเห็นก็แต่ค�ำขา้ วเท่านั้นทเ่ี ปน็ อาหาร ความจรงิ มนั กเ็ ปน็ แต่มนั ไม่อ่ิมเท่ากบั อาหาร
ลมหายใจ
อนั นี้ ถา้ เราทำ� ไปเรอื่ ยใหเ้ ปน็ ปฏปิ ทาอยา่ งสมำ่� เสมอ ความคดิ มนั จะเกดิ อยา่ งน้ี
จะเห็นต่อไปอีกว่า ท่ีร่างกายเราเคลื่อนไหวไปได้ก็เพราะลมอันนี้ ย่ิงพิจารณาก็ยิ่ง
เหน็ ประโยชนข์ องลมหายใจยง่ิ ขน้ึ แมล้ มจะขาดจากจมกู เรากย็ งั หายใจอยู่ แลว้ ลมนี้
ยังสามารถออกตามสรรพางคก์ ายก็ได้ เราสงบน่งิ อยู่เฉยๆ ปรากฏว่าลมมนั ไมอ่ อก
ลมมันไม่เขา้ แตว่ า่ ลมละเอยี ดมันเกิดข้นึ แล้ว
ฉะนนั้ เมอื่ จติ ของเราละเอยี ดถงึ ทส่ี ดุ ของมนั แลว้ ลมหายใจกจ็ ะขาด ลมหายใจ
ไม่มี เม่ือถึงตรงนี้ ท่านบอกว่าอย่าตกใจ แล้วจะท�ำอะไรต่อไป ก็ให้ก�ำหนดรู้อยู่
ตรงนนั้ แหละ รูว้ ่าลมไมม่ ีนน่ั แหละ เปน็ อารมณ์อยู่ต่อไป
พูดถงึ เร่อื งสมถกรรมฐาน มันกค็ อื ความสงบอยา่ งนี้ ถา้ กรรมฐานถกู จริตแลว้
มันเห็นอย่างน้ีแหละ ถ้าเราพิจารณาอยู่บ่อยๆ มันก็จะเพ่ิมก�ำลังของเราอยู่เร่ือยๆ
เหมือนกับนำ�้ ในโอ่ง พอจะแหง้ ก็หานำ�้ เตมิ ลงไปอยเู่ รอ่ื ย
78
ถา้ ทำ� สมำ�่ เสมออยอู่ ยา่ งนี้ มนั จะกลายเปน็ ปฏปิ ทาของเรา ทนี กี้ จ็ ะไดค้ วามสบาย
เรียกว่าสงบ สงบจากอารมณท์ ้งั หลาย คอื มอี ารมณ์เดียว คำ� ท่วี ่ามีอารมณเ์ ดยี วนน้ั
พูดยากเหมอื นกนั ความเปน็ จริงอาจมีอารมณ์อื่นแทรกอยู่เหมอื นกนั แต่ไม่มีความ
สำ� คญั กับเรา มนั เปน็ อารมณ์เดยี วอยู่อยา่ งน้ี
แต่ให้ระวัง เม่ือความสงบเกิดข้ึนมา แล้วมีความสบายเกิดขนึ้ มาก ระวังมันจะ
ตดิ สขุ ตดิ สบาย แลว้ เลยยดึ มน่ั ถอื มน่ั ฉะนนั้ ถา้ หากเกดิ ความคดิ ขน้ึ มาใหพ้ จิ ารณาวา่
ความสุขนกี้ ไ็ ม่เทย่ี ง ความสบายนก้ี ็ไม่เทยี่ ง หรอื ความทุกข์กไ็ ม่เที่ยง ความทเี่ ปน็
อย่างน้นั ๆ มนั ก็ไมเ่ ทย่ี ง จงึ อยา่ ไปยึดมน่ั ถือมั่นมันเลย
ความรสู้ กึ อยา่ งนน้ั มนั เกดิ ขน้ึ มา เพราะปญั ญาเกดิ ขนึ้ มาแลว้ เหน็ สภาวะของสง่ิ
ทงั้ หลายเปน็ อยา่ งนนั้ เมอ่ื มคี วามรสู้ กึ อยา่ งนี้ กเ็ หมอื นคลายเกลยี วนอตใหห้ ลวมออก
ไมใ่ หม้ นั ตงึ เมอ่ื กอ่ นมนั ตงึ มนั แนน่ ความรสู้ กึ ของเราทมี่ องกเ็ ชน่ กนั สมยั กอ่ นมองเหน็
อันน้ันก็แน่นอน อันน้ีก็แน่นอน มันเลยตึง มันก็เป็นทุกข์ พอไม่ยึดม่ันถือม่ัน
เห็นสงิ่ ทงั้ หลายเป็นของไม่แน่นอน มันกค็ ลายเกลียวออกมา
เรอื่ งความเหน็ นเ้ี ปน็ เรอื่ งของทฏิ ฐิ เรอื่ งความยดึ มนั่ ถอื มน่ั เรยี กอกี อยา่ งหนงึ่ วา่
มานะ ทา่ นจงึ สอนวา่ ใหล้ ดทฏิ ฐมิ านะลงเสยี จะลดไดอ้ ยา่ งไร จะลดไดก้ เ็ พราะเหน็ ธรรม
เห็นความไมเ่ ทย่ี ง สุขก็ไม่เที่ยง ทกุ ขก์ ไ็ มเ่ ทีย่ ง อะไรๆ กไ็ ม่เที่ยงทัง้ นั้น เม่ือเราเห็น
อยา่ งนนั้ อารมณท์ ง้ั หลายทเี่ รากระทบอยู่ มนั กจ็ ะคอ่ ยๆ หมดราคา หมดราคาไปมาก
เท่าไร กบ็ รรเทาความเหน็ ผดิ ไปไดเ้ ท่านน้ั นเี่ รยี กวา่ มันคลายนอตใหห้ ลวมออกมา
มนั กไ็ มต่ ึง
อปุ าทานก็จะถอนออกมาเรอื่ ยๆ เพราะเห็นชัดในเรอ่ื งอนจิ จัง ทกุ ขัง อนัตตา
ในสกนธร์ า่ งกายน้ี หรือในรูปนามน้ี ในโลกนีม้ นั เปน็ อย่างนี้ แล้วกจ็ ะเกดิ ความเบ่อื
ค�ำว่า “เบื่อ” ไม่ใช่เบื่ออย่างที่คนเขาเบ่ือกัน คือเบ่ืออย่างที่ไม่อยากรู้ไม่อยากเห็น
ไมอ่ ยากพดู ดว้ ย เพราะไมช่ อบมนั ถา้ มนั เปน็ อะไรไปกย็ ง่ิ นกึ สมนำ้� หนา้ ไมใ่ ชเ่ บอ่ื อยา่ งนี้
เบอื่ อยา่ งนเ้ี ปน็ อปุ าทาน เพราะความรไู้ มท่ ว่ั ถงึ แลว้ เกดิ ความอจิ ฉาพยาบาท เกดิ ความ
ยึดมัน่ ถอื มนั่ ในส่งิ ทเี่ รยี กวา่ “เบอ่ื ” นน่ั เอง
79
“เบือ่ ” ในท่ีน้ี ต้องเบ่อื ตามคำ� สอนของพระพทุ ธเจ้า คอื เบื่อโดยไม่มีความ
เกลยี ด ไมม่ คี วามรกั หากมอี ารมณช์ อบใจ หรอื ไมช่ อบใจอนั ใดเกดิ ขนึ้ มากเ็ หน็ ทนั ทวี า่
มันไมเ่ ทย่ี ง “เบอื่ ” อย่างนีจ้ งึ เรียกว่า “นพิ พิทา” คือความเบือ่ หนา่ ยคลายจากความ
กำ� หนดั รกั ใครใ่ นอารมณอ์ นั นน้ั ไมไ่ ปสำ� คญั มน่ั หมายในอารมณเ์ หลา่ นน้ั ทง้ั ทช่ี อบใจ
และไมช่ อบใจ ไมไ่ ปยดึ ม่ันถือม่นั และไมไ่ ปส�ำคญั มั่นหมายในส่งิ ท้ังหลายเหล่านน้ั
จนเปน็ เหตใุ ห้ทกุ ข์เกิด
พระพทุ ธเจา้ ทา่ นสอนตอ่ ไปอกี วา่ ให้รู้จักทกุ ข์ ให้รู้จักเหตุเกดิ ทุกข์ ใหร้ ู้ความ
ดบั ทกุ ข์ ใหร้ ขู้ อ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ ทา่ นใหร้ ขู้ องสอี่ ยา่ งนเี้ ทา่ นนั้ ทกุ ขเ์ กดิ ขนึ้ มา
กใ็ ห้รวู้ ่านต่ี วั ทุกข์ แลว้ ทกุ ข์นม้ี าจากไหน มันมีพอ่ แม่เหมอื นที่เราเกดิ มาเหมือนกนั
ไม่ใช่ว่ามนั เกิดข้ึนมาลอยๆ เมอ่ื อยากจะให้ทกุ ข์ดับ กไ็ ปตัดเหตุของมนั เสีย ท่ที กุ ข์
มนั เกดิ ก็เพราะไปยึดมน่ั ถือมัน่ น่นั เอง ฉะนน้ั จงึ ให้ตดั เหตุของมนั เสยี
การรู้จักดับความทุกข์ ก็ให้คลายเกลียวที่แน่นนั้นออกเสีย ให้เห็นโทษของ
อุปาทานความยึดมั่นถือม่ัน แล้วก็ถอนตัวออกมาเสีย รู้จักข้อปฏิบัติให้ถึงความ
ดบั ทุกขก์ ค็ อื มรรค ให้ปฏิบัติใหต้ ลอดตั้งแตส่ ัมมาทฏิ ฐไิ ปจนถึงสมั มาสมาธิ ให้มี
ความเหน็ ใหถ้ กู ตอ้ งในมรรคทงั้ แปดขอ้ น้ี ถา้ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ และความเหน็ ชอบ
ในสง่ิ ท้ังหลายนีแ้ ลว้ กจ็ ะเปน็ ข้อปฏิบตั ใิ หถ้ ึงความดับทุกข์ เรากจ็ ะพ้นจากความทกุ ข์
ข้อปฏบิ ตั ิน้ันคอื ศีล สมาธิ ปญั ญา
เรอื่ งของจติ ใจหรอื ธรรมชาตขิ องจติ จะตอ้ งเปน็ อยา่ งน้ี จะตอ้ งรแู้ ละเหน็ สง่ิ ทงั้ ส่ี
ประการคืออริยสจั ๔ น้ใี หช้ ัดเจนตามความเป็นจรงิ ของมัน เพราะมันเปน็ สัจธรรม
จะมองไปข้างหลัง ขา้ งหนา้ ขา้ งขวา ขา้ งซา้ ย มนั ก็เป็นสจั ธรรมทัง้ น้นั ดังน้นั ผบู้ รรลุ
ธรรมจะไปนง่ั ท่ไี หนหรอื ไปอย่ทู ใี่ ดกจ็ ะมองเหน็ ธรรมอยตู่ ลอดเวลา.
80
๗
ดวงตาเหน็ ธรรม
พวกเราบางองค์ทม่ี าอาศยั การปฏิบตั ิน้นั อยู่ไปตั้งปสี องปีกย็ งั ไมร่ เู้ รื่องกันเลย
กม็ ี ไมร่ เู้ รื่องวา่ เขาท�ำอะไรกนั เพราะความเขา้ ใจตงั้ ใจจดจอ่ ไมม่ ี ความจริงการเปน็
ผู้ปฏิบัตใิ จเราน้นั เมอ่ื เราดใู จเราเมอ่ื ใด ก็ให้มีสตจิ อ้ งอย่อู ย่างนั้น เมือ่ มีสตมิ นั ก็มี
ปญั ญา มองเหน็ ว่าไมว่ ่าทีใ่ ดกต็ าม ไมว่ า่ เมอ่ื ใดกต็ าม และไม่ว่าจะเป็นใครพดู อะไร
ก็ตาม มันลว้ นแล้วแตเ่ ป็นธรรมะทง้ั นั้น ถา้ เรารู้จกั น�ำมาคดิ
ธรรมะทงั้ หลายคอื ธรรมชาตทิ มี่ นั เปน็ อยขู่ องมนั มนั ลว้ นแตเ่ ปน็ ธรรมะทง้ั หมด
ทนี ้เี ม่อื เราไม่รูข้ อ้ ปฏบิ ัติ ไม่รู้วา่ ส่งิ ทั้งหลายคือธรรมะ เราจงึ อาศัยแต่การอบรมจาก
ครูบาอาจารย์ แต่ความจริงแล้วเราควรพิจารณาสภาวะธรรมชาติรอบตัวทุกอย่าง
อยา่ งต้นไมอ้ ยา่ งนี้ ธรรมชาตขิ องมันกเ็ กิดขน้ึ มาจากเมลด็ ของมัน แลว้ มันกโ็ ตข้นึ มา
เรอื่ ยๆ ถา้ เราพิจารณา เรากจ็ ะได้ธรรมะจากตน้ ไม้ แตเ่ ราไม่สามารถเขา้ ใจว่าตน้ ไมก้ ็
ใหธ้ รรมะได้ เมอ่ื มนั ใหญข่ นึ้ มา ใหญข่ น้ึ มาจนเปน็ ดอก จนมนั ออกผล เรากร็ เู้ พยี งวา่
ตน้ ไมม้ นั เปน็ ดอก มนั ออกผลมา แตไ่ มร่ จู้ กั นอ้ มเขา้ มาเปน็ โอปนยโิ ก คอื นอ้ มเขา้ มา
ในใจของเรา เลยไม่รวู้ ่าต้นไม้กเ็ ทศนใ์ หเ้ ราฟังได้
พวกเราไม่พากันรจู้ กั ต้นไม้น้นั มนั เกิดเปน็ ผลข้นึ มาให้เราไดเ้ คยี้ วไดฉ้ ันไดก้ นิ
ตามธรรมชาติ เราก็กินไปเฉยๆ กินดว้ ยการไม่พจิ ารณารสเปรย้ี ว รสหวาน รสมัน
รสเคม็ เรยี กวา่ ไม่รจู้ กั พิจารณาธรรมะจากตน้ ไม้ จากธรรมชาติ เราไม่พากันเข้าใจ
บรรยายธรรมแก่พระภกิ ษุสามเณร ณ วดั หนองปา่ พง เมอื่ ตลุ าคม ๒๕๑๑
81
ถึงธรรมชาตขิ องมัน เมอื่ ตน้ ไม้มนั แก่ข้นึ ใบของมันก็ร่วงลง เรากเ็ หน็ เพยี งว่าใบไม้
นั้นมันร่วงลง แล้วเรากเ็ หยียบไป กวาดไปเท่าน้นั การจะพิจารณาให้คืบคลานไปอีก
ก็ไม่มี อนั น้กี ค็ ือ ไมร่ จู้ กั ว่าธรรมชาตนิ น้ั คอื ธรรมะ
พอใบไม้ร่วงแล้ว ทนี ี้กจ็ ะมยี อดเลก็ ๆ โผล่ขนึ้ มา เรากเ็ หน็ เพียงแคว่ ่ามันโผล่
ขนึ้ มาเท่านัน้ ไม่ไดพ้ จิ ารณาอยา่ งอ่นื อีก นกี่ ไ็ ม่เปน็ โอปนยโิ ก คอื ไมน่ ้อมเขา้ มาหา
ในตน น่ีเป็นเช่นนั้น ถ้าน้อมเข้ามาหา เราจะเห็นว่า ความเกิดของเรากับต้นไม้ก็
ไมแ่ ปลกอะไรกนั เลย สกนธร์ า่ งกายของเราเกดิ ขน้ึ มาดว้ ยเหตปุ จั จยั ของมนั อาศยั ดนิ
นำ�้ ลม ไฟ เกดิ ขน้ึ มาตามธรรมชาตขิ องมนั กเ็ หมอื นกนั กบั เรา มนั กไ็ มไ่ ดแ้ ปลกอะไร
เพราะเราก็เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกสิ่งทุกส่วนของมันก็เจริญขึ้นเร่ือยๆ มันเปล่ียน
สภาวะของมันไปเรือ่ ยๆ เหมอื นกันกบั ต้นไม้ ถา้ เรานอ้ มเขา้ มาดูแลว้ จะเห็นว่าตน้ ไม้
เป็นอยา่ งไร เราก็เป็นอย่างนน้ั เหมอื นกัน
มนุษย์ท้งั หลายเกดิ ข้ึนมา เกดิ ขน้ึ มาเบือ้ งต้น ทา่ มกลาง แล้วกแ็ ปรไป ผม ขน
เลบ็ ฟนั หนงั มนั แปรไป มนั ไมอ่ ยเู่ หมือนเดมิ สง่ิ เหลา่ นถ้ี า้ เราไมร่ จู้ กั ตน้ ไมเ้ ครอื เขา
เถาวลั ยเ์ หลา่ นน้ั กเ็ หมอื นกบั เราไมร่ จู้ กั ตวั ของเรา ถา้ เรานอ้ มเขา้ มาเปน็ โอปนยกิ ธรรม
จึงจะรู้จักว่าต้นไม้เครือเขาเถาวัลย์นั้นก็เหมือนกับเรา คนเราเกิดมาผลที่สุดแล้ว
กต็ ายไป คนใหม่ก็เกิดมาต่อไป อยา่ งผม ขน เลบ็ หลุดรว่ งไปกง็ อกข้ึนมาใหม่ สลับ
เปลี่ยนกันไปอยา่ งนี้ ไม่หยดุ สกั ที ความเป็นจรงิ นั้น ถา้ หากเราเข้าใจข้อปฏบิ ัติ ก็จะ
เหน็ วา่ ตน้ ไมก้ ไ็ มแ่ ปลกไปจากเรา จะเหน็ ของสะอาดของสกปรก กไ็ มแ่ ปลกไปจากเรา
เพราะมันเป็นอยา่ งเดียวกนั
ถา้ เราเข้าใจธรรมะ เข้าใจฟังธรรมะจากครบู าอาจารย์ มนั เปรยี บเหมือนกบั ท่ี
ขา้ งในกบั ขา้ งนอก สงั ขารทมี่ วี ญิ ญาณครองและไมม่ วี ญิ ญาณครอง นม่ี นั กเ็ หมอื นกนั
ไมไ่ ดแ้ ปลกอะไร ถา้ เราเขา้ ใจวา่ มนั เหมอื นกนั แลว้ เราเหน็ ตน้ ไมว้ า่ เปน็ อยา่ งไร เรากจ็ ะ
เห็นขันธ์ของเรา คอื รปู เวทนา สัญญา สงั ขาร กอ้ นสกนธร์ า่ งกายของเรานก้ี ็เชน่ กนั
มนั ก็ไม่ไดแ้ ปลกอะไรกนั ถ้าเรามีความเขา้ ใจเชน่ นี้ เรากจ็ ะเห็นธรรม เห็นอาการของ
ขนั ธห์ า้ ของเรา วา่ มนั เคลอ่ื นมนั ไหว มนั พลกิ มนั แพลง มนั เปลยี่ นมนั แปลงไปไมม่ หี ยดุ
82
ทนี ี้ ไม่วา่ เราจะยืน จะเดนิ หรือนงั่ หรอื นอน ใจของเราก็จะมสี ตคิ ุ้มครอง
ระวังรกั ษาอยเู่ สมอ เมอ่ื เหน็ ของภายนอกก็เห็นของภายใน ถา้ เห็นของภายในกเ็ ห็น
ของภายนอก เพราะมันเหมอื นกนั ถ้าหากว่าเราเข้าใจอย่างนี้ เรากไ็ ด้ฟงั เทศนข์ อง
พระพทุ ธเจา้ แลว้ ถา้ เขา้ ใจอยา่ งนกี้ เ็ รยี กวา่ “พทุ ธภาวะ” คอื ผรู้ เู้ กดิ ขนึ้ มาแลว้ เกดิ ขน้ึ
มาแลว้ มนั รแู้ ลว้ รอู้ าการภายนอก รอู้ าการภายใน รธู้ รรมทงั้ หลายตา่ งๆ ทมี่ นั เปน็ มา
ถา้ เราเขา้ ใจอยา่ งนี้ แมเ้ รานงั่ อยใู่ ตร้ ม่ ไมก้ เ็ หมอื นกนั กบั พระพทุ ธเจา้ ทา่ นเสดจ็ มาเทศน์
โปรดเรา เราได้ฟงั เทศน์ของพระพทุ ธองค์อยเู่ สมอ เราจะยนื จะเดิน จะน่งั จะนอน
ก็ได้ฟัง เราจะได้เหน็ รปู ฟังเสยี ง ดมกลนิ่ ล้มิ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อันน้ี
เราก็ได้ฟังเทศน์อยู่เสมอ เหมือนกับพระพุทธเจ้าเทศน์ให้เราฟัง พระพุทธเจ้าก็คือ
ผรู้ อู้ ยใู่ นใจของเรานแ้ี หละ
รู้ธรรมเหล่านี้แล้ว เห็นธรรมเหล่าน้ีแล้ว ก็พิจารณาธรรมอันน้ีได้ ไม่ใช่ว่า
พระพุทธเจ้าท่านนิพพานไปแล้ว ท่านจะมาเทศน์ให้เราฟัง พทุ ธภาวะคอื ตัวผู้รู้ คือ
ดวงจิตของเราน้ีเกิดรู้ เกิดสว่างมาแล้ว ตัวน้ีแหละจะพาเราพิจารณาธรรมทั้งหลาย
เหลา่ น้ี ธรรมกค็ อื พระพทุ ธเจา้ องคน์ แ้ี หละ ถา้ ตง้ั พทุ ธะเอาไวใ้ นใจของเรา คอื ความรสู้ กึ
มนั มอี ยอู่ ยา่ งน้ี เราเหน็ มด เรากพ็ จิ ารณาไป มนั กไ็ มแ่ ปลกจากเรา เหน็ สตั วก์ ไ็ มแ่ ปลก
จากเรา เห็นต้นไม้ก็ไม่แปลก เห็นคนทุกข์คนจนก็ไม่แปลกกัน เห็นคนร�่ำรวยก็
ไม่แปลกกัน เห็นคนด�ำคนขาวก็ไม่แปลกกัน เพราะส่ิงเหล่าน้ีมันตกอยู่ในสามัญ
ลักษณะอนั เดียวกนั คือ ลักษณะอนั เดียวกัน
ถา้ เราเขา้ ใจอย่างน้ี กเ็ รยี กวา่ ผ้นู นั้ อยู่ท่ีไหนก็สบาย จะไดม้ ีพระพุทธเจา้ เทศน์
โปรดเสมอเลยทเี ดยี ว ถา้ ผไู้ มเ่ ขา้ ใจอยา่ งน้ี ไมเ่ ขา้ ใจในเรอ่ื งน้ี กใ็ หน้ กึ อยากจะฟงั เทศน์
กบั อาจารยอ์ ยู่เร่ือยไป เลยไม่ร้จู ักธรรมะ
ทพ่ี ระบรมศาสดาของเราทา่ นตรสั วา่ ตรสั รธู้ รรมนน้ั กค็ อื รธู้ รรมชาตเิ หลา่ นแ้ี หละ
ธรรมชาติท่ีมันเป็นอยู่นี้แหละ ถ้าเราไม่รู้จักธรรมชาติธรรมดาอันนี้ พอเราเห็นเขา
เราก็กระตอื รือรน้ ตน่ื เตน้ มีความร่าเรงิ จนหลงอารมณ์ จึงมีโศกเศร้าเสียใจ เพราะ
หลงอารมณ์หลงธรรมชาติเหล่านี้แหละ เม่ือมัวหลงธรรมชาติอันนี้ มันก็คือไม่รู้จัก
ธรรมะนนั่ เอง
83
สมเดจ็ พระบรมศาสดาทา่ นทรงชธ้ี รรมชาติ คอื ธรรมชาตหิ รอื ธรรมดาวา่ มนั เปน็
ของมนั อยอู่ ยา่ งนน้ั เกดิ มาแลว้ กเ็ ปลยี่ นไป แปรไปแลว้ ดบั ไปเปน็ ธรรมดา จะเปน็ ตวั
วา่ สขุ กเ็ หมอื นกนั จะเปน็ ตวั วา่ ทกุ ขก์ เ็ หมอื นกนั อยา่ งวตั ถทุ เี่ ราปน้ั ขน้ึ เชน่ ถว้ ย หมอ้ ตา่ งๆ
ทง้ั หลายเหลา่ น้ี เมอ่ื ถกู ปน้ั ขนึ้ มา กเ็ กดิ จากเหตจุ ากปจั จยั คอื ความปรงุ แตง่ ของเราขน้ึ
มาอกี ทหี นง่ึ เช่นกัน ครน้ั ได้ใชไ้ ป มนั ก็เก่าไป แตกไป สลายไป มลายไปได้ เพราะ
เป็นธรรมดาของมัน ตน้ ไม้ ภูเขา เถาวัลย์ตา่ งๆ กเ็ หมอื นกนั ตลอดจนมนุษยส์ ตั ว์
เดยี รฉานกเ็ หมอื นกนั มคี วามเกดิ ขน้ึ เปน็ เบอื้ งตน้ มคี วามแปรไปเปน็ ธรรมดาเชน่ นนั้
เม่ือท่านอัญญาโกณฑัญญะท่านฟังเทศน์เป็นปฐมสาวกนั้น ท่านไม่ได้เข้าใจ
อะไรมากมาย ทา่ นเขา้ ใจวา่ สงิ่ ใดสง่ิ หนง่ึ มคี วามเกดิ ขนึ้ เปน็ เบอ้ื งตน้ แลว้ มคี วามแปรไป
เป็นธรรมดา แล้วผลที่สุดก็มีความดับเป็นธรรมดาของมัน เม่ือก่อนน้ีพระอัญญา
โกณฑัญญะนั้นไม่เคยได้มีความนึกหรือความคิดอย่างนี้เลย หรืออีกนัยหน่ึงก็คือ
ไมเ่ คยพจิ ารณาใหแ้ จม่ แจง้ เลยสกั ครงั้ ฉะนน้ั พระอญั ญาโกณฑญั ญะจงึ ไมไ่ ดป้ ลอ่ ย
หรอื ไมไ่ ดว้ าง คอื มอี ปุ าทานในขนั ธท์ ง้ั หา้ นอี้ ยู่ ตอ่ เมอ่ื ไดม้ าฟงั เทศนข์ องพระบรมศาสดา
ของเรา ขณะนง่ั ฟงั มพี ทุ ธภาวะเกดิ ขนึ้ ไดม้ องเหน็ ธรรมวา่ สงั ขารทง้ั หลายทง้ั ปวงเปน็
ของไม่แนน่ อน มันเป็นธรรมชาติหรือธรรมดานเี่ อง ทา่ นจึงบอกไดว้ า่ สงิ่ ใดส่ิงหน่ึงมี
ความเกดิ ขนึ้ เปน็ เบอ้ื งตน้ แลว้ มคี วามแปรไป สง่ิ เหลา่ นดี้ บั ไปเปน็ ธรรมดา ธรรมชาติ
อนั นมี้ นั เปน็ อยอู่ ยา่ งนเี้ สมอ ความเหน็ ของพระอญั ญาโกณฑญั ญะในขณะทฟี่ งั นนั้ เปน็
ความรู้สกึ แปลก แปลกจากในอดตี หรอื กาลกอ่ นทไ่ี ด้เคยพิจารณามา อันนรี้ ู้เทา่ ถึง
ดวงจติ จรงิ ๆ เปน็ ไดว้ ่า “พทุ ธะ” คอื ผู้รูเ้ กิดขึ้นมาในเวลาน้ัน สมเด็จพระบรมศาสดา
ท่านทรงเรยี กว่า พระอญั ญาโกณฑัญญะไดด้ วงตาเห็นธรรมแล้ว
ดวงตาเหน็ ธรรมนน้ั คอื ดวงตาเหน็ อะไร คอื ดวงตาเหน็ สงิ่ ใดสงิ่ หนง่ึ มคี วามเกดิ
เปน็ เบอ้ื งตน้ ความแปรไปเปน็ ทา่ มกลาง ความดบั เปน็ ทส่ี ดุ สง่ิ ใดสง่ิ หนงึ่ กค็ อื ทง้ั หมด
จะเปน็ รปู กช็ า่ ง จะเปน็ นามกต็ าม สงิ่ ใดสง่ิ หนง่ึ ครอบรวมเลยทเี ดยี ว ไดแ้ ก่ ธรรมชาติ
ท้งั หมดเปน็ ส่ิงใดส่ิงหน่งึ จะเป็นรูปธรรมก็ช่าง จะเป็นนามธรรมก็ตาม เกดิ ขน้ึ แล้ว
กแ็ ปรดบั ไป อยา่ งตวั สกนธร์ า่ งกายของเรากเ็ หมอื นกนั มนั เกดิ แลว้ กแ็ ปรไปตามธรรมดา
ของมนั แล้วมนั กด็ ับไป
84
อยา่ งเดก็ กแ็ ปรจากเดก็ ดบั จากเดก็ มาเปน็ หนมุ่ จากหนมุ่ กด็ บั ไปเปน็ แก่ จากแก่
กด็ บั ไปเปน็ ชรา จากชรากต็ าย ตน้ ไม้ ภเู ขา เถาวลั ย์ กเ็ หมอื นกนั เบอื้ งตน้ กเ็ หมอื นกนั
มนั แปรไป แล้วก็แก่ไป ส่ิงท้งั หลายเหลา่ น้ี ธรรมชาติเหล่านี้ เรยี กวา่ ส่ิงใดสงิ่ หนง่ึ
ความเห็นหรือความเข้าใจอันเกิดมาจากผู้รู้ในคราวท่ีน่ังฟังธรรมอยู่นั้น เข้าไปถึงใจ
ของพระอัญญาโกณฑัญญะ จนเปน็ เหตใุ หถ้ อนตัวอุปธิหรืออุปาทานออกจากสงั ขาร
ท้งั หลายทง้ั ปวงน้นั ได้ เป็นตน้ วา่ สกั กายทฏิ ฐิ คอื อาการทไ่ี มถ่ อื เนือ้ ถือตวั ท้ังหลายนี้
เห็นตามสกนธ์รา่ งกายของเราแล้วกไ็ ม่เหน็ วา่ เปน็ ตวั เปน็ ตนของเรา เหน็ ชดั ลงไปจน
เปน็ เหตใุ หถ้ อนจากอปุ าทานน้ัน ไมถ่ ือตวั ซ่ึงเปน็ สกั กายทิฏฐิ และไม่มีวจิ กิ ิจฉา
เมื่อถอนอุปาทานออกมาจากความยึดม่ันถือมั่นแล้ว ก็มิได้สงสัยเลยในธรรม
ทัง้ หลายหรอื ในความรทู้ ัง้ หลาย เข้าไปเห็นธรรมท้งั หลายเหลา่ น้ีแล้วกเ็ ปลี่ยนออกไป
เลยทีเดยี ว ร้วู า่ น่ี วจิ ิกจิ ฉา น่ี สลี พั พตปรามาส การปฏิบัติของท่านนั้นแนแ่ น่วตรง
เข้าไป ไมไ่ ด้เคลอื บแคลงสงสยั ไมไ่ ด้ลบู หรือไม่ได้คล�ำ ถึงแม้ว่าสกนธ์รา่ งกายมันจะ
เจบ็ มันจะไข้เปน็ ไปอยา่ งใด ท่านก็ไมล่ ูบไม่คล�ำมัน ไม่ไดส้ งสยั เสียแลว้ การที่ไม่ได้
สงสัยน้ีก็คือถอนอุปาทานออกมาแล้ว ถ้ามีอุปาทานอยู่ก็ต้องไปลูบไปคล�ำในสกนธ์
รา่ งกายนี้ อาการลบู คลำ� ในสกนธร์ า่ งกายนเ้ี ปน็ สลี พั พตปรามาส เมอ่ื ถอนสกั กายทฏิ ฐิ
ออกจากกายน้ี สลี พั พตปรามาสกห็ มดไป วจิ กิ จิ ฉากเ็ ลกิ สลี พั พตปรามาสกเ็ ลกิ ถา้ ยงั
มีสีลัพพตปรามาสอยู่ วิจกิ จิ ฉาก็อยู่ อปุ าทานกย็ งั อยู่
อันนี้แสดงว่าธรรมะท่ีสมเด็จพระบรมศาสดาของเราท่านแสดงคราวนั้น
พระอญั ญาโกณฑัญญะฟงั แลว้ ได้ดวงตาเหน็ ธรรม ดวงตาอันนน้ั ก็คอื ผรู้ ู้แจง้ น่ันเอง
เรยี กวา่ ดวงตาเหน็ ธรรม คอื เหน็ ธรรมหรอื ธรรมดาอนั นเ้ี อง เมอื่ เหน็ ชดั ลงไปอยา่ งน้ี
ก็ถอนอุปาทานได้ ฉะน้ัน การถอนอุปาทานได้น้ีจึงรู้สึกว่ามันเกิดผู้รู้ขึ้นมาจริงๆ
เมอ่ื กอ่ นกร็ อู้ ยเู่ หมอื นกนั แตม่ นั ถอนอปุ าทานไมไ่ ด้ นน่ั เรยี กวา่ ผรู้ ธู้ รรมอยแู่ ตไ่ มเ่ หน็ ธรรม
เหน็ ธรรมอยู่แตไ่ ม่เปน็ ธรรม เพราะไมร่ ู้ตามสภาวะของมนั ฉะนัน้ พระบรมศาสดา
ท่านจงึ ตรัสว่า “อญั ญาสิ อญั ญาสิ วะตะ โภ โกณฑญั โญ, โกณฑัญญะได้รแู้ ล้วหนอ
รู้แลว้ หนอ” รู้อะไรละ่ ทา่ นรูอ้ ะไร กค็ ือได้รู้ธรรมชาตทิ ม่ี ันเป็นอยนู่ ่เี อง
85
เราท้งั หลายมกั หลงธรรมชาติ อย่างสกนธร์ ่างกายนี้ กายของเราน้ปี ระกอบขึน้
ด้วย ดนิ น้�ำ ไฟ ลม มันก็เป็นธรรมชาติทีเ่ รียกวา่ วตั ถทุ ี่มองเหน็ ดว้ ยตา มันอย่ดู ้วย
อาหาร เจรญิ มา เจริญมา เจริญขนึ้ มาแลว้ กแ็ ปรไป ถงึ ที่สดุ มนั ก็ดับไปเชน่ กัน
สว่ นขา้ งในนน้ั ผคู้ มุ้ ครองอยซู่ ง่ึ กายนี้ กค็ อื วญิ ญาณ ผรู้ นู้ แ้ี หละ ผรู้ ผู้ เู้ ดยี วนแ้ี หละ
ถา้ ไปรบั ทางตากเ็ ปน็ จกั ษวุ ญิ ญาณ ถา้ ไปรบั ทางหกู เ็ รยี กโสตวญิ ญาณ ถา้ ไปรบั ทางจมกู
ก็เรียกฆานวิญญาณ ไปรับทางล้ินก็เรียกชิวหาวิญญาณ ไปรับทางกายก็เรียก
กายวญิ ญาณ รับทางจิตมโนนเ้ี รียกมโนวิญญาณ
ตัววิญญาณนี้ตัวเดียว เกิดข้ึนที่ไหนก็เรียกว่าผู้รู้ทั้งน้ัน ไปรู้ทางตาก็เรียกไป
อยา่ งหนงึ่ ไปรทู้ างหู จมูก ก็เรียกไปอย่างหน่ึง ร้ทู ี่ตา รู้ทหี่ ู ร้ทู จี่ มกู รู้ทีล่ ้นิ รูท้ ี่กาย
รทู้ จ่ี ิต มันกต็ วั ผู้รู้อันเดียวนี้แหละ ผรู้ อู้ ันเดยี วน้ไี ม่ใชผ่ รู้ ู้อ่นื ตัวผูร้ ูอ้ ันเดียวน้ีเรียกวา่
วญิ ญาณ กว็ ญิ ญาณหกอย่างนแ้ี หละ ชอ่ื มันหกเฉยๆ คอื มนั ไปรอู้ ยทู่ ี่น่ันบ้างท่ีนี่บ้าง
รทู้ ตี่ า หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ อยา่ งนแ้ี หละ ไปรทู้ ต่ี าบา้ ง รทู้ ห่ี บู า้ ง รทู้ จ่ี มกู บา้ ง ทล่ี น้ิ บา้ ง
ทก่ี ายบ้าง ท่จี ติ บ้าง เขาจึงเรียกว่าหก ความเปน็ จริงมนั ไม่มหี กหรอก มันไปร้ใู นชอ่ ง
ท้งั หกเทา่ นน้ั แหละ เพราะชอ่ งท้ังหกมนั เปน็ ประตูผ่านเขา้ มาสผู่ รู้ ู้อนั เดียว ผู้รูผ้ ้เู ดียว
สามารถจะรไู้ ปทัว่ ถึงในทวารทั้งหกอยา่ งน้ี เราจึงเรียกว่าวญิ ญาณหก
วญิ ญาณหกนแี่ ยกออกโดยปรยิ ตั ิ ความเปน็ จรงิ มผี รู้ ผู้ เู้ ดยี วเทา่ นน้ั รทู้ างตากว็ า่
อย่างหน่ึง รู้ทางหกู ว็ ่าอยา่ งหนึ่ง รู้ทางจมกู ทางล้ิน ทางกาย ทางใจ ก็วา่ อย่างหน่ึง
ความเป็นจริงก็คือคนผู้เดียวนี้เองแหละ วิญญาณคือผู้รู้ผู้เดียว คือดวงจิตของเรา
ผรู้ นู้ ีแ้ หละจะเป็นเหตใุ หม้ ีอ�ำนาจสามารถรสู้ ภาวะหรือธรรมชาตติ ามเปน็ จรงิ ถ้าตัวน้ี
ยงั มีเครือ่ งปกปดิ อยเู่ ม่อื ใด รอู้ ันน้ที ่านเรียกว่า โมหธรรม คือ รู้ไปในทางที่ผดิ รู้ผิด
เหน็ ผดิ กต็ วั วญิ ญาณตวั เดยี วนแ้ี หละ ผรู้ ตู้ วั เดยี วนเ้ี อง ไมเ่ ปน็ ตวั อนื่ อกี รผู้ ดิ เหน็ ผดิ
รถู้ กู เหน็ ถกู กต็ วั เดยี วนเี้ อง เพราะเชน่ นท้ี า่ นจงึ วา่ เปน็ มจิ ฉาทฏิ ฐิ สมั มาทฏิ ฐิ ไมม่ สี องตวั
มตี วั เดียว ผิดก็เกดิ ขึ้นจากตวั เดียว ถูกกเ็ กิดขึ้นจากตัวเดียว
เม่ือโมหะเกิดในทางท่ีผิดก็เรียกว่า โมหะมันก�ำบัง ความรู้อันน้ีมันก็ผิดไป
เมื่อความรู้ผิด มนั ก็มีความเหน็ ผิด ดำ� ริผิด การงานผิด เลี้ยงชวี ติ ผดิ ผิดไปหมด
86
เปน็ มจิ ฉาทฏิ ฐิ คอื ความเหน็ ผดิ ความเหน็ ชอบกเ็ กดิ จากผรู้ ผู้ เู้ ดยี ว ถา้ มนั ชอบแลว้ ความ
ไมช่ อบมนั กห็ ายไป ถา้ มนั ถกู แลว้ ความผดิ มนั กห็ ายไป ฉะนนั้ สมเดจ็ พระบรมศาสดา
ท่านประพฤติหรือปฏิบัติอยู่นั้น ทรงทรมานสกนธ์ร่างกายของท่านด้วยเร่ืองอาหาร
การบรโิ ภคตา่ งๆ จนรา่ งกายของทา่ นซบู ผอมลงไป อยา่ งทเ่ี ราเรยี นมา ฟงั มา แลว้ ทา่ น
กพ็ จิ ารณาเขา้ ไป พจิ ารณาเขา้ ไป เขา้ ไป เขา้ ไป แลว้ กถ็ อนออกมาไดค้ วามรวู้ า่ พระพทุ ธเจา้
ทง้ั หลายนต้ี รสั รูท้ างจิต เพราะกายนมี้ ันไมร่ ูจ้ กั อะไร กายนจี้ ะใหม้ ันกินก็ได้ จะไม่ให้
มนั กนิ ก็ได้ ฆ่ามนั ทง้ิ เมื่อไรก็ได้ กายนีฆ้ ่าทิ้งก็ได้
เมอื่ ทา่ นได้ความรู้แลว้ ว่า พระพุทธเจา้ ทง้ั หลายบำ� เพ็ญทางจิต การตรสั รู้ของ
พระพุทธเจ้าทั้งหลายอยทู่ ่ีรูจ้ ติ เม่ือทา่ นมาพิจารณาถึงจิตของท่าน ทา่ นก็ไดอ้ อกจาก
การปฏบิ ตั ทิ รมานกาย เมอื่ ทา่ นแสดงธรรมเรอื่ งกามสขุ ลั ลกิ านโุ ยโค อตั ตกลิ มถานโุ ยโค
ท่านจงึ แสดงขึ้นอย่างชัดแจ้งเลยทเี ดียว เพราะทา่ นไดเ้ ห็นแลว้ ธรรมเทศนาอันนม้ี นั
จงึ ชัดในใจของพวกคนทง้ั หลาย
กามสุขลั ลกิ านโุ ยโคน้ัน คือใจของเรามนั ลุ่มหลงอยู่ในความสขุ ลมุ่ หลงอยใู่ น
ความสบาย ลมุ่ หลงอยใู่ นความดใี จ ลมุ่ หลงวา่ เราดี วา่ เราเลศิ เราประเสรฐิ อาศยั อยใู่ น
ความสขุ นี้ อนั นกี้ ไ็ มใ่ ชห่ นทางทบ่ี รรพชติ จะพงึ เดนิ เขา้ ไป เพราะมนั เปน็ กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยโค
สว่ นอาการทไี่ มพ่ อใจ อาการทเี่ ปน็ ทกุ ขใ์ จ อาการทไี่ มช่ อบใจ อาการทกี่ รว้ิ ทโ่ี กรธ อนั น้ี
กเ็ ปน็ อตั ตกลิ มถานโุ ยโค ไมไ่ ดเ้ กดิ ประโยชนอ์ ะไร ธรรมสองอยา่ งนนั้ ทา่ นจงึ วา่ ไมใ่ ช่
หนทางของบรรพชติ จะพงึ เดิน
ค�ำว่า “หนทาง” น้ันก็คือ อาการท่ีมันดีใจหรือเสียใจที่เกิดขึ้นมา ค�ำว่า
“ผู้เดินทาง” นัน้ ก็คอื ตัวผรู้ ู้ของเรานน่ั แหละ ไมค่ วรเดนิ ไปในอาการที่มันดีใจหรือ
เสียใจนัน้ ผูเ้ ดนิ ทางของเรากค็ ือตัวจิตนเ้ี อง ทางนัน้ เรียกวา่ อาการ ผู้เดินทางก็คือ
ดวงจติ ถ้าดใี จ กไ็ ปยึดเอาความดใี จเอาไวด้ ว้ ย นี่เปน็ กามสุขัลลิกานุโยโค ถ้าหากว่า
อารมณ์ที่ไม่ดีไม่ชอบใจ เรากเ็ ขา้ ไปยดึ หมายอุปาทานวา่ ไมด่ ใี จไมช่ อบใจ นกี่ ็เรยี กว่า
มนั เข้าไปเดินในทางอนั นี้ เปน็ อตั ตกิลมถานโุ ยโค นกี่ ไ็ ม่ได้ ข้างน้กี ส็ ุข ขา้ งน้กี ท็ ุกข์
87
ทา่ นจงึ วา่ กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยโค และอตั ตกลิ มถานโุ ยโค ทางสองอยา่ งนไี้ มใ่ ชท่ าง
ของสมณะ เปน็ ธรรมของชาวบา้ น ชาวบ้านเขาหาส่งิ ทเ่ี ปน็ สขุ สนกุ สนานอนั เกดิ ทุกข์
ไมส่ บาย เราไมช่ อบ ฉะนน้ั พวกชาวมนษุ ยโ์ ลกทงั้ หลาย จงึ ไปอาศยั ความสขุ และทกุ ข์
สบั เปลยี่ นกนั อยอู่ ยา่ งนน้ั ความสขุ ทกุ ขน์ น้ั แหละกค็ อื ทางเดนิ สายโลกละ่ มนั มสี ขุ แลว้
ก็มีทุกข์ มีทุกข์แล้วก็มีสุข ของเหล่าน้ีเป็นของไม่แน่นอนปะปนกันไปอยู่ตลอดจน
ปลายทาง ฉะนน้ั มนั จงึ เปน็ ธรรมของบคุ คลทล่ี มุ่ หลงอยใู่ นโลก ผทู้ ไ่ี มส่ งบ ผสู้ งบนน้ั
ท่านไมเ่ ดนิ ทางน้ัน แตว่ า่ ทางน้ันท่านก็เห็น
อาการทส่ี ขุ ทา่ นกเ็ หน็ อาการทกุ ขท์ า่ นกเ็ หน็ แตท่ า่ นไมม่ อี ปุ าทาน ยดึ แนน่ แนก่ บั มนั
ไมเ่ อาจรงิ จงั กบั มนั ทา่ นไมเ่ ดนิ แตท่ า่ นรู้ รหู้ นทางของมนั อาการใดทไี่ มช่ อบใจเกดิ ขนึ้ มา
นน่ั กเ็ ปน็ หนทาง ทา่ นกเ็ หน็ เหมอื นกนั แตท่ า่ นไมเ่ ดนิ ตามมนั ไป ทา่ นไมม่ นั่ หมายมนั
ไมม่ อี ปุ าทานกบั มนั ทา่ นกเ็ หน็ ทางเหมอื นกนั แตว่ า่ ทา่ นไมเ่ ดนิ นเี่ รยี กวา่ ทา่ นผเู้ หน็ ทาง
ผ้สู งบแลว้ กเ็ ห็นทางที่ไมส่ งบ จึงเป็นผสู้ งบอยไู่ ด้ ทางทเ่ี ปน็ สุขหรือทางท่ีเสียใจ
ทางทดี่ ใี จ ลว้ นแตเ่ ปน็ ทางทผ่ี ดิ ทง้ั นน้ั ทา่ นผรู้ ทู้ ง้ั หลายทา่ นกร็ จู้ กั รอู้ ยมู่ นั เกดิ กบั ทา่ น
อยเู่ หมอื นกนั แต่ท่านไม่เอาจรงิ เอาจงั กบั มัน ปล่อยมนั ไป วางมันไป ละมนั ไป
ทา่ นผสู้ งบแลว้ คอื สงบจากอะไร สงบจากความดใี จ สงบจากความเสยี ใจ สงบจาก
ความสขุ สงบจากความทกุ ข์ สขุ ทกุ ขน์ นั้ ไมม่ หี รอื มอี ยแู่ ตไ่ มม่ ใี นใจ กอ่ นจะมใี นใจนน้ั
ใจกเ็ ปน็ ผรู้ เู้ สยี แลว้ เปน็ ผรู้ จู้ กั ชอบเสยี แลว้ รดู้ เี สยี แลว้ อาการสขุ กเ็ กดิ ขนึ้ ได้ แตก่ ไ็ มไ่ ด้
หมายถงึ สขุ อาการทกุ ขก์ เ็ กดิ ขน้ึ ทนี่ น่ั แตก่ ไ็ มไ่ ดห้ มายถงึ ทกุ ข์ นนั่ ถา้ รอู้ ยา่ งนเ้ี รยี กวา่
มคี วามเห็นชอบ
นถ่ี า้ ทา่ นไมย่ ดึ ไมห่ มาย ทา่ นกป็ ลอ่ ย ความสขุ ความทกุ ขเ์ ปน็ ธรรมชาติ ธรรมชาติ
หรอื ธรรมดามนั เปน็ เชน่ นน้ั ถา้ เรารเู้ ทา่ แลว้ สขุ หรอื ทกุ ขม์ นั เปน็ โมฆะ ไมม่ คี วามหมาย
กบั ใคร ไมม่ คี วามหมายกบั จติ ของพระอริยเจ้าทง้ั หลายผู้เขา้ ไปถึงแล้ว มันมีอยู่แต่
ไมม่ คี วามหมาย ทา่ นรบั ทราบไวเ้ ฉยๆ รบั ทราบไวว้ า่ สขุ หรอื ทกุ ข์ รอ้ นหรอื เยน็ ทา่ นรบั
ทราบอยู่ ไมใ่ ชว่ ่าท่านไม่รบั ทราบ
88
สมเด็จพระบรมศาสดาท่านจึงตรัสว่า พระอรหันต์ทั้งหลายนั้นไกลจากกิเลส
ความเปน็ จรงิ แลว้ ไมใ่ ชว่ า่ ทา่ นจะไกลไปไหน ไมใ่ ชว่ า่ ทา่ นจะหนไี ปจากกเิ ลส ไมใ่ ชว่ า่
กเิ ลสจะหนไี ปจากทา่ น มนั มอี ยอู่ ยา่ งนนั้ แหละ มอี ยอู่ ยา่ งนนั้ ทา่ นจงึ เปรยี บเหมอื นกบั
นำ้� กบั ใบบวั ใบบวั กอ็ ยกู่ บั นำ�้ นำ้� กอ็ ยกู่ บั ใบบวั ถงึ แมใ้ บบวั กบั นำ้� จะอยดู่ ว้ ยกนั กจ็ รงิ
เมอื่ นำ�้ กระเดน็ ขน้ึ มาบนใบบวั นำ้� กก็ ลง้ิ ถกู กนั อยเู่ หมอื นกนั แตน่ ำ้� ไมส่ ามารถซมึ ซาบ
เข้าไปในใบบัวได้
กเิ ลสทงั้ หลายกเ็ ปรยี บเหมอื นนำ้� จติ ของผปู้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั กิ ค็ อื ใบบวั ถกู กนั อยู่
ไมห่ นไี ป แตว่ า่ ไมซ่ มึ ซาบเขา้ ไป จติ ของพระโยคาวจรเจา้ ผปู้ ฏบิ ตั กิ เ็ หมอื นกนั ไมไ่ ดห้ นี
ไปไหน อยู่ที่นัน่ แหละ ความดมี ากร็ ู้ ความชั่วมาก็รู้ ความสุขมาก็รู้ ความทุกขม์ ากร็ ู้
ความชอบมากร็ ู้ ความไมช่ อบมากร็ ู้ รหู้ มด รหู้ มดอยทู่ น่ี นั่ แตว่ า่ ทา่ นรบั ทราบไวเ้ ฉยๆ
มนั ไมไ่ ดเ้ ขา้ ไปในจติ ของทา่ น เรยี กวา่ ไมม่ อี ปุ าทาน เปน็ ผรู้ บั ทราบไวเ้ รอื่ ยๆ เรอ่ื ยๆ ไป
อาการทท่ี ่านรับทราบไวน้ ้ันกอ็ ย่างที่ภาษาเราว่า รบั ทราบไว้ วางใจเปน็ กลางๆ
วางใจเป็นกลางตามภาษาสามัญว่ารับทราบไว้ คอื ไม่ไปแตะไปตอ้ ง รับทราบไว้เฉยๆ
อาการเชน่ น้ี เหลา่ นม้ี อี ยตู่ ลอดกาลตลอดเวลา เพราะสง่ิ เหลา่ นมี้ นั มอี ยใู่ นโลก มนั มโี ลก
พระพทุ ธเจา้ ทา่ นกต็ รสั รอู้ ยใู่ นโลก ทา่ นเอาอาการของโลกนไี้ ปพิจารณา ถา้ ทา่ นไมไ่ ด้
พิจารณาโลก ก็ไม่เหน็ โลก ท่านก็จะอยเู่ หนือโลกไมไ่ ด้
ฉะนนั้ องคพ์ ระบรมครขู องเราตรสั รกู้ ด็ ว้ ยเอาเรอื่ งของโลกนแ้ี หละ มารเู้ ทา่ โลก
น่เี อง โลกกย็ งั มอี ยอู่ ย่างน้ัน สรรเสริญกม็ ี นินทาก็มี ลาภก็มี เสือ่ มลาภกม็ ี ยศก็มี
เส่ือมยศก็มี สุขทุกข์ก็มี ถ้าไม่มีส่ิงเหล่าน้ีก็ไม่มีอะไรจะตรัสรู้ เมื่อท่านตรัสรู้ตาม
เปน็ จรงิ แลว้ คอื รโู้ ลกน้ี โลกธรรม ธรรมอนั ครอบงำ� สตั วโ์ ลกอยู่ สตั วโ์ ลกยอ่ มเปน็ ไป
ตามธรรม ครอบหัวใจสัตว์ ครอบหัวใจคน มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เส่ือมยศ
สรรเสริญ นนิ ทา สุข ทุกข์ เป็นของโลก
ถา้ หากวา่ ใจมนษุ ยท์ ง้ั หลายเปน็ ไปตามอำ� นาจสขุ ทกุ ข์ นนิ ทา เปน็ ไปตามอำ� นาจมนั
นั่นแหละคอื โลก ท่านจงึ เรียกวา่ โลกธรรม โลกธรรมเปน็ ธรรมอนั หนงึ่ ทำ� ใหม้ อง
89
ไม่เห็นทางมรรคแปดท่ีจะเดนิ ไปหาทางพ้นทุกข์นนั้ มีแตโ่ ลกท่วมหวั อย่นู ่ี ช่อื ว่าสตั ว์
โลกเปน็ ไปตามธรรม ธรรมนน้ั มันใหส้ ัตวเ์ ป็นโลก โลกกเ็ ดินไปตามธรรมน้ัน มันจงึ
เป็นโลกธรรม ผูอ้ ยู่ในโลกธรรมคือเป็นสตั ว์โลก วุน่ วายอย่ตู ลอดกาลตลอดเวลา
ฉะนั้น ในการประพฤติหรือปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนา ท่านจึงสอนว่า
ใหเ้ จรญิ มรรคคอื ตวั ปญั ญา รวมแลว้ คอื ปฏบิ ตั ศิ ลี ใหม้ นั ยง่ิ สมาธใิ หม้ นั ยงิ่ ปญั ญาให้
มนั ยงิ่ นค่ี อื เครอ่ื งทำ� ลายโลก น.ี่ ..หนทางเดนิ เขา้ ไปทำ� ลายโลก โลกมนั อยทู่ ไี่ หนละ่ ทนี ี้
โลกมนั อย่ทู ีใ่ จของสตั ว์ทลี่ ุ่มหลงนนั่ แหละ อาการที่มนั ติดลาภ ตดิ ยศ ตดิ สรรเสริญ
ตดิ สขุ ตดิ ทกุ ข์ นนั่ แหละ เมอ่ื มอี ยใู่ นใจเมอ่ื ใด ใจกเ็ ปน็ โลก เมอ่ื ใจเปน็ โลก อยทู่ ไี่ หน
โลกกอ็ ยูท่ ่ีน่ันแหละ
ตน้ เหตทุ โ่ี ลกจะเกดิ ขน้ึ มา กเ็ กดิ จากความอยาก ถา้ ดบั ความอยาก กค็ อื ดบั โลก
ความอยากเปน็ บอ่ เกดิ ของโลกทง้ั หลาย ฉะนั้น เมื่อเรามาประพฤติหรือปฏิบัติแล้ว
เราจงึ เดนิ ทางศลี สมาธิ ปญั ญา นที่ า่ นวา่ โลกธรรมแปดและมรรคแปดเปน็ ของคกู่ นั
ทำ� อยา่ งไรจึงเปน็ ของค่กู นั ถา้ หากว่าเราพูดทางปริยตั ขิ องเราแล้ว กพ็ ูดได้วา่ ลาภ
เสื่อมลาภ ยศ เส่ือมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ นี่ก็แปดอย่างในทางโลก
สว่ นในทางธรรมกม็ มี รรคแปด สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสงั กปั โป สมั มาวาจา สมั มากมั มนั โต
สมั มาอาชีโว สมั มาวายาโม สมั มาสติ สัมมาสมาธิ รวมแลว้ ก็แปดอย่างเหมอื นกนั
ทางสองแปด๑ นน่ี ะมนั อยทู่ เ่ี ดยี วกนั ไมไ่ ดอ้ ยคู่ นละท่ี พวกยนิ ดใี นลาภ ยศ สรรเสรญิ
กอ็ ยใู่ นใจน้ี ใจผรู้ นู้ ้ี แตผ่ รู้ นู้ ม้ี เี ครอ่ื งปกปดิ เอาไวจ้ งึ ใหร้ ผู้ ดิ ไป มนั กเ็ ลยเปน็ โลก ผรู้ นู้ ้ี
ยงั ไมม่ พี ุทธภาวะเกิดข้นึ มา จงึ ถอนตวั ออกไมไ่ ด้ จติ ใจขณะนีก้ เ็ ลยเปน็ โลก
เม่อื เราไดม้ าปฏิบัติ มาทำ� ศีล ทำ� สมาธิ ท�ำปัญญา กค็ อื เอากาย เอาวาจา
เอาใจนี้มาประพฤติปฏิบัติท่ีโลกธรรมมันแฝงอยู่นี้แหละ ที่มันยินดีในลาภ ในยศ
ในสรรเสรญิ ในสขุ ในทกุ ขน์ แ้ี หละ มาทำ� ลงทเ่ี ดยี วกนั ถา้ เมอ่ื เราไดม้ าทำ� ลงทเี่ ดยี วกนั นี้
ก็เลยเห็นกัน เห็นโลกเห็นธรรมมันขวางกันเลยทีเดียว ไม่มีลาภก็คิดอยากได้ลาภ
๑ ทางสองแปด หมายถึง โลกธรรมแปด และมรรคมีองค์แปด
90
มียศก็ติดยศ มีสรรเสริญก็ติดสรรเสริญ มีสุขก็ติดสุข มีทุกข์ก็ติดทุกข์ มีนินทา
ก็ติดนนิ ทา ถา้ เรามาปฏบิ ัตลิ งทใี่ จของเรา มนั ก็จะไดเ้ ห็นโลกเหน็ ธรรมชดั
ฉะนน้ั สมเดจ็ พระบรมศาสดาจงึ ตรสั วา่ “สทู งั้ หลายจงมาดโู ลกนอ้ี นั นา่ ตระการ
ดุจราชรถ อันพวกคนเขลาท้ังหลายขลุกอยู่หมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่” ไม่ใช่ว่า
ทา่ นใหไ้ ปดโู ลกทง้ั โลก หรอื ทง้ั ประเทศ ไมใ่ ชอ่ ยา่ งนน้ั ใหด้ จู ติ ทมี่ นั อาศยั โลกเปน็ อยู่
ไม่วา่ จะอยทู่ ่ีไหน ท�ำอะไร กใ็ หด้ ูโลกอยูเ่ สมอ
ใหด้ จู ติ พจิ ารณาถงึ โลก เพราะโลกมนั เกดิ ขนึ้ อยทู่ ใี่ จ ความอยากเกดิ ทไี่ หนโลก
ก็เกิดที่นั่น เพราะความอยากเป็นบ่อเกิดของโลก ถ้าดับความอยากก็คือดับโลก
มันเปน็ เร่อื งอยา่ งน้ี ฉะน้นั เมอ่ื เรามาปฏิบัติแลว้ มาเจรญิ มรรค มาน่งั สมาธิ อยาก
ให้มันสงบ มนั กไ็ มส่ งบ ไม่อยากใหม้ ันนึกคดิ มันกน็ ึกคิด เพราะไปนง่ั ใส่รังมดแดง
รงั มดอยูท่ ่นี ั่นกเ็ อาก้นไปน่งั ทบั มนั อยา่ งน้นั มันกก็ ดั เอาสิ ใจของเรามนั เปน็ โลกอยู่
มาปฏบิ ตั มิ นั กเ็ กดิ โลกขนึ้ มาเลย ความดใี จ ความเสยี ใจ ความวนุ่ วาย ความเดอื ดรอ้ น
กเ็ กดิ ขน้ึ มาทนั ที เพราะอะไรละ่ เพราะเราไมบ่ รรลถุ งึ ธรรม เพราะใจเราเปน็ อยอู่ ยา่ งน้ี
ผปู้ ระพฤตปิ ฏิบัติไม่ได้ กเ็ พราะทนโลกธรรมไมไ่ ด้ จงึ ไมไ่ ด้พิจารณา ฉะนน้ั
จงึ เหมอื นกนั กบั เราไปนงั่ ในรงั มดแดงนน่ั แหละ กม็ ดมนั อยทู่ น่ี น่ั ไปนง่ั ทบี่ า้ นของมนั
มนั กก็ ดั เอาน่ะสิ ถ้ามันกัดเรา เราจะทำ� อยา่ งไรละ่ เราก็หาวธิ ที �ำลายมนั เสยี เอายามา
กันมัน กลบมันเสีย เอาไฟมาเผามนั เสยี หรอื ทำ� ให้หนีจากทน่ี ่ันเสีย นค่ี ือการปฏิบัติ
แต่ผู้ปฏบิ ัตบิ างคนไม่ได้คดิ อยา่ งนน้ั ถ้ามนั ไม่สบายก็ไปกบั มนั เลย มนั วา่ สบายก็ไป
กับมันเลย ไปกบั ลาภ ยศ สรรเสรญิ นนิ ทา สุข ทุกข์ ไปกับมันเลย ไมพ่ ากนั ระงบั
เหลา่ น้ี ดงั นัน้ มนั จงึ เปน็ โลก
ฉะน้ัน ผู้ทท่ี ดลองปฏบิ ตั ิแลว้ พูดวา่ ปฏิบตั ไิ ม่ได้ ไปไม่ได้ ไปไมไ่ หว ก็คือเรา
ไมไ่ ดพ้ ยายามนน่ั เอง โลกธรรมแปดประการนี่ มนั ขม่ มรรคไมใ่ หเ้ กดิ ขน้ึ มา จะพยายาม
อดทนรกั ษาศลี ไมไ่ ด้ จะอดทนพจิ ารณามนั ไปอกี กไ็ มไ่ ด้ เพราะอะไรกเ็ หมอื นกบั บรุ ษุ ที่
ไปนง่ั ทบั รงั มดแดง ทำ� อะไรกไ็ มไ่ ด้ มนั กดั มนั ไต่ มนั นนั่ มนั นอ่ี ยู่ วนุ่ วายตา่ งๆ นานา
91
แต่ไม่สามารถก�ำจัดภัยทั้งหลายออกจากที่น่ังของเรา ก็ทนน่ังอยู่นั่นแหละ ฉันใด
น่ีก็เชน่ กันฉนั นั้น เพราะส่ิงเหล่านี้มนั เปน็ ปฏิปักษ์กัน
ฉะนนั้ โลกธรรมมนั จงึ อยทู่ ใ่ี จ เมอ่ื มาทำ� ใจจะใหม้ นั สงบ มนั กเ็ ลยพลงุ่ ขน้ึ มาทนั ที
เพราะมันอยู่ท่ีน่ัน เมือ่ ใจเป็นโมหะเมื่อใดมนั กเ็ ป็นความมดื อย่ทู นี่ ั่น เม่ือใดทโี่ มหะ
มนั จางไป มนั กร็ ขู้ นึ้ ทนี่ น่ั ไดค้ วามรวู้ า่ ความรกู้ บั ความหลงนน้ั มนั เกดิ ขนึ้ อยทู่ เี่ ดยี วกนั
เมื่อความหลงเกดิ ขึ้นมาแล้ว ความรกู้ ็เข้าไปไมไ่ ด้ มนั ระงบั ความรไู้ ว้เสยี เมื่อความรู้
เกดิ ขน้ึ มาแลว้ ความหลงกอ็ ยไู่ ม่ได้
ฉะนัน้ สมเด็จพระบรมศาสดาทา่ นจงึ ให้ปฏิบัติทีใ่ จ มนั เกดิ อยทู่ ใ่ี จ โลกธรรม
แปดประการมันอยู่ท่ีนั่น มรรคแปดประการที่เจริญขึ้นมาได้ก็เพราะเรามาพิจารณา
ด้วยสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ดว้ ยญาณ ทง้ั หลายทง้ั ปวง การทำ� ความ
เพยี รกรรมฐานนัน้ กช็ ว่ ยขม่ ลงไปเสียจนความโลภ ความโกรธ ความหลง ในลาภ
ยศ สรรเสริญ เหลา่ นีเ้ บาออกไป เมอื่ มันเบาออกไปแล้วเราก็ร้จู กั เมอื่ มลี าภ มยี ศ
มีสรรเสรญิ มนี ินทา มีสุข มีทุกข์ มากระทบ เราก็ร้จู ัก เพราะโลกอยกู่ ับเรา เราอยู่
ในโลก อยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สขุ อย่างน้ี เมอ่ื เราอยู่ เรากอ็ ยู่กบั มนั ก็เหมือนกับ
เราเขา้ ไปอยใู่ นเรอื น เวลาเขา้ ไปในเรอื น เรากร็ จู้ กั วา่ เขา้ ประตไู ปในเรอื น เมอื่ เวลาเรา
ออกจากเรือน เรากม็ คี วามรสู้ ึกวา่ เราออกจากเรอื น ได้ความสว่าง ไมม่ ดื เหมือนอยู่
ในเรือน
อาการทจ่ี ติ เขา้ ไปหาโลกมนั กเ็ ป็นอย่างนนั้ อาการทีจ่ ติ ทำ� ลายโลกธรรมแล้วนนั้
หรอื โลกธรรมตา่ งจากใจแลว้ นน้ั กเ็ หมอื นกนั กบั เราออกจากเรอื นมา ฉะนนั้ ผปู้ ฏบิ ตั ิ
จึงรู้เฉพาะตัวของตัวเองว่าโลกธรรมมันหายแล้วหรือยัง มรรคมันเจริญแล้วหรือยัง
เมอื่ มรรคเจรญิ ขน้ึ มาไดเ้ ทา่ ใด มนั กฆ็ า่ โลกธรรมเทา่ นน้ั มนั จะฆา่ โลกธรรม เบยี ดเบยี น
โลกธรรมเรอ่ื ยๆ ไป ผลทส่ี ดุ แลว้ มรรคจะกลา้ ขนึ้ มา คอื ความเหน็ ชอบ ปญั ญาความ
เห็นชอบกล้าขึ้นมา ความเหน็ ผิดไมช่ อบมนั กห็ ายไป ผลทส่ี ดุ มรรคก็ฆา่ กิเลส แตถ่ า้
มรรคอ่อน กิเลสกฆ็ ่ามรรค มีสองอยา่ งเท่านนั้ แหละ ความเหน็ ผิดและความเห็นถกู
มสี องอยา่ งน้ีเท่าน้นั
92
ความเหน็ ผดิ กม็ วี ธิ ีการของมันเชน่ กนั ความเห็นผิดนมี้ ันกม็ ปี ัญญาเหมือนกัน
แตม่ นั มปี ญั ญาในทางทผ่ี ดิ ถา้ ผปู้ ฏบิ ตั มิ คี วามเหน็ ถกู เหน็ ผดิ แยง่ กนั ไป ผปู้ ฏบิ ตั นิ น้ั ก็
จะคลา้ ยกบั คนสองคน คอื โลกกบั ธรรม โลกกบั ธรรมนม้ี นั แยง่ กนั เถยี งกนั ไปเชน่ นน้ั
แย่งกันไปเถยี งกันไป
เมื่อใดท่ีเราพิจารณาดูจะเห็นมันแย่งกันไปตลอดกาลตลอดเวลา จนกว่าจะ
รถู้ ึงโนน้ ถงึ วปิ สั สนา แต่บางทมี นั กเ็ อาวิปัสสน๑ู ข้ึนมา หมายความวา่ เมอ่ื เราพากัน
พยายามสรา้ งคุณงามความดี ความบริสุทธิ์ พอไปเห็นความดขี ึ้นมาก็ไปตดิ ความดี
อยู่อีก อาการท่ีไปติดความดี ไปยึดหมายความดีนี้ ก็เป็นวิปัสสนูอีกน่ันแหละ
เปน็ ปญั ญาของกเิ ลสนนั่ บางคนกไ็ ปตดิ ความดอี ยู่ มคี วามบรสิ ทุ ธกิ์ ไ็ ปตดิ ความบรสิ ทุ ธิ์
มคี วามรกู้ ต็ ดิ ความรอู้ ยา่ งนี้ อาการทไ่ี ปยดึ มนั่ หมายมนั่ ในความรนู้ อ้ี กี ในความบรสิ ทุ ธ์ิ
น้อี ีก อนั น้ันก็เป็นวปิ ัสสนูแทรกเข้ามาอกี
ฉะนนั้ เมอื่ เจรญิ วปิ สั สนาถงึ ขน้ั นใ้ี หร้ ะวงั ระวงั วปิ สั สนปู กเิ ลส เพราะมนั ใกลก้ นั
ทส่ี ดุ จนเราจะไมร่ ตู้ วั แตถ่ า้ หากมคี วามรถู้ กู ตอ้ งแลว้ เราจะเหน็ ทงั้ สองอยา่ งไดช้ ดั เจน
ถา้ เปน็ วปิ สั สนแู ลว้ มนั จะมคี วามทกุ ขข์ น้ึ มาเปน็ บางคราว ถา้ หากเปน็ วปิ สั สนาจรงิ ๆ แลว้
กจ็ ะระงับทุกข์ระงบั สขุ ทุกขน์ ี่เปน็ ผลทเี่ กดิ ข้นึ มา เราจะร้เู องดว้ ยตวั ของเรา
ฉะนนั้ การปฏบิ ตั ทิ า่ นจงึ ใหอ้ ดทน บางคนมาปฏบิ ตั ไิ มอ่ ยากใหม้ นั เปน็ อยา่ งนน้ั
อย่างน้ี ไม่อยากใหม้ นั มอี ะไรเกดิ ขึน้ ไม่อยากใหม้ นั เดอื ดร้อน แต่มนั ก็เดอื ดรอ้ น
เพราะของเก่ามันมี เราต้องพยายามระงบั ความเดอื ดรอ้ นดว้ ยความเดือดรอ้ นทมี่ ีอยู่
นัน่ เอง พระทา่ นวา่ ถา้ หากปฏิบตั ิแล้วเกดิ ความเดือดร้อน นน่ั ถกู ถกู แลว้ ถ้าหาก
มันเดอื ดรอ้ น ถา้ ปฏบิ ตั ิแลว้ ไมเ่ ดือดรอ้ น ไม่ถูก ถ้ากินสบาย นอนสบาย อยากจะ
๑ วปิ สั สนู ยอ่ มาจาก วปิ สั สนปู กเิ ลส อปุ กเิ ลสแหง่ วปิ สั สนา สภาพนา่ ชน่ื ชม แตท่ แี่ ทเ้ ปน็ โทษ เครอ่ื งเศรา้ หมอง
แหง่ วปิ สั สนา ซง่ึ เกดิ แกผ่ ไู้ ดว้ ปิ สั สนาออ่ นๆ ทำ� ใหเ้ ขา้ ใจผดิ วา่ ตนบรรลมุ รรคผลแลว้ จงึ ไมด่ ำ� เนนิ กา้ วหนา้ ตอ่
ไปในวิปสั สนาญาณ มี ๑๐ คือ ๑. โอภาส-แสงสวา่ ง ๒. ปตี -ิ ความอม่ิ ใจ ๓. ญาณ-ความรู้ ๔. ปสั สทั ธ-ิ
ความสงบกายและจติ ๕. สขุ -ความสบายกายสบายจติ ๖. อธโิ มกข-์ ความนอ้ มใจเชอื่ ๗. ปคั คาหะ-ความเพยี ร
ที่พอดี ๘. อปุ ฏั ฐาน-สตชิ ดั ๙. อเุ บกขา-ความวางจติ เปน็ กลาง ๑๐. นกิ นั ติ-ความพอใจ
93