ไปไหนก็ไปตามเรอื่ ง อยากจะพูดอะไรกพ็ ดู ตามเรอื่ ง อยากทำ� ตามใจมนั ทกุ อยา่ งนนั้
มนั ไมถ่ กู
ฉะนนั้ ธรรมะคำ� สง่ั สอนของพระศาสดาทา่ นวา่ ขดั ขดั อะไร โลกตุ ระ ขดั โลกยี ะ
ความเห็นชอบขัดความเห็นผิด ความบริสุทธ์ิขัดความไม่บริสุทธ์ิเร่ือยไป ฉะนั้นจึง
มีอบุ ายทตี่ ามตำ� รากล่าวว่า สมเด็จพระบรมศาสดาก่อนตรสั ร้นู ้ัน ทา่ นไปรับข้าวจาก
นางสุชาดา เมื่อท่านทรงฉนั เสรจ็ แล้ว กท็ รงลอยถาดลงในน้�ำ ธรรมดาน้�ำมันไหลลง
ท่านได้ทรงอธิษฐานจิตว่า ถ้าหากว่าจะได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
ขอใหถ้ าดน้ีไหลลอยไปเหนอื นำ้�
ความจรงิ ถาดก็คือความเหน็ ชอบของพระองค์ทา่ นนนั่ แหละ ผูร้ ้หู รอื พทุ ธภาวะ
ของทา่ นทเ่ี กดิ ขนึ้ มาจากการพจิ ารณาแลว้ นนั้ ไมไ่ ดป้ ลอ่ ยตามใจของสตั ว์ แตไ่ หลขน้ึ ไป
ทวนกระแสใจของท่าน ทวนขึ้นไปหมดทุกอย่าง ไม่ได้ไปฟังเสียงใคร ฉะน้ัน
พระธรรมเทศนาของพระองคจ์ ึงทวนใจของพวกเราจนทุกวนั น้ี
โลภ ทา่ นก็วา่ ไมใ่ หโ้ ลภ โกรธ ท่านกว็ ่าไม่ให้โกรธ ให้ท�ำลายมัน อยากหลง
กไ็ มใ่ หห้ ลง ให้ท�ำลายมนั มแี ตเ่ ร่อื งท�ำลายมันอย่างเดยี ว ฉะนั้น สมเดจ็ พระบรม
ศาสดาของเราจงึ ทรงเช่ือแนว่ ่า จิตของท่านนั้นทวนกระแสข้ึนไปนน่ั เอง มันทวนสตั ว์
โลกหมด ทวนกระแสสัตว์โลก สิ่งที่ว่าสกนธ์ร่างกายสวย ท่านว่าไม่สวย โลกว่า
อันสกนธ์ร่างกายเปน็ ของเรา ท่านวา่ ไมใ่ ชข่ องเรา อนั นว้ี า่ เป็นแกน่ เปน็ สาร ทา่ นวา่
ไมเ่ ปน็ แกน่ เปน็ สาร ความเหน็ ชอบอยา่ งนเี้ หนอื สตั วโ์ ลกขน้ึ ไป สตั วโ์ ลกนน้ั ตามลงมา
กบั นำ�้
ตอ่ มาทา่ นไดร้ บั หญา้ คาจากโสตถยิ ะพราหมณ์แปดก�ำมือ ทา่ นทรงทำ� อธิษฐาน
เปน็ บลั ลังกเ์ พ่ือน่ังสมาธิว่า ถา้ ไมต่ รสั รู้จะไม่ทรงลกุ ข้ึน แลว้ ท่านกต็ รสั รู้ที่ตรงน้ี
ถ้าจะกล่าวเป็นธรรมาธิษฐานแล้ว หญ้าคาก็คือโลกธรรมแปดน่ีแหละ มีลาภ
เส่ือมลาภ มียศ เสอื่ มยศ มีสขุ มีทุกข์ สรรเสริญ นินทา เหล่านแ้ี หละ โลกธรรม
แปดประการ หญ้าคาแปดกำ� มอื ฟังแตช่ ื่อมนั ซิ หญา้ คา “คา” คาอะไร
94
นกั บวชของเราเมอ่ื บวชเขา้ มาก็ “คา” สงิ่ เหลา่ นแ้ี หละ มาคาลาภ มาคาสรรเสรญิ
มาคาทุกข์ โลกทงั้ หลายมาคาอยูท่ ่นี ่ีหมด
สมเด็จพระศาสดาจึงทรงอธิษฐานเป็นบัลลังก์ นั่งทับลงไปด้วยสมาธิธรรม
อาการท่ีน่ังทับคือสมาธิ นั่งทับคือจิตของท่านเหนือกว่าโลกธรรม จิตในขณะน้ัน
เป็นโลกุตรธรรมทับโลกียธรรมไว้ แต่ก็ยังเกิดเป็นมารต่างๆ นานามาหลอกล่อ
ซ่ึงความจริงก็เป็นอาการของจิตน่ันเอง จนกระทั่งท่านได้ตรัสรู้ธรรม ก็ได้ชนะมาร
ในที่นัน้
ชนะ คือชนะโลกน่ีเอง ไมใ่ ชช่ นะอะไรอน่ื ไกล ฉะน้ัน ท่านจึงทรงเจริญมรรค
ในที่น้ัน มรรคจึงฆา่ โลกธรรมทง้ั หลายเหล่านั้น
ผปู้ ระพฤตหิ รอื ผปู้ ฏบิ ตั ขิ องเราทกุ วนั นนี้ นั้ ศรทั ธามนั นอ้ ย พอปฏบิ ตั ไิ ดป้ สี องปี
เดอื นสองเดอื นกอ็ ยากจะได้ อยากไปไวๆ ไมร่ จู้ กั นกึ บา้ งเลยวา่ พระพทุ ธเจา้ ของเรานนั้
ท่านทรงสร้างบารมีของท่านมานานแสนนานเพียงใด แล้วท่านยังต้องมาต่อสู้ใน
พระชาตสิ ดุ ท้ายอยอู่ กี ถงึ หกปี ฉะนน้ั ทา่ นจึงทรงตั้งนิสัยพระนวกะวา่ จะตอ้ งอยู่ฝึก
อบรมกบั พระอุปัชฌายอ์ ย่างนอ้ ยห้าพรรษา
ผศู้ กึ ษาเลา่ เรยี น ผปู้ ฏบิ ตั ทิ ม่ี ปี ญั ญาตรวจคน้ มศี รทั ธาจรงิ ๆ ผบู้ ากบน่ั พยายาม
ตลอดห้าพรรษา นีก่ ็เรียกว่าใช้ได้ แตใ่ หป้ ฏบิ ัติจรงิ ๆ นะ ไม่ใชว่ ่าอยู่เฉยๆ ถา้ เรา
พยายามท�ำจริงๆ ได้ห้าพรรษาแล้วจะได้รู้ว่า คุณค่าของพระพุทธโอวาทที่สมเด็จ
พระบรมศาสดาท่านบัญญัติไว้นั้นเป็นเช่นไร จะได้รู้จัก ห้าพรรษาคือคนใช้ได้
จิตใจก็ใช้ได้ อะไรก็พอเป็นพอไปแล้วแน่นอน ฉะน้ัน อย่างน้อยท่ีสุดก็ต้องเป็น
พระอริยบุคคลข้นั แรก แต่ทว่าต้องไมใ่ ช่ห้าพรรษาแตอ่ ายเุ ทา่ น้ัน ต้องเปน็ ห้าพรรษา
ในจิตด้วย
ผู้ปฏิบัติเข้าถึงจิตใจเช่นน้ี จะมีความกลัวความละอายท้ังต่อหน้าและลับหลัง
ทงั้ ในทม่ี ดื และทแ่ี จง้ เพราะเขา้ ถงึ พระพทุ ธเจา้ แลว้ อาศยั พระธรรม อาศยั พระสงฆแ์ ลว้
มพี ระพทุ ธเจา้ เปน็ ทพ่ี ง่ึ มพี ระธรรมเปน็ ทพ่ี ง่ึ มพี ระสงฆเ์ ปน็ ทพ่ี ง่ึ แลว้ ถา้ พงึ่ พระพทุ ธเจา้
95
จรงิ ๆ ก็ต้องเหน็ พระพุทธเจ้า ตอ้ งเห็นพระธรรม ตอ้ งเหน็ พระสงฆ์ ถ้าเราขอพงึ่ ท่าน
ขอพ่ึงพระพทุ ธ พง่ึ พระธรรม พงึ่ พระสงฆ์ แลว้ เรายงั ไมเ่ ห็นท่านนนั้ จะเปน็ ประโยชน์
อะไร ถา้ เราขอพงึ่ ทา่ นกต็ อ้ งรจู้ กั ทา่ น จะรจู้ กั แตก่ ายเทา่ นนั้ ยงั ไมพ่ อ ตอ้ งรจู้ กั ดว้ ยใจ
จงึ จะใชไ้ ด้
ถา้ เขา้ ใจถงึ แลว้ จงึ จะไดร้ วู้ า่ พระพทุ ธเจา้ เปน็ อยา่ งนอ้ี ยา่ งนี้ พระธรรมเปน็ อยา่ งน้ี
อย่างน้ี พระสงฆ์เป็นอย่างนี้อย่างน้ี พระพุทธเจ้าเป็นรูปลักษณะอาการอย่างนั้น
อย่างนั้น พระธรรมก็เช่นเดยี วกัน จงึ จะไดเ้ ป็นท่ีพึ่งของเรา เพราะส่ิงเหล่านีเ้ กดิ อยทู่ ่ี
จติ ของเรา จะไปอยทู่ ไี่ หนกต็ าม มพี ระพทุ ธ มพี ระธรรม มพี ระสงฆอ์ ยเู่ รอื่ ยไปในจติ
ผูน้ ้นั ฉะน้นั ผ้นู ้ีจงึ ไม่กล้ากระท�ำบาป
พระอรยิ บคุ คลข้นั แรกทา่ นจงึ ไมเ่ ข้าไปสู่อบาย ตรงแน่วแนไ่ ปเลย ไมม่ ีชาติที่
แปดเกดิ ข้ึน เพราะอะไร เพราะมนั แนน่ อนแล้วนะ่ สิ มนั แน่นอนแล้ว เมือ่ เข้าหนทาง
ก็ไม่ได้สงสัย ทีนี้ค่อยเคลื่อนไป ไม่ได้มีความสงสัย ไม่ถึงวันใดก็ต้องถึงวันหนึ่ง
จะใหก้ ลบั มาทำ� บาปท�ำกรรมด้วยกายดว้ ยวาจาอกี ไม่มี พ้นจากความเดอื ดรอ้ นที่จะ
เปน็ นรกแลว้ ฉะนนั้ ทา่ นจงึ วา่ อรยิ บคุ คลพน้ อบายภมู ิ จติ กไ็ มไ่ ปถงึ อบาย ไมไ่ ปสอู่ บาย
จงึ เป็นผูไ้ มก่ ลับ คือไมก่ ลบั มาท�ำช่วั ใจนนั้ ท�ำความช่วั ไมไ่ ดอ้ กี
อนั นจี้ ะไดเ้ หน็ เองว่าใจมันท�ำไมไ่ ด้ ก็แปลว่ามันเปลี่ยนไป เปน็ อริยชาตไิ ปแล้ว
มันกลับมาไมไ่ ดแ้ ล้ว มนั เปลีย่ นไปชาตินเ้ี อง เรอ่ื งเหล่านีจ้ ะร้จู กั เฉพาะเจ้าของเอง
ผปู้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรมทย่ี งั ไมไ่ ดเ้ หน็ ธรรม เมอื่ ไดย้ นิ อยา่ งนี้ อาจคดิ วา่ การรธู้ รรม
การเหน็ ธรรม การปฏบิ ตั ธิ รรมเชน่ นน้ั จะเปน็ ไปไดอ้ ยา่ งไร เปน็ การยากอยู่ เรอื่ งเหลา่ นนี้ ะ่
กค็ ือธรรมชาตธิ รรมดาท่ีมันเปน็ อยนู่ ีแ้ หละ บางทีเรามคี วามสุขใจ บางทเี รามคี วาม
ทกุ ข์ใจ มคี วามดีใจ มีความเสยี ใจ เพราะอะไร เพราะไม่ร้ธู รรม เพราะไมเ่ ห็นธรรม
ไม่รู้ธรรมชาติ ไมเ่ หน็ ธรรมชาติ คอื ธรรมชาตมิ ันเปน็ ของมนั เชน่ นน้ั เร่อื ยๆ ทั้งกาย
และจติ คือรปู และนาม
96
ฉะนนั้ พระบรมศาสดาทา่ นจงึ ไมห่ มายขนั ธห์ า้ วางขนั ธห์ า้ เลกิ ขนั ธห์ า้ ละขนั ธห์ า้
ทล่ี ะมนั ไมไ่ ดเ้ พราะอะไร เพราะไมเ่ หน็ มนั เพราะไมร่ เู้ ทา่ ทนั มนั เหน็ วา่ มนั เปน็ เรา เหน็ เรา
ว่าเปน็ มนั เห็นเราวา่ เป็นสุข เหน็ สุขวา่ เปน็ เรา เหน็ ทุกข์วา่ เปน็ เรา เหน็ เราวา่ เปน็ ทุกข์
มันแยกออกจากกนั ไมไ่ ด้ เม่อื แยกออกจากกนั ไม่ได้ ก็แปลว่าเราไมเ่ หน็ ธรรม คือ
ธรรมชาติอย่างนม้ี นั ไมเ่ ป็นเรา แตเ่ ราเข้าใจว่าเปน็ เรา สขุ กม็ าถูกเรา ทุกข์กม็ าถูกเรา
เสียใจกม็ าถูกเรา ดใี จกม็ าถกู เรา เพราะเราเขา้ ไปขวางอยู่ตรงน้ัน
เรากค็ อื ก้อนอตั ตาตวั ตน เม่อื มกี อ้ นอตั ตาเม่อื ใดแล้ว สุขก็ถกู เรา ทกุ ขก์ ็ถกู เรา
อะไรก็ถูกเราหมด ฉะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาท่านจึงว่าให้ท�ำลายก้อนอัตตา
เมื่อท�ำลายก้อนอัตตาคือสักกายทิฏฐินี้แล้ว หมดก้อนอัตตาแล้ว อนัตตามันก็ไม่
ตอ้ งเรยี ก มนั เปน็ ของมนั เอง เมอื่ หมดอัตตา อนัตตาก็เกิดข้ึนเอง
เมอื่ บคุ คลถอื เนอ้ื ถอื ตวั กจ็ ะเหน็ แกต่ วั เหน็ แกต่ น เหน็ วา่ เราสขุ เหน็ วา่ เราทกุ ข์
เหน็ วา่ เราดี เห็นว่าเราชว่ั เหน็ ว่าเราตา่ งๆ นานา ความจริงสง่ิ เหลา่ นธ้ี รรมชาติมันเป็น
อย่างน้นั แต่เรากลับไปเอาธรรมชาตมิ าเป็นเรา เอาเรามาเป็นธรรมชาติ เลยไมร่ วู้ า่
ธรรมชาติคอื อะไร ธรรมชาติมันดกี ห็ วั เราะกบั มัน ธรรมชาตมิ ันร้ายกร็ ้องไหก้ ับมัน
ความจรงิ ธรรมชาตกิ ค็ อื สงั ขาร อยา่ งเราวา่ เตสงั วปู ะสะโม สโุ ข ความสงบของ
สงั ขารนน้ั เปน็ สขุ สงบอะไรละ่ กค็ อื ถอนอปุ าทานออกมา เหน็ ธรรมชาตติ ามเปน็ จรงิ
ของมนั เดย๋ี วนค้ี วามจรงิ ของมนั มอี ยู่ มนั เปน็ จรงิ อยู่ ตน้ หญา้ ภเู ขา เถาวลั ย์ มนั เปน็
ของมันอยา่ งนน้ั มนั เกดิ มันกด็ ับ มนั ดับมันก็เกิด มันเล่ือนไหลไปมา ธรรมชาติมนั
เป็นจริงอยู่ แตเ่ ราผูไ้ ม่จริง เมือ่ ไปเห็นแลว้ ก็ต่ืนเต้น ธรรมชาตไิ ม่ตื่นเตน้ มนั เป็นอยู่
อย่างนน้ั ไมว่ า่ ใครจะร้องไห้ ใครจะหัวเราะ มันก็เป็นของมนั อยู่อย่างนัน้ อันนัน้
มนั เปน็ ของจรงิ เราไมร่ จู้ กั ของจรงิ เมอ่ื ไปเหน็ ของจรงิ แลว้ กระตอื รอื รน้ รอ้ งไห้ หวั เราะ
ต่างๆ นานา เสียอกเสยี ใจ ดีอกดใี จ
ถึงเราจะดีใจเสียใจอย่างไรก็ตาม สภาวะร่างกายรูปน้ีของเราก็เป็นอยู่ของมัน
เชน่ น้ี มนั เกดิ มาแลว้ มันกแ็ ปรตามธรรมชาติ แปรไป เจบ็ ไป ตายไป พลัดพราก
97
จากกันไปเป็นธรรมดา ธรรมชาตมิ นั เป็นอย่างนี้ หากวา่ บคุ คลผใู้ ดจะเอาธรรมชาติ
ทงั้ หลายท้งั ปวงเหลา่ นใ้ี ห้มันเปน็ ตวั เรา เปน็ ของเราอยา่ งนี้ มันก็เปน็ การแบกทุกขไ์ ว้
ฉะนน้ั พระอญั ญาโกณฑญั ญะทา่ นจงึ กลา่ ววา่ “สงิ่ ใดสง่ิ หนง่ึ ” คำ� วา่ สง่ิ ใดสง่ิ หนง่ึ
หมายรวมตลอดเลย จะเปน็ รปู หรอื เป็นนามกช็ า่ ง ใชห่ มดท้งั นัน้ ความเหน็ ของท่าน
ในขณะที่ท่านฟังเทศน์ของพระพุทธองค์น้ัน เปลี่ยนขึ้นมาจนเห็นแจ้งจริงออกจาก
ทน่ี ่ังแลว้ ก็ยังเหน็ อยอู่ ยา่ งน้ัน จรงิ อยูอ่ ยา่ งน้นั อาการอย่างใดผา่ น เกดิ ข้นึ มา ก็เห็น
ความเกิด เมอื่ มันดับไปแล้ว ท่านกเ็ ห็นความดับ เกดิ แล้วกด็ บั ดบั แล้วก็เกิด
ทา่ นกเ็ หน็ มนั อนั ใดมนั เกดิ แลว้ กด็ บั อนั ใดมนั ดบั แลว้ กด็ บั ไป เปน็ อยเู่ รอื่ ยไป
สขุ ทกุ ขก์ ม็ ากระทบจติ ของทา่ นอยเู่ สมอ แตว่ า่ จติ ของทา่ นเพยี งแตร่ บั ทราบ ไมพ่ ลอย
ตกนรก ไม่พลอยไปสู่อบาย ไม่พลอยไปดีใจ ไม่พลอยไปเสียใจกับส่ิงเหล่าน้ัน
จติ ของท่านตงั้ มน่ั เด่นอยู่ พจิ ารณาอย่อู ยา่ งนัน้ นน่ั เพราะท่านอัญญาโกณฑญั ญะ
ท่านไดด้ วงตา ได้ดวงตาอนั หนึ่งท่ีเห็นธรรมชาติตามเปน็ จรงิ ความรูเ้ ทา่ ตามเป็นจรงิ
ของสังขาร สังขารมนั เปน็ จริงอยา่ งไรกร็ เู้ ทา่ ตามเป็นจรงิ ของมันอยา่ งนนั้ นเี่ รียกวา่
ผ้รู ธู้ รรม ผเู้ หน็ ธรรม รแู้ ล้วละ เลิก ถอน
ถา้ ยงั ไมเ่ หน็ กย็ งั พากนั อด พากนั ละ มนั ไมเ่ หน็ หรอก ทมี่ าอดละ อดกลนั้ อดทน
อดทานนนั่ นะ่ แตถ่ า้ ถงึ ทขี่ องมนั แลว้ ก็จะไมม่ ีเร่อื งอดละอดกล้ัน ไม่มเี ร่ืองใดได้อด
เรอื่ งผเู้ หน็ ธรรมแลว้ กเ็ ปน็ ธรรม ไมม่ เี รอื่ งอดกลน้ั นเ่ี รายงั ไมท่ นั รจู้ กั ธรรม ไมเ่ ปน็ ธรรม
จงึ เอาธรรมมาใช้ เอาความเพียรมาใช้ มันเป็นอยา่ งนี้
ทีน้ี ถ้าเรามาเพียรแล้ว มันไม่เกียจคร้านแล้ว ความเพียรก็ไม่ต้องเอามาใช้
มนั รเู้ ทา่ ตอ่ อารมณท์ ง้ั หลายทง้ั ปวงแลว้ มนั ไมส่ ขุ ไมท่ กุ ขก์ บั มนั กไ็ มต่ อ้ งเอาขนั ตมิ าใช้
เมือ่ มนั เป็นธรรมแลว้ มนั เกดิ มามนั ก็เป็นธรรม ผ้รู ้กู ร็ ตู้ ามธรรมแลว้ ก็เลยเป็นธรรม
รู้ธรรมแล้วเหน็ ธรรม เรยี นธรรมรธู้ รรม เหน็ ธรรมเปน็ ธรรม
เม่อื มันเปน็ ธรรมแล้วกห็ ยดุ สงบแลว้ ทีนไ้ี ม่ได้เอาธรรมมาใช้ เพราะมันเปน็
ธรรมแลว้ ภายนอกกเ็ ป็นแลว้ ภายในก็เป็นแล้ว ผรู้ ู้ธรรมกเ็ ป็นธรรม สภาวะมันก็
98
เป็นธรรม อนั ทรี่ ู้มนั กเ็ ป็นธรรม เปน็ อยอู่ ยา่ งน้นั เปน็ อย่างเสรี เป็นหนึง่ เสยี แลว้
ธรรมชาติอนั น้จี งึ ไมเ่ กิด ธรรมชาติอนั นี้จึงไมแ่ ก่ ธรรมชาตอิ ันนจ้ี ึงไมเ่ จบ็ ธรรมชาติ
อนั นจี้ งึ ไมต่ าย ธรรมชาตอิ นั นจี้ งึ ไมส่ ขุ ไมท่ กุ ข์ ธรรมชาตอิ นั นไี้ มน่ อ้ ยไมใ่ หญ่ ไมห่ นกั
ไม่เบา ไมส่ ัน้ ไม่ยาว ไมด่ ำ� ไมข่ าว ไม่มีเรอื่ งเปรยี บเทยี บ ไมม่ เี รอ่ื งจะเอามาเปรยี บ
สมมุติอะไรๆ เข้าไม่ถงึ เขา้ ไมถ่ งึ ท่ีนนั่
ฉะน้นั พระนพิ พานทา่ นจึงว่าไม่มสี สี นั วรรณะ สีเขยี ว สแี ดง สีด�ำ อะไรไม่ม ี
เรือ่ งสเี ขียวสดี �ำอะไรตา่ งๆ เปน็ เร่ืองสมมุติ เปน็ เรอื่ งบญั ญตั ิในโลกีย์ เมอ่ื พ้นจาก
ส่ิงเหล่านี้ไปแล้ว ไม่มีเรื่องเหล่านี้ตามไปถึง ดังน้ัน จึงกล่าวว่าสิ่งน้ันเป็นโลกุตระ
ธรรมะอนั นนั้ ทา่ นจงึ วา่ เปน็ ปจั จตั ตงั อนั ผรู้ กู้ ไ็ ดเ้ ฉพาะเจา้ ของ ประกาศไมไ่ ด้ มแี ตใ่ ห้
อบุ าย ผทู้ เ่ี ขา้ ไปถงึ แลว้ กแ็ ลว้ จะเอาสมมตุ บิ ญั ญตั มิ าพดู ไมไ่ ด้ มนั หมด มนั หมดสน้ิ .
99
๘
นอกเหตเุ หนือผล
ค�ำสอนของพระบางอย่าง เราฟังดูแล้วไม่ค่อยจะเข้าใจเลย มันน่าจะเป็นไป
อยา่ งนัน้ ไมไ่ ด้ กเ็ ลยไม่ท�ำ ความเป็นจริงนน้ั ค�ำพูดของพระมีเหตุผลทกุ อยา่ ง ไม่น่า
จะเป็นไปอย่างน้ัน มันก็เป็นของมันไปได้ แปลกเหมอื นกนั นะ
ครง้ั แรกทอ่ี าตมาไปนง่ั หลบั ตาแลว้ กไ็ มเ่ ชอื่ เหมอื นกนั ไมเ่ หน็ วา่ จะเกดิ ประโยชน์
อะไรจากการหลบั ตาไปหมด นอกจากนน้ั กไ็ ปเดนิ จงกรม เดนิ จากตน้ ไมต้ น้ นไี้ ปตน้ นน้ั
เดินไปเดนิ มากข็ เี้ กียจ เดนิ ท�ำไม กลับไปกลับมาไมเ่ กดิ ประโยชนอ์ ะไร อยา่ งน้ีมันก็
คดิ ไป แตค่ วามจรงิ การเดนิ จงกรมนม้ี ปี ระโยชนม์ าก การนง่ั สมาธนิ ก้ี ม็ ปี ระโยชนม์ าก
แตจ่ รติ ของคนเราบางคนแรงไปในการเดนิ จงกรม บางคนแรงในการนง่ั จรติ ของทา่ น
ก็ปนเปกันอยู่ แต่เราจะท้ิงกันไม่ได้ จะนั่งสมาธิอย่างเดียวก็ไม่ได้ จะเดินจงกรม
อย่างเดยี วกไ็ ม่ได้
พระกรรมฐานทา่ นสอนวา่ อริ ยิ าบถสี่ การยนื การเดนิ การนง่ั การนอน คนเรา
อาศยั อิริยาบถอย่างน้ีอยู่ แลว้ แตว่ ่ามนั จะแรงการยืน การเดนิ การนัง่ หรือการนอน
แต่มนั จะเรว็ หรือช้า มันกค็ ่อยๆ เข้าไปในตัวของมัน
บรรยายแกพ่ ระภิกษุ สามเณร และอุบาสกอุบาสิกา จากวัดป่านานาชาติ ณ วัดหนองปา่ พง ระหว่างพรรษา
พ.ศ. ๒๕๒๓
100
อย่างวันหนงึ่ เราเดินกชี่ ่วั โมง นงั่ ก่ีช่วั โมง นอนกชี่ ัว่ โมง แต่เทา่ ไรกช็ า่ งมนั เถอะ
จบั จดุ มนั เข้ากเ็ ปน็ การยนื การเดิน การนัง่ การนอนเสมอ การยนื เดินน่งั นอนน้ใี ห้
เสมอกนั ทา่ นบอกไวใ้ นธรรมะ การปฏบิ ตั ใิ หป้ ฏบิ ตั สิ มำ่� เสมอกนั ใหอ้ ริ ยิ าบถเสมอกนั
อริ ยิ าบถคอื อะไร คอื การยนื การเดนิ การนง่ั การนอน ใหม้ นั เสมอกนั เอ! คดิ ไมอ่ อก
ใหม้ นั เสมอนี้ มนั กค็ งจะวา่ นอน ๒ ชว่ั โมง กย็ นื ๒ ชวั่ โมง นง่ั ก็ ๒ ชวั่ โมง คงจะเปน็
อยา่ งนน้ั กระมงั อาตมากม็ าลองทำ� ดเู หมอื นกนั โอะ๊ ! มนั ไปไมไ่ หว ไปไมไ่ หวแนน่ อนเลย
จะยนื กใ็ ห้ ๒ ชั่วโมง หรอื นั่งก็ให้ ๒ ช่ัวโมง เดินก็ ๒ ชวั่ โมง นอนก็ ๒ ชวั่ โมง
เรยี กว่าอริ ยิ าบถเสมอกัน อยา่ งน้ี เราฟงั ผิด ฟังตามแบบนม้ี นั ผิด
อริ ยิ าบถเสมอนี้ ทา่ นพดู ถงึ จติ ของเรา ความรสู้ กึ ของเราเทา่ นนั้ ไมใ่ ชท่ า่ นพดู ทวั่ ไป
คอื ทำ� จติ ของเราใหม้ นั เกดิ ปญั ญา แลว้ ใหม้ นั มปี ญั ญา ใหม้ นั สวา่ ง ความรสู้ กึ หรอื ปญั ญา
ของเราน้นั แมเ้ ราจะอยูใ่ นอิริยาบถยนื เดิน น่ัง นอน ก็รอู้ ยเู่ สมอ เข้าใจอยเู่ สมอใน
อารมณต์ า่ งๆ แมฉ้ นั จะยนื อยกู่ ช็ า่ ง นอนอยกู่ ช็ า่ ง จะนง่ั หรอื เดนิ กช็ า่ ง ฉนั จะรอู้ ารมณ์
อยเู่ สมอไปวา่ อารมณท์ ง้ั หลายเหลา่ นม้ี นั จะเปน็ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา เทา่ นนั้ แหละ
ค�ำพูดอย่างน้ีก็เป็นไป ความรู้สึกความรู้อย่างน้ันก็เป็นไป จิตใจก็น้อมเข้าไป
อยา่ งนนั้ เมอื่ ถกู อารมณเ์ มอื่ ไร กเ็ หน็ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา ตลอดเวลาอยู่ อยา่ งนน้ั
จะยนื จะเดนิ จะนงั่ จะนอน มนั มคี วามเหน็ อยอู่ ยา่ งนนั้ แมว้ า่ มนั จะรกั หรอื จะเกลยี ด
มันก็ยังไมท่ ้ิงปฏปิ ทาของมนั มนั รู้ของมนั อยู่
ถ้าหากว่ามาเพ่งจิตให้เป็นปฏิปทาให้สม�่ำเสมอกัน ความสม่�ำเสมอกันคือมัน
ปล่อยวางเสมอกนั เมือ่ หากวา่ มนั ไดอ้ ารมณ์ที่ดตี ามสมมตุ ิของเขา มันกย็ ังไมล่ ืมตวั
ของมัน เม่ือมันรู้อารมณ์ท่ีชั่ว มันก็ยังไม่ลืมตัวของมัน มันไม่หลงในความชั่ว
มันไมห่ ลงในความดี สมมุตทิ ้ังหลายเหล่าน้ี มนั จะตรงของมนั อยเู่ รอ่ื ยๆ อริ ิยาบถน้ี
เอาเสมอได้ ถา้ มันยงั ไม่เสมอจัดใหม้ นั เสมอได้
ถา้ พดู ถงึ ภายใน ไมพ่ ดู ถงึ ภายนอก พดู ถงึ เรอ่ื งจติ ใจ พดู ถงึ ความรสู้ กึ ถา้ หากวา่
อริ ยิ าบถจติ ใจสมำ่� เสมอกนั จะถกู สรรเสรญิ มนั กอ็ ยแู่ คน่ นั้ จะถกู นนิ ทามนั กอ็ ยแู่ คน่ น้ั
101
มันไม่วิ่งขนึ้ มันไมว่ ิ่งลง มนั อย่อู ย่างนี้ กเ็ พราะอะไร มันรอู้ ันตราย ร้อู ุปสรรคใน
สงิ่ ทง้ั หลายเหลา่ นี้ เหน็ โทษ เหน็ โทษในการสรรเสรญิ เหน็ โทษในการนนิ ทาเสมอกนั แลว้
เรียกวา่ มันเสมอกันแล้วน้ันอย่างน้ี ความรูส้ ึกอย่างนี้ เรยี กว่าทางใน มองดูดา้ นใน
ไมม่ องดดู า้ นนอก
อารมณ์ท้ังหลายน้ันนะ ถ้าหากว่าเราได้อารมณ์ท่ีดี จิตของเรามันก็ดีด้วย
ไดอ้ ารมณท์ ไี่ ม่ดี จิตของเราก็ไมด่ ีไมช่ อบ มนั จะเปน็ อยู่อย่างนี้ น้เี รียกว่าอริ ิยาบถ
มันไมส่ มำ�่ เสมอกันแล้ว มันสม�่ำเสมอ แต่วา่ มันรูอ้ ารมณว์ ่า ยดึ ดีก็รู้ ยึดช่วั กร็ จู้ กั
แค่นี้ก็นับว่าดีแล้ว อิริยาบถนี้มันสม่�ำเสมอแต่มันยังวางไม่ได้ แต่ว่ามันรู้สม่�ำเสมอ
ยดึ ความดกี ร็ จู้ กั ยดึ ความชวั่ กร็ จู้ กั ความยดึ เชน่ นมี้ นั เปน็ สง่ิ ทไี่ มใ่ ชห่ นทาง กร็ อู้ ยเู่ ขา้ ใจ
อยา่ งน้ี แตว่ า่ มันท�ำยังไมไ่ ดเ้ ตม็ ท่ี ยังไมไ่ ด้ปลอ่ ยวางจริง แตม่ นั รวู้ า่ ถา้ จะปล่อยวาง
ตรงนม้ี นั จะสงบ
แล้วเมื่อเราพยายามท�ำไปๆ เห็นโทษในอารมณ์ท่ีว่ามันชอบใจหรือว่ามัน
ไมช่ อบใจ หรือเห็นโทษในสรรเสรญิ เห็นโทษในการนนิ ทาสมำ่� เสมอกนั อยู่น้นั แหละ
ไมม่ อี ะไรแปลกกัน นนิ ทามนั ก็สมำ�่ เสมอกนั สรรเสริญมันก็สม�ำ่ เสมอกัน เมอ่ื พดู ถึง
จติ คนเราในโลกนี้ ถา้ นนิ ทาละกไ็ มไ่ ด้ บบี หวั ใจเรา ถา้ ถกู สรรเสรญิ มนั แชม่ ชนื่ สบาย
มนั เป็นอย่างน้ีตามธรรมชาตขิ องมัน เมื่อมันรตู้ ามความเปน็ จริงเสยี แล้วว่า อารมณ์
ท่ีเขานินทาน้ันมันก็มีโทษ อารมณ์ท่ีเขาสรรเสริญน้ันมันก็มีโทษ ติดในสรรเสริญ
มนั กม็ ีโทษ ตดิ ในการนินทามันกม็ โี ทษ มนั เปน็ โทษทั้งหมดท้งั น้ัน ถา้ เราไปหมาย
ม่นั มนั อย่างนน้ั
เม่ือความรู้อย่างน้ีเกิดข้ึนมา เราก็จะรู้สึกอารมณ์ ถ้าไปหมายม่ันมันก็เป็น
ทกุ ขจ์ รงิ ๆ มนั ทกุ ขใ์ หเ้ หน็ ถา้ ไปยดึ ดยี ดึ ชว่ั มนั กเ็ ปน็ ทกุ ขข์ นึ้ มา แลว้ กม็ าเหน็ โทษนนั้ วา่
ความยดึ ทง้ั หลายนนั้ มนั เปน็ เหตใุ หเ้ ราเปน็ ทกุ ข์ เพราะชว่ั กต็ ะครบุ ดกี ต็ ะครบุ ทำ� ไมจงึ
เหน็ โทษมนั เพราะเราเคยยดึ มนั่ มนั มา เคยตะครบุ มนั มาอยา่ งนจี้ งึ เหน็ โทษ มนั ไมม่ สี ขุ
ทนี ้ีกห็ าทางปลอ่ ยมัน จะปลอ่ ยมันไปตรงไหนหนอ
102
ในทางพุทธศาสนาท่านวา่ อย่าไปยึดมัน่ ถือม่ัน แตเ่ ราฟงั ไมจ่ บไม่ตลอด ที่ว่า
อยา่ ไปยดึ มน่ั ถอื มนั่ นน้ั คอื วา่ ทา่ นใหย้ ดึ อยแู่ ตอ่ ยา่ ใหม้ นั่ เชน่ อยา่ งนี้ อยา่ งไฟฉายนนี่ ะ
นีค่ อื อะไร ไปยดึ มนั มาแลว้ ก็ดู พอรู้วา่ เป็นไฟฉายแล้วกว็ างมนั อยา่ ไปมน่ั ยดึ แบบนี้
ถ้าหากวา่ เราไม่ยดึ เราจะท�ำไดไ้ หม จะเดินจงกรมกไ็ มไ่ ด้ จะทำ� อะไรก็ไมไ่ ด้ ต้องยึด
เสียกอ่ น ครงั้ แรกจะวา่ มันเป็นตัณหาก็ได้ แต่ว่าตอ่ ไปมันจะเป็นบารมี อย่างเชน่ ทา่ น
ชาคโรจะมาวดั ปา่ พง กต็ อ้ งอยากมากอ่ น ถา้ ไมร่ สู้ กึ วา่ อยากมากไ็ มไ่ ดม้ า โยมทง้ั หลาย
กเ็ หมอื นกนั กม็ คี วามอยากนนั่ แหละจงึ ไดม้ า นจ้ี งึ มาดว้ ยความอยาก เมอ่ื มคี นอยาก
ขนึ้ มา ทา่ นกว็ า่ อยา่ ยดึ มน่ั คอื มาแลว้ กก็ ลบั อยา่ งทสี่ งสยั วา่ “นอ่ี ะไร” แลว้ กย็ ดึ ขน้ึ มา
เออ...มนั เปน็ ไฟฉายนะนนี่ ะ แล้วก็วางมนั นี้เรยี กวา่ ยึด แต่ไมใ่ หม้ ั่น ปล่อยวาง
ร้แู ลว้ ปล่อยวาง พดู งา่ ยๆ กว็ ่าร้แู ลว้ ปลอ่ ยวาง จบั มาดู รู้แล้วปล่อยวาง
อันนี้เขาสมมุติว่ามันดี อันนี้เขาสมมุติว่ามันไม่ดี รู้แล้วก็ปล่อยทั้งดี ทั้งชั่ว
แตว่ า่ การปลอ่ ยนไ้ี มไ่ ดท้ ำ� ดว้ ยความโง่ ไมไ่ ดย้ ดึ ดว้ ยความโง่ ใหย้ ดึ ดว้ ยปญั ญาอยา่ งน้ี
อันนี้อิริยาบถนี้เสมอได้ ต้องเสมอได้อย่างนี้ คือจิตมันเป็น ท�ำจิตให้รู้ ท�ำจิตให้
เกดิ ปญั ญา เมื่อจติ มปี ญั ญาแลว้ อะไรมันจะเหนือไปกว่านั้นอกี เลา่ ถา้ หากจะยดึ มา
มนั ก็ยึดไม่มีโทษ ยดึ ข้ึนมาแตไ่ มม่ ่นั ยึดดูแล้ว รูแ้ ลว้ กว็ าง
อารมณ์เกิดมาทางหู อันนี้เรารู้โลกเขาว่ามันดี แล้วก็วาง โลกเขาว่ามันไม่ดี
มนั กว็ าง มนั รู้ดรี ชู้ ัว่ คนทไี่ ม่รูด้ ีรูช้ ั่ว ไปยดึ ท้ังดที ั้งชั่วแลว้ เป็นทุกข์ทง้ั นน้ั คนรดู้ ีรู้ช่วั
ไมไ่ ด้ยึดในความดี ไมไ่ ดย้ ึดในความชวั่ คนทยี่ ดึ ในความดคี วามช่วั นัน่ คือคนไมร่ ู้ดี
รชู้ วั่ และคำ� ทวี่ า่ เราทำ� อะไรตลอดทวี่ า่ เราอยไู่ ปนี้ เราอยเู่ พอื่ ประโยชนอ์ ะไร เราทำ� งาน
อนั นี้ เราทำ� เพ่อื ต้องการอะไร แต่โลกเขาวา่ ทำ� งานอันนี้ เพราะต้องการอนั นั้น เขาวา่
เป็นคนมีเหตุผล แต่พระท่านสอนยิ่งไปกว่านั้นอีก ท่านว่า ท�ำงานอันนี้ ท�ำไป
แตไ่ มต่ อ้ งการอะไร ทำ� ไมไมต่ อ้ งการอะไร โลกเขาตอ้ งทำ� งานอนั นเ้ี พอ่ื ตอ้ งการอนั นน้ั
ทำ� งานอนั นั้นเพอื่ ต้องการอันน้ี น่เี ป็นเหตุผลอยา่ งชาวโลกเขา
พระพุทธองค์ท่านทรงสอนว่า ท�ำงานเพ่ือท�ำงาน ไม่ต้องการอะไร ถ้าคนเรา
ทำ� งานเพอื่ ตอ้ งการอะไร กเ็ ปน็ ทกุ ข์ ลองดกู ไ็ ด้ พอนงั่ ปบ๊ั กต็ อ้ งการความสงบ กน็ งั่ อยู่
103
นน่ั แหละ กดั ฟนั เปน็ ทกุ ขแ์ ล้ว นัน่ ลองคดิ ดูซิ มันละเอยี ดกวา่ กนั อยา่ งนี้ คอื ท�ำแลว้
ปล่อยวางๆ อย่างเช่น พราหมณ์เขาบูชายัญ เขาต้องการส่ิงที่เขาปรารถนานั้นอยู่
การกระท�ำเช่นนัน้ ของพราหมณน์ นั้ ก็ยงั ไมพ่ น้ ทกุ ข์ เพราะเขามีความปรารถนาจึงท�ำ
ทำ� แลว้ ก็ทกุ ขเ์ พราะท�ำดว้ ยความปรารถนา
คร้ังแรกเราท�ำก็ปรารถนาให้มันเป็นอย่างน้ัน ท�ำไปๆ ท�ำจนกว่าท่ีเรียกว่า
ไม่ปรารถนาอะไรแล้ว ท�ำเพ่ือปล่อยวาง มันลึกซึ้งอย่างนี้ คนเราปฏิบัติธรรมเพ่ือ
ตอ้ งการอะไร เพอ่ื ตอ้ งการพระนพิ พานนนั่ แหละ จะไมไ่ ดพ้ ระนพิ พาน ความตอ้ งการ
อันนเ้ี พ่ือให้มคี วามสงบ มันก็เปน็ ธรรมดาแตว่ ่าไมถ่ กู เหมอื นกนั จะท�ำอะไรกไ็ มต่ อ้ ง
คดิ วา่ จะตอ้ งการอะไรทง้ั สนิ้ ไมต่ อ้ งการอะไรทง้ั สนิ้ แลว้ มนั จะเปน็ อะไร กไ็ มเ่ ปน็ อะไร
ถา้ เปน็ อะไรมนั ก็ทกุ ข์เทา่ นนั้ แหละ
การท�ำงานไม่ให้เป็นอะไรน้ันเรียกว่า “ท�ำจิตให้ว่าง” แต่การกระท�ำมีอยู่
ความวา่ งนพี้ ดู ให้คนฟังไม่รเู้ ร่ือง แต่คนทำ� ไปจะรจู้ กั ความวา่ งน้วี า่ มีประโยชน์ ไม่ใช่
ว่ามนั ว่างในสิง่ ท่มี นั ไม่มี มนั วา่ งในสง่ิ ทม่ี นั มีอยู่ เช่น ไฟฉายนีน้ ะ มันไมว่ ่าง แตเ่ รา
เห็นไฟฉายน้ีมันว่าง ว่างก็เพราะมีไฟฉายน้ี ไฟฉายน้ีเป็นเหตุให้มีว่าง ไม่ใช่ว่าง
ขณะนั้นมองดูไม่มีอะไร ไม่ใช่อย่างนั้น คนฟังความว่างก็ไม่ค่อยออกเหมือนกัน
ไมค่ อ่ ยจะรจู้ กั อยา่ งนนั้ ตอ้ งเขา้ ใจความวา่ งในของทม่ี อี ยู่ ไมใ่ ชค่ วามวา่ งในของทไ่ี มม่ ี
ลองอยา่ งน้ีสิ น่ีถา้ หากว่าใครยงั มีความปรารถนาอยู่ อยา่ งพราหมณท์ ่ีบูชายญั
ทพี่ ราหมณบ์ ชู ายญั กเ็ พราะเขาต้องการอะไรอนั ใดอันหนึ่งอยู่ เหมอื นกันกับทีโ่ ยมมา
ถึงกก็ ราบพระ “หลวงพอ่ ...ผมขอรดน�้ำมนต์” “ทำ� ไม...รดทำ� ไม” “ต้องการกนิ ดอี ยดู่ ี
ไมเ่ จบ็ ไมไ่ ข”้ นนั่ แหละ มนั ไมพ่ น้ ทกุ ขแ์ ลว้ ถา้ มนั ตอ้ งการอยา่ งนนั้ ทำ� อนั นเ้ี พอ่ื ตอ้ งการ
อนั นนั้ ทำ� อันนั้นเพอ่ื ตอ้ งการอันนี้
ในทางพทุ ธศาสนาใหท้ ำ� เพอื่ ไมต่ อ้ งการอะไร ถา้ มเี พอื่ อะไร มนั ไมห่ มด ทางโลก
ท�ำอะไร เรียกวา่ มนั มเี หตุผล พระพทุ ธองคท์ า่ นทรงสอนวา่ ให้ “นอกเหตเุ หนือผล”
ไม่ว่าจะทำ� อะไร ปัญญาของท่านให้นอกเหตเุ หนอื ผล ใหน้ อกเกดิ เหนือตาย นอกสุข
104
เหนือทุกข์ ลองคิดตามไปซิ ลองพิจารณาตามไป คนเราเคยอยู่ในบ้าน พอหนี
จากบา้ นไปไมม่ ที อ่ี ยู่ ไมร่ จู้ ะทำ� อยา่ งไร เพราะเรามนั เคยอยใู่ นภพ อยใู่ นความยดึ มนั่
ถือมนั่ เปน็ ภพ ถา้ ไม่มีความยดึ ม่นั ถอื ม่ันแลว้ กเ็ รียกวา่ ไม่รู้วา่ จะทำ� อะไร
เหมอื นอยา่ งคนสว่ นมากไมอ่ ยากไปพระนพิ พานเพราะกลวั เพราะเหน็ ไมม่ อี ะไร
ดหู ลงั คากบั พน้ื น่ี ทส่ี ดุ ขา้ งบนคอื หลงั คา ทสี่ ดุ ขา้ งลา่ งคอื พนื้ อนั นน้ั มนั เปน็ ภพขา้ งบน
อนั นี้เปน็ ภพข้างลา่ ง ระยะที่ภพทง้ั สองน้ีมันตอ่ กนั มนั วา่ งๆ คนไมร่ ้จู ัก เหมือนท่วี า่ ง
ระหว่างหลังคากับพื้น เห็นมันว่างๆ ก็ไม่รู้จะไปอยู่ตรงไหน ต้องไปอยู่บนหลังคา
หรือไม่อย่างน้ันก็ทพี่ ื้นข้างลา่ ง
ที่ๆ ไม่มีอยู่น่ันแหละมันว่าง เหมือนกับท่ีไม่มีภพนั่นแหละก็เรียกว่ามันว่าง
ตดั เยอ่ื ใยออกเสยี มนั กว็ า่ ง พอบอกวา่ พระนพิ พานคอื ความวา่ ง ถอยหลงั เลยไมไ่ ป กลวั
กลัวจะไม่ได้เห็นลูก กลัวจะไม่ได้เห็นหลาน กลัวจะไม่ได้เห็นอะไรท้ังนั้น อย่างท่ี
เวลาพระท่านใหพ้ รญาติโยมว่า อายุ วัณโณ สขุ งั พลัง โยมก็ดีใจ สาธุ เพราะชอบ
มันจะได้อายุหลายๆ วรรณะผ่องใส มีความสุขมากๆ มีพลังหลายๆ คนชอบใจ
ถ้าจะพูดวา่ ไมม่ อี ะไรแล้ว เลกิ เลย ไม่ต้องเอาแล้ว
คนมันตดิ อยู่ในภพอยา่ งนน้ั บอกไปตรงน้ัน ไม่ไป ไมม่ ที ่อี ยู่แล้ว อายุ วณั โณ
สุขัง พลัง เออ! ดแี ล้ว อายุใหย้ นื นาน วัณโณใหม้ ีวรรณะผิวพรรณสวยงาม ให้มี
ความสขุ มากๆ ใหม้ ีอายยุ ืนๆ คนอายุยืนๆ มผี วิ พรรณดีมีไหม เคยมไี หม คนอายุ
หลายๆ มีพลงั มากๆ มีไหม คนมีอายุมากๆ มคี วามสุขมากๆ มีไหม พอใหพ้ รว่า
อายุ วณั โณ สขุ ัง พลงั ดใี จสาธุกนั ท้งั นั้น ทง้ั ศาลาเลย นี่แหละมนั ติดอยใู่ นภพนี้
เหมอื นอยา่ งพราหมณ์บูชายัญ ทท่ี �ำพิธบี ชู ายัญเพราะตอ้ งการสงิ่ ที่เขาปรารถนา
การท่ีเรามาปฏิบัติน้ีไม่ต้องบูชายัญ คือไม่ต้องการอะไร ถ้าต้องการอะไร
มนั กย็ ังมอี ะไรอยู่ ถ้าไม่ต้องการอะไร มันกส็ งบ จบเรื่องของมนั แต่พดู ใหฟ้ ังอยา่ งนี้
กค็ งไมค่ ่อยสบายใจอีกแลว้ เพราะอยากจะเกิดกนั อีกท้งั นัน้
105
ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ควรเข้าไปใกล้พระให้มาก ดูการปฏิบัติของท่าน
การเขา้ ไปใกลพ้ ระกค็ อื ใกลพ้ ระพทุ ธเจา้ คอื ใกลธ้ รรมะของทา่ นนน้ั แหละ พระพทุ ธเจา้
ตรสั วา่ “อานนท์ ใหท้ า่ นทำ� ใหม้ าก ใหท้ า่ นเจรญิ ใหม้ าก ใครเหน็ เรา คนนน้ั เหน็ ธรรม
ใครเหน็ ธรรม คนน้นั เหน็ เรา”
พระพุทธเจ้าอยู่ตรงไหนล่ะ เราก็นึกว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดแล้ว
พระพทุ ธเจา้ กเ็ สดจ็ ไปแลว้ แตพ่ ระพทุ ธเจา้ คอื ธรรมะ คอื สจั ธรรม บางคนชอบพดู วา่
ถ้าเราเกิดทันพระพุทธเจ้า เราก็จะได้ไปพระนิพพานเหมือนกัน น่ีแหละ ความโง่
มันหลุดออกมาอย่างนั้น พระพุทธเจ้ายังมีอยู่ทุกวันน้ี ใครว่าพระพุทธเจ้านิพพาน
พระพทุ ธเจา้ คอื สจั ธรรม สจั ธรรมมนั จะจรงิ อยอู่ ยา่ งนนั้ ใครจะเกดิ มากม็ อี ยอู่ ยา่ งนนั้
ใครจะตายไปกม็ อี ย่อู ย่างนน้ั สจั ธรรมนี้ไมม่ วี ันสญู ไปจากโลก เป็นอย่างน้ัน มอี ยู่
ตลอดเวลาอย่างนัน้ พระพทุ ธเจา้ จะเกดิ มาก็มี ไมเ่ กดิ มาก็มี ใครจะรู้ก็มี ใครจะไมร่ ู้
ก็มี อันนัน้ มนั มีอยอู่ ยา่ งนน้ั ฉะนนั้ จงึ วา่ ใหใ้ กล้พระพุทธเจา้ เราน้อมเขา้ มา นอ้ มเขา้
ให้เราถึงธรรมะ เม่ือได้ถึงธรรมะเราก็ถึงพระพุทธเจ้า เมื่อเห็นธรรมะเราก็เห็น
พระพทุ ธเจา้ แลว้ ความสงสัยทัง้ หลายกจ็ ะหมดส้นิ
เหมือนอยา่ งครูชู เกิดมาครั้งแรกไมเ่ ป็นครหู รอก เปน็ นายชู ตอ่ มามาเรยี นวิชา
ของครู สอบได้ไปบรรจุเป็นครู กเ็ รียกวา่ เปน็ ครชู ู แมค้ รูชจู ะตายไปแลว้ วชิ าของครู
นีก้ ย็ งั มอี ยู่ ไม่หายไปไหน ใครจะไปเรยี นวชิ าครู ไปสอบได้ กไ็ ด้เป็นครูอยู่ วิชาครู
นนั้ ยงั อย่เู ป็นสจั ธรรม ยังมใี นโลก เหมือนสัจธรรมทีท่ �ำให้พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า
ฉะนนั้ พระพทุ ธเจา้ จงึ ยงั มอี ยอู่ ยา่ งน้ี ดงั นน้ั ใครปฏบิ ตั ไิ ปกจ็ ะเหน็ ธรรมะ เหน็ ธรรมะ
ก็จะเห็นพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้คนไม่เห็นทั้งนั้นแหละ มองพระพุทธเจ้าไปตรงไหน
กไ็ มร่ ู้ ไมร่ ้จู กั แล้วยงั พูดวา่ ถา้ ฉันเกดิ พรอ้ มพระพุทธเจา้ ฉนั ก็คงจะได้เป็นลกู ศษิ ย์
ของทา่ น และคงจะไดต้ รสั รเู้ หมอื นกนั พดู ออกมาดว้ ยความโง่ นข่ี อใหเ้ ขา้ ใจอนั นใี้ หด้ ี
จิตเป็นส่ิงท่ีส�ำคัญมาก และการปฏิบัติของเราก็เช่นเดียวกัน อย่าไปเข้าใจ
ว่าออกพรรษาแล้วก็สึก อย่าคิดอย่างน้ัน ความคิดชั่ววูบเดียวอาจท�ำให้ฆ่าคนได้
ในทำ� นองเดยี วกนั ความดวี บู เดยี วในขณะจติ เดยี วเทา่ นนั้ ไปไดเ้ หมอื นกนั ใหเ้ ขา้ ใจ
106
อยา่ งนี้ อยา่ ไปเขา้ ใจวา่ ฉนั บวชมานานแลว้ จติ จะภาวนาอยา่ งไรกไ็ ด้ อยา่ คดิ อยา่ งนน้ั
ความชัว่ วบู เดียวเทา่ นัน้ ใหท้ ำ� กรรมหนกั ไดโ้ ดยไม่รู้ตวั เช่นเดยี วกบั สาวกทุกๆ องค์
ของท่านที่ได้ปฏิบัติมานมนานแล้ว เมื่อมันจวนจะถึงที่ มันก็ขณะจิตเดียวเท่านั้น
ฉะนั้น อย่าไปประมาทของเลก็ ๆ นอ้ ยๆ จงเพยี รพยายามใหห้ นกั อย่างนัน้ ถงึ ไดว้ ่า
ใหไ้ ปอยูก่ ับพระ ใหเ้ ข้าใกล้พระ แล้วใหพ้ ิจารณาถึงจะรูจ้ ักพระ ใหเ้ ขา้ ใจดีๆ
เอาละ...คืนน้ีมันจะดึกแล้วกระมัง บางคนก็ง่วงนอนแล้ว พระพุทธเจ้าท่าน
ไมเ่ ทศน์ให้คนงว่ งนอนฟงั หรอก ท่านเทศนใ์ หค้ นลืมตาลมื ใจฟงั .
107
๙
สมั มาทิฏฐิทีเ่ ยือกเยน็
การปฏิบัตินี้มันตรงกันข้ามกับจิตของเรา จิตของเราที่มีกิเลสตัณหาอยู่น้ัน
มันตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ฉะนั้น การปฏิบัติจึงเป็นเรื่องยุ่งยากอยู่สักนิด
บางสงิ่ ทเ่ี ราเขา้ ใจวา่ ผดิ แตม่ นั ถกู กม็ ี สง่ิ ทเี่ ราเขา้ ใจวา่ มนั ถกู อาจจะผดิ กม็ ี เพราะอะไร
เพราะจิตของเรามันมืด ไม่รู้แจ้งตามเป็นจริงในสภาวธรรมทั้งหลายน้ัน จิตของเรา
เอาเป็นประมาณไมไ่ ด้ เพราะจติ เราไม่รูต้ ามความเปน็ จริง จึงเอาเป็นประมาณไม่ได้
การฟงั ธรรมะ อยา่ งวนั นเี้ หมอื นกนั บางคนกไ็ มอ่ ยากจะรบั ฟงั เลย บางคนกอ็ ยาก
จะรับฟัง อยา่ งน้ีไมใ่ ชว่ ิสยั ของนกั ปราชญ์ ถา้ เป็นนักปราชญ์แลว้ ฟังธรรมได้ทุกอยา่ ง
จงึ วา่ ความคดิ ของเรานน้ั เอาเปน็ ประมาณไมไ่ ด้ เดย๋ี วชอบอยา่ งนี้ เดย๋ี วไมช่ อบอยา่ งนน้ั
บางทีอย่างที่เราชอบใจมันผิดความจริงก็มี ไม่เป็นธรรมก็มี หรือบางทีส่ิงท่ีเรา
ไม่ชอบใจนั้น มนั เปน็ แทจ้ รงิ ก็มี บางทีก็เหมือนกบั คนไมร่ ูเ้ รอ่ื ง ไม่รเู้ รอื่ งอะไรทุกส่ิง
ทกุ อยา่ ง พอถกู คนโกหกเขา้ กเ็ ชอื่ หมด เขาโกหกวา่ อยา่ งนถ้ี กู เรากเ็ ชอ่ื เพราะเรามนั โง่
เขาชสี้ งิ่ ทถี่ กู วา่ ผดิ เรากเ็ ชอ่ื เพราะอะไร เพราะเรายงั ไมเ่ ปน็ ตวั ของตวั ไมร่ ตู้ ามความเปน็
จริงน่ันเอง
บรรยายแก่ทป่ี ระชุมพระภกิ ษุ สามเณร ณ วดั ป่านานาชาติ พ.ศ. ๒๕๒๑
108
เหมอื นจติ ของเราทกุ วนั นแี้ หละ ถกู อารมณโ์ กหกอยเู่ รอื่ ย บางทกี ช็ อบอยา่ งนนั้
บางทีก็ไม่ชอบอย่างนี้ ถูกโกหกอยู่เรื่อย เพราะเราไม่รู้ตามความเป็นจริงของมัน
มนั กโ็ กหกอยู่เรอื่ ยๆ ถ้าหากว่าเราผ้ฟู ังธรรมกฟ็ งั ธรรมไปเถดิ ธรรมน้นั จะชอบใจเรา
หรอื ไมช่ อบใจ เรากค็ วรฟัง คนทฟ่ี ังธรรมอย่างนี้ได้ประโยชน์ เพราะว่าความจรงิ ที่
พระท่านเทศนใ์ ห้ฟัง หรอื ครูบาอาจารยท์ า่ นสอนใหฟ้ งั นน้ั เราจะเชือ่ กไ็ ม่ได้ ไม่เชื่อ
กไ็ มไ่ ด้ เราตอ้ งอยทู่ ค่ี รง่ึ ๆ กลางๆ น้ี ไมไ่ ดป้ ระมาทวา่ เชอื่ หรอื ไมเ่ ชอ่ื เรากฟ็ งั ของเราไป
แลว้ เอาไปพจิ ารณาใหม้ ันเกิดเหตผุ ลในทางทช่ี อบขน้ึ มา
นกั ปราชญท์ ้ังหลายไมค่ วรเช่ือง่ายๆ ควรเอาไปพิจารณาตริตรองดูเหตผุ ลก่อน
จงึ ค่อยเชอ่ื แมจ้ ะพดู ความจรงิ ให้ฟงั กอ็ ยา่ เพิง่ เช่อื เพราะอะไร เพราะเรายงั ไมร่ ู้เทา่
ตามความเปน็ จรงิ นน้ั ดว้ ยตนเอง พวกเราทกุ คนกเ็ หมอื นกนั รวมทงั้ ผมดว้ ย ผมเคย
ปฏิบตั มิ าก่อนทา่ น กเ็ คยถกู โกหกมาแล้วว่า การปฏบิ ัติน้มี นั ลำ� บากมากหลาย ท�ำไม
มนั จึงล�ำบาก ก็เพราะเราคดิ ไมถ่ ูกต้องนน่ั เอง มนั เป็นมจิ ฉาทฏิ ฐิ เราคดิ ไมถ่ กู
แตก่ อ่ นผมเคยอยกู่ บั พวกพระมาก ผมกไ็ มส่ บาย รวนเร หนไี ปตามปา่ ตามเขา
หนจี ากพวกจากเพอื่ น เหน็ ไปวา่ ภกิ ษสุ ามเณรกไ็ มเ่ หมอื นใจเรา ปฏบิ ตั ไิ มเ่ กง่ เหมอื นเรา
มคี วามประมาท คนโนน้ เปน็ อยา่ งนี้ คนนเี้ ปน็ อยา่ งนนั้ กเ็ ปน็ เหตอุ ยา่ งหนงึ่ ใหเ้ ราวนุ่ วาย
เปน็ เหตุใหห้ นไี ปเรื่อยๆ ไปอยอู่ งคเ์ ดียวกม็ ี สององค์ก็มี ก็ไม่มีความสบาย ไปอยู่
องคเ์ ดยี วกไ็ มส่ บาย ไปอยหู่ ลายองคก์ ไ็ มส่ บาย ไปอยทู่ เ่ี อกลาภมากเยอะแยะกไ็ มส่ บาย
ไปอยทู่ เ่ี อกลาภไมม่ ากไมน่ อ้ ยกไ็ มส่ บาย ความไมส่ บายนเี้ รากน็ กึ วา่ มนั เปน็ เพราะเพอื่ น
เป็นเพราะอารมณ์ เปน็ เพราะท่อี ยู่ เป็นเพราะอาหาร เป็นเพราะอากาศ เป็นเพราะนน่ั
เป็นเพราะนี่ เราคดิ วา่ มันเปน็ เช่นนั้น เราก็แสวงหาไปตามเรอ่ื งของเราเร่อื ยๆ
แตก่ อ่ นเปน็ พระธดุ งค์ ธดุ งคไ์ ปแลว้ กไ็ มส่ บาย ภาวนาไป พจิ ารณาไปทำ� อยา่ งไร
จงึ จะสบายหนอ พิจารณาอยอู่ ยา่ งน้ี อย่มู ากคนก็ไมส่ บาย อยอู่ ากาศเยน็ ก็ไม่สบาย
อากาศร้อนก็ไม่สบาย เพราะอะไรหนอ ไมเ่ ห็นเสียแลว้ ท�ำไมมันจึงไม่สบาย กเ็ พราะ
มนั เปน็ มจิ ฉาทฏิ ฐมิ คี วามเหน็ ผดิ เพราะตวั เรานยี้ งั ยดึ ธรรมอนั มพี ษิ อยนู่ นั่ เอง ไปอยู่
ทไ่ี หนกไ็ มส่ บาย วา่ ตรงนนั้ ไมด่ ตี รงนไ้ี มด่ อี ยเู่ รอื่ ยไป มนั ไปใหโ้ ทษคนอน่ื เขา มนั ไปให้
109
โทษอากาศ มนั ไปใหโ้ ทษความรอ้ น มนั ไปใหโ้ ทษความเยน็ มนั ไปใหโ้ ทษสารพดั อยา่ ง
เหมือนกบั หมาบา้ หมาบ้ามันเห็นอะไรมันก็กัด เพราะมนั เปน็ บ้า เปน็ เช่นน้ีแหละ
ฉะนนั้ เมอื่ พวกเราทงั้ หลายปฏบิ ตั ิ จงึ มจี ติ กระสบั กระสา่ ยอยเู่ รอ่ื ยไป วนั นสี้ บาย
พรงุ่ นไ้ี มส่ บาย มนั กเ็ ป็นของมนั อยู่เชน่ นเี้ รอื่ ยไป ไม่ได้ความสบาย ไม่ได้ความสงบ
มานกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ ทา่ นประทบั อยทู่ แ่ี หง่ หนง่ึ ประชมุ พระภกิ ษสุ งฆต์ อนบา่ ย ตอนเยน็
ท่านเห็นหมาป่าตัวหนงึ่ วง่ิ ออกมาจากปา่ มายนื อยู่แลว้ ก็วิง่ เข้าไปในพุม่ ไม้ แล้วกว็ ง่ิ
ออกมา แล้วว่ิงเข้าไปในโพรงไม้ เขา้ ไปอยูใ่ นโพรงไม้สักประเด๋ียวก็วิง่ ออกมา แล้วก็
เขา้ ไปอยใู่ นถำ้� ประเดย๋ี วกว็ งิ่ ออกมา เดยี๋ วกย็ นื อยู่ เดย๋ี วกว็ ง่ิ ไป เดยี๋ วกน็ อน เดยี๋ วกล็ กุ
เพราะหมาป่าตัวน้ันเป็นข้ีเร้ือน มันเป็นโรคเร้ือน ยืนอยู่ก็ถูกตัวเรื้อนมันไชกินเน้ือ
กินหนัง มันยืนอยู่ประเด๋ียวก็ไม่สบาย ว่ิงไปไม่สบายก็หยุดอยู่ หยุดอยู่ไม่สบาย
กน็ อน นอนอยไู่ มส่ บายกล็ กุ ขนึ้ ลกุ ขนึ้ แลว้ กเ็ ขา้ ไปในพมุ่ ไม้ ไปนอนอยปู่ ระเดยี๋ วเดยี ว
แล้วก็ว่ิงหนี วา่ พ่มุ ไมน้ ้นั ไมด่ ี แล้วกเ็ ข้าไปในโพรงไม้สกั พักหนึง่ ตวั ข้เี ร้ือนมนั กไ็ ช
กินเนือ้ กินหนังมนั อยเู่ ร่อื ย แล้วกล็ ุกไปอกี ว่งิ เขา้ ไปในถ้�ำ
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “ภิกษุท้ังหลาย ท่านเห็นไหมว่า เม่ือตอนเย็นวันน้ี
หมาปา่ ตัวหน่ึงมนั เดนิ อยทู่ ่นี ี่ เหน็ ไหม มนั จะยนื อยมู่ ันกเ็ ปน็ ทุกข์ มนั จะว่งิ ไปมนั ก็
เปน็ ทุกข์ มนั จะนั่งอยกู่ เ็ ป็นทกุ ข์ มนั จะนอนอยกู่ เ็ ปน็ ทกุ ข์ มันจะเข้าไปอยใู่ นพมุ่ ไมก้ ็
เปน็ ทุกข์ เข้าไปในโพรงไมม้ นั ก็เปน็ ทกุ ข์ จะเข้าไปอยใู่ นถำ�้ ก็ไม่สบาย มันก็เปน็ ทุกข์
เพราะมันเห็นว่าการยืนอย่นู ี้ไม่ดี การน่ังไม่ดี การนอนไม่ดี พุม่ ไมน้ ้ีไมด่ ี โพรงไม้นี้
ไมด่ ี ถ้�ำนไ้ี มด่ ี มนั ก็วง่ิ อยตู่ ลอดเวลานั้น ความเป็นจริงหมาปา่ ตัวน้ันมนั เปน็ ข้ีเรอ้ื น
มนั ไมใ่ ชเ่ ปน็ เพราะพมุ่ ไม้ หรอื โพรงไม้ หรอื ถำ้� หรอื การยนื การเดนิ การนง่ั การนอน
มนั ไม่สบายเพราะมันเป็นขี้เร้อื น”
พระภิกษุท้ังหลายน้ีก็เหมือนกัน ความไม่สบายน้ันคือความเห็นผิดท่ีมีอยู่
ไปยึดธรรมท่ีมพี ิษไว้มันกเ็ ดือดรอ้ น ไมส่ �ำรวมสังวรอินทรีย์ทัง้ หลาย แลว้ ก็ไปโทษ
แต่สง่ิ อน่ื ไมร่ ู้เรอื่ งของเจ้าของเอง ไปอยู่วัดหนองป่าพงก็ไมส่ บาย ไปอยู่อเมรกิ าก็
ไมส่ บาย ไมอ่ ยกู่ รงุ ลอนดอนกไ็ มส่ บาย ไปอยวู่ ดั ปา่ บงุ่ หวายกไ็ มส่ บาย ไปอยทู่ กุ ๆ สาขา
110
กไ็ ม่สบาย ทไี่ หนก็ไมส่ บาย น่ีกค็ อื ความเห็นผิดน้นั ยงั มีอย่ใู นตัวเรานั้นเอง มีความ
เห็นผิดยังไปยึดม่ันถือมั่นในธรรมอันมีพิษไว้ในใจของเราอยู่ อยู่ท่ีไหนก็ไม่สบาย
ท้ังนั้น นั่นคือเหมือนกันกับสุนัขนั้น ถ้าหากโรคเร้ือนมันหายแล้ว มันจะอยู่ท่ีไหน
มนั กส็ บาย อยกู่ ลางแจง้ มนั กส็ บาย อยใู่ นปา่ มนั กส็ บายอยา่ งน้ี ผมนกึ อยบู่ อ่ ยๆ แลว้
ผมกน็ �ำมาสอนพวกทา่ นท้งั หลายอย่เู ร่ือย เพราะธรรมตรงนม้ี นั เป็นประโยชนม์ าก
พระภิกษุท้ังหลายนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น ถ้าหากเรามารู้จักอารมณ์ตามความ
เป็นจริงเสียแล้ว มันก็สบาย จะมีความหนาวบ้างมันก็สบาย อยู่ท่ีคนมากก็สบาย
อยู่ท่ีคนน้อยก็สบาย ความสบายหรือไม่สบายไม่ได้อยู่ท่ีคนมากหรือน้อย มันอยู่ท่ี
ความเห็นถูกเทา่ นัน้ ถ้ามคี วามเห็นถกู ในใจของเราแลว้ อย่ทู ไี่ หนกส็ บาย น่เี พราะ
เรายังมีความเหน็ ผิดอยู่ ยึดธรรมอนั มีพษิ อยู่ แล้วมนั กไ็ ม่สบาย ท่เี รายดึ อย่อู ย่างน้ี
ก็เหมอื นกับตัวหนอนนั้นแหละ ทอ่ี ยูข่ องมนั กส็ กปรก อาหารของมนั กส็ กปรก ทอ่ี ยู่
และอาหารของมนั ไมด่ ที ง้ั นน้ั มนั ไมส่ มควร แตว่ า่ มนั สมควรกบั หนอน ลองเอาไมไ้ ป
เขย่ี มนั ออกจากมตู รออกจากคถู ดสู ิ ตวั หนอนนน้ั มนั จะดนิ้ กระเสอื กกระสนไปทเี ดยี ว
มันจะด้นิ มาหากองคถู อย่างเก่า มันจงึ จะสบาย อนั น้ีกเ็ หมอื นกนั ฉนั นน้ั
พระภกิ ษสุ ามเณรเราทงั้ หลายนน้ั ยงั มคี วามเหน็ ผดิ อยู่ ครบู าอาจารยม์ าแนะนำ�
ให้เห็นถูก มันก็ไม่สบาย ใจมนั วงิ่ ไปหากองคูถอยเู่ รื่อยๆ มนั ไม่สบายเพราะตรงนั้น
เป็นที่อยู่ของมัน เมื่อหนอนน้ันมันยังมองไม่เห็นความสกปรกอยู่ในที่นั้น เม่ือนั้น
มันก็ออกไม่ได้ พวกเราท้ังหลายก็เหมือนกันฉันนั้น ถ้าไม่เห็นโทษทั้งหลายใน
สิ่งเหลา่ น้นั มนั ก็ออกไมไ่ ด้ ปฏิบตั ิมันกย็ ากล�ำบาก
ฉะนนั้ จงฟงั ไมม่ อี นั ใดอน่ื การปฏบิ ตั นิ น้ั ถา้ เรามคี วามเหน็ ถกู ตอ้ งดแี ลว้ ผมวา่
อยู่ทีไ่ หนกส็ บาย อันนีผ้ มก็เคยปฏบิ ตั มิ าแลว้ เคยพบมาแลว้ ถ้าหากมนั ยังไม่รูจ้ ัก
อยา่ งทุกวนั นี้ มพี ระภิกษุสามเณรมญี าติโยม มอี ะไรหลายๆ อยา่ ง อยา่ งทกุ วนั นี้
ผมกต็ ายแล้ว ถ้ามนั มคี วามเหน็ ผดิ อยมู่ นั กต็ ายแลว้ ผมเหน็ ว่าท่อี ยู่ของพระเรานัน้
อยูท่ ม่ี ันเยือกเยน็ ก็คอื ความเห็นถูกต้องน้นั เอง เปน็ สัมมาทิฏฐิ ถา้ มีความเหน็ ถกู
เห็นชอบแล้ว มันก็สบาย มคี วามสงบ พวกเราท้งั หลายอยา่ ไปค้นอย่างอนื่ เลย
111
ฉะนนั้ ถึงแม้วา่ มันจะทกุ ข์ ก็ชา่ งมันเถอะ ทุกขน์ นั้ มนั ก็ไม่แน่หรอก ใครว่า
เหน็ ทกุ ข์ มนั เปน็ ตวั ไหม มนั มที กุ ขเ์ กดิ ขน้ึ มา ตวั ทกุ ขค์ อื อะไร มไี หม ใครเหน็ ทกุ ขไ์ หม
เห็นตวั ทกุ ข์ไหม เห็นมนั จริงจงั ไหม ผมไมเ่ ห็นว่ามันจริงมนั จงั อะไร ทกุ ขม์ นั ก็คือ
ความรูส้ กึ วูบเดียว แลว้ มนั กห็ ายไป แล้วสขุ ก็เหมือนกนั ฉันนน้ั ตวั สขุ สุขจรงิ ๆ มนั
มใี หเ้ หน็ ไหม ของจรงิ มไี หม มนั กส็ กั แตว่ า่ ความรสู้ กึ วบู หนงึ่ แลว้ มนั กห็ ายไป เกดิ แลว้
มันก็ดับไป อย่างความรักของเราเกิดข้ึนมาวูบหน่ึง แล้วมันก็หายไปอีก ตัวรัก
ตัวเกลียด ตัวชงั จรงิ ๆ ไมว่ ่ามนั จะอยทู่ ่ีไหน ความเปน็ จริงกค็ อื มันไม่มีตวั ไม่มีตน
มันสักแต่ว่าอารมณ์ เกิดข้ึนมาวูบหน่ึงแล้วก็หายไป มันหลอกลวงเราอยู่อย่างน้ี
เรอื่ ยๆ ไป เอาแนต่ รงไหนไมไ่ ด้ ไมม่ ี
ไม่มีอะไรท้ังน้ันแหละ สักแต่ว่าความรู้สึกเกิดข้ึนมา สมกับค�ำท่ีพระพุทธเจ้า
ตรสั วา่ ไมม่ ีอะไรนอกน้ัน มที กุ ข์เกดิ ขนึ้ มา แลว้ ทุกข์น้ันก็ตงั้ อยู่ เม่ือทกุ ข์ตงั้ อย่แู ลว้
ทุกข์ก็ดับไป ทุกข์ดับไปแล้ว สุขเกิดขึ้นมา แล้วสุขก็ต้ังอยู่ เม่ือสุขต้ังอยู่แล้วสุข
กด็ บั ไป เมอ่ื สขุ ดบั ไปแลว้ ทกุ ขก์ เ็ กดิ ขน้ึ มา เกดิ ขน้ึ แลว้ ทกุ ขก์ ต็ ง้ั อยู่ ตงั้ อยแู่ ลว้ กด็ บั ไป
ผลทสี่ ดุ ก็มารวมเป็นอันเดยี ววา่ นอกจากทุกข์นีเ้ กดิ นอกจากทกุ ขน์ ้ตี งั้ อยู่ นอกจาก
ทกุ ข์น้ดี บั ไปแล้ว ไม่มีอะไร มแี ต่เทา่ นี้ ไม่มอี ะไรอนื่ นอกจากนี้ มนั มเี ท่านๆ้ี
แต่เราก็เปน็ คนหลง ว่ิงตะครบุ มันเรอื่ ยไป กไ็ มพ่ บความจริง ว่าอันนม้ี นั เป็น
ความจรงิ ไหม มนั กไ็ มจ่ รงิ อกี แลว้ อนั นนั้ มนั จรงิ ไหม กไ็ มจ่ รงิ อกี นน้ั แหละ มนั เปลยี่ น
...เปลยี่ น...เปลย่ี นของมนั อยอู่ ยา่ งนนั้ ถา้ มาพจิ ารณาแลว้ กไ็ มค่ วรวง่ิ ไปกบั มนั ฉะนนั้
เมอ่ื เรารสู้ งิ่ ทง้ั หลายเหลา่ นแ้ี ลว้ กไ็ มใ่ ชเ่ ปน็ คนคดิ มาก แตเ่ ปน็ คนมปี ญั ญามาก ถา้ เรา
ไมร่ จู้ กั มนั มนั กค็ ดิ มากกวา่ ปญั ญา บางทปี ญั ญาไมม่ เี ลย มแี ตค่ วามคดิ ความคดิ มาก
แตป่ ัญญาไม่มี กย็ ง่ิ ทกุ ข์มาก มันกเ็ ปน็ ของมนั อยู่อยา่ งนี้ อะไรทุกสงิ่ ทุกอยา่ งถ้าเรา
เหน็ โทษจรงิ ๆ แลว้ เราจงึ ถอนตวั ออกมาได้ ถา้ เราไมเ่ หน็ โทษจรงิ ๆ แลว้ เรากถ็ อนตวั
ออกไม่ได้ ทกุ อยา่ งนนั่ แหละ อาการอันใดทเ่ี ราไมเ่ หน็ ประโยชนจ์ ริงๆ แลว้ มันก็
ทำ� ไม่ได้ ถ้าเราเห็นประโยชน์มันจริงจงั แลว้ เราก็ท�ำได้ เป็นของไม่ยากฉันนนั้ อันน้ี
พูดเรือ่ งเฉพาะในหลกั บรหิ ารจิต เราทกุ คนก็ใหท้ ำ� ใจใหด้ ี ทำ� ใจใหอ้ ดทน
112
เปรยี บเสมอื นหนงึ่ วา่ เราตดั ไมส้ กั ทอ่ นหนงึ่ เอาทงิ้ ลงในคลอง แลว้ มนั กไ็ หลไป
ตามน้ำ� ในคลองนั้น ถ้าท่อนไมท้ ่อนนน้ั ไม่ผุ ไมเ่ น่า ไม่พัง มนั ไมต่ ดิ อยูฝ่ ัง่ โนน้ ฝ่งั น้ี
มนั กไ็ หลไปตามคลองอยเู่ รอื่ ยไป ผมเชอื่ แนว่ า่ จะถงึ ทะเลใหญเ่ ปน็ ทสี่ ดุ อนั นก้ี เ็ หมอื นกนั
ฉนั นน้ั พวกทา่ นทง้ั หลายประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามแนวทางของสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
ของเราแล้ว เดินไปตามมรรคที่พระองค์ทรงสอน เดินไปตามกระแสให้มันถูกต้อง
ให้มันพ้นจากสิ่งทั้งสอง สิ่งทั้งสองอย่างน้ันคืออะไร คือสองข้างท่ีพระพุทธเจ้าของ
เราตรสั อันไม่ใชท่ างของสมณะท่ีจะคดิ ไป ท่จี ะเอาจรงิ เอาจงั กบั สิง่ ทง้ั หลายเหลา่ น้นั
คือ กามสุขัลลิกานุโยโค ประการหนึ่ง กับ อัตตกิลมถานุโยโค อีกประการหน่ึง
อนั นแี้ หละเรยี กวา่ ฝง่ั ฝง่ั ทง้ั สองขา้ ง ฝง่ั ของคลอง ของแมน่ ำ้� ทอ่ นไมท้ ป่ี ลอ่ ยไปตาม
คลองตามกระแสน�้ำ ก็คือจติ ของเรา
ทก่ี ลา่ วมาเมอ่ื กน้ี ว้ี า่ ทว่ี า่ ทอ่ นไมเ้ มอื่ ไมต่ ดิ อยฝู่ ง่ั โนน้ ไมต่ ดิ อยฝู่ ง่ั น้ี แลว้ ทอ่ นไม้
ทอ่ นนั้นมนั ไม่ผุไมพ่ งั ทส่ี ดุ ของท่อนไม้นนั้ มนั ก็ไหลลงทะเล ถา้ มันไปติดอยู่ฝ่ังโน้น
หรอื ฝ่งั นี้ หรือมนั ไปผุไปพังเสยี แลว้ มนั กไ็ ปไม่ถึงทะเลใหญ่
จติ ใจของพวกทา่ นทงั้ หลายน้ี พวกเราทงั้ หลายผปู้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั นิ กี้ ด็ ี ฝง่ั คลอง
ก็คือความชังหรือความรัก หรือฝั่งหนึ่งก็คือสุข อีกฝั่งหน่ึงก็คือทุกข์ ท่อนไม้ก็คือ
จติ ของเรานเี้ อง มนั จะไหลไปตามกระแสแห่งนำ้� มันจะมีความสุขเกิดข้ึนมากระทบ
มันจะมีความทุกข์เกิดขึ้นมากระทบอยู่บ่อยคร้ัง ถ้าจิตใจของเราถึงกระแสแห่ง
พระนพิ พานคือความสงบระงับ ใหเ้ ราเหน็ ว่าเมือ่ ทุกข์เกิดข้ึนมาแล้ว ทุกข์นัน้ ก็ดบั ไป
สุขเกดิ ขึ้นมา สุขนัน้ ก็ดับไป นอกเหนือนี้ไมม่ แี ล้ว มนั กเ็ ป็นอยา่ งน้ี
ถา้ เราไมไ่ ปตดิ ในความรกั ไมต่ ดิ ในความชงั ไมต่ ดิ ในความสขุ ไมต่ ดิ ในความ
ทกุ ข์เทา่ นัน้ กเ็ รียกวา่ เราเดินตามกระแสธรรมของสมณะ ท่ีเราปฏบิ ัตสิ ง่ิ ท้งั หลาย
เหล่าน้ี อันเป็นธรรมท่ีพระพุทธเจ้าเจริญมาแลว้ ถูกมาแลว้ พบมาแลว้ ท่านจึงได้มา
สอนเราใหเ้ หน็ ความรกั ใหเ้ หน็ ความชงั ใหเ้ หน็ ความสขุ ใหเ้ หน็ ความทกุ ข์ วา่ มนั เปน็
ธรรมทฐิ ิ ธรรมนยิ าม มนั ตง้ั ของมนั อยอู่ ยา่ งนนั้ มนั กเ็ ปน็ ของมนั อยอู่ ยา่ งนนั้ เปน็ อยู่
ตลอดกาล มันก็เปน็ อยูอ่ ยา่ งนน้ั
113
แต่ว่าเมื่อจิตของผู้ฉลาดแล้ว ไม่ตามไปส่งเสริมมัน ไม่ตามไปเยินยอมัน
ไม่ตามไปยดึ มัน่ มัน ไม่ตามไปถอื มัน่ มนั มันก็มจี ติ อนั ปล่อยวาง ท�ำไปเทา่ น้ันแหละ
ใหส้ ม่ำ� เสมอ มนั ก็เปน็ สัมมาปฏิปทา เป็นสัมมาปฏบิ ัติ ปฏิบตั ถิ กู ทาง เหมอื นทอ่ นไม้
ที่ปล่อยไปตามกระแสน้�ำ มันไม่ติดอยู่ฝั่งโน้น และไม่ติดอยู่ฝั่งนี้ มันไม่ผุไม่พัง
มันไม่เน่า มันกถ็ งึ ทะเลจนได้ เราทำ� เราประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ถ้าเว้นจากทางทงั้ สองอย่าง
แลว้ คือ กามสขุ ลั ลิกานโุ ยโคและอัตตกิลมถานุโยโคแลว้ มนั กถ็ ึงความสงบแน่นอน
ไม่ตอ้ งสงสัย อันน้พี ระพทุ ธเจ้าท่านตรัสอย่างนั้น.
114
๑๐
เร่ืองจิตนี้
การปฏิบตั ิเรื่องจิตน้.ี ..ความจรงิ จิตนไ้ี ม่เปน็ อะไร มันเป็นประภสั สรของมันอยู่
อยา่ งนน้ั มนั สงบอยแู่ ลว้ ทจี่ ติ ไมส่ งบทกุ วนั นเ้ี พราะจติ มนั หลงอารมณ์ ตวั จติ แทๆ้ นนั้
ไม่มีอะไร เป็นธรรมชาติอยู่เฉยๆ เท่านั้น ที่สงบไม่สงบ ก็เป็นเพราะอารมณ์มา
หลอกลวง จิตท่ีไม่ได้ฝึกก็ไม่มีความฉลาด มันก็โง่ อารมณ์ก็มาหลอกลวงไปให้
เปน็ สขุ เปน็ ทกุ ข์ ดใี จ เสยี ใจ จติ ของคนตามธรรมชาตนิ นั้ ไมม่ คี วามดใี จ เสยี ใจ ทม่ี ี
ความดีใจเสียใจนน้ั ไมใ่ ชจ่ ติ แต่เปน็ อารมณท์ ม่ี าหลอกลวง จติ ก็หลงไปตามอารมณ์
โดยไม่รู้ตัว แล้วก็เป็นสุขเป็นทุกข์ไปตามอารมณ์ เพราะยังไม่ได้ฝึก ยังไม่ฉลาด
แล้วเราก็นกึ ว่าจติ เราเป็นทกุ ข์ นึกว่าจิตเราสบาย ความจริงมนั หลงอารมณ์ พูดถึง
จิตของเราแลว้ มนั มคี วามสงบอยู่เฉยๆ มีความสงบยงิ่ เหมือนกบั ใบไมท้ ี่ไม่มลี มมา
พดั กอ็ ยเู่ ฉยๆ ถา้ มลี มมาพดั กก็ วดั แกวง่ เปน็ เพราะลมมาพดั และกเ็ ปน็ เพราะอารมณ์
มันหลงอารมณ์
ถา้ จติ ไมห่ ลงอารมณแ์ ลว้ จติ กไ็ มก่ วดั แกวง่ ถา้ รเู้ ทา่ อารมณแ์ ลว้ มนั กเ็ ฉย เรยี ก
วา่ ปกตขิ องจติ เปน็ อยา่ งนน้ั ทเ่ี รามาปฏบิ ตั กิ นั อยทู่ กุ วนั นก้ี เ็ พอ่ื ใหเ้ หน็ จติ เดมิ เราคดิ วา่
จติ เปน็ สขุ จติ เปน็ ทกุ ข์ แตค่ วามจรงิ จติ ไมไ่ ดส้ รา้ งสขุ สรา้ งทกุ ข์ อารมณม์ าหลอกลวง
ต่างหาก มันจงึ หลงอารมณ์ ฉะน้ัน เราจึงตอ้ งมาฝึกจิตใหฉ้ ลาดขน้ึ ใหร้ ู้จกั อารมณ์
ไมใ่ ห้เป็นไปตามอารมณ์ จิตก็สงบ
เร่ืองแคน่ ีเ้ องท่ีเราตอ้ งมาท�ำกรรมฐานกนั ย่งุ ยากทุกวนั น.ี้
115
๑๑
การท�ำจติ ใหส้ งบ
การทำ� จติ ใหส้ งบ คอื การวางใหพ้ อดี ตงั้ ใจเกนิ ไปมากมนั กเ็ ลยไป ปลอ่ ยเกนิ ไป
มันก็ไม่ถงึ เพราะขาดความพอดี
ธรรมดาจติ เปน็ ของไมอ่ ยนู่ ง่ิ เปน็ ของมกี ริ ยิ าไหวตวั อยเู่ รอ่ื ย ฉะนน้ั จติ ใจของเรา
จงึ ไมม่ กี ำ� ลงั การทำ� จติ ใจของเราใหม้ กี ำ� ลงั กบั การทำ� กายของเราใหม้ กี ำ� ลงั มนั ตา่ งกนั
การท�ำกายใหม้ ีก�ำลงั กค็ อื การออกก�ำลัง ทำ� กายบรหิ าร มกี ารกระโดด การว่ิง น่คี อื
การทำ� กายให้มกี ำ� ลัง การท�ำจติ ใจให้มกี �ำลังก็คือทำ� จติ ให้สงบ ไมใ่ ช่ท�ำจติ ให้คดิ นน่ั
คิดนไี่ ปต่างๆ ให้อยใู่ นขอบเขตของมัน เพราะว่าจติ ของเราน้ันไม่เคยได้สงบ ไมเ่ คย
มีก�ำลัง มนั จงึ ไม่มีก�ำลังทางดา้ นสมาธภิ ายใน
บดั นเี้ ราจะทำ� สมาธิ กต็ งั้ ใจ ใหเ้ อาความรสู้ กึ กำ� หนดอยกู่ บั ลมหายใจ ถา้ หากวา่
เราหายใจสั้นเกินไปหรือยาวเกินไปกไ็ มพ่ อดี ไม่ไดส้ ัดได้ส่วนกนั ไมเ่ กิดความสงบ
เหมอื นกนั กับเราเย็บจักร ผู้เย็บจกั รมมี ือมเี ท้า เราตอ้ งถีบจักรเปลา่ ดกู ่อน ใหร้ จู้ ัก
ให้คลอ่ งกับเท้าของเราเสียกอ่ น จงึ เอาผา้ มาเย็บ
การกำ� หนดลมหายใจกเ็ หมอื นกนั หายใจเฉยๆ กำ� หนดรไู้ ว้ จะพอดขี นาดไหน
ยาวขนาดไหน สน้ั ขนาดไหน จะใหค้ อ่ ยขนาดไหน แรงขนาดไหน จะยาวกไ็ มเ่ อากบั มนั
การบรรยายธรรมโดยสำ� นวนทเ่ี ป็นกันเอง ดว้ ยภาษาพนื้ บ้าน ไม่ปรากฏวันบรรยาย
116
จะส้ันกไ็ ม่เอากับมัน จะคอ่ ยก็ไม่เอากบั มัน เอาตามความพอดี เอายาวพอดี เอาสั้น
พอดี เอาคอ่ ยพอดี เอาแรงพอดี นน่ั ชอ่ื วา่ ความพอดี เราไมไ่ ดข้ ดั ไมไ่ ดข้ อ้ ง แลว้ กป็ ลอ่ ย
หายใจดูก่อน ไมต่ อ้ งท�ำอะไร
ถา้ หากวา่ จติ สบายแลว้ จติ พอดแี ลว้ กย็ กลมหายใจเขา้ ออกเปน็ อารมณ์ หายใจเขา้
ตน้ ลมอยปู่ ลายจมกู กลางลมอยหู่ ทยั คอื หวั ใจ ปลายลมอยสู่ ะดอื อนั นเี้ ปน็ แหลง่ การ
เดินลม เมื่อหายใจออก ตน้ ลมจะอยู่สะดอื กลางลมจะอยู่หทยั ปลายลมจะอยู่จมูก
นม่ี นั สลบั กนั อยา่ งนี้ ก�ำหนดรู้เมื่อลมผ่านจมูก ผา่ นหทัย ผ่านสะดอื พอสุดแล้วกจ็ ะ
เวยี นกลับมาอีกเป็นสามจุดนี้ ให้ความรขู้ องเราอยใู่ นความเวียนเขา้ ออกท้ังสามจุดนี้
พยายามตดิ ตามลมหายใจเชน่ นเ้ี รื่อยไปเพ่ือรักษาความรนู้ ั้น และทำ� สตสิ มั ปชญั ญะ
ของเราใหก้ ล้าขนึ้
หากวา่ เรากำ� หนดจติ ของเราใหร้ จู้ กั ตน้ ลม กลางลม ปลายลม ดแี ลว้ พอสมควร
เรากว็ าง เราจะหายใจเขา้ ออกเฉยๆ เอาความรูส้ กึ ของเราไว้ปลายจมูก หรอื ริมฝปี าก
บนท่ีลมผา่ นออกเข้า เอาแต่ความรู้สกึ เทา่ น้ัน ไม่ตอ้ งตามลมออกไป ไม่ต้องตามลม
เขา้ มา เอาความรสู้ กึ หรอื ผรู้ นู้ นั่ แหละไวเ้ ฉพาะหนา้ เราทปี่ ลายจมกู ใหร้ จู้ กั ลมผา่ นออก
ผา่ นเขา้ ไมต่ อ้ งคดิ อะไรมากมาย เพยี งแตใ่ หม้ คี วามรสู้ กึ เทา่ นนั้ แหละ ใหม้ คี วามรสู้ กึ
ติดตอ่ กัน ลมออกกใ็ หร้ ู้ ลมเขา้ กใ็ ห้รู้ ให้รอู้ ยู่แตท่ ี่น่นั แหละ รูแ้ ล้วมันจะเป็นอะไรก็
ไมต่ อ้ งคดิ เอาเพยี งเทา่ นน้ั เสยี กอ่ น ในเวลานหี้ นา้ ทก่ี ารงานของเรามแี คน่ นั้ ไมไ่ ดม้ มี าก
กำ� หนดลมเขา้ ออกอยอู่ ยา่ งนน้ั แหละ ตอ่ ไปจติ กส็ งบลมกจ็ ะละเอยี ดเขา้ ไป นอ้ มเขา้ ไป
กายกจ็ ะเบาเขา้ ไป จติ กจ็ ะสงบไป ความเบากายเบาใจนน้ั กจ็ ะเกดิ ขนึ้ มา จะเปน็ กายควร
แกก่ ารงาน และจะเปน็ จติ ควรแกก่ ารงานตอ่ ไป นค่ี อื การทำ� สมาธิ ไมต่ อ้ งทำ� อะไรมาก
ให้ก�ำหนดเท่าน้นั
ตอ่ ไปนใ้ี หต้ งั้ ใจทำ� กำ� หนดไป...จติ เราละเอยี ดเขา้ ไป การทำ� สมาธนิ นั้ จะไปไหนก็
ชา่ งมนั ใหเ้ รารทู้ นั เอาไว้ ใหเ้ รารจู้ กั มนั มนั กม็ ที ง้ั อารมณ์ มที งั้ ความสงบคลกุ คลกี นั ไป
มันมี วิตก วิตกคือการจะยกจติ ของตนนึกถึงอนั ใดอันหน่ึงข้ึนมา ถา้ สตขิ องเราน้อย
กจ็ ะวติ กนอ้ ย แลว้ กม็ ี วจิ าร คอื การตรวจดูตามเร่อื งที่เราวติ กนน้ั แต่ข้อส�ำคญั น้ัน
117
ต้องพยายามรใู้ ห้ทันอยู่เสมอ แล้วกพ็ ิจารณาใหล้ ึกลงไปอีก ให้เห็นว่ามที ้งั สมาธแิ ละ
มที ้งั ความรู้รวมอยูใ่ นนน้ั
คำ� วา่ “จติ สงบ” นนั้ ไมใ่ ชว่ า่ ไมม่ อี ะไร มนั ตอ้ งมี มคี วามสงบครอบอยู่ ทา่ นกลา่ วถงึ
องคข์ องความสงบข้ันแรกว่า หน่ึงมวี ิตก ยกเรือ่ งใดเรื่องหน่งึ ขน้ึ มาแลว้ กม็ วี ิจาร คอื
พจิ ารณาตามอารมณท์ เ่ี กดิ ขนึ้ มา ตอ่ ไปกจ็ ะมี ปตี ิ คอื ความยนิ ดใี นสง่ิ ทเ่ี ราวติ กไปนนั้
ในสิง่ ทเี่ ราวจิ ารไปน้ัน จะเกดิ ปตี ิคอื ความยนิ ดีซาบซงึ้ อย่โู ดยเฉพาะของมนั แลว้ ก็มี
สขุ สขุ อยไู่ หน สุขอยู่ในการวติ ก สขุ อยู่ในการวจิ าร สุขอยกู่ บั ความอ่มิ ใจ สุขอยู่กับ
อารมณเ์ หลา่ นนั้ แหละ แตว่ า่ มนั สขุ อยใู่ นความสงบ วติ กกว็ ติ กอยใู่ นความสงบ วจิ ารก็
วจิ ารอยใู่ นความสงบ ความอมิ่ ใจกอ็ ยใู่ นความสงบ สขุ กอ็ ยใู่ นความสงบ ทงั้ สอี่ ยา่ งนี้
เป็นอารมณ์อนั เดียว อย่างทหี่ า้ คือ เอกัคคตา หา้ อย่างแตเ่ ป็นอนั เดยี วกัน คอื ทงั้ หา้
อย่างนเี้ ป็นอารมณ์ แต่มลี กั ษณะอยใู่ นขอบเขตอนั เดียวกนั คอื เมอ่ื จิตสงบ วิตกก็มี
วจิ ารก็มี ปตี กิ ม็ ี สุขก็มี เอกคั คตากม็ ี ทง้ั หมดน้เี ป็นอารมณ์เดียวกัน คำ� ทว่ี ่าอารมณ์
เดยี วกนั นนั้ ทำ� ไมจงึ มหี ลายอยา่ ง หมายความวา่ มนั จะมหี ลายอาการกช็ า่ งมนั เพราะ
อาการท้งั หลายเหล่านัน้ จะมารวมอยู่ในความสงบอนั เดยี วกัน ไม่ฟงุ้ ซา่ น ไมร่ ำ� คาญ
เหมอื นกบั วา่ มคี น ๕ คน แตล่ กั ษณะของคนทงั้ ๕ คนนน้ั มอี าการอนั เดยี วกนั
คือจะมีอารมณ์ท้ัง ๕ อารมณ์ เม่ืออารมณ์อันน้ันอยู่ในลักษณะน้ี ท่านเรียกว่า
“องค์” องค์ของความสงบ ทา่ นไม่ได้เรียกว่าอารมณ์ ท่านเรยี กว่าวิตก วิจาร ปตี ิ สุข
เอกคั คตารมณ์ สงิ่ ทั้งหลายเหลา่ นี้ไม่เป็นอารมณต์ ามธรรมดา ท่านจงึ จดั ว่าเปน็ องค์
ของความสงบ มอี าการอยู่ ๕ อยา่ ง คอื วติ ก วจิ าร ปตี ิ สขุ เอกคั คตา ไมม่ คี วามรำ� คาญ
วติ กอยกู่ ไ็ มร่ ำ� คาญ วจิ ารอยกู่ ไ็ มร่ ำ� คาญ มปี ตี กิ ไ็ มร่ ำ� คาญ มคี วามสขุ กไ็ มร่ ำ� คาญ จติ จงึ
เปน็ อารมณ์เดียวอยใู่ นสิง่ ท้งั ๕ นี้ จับรวมกันอยู่ เร่ืองจติ สงบขนั้ แรกจึงเปน็ อย่างน้ี
ทนี ี้ บางอยา่ งอาจถอยออกมา ถา้ กำ� ลงั ใจไมก่ ลา้ สตหิ ยอ่ นไปแลว้ มนั จะมอี ารมณ์
มาแทรกเขา้ ไปเปน็ บางคร้งั คลา้ ยๆ กบั ว่าเคล้ิมไป แล้วมอี าการอะไรบางอย่างเข้า
มาแทรกตอนทีม่ ันเคลิม้ ไป แต่ไมใ่ ชค่ วามงว่ งตามธรรมดา ทา่ นวา่ มีความเคลิ้มใน
ความสงบ บางทกี ็มอี ะไรบางอย่างแทรกเขา้ มา เช่นว่า บางทีมเี สียงปรากฏบา้ ง บางที
118
เหมือนเห็นสุนัขว่ิงผ่านไปข้างหน้าบ้าง แต่ว่าไม่ชัดเจนและก็ไม่ใช่ฝัน อันนี้จัดเป็น
ฝันไม่ได้ ที่เป็นเช่นน้ีเพราะก�ำลังท้ัง ๕ ดังกล่าวแล้วไม่สม�่ำเสมอกัน มันอ่อนลง
ออ่ นเคลม้ิ ลง จงึ เกดิ อารมณเ์ ขา้ แทรก อนั นเี้ ปน็ อาการของจติ ถา้ หากวา่ เรามคี วามสงบ
มนั ก็มีสิง่ ท้งั ๕ สิ่งน้เี ป็นบรวิ ารอยู่ แตเ่ ป็นบริวารในความสงบ อันน้ีเป็นเบอ้ื งแรก
ของมัน ขณะทีจ่ ิตเราสงบอยู่ในขน้ั น้ี ชอบมนี ิมติ ทางตา ทางหู ทางจมกู ทางลน้ิ
ทางกาย และทางจิต มันชอบเป็น แต่ผู้ท�ำสมาธิจับไม่ค่อยถูกว่า “มันหลับไหม
กไ็ มใ่ ช”่ “มนั ฝนั ไปหรอื กไ็ มใ่ ช”่ ไมใ่ ชอ่ ะไรทงั้ นนั้ มนั เปน็ อาการเกดิ มาจากความสงบ
ครึง่ ๆ กลางๆ กไ็ ด้ บางทกี ็แจ่มใสเปน็ ธรรมดา บางทีก็คลกุ คลไี ปกับความสงบบา้ ง
กบั อารมณท์ ้งั หลายบา้ ง แตอ่ ยใู่ นขอบเขตของมัน
อย่างไรกต็ าม บางคนทำ� สมาธิยาก เพราะอะไร เพราะจริตแปลกเขา แต่ก็เปน็
สมาธิ แต่ก็ไม่หนักแน่น ไม่ได้รับความสบายเพราะสมาธิ แต่จะได้รับความสบาย
เพราะปญั ญา เพราะปญั ญาความคดิ เห็นความจรงิ ของมนั แลว้ ก็แก้ปัญหาถกู ต้อง
เป็นประเภทปญั ญาวมิ ุตต๑ิ ไม่ใชเ่ จโตวิมตุ ต ิ ๒ มนั จะมีความสบายทุกอย่าง วมิ ุตติ
หมายถึง ความหลุดพ้น ที่จะได้เกิดขึ้น เป็นหนทางของเขาเพราะปัญญา สมาธิ
มนั นอ้ ย คลา้ ยๆ กบั วา่ ไมต่ อ้ งนง่ั สมาธพิ จิ ารณา “อนั นน้ั เปน็ อะไรหนอ” แลว้ แกป้ ญั หา
อันน้ันไดท้ นั ทเี ลยสบายไป เลยสงบ ลักษณะผู้มปี ญั ญาต้องเป็นอย่างนน้ั ทำ� สมาธิน้ี
ไมค่ อ่ ยไดง้ า่ ยและไมค่ อ่ ยดดี ว้ ย มสี มาธแิ ตเ่ พยี งเฉพาะเลยี้ งปญั ญาใหเ้ กดิ มขี นึ้ มาได้
โดยมากอาศยั ปญั ญา เชน่ สมมตุ วิ า่ ท�ำนากบั ท�ำสวน เราอาศยั นามากกว่าสวน หรอื
ท�ำนากบั ท�ำไร่ เราจะอาศยั นามากกว่าไร่ ในเรื่องของเรา อาชีพของเราและการภาวนา
ของเรากเ็ หมอื นกนั มนั จะไดอ้ าศยั ปญั ญาแกป้ ญั หา แลว้ จะเหน็ ความจรงิ ความสงบ
จงึ เกดิ ขึ้นมา มนั เปน็ ไปอย่างนนั้ ธรรมดากเ็ ปน็ ไปอย่างน้ันมันต่างกัน
๑ ปัญญาวมิ ตุ ติ คอื บคุ คลผหู้ ลุดพน้ เพราะปัญญา คอื ปัญญาเปน็ กำ� ลงั สำ� คญั หรือปัญญาน�ำหน้า
๒ เจโตวมิ ุตติ คือบคุ คลผู้หลดุ พน้ เพราะสมาธิ คือสมาธิเป็นก�ำลงั สำ� คัญหรอื สมาธนิ �ำหน้า
119
บางคนแรงในทางปัญญา สมาธพิ อเป็นฐาน ไมม่ าก คลา้ ยๆ กบั วา่ น่ังสมาธิ
ไม่ค่อยสงบ ชอบมีความปรุงแต่ง มีความคิดและมีปัญญาชักเร่ืองนั้นมาพิจารณา
ชักเรื่องน้ีมาพิจารณา แล้วพิจารณาลงสู่ความสงบก็เห็นความถูกต้อง อันนั้นจะได้
มีกำ� ลังกวา่ สมาธิ อันน้ีจริตของบางคนเป็นอย่างนนั้ แมจ้ ะยืน เดิน น่งั นอนกต็ าม
ความตรสั รธู้ รรมะน้ันไมแ่ น่นอน จะเป็นอิริยาบถใดก็ได้ ยืนกไ็ ด้ เดินก็ได้ น่งั กไ็ ด้
นอนก็ได้ อันนี้แหละผู้แรงด้วยปัญญา เป็นผู้มีปัญญา สามารถที่จะไม่เกี่ยวข้อง
กบั สมาธมิ ากกไ็ ด้ ถา้ พดู กนั งา่ ยๆ ปญั ญาเหน็ เลย เหน็ ไปเลย กล็ ะไปเลย สงบไปเลย
ไดค้ วามสบาย เพราะอนั นน้ั มนั เหน็ ชดั มนั เหน็ จรงิ เชอ่ื มน่ั ยนื ยนั เปน็ พยานตนเองได้
นจี่ รติ ของบางคนเปน็ ไปอยา่ งน้ี แตจ่ ะอยา่ งไรกช็ า่ ง มนั กต็ อ้ งทำ� ลายความเหน็ ผดิ ออก
เหลือแต่ความเห็นถกู ท�ำลายความฟ้งุ ซ่านออก เหลือแตค่ วามสงบ มันก็จะลงไปสู่
จดุ อันเดียวกัน
บางคนปัญญานอ้ ย นงั่ สมาธิไดง้ า่ ย สงบ สงบเร็วทีส่ ุด ไว แต่ไมค่ อ่ ยมปี ญั ญา
ไม่ทันกิเลสท้งั หลาย ไมร่ ู้เร่ืองกเิ ลสทั้งหลาย แก้ปัญหาไมค่ อ่ ยได้ พระโยคาวจรเจา้
ผปู้ ฏบิ ตั มิ สี องหนา้ อยา่ งนี้ กค็ กู่ นั เรอื่ ยไป แตป่ ญั ญาหรอื วปิ สั สนากบั สมถะ มนั กท็ งิ้ กนั
ไม่ได้ คาบเก่ยี วกันไปเรือ่ ยๆ อย่างน้ี
ทนี ้ี ถา้ มันชัดแจง้ ในความสงบ เมือ่ มอี ารมณม์ าผ่าน มีนมิ ิตขึน้ มาผา่ นก็ไมไ่ ด้
สงสัยว่า “เคลิ้มไปหรือเปล่าหนอเมื่อกี้น้ี” “หลงไปหรือเปล่าหนอเมื่อก้ีน้ี” “ลืมไป
หรือเปล่าหนอเมื่อก้ีนี้” “หลับไปหรือเปล่าเมื่อก้ีน้ี” จิตขณะนี้สงสัย “หลับก็ไม่ใช่
ตน่ื ก็ไม่ใช่” นม่ี นั คลมุ เครอื เรียกว่ามนั ม่วั สมุ อยู่กบั อารมณ์ ไมแ่ จม่ ใสเหมอื นกันกบั
พระจนั ทรเ์ ขา้ กอ้ นเมฆ มองเหน็ อยแู่ ลว้ แตไ่ มแ่ จม่ แจง้ มวั ๆ ไมเ่ หมอื นกบั พระจนั ทร์
ออกจากกอ้ นเมฆนน้ั แจม่ ใส สะอาด จติ เราสงบ มสี ตสิ มั ปชญั ญะรอบคอบสมบรู ณแ์ ลว้
จึงไม่สงสัยในอาการทั้งหลายทเี่ กดิ ขึน้ จะหมดจากนิวรณจ์ ริงๆ รวู้ ่าอนั ใดเกดิ ขน้ึ มา
เป็นอันใดหมดทกุ อย่าง ร้แู จ้ง รูเ้ ร่อื งตามเปน็ จรงิ ไม่ไดส้ งสยั อนั นั้นเป็นดวงจติ ท่ี
ใสสะอาด สมาธถิ งึ ขีดสุดแลว้ เป็นเชน่ น้ัน
120
ระยะหลังๆ มากเ็ ปน็ ไปในรูปอยา่ งนี้ทำ� นองนี้ เปน็ เรื่องธรรมดาของมนั ถ้าจติ
แจม่ แจ้งผอ่ งใสแล้ว ไม่ต้องไปถามวา่ งว่ งหรือไมง่ ว่ ง ใชห่ รือไม่ใช่ ทัง้ หลายเหลา่ น้ี
มนั กไ็ มม่ อี ะไร ถา้ มนั ชดั เจนกเ็ หมอื นเรานง่ั ธรรมดาอยา่ งนเี้ อง นง่ั เหน็ ธรรมดา หลบั ตา
ก็เหมือนลืมตามาเห็นทุกอย่างสารพัด ไม่มีความสงสัย เพียงแต่เกิดอัศจรรย์ขึ้น
ในดวงจิตของเราว่า “เอ๊ะ! สิง่ เหล่านี้ มันก็เปน็ ของมนั ไปได้ มนั ไมน่ า่ จะเป็นไปได้
มนั กเ็ ปน็ ของมนั ได”้ อนั นจ้ี ะวพิ ากษว์ จิ ารณม์ นั เองไปเรอื่ ยๆ ทงั้ มปี ตี ิ ทง้ั มคี วามสขุ ใจ
มคี วามอมิ่ ใจ มีความสงบเป็นเชน่ นนั้
ตอ่ นั้นไปจติ มันจะละเอยี ดไปยงิ่ กวา่ น้นั มันกจ็ ะทง้ิ อารมณ์ของมนั ไปดว้ ยวิตก
ยกเรอื่ งขนึ้ มากจ็ ะไมม่ ี และเรอื่ งวจิ ารมนั กจ็ ะหมด จะเหลอื แตค่ วามอม่ิ ใจ อม่ิ ไมร่ วู้ า่
อิม่ อะไร แต่มันอ่ิม เกิดความสุขกบั อารมณเ์ ดียวนี้ มันทิ้งไป วิตกวจิ ารมันท้งิ ไป
ทงิ้ ไปไหน ไม่ใช่เรอ่ื งท้ิง จติ เราหดตวั เข้ามา คือมันสงบ เรื่องวติ กวจิ ารมนั เป็นของ
หยาบไปแลว้ มนั เขา้ มาอยใู่ นทนี่ ไ้ี มไ่ ด้ กเ็ รยี กวา่ ทง้ิ วติ กทงิ้ วจิ าร ทนี จี้ ะไมม่ คี วามวติ ก
ความยกข้นึ วจิ าร ความพิจารณาไม่มี มีแต่ความอม่ิ มคี วามสุขและมอี ารมณเ์ ดยี ว
เสวยอย่อู ย่างนั้น
ท่ีเขาเรียกวา่ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตตยิ ฌาน จตุตถฌาน เราไมไ่ ด้ว่าอยา่ งนน้ั
เราพดู ถึงแตค่ วามสงบ วติ ก วิจาร ปตี ิ สขุ เอกัคคตา ต่อไปน้ีก็ทง้ิ วติ กและวจิ าร
เกิดข้ึนมาแล้วก็ท้ิงไป เหลือแต่ปตี ิ สุข กับเอกัคคตา ต่อไปก็ทง้ิ ปีตเิ หลอื แตส่ ขุ กับ
เอกคั คตา ตอ่ ไปก็มเี อกคั คตากับอเุ บกขา มนั ไม่มีอะไรแล้ว มันท้งิ ไปเรียกว่าจติ มัน
สงบๆ ๆ ๆ จนไปถงึ ทอี่ ารมณม์ นั นอ้ ยทสี่ ดุ ยงั เหลอื อยแู่ ตโ่ นน้ ...ถงึ ปลายมนั เหลอื แต่
เอกัคคตากบั อุเบกขา เฉยอย่างนี้ อนั นี้มันสงบแล้วมนั จงึ เปน็ นเี่ รียกวา่ กำ� ลงั ของจิต
อาการของจติ ที่ได้รบั ความสงบแลว้ ถ้าเป็นอยา่ งนีม้ นั ไมง่ ว่ ง ความงว่ งเหงาหาวนอน
มนั เขา้ ไมไ่ ด้ นวิ รณท์ ง้ั หา้ มนั หนหี มด วจิ กิ จิ ฉาความสงสยั ลงั เล อจิ ฉาพยาบาท ฟงุ้ ซา่ น
รำ� คาญ หนี เหลา่ นไี้ มม่ แี ลว้ นมี้ นั คอ่ ยเคลอื่ นไปเปน็ ระยะอยา่ งนน้ั นอ่ี าศยั การกระทำ�
ใหม้ าก เจริญให้มาก
121
สงิ่ ทร่ี กั ษาสมาธนิ ไ้ี วไ้ ดค้ อื สติ สตนิ เ้ี ปน็ ธรรม เปน็ สภาวธรรมอนั หนงึ่ ซงึ่ ใหธ้ รรม
อนั อน่ื ๆ ทง้ั หลายเกดิ ขนึ้ โดยพรอ้ มเพรยี ง สตนิ ก้ี ค็ อื ชวี ติ ถา้ ขาดสตเิ มอื่ ใดกเ็ หมอื นตาย
ถ้าขาดสติเม่ือใดก็เป็นคนประมาท ในระหว่างขาดสตินั้นพูดไม่มีความหมาย
การกระท�ำไมม่ คี วามหมาย ธรรมคอื สตนิ ีค้ ือความระลึกได้ในลกั ษณะใดกต็ าม สติ
เป็นเหตุให้สัมปชัญญะเกิดข้ึนมาได้ เป็นเหตุให้ปัญญาเกิดข้ึนมาได้ ทุกสิ่งสารพัด
ธรรมะทง้ั หลายถา้ หากว่าขาดสติ ธรรมะทง้ั หลายนั้นไมส่ มบรู ณ์ อนั นี้คอื การควบคมุ
การยนื การเดนิ การนงั่ การนอน ไมใ่ ชแ่ ตเ่ พียงขณะน่ังสมาธเิ ทา่ นนั้ แมเ้ มอ่ื เราออก
จากสมาธไิ ปแลว้ สติกย็ งั เปน็ สงิ่ ประจำ� ใจอยู่เสมอ มคี วามรูอ้ ยูเ่ สมอ เปน็ ของท่มี อี ยู่
เสมอ ทำ� อะไรกร็ ะมดั ระวงั เมอื่ ระมดั ระวงั ทางจติ ใจ ความอายมนั กเ็ กดิ ขนึ้ มา การพดู
การกระท�ำอันใดท่ีไม่ถูกต้อง เราก็อายข้ึน อายข้ึน เมื่อความอายก�ำลังกล้าขึ้นมา
ความสงั วรก็มากขนึ้ ด้วย เมอ่ื ความสังวรมากขึน้ ความประมาทกไ็ มม่ ี
น่ีถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้น่ังสมาธิอยู่ตรงน้ัน เราจะไปไหนก็ตาม อันน้ีมันอยู่ใน
จติ ของตัวเอง มันไมไ่ ด้หนไี ปไหน นที่ ่านว่าเจริญสติ ท�ำให้มาก เจรญิ ให้มาก อนั น้ี
เป็นธรรมะคมุ้ ครองรักษากจิ การทีเ่ ราท�ำอยหู่ รือท�ำมาแลว้ หรอื ก�ำลงั จะกระท�ำอยู่ใน
ปัจจบุ ันนี้ เป็นธรรมะท่มี ีคณุ ประโยชน์มาก ใหเ้ รารตู้ วั อยทู่ กุ เม่ือ ความเหน็ ผิดชอบ
มนั กม็ อี ยทู่ กุ เมอ่ื เมอ่ื ความเหน็ ผดิ ชอบมอี ยู่ เกดิ ขนึ้ อยทู่ กุ เมอ่ื ความละอายกเ็ กดิ ขน้ึ
จะไม่ทำ� สิง่ ทผ่ี ดิ หรือสิ่งท่ไี ม่ดี เรยี กวา่ ปญั ญาเกิดขนึ้ แลว้
เมอื่ รวบยอดเข้ามา มันจะมศี ีล มสี มาธิ มปี ัญญา คือการสังวรส�ำรวมที่มอี ยู่
ในกิจการของตนน้นั กเ็ รียกวา่ ศีล ศีลสังวร ความตง้ั ใจม่ันอยใู่ นความสงั วร สำ� รวม
ในข้อวัตรของเรานั้น ก็เรียกว่ามันเป็นสมาธิ ความรอบรู้ทั้งหลายในกิจการท่ีเรามี
อย่นู ัน้ กเ็ รยี กว่าปัญญา พูดงา่ ยๆ ก็คือจะมศี ลี จะมสี มาธิ จะมีปญั ญา
ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี เม่ือมันกล้าขึ้นมา มันก็คือมรรค น่ีแหละคือ
หนทาง ทางอ่นื ไมม่ .ี
122
๑๒
นักบวช...นกั รบ
ความโลภ ความโกรธ ความหลง นแี่ หละคอื ขา้ ศกึ การปฏบิ ตั ใิ นทางพทุ ธศาสนา
ทางแห่งพระพุทธเจ้าน้ันรบด้วยธรรมะ รบด้วยความอดทน ด้วยความต่อต้าน
ซง่ึ อารมณส์ ารพดั อยา่ ง ธรรมะกบั โลกมนั เกยี่ วขอ้ งกนั มธี รรมกม็ โี ลก มโี ลกกม็ ธี รรม
มกี เิ ลสกม็ ผี สู้ ะสางกเิ ลส คอื รบกบั กเิ ลสทงั้ หลาย นเ่ี รยี กวา่ รบภายใน รบภายนอกนนั้
ตอ้ งจบั ลกู ระเบดิ จบั ปนื มาขวา้ งกนั มายงิ กนั เอาชนะเอาแพก้ นั เอาชนะคนอน่ื กเ็ ปน็ ทางโลก
ทางธรรมะไมต่ ้องรบกับใคร เอาชนะใจของตวั เอง อดทนตอ่ สู้กบั อารมณท์ กุ อย่าง
ทางธรรมะ ถา้ หากวา่ เรามาประพฤตปิ ฏบิ ตั แิ ลว้ ไมต่ อ้ งกอ่ กรรมทำ� เวรซงึ่ กนั และกนั
ปลดปล่อยความช่ัวทั้งหลายออกจากกายออกจากใจของพวกเราท้ังนั้น พ้นจาก
การอจิ ฉา พน้ จากการพยาบาท พน้ จากการจองเวรกนั เวรอนั ใดจะระงบั ไปไดก้ เ็ พราะ
การไมจ่ องเวรไม่ผูกเวรกนั กรรมกับเวรมันตา่ งกัน แต่วา่ มันคล้ายกนั กรรมท�ำแล้ว
ก็แล้วกันไป ไมต่ อ้ งจองลา้ งจองผลาญกนั อีก นีเ่ รยี กวา่ เป็นกรรม
เวร หมายถึงการจองกันไว้อีกว่า เอง็ มาทำ� ฉนั ฉนั จะต้องทำ� เอ็งตอ่ ไป มไิ ด้ขาด
ตอ้ งแกแ้ คน้ กนั ไปเรอื่ ยๆ นี้ เรยี กวา่ เวรนน้ั ยงั ไมร่ ะงบั เพราะการจองเวร เมอ่ื ไรยงั เปน็
ไปอยูอ่ ย่างน้นั มันกเ็ ป็นห่วงโซต่ อ่ กันเปน็ สาย จงึ ไม่จบไม่สิ้น ภพไหนชาติไหนกด็ ี
มนั กเ็ ปน็ อยอู่ ยา่ งนน้ั พระบรมศาสดาทา่ นสอนโลก ทา่ นโปรดโลกโปรดสตั ว์ แตว่ า่ โลก
กเ็ ปน็ อยอู่ ยา่ งนี้ ผทู้ ม่ี ปี ญั ญาเกดิ มาแลว้ กต็ อ้ งพจิ ารณา เอาอะไรทเ่ี ปน็ ประโยชนอ์ ยา่ ง
123
ยงิ่ ใหญ่ นกั รบนกั อะไรท้งั หลายทัง้ ปวงนน้ั พระพทุ ธเจ้าเคยทำ� มาเหมอื นกนั แตว่ ่า
ไมเ่ กดิ ประโยชนเ์ ทา่ ทค่ี วร มนั กเ็ ปน็ อยเู่ ฉพาะโลก มแี ตเ่ รอ่ื งผกู กรรมผกู เวรกนั ตอ่ ไป
ฉะนนั้ การมาอบรมในการบวช กเ็ ลกิ สง่ิ ช่วั กันไปเลย เลิกอะไรท่มี ันเป็นกรรม
เปน็ เวร เอาชนะตวั เอง ไมเ่ อาชนะคนอน่ื รบกร็ บเฉพาะกเิ ลส มคี วามโลภเกดิ ขน้ึ มาก็
รบมัน ความโกรธเกดิ ขนึ้ มาก็รบมัน ความหลงเกดิ ขึน้ มากพ็ ยายามละมัน น่เี รยี กว่า
การรบ การทำ� สงครามดา้ นจติ ใจกบั กเิ ลสนีม้ นั ยากแสนยากแสนลำ� บากทส่ี ุด บวชมา
เราก็มาพจิ ารณาเรียนการรบ รบราคะ รบโทสะ รบโมหะ นี่เป็นหนา้ ทขี่ องพวกเรา
ท้งั หลายทจ่ี ะตอ้ งพจิ ารณา
นเี่ รยี กวา่ การรบภายใน คอื รบกบั กเิ ลสทงั้ หลาย แตน่ อ้ ยคนนกั ทจ่ี ะรบกบั กเิ ลส
ไปรบกบั อยา่ งอนื่ เสยี มาก กเิ ลสสว่ นนไ้ี มค่ อ่ ยจะรบกนั ไมค่ ่อยจะเห็นกัน
พระพทุ ธเจา้ ทา่ นสอนวา่ ใหล้ ะความชวั่ ทกุ อยา่ ง มาประพฤตคิ วามดที กุ ประการ
เปน็ ทางทถ่ี กู ตอ้ งแลว้ ทา่ นบอกอยา่ งนกี้ เ็ รยี กวา่ ทา่ นมาจบั ตวั พวกเราทงั้ หลายมาปลอ่ ย
ท่ีต้นทาง เมื่อถึงทางแล้วเราจะเดินไปหรือไม่เดินไปน้ันเป็นเรื่องของเรา เรื่องของ
พระพทุ ธเจา้ กห็ มดแคน่ นั้ ทา่ นชที้ างไว้ ทางทผ่ี ดิ ทางทถ่ี กู เทา่ นน้ั กพ็ อแลว้ การประพฤติ
ปฏบิ ตั ิเปน็ หนา้ ท่ีของพวกเรา
ดงั นนั้ เมอื่ เรามาอยทู่ ที่ างนกี้ เ็ รยี กวา่ เรายงั ไมร่ อู้ ะไร ไมเ่ ปน็ อะไร เรากต็ อ้ งศกึ ษา
การศกึ ษาน้ีจะต้องอดทนต่อทุกสิง่ ทุกอย่าง คล้ายๆ กับเราเปน็ นักศึกษา เคยศึกษา
ทางโลกมา มนั ยากลำ� บากพอสมควร กอ่ นจะมคี วามรู้ มวี ชิ ามาพอจะปฏบิ ตั กิ ารงานได้
ต้องขม่ ใจตัวเอง เมือ่ ใจเรามนั เห็นผิด เม่ือใจเราไม่ชอบ หรือมนั ขี้เกยี จทง้ั หลายนี้
เราจะตอ้ งขม่ ใจความรจู้ งึ จะเกดิ ในใจเรา แลว้ สามารถนำ� ไปปฏบิ ตั กิ ารงานได้ การปฏบิ ตั ิ
การงานในทางพระนี้ก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าเราต้ังอกต้ังใจประพฤติปฏิบัติพินิจ
พิจารณา คงจะมองเหน็ ทางพอสมควร
ทิฏฐิมานะน้ีเป็นของส�ำคัญมาก ทิฏฐิ คือความเห็น ความเห็นทุกส่ิงสารพัด
มันเป็นทฏิ ฐิท้ังน้นั เหน็ ดเี ปน็ ชวั่ เห็นชั่วเปน็ ดี สารพัดอยา่ งแล้วแตจ่ ะเห็น อนั นน้ั
124
กไ็ มเ่ ปน็ ประมาณ เปน็ ประมาณอยทู่ คี่ วามยดึ มนั่ ถอื มน่ั เรยี กวา่ มานะ ความเขา้ ไปยดึ มน่ั
ถอื มน่ั ในความเหน็ อนั นนั้ อยา่ งจรงิ จงั พาใหเ้ ราเวยี นวา่ ยตายเกดิ ไมม่ ที างจบ เพราะการ
ไปยดึ มัน่ ถอื มัน่ ดังน้นั พระพุทธเจา้ ท่านจึงสอนให้ลดทฏิ ฐิ ใหล้ ะทิฏฐิ คือความเห็น
อยา่ งเช่นคนมาอยดู่ ้วยกนั มากๆ อยา่ งน้ี มันกป็ ฏิบตั ิได้ง่ายๆ ถา้ มคี วามเห็นถกู ตอ้ ง
ตรงกนั แตถ่ งึ แมว้ า่ จะอยอู่ งคเ์ ดยี ว ๒ องค์ ๓ องคก์ ป็ ฏบิ ตั ยิ าก อยลู่ ำ� บาก ถา้ ความคดิ
ไมถ่ กู ตอ้ งความเหน็ ไมด่ ี เมอื่ มานอ้ มลงเพอ่ื ละทฏิ ฐอิ นั เดยี วกนั อยหู่ ลายองคก์ ต็ ามเถอะ
มันก็ลงสู่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เหมือนกัน จะว่ามีหลายองค์มันจะเกะกะ
ก็ไมไ่ ด้ คลา้ ยๆ กบั ตัวกง้ิ กอื ตวั กงิ้ กอื มนั มขี าหลายขาใช่ไหม เรานับไมถ่ ้วน มองดู
มนั กน็ า่ รำ� คาญเหมอื นกนั วา่ มนั จะยงุ่ กบั ขากบั แขง้ ของมนั มนั เดนิ ไปเดนิ มา ความจรงิ
มนั ไม่ย่งุ มนั มีจงั หวะ มรี ะเบียบ ถึงแมจ้ ะมขี ามากมันก็ไมย่ ่งุ ยาก
ในทางพทุ ธศาสนากเ็ หมอื นกนั ถา้ ปฏบิ ตั แิ บบสาวกของพระพทุ ธเจา้ แลว้ มนั กง็ า่ ย
เรยี กวา่ สุปฏปิ นั โน เป็นผปู้ ฏิบตั ิดี อุชุปฏปิ นั โน เป็นผู้ปฏบิ ตั ติ รง ญายะปฏิปนั โน
เป็นผ้ปู ฏิบตั เิ พอ่ื พน้ จากทุกข์ สามจี ปิ ฏปิ นั โน เปน็ ผ้ปู ฏบิ ตั ชิ อบ เปน็ ผู้ปฏิบัตถิ ูกตอ้ ง
คุณสมบัติท้งั ๔ ประการน้ี ถ้าตั้งอยูใ่ นใจของพวกเราทั้งหลายแล้ว คอื คุณสมบตั ิ
ของพระสงฆ์ ถ้าท�ำอย่างนี้เราจะมีเป็นร้อยเป็นพัน เราจะมีมากแค่ไหนก็ช่างเถอะ
มนั ลงสายเดยี วกนั แลว้ ถงึ แมพ้ วกเราทง้ั หลายจะมาจากทศิ ตา่ งๆ กเ็ หมอื นกนั นน่ั เอง
ไมใ่ ชอ่ น่ื ไกล ถงึ ความเหน็ มนั จะไปคนละทศิ ละทาง ยงั เหน็ ผดิ อยกู่ ช็ า่ งมนั เถอะ ถา้ มี
ความถกู ตอ้ งมนั กเ็ หมอื นกนั คลา้ ยกบั วา่ หว้ ยหนองคลองบงึ ตา่ งๆ ทมี่ นั ไหลลงสทู่ ะเล
เม่ือมันไปตกถึงทะเลแล้วมันก็มีสีครามรสเค็มด้วยกัน มนุษย์เราท้ังหลายก็เช่นกัน
เมอ่ื ลงสกู่ ระแสของธรรมะแลว้ มนั กล็ งสธู่ รรมะอนั เดยี วกนั จะอยคู่ นละทศิ ละทางกช็ า่ ง
จะอยทู่ ไ่ี หนกต็ าม มนั มารวมกนั เปน็ อนั เดยี วกนั อยา่ งนน้ั แตว่ า่ ความคดิ ทม่ี นั แกง่ แยง่
ซ่ึงกันและกันน้นั เปน็ ทิฏฐิมานะ ดังน้นั พระพุทธเจ้าจงึ สอนว่า เร่ืองความเห็นน้นั ก็
ปลอ่ ยไว้ เรอ่ื งมานะอย่าเข้าไปยดึ มั่นถือม่นั จนเกินความเปน็ จรงิ
พระพทุ ธองคท์ า่ นสอนวา่ ใหม้ สี ตอิ ยเู่ สมอ จะยนื จะเดนิ จะนงั่ จะนอน จะอยู่
ท่ีไหนกช็ ่างเถอะ ใหม้ ีสตปิ ระคองอยูเ่ สมอ เมือ่ เรามสี ติเรากเ็ หน็ ตัวของเรา เห็นใจ
125
ของเรา แล้วกเ็ หน็ กายในกายของเรา เหน็ ใจในใจของเราทุกอย่าง ถา้ ไม่มสี ตเิ ราก็
ไมร่ เู้ รอ่ื ง อะไรมาตกอยหู่ นา้ บา้ นตกอยใู่ นกฏุ ิ เรากไ็ มเ่ หน็ เพราะเราไมม่ สี ติ การมสี ตนิ ้ี
จงึ เป็นสง่ิ ส�ำคญั
ผใู้ ดมสี ตอิ ยทู่ กุ เวลา ผนู้ น้ั จะไดฟ้ งั ธรรมของพระพทุ ธเจา้ อยตู่ ลอดเวลา เพราะวา่
ตามองเห็นรูปก็เป็นธรรมะ หูได้ฟังเสียงก็เป็นในธรรมะ จมูกได้กล่ินก็เป็นธรรมะ
ล้ินไดร้ สกเ็ ปน็ ธรรมะ กายไปถูกโผฏฐพั พะกระทบเยน็ ร้อน อ่อน แข็ง ก็เป็นธรรมะ
ธรรมารมณท์ ม่ี นั เกดิ ขน้ึ กบั ใจ นกึ ขน้ึ ไดเ้ มอ่ื ใดเปน็ ธรรมะเมอ่ื นน้ั ฉะนนั้ ผทู้ มี่ สี ตไิ ดฟ้ งั
ธรรมของพระพทุ ธเจ้าอยตู่ ลอดเวลา จะยืน จะเดิน จะนง่ั จะนอน มันมอี ยู่ทุกเวลา
เพราะอะไร เพราะเรามสี ติ มีความรู้
สตคิ อื ความระลกึ ได้ สมั ปชญั ญะความรอู้ ยู่ ตวั รกู้ ค็ อื ตวั พทุ โธ ตวั พระพทุ ธเจา้
นน่ั แหละ พอมีสตสิ ัมปชัญญะรอู้ ยู่ ปญั ญาก็วง่ิ ตามมาเทา่ นัน้ รเู้ รอื่ งตา่ งๆ ตาเห็นรูป
สงิ่ นีค้ วรไหม ไมค่ วรไหม หฟู ังเสียง สิ่งน้ีควรไหม ไมค่ วรไหม มนั เปน็ โทษไหม
มนั ผิดไหม มันถูกตอ้ งเป็นธรรมะไหม สารพัดอย่าง ดังน้ัน ผู้มปี ญั ญาแลว้ จงึ ไดฟ้ ัง
ธรรมะอยตู่ ลอดเวลา แมม้ องเหน็ ตน้ ไมก้ เ็ ปน็ ธรรมะ มองเหน็ สง่ิ ตา่ งๆ มนั เปน็ ธรรมะ
หมดท้ังนั้น ถ้าเรารู้จกั ธรรมะ
พวกเราทง้ั หลายใหเ้ ขา้ ใจวา่ ในเวลานเี้ ราเรยี นอยกู่ ลางธรรมะ จะเดนิ ไปขา้ งหนา้
กถ็ กู ธรรมะ จะถอยไปข้างหลงั กถ็ ูกธรรมะ ธรรมะทง้ั นั้น ถา้ เรามีสติอยู่ แมแ้ ต่เหน็
สตั วต์ ่างๆ ทีว่ งิ่ ไป ก็มีปัญญาวา่ สัตวม์ นั กเ็ หมือนกนั กับเรานน่ั แหละ มันไม่แปลกไป
กว่าเราหรอก มันหนีจากความทุกข์ไปหาความสุขเหมือนกัน อันไหนท่ีมันไม่ชอบ
มนั กไ็ มเ่ อาเหมือนกนั มนั กลวั สน้ิ ชีวิตของมันเหมอื นกนั ถ้าเราคิดไปเช่นนีก้ เ็ รยี กว่า
สัตว์ท้ังหลายในโลกนี้กับมนุษย์ก็ไม่แปลกกันที่สัญชาตญาณต่างๆ เม่ือเราคิดไป
เช่นน้ีก็เรียกว่าเป็นการภาวนา รู้เห็นตามความเป็นจริงว่าสัตว์ทั้งหลายก็ดี มนุษย์
ทง้ั หลายกด็ ี มันก็เป็นเพอ่ื นเกดิ เพื่อนแก่ เพ่อื นเจ็บ เพอ่ื นตาย ดว้ ยกันทงั้ นัน้ ไมใ่ ช่
อ่ืนไกล สตั วท์ กุ ประเภทมันกเ็ หมือนมนษุ ย์ มนษุ ยท์ ุกประเภทมันก็เหมอื นสัตว์ ทนี ี้
เม่ือเราร้เู หน็ สภาวะตามเป็นจริง จิตเราก็ถอนออกจากส่งิ เหล่าน้ัน
126
ฉะนั้น ทา่ นจงึ ให้มสี ติ ถ้ามีสติแลว้ มันจะเห็นก�ำลงั ใจของตน เหน็ จิตของตน
ความรู้สึกนึกคิดของตัวเองเป็นอย่างไรก็ต้องรู้ ตัวรู้น่ันแหละเรียกว่า พุทโธ หรือ
พระพทุ ธเจา้ ผู้รู้ รถู้ ึงที่มันแลว้ กร็ ู้แจ้งแทงตลอด เมื่อมันรอบรูอ้ ยูเ่ ช่นนี้ ก็ประพฤติ
ปฏบิ ตั ไิ ดถ้ ูกตอ้ งดีเทา่ นั้น ไม่ใชอ่ น่ื ไกล
ฉะนั้น ปฏิบัตงิ า่ ยๆ พิจารณางา่ ยๆ เราจึงมีสตอิ ยู่ ผ้ไู ม่มีสตกิ เ็ หมอื นเป็นบ้า
ไมม่ สี ติ ๕ นาที กเ็ ปน็ บา้ ๕ นาที กป็ ระมาทอยู่ ๕ นาที ถา้ ขาดจากสตเิ มอื่ ใดกเ็ ปน็ บา้
เมอื่ นนั้ ใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งนี้ สตนิ จี้ งึ มคี ณุ คา่ คนมสี ตแิ ลว้ กร็ จู้ กั วา่ ตวั เรามลี กั ษณะอยา่ งไร
จติ ใจของเราอยู่ในลักษณะอย่างไร ความเป็นอยขู่ องเราอยู่ในลักษณะอยา่ งไร น่ีผมู้ ี
ปัญญามคี วามเฉลียวฉลาดแลว้ กไ็ ดฟ้ งั ธรรมอยู่ทกุ เวลา ออกจากครูบาอาจารย์แลว้
กไ็ ดฟ้ ังธรรมอยู่เสมอ รู้อย่เู สมอ เพราะว่าธรรมมีอยทู่ ั่วๆ ไป
ฉะน้ัน พวกเราน่ัน ในวันหนึ่งๆ ให้ได้ปฏิบัติเถอะ ขี้เกียจก็ท�ำ ขยันก็ท�ำ
เราปฏบิ ตั ธิ รรมะ ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามตวั เรา ถา้ ปฏบิ ตั ติ ามตวั เราไมเ่ ปน็ ธรรมะ ไมว่ า่ กลางวนั
กลางคนื สงบกท็ ำ� ไมส่ งบกท็ ำ� เหมอื นกบั เราเปน็ เดก็ ไปเรยี นหนงั สอื จะเขยี นไมส่ วย
ในครั้งแรก มนั หัวยาวๆ ขายาวๆ เขยี นไปตามเรอื่ งของเด็ก นานไปก็สวยข้ึนงามขน้ึ
เพราะฝกึ มนั การประพฤติธรรมกเ็ หมอื นกนั ทแี รกกเ็ กะๆ กะๆ สงบบ้างไม่สงบบา้ ง
ไมร่ เู้ รอ่ื งมนั เปน็ ไป บางคนกข็ เ้ี กยี จ อยา่ ขเี้ กยี จ ตอ้ งพยายามทำ� อยดู่ ว้ ยความพยายาม
เหมือนกบั เราเปน็ เด็กนักเรียน โตมากเ็ ขยี นหนงั สือไดด้ ี จากไมส่ วยมาเขยี นไดส้ วย
เพราะการฝกึ ต้ังแตเ่ ด็กน่นั แหละ อันน้กี ็เหมอื นกนั ฉันนัน้
พยายามใหม้ สี ตอิ ยทู่ กุ เวลา จะยนื จะเดนิ จะนงั่ จะนอน พยายามทำ� ใหม้ นั สมำ่� เสมอ
เมื่อเราท�ำกจิ วตั รอะไรมนั คล่องดแี ล้ว เปน็ ต้น เรากส็ บายใจ นงั่ กส็ บาย นอนก็สบาย
เม่ือความสบายเกิดข้ึนจากกิจวัตร การนั่งสมาธิก็สงบง่าย เป็นเร่ืองสัมพันธ์ซึ่งกัน
และกันดงั นี้
ฉะน้ัน จงพากันพยายาม สิ่งท่ีครูบาอาจารย์พาท�ำน้ี ให้พยายามท�ำเถอะ
ตามความสามารถของเรา นเี่ รยี กว่าการฝกึ .
127
๑๓
ธรรมในวนิ ยั
การปฏบิ ตั ขิ องเรานะ มนั เปน็ ของยากอยู่ ไมใ่ ชเ่ ปน็ ของงา่ ย คอื เรารอู้ ยสู่ ว่ นหนง่ึ
แตว่ า่ สว่ นทไี่ มร่ นู้ น้ั มมี าก ยกตวั อยา่ งเชน่ วา่ ใหร้ กู้ าย แลว้ กร็ กู้ ายในกาย อยา่ งนเี้ ปน็ ตน้
ให้รู้จิต แล้วให้รู้จิตในจิต ถ้าเรายังไม่เคยปฏิบัติมา เราได้ยินค�ำพูดเช่นนี้เราก็งง
เหมอื นกนั พระวนิ ยั นก้ี เ็ หมอื นกนั สมยั กอ่ นผมกเ็ คยเปน็ ครโู รงเรยี น แตเ่ ปน็ ครนู อ้ ยๆ
ไมม่ าก ท�ำไมถงึ เรยี กวา่ ครนู อ้ ย คือครูไม่ไดป้ ฏิบัติ สอนพระวนิ ยั แตว่ า่ ไมไ่ ดป้ ฏบิ ัติ
ตามพระวินยั เรยี กว่าครูนอ้ ย ครูไม่สมบรู ณ์ ท่วี ่าครูไมส่ มบูรณ์ ออกมาปฏิบัติแลว้
ก็ไม่สมบูรณ์ พูดถึงเร่ืองส่วนใหญ่มันไกลมาก เหมือนกันกับไม่ได้เรียนอะไรเลย
เรื่องพระวินัย
ฉะนั้น ผมจึงขอเสนอความเห็นแก่พระภิกษุท้ังหลายว่า เรื่องการปฏิบัติน้ัน
เราจะรพู้ ระวนิ ยั โดยสน้ิ เชงิ กไ็ มไ่ ด้ เพราะบางสงิ่ รกู้ เ็ ปน็ อาบตั ิ ไมร่ กู้ เ็ ปน็ อาบตั ิ มนั กเ็ ปน็
ของยาก แตว่ า่ พระวนิ ยั นท้ี า่ นกำ� ชบั ไวว้ า่ ถา้ หากวา่ ยงั ไมร่ สู้ กิ ขาบทใด ขอ้ อรรถอนั ใด
ก็ให้ศึกษาให้รู้สิกขาบทนั้น ด้วยความพยายามจงรักภักดีต่อพระวินัย ถึงไม่รู้ท่าน
กใ็ หพ้ ยายามศกึ ษาขอ้ นนั้ ใหร้ ู้ ถา้ ไมเ่ อาใจใสก่ เ็ ปน็ อาบตั อิ กี เชน่ วา่ ถา้ เราสงสยั อยนู่ ะ
เป็นหญิงส�ำคัญว่าผู้ชาย เข้าไปจับเลยอย่างน้ี สงสัยอยู่ก็เข้าไปจับ มันก็ยังผิดอยู่
ผมกเ็ คยคิดว่าไม่รูท้ ำ� ไมมนั ผดิ
128
เมื่อมานึกถึงการภาวนา เราผ้ปู ฏิบัติจะต้องมสี ติ จะต้องพจิ ารณา จะพดู จะจา
จะจบั จะแตะทกุ อยา่ ง จะตอ้ งพจิ ารณากอ่ นใหม้ าก ทเี่ ราพลาดไปนนั้ เพราะเราไมม่ สี ติ
หรอื มีสตไิ ม่พอ หรอื ไม่เอาใจใส่ในเวลานั้น เช่นว่า ตะวนั ยงั ไม่ห้าโมง แต่ในเวลาน้นั
ฝนฟ้าอากาศมันครึ้ม ไม่สามารถที่จะมองเห็นตะวันได้ ไม่มีนาฬิกาเราก็เลยคิด
ประมาณเอาวา่ “มนั จะบา่ ยแลว้ ละมง้ั ” มคี วามรสู้ กึ อยา่ งนจ้ี รงิ ๆ ในจติ ใจเราสงสยั อยู่
แตเ่ ราก็ฉนั อาหารเสีย พอฉันไปได้พกั หนึ่ง แสงสว่างของพระอาทิตย์มันกเ็ กดิ ขน้ึ มา
ไดห้ า้ โมงกวา่ เทา่ นนั้ เอง นเี่ ปน็ อาบตั แิ ลว้ ผมกม็ าคดิ ในใจวา่ “เอะ๊ มนั กย็ งั ไมเ่ กนิ เทย่ี ง
ทำ� ไมเป็นอาบัต”ิ
ทา่ นปรับอาบตั ิเพราะวา่ เผอเรอ ไม่เอ้อื เฟอื้ ไมพ่ จิ ารณาใหถ้ ี่ถว้ นนี่เอง ไม่สังวร
ส�ำรวม ท�ำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ ถ้าหากวา่ สงสยั แลว้ ยงั ท�ำอยูอ่ ย่างนี้ ทา่ นปรบั อาบตั ิ
ทุกกฏ ๑ เพราะวา่ สงสยั สงสยั ว่าบ่าย แตค่ วามจรงิ นัน้ ไมบ่ า่ ย ถกู อยู่แต่ก็ปรบั อาบัติ
ตอนน้ี เพราะวา่ อะไร ปรับเพราะไมส่ ังวรระวงั ประมาท ถ้าหากวา่ มนั บ่ายไปแล้ว
สงสยั อยวู่ า่ ไมบ่ า่ ย กเ็ ปน็ อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ ทท่ี า่ นปรบั อาบตั ทิ กุ กฏ นเี้ พราะไมส่ งั วรสำ� รวม
สงสัยอยู่ จะถูกก็ตามจะผดิ กต็ ามก็ตอ้ งอาบตั ิ ถา้ หากมนั ถูกก็ปรบั อาบตั หิ ย่อนลงมา
ถา้ หากมันผิดกป็ รับอาบตั อิ ยา่ งเต็มทเ่ี ลย
ฉะนัน้ เมอ่ื พดู ถงึ เร่อื งพระวนิ ยั น้ี ฟน่ั เฝอื มากเหลอื เกิน ผมเคยไปกราบเรียน
ท่านอาจารยม์ ั่น เวลานน้ั เราก�ำลังจะเร่ิมปฏิบัติ แล้วกอ็ ่านบุพพสกิ ขาไปบ้าง ก็เข้าใจ
พอสมควร ทนี ี้ไปอ่านวิสุทธิมรรค ทา่ นมาพูดถึงสลี นิเทศ สมาธินเิ ทศ ปญั ญานเิ ทศ
ศีรษะผมมันจะแตกเลย อ่านแล้วก็มาพิจารณาว่ามนุษย์ท�ำไม่ได้ ท�ำอย่างน้ันไม่ได้
แล้วคิดไปอกี วา่ อันทม่ี นุษย์ทำ� ไมไ่ ดน้ ้ัน พระพทุ ธเจา้ ท่านไม่สอนหรอก ทา่ นไม่สอน
แล้วทา่ นก็ไม่บญั ญัติ เพราะวา่ สิง่ นน้ั ไมเ่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ ท่าน และกไ็ มเ่ ป็นประโยชน์
ตอ่ บคุ คลอน่ื ดว้ ย สงิ่ อะไรทใ่ี ครทำ� ไมไ่ ดท้ า่ นไมส่ อน สลี นเิ ทศนมี้ นั ละเอยี ดมาก สมาธิ
นเิ ทศก็ย่งิ ละเอียด ปัญญานเิ ทศมันก็ย่งิ มากขนึ้ อกี เรามานั่งคดิ ดู ไปไมไ่ หวเสียแลว้
ไมม่ ที างทจ่ี ะไป คล้ายๆ วา่ มนั หมดหนทางเสียแล้ว
๑ อาบัตทิ กุ กฏ เป็นช่อื อาบัติอย่างเบา
129
ถึงคราวนนั้ ก็ก�ำลังกระเสือกกระสนเร่ืองปฏิปทาของตนอยู่ มนั ก็ตดิ อยู่อย่างนี้
พอดีได้มีโอกาสไปนมัสการท่านอาจารย์มนั่ กเ็ ลยเรยี นถามทา่ นว่า
“ผมจะทำ� อยา่ งไร เกลา้ กระผมปฏบิ ตั ใิ หม่ ไมร่ จู้ ะปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร ความสงสยั มาก
ยงั ไม่ได้หลักในการปฏิบตั เิ ลยครบั ”
ท่านว่า “มนั เป็นยังไง”
“ผมหาทาง ก็เลยเอาหนังสือวิสุทธิมรรคข้ึนมาอ่าน มีความรู้สึกว่ามันจะไป
ไมไ่ หวเสยี แลว้ เพราะวา่ เนอ้ื ความในสลี นเิ ทศ สมาธนิ เิ ทศ ปญั ญานเิ ทศนน้ั ดเู หมอื น
ไมใ่ ชว่ สิ ยั ของมนษุ ยเ์ สยี แลว้ ผมมองเหน็ วา่ มนษุ ยท์ ว่ั โลกนมี้ นั จะทำ� ไมไ่ ดค้ รบั มนั ยาก
มันล�ำบาก ก�ำหนดทุกๆ สิกขาบทนมี้ นั ไปไมไ่ ดค้ รับ มนั เหลือวสิ ัยเสียแล้ว”
ท่านกเ็ ลยพูดวา่ “ท่าน...ของนมี้ ันมากกจ็ รงิ หรอก แต่มันนอ้ ย ถ้าเราจะกำ� หนด
ทุกๆ สิกขาบทในสีลนเิ ทศนน้ั นะ มันกย็ าก มนั ก็ลำ� บาก...จริง แต่ความจรงิ แลว้ นะ
ทเ่ี รยี กวา่ สลี นเิ ทศนนั้ มนั เปน็ นเิ ทศอนั หนง่ึ ซง่ึ บรรยายออกไปจากจติ ใจของคนเรานี้
ถา้ หากวา่ เราอบรมจติ ของเราใหม้ คี วามอาย มคี วามกลวั ตอ่ ความผดิ ทง้ั หมด นนั่ แหละ
กจ็ ะเป็นคนส�ำรวม จะเป็นคนสังวร จะเปน็ คนระวงั เพราะความกลวั
เมื่อเป็นอยา่ งนัน้ จะเป็นเหตุที่วา่ เราจะเปน็ คนมกั น้อย เราจะไม่เปน็ คนมักมาก
เพราะว่าเรารักษาไม่ไหวนี่ ถ้าเป็นเช่นน้ันสติของเรามันจะกล้าข้ึน มันจะตั้งสติข้ึน
จะยนื จะเดนิ จะนง่ั จะนอนทไ่ี หน มนั จะตง้ั อกตง้ั ใจ มสี ตเิ ตม็ เปย่ี มเสมอ ความระวงั
มันเกดิ ข้นึ มาน่ันแหละ
อันใดท่ีมันสงสัยแล้วก็อย่าพูดมันเลย อย่าท�ำมันเลย ท่ีเรายังไม่รู้จะต้อง
ถามครบู าอาจารยเ์ สยี กอ่ น ถามครบู าอาจารยแ์ ลว้ กร็ บั ฟงั ไวอ้ กี กย็ งั ไมแ่ นใ่ จ เพราะวา่
มนั ยงั ไมเ่ กดิ เฉพาะตวั เอง ถา้ หากเราจะไปกำ� หนดทกุ ประการนน้ั กล็ ำ� บาก เราจะเหน็
วา่ จติ ของเรายอมรบั หรอื ยงั วา่ ทำ� ผดิ มนั ผดิ ทำ� ถกู มนั ถกู อยา่ งนเี้ รายอมรบั หรอื เปลา่ ”
130
ค�ำสอนของท่านอันน้ีเป็นส่ิงท่ีส�ำคัญ ไม่ใช่ว่าจะไปรักษาสิกขาบททุกๆ ข้อ
เรารักษาจติ อันเดียวเท่านน้ั กพ็ อแลว้
“อะไรทงั้ หมดนท่ี า่ นไปดนู ะ มนั ขนึ้ ตอ่ จติ ทงั้ นน้ั ถา้ ทา่ นยงั ไมอ่ บรมจติ ของทา่ น
ให้มีความรู้มีความสะอาด ท่านจะมีความสงสัยอยู่เรื่อยไป วิจิกิจฉาอยู่ตลอดเวลา
ดังน้ัน ท่านจงรวมธรรมค�ำสอนของพระพทุ ธเจา้ ไว้ทจี่ ิต สำ� รวมอยู่ที่จติ อะไรที่มัน
เกดิ ขึ้นมาแลว้ สงสัยแลว้ เลิกมนั ถ้ายงั ไมร่ ู้แจง้ เมือ่ ใดแล้วอยา่ พงึ ท�ำมนั อยา่ พึง
พูดมนั เช่นว่า อนั นผ้ี ิดไหมหนอ หรอื ไม่ผิด อยา่ งนค้ี อื ยังไมร่ ตู้ ามความเปน็ จรงิ แลว้
อยา่ ท�ำมัน อยา่ ไปพูดมนั อย่าไปละเมิดมนั ”
นผี่ มกน็ ง่ั ฟงั อยู่ กเ็ ขา้ กบั ธรรมะทถี่ กู ตอ้ งตามคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ ธรรมอนั ใด
เปน็ ไปเพอื่ ความสะสมซง่ึ กเิ ลส ธรรมอนั ใดเปน็ ไปเพอ่ื ความประกอบทกุ ข์ ธรรมเหลา่ ใด
เปน็ ไปเพอ่ื ความกำ� หนดั ยอ้ มใจ ธรรมเหลา่ ใดเปน็ ไปเพอ่ื ความมกั มาก ธรรมเหลา่ ใด
เปน็ ไปเพอ่ื ความมกั ใหญใ่ ฝส่ งู ธรรมเหลา่ ใดเปน็ ไปเพอ่ื ความคลกุ คลหี มคู่ ณะ ธรรม
เหลา่ ใดเปน็ ไปเพอื่ ความเกยี จครา้ น ธรรมเหลา่ ใดเปน็ ไปเพอื่ ความเลย้ี งยาก ลกั ษณะ
ตดั สนิ พระธรรมวนิ ยั แปดประการนน้ั รวมกนั ลงไปแลว้ อนั นเี้ ปน็ สตั ถุ คำ� สง่ั สอนของ
พระพุทธเจา้ นอกน้นั ไม่ใช่
ถ้าหากว่าเราสนใจจริงๆ จิตใจเราจะต้องเปน็ คนอายต่อบาป กลวั ตอ่ ความผดิ
รจู้ ิตของตนอยวู่ า่ สงสยั แล้วไม่ทำ� ไม่พดู เร่อื งสมาธินิเทศกเ็ หมือนกัน เร่ืองปญั ญา
นเิ ทศก็เชน่ กัน อนั นน้ั มนั ตัวหนงั สือ เชน่ หริ ิโอตตปั ปะ อยใู่ นตวั หนงั สือ มันก็เปน็
อย่างหน่ึง ถา้ มนั มาต้งั อยใู่ นใจของเราแล้ว มันก็เป็นอีกอยา่ งหนึ่ง
ไปศกึ ษาเร่ืองพระวนิ ยั กบั ทา่ นอาจารยม์ ั่น ท่านก็สอนหลายอย่างหลายประการ
ผมกน็ ง่ั ฟงั รวมเกดิ ความรขู้ น้ึ มา ดงั นนั้ เรอื่ งการศกึ ษาพระวนิ ยั น้ี ผมกไ็ ดศ้ กึ ษามาก
พอสมควร บางวนั เอาต้งั แต่หกโมงเย็นถงึ สวา่ งเลยนะ ศกึ ษาตลอดพรรษา เขา้ ใจ
พอสมควร องคข์ องอาบัติทัง้ หมดทอ่ี ยู่ในบุพพสกิ ขาน้ี ผมเกบ็ ไว้หมดในสมุดพกใส่
ในย่ามตลอดเวลา ขะมักเขม้นพยายามที่สุด แต่กาลต่อมานี้ ก็เรียกว่ามันค่อยๆ
131
คลายออก มันมากเกนิ ไป ไมร่ จู้ กั เนือ้ ไม่รจู้ ักนำ�้ มันไมร่ ูจ้ กั อะไร มันเอาไปท้งั หมด
จติ ใจมนั กม็ ปี ญั ญาคลายออก มนั หนกั กเ็ ลยพยายามสนใจในใจของตนเองตลอดมา
ต�ำรบั ต�ำรากค็ ่อยท้งิ เขีย่ ออกไปเร่ือย
ฉะน้ัน ท่ีมาอบรมพระเณรนี้ ผมก็ยังเอาบุพพสิกขาน้ีเป็นหลักฐาน ได้อ่าน
บพุ พสกิ ขาเวลาศกึ ษาพระวนิ ยั ใหพ้ ระฟงั หลายปอี ยวู่ ดั ปา่ พง ผมทงั้ นนั้ ละทอี่ า่ นใหฟ้ งั
สมัยนนั้ ขึ้นธรรมาสน์เทศน์ อยา่ งน้อยกต็ อ้ งห้าท่มุ หรือหกทุ่ม บางทกี ต็ ีหนึง่ ตีสองนะ
สนใจแลว้ กฝ็ กึ ฟงั แลว้ กไ็ ปดไู ปพจิ ารณา ถา้ เรามาฟงั เฉยๆ นี้ ผมวา่ ไมเ่ ขา้ ใจแยบคาย
ออกจากการฟงั แล้วเราตอ้ งไปดูไปวนิ จิ ฉยั มันถึงจะเข้าใจ
ขนาดผมศึกษามาหลายปีในสิ่งเหล่านี้ก็ยังรู้นิดหน่อย เพราะมันคลุมเครือกัน
หลายอย่าง ทีน้ีมันห่างเหินในการดูต�ำรับต�ำรามาหลายปีแล้ว ฉะน้ัน ความจ�ำใน
สิกขาบทต่างๆ น้ันมนั กน็ ้อยลงๆ แต่ว่าในใจของเรานะ่ มันไม่บกพร่อง มนั ไมข่ ัดเขนิ
ในใจเรา มันมเี ครอ่ื งหมายอยู่ อย่างนี้ไม่ไดส้ งสยั อะไร รจู้ กั กเ็ ลยวางไว้ โดยมากก็
บำ� เพญ็ จิตของตนอยเู่ รอ่ื ยไป ไม่ไดส้ งสยั ในอาบตั ิทงั้ หลายทั้งปวง
ขนาดที่ว่าจิตของเรามันอายแล้ว ไม่กล้าจะท�ำความผิดแล้วในท่ีลับหรือท่ีแจ้ง
ไม่ฆา่ สัตวแ์ ม้แตต่ ัวเลก็ ถ้าหากจะใหฆ้ ่าโดยเจตนา มดตัวหนึ่งปลวกตวั หน่ึงอะไรนี้
จะให้เอามอื ไปบม้ี นั ถึงจะใหต้ ัวหนง่ึ ราคาหลายๆ หมน่ื ก็ฆ่ามนั ไม่ได้ ขนาดปลวก
ขนาดมดเทา่ นน้ั นะ มันยังมรี าคาสูงมาก แตว่ ่าบางทกี ็ทำ� มนั ตายนะ บางทมี นั มาไต่
รำ� คาญกป็ ดั มนั ตาย ตายแลว้ ดจู ติ ของตนกไ็ มเ่ สยี ใจอะไรเลย ไมห่ วาดหวนั่ ไมส่ งสยั
เพราะอะไร เพราะเจตนาเรามันไม่มี สีลังวะทามิ เจตะนาหัง เจตนาน้ีเป็นตัวศีล
เมอื่ มนั รวมเขา้ มาเชน่ น้ี เราจะท�ำมันตายด้วยเจตนาไม่มี ถงึ แม้เราเดินไป เราเหยยี บ
ไปถกู มนั ตาย สมยั กอ่ นเมอ่ื ยงั ไมร่ จู้ กั จติ ของเรานนั้ มนั เปน็ ทกุ ข์ ปรบั ตวั เองแลว้ วา่ เปน็
อาบัตแิ ลว้ “เอา๊ นี่ไม่ได้เจตนา” “ไมม่ เี จตนา ก็ไมส่ ังวรสำ� รวมนะส”ิ มันเปน็ อย่างน้ี
มันเขา้ มาอยา่ งน้ี กเ็ ลยไมส่ บายกระสบั กระส่าย
ดังน้ัน พระวินัยนี้จึงเป็นของก่อกวนกับผู้ประพฤติปฏิบัติทั้งหลาย และก็มี
ประโยชน์มากดว้ ย ไมใ่ ช่วา่ ไมม่ ปี ระโยชน์ สมกบั ทท่ี า่ นว่า ไมร่ ้สู ิกขาบทไหนก็ตอ้ ง
132
ใหร้ ู้ ไมร่ กู้ ต็ อ้ งไตถ่ ามทา่ นผรู้ ใู้ หร้ ู้ ทา่ นยำ้� เหลอื เกนิ ทนี ถี้ า้ หากวา่ เราไปรตู้ ามสกิ ขาบท
อยู่ข้างนอก เราจะไม่รู้เท่าอาบัติ เช่นว่า ท่านอาจารย์เภา พระเถระในสมัยก่อน
อยลู่ พบรุ ี วดั เขาวงกฏ วนั หน่ึงกม็ ีมหาองคห์ น่ึงเป็นลูกศิษย์มานั่งอยู่ แลว้ กม็ ีโยม
ผู้หญิงมาถามวา่ “ทา่ นหลวงพอ่ ดฉิ นั จะนำ� ท่านไปโนน้ ท่านจะไปไหม”
ทา่ นหลวงพอ่ เภากเ็ ฉย มหาองคน์ นั้ นง่ั อยใู่ กลๆ้ กน็ กึ วา่ ทา่ นอาจารยเ์ ภาไมร่ เู้ รอ่ื ง
ไมไ่ ดย้ นิ กเ็ ลยวา่ “หลวงพอ่ หลวงพอ่ โยมพดู ไดย้ นิ ไหม เขาจะนมิ นตไ์ ปเทย่ี วทโ่ี นน้ ”
ทา่ นก็ว่า “ไดย้ ิน”
โยมก็พูดว่า “หลวงพอ่ หลวงพอ่ จะไปหรอื เปล่า”
ท่านกเ็ ฉย ไมพ่ ูด เลยไมไ่ ด้เรือ่ ง ทา่ นไม่รับปาก เมอ่ื โยมผู้หญิงกลบั ไปแลว้
ทา่ นมหาก็วา่ “หลวงพอ่ โยมเรยี นถามหลวงพอ่ ท�ำไมไมพ่ ดู ”
ทา่ นกว็ า่ “โอ้ มหา ทา่ นรหู้ รอื เปลา่ รไู้ หม คนทมี่ าเมอ่ื กม้ี แี ตผ่ หู้ ญงิ ทงั้ นน้ั จะชวน
เดนิ ทางรว่ มกนั กบั พระ นคี่ ณุ จะไปรบั ปากกบั เขาทำ� ไม ใหเ้ ขาชวนขา้ งเดยี วนน้ั กไ็ มเ่ ปน็
อะไร เมอ่ื เราอยากจะไปเรากไ็ ปได้ เพราะเราไมไ่ ดช้ วนเขา เขาชวนข้างเดียว”
ท่านมหากเ็ ลยน่งั คดิ “อือ เราเสยี คนเหลอื เกนิ นะ”
ผหู้ ญงิ ชวนพระเดนิ ทาง แลว้ เดนิ ทางรว่ มกนั ไปโนน้ ไปน้ี อยา่ งนี้ ทา่ นวา่ ชวนกนั
เดนิ ทางรว่ มกับผ้หู ญงิ ถงึ ไมใ่ ชส่ องตอ่ สอง มีแตผ่ ้หู ญิง ทา่ นว่าผิดท้ังนั้น เปน็ อาบตั ิ
ปาจิตตยี ์
แลว้ ก็อกี เร่อื งหนึง่ เอกลาภเกดิ ขึ้นมาท่ีวัดเขาวงกฏน้ี คนเอาเงินมาถวายท่าน
ทา่ นกร็ บั พอเอาใสถ่ าดมา ทา่ นกย็ น่ื ผา้ เชด็ หนา้ ไปรบั ทา่ นกจ็ บั ผา้ เชด็ หนา้ เมอ่ื เขาจะ
เอาถาดมาวางท่านกข็ ยบั มอื ออกจากผา้ เชด็ หนา้ อยา่ งนี้ ไมใ่ หต้ ิดผ้าเชด็ หน้าน่อี ย่างน้ี
เปน็ ตน้ เงนิ กท็ ง้ิ ไวท้ เ่ี ตยี ง รแู้ ลว้ ไมส่ นใจลกุ หนไี ป คอื ในพระวนิ ยั ทา่ นวา่ ถา้ เราไมย่ นิ ดี
แล้วไม่บอกเขาก็ได้
133
ถา้ หากวา่ เรายนิ ดี “โยมอนั นไ้ี มส่ มควรแกพ่ ระ” นบี่ อกเขาเสยี ถา้ เราไมย่ นิ ดจี รงิ ๆ
ไม่บอกก็ได้ พอวางปุ๊บก็ลุกไปเลย ถา้ เรามีความยินดตี ้องห้ามเขาเสียในสิ่งทม่ี นั ผิด
อยา่ งนี้เป็นต้น ถ้าทา่ นรูจ้ ักท่านกล็ ุกไปจรงิ ๆ อันนี้อาจารยก์ ับลกู ศิษยอ์ ยดู่ ้วยกันตง้ั
หลายปไี มค่ ่อยรเู้ รอ่ื งกนั อนั นี้แย่ ข้อปฏบิ ตั ขิ องทา่ นอาจารย์เภาเล็กๆ นอ้ ยๆ ผมก็
ไปสบื แสวงหาพจิ ารณาอยู่หลายอย่าง
ฉะนน้ั พระวนิ ยั นมี้ นั เปน็ ของทท่ี ำ� ใหบ้ างคนสกึ กไ็ ด้ เมอ่ื อา่ นหนงั สอื พระวนิ ยั ไป
เออ โผล่ขึน้ มาแล้วตรงนน้ั มนั จะยันไปโน่น จะเอาอดตี มายงุ่ การบวชของเรามันจะ
ถกู ไหมหนอ อปุ ชั ฌายข์ องเราจะบรสิ ทุ ธห์ิ รอื เปลา่ พระหตั ถบาสเรากไ็ มม่ ใี ครสนใจใน
พระวนิ ยั เลย นง่ั รจู้ กั หตั ถบาสกนั ไหม การสวดนาคจะถกู ตอ้ งหรอื เปลา่ อยา่ งนี้ มนั คน้
มนั คดิ ไป โบสถท์ เี่ ราบวชน้นั ถูกต้องดหี รือเปลา่ โบสถน์ อ้ ยๆ อยา่ งน้ี สงสัยไปหมด
ตกนรกทงั้ น้ันแหละ มนั ตกเพราะเราไมร่ ู้จัก
อยา่ งนน้ั กวา่ จะมอี บุ ายแกไ้ ขจติ ใจของตนนล้ี ำ� บากมาก ตอ้ งใจเยน็ ๆ ผลนุ ผลนั
เกดิ ไปก็ไมไ่ ด้ จะเยน็ เกนิ ไปจนไม่รบั พจิ ารณาเหตุผลน่กี ็ไม่ได้ ผมงงจนเกอื บจะสกึ
แล้วจริงๆ เพราะว่าเห็นความบกพร่องในการกระท�ำในการปฏิบัติของครูบาอาจารย์
สารพัดอยา่ ง ร้อน นอนไมไ่ ดเ้ ลย บาปจรงิ ๆ บาปดว้ ยความสงสัย สงสยั เทา่ ไรกย็ งิ่
ภาวนาไป ยิง่ ทำ� ความเพียรไป สงสัยท่ีไหนก็ท�ำมนั ไปเรื่อยๆ ที่น้นั ปญั ญามันกเ็ กดิ
ความเปล่ยี นแปลงเกดิ ขึน้ มาเร่อื ยๆ ความเปลี่ยนแปลงน้ันไม่รวู้ า่ จะพูดให้ใครฟังได้
เปล่ยี นแปลงจนมนั ไมส่ งสยั อะไร ไม่ร้มู นั เปล่ยี นแปลงโดยวธิ ีอะไร ถา้ เราไปพดู ให้
คนอ่นื ฟงั เขาคงไม่รเู้ รื่องเหมอื นกัน
ดงั นั้น จงึ ไดม้ าระลกึ ถึงค�ำสอน ปัจจตั ตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ วิญญชู นรเู้ ฉพาะ
ตนเองอย่างนี้ มนั กเ็ กิดขึ้นมาในขณะที่มันเปน็ อยา่ งน้นั เรอื่ งปฏิบัตมิ ันเป็นอย่างนี้
เรอ่ื งทเ่ี ราไดศ้ กึ ษาพระธรรมวนิ ยั นน้ั กจ็ รงิ อยู่ แตว่ า่ มนั ศกึ ษานอกๆ เราไมป่ ฏบิ ตั ิ
ถา้ มาปฏบิ ตั อิ ยา่ งเอาจรงิ เอาจงั มนั สงสยั ไปหมดทกุ อยา่ ง แตก่ อ่ นอาบตั ทิ กุ กฏไมร่ เู้ รอื่ ง
ไม่รับฟังอะไรท้งั น้ัน เมื่อมาเขา้ ใจธรรมะจริงๆ แล้วถงึ ข้อปฏบิ ตั ินน้ี ะ อาบัตทิ ุกกฏน้ี
กลายมาเป็นปาราชิกเลย
134
สมัยก่อนนี้อาบตั ทิ กุ กฎไมเ่ ป็นอะไร มันเลก็ ๆ น้อยๆ คิดอย่างนี้ ตอนเย็นๆ
มาแสดงอาบัตแิ ลว้ กห็ ายเท่าน้ัน แลว้ ก็ไปท�ำใหมอ่ กี นีก่ ารแสดงอาบตั ิอย่างนเ้ี รียกวา่
มนั ยงั ไมบ่ รสิ ทุ ธ์ิ คอื มนั ไมห่ ยดุ มนั ไมต่ กลง มนั ไมส่ งั วรสำ� รวม ตอ่ ไปทำ� อกี กเ็ ปน็ อกี
อยูเ่ รอ่ื ยๆ อย่างนี้ ความรตู้ ามความเป็นจริงไม่มี การปล่อยวางมนั ก็ไมม่ ี
ความเปน็ จรงิ นน้ั มนั กพ็ ดู ยากเหมอื นกนั อาบตั นิ ถ้ี า้ พดู ตามธรรมะตามความจรงิ
ไม่จ�ำเป็นที่จะต้องแสดงมันแล้ว ถ้าหากว่าเห็นความบริสุทธ์ิใจของตนนั้นแหละ
ไม่ได้สงสัยอะไรท้ังสิ้น มันก็ขาดไปเท่านั้นแหละ ท่ีเรายังไม่บริสุทธิ์คือเราสงสัยอยู่
วจิ ิกจิ ฉาอยลู่ ังเลอย่นู ั้นเอง ยังไมบ่ รสิ ุทธ์ิแท้ มนั จึงตกลงไมไ่ ด้ ไม่เห็นตวั ของตวั เอง
มนั เปน็ ในทำ� นองนี้ คอื ศลี เรานเี้ อง ไมใ่ ชอ่ น่ื หรอก พระวนิ ยั กค็ อื รว้ั นนั่ เอง เหมอื นรวั้
ทจ่ี ะใหเ้ ราพน้ จากความผดิ ตา่ งๆ ต้องพถิ พี ิถนั หนอ่ ยนะอันนี้
เรอ่ื งพระวนิ ยั นี้ ถ้าหากวา่ มันไม่เหน็ ในใจของตนมนั ก็ยาก ในเวลากอ่ นมาอยู่
วัดป่าพงหลายสิบปี ผมก็ต้ังใจจะทิ้งเงินท้ังพรรษาค่อนพรรษาเลย ตัดสินใจไม่ได้
ในทีส่ ดุ ผมเลยคว้าเอากระเปา๋ เงนิ เดนิ ลงมา พบมหาองคห์ นง่ึ เดี๋ยวนอ้ี ย่วู ัดระฆังเคย
ไปกบั ผม แล้วทิง้ กระเป๋าเงนิ ให้
“นมี่ หา เงินนท้ี ่านเป็นพยานให้ผมดว้ ย ต้งั แตว่ นั นเี้ ป็นต้นไป ผมจะไม่หยบิ
ผมจะไมจ่ บั ถา้ ผมไมส่ กึ นะ ใหท้ า่ นเปน็ พยานใหผ้ มดว้ ย นมิ นตเ์ ถอะทา่ น เอาไปเถอะ
เอาไปเรยี นหนงั สอื เถอะ”
ทา่ นมหากไ็ มอ่ ยากหยิบกระเป๋าสตางค์ อาย “ทา่ นอาจารย์ท�ำไมจงึ ท้งิ สตางค์
หลายร้อยหนอ” ทา่ นก็ไมส่ บายใจ
“ไมต่ อ้ งเปน็ หว่ งผมหรอก ผมเลกิ แลว้ ตกลงกนั แลว้ เมอื่ คนื นี้ ตกลงแลว้ ครบั ”
ตั้งแต่ท่านมหาเอาไปแล้วก็เหมือนผมตายไปจากท่านแล้ว พูดอะไรก็ไม่รู้เรื่อง
กนั หรอก ทา่ นยังเป็นพยานอยทู่ กุ วันนี้ ไมเ่ คยทำ� ไม่เคยแลกไม่เคยเปล่ียน ไมเ่ คย
อะไรตอ่ อะไรเรอ่ื ยมา อะไรตา่ งๆ กส็ ำ� รวมอยู่ มนั กเ็ หมอื นกบั ไมม่ อี ะไรจะผดิ แตม่ นั
135
กลัวเสมอนะ แล้วการภาวนาทางในเราก็ภาวนาไปเรือ่ ยๆ สว่ นน้ันเราไม่ต้องการแลว้
เหมอื นอยา่ งกับยาพิษน่ี เราเหน็ แล้วว่า เอาให้คนกินกต็ าย เอาให้สุนัขกินมันก็ตาย
เอาให้อะไรกนิ มันก็ตาย เปน็ อนั ตรายทั้งนั้น ถเ้ ราเหน็ ชัดอยา่ งนน้ั แม้จะยืน จะเดิน
จะนงั่ จะนอน เรากร็ สู้ กึ เลยวา่ อยา่ ไปกนิ ยาพษิ อนั นนั้ เพราะเราเหน็ โทษมนั ชดั อยา่ งนี้
เลยไมเ่ ปน็ ของยาก
อาหารการขบการฉนั ท่ีเขามาถวาย อะไรต่างๆ ทส่ี งสยั ไม่เอา แม้มนั จะมีอะไร
ดเี ลิศประเสรฐิ เท่าไรกไ็ มเ่ อาเสยี แลว้ ยกตวั อยา่ งงา่ ยๆ ปลาส้มอยา่ งนี้ ถา้ เราอย่ใู น
ป่าไปบิณฑบาตเขาใส่ปลาส้มให้เป็นห่อ มีแต่ปลาส้มห่อเดียวเท่านั้น มาเปิดดูเป็น
ปลาส้มไมส่ กุ ก็เลยเอาทิง้ ฉันขา้ วเปลา่ ๆ ดีกว่า มนั ไมก่ ล้าล่วง อย่างนัน้ จงึ เรยี กว่า
จติ มนั เหน็ พระวนิ ยั น้นั มันก็งา่ ยข้ึนๆ
พระสงฆ์จะเอาอะไรให้ เครอ่ื งบรขิ าร จะเป็นบาตร จะเป็นมีดโกน จะเป็นอะไร
ต่างๆ ผมไม่เอา ถ้าไมเ่ หน็ ว่าเป็นเพือ่ นด้วยกันสหธรรมกิ อันเดยี วกนั ไมเ่ อาท�ำไม
กค็ นไมส่ งั วรสำ� รวม เราจะเชอ่ื ไดไ้ หม มนั กท็ ำ� ผดิ ตา่ งๆ ไดท้ ง้ั นน้ั คนไมส่ งั วรสำ� รวมน่ี
มนั ไมเ่ ห็น มันกเ็ ป็นไปได้อย่างนี้ ความเหน็ มนั กล็ ึกไปอย่างนน้ั
ฉะนนั้ มนั จงึ เปน็ เหตใุ หพ้ วกสหธรรมกิ ทง้ั หลายมอง “ทา่ นองคน์ นั้ ไมเ่ ลน่ กบั เพอื่ น
ไมเ่ ขา้ สงั คม” ไมอ่ ะไรตอ่ อะไร ผมกเ็ ฉยเสยี “เออ คอยสงั คมกนั ทตี่ ายเถอะ ทจ่ี ะตาย
มันอยสู่ งั คมอนั เดียวแหละ” นึกไวใ้ นใจอย่างน้ี อยอู่ ยา่ งนเี้ ร่อื ยมาด้วยความอดทน
มากที่สุด เลยเป็นคนพดู นอ้ ย ใครมาพูดกา้ วกา่ ยถึงการปฏิบตั ขิ องเราก็เฉยๆ ทำ� ไม
ถงึ เฉย คอื พดู แลว้ เขากไ็ มร่ จู้ กั ไมร่ กู้ ารปฏบิ ตั ิ อยา่ งพระไปพจิ ารณาซากศพนี้ บางคน
กว็ า่ “อย่าไปฟังทา่ นเลย เอาใส่ย่ามอยา่ บอกท่าน อยา่ ให้ท่านรวู้ า่ ใส่ยา่ ม”
“เออ โยมรู้ไหมว่าพระเป็นหรือพระตาย พระน้ีโยมเห็นว่าพระเป็นหรือพระ
ตายแลว้ ไมใ่ ชเ่ รยี กสรุ าวา่ นำ้� หอม มนั จะเปน็ นำ้� หอมหรอื มแี ตโ่ ยมเทา่ นน้ั แหละ อยากจะ
กินเหล้าก็ว่าเป็นน�้ำหอม ก็พากันกิน มันก็เป็นบ้าท้ังน้ันแหละ ไม่รู้เหล้ามันเป็น
อยา่ งน”ี้
136
ตรงนะ ฟงั ตวั เองตรงอยา่ งนี้ ไมอ่ ยา่ งนน้ั พระวนิ ยั นล้ี ำ� บาก ตอ้ งเปน็ คนมกั นอ้ ย
ตอ้ งเป็นคนสันโดษ จะตอ้ งเปน็ คนเหน็ เหน็ ถูกจริงๆ
ไปอยู่สระบุรี เราเข้าไปพักอยู่กับวัดบ้านเขา อาจารย์องค์นั้นก็เสมอพรรษา
ไปบิณฑบาตมาร่วมกนั เอาบาตรมาตงั้ โยมเอาป่นิ โตขนึ้ มาบนศาลา เอาไปวางพระก็
ไปเอามา มารวมกันก็มาเปิดปนิ่ โต จดั ปนิ่ โต ป่ินโตเรียงกันยาวไปทางโนน้ แล้วพระ
กไ็ ปรบั ประเคน ก็เอานว้ิ มือไสปน่ิ โตทางน้ี ปิน่ โตน้นั ไปทางโนน้ โยมเขากเ็ อามอื ไส
ปิน่ โตทางนนั้ เอาแล้วพอแลว้ ก็จบั มาถวายพระให้พระฉนั
ไปกบั ผมประมาณสกั ห้าองค์ ไมฉ่ นั ไปบณิ ฑบาตมากม็ ีแตข่ ้าว นง่ั รวมกันฉนั
แต่ข้าว ไมม่ ีใครกลา้ ฉันอาหารปนิ่ โต เรากอ็ ยอู่ ยา่ งนีเ้ รอื่ ยๆ
วันหน่ึง ท่านอาจารย์ท่านก็เดือดร้อนเหมือนกัน คงจะมีลูกศิษย์ท่านไปพูด
ใหฟ้ งั “พระอาคนั ตกุ ะเหล่านไ้ี ม่ฉนั อาหารเลย ไมฉ่ ัน ไมร่ วู้ า่ เปน็ อย่างไร” ทา่ นก็มี
ความเดือดร้อนข้ึน ผมก็มีเวลาอยู่น่ันตั้งหลายวัน จ�ำเป็นต้องไปกราบเรียนท่าน
สมภารวดั
บอกว่า “ท่านอาจารย์ ผมขอโอกาสเถอะนะ ในเวลานี้ผมมีธุระที่จะพักพึ่ง
บารมีท่านอยู่สักหลายวัน แต่ถ้าอยู่วัดนี้ บางทีก็ท่านอาจารย์จะระแวงระวังหลาย
อย่างเหมอื นกนั ท้งั พระภกิ ษุสามเณรทกุ องค์ เพราะท�ำไมผมจงึ ไมฉ่ นั อาหารทโ่ี ยม
เอามามากๆ ผมจะขอเรียนให้อาจารย์ฟัง ผมไม่มีอะไรครับ ที่ผมไม่ฉันนั้นน่ะ
ผมได้รับการประพฤติปฏิบัติมาน้ีนานแล้ว การรับประเคนนะครับ ท่ีโยมมาวางไว้
พระไปเปดิ ป่ินโตปลดสาย เปิดปนิ่ โตแลว้ กเ็ อาปน่ิ โตซ้อน เอามาวางไว้ แล้วก็ใหเ้ ณร
มาถวาย อนั นีผ้ มเหน็ ว่ามนั ผิด มนั เป็นทุกกฏแล้ว คือไปลูบไปคลำ� ไปจบั ตอ้ งของ
ยังไม่ได้ประเคน มันเสียหายท้ังน้ัน ตามพระวินัย พระทุกองค์ฉันนะเป็นอาบัติ
หมดเลย ข้อนีเ้ องครับ มใิ ช่รงั เกยี จใครท้ังนัน้ ทผ่ี มมาเรยี นท่านอาจารยว์ ันน้มี ิใช่จะ
หา้ มใหล้ กู ศษิ ย์ลูกหาวา่ ทา่ นไปทำ� มใิ ช่ ผมมาเลา่ ความบรสิ ุทธิใ์ ห้ฟงั เพราะวา่ ผมจะ
มเี วลาอยู่ในทน่ี ห้ี ลายวนั ”
137
ท่านก็ยกมอื ขน้ึ “สาธุ ดมี ากทเี ดยี ว ผมไม่เคยเห็นพระทีร่ กั ษาซึง่ อาบัตทิ กุ กฏ
ในสระบุรี ไม่มีแล้วครับ มันจะมีก็นอกจังหวัดสระบุรี ผมขออนุโมทนาสาธุการ
เลยครบั ผมไมม่ ีอะไร ดีแลว้ ”
รงุ่ ขนึ้ เชา้ เขา้ ไปบณิ ฑบาตกลบั มารวมกนั พระไมเ่ ขา้ ไปใกลเ้ ลยทนี ี้ มแี ตโ่ ยมเขา้
มาถวาย เพราะกลวั พระไมฉ่ นั จงั หนั แตว่ นั นน้ั มาพระเณรทา่ นกก็ ลวั ทา่ นจะยนื จะเดนิ
จะนงั่ กล็ ำ� บากคับแคบใจ ผมกเ็ ลยเปิดเผยใหเ้ ขา้ ใจกนั ดที กุ องค์ รสู้ กึ วา่ พระเณรที่
นน้ั กลวั มาก เขา้ ในกฏุ ปิ ดิ เงยี บสงบเลย ไมม่ เี สยี ง สองวนั สามวนั ผมพยายามดกี ะทา่ น
เพราะทา่ นกลวั อาย นมี่ นั เปน็ อยา่ งน้ี จะตอ้ งไปพดู อะไรใหร้ เู้ รอื่ ง เราไมม่ อี ะไรจรงิ ๆ
เราจะพูดว่าฉันจังหันไม่พอ หรือเราจะเอาอาหารอะไรๆ ไม่พูด เพราะอะไร
ก็เราเคยอดอาหารมาเจ็ดวัน แปดวัน ก็เคยมาแล้ว สองวันสามวันเราเคยมาแล้ว
อันน้ีมขี า้ วเปลา่ ๆ ฉนั มันไม่ตายหรอก
ทมี่ นั มกี ำ� ลงั กค็ อื ทเ่ี ราปฏบิ ตั ิ ทร่ี บั โอวาทรบั ธรรมะทไ่ี ดป้ ฏบิ ตั แิ ลว้ คดิ วา่ ทำ� ตาม
พระพทุ ธเจา้ องคเ์ ดยี วเทา่ นน้ั แหละ ไปตรงนนั้ ใครทำ� อยา่ งนี้ ไปตรงน้ี ไมเ่ ลน่ กบั ใคร
แล้วพยายามทสี่ ุดอยา่ งนี้ นกี่ ็เพราะว่ามันรกั ตัวเอง รักข้อประพฤตปิ ฏิบตั ิ
คนไม่รักษาพระวินัย คนไม่ภาวนา กับคนภาวนาอยู่ด้วยกันไม่ได้ มันต้อง
แยกกันเลย มันไปด้วยกันไม่ได้ อันนี้กเ็ ป็นของท่ีส�ำคัญ ผมก็ไมร่ ู้เรอ่ื งเหมอื นกัน
สมยั กอ่ น เปน็ ครเู ปน็ อาจารยข์ องเขาสอนมนั อยา่ งนน้ั แตเ่ ราไมไ่ ดป้ ฏบิ ตั เิ สยี หมดนะ
มันเสยี เมื่อมาพิจารณาดีๆ โอย มันไกลกันฟา้ กับดนิ เลย ความเหน็ ของเรานะ
ดงั นน้ั คนเราจะไปตง้ั สำ� นกั วปิ สั สนาทำ� กรรมฐานอยใู่ นปา่ อยา่ เลย ถา้ ไมร่ เู้ รอื่ ง
อยา่ ไปเลย ยง่ิ รา้ ย เรากเ็ ขา้ ใจวา่ ไปอยใู่ นปา่ มนั จะสงบ เนอื้ ในของการปฏบิ ตั นิ น้ั ไมร่ จู้ กั
บางคนก็ไปถากหญ้าเอาเอง บางคนก็ไปท�ำอะไรเอาเองสารพัดอย่างวุ่นวาย พอผู้ท่ี
รู้จักการประพฤติปฏิบัติเขามองดูเห็นแล้วไม่เอา มันไม่เจริญ อย่างนั้นมันไม่เจริญ
จะไปตัง้ อยูป่ ่าทส่ี งบขนาดไหน มนั เจรญิ ไมไ่ ด้ คือมนั ท�ำไมถ่ กู
138
เห็นทา่ นอย่ปู า่ กไ็ ปอยู่ป่าอย่างท่าน มันกไ็ ม่เหมือน หม่ จวี รก็ไม่เหมอื น สีจีวร
ก็ไม่เหมือน ขบฉันอะไรมันก็ไม่เหมือนทั้งน้ันแหละ คือมันไม่ได้ฝึกไม่ได้หัดเสียที
ไมค่ อ่ ยจะเปน็ จรงิ เปน็ กเ็ ปน็ หลกั ทโ่ี ฆษณาตามโลกเขา กเ็ หมอื นกบั เขาโฆษณาขายยา
เทา่ นนั้ แหละ มนั ไมไ่ ดย้ งิ่ ไปกวา่ นนั้ หรอก ดงั นน้ั คนทไี่ ปตงั้ วปิ สั สนาใหมๆ่ ไปเรยี นรู้
วิธีมาก็ไปสอน จติ มนั ไมเ่ ปน็ จติ มันไม่เห็น เด๋ียวกเ็ ลิกเทา่ นั้นแหละ พังเทา่ นนั้ แหละ
เดือดรอ้ น
ดงั นนั้ พวกเราไมต่ อ้ งเรยี นอะไรกนั มาก ดนู วโกวาทเขาวา่ อะไรกนั บา้ ง มนั เปน็
อยา่ งไร ศกึ ษาใหเ้ ขา้ ใจแลว้ พจิ ารณาแลว้ กจ็ ำ� ไว้ นานๆ กม็ ากราบครบู าอาจารย์ ตรงนนั้
มันเปน็ อยา่ งไร อนั นนี้ ะท่านจะอธิบายปลีกยอ่ ยให้ฟัง เราก็ศึกษาไปเรื่อยๆ จนกว่า
เราจะเข้าใจจรงิ ๆ ในเรอื่ งพระวินยั .
139
๑๔
ทรงไว้ซ่ึงข้อวตั ร
วนั นเี้ ปน็ โอกาสทที่ า่ นทงั้ หลายไดม้ าประชมุ กนั ณ โอกาสนท้ี กุ ปี คณะเราทำ� การ
สอบธรรมะ แลว้ กม็ ารวมกนั ทกุ ๆ ทา่ นใหพ้ ากนั เขา้ ใจวา่ ผปู้ ฏบิ ตั คิ วรสนใจการกระทำ�
กจิ วตั ร อาจรยิ วตั ร อปุ ชั ฌายวตั ร อนั นเี้ ปน็ เครอื่ งยดึ เหนยี่ วนำ�้ ใจของพวกเราทง้ั หลาย
ใหเ้ ปน็ กลมุ่ เปน็ กอ้ น มคี วามสามคั คพี รอ้ มเพรยี งซงึ่ กนั และกนั และเปน็ เหตใุ หพ้ วกเรา
ไดท้ ำ� ความเคารพซึง่ จะเปน็ มงคลในหมู่พวกเราทงั้ หลาย
ต้ังแต่ครั้งพุทธกาลมาจนถึงบัดน้ี ทุกกลุ่มทุกเหล่าถ้าขาดความคารวะกันแล้ว
กไ็ มส่ ำ� เรจ็ ประโยชน์ แมใ้ นกลมุ่ ใดกลมุ่ หนงึ่ กเ็ หมอื นกนั จะเปน็ ฆราวาส จะเปน็ บรรพชติ
ถา้ ขาดความเคารพคารวะ ความมน่ั คงกไ็ ม่มี ถ้าความเคารพคารวะไม่มี ก็เกดิ ความ
ประมาท กิจวตั รทกุ อย่างมันกเ็ สอ่ื มทรามไป
คณะกรรมฐาน คณะปฏบิ ตั ิ พวกเราท่มี ารวมอยทู่ ่ีนี้ประมาณ ๒๕ พรรษาแลว้
มคี วามเจรญิ กา้ วหนา้ มา ตามทผี่ มสงั เกตนน้ั กเ็ รยี กวา่ เจรญิ มาเรอ่ื ยๆ แตว่ า่ ถงึ จดุ หนง่ึ
มนั กจ็ ะเสอื่ มได้ อนั นใี้ หเ้ ราเขา้ ใจ องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ มองเหน็ เหมอื นกนั
แตถ่ า้ หากว่าพวกเราทัง้ หลายอาศยั ความไมป่ ระมาท มีความเคารพคารวะ ทำ� กิจวตั ร
อันนี้ติดต่อกันไปไม่ขาด ผมเข้าใจว่าความสามัคคีของพวกเราน้ันจะมีความม่ันคง
การประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ นหมคู่ ณะของพวกเรา กจ็ ะเปน็ เหตใุ หย้ นื ยงคงทน ยงั พทุ ธศาสนา
อนั นี้ใหเ้ จรญิ ไปนาน
140
ทนี ปี้ รยิ ตั แิ ละปฏบิ ตั มิ นั เปน็ คกู่ นั โดยตรง คอื วา่ ปรยิ ตั กิ บั ปฏบิ ตั นิ เี่ ปน็ ของคกู่ นั มา
ยงั พทุ ธศาสนาให้เจริญถาวรร่งุ เรืองตลอดถงึ บัดนี้ ก็เพราะการศึกษาแลว้ กร็ ู้ รู้แลว้
กป็ ฏิบตั ิตามความรู้ของเรา น้ันเรียกวา่ การประพฤติปฏิบัติ
ถ้าหากว่าเราเรียนปรยิ ตั ิ อาศัยความประมาท เทา่ ทผี่ มเคยสงั เกตมาแล้ว คือ
สมยั หนึ่งผมอยทู่ น่ี ี้ พระอยจู่ �ำพรรษาประมาณ ๗ องค์ เปน็ ปีแรก ผมก็เลยมาคิดว่า
เรือ่ งการเรยี นปรยิ ตั ิกับปฏิบัตินี้ ถา้ ตง้ั ปรยิ ัติขน้ึ เมอ่ื ไหร่ เสอ่ื ม โดยมากเปน็ อย่างน้ี
ทงั้ การปฏบิ ตั กิ เ็ ปน็ ไปไดย้ าก มนั เสอื่ ม โดยมากเปน็ เสยี อยา่ งนนั้ เมอ่ื ไดม้ าคำ� นงึ ถงึ อนั นี้
ผมอยากจะรู้เหตุข้อมลู วา่ มันเปน็ เพราะอะไร ก็เลยมาตัง้ สอนพระเณรในพรรษานน้ั
๗ องค์ สอนประมาณสกั ๔๐ วัน ฉันเสรจ็ แลว้ กส็ อนจน ๖ โมงเยน็ ทุกวัน ไปสอบ
สนามหลวงปรากฏวา่ ไดผ้ ล ๗ องค์สอบไดห้ มดทุกองค์เลย อนั น้ีดี
แตว่ า่ มนั มกี ารบกพรอ่ งอยอู่ ยา่ งหนง่ึ กบั บคุ คลทไ่ี มม่ คี วามระมดั ระวงั การเรยี น
ปรยิ ตั นิ ต้ี อ้ งอาศยั การพดู อาศยั การทอ่ งบน่ ตา่ งๆ เปน็ ตน้ บคุ คลทไ่ี มค่ อ่ ยสงั วรไมค่ อ่ ย
สำ� รวมนน้ั กเ็ ลยทง้ิ การปฏบิ ตั มิ าทอ่ งมาบน่ จดจำ� ดว้ ยสญั ญาเสยี เปน็ อยา่ งมาก เปน็ เหตุ
ให้พวกเราทั้งหลายนั้นท้ิงบ้านเก่าเรา ท้ิงมูลเก่าเรา ท้ิงข้อปฏิบัติอันเก่าของเราไป
โดยมากมนั เปน็ เช่นน้ี
ทนี เี้ มอ่ื เรยี นจบแลว้ สอบสนามหลวงแลว้ ดกู ริ ยิ าพระเณรกต็ า่ งจากเกา่ เดนิ จงกรม
ก็ไม่ค่อยมี นั่งสมาธิก็น้อย การคลุกคลีกันก็มากขึ้น ความสงบระงับมันน้อยลง
ความเป็นจริงการปฏิบัตินะ เมื่อเดินจงกรมแล้วก็ตั้งใจเดินจงกรม เมื่อนั่งสมาธิ
ก็ต้ังอกต้ังใจท�ำ เมือ่ อยู่ในอริ ยิ าบถการเดิน การยืน การนง่ั การนอน เราก็พยายาม
สงั วรสำ� รวม
แต่เมื่อเรามาเรียนหนังสือแล้วมันเป็นสัญญาเสียโดยมาก เลยเพลินไปตาม
ปรยิ ัตอิ ันนนั้ ลมื ตัวเสีย กเ็ ล่นอารมณ์ภายนอก
อนั นม้ี นั กเ็ ปน็ แตเ่ ฉพาะคนทไี่ มม่ ปี ญั ญา บคุ คลทไี่ มส่ งั วรสำ� รวม บคุ คลทไ่ี มม่ สี ติ
ติดต่อกัน ก็เป็นเหตุให้เสียหายได้เหมือนกัน มันเป็นเพราะเหตุน้ันท่ีเมื่อนักเรียน
141
เรียนหนงั สอื ไม่ได้นง่ั สมาธิ ไม่ไดเ้ ดินจงกรม การสังวรสำ� รวมมันก็นอ้ ย เป็นเหตใุ ห้
จติ ฟ้งุ ซ่าน การพดู เรอ่ื ยเปอื่ ย ไมส่ ังวรส�ำรวม จบั กนั เป็นกลมุ่ เปน็ กอ้ นกม็ ากขึ้นมา
หลายข้นึ มา อันน้เี ป็นเหตุให้เสอ่ื ม มนั ไมใ่ ช่เปน็ เพราะปริยัติ มนั เปน็ เพราะบุคคลเรา
ไมต่ ้ังใจ ลมื เน้ือลืมตวั เสยี
ความจรงิ ปรยิ ตั นิ เี้ ปน็ ของชช้ี อ่ งทางใหพ้ วกเราประพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ งั้ นนั้ ถา้ หากเราไป
เรยี นแลว้ ลมื ตวั การพดู มนั กม็ าก การเลน่ มนั กม็ าก การเดนิ จงกรมทง้ิ ไปหมด แลว้ กม็ ี
ความกระสนั อยากจะสกึ โดยมาเรยี นไมไ่ ดก้ ส็ กึ กนั อนั นเี้ ปน็ เหตุ ไมใ่ ชว่ า่ เพราะปรยิ ตั ิ
ไมด่ ี ปฏบิ ตั ไิ มถ่ กู ไมใ่ ชอ่ ยา่ งนน้ั เปน็ เพราะพวกเราทงั้ หลายนน้ั ขาดการพนิ จิ พจิ ารณา
ความเปน็ จรงิ การปฏบิ ตั นิ น้ั จะอา่ นหนงั สอื จะทอ่ งหนงั สอื จะทำ� อะไรมนั กเ็ ปน็ กรรมฐาน
กันทั้งนัน้
ฉะนนั้ เมอ่ื เปน็ เชน่ นใี้ นพรรษาทสี่ องผมเลยเลกิ สอน เลกิ การสอนปรยิ ตั ิ อกี หลายปี
ต่อมามีกุลบุตรมากขึ้น บางคนก็ไม่รู้เร่ืองพระธรรมวินัย สมมุติบัญญัติก็ไม่รู้เรื่อง
ก็เลยปรบั ปรุงขน้ึ มาใหม่ ขอครบู าอาจารยผ์ ูท้ ี่ได้เรียนมาแล้วนัน้ สอน พยายามสอน
จนตลอดมาถึงทุกวันน้ี การเรียนปรยิ ตั จิ งึ เกดิ ขน้ึ มา
ฉะนนั้ ทกุ ปเี มอ่ื เรยี นเสรจ็ แลว้ ผมกใ็ หท้ า่ นเปลย่ี นใหม่ ตำ� รบั ตำ� ราตา่ งๆ ทมี่ นั
ไมส่ ำ� คัญ เกบ็ ใสต่ ู้ไว้เสยี อ่านเฉพาะทมี่ นั เป็นข้อปฏบิ ตั ิเทา่ นน้ั ต้งั ใหม่ เข้าหลกั เดมิ
ของเรา มายกข้อประพฤติปฏิบัติส่วนรวมข้ึนมา เช่นว่า จะต้องท�ำวัตรสวดมนต์
พรอ้ มเพรยี งกนั อนั นเ้ี ปน็ หลกั ทำ� ไปเพอื่ แกค้ วามขเ้ี กยี จ แกค้ วามรำ� คาญ เปน็ เหตใุ ห้
เราขยนั หมน่ั เพยี รขน้ึ มา ทกุ คนกท็ ำ� กนั เรอ่ื ยๆ มาตลอดทกุ วนั นี้ ปนี กี้ เ็ หมอื นกนั ฉนั นน้ั
ให้พวกเราทง้ั หลายอยา่ ท้ิงหลักการประพฤตปิ ฏิบตั ิ การพูดนอ้ ย นอนน้อย กินน้อย
การสงบระงบั ไมค่ ลกุ คลหี มคู่ ณะ การเดนิ จงกรมเปน็ ประจำ� การนง่ั สมาธเิ ปน็ ประจำ�
การประชมุ กนั เนืองนจิ ในคราวที่ควรประชุม อันนข้ี อใหเ้ อาใจใสท่ กุ ๆ ทา่ นตอ่ ไป
ฉะนั้น พวกท่านทั้งหลายอย่าเอาโอกาสดีๆ อันนี้ไปท้ิง พึงประพฤติปฏิบัติ
เรามโี อกาสอยใู่ ตก้ ารปกครองของครบู าอาจารย์ ครบู าอาจารยท์ า่ นกป็ ฏบิ ตั กิ นั ชนั้ หนงึ่
ใหพ้ วกเราทงั้ หลายตงั้ ใจประพฤตปิ ฏบิ ตั กิ นั ไป กเ็ ปน็ กนั มาอยา่ งนี้ ฉะนนั้ จงึ ใหพ้ วกทา่ น
142
ทงั้ หลายรวมกนั ทำ� สามคั คเี ขา้ หลกั เดมิ เคยเดนิ จงกรมกต็ อ้ งเดนิ เคยนงั่ สมาธกิ ต็ อ้ งนงั่
เคยมาทำ� วตั รตอนเช้าท�ำวัตรตอนเย็นน้ันกพ็ ยายาม อันนเ้ี ปน็ กิจของทา่ นโดยตรง
อนั นขี้ อใหท้ า่ นตง้ั ใจ คนอยเู่ ฉยๆ นน้ั ไมม่ กี ำ� ลงั นะ คนปว้ นเปย้ี น คนทอี่ ยากจะสกึ
วุ่นวาย ดูซิ ก็คือคนที่ไม่ตั้งใจปฏิบัติ ไม่มีงานท�ำ เราจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ กิจใน
พทุ ธศาสนาน้ี เปน็ พระเปน็ เณรเราอยดู่ กี นิ ดแี ลว้ จะอยสู่ บายไมไ่ ด้ กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยโค
นี่มันเป็นพิษอย่างมากทีเดียว ให้พวกท่านท้ังหลายกระเสือกกระสนหาข้อประพฤติ
ปฏบิ ัติของตน เพ่ิมข้อวัตรขึ้น เตือนตนเองมากขึน้
อนั ใดทม่ี นั บกพรอ่ งกพ็ ยายามทำ� ดขี น้ึ ไป อยา่ ไปอาศยั อยา่ งอน่ื เปน็ อยู่ คนทจ่ี ะมี
กำ� ลงั นี่ เดนิ จงกรมกไ็ มไ่ ดข้ าด นงั่ สมาธกิ ไ็ มไ่ ดข้ าด สงั วรสำ� รวมไมไ่ ดข้ าด เราสงั เกต
พระเณรท่ีนี้ก็ได้ องค์ใดถ้าเห็นว่าฉันเสร็จแล้วหมดธุระแล้วเข้าไปในกุฏิของท่าน
ตากจวี รไว้ เดนิ จงกรม เดนิ ไปตามกฏุ เิ ทา่ นนั้ เราจะเหน็ ทางเดนิ เปน็ แถว เราเหน็ บอ่ ยครงั้
การเดนิ จงกรม การนงั่ สมาธิ ทา่ นองคน์ ไี้ มเ่ บือ่ ไม่หนา่ ย น่ที ่านมีก�ำลัง ทา่ นเปน็ ผมู้ ี
ก�ำลงั มาก
ทกุ ๆ องคถ์ า้ เอาใจใสใ่ นการประพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ยา่ งนแี้ ลว้ ผมวา่ มนั สบายไมค่ อ่ ย
มอี ะไรมากมาย ถา้ หากวา่ ใครไมอ่ ยใู่ นการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ การเดนิ จงกรม การทำ� สมาธิ
ไมม่ อี ะไร มแี ตก่ ารเทยี่ ว มนั ไมส่ บายตรงนี้ ไปเทย่ี วตรงนน้ั มนั ไมส่ บายตรงนนั้ ไปเทยี่ ว
ตรงนี้ เทา่ นนั้ แหละ ตะลอนไปเรอื่ ย อยา่ งนน้ั มนั กไ็ มต่ ง้ั ใจกนั ไมค่ อ่ ยดี ไมต่ อ้ งอะไร
มากมายหรอก เราอย่ใู ห้รจู้ ักขอ้ วตั รปฏิบัตใิ ห้มนั สขุ มุ เสียกอ่ นเถอะ การเที่ยวไปมา
มนั เปน็ ของภายหลัง มนั ไม่ยาก ของง่ายๆ ตัง้ ใจกนั ทกุ ๆ องค์นะ
อนั นพี้ ดู ถงึ การเสอ่ื มการเจรญิ มนั กเ็ ปน็ มาอยา่ งน้ี ถา้ จะใหม้ นั ดจี รงิ ๆ แลว้ ปรยิ ตั ิ
กพ็ อสมควร ปฏบิ ตั ิก็พอสมควร เปน็ คู่เคียงกนั ไป อยา่ งกายกับจติ นีเ้ ป็นตัวอยา่ ง
จติ มกี ำ� ลงั กายกป็ ราศจากโรค กายดี จติ มนั กไ็ ดร้ บั ความสงบระงบั ถา้ หากวา่ จติ วนุ่ วาย
กายสมบรู ณอ์ ยู่ มนั กเ็ ปน็ ไปไดย้ าก ถา้ หากวา่ กายมเี วทนามาก จติ ไมม่ กี ำ� ลงั จติ นน้ั ก็
มายดึ กาย เปน็ ตน้ กไ็ มส่ บายกนั ไปอกี นพี่ ดู ถงึ ผทู้ ย่ี งั ศกึ ษาอยู่ เรากต็ อ้ งศกึ ษาอยา่ งนี้
143