The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอน_161429 เล่มที่ 2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Narin Nonthamand, 2021-05-04 13:58:10

เอกสารประกอบการสอน_161429 เล่มที่ 2

เอกสารประกอบการสอน_161429 เล่มที่ 2

20
3. ตู้ลำโพงแบบ 3 ทาง (Three - Way Cabinet)

ภาพที่ 7.26 ตู้ลำโพงแบบ 3 ทาง (Three - Way Cabinet)

ภาพจาก : https://www.bhphotovideo.com/c/product/1542922-REG/elac_dfr52_w_5_25_floorstanding_speaker_white.html

ภาพที่ 7.27 ตู้ลำโพงแบบ 3 ทาง (Three - Way Cabinet)
ภาพจาก : http://www.soundfountain.com/amb/activsys1.html
เป็นตู้ลำโพงที่ออกแบบให้มีการตอบสนองความถี่แบบกว้าง ๆ ในสามย่าน
ความถี่ ได้แก่ ย่านเสียงทุ้ม ย่านเสียงกลาง และย่านเสียง แหลม โดยภายในตู้ลำโพงจะ
ประกอบด้วยลำโพงที่แยกการตอบนองความถีใ่ นยา่ นความถีด่ ังกล่าว 3 ชุด อิสระ ปัจจุบันหาก
เป็นระบบที่ต้องการใช้กำลังมาก ๆ มักแยกตู้ลำโพงในสามย่านความถี่ออกจาก กันโดยอิสระ
เพื่อมใิ ห้เกิดการรบกวนกันภายในตู้ลำโพงและสามารถติดต้ังได้สะดวกขนึ้ อีกด้วย

21

4. ตลู้ ำโพงแบบ 4 ทาง (Four - Way Speaker Cabinet)

ภาพที่ 7.28 ตู้ลำโพงแบบ 4 ทาง (Four - Way Speaker Cabinet)
ภาพจาก : https://geoffthegreygeek.com/how-to-wire-four-hifi-speakers/

ภาพที่ 7.29 ตู้ลำโพงแบบ 4 ทาง (Four - Way Speaker Cabinet)
ภาพจาก : https://www.pinterest.com/pin/198369558573637230/
เป็นตู้ลำโพงที่ออกแบบให้มีการตอบสนองความถี่แบบละเอียดกว่าในแบบสามย่าน
ความถี่ โดยแยกความถี่ออกเป็น ย่านเสียงทุ้ม ย่านเสียงกลางทุ้ม ย่านเสียงกลางแหลม และ
ย่านเสียงแหลม โดยภายในตู้ลำโพงจะ ประกอบด้วยลำโพงที่แยกการตอบนองความถี่ในย่าน
ความถี่ดังกลา่ ว 4 ชุด อิสระ หรือในปัจจุบัน หากเป็นระบบทีต่ ้องการใช้กำลังมาก ๆ มักแยกตู้
ลำโพงในสี่ย่านความถี่ออกจากกันโดยอิสระเพือ่ มใิ หเ้ กิดการรบกวนกันภายในตู้ลำโพงสามารถ
ควบคมุ ได้อิสระ แลสามารถติดต้ังได้สะดวกขนึ้ อีกด้วย

22

ตู้ลำโพงยังสามารถแบ่งอกี เป็นลักษณะ 2 ประเภทหลักๆ ได้ดังตอ่ ไปนี้
1. ตู้ลำโพงประเภท Active

ภาพที่ 7.30 ตู้ลำโพงประเภท Active

ภาพจาก : https://www.sounddd.shop/%e0%b8%95%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%a5%e0%b8
%b3%e0%b9%82%e0%b8%9e%e0%b8%87-passive-%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b8%b0-active/

ตู้ลำโพง Active หรือที่เราเรียกกันว่า “ตู้ลำโพงมีแอมป์ในตัว” เป็นตู้ลำโพงที่มี
ภาคขยายเสียงภายในตัว เราสามารถสังเกตได้จากด้านหลังของตัวตู้ลำโพงเอง จะมีช่องเสียบ
ปลั๊กไฟ และช่องอินพุทสัญญาณเข้าต่างๆ เพื่อใช้ต่อพ่วงในการใช้งาน ซึ่งบางยี่ห้อ และบางรุ่น
จะเสริมฟังก์ชั่นการใช้งานมาให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น มิกเซอร์ การเล่นเพลงผ่านบลูทธู
ไมค์ลอย หรือแม้กระท่ังฟังก์ช่ัน DSP ต่างๆ ที่สามารถควบคุมการใช้งานได้ท้ังที่ตัวตู้ลำโพงเอง
และผ่านแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ผ่านสมาร์ทโฟน แท็ปเล็ต และคอมพิวเตอร์ แถมในบางรุ่นยังมี
แบตตารี่ภายในตัวมาให้

จดุ เด่น ของตูล้ ำโพง Active
1. ตวั ตลู้ ำโพงเอง ได้ถกู ออกแบบการจนู ระบบภายในตวั ตู้ลำโพงมาอย่างดี
จากผู้ผลิต เราจึงม่นั ใจได้ในคุณภาพเสียงที่จะได้รบั จากตู้ลำโพง Active
2. ใช้งานง่าย ขนย้ายสะดวก ที่สามารถพกพา และเคลื่อนย้ายตู้ลำโพง Active
เพียงแค่ใบเดียว ก็สามารถใช้งานได้เลยโดยไม่ต้องขนย้ายอุปกรณ์หลากหลายชิ้น
ยิง่ ในรนุ่ ที่มีแบตตารีใ่ นตวั ยิ่งเพิม่ ความสะดวกสบายมากยิง่ ข้ึน โดยที่ไมจ่ ำเปน็ ต้องเสียบปลกั๊ ไฟ
ในขณะใชง้ าน ชว่ ยเพิ่มอิสระการใชง้ านได้ในทกุ ที่ ทุกเวลา
ขอ้ จำกัด ของต้ลู ำโพง Active
1. เนือ่ งจากตู้ลำโพงประเภท Active น้ันฝังภาคขยาย และฟังก์ชั่นการใช้งานมา
อย่างเพียบพร้อม จึงมีราคาสูงกว่า ตู้ลำโพง Passive หากถูกนำมาเปรียบเทียบในเรื่องของ
ราคาของตวั ตู้ลำโพง

23

2. อาจได้เสียงที่ด้อยคุณภาพ หากเราเลือกซื้อ และเลือกใช้ตู้ลำโพง Active ที่
ไมไ่ ด้มาตรฐาน จากค่ายผู้ผลิตที่ไม่มีคณุ ภาพ เกิดจากการออกแบบ การปรับจูน และการจับคู่
กันระหว่างดอกลำโพงกับส่วนของภาคขยายภายในตู้ลำโพงที่ไม่ดีพอ ทำให้ได้คุณภาพเสียงที่
อาจจะด้อยคณุ ภาพลง

3. ตู้ลำโพงประเภท Active ให้ความสามารถในการถ่ายทอดคุณภาพเสียงได้
ด้อยกวา่ ตู้ลำโพงประเภท Passive หากถูกนำมาเปรียบเทียบกนั ในเรอ่ื งของคุณภาพเสียง

2. ตลู้ ำโพงประเภท Passive

ภาพที่ 7.31 - 7.32 ตู้ลำโพงประเภท Passive

ภาพจาก : https://www.sounddd.shop/%e0%b8%95%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%a5%e0%b8%
b3%e0%b9%82%e0%b8%9e%e0%b8%87-passive-%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b8%b0-active/

ตู้ลำโพงประเภทนี้จะสามารถพบเจอได้อยู่บ่อยๆ ทั้งในงานระบบเครื่องเสียงกลางแจ้ง
และเครื่องเสียงบ้าน ตั้งแต่ระบบที่มีขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ เป็นประเภทที่ต้องใช้เครื่อง
ขยายเสียง หรอื เพาเวอร์แอมปลิไฟเออร์ (Power Amplifier) เปน็ ตัวขยายสญั ญาณเสียง และส่ง
สัญญาณเสียงออกไปยังตลู้ ำโพงประเภท Passive จงึ จะสามารถใช้งานได้ ภายในตู้ลำโพงจะไม่
มีวงจรอะไรซับซ้อนเลย นอกเสียจากวงจรตัวแบ่งแยกความถี่ หรือ Crossover Network
(ภายในตวั ตู้) และขวั้ ตอ่ สายลำโพง (ทีด่ า้ นหลังตัวตู้ลำโพง)

จุดเดน่ ของตลู้ ำโพง Passive
1. ตู้ลำโพง Passive หากเรามีความสามารถในการจับคู่ (Matching) กับเครื่อง
ขยายเสียง ได้อยา่ งถกู ต้องและเหมาะสมทีส่ ดุ จะได้คณุ ภาพเสียงที่ดี รายละเอียดชดั เจน เสียง
พ่งุ ไกล และมีมิตขิ องเสียงทีด่ ี
2. หากเรามีเทคนิคเชิงช่าง เราก็สามารถที่จะอัปเกรดอุปกรณ์ภายในตู้ได้ เช่น
สายลำโพง ตัวแบ่งแยกคลื่นความถี่ (Crossover Network) ทำให้เราสามารถเลือกเกรดของ
อปุ กรณต์ า่ งๆ และสามารถจดั การได้เองอย่างอสิ ระ เพือ่ ให้ตลู้ ำโพงมคี ณุ ภาพเสียงที่ดีที่สุด

24

ขอ้ จำกดั ของตู้ลำโพง Passive
1. ในทางตรงกันข้าม ตู้ลำโพง Passive หากมีการจับคู่ (Matching) ทั้งตัว
อุปกรณ์เคร่อื งขยายเสียง และตู้ลำโพง ทีไ่ ม่เหมาะสม และไมเ่ ข้ากัน อาจได้คุณภาพเสียงที่ด้อย
คุณภาพ หากประสบการณใ์ นการจับค่ขู องอุปกรณข์ องเรา ไมด่ ีเทา่ ทีค่ วร อาจได้มาซึงคุณภาพ
เสียงที่ผิดเพี้ยนไปได้โดยง่าย เพราะฉะนั้นการจับคู่ของอุปกรณ์นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่าง
มาก ต้องเป็นผู้ที่มีความชำนาญ ทั้งเทคนิค และประสบการณ์สูง ในการจับคู่ (Matching) ของ
อปุ กรณ์ใหใ้ ช้งานรว่ มกัน
2. ในด้านการใช้งาน ไม่เหมาะกับลกั ษณะงานที่ต้องการความคลอ่ งตวั เพราะ
ต้องขนอุปกรณ์ชนิดต่างๆ จำนวนมาก
3. ต้องเสียค่าใช้จ่ายในจำนวนเงินที่สูงในการอัปเกรดอุปกรณ์ในส่วนต่างๆ
หากคณุ ต้องการที่จะได้คุณภาพเสียงจากตู้ลำโพงที่ดีทีส่ ุด
ตู้ลำโพงทั้งในแบบ Active และ Passive ต่างก็มีทั้งข้อดี กันคนละแบบแตกตา่ ง
กันออกไป ในส่วนของการเลือกใช้งาน อาจต้องคำนึงถึงลักษณะของงานเป็นสำคัญ เช่น หาก
ต้องการเคลื่อนย้ายไปใช้งานตามสถานที่ต่างๆ อยู่บ่อยๆ เปิดท้ายของของงานสัมมนา
ภาคสนาม งานอีเว้นท์ตามห้างสรรพสินค้า หรือตามสถานที่ต่างๆ ที่ต้องการความคล่องตวั ใน
การเคลื่อนย้าย เราอาจเลือกใช้งานตู้ลำโพงประเภท Active หรือหากต้องการเน้นในด้าน
คุณภาพเสียงที่ดี งานติดตั้งระบบเสียงที่อยู่กับที่ ไม่มีการเคลื่อนย้าย เช่น ห้องประชุม
หอ้ งสมั มนา ผบั บาร์ หรอื ร้านอาหารตา่ งๆ ก็อาจจะเลือกใช้งานตู้ลำโพงประเภท Passive
คุณสมบัติของลำโพง
ลำโพงเป็นอุปกรณ์เสียงในเชิงกลซึ่งลำโพงแต่ละ ประเภท แต่ละขนาดก็มีคุณบัติที่
แตกต่างกันออกไปตามความเหมาะสมของลกั ษณะการใช้งานของ แต่ละประเภท แตล่ ำโพงทุก
ตวั จะมีมาตรฐานทางด้านคุณสมบัติทางฟิสิกส์ที่เหมอื นกัน ได้แก่ กำลงั วัตต์ มีหน่วยเป็นวัตถ์
(Watt) อิมพีแดนซ์ (Impedance) มีหน่วยเป็นโอห์ม (Ohm) หรือสัญลักษณ์ (Ω) เซนซิติวิตี้ของ
ลำโพง (Sensitivity) มีหน่วยเป็นเดซิเบล (dB) และการตอบนองทางความถี่ของ ลำโพง
(Frequency Response) ซึง่ มีรายละเอียดดังตอ่ ไปนี้ (Bill Gibson, 2011)
1. กำลงั วัตต์
กำลัง หรือที่เรามักเรียกติดปากกันว่าวัต ต์ของลำโพงนั้น หมายถึง
ความสามารถในการทนต่อกระแสไฟฟ้าหรือความสามารถในการรับกระแสไฟฟ้าสูงสุดของ
ลำโพง ดอกนั้น หากแต่มิได้หมายถึงความดังของลำโพงแต่อย่างใด เพียงแต่ลำโพงที่มีกำลัง
วัตต์ถึง ๆ นั้นสามารถทนต่อกระแสได้มากเนื่องจากการทำงานของลำโพงจะรับการขยายเสียง

25

ซึ่งได้จากเครื่อง ดนตรี เทป ซี.ดี.หรือแหล่งที่มาต่าง ๆ โดยต้องเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของ

กระแสไฟฟ้ากระแสสลับ (A.C. Current) ซึ่งมีกำลังไม่มากพอที่จะขับ (Drive) ให้ลำโพงทำงาน

ได้ ดังนนั้ จงึ จำเปน็ ต้องทำการขยายกำลงั ของกระแสไฟฟ้าดงั กล่าวใหม้ ีขนาดเพียงพอที่จะขับให้

ลำโพงทำงานได้ โดยเครือ่ งขยายหากการขยายกำลังจากเคร่ืองขยายมากกว่ากำลังของลำโพง

ที่สามารถรับได้ ลำโพงก็จะเกิดความเสียหาย ดังนั้นการที่จะเลือกลำโพงว่าจะมีกำลังวัตถ์

หรือการทนต่อกระแสเท่าไรนั้น จำเป็น จะต้องพิจารณาจากลักษณะการใช้งาน ความ

เหมาะสมกับอปุ กรณ์ทีใ่ ชร้ ว่ มกันด้วยเช่นกนั

2. อิมพีแดนซ์

อิมพีแดนซ์ของลำโพง หมายถึงค่าความต้านทานภายในของลำโพงอันเกิด

จากคุณบัติของวัสดุที่นามาใช้ทำลำโพง ซึ่งได้จากการคำนวณ โดยปกติลำโพงจะมีความ

ต้านทาน อยู่ที่ 8 โอห์ม ยกเว้นลำโพงติดรถยนต์จะมีอิมพีแดนซ์ที่ 4 โอห์มหรือลำโพงที่ถูก

ออกแบบมาเป็น พิเศษจึงจะมีค่าความตา้ นทานภายใน หรอื ค่าอมิ พีแดนซ์ที่แตกต่างไปจากนี้

ค่าอิมพีแดนซ์ของลำโพงนี้มีผลต่อกำลังการขยายของเครื่องขยาย โดยเรามา

พิจารณาได้จากการคำนวณกำลังทางกระแสไฟฟ้า และพิจารณาเปรียบเทียบกับกฎของโอห์ม

จาก

P(w) ∝ E(v)

P(w) ∝ I(A)

สามารถวิเคราะห์ได้ว่ากำลังวัตตแ์ ปรผันตรงกับแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า

ดงั นนั้

P(w) = E(v) x I(A)

และเมื่อพิจารณาจากกฎของโอหม์ ทีว่ ่า

I(A) ∝ E(v)

I(A) ∝ 1

(Ω)

สามารถวิเคราะหไ์ ด้ว่ากระแสไฟฟ้า (I) แปรผนั ตรงกบั แรงดันไฟฟ้า (E) และ

แปรผกผนั กบั คา่ ความตา้ นทาน (R) ซึง่ ค่าอิมพีแดนซก์ ็คือค่าความต้านทาน

ดังนน้ั จงึ สรปุ ได้วา่ I(A) = E(v)
(Ω)

เมื่อค่าความต้านทาน หรือค่าอิมพีแดนซ์มากจึงทำให้ความสามารถในการ

ขยาย กระแสไฟฟ้าของเครื่องขยายน้อยลงส่งผลให้กำลังวัตต์ลดลง แต่เมื่อค่าความต้านทาน

หรอื ค่า อิมพแี ดนซน์ ้อย หรอื เท่ากับศูนยก์ ็จะทำให้กระแสเพิม่ ข้ึน ทำให้กำลังวัตต์เพิ่มขึ้นเช่นกัน

26

แต่ในทาง ปฏิบัติเมื่อโหลดมีค่าความต้านทานเท่ากับศูนย์เปรียบเสมือนการลัดวงจร ทำให้
เครื่องขยายทำงานหนักและพังในที่สุด เครื่องขยายแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อจึงได้กำหนด
ความสามารถในการรับค่าความต้านทานภายใน หรือค่าอิมพีแดนซ์ต่ำสุดไว้เพื่อป้องกันการ
เสียหาย เชน่ สามารถรับได้ต่ำสุดที่ 4 Ω เปน็ ต้น

ดังนั้นในการต่อลำโพงเพือ่ ใช้งานร่วมกนั ครั้งละหลาย ๆ ตัวจึงต้องคำนึงถึงค่า
ความต้านทานภายในรวมให้เหมาะสมด้วย โดยปกติจะมีวิธีการต่อลำโพงครั้งละหลาย ๆ ตัว
เพือ่ ใช้งาน รว่ มกันอยู่ 3 วิธีคือ (ฮิเดกิ มอร,ิ 2558)

2.1 วิธีต่อแบบอนุกรม (Series Speaker) หรอื ตอ่ แบบอันดับ การตอ่ วิธี
นีจ้ ะได้อมิ พีแดนซข์ องลำโพงเพิ่มข้ึน ซึ่งคิดจากคา่ อิมพีแดนซข์ องลำโพงแตล่ ะตวั รวมกัน

ภาพที่ 7.33 การตอ่ ลำโพงแบบอนุกรม
ภาพจาก : http://www.colomar.com/Shavano/speaker.html

ค่าอมิ พีแดนซ์รวมจะได้จาก Rt = R1 + R2 + R3 + Rn
ดังนน้ั จากภาพที่ 7.30 Rt = 8Ω + 8Ω = 16Ω
2.2 การต่อแบบขนาน (Parallel Speaker) การต่อแบบนจี้ ะทำให้
อิมพแี ดนซข์ อง ลำโพงโดยรวมลดลง

ภาพที่ 7.34 การตอ่ ลำโพงแบบขนาน
ภาพจาก : http://www.colomar.com/Shavano/speaker.html

27

คา่ อิมพแี ดนซร์ วมได้จาก 1 R=2 1R+3 1R+n 1 + 1

R 1

ดังนนั้ จากภาพที่ 7.31 1 = 1 + 1 = 2

8 8 8

Rt = 8 = 4Ω
2
2.3 การต่อลำโพงแบบผสม (Series/Parallel Speaker) เป็นการต่อ

ลำโพงโดย ใช้การต่อแบบอนุกรมและแบบขนานร่วมกัน การคำนวณค่าอิมพีแดนซ์ จะต้อง

คำนวณ จากวงจรแตล่ ะแบบที่ต่อ

ภาพที่ 7.35 การต่อลำโพงแบบผสม

ภาพจาก : http://www.colomar.com/Shavano/speaker.html

คา่ อมิ พีแดนซร์ วมได้จาก 1 = ((Rt 1 R1 ) R+2 ( 1 R3 ) R4
+ +
) ( )

ดงั น้ันจากภาพ 7.32 1 = (( 8 1 8 )) + (( 8 1 8 ))
+ +
Rt

1 = (1)+(1)

Rt 16 16

1 = (2)

Rt 16

1 = 16
= 2
RRtt
8Ω

28

3. เซนซิตวิ ิต้ีของลำโพง (Sensitivity)
เซนซิติวิตี้ตามหลักแล้วคือความไวต่อการตอบสนองในการทำงาน แต่สำหรับ
ลำโพง แล้วหมายถึงประสิทธิภาพทางพลังงาน หรือความดังของลำโพงดอกนั้น ๆ ซึ่งได้จาก
การวัด โดยป้อน กำลังที่ 1วัตต์ หรอื 2.83 โวลต์ ที่ลำโพง 8Ω ลำโพงทีม่ ีค่าอิมพีแดนซ์ใช้ 8Ω
จะไม่ใช้ค่า 2.83 โวลต์ วัด ระยะห่างจากลำโพงมา 1 เมตร แล้วใช้ ดี.บี. มิเตอร์วัดว่าได้ความ
ดงั เทา่ ไร โดยทวั่ ไปสากลมักใช้ 1W/1m/dB

ภาพที่ 7.36 การวัดเซนซิตวิ ิต้ขี องลำโพง
ภาพจาก : http://www.goodsound.com/features/2008_02_01.htm

4. การตอบสนองทางความถีข่ องลำโพง
การตอบสนองทางความถี่ของลำโพงเกิดจากคุณสมบัติการตอบสนองทาง
ไฟฟ้าของ อุปกรณท์ ี่ใชใ้ นการผลิตลำโพ และอะคสู ติกของวัสดทุ ีใ่ ชท้ ำลำโพง จงึ ทำให้ลำโพงแต่
ละยี่ห้อแต่ละ ประเภทให้การตอบสนองความถี่ที่แตกต่างกัน โดยจะแสดงเป็นกราฟในการ
ตอบสนองความถี่ของลำโพงนั้น ๆ เพื่อประกอบการพิจารณาเลือกใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะ
งาน
ครอสโอเวอร์เนต็ เวิร์ค
การออกแบบหรือการวางดอกลำโพงในปัจจุบันแม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปมาก
แต่อย่างไรก็ยังไม่สามารถออกแบบและสร้างลำโพงที่สามารถตอบนองความถี่ในย่านความถี่
เสียงตั้งแต่ 20 - 20,000 Hz ได้ ดังนั้นในตู้ลำโพงแต่ละตู้จึงต้องมีดอกลำโพงที่สามารถ
ตอบสนองความถี่ในย่านที่แตกต่างกัน และจำเป็นอย่างยิ่งไม่น้อยกว่ากันที่จะต้องมีเครื่องมือ

29

หรอื อุปกรณใ์ นการจำแนก หรอื แยกความถี่ในยา่ นความถีแ่ บบกว้าง ๆ ไมว่ า่ จะเป็นแบบ 2 ทาง
3 ทางหรือ 4 ทาง อุปกรณ์ดังกล่าว นั้นเรียกว่าครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์คซึ่งสามารถจำแนกออก
ได้ 2 แบบ คอื (Gibson, 2011)

1. พาสซีพครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์ค (Passive Crossover Network)
เป็นครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์คที่อาศัยคุณบัติเฉพาะตัวของอุปกรณ์อีเล็กทรอนิกส์ในการ
กรองสัญญาณหรือยอมให้สัญญาณในย่านความถี่ต่าง ๆ ผ่านตัวอุปกรณ์ดังกล่าว อุปกรณ์
ทางอเี ลก็ ทรอนิกสด์ งั กลา่ วได้แก่

คอยล์ หรอื ขดลวด ใช้อกั ษรย่อ L ใช้สัญลักษณ์ คอื
คอนเดนเซอร์ หรอื คาปาซิสเตอรใ์ ชอ้ กั ษรยอ่ C สญั ลักษณ์ คือ
โดยคอยล์จะมีคุณสมบัติ คือ ยอมให้ความถี่ต่ำ (เสียงทุ้ม) ผ่านได้ง่ายทั้งนี้
ขึ้นอยู่กับ ค่าของคอยล์ด้วยว่ามากน้อยเพียงใด คอยล์ยิ่งมีค่ามากยิ่งยอมให้ความถี่ต่ำมาก ๆ
ผ่าน แตจ่ ะไมย่ อม ให้ความถี่สงู (เสียงแหลม) ผา่ นได้เลย ตรงกนั ข้ามกบั คาปาซิสเตอร์ที่ยอมให้
ความถีส่ งู (เสียงแหลม) ผ่านได้ง่าย แต่จะไม่ยอมให้ความถี่ต่ำ (เสียงทุ้ม) ผ่านได้ เมือ่ นำเอาคุณ
มับติของอุปกรณ์ดังกล่าวมาต่อกับลำโพงเพื่อจัดย่านความถี่ให้แก่ลำโพง เราเรียกวงจรนี้ว่า
วงจรครอสโอเวอรเ์ น็ตเวิร์ โดย ครอสโอเวอร์ กค็ ือจดุ ตดั แบ่งระหว่างย่านความถีเ่ สียงนน่ั เอง

ภาพที่ 7.37 พาสซีพครอสโอเวอร์เน็ตเวิรค์
ภาพจาก : http://hyperphysics.phyastr.gsu.edu/hbase/Audio/cross.html#c3

จากภาพที่ 7.37 พาสซีพครอสโอเวอร์เน็ทเวิร์คแบบสามทาง อธิบาย
ได้ว่า เมื่อสัญญาณเสียงถูกป้อนเข้ามาในวงจรแล้วส่งไปยังลำโพงเสียงแหลมตัวบน
สัญญาณเสียงจะถูกกั้น ด้วยคาปาซิสเตอร์ที่ยอมให้เฉพาะเสียงแหลม (กราฟสีฟ้า) ผ่านไปยัง
ลำโพงเสียงแหลมหรือทวีตเตอร์เท่านั้น ทำให้มีเพียงเสียงแหลมดังออกมาจากลำโพงดังกล่าว

30

ในขณะเดียวสัญญาณเสียงยังถูกส่งไปยัง ลำโพงเสียงทุ้ม โดยมีคอยล์กั้นไม่ให้เสียงแหลมผ่าน
ให้เฉพาะย่านเสียงทุ้ม (กราฟสีส้ม) จงึ มเี ฉพาะ เสียงทุ้มออกมาจากลำโพงเสียงทุ้ม จดุ แบ่งหรือ
จุดตัดของยา่ นความถีด่ งั กล่าวเราเรียกว่าครอสโอเวอร์ และวงจรนีเ้ ปน็ วงจรครอสโอเวอร์แบบ
2 ทาง คือแยกความถี่ออกเป็นกลุ่มย่านความถี่ จึงมี จุดตัด หรือครอสโอเวอร์เพียงจุดเดียว
และเช่นเดียวกัน พาสซีพครอสโอเวอร์เน็ทเวิร์คแบบองทางมีวงจร แบนด์พาส (Band Pass)
ทีก่ ำหนดให้เฉพาะย่านความถี่เสียงกลางผ่านไปยงั ลำโพงเสียงกลางหรอื มิดเรนจ์ (กราฟสีชมพู)
จึงทำให้มีแค่ความถี่ย่านเสียงกลางป้อนให้ลำโพงดังกล่าว วงจรนี้เป็นวงจรครอสโอเวอร์
เน็ตเวิรแ์ บบสามทาง จะมีจุดตดั หรอื ครอสโอเวอร์อยู่ 2 จดุ ดงั ภาพ

2. แอ็คทีฟครอสโอเวอร์เนต็ เวิรค์ (Active Crossover Network)
เปน็ อปุ กรณท์ ี่ทำหนา้ ที่แยกยา่ นความถี่เสียงเช่นเดียวกบั พาสซีพครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์ค
แตกตา่ งกนั ตรงทีพ่ าสซิพครอสโอเวอรเ์ น็ตเวิร์คจะถกู ติดต้ังไว้ในตู้ลำโพง ไม่ต้องจ่ายไฟเลี้ยงให้
และไม่สามารถเปลี่ยนแปลง ความถี่ของจุดครอสโอเวอร์ตลอดจนกำหนดขนาดของสัญญาณ
ในแต่ละย่านความถี่ได้ แต่แอ็ค ทีฟครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์คสามารถกำหนดจุดครอสโอเวอร์
กำหนดขนาดสัญญาณทั้งขาเข้าและขาออก ในแต่ละย่านความถี่ได้อย่างอิสระดังจะอธิบาย
ตามฟังกช์ ัน่ การทำงานของอุปกรณด์ งั กล่าวตวั อยา่ งดังต่อไปนี้

ภาพที่ 7.38

ภาพจาก : http://www.sounddd.com/images/catalog_pro_1344590686/DBX%20234XL-f.jpg

จากภาพที่ 7.38 เป็นครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์คแบบแอ็คทีฟที่สามารถกำหนดให้
เป็น แบบ 2 ทางสเตอริโอ 3 ทางเตอริโอและ4 ทางโมโน โดยสามารถอธิบายฟังก์ชั่นการ
ทำงานของป่มุ ปรบั และไฟแดงผลได้ดงั น้ี

1 และ 7 อินพทุ เกน (Input Gain) ทำหนา้ ที่ปรบั ลด เพิ่ม ขนาดของสญั ญาณเข้า
13 และ 20 โลว์คัท (Low Cut) ทำหน้าที่กรองความถี่ต่ำในย่าน 40 Hz ลงมา
ออกโดยเมอ่ื กดปุม่ ดงั กล่าวไฟแดงจะติดข้ึน
2 และ 8 โลว์ มิด (Low/Mid) ทำหน้าที่กำหนดจุดครอสโอเวอร์ระหว่างย่าน
ความถี่ต่ำกับย่านความถี่เสียงกลาง 14 และ 21 X10 ไฟแดงสถานะความถี่ในย่าน โลว์ มิด ถูก
คูณด้วย 10 ทำให้ความกว้างในย่านดังกล่าวเปลี่ยนไป

31

3 และ 9 มิด ไฮ (Mid/High) ทำหน้าที่กำหนดจุดครอสโอเวอร์ระหว่างย่าน
ความถีเ่ สียงกลางกับย่านความถี่เสียงแหลม

4 และ 10 โลว์เอาท์พุท (Low Output) ทำหน้าที่ควบคุมขนาดของสัญญาณ
ย่านเสียงทุ้ม

15 และ 22 เฟสอินเวิร์ท (Phase Invert) เป็นปุ่มกดเพื่อกลับเฟสสัญญาณใน
ย่านเสียงทุ้ม โดยจะมีไฟแดงสถานะปรากฏขึ้น

5 และ 11 มิดเอาท์พุท (Mid Output) ทำหน้าที่ควบคุมขนาดของสัญญาณใน
ย่านเสียงกลาง

16 และ 23 เฟสอินเวิร์ท (Phase Invert) เป็นปุ่มกดเพื่อกลับเฟสสัญญาณใน
ย่านเยีงกลาง โดยจะมีไฟแดงสถานะปรากฏขึ้น

6 และ 12 ไฮเอาท์พุท (High Output) ทำหน้าที่ควบคุมขนาดของสัญญาณใน
ย่านเสียงแหลม

17 และ 24 เฟสอินอนิ เวิรท์ (Phase Invert) เป็นปุม่ กดเพื่อกลบั เฟสสัญญาณใน
ยา่ นเสียงแหลมโดยจะมีไฟแดงสถานะปรากฏขึ้น

19 สเตอริโอ (Stereo) เป็นไฟแดงสถานะว่ามีการทำงานทั้งสองช่อง ส่วน
ด้านหลังของอุปกรณ์ก็จะเป็นช่องต่อสัญญาณอินพุท และสัญญาณเอาท์พุท ตามจำนวนย่าน
ความถีท่ ี่จำแนกออกมาเพือ่ สง่ ตอ่ ไปยงั เพาเวอร์แอมปลิไฟเออร์
ค่า SPL ของลำโพง

SPL ย่อมาจากคำว่า “Sound Pressure Level” (ซาวด์เพรสเชอร์เลเวล) มีหน่วยวัดค่า
ความดังสูงสุดของเสียงใช้หน่วยวัดเป็น dB ไม่มีกำหนดค่ามาตรฐานถ้า SPL ยิ่งมีค่าที่มาก
หมายถึงความดังเสียงที่ดังเพิ่มขึ้น และในขณะเดียวกัน ถ้า SPL ยิ่งมีค่าที่น้อย หมายถึงความ
ดงั เสียงทีม่ ีความดังลดลง

ตัวอยา่ งความดังทว่ั ๆ

ภาพที่ 7.39 ค่าความดังเสียง
ภาพจาก : https://www.sounddd.shop/spl-loudspeaker/

32

เมื่อสังเกตุจากกราฟสีแสดงผลจะเห็นว่า มีความดังตามระดับเรื่อยๆ จากความดังที่
ระดับ 10 dB จนถึงความดังระดับสูงสุด คือ 140 -145 dB dB ที่ไม่ควรรับฟังต่อเนื่องเพราะจะ
ทำให้ปวดหูและเป็นอันตรายได้คือระดับ 85 -130 dB ขึ้นไป ลำโพงไม่ว่าจะเป็นแบบ พอยท์
ซอรท์ (แบบตู้แนวต้ังทัว่ ไป) หรอื ไลนอ์ าเรย์ ในสเปคจะมีบอกทั้ง

- ให้กำลังวัตตเ์ ทา่ ใหร่ เชน่ ลำโพง “ชอช้าง” มีกำลังวัตต์ 400/800/1200 วตั ต์
- ตอบสนองความถี่ เชน่ 56 Hz-20KHz (Hz เฮิร์ต) (Khz กิโลเฮิรต์ )
- ความไวตอบสนอง SPL (Sensivity) 99 dB 1 วัตต์ / 1 เมตร
1 วัตต์ 1 เมตร คือ (ป้อนกำลังวัตต์ 1 วัตต์ให้กับลำโพงและวัดระยะห่างจากลำโพง 1
เมตรก็จะได้ค่าความดัง SPL ซาวด์เพรสเชอร์เลเวล Sound Pressure Level ซึ่งมีหน่วยเป็น dB)
และมีความไวตอบสนองสูงสุดแม็กซิมั่ม (Maximum spl 129 dB ) เปน็ ต้น
ความหมายของกำลงั วตั ต์ลำโพง
400 วตั ต์ คือ วตั ต์ rms Continuous คอนตินิวอัส
- เป็นคา่ ที่ได้จากการทดสอบด้วยการป้อนกำลงั ขับแบบต่อเนื่องด้วยสัญญาณ
Sine Wave ต่อเนื่องติดต่อกันตามเวลาที่กำหนดโดยที่ตู้ลำโพง หรือดอกลำโพงไม่เกิดความ
เสียหาย
800 วตั ต์ คอื วัตต์ Program โปรแกรม
- เป็นค่าที่มากกว่า RMS Power หนึ่งเท่าตัว ใช้เพื่อเป็นตัวเลขอ้างอิงในการ
กำหนดค่าพารามิเตอร์ในระบบเสียง (เสียงร้อง เสียงดนตรี หรอื การเล่นดนตรีสด) ซึ่งแอมปิจูด
ของสญั ญาณไมต่ ่อเนือ่ ง และไม่นิง่ มีการเคลื่อนไหวขึ้นๆ ลงๆ ตลอด
1200 วัตต์ คือ วตั ต์ Peck พีค
- เป็นค่าสูงสุด ( พีค ) ที่ตู้ลำโพง หรือ ดอกลำโพง สามารถรองรับได้ อาจจะ
เพียงไม่กี่วินาทีเทา่ นั้น หรอื อาจจะไม่เกิดขึ้นเลย ขนึ้ อยกู่ บั คุณภาพของวัสดุทีใ่ ชท้ ำดอกลำโพง
วิธีดูกำลังวัตต์ (Power Handling) ของตลู้ ำโพง กอ่ นเลือกใช้งาน
วัตต์ (watts) เป็นค่าที่บอกถึง ค่าความสามารถของตู้ลำโพง หรือ ดอกลำโพง
นั้นๆ ว่าสามารถรองรับกำลังขับจากเครื่องขยายเสียง (Power Amplifier) ได้มากหรือ น้อย
เพียงใด เราสามารถตรวจสอบกำลังวัตต์ของตู้ลำโพงได้จาก ข้อมูลทางเทคนิคของแต่ละรุ่น
หรอื อาจสงั เกตุได้จากด้านหลังของตู้ลำโพงน่ันเอง เราเรยี กค่าน้ีว่า Power Handling

33

Power Handling ของต้ลู ำโพงแบง่ ออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้
1. Continuous Power หรอื RMS Power
เป็นค่าที่ได้จากการทดสอบด้วยการป้อนกำลังขับแบบต่อเนื่องด้วยสัญญาณ

Sine Wave ต่อเนื่องติดต่อกันตามเวลาที่กำหนดโดยที่ตู้ลำโพง หรือ ดอกลำโพงไม่เกิดความ
เสียหาย

2. Program Power
เป็นค่าที่มากกว่า RMS Power หนึ่งเท่าตัว ใช้เพื่อเป็นตัวเลขอ้างอิงในการ
กำหนดค่าพารามิเตอรใ์ นระบบเสียง (เสียงร้อง เสียงดนตรี หรือการเลน่ ดนตรีสด ซึ่งแอมปิจดู
ของสญั ญาณไม่ต่อเนื่อง และไม่นิง่ มีการเคลือ่ นไหวขึ้นๆ ลงๆ ตลอด
3. Peak Power
เปน็ ค่าทีม่ ากกว่า Program Power หนง่ึ เทา่ ตัว เปน็ ค่าสูงสดุ (Max) ที่ตลู้ ำโพง
หรอื ดอกลำโพง สามารถรองรบั ได้ อาจจะเพียงไม่กี่วินาทีเทา่ นั้น หรอื อาจจะไม่เกิดขึ้นเลย
ขนึ้ อยู่กบั คุณภาพของวสั ดุที่ใช้ทำดอกลำโพง
ประเภทของลำโพง
ลำโพงสามารถแบ่งได้ตามลักษณะต่างๆ ได้ดังน้ี
1. แบง่ ตามลักษณะของการทำงาน หรอื การสัน่ สะเทือนของไดอะแฟรม

1.1 ลำโพงไดนามิค (Dynamic Loudspeaker)

ภาพที่ 7.40 ลำโพงไดนามิค

ภาพจาก : https://www.amazon.com/APMB-6-Dynamic-Loudspeaker-Range-Audio/dp/B00PKISJIW

34

ลำโพงไดนามิค (Dynamic Loudspeaker) หรือ Moving Coil Loudspeaker ลำโพงไดนา
มิค หรือลำโพงที่ทำงานได้โดยอาศัยการเคลื่อนที่ของกรวยหรือไดอาแฟรมของลำโพงผลัก
อากาศ การเคลื่อนทีจ่ รงิ ๆ ของมันจดุ ตน้ กำเนิดอยู่ที่วอยซ์คอยล์และแม่เหล็ก ลำโพงใดๆก็ตาม
มีการออกแบบโดยใช้คอยล์เคลื่อนที่ เมื่อได้รับสัญญาณก็จะเรียกว่าลำโพงไดนามิคทั้งสิ้น
ลำโพงไดนามิคได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางโดยทั่วไป จะมีจำหน่ายอยู่ในตลาดเครื่องเสียง
มากกว่าลำโพงแบบอื่นๆ เทียบอัตราส่วนต้องไม่ต่ำกว่า 90% ลำโพงไดนามิคมีขนาดรูปร่าง
แตกต่างกันไป ตามลักษณะการออกแบบและเป้าหมายหรือจุดประสงค์ในการใช้งาน ลำโพงมี
ขนาดเล็กสุดก็จะใช้สำหรับขับเสียงแหลม เรียกว่าทวีตเตอร์ (Tweeter) ลำโพงที่มีขนาดกลาง
(Mid-Range) ลำโพงที่มีการออกแบบให้มีขนาดของกรวย ขนาดใหญ่ก็มักจะใช้ในการขับเสียง
ต่ำหรือเสียงทุ้ม เรียกว่าวูฟเฟอร์ (Woofer) และหากว่ามีความจำเป็นต้องให้ลำโพงมีการผลิต
คลื่นความถี่ที่ต่ำมากๆ เขาจะออกแบบลำโพงสำหรับให้ความถี่ต่ำโดยเฉพาะ คือซับวูฟเฟอร์
(Sub-Woofer) ลำโพงในแบบหลงั นี้จะทำงานในย่านความถี่ต่ำ ทีค่ รอบคลมุ เพียงเฉพาะช่วงเช่น
200-20 Hz มีเสียงจากเครื่องดนตรีบางชิ้นเท่านั้น ที่สามารถตอบสนองความถี่ต่ำขนาดนี้
ลำโพงไดนามิคนั้น ถ้าหากออกแบบให้ใช้ความถี่ตำ่ และความถี่ชว่ งกลางๆ ก็มักจะออกแบบให้
เป็นลำโพงชนิดโคน (Cone) ซึ่งกรวยของลำโพงจะถูกยึดติดกับขอบยางหรือขอบโฟมในส่วน
หน้า ส่วนก้นของกรวยลำโพงจะยึดติดกับสไปเดอร์ (ตัวยึดทรงกลมเหมือนใยแมงมุม) และ
ปลายสุดหรอื สว่ นก้นของกรวย ก็จะผนวกติดเอาไว้ด้วยวอยซ์คอยล์หรือขดลวดที่พันเป็นรอบๆ
วอยซ์คอยล์นี้จะถูกกำหนดตำแหน่งให้อยู่ในช่องว่างของแม่เหล็ก ที่เรียกว่าแก็ป (GAP) เมื่อตัว
ลำโพงได้รับสัญญาณก็จะเกิดเส้นแรงแม่เหล็ก ตรงขดลวดและตัวแม่เหล็กลำโพงทำให้กรวย
ลำโพงขยบั ไปตามสญั ญาณที่ป้อนเข้าไป

ส่วนประกอบของลำโพงไดนามิคจะประกอบด้วยขดลวดที่พันอยู่บนทรงกระบอก
ซึ่งเรียกรวมว่า "วอยช์คอยล์" (Voice Coil) ซึ่งวอยช์คอยล์จะสอดอยู่ในช่องแคบๆ
ที่ประกอบด้วยแม่เหล็กถาวร (magnet) และ เหล็กแผ่น (plates) ช่องว่างที่ให้วอยซ์คอยล์สอด
เข้าไปนี้เรียกว่า แก็ป (Gap) ซึ่งจะต้องแคบ เพื่อให้สนามแม่เหล็กที่ส่งมาถึงวอยซ์คอยล์มีค่า
มากที่สุดที่รอบๆ วอยซ์คอยล์ ซึ่งตัววอยซ์คอยล์จะอยู่ติดกับด้ายกรวยหรือไดอะแฟรม
(Diaphragm) ระหว่างรอยต่อของกรวยกบั วอยซ์คอยล์จะถูกยึดไว้กับสไปเดอร์ (Spider) เพื่อได้
ตัวลอยอยู่ในแก๊ปได้โดยไม่เสียศูนย์ซึ่งตัวสไป เดอร์นี้จะมีลักษณะเป็นหยักๆ เพื่อการยืดหย่นุ ที่
ดี หลักการทำงานของลำโพงไดนามคิ จะคล้ายกับไมโครโฟนไดรามิคแตก่ ารทำงานจะมีลักษณะ
ตรงกันข้ามกล่าวคือ เมื่อสัญญาณจากเครื่องขยายเสียงซึ่งเป็นสัญญาณไฟฟ้าความถี่เสียง
ป้อนเข้าไปที่ลำโพงจะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กที่ตัววอยซ์คอยล์ ความเข้มของสนามแม่เหล็กที่

35

ตัววอยซ์คอยล์นี้ จะขึ้นอยู่กับระดับของสัญญาณไฟฟ้า ที่ป้อนเข้ามาจากเครื่องขยาย ทำให้
วอยซ์คอยล์เกิดการผลักดันกบั สนามแม่เหล็กถาวรจึงทำให้เกิดแรงผลักเข้าออกตามความแรง
ของสัญญาณเสียง (สัญญาณไฟฟ้าความถี่เสียง) จากเครือ่ งขยายเมื่อวอยซ์คอยล์เคลื่อนที่เข้า
ออกจะทำให้กรวยหรือไดอะแฟรมที่ติดอยกู่ ับวอยซ์คอยล์ส่ันเข้าออกอดั กับอากาศวอยซ์ดอยล์
จึงทำให้เกิดเป็นเสียงขึ้นมา วัสดุที่ใช้ทำไดอะแฟรมส่วนใหญ่จะใส่กระดาษหรือผ้า เนื่องจากมี
ราคาถกู นอกจากนี้มีการใช้วัสดอุ ื่นๆ อีก เพือ่ ม่งุ หวังที่จะใหล้ ำโพงได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด เช่น
อลมู ิเนยี ม แมกนีเซียม พลาสตกิ ดูราลมู ิน ดิราเนียม เบอริลเลียม และโพลิเมอร์ เปน็ ต้น

1.2 ลำโพงอิเลก็ โตรสแตติก (Electrostatic Loudspeaker)

ภาพที่ 7.41 ลำโพงอเิ ล็กโตรสแตตกิ

ภาพจาก : https://www.thebroadcastbridge.com/content/entry/9690/loudspeaker-technology-part-11-electrostatic-speakers

ภาพที่ 7.42 แผนผังแสดงโครงสร้างของลำโพงอเิ ลก็ โตรสแตตกิ
ภาพจาก : https://en.wikipedia.org/wiki/Electrostatic_loudspeaker

36

ลำโพงไฟฟ้าชนิดนีใ้ ช้ไดอะแฟรมพลาสติกบาง ๆ ทีอ่ ยู่ระหว่างแผ่นโลหะเจาะรูสองแผ่น
(กริดหรอื แผ่นสเตเตอร)์ สัญญาณเสียงถูกนำไปใช้กบั กริดนอกเฟส ในขณะทีเ่ ส้นตารางหนึ่งทำ
ให้ไดอะแฟรมดันส่วนอีกเส้นหนึ่งทำให้เกิดการดึงอากาศจึงเคลื่อนที่และสร้างเสียง เนื่องจาก
ระยะการเดินทางของไดอะแฟรมส้ันเมื่อเทียบกบั วอยซ์คอยล์ของลำโพงไดนามิกทั่วไปลำโพงอิ
เลก็ โตรสแตติก จงึ มคี วามผิดเพี้ยนนอ้ ยกว่ามาก พวกเขายงั บางมาก แตก่ ารตอบสนองของเบส
ไม่ดีเท่า หน่วยที่มีตัวขับเสียงกลางและความถี่สูงแบบไฟฟ้าสถิตรวม กับไดร์เวอร์เบสแบบได
นามิกถูกนำมาใช้กนั อย่างแพร่หลาย ตรงขา้ มกบั กบั ลำโพงไดนามิก (PCMAG DIGITAL GROUP,
2018) ซึ่งลำโพงนี้เป็นลำโพงที่ทำงานโดยแรงไฟฟ้าสถิตที่กระทำกับแผ่นตัวเก็บประจุ ดังที่เห็น
ได้จากโครงสร้างเนื่องจากขั้วบวกและขั้วลบหันหน้าเข้าหากันในรูปตัวเก็บประจุจึงเรียกอีก
อย่างว่าลำโพงแบบ capacitive ลำโพงอิเล็กโตรสแตติก มีวัสดุที่หนาและแข็งสองชนิดเป็นแผน่
ยึดซึ่งสามารถส่งเสียงผ่านแผ่นและแผ่นกลางใช้วัสดุที่บาง และเบาเป็นไดอะแฟรม (เช่นฟิล์ม
อลูมิเนียม) ไดอะแฟรมได้รับการแก้ไข และปรับความตึงเพื่อรักษาระยะห่างจากเสาคงที่แม้ใน
ไดอะแฟรมขนาดใหญ่ ไม่สัมผัสกับเสาคงที่ แรงดันไฟฟ้ากระแสตรงเดิม (เรียกว่าแรงดัน
ไบแอส) อยรู่ ะหวา่ งขั้วไฟฟ้าทั้งสองของลำโพงอเิ ล็กโตรสแตตกิ หากใช้แรงดันไฟฟ้าเสียงที่ออก
โดยแอมพลิฟายเออร์ระหว่างอเิ ลก็ โทรดท้ังสองจะทับซ้อนกบั แรงดันไฟฟ้าขาออกเดิมเพื่อสร้าง
แรงดันไฟฟ้ากะพริบสลับกัน แรงดันไฟฟ้าที่เต้นเป็นจังหวะนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง
ของแรงดงึ ดูดของช่องว่างสองขว้ั และไดอะแฟรมจะสน่ั เปน็ เสียง (MAONO, 2018)

หลกั การทำงานลำโพงชนิดน้ีแตกต่างจากลำโพงไดนามิคโดยสิน้ เชิงแต่จะทำงาน
คล้ายกับไมโครโฟนแบบคอนเดนเซอร์แต่ทำงานกลับกัน ลำโพงชนิดนี้ต้องใช้ไฟในการตรึงขั้ว
ในการใช้งานลำโพงชนิดนี้จะใช้ไฟฟ้ากระแสสลับหรือที่เรียกว่าไฟเอซี (A.C.) ผ่านหม้อแปลง
เพื่อลดแรงดันให้ต่ำลงแล้วแปลงเป็นไฟฟ้ากระแสตรง (D.C.) มาตรึงขั้วเพลทซึ่งเป็นลักษณะ
เหมือนคอนเดนเซอร์โดยมีขั้วหนึ่งติดแน่นอยู่กับที่และเพลตที่อิสระอีกขั้นหนึ่งซึ่งคิดอยู่กับ
ไดอะแฟรมส่ันสะเทือนเมื่อมีกระแสไฟจากเอาทพ์ ุทของ เครือ่ งขยายมาป้อนใหเ้ กิดเสียงได้ วัสดุ
ที่ใชท้ ำแผ่นไดอะแฟรมของลำโพงชนิดน้ีมสี ว่ นมาทำด้วยแผ่นอลูมิเนยี มบางๆ

ข้อดีของลำโพงอิเล็กโตรสแตติก คือ ระดับการบิดเบือนหนึ่งถึงสองคำสั่งของขนาดที่
ตำ่ กว่าไดรเวอร์รูปกรวยท่ัวไปในกล่อง น้ำหนักเบามากของไดอะแฟรมซึ่งขบั เคลือ่ นไปทั่วพื้นผิว
ทั้งหมดการตอบสนองความถี่ที่เป็นแบบอย่าง เนื่องจากหลักการของการสร้างแรงและความ
ดันนั้นแทบจะเป็นอิสระจากเรโซแนนซ์ซึ่งแตกต่างจากไดรเวอร์ไฟฟ้าพลศาสตร์ทั่วไปความ
โปร่งใส ของเสียงดนตรีอาจดีกวา่ ลำโพงแบบไดนามิกเนือ่ งจากพืน้ ผิวการแผ่รงั สีมีมวลน้อยกว่า
ไดรเวอร์อื่น ๆ มาก ดังนั้นจึงมีความสามารถในการกักเก็บพลังงานที่จะปล่อยออกมาใน

37

ภายหลังได้น้อยกว่ามาก ตัวอย่าง เช่น ไดรเวอร์ลำโพงไดนามิกทั่วไปสามารถมีมวลที่
เคลื่อนไหวได้หลายสิบหรือหลายร้อยกรัมในขณะที่เมมเบรนไฟฟ้าสถิตมีน้ำหนักเพียงไม่กี่
มิลลิกรัมซึ่งน้อยกว่าทวีตเตอร์ไฟฟ้าไดนามิกที่เบาที่สุดหลายเท่า ภาวะอากาศที่เกิดขึ้นพร้อม
กันซึ่งมักจะไม่มีนัยสำคญั ในลำโพงแบบไดนามิกมกั จะมีค่าหลายสิบกรมั เนื่องจากพื้นผิวข้อตอ่
ที่มีขนาดใหญ่จึงมีส่วนชว่ ยลดการสะสมของเรโซแนนซ์โดยอากาศได้อย่างมีนยั สำคัญแม้ว่าจะ
ไม่สมบูรณ์ก็ตาม ไฟฟ้าสถิตยังสามารถดำเนินการในรูปแบบเต็มช่วงโดยขาดฟิลเตอร์และ
เปลือกหมุ้ แบบครอสโอเวอร์ตามปกติทีอ่ าจทำให้สหี รอื บิดเบือนเสียงได้

เนื่องจากลำโพงไฟฟ้าสถิตจำนวนมากมีการออกแบบทีส่ ูงและบางโดยไม่มีกล่องหุ้มจึง
ทำหน้าที่เป็นแหล่งกำเนิดสายไดโพลในแนวตั้ง สิ่งนี้ทำให้พฤติกรรมทางเสียงในห้องค่อนข้าง
แตกต่างกนั เมอ่ื เทียบกับลำโพงไฟฟ้าไดนามิกทวั่ ไป โดยทว่ั ไปแล้วหม้อน้ำไดโพลแผงขนาดใหญ่
ต้องการตำแหน่งทางกายภาพที่เหมาะสมภายในห้องมากกว่าเมื่อเทียบกับลำโพงแบบกล่อง
ทั่วไป แต่เมื่ออยู่ที่นั่นมีโอกาสน้อยที่จะกระตุ้นให้เกิดเสียงสะท้อนในห้องที่ไม่ดีและตรงไปยัง
อัตราส่วนเสียงที่สะท้อนกลับจะสูงขึ้นโดยประมาณ 4-5 เดซิเบล [จำเป็นต้องอ้างอิง] สิ่งนี้จะ
นำไปสู่การสร้างการบันทึกเสียงสเตอริโอที่แม่นยำยิ่งขึ้นซึ่งมีข้อมูลสเตอริโอที่เหมาะสมและ
บรรยากาศของสถานที่จัดงาน ไดรเวอร์ Planar (แบน) มักจะมีทิศทางมากทำให้พวกเขามี
คุณภาพการถ่ายภาพที่ดีโดยมีเงื่อนไขว่าพวกเขาถูกวางไว้อย่างระมัดระวังเมื่อเทียบกับผู้ฟัง
และพืน้ ผิวทีส่ ะท้อนเสียงในห้อง [ตอ้ งการอา้ งองิ ] แผงโค้งได้ถกู สร้างข้ึนทำให้ ข้อกำหนดในการ
จัดวางมคี วามเข้มงวดน้อยลงเลก็ น้อย แต่ตอ้ งเสียสละความแม่นยำในการถ่ายภาพไปบ้าง

ข้อเสียทั่วไปของลำโพงชนิดนี้ ได้แก่ ความไวต่อระดับความชื้นโดยรอบและการไม่
ตอบสนองเสียงเบสเนื่องจากการยกเลิกเฟสจากการไม่มีกล่องหุ้ม [จำเป็นต้องอ้างอิง] แต่สิ่ง
เหล่านี้ไม่ได้ใช้ร่วมกันในการออกแบบทั้งหมด จุด 3db ของเบสโรลออฟเกิดขึ้นเมื่อขนาดแผงที่
แคบที่สุดเท่ากับหนึ่งในสี่ของความยาวคลื่นของความถี่การแผ่รังสีสำหรับไดโพลเรดิเอเตอร์
ดังนน้ั สำหรบั Quad ESL-63 ซึง่ มีความกว้าง 0.66 เมตรจะเกิดข้ึนที่ประมาณ 129 Hz ซึ่งเทียบ
ได้กับลำโพงบ็อกซ์หลายตวั ( คำนวณด้วยความเร็วของเสียงทีถ่ ่ายเป็น 343 m / s) นอกจากนี้
ยังมีความท้าทายทางกายภาพทีย่ ากลำบากในการสร้างความถี่ตำ่ ด้วยฟิล์มตึงแบบสั่นที่มีแอม
พลิจูดในการเดินทางเพียงเลก็ น้อย อยา่ งไรก็ตามเนอ่ื งจากไดอะแฟรมสว่ นใหญ่มีพื้นที่ผิวขนาด
ใหญ่มากเมื่อเทียบกับไดร์เวอร์แบบกรวยจึงจำเป็นต้องมีการทัศนศึกษาที่แอมพลิจูดขนาดเลก็
เทา่ นั้นเพือ่ ให้พลงั งานออกมาเปน็ จำนวนมาก ในขณะทีเ่ สียงเบสขาดในเชงิ ปริมาณ (เนื่องจากมี
การขับน้อยกว่าไดร์เวอร์แบบกรวย) มันอาจมีคุณภาพดีกว่า ('แน่นกว่า' และไม่มี 'เฟื่องฟู')
มากกว่าระบบไฟฟ้าไดนามิค (กรวย) การยกเลิกเฟสสามารถชดเชยได้บ้าง โดยการทำให้เท่า

38

เทียมกันทางอิเล็กทรอนิกส์ (ที่เรียกว่าวงจรเก็บเข้าลิ้นชักที่ช่วยเพิ่มพื้นที่ภายในแถบเสียงที่
ความดันเสียงที่สร้างขึ้นลดลงเนื่องจากการยกเลิกเฟส) อย่างไรก็ตามไม่สามารถเพิ่มระดับ
เสียงเบสสูงสุดได้เนื่องจากในที่สุดพวกมันจะถูก จำกัด โดยการเคลื่อนที่สูงสุดที่อนุญาตของ
เมมเบรนก่อนทีม่ นั จะเข้าใกล้สเตเตอร์ไฟฟ้าแรงสูงมากเกินไปซึง่ อาจทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าและ
ทำให้รูทะลุได้ [ต้องการอ้างอิง] เมื่อเร็ว ๆ นี้ในทางเทคนิคขั้นสูงมากขึ้น วิธีแก้ปัญหาสำหรับ
การรับรู้การขาดเสียงเบส ได้แก่ การใช้แผงโค้งขนาดใหญ่ (Sound-Lab, MartinLogan CLS),
แผงซับวูฟเฟอร์แบบไฟฟ้าสถิต (Audiostatic, Quad) และองค์ประกอบไฟฟ้าสถิตระยะไกลซึ่ง
ช่วยให้สามารถเคลื่อนย้ายไดอะแฟรมขนาดใหญ่ได้ (Audiostatic) เคล็ดลับอีกประการหนึ่งที่
มกั จะได้รบั การฝึกฝน คือการเพิม่ เสียงเบส (20–80 เฮิรตซ์) โดยมีอัตราสว่ นการเปลี่ยนแปลงที่
สูงกวา่ เสียงกลาง และเสียงแหลม (Wikipedia, 2021)

1.3 ลำโพงรบิ บอน (Ribbon Loudspeaker)

ภาพที่ 7.43 ลำโพงรบิ บอน
ภาพจาก : https://www.pinterest.com/pin/732257220644813579/
ไดอะแฟรมของลำโพงแบบริบบอนเป็นสื่อกระแสไฟฟ้าและอยู่ในตำแหน่งใน
สนามแม่เหล็กตามขวาง นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนที่ปลายแต่ละด้าน กระแสที่ไหลไป
ตามไดอะแฟรมจะสร้างแรงที่ตั้งฉากกับมัน กลไกนี้ก่อให้เกิดความไว้วางใจอย่างเท่าเทียมกัน
ในไดอะแฟรมซึ่งสามารถบาง และเบาได้มาก ซึ่งมีบางส่วนที่คล้ายคลึงกับลำโพงไฟฟ้าสถิตที่
ทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนอย่างเท่าเทียมกันบนพื้นผิวทั้งหมดของไดอะแฟรมแสง ทั้งสองระบบมี

39

ความจริงที่ว่ากลไกการถ่ายโอนข้อมลู เป็นเส้นตรงและมีลักษณะเฟสต่ำสดุ ที่ต้องการ อย่างไรก็
ตามมคี วามแตกต่างอย่างมากระหว่างทั้งสองอย่างเมื่อคุณพยายามนำหลักการไปสู่การปฏิบัติ
ลำโพงไฟฟ้าสถิตจะสร้างแรงขับในทิศทางเดียวกับสนามที่ใช้ (ไฟฟ้าสถิต) เพื่อให้ขนาด
ไดอะแฟรมมีขนาดใหญ่ตามที่ต้องการและลำโพงไฟฟ้าสถิตจะมีประสิทธิภาพมาก โดยลำโพง
แบบริบบอนสร้างแรงขับเคลื่อนไปยังสนามแม่เหล็ก (แม่เหล็ก) ที่กระทำ ซึ่งหมายความว่า
ไดอะแฟรมเป็นระนาบของเส้นสนามแม่เหล็ก เนื่องจากไดอะแฟรมมีความบางมาก
สนามแม่เหล็กเพียงส่วนเล็ก ๆ จะผา่ นเข้าไปได้ ปัญหาเพิม่ เติมคอื ชอ่ งว่างอากาศที่กว้างมากจะ
จำกัดความกว้างของไดอะแฟรมอย่างรุนแรง เนื่องจากช่องว่างมีความไม่เต็มใจสูงการรั่วไหล
จึงเป็นปัญหาร้ายแรง ในลำโพงแบบริบบิ้นของ Decca / Kelly“ London” ประสิทธิภาพของ
ช่องว่างน้อยกว่า 3% ปัญหาเหล่านี้หมายความว่าลำโพงริบบอนช่วงความถี่เต็มช่วงความถี่
เปน็ ไปไม่ได้ในขณะที่เป็นไปได้ดว้ ยเทคโนโลยีไฟฟ้าสถิต

ลำโพงแบบริบบอนต้องใช้หน่วยความถี่ต่ำแยกกัน อาจเป็นแบบแผ่โดยตรงหรือมีแตร
ลำโพงริบบอนแผ่โดยตรงต้องมีน้ำหนักมากเนื่องจากขนาดของระบบแม่เหล็กและไดรฟ์ที่
สมำ่ เสมอเหนือไดอะแฟรมทำใหเ้ กิดปัญหาการบงั คับทิศทางเนื่องจาก "ka" มีขนาดใหญ่เกินไป
ลำโพงแบบริบบิ้นแบบฮอร์นจะหลีกเลี่ยงปัญหานี้และสามารถให้ทิศทางที่ดีมาก ฮอร์นโหลด
ยังให้ประสิทธิภาพที่สอดคล้องกับทรานสดิวเซอร์คอยล์เคลื่อนที่แบบแผ่กระจายโดยตรง
อย่างไรก็ตามหากไม่ได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดีสีของฮอร์นอาจสูญเสียความชัดเจนโดย
ธรรมชาติของระบบการถา่ ยโอนริบบนิ้ ด้วยเหตุผลเหลา่ น้ที างเลือกสำหรับขดลวดเคลื่อนที่นี้จึง
ไมป่ ระสบความสำเร็จเทา่ ลำโพงอิเล็กโตรสแตตกิ (Soundbridge, 2019)

ลำโพงรบิ บอนจะใช้หลกั การทำงาน เชน่ เดียวกับลำโพงไดนามคิ หรอื ลำโพงขดลวด
เคลื่อนที่ (Dynamic Loudspeaker หรือ Moving Coil Loudspeaker) ซึ่งใช้อำนาจสนามแม่เหล็ก
เหนี่ยวนำกัน แต่แทนที่จะใช้ขดลวดกลับใช้โลหะบางๆ เหมือนริบบิ้น คืออลูมิเนียม แมกนีเซียม
อัลลอยด์ (Aluminium Magnesium Alloy) วางอยู่ระหว่างขั้วแม่เหล็กทั้งสอง และเมื่อ
สัญญาณไฟฟ้าความถีเ่ สียงป้อนเข้าที่ข้ัวของโลหะริบบอน ท้ังสองขวั้ จะทำให้เกิดการเหนี่ยวนำ
กบั อำนาจแม่เหลก็ แผ่นรบิ บอนนี้นอกจากจะทำหน้าที่เหนี่ยวนำกับสนามแม่เหล็กถาวรแล้วยัง
ทำหน้าที่เป็นไดอะแฟรมและฝาครอบไปในตัวด้วย ดังนั้นเมื่อแผ่นริบบอน เกิดการสั่นสะเทือน
จะเกิดกำลงั ส่วนอัดกับอากาศเป็นเสียงข้ึนมาได้ เนื่องจากลำโพงริบบอนมีขนาดเล็กจึงให้กำลัง
ออกน้อย ดังนั้นจึงใช้ลักษณะการถ่ายทอดเสียงทางอ้อมหรือที่เรียกว่าแบบฮอร์น (Horn Type)
ซึ่งจะช่วยให้เสียงดังแรงขึ้นกว่าเดิมมาก ลำโพงริบบอน เหมาะสำหรับความถี่เสียงระดับสูงๆ

40

เท่านั้น คือประมาณตั้งแต่ 3,000 – 20,000 Hz ดังนั้นจึงเหมาะที่จะใช้เป็นลำโพงเสียงแหลม
หรอื ทวีตเตอร์

การเลือกใช้วัสดุริบบิ้นสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการประสิทธิภาพ ถ้าคุณเพิ่มความ
หนาเปน็ สองเท่ากระแสไฟฟ้าจะไหลมากขึ้นเป็นสองเท่าคณุ จะเพิ่มกำลังและแรงที่สร้างขึ้นเป็น
สองเทา่ แต่ในกรณีนีม้ วลจะเพิ่มเป็นสองเท่าด้วยทำให้แอมพลิจดู เท่ากัน ประสิทธิภาพจะลดลง
ครึ่งหนึ่ง ดังนั้นไดอะแฟรมในอุดมคติจึงเป็นไดอะแฟรมที่บางที่สุดเท่าที่ความต้องการของ
โครงสร้างจะอนุญาต ไดอะแฟรมในทางปฏิบัติจะเป็นลูกฟูก สิ่งนี้จะเพิ่มความแข็งแกร่งตาม
ขวางและลดความถีเ่ รโซแนนซ์ แอมพลิจดู ที่ทำได้จะเปน็ ไปตามการปนั ส่วนของมวลปัจจบุ นั แต่
กำลงั ที่ต้องการจะเป็นผลคูณของกระแสและความต้านทาน ดังนน้ั ประสิทธิภาพสงู สุดมาพร้อม
กบั วัสดไุ ดอะแฟรมทีม่ ีผลคูณความตา้ นทานและความหนาแนน่ น้อยทีส่ ุด

ภาพที่ 7.44 ลำโพงริบบอน
ภาพจาก : https://www.pinterest.com/pin/732257220644813579/
สิ่งที่อาจสังเกตเห็นในภาพนี้ คือ แถบอลูมิเนียมเงา นั่นคือริบบิ้นซึ่ง ริบบิ้นเคลื่อนย้าย
อากาศโดยใช้ชื่อของพวกมัน โดยทั่วไปแล้วริบบิ้นที่เคลื่อนย้ายได้ทำมาจากอลูมิเนียมฟอยล์ที่
บางและเบามากซึ่งเปน็ แถบเรียบๆทีม่ ที ั้งแบบตรงหรอื แบบจบี (ริบบิน้ แบบดั้งเดิม) หรือแบบพับ
(AMT) ริบบิ้นยึดแน่นทั้งด้านบนและด้านล่างและเลื่อนไปตามขอบได้อย่างอิสระ ขอบเหล่านั้น
ล้อมรอบด้วยแมเ่ หล็กอันทรงพลัง เช่นเดียวกบั วอยซค์ อยลข์ องไดรเวอรท์ ่ัวไปกำลงั จากแอมพลิ
ฟายเออร์จะถูกนำไปใช้กับริบบิ้นโลหะซึ่งจะทำให้เกิดสนามแม่เหล็ก ดังที่เราจำได้ว่า
สนามแม่เหล็กเคลื่อนที่นี้ต่อต้านและดึงดูดแม่เหล็กถาวรที่อยู่ด้านข้างและทำให้มันเคลื่อนที่
กดดนั อากาศ และเราก็ได้ยินเสียงดนตรี

41

ภาพที่ 7.45 – 7.46 ลำโพงริบบอน
ภาพจาก : https://www.psaudio.com/pauls-posts/how-a-ribbon-speaker-works/

“แผ่นขั้ว” เป็นแม่เหล็ก สังเกตหม้อแปลงที่ป้อนโดยเครื่องขยายเสียง จำเป็นต้องใช้
หม้อแปลงนี้เพื่อขจัดปัญหา Apogee ของอิมพีแดนซ์ตำ่ คุณจะเห็นว่าริบบิ้นเป็นโลหะที่สั้นมาก
และมีความต้านทานต่ำ การใช้หม้อแปลงที่ตรงกันจะทำให้อิมพีแดนซ์อยู่ในระดับที่ยอมรับได้
มากขึ้นสำหรับเพาเวอร์แอมป์ โดยหลายปีก่อนไดร์เวอร์ริบบอนที่มีชื่อเสียงที่สุดตัวหนึ่งผลิต
โดย บริษัท องั กฤษ Decca นี่คอื ภาพของรบิ บิน้ จรงิ ที่ใช้ในทวีตเตอร์ Decca และ ริบบนิ้ เป็นแถบ
ตรงกลางที่จับจีบ ด้านบนและด้านล่างที่มีรูเป็นจุดที่สายไฟที่เชื่อมต่อกับเพาเวอร์แอมป์จะ
บัดกรี (Paul McGowan, 2018)

2. แบ่งตามความสามารถในการเปลง่ ความถี่เสียง
การแบง่ ลำโพงในลกั ษณะนี้ถือความสามารถของลำโพงที่สามารถเปล่งเสียง
อยใู่ นยา่ นความถี่เสียงเชน่ ไร

2.1 ลำโพงเสียงทุ้ม หรือที่เรียกวา่ วูฟเฟอร์ (Woofer)

ภาพที่ 7.47 ลำโพงเสียงทุ้ม หรอื ที่เรยี กวา่ วูฟเฟอร์

ภาพจาก : https://www.lazada.co.th/products/aiyima-65-inch-woofer-audio-speaker-high-power-music-diy-sound-
speakers-4-8-ohm-80-w-column-rubber-side-subwoofer-loudspeaker-i1601232662.html

42

วูฟเฟอร์ หรือลำโพงเบสเป็นคำศัพท์ทางเทคนิคสำหรับไดรเวอร์ลำโพงที่ออกแบบมา
เพื่อให้เกิดเสียงความถี่ต่ำโดยปกติจะอยู่ที่ 50 Hz ถึง 1,000 Hz ชื่อนี้มาจากคำภาษาอังกฤษที่
สร้างคำเลียนเสียงสำหรับสุนัขเห่า (ตรงกันข้ามกับชื่อที่ใช้สำหรับลำโพงที่ออกแบบมาเพื่อ
สร้างเสียงความถี่สูงทวีตเตอร์) การออกแบบที่พบบ่อยที่สุดสำหรับวูฟเฟอร์คือไดรเวอร์ไฟฟ้า
ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้กรวยกระดาษแข็งขับเคลื่อนด้วยวอยซ์คอยล์ที่ล้อมรอบด้วยสนามแม่เหล็ก
วอยซ์คอยล์ถูกยึดด้วยกาวที่ด้านหลังของกรวยลำโพง วอยซ์คอยล์และแม่เหล็กก่อตัวเป็น
มอเตอร์ไฟฟ้าเชิงเส้น เมื่อกระแสไหลผ่านวอยซ์คอยล์ขดลวดจะเคลื่อนที่โดยสัมพันธ์กับเฟรม
ตามกฎมือซ้ายของเฟลมมิ่งสำหรับมอเตอร์ทำให้ขดลวดดันหรือดึงบนกรวยขับในลักษณะ
คล้ายลูกสูบ การเคลื่อนที่ของกรวยทำให้เกิดคลื่นเสียงเมื่อมันเคลื่อนที่เข้า และออก ที่ระดับ
ความดันเสียงธรรมดา (SPL) มนุษย์ส่วนใหญ่สามารถได้ยินเสียงต่ำลงประมาณ 20 เฮิรตซ์
โดยทั่วไปแล้ววูฟเฟอร์จะใช้เพื่อปกปิดช่วงความถี่ของลำโพงทีต่ ่ำที่สุด ในระบบลำโพงสองทาง
ไดรเวอร์ที่จัดการความถีต่ ่ำจะต้องครอบคลมุ ส่วนทีส่ ำคัญของเสียงกลางซึง่ มักจะสูงถึง 2,000
ถึง 5,000 เฮิรตซ์ ไดรเวอร์ดังกล่าวมักเรียกว่าวูฟเฟอร์กลาง ตั้งแต่ปี 1990 วูฟเฟอร์ชนิดหนึ่ง
(เรียกว่าซับวูฟเฟอร์) ซึ่งออกแบบมาสำหรับความถี่ต่ำมากเท่านั้นได้ถูกนำมาใช้โดยทั่วไปใน
ระบบโฮมเธียเตอร์และระบบ PA เพื่อเพิ่มการตอบสนองของเสียงเบส พวกเขามกั จะจัดการกับ
คา่ ออ็ กเทฟสองหรอื สามทีต่ ่ำทีส่ ุด (เชน่ จากต่ำสดุ ถึง 20 ถึง 80 หรอื 120 เฮิรตซ)์ เป็นลำโพงที่
สามารถเปลง่ ความถี่เสียงย่านความถี่ต่ำได้ดี ตัวลำโพงมักจะมีขนาดใหญ่ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมี
ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 6 นิ้วขึ้นไป ลำโพงวูฟเฟอร์นี้สามารถเปล่งเสียงได้ตั้งแต่ช่วง
ความถี่เสียง 50 – 250 Hz ทั้งนี้อาจจะมีแตกต่างกันบ้างแล้วแต่โรงงานผู้ผลิต (Wikipedia,
2021)

ข้อมูลจำเพาะของวูฟเฟอร์ที่สำคัญคือระดับกำลังไฟปริมาณพลังงานที่วูฟเฟอร์
สามารถจดั การได้โดยไมเ่ กิดความเสียหาย การจดั อนั ดับพลังงานไฟฟ้าไม่ได้มีลักษณะที่ชัดเจน
และผู้ผลิตหลายรายอ้างถึงการให้คะแนนสูงสุดที่สามารถทำได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้นโดยไม่
เกิดความเสียหาย การจัดอันดับกำลังของวูฟเฟอร์มีความสำคัญเมื่อผลักลำโพงจนสุดขั้ว
แอพพลิเคชั่นที่ต้องการเอาต์พุตสูงเงื่อนไขการโอเวอร์โหลดของแอมพลิฟายเออร์สัญญาณที่
ผิดปกติ เช่นสัญญาณที่ไม่ใช่เสียงดนตรี ความถี่ต่ำมากซึ่งกล่องหุ้มให้การโหลดอะคูสติกเพียง
เล็กน้อยหรือไม่มีเลย ดังนั้นจะเป็นการเดินทางแบบกรวยสูงสุด หรือความล้มเหลวของเครื่อง
ขยายเสียง ในสถานการณ์ที่มีระดับเสียงสูงวอยซ์คอยล์ของวูฟเฟอร์จะร้อนขึ้นและเพิ่มความ
ต้านทานทำให้เกิด "การบีบอัดกำลัง" ซึ่งเป็นสภาวะที่ระดับพลังเสียงที่สง่ ออกลดลงหลังจากมี
การใช้พลังงานสูง การให้ความร้อนเพิ่มเติมอาจทำให้ขดลวดเสียงบิดเบี้ยวทางกายภาพทำให้

43

เกิดการครูดการลัดวงจรเนื่องจากฉนวนสายไฟเสื่อมสภาพหรือความเสียหายทางไฟฟ้าหรือ
ทางกลอื่น ๆ พลังงานอิมพัลส์ฉับพลันสามารถละลายส่วนของสายวอยซ์คอยล์ทำให้เกิดวงจร
เปิด และวูฟเฟอร์ที่ตายได้ ระดับที่จำเป็นจะแตกต่างกันไปตามคุณลักษณะของผู้ขับขี่ ใน
แอปพลิเคชั่นเพลงระดับการฟังปกติระดับพลังงานไฟฟ้าของวูฟเฟอร์มักไม่สำคัญ มันยังคงมี
ความสำคัญสำหรบั ไดรเวอร์ความถีส่ ูง

การจัดการพลังงานในตัวขับลำโพงมีสามประเภท ได้แก่ วูฟเฟอร์ ความร้อน (ความ
ร้อน), ไฟฟ้า (ทั้งสองด้านที่อยู่ด้านบน) และแบบกลไก ถึงขีด จำกัด การจัดการกำลังทางกล
เมื่อการเดินทางแบบกรวยขยายไปถึงขีด จำกัด สูงสุด อาจถึงขีด จำกัด การจัดการพลังงาน
ความรอ้ นเมื่อระดับพลังงานทีค่ ่อนข้างสูงถกู ป้อนใหก้ บั วูฟเฟอร์เปน็ เวลานานเกินไปแม้ว่าจะไม่
เกินขีด จำกัด เชิงกลเมื่อใดก็ตาม พลังงานส่วนใหญ่ที่ใช้กับวอยซ์คอยล์จะถูกแปลงเป็นความ
ร้อนไม่ใช่เสียง ในที่สุดความร้อนทั้งหมดจะถูกส่งผ่านไปยังชิ้นส่วนของเสาส่วนที่เหลือของ
โครงสร้างแม่เหล็กและเฟรม จากโครงสร้างวูฟเฟอร์ในที่สุดความร้อนจะกระจายสู่อากาศ
โดยรอบ ไดรเวอร์บางตัวมีข้อกำหนดสำหรับการระบายความร้อนที่ดีขึ้น เช่น ชิ้นส่วน
ขั้วแม่เหล็กที่มีช่องระบายอากาศโครงสร้างการนำความร้อนเฉพาะ เพื่อลดอุณหภูมิของ
ขดลวด แม่เหล็ก เฟรมที่เพิ่มขึ้นระหว่างการทำงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะระดับพลังงาน
สูง ถ้าวอยซ์คอยล์ใช้พลงั งานมากเกินไปเมื่อเทียบกับความสามารถในการระบายความร้อนใน
ที่สุดก็จะเกินอุณหภูมิที่ปลอดภัยสูงสุด กาวสามารถละลายวอยซ์คอยล์เดิมสามารถละลาย
หรือบิดเบี้ยวหรือฉนวนที่แยกขดลวดวอยซ์คอยล์ล้มเหลวได้ แต่ละเหตุการณ์เหล่านี้จะสร้าง
ความเสียหายใหก้ บั วูฟเฟอรซ์ ึง่ อาจจะเกินความสามารถในการใชง้ าน (Wikipedia, 2021)

วูฟเฟอร์ที่ออกแบบมาสำหรับระบบเสียงประกาศสาธารณะ (PA) และแอพพลิเคช่ัน
เครื่องขยายเสียงมีลักษณะคล้ายกับ วูฟเฟอร์เครื่องเสียงสำหรับใช้ในบ้านยกเว้นว่าพวกเขา
มักจะออกแบบมาให้ทนทาน โดยทั่วไปความแตกต่างของการออกแบบ ได้แก่ ตู้ที่สร้างขึ้น
สำหรับการขนส่ง และ การขนถ่ายซ้ำ ๆ กรวยวูฟเฟอรข์ นาดใหญ่ขนึ้ เพื่อใหร้ ะดบั ความดันเสียง
ที่สูงขึ้นคอยล์เสียงที่แข็งแกร่งมากขึ้นเพื่อทนต่อกำลังไฟที่สูงขึ้นและความแข็งของระบบกัน
สะเทือนที่สูงขึ้น โดยทั่วไปแล้ววูฟเฟอร์สำหรับใช้ในบ้านที่ใช้ในแอพพลิเคชั่น PA เครื่องดนตรี
อาจล้มเหลวได้เร็วกว่าวูฟเฟอร์ PA เครื่องดนตรี ในทางกลับกันวูฟเฟอร์ PA เครื่องดนตรีใน
แอปพลิเคชันเครื่องเสียงสำหรับใช้ภายในบ้านจะมีคุณภาพของประสิทธิภาพไม่เท่ากัน
โดยเฉพาะในระดับเสียงต่ำ วูฟเฟอร์ PA จะไม่ให้เสียงที่มีความเที่ยงตรงสูงเหมือนกันซึ่งเป็น
เป้าหมายของเครื่องเสียงสำหรับใช้ภายในบ้านคุณภาพสูงเนื่องจากความแตกต่างเหล่านั้น
โดยทัว่ ไปแล้ววูฟเฟอร์ระบบ PA จะมีประสิทธิภาพสูงและความสามารถในการจัดการพลังงาน

44

สูง การแลกเปลี่ยนเพื่อประสิทธิภาพสูงด้วยต้นทุนที่สมเหตุสมผลมักจะมีความสามารถในการ
เดินทางที่ค่อนข้างต่ำ กล่าวคือไม่สามารถเคลื่อนย้าย "เข้าและออก" ได้เท่าที่วูฟเฟอร์ในบ้าน
จำนวนมากสามารถทำได้ เนื่องจากมีไว้สำหรับแตรหรือเปลือกสะท้อนขนาดใหญ่ พวกเขา
มักจะไม่เหมาะกับการตอบสนองเสียงเบสต่ำที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการตอบสนองความถี่ต่ำคู่
สุดท้ายจะเพิ่มขนาดและค่าใช้จ่ายอย่างมากและไม่ประหยัดมากขึ้นที่จะพยายามในระดับสูง
เช่นเดียวกับในแอปพลิเคชัน PA วูฟเฟอร์สเตอริโอสำหรับใช้ในบ้านเนื่องจากใช้ในระดบั เสียงที่
ค่อนข้างตำ่ อาจรองรับความถี่ที่ต่ำมากได้ ด้วยเหตุน้วี ูฟเฟอร์ PA สว่ นใหญ่จึงไม่เหมาะอย่างยิ่ง
ทีจ่ ะใช้กับแอพพลิเคช่นั ภายในบ้านคณุ ภาพสูงที่มคี วามเที่ยงตรงสูง (Wikipedia, 2021)

วูฟเฟอร์ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับช่วงความถี่ต่ำ (คลื่นเสียง) สำหรับระบบลำโพง และมี
หลายประเภทขึ้นอยู่กับความต้องการ แมว้ า่ ท้ังหมดจะสร้างข้ึนในลกั ษณะเดียวกัน แต่ก็มีความ
แตกตา่ งที่ชดั เจนระหว่างแต่ละประเภท (BRADY GAVIN, 2018)

2.1.1. วูฟเฟอร์มาตรฐาน (Standard Woofer)
วูฟเฟอร์มาตรฐานสร้างความถี่ตั้งแต่ 20 Hz ถึง 2,000 Hz (2
กิโลเฮิรตซ์หรือ 2 กิโลเฮิรตซ์) วูฟเฟอร์มักมีลักษณะเสียงเบสซึ่งมาจากคลื่นไซน์ความถี่ต่ำ
โดยทั่วไปคุณจะเห็นวูฟเฟอร์มาตรฐานเป็นส่วนหนึ่งของลำโพงระดับไฮเอนด์ที่ มีทั้งวูฟเฟอร์
และทวีตเตอร์ (การตง้ั คา่ ที่เรยี กว่าลำโพง 2 ทาง) หรอื วูฟเฟอร์ทวีตเตอรแ์ ละลำโพงระดับกลาง
(การตง้ั คา่ ที่เรยี กวา่ 3 - ลำโพงทางเดิน)
2.1.2. ซับวูฟเฟอร์ (Subwoofer)
ซับวูฟเฟอร์สามารถสร้างโทนเสียงที่ต่ำกว่า 200 เฮิรตซ์ใน
ระบบผบู้ ริโภคเท่าน้ัน พวกเขาประกอบด้วยวฟู เฟอร์อย่างน้อยหนึง่ ชิ้นซึ่งมักจะติดตั้งอยู่ภายใน
คอกไม้ แมว้ า่ หขู องมนุษยจ์ ะสามารถรับความถี่ได้ต่ำถึง 12 Hz แต่ซบั วูฟเฟอรท์ ี่ทำงานทีค่ วามถี่
ต่ำจะสามารถสัมผัสได้หากไม่ได้ยิน ซับวูฟเฟอร์เป็นส่วนเสริมที่พบบ่อยที่สุดในการตั้งค่า
ลำโพงสำหรับผู้บริโภค โดยทั่วไปแล้วพวกมันจะถูกวางไว้ในตู้แยกของตัวเองและให้การ
กระแทกระดับต่ำทีค่ ณุ ไม่สามารถทำได้ดว้ ยวฟู เฟอร์มาตรฐาน
2.1.3. มิดวูฟเฟอร์ (Midwoofer)
มิดวูฟเฟอร์ลงจอดตรงกลางของช่วง "วูฟเฟอร์" โดยมาจาก
200 Hz -5 kHz ด้วยความถี่ทีห่ ลากหลายเชน่ นลี้ ำโพงนีจ้ ะให้คณุ ภาพเสียงที่ดีที่สุดตั้งแต่ 500
Hz-2kHz และเริ่มเสื่อมลงที่ปลายด้านใดด้านหนึ่งของสเปกตรมั

45

2.1.4. วฟู เฟอร์แบบหมุน (Rotary Woofer)
วูฟเฟอร์แบบหมุนเป็นลำโพงแบบวูฟเฟอร์ที่ใช้การเคลื่อนที่
ของขดลวดเพื่อเปลี่ยนระดับเสียงของใบพัดลมแทนที่จะใช้รูปทรงกรวย เนื่องจากแอมพลิฟาย
เออรเ์ สียงเปลี่ยนระดบั เสียงของใบพัดจึงต้องใช้พลงั งานน้อยกว่าซับวฟู เฟอรท์ ั่วไปมาก พวกเขา
ยังเหนือกว่ามากในการสร้างเสียงที่ตำ่ กว่า 20 เฮิรตซ์ซึง่ ตำ่ กว่าระดับการได้ยินของมนษุ ยป์ กติ
สามารถสร้างความถีไ่ ด้ถึง 0 เฮิรตซโ์ ดยการบีบอดั อากาศในห้องปิด
ในการตง้ั ค่าลำโพงสำหรบั ผู้บริโภคสว่ นใหญ่คณุ มีแนวโน้มที่
จะพบวฟู เฟอร์มาตรฐานเป็นส่วนหน่งึ ของลำโพงหลกั และอาจเปน็ ซบั วูฟเฟอร์เพิ่มเตมิ แต่แยก
ตา่ งหาก ซึง่ แยกจำแนกออกมาได้ถึง 6 รุ่น ดังนี้
1. เปเปอรโ์ คน (Paper Cone)

ภาพที่ 7.48 เปเปอรโ์ คน
ภาพจาก : https://car.kapook.com/view125221.html
วูฟเฟอร์กรวยกระดาษ ทำจากวัสดุประเภทกระดาษเคลือบน้ำยา มีน้ำหนักเบา คงรูป
ได้ดี สลายคลื่นสั่นค้างได้ดี ความเพี้ยนต่ำ มีใช้กันมาตั้งแต่ยุคแรกจนถึงปัจจุบัน ใช้ผลิตตั้งแต่
ลำโพงเดิม OEM ที่ติดมากับรถ ไปจนถึงลำโพง After Market ที่แข่งขันกันในตลาดตอนนี้ ซึ่งมี
ราคาไมก่ ี่บาท จนไปถึงหลายหม่นื บาท

46

2. อะลมู ิเนยี มอัลลอยโคน (Aluminium alloy Cone)

ภาพที่ 7.49 อะลมู ิเนยี มอลั ลอยโคน
ภาพจาก : https://car.kapook.com/view125221.html
อะลมู ิเนยี มอลั ลอยโคน หรอื วฟู เฟอรก์ รวยอะลูมิเนียม โดยตัวกรวยมีความแข็งแรงสูง
ทนตอ่ ทุกสภาวะอากาศ และอุณหภูมิ ระบายความร้อนจากวอยซค์ อยล์ได้ดี เพราะทำจากวัสดุ
โลหะอะลูมิเนียม ซึ่งจะมีน้ำหนักค่อนข้างมาก มีบุคลิกเสียงที่ให้น้ำหนักของเสียงทุ้มได้ดี
กระชับ ทรงพลงั เกบ็ ตวั ดี ไมส่ น่ั ไม่ครางมากนัก

3. แมก็ นีเซียมโคน (Magnesium Cone)

ภาพที่ 7.50 แมก็ นีเซียมโคน
ภาพจาก : https://car.kapook.com/view125221.html
วฟู เฟอร์กรวยแมก็ นีเซียม ลกั ษณะตัวดอกลำโพงจะคล้ายพลาสติก แตม่ ีความแข็งแรง
คงรูปได้ดี ไม่มีการบิดตัว และทนทานมากกว่า แต่ค่อนข้างจะเปลืองไฟ เพราะกินวัตต์สูง ซึ่งก็
แลกกับบคุ ลิกเสียงที่ได้มาทีม่ ที ั้งหนักแน่น กระชับ เก็บตวั ดี

47

4. เคฟลารโ์ คน (Kevlar Cone)

ภาพที่ 7.51 เคฟลาร์โคน
ภาพจาก : https://car.kapook.com/view125221.html
เคฟลาร์โคน หรือ วูฟเฟอร์กรวยเคฟลาร์ ใช้วัสดุที่ผลิตมาสานกัน และเคลือบน้ำยา มี
น้ำหนักค่อนข้างเบากว่าทุกรุ่น แต่ก็แข็งแรงทนทาน สามารถสลายคลื่นสั่นค้างได้ดี เพราะ
ผิวหน้าของกรวยไม่เรียบราบ สำหรับบุคลิกเสียงที่ได้ คือ ขับง่าย รายละเอียดชัดเจน เสียง
โปร่งฟังสบาย มีความฉบั พลนั ของเสียงที่สูง มีไดนามิกของเสียงดี กินวัตตน์ ้อย

5. โพลีโพรไพลีนโคน (Polypropylene Cone)

ภาพที่ 7.52 โพลีโพรไพลีนโคน
ภาพจาก : https://car.kapook.com/view125221.html
โพลีโพรไพลีนโคน หรือ กรวยลำโพงโพลีโพรไพลีน นำเอาทุกข้อดีของวัสดุต่าง ๆ มา
ผลิตรวมกัน คือ น้ำหนักเบา สลายคลื่นสั่นค้างได้ดี ลำโพงไม่กินวัตต์ ขับง่าย แต่เนื้อเสียงอาจ

48

เปลี่ยนแปลงไปตามวัสดุที่นำมาผสม เช่น โพลีโพรไพลีนผสมกับคาร์บอน ฯลฯ และมันไม่ค่อย
ทนต่อการเปลี่ยนแปลงทางอณุ หภมู ิซักเทา่ ไร กรวยไม่คงรปู อาจบิดงอได้งา่ ย

6. คอมโพไซตโ์ คน (Composites cone)

ภาพที่ 7.53 คอมโพไซตโ์ คน
ภาพจาก : https://car.kapook.com/view125221.html
คอมโพไซตโ์ คน หรอื กรวยลำโพงวัสดุผสมใช้เทคโนโลยีการผลิตช้ันสูง ด้วยการนำเอา
วัสดุต่างชนิดมาผสมกัน และผลิตเป็นกรวยลำโพง ราคาจึงแพงมากแต่มันสามารถแก้ไขจุด
ด้อยของลำโพงที่กล่าวมาแล้วทั้ง 5 แบบได้ดีพอสมควร โดยเนื้อเสียงที่ออกมานั้นก็มี
หลากหลาย ทั้งเสียงเบสที่นุ่มลึก ฟังไพเราะ จังหวะต่าง ๆ ชัดเจน ซึ่งบุคลิกที่ต้องการจะเป็น
แบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบในดอกลำโพงด้วยเช่นกัน แต่หลัก ๆ ที่สำคัญก็คือกรวย
ลำโพงนนั่ เอง

2.2 ลำโพงเสียงทุ้มต่ำ หรอื ทีเ่ รยี กว่าซบั วฟู เฟอร์ (SubWoofer)

ภาพที่ 7.54 ลำโพงเสียงทุ้มต่ำ

ภาพจาก : https://www.droking.com/Subwoofer-Speakers-5.25-inch-4-ohms-Shocking-Bass-Loudspeaker-40W-
Woofer-Speaker-Double-magnetic-Speaker-for-DIY-speakers

49

ซบั วฟู เฟอร์ (หรอื ซับวฟู เฟอร์) เป็นลำโพงที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความถี่เสียงย่านต่ำที่
เรียกว่าเบสและซับเบสโดยมีความถี่ต่ำกว่าความถี่ที่วูฟเฟอร์สามารถสร้างได้ (อย่างเหมาะสม
ที่สุด) ช่วงความถี่ทั่วไปสำหรับซับวูฟเฟอร์คือประมาณ 20–200 Hz สำหรับผลิตภัณฑ์อุปโภค
บริโภค ต่ำกว่า 100 Hz สำหรับเสียงสดระดับมืออาชีพ และต่ำกว่า 80 Hz ในระบบทีไ่ ด้รับการ
รับรอง THX ไม่เคยใช้ซับวูฟเฟอร์เพียงอย่างเดียวเนือ่ งจากมีจุดประสงคเ์ พื่อเพิ่มช่วงความถี่ตำ่
ของลำโพงที่ครอบคลุมยา่ นความถีท่ ี่สูงข้ึน ในขณะทีค่ ำว่า "ซับวูฟเฟอร"์ ในทางเทคนิคหมายถึง
ตวั ขับเสียงเท่านั้นในสำนวนทั่วไปคำนีม้ ักหมายถึงไดรเวอร์ซับวูฟเฟอร์ที่ติดตั้งอยู่ในตู้ลำโพงซึ่ง
มักจะมีเครอื่ งขยายเสียงในตัว ซับวูฟเฟอรป์ ระกอบด้วยวูฟเฟอรอ์ ย่างน้อยหนึง่ ตัวที่ติดต้ังอยู่ใน
ตู้ลำโพงซึ่งมักทำจากไม้สามารถทนตอ่ แรงกดอากาศได้ในขณะทีต่ ้านทานการเสียรูป กล่องหุ้ม
ซับวูฟเฟอร์มีให้เลือกหลายแบบเช่นเบสรีเฟล็กซ์ (พร้อมพอร์ตหรือช่องระบายอากาศ) การใช้
ซับวูฟเฟอร์และลำโพงพาสซีฟหม้อน้ำหนึ่งตัวหรือมากกว่าในตัวเครื่องระบบกันสะเทือน
แบบอะคูสติก (กลอ่ งปิดผนึก) แผน่ กั้นแบบไม่มีทีส่ ิน้ สุดฮอร์นโหลดฮอร์นเคาะ , สายส่ง, แบนด์
พาสหรือการออกแบบไอโซบาริกซึ่งแสดงถึงการแลกเปลี่ยนที่ไม่เหมือนใครเกี่ยวกับ
ประสิทธิภาพช่วงความถี่ต่ำขนาดตู้และต้นทุน ซับวูฟเฟอรแ์ บบพาสซีฟมีตัวขับซับวูฟเฟอร์และ
กล่องหุ้มและใช้พลังงานจากแอมพลิฟายเออร์ภายนอก ซับวูฟเฟอร์แบบแอคทีฟประกอบด้วย
แอมพลิฟายเออร์ในตัว

ซับวูฟเฟอร์เครื่องเสียงสำหรับบ้านตัวแรกได้รับการพัฒนาในปี 1960 เพื่อเพิ่มการ
ตอบสนองเสียงเบสให้กับระบบสเตอริโอในบ้าน ซับวูฟเฟอร์ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง
ทศวรรษ 1970 ด้วยการนำ Sensurround มาใช้ในภาพยนตร์เช่นแผ่นดินไหวซึ่งให้เสียงความถี่
ต่ำดังผ่านซับวูฟเฟอร์ขนาดใหญ่ ด้วยการถือกำเนิดของตลับเทปขนาดกะทัดรัดและคอมแพค
ดิสก์ในช่วงทศวรรษที่ 1980 การสร้างเสียงเบสที่หนักแน่นและดังขึ้นไม่ได้ถูกจำกัด ด้วย
ความสามารถของสไลด์แผน่ เสียงเพือ่ ตดิ ตามร่องอกี ตอ่ ไป และผผู้ ลติ สามารถเพิ่มความถี่ต่ำได้
มากขึ้น เนื้อหาในการบันทึก เช่นกันในช่วงทศวรรษ 1990 ดีวีดีได้รับการบันทึกมากขึ้นด้วย
กระบวนการ "เสียงรอบทิศทาง" ซึ่งรวมถึงช่องเอฟเฟกต์ความถี่ต่ำ (LFE) ซึ่งสามารถรับฟังได้
โดยใช้ซบั วฟู เฟอร์ในระบบโฮมเธียเตอร์ ในช่วงทศวรรษที่ 1990 ซับวูฟเฟอร์ยังได้รับความนิยม
มากขึ้นในระบบสเตอริโอในบ้านการติดตั้งเครื่องเสียงรถยนต์แบบกำหนดเองและในระบบ PA
ในชว่ งปี 2000 ซับวูฟเฟอร์กลายเป็นสากลในระบบเสริมกำลังเสียงในไนท์คลบั และสถานที่จัด
คอนเสิรต์

ซับวูฟเฟอร์ใช้ตัวขับเสียง (วูฟเฟอร์) โดยทั่วไปจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางระหว่าง 8 นิ้ว
(20 ซม.) และ 21 นิว้ (53 ซม.) ซบั วฟู เฟอรท์ ีไ่ มธ่ รรมดาบางตัวใช้ไดรเวอรท์ ี่ใหญ่กว่าและมีการ

50

ประดิษฐ์ซับวูฟเฟอร์ต้นแบบเดียวที่มีขนาดใหญ่ถึง 60 นิ้ว (152 ซม.) ที่ปลายสเปกตรัมที่เล็ก
กว่าอาจใช้ไดรเวอร์ซับวูฟเฟอร์ที่มีขนาดเล็กถึง 4 นิ้ว (10 ซม.) ตัวขับซับวูฟเฟอร์ขนาดเล็ก
ในช่วง 4 นิ้วมักใช้ในระบบลำโพงคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กและตู้ซับวูฟเฟอร์โฮมเธียเตอร์ขนาด
กะทัดรัด ขนาดของไดรเวอร์และจำนวนไดรเวอร์ในตู้ขึ้นอยู่กับการออกแบบของโครงลำโพง
ขนาดของตู้ระดับความดันเสียงที่ต้องการความถี่ต่ำสุดที่กำหนดเป้าหมายและระดับความ
ผิดเพี้ยนที่อนุญาต ขนาดไดรเวอร์ซับวูฟเฟอรท์ ีพ่ บบ่อยทีส่ ุดที่ใช้สำหรบั การเสริมสร้างเสียงใน
ไนท์คลับงานรื่นเริงและคอนเสิร์ตป๊อป / ร็อคคือรุ่น 10-, 12-, 15- และ 18 นิ้ว (25 ซม., 30
ซม., 38 ซม. และ 45 ซม. ตามลำดบั ) ซบั วูฟเฟอร์เสริมแรงเสียงที่ใหญท่ ี่สุดที่มีอยูไ่ ดรเวอร์ 21
นิว้ (53 ซม.) มใี ห้เหน็ นอ้ ยกวา่

โดยทั่วไปซับวูฟเฟอร์จะสร้างขึ้นโดยการติดตั้งวูฟเฟอร์หนึ่งตัวขึ้นไปในตู้ของไฟเบอร์
บอร์ดความหนาแน่นปานกลาง (MDF) ไฟเบอร์บอร์ดแบบเน้นเส้น (OSB) ไม้อัด ไฟเบอร์กลาส
อลูมิเนยี มหรอื วสั ดุที่มคี วามแข็งอ่นื ๆ เนื่องจากความดันอากาศสูงทีเ่ กิดขึน้ ในตู้โครงของซับวูฟ
เฟอร์จึงมักต้องการการค้ำยันภายในเพื่อกระจายแรงที่เกิดขึ้น ซับวูฟเฟอร์ได้รับการออกแบบ
โดยใช้วิธีการหลายแบบ แบบสะท้อนเสียงเบส (พร้อมพอร์ตหรือช่องระบายอากาศ) การใช้
ซับวูฟเฟอร์และลำโพงพาสซีฟหม้อน้ำหนึ่งตัวหรือมากกว่าในตัวเครื่อง, ระบบกันสะเทือน
แบบอะคูสติก (กล่องปิดผนึก) แผน่ ก้ันแบบไม่มีที่สิน้ สดุ โหลดแตร เคาะ แตรสายส่งและแบนด์
พาส ตู้แต่ละประเภทมีข้อดีและข้อเสียในแง่ของการเพิ่มประสิทธิภาพการขยายเสียงเบสขนาด
ตู้ความผิดเพี้ยน และค่าใช้จ่าย อาจรวมตู้หลายประเภทเข้าด้วยกันในการออกแบบเดียวเช่นใน
เสียงคอมพิวเตอร์ที่มีการออกแบบซับวูฟเฟอร์ของ Labtec LCS-2424 (Logitech ได้มาใน
ภายหลังและใช้สำหรับ Z340 / Z540 / Z640 / Z3 / Z4) ซึ่งเป็น (ดั้งเดิม) กล่องหุ้ม bandpass
หม้อน้ำแบบพาสซีฟพร้อมห้องแบ่งแบบสะท้อนเสียงเบสในขณะที่ไม่จำเป็ นต้องเป็นประเภท
ของตวั เครื่อง แตบ่ างคร้ังกม็ ีการใช้ isobaric (เช่น push-pull) ร่วมกบั การโหลดไดรเวอร์สองตัว
ในผลิตภัณฑ์ซับวูฟเฟอร์ของคอมพิวเตอร์ [38] โฮมเธียเตอร์ [39] และการเสริมแรงเสียง [40]
คลาสและเวอร์ชัน DIY ด้วย ในการใช้งานยานยนต์เพื่อให้เสียงเบสที่ค่อนข้างลึกสำหรับขนาด
ของมัน ชุดไดรเวอร์ "คล้ายไอโซบาริก" ในตัวได้รับการผลิตขึ้นตั้งแต่ปี 2010 ซับวูฟเฟอรข์ นาด
เล็กที่สุดมักออกแบบมาสำหรับระบบมัลติมีเดียบนเดสก์ท็อป โครงซับวูฟเฟอร์ทั่วไปที่ใหญ่
ที่สุดใช้สำหรับระบบเสริมกำลังเสียงคอนเสิรต์ หรือระบบเสียงแดนซ์คลับ ตัวอย่างของตู้ซับวฟู
เฟอร์สำหรับคอนเสิร์ตขนาดใหญ่คือระบบ Electro-Voice MT-4 "Bass Cube" ยุค 80 ซึ่งใช้ไดร
เวอร์ 18 นิ้ว (45 ซม.) สี่ตัว ตัวอย่างของซับวูฟเฟอร์ที่ใช้ฮอร์นเบสคือ Bassmaxx B-Two ซึ่ง
โหลดไดรเวอร์ 18 นิว้ (45 ซม.) ลงบนฮอร์นแบบพบั ยาว 11 ฟตุ (3.4 ม.) ซับวูฟเฟอรแ์ บบฮอร์น

51

แบบพับได้มักจะสร้างช่วงที่ลึกและมีประสิทธิภาพมากกว่าไดรเวอร์เดียวกันในกล่องหุ้มที่ไม่มี
แตร อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปแล้วตู้แตรแบบพับจะมีขนาดใหญ่และหนกั กว่าตู้ยิงด้านหน้าดังนั้น
แตรแบบพับจงึ มักใช้น้อยกว่า ฮอร์นซับวูฟเฟอร์แบบติดต้ังคงที่สำหรบั ทดลองบางตัวได้รับการ
สร้างขึ้นโดยใช้อิฐและคอนกรีตเพื่อสร้างฮอร์นที่ยาวมากซึ่งทำให้สามารถขยายซับเบสที่ลึก
มากได้

ระดบั เอาตพ์ ุตของซับวฟู เฟอร์สามารถเพิม่ ข้ึนได้โดยการเพิม่ พื้นที่ผิวกรวยหรือโดยการ
เพิ่มการเคลื่อนที่ของกรวย เนื่องจากไดรเวอร์ขนาดใหญ่ต้องการตู้ขนาดใหญ่ที่ไม่พึงปรารถนา
ไดรเวอร์ซับวูฟเฟอร์สว่ นใหญจ่ ึงมีการเดินทางขนาดใหญ่ น่าเสียดายที่การเดินทางในระดับสูง
ในระดับพลังงานสูงมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดความผิดเพี้ยนมากขึ้นจากผลกระทบเชิงกลและ
แมเ่ หลก็ โดยธรรมชาติในไดรเวอร์ไฟฟ้าไดนามิก (ประเภทที่พบมากที่สดุ ) ความขัดแย้งระหว่าง
เป้าหมายต่างๆไม่สามารถแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์ การออกแบบซับวูฟเฟอร์จำเป็นต้องเกี่ยวข้อง
กับการแลกเปลี่ยนและการประนีประนอม กฎเหล็กของ Hofmann (ประสิทธิภาพของระบบวูฟ
เฟอร์นั้นแปรผันตรงกับปริมาตรของตู้ (ตามขนาด) และลูกบาศก์ของความถี่คัตออฟ นั่นคือ
ระดับเสียงต่ำที่จะไปใช้กับซับวูฟเฟอร์เช่นเดียวกับที่ทำกับทุกคน ลำโพง ดังนั้นผู้ออกแบบตู้
ซับวูฟเฟอร์ที่มีเป้าหมายที่เสียงเบสที่แหลมลึกที่สุดอาจจะต้องพิจารณาใช้ขนาดตู้ที่ใหญ่
ผู้ออกแบบตู้ซับวูฟเฟอร์ได้รบั คำสั่งให้สร้างตู้ที่เล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้การขนส่งง่าย
ขนึ้ (Wikipedia, 2021)

ลำโพง ประเภทซับวูฟเฟอร์นั้น จัดได้ว่าเป็นลำโพงที่มีขนาดค่อนข้างจะใหญ่ ที่มี
ความสามารถในการผลิตเสียงได้อย่างกระจายตัว อย่างที่ลำโพงขนาดเล็กไม่สามารถจะมา
เทียบเคียงมันได้เลยอันเนื่องมาจากข้อจำกัดทางกายภาพ และส่วนสนับสนุน ถ้าจะพิจารณา
กันโดยทั่วแล้ว มีความต้องการกำลังขับจาก เพาเวอร์แอมป์ ที่มากกว่าลำโพงประเภท แกน
ร่วม และ ลำโพงแบบแยกชิ้น ที่เป็นเช่นนั้นก็เนื่องจากขนาดขององค์ประกอบต่างๆที่ใหญ่กว่า
นอกจากนั้น ลำโพงประเภทซับวูฟเฟอร์ ยังมีรูปแบบของ Enclosure หรือ ที่มักเรียกกันว่าตู้
ลำโพง สำหรับการสร้างความถี่ต่ำให้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งการสร้างพื้นที่สำหรับตู้
ลำโพงน้ันอาจทำได้ง่ายๆโดยการใช้พืน้ ที่ของ หอ้ งเกบ็ ของดา้ นหลังของรถเก๋งแบบ Sedan หรือ
บางทีกก็ ลายเป็นเรื่องที่ดซู ับซ้อนถึงขั้นที่ต้องสร้างความสัมพันธ์ของระบบกันด้วยตู้ลำโพงแบบ
Series–Tuned Dual–Reflex Band pass Enclosure กนั เลยทีเดียว ซึง่ ความ ยาก-งา่ ย ที่แตกต่าง
กันนั้น มันก็เป็นไปตามสถานะภาพ หรือรูปแบบการติดตั้งของรถยนต์แต่ละคัน ซึ่งซับวูฟเฟอร์
เป็นลำโพงที่สามารถเปล่งความถี่ต่ำตั้งแต่ประมาณ 40 Hz ลงไป และเป็นลำโพงสำหรับการ
จัดระบบเสียงแบบแอมป์คู่ หรือที่เรียกว่า ไบ – แอมป์ (Bi – Amp) และไทรแอมป์ (Tri – Amp)

52

ซึ่งใช้เครื่องขยายเสียงประเภทเพาเวอร์แอมป์ 3 ตัวแยกขับตัวละความถี่ อย่างไรก็ตามลำโพง

ซับวูฟเฟอรน์ บั วา่ ใชก้ ำลังขบั ของเครือ่ งขยายเสียง (Caraudiomedia, 2017)

สิ่งที่มีผลตอ่ การทำงานของลำโพงซบั วูฟเฟอร์

1. ตู้ลำโพง ต้องมีความสัมพันธ์กันกับขนาด และรูปทรงของลำโพง ซึ่งใน

ปัจจุบันนี้ ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ตู้ลำโพงในรถยนต์ไม่ได้จำกัดอยู่ที่รูปทรงแบบ

สี่เหลี่ยมอย่างเช่นในอดีต อาจสร้างตู้ลำโพงได้ในรูปแบบ สี่เหลียมแบบดั้งเดิม แบบ

ทรงกระบอก/ทรงกลม หรือแม้กระท่ังในรูปทรงแบบหกเหลี่ยมเลยก็ย่อมทำได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นมัน

ขึน้ อย่กู บั ความเหมาะสมเปน็ หลัก

2. กำลังขับ/การจัดการพลังงาน (Power Handling) การจัดการพลังงาน หรือ

การสร้าง Power handling บน ซับวูฟเฟอร์ นั้น ทางผู้ผลิตเขาจะมีการเจาะจงค่าของกำลังขับ

และค่าความร้อนในขณะที่ลำโพงมีการเคลื่อนไหวสูงสุดในการสร้าง Power Handling เอาไว้

แล้วส่งิ น้มี นั กค็ ือค่าตัวเลขที่แสดงถึงขดี ความสามารถของลำโพงที่ควบคุมได้ กอ่ นทีจ่ ะเสียหาย

3. ค่า Xmax ค่า Xmax ซับวูฟเฟอร์ ต้องการส่วนสนับสนุนของ Xmax มาก

ตามความต้องการเท่าที่ขดี ความสามารถของ Power handling กำหนดเอาไว้ อีกทั้งยังส่งผลต่อ

การสร้างพลัง และความถี่ของเสียง นอกจากนั้นมันยังเป็นอีกหนึ่งในตัวเลขที่ต้องคำนึงถึงใน

การสรา้ งตลู้ ำโพงอีก เนื่องมาจาก ข้อจำกัด หรอื ขีดความสามารถในการสรา้ ง Power handling

ของ ซับวฟู เฟอร์ น้ัน มนั ไมไ่ ด้อยทู่ ี่ตวั เลขของกำลงั ขับเพียงอย่างเดียว มันยังข้ึนอยู่กับการสร้าง

ตู้ลำโพงที่เหมาะสมกับมันด้วย ตัวซับวูฟเฟอร์จึงจะสามารถให้พลังให้เราได้สัมผัสกันอย่าง

เต็มที่ แล้วค่า Xmax ที่ว่านั้น ก็เป็นหนึ่งในตัวเลขที่ทางผู้ผลิตเขาบอกวา่ มันมีความสำคัญมาก

สำหรับการคำนวณหาปริมาตร และท่อระบายอากาศของตลู้ ำโพง

จะเหน็ ได้ว่า ในการใช้ ซับวฟู เฟอร์ น้ันมีหลายปจั จัยในการติดต้ัง แต่ก็มีสิ่งหนึ่ง

ที่พอจะคำนวณได้จากความสัมพันธ์ของกำลังขับ และการเคลื่อนไหว หรือการเคลื่อนที่ของ

กรวยลำโพง ที่ระบุไว้ในข้อมูลจำเพาะ นั่นก็คือขีดจำกัดของพลังเสียงสูงสุดที่เราจะได้จาก

ซบั วูฟเฟอร์ ตวั นนั้ ๆนน่ั เอง กค็ ำนวณได้จากสตู รดังตอ่ ไปนี้

10xlog (Power) + Efficiency = Maximum Output

ในกรณีที่ลำโพงมกี ำลังขบั 100 W และมีค่า Efficiency ขนาด 90 dB

ดังนนั้ 10xlog (100) + 90 = Maximum Output

(10×2) + 90 = Maximum Output

20+90 = Maximum Output

110 dB = Maximum Output

53

จากการคำนวณ กับลำโพงขนาด 100 W จะพบว่าเราได้พลังงานเสียงสูงสุด
ขนาด 110 dB ซึ่งเพิ่มขึ้นจากตัวเลขของค่า Efficiency ขนาด 20 dB แล้วเมื่อมีการคำนวณไป
เรื่อยๆ เราก็จะพบว่า ทุกๆครั้งที่ขนาดกำลังขับของลำโพงเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เราก็จะได้ค่า
ความสัมพันธ์ของ Efficiency กับพลังงานเสียงสูงสุดเพิ่มขึ้น 3 dB ทุกๆครั้ง ในกรณีที่มีการใช้
ซับวูฟเฟอร์ 2 ตัว มันก็อาจทำให้เราได้ความสัมพันธ์ของกำลังขับ และค่า Efficiency กับ
พลังงานเสียงสูงสุด เพิ่มเป็น 6 dB ได้เช่นกัน หรือถ้ามีการจัดวางมุมสะท้อนที่เหมาะสม บางที
มันอาจได้มากถึง 10 dB เลยก็เป็นได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมในห้อง
โดยสารของรถ และการวางระบบด้วยเชน่ กนั

ในกรณีที่ซับวูฟเฟอร์ในการตั้งค่าสเตอริโอเป็นส่วนเสริมที่ดีนี่เป็นสิ่งจำเป็น
อย่างยิ่งสำหรับเสียงเซอร์ราวด์ ตัวแปลงสัญญาณรอบทิศทางรองรับช่องสัญญาณ LFE
(พลังงานความถี่ต่ำ) แยกต่างหากซึ่งมีข้อมูลเลเยอร์เฉพาะ นี่เป็นส่วนเสริมที่ดีส ำหรับ
ประสบการณ์การชมภาพยนตร์ของคุณเอง ดนตรีประกอบภาพยนตร์และเอฟเฟกต์พิเศษมี
ความถีต่ ่ำมากมาย ซับวูฟเฟอรไ์ มเ่ พียง แตท่ ำให้มน่ั ใจได้ว่าสิ่งเหล่านี้จะได้ยินมากขึ้น แต่ยังจับ
ต้องได้อีกด้วย สิ่งที่ผู้สร้างภาพยนตร์ชอบใช้ การเพิ่มซับวูฟเฟอร์ยังช่วยให้คุณสามารถทำให้
ลำโพงเซอรร์ าวด์อืน่ ของคุณมีขนาดเล็กลงได้อีกเลก็ น้อย นี่คือในห้องนั่งเล่นขนาดเลก็ ที่สำคญั
มาก อย่างไรก็ตามขอแนะนำให้ใช้ลำโพงที่มีขนาดใหญ่ขึ้นสำหรับช่องสัญญาณด้านหน้า (ซ้าย
- กลางขวา) (VEDDAN, 2020) ซบั วูฟเฟอร์ยงั สามารถแบ่งได้เปน็ อีก 2 ลกั ษณะ ดังนี้

2.2.1 ซิงเกิลวอยซค์ อยล์ (Single voice coil)

ภาพที่ 7.55 ซิงเกิลวอยซค์ อยล์
ภาพจาก : https://car.kapook.com/view125221.html

54

ซิงเกิลวอยซค์ อยล์ มีวอยซ์คอยล์เพียงชุดเดียว สงั เกตดูได้ตรงขวั้ ตอ่ สายลำโพง จะเห็น
ว่าซับฯ วอยซค์ อยล์เดี่ยว จะมีขว้ั ตอ่ สายลำโพงเพียง 2 ขั้วเทา่ นั้น คือ บวกกับลบ และส่วนมาก
ซับฯ วอยซ์คอยล์เดี่ยวจะมีอิมพิแดนซ์ 2 โอห์ม 4 โอห์ม และ 8 โอห์ม ต่อใช้งานได้กับแอมป์ที่
2 โอหม์ 4 โอหม์ และ 8 โอห์ม เทา่ นั้น ไม่สามารถเปลีย่ นแปลงคา่ อมิ พิแดนซ์ได้

2.2.2 ดูอัลวอยซ์คอยล์ (Dual voice coil)

ภาพที่ 7.56 ดูอัลวอยซ์คอยล์
ภาพจาก : https://car.kapook.com/view125221.html
ดูอัลวอยซ์คอยล์ มีจำนวนวอยซ์คอยล์ 2 ชุด สังเกตดูตรงขั้วต่อสายลำโพงจะมี 4 ขั้ว
บวกกับลบอย่างละ 2 ชุด และมีอมิ พิแดนซ์วอยซ์คอยลค์ ู่ 2+2 โอห์ม หรอื 4+4 โอหม์ ส่วน 8+8
โอหม์ สำหรับรถยนต์ยงั ไม่มีใครทำ

2.3 ลำโพงเสียงกลาง ซึ่งมักเรียกกนั ว่า มิดเรนจ์ (Midrange)

ภาพที่ 7.57 ลำโพงเสียงกลาง
ภาพจาก : https://gpcaraudio.com/hannibal-mh-81-8-mid-range-speakers-pair/

55

ลำโพงเสียงกลางเป็นตัวขับเสียงที่สร้างเสียงในช่วงความถีต่ ้ังแต่ 250 ถึง 2000 เฮิรตซ์
เปน็ ที่รู้จักกนั ในชื่อ squawker ไดรเวอร์ระดับกลางมักเป็นประเภทกรวยหรอื โดยท่ัวไปน้อยกว่า
ประเภทโดมหรือไดรเวอร์ฮอร์นบีบอัด ไดอะแฟรมการแผ่รังสีของหน่วยช่วงกลางรูปกรวยเป็น
กรวยที่ถูกตัดทอนโดยมีวอยซค์ อยล์ติดอยู่ที่คอพร้อมกบั สว่ นแมงมุมของระบบกันสะเทือนและ
มีกรวยล้อมรอบที่ปลายด้านกว้าง ไดรเวอร์ระดับกลางทรงกรวยมักมีลักษณะคล้ายวูฟเฟอร์
ขนาดเล็ก วสั ดุทั่วไปที่ใชส้ ำหรับกรวยระดับกลางคือกระดาษชุบบางครั้งและ หรอื เคลือบพื้นผิว
ด้วยโพลีเมอร์ หรอื เรซินเพือ่ ปรับปรุงการลดการสั่นสะเทือน วสั ดกุ รวยระดับกลางอื่น ๆ ได้แก่
พลาสติกเช่นโพลีโพรพีลีนโคเบกซ์เบกซ์ทรีนเคฟลาร์แบบทอไฟเบอร์กลาสคาร์บอนไฟเบอร์
หรือโลหะผสมโลหะเบาที่ใช้อลูมิเนียมแมกนีเซียมไททาเนียมหรือโลหะผสมอื่น ๆ พื้นผิวที่แผ่
รังสีของช่วงกลางโดมมักจะเป็นส่วนทรงกลม 90 องศาซึ่งทำจากผ้าโลหะหรือฟิล์มพลาสติก
โดยมีระบบกันสะเทือนและวอยซค์ อยล์อยู่ที่ขอบด้านนอกของโดม ไดรเวอรร์ ะดับกลางสำหรับ
คอนเสิร์ตระดับมืออาชีพส่วนใหญ่เป็นไดรเวอร์ที่บีบอัดควบคู่ไปกับแตร ช่วงกลางน้อยมาก
ได้แก่ ไดรเวอร์ไฟฟ้าสถิตไดรเวอร์แม่เหล็กระนาบหรือไดรเวอร์ริบบิ้น นักขับเสียงกลางได้รับ
การเรียกร้องให้จัดการส่วนที่สำคัญที่สุดของสเปกตรัมเสียงที่ได้ยินซึ่งเป็นภูมิภาคที่
ปัจจัยพื้นฐานส่วนใหญ่เปล่งออกมาจากเครื่องดนตรีและที่สำคัญที่สุดคือเสียงของมนุษย์โกหก
ภูมิภาคนี้มีเสียงส่วนใหญ่ที่คุ้นเคยกับหูของมนุษย์มากที่สุดและสังเกตเห็นความแตกต่างจาก
การสรา้ งซ้ำที่ซือ่ สัตยไ์ ด้ง่ายทีส่ ดุ ดังนนั้ จงึ เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่ไดรเวอร์ระดับกลางที่มีคุณภาพ
ดีจะสามารถสร้างภาพทีม่ ีความผดิ เพี้ยนต่ำได้เครื่องรับโทรทศั น์ และวิทยุขนาดเล็กส่วนใหญ่มี
ไดร์เวอร์เสียงกลางเพียงตัวเดียว หรือสองตัวสำหรับเสียง สเตอริโอ เนื่องจากในกรณีของ
โทรทัศน์สิง่ ทีส่ ำคญั ที่สุดคือการพูดคุยจงึ ได้ผลดี เนือ่ งจากหูมีความไวต่อความถี่กลางมากที่สุด
ที่เกิดจากช่วงกลางทั้งสองตัวขับและแอมพลิฟายเออร์จึงสามารถใช้พลังงานต่ำได้ในขณะที่
ยังให้สิ่งที่รับรู้ว่าเป็นเสียงที่ดีทั้งในแง่ของระดับเสียงและคุณภาพ หรือสโคเกอร์ (Squawker)
เป็นลำโพงที่สามารถเปลง่ เสียงได้ดีในย่านความถี่เสียงกลางๆ ซึ่งมักจะเปน็ เสียงระดับคนปกติ
ธรรมดา ขนาดลำโพงประมาณ (เส้นผา่ นศูนยก์ ลาง) 4 – 6 นิว้ (Wikipedia, 2020)

56

ภาพที่ 7.58
ภาพจาก : https://gpcaraudio.com/hannibal-mh-81-8-mid-range-speakers-pair/

ลกั ษณะลำโพงเสียงกลาง แบบไดนามิก
1. แมเ่ หล็ก
2. คลู เลอร์
3. วอยซค์ อยล์
4. การระงับ
5. เมมเบรน

ภาพ 7.59 ลำโพงเสียงกลาง
ภาพจาก : https://www.pricedrightsales.com/blogs/informational/understanding-the-

difference-between-coaxial-and-midrange-speakers

57

ลำโพงเสียงกลางตามชื่อจะครอบคลุมส่วนตรงกลางของคลื่นความถี่ โดยปกติจะ
ครอบคลุมช่วงระหว่าง 500 Hz ถึง 4 kHz สเปกตรัมเสียงส่วนนี้อาจสำคัญที่สุด นี่เป็นเพราะ
มนั ได้ยินมากและในน้ันเคร่ืองดนตรีส่วนใหญแ่ ละเสียงของมนษุ ยจ์ ะอยใู่ นตำแหนง่ ยิง่ ไปกว่าน้ัน
หูของมนุษย์มีความไวต่อความถี่ช่วงกลางมากทีส่ ุด ดังนั้นไดรเวอรจ์ ึงสามารถใช้พลังงานต่ำได้
ในขณะที่ยังให้เสียงที่ดีในแง่ของคุณภาพและระดับเสียง ระบบที่รวมทั้งไดรเวอร์วูฟเฟอร์และ
ทวีตเตอร์มักจะมีลำโพงเสียงกลาง การสร้างซ้ำความถี่เสียงกลางควรให้เสียงที่เป็นธรรมชาติ
ในขณะที่หลีกเลี่ยงการส่งเสียงไปข้างหน้าหรือถอยห่างเกินไปหรือสว่างหรือทึบเกินไป
หากเอาต์พุตเสียงกลางของลำโพงไม่ชัดเจนบทสนทนาทีพ่ ดู และเสียงดนตรีจะไมเ่ ป็นธรรมชาติ
หรือไม่ได้ยิน ดังนั้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเนื้อหาเพลงและเสียงโฮมเธียเตอร์เกือบทุกชิ้น
ลักษณะของไดรเวอร์ทั้งสองดา้ นของช่วงกลางและช่วงกลางมีผลตอ่ การเลือกความถี่และความ
ชันของครอสโอเวอร์ ครอสโอเวอร์เกือบทั้งหมดเป็นวงจรพาสซีฟและตรงกับลักษณะของไดร
เวอร์และการติดตั้ง ประกอบด้วยตัวเก็บประจุตัวเหนี่ยวนำและตัวต้านทาน ลำโพงไฮไฟ
ประสิทธิภาพสูงและระบบเสริมเสียงระดับมืออาชีพมักจะมีครอสโอเวอร์แบบแอคทีฟหรือ
"อิเลก็ ทรอนิกส์"

ไดรเวอร์ลำโพงระดับกลางมักเป็นประเภทกรวยหรือโดยทั่วไปน้อยกว่าประเภทโดม
หรอื ไดรเวอรฮ์ อรน์ บีบอัด ไดอะแฟรมการแผ่รังสีของหน่วยช่วงกลางรปู กรวยเปน็ กรวยที่ถูกตัด
ทอนโดยมีวอยซ์คอยล์พร้อมกับส่วนแมงมุมของระบบกนั สะเทือนและมีกรวยล้อมรอบที่ปลาย
ด้านกว้าง ไดรเวอร์ระดับกลางทรงกรวยมักมีลักษณะคล้ายวูฟเฟอร์ขนาดเล็ก วัสดุกรวย
ระดับกลางที่พบมากที่สุดคือกระดาษ บางครั้งมีการเคลือบพื้นผิวด้วยโพลีเมอร์หรือเรซินเพื่อ
ปรับปรุงการลดการสั่นสะเทือนวัสดุกรวยระดับกลางอื่น ๆ ได้แก่ พลาสติกเช่นโพลีโพรพีลีน
Codex Bextrene ทอเคฟลาร์ไฟเบอร์กลาสคาร์บอนไฟเบอร์หรือโลหะผสมโลหะเบาที่ใช้
อลูมิเนียมแมกนีเซียมไททาเนียมหรือโลหะผสมอื่น ๆ พื้นผิวที่แผ่รังสีของช่วงกลางโดมมักจะ
เป็นส่วน 90 องศาของทรงกลม วัสดุของมันคือผ้าโลหะหรือฟิล์มพลาสติกโดยมีระบบกัน
สะเทือนและวอยซ์คอยล์อยู่ที่ขอบด้านนอกของโดม ไดรเวอร์ระดับกลางคอนเสิร์ตระดับมือ
อาชีพส่วนใหญ่เป็นไดรเวอร์บีบอัดด้วยแตร ช่วงกลางน้อยมาก ได้แก่ ไดรเวอร์ไฟฟ้าสถิตไดร
เวอร์แม่เหล็กระนาบหรือไดรเวอร์ริบบิ้น เครื่องรับโทรทัศน์ และวิทยุขนาดเล็กส่วนใหญ่มีไดร์
เวอร์เสียงกลางเพียงตัวเดียวหรือสองตัวสำหรับเสียงสเตอริโอ เนื่องจากในกรณีของโทรทัศน์
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพูดคุยจึงได้ผลดี เนื่องจากหูมีความไวต่อความถี่กลางมากที่สุดทั้งไดร
เวอร์และเคร่ืองขยายเสียงจึงสามารถใช้พลังงานต่ำได้ในขณะที่ยงั ใหเ้ สียงที่ดีท้ังในแง่ของระดับ
เสียงและคุณภาพ (Soundbridge, 2019)

58

โดยปกติแล้วไดรเวอร์ระดบั กลางจะใช้ในระบบลำโพงแบบมลั ติไดร์เวอร์สามทาง ดงั น้ัน
จงึ มขี ้อควรพิจารณาเป็นพิเศษเกี่ยวกบั การตอ่ อะคูสติกระหวา่ งชว่ งเสียงกลางและทั้งความถี่ต่ำ
(วูฟเฟอร์) และไดรเวอร์ความถี่สูง (ทวีตเตอร์) ลักษณะของไดรเวอร์ทั้งสองด้านของช่วงกลาง
และช่วงกลางมีผลต่อการเลือกความถี่และความชันของครอสโอเวอร์ ครอสโอเวอร์เกือบ
ทั้งหมดเป็นวงจรพาสซีฟซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ตรงกับลักษณะของไดรเวอร์และการติดตั้งและ
สร้างขึ้นจากตัวเก็บประจุตัวเหนี่ยวนำและตัวต้านทาน ครอสโอเวอร์แบบแอคทีฟหรือ
'อิเล็กทรอนิกส์' ถูกใช้ในลำโพงไฮไฟประสิทธิภาพสูงบางรุ่นและในระบบเสริมกำลังเสียงระดบั
มอื อาชีพการวางไดรเวอร์ช่วงกลาง (และทวีตเตอร์) บนแผ่นกั้นของตัวเครื่องมีผลอย่างมากต่อ
เอาต์พุตของไดรเวอร์ และวัสดุที่อยู่รอบ ๆ ตัวขับเสียงกลางและทวีตเตอร์บนแผ่นกั้นสามารถ
สร้าง (หรือยับยั้ง) การสะท้อนของพลังงานจากหน้าแผ่นกั้นได้ หรือรายการอื่น ๆ ที่มีอิทธิพล
ต่อผลลัพธ์ ตะแกรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีโครงโครงสร้างสามารถปรับเปลี่ยนเอาต์พุตของ
ระบบลำโพงทั้งหมดได้เพิ่มเติม หนึ่งในคำศัพท์ที่ใช้ในแวดวงการออกแบบเพื่ออธิบาย
สิ่งประดิษฐ์การเลี้ยวเบนและการสะท้อนกลับเหล่านี้คือเอฟเฟกต์ขั้นตอนที่ทำให้ยุ่งเหยิงเมื่อ
ติดตงั้ ลำโพงเสียงกลางในกล่องเดียวกนั กับวูฟเฟอร์จะมีกล่องหุ้มย่อยขนาดเล็กของตัวเองหรือ
ด้านหลังที่ปิดสนิทเพื่อป้องกันไม่ให้การแผ่รงั สีย้อนกลับของวูฟเฟอร์เข้าไปในกล่องไม่ให้ส่งผล
ต่อการเคลื่อนที่ของกรวยหรือโดมของช่วงกลาง (Wikipedia, 2020) นอกจากนี้ยังสามารถ
แบ่งแยกชนิดออกมาได้อกี 2 รนุ่ ดงั น้ี

2.3.1 โคนมดิ เรนจ์ (Cone Mid Range)

ภาพที่ 7.60 โคนมิดเรนจ์
ภาพจาก : https://car.kapook.com/view125221.html

59

มิดเรนจ์แบบกรวย จะมีลกั ษณะเหมอื นทีก่ ลา่ วมาแล้วข้างตน้ แต่จะมีเพิ่มเติมตรงตู้ ที่
ต้องทำให้ได้ตามปริมาตรที่กำหนด ซึ่งทางผู้ผลติ จะมีบอกมาให้ อีกท้ังมันยังมเี รือ่ งของการ
ออกแบบต่าง ๆ เพือ่ เพิ่มมมุ กระจายเสียงเข้ามาด้วยเช่นกัน และยังแบ่งได้อกี 2 รนุ่ ย่อยดังนี้

2.3.1.1 เฟสปล๊กั มิดเรนจ์ (Phase Plug Mid Range)

ภาพที่ 7.61 เฟสปลกั๊ มิดเรนจ์
ภาพจาก : https://car.kapook.com/view125221.html
เฟสปลั๊กมิดเรนจ์ จะสังเกตง่าย ๆ จะมีวัสดุทรงแหลมยื่นออกมาตรงกลางหน้าดอก
ลำโพง ซึ่งมันจะช่วยเพิ่มการกระจายเสียงให้ดียิ่งขึ้น วัสดุที่ผลิตมีทั้งโลหะ พลาสติก หรือวัสดุ
อืน่ ๆ ฯลฯ

2.3.1.2 ดัสแคปมิดเรนจ์ (Dust Cap Mid Range)

ภาพที่ 7.62 ดัสแคปมิดเรนจ์
ภาพจาก : https://car.kapook.com/view125221.html

60

ดัสแคปมิดเรนจ์ ทำออกมาเพื่อเพิม่ แรงกดอากาศบนกรวยลำโพง ทำให้ย่านต่ำมีพลัง
เพิม่ มากขึ้น และยังชว่ ยป้องกันพวกฝนุ่ ละอองต่าง ๆ ตกลงไป ซึ่งมนั มีผลตอ่ เนือ้ เสียงทีข่ ับ
ออกมา มีลกั ษณะแบบโดมควำ่ ลง, แบบเว้าก็จะมีลกั ษณะเหมอื นโดม แต่เป็นหงายขึ้น ฯลฯ

2.3.2 โดมมดิ เรนจ์ (Dome Mid Range)

ภาพที่ 7.63 โดมมดิ เรนจ์
ภาพจาก : https://car.kapook.com/view125221.html
โดมมิดเรนจ์ จะสังเกตง่าย ๆ มันจะเป็นโดมนูนขึ้นมาคล้ายทวีตเตอร์ แต่มีขนาดใหญ่
กว่า สามารถตอบสนองความถี่ได้ประมาณ 800–10,000 เฮิรตซ์ สามารถขึ้นไปย่านสูงได้ดี
ส่วนย่านต่ำอาจจะลงได้ไม่ค่อยดีนัก การติดตั้งทำได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก ติดตั้งได้ทันที โดยไม่ต้องมี
ปริมาตรตู้

2.4 ลำโพงเสียงทุ้มกลาง ซึ่งมกั เรียกกันว่า มดิ เบส (Midrange Bass
Speaker)

ภาพที่ 7.64 ลำโพงเสียงทุ้มกลาง
ภาพจาก : https://www.pricedrightsales.com/blogs/informational/understanding-the-

difference-between-coaxial-and-midrange-speakers

61

วูฟเฟอร์มิดเบสเปน็ ลำโพงประเภทหนึ่งทีใ่ ห้เสียงในช่วงความถี่กลาง - ต่ำ ลำโพงที่จดั
อยใู่ นประเภท "ทวีตเตอร์" ให้เสียงย่านสูงหรอื เสียงแหลมที่ใสสะอาด ลำโพงที่จัดอยู่ในประเภท
"วูฟเฟอร์" ให้เสียงย่านต่ำหรือเบส "ซับวูฟเฟอร์" ให้เสียงต่ำที่สุด หากคุณแยกคลาสเสียง
ออกไปไกลกว่านั้นคุณจะมีความถี่เสียงที่จัดอยู่ในประเภท "มิดเรนจ์" ซึ่งเป็นการกำหนดที่
ซ้อนทับกันทั้งเสียงแหลมและเสียงเบส ลำโพงมิดเบสครอบคลุมช่วงเสียงเบสบนและความถี่
เสียงกลางต่ำเป็นลำโพงที่มีความสามารถให้เสียงทุ้มและกลางได้และมีขนาดเส้นผ่าน
ศูนย์กลางประมาณ 41/2 – 5 นิ้ว ซึ่งแนวโน้มของลำโพงในอนาคตเริ่มสนใจลำโพงที่มีขนาด
เลก็ ๆ มากขึ้น เพือ่ สำหรับใช้ในบ้านพักอาศยั มนุษย์สามารถได้ยินเสียงระหว่าง 20 ถึง 20,000
เฮิรตซ์โดยประมาณ ความถี่เสียงเบสครอบคลุม 20 ถึง 1,000 เฮิรตซ์ในขณะที่เสียงแหลม
ครอบคลุม 1,000 ถึง 20,000 เฮิรตซ์และเสียงกลางทับซ้อนกันตั้งแต่ 300 ถึง 3,000 เฮิรตซ์
ช่วงเสียงกลางเบสอยู่ที่ประมาณ 140 ถึง 400 เฮิรตซ์ วูฟเฟอร์กลางเบสเป็นลำโพงทีอ่ อกแบบ
มาเพื่อรองรับความถี่เสียงนี้โดยเฉพาะ ช่วงเสียงกลาง เบสเป็นส่วนสำคัญของการผลิตเสียง
เนื่องจากครอบคลุมโทนของเครื่องดนตรีออเคสตราเช่นเฟรนช์ฮอร์นเชลโลและบาสซูน เสียง
ผู้ชายส่วนใหญ่ก็ตกอยู่ในช่วงนี้เช่นกันไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องหรือการพูด หากคุณมีช่วงเสียง
กลาง เบสมากเกินไปในระบบเสียงของคุณเมื่อเทียบกับช่วงอืน่ ๆ ส่วนที่เกินจะทำให้โทนเสียง
"ขุ่น" เป็นคำที่ใช้กนั ทั่วไปสำหรับเสียงที่ขาดความชัดเจน หากคุณมีเบสกลางน้อยเกินไปคุณจะ
สูญเสียโทนเสียงที่สำคัญบางส่วนในช่วงนี้และผู้ฟังมองว่าเสียงนั้นขาดความลึกหรือความ
อบอุ่น เครื่องเสียงในบ้านของคุณอาจไม่จำเป็นต้องใช้วูฟเฟอร์กลางเบสโดยเฉพาะเว้นแต่คุณ
จะสนใจอย่างมากในการผลิตคุณภาพเสียงที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตามระบบเสียงสาธารณะเช่น
สำหรับการเล่นดนตรีสดจะทำได้ดีที่สุด กับวูฟเฟอร์กลางเบสอย่างน้อยหนึ่งคู่โดยวางไว้ที่ด้าน
ใดด้านหนึ่งที่ด้านหน้าของผู้ฟังเพื่อให้ได้เสียงที่สมดุลและเต็มช่วง มาพร้อมกับลำโพงที่มีวูฟ
เฟอร์ และทวีตเตอรเ์ พื่อใหไ้ ด้ชว่ งเสียงที่สมบรู ณ์แบบทีค่ ุณต้องการ อีกทางเลือกหนึ่งคือการใช้
บอร์ดควบคุมเสียงที่มีการควบคุมหลายแบบทั้งเบสเสียงกลางและเสียงแหลมเพื่อให้คุณ
สามารถควบคมุ ช่วงเสียงกลางเบสผา่ นวฟู เฟอร์ และทวีตเตอร์มาตรฐาน (Anne Hirsh, 2019)

62

2.5 ลำโพงเสียงแหลม หรอื ที่เรยี กวา่ ทวีตเตอร์ (Tweeter)

ภาพที่ 7.65 ลำโพงเสียงแหลม

ภาพจาก : https://www.amazon.com/Audio-Car-Tweeter-Speaker-Frequency/dp/B0002DNZQG

ลำโพงทวีตเตอร์ หรือลำโพงเสียงแหลมเป็นลำโพงชนิดพิเศษ (โดยทั่วไปคือโดมผกผัน
หรอื ฮอร์น) ทีอ่ อกแบบมาเพื่อสร้างความถีเ่ สียงสูงโดยปกติจะอยู่ทีป่ ระมาณ 2 kHz ถึง 20 kHz
โดยทั่วไปถือว่าเป็นขีด จำกัด สูงสุดของการได้ยินของมนุษย์ ทวีตเตอร์แบบพิเศษสามารถให้
ความถี่สูงได้ถึง 100 kHz ชื่อนี้ได้มาจากเสียงแหลมสูงที่ทำโดยนกบางชนิด (ทวีต) โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในทางตรงกันข้ามกับเสียงวูฟต่ำที่ทำโดยสุนัขหลายตัวหลังจากนั้นจึงตั้งชื่อไดรเวอร์
ความถีต่ ่ำ (วูฟเฟอร)์ (Wikipedia, 2021)

ลำโพงทวีตเตอร์ มีหน้าที่ช่วยขับเสียงในย่านความถี่ที่สูง ซึ่งย่านความถี่จากค่า
มาตรฐาน ประมาณ 1,600 – 20,000 เฮิรตซ์ ซึ่งถือว่าเป็นความถี่สูงสุดที่จะได้ยินของมนุษย์
โดยคำว่า ทวิตเตอร์ มาจากเสียงร้องของนกทวีตเตอร์ที่มีเสียงร้องอยุ่ในย่านความถี่สูง หรือ
เสียงแหลมมากนั้นเอง ทวิตเตอร์เป็นดอกลำโพงขนาดเล็ก ที่มีหลากหลายรุปแบบการจัดวาง
โครงสรา้ งของดอกลำโพง สว่ นมากใหร้ องรับการทำงานในการติดต้ังเข้ากบั ลำโพงขับเสียงเบส
เสียงกลาง เป็นลำโพงทีม่ ีขนาดเลก็ มีขนาดเส้นผา่ นศนู ย์กลางประมาณ 2 - 31/2 นิ้ว สามารถ
กระจายเสียงได้สูงตั้งแต่ความถี่ 5,000 Hz ขึ้นไป นับว่าเป็นลำโพงที่ค่อนข้างจะบอบบางกว่า
ประเภทอื่นๆ (Soundmilan, 2019)

ทวีตเตอร์เกือบทั้งหมดเป็นตัวขับไฟฟ้าแบบไดนามิกโดยใช้วอยซ์คอยล์ที่แขวนอยู่
ภายในสนามแมเ่ หลก็ คงที่ การออกแบบเหลา่ น้ที ำงานโดยใช้กระแสจากเอาตพ์ ุตของวงจรขยาย
ไปยงั ขดลวดทีเ่ รยี กว่าวอยซค์ อยล์ วอยซ์คอยลก์ ่อให้เกิดสนามแม่เหล็กที่แตกต่างกันซึ่งทำงาน

63

กับสนามแม่เหล็กคงที่ของแม่เหล็กถาวรรอบ ๆ วอยซ์คอยล์ทรงกระบอกถูกแขวนไว้บังคับให้
วอยซ์คอยล์และไดอะแฟรมที่ติดกับมันเคลื่อนที่ การเคลื่อนไหวเชิงกลนี้คล้ายกับรูปคลื่นของ
สัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่จ่ายจากเอาต์พุตของเครื่องขยายเสียงไปยังวอยซ์คอยล์ เนื่องจาก
ขดลวดติดอยกู่ ับไดอะแฟรมการเคลือ่ นทีแ่ บบสั่นของวอยซ์คอยล์จะส่งไปยงั ไดอะแฟรม ในทาง
กลับกันไดอะแฟรมจะสน่ั สะเทือนอากาศจึงสร้างการเคลือ่ นไหวของอากาศหรอื คลื่นเสียงซึ่งจะ
ได้ยินเป็นเสียงสูง ทวีตเตอร์สมัยใหม่มักจะแตกต่างจากทวีตเตอร์รุ่นเก่าซึ่งมักเป็นวูฟเฟอร์รุ่น
เล็ก เนือ่ งจากเทคโนโลยีทวีตเตอรก์ ้าวหน้าขนึ้ แอพพลิเคช่ันการออกแบบที่แตกต่างกันจึงได้รับ
ความนิยม ไดอะแฟรมทวีตเตอร์แบบซอฟต์โดมจำนวนมากได้รับการขึ้นรูปด้วยความร้อนจาก
ฟิลม์ โพลีเอสเตอรห์ รอื ผา้ ไหมหรือโพลีเอสเตอร์ที่ชบุ ด้วยเรซินโพลีเมอร์ ทวีตเตอร์ฮาร์ดโดมมัก
ทำจากอลูมิเนยี มอลั ลอยดอ์ ลูมิเนียมแมกนีเซียมหรอื ไททาเนียม

ทวีตเตอร์มีจุดมุ่งหมายเพื่อแปลงสัญญาณไฟฟ้าเป็นการเคลื่อนที่ของอากาศเชิงกล
โดยไม่มีการเพิ่มหรือลบ แต่กระบวนการดังกล่าวไม่สมบูรณ์ และทวีตเตอร์ในโลกแห่งความ
เป็นจรงิ เกีย่ วข้องกับการแลกเปลี่ยน ทา่ มกลางความท้าทายในการออกแบบและผลิตทวีตเตอร์
ได้แก่ การลดการสั่นสะเทือนที่เพียงพอเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของโดมอย่างรวดเร็วเมื่อ
สัญญาณสิ้นสดุ ทำให้มั่นใจได้ถึงความเป็นเชิงเส้นของระบบกันสะเทือนทำให้เอาต์พตุ สูงทีช่ ่วง
ความถี่ต่ำสุด รับประกันความเป็นอิสระจากการสัมผัสกับชุดแม่เหล็กโดยให้โดมอยู่ตรงกลาง
ขณะเคลื่อนที่ และให้การจดั การพลงั งานทีเ่ พียงพอโดยไม่ต้องเพิ่มมวลมากเกินไป ทวีตเตอร์ยัง
สามารถทำงานร่วมกับวฟู เฟอร์ที่ทำหน้าที่สร้างความถี่ต่ำหรือเสียงทุ้มโดยทวีตเตอร์บางตวั นง่ั
อยู่นอกกล่องหุ้มหลักในยูนิตกึ่งอิสระของตัวเอง ตัวอย่าง ได้แก่ "super ทวีตเตอร์และ" ทวีต
เตอร์ไข่ "ของ Ohm ตัวหลงั จะเสียบปล๊ักและหมนุ เพื่อปรบั ฟิลด์เสียงขนึ้ อยู่กับตำแหน่งของผู้ฟัง
และความชอบของผู้ใชก้ ารแยกออกจากแผน่ กั้นถือว่าเหมาะสมที่สุดภายใต้ทฤษฎีที่ว่าแผ่นกั้นที่
เล็กทีส่ ดุ เปน็ ไปได้ทีด่ ีที่สดุ สำหรับทวีตเตอร์

ทวีตเตอร์ส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างความถี่ขึ้นไปจนถึงขีด จำกัด บนที่
กำหนดไว้อย่างเป็นทางการของช่วงการได้ยินของมนุษย์ (โดยทั่วไปจะแสดงเป็น 20 kHz) บาง
ตัวทำงานที่ความถี่สูงถึงประมาณระหว่าง 5kHz ถึง 20kHz ทวีตเตอร์ที่มีช่วงบนที่กว้างกว่า
ได้รับการออกแบบมาสำหรับการทดสอบทางจิตประสาทสำหรับเสียงดิจิตอลช่วงขยายเช่น
Super Audio CD สำหรับออดิโอไฟล์สำหรับนักชีววิทยาที่ทำการวิจัยเกี่ยวกับการตอบสนอง
ของสตั ว์ต่อเสียง และสำหรับระบบเสียงรอบข้างในสวนสัตว์ ทวีตเตอรแ์ บบริบบอนถูกสร้างขึ้น
ซึ่งสามารถสร้าง 80 kHz และแมก้ ระท่งั 100 kHz

64

ทวีตเตอร์ที่ออกแบบมาสำหรับการเสริมแรงเสียงและการใช้งานเครื่องดนตรีนั้นมี
ความคล้ายคลึงกับทวีตเตอร์ความเที่ยงตรงสูงแม้ว่าโดยปกติแล้วจะไม่เรียกว่าทวีตเตอร์ แต่
เป็น "ไดรเวอรค์ วามถี่สูง" ความแตกต่างของข้อกำหนดในการออกแบบที่สำคัญ ได้แก่ ตัวยึดที่
สร้างขน้ึ สำหรบั การขนส่งและการจดั การซ้ำ ๆ ไดรเวอรม์ ักจะตดิ ตั้งกับโครงสร้างแตรเพื่อให้ได้
ระดับเสียงที่สูงขึ้นและควบคุมการกระจายของเสียงได้ดีขึ้นและคอยล์เสียงที่แข็งแกร่งกว่า
เพื่อให้ทนต่อระดับพลังงานที่สูงขึ้นโดยทั่วไป ไดรเวอร์ความถี่สูงใน PA ฮอร์นมักเรียกว่า
"ไดรเวอร์การบีบอัด" จากโหมดการเชื่อมต่อแบบอะคูสติกระหว่างไดอะแฟรมไดรเวอร์และคอ
แตร

วัสดุต่างๆ ที่ใช้ในการสร้างไดอะแฟรมไดรเวอร์การบีบอดั ได้แก่ ไททาเนียมอลูมิเนียม
ผา้ ชบุ ฟีนอลิกฟิล์มโพลีอิไมด์และฟิล์ม PET ซึ่งแต่ละชนิดมีลกั ษณะเฉพาะของตัวเอง ไดอะแฟร
มติดกาวไว้กับวอยซ์คอยล์ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะทำจากวัสดุที่แตกต่างจากโดมเนื่องจากต้อง
รับมือกับความร้อนโดยไม่ฉีกขาดหรือมีการเปลี่ยนแปลงมิติอย่างมีนัยสำคัญ ฟิล์มโพลีอิไมด์
Nomex และใยแก้วเป็นที่นิยมสำหรับการใช้งานนี้ ระบบกันสะเทือนอาจเป็นความต่อเนื่องของ
ไดอะแฟรมและตดิ กาวเข้ากับวงแหวนยึดซึง่ อาจพอดีกับรอ่ งยึดหมุดหรอื ยึดด้วยสกรูของเคร่ือง
โดยทั่วไปไดอะแฟรมมีรูปร่างเหมือนโดมคว่ำและโหลดเป็นชุดของช่องเรียวในโครงสร้าง
สว่ นกลางทีเ่ รยี กวา่ ปล๊กั เฟสซึง่ จะปรับความยาวเส้นทางระหว่างพืน้ ทีต่ ่างๆของไดอะแฟรมและ
คอฮอร์นเพื่อป้องกันการยกเลิกอะคูสติกระหว่างจุดต่างๆบน พื้นผิวไดอะแฟรม เฟสปล๊ัก
ออกเปน็ ท่อเรียวซึ่งเปน็ จดุ เริ่มต้นของแตรเอง ลำคอที่ขยายออกอย่างช้าๆภายในไดรเวอร์ยังคง
ดำเนินต่อไปในแตร Horn flare ควบคุมรูปแบบการครอบคลุมหรือทิศทางและในฐานะหม้อ
แปลงอะคูสติกจะเพิ่มอัตราขยาย ชุดขับฮอร์นและไดรเวอร์การบีบอัดแบบมืออาชีพมีความไว
เอาต์พุตระหว่าง 105 ถึง 112 dB / วัตต์ / เมตร สิ่งนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าอย่างมาก (และ
เป็นอันตรายต่อวอยซค์ อยลข์ นาดเล็กและในอดีตน้อยกว่า) มากกว่าโครงสร้างทวีตเตอร์อื่น ๆ
ทวีตเตอร์แบบกรวยมีการออกแบบ และรปู แบบพืน้ ฐานเชน่ เดียวกบั วฟู เฟอร์พร้อมการปรับแต่ง
ให้ทำงานทีค่ วามถี่สงู ข้ึน การเพิ่มประสทิ ธิภาพมกั จะมลี กั ษณะดังน้ี

- กรวยทีเ่ ลก็ และเบามากจึงสามารถเคลื่อนทีไ่ ด้อยา่ งรวดเรว็
- วัสดุรปู กรวยที่เลือกใช้สำหรบั ความแข็ง (เช่นกรวยเซรามิกในไลน์
ของผู้ผลติ รายหนึ่ง) หรอื คุณสมบตั ิการกันชืน้ ที่ดี (เช่นกระดาษผ้าไหมหรอื ผา้ เคลือบ) หรอื ทั้ง
สองอยา่ ง
- ระบบกนั สะเทือน (หรอื สไปเดอร์) ทีแ่ ข็งกวา่ ไดรเวอร์อืน่ ๆ ตอ้ งการ
ความยดื หย่นุ น้อยกว่าสำหรับการสรา้ งความถี่สงู

65

- วอยซค์ อยลข์ นาดเลก็ (ปกติ 3/4 นิว้ ) และสายไฟ (บาง) ซึ่งยงั ชว่ ย
ให้กรวยทวีตเตอรเ์ คลื่อนที่อย่างรวดเรว็ ซึ่งลำโพงประเภทนี้ยังมแี ยกออกมาอีกหลายชนิด ดงั น้ี

2.5.1. Cone tweeter

ภาพที่ 7.66 Cone tweeter

ภาพจาก : https://www.amazon.com/Audio-Car-Tweeter-Speaker-Frequency/dp/B0002DNZQG

ทวีตเตอร์แบบกรวยได้รบั ความนิยมในลำโพงไฮไฟสเตอริโอรุน่ เกา่ ที่ออกแบบและผลิต
ในทศวรรษที่ 1960 และ 1970 เพื่อเป็นทางเลือกให้กับทวีตเตอรแ์ บบโดม (ซึ่งได้รบั การพัฒนา
ในช่วงปลายทศวรรษ 1950) ทวีตเตอร์แบบกรวยในปัจจุบันมักมีราคาค่อนข้างถูก แต่ในอดีต
จำนวนมากมีคุณภาพสูงเช่นที่ผลิตโดย Audax / Polydax, Bozak, CTS, JBL, Tonegen และ
SEAS ทวีตเตอร์รปู กรวยแบบวินเทจเหล่านีแ้ สดงการตอบสนองความถีแ่ บนมากความผิดเพี้ยน
ตำ่ การตอบสนองชวั่ คราวทีร่ วดเรว็ ความถี่เรโซแนนซ์ต่ำและการม้วนออกต่ำสุดที่นุ่มนวลทำให้
การออกแบบครอสโอเวอร์ง่ายขึ้น ตามแบบฉบับของยุค 1960/1970 คือทวีตเตอร์กรวย
"ฟีนอลิกริง" ของ CTS ซึ่งแสดงการตอบสนองแบบแบนตั้งแต่ 2,000 ถึง 15,000 เฮิรตซ์ความ
ผดิ เพีย้ นตำ่ และการตอบสนองช่ัวคราวที่รวดเร็ว ทวีตเตอร์ "ฟีนอลกิ ริง" ของ CTS ได้ชื่อมาจาก
วงแหวนกันสะเทือนขอบสีส้มซึ่งทำจากฟีนอลิก มันถูกใช้ในลำโพงวินเทจหลายยี่ห้อและหลาย
รุ่นและเป็นราคากลางๆ ทวีตเตอร์แบบกรวยมีลักษณะการกระจายที่แคบกว่าซึ่งเหมือนกับ
วูฟเฟอร์แบบกรวย ดังนั้นนักออกแบบหลายคนจึงเชื่อวา่ สิ่งนี้ทำให้พวกเขาเข้ากันได้ดีกับกรวย
มิดเรนจ์และวูฟเฟอร์ทำให้สามารถถ่ายภาพสเตอริโอที่ยอดเยี่ยมได้ อย่างไรก็ตาม "จุดหวาน"
ที่เกิดจากการกระจายตัวที่แคบของทวีตเตอร์กรวยมีขนาดเล็ก ลำโพงที่มีทวีตเตอร์แบบกรวย
ให้การถ่ายภาพสเตอริโอที่ดีที่สุดเมื่อวางไว้ที่มุมห้องซึง่ เป็นแนวทางปฏิบตั ิทั่วไปในช่วงปี 1950
1960 และต้นปี 1970 ในช่วงทศวรรษที่ 1970 และ 1980 การเปิดตวั แผ่นออดิโอไฟล์คณุ ภาพสูง

66

ขึ้นอย่างกว้างขวางและการถือกำเนิดของซีดีทำให้ทวีตเตอร์กรวยไม่ได้รับความนิยมเนื่องจาก
ทวีตเตอร์แบบกรวยแทบจะไม่ขยายเกิน 15 กิโลเฮิร์ตซ์ ทวีตเตอร์แบบกรวยขาด ความโปร่ง
สบายของทวีตเตอร์โดมหรือประเภทอื่น ๆ อย่างไรก็ตามทวีตเตอร์กรวยระดับไฮเอนด์จำนวน
มากยังคงผลิตได้อย่าง จำกัด โดย Audax, JBL และ SEAS จนถึงกลางทศวรรษที่ 1980 ปัจจุบัน
ทวีตเตอรแ์ บบกรวยแทบไม่ได้ใช้ในการใช้งานไฮไฟสมยั ใหม่และพบเห็นได้ท่ัวไปในแอพพลิเคช่ัน
ราคาประหยัดเช่นลำโพงรถยนต์จากโรงงานระบบสเตอริโอขนาดกะทัดรัดและกล่องบูม เมื่อ
เรว็ ๆ นีผ้ ผู้ ลติ ลำโพงบตู ิกบางรายได้กลบั ไปใช้ทวีตเตอรก์ รวยระดับไฮเอนดโ์ ดยเฉพาะการสร้าง
รปู แบบวงแหวนฟีนอลิก CTS เพื่อสร้างผลิตภณั ฑท์ ี่ให้เสียงสไตล์วินเทจ

2.5.2 Dome tweeter

ภาพที่ 7.67 Dome tweeter

ภาพจาก : https://www.samdee-audio.com/product/200/audax-tw034x0-1-3-textile-dome-tweeter

ทวีตเตอร์แบบโดมถูกสร้างขึ้นโดยการติดวอยซ์คอยล์เข้ากับโดม (ทำจากผ้าทอโลหะ
บาง ๆ หรอื วัสดุอื่น ๆ ทีเ่ หมาะสม) ซึ่งติดกบั แม่เหล็กหรอื แผ่นด้านบนผา่ นระบบกันสะเทือนที่มี
ความสอดคล้องตำ่ โดยทั่วไปทวีตเตอรเ์ หล่านีไ้ ม่มีโครงหรอื ตะกร้า แตม่ แี ผน่ ด้านหน้าเรียบง่าย
ที่ติดอยู่กับชุดแม่เหล็ก ทวีตเตอร์แบบโดมแบ่งตามเส้นผ่านศูนย์กลางของวอยซ์คอยล์และมี
ขนาดตั้งแต่ 19 มม. (0.75 นิ้ว) ถึง 38 มม. (1.5 นิ้ว) ทวีตเตอร์โดมส่วนใหญ่ที่ใช้ในลำโพงไฮไฟ
ในปจั จบุ นั มเี ส้นผ่านศนู ยก์ ลาง 25 มม. (1 นิว้ )

รูปแบบคือหม้อน้ำวงแหวนซึ่ง 'ช่วงลา่ ง' ของกรวยหรอื โดมกลายเปน็ องค์ประกอบการ
แผ่รังสีที่สำคัญ ทวีตเตอร์เหล่านี้มีลักษณะการบังคับทิศทางที่แตกต่างกันเมื่อเทียบกับทวีต
เตอร์โดมมาตรฐาน

67

2.5.3 Piezo tweeter

ภาพที่ 7.68 Piezo tweeter
ภาพจาก : https://www.jaycar.com.au/piezo-horn-tweeter/p/CT1930
ทวีตเตอร์แบบเพียโซ (หรอื เพียโซ - ไฟฟ้า) ประกอบด้วยคริสตัลเพียโซอิเล็กทริกคู่กับ
ไดอะแฟรมเชิงกล สัญญาณเสียงถกู นำไปใช้กบั คริสตัลซึง่ ตอบสนองโดยการโค้งงอตามสัดส่วน
ของแรงดันไฟฟ้าที่ใช้กับพื้นผิวของคริสตัลจึงแปลงพลังงานไฟฟ้าเป็นเชิงกล การแปลงพัลส์
ไฟฟ้าเป็นการสนั่ เชิงกลและการแปลงการส่ันสะเทือนเชิงกลที่สง่ คืนกลบั เปน็ พลังงานไฟฟ้าเป็น
พื้นฐานสำหรับการทดสอบอัลตราโซนิก องค์ประกอบที่ใช้งานเป็นหัวใจของทรานสดิวเซอร์
เนื่องจากจะแปลงพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานอะคูสติกและในทางกลับกัน โดยทั่วไปแล้ว
องค์ประกอบที่ใช้งานอยู่นั้นเป็นชิ้นส่วนของวัสดุที่มีโพลาไรซ์ (เช่นบางส่วนของโมเลกุลมีประจุ
บวกในขณะที่ส่วนอื่น ๆ ของโมเลกุลมีประจุลบ) โดยมีอิเล็กโทรดติดอยกู่ บั สองใบหน้าที่อยู่ตรง
ข้ามกัน เมื่อสนามไฟฟ้าถูกนำไปใช้กับวัสดุโมเลกุลโพลาไรซ์จะปรับตัวเข้ากับสนามไฟฟ้าทำให้
เกิดไดโพลที่เหนี่ยวนำภายในโครงสร้างโมเลกุลหรือคริสตัลของวัสดุ การจัดตำแหน่งของ
โมเลกุลนี้จะทำให้วัสดุเปลี่ยนมิติ ปรากฏการณ์นี้เรียกว่าไฟฟ้าสถิต นอกจากนี้วัสดุที่มี
โพลาไรซ์ถาวร เช่นควอตซ์ (SiO2) หรือแบเรียมไททาเนต (BaTiO3) จะสร้างสนามไฟฟ้าเมื่อ
วัสดุเปลี่ยนขนาดอนั เป็นผลมาจากแรงทางกลที่กำหนด ปรากฏการณ์นี้เรียกว่าผลกระทบเพีย
โซอิเล็กทริก ทวีตเตอร์ Piezo แทบจะไม่ถูกใช้ในเสียงระดับไฮเอนด์เนื่องจากมีความเที่ยงตรง
ต่ำแม้ว่าจะมีคุณสมบัติในการออกแบบระดับไฮเอนด์ในช่วงปลายยุค 70 เช่น Celef PE1 ซึ่งใช้
เป็นซูเปอร์ทวีตเตอร์ร่วมกับ ทวีตเตอร์โดมธรรมดา มักใช้ในของเล่นเสียงกริง่ สัญญาณเตือนตู้
ลำโพงกีต้าร์เบสคอมพิวเตอร์ราคาถูกหรอื ลำโพงสเตอริโอและแตร PA

68

2.5.4 Ribbon tweeter

ภาพที่ 7.69 Ribbon tweeter

ภาพจาก : https://www.hifisound.de/Do-it-yourself-Products/Speaker-Drivers/Tweeter/Visaton-MHT-12-Ribbon-Tweeter.html

ทวีตเตอร์แบบริบบอนใช้ไดอะแฟรมที่บางมาก (มักเป็นอลูมิเนียมหรืออาจเป็นฟิล์ม
พลาสติกที่ทำจากโลหะ) ซึ่งรองรับขดลวดระนาบที่มักเกิดจากการสะสมของไออลูมิเนียมซึ่ง
แขวนลอยอยู่ในสนามแม่เหล็กอันทรงพลัง (โดยทั่วไปจะมีแม่เหล็กนีโอดิเมียม) เพื่อสร้าง
ความถี่สูง การพัฒนาทวีตเตอร์แบบริบบิ้นมีมากหรือน้อยตามการพัฒนาของไมโครโฟนแบบ
ริบบอน ริบบิ้นเป็นวัสดุที่มีน้ำหนักเบามากและมีความสามารถในการเร่งความเร็วสูงมากและ
ขยายการตอบสนองความถี่สูง โดยทั่วไปแล้วริบบอนไม่สามารถให้ผลผลิตสูงได้ (ช่องว่างของ
แมเ่ หล็กขนาดใหญท่ ีน่ ำไปสกู่ ารเชอ่ื มต่อแม่เหล็กที่ไม่ดีเป็นสาเหตหุ ลกั ) แตท่ วีตเตอรร์ ิบบอนรุ่น
กำลังสูงกลายเป็นเรื่องปกติในระบบไลน์อาร์เรย์เสริมกำลังเสียงขนาดใหญ่ซึ่งสามารถรองรับ
ผู้ชมได้หลายพันคน พวกเขามีความน่าสนใจในแอปพลิเคชั่นเหล่านี้เนื่องจากทวีตเตอร์แบบ
ริบบนิ้ เกือบท้ังหมดแสดงคุณสมบัติทิศทางทีเ่ ป็นประโยชน์โดยมีการกระจายในแนวนอนที่กว้าง
มาก (การครอบคลุม) และการกระจายในแนวตั้งที่แน่นมาก ไดรเวอร์เหล่านี้สามารถวางซ้อน
กันในแนวตั้งได้อย่างง่ายดายสร้างไลน์อาร์เรย์ความถี่สูงที่ให้ระดับความดันเสียงสูงห่างจาก
ตำแหน่งลำโพงมากกวา่ ทวีตเตอรท์ วั่ ไป

69

2.5.5 Planar-magnetic tweeter

ภาพที่ 7.70 Planar-magnetic tweeter
ภาพจาก : https://www.ebay.co.uk/itm/Hygeia-RT-62041-Planar-Magnetic-Ribbon-

Tweeter-One-Pair-Two-Diaphragms-/263877401449
นักออกแบบลำโพงบางรายใช้ทวีตเตอร์แม่เหล็กแบบระนาบบางครั้งเรียกว่าริบบอน
ทวีตเตอร์แม่เหล็กระนาบโดยทั่วไปมีราคาถูกกว่าทวีตเตอร์แบบริบบิ้นจริง แต่ไม่สามารถ
เทียบเท่าได้อย่างแม่นยำเนื่องจากริบบิ้นฟอยล์โลหะมีน้ำหนักเบากว่าไดอะแฟรมในทวีตเตอร์
แม่เหล็กแบบระนาบและโครงสร้างแม่เหล็กจะแตกต่างกัน โดยปกติจะใช้แผ่นฟิล์ม PET หรือ
พลาสติกบาง ๆ ที่มีลวดวอยซ์คอยล์ที่ใช้วัสดุในแนวตั้งหลายครั้ง โครงสร้างแม่เหล็กมีราคาไม่
แพงกวา่ ทวีตเตอรแ์ บบริบบิน้

2.5.6 Electrostatic tweeter

ภาพที่ 7.71 Electrostatic tweeter
ภาพจาก : http://www.pharoahaudio.com/tweeterfixpart1.html


Click to View FlipBook Version