The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by cstd, 2021-07-10 00:25:51

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

Keywords: บรมราชาภิเษก

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 547

ปวงชาติไทย ดุจร่มฉัตรชัยให้ความร่มเย็นเป็นนิรันดร์ มีพระประสงค์จ�ำนงหมายทุกส่ิงอัน ขอจงได้สัมฤทธิ์
ประสิทธ์ิสมดังพระราชประณีธานทุกประการเทอญ.

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า เกษม ล�่ำซ�ำ
นายกสมาคมพ่อค้าไทย”

บัญชีพระสงฆ์

เจริญพระพุทธมนต์ท่ีพระท่ีนั่งอมรินทรวินิจฉัย

๑. พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (โสม ฉนฺโน ป. ๕) วัดสุทัศนเทพวราราม
๒. พระรัตนธัชมุนี (จู อิสฺสรญาโณ ป. ๗) วัดบวรนิเวศวิหาร1
๓. พระเทพกวี (จ่ัน วิจญฺจโล ป. ๖) วัดเทพศิรินทราวาส2
๔. พระเทพสุธี (สวัสด์ิ กิตฺติสาโร ป. ๕) วัดมหาธาตุ3
๕. พระเทพเมธี (ธีร์ ปุณฺณโก ป. ๙) วัดจักรวรรดิราชาวาส4
๖. พระนิกรมมุนี (ปลื้ม อุตฺตโร ป. ๕) วัดมหาธาตุ5
๗. พระวิสุทธิสมโพธิ (เจีย เขมโก ป. ๙) วัดพระเชตุพน6
๘. พระวิเชียรกวี (ฉัตร์ อินฺทสุวณฺโณ ป. ๕) วัดหนัง7

1 พระรัตนธัชมุนี นามเดิม จู เกิดเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๑๕ ด�ำรงต�ำแหน่งต่าง ๆ เช่น เจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาส
ผู้ช่วยเจา้ อาวาสวดั บวรนเิ วศวิหาร เป็นต้น พระรตั นธชั มุนี มรณภาพเมอ่ื พ.ศ. ๒๕๐๕ สิรอิ ายุ ๙๐ ปี

2 พระเทพกวี นามเดิม จั่น สวาคฆพรรณ เกิดเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๔๒๙ ด�ำรงต�ำแหน่งต่าง ๆ เช่น ผู้ช่วย
เจา้ อาวาสวัดเทพศิรนิ ทราวาส เจา้ คณะมณฑลปราจนี บุรี เป็นต้น พระเทพกวี มรณภาพเมอื่ วันท่ี ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๔ สิริอายุ
๗๕ ปี พรรษา ๕๓

3 พระธรรมปญั ญาบดี นามเดิม สวสั ดิ์ ดวงโต เกดิ เมอ่ื วันท่ี ๒๙ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๓๑ ด�ำรงต�ำแหน่งต่าง ๆ เช่น เจ้าอาวาส
วดั มหาธาตุยวุ ราชรงั สฤษฎิ์ นายกสภามหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั เปน็ ตน้ พระธรรมปัญญาบดี มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๕
กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๓ สริ ิอายุ ๙๒ ปี พรรษา ๗๒

4 สมเด็จพระธรี ญาณมุนี นามเดมิ ธีร์ จันทวีระ เกดิ เมือ่ วนั ที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๐ ด�ำรงตำ� แหนง่ ต่าง ๆ เชน่ เจ้าอาวาส
วดั จกั รวรรดริ าชาวาส อธกิ ารบดมี หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั กรรมการมหาเถรสมาคม เปน็ ตน้ สมเดจ็ พระธรี ญาณมนุ ี มรณภาพเมอ่ื
วันท่ี ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ สิริอายุ ๘๗ ปี พรรษา ๖๖

5 พระเทพเมธี นามเดิม ปล้ืม เพ่งเขม้น เกิดเม่ือวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๓ ด�ำรงต�ำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ
ยวุ ราชรงั สฤษฎ์ิ มรณภาพเม่ือวนั ที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๓ สิริอายุ ๗๐ ปี พรรษา ๕๐

6 พระเทพวิสุทธิเมธี (เจีย เขมิโก) เกิดเมื่อวันท่ี ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๙ ด�ำรงต�ำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมล
มงั คลาราม มรณภาพเม่อื วันท่ี ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๓

7 พระวิเชียรกวี นามเดิม ฉัตร รอดประพันธ์ เกิดเม่ือวันท่ี ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๒๙ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหนัง
มรณภาพเม่อื พ.ศ. ๒๕๐๓ สิรอิ ายุ ๗๔ ปี พรรษา ๕๔

548 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

๙. พระญาณเวที (บุญลือ ยติโก ป. ๓) วัดบุรณสิริมาตยาราม1
๑๐. พระสุมงคลมุนี (ผิว ฐิตเปโม ป. ๗) วัดบวรมงคล2
๑๑. พระวิสุทธิโมลี (เลี่ยม อลีโน) วัดมัชฌิมาวาส จังหวัดสงขลา3
๑๒. พระอรรถทัสสีสุทธิพงศ์ (รัต อตฺถทสฺสี ป. ๗) วัดชีโพน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา4
๑๓. พระธรรมภาณพิลาส (ทวี ฐิตธมฺโม ป. ๖) วัดอนงคาราม
๑๔. พระสังวรวิมล (ชุ่ม ติสาโร เทียบ ป. ๔) วัดทองนพคุณ5
๑๕. พระญาณรังสี (ผวน ภทฺธโร ป. ๓) วัดราชโอรส6
๑๖. พระปริยัติโกศล (สุวรรณ โฆสโก ป. ๘) วัดกัลยาณมิตร7
๑๗. พระประสิทธิวิริยคุณ (สุง ธญฺญาโภ ป. ๖) วัดดุสิดาราม8
๑๘. พระศาสนุเทศาจารย์ (บุญ ปริปุญฺญสีโล ป. ๕) วัดเศวตฉัตร9
๑๙. พระอโนมคุณมุนี (กล่อม อนุภาโส ป. ๕) วัดบุบผาราม10
๒๐. พระเขมาภิมุขธรรม (เกตุ เกสโร ป. ๕) วัดเขมาภิรตาราม จังหวัดนนทบุรี11
๒๑. พระประสิทธิสุตคุณ (เติม เขมฉนฺโท ป. ๕) วัดมหรรณพาราม12

1 พระเทพญาณเวที (ฦา ยตโิ ก) เกดิ เมือ่ วนั ท่ี ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๗ ด�ำรงต�ำแหนง่ เจ้าอาวาสวัดบุรณศิริมาตยาราม
และกรรมการเถรสมาคมธรรมยตุ มรณภาพเมอ่ื วนั ที่ ๑๐ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕๑๒ สริ ิอายุ ๙๕ ปี พรรษา ๗๕

2 พระราชเมธาจารย์ (ผิว ฐิตเปโม) เกิดเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๑ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบวรมงคล
มรณภาพเม่อื วันท่ี ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๘ สิรอิ ายุ ๙๗ ปี

3 พระเทพวิสุทธิคุณ นามเดิม เล่ียม จันทร์ผลช่วง เกิดเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๔ ด�ำรงต�ำแหน่งต่าง ๆ เช่น
ผชู้ ว่ ยเจ้าอาวาสวัดราชาธวิ าส เจา้ อาวาสวดั มัชฌมิ าวาส มรณภาพเม่อื วนั ที่ ๑๔ กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒ สริ ิอายุ ๘๘ ปี พรรษา ๖๓

4 พระราชปัญญามุนี (รัต อตฺถทสฺสี) เกิดเม่ือวันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๕ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาสวัดชีโพน เจ้าคณะ
จงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา มรณภาพเม่อื วนั ที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๓

5 พระเทพวมิ ล (ชุ่ม ตสิ าโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดทองนพคณุ
6 พระเทพญาณมุนี นามเดิม ผวน ขวัญมงคล เกิดเมื่อวันท่ี ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๓ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาส
วัดราชโอรสาราม มรณภาพเมอ่ื วนั ที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ สิรอิ ายุ ๘๓ ปี
7 พระราชปริยัติ นามเดิม สุวรรณ ต่อเนื่อง เกิดเม่ือวันท่ี ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๒ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาส
วัดกัลยาณมติ ร มรณภาพเมื่อวนั ที่ ๒๐ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๒๘ สิริอายุ ๗๖ ปี พรรษา ๕๖
8 พระวิสุทธิวงศาจารย์ (สุง ธญฺญาโภ) เกิดเมื่อวันท่ี ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๗ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาสวัดดุสิดาราม
วดั พชิ ยญาติการาม มรณภาพเม่อื วันท่ี ๒๒ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ สริ อิ ายุ ๘๗ ปี พรรษา ๖๗
9 พระศาสนุเทศาจารย์ (บญุ ปริปุณฺณสีโล) อดตี เจ้าอาวาสวดั เศวตรฉัตร
10 พระธรรมวราลงั การ นามเดมิ กลอ่ ม ชมุ สวุ รรณ เกดิ เมอื่ วนั ที่ ๒๐ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๓๒ ด�ำรงตำ� แหนง่ เจา้ อาวาสวดั บปุ ผาราม
มรณภาพเมือ่ วนั ท่ี ๒๗ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๒๙
11 พระเขมาภิมุขธรรม นามเดิม เกตุ ไม้เรียง เกิดเม่ือวันท่ี ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๐ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเขมา
ภริ ตาราม มรณภาพเมือ่ วนั ท่ี ๙ กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒ สริ อิ ายุ ๘๑ ปี พรรษา ๕๙
12 พระราชวรเวที (เติม เขมฉนฺโท) เกิดเมื่อวันท่ี ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๘ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมหรรณพาราม
มรณภาพเม่อื วนั ที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๒

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 549

๒๒. พระธรรมปหังษนาจารย์ (เชื้อ จนฺทโชโต ป. ๔) วัดประยุรวงศาวาส1
๒๓. พระวินยานุบุรณาจารย์ (เชย อินฺทสโร ป. ๔) วัดโปรดเกศ2
๒๔. พระอริยศีลาจารย์ (วัน ปณฺฑิโต ป. ๓) วัดสังข์กระจาย3
๒๕. พระธรรมรังสี (ปาน อินฺทโชติ ป. ๓) วัดเทพธิดาราม4
๒๖. พระอริยมุนี (หว่าง ธมฺมโชโต ป. ๓) วัดเทวราชกุญชร5
๒๗. พระปัญญาพิศาลเถร (บุญมั่น มนฺตาสโย) วัดปทุมวนาราม6
๒๘. พระพรหมจริยาจารย์ (เทียน พุทฺธสโร) วัดยานนาวา7
๒๙. พระคุณาจารวัตร (ใช้ สุวณฺณปกฺโก) วัดจักรวรรดิราชาวาส8
๓๐. พระธรรมวิสารทะ (สุย พุทฺธรํสี) วัดทรงธรรม จังหวัดสมุทรปราการ
๓๑. พระปริยัติเวที (ผุย คตญาโณ ป. ๙) วัดปทุมวนาราม9
๓๒. พระวิกรมมุนี (ผล อุปติสฺโส ป. ๕) วัดปราสาททอง จังหวัดสุพรรณบุรี10
๓๓. พระโศภนคณาภรณ์ (เจริญ สุวฑฺฒโน ป. ๙) วัดบวรนิเวศวิหาร11
๓๔. พระนิรันตรญาณมุนี (นิรันตร์ นิรนฺตโร ป. ๙) วัดเทพศิรินทราวาส12

1 พระธรรมปหังษนาจารย์ เกดิ เมือ่ พ.ศ. ๒๔๑๓ ดำ� รงตำ� แหนง่ เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส มรณภาพเมือ่ พ.ศ. ๒๕๐๐
2 พระวินยานุบรุ ณาจารย์ (เชย อนิ ทฺ สโร) อดตี เจา้ อาวาสวัดโปรดเกศเชษฐาราม
3 พระอรยิ ศลี าจารย์ (วรรณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสงั ขก์ ระจาย
4 พระมงคลธรรมรังษี นามเดิม ปาล ชูชัย เกิดเม่ือวันท่ี ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๒๒ ด�ำรงต�ำแหน่ง เจ้าอาวาส

วัดเทพธดิ าราม มรณภาพเมื่อวนั ที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ สริ ิอายุ ๘๖ ปี พรรษา ๖๖
5 พระอริยมุนี (หว่าง ธมฺมโชโต) เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๓ อดีตเจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร มรณภาพเม่ือวันท่ี ๕ มกราคม

พ.ศ. ๒๕๐๑
6 พระธรรมปาโมกข์ (บุญมั่น มนฺตาสโย) เกิดเม่ือวันท่ี ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ อดีตเจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม

มรณภาพเม่อื วันที่ ๑๑ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ สริ ิอายุ ๙๓ ปี พรรษา ๗๓
7 พระราชธรรมจริยาจารย์ (เทียน พุทฺธสโร) เกิดเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๐ อดีตเจ้าอาวาสวัดยานนาวา

มรณภาพเมื่อวนั ท่ี ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๔
8 ในท�ำเนียบพระสังฆาธิการพบแต่เฉพาะ พระคุณาจารวัตร (ธงไชย สุวณฺโณ) เกิดเม่ือวันท่ี ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๑๕

อดตี เจ้าอาวาสวัดจกั รวรรดิราชาวาส มรณภาพเมือ่ วนั ที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๗
9 พระเทพวราภรณ์ นามเดิม ผุย สายกาลย์ เกิดเม่ือวันท่ี ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๕ ด�ำรงต�ำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาส

วัดปทุมวนาราม มรณภาพเม่อื วนั ท่ี ๒๘ กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๗ สริ ิอายุ ๖๒ ปี พรรษา ๔๑
10 พระวกิ รมมนุ ี (ผล อปุ ตสิ ฺโส) เกดิ เมอื่ วนั ท่ี ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๐ อดตี เจา้ อาวาสวัดปราสาททองและเจ้าคณะจังหวดั

สุพรรณบุรี
11 สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร พระนามเดิม เจริญ คชวัตร ประสูติเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๖

เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร สิ้นพระชนม์เม่ือวันท่ี ๒๔ ตุลาคม
พ.ศ. ๒๕๕๖ พระชนั ษา ๑๐๐ ปี

12 สมเด็จพระวันรัต นามเดิม ฮกเล้ง โกณเขมะ เกิดเม่ือวันท่ี ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๘ อดีตเจ้าอาวาส
วดั เทพศริ ินทราวาส มรณภาพเมื่อวันท่ี ๒๐ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๔๖

550 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

๓๕. พระวรญาณมุนี (เสถียร ธมฺมสาโร ป. ๙) วัดจักรวรรดิราชาวาส1
๓๖. พระวิมลมุนี (สง่า ปภสฺสโร ป. ๘) วัดพระเชตุพน2
๓๗. พระเนกขัมมมุนี (เฉย ยโส ป. ๗) วัดสัมพันธวงศ์3
๓๘. พระศรีสัจจญาณมุนี (สนธ์ิ ยตฺติธโร ป. ๗) วัดสุทัศนเทพวราราม4
๓๙. พระปริยัติโมลี (ฟื้น ปาสาทิโก ป. ๗) วัดราชบพิธ5
๔๐. พระวินัยกิจโกศล (เส็ง ธมฺมธโร ป. ๗) วัดจักรวรรดิราชาวาส
๔๑. พระญาณดิลก (นพ องฺกุรปญฺโญ ป. ๗) วัดธาตุทอง6
๔๒. พระปรากรมมุนี (ไสว ฐิตธมฺโม ป. ๗) วัดเทพากร7
๔๓. พระญาณสมโพธิ (เจียร ปภสฺสโร ป. ๗) วัดอรุณราชวราราม8
๔๔. พระสุธรรมธีรคุณ (วงศ์ จนฺทวํโส ป. ๕) วัดสระเกศ9
๔๕. พระวิเชียรธรรมคุณาธาร (กมล อมโร ป. ๓) วัดพระเชตุพน10

เจริญพระพุทธมนต์ท่ีพระท่ีนั่งไพศาลทักษิณ

๑. สมเด็จพระสังฆราช (ม.ร.ว. ชื่น สุจิตฺโต ป. ๗) วัดบวรนิเวศวิหาร

1 พันต�ำรวจโท เสถียร วรสาร อนุศาสนาจารยตํารวจ เคยด�ำรงสมณศักดิ์ท่ีพระวรญาณมุนี (เสถียร ธมฺมสาโร) อดีตผู้ช่วย
เจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิราชาวาส

2 พระวิสุทธาธิบดี นามเดิม สง่า เรียนมนัศ เกิดเม่ือวันท่ี ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๑ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน
วมิ ลมงั คลาราม มรณภาพเมอื่ พ.ศ. ๒๕๓๔ สิริอายุ ๘๓ ปี พรรษา ๖๒

3 พระเทพปัญญามุนี (เฉย ยโส) เกิดเมื่อวันท่ี ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๘ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม
มรณภาพ เมือ่ วันที่ ๖ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๕๑๔

4 พระมงคลราชมุนี (สนธิ์ ยติธโร) เกิดเม่ือวันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๖ ด�ำรงต�ำแหน่งรักษาการ เจ้าอาวาสวัดสุทัศน
เทพวราราม มรณภาพเม่อื วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๕

5 ตอ่ มาคอื พระธรรมโสภณ (ฟื้น ปาสาทโิ ก)
6 พระธรรมปาโมกข์ (นพ องฺกุรปญฺโญ) เกิดเมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๕ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาสวัดธาตุทอง
พระอารามหลวง มรณภาพเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๔
7 พระธรรมราชานวุ ตั ร (ไสว ฐติ ธิ มโฺ ม) เกดิ เมอื่ วนั ที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๗ ดำ� รงตำ� แหนง่ เจา้ อาวาสวดั เทพากร เจา้ อาวาส
วัดยานนาวา พระอารามหลวง เป็นต้น มรณภาพเมอ่ื วนั ท่ี ๕ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๓๐ สริ ิอายุ ๘๓ ปี พรรษา ๖๓
8 พระธรรมคุณาภรณ์ นามเดิม เจีย จ�ำปาศรี เกิดเม่ือวันท่ี ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๖ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาสวัดอรุณ
ราชวราราม มรณภาพเมอ่ื วนั ท่ี ๓ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๕๒๔ สิริอายุ ๖๗ ปี พรรษา ๔๗
9 พระสุธรรมธีรคุณ (วงศ์ จนฺทวํโส) เกิดเมื่อวันท่ี ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๙ ด�ำรงต�ำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ
มรณภาพเมื่อวนั ที่ ๒ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๑๐
10 พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ นามเดิม กมล เครือรัตน์ เกิดเมื่อวันท่ี ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาส
วดั พระเชตุพนวิมลมังคลาราม มรณภาพเมื่อวนั ท่ี ๑๓ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ สริ อิ ายุ ๗๑ ปี พรรษา ๔๙

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 551

๒. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร ป. ๗) วัดเทพศิรินทราวาส1
๓. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส ป. ๕) วัดบรมนิวาส2
๔. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม พุทฺธสโร เทียบ ป. ๔) วัดอนงคาราม3
๕. สมเด็จพระวันรัต (ปลด กิตติโสภโณ ป. ๙) วัดเบญจมบพิตร4
๖. พระธรรมวโรดม (อยู่ ญาโณทโย ป. ๙) วัดสระเกศ5
๗. พระสาสนโสภณ (จวน อุฏฺฐายี ป. ๙) วัดมกุฏกษัตริยาราม
๘. พระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ ป. ๘) วัดมหาธาตุ6
๙. พระธรรมปิฎก (โชติ ธมฺมปฺปโชติโก ป. ๘) วัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม7
๑๐. พระธรรมดิลก (ปุ่น ปุณฺณสิริ ป. ๖) วัดพระเชตุพน8
๑๑. พระเทพเวที (ฟื้น ชุตินฺธโร ป. ๙) วัดสามพระยา9
๑๒. พระมงคลทิพยมุนี (เซ็ก พรหมสโร) วัดทองธรรมชาติ10

1 สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ นามเดิม เจริญ สุขบท เกิดเม่ือวันท่ี ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๑๕ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาส
วัดเทพศิรินทราวาส มรณภาพเมื่อวนั ที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๔ สิริอายุ ๗๘ ปี พรรษา ๕๙

2 สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ นามเดิม อ้วน แสนทวีสุข เกิดเม่ือวันท่ี ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๑๐ ด�ำรงต�ำแหน่งต่าง ๆ เช่น
เจ้าอาวาสวดั บรมนวิ าส เจ้าอาวาสวดั พระศรีมหาธาตุ เปน็ ต้น มรณภาพเม่อื วนั ที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๙ สิรอิ ายุ ๘๙ ปี พรรษา ๖๘

3 สมเด็จพระพุฒาจารย์ นามเดิม นวม เกิดวันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๐๗ ด�ำรงต�ำแหน่งต่าง ๆ เช่น เจ้าอาวาส
วัดอนงคาราม เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส สังฆมนตรีว่าการองค์การสาธารณูปการ เป็นต้น มรณภาพเม่ือวันที่ ๒๘ กันยายน
พ.ศ. ๒๔๙๙ สริ อิ ายุ ๙๒ ปี พรรษา ๗๒

4 สมเดจ็ พระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสงั ฆราช พระนามเดมิ ปลด เกตุทัต ประสูติเมอ่ื วนั ท่ี ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๒
เปน็ สมเดจ็ พระสงั ฆราชพระองคท์ ่ี ๑๔ แหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ สถติ ณ วดั เบญจมบพติ รดสุ ติ วนาราม สน้ิ พระชนมเ์ มอ่ื วนั ท่ี ๑๗ มถิ นุ ายน
พ.ศ. ๒๕๐๕ พระชันษา ๗๓ ปี

5 สมเดจ็ พระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช พระนามเดมิ อยู่ ช้างโสภา ประสตู ิเมือ่ วนั ที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๑๗
เป็นสมเด็จพระสงั ฆราชพระองค์ท่ี ๑๕ แหง่ กรงุ รตั นโกสินทร์ สถิต ณ วัดสระเกศ สน้ิ พระชนม์ เมอ่ื วันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๘
พระชันษา ๙๐ ปี

6 สมเด็จพระพุฒาจารย์ นามเดิม ค�ำตา ดวงมาลา เกิดเม่ือวันท่ี ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาส
วดั มหาธาตุยุวราชรงั สฤษฎ์ิ มรณภาพเมื่อวันท่ี ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ สริ ิอายุ ๘๖ ปี พรรษา ๖๖

7 พระธรรมวโรดม นามเดิม โชติ ปัณฑิตยกุล เกิดเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๒๓ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาส
วัดพระปฐมเจดยี ์ มรณภาพเมื่อวนั ที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ สิรอิ ายุ ๗๔ ปี พรรษา ๕๔

8 สมเดจ็ พระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสงั ฆราช พระนามเดิม ปนุ่ สุขเจริญ เปน็ สมเดจ็ พระสังฆราชพระองค์ท่ี ๑๗ แห่ง
กรงุ รัตนโกสินทร์ สถิต ณ วดั พระเชตุพนวิมลมังคลาราม ส้ินพระชนมเ์ ม่อื วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ พระชนั ษา ๗๗ ปี

9 สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ นามเดิม ฟื้น พลายภู่ เกิดเมื่อวันท่ี ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๘ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาส
วดั สามพระยา มรณภาพเมอ่ื วนั ท่ี ๑๖ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๓๙ สิริอายุ ๙๐ ปี พรรษา ๖๙

10 พระมงคลทพิ ยมุนี วิ. (เซ็ก พรฺ หมฺ สโร) เกดิ เมอื่ วนั ที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๑๕ ด�ำรงตำ� แหนง่ เจา้ อาวาสวดั ทองธรรมชาติ
มรณภาพเมือ่ วนั ท่ี ๒ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๕๐๔ สริ อิ ายุ ๘๙ ปี พรรษา ๖๘

552 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

๑๓. พระมงคลเทพมุนี (สาลี อินฺทโชโต) วัดอนงคาราม1
๑๔. พระราชโมลี (นาค โสภณภิกฺขุ ป. ๕) วัดระฆังโฆสิตาราม2
๑๕. พระราชเวที (พร ธีรภทฺโท ป. ๖) วัดประยุรวงศาวาส
๑๖. พระราชเมธี (วิน ธมฺมสาโร ป. ๙) วัดราชาธิวาส3
๑๗. พระราชกวี (เอ้ือน ชินทตฺโต ป. ๗) วัดเทพศิรินทราวาส4
๑๘. พระรัชชมงคลมุนี (เทศ นิเทสโก) วัดสัมพันธวงศ์5
๑๙. พระปริยัติบัณฑิต (ด�ำ อาภารํสี ป. ๔) วัดปทุมคงคา6
๒๐. พระญาณโสภณ (ทรัพย์ โฆสโก ป. ๖) วัดสังเวชวิศยาราม7
๒๑. พระอริยศีลสังวร (ปลด พรฺหฺมสโร ป. ๓) วัดเบญจมบพิตร8
๒๒. พระวิเชียรมุนี (พัน จิรวฑฺโฒ ป. ๘) วัดอินทาราม9
๒๓. พระศรีสมโพธิ (เสงี่ยม จนฺทสิริ ป. ๖) วัดสุทัศนเทพวราราม10
๒๔. พระภัทรมุนี (อ๋ิน ภทฺรมุนี ป. ๙) วัดทองนพคุณ11

1 พระมหาโพธิวงศาจารย์ นามเดิม สาลี โคตรสุทธิ เกิดเมื่อวันท่ี ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๗ ด�ำรงต�ำแหน่งต่าง ๆ เช่น
ประธานกรรมการรักษาการเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม เจ้าอาวาสวัดอนงคาราม กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นต้น มรณภาพเม่ือ
วนั ที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ สิริอายุ ๘๔ ปี พรรษา ๖๓
2 พระเทพสิทธินายก นามเดิม นาค มะเริงสิทธ์ิ เกิดเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๗ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาสวัดระฆัง
โฆสิตาราม มรณภาพเมอื่ วันท่ี ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๔ สริ ิอายุ ๘๖ ปี พรรษา ๖๖
3 สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ นามเดิม วิน ทีปานุเคราะห์ เกิดเม่ือวันท่ี ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๙ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาส
วดั ราชผาตกิ าราม มรณภาพเม่อื วนั ท่ี ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖ สริ ิอายุ ๘๖ ปี พรรษา ๖๕
4 พระสาสนโสภณ นามเดิม เอื้อน สุดเฉลียว เกิดเม่ือวันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๒ ด�ำรงต�ำแหน่ง เจ้าอาวาส
วดั เทพศิรินทราวาส มรณภาพเมอ่ื วันท่ี ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ สริ อิ ายุ ๗๘ ปี พรรษา ๕๘
5 พระมหารัชชมังคลาจารย์ นามเดิม เทศ วิทยานุกรณ์ เกิดเมื่อวันท่ี ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๙ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาส
วัดสมั พนั 6ธ วพงรศะาเรทามพปมรรยิณตั ภิ นาาพมเมเดือ่ มิ วันดำ�ที่ค๒ง๖คณุ พเฤกษดิ ภเมาอื่ควมนั พท.ี่ศ๒.๐๒ม๕ก๑ร๐าคสมิรพิอา.ศย.ุ ๘๐ ปี พรรษา ๖๑
๒๔๓๑ ดำ� รงตำ� แหนง่ เจา้ อาวาสวดั ปทมุ คงคา มรณภาพ
เมอื่ วันท่ี ๓๐ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๑๓ สิริอายุ ๘๒ ปี พรรษา ๖๑
7 สมเด็จพระวันรัต นามเดิม ทรัพย์ สุนทรรัตต์ เกิดเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๗ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาส
วัดสังเวชวศิ ยาราม มรณภาพเม่ือวันท่ี ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ สิริอายุ ๗๒ ปี
8 พระพทุ ธวิ งศาจารย์ (ปลด พรฺ หมฺ สโร) เกดิ เมอื่ วนั ที่ ๒๑ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๓๙ ดำ� รงตำ� แหนง่ ผชู้ ว่ ยเจา้ อาวาสวดั เบญจมบพติ ร
ดุสติ วนาราม เจา้ คณะอ�ำเภอดสุ ิต มรณภาพเมื่อวนั ท่ี ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๘
9 พระวเิ ชยี รมนุ ี (พนั จิรวฑโฺ ฒ) อดตี เจา้ อาวาสวัดอนิ ทาราม

10 สมเด็จพระพุฒาจารย์ นามเดิม เสง่ียม วิโรทัย เกิดเม่ือวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๓ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาส
วดั สทุ ัศนเทพวราราม มรณภาพเม่ือวัน ท่ี ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๖ สริ ิอายุ ๘๒ ปี พรรษา ๖๑
11 พระภัทรมุนี (อิ๋น ภทฺรมุนี) เกิดเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาสวัดทองนพคุณ และสมาชิก
สงั ฆสภา มรณภาพเม่อื วนั ท่ี ๓๑ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๐๔

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 553

๒๕. พระวีรธรรมมุนี (ไสว ฐิตวีโร ป. ๗) วัดไตรมิตรวิทยาราม1
๒๖. พระสุธรรมมุนี (ฟุ้ง ปุณฺณโก ป. ๓) วัดพระเชตุพน2
๒๗. พระวิสุทธิญาณมุนี (สุด ฐิตวีโร ป. ๙) วัดมหาพฤฒาราม3
๒๘. พระอมรมุนี (จับ ฐิตธมฺโม ป. ๙) วัดโสมนัสวิหาร4
๒๙. พระอมรเวที (สนั่น จนฺทโชโต ป. ๙) วัดนรนาถสุนทริการาม5
๓๐. พระวิสุทธิโสภณ (ปลอด กมุทฺโท ป. ๙) วัดสระเกศ6

เจริญพระพุทธมนต์ท่ีพระท่ีนั่งจักรพรรดิพิมาน

๑. พระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ ป. ๖) วัดบวรนิเวศวิหาร
๒. พระธรรมโกศาจารย์ (ปลอด อตฺถการี ป. ๙) วัดราชาธิวาส
๓. พระธรรมปาโมกข์ (วาศน์ วาสโน ป. ๔) วัดราชบพิธ
๔. พระเมธาธรรมรส (ทิม อุฑาฒิโม ป. ๕) วัดราชประดิษฐ์
๕. พระปริยัติเมธี (หิ้น คนฺถโร ป. ๖) วัดมกุฏกษัตริยาราม

น่ังปรกสวดภาณวารท่ีพระท่ีนั่งอมรินทรวินิจฉัย

๑. พระรัตนธัชมุนี (จู อิสฺสรญาโณ ป. ๗) วัดบวรนิเวศวิหาร
๒. พระรัชชมงคลมุนี (เทศ นิเทสโก) วัดสัมพันธวงศ์
๓. พระอมรเวที (สน่ัน จนฺทโชโต ป. ๙) วัดนรนาถสุนทริการาม

1 พระวิสุทธาธิบดี นามเดิม ไสว วีรธรรมานุศาสก์ เกิดเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๒ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาส
วดั ไตรมิตรวทิ ยาราม มรณภาพเม่อื วันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ สิริอายุ ๗๙ ปี พรรษา ๕๗

2 พระธรรมเสนานี (ฟุ้ง ปุณฺณโก) เกิดเม่ือวันที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๐ ด�ำรงต�ำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน
วิมลมังคลาราม และรักษาการเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม มรณภาพเมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ สิริอายุ
๘๘ ปี

3 พระเทพวสิ ทุ ธิเวที เกิดเมอ่ื วนั ท่ี ๖ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ ดำ� รงตำ� แหน่งเจ้าอาวาสวดั มหาพฤฒาราม มรณภาพเม่อื วันที่ ๗
เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๑ สริ อิ ายุ ๗๖ ปี พรรษา ๕๗

4 สมเดจ็ พระวันรัต นามเดิม จับ สุนทรมาศ เกิดเมื่อวันท่ี ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๙ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโสมนัส
วิหาร มรณภาพเม่อื วนั ที่ ๑๗ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๓๙ สริ ิอายุ ๘๙ ปี พรรษา ๗๐

5 สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ นามเดิม สน่ัน สรรพสาร เกิดเมื่อวันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๑ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาส
วัดนรนาถสุนทริการาม พระอารามหลวง มรณภาพเม่ือวันท่ี ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๑ สิริอายุ ๙๐ ปี อนึ่ง ในท�ำเนียบ
พระสงั ฆาธิการ ระบุฉายาว่า “จนทฺ ปชฺโชโต”

6 พระวสิ ุทธิโสภณ (ปลอด กมุทฺโท) ดำ� รงต�ำแหน่งผูช้ ่วยเจา้ อาวาสวดั สระเกศ

554 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

๔. พระโศภนคณาภรณ์ (เจริญ สุวฑฺฒโน ป. ๙) วัดบวรนิเวศวิหาร
๕. พระเนกขัมมมุนี (เฉย ยโส ป. ๗) วัดสัมพันธวงศ์
๖. พระมงคลเทพมุนี (สาลี อินฺทโชโต) วัดอนงคาราม
๗. พระวรญาณมุนี (เสถียร ธมฺมสาโร ป. ๙) วัดจักรวรรดิราชาวาส
๘. พระธรรมรังสี (ปาน อินฺทโชติ ป. ๓) วัดเทพธิดาราม
๙. พระวิสุทธิโสภณ (ปลอด กมุทฺโท ป. ๙) วัดสระเกศ
๑๐. พระสุธรรมธีรคุณ (วงศ์ จนฺทวํโส ป. ๕) วัดสระเกศ
๑๑. พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (โสม ฉนฺโน ป. ๕) วัดสุทัศนเทพวราราม
๑๒. พระศรีสมโพธิ (เสง่ียม จนฺทสิริ ป. ๖) วัดสุทัศนเทพวราราม
๑๓. พระอริยมุนี (หว่าง ธมฺมโชโต ป. ๓) วัดเทวราชกุญชร
๑๔. พระศรีสัจจญาณมุนี (สนธ์ิ ยตฺติธโร ป. ๗) วัดสุทัศนเทพวราราม
๑๕. พระธรรมปหังษนาจารย์ (เชื้อ จนฺทโชโต ป. ๔) วัดประยุรวงศาวาส

รายนามคณะทูตานุทูตถวายพระพรชัย

List of Members of the Deplomatic Corps
& Consular Representatives
GREAT BRITAIN

H.E. Sir Geoffrey Harington Lady Thompson
Thompson, K.C.M.G., Mme. Whittington
Embassador
Monsieur Richard Whittington, Mme. Townsend
C.B.E., Counsellor Mme. Wainright
Monsieur G.C.L. Crichton,
C.S.I., C.I.E., Counsellor
Commander D.F. Townsend,
R. N., Naval Attache
Colonel V.L.M. Wainright,
O.B.E., M.C., Military
Attache

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 555

Wing - Commander J.N.H. Mme. Whitworth
Whitworth, D.S.O., D.S.C.,
R.A.F., Air Attache Mme. Anderson
Miss E. M. Hinder, Mme. Garnett
Attache Mme. Rivett - Carnac
Monsieur C.M. Anderson, Mme. Rabbetts
1st Secretary
Monsieur Bernard John Garnett, Mme. Batwell
O.B.E., 1st Secretary Mme. Evans
(Commercial)
Monsieur D.C. Rivett - Carnac, Mme. Stopford - Adams
1st Secretary Mme. Cowan
(Information) Mme. Leete
Monsieur G.C. Rabbetts, M.B.E.,
1st Secretary
Monsieur E.T.D. Lambert, O.B.E.,
1st Secretary
Monsieur A.K. Rothnie,
2nd Secretary
Monsieur Desmon Alexander
Batwell, 2nd Secretary
(Commercial)
Monsieur A.G. Evans,
2nd Secretary
Monsieur Roy Tristram, O.B.E.
2nd Secretary (Information)
Monsieur D.J. Stopford - Adams,
2nd Secretary
Monsieur John Cowan,
2nd Secretary
Monsieur Joseph Leete,
3rd Secretary

556 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

Monsieur Andrian Clarence Mme. Eagling
Buxton, 3rd Secretary
(Commercial)
Monsieur E.R.C. Holland,
3rd Secretary
Monsieur A.M. Berriff,
3rd Secretary
Rev. C.J. Eagling,
Honorary Chaplain.

UNITED STATES OF AMERICA

H.E Monsieur Edwin F. Mme. Stanton
Stanton, Ambassador Mme. Stone
Monsieur John F. Stone,
1st Secretary Mme. Mc Quillen
Colonel George W. Hansen, Mme. Sheldon
Senior Military Attache & Air Attache Mme. Deming
Colonel Francis J. Mc Quillen, Mme. Quate
Naval Attache & Attache for Air Mme. O’Connor
Colonel Charles A. Sheldon, Mme. Parker
Army Attache
Monsieur Olcott H. Deming,
1st Secretary (Public Affairs)
Monsieur Graham S. Quate,
Attache (Agriculture)
Monsieur Eugene F. O’Connor,
III Attache (Information)
Monsieur Loenidas M Parker,
Assistant Attache (Administration)

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 557

Monsieur Rolland H. Bushner, Mme. Stryker
2nd Secretary Mme. Felton
Monsieur George Widney, Mme. Anderson
2nd Secretary (Information) Mme. O’Donnell
Monsieur Gerald Stryker, Mme. Hannah
2nd Secretary
Major George B. Felton. Assistant Mme. Sun
Air Attache Mme. Ou - Yang
Monsieur William O. Anderson Mme. Chen
Assistant Attache Mme. Chen
(Commercial) Mme. Chien
Monsieur John F. O’Donnel. Jr.,
3rd Secretary
Monsieur Norman B. Hannah,
3rd Secretary
Monsieur Robert L. Brown,
Vice - Consul.

CHINA

H.E. Monsieur Pao - Chao
Hsieh, Ambassador
Monsieur Patrick Pichi Sun,
Councellor
Monsieur Ou - Yang Shun,
1st Secretary
Major Chen Tzen - hsi,
Military Attache
Monsieur Yu Fu Chen,
1st Secretary
Monsieur Chien Wen Sze,
2nd Secretary

558 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

Monsieur Chin Wu, Mme. Chin
3rd Secretary Mme. Chen
Monsieur Chen Pi - Po, Mme. Tseng
Attache Mme. Yep
Monsieur Tseng Chien - Ping, Mme. Cheng
Attache Mme. Sun
Monsieur Yep Chi - Yin, Mme. Yoh
Attache
Monsieur Chen Chia Chi, Mme. Hla Maung
Attache Mme. Than
Monsieur Sun Ping Chien, Mme. Ba Set
Consul - General
Monsieur Yoh Luen, Mme. Marchal
Consul.

BURMA

H.E. U Hla Maung,
Ambassador
U Than Hla,
1st Secretary
U Ba Set,
3rd Secretary
U Hla Aung,
3rd Secretary
Saw Burgess,
3rd Secretary

FRANCE

H.E. Monsieur Loen Marchal
Ambassador

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 559

Count Jean de la Grandville, Countess de la Grandville
Counsellor Mme. Nong
Colonel Jean Robert Glain,
Military, Naval & Air Attache
Monsieur Kimny Nong,
1st Secretary
Monsieur Michel Cadol,
2nd Secretary
Captain Louis - Jacques Rollet - Andriane,
Assistant Military, Naval & Air Attache
Monsieur Jacques Boizet,
3rd Secretary
Monsieur Charles Cunty,
3rd Secretary.

NORWAY

H.E. Monsieur Nicolai Aall, Mme. Rose - Anderssen
Minister Mme. Gullestad
Monsieur Knut Myre,
Secretary
Monsieur Rolf Rose - Anderssen,
Consul - General
Monsieur Kaare Lysgaard Gullestad,
Vice - Consul.

UNION OF SOVIET SOCIALIST REPUBLICS

H.E. Monsieur Sergei S. Nemtchina, Mme. Nemtchina
Minister Mme. Kozlov
Monsieur Dmitri V. Kozlov,
Commercial Councellor

560 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

Monsieur Igor G. Usatchev, Mme. Usatchev
2nd Secretary Mme. Nejinskii
Monsieur Valentin A. Nejinskii, Mme. Semenovitch
2nd Secretary Mme. Moshkov
Monsieur Nikolai Semenovitch, Mme. Drugov
3rd Secretary
Monsieur Vasiliy M. Moshkov,
Attache
Monsieur Yourii D. Drugov,
Attache.

INDIA

H.E. Monsieur Bhagwat Dayal, Mme. Dayal
Minister Mme. Roy
Monsieur S.K. Roy, Mme. Vibhakar
2nd Secretary
Monsieur H.N. Vibhakar,
1st Secretary (Commercial).

DENMARK

H.E. Monsieur Alex Morch, Mme. Morch
Minister Mme. Nielsen
Monsieur Axel Immanuel Nielsen,
Counsul - General

NETHERLANDS

H.E. Monsieur Carl Willem Alwin Mme. Schürmann
Schürmann Minister

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 561

Monsieur P.A.E. Renardel de Mme. de Lavalette
Lavalette, Attache Mme. Cramer
Monsieur P.F.H. Maramis, Mme. Imperial
Attache Mme. Alejandrino
Monsieur P. Cramer, Mme. Banzon
Attache.
Mme. Enstedt
PHILIPPINES Mme. Daeniker

H.E. Monsieur Domingo
Imperial Minister
Monsieur Jose Alejandrino,
1st Secretary
Major V.H. Banzon, Military
Attache
Monsieur Carlos A. Faustino,
3rd Secretary

SWEDEN

H.E. Monsieur Torsten Hammarstrom,
Minister
Monsieur Folke Georg Enstedt,
Consul - General

SWITZERLAND

H.E. Monsieur Armin Daeniker,
Minister
Monsieur Paul Louis Lenzinger,
Consul

562 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

ITALY

H.E. Monsieur Enrico Menzinger Mme. Preisenthal
di Preisenthal, Minister
Monsieur Goffredo Bovo,
Consul - General,

BELGIUM

Monsieur Louis de San, Mme. de San
Charge d’Affaires.

UNITED STATES OF INDONESIA

Monsieur Izak Mahdi, Mme. Mahdi
Charge d’Affaires
Monsieur Abdullah Kamil,
2nd Secretary
Monsieur Raden Tamtomo,
3rd Secretary

AUSTRALIA

Monsieur Allan Henry Loomes, Mme. Loomes
Consul - General,

PORTUGAL

Monsieur Humberto Alves Morgado Mme. Morgado
Consul,

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 563

ระเบียบถวายดอกไม้ธูปเทียน

วันท่ี ๗ ท่ี ๘ พฤษภาคม ๒๔๙๓
(๑) ดอกไม้ธูปเทียน ควรมีพานสีทองรอง
(ก) เทียนแพ
(ข) ธูปแพ
(ค) กะทงดอกไม้มีกรวยคลุม
(๒) ควรมีผู้เชิญพานดอกไม้ธูปเทียนเตรียมไว้ และคอยดูผู้ถวาย
(๓) เม่ือถึงก�ำหนดทบวงการใด ผู้เชิญพานดอกไม้ธูปเทียนเชิญพานน้ันเดินเข้าไปถวายค�ำนับแล้วตั้ง
เหนือโต๊ะหน้าพระท่ีน่ังท่ีเตรียมไว้ ถวายค�ำนับแล้วถอยกลับ
(๔) หัวหน้าทบวงการเดินเข้าไปถวายค�ำนับแล้ว ยืนที่หลังโต๊ะดอกไม้ธูปเทียน มีข้าราชการผู้ใหญ่
ตามไปพองาม หรือไม่มีก็ได้
(๕) ข้าราชการในสังกัดนั้นต้องคอยดูหัวหน้าและต้องยืนทุกคน
(๖) หัวหน้าเดินไปเปิดคลุมดอกไม้ วางคลุมไว้ข้าง ๆ
(๗) หัวหน้าทบวงถวายค�ำนับ ข้าราชการในสังกัดน้ันถวายค�ำนับทุกคน
(๘) เสร็จแล้ว หัวหน้าทบวงถวายค�ำนับอีกคร้ัง ๑ แล้วเดินกลับมาน่ังท่ีเดิม ข้าราชการในสังกัดนั่งได้
(๙) มหาดเล็กจะถอนจ�ำเพาะดอกไม้ธูปเทียนไป
(๑๐) ผู้เชิญพานเดินเข้าไปถวายค�ำนับแล้วถอนพาน ถวายค�ำนับแล้วกลับ

ประวัติน้�ำอภิเษก

คณะกรมการจังหวัดเรียบเรียงส่งมา

๑. จังหวัดสระบุรี

น้�ำอภิเษก ๑. น้�ำท่าราบ
๒. น้�ำสรงรอยพระพุทธบาท
สถานท่ีประกอบพิธีน�้ำอภิเษก พระมณฑปพระพุทธบาท
ประธานพิธี นายชุบ พิเศษนครกิจ1
ข้าหลวงประจ�ำจังหวัดสระบุรี

1 คือ ขนุ พิเศษนครกิจ (ชุบ กลิน่ สุคนธ)์ ขา้ หลวงประจำ� จังหวดั สระบุรี พ.ศ. ๒๔๙๒ - ๒๔๙๔

564 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

ประธานพิธีสงฆ์ พระธรรมปาโมกข์ (วาศน์ วาสโน)
เจ้าคณะตรวจการภาค ๑
ประวัติน�้ำอภิเษก
๑. น�้ำท่าราบ
บ้านท่าราบ ต้ังอยู่ริมแม่น้�ำแควป่าสักฝั่งเหนือ ต�ำบลบ้านตาล อ�ำเภอเสาไห้ท่ีเรียกขานกันว่า “บ้าน
ท่าราบ” เพราะพื้นที่ตรงน้ันนับแต่ระดับพื้นดินบนฝั่งแม่น�้ำมาจนถึงหาดทรายในล�ำน�้ำแควป่าสักราบเรียบ
ลดหล่ันกันลงมาจดหาดทราย คือตลิ่งไม่สูงชันเหมือนแห่งอ่ืน ๆ ในสองฟากแห่งล�ำน้�ำป่าสัก เป็นท�ำเลท่ี
ผิดแปลกจึงได้เรียกขานกันว่า ท่าราบ ตามสภาพของพ้ืนท่ีน้ัน
ความส�ำคัญของบ้านท่าราบมีประวัติว่า พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฎ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเลียบล�ำน�้ำแถวป่าสักโดยขบวนเรือ เนื่องจากล�ำน้�ำแควป่าสักในสมัยนั้น
ฤดูแล้งต้ืนเขิน ขบวนเรือท่ีเสด็จต้องใช้เรือขนาดเล็ก ถึงตอนใดเป็นแก่งหรือหาดทราย กรมการเมืองก็เกณฑ์
ราษฎรมาคอยเข็นเรือขบวนเสด็จ โดยเฉพาะหาดพระยาทศ หาดท่าราบ หาดต้นตาล เป็นหาดทรายพืดใหญ่
ติดต่อกัน ชาวบ้านสองฟากล�ำน้�ำตอนน้ีเป็นผู้มีเช้ือสายชาวภาคพายัพ ผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านที่มีเชื้อสายชาว
ภาคพายัพ ได้จัดหญิงสาวรูปงาม แต่งตัวเย่ียงชนภาคพายัพไว้เป็นผู้คอยเข็นเรือเสด็จ ตลอดจนการรับเสด็จ
ตามขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมของภาคพายัพ เมื่อขบวนเรือเสด็จมาถึง จ่ึงเป็นท่ีพอพระราชหฤทัยมาก
ได้เสด็จขึ้นเหยียบหาดทรายท่าราบ พระราชทานสิ่งของเงินทองเป็นรางวัลแก่หญิงสาวที่มาเข็นเรือพระที่น่ัง
และบรรดาหัวหน้าหมู่บ้านที่มาจัดการรับเสด็จแล้วเลยเสด็จสรงน�้ำท่ีหาดท่าราบ เน่ืองจากพื้นน�้ำตรงท่าราบนี้
เป็น “วัง” น้�ำน่ิงและลึก จ่ึงใสเย็นกว่าแห่งอื่นเป็นท่ีพอพระราชหฤทัย น่าจะเป็นเพราะเหตุน้ี นับแต่น้ันมา
ได้ถือว่าน้�ำท่าราบเป็นน้�ำศักดิ์สิทธ์ิ เม่ือมีการประกอบพิธีท�ำน�้ำอภิเษกฝ่ายภูมิภาคในรัชกาลต่อมาจ่ึงได้ตักน�้ำ
บ้านท่าราบไปเข้าพระราชพิธีสืบมา

๒. น้�ำสรงรอยพระพุทธบาท
พิธีสรงน้�ำรอยพระพุทธบาท วันท่ี ๑๖ มีนาคม ๒๔๙๓ ข้าหลวงประจ�ำจังหวัดได้ไปยังมณฑป
พระพุทธบาท เจ้าพนักงานรักษาพระพุทธบาทเปิดพระมณฑป และตั้งเคร่ืองสักการะบูชารอยพระพุทธบาท
ข้าหลวงประจ�ำจังหวัดจุดธูปเทียน เคร่ืองสักการะบูชารอยพระพุทธบาท สรงน�้ำรอยพระพุทธบาทเจือด้วย
น้�ำสุคนธ์แล้วตักน�้ำในรอยพระพุทธบาท เชิญลงในหม้อน้�ำลายคราม น�ำมาต้มกรองใส่ในหม้อน�้ำผูกผ้าขาว
ไปเข้าพิธีท�ำน�้ำอภิเษก
ประวัติสถานที่ประกอบพิธีน้�ำอภิเษก พระพุทธบาท ในรัชกาลพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ. ๒๑๖๓ -
๒๒๗๑)1 มีภิกษุสงฆ์ไทยพวกหนึ่งออกไปถึงลังกาทวีป จะไปบูชารอยพระบาทท่ีเขาสุมนกูฏ พระสงฆ์ลังกาถาม
ว่า รอยพระพุทธบาทที่มีอยู่ ๕ รอยน้ัน เขาสุวรรณบรรพตก็อยู่ในประเทศไทย ไทยไม่ไปบูชารอยพระพุทธบาท

1 ที่ถกู ควรเปน็ พ.ศ. ๒๑๖๓ - ๒๑๗๑

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 565

พระแท่นมณฑล จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประกาศเทวดา จังหวัดสระบุรี

น้�ำอภิเษก จังหวัดอุบลราชธานี จุดเทียนพิธี จังหวัดนครราชสีมา

566 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

ท่ีนั่นดอกหรือ จึงต้องออกไปบูชาถึงลังกาทวีป พระภิกษุสงฆ์พวกนั้นกลับน�ำความมาทูลพระเจ้าทรงธรรม
จึงโปรดให้มีตราส่ังหัวเมืองให้เที่ยวตรวจค้นดูตามภูเขาว่าจะมีรอยพระพุทธบาทอยู่ ณ ท่ีแห่งใดหรือไม่ คร้ังน้ัน
ผู้ว่าราชการเมืองสระบุรีสืบได้ความจากพรานบุญว่า ครั้งหนึ่งไปไล่เน้ือในป่าที่ริมเชิงเขา ยิงถูกเน้ือเจ็บล�ำบาก
หนีขึ้นไปบนไหล่เขาเข้าเชิงไม้ไป พอบัดเด๋ียวเห็นเน้ือตัวน้ันวิ่งออกจากเชิงไม้ไปเป็นปกติดังเก่า พรานบุญนึก
ประหลาดใจจึงข้ึนไปดูบนไหล่เขานั้น เห็นมีรอยอยู่ในศิลาเหมือนรูปเท้าคน ขนาดยาวสักศอกเศษ และมี
น�้ำขังอยู่ในนั้น ก็ส�ำคัญว่าเนื้อคงหายบาดแผลเพราะกินน�้ำนั้น จึงตักเอามาลองทาตัวดู กลากเกลื้อนท่ีเป็นอยู่
ช้านานก็หายหมด ผู้ว่าราชการเมืองสระบุรีไปตรวจเห็นมีรอยจริงดังพรานบุญว่า จึงบอกเข้ามายังกรุงศรีอยุธยา
พระเจ้าทรงธรรมเสด็จออกไปทอดพระเนตร ทรงพระราชด�ำริว่าคงเป็นรอยพระพุทธบาทตรงตามที่ลังกาบอก
มาเป็นแน่แท้ ก็ทรงพระโสมนัสศรัทธา ด้วยเห็นว่าเป็นบริโภคเจดีย1์ เนื่องชิดติดต่อถึงพระพุทธองค์ประเสริฐ
กว่าอุเทสิกเจดีย์2 เช่นพระพุทธรูปและพระสถูปเจดีย์ ซึ่งเป็นของสร้างข้ึนโดยสมมุติ จึงโปรดให้สร้างเป็นมหา
เจดีย์สถาน มีพระมณฑปสรวมรอยพระพุทธบาท และสังฆารามท่ีพระภิกษุสงฆ์อยู่บริบาล และสร้างบริเวณ
พระราชนิเวศน์ที่เชิงเขาพระพุทธบาทแห่ง ๑3 ท่ีท่าเจ้าสนุกริมล�ำน้�ำสัก4แห่ง ๑ ส�ำหรับประทับเวลาเสด็จไป
บูชา5 แล้วโปรดให้ช่างฝรั่ง (ฮอลันดา) ส่องกล้องท�ำถนนแต่ท่าเรือข้ึนไปจนถึงเขาสุวรรณบรรพต เพ่ือให้เป็น
ทางมหาชนไปมาได้โดยสะดวก6 และทรงพระราชอุทิศท่ีโยชน์หนึ่งโดยรอบรอยพระพุทธบาทถวายเป็น
พุทธบูชากัลปนาผล ซ่ึงได้เป็นส่วนของหลวงในที่น้ัน ส�ำหรับใช้จ่ายในการรักษามหาเจดีย์สถานท่ีใน
พระพุทธบาท และโปรดให้บรรดาชายฉกรรจ์อันตั้งภูมิล�ำเนาอยู่ในเขตที่ทรงพระราชอุทิศน้ัน พ้นจากหน้าท่ี
ราชการอ่ืนจัดให้เป็นพวกขุนโขลน ข้าพระปฏิบัติรักษาพระพุทธบาทแต่อย่างเดียว7 ที่บริเวณซึ่งทรงพระราช
อุทิศนั้นก็ได้นามว่าเมืองปรันตะปะ8เรียกกันเป็นสามัญว่าเมืองพระพุทธบาท และเกิดเทศกาลมหาชนข้ึนไป
บูชาพระพุทธบาท กลางเดือน ๓ คร้ังหนึ่ง กลางเดือน ๔ คร้ังหนึ่ง แต่น้ันมา.



1 บรโิ ภคเจดยี ์ คอื สงิ่ หรอื สถานทท่ี พี่ ระพทุ ธเจา้ เคยทรงใชส้ อย อยา่ งแคบหมายถงึ ตน้ โพธ์ิ อยา่ งกวา้ งหมายถงึ สงั เวชนยี สถาน
๔ ตลอดจนส่งิ ทงั้ ปวงทพี่ ระพุทธเจา้ เคยทรงบรโิ ภค เช่น บาตร จวี ร และบรขิ ารอืน่ ๆ เป็นตน้

2 อเุ ทสกิ เจดยี ์ คอื สงิ่ ทส่ี รา้ งขน้ึ โดยเจตนาอทุ ศิ แกพ่ ระพทุ ธเจา้ หรอื แทนองคพ์ ระพทุ ธเจา้ เชน่ เจดยี ์ บลั ลงั ก์ รอยพระพทุ ธบาท
พระพทุ ธรูป พระพมิ พ์ เป็นตน้

3 คอื พระตำ� หนักท้ายพกิ ลุ ต�ำบลพระพทุ ธบาท อำ� เภอพระพทุ ธบาท จังหวัดสระบรุ ี
4 คือ แม่นำ�้ ปา่ สกั
5 คือ พระต�ำหนกั ท่าเจ้าสนุก
6 หมายถึง ถนนฝร่งั สอ่ งกลอ้ ง ปจั จบุ ันคือ ถนนพระเจ้าทรงธรรม
7 ราชทินนามบรรดาศักด์ิประจ�ำต�ำแหน่งผู้รักษาการพระพุทธบาท หัวหน้าเป็นที่ขุนสัจจพันธ์คีรี ศรีรัตนไพรวัน เจติยาสัน
คามวาสี นพคหู าพนมโขลน รองลงมาเปน็ ทห่ี มน่ื สวุ รรณปราสาท หมน่ื แผว้ อากาศ หมนื่ ชนิ ธาตุ หมนื่ ศรสี ปั บรุ ษุ เปน็ ผรู้ กั ษาเฉพาะองค์
พระมณฑป ต้งั นายทวารบาล ๔ นาย เป็นที่หมน่ื ราชชำ� นาญทมุนิน หม่นื อินทรรกั ษา หมืน่ บชู าเจดยี ์ หม่ืนศรพี ทุ ธบาล โปรดเกลา้ ฯ
ให้ต้ังผู้รักษาคลังเป็นท่ีขุนอินทรพิทักษ์ ขุนพรหมรักษา หม่ืนพิทักษ์สมบัติ หม่ืนพิทักษ์รักษา ให้มีผู้ประโคมยามประจ�ำทั้งกลางวัน
กลางคนื ต้งั เป็นทหี่ ม่ืนสนนั่ ไพเราะ หม่นื เสนาะเวหา พนั เสนาะ รองเสนาะ
8 แต่เดมิ เรียกกนั วา่ เมืองขีดขิน เม่ือพบรอยพระพทุ ธบาทแล้ว จึงเรียกวา่ เมืองปรันตปะใหต้ ้องตามตำ� นานพระพุทธบาท

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 567

๒. จังหวัดพิษณุโลก

น�้ำอภิเษก น้�ำทะเลแก้ว
สถานท่ีประกอบพิธีน้�ำอภิเษก วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
ประธานพิธี ขุนจรรยาวิเศษ (เที่ยง บุณยนิตย์)
ข้าหลวงประจ�ำจังหวัดพิษณุโลก
ประธานพิธีสงฆ์ พระพิษณุบุราจารย์ (แพ พากุโล)1
เจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก
ประวัติน้�ำอภิเษก น�้ำทะเลแก้ว
ทะเลแก้ว อยู่ในต�ำบลบ้านกร่าง และต�ำบลวัดจันทร์ อ�ำเภอเมืองพิษณุโลก มีขนาดกว้างประมาณ
๓.๒ กิโลเมตร ยาว ๔ กิโลเมตร เดิมหน้าน�้ำมีน้�ำลึกประมาณ ๖ เมตร มีทางน�้ำติดต่อกับคลองบางแก้วซึ่งไหล
ไปบรรจบกับแม่น้�ำยมในอ�ำเภอบางระก�ำ จังหวัดพิษณุโลก บริเวณทะเลแก้วโดยรอบเป็นป่าใหญ่ ป่าพง
ป่าอ้อ ป่าละเมาะและป่าโป่ง มีนาอยู่บ้างตามขอบ มีวัดร้างหลายวัดอยู่เรียงรายทางทิศตะวันตกและทิศเหนือ
แต่บัดนี้น�้ำได้ตื้นเขินจนกลายเป็นท่ีท�ำนาเสียโดยมาก มีงูและปลาชนิดต่าง ๆ ชุกชุมอยู่ทางด้านตะวันตกของ
ท่ีต้ังเมืองพิษณุโลก มีระยะทางประมาณ ๘ ก.ม.เศษ และอยู่ด้านใต้ของทางหลวงแผ่นดินสาย ๙ ห่างจาก
ทางหลวงประมาณ ๒ ก.ม.เศษ เล่ากันว่าในทะเลแก้วนี้เคยมีผู้พบเรือส�ำเภาล่มอยู่กลางทะเลน้ีโดยมีทราก
เสากะโดงเรือให้เห็น สันนิษฐานกันว่าแต่ก่อนทะเลแก้วน้ีเคยกว้างใหญ่และลึกมาก อุดมสมบูรณ์ด้วย
พันธปุ์ ลานานาชนดิ ราษฎรจบั ปลาอนั มีค่าไปจำ� หน่ายในต่างท้องที่จนถึงกับมเี รือใหญ่ ๆ ของชาวจีน (เรอื สำ� เภา
ตามที่ชาวบ้านเรียก) เข้าไปมาค้าขาย บางล�ำอาจล่มอยู่ในกลางทะเลน้ี บ้างก็สันนิษฐานว่าอาจเป็นเรือของ
เจ้านายเมื่อคร้ังก่อนมีไว้ประจ�ำส�ำหรับเสด็จประพาสพระส�ำราญในทะเลแก้วนี้ แต่เด๋ียวนี้ไม่มีทรากเสากะโดง
เหลืออยู่เลย เพื่อประกอบข้อเท็จจริงได้สอบถามหมื่นด�ำริสถลมารคก�ำนันเก่า ผู้ท่ีอยู่ใกล้ทะเลแก้วซึ่งมีอายุได้
๖๙ ปี กับนายแก้วอยู่บ้านคลอง อายุ ๘๕ ปีแล้ว ได้ความว่าในช่ัวอายุของเขาไม่เคยเห็นเสากะโดงส�ำเภาเลย
เพียงแต่ได้ยินคนเล่าสืบ ๆ กันมา แต่ก่อนมาเคยได้เห็นทางราชการไปท�ำพิธีบวงสรวงพลีกรรมเอาน้�ำทะเลแก้ว
มาท�ำน้�ำอภิเษกในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมาทุก ๆ รัชกาล พวกหาปลาก่อนจะลงจับปลาจะต้องต้ัง
ศาลเพียงตา มีหัวหมู บายศรีบวงสรวง ถ้าผู้ใดไม่ท�ำการบวงสรวงมักจะถูกงูพิษกัดตาย เล่ากันว่าสุกรได้
คาบแก้วดวงหน่ึงมาจากทะเลแก้ว มาวางลงที่กลางทุ่งบ้านคลองตอนหน่ึง วางแก้วลงที่บ้านคลองตอนหน่ึง
วางลงท่ีข้างวัดคูหาสวรรค์อีกตอนหนึ่ง ในที่สุดสุกรได้คาบแก้วไปวางไว้ที่สระแห่งหน่ึงจึงเรียกว่าสระแก้วมา
จนทุกวันน้ีท่ีซึ่งสุกรคาบแก้วมาวางไว้ทั้ง ๓ ระยะน้ัน มีวัดร้างชื่อ “แก้ว” อยู่ทั้ง ๓ แห่งจนบัดน้ี

1 พระพิษณุบุราจารย์ (แพ พากุโล) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เกิดเมื่อวันท่ี ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๑
มรณภาพเมือ่ วนั ท่ี ๙ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๑๕ สิรอิ ายุ ๗๔ ปี

568 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

สระแก้ว เป็นสระใหญ่อยู่นอกเมืองพิษณุโลกทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ คือเป็นบริเวณท่ีต้ังโรงพยาบาล
พุทธชินราชปัจจุบันนี้ ถ้าข้ึนรถไฟไปพิษณุโลกพอจวนจะถึงสถานีพิษณุโลกจะต้องผ่านสระแก้วน้ีก่อน เพราะ
ทางรถไฟสายเหนือได้ตัดผ่านไปตอนกลางสระน้ี แต่เดิมเป็นสระท่ีมีน้�ำขังอยู่เสมอ มีทางไขน�้ำเข้าออกไปจาก
แม่น�้ำน่าน และยังมีเกาะกลางสระเหลืออยู่พอเป็นเค้าได้บ้างแต่เม่ือสร้างทางรถไฟผ่านไปแล้วก็ต้ืนเขินจน
ท�ำนาได้ในบัดนี้ สระแก้วน้ีแต่โบราณมีต�ำหนักราชฐานเป็นที่ประทับประพาสของเจ้านายท่ีครองเมืองพิษณุโลก
คล้ายสระปทุมวันที่กรุงเทพฯ ถึงแม้กษัตริย์ในราชวงศ์จักรีแต่ก่อน ก็เคยเสด็จประพาสเกาะนี้ และว่าเป็น
ท่ีท�ำพิธีสรงสนานของพระมหากษัตริย์เม่ือเวลามีชัยชะนะข้าศึกในคร้ังโบราณด้วย แต่ก่อนเป็นสระท่ี
กว้างขวางสวยงามมาก ทางราชการได้พลีกรรมเอาน�้ำในสระแก้วน้ีไปท�ำน้�ำอภิเษก ส่วนภูมิภาคเพื่อใช้ในพิธี
บรมราชาภิเษกทุก ๆ รัชกาลมาแล้ว แต่เด๋ียวน้ีน้�ำต้ืนเขินสกปรกและเป็นท่ีปล่อยท่อประธานของเทศบาล
เมืองพิษณุโลก การท�ำน้�ำอภิเษกครั้งน้ีมติที่ประชุมคณะกรมการจังหวัดให้งดใช้น�้ำในสระแก้วน้ี

สระสองห้อง ตั้งอยู่ด้านใต้ของพระราชวังจันทร์เกษม ซ่ึงตั้งอยู่ริมล�ำน�้ำน่านฝั่งตะวันตกเหนือ
ศาลากลางจังหวัดขึ้นไปประมาณ ๘ เส้น บัดนี้เป็นท่ีต้ังโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม เป็นสระขนาดเขื่องมีถนน
เป็นคันค่ันอยู่ระหว่างกลางจึงเรียกกันว่าสระสองห้อง เวลานี้เป็นสระท่ีต้ืนเขินและน�้ำแห้ง จะมีน�้ำก็ต่อเมื่อ
ฝนตกใหญ่ในหน้าฝนและน้�ำท่าท่วมเข้าไปถึง แต่ก่อนเป็นสระท่ีใช้ส�ำหรับเป็นท่ีทรงพระส�ำราญและทาง
ราชการได้เคยท�ำพลีกรรมเอาน�้ำสระนี้มาท�ำน้�ำอภิเษกส่วนภูมิภาคเน่ืองในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
มาแล้วแทบทุกรัชกาล แต่ครั้งนี้ไม่ได้ใช้น้�ำท่ีสระสองห้องท�ำน�้ำอภิเษก เพราะบริเวณสระสองห้องต้ืนเขิน
ไม่มีน้�ำเป็นป่าพงรกร้างและสกปรก

ประวัติสถานที่ประกอบน�้ำอภิเษก วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเป็นวัดหลวง ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้�ำน่านฝั่ง
ตะวันออกหันหน้าออกสู่แม่น้�ำ เป็นวัดที่ส�ำคัญย่ิงเพราะมีวิหารเป็นท่ีประดิษฐานพระพุทธชินราชอันเป็น
พระพุทธรูปโบราณที่งดงามและส�ำคัญท่ีสุด เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนชาวไทยท่ัวไปตลอดถึง
พระมหากษตั รยิ ท์ กุ พระองค์ อกี ประการหนงึ่ เปน็ วดั โบราณสนั นษิ ฐานกนั วา่ พระมหาธรรมราชาลไิ ท หรอื พระเจา้
ศรธี รรมไตรปฎิ กกษตั รยิ อ์ งคท์ ่ี๕แหง่ ราชวงศพ์ ระรว่ งทรงสรา้ งพรอ้ มกบั คราวสรา้ งเมอื งพษิ ณโุ ลกและโปรดใหส้ รา้ ง
พระพุทธรูป ๓ องค์โดยช่างเมืองสวรรคโลก เมืองหริภุญชัยและเมืองเชียงแสนร่วมมือกันท�ำพิธีเททอง
หลอ่ พระ เมอ่ื วนั พฤหสั บดี ขน้ึ ๑๕ คำ�่ เดอื น ๔ ปเี ถาะ พ.ศ. ๑๔๙๘ ดว้ ยทองสมั ฤทธิ์ ทองตดิ เปน็ รปู องคพ์ ระเพยี ง
๒ องค์ คือพระชินสีห์1และพระศรีศาสดา2 ส่วนพระพุทธชินราชทองหาติดไม่ จึงได้ทรงท�ำพิธีตั้งพระอธิษฐาน
ใหม่และจัดการหล่ออีกครั้งหนึ่ง ในวันพฤหัสบดี ขึ้น ๘ ค่�ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง พ.ศ. ๑๕๐๐ ปรากฏว่าตาปะขาว
ผู้หน่ึงมาช่วยเททองด้วย คราวนี้ก็ส�ำเร็จเป็นองค์พระพุทธชินราชบริบูรณ์ ตาปะขาวน้ันก็เดินข้ึนไปทางเหนือ
หมู่บ้านแห่งหนึ่งแล้วก็เลยหายตัวไปตามหาไม่พบ หมู่บ้านนั้นก็ได้เรียกกันว่า “บ้านตาปะขาวหาย” มาจน
ทกุ วนั น้ี สนั นษิ ฐานกนั วา่ ตาปะขาวนนั้ คอื พระอนิ ทร์ ทง้ั นเ้ี พราะพระองคไ์ ดท้ รงตรวจเหน็ ตรศี ลู ทพี่ ระอนิ ทรเ์ นรมติ

1 คอื พระพุทธรูปประธานในพระอโุ บสถวดั บวรนเิ วศวหิ าร องค์ทปี่ ระดษิ ฐานดา้ นหนา้ พระพทุ ธสุวรรณเขต
2 ปจั จบุ ันประดิษฐานในวหิ ารพระศาสดา วดั บวรนิเวศวิหาร

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 569

ไว้เป็นส�ำคัญในพระพักตรพระพุทธชินราช วัดนี้นิยมเรียกกันว่า “วัดใหญ่” หรือ “วัดหลวงพ่อ” ทั่ว ๆ ไป
แตท่ ี่ได้นามวา่ “วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ” นั้น ก็เพราะมีพระมหาธาตุรูปพระปรางค์อยู่กลางวดั พระพุทธชินราช
นอกจากจะเป็นพระพุทธรูปท่ีสวยสดงดงามหาที่เปรียบมิได้แล้ว ยังเป็นส่ิงที่ศักดิ์สิทธ์ิและเคารพสักการะ
ของชาวไทยและเทศด้วย วัดนี้นอกจากจะเป็นวัดท่ีประดิษฐานพระพุทธชินราชแล้ว ยังเป็นวัดท่ีพ�ำนัก
พระราชาคณะต�ำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดซึ่งเคยเป็นสถานท่ีประกอบพิธีท�ำน�้ำอภิเษกมาแต่กาลก่อน ในคร้ังนี้
จึงได้ใช้วัดน้ีเป็นสถานที่ประกอบพิธีท�ำน้�ำอภิเษกส่วนภูมิภาค

๓. จังหวัดสุโขทัย

น�้ำอภิเษก ๑. น้�ำกระพัง1ทอง
๒. น้�ำกระพังเงิน
๓. น้�ำกระพังโพยสี
๔. น้�ำโซกชมภู่
๕. น้�ำบ่อแก้ว
๖. น้�ำบ่อทอง
สถานท่ีประกอบน�้ำอภิเษก วัดพระมหาธาตุ อ�ำเภอสวรรคโลก2
ประธานพิธี หลวงอนุมัติราชกิจ (อ๋ัน อนุมัติราชกิจ)
ข้าหลวงประจ�ำจังหวัดสุโขทัย
ประธานพิธีสงฆ์ พระสวรรควรนายก (ค�ำ โสโณ)3
เจ้าคณะจังหวัดสุโขทัย
ประวัติน้�ำอภิเษก
๑. กระพังทอง กระพังทองนี้เป็นรูปส่ีเหล่ียมผืนผ้ากว้าง ๒ เส้น ๑๐ วา ยาว ๓ เส้น ลึกประมาณ
๑ วาเศษ กลางกระพังมีเกาะ ๑ เกาะ รูปส่ีเหล่ียม บนเกาะน้ันมีพระสถูปเจดีย์แต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
อยู่กลางเกาะ ๑ องค์4 กระพังนี้มีน้�ำขังอยู่ตลอดปี

1 ตระพงั มรี ากศพั ท์มาจากภาษาเขมรว่า “ตรพฺ ำ� ง” (อ่านว่า ตรอเปียง) แปลว่า บอ่ หรือสระนำ�้ ทีข่ ดุ ขนึ้ ไทยเรารับเอาคำ� น้ี
มาใช้ในความหมายเดียวกัน แต่แปลงเป็นหลายรูปแบบ เช่น ตระพัง ตะพัง สะพัง กะพัง หรือพัง. ส่วนใหญ่เป็นช่ือของสระน�้ำ
ในบริเวณสถานทีห่ รอื โบราณสถานท่ีเคยไดร้ ับอทิ ธิพลจากขอมหรอื เขมรโบราณ

2 คอื วดั พระศรีรัตนมหาธาตุเชลยี ง อำ� เภอศรสี ัชนาลยั จงั หวดั สุโขทยั
3 อดีตเจ้าคณะจังหวัดสุโขทัย และอดีตเจ้าอาวาสวัดสวรรคาราม เป็นผู้รวบรวมศิลปวัตถุโบราณไว้จ�ำนวนมาก และมีด�ำริ
ที่จะจดั สร้างเป็นพพิ ธิ ภัณฑเ์ พ่ือใหเ้ ปน็ มรดกแกแ่ ผน่ ดนิ ซงึ่ ทางหนว่ ยงานราชการได้สนองเจตนารมณ์ท่านโดยการจัดสรา้ งพิพิธภัณฑ
สถานแห่งชาติขน้ึ และเพอ่ื เป็นเกียรตแิ ก่ทา่ นจึงได้ให้ใชน้ ามว่า “พพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ สวรรควรนายก”
4 คอื เจดยี ป์ ระธานทรงกลมแบบลงั กา วัดตระพงั ทอง

570 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

กระพังทองนี้ ได้สร้างข้ึนในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ปัจจุบันนี้ตั้งอยู่ริมทางหลวงสาย ๘ จังหวัด
สุโขทัย - ตาก1 หมู่ท่ี ๓ ต�ำบลเมืองเก่า ห่างจากที่ท�ำการอ�ำเภอเมืองสุโขทัย ๑๒ กิโลเมตร

๒. กระพงั เงนิ กระพงั เงนิ นี้ เปน็ สระนำ�้ รปู สเ่ี หลย่ี มผนื ผา้ กวา้ ง ๒ เสน้ ยาว ๓ เสน้ ๑๐ วา ลกึ ประมาณ ๑ วา
๒ ศอก กลางสระมีเกาะอยู่กลางและท่ีบนเกาะนั้นมีพระอุโบสถตั้งอยู่ท่ีกลางเกาะ2 กระพังนี้มีน�้ำขังอยู่ตลอดปี
เช่นเดียวกับกระพังทอง ห่างจากกระพังทองไปทางตะวันตก ๑ กิโลเมตร อยู่ในเขตบ้านหมู่ ๓ ต�ำบลเมืองเก่า

๓. กระพังช้างเผือก รูปกระพังเป็นรูปวงกรมรูปไข่ ยาว ๓ เส้น ๑๐ วา กว้าง ๒ เส้น ลึกประมาณ
๑ วา กระพังน้ีอยู่นอกเขตก�ำแพงเมืองเก่าสุโขทัย ห่างจากกระพังเงิน ๓ กิโลเมตร อยู่ในเขตหมู่ท่ี ๓ ต�ำบล
เมืองเก่า (น�้ำในกระพังน้ีแห้งจึงไม่ได้ตัก)

๔. กระพังโพยสรี ชื่อของกระพังโพยสรีน้ี ถ้ากล่าวโดยเฉพาะแล้ว ไม่ปรากฏว่ากระพังต่าง ๆ ที่อยู่ใน
เขตกำ� แพงเมอื งเกา่ สโุ ขทยั มชี อ่ื วา่ กระพงั โพยสรโี ดยเฉพาะ แตท่ ปี่ รากฏตามพระราชสนั นษิ ฐานของพระบาทสมเดจ็
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ได้ทรงสันนิษฐานไว้ในหนังสือเร่ืองเที่ยวเมืองพระร่วงว่า ในเมือง
นี้มีกระพัง ๓ แห่ง คือ กระพังทอง อยู่ด้านตะวันออก กระพังเงิน อยู่ด้านตะวันตก กระพังสออยู่ด้านเหนือ
วัดมหาธาตุเป็นศูนย์กลาง ในค�ำจารึกหลักสิลาพระเจ้ารามค�ำแหงมีกล่าวไว้ว่า “ในเมืองสุโขทัยนี้มีน้�ำตรรพงง
โพยสีไสกินดีดงงโขงเม่ือแล้ง” ดังน้ี น่าจะกล่าวถึงกระพังเหล่าน้ีนี่เอง

ดังที่กลา่ วมานเ้ี หน็ ไดว้ า่ กระพงั โพยสีน้ัน ตามทางพระราชสนั นษิ ฐานของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้าอยู่หัวเป็นการสันนิษฐานใกล้กับความจริงที่สุดเพราะกระพังทอง กระพังเงินและกระพังสอเป็นกระพังที่
ใหญ่ท่ีสุดซึ่งตั้งอยู่ในทิศทางต่างกัน เข้าใจว่าในสมัยท่ีกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีนั้น น�้ำท้ัง ๓ กระพังนี้คงได้ให้
ราษฎรได้ใช้บริโภคกันทั่ว ๆ ไปได้ทั่วท้ังเมือง

แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีนักโบราณคดีบางท่านว่ามีกระพังโพยสีอยู่อีกกระพังหนึ่งและตามแผนท่ีของ
ท่านผู้นั้นได้แสดงให้เห็นว่ากระพังโพยสีนั้นอยู่นอกก�ำแพงเมืองสุโขทัย ครั้งสุโขทัยเป็นราชธานีจึงเห็นว่า
การสันนิษฐานของนักโบราณคดีบางท่านที่อ้างน้ันเป็นการไม่ถูกต้องสอดคล้องกับหลักศิลาจารึกของ
พ่อขุนรามค�ำแหง ดังท่ีได้กล่าวมาแล้ว

๕. โซกชมภู่ ก่อนอื่นเมื่อได้ยินค�ำว่าโซกน้ันบางท่านอาจจะไม่ทราบว่าคืออะไร โซกน้ีตามลักษณะก็คือ
ธารน้�ำที่ไหลออกมาจากต้นน�้ำบนภูเขาเป็นน้�ำซับไหลผ่านมาตามซอกเขา ในเมื่อทราบลักษณะของโซกชมภู่
ดังนี้แล้วก็คงจะทราบดีว่าโซกน้ีก็คือธารน�้ำน้ันเอง

โซกชมภู่น้ีเป็นน�้ำดินที่ไหลซึมออกจากเขาตระโหงกวัวผ่านช่องพระร่วงลองดาบไหลผ่านมาตาม
ตีนเขา เป็นน้�ำสีขาวใสสะอาดบริเวณริมโซกมีก้อนหินใหญ่น้อยประดับเรียงรายอยู่ทั้งสองข้าง และมีต้นชมภู่
ป่าขึ้นเรียงรายอยู่ทั่วไป ในโซกนั้นมีหินใช้ลับมีดได้เป็นอย่างดี ดังมีนิยายเล่ากันมาแต่โบราณว่า ณ โซกชมภู่นี้
พระร่วง (จะเป็นองค์ไหนไม่ทราบในราชวงศ์พระร่วง) ได้มาใช้หินในโซกชมภู่น้ี ลับพระแสงดาบ และ

1 ปจั จบุ นั (๒๕๖๑) คือทางหลวงแผน่ ดินหมายเลข ๑๒ ช่วงตาก - สโุ ขทยั มชี ่ือเรยี กวา่ ถนนจรดวถิ ีถอ่ ง
2 คอื อโุ บสถกลางน้ำ� วดั ตระพังเงินซึ่งสร้างข้นึ ตามคตอิ ทุ กสมี า

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 571

เมื่อลับพระแสงดาบแล้ว พระร่วงได้ลองความคมของพระแสงดาบ ฟันลงไปบนสันเขา เป็นเหตุให้เขานั้นขาด
ซึ่งปัจจุบันนี้เรียกว่า ช่องพระร่วงลองดาบ

โซกชมภู่นี้ เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสสุโขทัย ก็ได้เสด็จมาเที่ยวท่ี
โซกชมภู่นี้และทรงพอพระราชหฤทัยได้ทรงตรัสส่ังให้ตักน�้ำในโซกชมภู่นี้ส่งลงไปทูลเกล้าฯ ถวายท่ีกรุงเทพ ฯ
หลายคร้ัง ต่อมาในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือครั้งยังด�ำรงต�ำแหน่งมงกุฎราชกุมาร
ก็ได้ถือโอกาสมาพักผ่อนพระหฤทัย เพื่อให้หายจากการเหน็ดเหน่ือยที่พระองค์ได้มาส�ำรวจโบราณสถานท่ี
จังหวัดสุโขทัย

ความส�ำคัญของกระพัง และโซกชมภู่ ท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น แต่โบราณกาลมาแล้ว ถือว่าน้�ำในท่ี
เหล่านี้ เป็นน้�ำที่ศักด์ิสิทธิ์อย่างหนึ่ง ในการที่พระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์ เมื่อขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติต้องเอา
น้�ำในท่ีเหล่านี้ไปท�ำเป็นน�้ำอภิเษก

๖. บ่อแก้ว เป็นบ่อน�้ำที่กรุด้วยศิลาแลง ลึกประมาณ ๒ วาเศษ อยู่ทางฝั่งตะวันออกของล�ำแม่น�้ำยม
ตรงกันข้ามกับวัดพระบรมธาตุ (พระพุทธปรางค์) ทางทิศเหนืออยู่ในหมู่ท่ี ๑ ต�ำบลท่าชัย ห่างจาก
วัดพระบรมธาตุประมาณ ๒ กิโลเมตรเศษ อยู่ข้างแนวทางเสด็จ ซ่ึงเป็นทางถนนคนและล้อเกวียนเดินไปติดต่อ
ยังพระแท่นศิลาอาสน์ อ�ำเภอลับแล จังหวัดอุตตรดิตถ์อยู่ในบริเวณวัดเขาอินทร์ ซ่ึงได้ก่อสร้างมาคร้ังสมัย
เมืองเชลียง หลักฐานการสร้างไม่ปรากฏแน่นอนว่าใครเป็นผู้สร้างต้ังแต่ครั้งไหน แต่สันนิษฐานตามค�ำบอกเล่า
ของบุคคลท่ีน่าเช่ือถือว่า บ่อแก้วนี้คงจะได้สร้างขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ค�ำที่เรียกว่า บ่อแก้ว
เพราะน้�ำในบ่อน้ีใสมีสีขาวสะอาด เม่ือน�ำมาใส่ในโหลแก้วหรือขวดขาวแล้วจะไม่ทราบว่ามีน้�ำอยู่ในน้ัน คือ
น้�ำใสเหมือนแก้ว ความศักด์ิสิทธ์ิของบ่อนี้ในสมัยโบราณกาลถือว่าเป็นน้�ำใสอันบริสุทธิ์ เทวาเป็นผู้ประสาท
ให้มีขึ้น เม่ือจะท�ำพิธีมงคลอันใดจึงได้ไปพลีกรรมเอาน้�ำในบ่อนี้มาเป็นน้�ำพระพุทธมนต์ เพื่ออาบและสรงหรือ
ประพรมถือว่าเป็นศิริมงคลแก่ผู้ได้ใช้น�้ำน้ี แม้แต่ทางราชการก็ถือว่าน�้ำบ่อแก้วเป็นน้�ำศักดิ์สิทธิ์ ในครั้งสมัย
ยังมีการถือน�้ำพิพัฒน์สัตยา ได้มาท�ำพิธีพลีกรรมเอาน�้ำในบ่อน้ีไปเป็นน้�ำสาบาลในพิธีถือน�้ำ อีกอย่างหนึ่ง
ในเม่ือพระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์ที่จะเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เช่น ในสมัยรัชกาลท่ี ๖ ท่ี ๗ ก็ได้มาท�ำ
พิธีพลีกรรมเอาน�้ำในบ่อน้ีไปท�ำเป็นมูรธาภิเษก ถือว่าเป็นประเพณีแต่โบราณกาล ซ่ึงได้กระท�ำต่อ ๆ กันมา

๗. บ่อทอง เป็นบ่อน�้ำที่ขุดข้ึนในระหว่างดินดานประกอบด้วยก้อนแลงซ่ึงเป็นอยู่ตามธรรมชาติ
ขุดกว้างคล้าย ๆ รูปสระลึกประมาณ ๖ ศอก ตามทางสันนิษฐานว่าเดิมขุดคงไม่มีความประสงค์จะให้เป็นสระ
หรือบ่อน้�ำเข้าใจว่า จะขุดค้นหาแร่หรือแร่ทองค�ำอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามค�ำบอกเล่าของบุคคลท่ีควรเชื่อถือได้ว่า
เดิมแต่โบราณกาลได้มาขุดค้นหาแร่ทองค�ำในบ่อน้ี เพ่ือไปถลุงท�ำฝักเพกายอดพระปรางค์และหล่อพระพุทธรูป
ที่วัดพระบรมธาตุ ได้น�ำเอาแร่ทองค�ำนี้ไปถลุงท่ีบริเวณวัดพระบรมธาตุทางด้านทิศใต้ ริมแม่น้�ำยมเดี๋ยวนี้
และมีหลักฐานพอจะพิศูจน์ได้ว่าบางครั้งตล่ิงพัง ราษฎรได้มาร่อนหาทองในบริเวณที่ท�ำการถลุง ปรากฏว่าได้
เศษทองค�ำเป็นก้อนเล็กก้อนน้อยเสมอมาจนทุกวันน้ี บ่อนี้อยู่ทางฝั่งตะวันออกของล�ำน�้ำยมตรงกันข้ามกับ
วัดพระบรมธาตุ (พระพุทธปรางค์) ทางทิศเหนืออยู่ในหมู่ที่ ๑ ต�ำบลท่าชัย ห่างจากบ่อแก้ว ๑ กิโลเมตร อยู่ข้าง
แนวทางเสด็จต่อเน่ืองกันไปจากบ่อแก้ว ห่างจากวัดพระบรมธาตุประมาณ ๓ กิโลเมตรเศษ เข้าใจว่า คงอยู่ใน

572 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

บริเวณวัดเขาอินทร์ เช่นเดียวกับบ่อแก้วคงจะได้ขุดค้นกันมาในคร้ังสมัยเมืองเชลียงก่อนจะมีการก่อสร้าง
พระปรางค์ หรือ หลังท่ีก่อสร้างพระปรางค์อันมีเวลาต่อเนื่องกันมา ค�ำท่ีเรียกว่าบ่อทองคงจะเน่ืองมาจากบ่อนี้
ขุดหาแร่ทองค�ำแล้วก็มีน�้ำขังไหลซึมมาจากดินดานมีน�้ำขังตลอดปีไม่มีแห้ง น�้ำบ่อนี้สีเหลืองเหมือนทองใสเย็น
จืดสนิทดี มีผู้เดินทางในฤดูแล้งผ่านไปมาได้อาศรัยน้�ำบ่อนี้รับประทานตลอดจนตักมาให้สัตว์พาหนะกิน
ความศักดิ์สิทธ์ิของบ่อนี้ในสมัยโบราณกาลถือว่าเป็นน�้ำอันบริสุทธ์ิ ซ่ึงเกิดข้ึนมาโดยผู้ขุดมิได้นึกฝัน แต่เป็นน้�ำ
ที่เกิดขึ้นมาเองจึงถือว่าเป็นน้�ำบ่อทองเป็นน้�ำอันศักดิ์สิทธิ์อีกบ่อหน่ึง เมื่อจะท�ำพิธีมงคลอันใดจึงไปพลีกรรม
เอาน้�ำในบ่อนี้มาเป็นน้�ำพระพุทธมนต์ เพ่ืออาบและสรง หรือ ประพรมถือว่าเป็นศิริมงคลแก่ผู้ท่ีได้ใช้น�้ำบ่อน้ี
แมแ้ ตท่ างราชการกถ็ อื วา่ นำ�้ บอ่ ทองเปน็ นำ้� ศกั ดส์ิ ทิ ธใ์ิ นครงั้ สมยั ยงั มกี ารถอื นำ�้ พพิ ฒั นส์ ตั ยา ไดม้ าทำ� พธิ พี ลกี รรม
เอาน้�ำในบ่อนี้ไปเป็นน�้ำสาบาลในพิธีถือน�้ำ อีกอย่างหนึ่ง ในเมื่อพระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์ ที่จะเสด็จ
เถลิงถวัลยราชสมบัติ เช่น ในสมัยรัชกาลท่ี ๖ ที่ ๗ ก็ได้มาท�ำพิธีพลีกรรมเอาน�้ำในบ่อนี้ไปท�ำมูรธาภิเษก
ถือเป็นประเพณีแต่โบราณกาลซ่ึงได้กระท�ำต่อ ๆ กันมา อนึ่ง การพลีกรรมน�้ำไปกระท�ำพิธีตามประเพณีโบราณ
ต้องใช้น้�ำบ่อแก้วและบ่อทองทั้งสองบ่อนี้ร่วมกัน

ประวัติสถานท่ีประกอบพิธีน้�ำอภิเษก ทางการได้ไปท�ำพิธีพลีกรรมเอาน้�ำมาจากบ่อต่าง ๆ ท่ีถือว่า
ศักดิ์สิทธิ์ในเขตจังหวัดสุโขทัย เช่น น�้ำบ่อแก้ว บ่อทอง กระพังทอง เป็นต้น มาประกอบพิธีในวิหารวัดพระบรม
ธาตุ (วัดพระมหาธาตุ) หรือ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วัดพระปรางค์ ต้ังอยู่บนพื้นดินที่ยื่นแหลม แม่น�้ำตอนนี้โค้ง
จนเรียกกันว่าทบศอก ล�ำน�้ำโอบวัดพระบรมธาตุอย่างใกล้ชิดจนท่าน�้ำของวัดนี้มีสองด้าน คือ ด้านเหนือและ
ด้านใต้ วัดนี้ในสมัยท่ีสร้างเมืองและศาสนาพุทธลัทธิหินยานก�ำลังฟื้นฟู ถือว่าเป็นวัดใหญ่กว่าบรรดาวัดต่าง ๆ
ท่ีอยู่ในเขตแคว้นเมืองเชลียง เพราะถือว่า วัดนี้มีพระมหาเจดีย์ คือ พระปรางค์ สร้างด้วยศิลาแลงล้วนฝีมือ
ปราณีตบรรจงลวดลายสวยงามมาก ฐานทักษิณสร้างเป็นส่ีเหล่ียมเท่า ๆ กัน ด้านละ ๑๑ วา สูง ๑ เส้น
กลีบพุฒแต่ละกลีบหน้าดูมากมี ๗ ช้ัน ๆ ละ ๒๘ กลีบ กลีบใหญ่คนเดินรอดข้างในไปได้ ฝักเพกาเหลืองอร่าม
อย่างไม่มีวันเศร้า มีบันไดขึ้นถึงซุ้มกลางองค์ มียอดแหลมโผล่อยู่กลางในซุ้ม พระปรางค์นี้ได้บรรจุ
พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้มาจากลังกาทวีป ในคราวแรกท่ีพระพุทธศาสนาลัทธิหินยานเข้ามาสู่
ในดินแดนสยาม หรือแคว้นสุวรรณภูมินี้ และรับรองว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง
รปู พระปรางคจ์ งึ ถอื วา่ เปน็ สงิ่ สำ� คญั ยง่ิ กวา่ สง่ิ อนื่ ๆ รอบพระปรางคม์ กี ำ� แพงศลิ าแลงลอ้ มรอบทงั้ ๔ ดา้ น เรยี กตาม
ศิลาจารึกของพระเจ้าขุนรามค�ำแหงว่า “เวียงผา” นี้ เป็นของแปลกน่าดูมาก เพราะเอาศิลาแลงแท่งใหญ่
เกลากลมเป็นต้น ๆ วัดก�ำลังรอบได้ต้นละ ๓ เมตร ๕๐ เซนติเมตร สูงกว่า ๒ เมตร เอามาต้ังเรียงกันอย่างเสา
พะเนียด แล้วน�ำศิลาแลงแท่งใหญ่เป็นกลอบทับและเป็นข่ือประตู ซึ่งมีด้านตะวันออกและตะวันตก ในศิลา
จารึกว่า สร้างเวียงผา ๓ ปี จึงส�ำเร็จ เวียงผาน้ีจะสร้างในสมัยพระเจ้าขุนรามค�ำแหง หรือสร้างมาก่อน
แลว้ พระเจา้ ขนุ รามคำ� แหงมาปฏสิ งั ขรณข์ นึ้ ขอ้ นก้ี ย็ งั เปน็ ทน่ี า่ สงสยั แตท่ างสนั นษิ ฐานเขา้ ใจวา่ สรา้ งในสมยั ทไี่ ทย
ได้ร่นลงมายึดเอาเมืองเชลียงเป็นที่มั่นในยุคกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เพราะแต่ก่อนมา ขอมตั้งม่ันได้ท่ีเมืองใด
ย่อมสร้างปรางค์เทวาลัยไว้เป็นท่ีบูชาทุกแห่ง คร้ันไทยได้มายึดท่ีม่ันจากขอมประกอบกับไทยถือพุทธศาสนา
จงึ สรา้ งพระสถปู เจดยี เ์ อาแบบเทวาลยั ของขอมมาปลกู สรา้ งเปน็ พระมหาเจดยี ย์ อดปรางคอ์ ยา่ งวดั พระบรมธาตุ

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 573

ซึ่งปรากฏอยู่จนทุกวันน้ี คงจะมีความประสงค์ให้พวกขอมและพลเมืองที่เคยอยู่ในอ�ำนาจขอมมาแต่ก่อน
รู้สึกว่าใครมีบุญญาภินิหารอาจสร้างปรางค์ได้อย่างขอมและสวยงดงามปราณีตบรรจงใหญ่โตมากกว่า
หน้าพระปรางค์มีวิหารใหญ่ประกอบด้วยพระพุทธรูปใหญ่ ข้างนอกเวียงผา ด้านตะวันตกมีพระเจดีย์ใหญ่
อีกองค์หน่ึง ฐานท�ำเป็นพระเจดีย์กลมตอนบนรุ่นหลิม ผิดกันกับพระสถูปเจดีย์ธรรมดาท่ีมี และมีพระพุทธรูป
ปรางค์ต่าง ๆ อีกหลายองค์ เช่น พระอัฏฐารส ค�ำชาวบ้านเรียกว่าสาว ๑๕ ปี ทุก ๆ อย่างส�ำเร็จด้วยศิลาแลง
ท้ังนั้น ทิ้งความมหัศจรรย์ไว้ให้ชม ให้นึก, ให้คิด, ให้สันนิษฐานและวิพากย์วิจารณ์กันต่าง ๆ นา ๆ ถ้าฟังค�ำ
นิยายก็ไม่รู้จักจบ ส่วนองค์พระปรางค์ยังจัดอยู่ในเกณฑ์ท่ียังบริบูรณ์เป็นส่วนมาก

วัดพระบรมธาตุ หรือวัดพระปรางค์น้ี จึงนับว่าเป็นวัดเก่าแก่และส�ำคัญมากที่สุดซ่ึงมีองค์พระปรางค์
บรรจุพระสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าอันแท้จริง เคยเป็นท่ีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาของข้าราชการเมือง
สวรรคโลกแต่ดึกด�ำบรรพ์ พึ่งมาย้ายไปถือท่ีวัดอ่ืนเม่ือปลายรัชกาลท่ี ๕ หรือต้นรัชกาลที่ ๖ เป็นสถานท่ี
สวดมนต์น�้ำมูรธาภิเษกมาโดยล�ำดับทุกรัชกาล และได้รับการอุปถัมภ์จากพระเจ้าแผ่นดินไทยทุกสมัย จนบัดนี้
ได้รับเทียนของหลวงบูชาในฤดูกาลเข้าพรรษาเป็นประจ�ำทุก ๆ ปี และเป็นท่ีสักการะบูชาของคนท่ัวไปเพราะ
ถือว่า เป็นปูชนียสถานอันศักด์ิสิทธิ์ และมีงานประจ�ำปีในเดือน ๔ กลางเดือนตลอดมา ทุก ๆ ปีเวลามีงาน
มีคนต่างบ้านต่างเมืองหลายจังหวัด พากันไปนมัสการและชมโบราณวัตถุอันเป็นปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธ์ิ
อันเป็นฝีมือไทยแต่โบราณกาล ได้สร้างไว้ให้คนชั้นหลัง ๆ ได้ชมความปราณีตบรรจงอันงดงามในสมัยน้ัน
วัดน้ีต้ังอยู่ในหมู่ท่ี ๖ ต�ำบลศรีสัชชนาลัย อ�ำเภอศรีสัชชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ระยะทางจากสวรรคโลกถึงวัดน้ี
๑๗ กิโลเมตร มีถนนหลวงรถยนต์ไปมาสะดวกตลอดไปถึงจังหวัดอุตตรดิตถ์

ปัจจุบันนี้ เมื่อวันที่ ๑๘ - ๑๙ มีนาคม ๒๔๙๓ ยังได้ท�ำพิธีสวดมนต์น�้ำมูรธาภิเษกในองค์พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลท่ี ๙) อีก จึงนับว่า วัดพระบรมธาตุนี้ เป็นวัดส�ำคัญในทางประวัติศาสตร์
ของสถานที่ประกอบพิธีท�ำน้�ำอภิเษกวัดหน่ึงในจังหวัดสุโขทัย



๔. จังหวัดนครปฐม

น้�ำอภิเษก ๑. น้�ำกลางหาว บนองค์พระปฐมเจดีย์
๒. น้�ำสระพระปฐมเจดีย์
๓. น้�ำสระน�้ำจันทร์
๔. น้�ำกลางแม่น�้ำนครชัยศรี
สถานท่ีประกอบพิธีน้�ำอภิเษก พระปฐมเจดีย์
ประธานพิธี ขุนไมตรีประชารักษ์ (ไมตรี ไมตรีประชารักษ์)
ข้าหลวงประจ�ำจังหวัดนครปฐม

574 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

ประธานพิธีสงฆ์ พระธรรมปิฎก (โชติ ธมฺมปฺปโชติโก)1 เจ้าอาวาสวัดปฐมเจดีย์
ประวัติน้�ำอภิเษก
๑. น�้ำกลางหาวบนองค์พระปฐมเจดีย์ น�้ำอภิเษกนี้เป็นน้�ำฝนบริสุทธ์ิซึ่งได้ท�ำพิธีรองรับบนองค์
พระปฐมเจดยี ์ อนั เปน็ ปชู นยี สถานทศี่ กั ดส์ิ ทิ ธใ์ิ นทางศาสนา เพราะเปน็ ทปี่ ระดษิ ฐานพระบรมสารรี กิ ธาตุ ซง่ึ พระ
โสนและพระอุตตรได้น�ำเข้ามาเม่ือราว พ.ศ. ๒๙๗ ต้ังแต่สมัยพระเจ้าอโศกราชเป็นกษัตริย์แห่งประเทศอินเดีย
๒. น้�ำสระพระปฐมเจดีย์ น้�ำอภิเษกจากสระน้ีเป็นน�้ำของสระซึ่งได้ขุดสร้างขึ้นช้านานคู่กับการสร้าง
องค์พระปฐมเจดีย์
๓. น้�ำสระน้�ำจันทร์ น้�ำอภิเษกจากสระน้ี เป็นน้�ำของสระเก่าแก่ท่ีมีมาแต่ดั้งเดิม ซึ่งในรัชกาลที่ ๖
ได้ทรงสร้างพระราชวังข้ึนเรียกว่าพระราชวังสนามจันทร์ใกล้กับสระน�้ำจันทร์นี้ซ่ึงเชื่อกันว่าในสมัย
โบราณกาลมาคร้ังนครปฐมเป็นราชธานีก็คงจะได้ใช้น้�ำในสระน้ีประกอบพิธีเพื่อความศักดิ์สิทธ์ิต่าง ๆ ด้วย
๔. น�้ำกลางแม่น�้ำนครชัยศรี เป็นน้�ำที่ท�ำพิธีตักตรงปากคลองบางแก้วแม่น้�ำนครชัยศรีนี้เป็นแม่น้�ำที่
ไหลผ่านจังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดนครปฐม และเป็นแม่น้�ำที่ให้ความสมบูรณ์แก่พืชพันธุ์ ธัญญาหารต่าง ๆ
ในล�ำลุ่มน�้ำน้ี และช่ือของแม่น้�ำน้ีเป็นชื่อท่ีสืบเนื่องมาจากชื่อเมืองนครปฐมแต่สมัยโบราณ ซึ่งเรียกว่าเมือง
นครชัยศรี อันมีความหมายว่า “เมืองแห่งชัยชะนะ” นับเป็นมงคลนาม
ประวัติสถานท่ีประกอบพิธีน้�ำอภิเษก พระปฐมเจดีย์ ได้ใช้ปริมณฑลของวิหารใหญ่ซึ่งเรียกว่า
พระวิหารหลวง เป็นพระวิหารซึ่งสร้างข้ึนเม่ือรัชกาลท่ี ๔ ต่อมาได้ดัดแปลงเพ่ิมเติมบูรณะขึ้นในรัชกาลท่ี ๖
วิหารนี้เป็นวิหารส�ำหรับพระมหากษัตริย์ประกอบพิธีในทางศาสนา ภายในวิหารมีพระแท่นทรงกราบส�ำหรับ
พระมหากษัตริย์ใช้เป็นที่นมัสการ2

๕. จังหวัดนครศรีธรรมราช

น�้ำอภิเษก ๑. น�้ำบ่อวัดหน้าพระลาน
๒. น้�ำบ่อวัดเสมาไชย
๓. น้�ำบ่อวัดเสมาเมือง
๔. น้�ำบ่อวัดประตูขาว
๕. น้�ำห้วยเขามหาชัย
๖. น้�ำปากนาคราช

1 ต่อมา คอื พระธรรมวโรดม
2 พระแทน่ ทรงบชู าน้ี เปน็ พระแทน่ สำ� หรบั วางเครอ่ื งนมสั การบชู าองคพ์ ระปฐมเจดยี ์ ปดู ว้ ยหนิ ออ่ น ดา้ นซา้ ยและขวาประดบั
ด้วยปูนป้ันรูปหวั กวาง มีเขากวางจรงิ ประดับ สว่ นฐานที่มมุ บนมีปนู ปัน้ รปู หวั สิงหป์ ระดับ ที่มมุ สว่ นฐานประดับด้วยปนู ปนั้ รูปเทา้ สิงห์

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 575

สถานท่ีประกอบพิธีท�ำน้�ำอภิเษก วัดพระมหาธาตุ
ประธานพิธี นายแม้น อรจันทร์1
ข้าหลวงประจ�ำจังหวัดนครศรีธรรมราช
ประธานพิธีสงฆ์ พระศรีธรรมประสาธน์ (แบน คณฺฐากรโณ)2
เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช
ประวัติน�้ำอภิเษก
๑. น้�ำบ่อวัดหน้าพระลาน ในครั้งโบราณกาลถือกันว่า น้�ำที่บ่อวัดหน้าพระลานน้ีเป็นบ่อน้�ำศักดิ์สิทธ์ิ
ลักษณะของน�้ำในบ่อน้ีใสสะอาด มีน�้ำหนักผิดปรกติยิ่งกว่าน้�ำในบ่ออื่น ๆ ผู้ที่ได้รับประทานน้�ำในบ่อนี้จะ
ท�ำให้เกิดมีสติปัญญา และมีบุญวาสนา เป็นขุนน้�ำขุนนางผู้ใหญ่ เมื่อครั้งเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี เจ้าพระยา
นครศรีธรรมราช3 บิดาของพลเอกเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต4 ปัจจุบันนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวรัชกาลท่ี ๕ เสด็จประพาสจังหวัดนครศรีธรรมราช ทรงประทับที่พลับพลาหน้าเมือง ได้เสด็จไปที่วัด
หน้าพระลานนี้ ทรงตักน�้ำในบ่อน้ีเสวยด้วยภาชนะท�ำด้วยใบจากน้�ำ (จากทะเล)5 ซึ่งเจ้าพระยาสุธรรมมนตรีได้
จัดท�ำถวายใช้ทรงตักน้�ำ เมื่อทรงตักน้�ำเสวยโดยพระองค์เองแล้ว ได้ทรงรับส่ังถามพระครูรอง (สมภารศรีจันทร์)
เจ้าอาวาสว่า ศิษย์ในวัดหน้าพระลานเมื่อได้รับประทานน้�ำในบ่อน้ีแล้วได้เป็นขุนน้�ำขุนนางกันจริงหรือ
ท่านสมภารศรีจันทร์เจ้าอาวาสทูลตอบว่าศิษย์วัดหน้าพระลาน ถ้าได้ด่ืมน�้ำในบ่อน้ีแล้วอย่างเลวก็สามารถ
ท่ีจะคาดว่าวข้ึน น�้ำท่ีจะตักมารับประทานต้องตักเอาน�้ำทางทิศอิสาณของบ่อ
๒. น�้ำบ่อวัดเสมาเมือง ในครั้งโบราณถือว่าวัดเสมาเมืองเป็นวัดหลักบ้านหลักเมือง บ่อน้�ำของวัดน้ีอยู่
ตรงใต้ระดับกับบ่อน้�ำวัดเสมาชัย เป็นบ่อน�้ำท่ีมีความศักดิ์สิทธ์ิและส�ำคัญของทางบ้านเมือง ใช้น�้ำท�ำพิธีส�ำคัญ ๆ
ในทางราชการ เช่นท�ำน�้ำอภิเษกพระราชพิธีบรมราชาภิเษก น�้ำพระพิพัฒน์สัตยา และน้�ำพระพุทธมนต์
ในพระราชพิธีต่าง ๆ ที่มีความส�ำคัญเหมือนน�้ำบ่อวัดหน้าพระลาน

1 นายแม้น อรจันทร์ เกดิ เมื่อวนั ท่ี ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๖ เป็นบุตรของนายจันทร์ และนางทองค�ำ อรจันทร์ ด�ำรงตำ� แหนง่
ตา่ ง ๆ เชน่ ขา้ หลวงประจำ� จงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ ขา้ หลวงประจำ� จงั หวดั นครศรธี รรมราช ผตู้ รวจราชการกระทรวงมหาดไทย เปน็ ตน้
สมรสกบั นางสาววจิ ติ รา ชาญะกุล มธี ิดา ๓ คน นายแมน้ อรจันทร์ ถึงแก่กรรมเมอื่ วนั ที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ สิรอิ ายุ ๗๒ ปี

2 ตอ่ มาคือ พระรตั นธัชมนุ ี อดตี เจ้าอาวาสวดั พระมหาธาตวุ รมหาวิหาร
3 เจ้าพระยาสุธรรมมนตรีศรีธรรมราช มาตยพงศ์สถาพร บวรเดโชไชย อภัยพิริยปรากรมพาหุ (หนูพร้อม) เจ้าเมือง
นครศรธี รรมราชคนสดุ ทา้ ย เปน็ บตุ รของเจา้ พระยานครศรธี รรมราช (นอ้ ยกลาง) เกดิ เมอื่ วนั ท่ี ๑ มนี าคม พ.ศ. ๒๓๘๕ ถงึ แกอ่ สญั กรรม
เมอื่ วนั ที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๐ สริ ิอายุ ๖๕ ปี
4 เจา้ พระยาบดนิ ทรเดชานชุ ิต (แย้ม ณ นคร) เกิดเมื่อวันท่ี ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๑๐ เป็นบตุ รของเจา้ พระยาสุธรรมมนตรี
(หนูพรอ้ ม ณ นคร) กบั หม่อมนม่ิ ณ นคร ดำ� รงตำ� แหนง่ ต่าง ๆ เชน่ ปลดั ทูลฉลองกระทรวงกลาโหม เสนาบดีกระทรวงกลาโหม เปน็ ตน้
สมรสกบั ทา่ นผหู้ ญงิ เลยี บ ธดิ าหลวงสนุ ทรสนิ ธพ (จอ ปจั ฉมิ ) มบี ตุ รธดิ า ๔ คน เจา้ พระยาบดนิ ทรเดชานชุ ติ ถงึ แกอ่ สญั กรรมเมอื่ วนั ที่ ๑
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๔
5 สันนษิ ฐานวา่ คือ ภาชนะตักนำ�้ อย่างหน่งึ ของชาวภาคใต้ ท�ำจากใบจากหรือกาบหมากเรียกว่า หมา ตหิ มา หรอื ตหี มา

576 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

๓. น�้ำบ่อวัดเสมาชัย วัดเสมาชัยอยู่ติดต่อกับวัดเสมาเมืองบ่อน้�ำต้ังอยู่ตรงใต้ระดับกันกับบ่อน�้ำวัด
เสมาเมือง วัดเสมาชัยถือกันว่า เป็นวัดหลักบ้านหลักเมือง เป็นวัดชัยมงคล น�้ำในบ่อวัดเสมาชัยเป็นน�้ำท่ีมี
ความส�ำคัญศักดิ์สิทธิ์ใช้เป็นน้�ำท�ำพิธีส�ำคัญ ๆ ในทางราชการ เช่นเวลามีการท�ำศึกสงคราม ตักมาท�ำน้�ำพุทธ
มนต์ประพรมกองทหารเพื่อความสวัสดีมีชัยในการท�ำสงคราม และท�ำน�้ำอภิเษก พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
นำ้� พระพพิ ฒั นส์ ตั ยาและนำ้� พระพทุ ธมนตใ์ นพระราชพธิ เี หมอื นกบั นำ�้ บอ่ วดั เสมาเมอื งและนำ้� บอ่ วดั หนา้ พระลาน

๔. น�้ำบ่อวัดประตูขาว มีประวัติในครั้งโบราณว่า น�้ำในบ่อวัดประตูขาวนี้เป็นน�้ำบ่อที่ได้ปลุกเสกโดย
เจา้ อาวาสองคส์ ำ� คญั ของวดั น้ี ซง่ึ เปน็ เจา้ อาวาสทเ่ี ปน็ ผมู้ อี ทิ ธฤิ ทธส์ิ ำ� เรจ็ ในทางไสยศาสตร์ เปน็ นำ้� ทศี่ กั ดส์ิ ทิ ธแ์ิ ละ
เป็นศิริมงคล น้�ำในบ่อใช้ประกอบท�ำน้�ำพระพุทธมนต์ในงานพระราชพิธีต่าง ๆ รวมกับน้�ำในบ่อวัดหน้าพระลาน
บ่อน้�ำวัดเสมาเมือง น้�ำบ่อวัดเสมาชัย เช่น น�้ำอภิเษก บรมราชาภิเษก น้�ำพระพิพัฒน์สัตยา เป็นต้น

๕. น�้ำห้วยเขามหาชัย มีประวัติในครั้งโบราณว่าน้�ำห้วยเขามหาชัยน้ีเรียกและถือตามนามชื่อของภูเขา
มหาชัย เป็นน�้ำท่ีมีโชคชัยใช้เป็นน้�ำในพระราชพิธีต่าง ๆ รวมกับน�้ำบ่อวัดเสมาชัย น�้ำบ่อวัดประตูขาวและ
น้�ำบ่อปากนาคราช เช่นท�ำน�้ำพระพุทธมนต์ใช้เป็นน้�ำอภิเษก น�้ำบรมราชาภิเษก และน้�ำพระพิพัฒน์สัตยา
และน้�ำใช้ในพระราชพิธีต่าง ๆ

๖. น�้ำบ่อปากนาคราช มีประวัติในคร้ังโบราณว่า น้�ำในบ่อปากนาคราชน้ีเป็นน�้ำของพระยานาคราช
เป็นน�้ำที่ศักดิ์สิทธิ์และส�ำคัญเหมือนกับน้�ำบ่อวัดหน้าพระลาน น�้ำบ่อวัดเสมาเมือง น�้ำบ่อวัดเสมาชัย น้�ำบ่อวัด
ประตูขาว น้�ำห้วยเขามหาชัย ดังกล่าวมาแล้ว น้�ำบ่อปากนาคราชใช้เป็นน�้ำพระพุทธมนต์ประกอบพระราชพิธี
ต่าง ๆ รวมกับน้�ำทั้ง ๕ บ่อ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ล�ำน�้ำบ่อปากนาคราชมีลักษณะคดเคี้ยวคล้ายตัวพระยานาค
มีน้�ำไหลตลอดปีไม่ขาด สายน้�ำมีน้�ำเป็นล�ำธารเล็ก ๆ หลายสายไหลมารวมกันในแอ่งน้�ำเล็ก ๆ รูปคล้ายอ่างน�้ำ
น�้ำท่ีตักมาใช้ท�ำน้�ำมนต์ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ตักจากในแอ่งน้�ำท่ีไหลมารวมกัน, ในที่ใกล้ ๆ กับแอ่งน�้ำ
นั้น ว่ามีต้นไม้อยู่ ๓ ชนิด คือต้นใบแร็ด (ทางเมืองนคร ฯ ใช้ห่อยาสูบ) ๑ หมู่ ไม้ไผ่ ๑ กอล�ำเล็ก ๆ หวาย ๑
กอ ต้นไม้ ๓ ชนิดน้ีเม่ือครั้งเจ้าพระยานครได้จัดให้มีคนเฝ้าห้ามไม่ให้ใครตัดและท�ำอันตราย ไม้ไผ่ใช้ส�ำหรับ
ท�ำกระบอกใส่น้�ำ ใบแร็ดใช้ท�ำจุกปากกระบอกน้�ำ หวายใช้ส�ำหรับผูกมัดกระบอกน�้ำ ในเวลาที่ต้องตักน�้ำมา
ใช้ในพระราชพิธี เช่น น�้ำเสวย น้�ำอภิเษก น้�ำบรมราชาภิเษก น�้ำพระพิพัฒน์สัตยา

ในครั้งโบราณน้�ำทั้ง ๖ แห่งนี้ เม่ือต้องการท�ำน�้ำพระพุทธมนต์ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ในทางราชการ
ดังกล่าวมาน้ี ต้องไปท�ำพิธีตักมาท�ำรวมกันทุก ๆ แห่งท้ัง ๖ แห่ง

ประวัติสถานที่ประกอบพิธีน�้ำอภิเษก ความส�ำคัญในทางประวัติศาสตร์ของสถานที่ประกอบพิธีท�ำน้�ำ
อภิเษก ท�ำในอุโบสถพระวิหารหลวง ซ่ึงเป็นอุโบสถของวัดพระบรมธาตุ เป็นวัดหลวง เป็นอุโบสถท่ีใช้ประกอบ
พิธีในทางราชการของจังหวัดตลอดมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล เช่นพิธีถือน้�ำพระพิพัฒน์สัตยาประจ�ำปีของจังหวัด
นครศรีธรรมราช และพิธีส�ำคัญ ๆ ในทางพระพุทธศาสนา เป็นอุโบสถท่ีสร้างติดกับองค์พระบรมธาตุจังหวัด
นครศรีธรรมราช เป็นอุโบสถที่ใหญ่โตกว้างขวางและเป็นสถานที่ที่มีเกียรติสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา
ในภาคใต้ทั้ง ๑๕ จังหวัด ไม่มีอุโบสถใดในภาค ๕ จะมีเกียรติสูงสุดย่ิงไปกว่า

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 577

๖. จังหวัดล�ำพูน

น้�ำอภิเษก น้�ำบ่อน้�ำทิพย์
สถานท่ีประกอบพิธีน้�ำอภิเษก พระธาตุหริภุญชัย
ประธานพิธี ขุนสนิทประชาราษฎร์ (สนิท จันทรศัพท์)
ข้าหลวงประจ�ำจังหวัดล�ำพูน
ประธานพิธีสงฆ์ พระอมรเมธี (ส�ำลี อมรปญฺโญ)1 เจ้าคณะตรวจการผู้ช่วยภาค ๔
ประวัติน้�ำอภิเษก บ่อน้�ำทิพย์
สถานทเี่ กดิ แห่งน้�ำอภเิ ษกนี้อยู่บนยอดเขาคะมอ้ ในทอ้ งท่ีตำ� บลมะเขอื แจ้ อำ� เภอเมืองล�ำพูน น้�ำอภิเษกนี้
จะเกิดมีมาแต่คร้ังใดนั้นไม่มีใครทราบ เป็นแต่เล่าสืบกันมาว่าเมื่อคร้ังพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ได้ทรงเสด็จ
มาท่ียอดภูเขาคะม้อน้ีเนื่องจากเสด็จเที่ยวโปรดสัตว์ เมื่อเสด็จถึงทรงกระหายน�้ำ จึงสั่งพระสาวกที่ติดตามมา
ด้วยน้ันให้ไปเที่ยวหาน้�ำมาเสวย พระสาวกได้ไปเท่ียวหาน้�ำในท่ีต่าง ๆ มาให้พระองค์เสวยไม่ได้ พระองค์จึง
ทรงต้ังพระอธิษฐานแล้วใช้หัวแม่มือกดลงไปตรงท่ีพระองค์ทรงประทับอยู่ เม่ือพระองค์ทรงกดหัวแม่มือลงแล้ว
ก็ยกหัวแม่มือข้ึน จึงมีน้�ำไหลพุ่งขึ้นมาให้พระองค์เสวย เม่ือพระองค์ได้เสวยน�้ำนี้แล้วพระองค์ก็ทรงท�ำนายว่า
“สถานที่นี้ต่อไปจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และจะได้ใช้น�้ำน้ีไปท�ำพิธีต่าง ๆ” ต้ังแต่บรรพบุรุษตลอดจนประชาชน
ทุกวันนี้จึงเรียกกันว่า “บ่อน้�ำทิพย์” ตลอดฤดูน�้ำฤดูแล้งน้�ำไม่มีแห้ง น�้ำในบ่อน�้ำทิพย์นี้เม่ือตักน�้ำยุบลงไปก็จะ
มีน�้ำไหลพุ่งขึ้นมาเอง บ่อน้�ำทิพย์น้ีจะต้ืนลึกเพียงใดไม่มีผู้ใดทราบ มีประชาชนทดลองใช้ด้ายกลุ่มม้วนใหญ่ ๆ
มัดผูกก้อนอิฐหรือก้อนหินหย่อนลงไปในบ่อน�้ำทิพย์น้ี เม่ือหมดด้ายกลุ่มม้วนน้ันแล้วปรากฏว่าก้อนอิฐหรือหิน
ยังไม่ถึงก้นบ่อ บ่อน�้ำทิพย์ที่กล่าวนี้เม่ือลงไปถึงหินท่ีส�ำหรับตักน้�ำลึกจากปากบ่อประมาณ ๓ วาแล้วเงยหน้า
ข้ึนดูปากบ่อเบื้องบนจะสังเกตุเห็นว่าเป็นรูปคล้าย “หัวแม่มือ”
น้�ำน้ีถือกันว่าเป็นน้�ำที่ศักดิ์สิทธิ์ ถึงคราวประเพณีสรงน�้ำพระธาตุหริภุญชัย (วัดพระธาตุหริภุญชัย)
วันเพ็ญเดือน ๖ ต้องไปกระท�ำพลีกรรมน�ำเอาน้�ำน้ีมาสรงพระธาตุหริภุญชัยทุกปี และก่อน ๆ มา หากมี
กษัตริย์ขึ้นครองราชย์ จะต้องขอน้�ำทิพย์นี้ไปกระท�ำพิธีน�้ำอภิเษกทุกองค์ และเวลาปรกติวัน ๘ ค�่ำ ๑๕ ค่�ำ
ได้มีประชาชนใกล้เคียงและต่างท้องที่ข้ึนไปบูชาน้�ำบ่อนี้อยู่เสมอ บ่อน�้ำทิพย์น้ีอยู่บนยอดเขาคะม้อ บนยอดเขา
เป็นท่ีราบ ความสูงจากระดับพ้ืนดินถึงยอดเขาประมาณ ๓๐๐ เมตร์ ทางลาดยาวแต่พ้ืนถึงยอดเขาประมาณ
๖ ก.ม. การเดินทางไปเอาน้�ำทิพย์ท่ีบ่อน้ีมีความล�ำบากมาก เพราะภูเขาสูงชัน เวลาขาขึ้นบางตอนต้องเกาะ
ก้อนหินหรือต้นไม้ข้ึนไป อยู่ห่างไกลจากท่ีตั้งตัวจังหวัดและท่ีว่าการอ�ำเภอเมืองล�ำพูนไปประมาณ ๑๕ ก.ม.
กับต้องผ่านป่าดงไปเป็นบางตอน การไปประกอบพิธีพลีกรรมเอาน้�ำน้ีจะต้องมีข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียนและ
ตั้งบายศรีนิมนต์พระสงฆ์ไปท�ำพิธีสวดมนต์ขอน้�ำแล้วจึงจะให้คนลงไปตักน�้ำในบ่อได้ ตามปรกติน�้ำในบ่อนี้
จะมีสีขุ่น เม่ือกระท�ำพิธีพลีกรรมแล้วน้�ำจะใสข้ึนมา การตักน�้ำในบ่อน�้ำทิพย์น้ีต้องใช้ผู้ชายลงไปตัก ห้ามสตรี

1 ตอ่ มาคอื พระสุเมธมังคลาจารย์ อดตี เจา้ อาวาสวดั พระธาตหุ รภิ ญุ ชยั

578 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

ลงไปตักตลอดจนห้ามเข้าไปเหยียบย่�ำในบริเวณปากบ่อด้วย อีกประการหนึ่งประชาชนท่ีนับถือในความ
ศักดิ์สิทธิ์นี้กล่าวกันว่าถ้ามีผู้ท่ีประสงค์จะได้น้�ำน้ีไปเพ่ือประกอบการศิริมงคลอย่างอ่ืนแล้ว หากปฏิบัติสิ่งหนึ่ง
สิ่งใดบกพร่องไม่เป็นศิริมงคลแล้ว น้�ำท่ีตักข้ึนมานั้นจะขุ่นค่นมีตัวน้�ำ (คล้ายตัวหนอน) ใช้ไม่ได้ จะต้องเทน้�ำนั้น
คืนลงบ่อตามเดิม ต่อเม่ือปฏิบัติจัดท�ำให้ถูกพิธีเป็นศิริมงคลแล้ว น�้ำท่ีตักข้ึนมาน้ันจึงจะใสและไม่มีตัวน้�ำ
ตามที่กล่าวมาข้างต้น

ประวัติสถานที่ประกอบพิธีน�้ำอภิเษก พระธาตุหริภุญไชย ในต�ำนานว่า พระเจ้าอาทิตย์ ราชวงศ์รามัญ
ผู้ครองเมืองล�ำพูนเป็นผู้สร้าง เม่ือ พ.ศ. ๑๕๘๖ พระเมืองแก้วทรงปฏิสังขรณ์เม่ือ พ.ศ. ๒๐๕๔ พระเจ้า
กาวิละได้ทรงปฏิสังขรณ์และยกยอดฉัตร ๔ มุมเม่ือ พ.ศ. ๒๓๒๙ จากนั้นก็ได้มีการปฏิสังขรณ์กันต่อ ๆ มา
อีกหลายคราว

๗. จังหวัดนครพนม

น้�ำอภิเษก น้�ำบ่อวัดพระธาตุพนม
สถานที่ประกอบพิธีน้�ำอภิเษก พระธาตุพนม
ประธานพิธี ขุนค�ำณวนวิจิตร (เชย บุนนาค)1
ข้าหลวงประจ�ำจังหวัดนครพนม
ประธานพิธีสงฆ์ พระสารภาณมุนี (จัน เขมิโย)2 เจ้าคณะจังหวัดนครพนม
ประวัติน�้ำอภิเษก บ่อวัดพระธาตุพนม
เป็นบ่อน�้ำตั้งอยู่ทางทิศเหนือองค์พระธาตุ ห่างจากก�ำแพงชั้นนอกประมาณ ๓๐ วา ลึกถึงก้นบ่อ ๑๐
เมตร กว้าง ๑.๕๐ เมตร กรุข้างบ่อด้วยไม้แดงเป็นบ่อเก่าแก่ น�้ำใสรสจืด มีน้�ำตลอดปี ราษฎรส่วนมากใช้น้�ำ
บ่อน้ีเป็นน�้ำดื่ม ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่าเป็นบ่อที่พระอินทร์ท�ำถวายพระพุทธเจ้าครั้งเสด็จรอบโลก แต่ทางสันนิษฐาน
ตามต�ำนาน ซ่ึงปรากฏว่าพระยาทั้ง ๕ ท่ีร่วมกันสร้างพระธาตุครั้งแรกได้ขุดบ่อและสระเพื่ออาศัยน�้ำใช้ในงาน
และถวายพระอรหันต์
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสวยราชสมบัติ ทางราชการก็ได้มากระท�ำพิธีเสกน้�ำ
ท่ีวัดพระธาตุพนมนี้ เมื่อวันท่ี ๔ และท่ี ๕ มกราคม ๒๔๖๘ แล้วน�ำน�้ำไปร่วมในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกด้วย
ประวัติสถานท่ีประกอบพิธีน้�ำอภิเษก องค์พระธาตุพนม เป็นเจดีย์รูปสี่เหล่ียมจัตุรัส ก่อด้วยอิฐกว้าง
ด้านละ ๑๐ เมตรเศษ สูงประมาณ ๕๐ เมตร ตั้งอยู่ในบริเวณวัดพระธาตุพนม มีก�ำแพงล้อมองค์พระธาตุ

1 บตุ รคณุ แชม่ มหาดเลก็ ในรชั กาลท่ี ๕ มารดาชอ่ื จนั ทร์ เกดิ เมอื่ วนั ที่ ๒๑ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๓๙ เปน็ ผมู้ คี วามรใู้ นทางวรรณคดี
และการประพันธ์ ได้ประพันธ์โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และสารคดีไว้ในหนังสือและวารสารต่าง ๆ ตลอดจนประพันธ์บทละครร้อง
ละครพดู ให้แก่โรงเรยี นและคณะละครต่าง ๆ นำ� ออกแสดงมาหลายครง้ั ถึงแก่กรรมเมอ่ื วนั ที่ ๑๖ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๑๓ อายุ ๗๓ ปี

2 ตอ่ มาคือ พระเทพสิทธาจารย์ อดตี เจา้ อาวาสวัดศรีเทพประดษิ ฐาราม

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 579

๔ ชั้น องค์พระธาตุต้ังอยู่บนเนินดิน สูงจากพ้ืนดินธรรมดา ๑๐ ฟีต เรียกว่า “ภูก�ำพร้า” ห่างจากแม่น�้ำโขง
๘ เสน้ เศษ หา่ งจากทว่ี า่ การอ�ำเภอธาตพุ นม ๒๕ เสน้ หา่ งจากจงั หวดั นครพนม ๕๒ กโิ ลเมตร หนา้ วดั พระธาตพุ นม
มีบึงใหญ่ เรียกว่า “บึงธาตุพนม” ถนนหลวงสายอุบลราชธานี - นครพนม ผ่านหน้าวัดพระธาตุพนมนี้

ประวัติการก่อสร้าง ตามต�ำนานว่า หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ๘ ปี (พ.ศ. ๘) พระมหากัสสป
เถระพร้อมด้วยพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ได้อัญเชิญพระพุทธสารีริกธาตุ (อุรังคธาตุ) มาจากกรุงกุสินารายน์1
ประเทศอินเดีย มาบรรจุประดิษฐานไว้ท่ีภูก�ำพร้า (ตรงที่ตั้งองค์พระธาตุพนมเด๋ียวนี้) มีพระยาท้ัง ๕ หัวเมือง
รับภาระอุปถัมภ์เป็นก�ำลังร่วมสร้างพระเจดีย์ คือ

๑. พระยาสุวรรณภิงคาร เจ้าเมืองหนองหารหลวง ในเขตจังหวัดสกลนครเด๋ียวนี้
๒. พระยาจุฬนีพรหมทัต เจ้าเมืองจุฬนีพรหมทัต ในแคว้นตังเกี๋ยสิบสองจุไทย (ญวน)
๓. พระยาอินทปัตถนคร เจ้าเมืองอินทปัตถ์ ในแคว้นก�ำพูชา (เขมร)
๔. พระยาค�ำแดง เจ้าเมืองหนองหารน้อย ในเขตอ�ำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี
๕. พระยานันทเสน เจ้าเมืองศรีโคตรบูรณ์ เขตเมืองท่าแขก (ตรงข้ามกับวัดพระธาตุพนม)
พระยาทั้ง ๕ ได้ท�ำการก่อเจดีย์ตามความประสงค์ของพระมหากัสสปโดยปั้นและก่อด้วยอิฐดิบเป็นรูป
เจดีย์แล้วก่ออุโมงค์เผาทีหลังและพระยาท้ัง ๕ ได้สละเครื่องกกุธภัณฑ์ท้ัง ๕ พร้อมด้วยเครื่องสักการะบูชาเข้า
บรรจุในองค์พระธาตุบูชาพระอุรังคธาตุ เม่ือพระยาท้ัง ๕ ได้จากกันไปแล้ว ได้มอบภาระการบ�ำรุงรักษาให้
แก่พระยานันทเสน เจ้าเมืองศรีโคตรบูรณ์เป็นผู้รับผิดชอบ พระยานอกนั้นเพียงแต่น�ำเคร่ืองสักการะดอกไม้
เงินทองมาบูชาพระธาตุเป็นประจ�ำทุกปี พระยานันทเสนได้แต่งครอบครัวบ้านส่วยส�ำหรับปฏิบัติและบ�ำรุง
รักษาองค์พระธาตุตลอดมา ตามต�ำนานกล่าวถึงอภินิหารของพระบรมธาตุว่า เม่ือพระยาทั้ง ๕ สร้างเจดีย์
เสร็จแล้วพระอินทร์และวิศสุกรรมเทวบุตรพร้อมด้วยเทพธิดาได้ลงมาในเวลากลางคืนและสลักลวดลายใน
องค์พระธาตุ แล้วท�ำการบูชาพระธาตุด้วยเครื่องสักการะต่าง ๆ และได้แต่งเทวดามีมเหศักดิ์ ๒,๕๐๔ องค์
อยู่ประจ�ำรักษาพระบรมธาตุตลอดไป

การบูรณะซ่อมแซมพระธาตุและวัดพระธาตุ

ในราว พ.ศ. ๑๐๐ เศษ พระยาสุมิตตธรรมวงษา โอรสของพระยานันทเสน เจ้าเมืองมรุคนคร (เขต
บ้านหลักศิลา บ้านธาตุน้อย ต�ำบลพระกลางทุ่ง อ�ำเภอธาตุพนม เด๋ียวน้ี) พร้อมกับพระอรหันต์มาจากเมือง
ราชคฤห ๕ องค์ ได้มาท�ำการก่อเสริมพระธาตุให้สูงกว่าเก่า (ไม่ทราบแน่ว่าสูงเท่าใด) และแต่งต้ังประชาชน
๓,๐๐๐ คน เป็นผู้ประจ�ำรักษาองค์พระธาตุ

ในราว พ.ศ. ๒๐๗๓ - ๒๑๐๒ พระยาโพธิสารราชเจ้าเมืองหลวงพระบาง วงศ์กษัตรย์ลานช้าง
องค์ที่ ๔๐ ได้มาสร้างเสริมและซ่อมองค์พระธาตุ (ไม่มีหลักฐานว่าได้ท�ำอะไรบ้าง) และได้สร้างวิหารมุงด้วย
ตะก่ัวล้วนภายในก�ำแพงด้านตะวันออกองค์พระธาตุ ซ่ึงเข้าใจว่า “หอพระแก้วหลังเก่า”

1 คือ เมืองกุสินารา

580 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

ในราว พ.ศ. ๒๑๐๒ - ๒๑๑๔ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชโอรสพระยาโพธิสารราช ได้มาบูรณะซ่อมแซม
(ไม่มีหลักฐานว่าได้ท�ำอะไรบ้าง) และได้พระราชทาน “จุ้ม” (เข้าใจว่าเป็นกกุธภัณฑ์) ไว้บูชาพระธาตุ

พ.ศ. ๒๑๕๗ พระยานครหลวงพิชิตทศพิธ ราชธานีศรีโคตรบูรณ์หลวง เจ้าเมืองศรีโคตรบูรณ์ (ใต้เมือง
ท่าแขก) ได้มาบูรณะปฏิสังขรณ์พระธาตุ คือก่อก�ำแพงชั้นกลางพร้อมด้วยซุ้มประตู และหอเข้าพระในลาน
พระธาตุทางทิศตะวันตกและทางทิศตะวันออกและยกวัดให้เป็นวัดหลวง ใครไม่ได้รับอนุญาตจะทอดกฐินมิได้
ได้ปฏิบัติสืบต่อกันมา เพิ่งมาเลิกเมื่อปลายรัชกาลท่ี ๕ แห่งพระราชวงศ์จักรี

พ.ศ. ๒๒๓๓ - ๒๒๓๕ เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม๊ก เป็นพระชาวเวียงจันทน์ สมัยพระเจ้าสุริวงศา
ธรรมธิราช ครองนครเวียงจันทน์ บ้านเมืองเกิดเดือดร้อนด้วยการแย่งราชสมบัติ เจ้าราชครูน�ำอพยพครอบครัว
ชาวเวียงจันทน์ล่องตามแม่น�้ำโขง มาพักอยู่ท่ีภูก�ำพร้า ซ่อมพระธาตุด้วยการเสริมสภาพแต่งภูมิกลางข้ึนไป
หล่อเหล็กเปียกและทองแดงโอบยอดพระธาตุ

พ.ศ. ๒๓๔๙ พระเจ้าอนุรุธราช (เจ้าอนุเวียงจันทน์) พร้อมกับเจ้าเมืองนครพนมและเจ้าเมืองมุกดาหาร
สร้างสะพานจากวัดถึงท่าริมแม่น้�ำโขง และในปีเดียวกันนี้เจ้าเมืองมุกดาหารได้สร้างพัทธสีมา (โบสถหลังเก่า)

พ.ศ. ๒๔๔๔ พระครูวิโรจน์รัตโนบล1 อดีตเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี ได้บูรณะพระธาตุก่อลาน
เสริมสะทายอิฐประดับกระจกตามมุม และตัดต้นไม้ท่ีรกรุงรัง และได้ก่อซุ้มประตูทั้ง ๔ ทิศ และเสริมก�ำแพง

พ.ศ. ๒๔๔๙ กรมพระด�ำรงราชานุภาพ2 คร้ังด�ำรงต�ำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้น�ำระฆัง
๒ ใบ มาถวายพระธาตุ

พ.ศ. ๒๔๗๙ - ๒๔๙๒ พระพนมเจติยานุรักษ์3 ได้สร้างวิหารคดล้อมก�ำแพงชั้นนอก รื้อซุ้มประตูเก่า
สร้างใหม่ทั้ง ๔ ด้าน รื้อก�ำแพงและซุ้มประตูชั้นที่ ๒ สร้างใหม่

พ.ศ. ๒๔๘๒ - ๒๔๘๓ กรมศิลปากร (หลวงวิจิตรวาทการ เป็นอธิบดี) ก่อโอบเสริมพระธาตุสลักลวดลาย
ด้วยคอนกรีต และเสริมยอดสูงขึ้นอีก ๑๐ เมตร

พ.ศ. ๒๔๘๖ สมเด็จพระมหาวีระวงศ์4 ครั้งด�ำรงต�ำแหน่งสังฆนายกได้อัญเชิญต้นพระศรีมหาโพธิ
พันธุ์อินเดีย มาปลูกทางทิศตะวันตกขององค์พระธาตุ5

เฉพาะองค์พระธาตุพนมน้ีประชาชนชาวอิสาณเคารพนับถือว่าเป็นส่ิงศักดิ์สิทธ์ิ งานเทศกาลประจ�ำปี
เพ็ญเดือน ๓ มีงานครึกคร้ืน ประชาชนพากันมานมัสการกันล้นหลาม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้
พระราชทานดอกไม้เงินทองและเครื่องสักการะมาบูชาพระธาตุทุกปี

1 คือ พระครวู ิโรจนร์ ัตโนบล (รอด ทนตฺ โร) ครงั้ ดำ� รงสมณศักด์ทิ พี่ ระครูอุดรพทิ กั ษค์ ณาเดช
2 พ.ศ. ๒๔๔๙ ยังทรงด�ำรงพระยศเป็นกรมหลวงด�ำรงราชานุภาพ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
สถาปนาพระอิสริยยศเป็นกรมพระด�ำรงราชานุภาพ ดูใน “ประกาศเล่ือนแลต้ังกรมแลตั้งเจ้าพระยา,” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๒๘
(๑๑ พฤศจกิ ายน ๑๓๐) : ๑๗๓๗.
3 ตอ่ มาคอื พระธรรมราชานวุ ตั ร (แกว้ กนโฺ ตภาโส) อดีตเจา้ อาวาสวดั พระธาตพุ นม
4 คือ สมเดจ็ พระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส)
5 ภายหลังมีการสร้างพระธาตุพนมองค์ปัจจุบันข้ึนแทนพระธาตุองค์เดิมซึ่งพังทลายลงเม่ือวันท่ี ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘
และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบ
พระราชพธิ ีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขน้ึ บรรจใุ นองค์พระธาตุพนม เมือ่ วนั ท่ี ๒๓ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๒๒

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 581

๘. จังหวัดน่าน

น�้ำอภิเษก น้�ำบ่อแก้ว
สถานที่ประกอบพิธีน�้ำอภิเษก พระธาตุแช่แห้ง
ประวัติสถานท่ีประกอบพิธีน้�ำอภิเษก ในต�ำนานว่า เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ได้เสด็จมาถึง
เมืองน่าน พระอรหันต์กับพระอานนท์ ทูลขอให้พระราชทาน พระเกษธาตุแก่มลราช พระองค์ทรงประทานให้
และทรงพยากรณ์ว่า เม่ือพระองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว พระธาตุข้อมือซ้าย จะมาประดิษฐานในเมืองนี้
คร้ันพระพุทธองค์นิพพานแล้ว พระมหากัสสปอาราธนาให้พระธาตุเสด็จไปเมืองน่าน อยู่รวมกับพระเกษธาตุ
ที่ได้ประทานไว้ก่อน ถึง พ.ศ. ๒๑๘ พระเจ้าอโศกทรงรวบรวมพระธาตุสร้างพระสถูปแปดหม่ืนส่ีพัน ก็ทรงแจก
พระธาตุและสร้างพระสถูปข้ึนที่เมืองนี้ด้วย แต่พระสถูปเดิมน้ัน หักพังหายไปหมดเหลือแต่พระธาตุจมดินอยู่
จนเม่ือราว พ.ศ. ๒๐๐๔ ท้าวขาก่านเจ้าเมืองน่าน จึงได้ขุดพระธาตุและสร้างพระสถูปขึ้น

๙. จังหวัดร้อยเอ็ด

น้�ำอภิเษก ๑. น้�ำสระแก้ว
๒. น้�ำสระทอง
๓. น้�ำบึงพลาน1ชัย
สถานท่ีประกอบพิธีน้�ำอภิเษก บึงพลานชัย
ประวัติน้�ำอภิเษก สระแก้วอยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดไปทางทิศใต้ ประมาณ ๓๐ เส้น สระทอง
อยู่ทางทิศตะวันตกของบึงพลานชัย ท้ังสองสระนี้เป็นสระเก่าแก่ ขุดขึ้นในสมัยแรกสร้างเมืองร้อยเอ็ด
บึงพลานชัย เป็นบึงเก่าก่อนสร้างเมืองร้อยเอ็ด กว้างประมาณ ๓ เส้น ยาวประมาณ ๔ เส้นเศษ อยู่ห่าง
จากศาลากลางจังหวัดไปทางทิศใต้ประมาณ ๘ เส้น เม่ือคราวพระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ (ทอง จันทรางศุ)
เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ท�ำการขุดลอก ให้ลึก มีน้�ำใสสะอาด พูนเกาะกลางบึง ๒ เกาะ และสร้างสะพาน
ติดต่อกัน ท�ำถนนรอบขอบบึง ในเวลาน้ีได้ใช้เกาะใหญ่เป็นสถานที่ท�ำการเทศบาล เกาะเล็กเป็นรมนียสถาน
ที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวจังหวัด
ตั้งแต่สมัยโบราณมา การประกอบพิธีส�ำคัญ ๆ ของจังหวัดนี้ ได้ใช้น�้ำสระแก้ว สระทอง และบึง
พลานชัย เข้าพิธีท�ำเป็นน้�ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ใช้เสมอมา และในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกทุกรัชกาลก็ได้ตักน้�ำ
ทั้ง ๓ แห่งนี้ ประกอบพิธีน�้ำอภิเษกส่งไปทุกคราว
ข้างบึงพลานชัยมีวัดส�ำคัญของจังหวัดวัดหน่ึงเรียกว่าวัดบึงพลานชัย วัดนี้เดิมเป็นแต่เพียงส�ำนักสงฆ์
ไม่มีอุโบสถสังฆกรรม พระยารณชัยชาญยุทธ (ถนอม บุณยเกตุ)2 สมัยที่ด�ำรงต�ำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑล

1 พลาน เป็นคำ� โบราณ หมายถงึ ลานกวา้ ง ปจั จุบันสะกดวา่ พลาญ บางแหง่ วา่ หมายถึง พระลาน
2 พระยารณชัยชาญยุทธ (ถนอม บุณยเกตุ) สมรสกับคุณหญิงรณชัยชาญยุทธ์ (ทับทิม) มีบุตรคือ นายทวี บุณยเกตุ
อดตี นายกรัฐมนตรีคนที่ ๕ ของไทย

582 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

ร้อยเอ็ด ได้ขอพระราชทานวิสุงคามสีมาจัดการผูกพัทธสีมาสร้างเป็นวัด มีอุโบสถสังฆกรรมข้ึน เรียกว่า
วัดบึงพลานชัย และได้ใช้เป็นสถานท่ีถือน้�ำพระพิพัฒนสัตยาสืบมา



๑๐. จังหวัดเพชรบุรี

น้�ำอภิเษก น้�ำแม่น้�ำเพชรบุรี
สถานท่ีประกอบพิธีน้�ำอภิเษก วัดมหาธาตุ
ประธานพิธี ขุนบริรักษ์บทวลัญช์ (ชุ่ม บริรักษ์บทวลัญช์)
ข้าหลวงประจ�ำจังหวัดเพชรบุรี
ประธานพิธีสงฆ์ พระครูสุวรรณมุนี (ผัน สุวณฺโณ)1
เจ้าคณะจังหวัดเพชรบุรี
ประวัติน้�ำอภิเษก น�้ำแม่น้�ำเพชรบุรี
จังหวัดได้ให้ขุนทิพย์รักษ์ประพัทธ์ (บุญทิพย์ ทิพยรักษ์) นายอ�ำเภอบ้านลาด เป็นราชบุรุษไปท�ำพิธี
พลีกรรมตักน้�ำท่ีเป็นศิริมงคล ณ สถานท่ีอันศักดิ์สิทธิ์ ท่ีวัดท่าชัย ต�ำบลสมอพลือ อ�ำเภอบ้านลาด (เด๋ียวน้ี
เรยี กวัดทา่ ชัยศริ )ิ ความส�ำคัญของนำ�้ ทีว่ ัดทา่ ชยั ศิริตามท่ีสืบทราบมีวา่ ในครั้งโบราณ เมอ่ื ทัพไทยได้รบกับพะมา่
ทัพไทยได้แตกถอยมาถึงวัดใต้ ซึ่งมาเรียกกันภายหลังว่าวัดท่าชัย และเด๋ียวน้ีเรียกว่าวัดท่าชัยศิริ ทหารใน
กองทัพไทยได้ลงด่ืมน�้ำที่ศาลาท่าน�้ำของวัดน้ี แล้วกลับขึ้นไปยึดโบสถ์วัดใต้เป็นท่ีม่ันท�ำการต่อสู้กับกองทัพ
พะม่า กองทัพพะม่าต้องแตกถอยหนีไป นามของวัดจึงเรียกกันว่าวัดท่าชัย และต่อมาเรียกว่าวัดท่าชัยศิริ
ในกาลต่อมาพระมหากษัตริย์ได้ทรงใช้น้�ำที่ท่าน้ี โดยมีเจ้าหน้าที่ตักส่งไปยังกระทรวงวัง และได้มาเลิกในสมัย
ปลายรัชกาลที่ ๖
ความส�ำคัญของสถานที่ประกอบพิธีน้�ำอภิเษก วัดมหาธาตุเป็นวัดเก่า ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าสร้างขึ้น
เมื่อใด ตามประวัติเท่าที่ปรากฏว่าสร้างขึ้นมาได้ประมาณเกือบ ๑,๙๐๐ ปี และเป็นวัดราษฎร์ เดิมมีชื่อ
ท่ีราษฎรเรียกกันว่า “วัดหน้าพระธาตุ” หรือ “วัดหน้าประธาตุ” ต่อมาเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๕๙ สมเด็จพระมหา
สมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เสด็จมาตรวจการคณะสงฆ์ในจังหวัดเพชรบุรี ตรัสว่า “ชื่อวัดยังไม่ใคร่
ได้ความแน่ชัดและเดิมน่าจะเป็นวัดหลวง” จึงทรงขนานนามใหม่ว่า “วัดมหาธาตุ” และจะทูลขอพระราชทาน
ให้เป็นวัดหลวงชั้นตรี ส่วนการทอดกะฐินทรงอนุญาตให้ประชาชนทอดกะฐินได้ตามเดิม ครั้นเม่ือสมเด็จ
พระมหาสมณเจ้าส้ินพระชนม์ การทอดกะฐินก็เป็นกะฐินหลวงต้ังแต่ปี พ.ศ. ๒๔๖๒ วัดนี้เป็นสถานท่ีท�ำพิธี
ถือน้�ำพระพิพัฒน์สัตยา เม่ือสมัยรัชกาลที่ ๔ สร้างพระราชวังที่บนเขาวัง จึงได้ย้ายการท�ำพิธีถือน้�ำพระพิพัฒน์
สัตยาไปกระท�ำบนเขาวัง จนถึงสมัยรัชกาลท่ี ๖ ได้โปรดเกล้าให้ย้ายมาท�ำพิธีท่ีวัดมหาธาตุตามเดิมอีกตลอด
จนเลิกพิธีถือน้�ำในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง

1 ต่อมาคอื พระเทพสวุ รรณมุนี อดีตเจา้ อาวาสวัดมหาธาตุ

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 583

วัดมหาธาตุ เป็นที่ประดิษฐานพระปรางค์ ๕ ยอด (พระศรีรัตนมหาธาตุ) เป็นโบราณวัตถุ ใครเป็นผู้สร้าง
สร้างเม่ือใดไม่ปรากฏชัด พระปรางค์ ๕ ยอดนี้ มีรูปทรงคล้ายคลึงแบบเขมร จึงเข้าใจว่า พวกเขมรเป็นผู้สร้าง
ตามประวัติเท่าที่ปรากฏมีว่าสร้างมาประมาณ ๑๘๒๐ ปีเศษ (ถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๓) พ้ืนล่างของพระปรางค์เป็น
ศลิ าแลงอยา่ งโบราณ มีผู้กล่าววา่ สรา้ งมาพรอ้ มกบั วัดก�ำแพงแลง ซึ่งตั้งอยทู่ างทิศตะวันออกของจังหวดั เพชรบุรี
พระปรางค์นี้ได้บรรจุพระบรมธาตุไว้ทั้ง ๕ ยอด คือ ยอดใหญ่บรรจุพระสารีริกธาตุ ยอดเล็กทางทิศบูรพาเป็น
อุทเทสเจดีย์ ทางทิศทักษิณเป็นธาตุเจดีย์ ทางทิศประจิมเป็นบริโภคเจดีย์ ทางทิศอุดรบรรจุธรรมเจดีย์

ตามประวัติปรากฏว่า พระปรางค์ ๕ ยอดนี้ได้เคยช�ำรุดหักพังมาแล้ว ๒ ครั้ง ซ่อมแซมใหม่ส�ำเร็จ
เรียบร้อยเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๙ วัดส่วนสูงได้ ๒๗ วาเศษ ส่วนฐานวัดโดยรอบได้ ๖๐ วาเศษ เป็นสถานที่ประชาชน
เคารพสักการะบูชามาก และมีรอยพระพุทธบาทจ�ำลองประดิษฐานไว้ในพระอาราม ถึงวันนักขัตฤกษ์
วันสงกรานต์เปิดให้ประชาชนเข้าไปนมัสการเสมอ

๑๑. จังหวัดชัยนาท

น้�ำอภิเษก ๑. น้�ำตักที่หน้าวัดพระบรมธาตุ
๒. น้�ำตักที่หน้าวัดธรรมามูล
สถานท่ีประกอบพิธีน�้ำอภิเษก วัดพระบรมธาตุ
ประธานพิธี นายสมบูรณ์ จันทรประทับ ข้าหลวงประจ�ำจังหวัดชัยนาท
ประธานพิธีสงฆ์ พระครูสรรพยานกิจวิชัย (หลิน จนฺทโชโต)1 เจ้าคณะจังหวัดชัยนาท
ประวัติน�้ำอภิเษก
วัดธรรมามูล ตั้งอยู่ท่ีต�ำบลธรรมามูล อ�ำเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท ที่ริมแม่น้�ำเจ้าพระยาฝั่งซ้าย
ห่างจากที่ต้ังศาลากลางจังหวัดชัยนาทไปทางทิศเหนือประมาณ ๑๐ กิโลเมตร วัดนี้ตั้งอยู่บนไหล่เขาลูกหนึ่ง
ซ่ึงเรียกว่าเขาธรรมามูล ทางด้านซ่ึงติดกับแม่น�้ำเจ้าพระยาเป็นวัดโบราณ มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธ์ิอยู่ในวิหาร
ของวัดน้ีองค์หนึ่ง เรียกว่า “หลวงพ่อธรรมจักร์” วัดนี้จะสร้างขึ้นในสมัยใด เมื่อใด ไม่ปรากฏหลักฐาน แต่มี
ประวัติเล่าลือกันมาว่า เป็นวัดที่สร้างข้ึนในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีคือมีพระเจ้าแผ่นดินซึ่งครองกรุงสุโขทัย
องค์หน่ึง ได้เสด็จทางชลมารคล่องลงมาตามล�ำแม่น�้ำเจ้าพระยา เม่ือเสด็จมาถึงภูเขาธรรมามูลซ่ึงอยู่ติดกับฝั่ง
แม่น้�ำเจ้าพระยา ได้เสด็จข้ึนประทับพักร้อนบนภูเขาลูกนี้และได้ทรงสร้างวัดน้ีขึ้นบนไหล่เขาธรรมามูลทางด้าน
ซึ่งติดกับฝั่งแม่น�้ำเจ้าพระยา นามของวัดนี้จะได้รับพระราชทานในสมัยนั้นทีเดียวหรือในสมัยต่อมาอย่างไร
ไม่ปรากฏหลักฐาน วัดน้ีได้รับการก่อสร้างปฏิสังขรณ์ต่อ ๆ กันมา และได้รับสถาปนาข้ึนเป็นพระอารามหลวง
หลวงพ่อธรรมจักร์ พระพุทธรูปศักด์ิสิทธิ์ เป็นพระพุทธรูปยืนยกพระหัตถ์เบื้องขวาซ่ึงเรียกว่า
ปางห้ามสมุทร สร้างด้วยทองสัมฤทธ์ิ สูง ๘ ศอกพอดี เด๋ียวนี้ใช้ปูนหุ้มไว้ทั้งองค์ประวัติของพระพุทธรูป

1 ตอ่ มาคือ พระวิชยั วฒุ าจารย์ อดตี เจ้าอาวาสวดั สมอ

584 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

ศักดิ์สิทธิ์องค์นี้ กล่าวกันว่า ไม่ใช่พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นท่ีวัดนี้ และไม่มีใครทราบว่าใครสร้างขึ้นในสมัยใด
เม่ือใด มาอยู่ที่วัดนี้เม่ือใด อย่างไรก็ดี พระพุทธรูปหลวงพ่อธรรมจักร์องค์นี้ เป็นที่เคารพสักการะของประชาชน
ในจงั หวดั ชยั นาทอยา่ งยงิ่ ประชาชนผสู้ ญั จรไปมาโดยทางนำ้� เมอ่ื ผา่ นมาถงึ กม็ กั จะแวะขนึ้ ไปนมสั การและปดิ ทอง
หลวงพ่อธรรมจักร์เสมอ ส�ำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสข้ึนไปนมัสการเม่ือผ่านตรงหน้าวิหารที่หลวงพ่อธรรมจักร์อยู่
ก็วักน้�ำในแม่น�้ำตรงนั้นประพรมตัวเพื่อความศิริมงคล เพราะถือกันว่าน�้ำในแม่น�้ำเจ้าพระยาตรงนั้น
เป็นน�้ำมนต์อันศักด์ิสิทธ์ิของหลวงพ่อธรรมจักร์

วัดนี้มีงานประจ�ำปี คืองานสมโภชน์และปิดทองหลวงพ่อธรรมจักร์ ปีละ ๒ คร้ัง ในเดือน ๖ ขึ้น ๘ ค�่ำ
ครั้งหนึ่ง และในเดือน ๑๑ แรม ๘ ค่�ำ อีกคร้ังหนึ่ง เป็นประจ�ำทุกปี มีประชาชนจากอ�ำเภอต่าง ๆ ในจังหวัด
ชัยนาท และจังหวัดใกล้เคียงมานมัสการและปิดทองหลวงพ่อธรรมจักร์กันอย่างล้นหลามทุก ๆ ปี นับว่าเป็น
งานประจ�ำปีที่ใหญ่และสนุกสนานแห่งหนึ่งในจังหวัดชัยนาท

อน่ึง กะฐินพระราชทานส�ำหรับวัดนี้ได้พระราชทานแก่คณะกรมการจังหวัดชัยนาททอดเป็นประจ�ำ
ทุกปีมา

ประวัติสถานท่ีประกอบน้�ำอภิเษก วัดพระบรมธาตุ ตั้งอยู่ท่ีต�ำบลชัยนาท อ�ำเภอเมืองชัยนาท จังหวัด
ชัยนาท ที่ริมแม่น�้ำเจ้าพระยาฝั่งขวา ห่างจากที่ต้ังศาลากลางจังหวัดชัยนาทไปทางทิศใต้ประมาณ ๔ กิโลเมตร
วัดนี้เป็นวัดโบราณ มีโบราณสถานท่ีศักด์ิสิทธ์ิ คือ พระปรางค์สร้างด้วยศิลาแลง สูง ๗ วา มีรูปทรงสัณฐาน
เป็น ๔ เหล่ียม ฐานของพระปรางค์แต่ละด้าน กว้างประมาณ ๓ วาเศษ วัดนี้มีประวัติเล่ากันมาว่า เป็นวัดท่ี
สร้างข้ึนในสมัยพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชโดยพระอรหันต์ในสมัยน้ันได้น�ำพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้ามา
และสร้างเป็นพระปรางค์ด้วยศิลาแลงบรรจุพระบรมธาตุไว้ในนั้นและพร้อมกันได้สร้างวัดน้ีข้ึน ยังหาหลักฐาน
ท่ีแน่นอนยืนยันไม่ได้ว่าใครเป็นผู้สร้าง แผ่นศิลาจารึกท่ีมีอยู่ก็เพียงแต่กล่าวถึงการซ่อม ผู้ท่ีซ่อมก็ไม่ทราบว่า
สร้างในสมัยไหนแต่พระปรางค์องค์น้ีอาจเป็นพระปรางค์เก่าคร้ังสมัยขอมยังมีอ�ำนาจอยู่ก็ได้ เพราะมีรูปทรง
อย่างแบบเขมร เดิมพระปรางค์องค์นี้ห่อหุ้มด้วยโลหะสีขาว แต่ได้ผุพังไปเสียสิ้นแล้ว การซ่อมต่อมาได้ใช้หิน
และปูนหุ้มไว้ แต่คงรักษารูปทรงเดิมของพระปรางค์ไว้

พระปรางค์องค์น้ีเป็นท่ีเคารพสักการะของประชาชน คล้ายกับหลวงพ่อธรรมจักร์วัดธรรมามูล มีงาน
นมัสการและปิดทองพระปรางค์องค์นี้ปีละ ๒ คร้ัง ในเดือน ๖ ขึ้น ๑๔, ๑๕ และแรม ๑ ค่�ำ ครั้งหนึ่ง และ
ในเดือน ๑๑ แรม ๔ ค่�ำ อีกครั้งหน่ึงมีประชาชนจากอ�ำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดชัยนาทและจังหวัดใกล้เคียง
มานมัสการและปิดทองกันอย่างล้นหลามทุก ๆ ปี โดยเฉพาะงานนมัสการและปิดทองในวันขึ้น ๑๕ ค�่ำ
เดือน ๖ มีประชาชนมากันคับคั่ง ยิ่งกว่างานประจ�ำปีท่ีอื่น ๆ ในจังหวัดชัยนาท

ความส�ำคัญในทางประวัติศาสตร์ของสถานที่ประกอบพิธีท�ำน�้ำอภิเษก วัดพระบรมธาตุซ่ึงเป็นสถานท่ี
ประกอบพิธีท�ำน้�ำอภิเษกนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส เคยเสด็จมาตรวจการ
คณะสงฆถ์ งึ วดั นค้ี รง้ั หนงึ่ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๕๖ และเมอื่ ครง้ั บรมราชาภเิ ษกพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั
ก็ได้ประกอบพิธีท�ำน�้ำอภิเษกที่วัดพระบรมธาตุน้ี

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 585

๑๒. จังหวัดฉะเชิงเทรา

น้�ำอภิเษก ๑. น้�ำสระมหาชัย
๒. น้�ำสระหินดาษ
สถานที่ประกอบพิธีน้�ำอภิเษก วัดโสธร
ประธานพิธี นายพรหม สูตรสุคนธ์1 ข้าหลวงประจ�ำจังหวัดฉะเชิงเทรา
ประธานพิธีสงฆ์ พระพุทธิรังษีมุนีวงศ์ (ฮ้อ พรฺหมโชติ)
เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา
ประวัติน�้ำอภิเษก (ยังสืบไม่ได้)
ประวัติสถานที่ประกอบพิธีน้�ำอภิเษก วัดโสธร
วัดน้ีเป็นวัดส�ำคัญในจังหวัดฉะเชิงเทรา พระพุทธโสธร ซึ่งเป็นพระประธานในวัดนี้ ชาวพื้นเมือง
เรียกว่าหลวงพ่อโสธร บางคนเรียกว่าหลวงพ่อ ค�ำว่าโสธร มาจากช่ือของวัด โดยผู้เฒ่าเล่ากันมาว่า เดิมช่ือ
วัดเสาธง เป็นนามท่ีท�ำจากเสาธงสูงใหญ่เป็นเครื่องหมายส�ำคัญ ต่อมาลมพายุพัดเสาธงหักท�ำให้ผู้เรียกนาม
วัดสมัยน้ันว่า วัดเสาธงทอน และค่อย ๆ เพี้ยนห้วนเข้า เลยกลายเป็นวัดโสธรตราบเท่าทุกวันนี้
ต่อมาจะเป็นสมัยใดไม่ปรากฏชัด กล่าวว่ามีพระพุทธรูปองค์หนึ่งลอยน�้ำมา จะลอยโดยล�ำพังองค์ท่าน
หรือมีแพรองรับให้ลอยมาไม่ปรากฏ เมื่อลอยมาถึงหน้าวัดโสธร ก็ลอยวนอยู่ท่ีหน้าวัดบรรดาชาวบ้านกับ
พระสงฆ์ในวัดโสธรช่วยกันอัญเชิญอาราธนาขึ้นจากน�้ำ ไปประดิษฐานไว้ในโบสถ์ เลยขนานนามพระพุทธรูป
องค์นี้ว่า หลวงพ่อโสธรไปตามนามวัด พระพุทธรูปองค์นี้บางคนกล่าวกันว่า เป็นทองสัมฤทธ์ิขนาดเล็ก แต่ได้
โบกปูนเพ่ิมเติมขึ้นแลไม่เห็นภายในแล้ว ใครเป็นผู้โบกปูนพอกเติมแต่ครั้งใด สืบไม่ได้ความ และบางคน
กล่าวว่า เป็นไม้แก่นจันทร์แต่ไม่มีผู้ใดยืนยันรับรอง
ค�ำว่า โสธร ตามพจนานุกรมแปลว่า ผู้ร่วมท้องกัน พี่ชาย น้องชาย ท�ำให้น่าคิดถึงประวัติเดิมเรื่อง
หลวงพ่อโสธรน้ีมีเรื่องในหนังสือค�ำกลอนประพันธ์โดยนายเพ่ิม อยู่อินทร์ ตามที่ได้รับค�ำบอกเล่าสืบกันต่อมา
ว่ามีปาฏิหารหลายประการ โดยมีพระพ่ีน้องกันรวม ๓ องค์มีวิชาสามารถแปลงองค์ได้ พระท้ัง ๓ องค์น้ีอยู่
ทางเหนือ ได้ปลอมแปลงเป็นพระพุทธรูปลอยน้�ำมา เพื่อทดลองดีคนทางใต้ ในที่สุดผุดข้ึนในล�ำแม่น�้ำบางปะกง
และแสดงฤทธ์ิเดชลอยทวนน�้ำได้ท้ัง ๓ องค์ ประชาชนพบเห็นพบกันผูกมัดพระพุทธรูปท้ัง ๓ ช่วยกันฉุดลาก
จ�ำนวนต้ัง ๕๐๐ คน ก็ไม่ส�ำเร็จ ครั้นแล้วพระพุทธรูปก็จมน้�ำหายไป สถานที่ฉุดลากพระพุทธรูปทั้ง ๓ รูปน้ี
เรียกว่า สามพระทวน ต่อมาเรียกผิดเพ้ียนจึงเป็น ส�ำปะทวน จนทุกวันน้ีกาลสืบต่อมาพระพุทธรูปองค์พี่ แสดง
ปฏิหารลอยอยู่ในล�ำแม่น้�ำเจ้าพระยา แถบสามเสน โดยประชาชนสามแสนคนฉุดลากก็ไม่ส�ำเร็จ พระพุทธรูป
องค์น้องเสด็จปาฏิหารจากสามพระทวนไปผุดขึ้นที่คลองช่อง ทางวัดบางพลี ได้อัญเชิญอาราธนาข้ึนไป

1 นายพรหม สูตรสุคนธ์ เกิดเม่ือวันท่ี ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๑ เป็นบุตรของนายม่าน และนางทองเทศ สูตรสุคนธ์
ถึงแก่กรรมเมอื่ วันท่ี ๒๒ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ สิรอิ ายุ ๙๕ ปี

586 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

ประดิษฐานอยู่ท่ีน่ัน มีผู้คนนับถือมาก พระพุทธรูปองค์กลาง คือหลวงพ่อโสธรทุกวันนี้ เมื่อถูกฉุดลากที่บ้าน
สามพระทวนแล้ว ก็ลอยล่องไปตามล�ำแม่น�้ำปางปะกง ลอยพ้นวัดไปจนถึงคุ้งใต้วัดชาวเมืองเห็นเข้าจึงพากัน
อาราธนาข้ึนประดิษฐานก็ไม่ส�ำเร็จ จึงเรียกหมู่บ้านน้ีว่า บางพระ สืบมาจนทุกวันนี้ ต่อมาพระพุทธรูปองค์น้ี
ได้เลื่อนข้ึนมาลอยอยู่ที่แหลมหน่ึงซ่ึงอยู่เหนือคุ้งบางพระ ลอยนิ่งอยู่ท่ีแหลมน้ี จนท�ำให้เกิดน�้ำวนข้ึนจึงเรียก
ว่าแหลมหัววน ต่อมามีอาจารย์เฒ่า ได้ตั้งศาลท�ำพิธีบวงสรวงอัญเชิญพระพุทธรูปน้ีขึ้นบกการส�ำเร็จจึงน�ำมา
ประดิษฐานไว้ในโบสถ์วัดโสธรเป็นของศักด์ิสิทธ์ิคู่เมืองฉะเชิงเทรา สืบเท่าทุกวันนี้

ความศักดิ์สิทธ์ิของหลวงพ่อองค์นี้ ชาวเมืองฉะเชิงเทราเชื่อถือเลื่อมใสมาก เมื่อปวดหัว ตัวร้อน
เป็นไข้บนบาลให้ท่านช่วยพิทักษ์รักษาก็เส่ือมคลายหายทันตา มีกิจธุระเดือดร้อน ปราถนาส่ิงใดโดยชอบด้วย
ศีลธรรม ท่านก็ประสิทธิ์ประสาทให้ผู้บนได้ผลตามประสงค์ บ้างถวายลูกให้เป็นลูกหลวงพ่อเพื่อเล้ียงง่าย
บ้างเส่ียงทายถามหาลาภ และเนื้อคู่ก็ได้ตามประสงค์ ผู้ชอบเสี่ยงทายในอนาคตก็ไปเสี่ยงทายสั่นติ้ว ผลได้
รับทราบว่าถูกต้องตามค�ำเส่ียงทายความศักด์ิสิทธิ์ของหลวงพ่อมีมากเร่ืองด้วยกัน แล้วแต่ผู้ต้ังใจไปขอ
เมื่อสมประสงค์ก็มีการถวายทองใบส�ำหรับปิดและลครร�ำถวาย บ้างก็ซ้ือผ้าห่มถวายและเติมน�้ำมันตามประทีป
ซ่ึงมีประจ�ำอยู่ทุกวัน ทางวัดจัดงานประจ�ำปีส�ำหรับหลวงพ่อโสธรปีละ ๒ คร้ัง ทุกปี คือกลางเดือน ๕ ครั้งหนึ่ง
กลางเดือน ๑๒ อีกครั้งหน่ึง งานกลางเดือน ๑๒ นี้มีประชาชนคนมาเท่ียวและนมัสการกันมาก ทั้งในท้องที่
และต่างจังหวัด ในงานท้ังสองคร้ังนี้มีจัดกระบวนแห่รูปจ�ำลองหลวงพ่อเป็นประจ�ำสนุกสนานมาก ในเทศกาล
งานประจ�ำปีนี้เปิดให้ประชาชนได้นมัสการกันท้ังกลางวันและกลางคืน จนตลอดงานวันธรรมดาเปิดให้
ประชาชนนมัสการได้ตั้งแต่เวลา ๘.๐๐ น. ถึง ๑๗.๐๐ น. วันพระ วันอาทิตย์ มักมีคนมากเสมอ ความศักดิ์สิทธิ์
นี้ทราบกันโดยท่ัวไป มีการต้ังน�้ำมนต์ของหลวงพ่อไว้เป็นประจ�ำ ใครต้องการใช้ทางไหนก็นึกได้ตามชอบ.

๑๓. จังหวัดนครราชสีมา

น้�ำอภิเษก ๑. น้�ำสระแก้ว
๒. น้�ำสระขวัญ
๓. น้�ำธารปราสาท
๔. น้�ำสระปักธงชัย
สถานท่ีประกอบพิธีน�้ำอภิเษก วัดพระนารายน์มหาราช
ประธานพิธี ขุนวรคุตต์คณารักษ์ (บุญฤทธ์ิ วรคุตตานนท์)
ข้าหลวงประจ�ำจังหวัดนครราชสีมา
ประธานพิธีสงฆ์ พระอริยะเวที (เขียน ฐิตสีโล) เจ้าอาวาสวัดสุทธจินดา
ประวัติน้�ำอภิเษก
ธารปราสาท เป็นล�ำธารมาแต่โบราณ อยู่ในท้องท่ีอ�ำเภอโนนสูงมีน้�ำไหลอยู่เสมอ สระแก้ว สระขวัญ
อยู่ในท้องที่อ�ำเภอเมืองนครราชสีมา สระปักธงชัย อยู่ในท้องท่ีอ�ำเภอปักธงชัย (เดิมเป็นเมืองปักธงชัย) ท้ังน้ี
เป็นสระโบราณ มีมาตั้งแต่สร้างเมืองนครราชสีมาในแผ่นดินสมเด็จพระนารายน์มหาราช

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 587

ธารและสระเหลา่ นม้ี ชี อื่ เปน็ ศภุ มงคลและเปน็ ของคบู่ า้ นคเู่ มอื งถอื กนั มาวา่ เปน็ ทศ่ี กั ดสิ์ ทิ ธต์ิ ง้ั แตส่ มยั ขอม
เมื่อมีการพระราชพิธีท่ีต้องใช้น้�ำเป็นมงคลก็ใช้น�้ำในธารและสระน้ีเสมอมา เช่นในคราวพระราชพิธี
บรมราชาภเิ ษกรชั กาลท่ี ๗ กไ็ ดใ้ ชน้ ำ้� ในแหลง่ นำ�้ เหลา่ นดี้ ว้ ย ดงั ปรากฏในตำ� หรบั พระบรมราชาภเิ ษกสปั ดมะราช
มหาจักรีวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๘1 หน้า ๓๑ ว่า

“ธารปราสาท สระแก้ว สระขวัญ
ปลายมาส ชัยะภูมิขันธ์ กับน้�ำ
ปักธงชยะถวัลย์ วิศิษฏ์หก สถานแฮ
นะครราชะสีมาล้�ำ ชะเลศใช้เฉลิมธรรม”

สถานท่ีประกอบพิธีน้�ำอภิเษก คือ วิหารวัดพระนารายน์มหาราชในเมืองนครราชสีมา วัดน้ีเดิมชื่อ
วัดกลาง สร้างขึ้นในแผ่นดินสมเด็จพระนารายน์มหาราช พร้อมกับสร้างเมืองนครราชสีมา เมื่อเปลี่ยนการ
ปกครองแล้วใน พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้รับพระราชทานให้ยกข้ึนเป็นวัดหลวง และเพิ่มชื่อเป็นวัด “กลางนคร”
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๙๑ ทางการสอบสวนได้ความว่าวัดน้ี สมเด็จพระนารายน์มหาราชได้ทรงสร้าง จึงเปล่ียนช่ือ
เป็นวัด “พระนารายน์มหาราช” ในวิหารมีพระประธานใหญ่มาก ถือว่าเป็นสถานท่ีส�ำคัญกว่าวัดอ่ืนในจังหวัด
น้ี ได้ใช้เป็นที่กระท�ำสัตย์สาบาลถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยามาหลายรัชกาล เพ่ิงมาเลิกล้มไปใน พ.ศ. ๒๔๗๕
เมื่อเปล่ียนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบอบปริมิตตาญาสิทธิราช2แล้ว

เม่ือคราวท�ำน้�ำอภิเษกในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ ๗ ก็ได้ใช้วิหารนี้เป็นสถานที่ประกอบ
พระราชพิธี ดังปรากฏในต�ำหรับพระบรมราชาภิเษกสัปดมะราชมหาจักรีวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๘ หน้า ๒๙ ว่า

“มะหาราษฎร์น่ันธาตุฉ้อ แฮนุกูล เกียรต์ิเอย
เขตแพร่แพร่ไพบูลย์ ศักดิ์ซ้ัน
พายัพธาตุล�ำภูญ ผยองพิท ธีนา
โคราชวัดกลางน้ัน เสกน้�ำพิชัยะมนตร์”

1 โคลงลลิ ิตสุภาพ ต�ำรบั พระบรมราชาภเิ ษก สปั ดมะราชมหาจักรวี งศ์ เมือ่ พทุ ธศก ๒๔๖๘ ฝพี ระโอษฐพ์ ระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระนราธปิ ประพนั ธพ์ งศ์ ทรงนพิ นธท์ ลู เกลา้ ถวายเปรมาเศยี รวาทเปน็ มงคลสริ ริ าชบรรณาการทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ มิ พ์
พระราชทานในมหรุ ตมิ งคลสมยั เฉลิมพระชนมพรรษา ค�ำรบตรจี ลุ จกั ร์แหง่ ทวารสนักษตั ระฉน�ำ ณ ปมี เส็งพทุ ธศก ๒๔๗๒. พระนคร :
โรงพมิ พอ์ กั ษรนิต,ิ ๒๔๗๒.

2 บัญญัติจากศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Limited Monarchy หมายความถึง รูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยซ่ึง
พระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมขุ แห่งรัฐโดยไมท่ รงมบี ทบาททางการเมืองและทรงอย่ใู นขอบเขตของรัฐธรรมนูญ ตา่ งจากการปกครอง
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) ท่ีพระมหากษัตริย์ทรงควบคุมการตัดสินใจทางการเมืองโดยไม่ทรงถูก
รัฐธรรมนญู ควบคุมเอาไว้ อนึง่ หากพจิ ารณาตามการศึกษาวิเคราะห์ของนักวชิ าการทางประวตั ิศาสตรแ์ ละการเมือง พบว่า “ระบอบ
ปรมิ ิตตาญาสิทธิราช” มีความหมายแตกต่างจาก “ระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นประมุข” อย่างมนี ัยสำ� คัญ

588 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

๑๔. จังหวัดอุบลราชธานี

น�้ำอภิเษก ๑. น้�ำท่าหอชัย
๒. น้�ำกุดศรีมังคละ
๓. น้�ำกุดพระฤาชัย
สถานท่ีประกอบพิธีน้�ำอภิเษก วัดศรีทอง
ประธานพิธี นายชอบ ชัยประภา ข้าหลวงประจ�ำจังหวัดนครราชสีมา
ประธานพิธีสงฆ์ พระศรีธรรมวงศาจารย์
(ทองจันทร์ เกสโร) วัดสุปัฏนาราม
ประวัติน�้ำอภิเษก
ที่จริงทุกคนในสากลโลกไม่ว่าชาติหนึ่งภาษาใดที่ยังต้ังอยู่ในภาวะเป็นปุถุชนส่วนอื่นจะต่างกันก็ตาม
แตค่ วามรกั ตวั และความกลวั ตายเหมอื นกนั หมด กร็ กั ตวั กลวั ตายนเ้ี องเปน็ ตน้ เหตใุ หเ้ กดิ การแสวงหาสงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ
เพื่อรักษาความรักและเพื่อก�ำจัดความกลัว การท่ีจะยึดอะไร ๆ เป็นที่ศักด์ิสิทธ์ินั้นก็แล้วแต่ภูมิความรู้ความเห็น
ของพลโลกน้ัน ๆ เม่ือกล่าวโดยเฉพาะเมืองอุบลราชธานี ทรงตั้งเมื่อปูนต้นรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
นี่เอง ซึ่งสถานที่ตั้งก็ไม่เป็นเมืองเก่าของขอมเช่นนครราชสีมาและร้อยเอ็ด จึงไม่มีสระแก้วสระขวัญซึ่งเขานิยม
ว่าเป็นสระมีน้�ำอันศักด์ิสิทธิ์ แต่เป็นเมืองท่ีมีเหล่ากอเนื่องมาจากเมืองนครเวียงจันทร์ ก็คงน�ำเอาสิ่งท่ีถือว่า
ศักดิ์สิทธิ์ของเก่ามาจากเมืองเดิมบ้าง อุปโหลกสมมุติขึ้นในท่ีน่ีเองบ้าง ซ่ึงน�ำมาจากเมืองเดิมเห็นจะเป็น
พวกผีต่าง ๆ อันมีหออยู่ทั่วทุกมุมเมือง เป็นต้นว่าหอผีเจ้าหมื่นท่ีต้ังอยู่บริเวณบ้านกงสุลฝร่ังเศส1 และหอผี
เจ้าผาแดงท่ีตั้งอยู่บริเวณโรงเรียนอุบลวิชาคม2 เป็นตัวอย่าง ส่ิงศักด์ิสิทธ์ิเหล่าน้ีทุกวันน้ีก็สาปศูนย์ไป
หมดแล้ว แต่ปลาดใจอยู่อย่างหน่ึงเมื่อข้าพเจ้ายังด�ำรงสมณศักด์ิเป็นพระราชมุนี ได้ตามเสด็จสมเด็จ
พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ไปตรวจการคณะสงฆ์มณฑลฝ่ายเหนือถึงจังหวัดสุโขทัยได้เสด็จ
ทอดพระเนตรโบราณวัตถุประทับแรมอยู่สุโขทัยเก่า ๓ ราตรี ในที่น่ันก็มีหอผีเจ้าผาแดงเหมือนกันกับ
อุบลด้วย จึงได้ค�ำนึงว่าผีเจ้าผาแดงนี้คงจะเป็นผีท่ีศักดิ์สิทธิเก่าแก่ตั้งแต่ไทยท้ังหมดยังอยู่ถ่ินไทยเดิม จึงได้
นับถือกันท่ัวไปในเผ่าไทยต่าง ๆ และยังเป็นพยานว่าผู้ที่ถือผีเจ้าผาแดงล้วนเป็นไทยด้วยกันท้ังน้ัน

1 กงสลุ ฝร่ังเศส ตั้งอยูบ่ รเิ วณใกล้กบั วัดสุปัฏนาราม อำ� เภอเมอื งอบุ ลราชธานี จังหวดั อบุ ลราชธานี ในบริเวณท่เี คยเปน็ ท่ีตง้ั
ของศาลเจา้ แผน่ ดนิ (ศาลปตู่ าแผน่ ดนิ ) ซง่ึ เปน็ มเหสกั ขอ์ งคห์ นง่ึ ตอ่ มาเมอื่ ศาลปตู่ าถกู ยกเลกิ ภายหลงั กบฏผบี ญุ พระยาศรสี งิ หเทพตงั้
บรษิ ทั สยามานทุ ศิ ทำ� เปน็ โรงเลอ่ื ย ภายหลงั บรษิ ทั สยามานทุ ศิ ลม้ ละลาย ประจวบกบั ฝรง่ั เศสขอตงั้ กงสลุ ประจำ� เมอื งจงึ เอาบรเิ วณตรง
น้ันเป็นที่สร้างสถานกงสุล โดยเช่าท่ีดนิ จากรัฐบาลไทย ลกั ษณะสิ่งก่อสรา้ งเปน็ ตกึ ใหญ่ ทรงฝรัง่ เศส ชั้นเดยี วยกพ้ืน ฝีมือช่างญวน มุง
ดว้ ยกระเบ้อื งดินขอ หนา้ ตา่ งบานประตเู ป็นบานเกลด็ ถกู รอ้ื ถอนไปเมือ่ พ.ศ. ๒๕๐๘

2 ปัจจุบันคือ โรงเรียนสมเด็จ อ�ำเภอเมอื งอบุ ลราชธานี จงั หวดั อบุ ลราชธานี

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 589

ความจริงไทยทุกเผ่าโดยมากย่อมถือพระพุทธศาสนา เมื่อท�ำน�้ำมนต์เพ่ือศิริมงคลย่อมอาศัยพิธี
พุทธบ้าง พิธีพราหมณ์บ้างประกอบกัน เพราะเหตุนี้เองส�ำหรับเมืองอุบลจึงเกิดมีท่าหอชัยกุดศรีมังคละและ
กุดพระฤาชัยขึ้น เม่ือต้องการน�้ำมนต์ก็ไปน�ำเอาน�้ำจากท่ีนั่น ๆ มาท�ำ ในท่ีศักด์ิสิทธ์ินั้น ๆ เห็นจะประกอบพิธี
ให้ท่าหอชัยเป็นท่ีศักดิ์สิทธ์ิก่อน การประกอบนั้นก็คงมีท่านผู้ที่ทรงคุณได้ประชุมปรึกษาหารือกัน จึงมีมติ
ตกลงเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันว่าน�้ำในล�ำน้�ำมูลนี่เองเป็นน้�ำพิเศษ เพราะค�ำว่ามูลมีความหมายว่าเป็นด้ัง
เป็นเดิม เป็นรากเป็นเหง้า เป็นเค้าเป็นมูลของสิ่งทั้งปวงบรรดามีในโลก ที่จะให้เป็นน้�ำพิเศษแต่ต้นถึงปลาย
ของแม่น�้ำก็จะเป็นการเกินกว่าเหตุไป จึงพร้อมกันจ�ำกัดเขตแดนลงท่ีท่าหอชัยแล้วจึงได้ตัดถนน โดยเฉพาะ
แยกจากถนนพรหมเทพด้านใต้ลงไปถึงล�ำน้�ำมูล

เมื่อปราบสถานท่ีเรียบร้อยแล้วจึงปลูกหอพิธีข้ึน ณ ที่น่ัน ครั้นได้ฤกษ์งามยามดี ก็พร้อมกันตกแต่ง
เครื่องสักการะบูชาพระตรัยรัตนต้ังน้�ำวงด้ายสายสิญจน์ได้น�ำเอาน้�ำในแม่น�้ำมูลมาเข้าพิธี จึงป่าวประกาศ
เทวดาลงมาเป็นทิพยสักขีพยาน แล้วพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เสร็จก็พร้อมกันเอาน้�ำพระพุทธมนต์นั้น
เทลงไปในล�ำน�้ำมูลกลางท่านั้น เพ่ือให้น้�ำที่นั่นเป็นน�้ำชัยมงคล ท่านั้นก็ชื่อว่าท่าหอชัยมงคล อันเป็นที่ศักด์ิสิทธิ์
แต่น้ันมา จนผู้ท่ีธุระไปทางไกลย่อมออกไปพักหรือข้ามท่าน้ันให้เป็นฤกษ์งามยามดีก็มี ท่ีเพ่ิมค�ำว่าหอเข้ากับ
ท่านั้นก็น่าจะอาศัยหอพิธีน่ันเอง ที่เห็นอย่างน้ีเพราะชัยกับมงคลแยกกันไม่ออกคือ ชัยเป็นพระเดช มงคลเป็น
พระคุณ หรือจะยึดเอาวัดชัยมงคลเป็นท่ีอ้างก็ได้ คือว่าในรัชกาลท่ี ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงโปรดให้เจ้า
หน่อค�ำเป็นเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ด�ำรงรัตน์สีมาอุบลราชธานีบาล เป็นเจ้าผู้ครองเมืองคนที่ ๔ (ท่านผู้นี้
เป็นท่ี1เจ้าจอมมารดาดวงค�ำในรัชกาลที่ ๔ เป็นหลานเจ้าอนุ) แรกเมื่อท่านขึ้นมาครองเมืองกรมการได้จัดท่ี
ต้อนรับ ณ ที่วัดไชยมงคลเด๋ียวน้ี อันยังเป็นท่ีสวนของราษฎรอยู่ ถึงวันฤกษ์งามยามดีท่ีจะแห่เข้าเมือง นัยว่า
ท่านก็โปรดให้อุปโหลกสมมุติเอาน�้ำในบ่อท่ีสวนราษฎรน้ันมาท�ำพิธีเป็นน้�ำพุทธมนต์เพ่ือให้ส�ำเร็จกิจในการนั้น
ต่อมาท่านก็ตั้งที่นั่นเป็นวัดชัยมงคล น้ีก็พอแลเห็นชัยกับมงคลแยกกันไม่ได้ การท่ีท่านท�ำน้ันก็เห็นจะเอาอย่าง
มาจากนครเวียงจันทร์ นัยว่าที่นครเวียงจันทร์น้ันมีน้�ำบ่ออันถือกันว่าเป็นท่ีศักด์ิสิทธิ์ ๔ แห่ง ถึงมีค�ำกล่าวขาน
กันมาว่าส้าง ๔ ศรี ๕ ส้าง ๔ ก็คือน้�ำ ๔ บ่อน้ันเอง แต่ศรี ๕ ไม่เข้าใจว่าอะไร เสียดายได้ไปนครเวียงจันทร์
ถึง ๒ หน ไม่ได้สนใจในส่ิงศักดิ์สิทธ์ิเหล่าน้ันว่าอยู่ท่ีไหน คืออะไร ท้ังไม่รู้ว่าจะได้แต่งเรื่องนี้ด้วย การที่น�้ำบ่อ
วัดชัยมงคลเป็นที่ศักดิ์สิทธ์ิแต่นั้นมาจนผู้ที่มีธุระจะไปทางไกลย่อมออกไปพักเอาฤกษ์งามยามดีท่ีนั่นก็มี ต่อมา
ในต้นรัชกาลท่ี ๕ พวกฮ่อเข้ามาย�่ำยีชายแดนฝ่ายเหนือ ทรงพระกรุณาโปรด ฯ ให้พระยามหาอ�ำมาตย์ (ชื่น
กัลยาณมิตร์) เป็นแม่ทัพไปตั้งที่เมืองหนองคาย ทางอุบลก็ถูกเกณฑ์ก�ำลังไปช่วย เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์
เป็นผู้น�ำ ท่านก็ได้ท�ำพิธียกทัพ ณ ที่วัดชัยมงคลนั้น แม้ถึงอ�ำเภอพิบูลมังษาหารแต่ยังเป็นเมืองก็ถูกเกณฑ์ก�ำลัง
ไปช่วยในคราวนั้นดุจกัน ก็ได้ท�ำพิธียกทัพที่ค�ำทับชัย ท่ีนั่นก็มีชื่อปรากฏมาจนบัดน้ี การที่กล่าวอ้างหลักทั้งปวง
มานั้นก็เพ่ือจะยืนยันค�ำท่ีว่า ท่าหอชัยมงคลกลายเป็นท่าหอชัยไปด้วยประการดังนี้ ที่เป็นมาดังน้ีเพราะชาว
ไทยชอบพูดค�ำพยางค์เดียว ถ้าท่ีใดหรือสิ่งใดมีชื่อหลายพยางค์ย่อมตัดพยางค์ปลายท้ิงเสีย ตัวอย่างเช่นนี้

1 นา่ จะเป็นคำ� ว่า พี่

590 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

มมี ากเหลอื นบั จะชใี้ หแ้ ละเหน็ บางประการ เชน่ โรงเรยี นเบญจมะมหาราช อันเปน็ โรงเรียนประจำ� จงั หวัดอบุ ล ฯ
ซึ่งสร้างถวายเฉลิมพระบรมนามาภิไธยของรัชกาลที่ ๕ ทุกวันนี้ก็คงเรียกขานกันเพียงว่าโรงเรียนเบญจเท่าน้ัน
การท่ีเรียกว่าโรงเรียนเบญจมิใช่ว่าแต่หนุ่มน้อยนักเรียนเท่านั้น แม้แต่ศึกษาธิการจังหวัดก็ยังตามหลังเขาไป

ก็แหละ ส่วนน้�ำกุดศรีมังคะละ และกุดพระฤาชัย ซ่ึงตั้งอยู่ฝั่งใต้แห่งแม่น�้ำมูล อันห่างจากเมืองไปราว
๑๐๐ เส้น หรือกว่าน้ัน ที่ท้ัง ๒ แห่งน้ันอันจะเป็นที่ศักดิ์สิทธ์ิข้ึนจะเป็นมาเก่าก่อนแต่เมื่อยังเป็นของขอม
หรือจะเป็นขึ้นเมื่อภายหลังก็ยังไม่แจ่มแจ้งดีหากจะเป็นขึ้นเมื่อภายหลังน่าจะเพราะเหตุคราวไทยกับญวณ
รบกันในรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ นัยว่าไทยได้ยกกองทัพไปกรุงกัมพูชาทางหน่ึง นครหลวงพระบาง
ทางหน่ึง นครพนมทางหนึ่ง เหตุการณ์คราวน้ันเมืองอุบลก็ถูกเกณฑ์ก�ำลังไปช่วยทางด้านนครพนมส่วนหน่ึง
ทางด้านกรุงกัมพูชาส่วนหน่ึง ผู้ที่เป็นหัวหน้าน�ำก�ำลังไปช่วยทางด้านนครพนม คือ พระพรหมราชวงศา
(กุทอง) ต้นตระกูลสุวรรณกูฎ อันเป็นเจ้าเมืองคนท่ี ๓ เมื่อท่านยกทัพคงน�ำเอาน�้ำที่ท่าหอชัยมาท�ำพิธีในการ
ยกทัพเป็นแน่ นัยว่าท่านก็ได้เป็นก�ำลังกวาดต้อนครอบครัวหัวเมืองชายแดนจากฝั่งซ้ายมาไว้ฝั่งขวาแห่งแม่น้�ำ
โขงเป็นอันมาก ผู้ที่เป็นหัวหน้าน�ำก�ำลังไปช่วยทางด้านกรุงกัมพูชาคือท้าวบุตตวงศา (สุ่ย) ต้นสกุลบุตโรดม
ท่านผู้น้ีเมื่อกลับจากกองทัพได้เล่ือนต�ำแหน่งขึ้นเป็นราชบุตร การท่ีท่านผู้น้ีน�ำก�ำลังไปนั้นเห็นจะข้ามท่ีท่า
หอชัยไปตั้งค่ายที่โนนยาง เม่ือรวมพลพร้อมแล้ว ก่อนที่จะยกทัพธรรมดาย่อมมีพิธีท�ำน�้ำมนต์แล้วก็ตกแต่ง
ที่ ๆ จะท�ำพิธีคือต้ังเคร่ืองสักการะบูชาพระไตรรัตน์ ต้ังน้�ำวงด้ายสายสิญจน์ ถ้าจะน�ำเอาน้�ำที่ท่าหอชัยไปเข้าพิธี
ก็คงเห็นว่าไกล จึงตกลงพร้อมกันหาเอา ณ ท่ีนั้น แต่กุดหนองในท่ีนั่นก็มีมาก ไม่ทราบว่าชัยอยู่ท่ีไหน มงคล
อยู่ที่ไหน เมื่อเป็นดังน้ีจึงน่าจะเส่ียงหาเอาชัยและมงคล พิธีเสี่ยงของคนโบราณมีหลายอย่าง ท่ีนี้จะช้ีให้เห็น
สักอย่างหน่ึง คือให้ตัดเอาไม้สดยาวขนาด ๑ วา โตขนาดน้ิวโป้มือของผู้เส่ียงทายหลาย ๆ ล�ำมาเข้าพิธี
ผู้เสี่ยงน้ันต้องนุ่งขาวห่มขาว สมาทานศีลห้า แล้วประกาศให้เทวดาลงมาเป็นทิพยสักขีพยาน แล้วจึงจับเอา
ไม้นั้น ๑ ล�ำ ยกข้ึนประนมมือต้ังสัตยาธิษฐานว่า ถ้าข้าพเจ้าเอาไม้น้ีตีลงที่ดิน ๓ ที ขอให้ยืดออก ๑ นิ้ว
หรือ ๒ นิ้ว แล้วแต่จะอธิษฐานไว้ในใจ ครั้นเอาไม้น้ันตีลง ๓ หนแล้วก็วัดดูถ้ายืดออกสั้นกว่าก�ำหนดหรือยาว
กว่าก�ำหนด ก็เป็นอันไม่ได้ แล้วทิ้งไม้เก่าเสีย เอาไม้ใหม่เส่ียงต่อไป จึงได้น�้ำชัยท่ีกุดพระฤาชัยแล้วก็เสี่ยงหา
มงคลต่อไป จึงได้น้�ำมงคลที่กุดศรีมังคละ แล้วน�ำเอาน้�ำในกุดท้ัง ๒ นั้นมาเข้าพิธี พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์
เสร็จแล้วจึงน�ำเอาน้�ำน้ันไปประพรม เมื่อยกทัพผ่านประตูป่า1ออกไป

ที่จริงค�ำว่า พระฤา ซ่ึงน�ำหน้าชัย และค�ำว่า ศรี ซ่ึงน�ำหน้ามังคะละน้ันน่าจะมีผู้เพ่ิมเติมขึ้น ณ ภายหลัง
เม่ือให้มีเดชานุภาพมากโดยแท้ กุดท้ัง ๒ นั้นทีจะมีช่ือว่ากุดพระฤาชัยและกุดศรีมังคะละอันเป็นส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ
มาจนทุกวันนี้ ก็น่าจะเพราะเหตุการณ์คราวน้ีเป็นแท้ อ่ืนจากน้ียังไม่มองเห็นเหตุการณ์ ท่ีจริงกุดทั้งสองนี้
แต่ก่อนคงมีชื่อเป็นอย่างอ่ืน

1 หมายถึง โขลนทวาร หรือประตูป่าที่สร้างข้ึนชั่วคราวส�ำหรับใช้ในพิธีกรรมที่เป็นสิริมงคลและขจัดความอัปมงคลแก่ผู้ที่
เดินผ่าน มกั จัดข้ึนในโอกาสที่ส�ำคญั ตา่ ง ๆ เช่น การยกทพั ออกจากเมือง การรับกองทัพทีไ่ ดช้ ัยชนะกลบั มา การรับชา้ งส�ำคญั เขา้ เมอื ง
เป็นตน้

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 591

ประวัติสถานท่ีประกอบพิธีน�้ำอภิเษก ส�ำหรับเมืองอุบลราชธานีก่อนแต่รัชกาลที่ ๖ คืนหลังนั้น
ไม่ทราบ และไม่ได้สนใจถามผู้หน่ึงผู้ใดเลย ท่ีทราบก็แต่รัชกาลท่ี ๖ และที่ ๗ และท่ี ๙ น้ีเท่าน้ัน ที่ท�ำน้�ำอภิเษก
รัชกาลที่ ๖ และท่ี ๗ ได้ยินว่าท�ำท่ีวัดสุปัฏนาราม เพราะขณะที่ท�ำอาตมาก็เข้ามาอยู่ในพระนครท้ัง ๒ คราว
แต่ก็ได้ช่วยหาน้�ำอันเป็นมงคลให้ตามก�ำลัง รัชกาลที่ ๖ พระยาศรีธรรมศกราช (เจริญ จารุจินดา) เป็นสมุห
เทศาภิบาลมณฑลอิสาณ เป็นผู้ท�ำน�้ำอภิเษก รัชกาลท่ี ๗ พระยาศรีธรรมศกราช (ปิ๋ว บุนนาค) เป็นสมุห
เทศาภิบาลมณฑลอุบลราชธานี เป็นผู้ท�ำน�้ำอภิเษก รัชกาลที่ ๙ นายชอบ ชัยประภา ข้าหลวงประจ�ำจังหวัด
อุบลราชธานี เป็นผู้ท�ำน้�ำอภิเษก ณ วัดศรีทอง

ก็แหละ ความส�ำคัญของวัดสุปัฏนาราม คือ
๑. เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระพรหมราช
วงศา (กุทอง สุวรรณกูฏ) เป็นผู้สร้างถวายท่านพันธุละ (ดี) ซ่ึงเป็นปุราณสหธรรมมิกรูปที่ ๓๐ (คือแต่เร่ิมตั้ง
วงศ์ธรรมยุติ ท่านผู้น้ีเป็นรูปท่ี ๓๐) และยังทรงสละพระราชทรัพย์พระราชทานในการสร้างพระอุโบสถ
หลังเก่า ๑๐ ช่ัง และพระราชทานนิตยภัตต์แก่ท่านพันธุละ (ดี) เดือนละ ๘ บาท แล้วยังทรงโปรดให้มี
เลขวัดส�ำหรับปฏิบัติวัดน้ี ๖๐ คน
๒. มีพระประธานหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์มีน�้ำหนัก ๓๐ หาบ (เพราะหุ่นโอบขี้ผ้ึงหนา) มีรูปทรงต้องด้วย
พระพทุ ธลกั ษณะคลา้ ยพระพทุ ธชนิ ราช หรอื พระพทุ ธชนิ สหี ์ เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความเลอ่ื มใสของพทุ ธศาสนกิ ชนทว่ั ไป
๓. มีพระหินนาคปรกของขอมโบราณเป็นพระวิเศษมีความขลัง เป็นท่ียึดเหนี่ยวน�้ำใจของปวงชน
ผู้นับถือความขลังเป็นอันมาก
๔. เป็นที่ถือน้�ำพิพัฒน์สัตยาแต่คร้ังสมบูรณาญาสิทธิราช
๕. เป็นบ่อเกิดการศึกษาทั้งภาษาบาลีและภาษาไทยก่อนที่อ่ืนในภาคอิสาณ
๖. เป็นที่พ�ำนักของเจ้าคณะมณฑลทั้งเป็นมณฑลอิสาณและมณฑลอุบลราชธานี
๗. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระอารามหลวงชั้นวรวิหาร
ก็แหละ ความส�ำคัญของวัดศรีทองนั้น คือ
๑. เป็นวัดที่อุปฮาทโท ณ อุบล เป็นผู้สร้างถวายท่านเทวธัมมี (ม้าว) ซ่ึงเป็นปุราณสัทธิวิหาริกของ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
๒. มีพระแก้วเก่าแก่ซึ่งราษฎรขุดได้ที่ดงบุ่งไหม ท้องท่ีอ�ำเภอวารินช�ำราบเป็นพระที่พุทธศาสนิกชน
นับถือเป็นอันมาก
๓. มีพระทองทิพย์เป็นพระเก่าแก่ ซึ่งเชิญมาจากนครเวียงจันทร์ เป็นพระยืนมีรูปทรงต้องด้วย
พุทธลักษณะ เป็นท่ีต้ังแห่งความเล่ือมใสของพุทธศาสนิกชนท่ัวไป
๔. ชื่อของวัดเป็นศิริมงคลอันประเสริฐ

(สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) วัดบรมนิวาส จังหวัดพระนคร เรียบเรียง)

592 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

๑๕. จังหวัดจันทบุรี

น�้ำอภิเษก ๑. น�้ำสระแก้ว
๒. น้�ำธารนารายน์
สถานที่ประกอบพิธีอภิเษก วัดพลับ
ประธานพิธี นายถนอม วิบูลมงคล ข้าหลวงประจ�ำจังหวัดจันทบุรี
ประธานพิธีสงฆ์ พระพิศาลธรรมคุณ (สร่วง จนฺทสโร)1 เจ้าคณะจังหวัดจันทบุรี
ประวัติน้�ำอภิเษก
๑. น้�ำที่ถ้�ำพระนารายน์ อยู่ห่างตัวเมือง ๑๒ ก.ม. เชิงเขาสระบาป ต�ำบลคลองนารายน์ อ�ำเภอเมือง
จันทบุรี เป็นต้นของล�ำธารนารายน์ โดยไหลออกจากถ้�ำในภูเขาอันเป็นท่ีสุดของล�ำธารอยู่เหนืออ่างหงษ์
น�้ำตกคลองนารายน์น้ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เคยเสด็จประพาสและได้สร้างพระเจดีย์ไว้ ๑ องค์
นับแต่น้ันมาก็ได้ตักเอาน้�ำในถ้�ำมาประกอบพิธีน�้ำอภิเษกทุกรัชกาล
๒. น้�ำที่สระแก้ว อยู่ใกล้กับเขาสระแก้ว ต�ำบลพลอยแหวน อ�ำเภอท่าใหม่ เม่ือกาลนานหลายช่ัวอายุ
คนมาแล้ว มีผู้ไปพบสระน้�ำสระหน่ึง กว้าง ๖ เมตร ยาว ๗ เมตร อยู่ในป่าทึบอันปราศจากบ้านคน น้�ำในสระ
เต็มเปี่ยมและใสบริสุทธิจนมองเห็นเป็นสีมรกต มีปลานานาชนิดอาศัยอยู่ สามารถมองเห็นถนัด ปลาท่ีอยู่ใน
สระปราศจากผู้คนรบกวน ข้างสระมีตาลต้นใหญ่งอกงามเขียวชอุ่มอยู่เป็นนิจ ในสระปรากฏมีแสงสว่างเป็น
วงเขียวคล้ายแก้ว เป็นวงรอบสระ อีกประการหน่ึงมีผู้เห็นแสงสว่างจากต้นตาลแล้วแสงสว่างนั้นสท้อนลง
ไปในสระด้วยความสอาดของน�้ำในสระน้ัน
ต่อมาได้มีผู้มาปลูกสร้างบ้านเรือนและประกอบการอาชีพในป่าใกล้สระนี้ ท�ำให้เกิดความมั่งคั่งรุ่งเรือง
ตามล�ำดับ ยิ่งไปกว่านั้นราษฎรผู้มาประกอบอาชีพเมื่อเหน็ดเหนื่อยได้มาอาบน้�ำหรือลูบไล้น�้ำในสระแล้วรู้สึก
สะบายใจหายหอบเหนื่อย ปลาที่อยู่ในสระเป็นปลาเช่ืองแหวกว่ายอยู่ด้วยความร่าเริงได้มีผู้ท�ำการจับปลา
ในสระน้ีแต่ไม่เคยปรากฏว่ามีผู้ใดจับปลาได้เลย จึงยังความมหัศจรรย์ให้แก่ราษฎรในแถบนั้นว่า เป็นสถานท่ี
ศักดิ์สิทธิ์ ต่อมาในสมัยหน่ึงเกิดการแห้งแล้งผิดปกติ น�้ำในสระเหือดแห้งลง ได้มีราษฎรหมู่หน่ึงพากันไปวิดน�้ำ
ในสระเพื่อจับปลา แต่วิดเท่าใดน�้ำในสระหาแห้งไม่ ในทันใดน้ันก็เกิดการส�ำแดงท่ีน่าเกรงขาม คือ มีพายุพัด
อย่างรุนแรงและฝนตกหนักจนน้�ำเต็มสระตามเดิม พวกจับปลาได้รับความตระหนกตกใจอย่างมากมาย
จึงต้องเลิกล้มความคิดและแต่นั้นต่อมาไม่มีผู้ใดอาจไปรบกวนหรือจับปลาในสระนั้นอีกเลย ส่ิงที่เป็นปัญหา
และลึกลับน้ีจึงเล่าลือกันต่อไปอีกเป็นการเพิ่มความศักด์ิสิทธิ์ย่ิงข้ึน
อน่ึง การท่ีมีผู้แลเห็นน้�ำในสระคล้ายมีแก้วอยู่ก้นสระและประกอบกับเกิดมหัศจรรย์ดังกล่าว ได้เรื่องลือ
แพร่สพัดไปในท่ีต่าง ๆ ชาวบ้านท่ีได้ทราบเร่ืองต่างก็ถือกันว่าเป็นสถานที่ศักด์ิสิทธ์ิจึงเป็นที่เคารพนับถือของ
ราษฎรในคร้ังนั้น และได้ให้ชื่อสระนี้ว่า “สระแก้ว” จากเหตุที่กล่าวมานี้ จึงได้เอาน�้ำในสระที่ถือกันว่าศักด์ิสิทธิ์

1 ต่อมาคอื พระราชจันทกวี อดีตเจา้ อาวาสวดั โบสถ์เมอื ง

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 593

มาประกอบพิธีท�ำเป็นน�้ำอภิเษกนับต้ังแต่รัชกาลท่ี ๕ เป็นต้นมาทุกรัชกาล
ประวัติสถานที่ประกอบพิธีน�้ำอภิเษก เมื่อได้น�้ำจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวแล้ว ได้เอาน�้ำทั้ง ๒ แห่ง

มาประกอบพิธีที่วัดพลับ ต�ำบลบางกะจะ การที่ถือวัดพลับเป็นสถานท่ีประกอบพิธีในสมัยน้ันก็โดยท่ีวัดพลับ
เป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองและได้สร้างมาก่อนวัดอ่ืน ๆ ในสมัยน้ัน เป็นวัดเจ้าคณะจังหวัดโดยมีเจ้าคุณองค์หนึ่ง
ชื่อสุข เป็นมหาดเล็กของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า (ก่อนเสวยราช) ได้มาอุปสมบทและได้รับยศเป็น
เจ้าคณะจังหวัด เม่ือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าข้ึนเสวยราชท่านเจ้าคุณได้เป็นผู้กระท�ำน้�ำอภิเษกไปถวาย
โดยใช้นำ้� จากสถานที่ศักดส์ิ ทิ ธด์ิ ังกล่าว นบั แต่นั้นมาจงึ ถอื เอาวัดพลบั เปน็ วัดประกอบพธิ นี ้�ำอภิเษกทุกรชั กาลมา



๑๖. จังหวัดสุราษฎร์ธานี

น�้ำอภิเษก อ�ำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี
๑. น�้ำคลองท่าเพชร
อ�ำเภอไชยา
๑. น้�ำบ่อวัดพระธาตุ
๒. น้�ำบ่อวัดแก้ว
๓. น้�ำบ่อเดชราชา (บ่อเขานางเอ)
๔. น้�ำคลองไชยา
๕. น้�ำคลองคงคาไชย
๖. น้�ำคลองท่าชะนะ
อ�ำเภอกาญจนดิฐ
๑. น�้ำห้วยเขาแก้ว
๒. น้�ำคลองราม
๓. น้�ำคลองไชยคราม
อ�ำเภอบ้านนาสาร
๑. น�้ำห้วยรัตนโกสัย
๒. น้�ำแม่น้�ำตาปี
๓. น้�ำคลองเทพา
กิ่งอ�ำเภอพระแสง อ�ำเภอบ้านนาสาร
๑. น้�ำคลองบางสวัสดิ์
อ�ำเภอเกาะสมุย
๑. น�้ำธารเสด็จ
๒. น้�ำธารน้�ำเมืองไชย

594 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

อ�ำเภอท่าขนอน
๑. น้�ำคลองไกรษร
๒. น้�ำคลองพระแสง
๓. น้�ำคลองเบ็ญจา
๔. น้�ำคลองยันต์
๕. น้�ำคลองศรีสุข
๖. น้�ำคลองนารายน์
สถานท่ีประกอบน้�ำอภิเษก วัดพระมหาธาตุ1
ประธานพิธี นายเล่ือน ไขแสง ข้าหลวงประจ�ำจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ประธานพิธีสงฆ์ พระครูอินทปัญญาจารย์ (เง่ือม อินฺทปญฺโญ)2 กรรมการสงฆ์
องค์การเผยแผ่จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ประวัติน้�ำอภิเษก
อ�ำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี
น้�ำคลองท่าเพชร คลองท่าเพชร ต้ังอยู่หมู่ที่ ๕ ต�ำบลมะขามเตี้ย อ�ำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี เป็นล�ำคลอง
ใหญ่และยาวต่อเนื่องจากปากน้�ำบ้านดอนและคลองท่าทอง อยู่หน้าวัดสาวนาราม (วัดท่าเพชร) เท่าท่ีสืบสวน
ได้ความว่าช่ือนี้เพราะมีหินหรือปูนเพชรเป็นแผ่นใหญ่หนาราว ๑ เมตร ยาวราว ๒ เมตร สีเทาเรียกกันว่า
ปูนเพชรหรือหินเพชร มีมานานแล้วสืบไม่ได้ความ และมีเขาระยะห่างกับคลองราว ๒ ก.ม. ติดต่อกัน ๒ ลูก
เรียกกันว่า “เขาท่าเพชร” ต้นน�้ำเกิดจากเทือกภูเขาหลวงในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช ตอนต้นน้�ำเป็นคลอง
เล็ก ๆ และล�ำห้วย น�้ำใสสะอาดบริสุทธ์ิ ได้ความว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสวยราชสมบัติได้
พลีกรรมตักเอาน�้ำที่คลองนี้ท�ำน้�ำอภิเษกทุก ๆ รัชกาล

อ�ำเภอไชยา
เนื่องจากสถานท่ี ได้ถอื เปน็ สถานทศ่ี ักดส์ิ ิทธิ์กนั มานมนานเกินกวา่ ท่ีจะคน้ หาเรอ่ื งราวอันเปน็ หลกั ฐานได้
จากต�ำรับต�ำราใด ๆ หรือเอกสารใด ๆ คงได้เฉพาะการสืบถามจากบุคคลท่ีเคยได้ยินได้ฟังต่อ ๆ กันมา เท่านั้น
(๑) บ่อวัดพระธาตุ วัดพระธาตุเป็นวัดโบราณเกินพันปี เป็นท่ีศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในบรรดาวัดท้ังหลาย
มาแต่โบราณกาลแล้ว จนกระทั่งทุกวันน้ีน�้ำในบ่อท่ีตักท�ำน้�ำอภิเษกนี้ ก็เป็นบ่อพิเศษ คืออยู่ในบริเวณพุทธาวาส
คือเขตของพระบรมธาตุข้างพระวิหารเก่าซึ่งคู่กันมากับองค์พระธาตุเป็นแน่นอน หาได้อยู่ในบริเวณสังฆาราม
คือที่อยู่แห่งพระสงฆ์ ดังเช่นบ่อน�้ำใช้น�้ำฉันประจ�ำวัดไม่ คงเป็นบ่อศักดิ์สิทธิ์ส�ำหรับพลีกรรมทางศาสนา
มาแต่เดิมแล้ว มีเหตุผลแสดงอยู่ชัดเจนทุกอย่าง

1 คือ วัดพระบรมธาตไุ ชยาราชวรวิหาร ต�ำบลเวยี ง อำ� เภอไชยา จงั หวัดสุราษฎร์ธานี
2 ตอ่ มาคอื พระธรรมโกศาจารย์ หรอื พุทธทาสภิกขุ

ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 595

(๒) บ่อวัดแก้ว วัดแก้วเป็นวัดโบราณเกินกว่าพันปีเช่นเดียวกับวัดพระธาตุ มีโบราณสถานสมัยศรีวิชัย
ที่ส�ำคัญขนาดเดียวกันต้องเคยเป็นวัดท่ีมีความศักด์ิสิทธิ์เท่ากันและคู่กันมากับวัดพระธาตุมาแต่ด้ังเดิม ฉะนั้น
น้�ำบ่อนี้จึงเป็นน้�ำศักดิ์สิทธ์ิประจ�ำเมืองมาแต่โบราณ เช่นเดียวกับบ่อวัดพระธาตุมาแล้วต้ังแต่สมัยชาวอินเดีย
เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ในสมัยศรีวิชัยโดยไม่มีท่ีสงสัย

(๓) บ่อเขานางเอ (บ่อเดชราชา) ทรากโบราณสถานท่ีน่ีส่อให้เห็นว่าในสมัยโบราณเป็นศูนย์กลาง
แห่งหนึ่งของความเจริญมีวัดเรียกว่าวัดหลวง อยู่ใกล้ ๆ กันมีสระน�้ำใหญ่ขนาดสระประจ�ำเมือง ถ�้ำเขานางเอ
ท่ีอยู่ตรงกับบ่อมีลักษณะบอกความเคยเป็นสถานท่ีศักด์ิสิทธ์ิมาแต่สมัยโบราณแล้ว เชื่อว่าเป็นสถานท่ีศักดิ์สิทธ์ิ
ส�ำหรับประกอบพิธีประจ�ำปีอย่างใดอย่างหน่ึง ในทางไสยศาสตร์ในสมัยโบราณตั้งแต่สมัยท่ีชาวอินเดียเข้ามา
เก่ียวข้องเหมือนกัน ในสมัยท่ีเมืองไชยาเป็นราชธานีของชาวอินเดียสถานท่ีน้ีต้องเป็นแห่งหน่ึงส�ำหรับท�ำพิธี
เก่ียวกับความเป็นพระราชา

(๔) คลองไชยา เนื่องจากค�ำว่า ไชยา เป็นค�ำมงคลนามและเป็นเมืองเก่าแก่เกินพันปี ค�ำ ๆ นี้จึงเป็น
ที่ยึดม่ันถือมั่นท่ัวไปตามจารีตของชนชาวอินเดียที่เข้ามาส่ังสอนเก่ียวกับการอาบน้�ำศักด์ิสิทธ์ิ ท�ำนองแม่น�้ำ
คงคาในประเทศอินเดียเอง แม่น้�ำน้ีจึงถูกยกขึ้นเป็นแม่น้�ำศักด์ิสิทธ์ิมาแล้วแต่สมัยนั้น จนกระทั่งถึงสมัยน้ีไม่มี
การเปลี่ยนแปลง

(๕) คลองคงคาชัย น�้ำแห่งน้ีเมื่อดูสถานท่ีและฟังค�ำบอกเล่าแล้ว เห็นว่าไม่มีเรื่องราวไกลถึงสมัยศรีวิชัย
คือพันกว่าปีมาแล้ว แต่อย่างไรก็ตามฟังได้จากเร่ืองนั้น ๆ ว่า เคยเป็นสถานท่ีศักด์ิสิทธิ์เกี่ยวกับจารีตประเพณี
มาต้ังแต่สมัยท่ีเมืองไชยาท�ำการกวาดล้างพะม่า หมดสิ้นไปในรัชกาลที่ ๑ ๒ ในสมัยที่ไม่มีศึกสงครามแล้ว
ข้าราชการในสมัยโบราณใช้เป็นท่ีด�ำเกล้าหรืออาบน้�ำศักด์ิสิทธิ์แห่งหนึ่ง นัยว่าโดยเฉพาะเมื่อได้รับการ
แต่งตง้ั ทม่ี ีเกียรตใิ นทางราชการ พมา่ ไดผ้ ่านมาถงึ ท่ีนีค่ งเป็นจุด ๆ หน่งึ ท่ีกองทัพชาวเมอื งชนะพมา่ ดว้ ย ทรากวดั
ที่พม่าเคยเผาแสดงให้เห็นว่าพม่าได้ผ่านไปผ่านมาในถ่ินนี้

(๖) คลองท่าชนะ ว่าได้นามตามท่ีกรมพระราชวังบวร ออกมากวาดล้างอ�ำนาจพม่าทางปักษ์ใต้ในสมัย
รัชกาลท่ี ๑ ตอนขากลับจะเข้ากรุงหยุดสร้างวัดท่ีต�ำบลน้ีเป็นท่ีระลึกและมอบชะเลยหลายสิบครัวเป็นของวัด
หรือสร้างด้วยแรงชะเลยเหล่านั้นเป็นส่วนใหญ่ ให้ชื่อว่า วัดท่าชนะซ่ึงท�ำให้คลอง ๆ นี้และต�ำบลนี้ พลอยมีช่ือ
ว่าท่าชนะไปด้วย อาศัยท่ีเป็นนามศักด์ิสิทธ์ิเป็นมงคลนามจึงถูกนับเข้าในจ�ำนวนสถานท่ีศักด์ิสิทธิ์แห่งหน่ึงด้วย
หรือท่ีย่ิงกว่านั้นมีทางให้เช่ือว่าบริเวณน้ีก็อยู่ในบริเวณท่ีมีการกวาดล้างอ�ำนาจพม่า คงจะเป็นจุด ๆ หน่ึงท่ี
ปราบพม่าลงได้เป็นหลักฐานจนเจ้านายให้เกียรติสร้างวัดให้และประทานนาม

อ�ำเภอกาญจนดิษฐ
๑. น�้ำเขาแก้ว (หรือห้วยเขาแก้ว)
เขาแก้วเป็นเขาเล็ก ๆ มีวัดอยู่ ๑ วัด เรียกว่าวัดเขาแก้วอยู่ที่ต�ำบลทุ่งกง อ�ำเภอกาญจนดิษฐ เล่ากันว่า
แตเ่ ดมิ บนยอดเขานมี้ แี กว้ สอ่ งแสงไปไกลถงึ ทะเลอา่ วบา้ นดอน ชาวประมงหรอื ผทู้ ผ่ี า่ นไปมาในทะเลอา่ วบา้ นดอน

596 ประมวลเอกสารพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

ได้พบเห็นแสงสว่างของดวงแก้วบนยอดเขาน้ี ต่อมาภายหลังมีผู้รู้ทางไสยศาสตร์ได้มาเอาแก้วบนยอดเขา
น้ันไปเสีย แสงสว่างของดวงแก้วบนยอดเขาจึงหายไป แต่ประชาชนยังเรียกขานว่า เขาแก้ว มาจนบัดน้ี
และมีน�้ำพุใสสะอาดอยู่ริมเขาแห่งหนึ่งด้วย น�้ำพุตรงนี้เองที่น�ำไปประกอบพระราชพิธี

๒. น�้ำคลองราม
ในต�ำบลพลายวาศ อ�ำเภอกาญจนดิฐ มีหมู่บ้านอยู่แห่งหนึ่งเรียกบ้านโพราม หมู่บ้านนั้นมีวัดอยู่วัดหนึ่ง
เรียกวัดราม และมีคลองอยู่อีกคลองหนึ่งเรียกคลองราม โบราณวัตถุในหมู่บ้านนี้ไม่ปรากฏว่ามีหรือเคยมีอยู่
แต่เป็นท่ีเข้าใจกันว่าช่ือของหมู่บ้าน วัด และคลอง เรียกขานมาจากชื่อของบุคคล ผู้ไปหักร้างถางพงลง
เป็นคนแรกในหมู่บ้านน้ัน บุคคลผู้นั้นชื่อราม จึงได้เรียกขานมาจนบัดน้ี
๓. น้�ำคลองไชยคราม
ในอ�ำเภอกาญจนดิฐ มีต�ำบลชลคราม ต�ำบลไชยคราม และต�ำบลท่าอุแท ต�ำบลท่าทอง ซึ่งต�ำบลเหล่านี้
อยู่ริมฝั่งของคลองไชยคราม คลองไชยครามอยู่ต้นน�้ำ ส่วนตอนปลายซ่ึงมาออกทะเล และอ่าวบ้านดอน
เรียก คลองท่าทอง
เดิมคลองไชยคราม กับคลองท่าทอง เป็นคนละคลองกัน น�้ำในคลองไชยครามเป็นน้�ำจืด ส่วนน�้ำในคลอง
ท่าทองเป็นน�้ำเค็มในสมัยเมืองท่าทอง หรือเมืองกาญจนดิฐ ต้ังอยู่ที่บ้านท้อนในต�ำบลท่าทองปัจจุบัน ก่อนต้ัง
เมืองสุราษฎร์ธานี ท่ีตลาดบ้านดอนริมแม่น้�ำตาปีปัจจุบัน พระวิสูตรสงครามรามภักดี หรือท่ีชาวบ้านเรียกกัน
ว่าพระท่าทอง เป็นเจ้าเมืองในสมัยน้ัน พิจารณาเห็นว่าควรเอาน�้ำจืดในคลองไชยครามให้ไหลมาสู่คลองท่าทอง
เพื่อราษฎรจะได้ใช้สรอยบริโภค จึงได้ขุดคอคอดท่ีบ้านวัดประดู่ เขตต�ำบลไชยสงคราม กับต�ำบลท่าอุแทส�ำเร็จ
น�้ำจืดในคลองไชยครามก็ไหลมาบรรจบกับน�้ำในคลองท่าทอง ราษฎรได้ใช้สอยบริโภคน�้ำจืดมาจนทุกวันนี้
การเรียกขานคลองไชยคราม ในปัจจุบันหรือก่อน ๆ มาชาวบ้านเรียกว่าคลองคราม ไม่มีค�ำว่าไชย
คงเป็นเพราะชาวปักษ์ใต้มักจะตัดค�ำข้างหน้า คือค�ำว่าไชย ออกเสีย ส่วนช่ือต�ำบลไชยคราม ยังใช้เรียกค�ำเต็ม
อยู่ทุกวันน้ี เน่ืองมาจากบรรดาศักด์ิของพระวิสูตรสงครามรามภักดี หรือพระท่าทอง เจ้าเมืองท่าทองหรือเมือง
กาญจนดิฐ เป็นอนุสรณ์ของท่านเจ้าเมืองในสมัยนั้น ผู้ด�ำเนินการขุดคลอง และจัดการปกครองบ้านเมือง
ให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขน้ันเอง
ด้วยประการฉะน้ีจึงถือกันว่า แหล่งน้�ำท้ัง ๓ ที่ใช้ในงานพระราชพิธีราชาภิเษก นับเป็นมงคลอันอุดม

อ�ำเภอบ้านนาสาร
๑. ห้วยรัตนโกศัย ต้ังอยู่ในหมู่ท่ี ๒ ต�ำบลท่าเรือ อ�ำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตั้งต้นจาก
ต�ำบลทุ่งเตา ไหลผ่านทางรถไฟที่สถานีเขาพลู ไปลงแม่น้�ำตาปีในต�ำบลท่าเรือ ห้วยนี้เป็นห้วยเล็ก ๆ กว้าง
ประมาณ ๔ เมตร ยาว ๒๐ ก.ม. เป็นห้วยกั้นเขตแดนระหว่างอ�ำเภอบ้านนาสาร กับ อ�ำเภอพุนพิน
การท่ีชื่อว่า “ห้วยรัตนโกศัย” น้ัน ปรากฏว่าราว พ.ศ. ๒๔๖๘ นายอ�ำเภอบ้านนาสารกับนายอ�ำเภอ
พุนพินได้ไปดูเส้นเขตแดนพบห้วยนี้ไหลตัดเป็นเส้นตรงตลอดด้านที่ต่อกัน จึงให้ถือเป็นเส้นเขตแดนระหว่าง
อ�ำเภอต่ออ�ำเภอ และพระพิไชยเดชะ (เลียบ กาญจนสุวรรณ) นายอ�ำเภอบ้านนาสารสมัยน้ันเห็นว่าน้�ำใส
สะอาดประดุจแก้วประกอบกับมีชาวบ้านแถบนั้นนิยมนับถือว่าเป็นห้วยที่ศักดิ์สิทธ์ิ จะล่วงเกินหรือกล่าว


Click to View FlipBook Version