The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอน_161429 เล่มที่ 2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Narin Nonthamand, 2021-05-04 13:58:10

เอกสารประกอบการสอน_161429 เล่มที่ 2

เอกสารประกอบการสอน_161429 เล่มที่ 2

380

5. บทแบบเปิด (Open Script)
เป็นบทที่มีการเรียงลำดับประเด็นที่พูดีหรือสัมภาษณ์เช่น ประเด็นที่พิธีกรจะ
ถาม และประเด็น สำหรับผู้ร่วมในรายการให้สัมภาษณ์ตอบเท่านั้น บทโทรทศั นแ์ บบนี้ไม่มีการ
กำหนดรายละเอียดใดเลยเกี่ยวกับ ภาพและเสียงมีการใช้ในการบันทึกเทปโทรทัศน์เพื่อที่จะ
นำไปตัดต่อแก้ไขอีกคร้ัง

ภาพที่ 11.28 บทแบบเปิด
ภาพจาก : http://www.research-system.siam.edu/images/1130/05-ch2.pdf

1.3.1 กำหนด Theme
Theme แปลได้วา่ แกน่ ใจความสำคญั แนวคิดหลกั สาร ประเด็น ฯ รายการที่
ได้ผลดี ควรจะมี theme เพียงหนึ่งเดียว คือมีประเด็นหลักที่ต้องการจะสื่อสารเพียงหนึ่งสิ่ง
เพราะเวลาที่สั้นทำให้ไม่สามารถเล่าประเด็นหลายๆประเด็นได้อย่างสมบูรณ์ การเขียนtheme
ไม่ได้ต้องใช้คำสวยหรู ไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจยาก ไม่ต้องเป็นปรัชญา ไม่จำเป็นต้องเป็น
แนวคิดสากล เป็นความแนวคิดส่วนตัวก็ได้ เพียงแต่เราต้องมีความเชื่อในแนวคิดหรือ theme

381

นั้นๆ และมีมุมมองที่จะนำเสนอ เหมือนกับการที่เราจะโน้มน้าวใจเรื่องอะไรสักเรื่องกับใครสัก
คน ถ้าเราไมเ่ ชอ่ื ในแนวคิดน้ันแล้ว มมุ มองที่จะใช้ถา่ ยทอด ชกั จูง ต่อต้าน ประเด็นเนื้อหาสำคัญ
หรือแกนหลัก (Main theme) ของเรื่องที่จะนำเสนอ ซึ่งอาจประกอบด้วยประเด็นรองๆ
(sub theme) อีกก็ได้ แต่ต้องไม่ออกนอกแนวความคิดหลัก การกำหนด theme มี 3 ขั้นตอน
ดังน้ี

1. จดุ เริม่ ต้น (BIGINNING) ชว่ งของการเปิดเร่อื ง แนะนำเรือ่ งราว ปูเน้ือ
เรื่อง

2. การพัฒนาเรื่อง (DEVELOPING) การดำเนินเรื่อง ผ่านเหตุการณ์
เดียวหรอื หลายเหตุการณ์ เนือ้ เรื่องจะมีความซบั ซ้อนมากขึ้น

3. จุดสิ้นสุด (ENDING) จุดจบของเรื่อง แบ่งออกเป็นแบบสมหวัง
(Happy ending) ทำให้รสู้ ึกอิ่มเอมใจ และแบบผดิ หวัง (Sad ending) ทำให้รสู้ ึกสะเทือนใจ

1.3.2 เขียนบท Script , Shooting script
โดยเริ่มจากการเกริ่นนำ (Introduction) หรอื บทนำ
ในการเกริ่นนำหรือการนำเรื่อง(Introduction) ซึ่งเรียกสั้น ๆ เป็นขั้นอินโทร
(Intro) เป็นข้ันตอนทีจ่ ะกระตนุ้ ความสนใจของผู้ชม เป็นการท้าวความอา้ งองิ หรอื นำเรื่องเพื่อชัก
จูงให้ผู้ชมไปสู่จดหมายุ คือ เรื่องราวที่จะนำเสนอนั่นเอง การเกริ่นนำจะเป็นการหาสิ่งที่
ประทับใจ สิ่งที่ชวนให้ฉงน หรือสิ่งที่ตื่นเต้นเพื่อกระตุ้นเร้า เรียกร้องความสนใจ ชักชวนให้
ติดตาม ด้วยลีลาต่าง ๆ อาจจะเป็นภาพ เสียงหรือแสง- สีการเกริ่นนำมกจะเกริั่นนำสั้น ๆ
เพียงเพื่อให้ผู้ชมสนใจ อยากรู้อยากเห็น ในสิ่งที่จะนำเสนอดวยเหตุนการวางโครงเรื่อง จึง
มกั จะขึน้ อยกู่ ับลีลาของผเู้ ขียนบทแตล่ ะคน ที่จะทำให้รายการน้ันน่าสนใจ น่าทึ่งหรือประทับใจ
ผชู้ ม
เนือ้ เรื่องหรอื ตวั เรือ่ ง (Body)
ในส่วนของเนอเรื้องหรือตัวเรื่อง (Body) ก็คือเนื้อหาเรื่องราวทั้งหมดที่จะ
นำเสนอเป็นการนำเอาแก่นของเรื่อง (Theme) หรือความคิดรวบยอด (Concept) ของเรื่องมา
คลี่คลายมาขยายให้เห็นพัฒนาการอย่างเป็นขั้นตอน (Development) หรือเรียกว่าเป็นการ
ดำเนินเรื่องนั่นเอง่ในส่วนนี้ผู้เขียนบทจะแสดงออกถึงความสามารถ ความเชี่ยวชาญใน
ประสบการณ์ที่มีอยู่อย่างเต็มที่สีสันลีลาของการนำเสนอการดำเนินเรื่องจะมีอารมณ์ (Mood)
มีการหักมุม (Climax) ให้ได้ดีที่สุดการดำเนินเร่ืองหรือเน้ือเรื่อง กเ็ ปน็ การขยายความให้ผู้ดูหรือ
ผชู้ มได้รับรู้วา่ เรือ่ งราวแท้จรงิ นน้ั เปน็ อยา่ งไร

382

การสรปุ หรือส่งท้าย (Conclusion)
เป็นข้ันตอนทีจ่ ะย่นยอ่ เรื่องทั้งหมดตั้งแต่การนำเรื่องและการดำเนินเร่ืองลงมา
อย่างมีศิลปะ เป็นการสรุปหรือเน้นถึงความคิดรวบยอด (Concept) ของเรื่องราวโดยได้
สอดแทรกแง่คิด ข้อเตือนใจ ปลูกฝังค่านิยม และทัศนคติที่ดีหรืออาจจะส่งท้ายด้วยการให้
ความรู้สึกประทับใจ ชวนให้อาลับอาวรณ์หากเป็นการท่องเที่ยว บางครั้งก็มีจะมีของฝาก ของ
ที่ระลึกจากสถานทีน่ ั้นๆ นำไปฝากญาติพ่ีน้องหรอื เพื่อน ๆ ด้วยการใชภ้ าษาที่สละสลวย น่าฟัง
ตามที่ผเู้ ขียนบทจะจนิ ตนาการออกมา
1.3.3 กำหนด storyboard
สตอรี่บอร์ด (Story Board) คือการเขียนกรอบแสดงเรื่องราวที่สมบูรณ์ของภาพยนตร์
หรอื หนังแต่ละเรือ่ ง โดยมีการแสดงรายละเอียดที่จะปรากฏในแต่ละฉากหรือแตล่ ะหน้าจอ เช่น
ข้อความ ภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียงดนตรี เสียงพูดและแต่ละอย่างนั้นมีลำดับของการปรากฏ
ว่าอะไรจะปรากฏขึ้นก่อน-หลัง อะไรจะปรากฏพร้อมกัน เป็นการออกแบบอย่างละเอียดในแต่
ละหน้าจอก่อนที่จะลงมือสร้างเอนิเมชันหรือ หนังขึ้นมาจริงๆ รูปแบบของสตอรี่บอร์ด จะ
ประกอบไปด้วย 2 สว่ นคือ ส่วนภาพ กับสว่ นเสียง โดยปกติการเขียนสตอรีบ่ อรด์ กจ็ ะวาดภาพ
ในกรอบสีเ่ หล่ยี ม ตอ่ ด้วยการเขียนบทบรรยายภาพหรอื บทการสนทนา และส่วนสดุ ท้ายคือการ
ใส่เสียงซึ่งอาจจะประกอบด้วยเสียงสนทนา เสียงบรรเลง และเสียงประกอบต่างๆ Storyboard
คือ การสร้างภาพให้เห็นลำดับขั้นตอนตามเนื้อเรื่องที่ต้องการ โดยเฉพาะภาพเคลื่อนไหว
รายละเอียดที่ควรมีใน Storyboard ได้แก่คำอธิบายแต่ละสื่อที่ใช้ (ข้อความ รูปภาพ
ภาพเคลือ่ นไหว เสียง วีดโิ อ) (Dhurakij Pundit University, 2018)

ขั้นตอนการทำ Story Board
1.วางโครงเรอ่ื งหลกั ไมว่ ่าจะเป็น Theme, ตวั ละครหลกั , ฉาก ฯลฯ

1.1 แนวเรอ่ื ง
1.2 ฉาก
1.3 เนือ้ เรือ่ งยอ่
1.4 Theme/แกน่ (ข้อคิด/ส่งิ ทีต่ อ้ งการจะสือ่ )
1.5 ตวั ละคร สิง่ สำคัญคือกำหนดรูปลกั ษณ์ของตวั ละครแต่ละ
ตัวให้โดดเดน่ ไม่คล้ายกนั จนเกินไป ควรออกแบบรูปลักษณ์ของตวั ละครให้โดดเดน่ แตกตา่ งกนั
และมองแล้วสามารถสื่อถึงลักษณะนิสยั ของตัวละครได้ทันที

383

2. ลำดบั เหตกุ ารณ์คร่าว ๆ
จุดสำคัญคือ ทุกเหตกุ ารณ์จะเป็นเหตเุ ป็นผลซึ่งกันและกัน เหตุการณ์
ก่อนหน้าจะทำให้เหตุการณต์ ่อมามีน้ำหนักมากขึ้น และต้องหาจุด Climax ของเรื่องให้ได้ จุดนี้
จะเป็นจุดที่น่าตื่นเต้นที่สุดก่อนที่จะเฉลยปมทุกอย่างในเรื่อง การสร้างปมให้ผู้อ่านสงสัยก็เป็น
จุดสำคัญในการสร้างเรื่อง ปมจะทำให้ผู้อ่านเกิดคำถามในใจและคาดเดาเนื้อเรื่องรวมถึงตอน
จบไปต่าง ๆ นานา
3. กำหนดหน้า ในการกำหนดหน้า ผู้ผลิต ควรระบุระยะเวลาในแต่ละ
ฉาก โดยคำนึงถึงระยะเวลาของวดิ ีโอวา่ วิดโี อทีอ่ อกแบบไว้ จะมีความยาวกีน่ าที
4. แตง่ บท
เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนลงมือวาดสตอรี่บอร์ด ควรเขียนบทพูดและ
บทความคิดที่จะใช้เขียนลงในหนังออกมาโดยละเอียดเพื่อที่จะได้กำหนดขนาดของบอลลูนและ
จัดวางลงบนหนา้ กระดาษได้อยา่ เหมาะสม
5. ลงมือเขียน Story Board เป็นการเล่าเรื่องออกมาเป็นภาพในแต่ละ
ฉากว่าในแต่ละฉากนั้นมีตัวละครอะไรบ้างมีผู้แสดงคือใครบ้างมีข้อความหรือใช้เสียงภาพ
กราฟฟิกอะไรบ้าง อธิบายเป็นภาพออกมาเรียงรอ้ ยตอ่ กันเป็นเรื่องราว
1.3.4 ตรวจแก้ไขก่อนนำไปถา่ ยทำ
บทวิดีโอฉบับสมบูรณ์ (Full Script) หรือบทสำหรับถ่ายทำ (Shooting Script)
จะนำเอาร่างบทมาขยายอย่างละเอียด ในลักษณะของการถ่ายทำ ซึ่งจะมีลักษณะของภาพ
ขนาดของภาพ กำหนดกล้องและการแสดงของผู้แสดง หรือ เหตุการณ์นั้น อย่างสมจริง
โดยทีมงานจะยึดการปฏิบัติงานตามบทวิดีโอนี้ แต่ลักษณะที่เป็นจริงบทวิดีโออาจจะมีการ
ปรับเปลี่ยนบทบ้าง ตามความเหมาะสมของเหตุการณ์นั้น ทั้งนี้ อาจมีการให้ผู้เชี่ยวชาญจาก
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องรายการที่จะดำเนินการผลิตสื่อวิดีโอ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ใน
กลุ่มงานเผยแพรแ่ ละประชาสัมพันธ์ อ่านทบทวน และปรบั ปรงุ แก้ไข บทโทรทศั น์ ภายหลังจาก
การเขียนเสร็จรา่ งที่ 1 และนำมาปรบั แก้ไขใหส้ มบูรณ์อีกครั้งภายหลัง
2. ข้นั การผลิต (Production)
ขั้นการผลิต (Production) คือขน้ั ของการถา่ ยทำ Studio Production หรอื On location
shooting (Indoor, Outdoor) ซึง่ ในขั้นตอนน้ีตอ้ งเตรยี ม
2.1 อุปกรณ์ (Preparation - kit) สิง่ ที่ตอ้ งเตรยี มคือ
2.1.1 กล้อง (Camera)

384

กล้อง คือ อุปกรณ์การผลิตวิดีโอที่มีความสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่ง
ส่วนอปุ กรณ์อืน่ ๆ และเทคนิคการผลิตต่างกอ็ ยู่ภายใต้อิทธิพลของกล้อง และประสิทธิภาพการ
ทำงานของกล้องที่จะเก็บภาพอันสำคัญมาจัดทำเป็นรายการ กล้องถ่ายภาพโทรทัศน์ในยุค
ปัจจุบันจะเป็นชนิดที่เรียกว่า Camcorder ซึ่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการบันทึกภาพใน
ช่วงเวลาเพียงสองทศวรรษมา ซึ่งกล้องเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อนั ดับแรกที่ ผู้ผลิตรายการ
จะต้องรู้จักและคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี เพราะกล้องจะเป็นตัวสร้างภาพให้ปรากฏขึ้นเพื่อน
นำไปบันทึกเทปโทรทัศน์ หรือสามารถนำไปออกอากาศสดได้ทันที ผู้ผลิตรายการจะต้อระลึก
อยู่เสมอว่า คุณภาพของภาพที่ถ่ายโดยกล้องต่างๆ นั้นจะดีหรือไม่ดี ก็อยู่ที่คุณภาพของกล้อง
เอง ไม่ว่าจะเป็นความคมชัด ความสดใสของสีสัน หรือแม้กระทั่งปริมาณของสัญญาณรบกวน
ล้วนแลว้ เปน็ ผลที่มาจากตัวกล้องโทรทัศน์เองท้ังสิน้ ท้ังนีต้ ้องไมล่ ืมว่ากล้องโทรทัศน์เป็นสินค้า
ชนิดหนึ่งที่ผู้ผลิตได้ผลิตขึ้นมาเพื่อหวังผลทางการค้า คุณภาพของกล้องจึงมีส่วนสัมพันธ์กับ
ราคา กล่าวคือ ถ้ากล้องราคาถูก ๆ แต่จะหวังคุณภาพอันเลอเลิศ ก็คงเป็นไปไม่ได้ ซึ่งเราจะ
ทราบถึงเหตุผลว่า เพราะเหตุใดกล้องโทรทัศน์จึงมีความแตกต่างกัน และอย่างไรจึงจะเรียกว่า
มีคุณภาพดีเลิศ จะพิจารณาจากจุดใดบ้าง ซึ่งสามารถจะนำไปกล่าวอ้างสำหรับปัจจัยในการ
พิจารณาได้เมื่อมีการปฏิบัติงานจริง นอกจากนั้นยังมีอุปกรณ์อื่นที่นำมาต่อพ่วงกับกล้องอีก
หลายชนดิ โดยกล้องมีชนิดตา่ งๆ ดงั น้ี

2.1.1.1 Camcorder

ภาพที่ 11.29 Camcorder

ภาพจาก : https://www.coremedia-tv.com/product/1266/sony-hxr-mc2500-cmos-sensor-hd-sd-avchd-camcorder

Camcorder เป็นกล้องที่เป็นอุปกรณ์อิเลก็ ทรอนิกส์ที่เดิมประกอบด้วยกล้องวิดีโอ และ
เครื่องบันทึกวิดีโอเทปซึ่งกล้องวิดีโอรุน่ แรกสุดเป็นแบบเทปบันทึกสัญญาณอนาลอ็ กลงในเทป

385

วิดีโอเทป ในปี 2549 การบันทึกแบบดิจิทัลกลายเป็นบรรทัดฐานโดยแทนที่เทปด้วยสื่อบันทึก
ข้อมูลเช่น mini-HD, microDVD, หน่วยความจำแฟลชภายใน และการ์ด SD โดยอุปกรณ์รุ่น
ล่าสุดที่สามารถบันทึกวิดีโอได้ ได้แก่ โทรศัพท์กล้องถ่ายรูปและกล้องดิจิทัลที่มีไว้สำหรับ
ภาพนิ่งเป็นหลัก คำว่า "กล้องถ่ายวิดีโอ" อาจใช้เพื่ออธิบายอุปกรณ์พกพาที่มีอยู่ในตัวพร้อม
การจบั ภาพและบันทึกวิดีโอฟังก์ชันหลักซึ่งมกั จะมีฟังก์ชนั ขั้นสูงเหนือกล้องทั่วไปเช่นเลนส์ซูมอ
อปติคอลภายในที่สามารถใช้งานได้อย่างเงียบด้วย ไม่มีความเร็วที่ถูกควบคุมในขณะที่กล้องที่
มีเลนส์ซูมแบบยืดเยื้อมักจะเร่งความเร็วในการทำงานระหว่างการบันทึกวิดีโอเพื่อลดการ
รบกวนทางเสียง นอกจากนีย้ นู ิตเฉพาะยงั สามารถทำงานได้โดยใช้พลังงานภายนอกเท่าน้ันโดย
ไม่ต้องใส่แบตเตอรี่ (Wikipedia, 2021) ซึ่งกล้องถ่ายวิดีโอ (กล้องบันทึกภาพ) นี้เป็นอุปกรณ์
บันทึกภาพอิเลก็ ทรอนิกส์แบบพกพาที่สามารถบันทึกวิดีโอและเสียงแบบสดสำหรับการเล่นใน
ภายหลังได้ กล้องวิดีโอมีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วนคือเลนส์ที่รวบรวม และโฟกัสแสงอิมเมจที่
แปลงแสงเป็นสัญญาณไฟฟ้า และเครื่องบันทึกที่แปลงสัญญาณไฟฟ้าเป็นวิดีโอดิจิทัล และ
เข้ารหสั เพือ่ จดั เกบ็ กล้องวิดีโอซึ่งเป็นทีน่ ิยมในช่วงต้นทศวรรษ 1980 เป็นที่รู้จักกันในชื่อเคร่ือง
บันทึกวิดีโอหรือกล้องวิดีโอ นักถ่ายวิดีโอและผู้สร้างภาพยนตร์มืออาชีพใช้กล้องวิดีโอในการ
ผลิตกลุ่มวิดีโอและภาพยนตร์เพื่อขายในเชิงพาณิชย์ อุปกรณ์ดังกล่าวยังเป็นที่นิยมในหมู่นัก
ถ่ายวิดีโอมือสมคั รเล่น

กล้องวิดีโอตวั แรกทีบ่ นั ทึกในรูปแบบอะนาลอ็ กหน่งึ ในสองรูปแบบคือรปู แบบ VHS และ
Betamax การบันทึกจะถูกจัดเก็บไว้ในตลับเทปวิดีโอและเล่นซ้ำด้วยเครื่องบันทึกเทปวิดีโอ
(VCR) ที่เชื่อมต่อกับจอภาพโดยทั่วไปจะเป็นเครื่องรับโทรทัศน์ เมื่อเทคโนโลยีได้รับการ
ปรับปรุงรูปแบบอืน่ ๆ เชน่ S-VHS, 8 มม., Hi-8 และวิดีโอดิจทิ ลั (DV) และวิดีโอความละเอียด
สงู (HDV) กม็ ีให้ใชง้ าน รปู แบบเหลา่ น้ใี ห้ภาพทีค่ มชัดกว่าสีทีด่ ีขนึ้ บันทึกได้หลายชั่วโมงและการ
จัดเก็บที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทุกวันนี้กล้องบันทึกวิดีโอในรูปแบบต่างๆรวมถึง MP4 กล้อง
วิดีโอส่วนใหญ่สามารถเชื่อมต่อโดยตรงกับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลด้วย Universal Serial Bus
(USB) เพื่อให้สามารถตัดต่อวิดีโอได้ กล้องดิจิทัลบางตัวเช่นกล้องฟลิปยอดนิยมของ Pure
Digital มีซอฟตแ์ วร์แก้ไขในตวั กล้อง (TechTarget Contributor, 2009)

ประสิทธิภาพการทำงานของกล้องที่จะเกบ็ ภาพอันสำคัญมาจัดทำเปน็ รายการ กล้อง
ถา่ ยภาพโทรทัศนใ์ นยคุ ปัจจุบนั จะเป็นชนิดที่เรียกว่า Camcorder ซึง่ เป็นที่รู้จกั แพร่หลายใน
วงการบนั ทึกภาพในชว่ งเวลาเพียงสองทศวรรษมาน่เี อง Camcorder กค็ ือ Video Camera รวบ
กบั ส่วน Recorder ซึ่งกล้องวิดีโอสามารถแบง่ ออกเป็น 2 ประเภทหลกั ๆ คือ

386

2.1.1.1.1.กล้องถา่ ยวิดีโอแบบอนาลอ็ ก

ภาพที่ 11.30 กล้องถ่ายวิดีโอแบบอนาลอ็ ก
ภาพจาก : https://www.adorama.com/pcagdvx100b.html

ระบบวิดิโอแบบอนาลอ็ ก หรอื เทปวิดีโอทีเ่ ราเคยใช้ใน
อดีต ไมว่ ่าจะเป็นเทปวิดิโอแบบ VHS, S -VHS หรอื วิดีโอที่ได้มาจากกล้องวิดีโอระบบ 8 mm
และกล้องวิดีโอระบบ HI 8 ก็จัดว่า เป็นระบบอนาล็อก เช่นกัน ระบบวิดีโอแบบนี้จะเก็บ
ข้อมูลภาพและบันทึกเสียงไว้ในรูปแบบของคลื่นไฟฟ้าที่มีการเปลี่ยนแปลงสูงต่ำ ตามตำแหน่ง
ของขอ้ มูล ซึง่ จะทำให้เกิดความผดิ เพี้ยนได้ง่ายเวลาส่งออกไปยังส่ือต่าง ๆ โดยเฉพาะการcopy
ข้อมูลหลาย ๆ ครั้งจะทำให้คุณภาพของภาพและเสียงลดต่ำลงเรื่อย ๆ ปัจจุบันได้ถูกระบบ
วิดีโอแบบดิจิทัลเข้ามาแทนที่เรียบร้อยแล้วกล้องประเภทนี้จะบันทึกข้อมูลแบบความถี่ของ
สัญญาณเป็นลักษณะคล้ายเส้นกราฟ ขึ้น-ลง บันทึกข้อมูลลงม้วนเทป ซึ่งมีหลายขนาดเป็น
กล้องที่แทบไม่มีเห็นแล้วในปัจจุบัน แต่สามารถไปหาซื้อแบบมือสองได้ กล้องประเภทนี้มีข้อดี
คือ สามารถเก็บรายละเอียดในการบันทึกข้อมูลได้ดีกว่ากล้องดิจิทัล แลข้อเสียคือจะมีปัญหา
ในการโอนถ่ายข้อมูล และต้องทำการแปลงสัญญาณจากอนาล็อกมาเป็นแบบดิจิทัล ทำให้
คุณภาพต่ำลดต่ำลง สำหรบั กล้องถา่ ยวิดีโอแบบใช้เทป DV, Mini DV และ HDV เวลาจะทำการ
โอนย้ายข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์ จะต้องมี การ์ดแคปเจอร์ (Capture Card) สำหรับจับภาพวิดโี อ
เข้าสคู่ อมพิวเตอร์ ซึง่ กล้องถ่ายวิดีโอแบบอนาลอ็ ก สามารถแบง่ ออกได้หลายระบบตามระบบ
การบันทึกสญั ญาณดังน้ี

387

2.1.1.1.1.1 กล้องถา่ ยวิดีโอระบบ VHS

ภาพที่ 11.31 กล้องถา่ ยวิดีโอระบบ VHS
ภาพจาก : https://www.turbosquid.com/3d-models/maya-vhs-tape-handycam/465505

คำว่า VHS หมายถึงรูปแบบ Video Home
System สำหรบั การบันทึกวิดีโอที่พัฒนาโดย บริษัท ญี่ปุ่น JVC ในเวลานน้ั มนั เปน็ ความก้าวหน้า
ครั้งใหญ่สำหรับผู้บริโภคมีอำนาจในการบันทึกและเล่นวิดีโอในมือของสาธารณชนและ
แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในบ้านส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังทำให้ผู้คนสามารถบันทึกรายการ
โทรทัศน์เพื่อรับชมในภายหลัง ภาพและเสียงถูกบันทึกลงบนคาสเซ็ตวิดีโอด้วยกล้องหรือ
อุปกรณ์ที่รู้จักในชื่อ VCR หรือเครื่องบันทึกวิดีโอซึ่งสามารถเล่นสิ่งที่บันทึกไว้ในโทรทัศน์เพื่อ
รับชม รูปแบบ VHS ได้รับการเปิดตัวครั้งแรกโดย JVC ในปี 1976 เพื่อแข่งขันกับระบบที่
คล้ายคลึงกันที่เสนอโดย Sony ที่รู้จักในชื่อ Betamax ในขณะที่ทั้งสองรูปแบบมีการแข่งขันกัน
แต่ระบบ VHS เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคเพราะมันให้เวลาในการเล่นนานกว่าการย้อนกลับที่
เร็วกว่าและกรอไปข้างหน้าอยา่ งรวดเรว็ และมีราคาถกู กวา่ การซื้อ นอกจากนี้ JVC ยังอนุญาต
ให้ผู้อื่นใช้เทคโนโลยี VHS สำหรับค่าลิขสิทธิ์เล็ก ๆ ทำให้ได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่ผู้ผลิต
ภาพยนตร์ที่บันทึกไว้ล่วงหน้าและเทปความบันเทิงอื่น ๆ ด้วยปัจจัยเหล่านี้ VHS จึงกลายเป็น
รูปแบบการบนั ทึกทีโ่ ดดเด่นในชว่ งตน้ ทศวรรษ 1980 สำหรับเทปและ VCR ทีใ่ ชใ้ นบ้านส่วนใหญ่
จนถึงสิน้ ศตวรรษที่ 20 เมื่อดสิ กว์ ิดีโอดิจทิ ัล (ดีวีด)ี กลายเปน็ เทคโนโลยีชั้นนำ ก่อนการพัฒนา
และการแพร่กระจายของระบบ VHS ผู้บริโภคไม่มีความสามารถในการบันทึกภาพวิดีโอ
ต้นฉบับของตนเองหรือไปยังรายการโทรทศั นเ์ ทปเพื่อดูตามความสะดวก การแพรก่ ระจายของ
เทคโนโลยีน้ีเปน็ ลว่ งหน้าขนาดใหญ่และปูทางสำหรบั การพัฒนาในอนาคต นอกจากนยี้ ังเปลี่ยน
วิธีทีผ่ ู้บริโภคใช้โทรทัศน์และภาพยนตรท์ ำให้พวกเขาสามารถควบคุมตัวเลือกการรับชมได้มาก

388

ขึ้น เป็นครั้งแรกที่ภาพยนตร์สามารถซื้อหรือเช่าเพื่อรับชมที่บ้านได้แทนที่จะรอให้
สถานีโทรทศั นท์ ำการเล่น

ภาพที่ 11.32 วิดีโอเทป VHS

ภาพจาก : https://pixabay.com/th/photos/%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%
B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B9%8C-
%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9B-
%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B6%E0%B8%81-398740/

วิดีโอเทป VHS ท่ัวไปที่เรียกกันทั่วไปว่า
วิดีโอเทปบรรจุเทปแม่เหล็กขนาด 1,410 ฟุต (430 ม.) ในกล่องพลาสติกขนาดใหญ่ ขึ้นอยู่กับ
ความเร็วในการบันทึกสามารถเก็บวิดีโอได้นาน 2 ถึง 6 ชั่วโมง ผู้คนสามารถบันทึกภาพวิดีโอ
ของเหตกุ ารณส์ ำคญั โดยใช้กล้องวิดีโอพกพาที่รู้จกั กันในชือ่ กล้องวิดีโอ กล้องวิดีโอหลายรุ่นยัง
มีความสามารถในการเล่นเมื่อเชื่อมต่อกับโทรทัศน์ สามารถดูการบันทึกได้ด้วยการดูเทปใน
VCR VCR น้ันสามารถบนั ทึกวิดโี อได้เช่นรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์จากสัญญาณโทรทัศน์
ทำให้ผู้ชมสามารถบันทึกรายการหนึ่งในขณะที่ดูรายการอื่นหรือขณะที่พวกเขาอ อกจากบ้าน
VCR ยังใช้สำหรับการเล่นและดูโปรแกรมที่บันทึกไว้รวมทั้งสื่อที่บันทึกไว้ล่วงหน้า ซึ่งกล้อง
วิดีโอแบบ ม้วนเทปวิดีโอ และใช้เล่นกับเครื่องเล่นวิดีโอทั่วไป ซึ่งสามารถหาได้ยากในปัจจุบัน
(netinbag, 2018)

VHS กลายเป็นรูปแบบเทปสำหรับผู้บริโภค
ชั้นนำสำหรับภาพยนตรใ์ นบ้านหลังจาก "สงครามรปู แบบวิดีโอเทป" แมว้ า่ การติดตาม S-VHS,
W-VHS และ D-VHS จะไมไ่ ด้รบั ความนยิ ม ในชว่ งตน้ ปี 2000 ในตลาดวิดีโอที่บันทึกไว้ลว่ งหน้า
VHS เริม่ ถกู แทนที่ดว้ ยดีวดี ี รูปแบบดีวีดมี ีขอ้ ดีหลายประการเหนอื เทป VHS ดีวีดสี ามารถรับชม
ซ้ำได้ดีกว่าเทป VHS ซึ่งสามารถแตกหรือแตกได้ซึ่งทำให้ดีวีดีมีรูปแบบที่ดีกว่าจากมมุ มองของ
ร้านเช่า เช่นกันในขณะที่เทป VHS สามารถลบได้หากสัมผัสกับสนามแม่เหล็กที่เปลี่ยนแปลง
อยา่ งรวดเร็วซึ่งมีความแข็งแรงเพียงพอดีวีดีและแผ่นออปติคัลอืน่ ๆ จะไม่ได้รับผลกระทบจาก

389

สนามแม่เหลก็ แมว้ า่ ดวี ีดีจะไม่มีปญั หาของเทปเช่นการแตกของเทปหรอื กลไกของเทป แต่ดีวีดี
ก็ยังอาจได้รับความเสียหายจากรอยขีดข่วน อีกปัจจัยหนึ่งสำหรับร้านเช่าภาพยนตร์คือดีวีดีมี
ขนาดเล็กลงและใช้พื้นที่ในการจัดเก็บน้อยลง ดีวีดีมีข้อดีหลายประการสำหรับผู้ชม: ดีวีดี
สามารถรองรับได้ทั้งอัตราส่วนหน้าจอ 4x3 มาตรฐานและแบบไวด์สกรีน 16x9 และดีวีดี
สามารถให้ความละเอียดวิดีโอเป็นสองเท่าของ VHS เช่นกันผู้ชมที่ต้องการข้ามไปข้างหน้าจน
จบภาพยนตร์สามารถทำดีวีดีได้เร็วกว่าเทป VHS (ซึ่งต้องมีการกรอ) ดีวีดีสามารถมีเมนูแบบ
โต้ตอบแทร็กหลายภาษาคำบรรยายเสียงคำบรรยายแบบปิดและคำบรรยาย (พร้อมตัวเลือกใน
การเปิดหรือปิดคำบรรยายหรอื เลือกคำบรรยายในหลายภาษา) นอกจากนยี้ ังสามารถเล่นดีวีดี
บนคอมพิวเตอรไ์ ด้

2.1.1.1.1.2 กล้องถา่ ยวิดีโอระบบ 8 mm

ภาพที่ 11.33 กล้องถ่ายวืดีโอระบบ 8 mm
ภาพจาก : https://techcrunch.com/2011/07/22/sony-pulls-the-plug-on-8mm-video/

รูปแบบวิดีโอ 8 มม. หมายถึงรูปแบบวิดีโอคาสเซ็ตที่
เกี่ยวข้องสามรูปแบบอย่างไม่เป็นทางการสำหรับระบบโทรทัศน์ NTSC และ PAL / SECAM นี่
คือรูปแบบ Video8 (การบันทึกแบบอะนาล็อก) ดั้งเดิมและตัวต่อที่ได้รับการปรับปรุง Hi8
(วิดีโออะนาล็อกและเสียงอะนาล็อก แต่มีข้อกำหนดสำหรับเสียงดิจิทัล) รวมถึงรูปแบบการ
บันทึกดิจิทัลล่าสุดทีเ่ รียกว่า Digital8 ฐานผู้ใช้ของพวกเขาประกอบด้วยผู้ใช้กล้องถ่ายวิดีโอมือ
สมัครเล่นเป็นหลักแม้ว่าพวกเขาจะเห็นการใช้งานที่สำคัญในสาขาการผลิตรายการโทร ทัศน์
ระดับมืออาชีพ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2527 Eastman Kodak ได้ประกาศเทคโนโลยีใหม่ ในปี
1985 Sony ของญี่ป่นุ ได้เปิดตวั กล้อง Handycam ซึง่ เปน็ หน่งึ ในกล้อง Video8 ตัวแรกที่ประสบ
ความสำเรจ็ ในเชิงพาณิชย์ มีขนาดเลก็ กว่ากล้องวิดีโอ VHS และ Betamax ของคู่แข่งมากทำให้
Video8 ได้รบั ความนยิ มอยา่ งมากในตลาดกล้องวิดีโอสำหรับผู้บริโภค

390

ภาพที่ 11.34 ม้วนวดิ ีโอ 8mm

ภาพจาก : https://en.wikipedia.org/wiki/8_mm_video_format#/media/File:8mm_video_cassette_front.jpg

รูปแบบทั้งสามมีความคล้ายคลึงกันมากโดย
มีทั้งความกว้างของเทปแม่เหล็กเดียวกันและเปลือกเทปที่ใกล้เคียงกันขนาด 95 × 62.5 × 15
มม. สิง่ นีใ้ ห้การวัดความเขา้ กันได้ย้อนหลังในบางกรณี ความแตกต่างอยา่ งหนึง่ คือคุณภาพของ
เทป แต่ความแตกต่างหลัก ๆ อยู่ที่การเข้ารหัสของวิดีโอเมื่อบันทึกลงในเทป Video8 เป็น
รูปแบบแรกสุดในสามรูปแบบและเป็นอนาล็อกทั้งหมด ความกว้างของเทป 8 มม. ถูกเลือกให้
เล็กลงต่อจากรูปแบบ Betamax 12 มม. โดยใช้เทคโนโลยีที่คล้ายกัน (รวมถึงการโหลดเทปรูป
ตัวยู) แตม่ กี ารกำหนดค่าทีเ่ ล็กลงเพือ่ ตอบสนองต่อกล้องวิดโี อขนาดเล็ก VHS-C ที่นำเสนอโดย
การแข่งขัน ตามมาด้วย Hi8 ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่มีการปรับปรุงความละเอียด แม้ว่าจะยังคงเป็น
แบบอะนาล็อก แต่อุปกรณ์ Hi8 ระดับมืออาชีพบางตัวสามารถเก็บเสียง PCM สเตอริโอดิจิทลั
เพิ่มเติมในแทรก็ ทีส่ งวนไว้

Digital8 เปน็ รูปแบบวิดีโอขนาด 8 มม. ล่าสุด
มันยังคงรักษาเปลือกเทปแบบเดียวกันกับรุ่นก่อนและยังสามารถบันทึกลงในเทป Video8
(ไม่แนะนำ) หรือ Hi8 อย่างไรก็ตามรูปแบบที่วิดีโอถูกเข้ารหัสและจัดเก็บไว้ในเทปนั้นเป็น
รูปแบบ DV ดิจิทัลโดยสิ้นเชิง (ซึ่งแตกต่างจาก Video8 และ Hi8 แบบอะนาล็อกอย่างมาก)
กล้องวิดีโอ Digital8 บางรุ่นรองรับ Video8 และ Hi8 พร้อมเสียงอะนาล็อก (สำหรับการเล่น
เทา่ นั้น) แต่ขอ้ กำหนด Digital8 นีไ้ มจ่ ำเปน็ ต้องใช้ ในท้ังสามกรณีเทปแมเ่ หล็กความยาว 8 มม.
จะพันระหว่างแกนม้วนสองอันและบรรจุอยู่ในตลับเปลือกแข็ง เทปเหล่านี้มีขนาดและลักษณะ
ที่คล้ายกันกับเทปเสียง แต่การทำงานของกลไกนั้นใกล้เคียงกับเทปคาสเซ็ต VHS หรือ
Betamax มาก เวลาบันทึกมาตรฐานสูงสุด 180 นาทีสำหรับ PAL และ 120 นาทีสำหรับ NTSC
(ตลับเทปมีความยาวเท่ากันการใช้เทปจะแตกต่างกันระหว่างเครื่องบันทึก PAL และ NTSC)
เช่นเดียวกับระบบวิดีโอเทปอื่น ๆ ส่วนใหญ่ Video8 ใช้ดรัมเฮดสแกนแบบลาน (มีหัวขนาดเล็ก
40 มม.) เพือ่ อ่านและเขียนลงในเทปแม่เหล็ก กล้องจะหมุนดว้ ยความเรว็ สูง (การหมุนหนึ่งหรือ
สองคร้ังตอ่ เฟรมภาพ - ประมาณ 1800 หรอื 3600 รอบต่อนาทีสำหรับ NTSC และ 1500 หรือ
3000 รอบต่อนาทีสำหรับ PAL) ในขณะที่เทปถูกดึงไปตามเส้นทางของดรัมเนื่องจากเทป

391

และดรมั วางอยทู่ ี่ a ออฟเซ็ตเชงิ มุมเล็กน้อยแทรก็ การบนั ทึกจะวางเป็นแถบแนวทแยงขนานบน
เทปส่วนหัวบนดรัมของเครื่องบันทึก Video8 จะเคลื่อนที่ข้ามเทปด้วยความเร็ว (ความเร็วใน
การเขียน) 3.75 เมตรต่อวินาที ไม่เหมือนกับระบบก่อนหน้านี้ 8 มม. ไม่ได้ใช้แทร็กควบคุมบน
เทปเพื่ออำนวยความสะดวกให้หวั ตามแนวทแยงมมุ แทนที่จะบนั ทึกลำดบั ของคลื่นไซน์สี่คร้ังใน
แต่ละแทร็กวิดีโอดังนั้นแทร็กที่อยู่ติดกันจะสร้างความถี่เฮเทอโรไดน์หนึ่งในสองความถี่หาก
ศีรษะผิดพลาด ระบบจะปรับการติดตามโดยอัตโนมัติเพื่อให้ความถี่ทั้งสองที่เกิดขึ้นมีขนาด
เท่ากัน ระบบนี้ได้มาจากไดนามิกแทร็กต่อไปนี้ (DTF) ที่ใช้โดยระบบ Philips Video 2000 Sony
ปรับแต่งระบบใหมเ่ ปน็ แทรก็ อตั โนมัติตามหลัง (ATF) เนือ่ งจากระบบ 8 มม. ขาดความสามารถ
ของหัวในการเคลือ่ นไหวร่างกายภายในเฮดดรัม ข้อเสียเปรียบหลักของระบบ ATF คือไม่เหมือน
ในกรณีของแทร็กควบคุมกล้องหรือเครื่องเล่นขนาด 8 มม. ไม่สามารถติดตามว่าเทปอยู่ที่ใด
ระหว่างกรอเดินหน้าและถอยหลังอย่างรวดเร็ว (แม้ว่าจะทำได้ในระหว่างการค้นหารถรับส่ง)
สิง่ นีท้ ำให้การแก้ไขโดยใช้ระบบแก้ไขเชิงเส้นมปี ัญหา กล้องและผเู้ ล่นรนุ่ หลงั บางคนพยายามหา
ตำแหนง่ เทปจากการหมุนทีแ่ ตกตา่ งกนั ของแกนม้วนด้วยความสำเร็จที่ จำกัด

ภาพที่ 11.35 กล้องวิดีโอ Video8 ระดับมอื สมัครเล่นตั้งแต่ต้นปี 1990

ภาพจาก : https://en.wikipedia.org/wiki/8_mm_video_format#/media/File:8mmCamcorder.jpg

ในแง่ของคุณภาพวิดีโอ Video8 และ Beta-II
มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกันในโหมดการเล่นมาตรฐาน ในแง่ของเสียงโดยทั่วไป Video8 จะมี
ประสิทธิภาพเหนือกว่าคู่แข่งรุ่นเก่า เสียง VHS มาตรฐานและเบต้าจะถูกบันทึกตามเส้นตรง
แคบ ๆ ที่ขอบเทปซึ่งเสี่ยงต่อความเสียหาย ควบคู่ไปกับความเร็วของเทปแนวนอนที่ช้าแล้ว
เสียงยังเทียบได้กับเทปเสียงคุณภาพต่ำ ในทางตรงกันข้ามเครื่องวิดีโอ 8 ทั้งหมดใช้การดูเลต
ความถี่เสียง (AFM) เพื่อบันทึกเสียงตามเส้นทางเทปขดลวดเดียวกันกับสัญญาณวิดีโอ น่ัน
หมายความว่าเสียงมาตรฐานของ Video8 มีคณุ ภาพสงู กว่าของคู่แข่งมากแม้ว่าเสียงเชิงเส้นจะ
มีข้อได้เปรียบที่ (ไม่เหมือนระบบ AFM ใด ๆ ) ก็สามารถบันทึกซ้ำได้โดยไม่รบกวนวิดีโอ

392

(Betamax และ VHS Hi-Fi แทบจะไม่ปรากฏในกล้องวิดีโอยกเว้นในรุ่นไฮเอนด์) Video8 ต่อมา
มีสเตอริโอที่แท้จริง แต่ข้อ จำกัด ของไมโครโฟนของกล้องถ่ายวิดีโอในเวลานั้นหมายความว่า
ระบบ AFM สองระบบสำหรับกล้องวิดีโอมีความแตกต่างกันเล็กน้อยในทางปฏิบัติ การใช้งาน.
โดยท่ัวไปแล้ว Video8 ทำได้ดกี ว่า VHS / Beta ทีไ่ ม่ใชไ่ ฮไฟ Video8 มีขอ้ ได้เปรียบที่สำคัญอย่าง
หนึ่งเหนือการแข่งขันขนาดเต็ม ด้วยขนาดที่กะทัดรัดทำให้กล้องวิดีโอ Video8 มีขนาดเล็ก
พอที่จะถือไว้ในมือของผู้ใช้ ความสำเร็จเช่นนี้เป็นไปไม่ได้กับ Betamax และกล้องวิดีโอ VHS
ขนาดเต็มซึง่ ทำงานได้ดีที่สุดบนขาตั้งกล้องที่แข็งแรงหรอื ไหลท่ ี่แข็งแรง นอกจากนี้ Video8 ยังมี
ข้อได้เปรียบในเรื่องของเวลาเนื่องจาก VHS-C จะมีขนาด "palmcorder" เท่ากันกับ Video8 แต่
เทป VHS-C จะเก็บเทปได้สูงสุด 45 นาทีในความเร็ว SP ดังนั้นความจุ 120 นาทีของ Video8
จึงเหมาะสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ในช่วงสูงสุด (ทั้งสองเครื่องมีโหมดการเล่นที่ยาวนานขึ้นที่ 120
และ 240 นาทีตามลำดบั แตต่ อ้ งเสียคา่ ใชจ้ า่ ยของภาพที่มคี ณุ ภาพลดลง) โดยทว่ั ไปแล้วเซสชัน
ที่ยาวขึ้นจะต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม (การใช้พลังงานสายหรือแบตเตอรี่มากกว่า) และ
ด้วยเหตุน้เี วลาในการบนั ทึกที่นานขึน้ จึงมีข้อได้เปรียบเลก็ น้อยใน สภาพแวดล้อมการเดินทางที่
แท้จรงิ

ข้อเสียเปรียบหลักของ Video8 / Hi8 คือเทป
ที่ผลิตจากกล้องวิดีโอ Video8 ไม่สามารถเล่นได้โดยตรงบนฮาร์ดแวร์ VHS แม้ว่าจะสามารถ
ถ่ายโอนเทปได้ (โดยใช้ VCR เพื่อบันทึกวิดีโอต้นทางอีกครั้งเมื่อเล่นโดยกล้องถ่ายวิดีโอ) แต่ก็
ส่งผลให้สัญญาณอนาล็อกลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในช่วงทศวรรษที่ 1990 Sony ได้ทำ
การตลาด VCRs VHS บางรุ่นที่มีเด็ค 8 มม. GoldStar ยังสร้างเครื่องสองชั้นที่คล้ายกันในที่สดุ
คู่แข่งหลักของ Video8 ในตลาดกล้องถ่ายวิดีโอกลับกลายเป็น VHS-C โดยที่ไม่ได้ครองตลาด
อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามทั้งสองรูปแบบ (พร้อมกับลูกหลานที่ได้รับการปรับปรุง Hi8 และ
S-VHS-C) ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยรวมแล้วพวกเขาครองตลาดกล้องถ่ายวิดีโอมา
เกือบสองทศวรรษก่อนที่จะถูกอัดแน่นด้วยรูปแบบดิจิทัลเช่น MiniDV และดีวีดี 8 ซม. และ
กล้องถา่ ยวิดีโอระบบ Hi เพื่อตอบโต้การเปิดตัวรูปแบบ Super-VHS Sony ได้เปิดตัว Video Hi8
(ย่อมาจาก High-band Video8) เช่นเดียวกับ S-VHS Hi8 ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของเครื่อง
บันทึกและการกำหนดรูปแบบสื่อที่ดีขึ้นเพื่อเพิ่มแบนด์วิดท์ที่บันทึกไว้ของสัญญาณความส่อง
สว่าง ช่วงความถี่ของผู้ให้บริการ FM เพิ่มขึ้นจาก 4.2 เป็น 5.4 MHz สำหรับ Video8 ปกติ
(แบนด์วิดท์ 1.2 MHz) เป็น 5.7 เป็น 7.7 MHz สำหรับ Hi8 (แบนดว์ ิดท์ 2.0 MHz) อย่างไรก็ตาม
แบนด์วิธของสญั ญาณ Chroma (ความละเอียดสี) ไม่ได้เพิ่มขึ้น ทั้ง Hi8 และ S-VHS ได้รับการ
จัดอันดับอย่างเป็นทางการที่ความละเอียดการส่องสว่าง 400 เส้น การปรับปรุงจากรูปแบบ

393

พืน้ ฐานตามลำดับและมีค่าเท่ากับคุณภาพ Laserdisc โดยประมาณ ความละเอียดของ Chroma
สำหรับทั้งสองยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทั้ง S-VHS และ Hi8 ยังคงรักษาระบบบันทึกเสียงใน
รูปแบบพื้นฐานไว้ VHS ไฮไฟสเตอริโอมีประสิทธิภาพดีกว่า Video8 / Hi8 AFM แต่ยังคง จำกัด
เฉพาะเครื่องระดบั ไฮเอนด์ ในชว่ งปลายทศวรรษ 1980 ระบบเสียงดิจทิ ลั (PCM) ได้ถูกนำมาใช้
ในเครื่องบันทึก Hi8 รุ่นคุณภาพสูงบางรุ่น เสียง Hi8 PCM ทำงานที่อัตราการสุ่มตัวอย่าง 32
kHz พร้อมตัวอย่าง 16 บิตซึ่งมีความเที่ยงตรงสูงกว่าการพากย์เสียงเชิงเส้นแบบโมโนที่เสนอ
โดย VHS / S-VHS เครือ่ งบันทึก Hi8 ทีร่ องรบั PCM สามารถบันทึกสเตอริโอ PCM ได้พรอ้ มกัน
นอกเหนือจากแทร็กเสียงสเตอริโอแบบเดิม (อนาล็อก AFM) การอัปเกรดเป็นรูปแบบ Video8
ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในปี 1998 เมื่อ Sony เปิดตัวความสามารถ XR (ความละเอียดเพิ่มเติม)
Video8-XR และ Hi8-XR ให้รายละเอียดความส่องสว่างที่ดีขึ้นเล็กน้อย 10% อุปกรณ์ XR เล่น
ซ้ำการบนั ทึกที่ไม่ใช่ XR ไดด้ ีและการบนั ทึก XR สามารถเลน่ ได้อยา่ งสมบรู ณบ์ นอุปกรณ์ที่ไม่ใช่
XR แมว้ า่ จะไมม่ ีประโยชน์ของ XR ก็ตาม

ภาพที่ 11.36 ม้วนวดิ ีโอ Hi8

ภาพจาก : https://en.wikipedia.org/wiki/8_mm_video_format#/media/File:Hi8_8mm_Videocassette.jpg

อุปกรณ์ Hi8 ทั้งหมดสามารถบันทึกและเล่นในรูปแบบ Video8 แบบเดิมได้
การย้อนกลบั มักไม่เป็นเชน่ นนั้ แมว้ า่ จะมีระบบ Video8 ทีเ่ ข้ามาช้าบางระบบที่จดจำและเล่นการ
บนั ทึก Hi8 ใช้ม้วนเทปแบบ ระบบ Hi8 คล้ายกบั ระบบ 8 mm แต่คณุ ภาพสูงกวา่

\

394

ภาพที่ 11.37 ม้วนวิดีโอ 8mm

ภาพจาก : https://en.wikipedia.org/wiki/8_mm_video_format#/media/File:8mm_video_cassette.jpg

สวิตช์ป้องกันการเขียน ป้องกันการลบโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่นเดียวกับรูปแบบเทป
วิดีโออื่น ๆ วิดีโอเทปขนาด 8 มม. มีกลไกป้องกันเทปในเปลือก แตกต่างจากที่อยู่ในเปลือก
VHS และ VHS-C ซึ่งประกอบด้วยพลาสติกเพียงชิ้นเดียวที่ปกป้องส่วนของเทปที่อ่านโดย
เครือ่ งเลน่ / เครื่องบันทึกกลไกการป้องกันเทปของ Hi8 ประกอบด้วยพลาสติกสองชิน้ ที่ด้านบน
ของเปลือกที่มารวมกันและสรา้ งปลอกทีป่ ้องกันเทปท้ังสองด้านและสลักที่ป้องกันไม่ให้ปลอกนี้
เปิดและเผยให้เห็นเทป หน่วยเล่น / บันทึกสามารถกดสลักนี้เพื่อเปิดปลอกและเข้าถึงเทปได้
เพื่อป้องกันไม่ให้การบันทึกบนเทปถูกลบมีแทบ็ ป้องกันการเขียนขนาดเล็กที่สามารถย้ายไปยัง
ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งจากสองตำแหน่งโดยระบุว่า "REC" และ "SAVE" (บางครั้งจะทำ
เครื่องหมายเปน็ "ERASE ON" และ "OFF" ตามลำดับ). เมื่อเปรียบเทียบแถบเลื่อนกบั ประตเู ทป
จะอยู่ในตำแหน่ง "REC" เมื่อ "ประตู" เปิดอยู่และอยู่ในตำแหนง่ "บันทึก" เมื่อปิด (ไม่ใช่ทุกกรณี
ของเทปที่มีเครื่องหมายสำหรับข้อมูลนี้) สามารถบันทึกเทปลงบน (หรือบันทึกทับ) ได้เมื่อแทบ็
นีอ้ ยู่ในตำแหน่ง "REC" เท่าน้ัน นีค่ ือแท็บป้องกนั การเขียน VHS เวอร์ชันปรับปรุงซึ่งป้องกันการ
ลบหลังจากที่แตกออกโดยต้องปิดด้วยเทปกาวหรืออุดด้วยสิ่งกีดขวางเพื่อลบการป้องกันการ
เขียน (Wikipedia, 2021)

395

2.1.2 กล้องถ่ายวิดีโอแบบดิจทิ ัล

ภาพที่ 11.38 กล้องถา่ ยวิดีโอแบบดิจทิ ัล
ภาพจาก : https://justcreative.com/best-video-cameras/

เป็นกล้องระบบดิจิทัล เพราะนอกสะดวกในการโอนย้ายข้อมูล ยังให้
ภาพที่คมชัดสูงมากขึ้น ตามระดับเทคโนโลยี และเรียกว่ากล้องถ่ายวิดีโอ ในปัจจุบันส่วนใหญ่
เป็นกล้องในระบบดิจิทัลเกือบทั้งหมด การบันทึกข้อมูลจะเป็นหลักการเดียวกันคือการบันทึก
ข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ โดยใช้ระบบข้อมูลฐานสอง 0 และ 1 กล้องถา่ ยวิดีโอแบบใช้บันทึก
ลงการ์ดโดยตรง เช่น Flash Drive, SD Card,แผ่น DVD หรือบันทึกลงฮาร์ดดิสในตัว คุณภาพ
ของกล้องถ่ายวิดีโอในปัจจุบันมีความละเอียดสูงในระดับที่เรียกว่า Full HDระบบ HD มี
มากมายหลายระบบ เช่น HD Ready และ Full HD ดังนั้นเรามาทำความรู้จักกับระบบนี้กัน
ระบบ HD Ready จะรองรับภาพขนาด 1920x1080p จริง แต่ว่าภาพจะถูกเอามาย่อแล้วแสดง
บนจอทีม่ คี วาม ละเอียดแค่ 1024×768, 1280×720 หรอื 1366×768 ซึ่งท้ังหมดจะเรียกว่าเป็น
720p ในส่วนของ Full HD จะรองรับและแสดงภาพขนาด 1920x1080p ได้พอดี ทำให้ภาพที่
เห็นและที่ได้มคี วามละเอียดสูงสุดในปัจจุบัน สำหรบั ระบบทีเ่ พิม่ เตมิ ในกล้องถ่ายวิดีโอรุ่นใหม่ๆ
ที่ถูกเพิ่มขึ้นมา เช่นระบบเสียง DB 5.1 ระบบ 3D ระบบเซ็นเซอร์รับภาพ ระบบกันสั่นที่พัฒนา
มากขึ้น ซึง่ กล้องถา่ ยวิดีโอแบบดิจทิ ลั มีหลายประเภทดังนี้

396

- Camcorder

ภาพที่ 11.39 Camcorder
ภาพจาก : https://www.bhphotovideo.com/explora/video/buying-guide/8-recommended-

camcorders-and-cameras-vlogging
กล้องวิดีโอ (Camcorder) ถือเป็นอุปกรณ์ ที่สำคัญเป็นอันดับ

ต้นๆใน การถ่ายทำวิดีโอไม่ว่าต้องการจะทำเป็น วิดีโอ ซีดี (VCD) หรือดีวีดี (DVD) หรือสื่อ
Internet Media อื่นๆก็แล้วแต่ สิ่งแรกที่ต้องมีก็คือ กล้องวิดีโอ นี่แหละ เป็นตัวสำคัญในการ
บันทึกเหตกุ ารณส์ ำคญั ๆ แล้วนำภาพเหลา่ นนั้ ไปใสล่ งในอุปกรณ์จัดเก็บข้อมลู ประเภทต่างๆ ซึ่ง
อุปกรณ์จัดเกบ็ ข้อมูลนั้นกม็ ีต้ังแต่ ม้วนเทป แผ่นดีวีดี ฮาร์ดดิสค์ หรือแม้กระทั่งหน่วยความจำ
ชนิด ต่างๆ ขึ้นอยู่กับ ประเภทของกล้องวิดีโอ แต่ละตัวที่ได้ออกแบบรองรับในอุปกรณ์จัดเก็บ
นั้นๆ หลังจากน้ันถึงจะนำข้อมลู ที่เสร็จจากการบันทึกแล้ว ออกไปทำ ขบวนการอ่ืนๆต่อไป เช่น
นำออกไปแปลงเปน็ วิดีโอ ซีดี (VCD) หรอื ดีวีดี (DVD) เป็นต้น

กล้องวิดีโอ (Camcorder) ในปัจจุบันนี้ มีมากมายหลายชนิด
หลายประเภท ทั้งแบ่งตาม ระบบที่ทำการบันทึก เช่น ระบบอนาล็อก(Analog Camcorder)
สมัยก่อน ระบบดิจิทัล (Digital Camcorder) สมัยปัจจุบัน ซึ่งมีกล้องหลายลักษณะ แบ่งตาม
ลักษณะการจัดเก็บของข้อมูลการบันทึกภาพ แยกย่อยกันไปอีก เช่น DV Camcorer, MiniDV
Camcorder, DVD Camcorder, HDD Camcorder ซึ่งเปน็ ทีน่ ิยมใชก้ ันและยงั มอี ีกหลายประเภท
กล้องวิดีโอ (Camcorder) คือ อปุ กรณ์พืน้ ฐานอันดับแรกๆ ในการจดั ทำสื่อ วิดีโอ ไปสู่สือ่
ประเภทตา่ งๆ โดยกล้องวิดีโอ ประเภทบนั ทึกภาพแบบดิจทิ ัล (Digital Camcorder Formats)
นอกจากจะแบง่ ออก เปน็ กล้องวิดีโอ Analog Formats และ Digital Formats แล้วยังแบง่ ตาม
ระบบทีบ่ นั ทึกภาพได้อกี ด้วย ซึ่งมดี ้วยกนั 3 ระบบใหญ่ๆด้วย คือ

397

1. ระบบ PAL System Camcorder (PAL A, PAL B,
PALG) จำนวนเส้นภาพ 625 เส้นจำนวนเฟรม 25 เฟรม / วินาที

2. ระบบ NTSC System Camcorder (NTSC 3.58,
NTSC 4.43) จำนวนเส้นภาพ 525 เส้น จำนวนเฟรม 29.97 เฟรม / วนิ าที

3. ระบบ SECAM System Camcorder จำนวนเส้น
ภาพ 625 เส้นจำนวนเฟรม 25 เฟรม / วินาที

ทั้ง 3 ระบบที่ว่านี้ อ้างอิงมาจากระบบแพร่ภาพและ
เสียงของโทรทัศน์ทั่วโลกที่นิยมใช้กันนั่นเอง สาเหตุที่มีหลายระบบก็เพราะว่า ยุคเริ่มต้นของ
การทดลองเกี่ยวกับการส่งสัญญาณภาพและเสียง ออกอากาศของสถานีโทรทัศน์นั้นที่มีนัก
ประดิษฐ์หลายประเทศ ตา่ งกแ็ ขง่ ขันกนั คิดค้นพัฒนาระบบโทรทัศน์ของตนเองขึ้นมาเพื่อให้เป็น
ทีย่ อมรบั จากนานาประเทศและแพร่หลายไปส่สู ากล

ดังนั้น แต่ละประเทศจึงมีโอกาสคัดเลือกเอาระบบที่ตนเองต้องการกลับมาติดตั้ง
พัฒนาปรับใช้ในประเทศของเอง จึงทำให้เกิดมีระบบการส่งสัญญาณแพร่ภาพออกอากาศของ
สถานีโทรทศั น์หลายระบบ ซึ่งท้ังหมดที่กล่าวมาน้ันมีอยูด่ ้วยกนั 3 ระบบใหญ่ๆ ซึ่งในเวลาต่อมา
กไ็ ด้มกี ารพฒั นาจากตอ่ เนอื่ งไปอีกจาก 3 ระบบนี้

- handycam

ภาพที่ 11.40 handycam

ภาพจาก : https://www.amazon.com/Sony-HDR-XR160-High-Definition-Discontinued-Manufacturer/dp/B004H8FN8K

Handycam เป็นแบรนด์ Sony ที่ใช้ในการทำตลาดกล้องถ่าย
วิดีโอ เปิดตัวในปี 2528 ในชอ่ื ของกล้องวดิ ีโอ Video8 ตัวแรกแทนที่รุ่นก่อนหน้าของ Sony ที่ใช้
Betamax และชือ่ นีม้ ีจดุ มุ่งหมายเพื่อเน้นลักษณะขนาดฝา่ มือที่ "สะดวก" ของกล้องซึ่งเกิดขึ้นได้
จากรูปแบบเทปย่อส่วนใหม่ สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับกล้องขนาดใหญ่ที่ติดตั้งไหล่ซึ่งมีอยู่ก่อนการ
สร้าง Video8 และรูปแบบขนาดเลก็ ทีแ่ ข่งขนั กันเชน่ VHS-C Sony ยังคงผลิตกล้อง Handycams

398

ในรูปแบบต่างๆตั้งแต่นั้นมาโดยพัฒนารูปแบบ Video8 เพื่อผลิต Hi8 (คุณภาพเทียบเท่า S-
VHS) และรุน่ ต่อมา Digital8 โดยใช้รูปแบบพืน้ ฐานเดียวกันในการบันทึกวิดีโอดิจิทัล ป้ายแฮนดี
แคมยังคงถูกนำมาใช้ต่อไปเนื่องจากรูปแบบการบันทึกมีการพัฒนาขึ้น เลือกรุ่น Sony
HandyCam รุ่นเรือธงที่มีการมองเห็นในเวลากลางคืนแบบอินฟราเรดขนานนามว่า NightShot
ซึ่งใช้ไดโอดเปล่งแสงอินฟราเรดและฟิลเตอร์อินฟราเรดที่ต่อด้วยกลไกและแยกออกจาก
เซ็นเซอร์เพื่อให้กล้องถ่ายวิดีโอสามารถบันทึกภาพวิดีโอในที่มืดสนิท ( 0 ลักซ์) ฟีเจอร์
NightShot เป็นที่นิยมในหมู่นักสืบสวนอาถรรพณ์จำนวนมาก ได้แก่ Ghost Adventures ของ
Travel Channel

- DSLR (108 DAILY, 2562 ; Nattawut R., 2017 ; Ryosuke
Takahashi, 2018)

ภาพที่ 11.41 กล้อง DSLR
ภาพจาก : https://www.wemall.com/blog/1703/dslr-or-mirrorless

DSLR ย่อมาจาก Digital single-lens reflex พัฒนามากจาก
กล้องถ่ายภาพฟิล์มแบบ SLR เดิม โดยยังใช้กระจกเพื่อสะท้อนแสงจากเลนส์ไปยังปริซึมบน
กระโหลกกล้องแล้วสะท้อนต่อไปยังช่องมองภาพ (กลไกสีฟ้า) ทำให้ผู้ใช้งานเห็นมุมมองของ
ผลลัพธ์ได้ผ่านการแนบสายตาลงบนช่องมองภาพ และเมื่อกดชัตเตอร์ กระจกสะท้อนภาพจะ
ถูกพับขึ้นไปปิดช่องมองภาพเพื่อเปิดทางให้แสงวิ่งเข้าไปยังเซนเซอร์รับภาพ (หรือฉายลง
แผ่นฟิล์ม ในกรณีกล้อง SLR) กลไกที่ว่านี้ เป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ”เสียงชัตเตอร์”
ขณะกดชัตเตอร์ กับรูปทรงอันเป็นเอกลักษณ์ของกล้องระบบนี้ กล้อง DSLR สามารถเปลี่ยน

399

เลนส์ได้ และมีเลนส์ชนิดต่างๆ ให้เลือกใช้มากมาย ตามแต่ลักษณะภาพที่ต้องการ อาทิ
ถ่ายภาพสตั ว์ขนาดเลก็ ถ่ายภาพระยะไกล ภาพวิวทิวทัศน์ ก็จะตอ้ งเลือกใช้เลนส์ที่แตกต่างกัน
เพื่อให้ได้คณุ ภาพที่ตอ้ งการ และนอกจากนี้ ยังสามารถอีกมากมาย เช่น ปรับโฟกสั ได้ตามที่เรา
ต้องการ สามารถตั้งค่าได้ในระบบอัตโนมัติและระบบแมนนวล ตามความต้องการ มีเซ็นเซอร์
ปรับระดับได้ นิยมใชใ้ นหมนู่ กั เลน่ กล้อง หรือวา่ นักเริม่ เลน่ กล้องก็สามารถทำได้ เพราะสำหรับ
กล้องดิจทิ ัล DSLR นั้น ไมไ่ ด้มเี อาไว้สำหรบั บันทึกภาพอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ได้ใน
การถ่ายภาพเพื่อความสวยงามอย่างจริงจังได้ด้วย ได้ภาพที่เสมือนจริงมากกว่า กล้องดิจิทัล
โดยทั่วไป

ส่วนประกอบดา้ นหน้า

ภาพที่ 11.42 ส่วนประกอบด้านหน้าของกล้อง DSLR

ภาพจาก : https://snapshot.canon-asia.com/thailand/article/th/lesson-2-knowing-the-different-parts-of-the-camera

1.ปุ่มชัตเตอร์
กดปุ่มนี้เพื่อลั่นชัตเตอร์ การกดปุ่มชัตเตอร์มี
2 จงั หวะคอื กดปุม่ ลงคร่งึ หนึง่ เพือ่ เปิดใชง้ านฟังก์ชนั่ AF และกดลงจนสุดเพือ่ ลนั่ ชตั เตอร์
2. ไฟลดตาแดง/ตวั ตงั้ เวลา
ฟังก์ชั่นลดตาแดง หากเปิดใช้งาน ฟังก์ชั่นลดตาแดง
ในกล้อง การกดปุ่มชัตเตอร์ลงครึ่งหนึ่งจะทำให้ไฟดวงนี้สว่างขึ้นเมื่อใช้แฟลชติดกล้อง ตัวตั้ง
เวลา เมื่อคณุ ตง้ั คา่ ตวั ต้ังเวลา ไฟดวงนี้จะกะพริบตามระยะเวลาที่ตั้งไว้จนกวา่ จะถ่ายภาพ

400

3. เมาท์ของเลนส์
ส่วนนี้ใช้เพื่อยึดเลนส์แบบถอดเปลี่ยนได้เข้ากับตัว
กล้อง ในการใส่เลนส์ คุณต้องวางดัชนีสำหรับติดตั้งเลนส์ (ดู F3) บนเลนส์ให้ตรงกับดัชนีที
สอดคล้องกนั บนเมาทข์ องเลนส์ จากนั้นหมุนเลนส์ตามเข็มนาฬิกาจนได้ยินเสียงคลิก
4. ดัชนสี ำหรบั ติดตั้งเลนส์
ใส่เลนส์โดยให้ตั้งแนวเครื่องหมายสีแดงบนตัวกล้อง
ตรงกับเครื่องหมายบนตัวเลนส์ ดัชนีสีแดง : สำหรับเลนส์ EF (สามารถใช้ได้ทั้งกับกล้องฟูล
เฟรมและ DSLR ขนาด APS-C ของ Canon)
ดัชนีสีขาว : สำหรับเลนส์ EF-S (สามารถใช้ได้กับกล้อง
DSLR ขนาด APS-C ของ Canon)
5. ป่มุ ปลดเลนส์
กดปุ่มนี้เมื่อต้องการถอดเลนส์ สลักล็อคเลนส์จะ
คลายออกเมื่อกดปุ่มนี้ ทำให้คุณหมุนเลนส์ได้อยา่ งไม่ติดขัด ก่อนถ่ายภาพ ให้ล็อคเลนส์อย่กู บั
ที่โดยการหมุนเลนส์เข้าตำแหน่งจนได้ยินเสียงคลิก
6. กระจก
กระจกถือเป็นจุดเด่นของกล้อง DSLR เพราะจะ
สะท้อนแสงจากเลนส์ไปยังชอ่ งมองภาพ ช่วยให้ช่างภาพมองเห็นภาพผ่านช่องมองภาพได้ทันที
กระจกจะดีดตวั ขึน้ ทันทีกอ่ นลัน่ ชัตเตอร์ (ถา่ ยภาพ)
7. ไมโครโฟน
นี่คือไมโครโฟนในตัวกล้องสำหรับบันทึกเสียงใน
ระหว่างถ่ายภาพเคลื่อนไหว ไมโครโฟนที่ใช้อาจเป็นแบบช่องเดี่ยวหรือสเตอริโอ ขึ้นอยู่กับรุ่น
ของกล้อง
8. แฟลชติดกล้อง
คุณสามารถยิงแสงไฟแฟลชเพื่อการถ่ายภาพใน
สถานที่ที่มแี สงน้อยได้ เมื่อจำเปน็ ในบางโหมดแฟลชอาจเปิดทำงานขนึ้ มาเองโดยอัตโนมตั ิ

401

สว่ นประกอบด้านหลัง

ภาพที่ 11.43 สว่ นประกอบด้านหลังกล้อง DSLR

ภาพจาก : https://snapshot.canon-asia.com/thailand/article/th/lesson-2-knowing-the-different-parts-of-the-camera

1.ยางรองตา
ยางรองตาจะป้องกันไม่ให้แสงจากภายนอกเข้ามาที่
ตาของคุณ ขณะที่กำลังมองผ่านเลนส์ใกล้ตา ยางรองตาทำจากวัสดุที่อ่อนนุ่มเพื่อให้ความ
สบายกับดวงตาและหนา้ ผาก
2.เลนสใ์ กล้ตาที่ช่องมองภาพ
เลนส์ใกล้ตาที่ช่องมองภาพคือหน้าต่างจอเล็กใน
กล้องที่คุณสามารถมองผ่านเข้าไปเพื่อจัดองค์ประกอบภาพและจับโฟกัสที่ตัวแบบได้ เมื่อ
ถ่ายภาพโดยใช้ช่องมองภาพ แสงจากภายนอกจะลดลง คุณจึงมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ตัว
แบบทีอ่ ยูต่ รงหน้าได้อย่างเตม็ ที่ ซึง่ ช่วยใหง้ า่ ยต่อการตดิ ตามตวั แบบที่กำลังเคลื่อนไหว
3. หนา้ จอ LCD
นอกจากการตั้งค่าถ่ายภาพตามที่แสดงในภาพนี้แล้ว
หน้าจอ LCD ยังแสดงภาพที่ถ่ายไว้ รวมทั้งข้อมูลต่างๆ เช่น เมนู ได้เช่นกัน ทั้งนี้ คุณสามารถ
ขยายภาพที่แสดงเพื่อตรวจดูรายละเอียดต่างๆ ได้ กล้องบางรุ่นมีหน้าจอ LCD แบบปรับหมุน

402

ได้ ทำให้คุณสามารถปรบั เปลีย่ นมุมของหน้าจอในระหวา่ งการถ่ายภาพ Live View ซึ่งจะทำให้
การถ่ายภาพมมุ ต่ำหรอื มุมสูงง่ายขึ้น

4. ปุ่ม MENU
ใช้ปุ่มนี้เพื่อแสดงหน้าจอเมนู สำหรับการปรับฟังก์ชน่ั
ต่างๆ ของกล้อง หลังจากเลือกรายการเมนูแล้ว คุณจะสามารถปรับเปลี่ยนการตั้งค่า
รายละเอียดตา่ งๆ ที่มอี ยใู่ นกล้องได้
5. ปุม่ Playback
ปุ่มนี้มีไว้สำหรับเปิดดูภาพที่ถ่ายแล้ว การกดปุ่มจะ
แสดงภาพล่าสุดที่คณุ ถ่ายหรือเปิดดบู นหนา้ จอ LCD
6. ไฟ Wi-fi
ไฟ Wi-fi ไฟนี้จะแสดงสถานการณ์เชื่อมต่อแบบไร้
สาย ไฟสวา่ ง: เชอ่ื มต่อ Wi-fi แล้ว ไฟกะพริบ: กล้องกำลงั รอการเชื่อมต่อ/การเช่ือมต่อใหม่ ไฟ
กะพริบอย่างรวดเร็วเป็นครั้งคราว: เกิดข้อผิดพลาดในการเชื่อมต่อ ไฟกะพริบอย่างรวดเร็ว:
กำลงั ส่ง/รบั ข้อมลู
7. ไฟแสดงการเข้าใช้ขอ้ มลู
ไฟแสดงการเข้าใช้ขอ้ มูล ไฟนจี้ ะกะพริบเมือ่ มีการถ่าย
โอนข้อมูลภาพระหว่างกล้องและการ์ดหน่วยความจำ ห้ามเปิดฝาปิดช่องบรรจุแบตเตอรี่หรือ
การด์ ขณะทีไ่ ฟติดอยู่ เพราะอาจทำให้กล้องทำงานผิดปกติได้
8. ปมุ่ SET/Multi-controller
ปุ่ม Multi-controller ปุ่ม Multi-controller คือปุ่มสี่
ทิศทางที่ชว่ ยใหค้ ุณสามารถ เลือ่ นรายการเมนูต่างๆ, เลือ่ นภาพขยายไปยังจุดต่างๆ ในระหว่าง
ที่ดูภาพ, เลื่อนตำแหน่งจุด AF ในระหว่างที่เลือกจุด AF ในโหมดถ่ายภาพ ฟังก์ชั่นของปุ่มนี้จะ
เปลีย่ นไปตามไอคอนทีร่ ะบุไว้ และป่มุ SET จะชว่ ยยืนยนั การเลือก
9. ปุ่มตั้งคา่ ความไวแสง ISO
ปุ่มตั้งค่าความไวแสง ISO กดปุ่มนี้เพื่อปรับความไว
แสงของกล้อง ความไวแสง ISO เป็นมาตรฐานสากลที่กำหนดตามความไวแสงของฟิล์มเนกา
ทีฟ
10. ป่มุ Quick Control
การกดปุ่มน้ีจะแสดงหน้าจอ Quick Control (อธิบาย

403

เพิ่มเติมไว้ในส่วน "การตั้งค่าบนหน้าจอ Quick Control") ซึ่งช่วยให้คุณสามารถยืนยันการตั้งค่า
ต่างๆ ของกล้องได้ทนั ที แล้วจึงปรับตามตอ้ งการ

11. ปุ่มแสดงข้อมูล
ปมุ่ แสดงข้อมลู เมื่อกดปมุ่ DISP คณุ สามารถ :

- เปิด/ปิดหนา้ จอ
- เปลี่ยนการแสดงข้อมูลต่างๆ ในโหมดดู
ภาพ/ภาพเคลือ่ นไหว และระหวา่ งถ่ายภาพ Live View
- แสดงการตั้งค่าฟังก์ชั่นหลักของกล้องเมื่อ
แสดงเมนู
12. ปุ่มลบ
ใช้ปุ่มนเี้ พื่อลบภาพที่ไมต่ ้องการ
13. ปุ่มเลือกจุดโฟกัสอัตโนมัติ
ป่มุ เลือกจดุ โฟกสั อตั โนมตั ิใช้ปมุ่ น้ีเพื่อเข้าสู่โหมดเลือก
จดุ AF (โฟกสั อัตโนมัติ) ในระหวา่ งการถ่ายภาพด้วย AF จากนั้น คณุ สามารถเลือกจดุ AF ใดก็
ได้ดว้ ยตนเองโดยใช้ป่มุ Multi-controller
14. ปุ่มเปลี่ยนโหมดการถ่ายภาพ Live View/การ
ถ่ายภาพเคลื่อนไหว
ปุม่ เปลี่ยนโหมดการถ่ายภาพ Live View/การถ่ายภาพ
เคลื่อนไหวใช้ปุ่มนี้เพื่อเปิดหรือปิดฟังก์ชั่น Live View การกดปุ่มนี้หนึ่งครั้งจะแสดงภาพ Live
View บนหน้าจอ LCD และกล้องจะเตรียมพร้อมสำหรับการถ่ายภาพ Live View เมื่อต้องการ
บันทึกภาพเคลื่อนไหว ตั้งค่าโหมดถ่ายภาพไปที่ "การถ่ายภาพเคลื่อนไหว" บนวงแหวนเลือก
โหมด (T6) แล้วกดปุ่มน้ีเพื่อเรม่ิ บันทึก กดอีกคร้ังเมือ่ ตอ้ งการหยดุ
15. ปมุ่ ปรบั แก้สายตา
ปุ่มปรับแก้สายตาใช้ปุ่มนี้เพื่อปรับความชัดของช่อง
มองภาพให้ตรงกับสายตาของคุณ เมื่อต้องการปรับ ให้หมุนปุ่ม พร้อมกับมองผ่านช่องมอง
ภาพไปด้วย

404

ส่วนประกอบด้านบน

ภาพที่ 11.44 สว่ นประกอบด้านบนของกล้อง DSLR

ภาพจาก : https://snapshot.canon-asia.com/thailand/article/th/lesson-2-knowing-the-different-parts-of-the-camera

1. สวิตช์เปลี่ยนโหมดโฟกสั
สวิตช์เปลี่ยนโหมดโฟกัส ใช้สวิตช์นี้ในการตั้งค่าโหมด
โฟกสั ไปที่โฟกสั อัตโนมัติ (AF) หรอื แมนนวลโฟกัส (MF)
2. ลำโพง
เสียงจากภาพเคลื่อนไหวที่บันทึกสามารถเปิดฟังผ่าน
ลำโพงได้ ระหว่างที่เล่นภาพเคลื่อนไหว ล้อควบคุมหลักจะใช้เพื่อปรับระดับเสียง ไม่เพียง
เทา่ น้ัน คุณยงั สามารถเลือกและเปิดเลน่ เสียงดนตรีแบ็คกราวดจ์ ากหน้าจอเมนไู ด้อีกด้วย
3. จุดยึดสายคล้อง
ดงึ ปลายสายคล้องผ่านช่องของหยู ึด ล็อคใหแ้ น่น และ
ดใู หแ้ น่ใจวา่ ปลายสายท้ังสองขา้ งสมดุลกัน
4. ฐานเสียบแฟลช
นี่เป็นขั้วสำหรับติดตั้ง อุปกรณ์แฟลชเสริม ข้อมูลจะ
ถูกถ่ายโอนระหว่างกล้องกับอุปกรณ์แฟลชผ่านทางหน้าสัมผัส ควรดูแลรักษาหน้าสัมผัสให้
สะอาดอยเู่ สมอ เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถยิงแสงแฟลชได้อย่างถูกต้องเมื่อต้องการใชง้ าน

405

5. สวิตช์ปิดเปิด
ใช้สวิตช์นี้สำหรับเปิดและปิดกล้อง เมื่อเปิดกล้องทิ้ง
ไว้ระยะหนึ่ง กล้องจะเปลี่ยนเป็นโหมดสแตนด์บายโดยอัตโนมัติเพื่อรักษาแบตเตอรี่ สำหรับ
กล้องบางรุ่น สวิตช์ปิดเปิดจะมาพร้อมกับไอคอนภาพเคลื่อนไหวตามที่เห็นจากภาพตัวอย่าง
ซึ่งคุณจะสามารถเปลีย่ นเปน็ โหมดการถ่ายภาพเคลื่อนไหวได้โดยตรง
6. วงแหวนปรับโหมด
หมุนวงแหวนนี้เพื่อเลือกโหมดตามฉากที่คุณต้องการ
ถ่าย โหมดการถา่ ยภาพจะแบง่ เปน็ สองโซนหลัก ได้แก่ Creative Zone และ Basic Zone
A: Creative Zone
โหมดการถา่ ยภาพใน Creative Zone ช่วยใหผ้ ู้ใช้เลือก
และตั้งคา่ ฟงั กช์ ่ันตามวตั ถุประสงค์ที่ตง้ั ใจไว้
B: Basic Zone
โหมดการถ่ายภาพใน Basic Zone กล้องจะเลือกการ
ตั้งคา่ ที่เหมาะสมโดยอตั โนมัติ ตามฉากทีเ่ ลือกไว้
7. ปมุ่ แฟลช
ใช้ปมุ่ นเี้ พื่อเปิดแฟลชในตัวกล้องให้ดีดขึ้น ขณะใช้งาน
โหมด Basic Zone ในบางกรณีแฟลชในตวั จะดีดขนึ้ อตั โนมัติ ตามฟงั ก์ช่นั ทีใ่ ช้
8. วงแหวนควบคมุ หลกั
นี่เป็นล้อเลื่อนอเนกประสงค์ที่ให้คุณจัดการงานต่างๆ
เช่น ปรับการตั้งค่าการถ่ายภาพ (ปกติ ได้แก่ รูรับแสง/ความเร็วชัตเตอร์/ค่าชดเชยแสง) และ
เปิดขา้ มภาพถ่ายที่เปิดดู
9. วงแหวนซูม
หมุนวงแหวนซูมเพื่อปรับเปลี่ยนทางยาวโฟกัสทาง
ยาวโฟกสั ทีเ่ ลือกสามารถดไู ด้จากตวั เลขหรือเคร่ืองหมายดัชนีบนขอบลา่ งของเลนส์
10. วงแหวนโฟกัส
เมื่อกล้องอยู่ในโหมดแมนนวลโฟกัส (MF) ให้หมุนวง
แหวนน้เี พือ่ ปรบั โฟกสั ตำแหนง่ ของวงแหวนโฟกัสจะเปลีย่ นไปตามเลนส์ที่ใช้

406

สว่ นประกอบดา้ นข้าง

ภาพที่ 11.45 – 11.46 สว่ นประกอบด้านข้างของกล้อง DSLR

ภาพจาก : https://snapshot.canon-asia.com/thailand/article/th/lesson-2-knowing-the-different-parts-of-the-camera

1. ช่องต่อรีโมทคอนโทรล, ช่องต่อ
Audio/Video OUT/Digital, ช่องต่อ HDMI Mini OUT, เคร่อื งหมาย N

A: ชอ่ งต่อรโี มทคอนโทรล
ช่องต่อนี้ใช้สำหรับเชื่อมต่อกล้องกับอุปกรณ์
ภายนอก ก่อนจะเชื่อมต่อ ควรตรวจสอบว่าอุปกรณ์
นั้นๆ ใช้งานกับกล้องได้ แล้วจึงเชอ่ื มต่ออุปกรณ์อย่าง
ถูกต้อง
B: ช่องตอ่ Audio/Video OUT/Digital
C: ช่องต่อ HDMI Mini OUT
ช่องต่อเหล่านีใ้ ช้สำหรับต่อเอาต์พุตออกไปยัง
เครื่องโทรทัศน์และถ่ายโอนข้อมูล รวมถึงสำหรับการ
ตอ่ เอาต์พุต HDMI Mini
D: เครื่องหมาย N
เมื่อแตะเครื่องหมาย N กับสมาร์ทโฟนที่
รองรับ NFC จะเริ่มการจบั คูก่ ล้องกับสมาร์ทโฟน

407

ส่วนประกอบดา้ นล่าง

ภาพที่ 11.47 ส่วนประกอบด้านล่างของกล้อง DSLR

ภาพจาก : https://snapshot.canon-asia.com/thailand/article/th/lesson-2-knowing-the-different-parts-of-the-camera

1. ชอ่ งใส่การด์ และช่องบรรจุแบตเตอรี่
ชอ่ งบรรจุแบตเตอร่ี
บรรจุแบตเตอรี่ที่มาพร้อมกล้องที่ช่องนี้ ใส่แบตเตอรี่
โดยใหข้ ้ัวแบตเตอรี่หันเข้าด้านในบอดีก้ ล้อง
ช่องใส่การ์ด
รูด้านล่างของบอดี้กล้องมีไว้สำหรับยึดกล้องเข้ากับ
ขาตั้งกล้อง ในกล้อง DSLR แทบทุกรุ่น รูนี้จะพอดีกับขนาดของเส้นเกลียวสลักตามมาตรฐาน
1/4-20 UNC ซึ่งใช้กันในขาตง้ั กล้องที่มขี ายทัว่ ไป
หลักการทำงานของกลอ้ ง DSLR

ภาพที่ 11.48 หลักการทำงานของกล้อง DSLR
ภาพจาก : https://www.wemall.com/blog/1703/dslr-or-mirrorless

408

ภาพที่ 11.49 หลกั การทำงานของกล้อง DSLR
ภาพจาก : https://sites.google.com/site/nattapat48106/luck-kar-thangan-khxng-klxng-dslr

กล้องสะท้อนเลนส์เดีย่ ว (D-SLR) จะใช้กระจกสะท้อน สำหรับ
การแสดงภาพที่กำลังจะถ่ายผ่านช่องมองภาพ ภาพ ตัดขวางด้านขวามือ นั้นแสดงให้เห็นถึง
เส้นทางของแสงที่เดินทางผ่านเลนส์(1)และสะท้อนผ่านกระจก สะท้อนภาพ (2) และฉายลงบน
แผน่ ปรบั โฟกสั (5) จากนั้นทำการลดขนาดของภาพผ่านเลนส์ ลดขนาดภาพ (6) และสะท้อนใน
ปริซึมห้าเหลี่ยม ทำ ให้ภาพปรากฏที่ช่องมองภาพ (8) เมื่อกดปุ่มชัตเตอร์จะทำให้กระจก
สะท้อนจะ กระเด้งตามลูกศรขึ้นไปและช่องระนาบโฟกัส (3) เปิดออกและภาพฉายลงบน
เซน็ เซอร์รบั ภาพ(4)เช่นเดียวกบั ที่ปรากฏบนระนาบโฟกัส

ขนาดของเซนเซอร์รบั ภาพ และคุณภาพของภาพ
ขนาดของเซนเซอร์รับภาพ ในกล้อง D-SLR จะมี
ขนาดใหญ่กว่ากล้องคอมเพก และกล้องโปรคอนซูเมอรก์ ารทีก่ ล้อง D-SLR มีขนาดเซนเซอร์ที่
ใหญข่ ึ้น ทำให้คุณภาพของภาพสูงขึน้ มีจดุ รบกวนต่ำ (noise) มีความชัดตื้นความไวแสงที่สูงขึ้น
(iso) เพิ่มขึ้นในการรับภาพและมีไดนามิคเรนจ์ กว้างขึ้น ในกล้อง D-SLR โดยทั่วไปจะมีขนาก
เซ็นเซอร์รับภาพที่ขนาด APS หรือ 22mm.X15mm. เล็กกว่าขนาด APS-C เล็กน้อย แต่เล็กว่า
ฟิล์ม 135mm. ค่อนข้างมาก แต่กล้อง D-SLR ระดับสูง ก็จะมีเซนเซอร์รับภาพเท่าฟิล์ม
35mm. ซึง่ เราเรยี กกันจนติดปากว่า กล้องฟลูเฟรม นน่ั เอง

409

ชนิดของเซนเซอร์รบั ภาพ
โดยทั่วไปจะพบชนิดของเซนเซอร์รับภาพอยู่ 3 ชนิด
คือ CCD CMOS และ MOS
1. CCD (Charge Coupled Device) เป็นรปู แบบของ
เซ็นเซอร์ที่ให้ไดนามิคเรนจ์ของ แสงที่ดีและอ่อนไหวต่อสี ทำให้ถูกใช้อย่างแพร่หลายกว่าชนิด
อื่นๆ แต่ข้อเสียของเซนเซอร์รับภาพชนิดนี้คือการบริโภคพลังงานที่สูง และมีคอลโทรลเลอร์
แปลงสัญญาณที่ซบั ซ้อน
2. CMOS (Complementary Meyal Oxide
Semiconductor) ในสมัยก่อนเซ็นเซอร์รับภาพชนิดนี้มีสัญญาณรบกวน(noise) ค่อนข้างมาก
เนื่องจากมีความไวแสง(ISO) ที่ต่ำ แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้มีความสามารถดีขึ้น และ
สง่ ผ่านด้านข้อมูลได้เรว็ ขึน้
3. MOS (Metal Oxide Semiconductor) มีคุณสมบตั ิ
ใกล้เคียงกบั CMOS แตไ่ ม่มคี ณุ สมบตั ิการประหยดั พลังงาน
- Mirrorless

ภาพที่ 11.50 กล้อง Mirrorless
ภาพจาก : https://www.thaiticketmajor.com/variety/lifestyle/5501/
กล้อง Mirrorless คือ ตามชื่อเรียกว่ากล้องมิเรอร์เลสเป็นกล้องที่ไม่ต้องใช้กระจกซึ่ง
เป็นส่วนประกอบสำคัญของกล้อง DSLR (ซึ่งย่อมาจาก Digital Single Lens Reflex คำว่า
"reflex" หมายถึงลักษณะการสะท้อนแสงของกระจก) กระจกในกล้อง DSLR จะเด้งขึ้นไปที่ช่อง
มองภาพแบบออปติคลั ในกล้องมิเรอร์เลสไม่มีช่องมองภาพแบบออปติคัล แตเ่ ซ็นเซอร์ภาพจะ

410

สัมผัสกับแสงตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถดูภาพของคณุ แบบดิจิทัลได้บนหน้าจอ LCD
ด้านหลงั หรอื ช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์ (EVF) กล้องมิเรอรเ์ ลสเรียกวา่ "มิเรอร์เลส" แทนที่จะ
เรียกว่ากล้อง DSLR "มิเรอร์" เพียงเพราะมาเป็นอันดับสอง ตอนนี้คำว่า "มิเรอร์เลส" ค่อนข้าง
สับสนเล็กน้อย มันไม่ได้ถูกนำมาใช้จริง ๆ จนกระทั่งการถือกำเนิดของกล้องดิจิทัลมิเรอร์
เลสที่มีเลนส์เปลี่ยนได้ แต่กล้องหลายสไตล์ไม่มีกระจก ในทางเทคนิคแล้วการเล็งแล้วถ่ายเปน็
กล้องมิเรอรเ์ ลสเช่นเดียวกบั กล้องค้นหาระยะ Leica อย่างไรก็ตามคำว่า "มิเรอร์เลส" มักใช้เพื่อ
อธิบายถึงกล้องดิจิทัลแบบเปลี่ยนเลนส์ได้ (ILC) ที่มีช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์หรือไม่มีช่อง
มองภาพและนั่นคือวิธีที่เราจะใช้ในที่นี้กล้องที่ไม่มีกระจกะสะท้อนภาพจากเลนส์ไปยังช่องมอง
ภาพเหมือนอยา่ งกล้อง DSLR หรอื กล้องโปร แบบที่ชา่ งภาพเค้าใช้กัน แต่ใชก้ ารแสดงภาพแบบ
อิเล็กทรอนิกส์แทน ทำให้กล้อง mirrorless มีน้ำหนักเบาและขนาดเล็กกว่า การทำงานก็เงียบ
กว่า เพราะไม่มีกระจกที่คอยพลิกขึ้นเพื่อสะท้อนภาพ แต่ทั้งนี้ยังคงความสามารถในเรื่องการ
เปลี่ยนเลนส์ได้อยู่ จะมีทั้งแบบที่มี LCD ขนาดเล็กในช่องมองภาพ กับแบบไม่มีช่องมองภาพ
ต้องใช้ LCD ด้านหลังเท่านั้น เป็นกล้องที่นำการผสมผสานข้อดีระหว่างกล้อง 2 แพลตฟอร์ม
เข้าด้วยกัน นั่นก็คือ กล้องที่คุณภาพสูงอย่าง กล้อง DSLR แต่ในขณะเดียวกันก็มีขนาดที่เล็ก
กะทัดรัด พกพาง่าย ซึ่งรูปร่างหน้าตามองไปก็คล้ายๆ กับ กล้อง compact เพราะว่ามันมีขนาด
เล็ก แต่หากดูกันให้ละเอียดแล้ว กล้อง Mirrorless นั้นมีความแตกต่างกันคือ สามารถเปลี่ยน
เลนส์ได้เหมือน กล้อง DSLR แม้ว่าสามารถเปลี่ยนเลนส์ได้เหมือนกล้อง DSLR แต่ก็มีจุดที่
แตกตา่ ง ก็คือ กล้อง ชนิดน้ี จะไมม่ ีชดุ กระจกสะท้อนภาพแบบ กล้อง DSLR ซึง่ เป็นที่มาของชื่อ
วา่ Mirrorless น่นั เอง ซึ่งในข้อแตกตา่ งดงั กลา่ วนีเ่ อง ทำให้การออกแบบตัวกล้องสามารถทำให้
เลก็ ลงได้มาก และในเม่อื ไมม่ ีชุดกระจกสะท้อนภาพ ช่องมองภาพของ กล้องชนิดน้ี จึงเป็นแบบ
ที่ใชจ้ อ LCD ขนาดเล็กติดต้ังไว้ในช่องมองภาพ แต่กล้องหลายๆ ร่นุ ก็ไม่มีช่องมองภาพมาให้จึง
ต้องเล็งภาพผ่านทางจอ LCD ด้านหลังแทน กล้องมิเรอร์ เลสนั้นมีกลไกที่เรียบง่ายกว่าและ
โดยทั่วไปจะมีขนาดเล็กกว่าเบากวา่ และเงียบกว่าเนื่องจากการกำจัดกระจกที่เคลื่อนที่ออกไป
ในขณะที่กล้องมิเรอร์เลสเกือบทั้งหมดยังคงมีชัตเตอร์แบบกลไก แต่หลายตัวก็มีชัตเตอร์แบบ
อิเล็กทรอนิกสซ์ ึง่ ช่วยให้สามารถใช้งานได้อย่างเงียบสนิท จนถึงช่วงกลางปี 2010 กล้องมิเรอร์
เลสคอ่ นข้างท้าทายในการจดั หาช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความคมชดั และการตอบสนอง
ต่ำของช่องมองภาพแบบออปติคัลที่ใช้กับกล้อง DSLR โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้แสงแดดจ้า
หรอื เมือ่ ถา่ ยภาพท้องฟ้าในเวลากลางคนื ความจรงิ ที่วา่ ภาพจากเลนส์จะถกู ฉายไปยังเซ็นเซอร์
ภาพเสมอทำให้สามารถใช้คุณสมบัติที่มีเฉพาะในกล้อง DSLR เมื่อกระจกของพวกเขาถูกล็อค
ไว้ในโหมด "ไลฟ์วิว" ซึ่งรวมถึงความสามารถในการแสดงการแสดงจุดโฟกัส รูปแบบม้าลาย

411

และการติดตามใบหน้าหรือดวงตา ยิ่งไปกว่านั้นช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์ยังสามารถแสดง
ตัวอย่างระยะชัดลึกแบบสดสามารถแสดงให้เห็นวัตถุที่มีแสงน้อยว่าจะมีลักษณะอย่างไรด้วย
การเปิดรับแสงที่ถกู ต้องในแบบเรียลไทม์ และทำให้ง่ายต่อการดูผลลัพธ์ของการเปิดรับแสงใน
แสงแดดจ้า ด้วยระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบตรวจจับเฟสล่าสุดที่มีอยู่ในกล้องมิเรอร์เลสบางรุ่น
ความเร็ว และความแม่นยำในการโฟกัสอตั โนมตั ิของกล้องบางรุ่นจงึ แสดงให้เห็นว่าดีพอ ๆ กับ
กล้อง DSLR แต่เมื่อเทียบกับ DSLR แล้วกล้องมิเรอร์เลสมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่สั้นลง
(เนื่องจากการใช้งานจอ LCD และ / หรอื OLED เปน็ เวลานานจำเปน็ สำหรบั ช่องมองภาพ) และ
มกั มีบฟั เฟอรท์ ีเ่ ล็กกว่า (เพือ่ ประหยดั แบตเตอรี่) ออโต้โฟกัสบนเซ็นเซอรไ์ ม่มีข้อกำหนดในการ
ปรับระบบโฟกัสทางอ้อมของกล้อง DSLR (ซึ่งอาศัยเซ็นเซอร์โฟกัสอัตโนมัติแยกต่างหากที่อยู่
ด้านล่างกระจกสะท้อนแสง) และกล้องมิเรอร์เลสรุ่นล่าสุดสามารถถ่ายภาพด้วยระบบโฟกัส
อัตโนมัติแบบตรวจจับเฟสได้สูงสุด 20 เฟรม ต่อวินาทีโดยใช้จุดโฟกัสมากถึง 693 จุดซึ่งเป็น
จำนวนที่มากเกินกว่าที่มีอยู่ในกล้อง DSLR ทุกรุ่น อย่างไรก็ตามออโต้โฟกัสแบบตรวจจับเฟส
บนเซ็นเซอร์ (ยกเว้นโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel ของ Canon) จะนำไซต์พิกเซลกลับมาใช้
ใหม่เพื่อให้ได้มาซึ่งการโฟกัสอัตโนมัติซึ่งหมายความว่าข้อมูลภาพขาดหายไปบางส่วนหรือ
ทั้งหมดสำหรับ "พิกเซล" ของโฟกัสอัตโนมัติ สิ่งนี้สามารถส่งผลให้เกิดแถบสิ่งประดิษฐ์ใน
จนิ ตนาการขน้ั สุดท้าย (Wikipedia, 2021)

อย่างไรก็ตามรูปแบบเซ็นเซอร์ที่เล็กกว่าสามารถหลีกเลี่ยง
เลนส์ขนาดเล็กได้ Micro Four Thirds ซึ่งเป็นรูปแบบมิเรอร์เลสรุ่นบุกเบิกที่พัฒนาร่วมกันโดย
Olympus และ Panasonic มีอัตราการครอบตัด 2 เท่าเมื่อเทียบกับฟูลเฟรมดังนั้นเลนส์ 150
มม. จะให้มุมมองที่เทียบเท่ากับฟูลเฟรม 300 มม. อย่างไรก็ตามเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ขึ้นจะใ ห้
คณุ ภาพของภาพที่ดีข้ึนดงั นั้นจงึ มีการแลกเปลีย่ น เชน่ เดียวกบั กล้อง DSLR กล้องมิเรอร์เลสใช้
เมาท์แบบดาบปลายปืนสำหรับติดเลนส์ต่างๆ โดยทั่วไปผู้ผลิตแต่ละรายจะมีตัวยึดของตัวเอง
แม้ว่า Micro Four Thirds จะใช้ร่วมกันโดย Panasonic, Olympus และผู้เล่นเฉพาะทางบางส่วน
เช่น DJI ผู้ผลิตโดรน และผู้ผลิตกล้องถ่ายภาพยนตร์ Blackmagic Design เมาท์ Leica L แบบ
ฟูลเฟรมยังใช้โดย Panasonic และ Sigma Nikon, Canon และ Sony ล้วนมีการติดต้ังเฉพาะที่ไม่
ใช้ร่วมกับผู้ผลิตรายอื่น ซึ่งหมายความว่าคุณไม่สามารถใช้เลนส์ Canon กับตัวกล้อง Nikon
หรือในทางกลบั กันได้ อยา่ งไรก็ตามสิ่งที่น่าสนใจอย่างหน่ึงเกีย่ วกับกล้องมิเรอร์เลสก็คือ ระยะ
หลังของหน้าแปลน (ระยะห่างระหว่างเมาท์เลนส์และเซ็นเซอร์) นั้นสั้นกว่ากล้อง DSLR มาก
ทำให้สามารถติดเลนส์ได้หลากหลายจากผู้ผลิต DSLR ด้วยอะแดปเตอร์ บริษัท ต่างๆเช่น
Fotodiox และ Metabones ขายอะแดปเตอร์เลนส์สำหรับกล้องมิเรอร์เลสที่จะช่วยให้คุณใช้ทุก

412

อย่างตั้งแต่เลนส์ Canon รุ่นล่าสุดไปจนถึงเลนส์ฟิล์มขนาดกลางรุ่นเก่าในกล้องมิเรอร์เลสสมัย
ใหม่ของคุณ คุณมักจะเสียสละประสิทธิภาพบางอย่างเมื่อทำสิ่งนี้ แต่อาจเป็นประโยชน์อย่าง
มากสำหรบั ชา่ งภาพที่มแี คชของเลนสท์ ี่มีอยู่ (Hillary K. Grigonis, 2019)

ภาพที่ 11.51 การทำงานของกล้อง Mirrorless
ภาพจาก : https://www.wemall.com/blog/1703/dslr-or-mirrorless

ระบบมิเรอร์เลสตรงไปตรงมากว่า DSLR แทนที่จะใช้กระจก
สะท้อนแสงไปที่ช่องมองภาพและเซ็นเซอร์เซ็นเซอร์จะเปิดรับแสงโดยตรงแทน สิ่งนี้จะสร้าง
ภาพตัวอย่างสดของฉากของคุณโดยตรงไปยังช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อกดปุ่มชัตเตอร์
บานประตูจะเลื่อนขึ้นเพื่อบังเซ็นเซอร์ภาพ จากนั้นประตูจะเลื่อนลงโดยให้เซ็นเซอร์สว่างขึ้น
หลังจากนั้นประตูอีกบานหนึ่งจะเลื่อนขึ้นมาบังเซ็นเซอร์อีกครั้งซึ่งจะหยุดการเปิดรับแสงเพื่อ
ถา่ ยภาพ (MasterClass, 2020)

ขนาดเซนเซอร์
มีอีกส่วนประกอบของกล้องแบบ Mirrorless ที่ค่อนข้างใช้งาน
ในทางเทคนิคมากกว่า สิ่งที่สำคัญที่คุณควรเข้าใจคือ ขนาดของเซนเซอร์ ในกล้องดิจิทัล
เซนเซอร์ภาพเป็นชิ้นส่วนสำคัญของดิจิทัลฟิล์มที่ใช้จับแสงในแบบเดียวกับที่ฟิล์มทั่วไปทำ
กล้อง DSLR แบบเฟรมเต็มมีเซนเซอร์ภาพขนาดเดียวกับแผ่นฟิล์ม นั่นคือ 35 มิลลิเมตร แต่
กล้อง DSLR เกรดทีผ่ ู้บริโภคสว่ นใหญใ่ ช้และทั้งหมดเปน็ โมเดล Mirrorless เสมือน จะเป็นกล้อง
แบบครอปเซนเซอร์ น่ันหมายความว่าเซนเซอร์ภาพจะมีขนาดเล็กกว่า ซึ่งมีความหมายสอง
ประการดังต่อไปนี้
1. กล้องจะไมไ่ วต่อแสงที่เข้ามาเหมอื นกบั กล้องแบบเฟรมเตม็

413

2. จะมีผลตอ่ พฤติกรรมการทำงานของเลนสเ์ ม่อื คำนึงถึง
ความยาวโฟกสั และระยะชัด

รูปแบบสว่ นใหญ่ของกล้อง Mirrorless อยู่ในหมวดหมู่ที่พัฒนา
โดยบริษัท Olympus และ Panasonic ที่เรียกว่า Micro 4/3 ซึ่งหมายถึงขนาดและรูปร่างของ
เซนเซอร์ภาพด้วยตัวมันเอง รวมถึงประเภทของเลนส์ที่สามารถใช้ในโมเดลเหล่านี้ได้ กล้อง
Mirrorless อื่น ๆ ใช้เซนเซอร์ APS-C ที่มีขนาดเซนเซอร์เดียวกันที่ใช้ทั่วไปในกล้อง DSLR เช่น
ในตระกูล Canon Rebel T5i และ Nikon D3200 (อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งกล้องของ Canon
และ Nikon ก็ใช้ขนาดเซนเซอร์ภาพที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย) แต่ก็มีรุ่นอื่นที่ใช้เซนเซอร์แบบ
เฟรมเต็มเช่นกัน เช่น Sony A7R

ส่วนพฤติกรรมเลนส์คือ การถ่ายรูปด้วยกล้องครอปเซนเซอร์
หมายถึงความยาวโฟกัสของคุณจะดูไมเ่ หมือนกบั กล้องแบบเฟรมเต็ม ยกตวั อย่างเช่น ในกล้อง
Micro 4/3 เลนส์ขนาด 30 มิลลิเมตรจะทำงานคล้ายกับเลนส์ขนาด 60 มิลลิเมตรของกล้อง
แบบเฟรมเต็ม เลนส์ขนาด 60 มิลลิเมตรทำงานเหมือนกับกล้องเลนส์ขนาด 200 มิลลิเมตร
และต่อไปเรื่อย ๆ คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาในการใช้งานและจะเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับความ
แตกต่างในลักษณะการทำงานของเลนส์เมื่อใช้งานไปได้สกั ระยะ สำหรับนักถ่ายภาพบางคนจะ
รู้สึกว่าข้อเสียนี้ค่อนข้างมีความสำคัญ และรวมถึงการทำงานของระยะลึกชัดของกล้องเฟรม
เตม็ กบั กล้องครอปเฟรม สุดท้ายจบลงด้วยการเลิกใช้งานไป

ภาพที่ 11.52 ขนาดเซนเซอร์ four thirds กับ micro four thirds
ภาพจาก : https://yotyiam.com/กล้อง-mirrorless-กบั กล้อง-dslr

อย่างไรก็ตาม ประโยชน์อย่างหนึ่งของกล้องครอปเซนเซอร์ที่
ควรจำไว้คอื ราคา กล้องประเภทนี้จะมีราคาถกู กวา่ กล้องแบบเฟรมเต็มทีเ่ ป็นคู่แข่งมาก กล้อง
แบบเฟรมเต็มราคาต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาท และราคาอาจสูงขึ้นไปได้อีกหลายเท่า
จากราคานี้ ในทางกลับกัน กล้อง Micro 4/3 จะมีราคาเริ่มอยู่ที่ประมาณ 7,000 บาท ซึ่งเป็น
ราคาที่ถูกกว่ามากสำหรับคนส่วนใหญ่ สิ่งสำคัญที่ควรรู้คือกล้องแบบ Mirrorless นั้นไม่ได้มีไว้

414

สำหรับผู้เริ่มต้นใช้งานกล้องแบบนี้หรือคนทีช่ อบถา่ ยแบบอัตโนมัติเท่านั้น ช่างภาพจำนวนมาก
ก็ซือ้ กล้องเหลา่ น้มี าใช้งานเช่นกัน นอกจากนี้ ช่างมอื อาชีพท้ังหลายกเ็ ปลี่ยนจากการใช้กล้องที่
หนัก ราคาแพง หรอื เปน็ รุ่น DSLR มาเป็นกล้องทีเ่ บากว่าและสามารถพวกพาได้สะดวกมากขึ้น
อย่างกล้อง Mirrorless (Pongsakorn Siwannapa, 2021)

ระบบโฟกสั
ข้อจำกัดอีกอย่างหนึ่งที่คู่ควรแก่การพูดถึงก็คือ ระบบโฟกัส
กล้อง Mirrorless ส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า การตรวจจับความแตกต่าง (Contrast
detection) ซึ่งจะไม่รวดเร็วเท่ากับวิธีการแบบเดิมคือ ผลต่างเฟส (Phase-detection) ที่ใช้ใน
DSLR ขณะที่รุน่ แรกจะให้คุณเข้าถึงพืน้ ทีเ่ ฟรมที่จะโฟกัสที่กว้างกว่า ซึ่งจะไม่เข้ากนั กับความเร็ว
ของรุ่นที่สองที่จำกัดความดึงดูดของกล้องแบบ Mirrorless ไปสำหรับการถ่ายภาพอย่าง ภาพ
กีฬา และภาพสัตว์ป่าที่เคลือ่ นที่อย่างรวดเรว็ บางบริษัทผผู้ ลติ จะเริม่ ใชง้ านผลต่างเฟสในกล้อง
Mirrorless รวมถึงใช้เทคโนโลยีแบบลูกผสมที่ให้ช่างภาพทั้งหลายได้ถ่ายภาพในลักษณะการใช้
งานจากกล้องทั้งสองแบบ แต่ตอนนี้ บอกได้เลยว่ากล้อง DSLR นั้นเหมาะที่สุดที่จะถ่ายภาพ
กีฬา ภาพสตั ว์ปา่ และภาพเคลื่อนไหวอ่นื ๆ (Pongsakorn Siwannapa, 2021)
ระบบช่วยโฟกัสและเสียง
นอกจากนี้ กล้อง Mirrorless ยงั มีประโยชนอ์ น่ื ๆ อีก อย่างเช่น
ระบบช่วยโฟกัส (ความสามารถในการมองเห็นเมื่อทำการปรับโฟกัสด้วยตนเอง ความละเอียด
พิกเซลที่แน่นอนในภาพของคุณอยู่ในโฟกัส) ทำงานเงียบกว่าเนื่องจากไม่มีกระจกพลิกขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวที่น้อยกว่า ซึ่งหมายความว่ามีอายุการใช้งานที่นานกว่า แต่
การที่จะทำให้ได้ภาพที่แม่นยำของส่ิงที่เราถ่าย เรากค็ วรพิจารณาถึงข้อด้อยของกล้องประเภท
นดี้ ้วย (Pongsakorn Siwannapa, 2021)
แบตเตอร่ี
ในปัจจุบัน ข้อจำกัดหน่งึ ที่สำคัญมากสำหรบั กล้องคืออายุการ
ใช้งานของแบตเตอรี่ เนื่องจากว่าใช้งานได้ไม่นาน กล้อง DSLR แบบเดิมนั้นดึงพลังงานไปใช้
เฉพาะเมื่อทำการวัดทิวทัศน์หรือกำลังบันทึกข้อมูลรูปภาพไปยังหน่วยความจำโดยไม่ได้อยู่ใน
โหมด Live View จะไม่มีการใชพ้ ลังงานเม่อื คุณยกกล้องข้นึ และมองผ่านช่องมองภาพ และส่วน
ใหญ่แล้วการชาร์จแบตเตอรี่หนึ่งครั้งคุณจะสามารถถ่ายภาพได้เป็นพันภาพ ลักษณะการใช้
พลังงานในกล้องแบบ Mirrorless จะแตกต่างออกไปด้วยเหตุผลสองประการ ประการแรก
แบตเตอรี่ในกล้อง Mirrorless จะเล็กกวา่ เนื่องจากตัวกล้องมีขนาดเล็กกว่า และประการที่สอง
กล้อง Mirrorless จะทำงานในโหมด Live View ตลอดเวลา (100%) ดังนน้ั โดยท่ัวไปแล้ว กล้อง

415

Mirrorless จะสามารถถ่ายภาพได้ประมาณสองร้อยภาพในการชาร์จแบตเตอรี่หนึ่งครั้ง จริง ๆ
แล้วกไ็ ม่ใชส่ ิง่ สำคญั มากนกั แตก่ ย็ ังแตกตา่ งกับกล้องรุ่นก่อนอยู่มาก (Pongsakorn Siwannapa,
2021)

- Micro 4/3

ภาพที่ 11.53 กล้อง Micro 4/3

ภาพจาก : https://mrd2h.wordpress.com/2010/07/05/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87-micro-43-four-thirds-
%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B9%84%E

0%B8%AB%E0%B8%99/

The Micro Four Thirds system (MFT or M4/3) ค ื อ เ ป็ น
มาตรฐานที่ออกโดย Olympus และ Panasonic ในปี 2008 สำหรับการออกแบบและพัฒนา
กล้องดิจทิ ลั กล้องวิดีโอ และเลนส์แบบเปลีย่ นเลนสไ์ ด้แบบมิเรอร์เลส MFT แชร์ขนาดและข้อมูล
จำเพาะของเซ็นเซอร์ภาพดั้งเดิมกับระบบ Four Thirds ซึ่งออกแบบมาสำหรับกล้อง DSLR ซึ่ง
แตกตา่ งจาก Four Thirds ข้อกำหนดการออกแบบระบบ MFT ไมไ่ ด้จดั เตรยี มพื้นที่สำหรบั กล่อง
กระจกและรูปห้าเหลี่ยมซึ่งเออื้ ต่อการออกแบบตัวกล้องและเลนสท์ ีเ่ ลก็ ลงผ่านระยะโฟกัสหน้า
แปลนทีส่ นั้ กวา่ 19.25 มม. ระยะหนา้ แปลนสั้นเมื่อรวมกบั อะแดปเตอร์ที่มีความลึกที่เหมาะสม
ทำให้ตวั กล้อง MFT สามารถใช้เลนส์ได้เกือบทกุ ชนิดที่เคยมีมาสำหรับกล้องทีม่ รี ะยะหน้าแปลน
ใหญ่กว่า 19.25 มม. เลนส์กล้องถ่ายภาพนิ่งที่ผลิตโดย Canon, Leica, Minolta, Nikon, Pentax
และ Zeiss ล้วนได้รบั การดัดแปลงใหเ้ หมาะกบั การใชง้ าน MFT (Wikipedia, 2021)

416

ภาพที่ 11.54 ขนาดเซนเซอรแ์ ละอัตราส่วนภาพ

ภาพจาก : https://en.wikipedia.org/wiki/Micro_Four_Thirds_system#/media/File:Sensor_sizes_overlaid_inside_-
_updated.svg

ภาพวาดแสดงขนาดสัมพทั ธข์ องเซน็ เซอร์ที่ใช้ในกล้องดิจทิ ัล
ส่วนใหญเ่ ทียบกบั กรอบฟิลม์ 35 มม

เซ็นเซอร์ภาพ Four Thirds และ MFT มีขนาด 18 มม. × 13.5
มม. (เส้นทแยงมุม 22.5 มม.) โดยมีพื้นที่การถ่ายภาพ 17.3 มม. × 13.0 มม. (แนวทแยง 21.6
มม.) เทียบได้กับขนาดเฟรมของฟิล์ม 110 พื้นที่ประมาณ 220 มม. ²น้อยกว่าเซ็นเซอร์ APS-C
ทีใ่ ชใ้ นกล้อง DSLR ของผู้ผลิตรายอื่นประมาณ 30% มีขนาดใหญ่กว่าเซน็ เซอร์ 1 / 2.3 "ที่ใช้ใน
กล้องดิจิทัลคอมแพคประมาณ 9 เท่า ระบบ Four Thirds ใช้อัตราส่วนภาพ 4: 3 เช่นเดียวกับ
กล้องดิจิทัลคอมแพค ในการเปรียบเทียบ DSLR มักจะยึดตามอัตราส่วน 3: 2 ของรูปแบบ 35
มม. ดังนั้น "สี่ในสาม" จึงหมายถึงทั้งขนาดและอัตราส่วนภาพของเซ็นเซอร์ อย่างไรก็ตามเส้น
ทแยงมุมของชิปนั้นสั้นกว่า 4/3 ของนิ้ว การกำหนดขนาด 4/3 นิ้วสำหรับเซ็นเซอร์ขนาดนี้
ย้อนกลบั ไปในปี 1950 และหลอด vidicon เมือ่ วดั เส้นผา่ นศูนยก์ ลางภายนอกของท่อกล้องไม่ใช่
บริเวณที่ใช้งาน มาตรฐานการออกแบบ MFT ยังระบุอัตราส่วนหลายภาพ: 4: 3, 3: 2, 16: 9
(ข้อกำหนดรูปแบบวิดีโอ HD ดั้งเดิม) และ 1: 1 (รูปแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส) ยกเว้นกล้อง MFT บาง
ตัวกล้อง MFT ส่วนใหญบ่ นั ทึกในรูปแบบอัตราส่วนภาพ 4: 3 ดั้งเดิมและด้วยการครอบตัดภาพ
4: 3 สามารถบันทึกในรูปแบบ 16: 9, 3: 2 และ 1: 1 นอกจากนี้กล้อง Micro Four Thirds รุ่น
ปัจจุบันทั้งหมดทีไ่ ม่รวม Olympus Air A01 มีเทคโนโลยีการกำจดั ฝุ่นของเซน็ เซอร์

417

เมาท์เลนส์
การออกแบบระบบ MFT ระบุเมาทเ์ ลนส์ชนิดดาบปลายปืนที่มี
ระยะโฟกัสหน้าแปลน 19.25 มม. ด้วยการหลีกเลี่ยงกระจกภายในมาตรฐาน MFT ทำให้ตัว
กล้องบางลงมาก
ตวั คน้ หาสำหรบั กล้องมิเรอร์เลส
การรับชมสามารถทำได้ในทุกรุ่นโดยจอแสดงผล
อิเล็กทรอนิกส์แบบไลฟ์วิวพร้อมหน้าจอ LCD นอกจากนี้บางรุ่นยังมีช่องมองภาพ
อิเล็กทรอนิกส์ในตัว (EVF) ในขณะที่รุ่นอื่น ๆ อาจมีช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์แบบถอดได้
โดยทัว่ ไปชอ่ งมองภาพออปติคอลอิสระทีจ่ บั คู่กบั เลนสไ์ พรมช์ นิดไม่ซมู บางครงั้ กเ็ ปน็ ตัวเลือก
ความเข้ากันไดย้ ้อนหลงั
เส้นผ่านศนู ย์กลางลำคอประมาณ 38 มม. และน้อยกว่าระบบ
Four Thirds 6 มม. ในทางไฟฟ้า MFT ใช้ขั้วต่อ 11 คอนแทคระหว่างเลนส์และกล้องเพิ่มไปยัง
หน้าสัมผัสเก้าหน้าในข้อกำหนดการออกแบบระบบ Four Thirds Olympus อ้างว่าสามารถใช้
งานร่วมกันได้กับเลนส์ Four Thirds ที่มีอยู่จำนวนมากบนตัวกล้อง MFT โดยใช้อะแดปเตอร์ที่
สร้างข้ึนเพือ่ วตั ถุประสงคท์ ี่มที ั้งอินเทอร์เฟซเชงิ กล และทางไฟฟ้า
อะแดปเตอรส์ ำหรับเมาท์เลนสอ์ ื่น ๆ
เมาท์เลนส์ MFT แบบตื้น แต่กว้างยังช่วยให้สามารถใช้เลนส์ที่
มีอยู่รวมถึงเลนส์ระบบ Leica M, Leica R และ Olympus OM ผ่านอะแดปเตอร์ Panasonic และ
Olympus อะแดปเตอร์หลังการขาย ได้แก่ Leica Screw Mount, Contax G, C mount, Arri PL
mount, Praktica, Canon, Nikon และ Pentax เป็นต้น [9] ในความเป็นจริงกล้องถ่ายภาพนิ่ง
ภาพยนตร์หรือกล้องวิดีโอแบบเปลี่ยนเลนส์ได้เกือบทุกชนิดที่มีระยะโฟกัสหน้าแปลนมากกว่า
หรือน้อยกว่า 20 มม. เล็กน้อยมักใช้กับตัว MFT ผ่านอะแดปเตอร์ ในขณะที่กล้อง MFT
สามารถใช้เลนส์ "แบบเดิม" เหล่านี้ได้เฉพาะกับแมนนวลโฟกัสและโหมดควบคุมรูรับแสงแบบ
แมนนวล แต่ก็มีเลนส์หลายร้อยแบบให้เลือกใช้แม้กระทั่งเลนส์ที่ออกแบบมาสำหรับกล้องทีไ่ ม่
มีการผลิตอีกต่อไป ในขณะที่ผู้ผลิตเลนส์แทบจะไม่เผยแพร่ข้อมูลจำเพาะของเมาท์เลนส์ แต่
เมาท์ MFT ได้รบั การออกแบบย้อนกลับโดยผู้ที่ชืน่ ชอบโดยมีไฟล์ CAD
การออกแบบโฟกสั อตั โนมตั ิ
โดยปกติแล้วกล้อง MFT จะใช้ออโต้โฟกัสแบบตรวจจับคอน
ทราสต์ (CDAF) ซึ่งเป็นระบบโฟกัสอัตโนมัติทั่วไปสำหรับมิเรอร์เลสคอมแพ็คหรือ "เล็งแล้ว
ถา่ ย" จากการเปรียบเทียบกล้อง DSLR ใช้โฟกสั อัตโนมตั ิแบบตรวจจบั ระยะหา่ ง (PDAF) การใช้

418

เซ็นเซอร์ PDAF ที่แยกจากกันได้รับความนิยมในระบบ DSLR เนื่องจากกล่องกระจกและ
การออกแบบเพนทาปริซึมพรอ้ มกบั ประสิทธิภาพที่ดขี ึน้ สำหรบั วัตถุที่เคลื่อนไหวเร็ว

มาตรฐานการออกแบบระบบ Four Thirds (ไมใ่ ช่ Micro) ระบุ
ระยะทางยาวโฟกัสหน้าแปลน 40 มม. ซึ่งอนุญาตให้ใช้การออกแบบสะท้อนเลนส์เดี่ยวพร้อม
กล่องกระจกและรูปห้าเหลี่ยม กล้อง DSLR สี่ในสามที่ออกแบบโดย Olympus และ Panasonic
ในตอนแรกใช้ระบบโฟกัส PDAF โดยเฉพาะ จากนั้นโอลิมปัสได้เปิดตัวกล้องไลฟ์วิว DSLR ตัว
แรกซึ่งรวมเอาทั้งเฟสโฟกัส DSLR แบบดั้งเดิมและโฟกัสตรวจจับคอนทราสเสริม ด้วยเหตุนี้
เลนส์ระบบ Four Thirds รุ่นใหม่จึงได้รับการออกแบบทั้งสำหรับ PDAF และโฟกัสคอนทราสต์
เลนส์ Four Thirds หลายตวั ให้ความสำคัญกับ Micro Four Thirds อย่างเชีย่ วชาญเม่ือใช้อะแดป
เตอร์ที่รองรับระบบไฟฟ้ากับกล้อง Micro Four Thirds และโฟกัสที่กล้อง Micro Four Thirds ได้
เร็วกว่าเลนส์ Four Thirds รุ่นกอ่ นหน้ามาก

กล้อง MFT บางรนุ่ เช่น OM-D E-M1 ซีรสี ์และ E-M5 Mark III
รวมฮาร์ดแวรต์ รวจจับระยะหา่ งบนเซน็ เซอร์เพื่อรองรับเลนส์รุ่นเก่า ตัวกล้องเหล่านี้ทำงานได้ดี
ขึ้นเมื่อใช้เลนส์รุ่นเก่า (เช่นประสิทธิภาพการโฟกัสของเลนส์ 150 มม. f / 2 และ 300 มม. f /
2.8 น้ันรวดเร็วและแม่นยำเทา่ กับตวั กล้อง Four Thirds ด้ังเดิม)

ระยะโฟกสั ของหน้าแปลนและปัจจัยการครอบตัด
ระยะโฟกัสของหน้าแปลนที่สั้นกว่ามากที่เปิดใช้งานโดยการ
ถอดกระจกช่วยให้เลนส์มุมปกติและมุมกว้างมีขนาดเล็กลงอย่างมากเนื่องจากไม่ต้องใช้การ
ออกแบบติดตง้ั เพิ่มเติม รูปแบบเซน็ เซอร์ Four Thirds ที่ใชใ้ นกล้อง MFT เทียบเท่ากบั 2.0 crop
factor เมื่อเทียบกับกล้องฟิล์ม 35 มม. (ฟูลเฟรม) ซึ่งหมายความว่ามุมมองของเลนส์ MFT นั้น
เหมือนกับเลนส์ฟูลเฟรมที่มีความยาวโฟกัสสองเท่า ตัวอย่างเช่นเลนส์ 50 มม. บนตัวกล้อง
MFT จะมีมุมมองภาพเทียบเท่ากบั เลนส์ 100 มม. ในกล้องฟูลเฟรม ด้วยเหตุนี้เลนส์ MFT จึงมี
ขนาดเล็กและน้ำหนักเบาเนื่องจากเพื่อให้ได้มุมมองภาพเทียบเท่ากล้องฟิล์ม 35 มม. ทางยาว
โฟกัส MFT จึงสั้นกว่ามาก ดูตารางเลนส์ด้านล่างเพื่อทำความเข้าใจความแตกต่างได้ดีขึ้น
สำหรับการเปรียบเทียบเซ็นเซอร์ DSLR ทั่วไปเช่นเซ็นเซอร์ APS-C ของ Canon มีปัจจัยการ
ครอบตัดเทา่ กับ 1.6

419

- Compact

ภาพที่ 11.55 กล้อง Compact

ภาพจาก : https://www.camerahouse.com.au/blog/6-compact-cameras-perfect-for-any-budget/

กล้อง point-and-shoot หรอื ที่เรยี กวา่ กล้องดิจิทัลคอมแพค
และบางครั้งย่อมาจาก P&S กล้องดิจิทัลขนาดเล็ก สามารถพกพาได้ง่าย มีฟังก์ชั่นต่างๆไม่
ซับซ้อน สามารถพกพาได้ง่าย เปลี่ยนเลนส์ไม่ได้ ซึ่งเป็นกล้องถ่ายภาพนิ่งที่ออกแบบมาเพื่อ
การใช้งานที่เรียบง่ายเป็นหลัก ส่วนใหญ่ใช้เลนส์ที่ไม่มีโฟกัสหรือโฟกัสอัตโนมัติในการโฟกัส
ระบบอัตโนมัติสำหรับการตั้งค่าตัวเลือกการเปิดรับแสง และมีชุดแฟลชในตัว ไม่สามารถถอด
เปลี่ยนเลนส์ได้มีโหมดสำเร็จรูปในการถ่ายภาพต่าง ๆ เช่น โหมดถ่ายภาพบุคคล ถ่ายภาพวิว
ทิวทัศน์ถ่ายภาพดอกไม้ฯลฯ แต่บางรุ่นจะมีโหมดคล้ายกับ กล้องดิจิทัลแบบ SLR เช่น โหมด A
S M แต่มีข้อจำกัดในการปรับค่ารูรับแสงและความไวชัตเตอร์จนบางครั้งผู้ใช้อ้าจเข้าใจผิดว่า
เป็นกลอ้งดิจิทัลแบบ DSLRPoint-and-shot เปน็ ประเภทของกล้องแยกที่ขายดีที่สุดซึ่งแตกต่าง
จากกล้องโทรศัพท์ พวกเขาเป็นที่นิยมสำหรับการถ่ายภาพพื้นถิ่นโดยผู้ที่ไม่คิดว่าตัวเองเป็น
ช่างภาพ แต่ต้องการกล้องที่ใช้งานง่ายสำหรับการถ่ายภาพในช่วงวันหยุดปาร์ตี้การพบปะ
สังสรรค์และกิจกรรมอื่น ๆ ยอดขายกล้องเล็งแล้วถ่ายลดลงหลังจากประมาณปี 2010
เนื่องจากสมาร์ทโฟนแซงหน้าพวกเขาในการใช้งานดังกล่าว เพื่อเอาชนะการหดตัวของตลาด
ผู้ผลิตกล้องคอมแพคจึงเริ่มผลิตรุ่นที่สูงขึ้นและมีตัวเครื่องโลหะที่มีสไตล์ กล้องคอมแพค
ซูเปอร์ซูมส่วนใหญ่มีการซูมออปติคอล 30x ถึง 60x แม้ว่าบางรุ่นจะซูมได้ไกลกว่าและมี
น้ำหนักน้อยกว่า 300 กรัมซึ่งน้อยกว่ากล้องบริดจ์และ DSLR มาก กล้องคอมแพคเหล่านี้ส่วน
ใหญ่ใช้เซ็นเซอร์ภาพขนาดเล็ก 1 / 2.3 "แต่ตั้งแต่ปี 2008 กล้องคอมแพคเลนส์แบบเปลี่ยน
เลนสไ์ มไ่ ด้บางตัวใช้เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่กว่าเชน่ 1" และแมแ้ ต่ APS-C เช่น Fujifilm X100 series
หรือฟูลเฟรม เช่น Sony Cyber-shot DSC-RX1 series พวกเขาให้ความสำคัญกับอัตโนมัติ

420

อัจฉริยะ แต่กล้องชี้แล้วถ่ายระดับไฮเอนด์บางรุ่นจะมี PASM (โปรแกรม, ลำดับความสำคัญ
ของรูรับแสง, ลำดับความสำคัญของชัตเตอร์และโหมดแมนนวล) บนแป้นหมุนเลือกโหมด,
รูปแบบภาพดิบและฮ็อตชู ไม่มีเลนส์ที่เปลี่ยนได้ แต่บางรุ่นมีเมาท์เลนส์สำรอง (Wikipedia,
2021 ; เยาวนารถ พันธเ์ุ พ็ง, 2556) ซึ่งกล้องคอมแพคกจ็ ะแบ่งได้เปน็ 3 แบบย่อย ดังน้ี

1. Standard Compacts

ภาพที่ 11.56 Standard Compacts
ภาพจาก : https://www.imaging-resource.com/PRODS/OV10/OV10A.HTM

กล้องคอมแพคแบบธรรมดาจะมีระบบตั้งค่าแบบอัตโนมัติ,
เลนส์ซูม และแฟลชในตัวซึ่งคุณจะไม่สามารถตั้งค่าและเปลี่ยนเลนส์ได้ ตัวกล้องจะไม่มีช่อง
มองภาพหรือ viewfinder โดยคณุ จะเห็นภาพจากจอ LCD หลังจากทีค่ ุณเล็งจนได้ระยะที่พอใจ
แล้วคุณแคก่ ดปุ่มถ่ายรปู แคน่ คี้ ณุ กไ็ ด้รปู ทีค่ ณุ ตอ้ งการแล้วค่ะ

2. Zoom Compacts

ภาพที่ 11.57 Zoom Compacts

ภาพจาก : https://www.dpreview.com/articles/2367736880/roundup-enthusiast-zoom-compact-cameras/8

จุดเด่นคือเลนส์ซูมของกล้องคอมแพคชนิดนี้จะดีว่าเลนส์
ซูมของชนิด Standard แต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้เหมือนกล้องถ่ายรูปชนิดอื่น ซึ่งเลนส์
ของกล้องซูมคอมแพคสามารถซูมได้ในระยะ 28 – 300 มิลลิเมตร และหลาย ๆ รุ่นมีความ
คมชดั ไมน่ อ้ ยกวา่ 12 เมกะ พิกเซล เลยทีเดียว

421

3. Advance Compacts

ภาพที่ 11.58 Advance Compacts
ภาพจาก : https://www.photoreview.com.au/reviews/advanced-compact-cameras/

กล้องชนิดนี้นี้มีคุณภาพสูงกว่ากล้องคอมแพคแบบธรรมดา
และแบบซูม ซึ่งกล้องชนิดนี้ให้ความคมชัดของภาพสูง คุณต้องตั้งค่ารูปภาพและโฟกัสด้วย
ตัวเอง นอกจากนี้กล้องบางรุ่นสามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ด้วย แต่สิ่งที่ต้องระวังสำหรับกล้อง
ดิจิทัลคือ ปุ่มตั้งค่าต่าง ๆ รวมถึงช่องไมโครโฟนจะถูกติดตั้งอยู่ที่ด้านบนของตัวกล้อง และ
เนื่องจากกล้องมีขนาดเล็กอาจจะทำให้นิ้วมือของคุณปิดช่องไมโครโฟนหรือทับบางส่วนของ
เลนสซ์ ึง่ อาจจะทำให้คณุ ภาพเสียงของวิดีโอไมด่ ีเทา่ ทีค่ วร

422

ภาพที่ 11.59 ส่วนประกอบของกล้อง compact

ภาพจาก : https://www.chonburi.spu.ac.th/comm/index.php?p=knowledge_detail&detail=277839403

การทำงานของกล้อง compact
กล้องระบบคอมแพค (CSC) ทำงานโดยใช้
หลักการเดียวกันกับเทคโนโลยี DSLR นั่นคือแสงจะเข้าสู่ตัวกล้องและสร้างภาพบนเซ็นเซอร์
อย่างไรก็ตามแตกต่างจาก SLR ที่ไม่มีระบบกระจกสะท้อนแสงเข้าไปในช่องมองภาพแบบออ
ปติคัล แต่กล้องระบบคอมแพคจะใช้ระบบไลฟ์วิวแบบเต็มเวลาบนจอ LCD เครื่องสังเวยมิเรอร์
บ็อกซ์ หมายถึงโครงสร้างที่ดเู ทอะทะน้อยลง แต่ก็ไมไ่ ด้หมายความว่าช่องมองภาพจะเป็นส่งิ ที่
เป็นไปไม่ได้เสมอไป: เมื่อแสงส่งไปยังเซ็นเซอร์กล้องสามารถจำลองฟีดนั้นไปยังหน้าจอ LCD
รองหรือที่เรียกว่าช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์ (EVF) บางรุ่นมาพร้อมกับ EVF บางรุ่นไม่มีและ
บางรุ่นมีพอร์ตเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อ EVF ภายนอกที่เป็นอุปกรณ์เสริมได้ บางทีอุปสรรคที่
ใหญ่ที่สุดที่ต้องเอาชนะสำหรับผู้ผลิตกล้องระบบคอมแพ็คคือการผลิตกล้องที่มีออโต้โฟกัส
แบบตรวจจับคอนทราสต์ที่สามารถจับคู่กับระบบตรวจจับระยะห่างที่เร็วกว่าของ DSLR ได้

423

เนื่องจากการสร้าง CSC ขึ้นอยู่กับการใช้ไลฟ์วิวและการตรวจจับคอนทราสต์ ออโต้โฟกัส CSC
สองสามตัวแรกที่เปิดตัวไมไ่ ด้เปรียบเทียบ

ข้อเสียที่สำคญั ของกล้องระบบคอมแพค็ คือ ช่องมอง
ภาพอิเล็กทรอนิกส์ (EVF) ยังไม่ได้ยอดเยี่ยม แสงน้อยทำให้เกิดความล่าช้าของภาพและ
สัญญาณรบกวนของภาพที่สูงขึ้นในการแสดงตัวอย่างซึ่งไม่ทำให้การจัดเฟรมเป็นที่ต้องการ
รวมทั้งขนาดของ EVF มักจะเล็กกว่าการเทียบเท่าออปติคอลมาก ในทางกลับกัน EVF จะ
นำเสนอ 'สิ่งที่คุณเห็นคือสิ่งที่คุณได้รับ' 100% และหลายรุ่นสามารถเพิ่มระดับวิญญาณ
เสมือนจริงหรือป้อนข้อมูลที่หลากหลายบนพื้นที่ภาพของช่องมองภาพ มีการปรับปรุงเพิ่มเติม
อย่างแน่นอนเช่น Sony Alpha A77 มี OLED EVF 3 ล้านจุด แต่จะต้องใช้เวลาสักครู่ก่อนที่
เทคโนโลยีน้ีจะย้ายไปสตู่ ลาดการถ่ายภาพระดบั เริ่มต้นที่ราคาไม่แพง สิ่งอื่นที่ต้องพิจารณาคือ
ชว่ งใหมห่ มายถึงอุปกรณเ์ ลนส์ใหมด่ ังนั้นเลนสท์ ี่มีอยู่ของคุณจะไม่คุ้มค่ากับกล้อง CSC มากนัก
นอกจากนี้ยังหมายถึงกิจการอิสระของ Sony, Samsung และ Pentax ไม่ได้มีเลนส์ให้เลือก
มากมายเมื่อเทียบกับตลาด DSLR - แม้ว่าการวิจัยและพัฒนาจะทำงานอย่างหนักในทุกค่าย
เพื่อส่งออกเลนส์ที่หลากหลายในช่วงหลายปีข้างหน้า .อะแดปเตอร์เลนส์มีให้ใช้กับ DSLR และ
เลนส์อื่น ๆ เช่นกระจก Leica แต่มักจะมีข้อ จำกัด ในการโฟกัสอัตโนมัติและการทำงานของ
เลนส์ (Martin Bailey, 2011)

ขอ้ ดี-ข้อเสียของ Compact
ขนาด – ด้วยความที่มีขนาดคอ่ นข้างเล็ก จงึ สามารถ
พกพาในชวี ิตประจำวันได้ง่ายเพียงแคห่ ยิบใส่กระเป๋า แต่กม็ ีบางรุน่ ที่มีขนาดคอ่ นข้างใหญ่
เชน่ กัน
เซนเซอร์ – ด้วยขนาดที่ค่อนข้างเล็กจึงทำให้
ตัวเซนเซอร์เล็กตามลงไปด้วย ยกเว้น Compact ระดับบนที่ราคาใกล้เคียงกับ Mirrorless
ซึง่ อาจมขี นาดเซนเซอรต์ ้ังแต่ 1 – 1.5 นิว้ เลยทีเดียว
เลนส์ – ไม่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ แต่ใน Compact
ระดับบน จะมีระยะเลนส์ตั้งแต่ 28-112 mm , 28-84 mm , 24-70 mm (แล้วแต่ค่าย)
ซึ่งครอบคลมุ ตั้งแตก่ ารถ่ายภาพบุคคลไปจนถึงภาพทิวทศั น์
ราคา – มีตั้งแต่หลักพันต้นๆ (รุ่นต่ำสุด) ไปจนถึง
ระดบั บน(พรีเมย่ี ม)ที่มรี าคาหลายหม่นื จบทีเดียวไม่ต้องซือ้ เลนสเ์ พิม่
คุณภาพ – ให้ความคมชัดกว่ากล้องมือถือ ยิ่งถ้าเป็น
Compact ระดบั บน(พรีเมย่ี ม)กส็ ามารถทำภาพหน้าชัดหลังเบลอได้ไม่แพ้กล้องใหญ่

424

ลูกเล่น – ปัจจุบัน Compact ระดบั บนต่างใส่
ฟีเจอร์เข้ามามากมายไมว่ ่าจะเปน็ การกนั น้ำ กนั ส่ัน พับจอถา่ ยเซลฟี่ โหมดหน้าเนียนหรอื
แมก้ ระทั่งการเช่อื มต่อ Wi-Fi ได้ในตวั

- Smartphone (Wikipedia, 2021)

ภาพที่ 11.60 Smartphone

ภาพจาก : https://www.bananashoppingsongkhla.com/product/huawei-smartphone-p30-lite-pearl-white-2/

Smartphone คือ โทรศพั ทเ์ คลือ่ นที่ที่มคี วามสามารถทีเ่ พิ่มเติม
นอกเหนอื จากโทรศพั ท์มือถือทว่ั ไป ซึ่งสมารท์ โฟนได้ถกู มองว่าเปน็ คอมพิวเตอร์พกพาที่ทำงาน
ในลักษณะของโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยสามารถเชื่อมต่อความสามารถหลักของโทรศัพท์มือถือ
เข้ารว่ มกบั แอพพลิเคชัน่ ของโทรศพั ทเ์ อง และสมาร์ทโฟนยังสามารถให้ผู้ใช้งานติดตั้งโปรแกรม
เสริมสำหรับเพิ่มความสามารถของศัพท์ของตนเอง โดยรูปแบบนั้นขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มของ
โทรศัพท์และระบบปฏิบัติการ โทรศัพท์ที่รองรับระบบปฏิบัติการ ต่างๆได้ เสมือนยกเอา
คุณสมบัติที่ PDA และคอมพิวเตอร์มาไว้ในโทรศัพท์ เช่น iOS (ที่ลงในมือถือรุ่น Iphone)
,BlackBerry OS, Android OS Windows phone 7 และ Symbian Os (Nokia) เป็นต้น ซึ่งทำให้
สมาร์ทโฟน สามารถลงโปรแกรมเพิ่มเติม (Application) ได้

สมาร์ทโฟนเป็นอุปกรณ์พกพาที่รวมฟังก์ชันคอมพิวเตอร์
เซลลูลาร์และมือถือไว้ในหน่วยเดียว พวกเขาแตกต่างจากฟีเจอร์โฟนด้วยความสามารถของ

425

ฮาร์ดแวร์ที่แข็งแกร่งกว่าและระบบปฏิบัติการมือถือที่กว้างขวางซึ่งอำนวยความสะดวกให้กับ
ซอฟต์แวร์ที่กว้างขึ้นอินเทอร์เน็ต (รวมถึงการท่องเว็บ ผ่านบรอดแบนด์มือถือ) และฟังก์ชัน
มัลติมีเดีย (รวมถึงเพลงวิดีโอกล้องและเกม) ควบคไู่ ปกบั ฟังก์ชันโทรศัพท์หลักเช่นการโทรด้วย
เสียงและการส่งข้อความ โดยทั่วไปสมาร์ทโฟนจะมีชิปวงจรรวม (IC) ของโลหะ - ออกไซด์ -
เซมิคอนดักเตอร์ (MOS) จำนวนหนึ่งรวมถึงเซ็นเซอร์ต่างๆที่ซอฟต์แวร์ของตนสามารถใช้
ประโยชน์ได้ (เช่นแมกนีโตมิเตอร์เซ็นเซอร์ความใกล้เคียงบารอมิเตอร์ไจโรสโคปหรือเครื่องวดั
ความเร่ง) และการสนับสนุน โปรโตคอลการสื่อสารไร้สาย (เช่น Bluetooth, Wi-Fi หรือการนำ
ทางด้วยดาวเทียม) สมาร์ทโฟนรุ่นแรกวางตลาดไปที่ตลาดองค์กรเป็นหลักโดยพยายาม
เช่อื มโยงการทำงานของอุปกรณผ์ ู้ชว่ ยดิจิทลั สว่ นตัว (PDA) แบบสแตนดอ์ โลนเข้ากับการรองรับ
โทรศัพท์เซลลูลาร์ แต่ถูก จำกัด ด้วยรูปแบบที่ใหญ่โตอายุการใช้งานแบตเตอรี่สั้นเครือข่าย
เซลลูลาร์อะนาล็อกที่ช้าและความไม่สมบูรณ์ ของบริการข้อมูลไร้สาย ในที่สุดปัญหาเหล่านี้
ได้รับการแก้ไขด้วยการปรับขนาดและการย่อขนาดของทรานซิสเตอร์ MOS ลงไปจนถึงระดับ
ย่อยไมครอน (กฎของมัวร์) แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ได้รับการปรับปรุงเครือข่ายข้อมูลมือถือ
ดิจทิ ลั ที่เร็วขึน้ (กฎหมายของ Edholm) และแพลตฟอรม์ ซอฟต์แวรส์ ำหรับผใู้ หญ่ที่อนุญาตให้ใช้
อุปกรณ์เคลื่อนที่ได้ ระบบนิเวศของอปุ กรณเ์ พื่อพัฒนาโดยไม่ขึ้นกับผู้ให้บริการข้อมูล ในช่วงปี
2000 แพลตฟอร์ม i-mode ของ NTT DoCoMo, BlackBerry, แพลตฟอร์ม Symbian ของ Nokia
และ Windows Mobile เริ่มได้รับแรงฉุดตลาดโดยรุ่นตา่ งๆมกั จะมีคีย์บอรด์ QWERTY หรอื อินพุต
หน้าจอสัมผัสแบบ Resistive และเน้นการเข้าถึงเพื่อพุชอีเมลและอินเทอร์เน็ตไร้สาย หลังจาก
ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของ iPhone ในช่วงปลายยุค 2000 สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ได้นำเสนอรูปแบบ
ที่บางเหมือนกระดานชนวนพร้อมหน้าจอขนาดใหญ่แบบ capacitive ที่รองรับท่าทางสัมผัส
แบบมัลติทัชแทนที่จะเป็นแป้นพิมพ์จริงและมอบความสามารถให้ผู้ใช้ในการ ดาวน์โหลดหรือ
ซื้อแอปพลิเคชันเพิ่มเติมจากร้านค้าสว่ นกลางและใช้ที่เก็บข้อมลู บนคลาวดแ์ ละการซิงโครไนซ์
ผู้ช่วยเสมือนตลอดจนบริการชำระเงินผ่านมือถือ สมาร์ทโฟนได้เข้ามาแทนที่ PDA และพีซี
ขนาดพกพา / ขนาดฝ่ามือเป็นส่วนใหญ่ ฮาร์ดแวร์ที่ได้รับการปรับปรุงและการสือ่ สารไร้สายที่
เร็วขึ้น (เนื่องจากมาตรฐานเช่น LTE) ได้หนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน ในไตร
มาสทีส่ ามของปี 2555 มีการใชง้ านสมาร์ทโฟนหน่ึงพันล้านเคร่อื งทั่วโลก ยอดขายสมาร์ทโฟน
ท่ัวโลกทะลุตัวเลขยอดขายฟีเจอรโ์ ฟนในชว่ งตน้ ปี 2013

สมาร์ทโฟนมีหน่วยประมวลผลกลาง (ซีพียู) คล้ายกับใน
คอมพิวเตอร์ แต่ได้รับการปรับให้เหมาะกับการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ใช้พลังงานต่ำ ใน
สมาร์ทโฟนโดยทั่วไป CPU จะรวมอยู่ในตัวประมวลผลแอปพลิเคชัน CMOS (โลหะเสริม -

426

ออกไซด์ - เซมิคอนดักเตอร์) system-on-a-chip (SoC) ประสิทธิภาพของซีพียูมือถือไม่เพียง
ขึ้นอยู่กับอัตราสัญญาณนาฬิกาเท่านั้น (โดยทั่วไปจะกำหนดเป็นทวีคูณของเฮิรตซ์) แต่ยัง
ขึ้นอยู่กบั ลำดบั ชั้นของหน่วยความจำด้วย เนื่องจากความท้าทายเหล่านี้ประสิทธิภาพของซีพยี ู
โทรศัพท์มือถือมักจะได้รับอย่างเหมาะสมกว่าโดยคะแนนที่ได้จากการทดสอบมาตรฐานต่างๆ
เพือ่ วัดประสิทธิภาพทีแ่ ท้จริงในแอปพลิเคชันที่ใช้กันทวั่ ไป

ลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งของสมาร์ทโฟนคือหน้าจอ ขึ้นอยู่กบั
การออกแบบของอปุ กรณ์หน้าจอจะเติมพืน้ ทีส่ ่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดบนพื้นผิวด้านหน้าของ
อุปกรณ์ จอแสดงผลสมาร์ทโฟนจำนวนมากมีอัตราส่วนภาพ 16: 9 แต่อัตราส่วนภาพที่สูงขึ้น
กลายเปน็ เรื่องปกติมากขึ้นในปี 2560 ขนาดหนา้ จอวัดเป็นนวิ้ ในแนวทแยง โทรศัพท์ที่มีหน้าจอ
ใหญ่กว่า 5.2 นิ้วมักเรียกว่า "phablets" สมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอขนาดเกิน 4.5 นิ้วมักจะใช้เพียง
มือเดียวได้ยากเนื่องจากนิ้วหัวแม่มือส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงพื้นผิวหน้าจอทั้งหมดได้ พวก
เขาอาจต้องขยับไปรอบ ๆ ในมือถือไว้ในมือข้างหนึ่งและใช้มืออีกข้างหนึ่งหรือใช้มือทั้งสองข้าง
แทน เนือ่ งจากความก้าวหน้าในการออกแบบสมาร์ทโฟนสมยั ใหม่บางรุ่นที่มีขนาดหน้าจอขนาด
ใหญ่และการออกแบบ "edge-to-edge" จึงมีโครงสร้างขนาดกะทัดรัดที่ปรับปรุงการยศาสตร์
ในขณะที่การเปลี่ยนไปใช้อัตราส่วนภาพที่สูงขึ้นส่งผลให้โทรศัพท์มีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นใน
ขณะทีย่ ังคงไว้ซึ่งการยศาสตรท์ ีเ่ กีย่ วข้อง ด้วยจอแสดงผล 16: 9 ที่เล็กกวา่ จอแสดงผลคริสตัล
เหลว (LCD) และไดโอดเปล่งแสงออร์แกนิก (OLED) เป็นจอแสดงผลที่พบได้บ่อยที่สุด
จอแสดงผลบางจอจะรวมเข้ากับดิจิไทเซอร์ที่ไวต่อแรงกดเช่นที่พัฒนาโดย Wacom และ
Samsung, และระบบ Force Touch ของ Apple โทรศัพท์บางรุ่นเช่นเครื่องต้นแบบ YotaPhone
ติดตั้งจอแสดงผลด้านหลังกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้พลังงานต่ำ ตามที่ใช้ในเครื่องอ่าน e-
book อุปกรณ์บางอย่างมีวิธีการป้อนข้อมลู เพิม่ เติมเช่นสไตลัสสำหรับการป้อนข้อมูลที่มีความ
แม่นยำสูงขึ้นและ / หรือเลเยอร์หน้าจอสัมผัสแบบ Capacitive สำหรับการตรวจจับนิ้วลอย รุ่น
หลังนี้ถูกใช้โดยโทรศัพท์บางรุ่นเช่น Samsung Galaxy S4, Note 3, S5 และ Sony Xperia Sola
สำหรับคำแนะนำเครื่องมือแสดงตัวอย่าง (เช่นบนแถบค้นหาของเครื่องเล่นวิดีโอในข้อความ
ตัวอักษรและรายชื่อติดต่อด่วนบนแป้นกดหมายเลข) ล็อค ภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอและการ
จำลองเคอร์เซอร์ของเมาส์ทีว่ างเมาสบ์ นเวบ็ ไซต์

การจัดเกบ็
ในขณะที่แฟลชสตอเรจ eMMC (การ์ดมัลติมีเดียใน
ตัว) มักใช้ในโทรศัพท์มือถือมากที่สุด UFS (Universal Flash Storage) ซึ่งมีอัตราการถ่ายโอน
ข้อมลู ที่สงู ข้ึนตลอดปี 2010 สำหรบั อปุ กรณ์ระดับสงู

427

ความจุ
ในขณะที่ความจุในการจัดเก็บข้อมูลภายในของ
โทรศัพท์มือถือนั้นใกล้จะหยุดนิ่งในชว่ งครึ่งแรกของปี 2010 แต่ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงครึ่งปี
หลังโดย Samsung จะเพิ่มตัวเลือกการจัดเก็บข้อมูลภายในที่มีอยู่ของหน่วยระดับเรือธงจาก
32 GB เป็น 512 GB ภายในเวลาเพียง 2 ปีระหว่างปี 2016 ถึง 2018
การด์ หน่วยความจำ
พื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูลของโทรศัพท์มือถือบางรุ่น
สามารถขยายได้โดยใช้การ์ดหนว่ ยความจำ MicroSD ซึ่งมีความจุเพิ่มข้นึ เปน็ ทวีคณู ตลอดช่วงปี
2010 (→การ์ด SD § 2009-2018: SDXC) ประโยชน์ที่ได้รับจากพื้นที่จัดเก็บข้อมูล USB
ระหว่างเดินทางและที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์รวมถึงความพร้อมใช้งานแบบออฟไลน์และความ
เป็นส่วนตัวไม่สงวนพอร์ตการชาร์จไม่มีความไม่เสถียรของการเชื่อมต่อหรือเวลาแฝงไม่ต้อง
พึง่ พาแผนข้อมูลจำนวนมากและการรักษาวงจรการเขียนซ้ำที่ จำกดั ของที่จดั เกบ็ ข้อมูลภายใน
ถาวรของอุปกรณ์
ในกรณีที่เกิดข้อบกพร่องทางเทคนิคซึ่งทำให้อุปกรณ์
ใช้งานไม่ได้หรือไม่สามารถบูตได้อันเป็นผลมาจากความเสียหายจากจากการทำตก หรือความ
เสียหายจากมัลแวร์หรือการอัปเดตระบบปลอม เป็นต้น ข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในการ์ด
หน่วยความจำที่ไม่สามารถเข้าถึงได้จะสูญหายไป โดยปกติการ์ดหน่วยความจำสามารถใช้ซ้ำ
ได้ทันทีในอุปกรณ์ที่เปิดใช้งานการ์ดหน่วยความจำอื่นโดยไม่จำเป็นสำหรับการถ่ายโอนไฟล์
ก่อนหน้านี้โทรศัพท์มือถือสองซิมบางรุ่นมีช่องเสียบแบบไฮบริดซึ่งหนึ่งในสองช่องสามารถใช้
ซิมการ์ดหรอื การด์ หนว่ ยความจำได้
การถ่ายโอนไฟล์
แต่เดิมการเข้าถึงที่เก็บข้อมูลขนาดใหญม่ ักเปิดใช้งาน
กับคอมพิวเตอรผ์ ่าน USB เมื่อเวลาผ่านไปการเข้าถึงทีเ่ ก็บข้อมลู จำนวนมากจะถูกลบออกโดย
ปล่อยให้ Media Transfer Protocol เป็นโปรโตคอลสำหรับการถ่ายโอนไฟล์ USB เนื่องจาก
ความสามารถในการเข้าถึงแบบไม่ผูกขาดซึง่ คอมพิวเตอร์สามารถเข้าถึงที่จัดเก็บข้อมูลได้โดย
ไม่ต้องล็อคไม่ให้ใช้ซอฟต์แวร์ของโทรศัพท์มือถือ ระยะเวลาของการเชื่อมต่อและไม่จำเป็น
สำหรับการสนบั สนนุ ระบบไฟลท์ ่วั ไปเนือ่ งจากการส่อื สารทำผ่านเลเยอรน์ ามธรรม

428

เสียง
คุณสมบัติการเพิ่มคณุ ภาพเสียงบางอย่างเชน่ Voice
over LTE และ HD Voice ปรากฏขึ้นและมักมีให้บริการในสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ คุณภาพเสียง
อาจยังคงมีปัญหาเนื่องจากการออกแบบโทรศัพท์คุณภาพของเครือข่ายเซลลูลาร์และ
อัลกอริธึมการบีบอดั ทีใ่ ช้ในการโทรทางไกลคุณภาพเสียงสามารถปรับปรงุ ได้โดยใช้แอปพลิเค
ชัน VoIP ผ่าน WiFi โทรศพั ท์มือถือมลี ำโพงขนาดเลก็ เพือ่ ให้ผใู้ ช้สามารถใช้คุณสมบัติสปีกเกอร์
โฟนและพูดคุยกับบุคคลทางโทรศัพท์ได้โดยไม่ต้องถือไว้ใกล้หู ลำโพงขนาดเล็กยังสามารถใช้
เพื่อฟังไฟลเ์ สียงดิจิทัลของเพลงหรือคำพูดหรือดูวิดีโอทีม่ ีสว่ นประกอบของเสียงโดยไม่ต้องถือ
โทรศัพทไ์ ว้ใกล้หู
กลอ้ งถา่ ยรูป
กล้องถ่ายรูปกลายเป็นคุณสมบัติมาตรฐานของ
สมาร์ทโฟน ในปี 2019 กล้องโทรศัพท์เป็นพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูงในด้านความแตกต่างระหว่าง
รุ่นต่างๆโดยแคมเปญโฆษณามักจะเน้นไปที่คุณภาพหรือความ สามารถของกล้องหลั กของ
อุปกรณ์ โดยปกติภาพจะถูกบันทึกในรูปแบบไฟล์ JPEG โทรศัพท์ระดับไฮเอนด์บางรุ่นยังมี
ความสามารถในการถา่ ยภาพ RAW
ข้อ จำกัด ของพื้นที่ โดยทั่วไปแล้วสมาร์ทโฟนจะมี
กล้องหลังหลักอย่างน้อยหนึ่งตัวและกล้องหน้าที่มีความละเอียดต่ำกว่าสำหรับ "เซลฟี่" และ
วิดีโอแชท เน่อื งจากความลึกที่ จำกัด ที่มอี ยใู่ นสมาร์ทโฟนสำหรับเซน็ เซอร์ภาพและเลนส์กล้อง
ด้านหลงั มกั จะอยูใ่ น "กนั กระแทก" ที่หนากวา่ ส่วนอื่น ๆ ของโทรศพั ท์ เนือ่ งจากโทรศัพท์มือถือ
ที่บางมากขึ้นมีพื้นที่ในแนวนอนมากกว่าความลึกที่จำเป็นและใช้ในกล้องเฉพาะสำหรับเล นส์ที่
ดีกวา่ จงึ มแี นวโน้มเพิ่มเติมสำหรบั ผู้ผลิตโทรศัพทท์ ี่จะรวมกล้องหลายตวั โดยแต่ละรุ่นได้รับการ
ปรับใหเ้ หมาะสมกบั วตั ถปุ ระสงคท์ ีแ่ ตกตา่ งกัน (เทเลโฟโต้, มุมกว้าง, เปน็ ต้น)
สมาร์ทโฟนขั้นสูงสมัยใหม่มีกล้องที่มีระบบป้องกัน
ภาพสั่นไหวแบบออปติคอล (OIS) เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่เลนส์สว่างและแม้แต่ซูมออปติคอลและ
ภาพ RAW HDR, "โหมดโบเก้" พร้อมเลนส์หลายตัวและโหมดถ่ายภาพกลางคืนแบบหลายช็อต
ก็เปน็ ทีค่ ุ้นเคยเชน่ กัน คุณสมบัติกล้องถ่ายรปู ของสมารท์ โฟนใหมจ่ ำนวนมากถกู เปิดใช้งานผ่าน
การประมวลผลภาพการถ่ายภาพเชิงคำนวณและเลนส์พิเศษหลายตวั แทนที่จะใช้เซ็นเซอร์และ
เลนสข์ นาดใหญเ่ นอื่ งจากพืน้ ที่ จำกดั ที่มอี ยู่ภายในโทรศัพท์ซึง่ ทำให้บางทีส่ ดุ เทา่ ทีจ่ ะเปน็ ไปได้

429

ระบบปฏิบตั ิการมือถือ
ระบบปฏิบัติการมือถือ (หรือระบบปฏิบัติการมือถือ)
คือระบบปฏิบัติการสำหรับโทรศัพท์แท็บเล็ตสมาร์ทวอทช์หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่อื่น ๆ
ระบบปฏิบัติการมือถือรวมคุณสมบัติของระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเข้ากับ
คุณสมบัติอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับการใช้งานมือถือหรือมือถือ โดยปกติจะรวมถึงและสิ่ง
ต่อไปนีส้ ว่ นใหญถ่ ือว่าจำเปน็ ในระบบมอื ถือสมัยใหม่ หนา้ จอสมั ผัส, เซลลูลาร,์ บลูทู ธ , Wi-Fi
Protected Access, Wi-Fi, ระบบกำหนดตำแหน่งบนพื้นโลก (GPS) การนำทางบนมือถือ, กล้อง
วิดีโอและภาพเฟรมเดียว, การรู้จำเสียง, เครื่องบันทึกเสียง, เครื่องเล่นเพลง, การสื่อสาร
ระยะใกล้และอินฟราเรด บลาสเตอร์. ภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2018 มีการขายสมาร์ทโฟนมากก
ว่า 383 ล้านเครื่องโดยใช้ Android 85.9 เปอร์เซน็ ต์, ใช้ iOS 14.1 เปอร์เซ็นต์และสมาร์ทโฟนที่
ใช้ระบบปฏิบัติการอื่น ๆ อีกเล็กน้อย Android เพียงอย่างเดียวได้รับความนิยมมากกว่า
ระบบปฏิบัติการเดสก์ท็อปยอดนิยม Windows และในการใช้งานสมาร์ทโฟนทั่วไป (แม้จะไม่มี
แท็บเล็ต) ก็เกินการใช้งานเดสก์ท็อป อุปกรณ์พกพาที่มีความสามารถในการสื่อสารเคลื่อนที่
(เช่นสมาร์ทโฟน) มีระบบปฏิบัติการมือถือสองระบบ - แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์หลักที่ผู้ใช้หัน
หน้าเข้าหาผู้ใช้เสริมด้วยระบบปฏิบัติการเรียลไทม์ระดับต่ำที่สองซึ่งทำงานวิทยุและฮาร์ดแวร์
อื่น การวิจัยแสดงให้เห็นว่าระบบระดับต่ำเหล่านี้อาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยหลาย
ประการที่อนุญาตใหส้ ถานีฐานที่เปน็ อันตรายสามารถควบคมุ อปุ กรณ์เคลือ่ นที่ได้ในระดับสงู
- webcam

ภาพที่ 11.61 webcam
ภาพจาก : https://sandberg.world/en-am/product/streamer-usb-webcam-pro

เว็บแคม (Webcam) หรือ ชื่อเรียกเต็มๆว่า Web Camera แต่
ในบางครง้ั กม็ ีคนเรียกวา่ Video Camera หรอื Video Conference ก็แล้วแตค้ วามเข้าใจแต่ละคน
เวบ็ แคมเป็นอุปกรณ์อินพุตที่ สามารถจบั ภาพเคลือ่ นไหวของเราไปปรากฏในหน้าจอมอนิเตอร์


Click to View FlipBook Version