The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษ ม.2
หนังสือ Spark

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by DanAngelo Q Bunlong, 2022-08-16 00:07:27

แผนการจัดการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษ ม.2

แผนการจัดการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษ ม.2
หนังสือ Spark

Keywords: แผนการจัดการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษ ม.2

6. ครูใหน้ กั เรียนแต่ละกล่มุ ส่งตวั แทนมาสรุปการใช้ must, mustn’t, have to, don’t have to พร้อมท้งั
ยกตวั อยา่ งประกอบ จากน้นั ครูสรุปใหน้ กั เรียนฟังอีกคร้ัง
• must/have to แปลวา่ ‘ตอ้ ง’ ใชใ้ นการบอกเล่าส่ิงท่ตี อ้ งทา (obligation) แต่ must ใช้เม่ือ
สิ่งทต่ี อ้ งทาน้นั มาจากตวั ผพู้ ูดเอง เช่น I must help with chores. (It’s my duty. – I’m
saying so.) ในขณะท่ี have to ใชเ้ มื่อสิ่งทต่ี อ้ งทาเกิดจากการทผี่ ูอ้ น่ื กาหนดให้ทา เช่น
I have to tidy my room. (It’s my duty. – My parents told me.)
• mustn’t แปลวา่ ‘ตอ้ งไม่’ ใชใ้ นการบอกเลา่ ขอ้ ห้าม (prohibition) เช่น We mustn’t talk
in class. (It’s against the rules.)
• don’t have to แปลวา่ ‘ไมต่ อ้ ง’ ใชใ้ นการบอกเลา่ ส่ิงทไี่ ม่จาเป็นตอ้ งทา (lack of
obligation) เช่น We don’t have to wear a uniform at school. (It’s isn’t necessary.)

7. หนงั สือเรยี น หน้า 48 Ex. 1 ให้นกั เรียนอ่านการใช้ must, mustn’t, have to, don’t have to เพ่อื
ทบทวนความเขา้ ใจ จากน้นั ช่วยกนั อธิบายประโยคตวั อยา่ งเป็นภาษาไทย แลว้ หาตวั อยา่ งการใช้
must, mustn’t, have to, don’t have to ในบทอา่ น หนา้ 46

you also have to iron with grace
you mustn’t use a toy iron
you don’t have to film yourself

ข้นั Practice
1. หนังสือเรียน หน้า 48 Ex. 2 ครูให้นกั เรียนฝึกการใช้ must/mustn’t, have to/don’t have to โดยเลือก

คาตอบท่ีถกู ตอ้ ง จากน้นั ให้นกั เรียนช่วยกนั เฉลยคาตอบ

1 have to 2 must 3 have to 4 don’t have to
5 has to 6 mustn’t 7 doesn’t have to 8 have to

2. หนังสือเรียน หน้า 48 Ex. 3 ครูให้นกั เรียนดขู อ้ มูลในตารางทก่ี าหนดให้ และเติมคาลงในประโยคให้
ถูกตอ้ ง เสร็จแลว้ ครูสุ่มเรียกนกั เรียนอ่านประโยค และครูเฉลยคาตอบที่ถกู ตอ้ ง จากน้นั ครูสุ่มถาม
นกั เรียนหลาย ๆ คนว่า What about you? เพ่ือให้นกั เรียนบอกขอ้ มลู ของตนเอง

244

2 has to 3 have to 4 don’t have to
5 doesn’t have to 6 has to 7 have to

3. หนงั สือเรยี น หน้า 48 Ex.4 นกั เรียนฝึกการใช้ must และ mustn’t โดยเตมิ กฎของหอ้ งเรียนท่ี
กาหนดให้ถกู ตอ้ ง เสร็จแลว้ ครูใหน้ กั เรียนอา่ นประโยค และครูเฉลยคาตอบท่ถี กู ตอ้ ง

1 must 2 must 3 mustn’t
4 mustn’t 5 must

4. หนังสือเรยี น หน้า 48 Ex. 5 ครูให้นกั เรียนจบั คู่กนั พดู ถาม-ตอบเกี่ยวกบั ความหมายของป้ายต่าง ๆ
ในภาพ โดยครูให้นกั เรียนอา่ นตวั อยา่ งการถาม-ตอบกอ่ นเพ่ือเป็นตน้ แบบ แลว้ ครูสุ่มเรียกนกั เรียน
5 คู่ พูดถาม-ตอบป้ายละ 1 คู่

A: What does this sign mean?
B: You mustn’t park here.
A: What does this sign mean?
B: You must stop here.
A: What does this sign mean?
B: You mustn’t enter here.
A: What does this sign mean?
B: You mustn’t drive fast here.
A: What does this sign mean?
B: You must turn left here.

245

ข้นั Production
1. ครูให้นกั เรียนจบั คู่กบั เพื่อนผลดั กนั พูดเกี่ยวกบั งานบา้ นที่ตนเองตอ้ งทาหรือไมต่ อ้ งทา โดยครูเดิน

สังเกตขณะนกั เรียนทากิจกรรม
2. แบบฝึกหดั (Workbook) หนา้ 30 Exs. 1-3 ให้นกั เรียนทาเป็นการบา้ น

ช่ัวโมงที่ 2

ข้นั Warm up
1. ครูให้นกั เรียนดตู วั อกั ษรปริศนาตอ่ ไปน้ี

ANC OULCD YAM IMTGH HOSLUD OTHTOUG
ใหน้ กั เรียนช่วยกนั เรียงตวั อกั ษรเป็นคา โดยครูใหค้ าใบว้ า่ คาเหล่าน้ีคอื modal verbs ซ่ึงเป็นกริยาช่วย
ชนิดหน่ึง จากน้นั ครูเฉลยวา่ คาเหล่าน้ีไดแ้ ก่ can, could, may, might, should, ought to
2. เพือ่ เป็นการตรวจสอบความรู้เดิมของนกั เรียน ครูใหน้ กั เรียนอธิบายว่าแต่ละคามีความหมายว่าอะไร
และมกี ฎการใชอ้ ยา่ งไร แต่ยงั ไมเ่ ฉลยคาตอบ

ข้นั Presentation
1. ครูเขียนประโยคต่อไปน้ีบนกระดาน แลว้ ให้นกั เรียนอ่านพร้อมกนั และอธิบายความหมายของ

ประโยคเป็ นภาษาไทย
• You can go now.
• You can’t leave the room.
• Can/May I use your computer?
• Could I have some milk?
• He may/might come.
• You should/ought to be careful with electricity.

2. ครูแบ่งนกั เรียนออกเป็นกลุม่ ยอ่ ย และใหน้ กั เรียนศกึ ษาและสรุปการใช้ modal verbs บนกระดานจาก
ใบงานท่คี รูพมิ พจ์ ากเวบ็ ไซต์ http://www.grammar.cl/Notes.htm พร้อมท้งั ยกตวั อยา่ งการใช้ คาละ
1 ประโยค

246

247

3. ครูใหแ้ ต่ละกลุ่มพูดสรุปการใช้ can, could, may, might, should, ought to ให้เพอ่ื นร่วมช้นั ฟัง จากน้นั
ครูจึงสรุปใหฟ้ ังอีกคร้งั
• can ใชใ้ นการอนุญาต (permission) เช่น You can go now. (you are allowed to) รูป
ปฏเิ สธของ can คือ can’t เช่น You can’t leave the room now. (you aren’t allowed to)
• can/could/may ใชใ้ นประโยคคาถามเพอ่ื เป็นการขออนญุ าต (asking for permission)
เช่น Can/May I use your computer? (Is it OK for me to …?) หรือ Could I have some
milk? (Is it possible to…?) ซ่ึงคาว่า could และ may มคี วามสุภาพมากกว่า can จึงเหมาะ
สาหรบั การใช้ในกรณีทพี่ ดู กบั ผทู้ ีม่ อี ายมุ ากกว่า
• can ยงั ใชเ้ พอ่ื เสนอความช่วยเหลอื (offer) เช่น Can I help you with the dishes? (Would
you like me to …?)
• may/might ใชใ้ นการพดู ถึงความเป็นไปได้ (possibility) เช่น He may/might come. (it’s
possible …)
• should/ought to มคี วามหมายเหมอื นกนั และใชแ้ ทนกนั ได้ โดยใชใ้ นการให้คาแนะนา
(advice) เช่น You should/ought to be careful with electricity. (It’s my advice.)

4. ครูให้นกั เรียนอา่ นตวั อยา่ งประโยคในกรอบสีฟ้า หนงั สือเรียน หนา้ 49 Ex. 6 เพอ่ื ทบทวนความ
เขา้ ใจการใช้ can, could, may, might, should, ought to และอธิบายความหมายของประโยคเป็น
ภาษาไทย

248

5. ครูสอนการใช้ relative pronouns ซ่ึงประกอบไปดว้ ย who, whose, which, that โดยยกตวั อยา่ งบน
กระดาน
Anna is the girl who/that lives next door.
Animals which/that I hate are snakes.
This is a present which/that we bought for you.
Ben is the boy whose father is a policeman.
ครูอธิบายว่า relative pronouns คอื คาสรรพนามท่ีใชแ้ ทนคานามที่อยขู่ า้ งหนา้ และในขณะเดียวกนั
ก็ทาหนา้ ที่เช่ือมประโยคขา้ งหนา้ กบั ขา้ งหลงั ให้เป็นประโยคเดียวกนั
ครูถามนกั เรียนว่า who, that ใชแ้ ทนคานามคาใด (the girl) which, that ใชแ้ ทนคานามคาใด
(animals, a present) และ whose ใชแ้ สดงถงึ อะไร (แสดงความเป็นเจา้ ของ) จากน้นั ครูสรุปให้ฟังว่า
• who, that ใชแ้ ทนคานามทีเ่ ป็นคน
• which, that ใชแ้ ทนคานามที่เป็นสตั ว์ สิ่งของ
• whose ใชแ้ สดงความเป็นเจา้ ของ

6. ครูให้นกั เรียนอ่านตวั อยา่ งประโยคในกรอบสีฟ้า หนงั สือเรียน หนา้ 49 Ex. 9 เพ่ือทบทวนความ
เขา้ ใจการใช้ relative pronouns

7. ครูใหน้ กั เรียนเปรียบเทียบว่า ในภาษาไทยมกี ารใชค้ าสรรพนามในลกั ษณะเช่นเดียวกนั relative
pronouns หรือไม่ (ประพนั ธสรรพนาม เป็นสรรพนามท่ีใชแ้ ทนคานามทอ่ี ยขู่ า้ งหนา้ และทาหนา้ ที่
เป็นบทเช่ือม ไดแ้ ก่คาวา่ ผู้ ท่ี ซ่ึง อนั )

ข้นั Practice
1. หนังสือเรียน หน้า 49 Ex. 6 นกั เรียนฝึกการใช้ can, could, may, might, should, ought to โดยเติมคา

ลงในประโยคใหถ้ ูกตอ้ ง เสร็จแลว้ ครูเฉลยคาตอบ

1 can 2 Could/Can 3 might 4 Can
5 can’t 6 Can/May 7 should/ought to 8 shouldn’t

2. หนงั สือเรียน หน้า 49 Ex. 7 นกั เรียนอ่านประโยคทีก่ าหนด ครูใหส้ ังเกตส่วนทีข่ ีดเส้นใต้ จากน้นั ให้
นกั เรียนเขยี นประโยคใหม่ให้ไดใ้ จความตรงกบั ส่วนทขี่ ดี เส้นใตโ้ ดยใช้ modal verbs ครูทาขอ้ 1
ร่วมกบั นกั เรียนเพื่อเป็นตวั อยา่ ง เสร็จแลว้ ครูสุ่มเรียกนกั เรียนอา่ นประโยคของตนเอง และครูตรวจ
คาตอบ

249

1 You can’t use this office.
2 You shouldn’t eat too much junk food.
3 Can I carry your suitcase?
4 Can/May I go out now?
5 It might snow later.
6 You can take Dad’s car for tonight.

3. หนงั สือเรยี น หน้า 49 Ex. 9 นกั เรียนฝึกการใช้ relative pronouns โดยเลอื กคาใหถ้ ูกตอ้ ง เสร็จแลว้ ครู
เฉลยคาตอบ

1 which 2 who 3 whose 4 who 5 who

4. หนงั สือเรยี น หน้า 49 Ex. 10 นกั เรียนฝึกใช้ who, which, whose เช่ือมประโยค เสร็จแลว้ ครูสุ่มเรียก
นกั เรียนอา่ นประโยค และครูตรวจคาตอบ

1 Ann is the girl who speaks six languages.
2 Giant pandas are animals which live in China.
3 This is the boy whose father is our doctor.
4 That’s the helmet which strap is broken.

ข้นั Presentation
1. หนังสือเรยี น หน้า 49 Ex. 8 ครูใหน้ กั เรียนเขยี นประโยคเก่ียวกบั 2 สิ่งทตี่ อ้ งทาและไมต่ อ้ งทาท่ี

โรงเรียน, 2 ส่ิงทต่ี อ้ งทาและไม่ตอ้ งทาทีบ่ า้ น, 2 สิ่งทคี่ วรทาและไมค่ วรทา และ 2 ส่ิงทเี่ ป็นไปไดท้ ่จี ะ
ทาสุดสัปดาหน์ ้ี

250

I must respect my teacher. I must be quiet in class.
I mustn’t throw rubbish on the floor. I mustn’t be late for lessons.

I have to do my chores. I have to do my homework.
I don’t have to wash the car. I don’t have to cook the dinner.

I should brush my teeth twice a day. I should help to protect the environment.
I shouldn’t go to bed late. I shouldn’t rush my homework.

I may go to the beach this weekend.
I may help my mum in the garden this weekend.

2. หนังสือเรยี น หน้า 49 Ex. 11 นกั เรียนแตง่ ประโยคโดยใชค้ าศพั ทท์ ก่ี าหนดใหร้ ่วมกบั relative
pronouns

These are the goggles which I bought last week.
This is Mr Brown who is my Maths teacher.
This is the actor who I like best.
A lion is an animal which lives in Africa.
That’s the tennis ball that broke the window.
This is the school bus which takes my brother to school.
This is the mobile phone which my dad bought me.

3. นกั เรียนทา Grammar Bank 4 ในแบบฝึกหัด (Workbook) หนา้ 78-79 Exs. 1-6 ร่วมกนั ในช้นั
4. แบบฝึกหัด (Workbook) หนา้ 31 Exs. 4-8 ให้นกั เรียนทาเป็นการบา้ น

251

7. การวัดและการประเมนิ ผล

วธิ ีการวดั เครื่องมือ เกณฑ์การผ่าน

สงั เกตการพูดเกี่ยวกบั งานบา้ นท่ี แบบสงั เกตพฤติกรรมการเรียนรู้ ระดบั คณุ ภาพ พอใช้

ตนเองตอ้ งทาหรือไมต่ อ้ งทา

ตรวจการเขียนประโยคตามโครงสร้าง สมดุ นกั เรียน -

ที่เรียน

สังเกตความใฝ่ เรียนรู้ แบบประเมนิ คณุ ลกั ษณะ ระดบั คณุ ภาพ ผ่าน

อนั พงึ ประสงค์

8. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้
1) หนงั สือเรียน SPARK 2 ม. 2
2) แบบฝึกหดั SPARK 2 ม. 2
3) ใบงานจากอินเทอร์เน็ต

252

3 Skills 4c

2 ชั่วโมง

จุดประสงค์การเรยี นรู้
- จบั ใจความสาคญั บอกรายละเอยี ด และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั เรื่องท่อี า่ นได้
- พดู และเขยี นเกี่ยวกบั กฎการขี่จกั รยานอยา่ งปลอดภยั ได้
- คน้ ควา้ เกี่ยวกบั การขา้ มถนนอยา่ งปลอดภยั และนาเสนอได้

1. สาระ มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชี้วดั
สาระท่ี 1 ภาษาเพอ่ื การส่ือสาร
มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเร่ืองทีฟ่ ังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความคิดเห็น
อย่างมีเหตผุ ล
ตวั ช้ีวดั
ต 1.1 ม. 2/3 ระบุ/เขียนประโยคและขอ้ ความให้สัมพนั ธ์กบั ส่ือที่ไม่ใช่ความเรียงรูปแบบตา่ ง ๆ ที่
อ่าน
ต 1.1 ม. 2/4 เลอื กหวั ขอ้ เร่ือง ใจความสาคญั บอกรายละเอียดสนบั สนุน (supporting detail) และ
แสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั เร่ืองที่ฟังและอ่านพร้อมท้งั ให้เหตุผลและยกตวั อยา่ ง
งา่ ย ๆ ประกอบ
มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการส่ือสารทางภาษาในการแลกเปลย่ี นข้อมลู ข่าวสาร แสดงความรู้สึกและ
ความคดิ เห็นอย่างมีประสิทธภิ าพ
ตวั ช้ีวดั
ต 1.2 ม. 2/4 พูดและเขยี นเพอ่ื ขอและใหข้ อ้ มลู บรรยาย และแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั เร่ืองท่ฟี ัง
หรืออ่านอยา่ งเหมาะสม
มาตรฐาน ต 1.3 นาเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคดิ รวบยอด และความคดิ เหน็ ในเร่ืองต่าง ๆ โดยการพดู
และการเขยี น
ตวั ช้ีวดั
ต 1.3 ม. 2/1 พูดและเขียนบรรยายเก่ียวกบั ตนเอง กิจวตั รประจาวนั ประสบการณ์ และข่าว/
เหตุการณท์ อ่ี ยใู่ นความสนใจของสังคม

253

สาระที่ 2 ภาษาและวฒั นธรรม
มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวฒั นธรรมของเจ้าของภาษา

กับภาษาและวฒั นธรรมไทย และนามาใช้อย่างถกู ต้องและเหมาะสม
ตวั ช้ีวดั
ต 2.2 ม. 2/2 เปรียบเทยี บและอธิบายความเหมอื นและความแตกต่างระหว่างชีวติ ความเป็นอยแู่ ละ

วฒั นธรรมของเจา้ ของภาษากบั ของไทย
สาระท่ี 3 ภาษากับความสัมพันธ์กับกล่มุ สาระการเรียนรู้อื่น
มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กบั กล่มุ สาระการเรียนรู้อน่ื และเป็ น

พื้นฐานในการพัฒนา แสวงหาความรู้ และเปิ ดโลกทัศน์ของตน
ตวั ช้ีวดั
ต 3.1 ม. 2/1 คน้ ควา้ รวบรวม และสรุปขอ้ มลู /ขอ้ เทจ็ จริงท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั กลมุ่ สาระการเรียนรู้อนื่

จากแหลง่ การเรียนรู้ และนาเสนอดว้ ยการพดู /การเขยี น

2. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด
การเรียนรู้คาศพั ท์เก่ียวกบั กีฬาและกิจกรรม การอา่ นเกี่ยวกบั กฎการข่ีจกั รยานอยา่ งปลอดภยั ซ่ึง

เป็นเรื่องใกลต้ วั ช่วยใหส้ ามารถนาความรู้ไปใชใ้ นการดาเนินชีวิตไดอ้ ยา่ งปลอดภยั

3. สาระการเรียนรู้
3.1 ทักษะเฉพาะวิชา
1) Language Features and Functions
Vocabulary: Sports and activities (rollerblading, kickboxing, darts, ice-skating,
skateboarding, ice hockey, football, baseball, martial arts, biking, golf,
athletics, horse riding, aerobics, tennis, sailing, badminton, chess)
Verbs (protect, respect)
Nouns (accident, helmet, reflector, reflective belt, loose clothes,
headphones, knee pad, hand signal, brakes, tyre, chain)
Adverb (regularly)
Functions: Talking about safe cycling
You must wear a helmet. You must also put reflectors on your bike and
wear something bright.

254

2) Language Skills

Speaking: พดู แสดงความคดิ เห็นเกี่ยวกบั การปั่นจกั รยานอยา่ งปลอดภยั

Reading: อ่านเพื่อจบั ใจความสาคญั และหาขอ้ มลู เฉพาะ

Writing: เขยี นเก่ียวกบั การป่ันจกั รยานและการขา้ มถนนอยา่ งปลอดภยั

4. สมรรถนะสาคัญของผ้เู รยี น
1) ความสามารถในการสื่อสาร
2) ความสามารถในการคดิ
3) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

5. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
1) ใฝ่เรียนรู้
2) มงุ่ มนั่ ในการทางาน

6. กิจกรรมการเรียนรู้

ชั่วโมงที่ 1

ข้นั Warm up
ครูถามนกั เรียนว่าชอบเล่นกีฬาชนิดใดบา้ ง กีฬาท่นี กั เรียนเลน่ มีความปลอดภยั มากน้อยเพยี งใด และ
นกั เรียนมวี ิธีระวงั อนั ตรายท่ีจะเกิดข้ึนขณะเล่นอยา่ งไรบา้ ง

ข้นั Pre-reading
1. ครูใหน้ กั เรียนดภู าพคนปั่นจกั รยาน และถามนกั เรียนวา่ คอื กีฬาชนิดใด (cycling/biking)

255

2. หนังสือเรียน หน้า 50 Ex. 1 ครูถามคาถามนกั เรียนหลาย ๆ คน โดยใชค้ าถามที่กาหนดให้ เพื่อ
กระตุน้ ความสนใจเก่ียวกบั การปั่นจกั รยาน

Yes, I have got a bike. I like cycling because it’s good exercise./
No, I don’t have a bike. My parents say it’s dangerous to ride a bike on busy
streets.

3. ครูอาจให้นกั เรียนท่ีชอบการป่ันจกั รยานเล่าประสบการณใ์ นการปั่นจกั รยาน และแบง่ ปันวิธีการป่ัน
จกั รยานอยา่ งปลอดภยั ให้เพือ่ นฟัง

4. ครูใหน้ กั เรียนดภู าพในหนงั สือเรียน หนา้ 50 แลว้ ครูถามว่ากิจกรรมในภาพใดที่อาจก่อให้เกิด
อนั ตรายในการปั่นจกั รยาน (C - wearing headphones)

5. ครูแบ่งนกั เรียนออกเป็นกลุ่มยอ่ ย แลว้ แจกภาพและบตั รคาเกี่ยวกบั การปั่นจกั รยานใหก้ ลุ่มละ 1 ชุด
ให้แต่ละกลมุ่ จบั คู่ภาพและบตั รคาให้ถกู ตอ้ ง โดยนกั เรียนสามารถคน้ หาความหมายของคาศพั ท์ได้
จากพจนานุกรมหรือพจนานุกรมออนไลน์

ภาพจาก: http://www.picquery.com/clear-bicycle-reflectors_ reflector
ytMZ%7CdjzGBa98JOD8UlCtV95dwgaDDU5MMFsJPD*i8E/ (แผ่นสะทอ้ นแสง)

ภาพจาก: https://www.athleteshop.nl/wowow-reflective-wear- reflective belt
cross-belt (เขม็ ขดั สะทอ้ นแสง)

256

ภาพจาก: http://kneesafe.com/knee-pad-types/ knee pads
(สนบั เข่า)
ภาพจาก: https://www.officeworks.com.au/shop/officeworks/p/
skullcandy-hesh-2-bluetooth-over-ear-headphones-black- headphones
sk6hbgy374 (หูฟัง)

ภาพจาก: https://www1.toronto.ca/wps/portal/contentonly? hand signal
vgnextoid=af6e0995bbbc1410VgnVCM10000071d60f89RCRD (สญั ญาณมือ)

ภาพจาก: http://www.active.com/cycling/articles/8-tips-for- brakes
better-braking?page=1 (เบรก, ทห่ี ้ามลอ้ )

ภาพจาก: https://www.ebay.com.au/b/Bicycle-Tyres/177828/ tyre
bn_1656665 (ยางรถ)

257

chain
(โซ่)

ภาพจาก: http://www.wilko.com/all-bike-parts+accessories/
wilko-cycle-chain-1-3-speed/invt/0343822

6. ครูเฉลยคาตอบและใหน้ กั เรียนอา่ นออกเสียงคาศพั ท์ จากน้นั ช่วยกนั อธิบายความหมายของคาศพั ท์
แลว้ ครูอธิบายว่า คาว่า tyre เป็นการสะกดแบบ British ส่วนการสะกดแบบ American จะสะกดวา่
tire แตอ่ อกเสียงเหมอื นกนั

การสะกดแบบ British และ American ทแ่ี ตกต่างกนั ยงั มีอีกหลายคา เช่น

British American

favourite favorite

colour color

theatre theater

pyjamas pajamas

aeroplane airplane

programme program

jewellery jewelry

mum mom

ข้นั Reading
1. ครูให้นกั เรียนอา่ นบทอา่ นในหนงั สือเรียน หนา้ 50 เพอ่ื จบั ใจความสาคญั เมอ่ื นกั เรียนอา่ นจบให้

ช่วยกนั บอกใจความสาคญั ของเรื่อง โดยครูถามวา่ What is it about? (How to cycle safely, what you
should and should not do when cycling)
2. หนังสือเรยี น หน้า 50 Ex. 2 ครูใหน้ กั เรียนอ่านประโยคที่กาหนดให้ และขีดเสน้ ใตค้ าสาคญั แลว้
อา่ นบทอา่ นเพ่อื มองหาคาพอ้ งความหมาย (synonym) คาท่ีมีความหมายตรงกนั ขา้ ม (opposite) หรือ
กลุม่ คา/วลที ่มี ีความหมายเหมือนกนั หรือตา่ งกนั กบั คาสาคญั ทข่ี ดี เสน้ ใตไ้ ว้ เพือ่ หาคาตอบ จากน้นั ครู
และนกั เรียนร่วมกนั เฉลยคาตอบ

258

1 F 2 F 3 T 4 F 5 DS
ข้นั Post-reading
1. ครูถามความคดิ เห็นของนกั เรียนเกี่ยวกบั เรื่องทไี่ ดอ้ า่ นวา่ น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อตวั เอง

หรือไม่ อยา่ งไร
2. ครูให้นกั เรียนร่วมกนั อภิปรายเพอ่ื เสนอคาแนะนาเพิม่ เตมิ สาหรบั การป่ันจกั รยานให้ปลอดภยั
3. นกั เรียนทา Language Review 4c Exs. 3-4 ในหนงั สือเรียน หนา้ 108 ร่วมกนั ในช้นั
4. แบบฝึกหดั (Workbook) หนา้ 32-33 Exs. 1-2, 4-5 ให้นกั เรียนทาเป็นการบา้ น

ช่ัวโมงที่ 2
ข้นั Warm up

ครูทบทวนคาศพั ทเ์ ก่ียวกบั กีฬา โดยนาภาพมาให้นกั เรียนดแู ละบอกว่าคอื กีฬาชนิดใด

259

ภาพจาก: https://pixabay.com/

ข้นั Presentation
1. ครูนาเสนอคาศพั ทเ์ ก่ียวกบั กีฬา ไดแ้ ก่ rollerblading (โรลเลอร์เบลด หรืออนิ ไลนส์ เกต), kickboxing

(คกิ บอ็ กซิ่ง), darts (ปาลูกดอก), chess (หมากรุก) โดยแสดงภาพใหด้ แู ละบอกคาศพั ท์ ให้นกั เรียน
พูดคาศพั ทต์ ามครู 2 คร้ัง จากน้นั ให้นกั เรียนช่วยกนั บอกชื่อกีฬาเป็นภาษาไทย

260

อินไลน์สเกต (in-line skating) มกั เรียกติดปากตามช่ือแบรนด์ โรลเลอร์เบลด
(Rollerblade) สนั นิษฐานวา่ เกิดข้นึ มาราว 300 ปี โดยชาวดตั ซ์ที่พยายามประดิษฐ์สเกต
น้าแขง็ ในช่วงฤดรู ้อน โดยเขาไดห้ ลอ่ ยดึ ท่อนไมก้ บั แผน่ ไมแ้ ละติดเขา้ กบั รองเทา้ สเกต
และในปี 1819 ไดร้ ับการจดสิทธิบตั รโดย M. Petibled ในกรุงปารีส
ต่อมาในปี 1979 Scott Olsen นกั ฮ็อกก้ีน้าแขง็ ไดเ้ ห็นอนิ ไลน์สเกตในร้านขายเครื่อง
กีฬา และเห็นศกั ยภาพในดา้ นการออกแบบ จึงเดินทางไปชิคาโกเพอื่ ซ้ือบริษทั
Chicago Roller Skate ทยี่ งั ไมม่ ชี ่ือเสียง และต้งั ช่ือใหมว่ า่ Rollerblade
ทม่ี า: https://th.wikipedia.org/wiki/อินไลน์สเกต

คิกบอ็ กซ่ิง (kickboxing) ริเร่ิมในประเทศญี่ป่ นุ โดย โอะซะมุ โนะงชุ ิ (Osamu
Noguchi) หรือทช่ี าวไทยรู้จกั กนั ในช่ือ โอซามู โนกูจิ ซ่ึงดดั แปลงมวยไทยผสมกบั
คาราเตใ้ นยคุ 1950
ท่ีมา: https://th.wikipedia.org/wiki/โอะซะมุ_โนะงชุ ิ

2. ครูอธิบายการใชค้ ากริยา do play และ go ร่วมกบั คาศพั ทเ์ กี่ยวกบั กีฬา พร้อมท้งั ยกตวั อยา่ งบน
กระดาน จากน้นั ครูแสดงภาพกีฬา 4-5 ภาพ ให้นักเรียนใชร้ ่วมกบั คากริยาให้ถูกตอ้ ง

play ใชก้ บั กีฬาทีเ่ ล่นเป็นทีม มีกฎกตกิ า เกมและกีฬาท่ใี ชล้ กู บอล เช่น
He plays tennis on Saturdays.
I play football with my friends.

261

go ใชก้ บั กีฬาหรือกิจกรรมที่ลงทา้ ยดว้ ย -ing เช่น
He likes to go skiing.
I go swimming every Friday.

do ใชก้ บั กีฬาหรือกิจกรรมสันทนาการที่เล่นเพอื่ พกั ผอ่ น กีฬาท่เี ลน่ ไดเ้ พยี งลาพงั
กีฬาท่ไี มใ่ ชล้ ูกบอล กิจกรรมหรือกีฬาท่ีเป็นศลิ ปะการต่อสู้ เช่น

I do yoga.
We do karate.
ข้อยกเว้น เราใช้ do กบั 3 กิจกรรมทีล่ งทา้ ยดว้ ย -ing คือ do boxing (ชกมวย), do
bodybuilding (เพาะกาย) และ do weightlifting (ยกน้าหนกั ) เพราะคาเหล่าน้ีไม่ไดส้ ่ือ
ว่าไปทีไ่ หนสักแห่งเพื่อเลน่ กีฬาหรือทากิจกรรมเหมอื นกบั กีฬาหรือกิจกรรมอน่ื ๆ ท่ี
ลงทา้ ยดว้ ย -ing
อ้างอิงจาก: http://www.ubonac.com/2014/07/go-do-or-play-sports/

3. ครูใหน้ กั เรียนอ่านออกเสียงคาศพั ทเ์ กี่ยวกบั กีฬาในหนงั สือเรียน หนา้ 50 Ex. 3 แลว้ บอกช่ือกีฬาเป็น
ภาษาไทย

• football ในภาษาองั กฤษแบบ British หมายถงึ a game played between two teams of
eleven people, where each team tries to win by kicking a ball into the other team's
goal ซ่ึงในภาษาองั กฤษแบบ American เรียกว่า soccer

• ส่วน football ในภาษาองั กฤษแบบ American หมายถึง a game for two teams of
eleven players in which an oval ball is moved along the field by running with it or
throwing it ซ่ึงในภาษาองั กฤษแบบ British เรียกว่า American football ซ่ึงเป็นกีฬาที่
พฒั นามาจากรักบ้แี ละเป็นทีน่ ิยมอยา่ งมากในอเมริกา

ข้นั Practice
1. หนงั สือเรียน หน้า 50 Ex. 3 นกั เรียนฝึกใช้ do, play และ go ร่วมกบั คาศพั ทเ์ ก่ียวกบั กีฬา เสร็จแลว้ ครู

เปิ ด CD ใหน้ กั เรียนฟังเพอื่ ตรวจคาตอบ จากน้นั ครูสุ่มถามนกั เรียนหลาย ๆ คนว่า Which of these do
you enjoy the most?

262

1 go rollerblading 2 do kickboxing
3 play darts 4 go ice skating
5 go skateboarding 6 play ice hockey
7 play football 8 play baseball
9 do martial arts 10 go biking
11 play golf 12 do athletics
13 go horse riding 14 do aerobics
15 play tennis 16 go sailing
17 play badminton 18 play chess

2. ครูถามนกั เรียนว่า กีฬาชนิดใดบา้ งท่ีเป็นทีน่ ิยมในไทย (football, martial arts, golf, athletics,
aerobics, badminton) จากน้นั ครูใหน้ กั เรียนแสดงความคิดเห็นวา่ ทาไม ice skating, ice hockey จึง
เป็นกีฬาท่ีคนไทยส่วนนอ้ ยเลน่ หรือให้ความสนใจ (เช่น สภาพอากาศของไทยกบั ประเทศตะวนั ตก
แตกตา่ งกนั )

3. หนังสือเรยี น หน้า 50 Ex. 4 ครูใหน้ กั เรียนแบ่งกลุม่ กลมุ่ ละ 3-4 คน แลว้ ครูแจกกระดาษซ่ึงมี
ประโยคดา้ นลา่ งน้ีใหก้ ลมุ่ ละ 1 แผ่น เพ่ือจบั ค่ปู ระโยคกบั ภาพ A-F เสร็จแลว้ ครูเฉลยคาตอบ

1) You must wear a helmet. (A)
2) You must put reflectors on your bike and wear something bright. (B)
3) You mustn’t wear loose clothes or headphones. (C)
4) It’s a good idea to wear gloves and knee pads. (D)
5) You must check the brakes, tyres and chain regularly. (E)
6) You must respect road signs and use hand signals to tell drivers that you want to

change direction. (F)

จากน้นั ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ เขียนเก่ียวกบั how to cycle safely โดยใชป้ ระโยคท่ีจบั คู่ จากน้นั ครูสุ่มเรียก 2-3
กลมุ่ พูดเกี่ยวกบั how to cycle safely ให้เพือ่ นฟัง

263

You must wear a helmet. You must also put reflectors on your bike and wear
something bright. You mustn’t wear loose clothes or headphones. It’s a good idea
to wear gloves and knee pads. You must check the brakes, tyres and chain
regularly. You must respect road signs and use hand signals to tell drivers that
you want to change direction.

ข้นั Presentation
1. ครูให้นกั เรียนแบง่ กลุ่ม กลุม่ ละ 3-4 คน ใหแ้ ตล่ ะกลุม่ คน้ ควา้ ขอ้ มูลเกี่ยวกบั how to cross a road

safely จากอนิ เทอร์เนต็ แลว้ นาขอ้ มลู ทไ่ี ดม้ าทาโปสเตอร์ พร้อมตกแต่งดว้ ยภาพประกอบให้
น่าสนใจ
2. แบบฝึกหัด (Workbook) หนา้ 32 Ex. 3 ให้นกั เรียนฟัง CD แลว้ เลือกคาตอบที่ถกู ตอ้ ง
3. แบบฝึกหัด (Workbook) หนา้ 33 Ex. 7 ให้นกั เรียนฟัง CD แลว้ เติมคาลงในช่องว่าง
4. แบบฝึกหัด (Workbook) หนา้ 33 Ex. 6 ใหน้ กั เรียนทาเป็นการบา้ น

7. การวดั และการประเมนิ ผล เคร่ืองมือ เกณฑ์การผ่าน
แบบฝึกหัด (Workbook) ร้อยละ 60
วิธกี ารวดั แบบสงั เกตพฤติกรรมการเรียนรู้ ระดบั คุณภาพ พอใช้
ตรวจการตอบคาถามจากการอ่าน
สังเกตการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั แบบประเมินชิ้นงาน ระดบั คุณภาพ พอใช้
เร่ืองท่ีอ่าน
ประเมินการทาโปสเตอร์ how to แบบประเมนิ คุณลกั ษณะ ระดบั คณุ ภาพ ผา่ น
cross a road safely อนั พึงประสงค์
สงั เกตความใฝ่เรียนรู้และความมงุ่ มนั่
ในการทางาน

264

8. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้
1) หนงั สือเรียน SPARK 2 ม. 2
2) Class Audio CDs ประกอบส่ือฯ ชุด SPARK 2 ม. 2
3) แบบฝึกหดั SPARK 2 ม. 2
4) พจนานุกรมองั กฤษ-องั กฤษ
5) พจนานุกรมออนไลน์
6) ภาพและบตั รคาเก่ียวกบั การปั่นจกั รยาน
7) ภาพกีฬาชนิดตา่ ง ๆ

265

4 Everyday English 4d

2 ชั่วโมง

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
- บอกใจความสาคญั และรายละเอยี ดของเร่ืองทอ่ี า่ นและฟังได้
- แตง่ บทสนทนาตามสถานการณท์ ี่กาหนดได้
- พดู ขอและให้คาแนะนาได้

1. สาระ มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชีว้ ดั
สาระที่ 1 ภาษาเพอื่ การส่ือสาร
มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความคดิ เหน็
อย่างมีเหตผุ ล
ตวั ช้ีวดั
ต 1.1 ม. 2/2 อ่านออกเสียงขอ้ ความ ขา่ ว ประกาศ และบทรอ้ ยกรองส้ัน ๆ ถูกตอ้ งตามหลกั การอา่ น
ต 1.1 ม. 2/4 เลือกหวั ขอ้ เร่ือง ใจความสาคญั บอกรายละเอียดสนบั สนุน (supporting detail) และ
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั เร่ืองที่ฟังและอ่าน พร้อมท้งั ให้เหตผุ ลและยกตวั อยา่ ง
งา่ ย ๆ ประกอบ
มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลยี่ นข้อมลู ข่าวสาร แสดงความรู้สึกและ
ความคดิ เห็นอย่างมปี ระสิทธภิ าพ
ตวั ช้ีวดั
ต 1.2 ม. 2/2 ใชค้ าขอร้อง ให้คาแนะนา คาช้ีแจง และคาอธิบายตามสถานการณ์
สาระท่ี 2 ภาษาและวัฒนธรรม
มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากบั วฒั นธรรมของเจ้าของภาษา และนาไปใช้ ได้
อย่างเหมาะสมกบั กาลเทศะ
ตวั ช้ีวดั
ต 2.1 ม. 2/1 ใชภ้ าษา น้าเสียง และกิริยาท่าทางเหมาะกบั บุคคลและโอกาส ตามมารยาทสงั คมและ
วฒั นธรรมของเจา้ ของภาษา

266

สาระที่ 4 ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก

มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่าง ๆ ท้งั ในสถานศึกษา ชุมชน และสังคม
ตวั ช้ีวดั
ต 4.1 ม. 2/1 ใชภ้ าษาส่ือสารในสถานการณจ์ ริง/สถานการณ์จาลองทีเ่ กิดข้ึนในห้องเรียน
สถานศึกษา และชุมชน

2. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด
การเรียนรู้และเขา้ ใจเก่ียวกบั สานวนภาษาในการขอและให้คาแนะนา การออกเสียงเช่ือมคาใน

ประโยค (linking sounds) ช่วยให้สามารถพูด/เขียนสื่อสารในชีวติ ประจาวนั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

3. สาระการเรียนรู้

3.1 ทักษะเฉพาะวิชา

1) Language Features and Functions

Vocabulary: Asking for advice

What should I …?

Giving advice

Why don’t you …?

Functions: Asking for and giving advice

What should I do?

Why don’t you report it to the school secretary?

Pronunciation: Linking sounds

Can I have an apple?

2) Language Skills

Listening: ฟังเพือ่ จบั ใจความสาคญั

Speaking: พดู ขอและให้คาแนะนาตามสถานการณท์ ี่กาหนด

Reading: อา่ นเพ่อื หาขอ้ มูลเฉพาะ

Writing: แตง่ บทสนทนาตามสถานการณท์ ่กี าหนด

4. สมรรถนะสาคัญของผ้เู รยี น
1) ความสามารถในการสื่อสาร
2) ความสามารถในการคดิ

267

5. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
1) ใฝ่เรียนรู้
2) มงุ่ มน่ั ในการทางาน

6. กจิ กรรมการเรียนรู้

ช่ัวโมงท่ี 1

ข้นั Warm up
ครูให้นกั เรียนแลกเปลีย่ นประสบการณ์กนั โดยถามนกั เรียนว่าเคยทาของหายหรือไม่ แลว้ นกั เรียน
ทาอยา่ งไร

ข้นั Presentation
1. ครูอธิบายเกี่ยวกบั การเช่ือมเสียงในประโยคภาษาองั กฤษ (linking sounds) วา่ เมอ่ื คาที่อยขู่ า้ งหนา้

ลงทา้ ยดว้ ยเสียงพยญั ชนะ และคาทอ่ี ยขู่ า้ งหลงั ข้นึ ตน้ ดว้ ยเสียงสระ เม่ือออกเสียงคาขา้ งหนา้ จะเชื่อม
กบั คาที่อยขู่ า้ งหลงั แลว้ ครูยกตวั อยา่ งบนกระดาน จากน้นั ครูออกเสียงให้นกั เรียนฟัง ใหน้ กั เรียน
ออกเสียงตาม

Thank you.
That’s all right.
2. หนงั สือเรียน หน้า 51 Ex. 7 ครูให้นกั เรียนหา linking sounds ในประโยคทกี่ าหนดให้ เสร็จแลว้ ครู
เปิ ด CD ใหน้ กั เรียนฟังเพอ่ื ตรวจคาตอบ แลว้ ครูเปิ ด CD อกี 1-2 คร้ัง โดยหยดุ ทีละประโยคให้
นกั เรียนอ่านออกเสียงตาม จากน้นั ครูสุ่มเรียกนกั เรียนอา่ นประโยคเป็นรายบคุ คล ครูสงั เกตการออก
เสียงของนกั เรียนและใหอ้ อกเสียงอีกคร้ังหากยงั ออกเสียงไม่ถกู ตอ้ ง

2 I am always late for school.
3 I hope it’s OK for Anna to come with us.
4 How about eight o’clock?

268

3. ครูนาเสนอสานวนในการขอและใหค้ าแนะนา โดยยกตวั อยา่ งบนกระดาน
Asking for advice
• What should I do?
Giving advice
• If I were you, I’d go there by taxi.
• Why don’t you give him a watch?

ครูอธิบายนกั เรียนว่าเราสามารถขอคาแนะนาในสถานการณ์ตา่ ง ๆ โดยพูดวา่ What should I do?
และสามารถใหค้ าแนะนาโดยใชโ้ ครงสร้าง If I were you, I’d … หรือ Why don’t you …
4. หนังสือเรยี น หน้า 51 Ex. 1 ครูเปิ ด CD ให้นกั เรียนฟังประโยคและออกเสียงตามพร้อมกนั โดยครู
เปิ ด CD 2 คร้ัง ครูอาจสุ่มเรียกนกั เรียนอ่านออกเสียงเป็นรายบคุ คล
5. ครูให้นกั เรียนระบุว่าประโยคใน Ex. 1 ประโยคใดเป็นการขอคาแนะนา (What should I do?) และ
ประโยคใดเป็นการให้คาแนะนา (Why don’t you report it to the secretary?)
6. หนงั สือเรยี น หน้า 51 Ex. 2 ครูบอกนกั เรียนว่าประโยคใน Ex. 1 มาจากบทสนทนาระหว่างเพอื่ น
ให้นกั เรียนเดาบทสนทนาน้ีน่าจะเกี่ยวกบั เร่ืองอะไร จากน้นั ครูเปิ ด CD ให้นกั เรียนฟังบทสนทนา
เพอื่ ตรวจคาตอบ

Someone lost something and he/she asks his/her friend for advice.

ข้นั Practice
1. หนังสือเรียน หน้า 51 Ex. 3 ก่อนอ่านครูอา่ นคาถาม What is Tina’s problem? What is Sue’s advice?

เพอื่ ให้นกั เรียนรู้วา่ จะอา่ นเพ่ือหาอะไร จากน้นั ครูให้นกั เรียนอ่านบทสนทนา เมอ่ื อา่ นจบครูถาม
คาถาม ใหน้ กั เรียนบอกคาตอบ

Tina has lost her purse.
Sue advises her to report it to the school secretary.

2. หนงั สือเรยี น หน้า 51 Ex. 4 นกั เรียนอ่านประโยค 1-6 พร้อมกนั แลว้ หาประโยคในบทสนทนาที่มี
ความหมายเหมอื นกบั ประโยคเหลา่ น้ี เสร็จแลว้ ครูสุ่มเรียกนกั เรียนบอกคาตอบ แลว้ ให้นกั เรียนใน
ช้นั ตรวจความถูกตอ้ ง

269

1 What’s the matter? – What’s wrong?
2 I’m sorry. – Oh, no.
3 I don’t know what to do. – What should I do?
4 You could report it to the school secretary. – Why don’t you report it to the

school secretary?
5 Is that your advice? – Do you think so?
6 That’s correct. – You’re right.

3. หนังสือเรยี น หน้า 51 Ex. 5 ครูใหน้ กั เรียนอ่านประโยคใน Ex. 1 พร้อมกนั อีกคร้ัง แลว้ ช่วยกนั
อธิบายความหมาย
จากน้นั ครูเปิ ด CD ให้นกั เรียนฟังบทสนทนาใน Ex. 3 และฝึกพูดตาม แลว้ ให้นกั เรียนจบั คู่กนั พดู
บทสนทนา โดยให้สลบั บทบาทกนั ดว้ ย ขณะทีน่ กั เรียนฝึกพูดครูเดินสังเกตรอบ ๆ ช้นั เรียน และ
แนะนานกั เรียนใหใ้ ชน้ ้าเสียงและแสดงสีหนา้ ท่าทางให้เหมาะสมกบั สถานการณ์

ข้นั Production
หนังสือเรียน หน้า 51 Ex. 6 ครูให้นกั เรียนจบั คู่กบั เพือ่ นช่วยกนั แต่งบทสนทนา โดยสมมติ
สถานการณ์ว่านกั เรียนอยทู่ ่ีลานโบวล์ ่งิ และวางโทรศพั ทไ์ วบ้ นโตะ๊ แตต่ อนน้ีนกั เรียนหาโทรศพั ท์
ของตนเองไม่เจอ ซ่ึงเพื่อนแนะนาให้บอกผจู้ ดั การ ครูอาจจะนาภาพลานโบวล์ ่ิงมาให้นกั เรียนดู
เพอ่ื ให้เห็นภาพเหตกุ ารณช์ ดั เจนข้ึน

ภาพจาก: https://www.bowlmor.com/location/bowlmor-pasadena

ครูแนะนาวา่ สามารถดูบทสนทนาใน Ex. 3 เป็นตน้ แบบได้ เม่ือแต่งบทสนทนาเสร็จแลว้ ส่งใหค้ รู
ตรวจ หลงั จากไดร้ บั บทสนทนาคืนแลว้ ใหน้ กั เรียนไปฝึกซ้อมนอกเวลาเรียนเพ่ือพดู สนทนาใน
ชว่ั โมงหนา้

270

A: What’s wrong Sam?
B: I can’t find my mobile phone.
A: Oh no! Where did you last have it?
B: It was on the table, but now it’s not there anymore.
A: Are you sure it’s not in your bag?
B: I checked there. I looked everywhere, but I can’t find it. What should I do?
A: Why don’t you report it to the manager?
B: Do you think so?
A: Yes, I do.
B: You’re right. Let’s go.

ชั่วโมงที่ 2

ข้นั Warm up
ครูถามนกั เรียนว่า เคยให้คาแนะนาเพอ่ื นหรือไม่ และใหค้ าแนะนาเร่ืองอะไร

ข้นั Pre-speaking
1. ครูทบทวนสานวนภาษาท่ีใช้ในการขอและให้คาแนะนา โดยครูสุ่มเรียกนกั เรียน 3-4 คู่ พูดขอและให้

คาแนะนาตามสถานการณท์ คี่ รูกาหนด เช่น ลมื หนงั สือไวท้ ีห่ ้องสมดุ
S1: I forgot my maths book at the library. What should I do?
S2: Why don’t you report to the librarian?
S1: You’re right.

2. ครูให้เวลานกั เรียนแตล่ ะคทู่ บทวนบทสนทนาของตนเองเพอ่ื เตรียมความพร้อม

271

ข้นั Speaking
1. กอ่ นการพดู สนทนา ครูให้นกั เรียนทกั ทายเพื่อนและแนะนาตนเองดว้ ย
2. ครูให้นกั เรียนแต่ละคู่หมุนเวยี นกนั ออกมาพดู สนทนา โดยครูอาจเรียกตามลาดบั เลขทห่ี รือเรียกตาม

แถวท่ีนงั่ ขณะท่นี กั เรียนพูดสนทนาครูคอยสงั เกตและจดบนั ทึก

ข้นั Post-speaking
1. ครูให้นกั เรียนช่วยกนั สรุปคาแนะนาของแต่ละคู่ แลว้ ครูเขยี นบนกระดาน เมือ่ พูดสนทนาครบทกุ คู่

แลว้ ครูถามนกั เรียนว่ามคี าแนะนาอนื่ เพิ่มเติมหรือไม่
2. ครูใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั (feedback) เร่ืองการใชภ้ าษาของนกั เรียน เช่น ไวยากรณ์ การออกเสียง น้าเสียง

กิริยาท่าทาง เพ่อื ใหน้ กั เรียนนาไปปรบั ปรุงแกไ้ ขในคร้ังตอ่ ไป
3. แบบฝึกหัด (Workbook) หนา้ 34 Exs. 3-4 ให้นกั เรียนทาเป็นการบา้ น

7. การวัดและการประเมนิ ผล

วิธีการวดั เครื่องมือ เกณฑ์การผ่าน
ระดบั คณุ ภาพ พอใช้
ประเมนิ การอ่านออกเสียงบทสนทนา แบบประเมินการอ่านออกเสียง ร้อยละ 60

ตรวจการตอบคาถามจากการอ่าน แบบฝึกหดั (Workbook) ระดบั คุณภาพ พอใช้

บทสนทนา ระดบั คณุ ภาพ พอใช้

ประเมนิ การแต่งบทสนทนาตาม แบบประเมนิ การเขยี น ระดบั คุณภาพ ผา่ น

สถานการณท์ ี่กาหนด

ประเมินการพูดสนทนาเพอ่ื ขอและให้ แบบประเมินการพูด

คาแนะนาตามสถานการณ์ท่กี าหนด

สังเกตความใฝ่เรียนรู้และความมุง่ มน่ั แบบประเมนิ คุณลกั ษณะ

ในการทางาน อนั พึงประสงค์

8. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้
1) หนงั สือเรียน SPARK 2 ม. 2
2) Class Audio CDs ประกอบสื่อฯ ชุด SPARK 2 ม. 2
3) แบบฝึกหดั SPARK 2 ม. 2
4) พจนานุกรมองั กฤษ-องั กฤษ
5) พจนานุกรมออนไลน์
6) ภาพลานโบวล์ งิ่

272

5 Across the curriculum 4e

2 ช่ัวโมง

จุดประสงค์การเรยี นรู้
- บอกรายละเอยี ดและแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั เร่ืองที่อ่านได้
- พูดเก่ียวกบั การอนุรักษส์ ิ่งแวดลอ้ มในบา้ นของตนเองได้
- คน้ ควา้ เก่ียวกบั วธิ ีการอนุรกั ษส์ ่ิงแวดลอ้ มและเขยี นนาเสนอได้

1. สาระ มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชีว้ ัด
สาระท่ี 1 ภาษาเพอ่ื การส่ือสาร
มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตคี วามเร่ืองท่ฟี ังและอ่านจากส่ือประเภทต่าง ๆ และแสดงความคดิ เห็น
อย่างมีเหตุผล
ตวั ช้ีวดั
ต 1.1 ม. 2/4 เลอื กหัวขอ้ เรื่อง ใจความสาคญั บอกรายละเอียดสนบั สนุน (supporting detail) และ
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั เร่ืองที่ฟังและอา่ น พร้อมท้งั ใหเ้ หตผุ ลและยกตวั อยา่ ง
ง่าย ๆ ประกอบ
มาตรฐาน ต 1.2 มีทกั ษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลยี่ นข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึกและ
ความคดิ เหน็ อย่างมีประสิทธภิ าพ
ตวั ช้ีวดั
ต 1.2 ม. 2/4 พูดและเขียนเพ่อื ขอและให้ขอ้ มลู บรรยาย และแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั เร่ืองที่ฟัง
หรืออา่ นอยา่ งเหมาะสม
ต 1.2 ม. 2/5 พูดและเขยี นแสดงความรู้สึกและความคดิ เห็นของตนเองเกี่ยวกบั เรื่องตา่ ง ๆ
กิจกรรม และประสบการณ์ พร้อมท้งั ให้เหตุผลประกอบอยา่ ง เหมาะสม
มาตรฐาน ต 1.3 นาเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคดิ รวบยอด และความคดิ เห็นในเรื่องต่าง ๆ โดยการพูด
และการเขียน
ตวั ช้ีวดั
ต 1.3 ม. 2/2 พูดและเขยี นสรุปใจความสาคญั /แก่นสาระ หัวขอ้ เร่ือง (topic) ท่ไี ดจ้ ากการวเิ คราะห์
เรื่อง/ขา่ ว/เหตกุ ารณท์ ่อี ยใู่ นความสนใจของสงั คม

273

ต 1.3 ม. 2/3 พดู และเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั กิจกรรม เรื่องต่าง ๆ ใกลต้ วั และ
ประสบการณ์ พร้อมท้งั ให้เหตุผลส้นั ๆ ประกอบ

สาระท่ี 2 ภาษาและวัฒนธรรม
มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา

กับภาษาและวฒั นธรรมไทย และนามาใช้อย่างถกู ต้องและเหมาะสม
ตวั ช้ีวดั
ต 2.2 ม. 2/2 เปรียบเทยี บและอธิบายความเหมอื นและความแตกต่างระหวา่ งชีวิตความเป็นอยแู่ ละ

วฒั นธรรมของเจา้ ของภาษากบั ของไทย
สาระท่ี 3 ภาษากบั ความสัมพันธ์กบั กล่มุ สาระการเรียนรู้อนื่
มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กบั กล่มุ สาระการเรียนรู้อน่ื และเป็ น

พนื้ ฐานในการพฒั นา แสวงหาความรู้ และเปิ ดโลกทัศน์ของตน
ตวั ช้ีวดั
ต 3.1 ม. 2/1 คน้ ควา้ รวบรวม และสรุปขอ้ มูล/ขอ้ เทจ็ จริงท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั กลมุ่ สาระการเรียนรู้อื่น

จากแหลง่ การเรียนรู้ และนาเสนอดว้ ยการพูด/การเขียน
สาระที่ 4 ภาษากับความสัมพันธ์กบั ชุมชนและโลก
มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเป็ นเครื่องมือพืน้ ฐานในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และ

การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กบั สังคมโลก
ตวั ช้ีวดั
ต 4.2 ม. 2/2 เผยแพร่/ประชาสมั พนั ธ์ขอ้ มลู ขา่ วสารของโรงเรียนเป็นภาษาต่างประเทศ

2. สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด
การเรียนรู้คาศพั ทท์ ี่เกี่ยวขอ้ งกบั การอนุรักษส์ ิ่งแวดลอ้ ม ช่วยให้สามารถเขา้ ใจเร่ืองที่อ่าน บอก

รายละเอียด และแสดงความคิดเห็น รวมท้งั สามารถใชส้ ื่อเทคโนโลยีคน้ ควา้ ขอ้ มูลเก่ียวกบั สิ่งแวดลอ้ ม
และพดู /เขยี นนาเสนอได้

3. สาระการเรียนรู้
3.1 ทักษะเฉพาะวชิ า
1) Language Features and Functions
Vocabulary: Verbs (pollute, protect, turn off, turn down, put on, throw away, recycle,
donate, grow)
Nouns (factory, environment, solar panel, tap, charity)

274

Adjective (eco-friendly)

Phrase (on standby)

Environmental problems (acid rain, air pollution, animal extinction,

deforestation, global warming, natural resource depletion,

overpopulation, soil pollution, waste disposal, water pollution)

Functions: Talking about protection of the environment

You should turn off the lights when you aren’t in room.

2) Language Skills

Speaking: พูดแสดงความคดิ เห็นและเสนอแนะวธิ ีแกป้ ัญหาส่ิงแวดลอ้ ม

พูดสุนทรพจนเ์ ก่ียวกบั การอนุรกั ษส์ ิ่งแวดลอ้ มในบา้ นของตนเอง

Reading: อา่ นเพ่อื หาขอ้ มลู เฉพาะ

Writing: เขยี นเก่ียวกบั วิธีการอนุรกั ษส์ ่ิงแวดลอ้ ม

3) Cultures การใชเ้ ครื่องทาความร้อน

4. สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รยี น
1) ความสามารถในการสื่อสาร
2) ความสามารถในการคดิ
3) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

5. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
1) ใฝ่เรียนรู้
2) มุ่งมนั่ ในการทางาน
3) มจี ิตสาธารณะ

6. กจิ กรรมการเรียนรู้

ช่ัวโมงที่ 1

ข้นั Warm up
1. ครูใหน้ กั เรียนแสดงความคดิ เห็นโดยถามนกั เรียนวา่ พลงั งานสาคญั อยา่ งไร
2. ครูใหน้ กั เรียนดภู าพบา้ น 2 หลงั ดา้ นล่าง แลว้ ถามนกั เรียนวา่ บา้ นหลงั ใดทีน่ กั เรียนคิดวา่ ช่วย

ประหยดั พลงั งานมากกว่า เพราะอะไร

275

The first house is more energy saving because it consists of lots of glass
windows, so we don’t have to turn on lights at daytime. Its roof also consists of
solar cells which can convert solar energy into electricity.

ภาพจาก: https://www.socalsolarbrokers.com/single-post/2016/08/01/Are-my-appliances-using-too-much-power

ภาพจาก: http://in.mymymyband.com/small-house-plans-with-simple-style/floor-plans-for-small-houses/

ข้นั Pre-reading
1. ครูถามนกั เรียนวา่ นกั เรียนมวี ิธีในการประหยดั พลงั งานทีบ่ า้ นอยา่ งไรบา้ ง โดยให้นกั เรียนร่วมกนั

อภิปราย
2. ครูใหน้ กั เรียนอ่านช่ือเร่ืองของบทอ่านและดภู าพประกอบในหนงั สือเรียน หนา้ 52 แลว้ ใหน้ กั เรียน

คาดเดาวา่ เร่ืองทีจ่ ะไดอ้ า่ นต่อไปน้ีน่าจะเก่ียวกบั อะไร (Eco-friendly Houses – การประหยดั พลงั งาน
ภายในบา้ น)
3. หนังสือเรียน หน้า 52 Ex. 1 ครูถามคาถาม What’s an eco-friendly house? ใหน้ กั เรียนบอกคาตอบที่
น่าจะเป็นไปได้ จากน้นั ครูเปิ ด CD ใหน้ กั เรียนฟังและอ่านบทอา่ นตามเพื่อหาคาตอบ

276

An eco-friendly house doesn’t waste water or electricity. It uses solar energy,
collects rainwater and recycles, repairs and reuses as much as possible.

4. ครูนาเสนอคาศพั ทท์ ่ีจะพบในบทอ่าน โดยอา่ นออกเสียงคาศพั ทใ์ นหนงั สือเรียน หนา้ 52 กรอบ

Check these words และให้นกั เรียนอ่านตาม จากน้นั แบง่ นกั เรียนออกเป็นกลมุ่ กลมุ่ ละ 4-6 คนและ

มอบหมายใหน้ กั เรียนในแต่ละกลุ่มช่วยกนั หาความหมายของคาศพั ทจ์ ากพจนานุกรมหรือ

พจนานุกรมออนไลน์ แลว้ ให้แตล่ ะกลมุ่ ช่วยกนั บอกความหมาย จากน้นั ครูจึงบอกความหมายท่ี

ถูกตอ้ ง

eco-friendly (adj) = not harmful to the environment (เป็นมิตรกบั สิ่งแวดลอ้ ม)

pollute (v) = to make air, water, soil etc. dangerously dirty and not suitable for

people to use (ก่อใหเ้ กิดมลพษิ )

environment (n) = the air, water, and land in or on which people, animals, and

plants live (ส่ิงแวดลอ้ ม)

on standby (adj) = to be ready to be used if necessary (พร้อมใชง้ าน)

put on (v) = to move something you wear onto your body (สวมใส่)

tap (n) = a device that controls the flow of liquid, especially water, from a

pipe (กอ๊ กน้า)

recycle (v) = to sort and collect rubbish in order to treat it and produce useful

materials that can be used again (นากลบั มาใชใ้ หม่)

charity (n) = any organisation that has the purpose of providing money or

helping those who are in need (หน่วยงานการกุศล)

factory (n) = a building or set of buildings where large amounts of goods are

made using machines (โรงงาน)

protect (v) = to keep someone or something safe from injury, damage, or loss

(ปกป้อง)

turn off (v) = to make a machine or piece of electrical equipment such as a

television, engine, light etc. stop operating by pushing a button,

turning a key etc. (ปิ ดเคร่ือง)

277

turn down (v) = to turn the switch on a machine such as an oven, radio etc. so
that it produces less heat, sound etc. (หร่ี, ลด)
solar panel (n)
= a device that changes energy from the sun into electricity
throw away (v) (แผงเซลลแ์ สงอาทติ ย)์
donate (v)
grow (v) = to get rid of something that you do not want or need (ทิง้ )
= to give money or goods to help a person or organization (บริจาค)
= to increase in size or amount (ปลูก, เจริญเติบโต)

ความแตกต่างของคาว่า turn off และ close
turn off = to make a machine or piece of electrical equipment stop operating by
pushing a button, turning a key
Example: turn off a television, engine, light
close = to shut something in order to cover an opening, or to become shut in this way
Example: close a curtain, door, window, eye

ข้นั Reading
หนงั สือเรียน หน้า 52 Ex. 2 ครูให้นกั เรียนอ่านคาถามทก่ี าหนดให้ มา เมื่ออา่ นคาถามจนเขา้ ใจแลว้
ใหน้ กั เรียนสงั เกตคาหรือวลีในคาถาม แลว้ อา่ นบทอา่ น เพื่อดูว่าคาหรือวลีในคาถามน้นั เกี่ยวกบั เน้ือ
เรื่องส่วนใด เมื่อพบแลว้ ใหอ้ า่ นเฉพาะประโยคหรือขอ้ ความทคี่ าถามน้นั พาดพงิ ไปถงึ หรืออาจจะ
อ่านขอ้ ความแวดลอ้ มประมาณ 1-2 ประโยคก่อนหนา้ หรือถดั ไปท่ีมขี อ้ มลู พาดพิงไปถงึ เมื่อเขา้ ใจ
แลว้ จึงตอบคาถามทใี่ หม้ า โดยครูแนะนานกั เรียนวา่ หากพบคาทีไ่ มร่ ู้ความหมายในระหว่างทอี่ า่ น
ให้ใชก้ ารเดาความหมายจากบริบท จากน้นั ครูให้นกั เรียนร่วมกนั เฉลยคาตอบ

1 Cars, factories, people and our homes pollute the environment.
2 We can save electricity by turning off the lights when we are not in a room, not

leaving computers, DVD players and TVs on standby and putting solar panels
on our roofs.

278

3 We can save water by not running the tap when we clean our teeth or wash
vegetables. We can also collect rainwater to clean the car and water the garden.

4 The three Rs are reuse, repair and recycle.
5 We should grow our own vegetables in our garden because it’s eco-friendly and

healthy.

ข้นั Post-reading
1. ครูถามนกั เรียนว่า คาแนะนาในบทอา่ นขอ้ ใดทไี่ ม่ตรงกบั บริบทของประเทศไทย และสามารถ

ปรับเปลี่ยนไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง (turn down the heating – turn down the air conditioner เน่ืองจากประเทศ
ไทยเป็นเมืองร้อน ไม่มกี ารใชเ้ คร่ืองทาความร้อน)
2. หนงั สือเรยี นหน้า 52 Ex. 3 ครูใหน้ กั เรียนนาความรู้ทีไ่ ดจ้ ากบทอ่านมาพูดสุนทรพจนเ์ กี่ยวกบั การ
อนุรักษส์ ่ิงแวดลอ้ มในบา้ นของตนเองโดยใช้ should/shouldn’t ครูแนะนานกั เรียนว่าการพดู
สุนทรพจน์ควรประกอบไปดว้ ยส่วนตา่ ง ๆ ดงั น้ี

a. start with a greeting (Hello!, Good morning, etc.)
b. state the topic of the speech (I would like to talk to you about ...), present points as

clearly as possible
c. end the speech thanking the audience (Thank you for listening)
จากน้นั ครูแบง่ นกั เรียนออกเป็นกลมุ่ ยอ่ ย และให้เวลานกั เรียนเตรียมตวั แลว้ ในแต่ละกลมุ่ ออกมา
นาเสนอสุนทรพจนเ์ ก่ียวกบั การประหยดั พลงั งานในบา้ นของตนเอง

Hello. I would like to talk to you about how we can save the planet by doing
things at home.

Firstly, you should turn off the lights when you aren’t in a room and you
should turn the heating down. You can put a jumper on if you are cold. There are
other things you should do, too. You should be careful about running the tap too
much because this wastes water. You should collect rainwater and use it to clean
the car and water your garden. You should grow your own vegetables in your
garden too. It’s eco-friendly and healthy. Finally, don’t forget to reuse, repair and
recycle. You shouldn’t throw things away. You should repair them, recycle them or
donate them to someone else. Thank you for listening.

279

3. นกั เรียนทา Language Review 4e & Prepositions Exs. 5-6 ในหนงั สือเรียน หนา้ 108 ร่วมกนั ในช้ัน
4. แบบฝึกหัด (Workbook) หนา้ 34 Exs. 1-2 ใหน้ กั เรียนทาเป็นการบา้ น

ช่ัวโมงท่ี 2
ข้นั Warm up
1. ครูให้นกั เรียนอ่านการ์ตูนต่อไปน้ี และแสดงความคดิ เห็นวา่ การ์ตูนดงั กลา่ วเก่ียวกบั อะไร ตอ้ งการ

สื่อสารอะไร

ภาพจาก: http://matthewjamestaylor.com/comics/graeme-frontbum

2. ครูถามนกั เรียนวา่ คดิ ว่าขยะพลาสตกิ เป็นปัญหาต่อส่ิงแวดลอ้ มมากนอ้ ยเพยี งใด และให้นกั เรียนเลา่
ปัญหาทเี่ คยพบเกี่ยวกบั ขยะพลาสติก พร้อมท้งั เสนอแนะวธิ ีการแกไ้ ข

ข้นั Presentation
1. ครูแบง่ นกั เรียนออกเป็นกล่มุ กลุ่มละ 5-6 คน ให้แตล่ ะกลมุ่ อภิปรายวา่ ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มในปัจจบุ นั

น้ีมีอะไรบา้ ง จากน้นั ครูให้แตล่ ะกลมุ่ นาเสนอ และครูเขียนความคิดเห็นของนกั เรียนบนกระดาน
2. ครูนาเสนอคาศพั ทเ์ กี่ยวกบั ปัญหาสิ่งแวดลอ้ มบนกระดาน และใหน้ กั เรียนอ่านตามครู จากน้นั ให้

นกั เรียนช่วยกนั บอกความหมาย โดยครูช่วยสรุปความหมายทีถ่ ูกตอ้ ง
Environmental Problems
1 acid rain (ฝนกรด)
2 air pollution (มลพิษทางอากาศ)
3 animal extinction (การสูญพนั ธข์ องสตั ว)์
4 deforestation (การตดั ไมท้ าลายป่ า)
280

5 global warming (ภาวะโลกร้อน)
6 natural resource depletion (การลดลงของทรัพยากรธรรมชาติ)
7 overpopulation (การมีจานวนประชากรมากเกินไป)
8 soil pollution (มลพษิ ทางดิน)
9 waste disposal (การกาจดั ของเสีย)
10 water pollution (มลพิษทางน้า)

ข้นั Practice
1. ครูใหน้ กั เรียนดูคลปิ วิดีโอจาก https://www.youtube.com/watch?v=hufC33MvmSw เก่ียวกบั ปัญหา

ส่ิงแวดลอ้ มปัญหาหน่ึงในประเทศไทย โดยก่อนเปิ ดคลิปวิดีโอครูเขียนต้งั คาถามตอ่ ไปน้ีบนกระดาน
• What is the problem?
• Who will be affected the most? Why?

เมอ่ื ดูคลิปวดิ ีโอจบครูใหน้ กั เรียนตอบคาถามบนกระดาน

• What is the problem? (Waste.)
• Who will be affected the most? Why? (The poor. Because they cannot afford to

move.)

2. ครูถามนกั เรียนว่า What can we do to help solve the problem? ใหน้ กั เรียนเสนอแนะวธิ ีการแกไ้ ข
ปัญหาท่ตี นเองสามารถทาได้ เช่น Reuse papers. Reduce using plastic bags.

3. ครูช้ีใหน้ กั เรียนเห็นวา่ ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มน้นั มอี ยมู่ ากมาย ซ่ึงเราทุกคนมีส่วนทาให้เกิดปัญหา
เหล่าน้นั อยา่ งไรก็ตาม เราสามารถร่วมมอื กนั ปรบั เปล่ียนวถิ ีการใชช้ ีวติ เพอ่ื ช่วยอนุรักษส์ ิ่งแวดลอ้ ม
ได้ โดยให้เริ่มจากตนเองก่อน

4. ครูใหน้ กั เรียนเขา้ กลมุ่ เดิมและทบทวนสิ่งท่ีไดร้ ่วมกนั อภปิ รายเก่ียวกบั การอนุรกั ษส์ ่ิงแวดลอ้ ม และ
บทอา่ นท่ไี ดอ้ ่านในชว่ั โมงท่แี ลว้ เก่ียวกบั การอนุรักษพ์ ลงั งานภายในบา้ น

ข้นั Production
1. หนังสือเรยี น หน้า 52 Ex. 4 ครูมอบหมายใหแ้ ต่ละกลมุ่ คน้ ควา้ ขอ้ มลู จากอนิ เทอร์เน็ตเกี่ยวกบั วธิ ีการ

อนุรักษส์ ิ่งแวดลอ้ มท่ที กุ คนสามารถนาไปปฏบิ ตั ไิ ด้ ครูแนะนาให้นกั เรียนใชค้ าสาคญั protect the
environment ในการคน้ ควา้ แลว้ เขยี นสรุปขอ้ มูล

281

You can protect the environment in many ways.
• You should always recycle.
• If there are no recycle bins on your street, ask your local council to put some

there.
• Make sure that you put recyclable items in the correct bins. You can often find

places to recycle batteries and mobile phones in electronics stores.
• You could start a recycling scheme at your school.
• Instead of going somewhere by car, you should walk, use your bicycle or use

public transport as much as you can. Fumes from cars cause a lot of pollution in
the air.
• You should try to save electricity. Don’t leave your mobile phone charger in the
plug. Even though your phone is not attached, the charger will still use
electricity.
We can all help in lots of ways!

2. ครูใหน้ กั เรียนแต่ละกลมุ่ ออกมานาเสนอทหี่ นา้ ช้นั เรียน จากน้นั ให้นกั เรียนทุกคนร่วมกนั แสดง
ความคดิ เห็นเกี่ยวกบั วิธีการที่เพือ่ นแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอวา่ สามารถนาไปปฏบิ ตั ิจริงในชีวติ ประจาวนั
ไดห้ รือไม่ และควรมกี ารปรบั เปลีย่ นอยา่ งไรบา้ ง

3. ครูบอกนกั เรียนวา่ เพอื่ เป็นการประชาสัมพนั ธเ์ กี่ยวกบั การอนุรักษส์ ิ่งแวดลอ้ ม ใหน้ กั เรียนโพสต์
ขอ้ ความที่นกั เรียนไดน้ าเสนอเกี่ยวกบั การอนุรกั ษส์ ่ิงแวดลอ้ มน้ีลงในสื่อสังคมออนไลนท์ ่นี กั เรียนใช้

282

7. การวัดและการประเมนิ ผล เครื่องมือ เกณฑ์การผ่าน
แบบฝึกหัด (Workbook) ร้อยละ 60
วิธีการวดั แบบประเมนิ การพูด ระดบั คุณภาพ พอใช้
ตรวจการตอบคาถามจากการอา่ น
ประเมินการพูดสุนทรพจนเ์ ก่ียวกบั การ แบบสงั เกตพฤติกรรมการเรียนรู้ ระดบั คุณภาพ พอใช้
อนุรักษส์ ิ่งแวดลอ้ มในบา้ นของตนเอง
สงั เกตการแสดงความคิดเห็นและ แบบประเมนิ การสารวจ/คน้ ควา้ ระดบั คุณภาพ พอใช้
เสนอแนะวิธีแกป้ ัญหาส่ิงแวดลอ้ ม ขอ้ มลู
ประเมนิ การคน้ ควา้ ขอ้ มลู เก่ียวกบั ระดบั คณุ ภาพ ผ่าน
วธิ ีการอนุรกั ษส์ ิ่งแวดลอ้ มและเขียน แบบประเมินคุณลกั ษณะ
นาเสนอ อนั พึงประสงค์
สังเกตความใฝ่เรียนรู้ ความมงุ่ มน่ั ใน
การทางาน และการมีจิตสาธารณะ

8. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้
1) หนงั สือเรียน SPARK 2 ม. 2
2) Class Audio CDs ประกอบส่ือฯ ชุด SPARK 2 ม. 2
3) แบบฝึกหัด SPARK 2 ม. 2
4) พจนานุกรมองั กฤษ-องั กฤษ
5) พจนานุกรมออนไลน์
6) อินเทอร์เน็ต
7) ภาพการ์ตนู
8) คลิปวิดีโอ

283

6 Writing 4f

2 ช่ัวโมง

จุดประสงค์การเรียนรู้
- จดบนั ทกึ ขอ้ มลู จากเรื่องท่ีฟังได้
- เขียนอีเมลเล่าเก่ียวกบั กฎระเบยี บของโรงเรียนได้

1. สาระ มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชีว้ ดั
สาระท่ี 1 ภาษาเพอ่ื การส่ือสาร
มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องทฟี่ ังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความคดิ เห็น
อย่างมเี หตผุ ล
ตวั ช้ีวดั
ต 1.1 ม. 2/4 เลอื กหวั ขอ้ เร่ือง ใจความสาคญั บอกรายละเอยี ดสนบั สนุน (supporting detail) และ
แสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั เร่ืองทีฟ่ ังและอา่ น พร้อมท้งั ให้เหตุผลและยกตวั อยา่ ง
งา่ ย ๆ ประกอบ
มาตรฐาน ต 1.3 นาเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคดิ รวบยอด และความคดิ เห็นในเรื่องต่าง ๆ โดยการพูด
และการเขียน
ตวั ช้ีวดั
ต 1.3 ม. 2/1 พดู และเขยี นบรรยายเกี่ยวกบั ตนเอง กิจวตั รประจาวนั ประสบการณ์ และขา่ ว/
เหตุการณ์ท่อี ยใู่ นความสนใจของสงั คม

2. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด
การเรียนรู้คาศพั ทแ์ ละโครงสร้าง ช่วยให้สามารถเขา้ ใจเร่ืองท่ฟี ัง และเขียนส่ือสารไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง

3. สาระการเรียนรู้
3.1 ทักษะเฉพาะวชิ า
1) Language Features and Functions
Vocabulary: Verbs (arrive, choose, hang out)

284

Nouns (group leader, midnight)

Adjectives (friendly, cool)

Phrase (so far so good)

2) Language Skills

Listening: ฟังเพื่อหาขอ้ มลู เฉพาะ

Reading: อ่านและเตมิ คา

Writing: เขยี นอีเมลเล่าเก่ียวกบั กฎระเบยี บของโรงเรียน

4. สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รียน
1) ความสามารถในการส่ือสาร
2) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

5. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
1) ใฝ่เรียนรู้
2) มุ่งมนั่ ในการทางาน

6. กจิ กรรมการเรียนรู้

ชั่วโมงท่ี 1

ข้นั Warm up
1. ครูถามนกั เรียนว่ารู้จกั เกาะซาร์ดิเนีย (Sardinia) หรือไม่ โดยครูนาภาพแผนท่ีแสดงท่ีต้งั ของเกาะมา

ให้นกั เรียนดูดว้ ย จากน้นั ครูบอกขอ้ มูลคร่าว ๆ เก่ียวกบั เกาะซาร์ดิเนียใหน้ กั เรียนฟัง

ภาพจาก: http://www.operationworld.org/ital

285

ซาร์ดิเนีย (Sardinia) เป็นเกาะทมี่ ขี นาดใหญท่ ี่สุดเป็นอนั ดบั ที่ 2 ในทะเลเมดิเตอร์เร
เนียน มีพ้ืนท่ี 24,090 ตารางกิโลเมตร (9,301 ตารางไมล)์ โดยซาร์ดิเนียเป็นแควน้ หน่ึง
ของประเทศอิตาลี และเป็นพ้ืนทป่ี กครองตนเองตามรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐอติ าลี

ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/แคว้นปกครองตนเองซาร์ดิเนีย

2. ครูบอกนกั เรียนว่าจะไดอ้ ่านเก่ียวกบั การไปเขา้ คา่ ยฤดรู ้อนท่ีซาร์ดิเนีย (Sardinia)

ข้นั Pre-listenting
1. ครูทบทวนการใช้ have to, must, mustn’t, can โดยใหน้ กั เรียนบอกวธิ ีใช้ และยกตวั อยา่ งประโยค
2. ครูให้นกั เรียนดูบทอ่านในหนงั สือเรียน หนา้ 53 Ex. 1 และบอกว่าเป็นการเขียนประเภทใด

(จดหมายอิเลก็ ทรอนิกส์ หรืออเี มล)
3. ครูใหน้ กั เรียนอา่ นออกเสียงคาศพั ทใ์ นกรอบ Check these words หนงั สือเรียน หนา้ 53 แลว้ หา

คาศพั ทเ์ หลา่ น้ีในอเี มล และช่วยกนั บอกความหมาย โดยครูตรวจวา่ นกั เรียนอธิบายความหมายของ
คาว่า cool ถูกตอ้ งตามบริบท

cool (adj) = very good, excellent (เจ๋ง)
จากน้นั ครูช่วยอธิบายความหมายของวลี so far so good

so far so good (phr) = used to say that an activity has gone well until now
(เทา่ ทผ่ี า่ นมาถอื ว่าดี)

4. หนงั สือเรยี น หน้า 53 Ex. 1 ครูให้นกั เรียนอา่ นอีเมลและเตมิ คาลงในช่องวา่ งให้ถูกตอ้ ง เสร็จแลว้ ครู
เฉลยคาตอบ

1 have to/must 2 mustn’t 3 can
4 can 5 must 6 have to/must

5. ครูเขียนคาถาม How does Enrico feel about the camp? บนกระดาน แลว้ ให้นกั เรียนอ่านอเี มลเพอื่ หา
คาตอบ (Enrico is happy with the camp.)

286

6. ครูบอกนกั เรียนวา่ ในอีเมลกลา่ วถงึ กิจกรรม canoeing แลว้ ครูอธิบายเพิ่มเตมิ ว่า มเี รือประเภทหน่ึงที่มี
ลกั ษณะใกลเ้ คยี งกบั canoe นนั่ คอื kayak โดยครูนาภาพมาใหน้ กั เรียนดู พร้อมท้งั บอกคาบรรยาย
จากน้นั ใหน้ กั เรียนเลอื กว่าภาพใดคือ canoe และภาพใดคอื kayak

a light narrow canoe with a covering over the a small, thin boat with pointed ends for one or
top (kayak) two people (canoe)

ภาพจาก: https://en.wikipedia.org/wiki/Sea_kayak ภาพจาก: http://www.jonsbushcraft.com/canoe2.htm

7. หนงั สือเรียน หน้า 53 Ex. 2 ครูใหน้ กั เรียนอ่านประโยค 1-5 แลว้ จบั คู่กบั ป้าย A-E ทสี่ มั พนั ธ์กนั
เสร็จแลว้ ร่วมกนั เฉลยคาตอบ

A4 B5 C3 D2 E1

8. ครูบอกนกั เรียนวา่ จะไดฟ้ ังบทสนทนาระหวา่ งเพื่อน 2 คน ซ่ึงสนทนากนั เก่ียวกบั การเรียนภาคฤดรู ้อน
9. ครูนาเสนอคาศพั ทท์ น่ี กั เรียนจะไดย้ นิ ในบทสนทนา โดยเขียนคาศพั ทบ์ นกระดาน อ่านออกเสียง

และใหน้ กั เรียนอา่ นตาม หรือถา้ ในห้องเรียนมคี อมพวิ เตอร์ครูใหน้ กั เรียนฟังการออกเสียงคาศพั ท์
จากพจนานุกรมออนไลน์ จากน้นั ช่วยกนั อธิบายความหมาย

fantastic (adj) = extremely good (น่าอศั จรรย)์
jealous (adj) = upset and angry because someone that you love seems interested in

another person (อจิ ฉา)
strict (adj) = strongly limiting someone’s freedom to behave as they wish (เขม้ งวด)
noise (n) = a sound or sounds, especially when it is unwanted, unpleasant or loud

(เสียงรบกวน)
hour (n) = a period of 60 minutes (ชว่ั โมง)
beach (n) = an area of sand or small stones near the sea (ชายหาด)
grounds (n) = land that surrounds a building (บริเวณ)

287

evening (n) = the part of the day between the end of the afternoon and night (ตอนเยน็ )
midnight (n) = twelve o’clock in the middle of the night (เท่ียงคืน)
bore (n) = an activity or situation that is annoying or unpleasant (ส่ิงที่น่าเบือ่ )
10. ครูทบทวน liking sounds และบอกนกั เรียนวา่ บางประโยคในบทสนทนานกั เรียนจะไดย้ ิน liking
sounds
11. ครูอธิบายวา่ ในขณะท่ีฟังบทสนทนาใหน้ กั เรียนจดบนั ทกึ ยอ่ เก่ียวกบั กฎระเบยี บของโรงเรียน ครูเนน้
ย้ากบั นกั เรียนว่าไม่จาเป็นตอ้ งฟังออกทุกคา ใหเ้ นน้ ที่จุดประสงคห์ ลกั ของการฟัง โดยครูแนะนาว่า
ให้ต้งั ใจฟังประโยคทป่ี ระกอบไปดว้ ยคาว่า have to, must, mustn’t, should และ can ซ่ึงใชใ้ นการพูด
ถึงกฎระเบียบของโรงเรียน

ข้นั Listening
หนังสือเรยี น หน้า 53 Ex. 3 ครูเปิ ด CD ให้นกั เรียนฟังบทสนทนา ครูคอยสังเกตปฏกิ ิริยาของ
นกั เรียนว่ามีความเขา้ ใจมากนอ้ ยเพียงใด โดยอาจสังเกตจากสีหนา้ หรือการจดบนั ทึกระหว่างฟัง เม่อื
ฟังจบครูสอบถามนกั เรียนว่าจดบนั ทึกทนั ขอ้ มลู หรือไม่ และตอ้ งการใหเ้ ปิ ดบทสนทนาให้ฟังอีกคร้ัง
หรือไม่ โดยครูอาจจะเปิ ดบทสนทนาอกี คร้งั

ข้นั Post-listening
1. ครูให้เวลานกั เรียนทบทวนขอ้ มลู ที่จดบนั ทกึ ไว้ และเปรียบเทียบกบั เพือ่ น จากน้นั ครูสุ่มเรียก

นกั เรียนหลาย ๆ คน บอกกฎระเบียบของโรงเรียนท่ีจดบนั ทกึ ไวจ้ ากบทสนทนาทฟ่ี ัง และครูเขยี น
บนกระดาน โดยให้นกั เรียนในช้นั ตรวจความถูกตอ้ งและเพิม่ เติมกฎระเบยี บใหค้ รบ

She can stay in bed late.
She has to get up before 9 if she wants breakfast.
She must go to lessons from 10 to 2.
She mustn’t make noise in class.
She must study after lunch for an hour, but she can do it when she wants.
She mustn’t leave the school grounds in the evening.
She must be in bed by midnight.

2. แบบฝึกหัด (Workbook) หนา้ 35 Exs. 1-3 ใหน้ กั เรียนทาเป็นการบา้ น

288

ช่ัวโมงท่ี 2

ข้นั Warm up
1. ครูถามนกั เรียนว่าเคยมีประสบการณ์การไปเขา้ คา่ ยหรือไม่ ให้นกั เรียนแบ่งปันประสบการณ์กบั

เพ่อื นร่วมช้นั ว่าไดท้ ากิจกรรมอะไรบา้ ง และไดเ้ รียนรู้อะไรบา้ ง
2. ครูบอกนกั เรียนว่า ในชว่ั โมงน้ีนกั เรียนจะไดเ้ ขยี นอเี มลถึงเพ่อื นเพือ่ เล่าเก่ียวกบั การเรียนในภาคฤดรู ้อน

ข้นั Pre-writing
1. ครูใหน้ กั เรียนช่วยกนั บอกส่วนประกอบของอเี มล โดยดอู ีเมลในหนงั สือเรียน หนา้ 53 Ex. 1

opening remarks

closing remarks

name of sender

2. ครูถามนกั เรียนวา่ นอกจากคาข้นึ ตน้ Hi และคาลงทา้ ย See you soon นกั เรียนสามารถใชค้ าใดได้
อกี บา้ ง ใหน้ กั เรียนช่วยกนั คดิ และบอก โดยครูเขียนตามบนกระดาน จากน้นั ครูเพม่ิ เติมวลีอน่ื ๆ ที่
นกั เรียนมกั จะคุน้ เคย
Opening remarks
• Dear …,
• Hello …,
• What’s up …,
Closing remarks
• Best wishes,

289

• I hope to hear from you soon,
• I am looking forward to meeting you,
3. ครูใหน้ กั เรียนทบทวนการใช้ have to, must, mustn’t และ can เพ่ือนาไปใชใ้ นการเขียนเก่ียวกบั
กฎระเบยี บของโรงเรียน
4. ครูอธิบายภาระงานในหนงั สือเรียน หนา้ 53 Ex. 4 วา่ นกั เรียนจะไดเ้ ขียนอเี มล โดยสมมตวิ า่ ตนเอง
อยทู่ ่ีโรงเรียนสาหรบั ภาคเรียนฤดูร้อน ให้นกั เรียนเขยี นอีเมลถึงเพ่อื นเพอ่ื เล่าเกี่ยวกบั กฎระเบยี บของ
โรงเรียน

ข้นั Writing
หนงั สือเรียน หน้า 53 Ex. 4 ครูใหน้ กั เรียนเขียนอเี มลตามโครงร่างทกี่ าหนดให้ ความยาว 60-80 คา

Hi Peter,
I’m here at a summer school in England. I arrived here a few days ago. It’s great.
There are lots of things to do and I’m learning lots of English.
We have to get up at 8 am every day, but we can eat whatever we want for
breakfast. Our first class starts at 10 am and we mustn’t be late. After class there
are a lot of activities to do. We can play lots of sports and go horse riding or
canoeing. In the evening, we have to be in bed before midnight. After the lights are
out we mustn’t talk. There are a lot of rules, but actually the camp is fun!
See you soon,
Panos

ข้นั Post-writing
1. เม่ือนกั เรียนเขยี นอเี มลเสร็จแลว้ ครูให้นกั เรียนจบั คูก่ นั แลกเปล่ียนกนั ตรวจ โดยดกู ารสะกดคา

ไวยากรณ์ และการใชเ้ ครื่องหมาย จากน้นั ให้นกั เรียนแกไ้ ขอเี มลของตนเองใหถ้ ูกตอ้ ง
2. ครูใหน้ กั เรียนพมิ พอ์ เี มลลงในโทรศพั ทม์ อื ถือหรือคอมพิวเตอร์ แลว้ ส่งอีเมลถงึ ครู
3. นกั เรียนทา Self-Check 4 ในหนงั สือเรียน หนา้ 116
4. แบบฝึกหดั (Workbook) หนา้ 35 Ex. 4 ใหน้ กั เรียนทาเป็นการบา้ น

290

7. การวัดและการประเมนิ ผล เคร่ืองมือ เกณฑ์การผ่าน
แบบสงั เกตพฤติกรรมการเรียนรู้ ระดบั คุณภาพ พอใช้
วธิ กี ารวดั
สังเกตการฟังบทสนทนาและจด แบบประเมนิ การเขียน ระดบั คุณภาพ พอใช้
บนั ทึกขอ้ มูล
ประเมนิ การเขยี นอีเมลเก่ียวกบั แบบประเมนิ คุณลกั ษณะ ระดบั คุณภาพ ผ่าน
กฎระเบียบของโรงเรียน อนั พงึ ประสงค์
สังเกตความใฝ่เรียนรู้และความมงุ่ มน่ั
ในการทางาน

8. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้
1) หนงั สือเรียน SPARK 2 ม. 2
2) Class Audio CDs ประกอบส่ือฯ ชุด SPARK 2 ม. 2
3) แบบฝึกหดั SPARK 2 ม. 2
4) ภาพแผนท่แี สดงท่ีต้งั เกาะซาร์ดิเนีย (Sardinia)
5) ภาพเรือ canoe และ kayak
6) โทรศพั ทม์ ือถือหรือคอมพิวเตอร์

291

7 ASEAN corner 4

1 ชั่วโมง

จดุ ประสงค์การเรียนรู้
- บอกรายละเอียดของเร่ืองทีอ่ ่านได้
- แสดงความคดิ เห็นเกี่ยวกบั กีฬาท่ีเป็นที่นิยมในประเทศกลมุ่ ประชาคมอาเซียนได้

1. สาระ มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชีว้ ัด
สาระท่ี 1 ภาษาเพอ่ื การสื่อสาร
มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเร่ืองทีฟ่ ังและอ่านจากส่ือประเภทต่าง ๆ และแสดงความคดิ เห็น
อย่างมีเหตุผล
ตวั ช้ีวดั
ต 1.1 ม. 2/4 เลอื กหวั ขอ้ เร่ือง ใจความสาคญั บอกรายละเอียดสนบั สนุน (supporting detail) และ
แสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั เรื่องท่ีฟังและอ่าน พร้อมท้งั ใหเ้ หตุผลและยกตวั อยา่ ง
ง่าย ๆ ประกอบ
มาตรฐาน ต 1.2 มที กั ษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลยี่ นข้อมลู ข่าวสาร แสดงความรู้สึกและ
ความคดิ เห็นอย่างมีประสิทธภิ าพ
ตวั ช้ีวดั
ต 1.2 ม. 2/5 พูดและเขียนแสดงความรู้สึกและความคิดเห็นของตนเองเก่ียวกบั เร่ืองตา่ ง ๆ
กิจกรรม และประสบการณ์ พร้อมท้งั ให้เหตผุ ลประกอบอยา่ งเหมาะสม
มาตรฐาน ต 1.3 นาเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคดิ เหน็ ในเร่ืองต่าง ๆ โดยการพดู
และการเขยี น
ตวั ช้ีวดั
ต 1.3 ม. 2/2 พูดและเขยี นสรุปใจความสาคญั แก่นสาระ หวั ขอ้ เร่ือง (topic) ทไ่ี ดจ้ ากการวิเคราะห์
เรื่อง/ขา่ ว/เหตกุ ารณท์ ่ีอยใู่ นความสนใจของสังคม
ต 1.3 ม. 2/3 พูดและเขยี นแสดงความคดิ เห็นเก่ียวกบั กิจกรรม เรื่องตา่ ง ๆ ใกลต้ วั และ
ประสบการณ์ พร้อมท้งั ให้เหตุผลส้ัน ๆ ประกอบ

292

สาระท่ี 2 ภาษาและวฒั นธรรม
มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวฒั นธรรมของเจ้าของภาษา

กับภาษาและวฒั นธรรมไทย และนามาใช้อย่างถกู ต้องและเหมาะสม
ตวั ช้ีวดั
ต 2.2 ม. 2/2 เปรียบเทยี บและอธิบายความเหมอื นและความแตกตา่ งระหว่างชีวิตความเป็นอยแู่ ละ

วฒั นธรรมของเจา้ ของภาษากบั ของไทย
สาระที่ 3 ภาษากับความสัมพันธ์กับกล่มุ สาระการเรียนรู้อ่ืน
มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเช่ือมโยงความรู้กับกล่มุ สาระการเรียนรู้อน่ื และเป็ น

พนื้ ฐานในการพฒั นา แสวงหาความรู้ และเปิ ดโลกทศั น์ของตน
ตวั ช้ีวดั
ต 3.1 ม. 2/1 คน้ ควา้ รวบรวม และสรุปขอ้ มูล/ขอ้ เท็จจริงท่ีเก่ียวขอ้ งกบั กลมุ่ สาระการเรียนรู้อนื่

จากแหลง่ การเรียนรู้ และนาเสนอดว้ ยการพดู /การเขยี น

2. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด
การเรียนรู้เก่ียวกบั กีฬาที่เป็นท่ีนิยมในประเทศกลุ่มประชาคมอาเซียน จะช่วยให้เขา้ ใจความ

คลา้ ยคลงึ ดา้ นวฒั นธรรมและวถิ ีชีวิตความเป็นอยใู่ นภูมภิ าคอาเซียน

3. สาระการเรียนรู้

3.1 ทกั ษะเฉพาะวชิ า

1) Language Features and Functions

Vocabulary: Nouns (court, rattan ball, opponent, aim, evidence, existence,

relationship, formation)

Adjectives (unreturnable, creative)

2) Language Skills

Speaking: พดู แสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั กีฬาท่ีเป็นทีน่ ิยมในประเทศไทยและภมู ภิ าค

อาเซียน

Reading: อ่านเพอ่ื หาขอ้ มูลเฉพาะ

Writing: เขียนเกี่ยวกบั ส่ิงที่ประเทศในกลมุ่ ประชาคมอาเซียนมีคลา้ ยกนั

4. สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รียน
1) ความสามารถในการสื่อสาร

293


Click to View FlipBook Version