The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by social study, 2021-06-05 13:12:50

การพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมืองของนักเรียนในจังหวัดขอนแก่น ตามหลักพุทธธรรม

ผู้วิจัย : ผศ.อนุสรณ์ นางทะราช

๑๙๑

ตารางท่ี ๔.๔ คา่ เฉลย่ี และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานจิตสำนึกสาธารณะตามหลกั พทุ ธธรรม โดยใช้
กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ของนกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ๓ โรงเรยี นซำสงู พิทยาคม สังกัด
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจังหวัด จังหวัดขอนแกน่ ด้านความรับผดิ ชอบ

ท่ี รายการประเมิน ระดับคุณภาพ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดบั ที่
๑. ด้านความรบั ผดิ ชอบ ๔.๓๔ ๐.๗๐ มาก ๘
๑ เมื่อมีกจิ กรรมสว่ นรวมเกิดขึ้นภายในวัด ๔.๔๗ ๐.๖๗ มากทีส่ ดุ ๕
๔.๓๘ ๐.๗๕ มาก ๖
นกั เรยี นเขา้ ไปชว่ ยเหลอื ๔.๓๔ ๐.๘๗ มาก ๘
๒ นกั เรียนทำการเผยแผธ่ รรมะแกพ่ ทุ ธศาสนิกชน ๔.๔๗ ๐.๗๙ มากที่สดุ ๖
๔.๕๐ ๐.๗๒ มาก ๔
ทกุ คร้งั ทม่ี ีโอกาส
๓ เม่อื นักเรยี นพบว่า ภิกษหุ รือสามเณรภายในวัด ๔.๓๔ ๐.๘๓ มาก ๘
๔.๕๓ ๐.๖๒ มากทส่ี ดุ ๓
กระทำผิด นักเรียนได้ตักเตือนเขา ๔.๕๖ ๐.๖๒ มากที่สุด ๒
๔ เมื่อนกั เรยี นพบเหน็ คนกระทำผิดกฎหมาย ๔.๖๖ ๐.๕๕ มากทีส่ ดุ ๑
๔.๔๕ ๐.๕๑ มาก
นกั เรยี นแจ้งใหเ้ จา้ หนา้ ท่ตี ำรวจทราบ
๕ นักเรียนยอมรับฟงั ความคดิ เหน็ ทแ่ี ตกตา่ ง

ทกั ทว้ งและคำตำหนิจากผู้อืน่
๖ เมอ่ื มผี วู้ า่ กลา่ วตักเตือน เก่ยี วกบั การกระทำ

ความผิดของนกั เรียน นักเรียนจะไมแ่ สดงอาการ
ไม่พอใจ
๗ เมื่อนักเรยี นทำผิดต่อผู้ใด นักเรยี นพรอ้ มที่จะขอ
โทษ
๘ เม่อื นักเรียนไดร้ ับมอบหมายใหท้ ำงาน นักเรียน
รบั ผิดชอบงานนั้นอย่างเตม็ ความสามารถ
๙ เมอ่ื มีการเขา้ แถวเพอื่ รบั ส่งิ ของ นักเรยี นจะเข้า
แถวตามลำดับการมาถงึ ก่อนหลัง
๑๐ นกั เรียนยอมรบั การกระทำของตนเองทงั้ ผลดี
และผลเสีย

รวม

จากตารางที่ ๔.๔ พบว่า ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานจิตสำนกึ สาธารณะตามหลกั พุทธธรรมของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยา

๑๙๒

คมที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ด้าน ด้านความรับผิดชอบ โดยรวม
คา่ เฉล่ียอยู่ในระดบั มาก ( X =๔.๔๕, S.D.= ๐.๕๑) เมอ่ื พจิ ารณาเปน็ รายขอ้ พบว่า ขอ้ ทมี่ ีคา่ เฉล่ียสูงสุด
คือข้อ ๑๐ นักเรียนยอมรับการกระทำของตนเองทั้งผลดีและผลเสีย อยู่ในระดับมากทีส่ ุด ( X =๔.๖๖,
S.D.= ๐.๕๕) รองลงมา คือข้อ ๙ เมื่อมีการเข้าแถวเพื่อรับสิ่งของ นักเรียนจะเข้าแถวตามลำดับการ
มาถงึ กอ่ นหลงั อยใู่ นระดบั มากท่สี ุด ( X =๔.๕๖, S.D.= ๐.๖๒) สว่ นดา้ นที่มคี ่าเฉลย่ี ต่ำสุด คือขอ้ ๑ เมือ่
มีกิจกรรมสว่ นรวมเกิดขึ้นภายในวัด นักเรียนเข้าไปช่วยเหลือ ข้อ ๔ เมื่อนักเรยี นพบเห็นคนกระทำผดิ
กฎหมาย นักเรียนแจ้งให้เจ้าหนา้ ที่ตำรวจทราบ และข้อ ๗ เมื่อนักเรียoทำผิดต่อผู้ใด นักเรียนพร้อมท่ี
จะขอโทษ อยู่ในระดับมาก ( X =๔.๓๔, S.D.= ๐.๗๐) ส่วนข้ออื่น ๆ มีค่าเฉลี่ยที่ใกล้เคียงกันและมี
ความสัมพันธ์กนั ตามลำดบั

ตารางท่ี ๔.๕ คา่ เฉลีย่ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานจติ สำนกึ สาธารณะตามหลักพทุ ธธรรม โดยใช้
กระบวนการแบบอริยสจั ๔ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรียนซำสูงพทิ ยาคม สังกดั
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั จงั หวัดขอนแกน่ ดา้ นความเสยี สละ

ท่ี รายการประเมิน ระดบั คุณภาพ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดบั ที่
๒. ดา้ นความเสียสละ ๔.๕๙ ๐.๖๑ มากทีส่ ุด ๒
๑ เมื่อเห็นเพ่ือนกำลังลำบาก ทา่ นเขา้ ไปสอบถาม ๔.๕๖ ๐.๖๒ มากท่ีสุด ๕
๔.๕๓ ๐.๖๗ มากทส่ี ดุ ๖
เพ่อื ใหค้ วามชว่ ยเหลือ ๔.๕๙ ๐.๖๑ มากทส่ี ดุ ๒
๒ ท่านแบง่ ปันสิ่งของท่เี กินจำเปน็ ของท่านให้แก่ ๔.๔๗ ๐.๖๒ มาก ๗
๔.๖๓ ๐.๗๑ มากท่สี ุด ๑
ผอู้ ืน่ ๔.๖๓ ๐.๗๑ มากที่สุด ๑
๓ ทา่ นพร้อมจะใหค้ วามช่วยเหลอื กบั ทุกคน โดย

ไม่หวังผลตอบแทน
๔ ทา่ นมักให้ความชว่ ยเหลอื แก่ผูท้ ดี่ อ้ ยโอและ

ต้องการความชว่ ยเหลือ
๕ เม่ือมีกิจกรรมบำเพญ็ ประโยชน์ของชุมชนท่าน

เสยี สละเวลาไปเข้าร่วม
๖ ทา่ นพร้อมทจ่ี ะเขา้ ร่วมกจิ กรรมสาธารณะแม้

จะตอ้ งเสยี สละทรพั ย์ส่วนตัว
๗ ทา่ นพร้อมที่จะใหก้ ารสนับสนุนกิจกรรมที่เปน็

สาธารณะประโยชน์

๑๙๓

ตารางท่ี ๔.๕ (ตอ่ )

ที่ รายการประเมิน ระดับคุณภาพ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดบั ที่
๒. ด้านความเสียสละ ๔.๔๔ ๐.๘๐ มาก ๘
๘ ท่านมักบรจิ าคส่งิ ของท่ที ่านไมใ่ ชแ้ ลว้ ใหอ้ งค์กร
๔.๔๔ ๐.๗๖ มาก ๘
การกศุ ลตา่ ง ๆ
๙ ทา่ นพร้อมท่ีจะใหค้ วามรู้แก่ผ้อู ื่น โดยได้ ๔.๔๑ ๐.๘๐ มาก ๑๐

ผลตอบแทน ๔.๕๓ ๐.๔๖ มากท่สี ดุ
๑๐ ทา่ นพร้อมทจ่ี ะเสียสละต่อผ้อู ่ืน แมว้ า่ ไม่เห็น

เจตนาดีของท่าน
รวม

จากตารางที่ ๔.๕ พบว่า ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานจติ สำนกึ สาธารณะตามหลกั พุทธธรรมของนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยา
คมที่มตี ่อการจัดการเรยี นรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ดา้ น ด้านความเสยี สละ โดยรวม คา่ เฉลี่ย
อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๔๖) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด
คือข้อ ๖ ท่านพร้อมที่จะเข้าร่วมกิจกรรมสาธารณะแม้จะต้องเสียสละทรัพย์ส่วนตัว และข้อ ๗ ท่าน
พร้อมที่จะให้การสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นสาธารณะประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด
( X =๔.๖๓, S.D.= ๐.๗๑) รองลงมา คือข้อ ๑ เมื่อเห็นเพื่อนกำลังลำบาก ท่านเข้าไปสอบถามเพื่อให้
ความช่วยเหลือ และข้อ ๔ ท่านมักให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ด้อยโอและต้องการความช่วยเหลือ อยู่ใน
ระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๙, S.D.= ๐.๖๑) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือข้อ ๑๐ นักเรียนยอมรับการ
กระทำของตนเองท้ังผลดีและผลเสยี อยใู่ นระดบั มาก( X =๔.๔๑, S.D.= ๐.๘๐) สว่ นขอ้ อน่ื ๆ มีคา่ เฉล่ีย
ทีใ่ กล้เคียงกนั และมีความสัมพนั ธ์กันตามลำดับ

๑๙๔

ตารางที่ ๔.๖ คา่ เฉลี่ย และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานจิตสำนกึ สาธารณะตามหลกั พุทธธรรม โดยใช้
กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ของนักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๓ โรงเรยี นซำสูงพทิ ยาคม สงั กัด
องค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวัด จงั หวดั ขอนแก่น ดา้ นความสามัคคี

ท่ี รายการประเมิน ระดบั คณุ ภาพ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดบั ที่
๓. ด้านความสามคั คี
๑ ทา่ นประพฤตติ นเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี ๔.๔๔ ๐.๗๒ มาก ๘
๒ ท่านทำงานส่วนรวม โดยไม่เกี่ยงว่างานนั้นจะ ๔.๔๔ ๐.๖๗ มาก ๘

เปน็ งานหนกั หรืองานเบา ๔.๕๖ ๐.๕๖ มากทส่ี ุด ๔
๓ เมอื่ ท่านเหน็ เพ่ือนทำงานอย่างเหนด็ เหนื่อยท่าน
๔.๔๑ ๐.๗๖ มาก ๑๐
จะเขา้ ไปชว่ ยเหลอื เพ่อื ใหง้ านเสรจ็ เรว็ ขึน้
๔ เมอ่ื ท่านตอ้ งการตำหนใิ คร ท่านไมต่ ำหนติ อ่ หน้า ๔.๕๖ ๐.๖๗ มากที่สุด ๔
๔.๕๙ ๐.๕๖ มากท่ีสุด ๒
ผู้คนจำนวนมาก แต่จะเรียกเข้ามาคุยเป็น
ส่วนตัว ๔.๖๓ ๐.๖๑ มากที่สุด ๑
๕ ท่านทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างไม่มีปัญหาข้อ
ขดั แย้ง ๔.๕๖ ๐.๖๗ มากที่สดุ ๔
๖ เมื่อเกิดปัญหาระหว่างการทำงาน ท่านจะ ๔.๕๙ ๐.๖๑ มากทส่ี ดุ ๒
ปรึกษาขอความคิดเห็นจากแต่ละคน เพื่อหาวิธี
แก้ปญั หา ๔.๕๓ ๐.๗๒ มากที่สุด ๗
๗ ท่านตัดสินใจแก้ปัญหาจากเหตุผลมากกว่าการ
ใช้อารมณ์ ๔.๕๓ ๐.๕๐ มากท่สี ดุ
๘ การทำงานเปน็ ทีม ทำใหท้ ่านเข้าใจผอู้ ื่นมากข้นึ
๙ ท่านจะไม่ละทิ้งหน้าที่ เมื่อเกิดความขัดแย้งขึน้
ภายในทมี
๑๐ เมื่อสมาชิกภายในทีมไม่รับผิดชอบต่อหน้าท่ี
ท่านมักทำหน้าที่แทน เพื่อให้งานที่ได้รับ
มอบหมายสำเร็จทนั ตามกำหนดเวลา

รวม

จากตารางที่ ๔.๖ พบว่า ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานจติ สำนึกสาธารณะตามหลักพุทธธรรมของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรยี นซำสูงพิทยา

๑๙๕

คมทีม่ ตี ่อการจดั การเรียนรู้ โดยใชก้ ระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ด้าน ด้านความสามคั คี โดยรวม ค่าเฉล่ีย
อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๕๐) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด
คือข้อ ๗ ท่านตัดสินใจแก้ปัญหาจากเหตุผลมากกว่าการใช้อารมณ์ อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๖๓,
S.D.= ๐.๖๑) รองลงมา คือขอ้ ๖ เมอื่ เกิดปัญหาระหวา่ งการทำงาน ทา่ นจะปรึกษาขอความคดิ เห็นจาก
แต่ละคน เพอ่ื หาวิธีแก้ปญั หา และข้อ ๙ ทา่ นจะไมล่ ะทง้ิ หนา้ ท่ี เมื่อเกดิ ความขดั แยง้ ขึน้ ภายในทมี อยู่ใน
ระดับมากท่ีสุด ( X =๔.๕๙, S.D.= ๐.๕๖) สว่ นดา้ นทีม่ ีค่าเฉล่ียต่ำสุด คือข้อ ๔ เม่ือท่านต้องการตำหนิ
ใคร ท่านไม่ตำหนิตอ่ หน้าผู้คนจำนวนมาก แตจ่ ะเรียกเข้ามาคยุ เป็นส่วนตวั อยูใ่ นระดับมาก ( X =๔.๔๑,
S.D.= ๐.๗๖) สว่ นข้ออนื่ ๆ มคี ่าเฉล่ียทีใ่ กลเ้ คียงกนั และมีความสมั พนั ธก์ ันตามลำดับ

ตารางที่ ๔.๗ ค่าเฉลย่ี และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานจิตสำนกึ สาธารณะตามหลักพทุ ธธรรม โดยใช้
กระบวนการแบบอรยิ สัจ ๔ ของนกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๓ โรงเรยี นซำสงู พทิ ยาคม สังกดั
องค์การบรหิ ารสว่ นจังหวัด จงั หวัดขอนแก่น ดา้ นการอนุรักษส์ งิ่ แวดลอ้ ม

ที่ รายการประเมิน ระดบั คุณภาพ (n=๓๒)
๔. ดา้ นการอนรุ กั ษ์สง่ิ แวดล้อม X S.D. แปลความ ลำดับท่ี

๑ เมือ่ ทา่ นมีโอกาสช่วยดแู ลรักษาธรรมชาติพร้อมให้ ๔.๕๖ ๐.๕๐ มากทีส่ ดุ ๕

ความร่วมมืออย่างเต็มที่

๒ ท่านได้นำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้อย่างคุ้มค่า ๔.๖๓ ๐.๖๑ มากทส่ี ุด ๒

ท่ีสุด

๓ เมอ่ื มีคนนำสง่ิ ของสว่ นรวมไปใช้แล้วไมน่ ำไปเก็บ ๔.๕๙ ๐.๖๑ มากที่สดุ ๔

ไวท้ ่ีเดมิ ท่านนำไปเก็บไวท้ ่เี ดมิ ให้

๔ เมอื่ ทา่ นใชข้ องที่เปน็ สาธารณะ ทา่ นจะดแู ลรกั ษา ๔.๖๙ ๐.๕๙ มากทส่ี ุด ๑

เหมือนกบั เป็นของส่วนตัวของท่าน

๕ เมื่อทา่ นเครียดหรอื หงดุ หงิด ท่านจะไม่ระบาย ๔.๕๓ ๐.๖๒ มากทส่ี ดุ ๙

อารมณ์ โดยการทำลายของสาธารณะ

๖ เมอ่ื มสี ิ่งของทีย่ งั ไม่ชำรดุ แต่ทา่ นไม่ได้ใชง้ านแล้ว ๔.๖๓ ๐.๖๑ มากทส่ี ุด ๒

ทา่ นจะนำไปใหก้ ับผู้อื่นทมี่ คี วามต้องการ

๗ ทา่ นมกั นำวสั ดุหรอื ส่งิ ของท่เี หลอื ใชม้ าดดั แปลง ๔.๕๖ ๐.๕๖ มากท่ีสุด ๕

เพอื่ นำมาใชป้ ระโยชน์ใหม่

๘ ท่านสนบั สนนุ การใชถ้ งุ ผ้าแทนถงุ พลาสตกิ ๔.๕๖ ๐.๕๖ มากทส่ี ุด ๕

๑๙๖

ตารางที่ ๔.๗ (ต่อ) ระดับคณุ ภาพ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดบั ที่
ที่ รายการประเมิน ๔.๕๖ ๐.๕๖ มากทีส่ ุด ๕

๔. ด้านการอนุรักษ์สิง่ แวดล้อม ๔.๕๐ ๐.๖๒ มาก ๑๐
๙ เมื่อทา่ นพบเหน็ การตัดไมท้ ำลายปา่ ท่านไดท้ ำ
๔.๕๘ ๐.๓๙ มากทีส่ ดุ
การแจ้งต่อเจา้ หน้าท่ีให้เขา้ มาตรวจสอบ
๑๐ ท่านมักใหค้ วามรู้และเผยแพร่วธิ ีการอนรุ กั ษ์

ส่งิ แวดล้อมท่ีถกู ตอ้ งแก่ผู้ที่ท่านเกีย่ วขอ้ ง
รวม

จากตารางที่ ๔.๗ พบว่า ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานจติ สำนกึ สาธารณะตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓ โรงเรยี นซำสูงพิทยา
คมทม่ี ีต่อการจัดการเรยี นรู้ โดยใชก้ ระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ดา้ น ดา้ นการอนุรกั ษส์ ิ่งแวดล้อมโดยรวม
ค่าเฉล่ยี อย่ใู นระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๘, S.D.= ๐.๓๙) เม่อื พิจารณาเปน็ รายข้อ พบว่า ข้อท่ีมีค่าเฉล่ีย
สูงสุด คือข้อ ๔ เมื่อท่านใช้ของที่เป็นสาธารณะ ท่านจะดูแลรักษาเหมือนกับเป็นของส่วนตัวของท่าน
อยใู่ นระดบั มากท่สี ดุ ( X =๔.๖๙, S.D.= ๐.๕๙) รองลงมา คือข้อ ๒ ทา่ นไดน้ ำทรพั ยากรธรรมชาติมาใช้
อยา่ งค้มุ ค่าทีส่ ุด และข้อ ๖ เมอ่ื มีสง่ิ ของที่ยังไมช่ ำรุด แต่ท่านไม่ได้ใช้งานแลว้ ท่านจะนำไปให้กับผู้อ่ืนท่ีมี
ความต้องการ อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๖๓, S.D.= ๐.๖๑) ส่วนด้านที่มีค่าเฉล่ียต่ำสุด คือข้อ ๑๐
ท่านมักให้ความรูแ้ ละเผยแพรว่ ิธกี ารอนรุ ักษส์ งิ่ แวดลอ้ มท่ีถูกต้องแก่ผทู้ ่ีท่านเกยี่ วขอ้ ง อย่ใู นระดับมาก (
X =๔.๕๐, S.D.= ๐.๖๒) ส่วนข้ออนื่ ๆ มคี า่ เฉลยี่ ท่ีใกล้เคียงกันและมีความสัมพนั ธ์กนั ตามลำดบั

ตอนท่ี ๓ ผลการวเิ คราะห์ความเป็นพลเมืองตามหลกั พทุ ธธรรมของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษา
ปีท่ี ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม

๑๙๗

ตารางท่ี ๔.๘ ค่าเฉลยี่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความเป็นพลเมอื งตามหลกั พุทธธรรมของนักเรียน
ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรยี นซำสูงพทิ ยาคม โดยรวม

ที่ รายการประเมิน ระดบั คณุ ภาพ (n=๓๒)
X S.D. แปลผล ลำดบั ท่ี
๑ ด้านกาย (civic Physical) ๔.๖๒ ๐.๓๖ มากท่สี ดุ ๒
๒ ด้านทกั ษะทางสังคม (civic social skills) ๔.๖๐ ๐.๓๙ มากท่สี ดุ ๓
๓ ด้านคณุ ธรรม (civic virtue) ๔.๖๓ ๐.๔๓ มากทีส่ ดุ ๑
๔ ด้านปญั ญา (civic knowledge) ๔.๕๖ ๐.๓๗ มากทีส่ ดุ ๔
๔.๖๐ ๐.๓๐ มากทส่ี ุด
รวม

จากตารางที่ ๔.๘ พบว่า ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความเป็นพลเมืองตามหลัก
พุทธธรรมของนกั เรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๓ โรงเรียนซำสงู พิทยาคม ผลการประเมนิ โดยรวม ค่าเฉล่ีย
อยู่ในระดบั มากท่สี ุด ( X =๔.๖๐, S.D.= ๐.๓๐) เม่ือพจิ ารณาเป็นรายดา้ น พบว่า ด้านท่มี คี ่าเฉล่ียสูงสุด
คือด้านคุณธรรม (civic virtue) อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๖๓, S.D.= ๐.๔๓) รองลงมา คือด้านกาย
(civic Physical) อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๖๒, S.D.= ๐.๓๖) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือด้าน
ปญั ญา (civic knowledge) อยูใ่ นระดับมากท่สี ดุ ( X =๔.๕๖, S.D.= ๐.๓๗) สว่ นด้านอ่ืน ๆ มคี ่าเฉล่ียท่ี
ใกล้เคยี งกนั และมคี วามสมั พนั ธก์ ันตามลำดบั

ตารางที่ ๔.๙ คา่ เฉลีย่ และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานความเปน็ พลเมืองตามหลักพุทธธรรมของนักเรยี น
ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ด้านกาย (civic Physical)

ที่ รายการประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ (n=๓๒)
๑. ดา้ นกาย (civic Physical) X S.D. แปลความ ลำดับที่

๑ มคี วามสามารถทจี่ ะมองปญั หาและแกป้ ญั หาไดใ้ นฐานะ๔ข.อ๖ง๓คน ๐.๖๑ มากที่สดุ ๕

ในสังคมโลกาภิวัฒน์

๒ มเี จตนารมณ์ท่ีจะเปลย่ี นแปลงวถิ ีชวี ติ และอุปนิสัย ๔.๖๙ ๐.๖๔ มากที่สุด ๒

การบริโภคให้เออ้ื ต่อการอนุรกั ษส์ ่ิงแวดลอ้ ม

๓ พลเมืองดตี อ้ งเปน็ ผู้ทีร่ จู้ กั เปิดรบั ความรู้ความคดิ ๔.๖๙ ๐.๔๗ มากท่ีสุด ๒

ใหม่ ๆ และรจู้ กั ปดิ ไม่รับในส่ิงไม่ดี

๑๙๘

ตารางท่ี ๔.๙ (ต่อ) ระดบั คณุ ภาพ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดบั ท่ี
ที่ รายการประเมิน ๔.๗๒ ๐.๔๖ มากท่ีสดุ ๑
๔.๕๖ ๐.๖๗ มากทส่ี ุด ๗
๑. ด้านกาย (civic Physical) ๔.๕๓ ๐.๖๗ มากทส่ี ดุ ๙
๔ พลเมอื งดตี ้องเป็นผู้ทีม่ ีส่วนร่วมในการตัดสนิ ใจ
๔.๖๖ ๐.๕๕ มากที่สุด ๔
รบั ร้ขู ้อมลู ทมี่ ีผลต่อสาธารณชน ๔.๕๖ ๐.๖๒ มากทส่ี ุด ๗
๕ มคี วามซอื่ สตั ย์ ตัง้ ใจทำความดี ใช้สิทธิเสรีภาพของ
๔.๕๓ ๐.๖๒ มากทีส่ ดุ ๙
ตนในขอบเขต มีใจกวา้ ง ๔.๕๙ ๐.๕๖ มากที่สดุ ๖
๖ การเป็นผูท้ ีม่ คี วามรู้ มีการศกึ ษา และมี
๔.๖๒ ๐.๓๖ มากทส่ี ดุ
ความสามารถทจ่ี ะมองเห็นและเขา้ ใจในสังคมของ
ตนและสังคมโลกเฉกเช่นเป็นสมาชิกของสังคม
๗ ยึดถอื ประโยชนส์ ว่ นรวมและสงั คมเป็นหลกั
๘ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจต่อการเปลีย่ นแปลงทางสังคม
และทางการเมอื ง (Political Literacy) และเขา้ ไป
มสี ่วนรว่ มทางการเมอื ง (Political Participation)
ในทกุ ระดับต้งั แตช่ ุมชน ทอ้ งถิ่น ระดบั ชาติ และ
นานาชาติ
๙ เคารพความแตกต่าง มีทักษะในการฟงั และ
ยอมรบั ความคดิ เห็นทีแ่ ตกตา่ งจากตนเอง
๑๐ รับผิดชอบตอ่ สังคม ตระหนกั ว่าตนเองเป็นสว่ นหน่ึง
ของสงั คม กระตอื รือร้นท่จี ะรับผดิ ชอบ และรว่ ม
แก้ไขปัญหาสังคมโดยเรมิ่ ต้นท่ีตนเอง

รวม

จากตารางที่ ๔.๙ พบว่า ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความเป็นพลเมืองตามหลกั
พทุ ธธรรมของนักเรียน ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๓ โรงเรยี นซำสงู พิทยาคม ดา้ นกาย (civic Physical)โดยรวม
ค่าเฉลย่ี อยูใ่ นระดับมากที่สดุ ( X =๔.๖๒, S.D.= ๐.๓๖) เมอื่ พจิ ารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ย
สูงสุด คือข้อ ๔ พลเมืองดีต้องเป็นผู้ที่มีส่วนรว่ มในการตัดสินใจ รับรูข้ ้อมูลที่มผี ลต่อสาธารณชน อยู่ใน
ระดับมากที่สุด ( X =๔.๗๒, S.D.= ๐.๔๖) รองลงมา คือข้อ ๒ มีเจตนารมณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต
และอุปนิสัยการบริโภคให้เอือ้ ต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และข้อ ๓ พลเมืองดีต้องเป็นผู้ที่รู้จักเปิดรับ
ความรู้ความคิดใหม่ ๆ และรู้จักปิดไม่รับในสิ่งไม่ดี อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๖๙, S.D.= ๐.๔๗)

๑๙๙

ส่วนด้านท่มี ีคา่ เฉลีย่ ตำ่ สุด คือข้อ ๙ เคารพความแตกต่าง มที ักษะในการฟงั และยอมรบั ความคิดเห็นที่
แตกต่างจากตนเอง อยู่ในระดบั มากทีส่ ุด ( X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๖๒) สว่ นข้ออ่นื ๆ มีคา่ เฉล่ียที่ใกล้เคียง
กนั และมคี วามสัมพนั ธ์กันตามลำดบั

ตารางท่ี ๔.๑๐ ค่าเฉล่ีย และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานความเปน็ พลเมืองตามหลักพุทธธรรมของนักเรยี น
ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรยี นซำสงู พทิ ยาคม ดา้ นทกั ษะทางสงั คม (civic social skills)

ที่ รายการประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดับท่ี
๒. ด้านทักษะทางสังคม (civic social skills) ๔.๕๐ ๐.๗๒ มาก ๙
๑ มีความสามารถทจี่ ะทำงานรว่ มกบั ผู้อืน่ และมีความ
๔.๖๖ ๐.๕๕ มากที่สุด ๒
รับผดิ ชอบหน้าท่ี และบทบาทของตนท้งั ตอ่ ตนเอง ๔.๔๗ ๐.๖๗ มาก ๑๐
และต่อสงั คม ๔.๖๓ ๐.๖๑ มากทส่ี ุด ๔
๒ มคี วามสามารถทีจ่ ะเข้าใจและปกปอ้ งสิทธิ
มนษุ ยชน ๔.๖๓ ๐.๖๑ มากที่สดุ ๔
๓ มคี วามรบั ผดิ ชอบต่อการกระทำทางการเมอื ง ๔.๕๙ ๐.๖๑ มากที่สุด ๖
๔ คณุ ลักษณะทางสงั คม ได้แก่ มีความตระหนกั และ ๔.๕๖ ๐.๖๗ มากที่สดุ ๘
เห็นใจในสวสั ดภิ าพของผูอ้ ืน่ มีพฤตกิ รรมทม่ี ี ๔.๖๖ ๐.๕๕ มากทสี่ ุด ๒
คณุ ธรรม มคี วามอดทนในความแตกต่างทเ่ี กดิ ขนึ้ ใน ๔.๕๙ ๐.๖๑ มากทีส่ ดุ ๖
สังคม ๔.๖๙ ๐.๔๗ มากท่สี ุด ๑
๕ สนใจปฏิบัตติ ามกฎหมายและรบั รโู้ ดยชอบธรรม ๔.๖๐ ๐.๓๙ มากท่สี ดุ
ของผูอ้ ่นื
๖ มเี จตนารมณท์ ี่จะเปลย่ี นแปลงวิถชี วี ิตและอปุ นิสยั
การบริโภค ให้เอ้ือต่อการอนรุ ักษ์สิง่ แวดลอ้ ม
๗ มีความประพฤติดสี ำคญั ยิ่งกวา่ สถานภาพทางสงั คม
เศรษฐกิจ อาชีพ ศาสนา เช้ือชาติ
๘ คิดถึงสว่ นรวมมากกวา่ สว่ นตวั
๙ มีอิสรภาพ และพึง่ ตนเองได้ ไมอ่ ยภู่ ายใตก้ าร
ครอบงำของระบบอปุ ถัมภ์
๑๐ เคารพกตกิ า กฎหมาย ใช้กติกาในการแก้ปัญหาไม่
ใชก้ ำลงั และยอมรับผลของการละเมิดกฎหมาย

รวม

๒๐๐

จากตารางท่ี ๔.๑๐ พบวา่ คา่ เฉล่ยี และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานความเป็นพลเมืองตามหลัก
พุทธธรรมของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ด้านทักษะทางสังคม (civic
social skills) โดยรวม ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๖๐, S.D.= ๐.๓๙) เมื่อพิจารณาเป็นราย
ข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลีย่ สูงสุด คือข้อ ๑๐ เคารพกติกา กฎหมาย ใช้กติกาในการแก้ปัญหาไม่ใช้กำลัง
และยอมรับผลของการละเมิดกฎหมาย อยู่ในระดบั มากที่สุด ( X =๔.๖๙, S.D.= ๐.๔๗) รองลงมา คือ
ข้อ ๒ มีความสามารถที่จะเขา้ ใจและปกป้องสิทธิมนุษยชน และข้อ ๘ คิดถึงส่วนรวมมากกว่าสว่ นตัว
อย่ใู นระดบั มากที่สุด ( X =๔.๖๖, S.D.= ๐.๕๕) สว่ นดา้ นทม่ี ีค่าเฉลี่ยตำ่ สุด คือขอ้ ๓ มีความรับผิดชอบ
ต่อการกระทำทางการเมือง อยู่ในระดับมาก ( X =๔.๔๗, S.D.= ๐.๖๗) ส่วนข้ออื่น ๆ มีค่าเฉลี่ยท่ี
ใกล้เคียงกนั และมคี วามสัมพันธก์ นั ตามลำดบั

ตารางท่ี ๔.๑๑ ค่าเฉล่ยี และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานความเปน็ พลเมอื งตามหลกั พุทธธรรมของนักเรยี น
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๓ โรงเรยี นซำสงู พิทยาคม ด้านคุณธรรม (civic virtue)

ท่ี รายการประเมนิ ระดับคุณภาพ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดบั ที่
๓. ด้านคณุ ธรรม (civic virtue) ๔.๕๙ ๐.๖๑ มากที่สดุ ๙
๑ มคี วามรกั และจงรกั ภักดีตอ่ ประเทศชาติ ๔.๖๖ ๐.๔๘ มากทส่ี ดุ ๕
๒ ต้องเป็นบุคคลทมี่ ีคุณธรรมและจรยิ ธรรม รับฟงั ๔.๗๒ ๐.๔๖ มากที่สุด ๒
๔.๕๖ ๐.๗๒ มากท่สี ุด ๗
ความคิดเหน็ ของบคุ คลอืน่ ๔.๗๒ ๐.๔๖ มากทส่ี ุด ๒
๓ เคารพความเสมอภาค ความยุติธรรม
๔ มีอสิ รภาพ และพงึ่ ตนเองได้ ไมอ่ ย่ภู ายใต้การ ๔.๖๙ ๐.๔๗ มากทสี่ ุด ๔

ครอบงำของระบบอุปถมั ภ์ ๔.๕๓ ๐.๗๒ มากทสี่ ุด ๑๐
๕ รบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คม ตระหนักวา่ ตนเองเปน็ ส่วน ๔.๕๖ ๐.๖๗ มากทส่ี ดุ ๗

หนงึ่ ของสังคม กระตอื รือรน้ ทจ่ี ะรบั ผิดชอบ และ
รว่ มแก้ไขปญั หาสงั คมโดยเรม่ิ ตน้ ท่ีตนเอง
๖ มคี วามเขา้ ใจและกระตือรอื ร้นท่จี ะมสี ่วนรว่ มใน
การปกครองประเทศตามวถิ ีทางประชาธิปไตย ยึด
มน่ั ในสถาบนั ชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์
๗ มคี วามยึดมัน่ และผดงุ ความเสมอภาค ความสุจรติ
และความยตุ ิธรรม
๘ มีโลกทรรศน์กว้างและจิตใจสาธารณะ

๒๐๑

ตารางที่ ๔.๑๑ (ตอ่ )

ที่ รายการประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดับท่ี
๓. ดา้ นคณุ ธรรม (civic virtue) ๔.๗๕ ๐.๔๔ มากท่ีสุด ๑
๙ ความมวี นิ ยั ในตนเอง ได้แก่ ซ่ือสตั ยส์ จุ รติ
๔.๕๖ ๐.๖๗ มากทสี่ ุด ๖
ขยนั หม่ันเพียร อดทน ใฝห่ าความรู้ ตั้งใจปฏบิ ตั ิ
หน้าที่ ยอมรับผลทีเ่ กิดจากการกระทำของตนเอง ๔.๖๓ ๐.๔๓ มากท่ีสุด
๑๐ รกั ชาติ ยึดมนั่ ในศาสนา และเทิดทนู สถาบัน
พระมหากษัตรยิ ์ คือการเหน็ คณุ ค่าและการ
แสดงออกถงึ ความรกั ชาติ ยึดมั่นในศาสนา และ
เทิดทนู สถาบันพระมหากษัตริย์

รวม

จากตารางท่ี ๔.๑๑ พบว่า คา่ เฉลย่ี และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานความเป็นพลเมืองตามหลัก
พุทธธรรมของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ด้านคุณธรรม (civic virtue)
โดยรวม ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( X =๔.๖๓, S.D.= ๐.๔๓) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มี
ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือข้อ ๙ ความมีวินัยในตนเอง ได้แก่ ซื่อสัตย์สุจริต ขยันหม่ันเพียร อดทน ใฝ่หาความรู้
ต้งั ใจปฏิบตั ิหน้าท่ี ยอมรับผลท่ีเกดิ จากการกระทำของตนเอง อยใู่ นระดบั มากที่สุด ( X =๔.๗๕, S.D.=
๐.๔๔) รองลงมา คือข้อ ๓ เคารพความเสมอภาค ความยุติธรรม และข้อ ๕ รับผิดชอบต่อสังคม
ตระหนักวา่ ตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม กระตือรือร้นที่จะรับผิดชอบ และร่วมแก้ไขปัญหาสังคมโดย
เริม่ ต้นที่ตนเอง อยใู่ นระดับมากที่สุด ( X =๔.๗๒, S.D.= ๐.๔๖) สว่ นดา้ นท่มี ีค่าเฉลย่ี ตำ่ สุด คือข้อ ๗ มี
ความยึดมั่นและผดุงความเสมอภาค ความสุจริตและความยุติธรรม อยู่ในระดับมากที่สุด
( X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๗๒) ส่วนข้ออื่น ๆ มคี ่าเฉล่ยี ทีใ่ กล้เคียงกันและมคี วามสมั พันธก์ ันตามลำดับ

๒๐๒

ตารางที่ ๔.๑๒ คา่ เฉลยี่ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานความเปน็ พลเมืองตามหลักพทุ ธธรรมของนักเรียน

ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ดา้ นปัญญา (civic knowledge)

ที่ รายการประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ (n=๓๒)
๔. ดา้ นปัญญา (civic knowledge) X S.D. แปลความ ลำดับท่ี

๑ มคี วามสามารถทจี่ ะเข้าใจ ยอมรับ และอดทนต่อ ๔.๕๙ ๐.๖๑ มากท่สี ุด ๓

ความแตกตา่ งทางวฒั นธรรม

๒ มเี จตนารมณ์ที่จะแก้ปัญหาความขัดแยง้ ใดๆดว้ ย ๔.๕๓ ๐.๖๒ มากท่ีสุด ๖

สนั ตวิ ิธี ไมใ่ ชค้ วามรนุ แรง

๓ มคี วามสามารถที่จะคิดและวพิ ากษ์ วจิ ารณ์ ๔.๔๗ ๐.๗๒ มาก ๑๐

(Critical way) อย่างมเี หตผุ ลและคิดเปน็ ระบบ

๔ มคี วามเข้าใจหลักสทิ ธิมนุษยชน และยอมรบั ความ ๔.๕๓ ๐.๖๗ มากทีส่ ุด ๖

แตกตา่ งในความเปน็ พหุสงั คม

๕ มคี วามสามารถทีจ่ ะเข้าใจและปกป้องสิทธิ ๔.๖๙ ๐.๕๔ มากท่ีสดุ ๑

มนุษยชน

๖ มีความรับผดิ ชอบต่อการกระทำทางการเมอื ง ๔.๕๐ ๐.๖๗ มากที่สดุ ๙

๗ เคารพสทิ ธิผ้อู ่ืนไม่ใชส้ ิทธิเสรภี าพของตนไปละเมิด ๔.๕๓ ๐.๕๗ มากทส่ี ดุ ๖

สทิ ธเิ สรภี าพของบุคคลอื่น

๘ มคี วามกระตอื รอื รน้ ทีจ่ ะเข้ามามสี ว่ นรว่ มในการ ๔.๖๓ ๐.๕๕ มากที่สุด ๒

แกป้ ญั หาของชุมชนหรือองค์กรทต่ี นสงั กัด

๙ คณุ ลกั ษณะทางสงั คม ไดแ้ ก่ มีความตระหนักและ ๔.๕๖ ๐.๖๒ มากทีส่ ุด ๕

เห็นใจในสวสั ดิภาพของผอู้ ่นื มพี ฤติกรรมที่มี

คุณธรรม มคี วามอดทนในความแตกต่างทเ่ี กดิ ข้นึ

ในสงั คม

๑๐ เคารพกตกิ า กฎหมาย ใช้กติกาในการแก้ปัญหาไม่ ๔.๕๙ ๐.๖๗ มากที่สดุ ๓

ใชก้ ำลงั และยอมรับผลของการละเมดิ กฎหมาย

รวม ๔.๕๖ ๐.๓๗ มากทส่ี ดุ

จากตารางท่ี ๔.๑๒ พบวา่ คา่ เฉลีย่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความเปน็ พลเมอื งตามหลัก
พุทธธรรมของนักเรียน ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ ๓ โรงเรยี นซำสูงพิทยาคม ด้านปัญญา (civic knowledge)
โดยรวม ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( X =๔.๕๖, S.D.= ๐.๓๗) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มี

๒๐๓

ค่าเฉล่ยี สูงสดุ คือขอ้ ๕ มคี วามสามารถท่จี ะเข้าใจและปกปอ้ งสทิ ธมิ นุษยชน อยใู่ นระดับมากที่สดุ ( X =
๔.๖๙, S.D.= ๐.๖๗) รองลงมา คอื ขอ้ ๘ มคี วามกระตือรอื รน้ ท่ีจะเข้ามามีสว่ นร่วมในการแกป้ ัญหาของ
ชมุ ชนหรอื องคก์ รทตี่ นสงั กัด อยู่ในระดับมากทส่ี ุด ( X =๔.๖๓, S.D.= ๐.๕๕) ส่วนด้านท่มี คี า่ เฉลี่ยต่ำสุด
คือข้อ ๓ มีความสามารถที่จะคิดและวิพากษ์ วิจารณ์ (Critical way) อย่างมีเหตุผลและคิดเป็นระบบ
อยู่ในระดบั มาก ( X =๔.๔๗, S.D.= ๐.๗๒) สว่ นขอ้ อืน่ ๆ มคี ่าเฉลย่ี ทใี่ กลเ้ คียงกันและมคี วามสัมพันธ์กัน
ตามลำดบั

ตอนที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูง
พิทยาคม ที่มีต่อการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ
ความเป็นพลเมอื งตามหลกั พทุ ธธรรม

ตารางท่ี ๔.๑๓ คา่ เฉลี่ย และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานความพึงพอใจของนักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ ๓
โรงเรยี นซำสงู พิทยาคม ท่มี ีต่อการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔
เรอื่ งจติ สำนกึ สาธารณะ ความเปน็ พลเมอื งตามหลักพทุ ธธรรม โดยรวม

ท่ี รายการประเมนิ ระดับความพงึ พอใจ (n=๔๘)
X S.D. แปลผล ลำดับท่ี
๑ ดา้ นสาระการเรียนรู้ ๔.๕๕ ๐.๔๗ มากท่สี ุด ๓
๒ ด้านคุณลกั ษณะครูผสู้ อน ๔.๕๙ ๐.๔๑ มากที่สดุ ๒
๓ ด้านการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ๔.๕๓ ๐.๔๘ มากที่สุด ๕
๔ ดา้ นส่ือการเรยี นรู/้ แหลง่ การเรยี นรู้ ๔.๕๔ ๐.๔๒ มากท่สี ดุ ๔
๕ ดา้ นการวดั และประเมินผล ๔.๖๕ ๐.๔๖ มากทสี่ ดุ ๑
๔.๕๗ ๐.๔๑ มากท่สี ดุ
รวม

จากตารางท่ี ๔.๑๓ พบว่า คา่ เฉลยี่ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานความพึงพอใจของนักเรียน
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ทมี่ ตี ่อจิตสำนึกสาธารณะความเปน็ พลเมอื งตามหลักพุทธ
ธรรม โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ โดยรวม ค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๗, S.D.=
๐.๔๑) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านการวัดและประเมินผล อยู่ใน
ระดบั มากท่ีสุด ( X =๔.๖๕, S.D.= ๐.๔๖) รองลงมา คอื ดา้ นคณุ ลกั ษณะครูผู้สอน อยูใ่ นระดับมากท่ีสุด (
X =๔.๕๙, S.D.= ๐.๔๑) สว่ นดา้ นท่มี คี ่าเฉลี่ยต่ำสุด คอื ด้านการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ อยู่ในระดับมาก
ทีส่ ดุ ( X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๔๘) สว่ นดา้ นอน่ื ๆ มีคา่ เฉล่ยี ทใ่ี กลเ้ คยี งกนั และมคี วามสัมพนั ธก์ ันตามลำดับ

๒๐๔

ตารางที่ ๔.๑๔ ค่าเฉล่ยี และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานความพงึ พอใจของนักเรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๓

โรงเรียนซำสงู พิทยาคม ทม่ี ตี อ่ การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ โดยใชก้ ระบวนการแบบอรยิ สจั ๔

เรอ่ื งจติ สำนกึ สาธารณะ ความเป็นพลเมอื งตามหลักพุทธธรรม ดา้ นสาระการเรียนรู้

.. ระดบั ความพงึ พอใจ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดับที่
ท่ี รายการประเมนิ
๑. ดา้ นเนื้อหาสาระการเรยี นรู้

๑ ความสอดคล้องระหวา่ งเน้ือหาสาระการเรยี นรู้ ๔.๖๓ ๐.๖๑ มากที่สุด ๑

กับจดุ ประสงค์การเรียนรู้

๒ ลำดบั ขั้นในการนำเสนอเน้อื หาสาระการเรยี นรู้ ๔.๕๙ ๐.๕๖ มากทส่ี ุด ๒

มีความตอ่ เนอื่ งกัน

๓ ความเหมาะสมของเน้ือหาสาระการเรียนรู้กับ ๔.๓๘ ๐.๖๖ มาก ๖

ระดับของผเู้ รยี น

๔ การใช้ตัวอกั ษรมีขนาดและสีท่ีชัดเจน อ่านง่าย ๔.๕๖ ๐.๖๒ มากท่สี ดุ ๔

๕ กิจกรรมการจดั การเรยี นรู้ สอดคลอ้ งกบั ๔.๕๙ ๐.๕๖ มากที่สุด ๒

จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ และสมรรถนะรายวชิ า

อย่างชดั เจน

๖ เน้อื หาสาระการเรียนรู้ท่ีนำเสนอสอดคลอ้ งกับ ๔.๕๓ ๐.๖๒ มากทส่ี ุด ๕

สาระสำคัญและการกำหนดสมรรถนะประจำ

หน่วย

รวม ๔.๕๕ ๐.๔๗ มากที่สดุ

จากตารางที่ ๔.๑๔ พบว่า ความพึงพอใจของนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสงู
พิทยาคม ที่มีต่อจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ ด้านสาระการเรียนรู้ โดยรวม ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๕, S.D.= ๐.๔๗) เม่ือ
พิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือข้อ ๑ ความสอดคล้องระหว่างเนื้อหาสาระการ
เรียนรู้ กับจุดประสงค์การเรียนรู้ อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๖๓, S.D.= ๐.๖๑) รองลงมา คือข้อ ๒
ลำดับขั้นในการนำเสนอเนื้อหาสาระการเรียนรู้ มีความต่อเนื่องกัน อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๙,
S.D.= ๐.๕๖) ส่วนดา้ นที่มีค่าเฉล่ียต่ำสุด คือข้อ ๓ ความเหมาะสมของเนื้อหาสาระการเรียนรู้กับระดับ
ของผู้เรียน อยู่ในระดับมาก ( X =๔.๓๘, S.D.= ๐.๖๖) ส่วนข้ออื่น ๆ มีค่าเฉลี่ยที่ใกล้เคียงกันและมี
ความสมั พันธก์ ันตามลำดับ

๒๐๕

ตารางที่ ๔.๑๕ คา่ เฉล่ยี และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานความพงึ พอใจของนักเรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๓

โรงเรยี นซำสูงพิทยาคม ทมี่ ีตอ่ การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔

เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ ความเปน็ พลเมอื งตามหลักพทุ ธธรรม ด้านคุณลักษณะครูผ้สู อน

.. ระดับความพึงพอใจ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดับท่ี
ท่ี รายการประเมิน
๒. ดา้ นคุณลักษณะครูผสู้ อน

๑ ผู้สอน เปน็ ผ้อู ำนวยความสะดวก และกระตุน้ ๔.๕๓ ๐.๖๗ มากทีส่ ุด ๕

ให้นักเรยี นเกิดการเรียนรู้

๒ เทคนคิ วธิ ีการถา่ ยทอดความรแู้ ละกิจกรรมที่ ๔.๖๙ ๐.๔๗ มากทส่ี ดุ ๑

หลากหลายในเชิงบูรณาการ

๓ การเปิดโอกาสให้นักเรียน ได้เข้าพบ เพอื่ ๔.๕๐ ๐.๕๑ มาก ๖

ปรึกษาหารือและให้คำแนะนำ

๔ ผู้สอน คอยดูแลช่วยเหลอื ให้คำแนะนำแก่ ๔.๕๙ ๐.๖๗ มากท่ีสุด ๓

นกั เรยี นในการปฏิบัติงาน

๕ ผูส้ อน มกี ารใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการ ๔.๖๖ ๐.๕๕ มากทสี่ ดุ ๒

สอน เหมาะสม

๖ ส่งเสริมใหน้ ักเรยี น ได้ปฏิบตั ิจรงิ สร้างองค์ ๔.๕๖ ๐.๕๖ มากท่ีสดุ ๔

ความร้ใู หม่ และเน้นใหเ้ รยี นรดู้ ้วยตนเอง

รวม ๔.๕๙ ๐.๔๑ มากท่สี ุด

จากตารางที่ ๔.๑๕ พบว่า ความพึงพอใจของนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูง
พิทยาคม ที่มีต่อจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ ด้านคุณลักษณะครผู ู้สอน โดยรวม ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สดุ ( X =๔.๕๙, S.D.= ๐.๔๑)
เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือข้อ ๒ เทคนิควิธีการถ่ายทอดความรู้และ
กิจกรรมที่หลากหลายในเชิงบรู ณาการ อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๖๙, S.D.= ๐.๔๗) รองลงมา คือ
ข้อ ๕ ผู้สอน มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการสอน เหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๖๖,
S.D.= ๐.๕๕) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือข้อ ๓ การเปิดโอกาสให้นักเรียน ได้เข้าพบ เพื่อ
ปรึกษาหารือและให้คำแนะนำ อยู่ในระดับมาก ( X =๔.๕๐, S.D.= ๐.๕๑) ส่วนข้ออื่น ๆ มีค่าเฉลี่ยที่
ใกล้เคยี งกนั และมคี วามสมั พันธ์กันตามลำดบั

๒๐๖

ตารางท่ี ๔.๑๖ ค่าเฉลยี่ และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานความพงึ พอใจของนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ ๓
โรงเรยี นซำสูงพทิ ยาคม ที่มตี ่อการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ โดยใชก้ ระบวนการแบบอริยสจั ๔
เร่ืองจิตสำนึกสาธารณะ ความเป็นพลเมอื งตามหลักพทุ ธธรรม ดา้ นการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้

ท่ี รายการประเมนิ ระดับความพึงพอใจ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดบั ที่
๓. ดา้ นการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ๔.๕๓ ๐.๖๒ มากทีส่ ดุ ๒
๑ การอธบิ ายและช้แี จงวตั ถปุ ระสงคข์ องการสอน
๔.๕๓ ๐.๖๒ มากทีส่ ดุ ๒
ไว้อยา่ งชัดเจน เชน่ มกี ารอธิบายโครงการสอน ๔.๕๐ ๐.๖๒ มาก ๔
กจิ กรรมการจัดการเรยี นรู้ วธิ ีการวดั และ ๔.๔๗ ๐.๖๗ มาก ๖
ประเมินผล เป็นต้น
๒ รูปแบบการสอน เทคนิควธิ ีการถา่ ยทอดความรู้ ๔.๕๐ ๐.๖๗ มาก ๔
และกจิ กรรมที่หลากหลายในเชงิ บรู ณาการ ๔.๖๓ ๐.๕๕ มากท่สี ดุ ๑
๓ การมีส่วนร่วมในการฝกึ ปฏบิ ัติ นำเสนอหนา้ ๔.๕๓ ๐.๔๘ มากทส่ี ุด
ชน้ั และร่วมอภปิ ราย
๔ กิจกรรมการจดั การเรียนร้หู ลากหลาย ส่งเสรมิ
ทกั ษะการคดิ สอดคล้องและเหมาะสมกับวัย
ของผู้เรียน และสามารถปฏิบัตไิ ด้
๕ การสอดแทรกคุณธรรม จรยิ ธรรม และแนวคิด
เศรษฐกิจพอเพยี งให้แก่ผู้เรยี น
๖ พฒั นาผู้เรยี นใหเ้ กดิ แนวคิดเชิงวิเคราะห์และ
สรา้ งสรรค์

รวม

จากตารางที่ ๔.๑๖ พบว่า ความพึงพอใจของนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสงู
พิทยาคม ที่มีต่อจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยรวม ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๓, S.D.=
๐.๔๘) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือข้อ ๖ พัฒนาผู้เรียนให้เกิดแนวคิดเชงิ
วิเคราะห์และสร้างสรรค์ อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๔๘) รองลงมา คือข้อ ๑ การ
อธบิ ายและช้ีแจงวัตถุประสงคข์ องการสอนไวอ้ ย่างชัดเจน เชน่ มกี ารอธบิ ายโครงการสอนกิจกรรมการ
จัดการเรียนรู้ วิธีการวัดและประเมินผล เป็นต้น และข้อ ๒ รูปแบบการสอน เทคนิควิธีการถ่ายทอด
ความรูแ้ ละกิจกรรมทห่ี ลากหลายในเชงิ บูรณาการ อยูใ่ นระดับมากท่ีสดุ ( X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๖๒) สว่ น

๒๐๗

ด้านท่มี คี า่ เฉลี่ยต่ำสุด คอื ข้อ ๔ กิจกรรมการจัดการเรียนรหู้ ลากหลาย ส่งเสรมิ ทกั ษะการคดิ สอดคล้อง
และเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน และสามารถปฏบิ ัติได้ อยู่ในระดบั มาก ( X =๔.๔๗, S.D.= ๐.๖๗) ส่วน
ข้ออ่ืน ๆ มคี ่าเฉล่ียท่ใี กลเ้ คยี งกนั และมีความสัมพันธ์กันตามลำดบั

ตารางท่ี ๔.๑๗ คา่ เฉล่ีย และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานความพงึ พอใจของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๓
โรงเรยี นซำสูงพทิ ยาคม ทมี่ ีตอ่ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ โดยใชก้ ระบวนการแบบอรยิ สัจ ๔
เรื่องจิตสำนกึ สาธารณะ ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรม ดา้ นสอ่ื การเรยี นรู/้ แหล่ง
การเรียนรู้

ท่ี รายการประเมนิ ระดับความพึงพอใจ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดับท่ี
๔. ดา้ นสอ่ื การเรยี นรู้/แหลง่ การเรยี นรู้ ๔.๓๘ ๐.๖๖ มาก ๖
๑ การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
๔.๕๙ ๐.๕๖ มากท่สี ุด ๓
(ICT)เพอ่ื ช่วยในการสอน เชน่ e-Learning, ๔.๕๓ ๐.๖๒ มากทีส่ ุด ๔
e-mail,Face book, LINEหรอื social
network ตา่ ง ๆ ๔.๔๗ ๐.๕๗ มาก ๕
๒ ให้ข้อมลู ช้แี นะแหล่งคน้ คว้าหาความรู้เพิม่ เติม ๔.๖๖ ๐.๖๐ มากท่สี ุด ๑
สอ่ื อินเทอร์เน็ต/ เวบ็ ไซต์ (Website) ๔.๖๓ ๐.๕๕ มากทส่ี ุด ๒
๓ ๓.ชดุ การสอน เหมาะสม สอดคลอ้ งกับ ๔.๕๔ ๐.๔๒ มากทสี่ ดุ
สาระสำคัญสมรรถนะประจำหน่วย
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้
กจิ กรรมการจดั การเรียนรู้ สือ่ การเรียนร/ู้
แหล่งการเรยี นรู้ การวัดและประเมนิ ผล
๔ Power point ประกอบการบรรยาย การ
สาธติ สอดคล้องกับเนอื้ หาสาระการเรยี นรู้
และจุดประสงค์การเรยี นรู้
๕ ส่อื การเรียนรู้/แหลง่ การเรยี นรู้ สอดคล้องและ
สง่ เสริมให้เกิดการเรียนรตู้ ามเน้ือหาสาระการ
เรยี นรู้ และกิจกรรมการจดั การเรียนรู้
๖ คู่มือ เอกสาร ส่ืออินเทอรเ์ นต็ /เว็บไซตแ์ หลง่
คน้ คว้าหาความรู้เพิม่ เตมิ ดว้ ยตนเอง มีความ
ทนั สมัย จำนวนเพยี งพอ

รวม

๒๐๘

จากตารางที่ ๔.๑๗ พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูง
พิทยาคม ที่มีต่อจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ ด้านส่อื การเรยี นรู้/แหล่งการเรียนรู้ โดยรวม คา่ เฉล่ยี อยใู่ นระดบั มากทส่ี ุด ( X =๔.๕๔, S.D.=
๐.๔๒) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือข้อ ๕ สื่อการเรียนรู้/แหล่งการเรยี นรู้
สอดคล้องและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ตามเนื้อหาสาระการเรียนรู้ และกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ อยู่
ในระดบั มากที่สุด ( X =๔.๖๖, S.D.= ๐.๖๐) รองลงมา คอื ข้อ ๖ คมู่ ือ เอกสาร ส่ืออนิ เทอรเ์ นต็ /เวบ็ ไซต์
แหล่งค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง มีความทันสมัย จำนวนเพียงพอ
อยู่ในระดับมากท่ีสุด ( X =๔.๖๓, S.D.= ๐.๕๕) ส่วนด้านที่มีค่าเฉล่ียต่ำสุด คือข้อ ๑ การใช้เทคโนโลยี
สารสนเทศและการสือ่ สาร (ICT)เพอ่ื ชว่ ยในการสอน เช่น e-Learning, e-mail,Face book, LINEหรือ
social network ต่าง ๆ อยูใ่ นระดบั มาก ( X =๔.๓๘, S.D.= ๐.๖๖) สว่ นข้ออ่นื ๆ มีคา่ เฉลี่ยท่ีใกล้เคียง
กนั และมคี วามสมั พนั ธก์ ันตามลำดับ

ตารางท่ี ๔.๑๘ ค่าเฉลย่ี และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานความพงึ พอใจของนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๓

โรงเรียนซำสงู พิทยาคม ท่ีมตี ่อการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ โดยใชก้ ระบวนการแบบอริยสัจ ๔

เรือ่ งจิตสำนกึ สาธารณะ ความเป็นพลเมอื งตามหลักพุทธธรรม ดา้ นการวัดและประเมนิ ผล

.. ระดบั ความพงึ พอใจ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดับที่
ที่ รายการประเมิน
๕. ดา้ นการวดั และประเมนิ ผล

๑ การวัดและประเมินผลการเรยี นของผเู้ รียนใช้ ๔.๖๓ ๐.๖๖ มากทสี่ ุด ๒

วิธีการที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกดา้ น ทง้ั

ดา้ นพุทธพิ สิ ัย ทักษะพิสยั และจิตพสิ ัย

๒ วธิ ีการประเมินผลการเรยี นร/ู้ งานทจี่ ะใช้ ๔.๖๖ ๐.๕๕ มากที่สุด ๑

ประเมินผลผู้เรียน สามารถวัดและประเมินผล

ไดค้ รบตามทรี่ ะบไุ วใ้ นคำอธิบายรายวิชา

๓ ขอ้ สอบ วัดได้ครอบคลมุ เนื้อหาสาระการ ๔.๕๙ ๐.๖๑ มากทสี่ ุด ๕

เรยี นรู้ และสอดคล้องกบั จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้

๔ การระบวุ ิธกี ารประเมนิ ผล สัดสว่ นและ ๔.๕๓ ๐.๖๗ มากท่ีสดุ ๖

ระยะเวลาท่ีเหมาะสม สอดคล้องกบั เนอื้ หา

สาระการเรยี นร้ขู องรายวิชา

๕ เกณฑ์การประเมินมคี วามเทีย่ งธรรม โปรง่ ใส ๔.๖๓ ๐.๖๑ มากทส่ี ดุ ๒

๒๐๙

ตารางที่ ๔.๑๘ (ต่อ) ระดับความพงึ พอใจ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดับที่
ท่ี รายการประเมิน
๔.๖๖ ๐.๕๕ มากที่สุด ๑
๕. ด้านการวดั และประเมนิ ผล
๖ นำผลจากการวัดและประเมนิ ผล ไปใช้ในการ ๔.๖๑ ๐.๕๑ มากทีส่ ุด

พฒั นาสมรรถนะผเู้ รียน
รวม

จากตารางที่ ๔.๑๘ พบว่า ความพึงพอใจของนกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ ๓ โรงเรียนซำสูง
พิทยาคม ที่มีต่อจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ ดา้ นการวดั และประเมินผล โดยรวม ค่าเฉลยี่ อยู่ในระดบั มากท่ีสุด ( X =๔.๖๑, S.D.= ๐.๕๑)
เมอื่ พจิ ารณาเป็นรายข้อ พบวา่ ข้อท่ีมคี า่ เฉลีย่ สงู สุด คือข้อ ๒ วิธกี ารประเมินผลการเรียนรู้/งานท่ีจะใช้
ประเมินผลผเู้ รียน สามารถวดั และประเมนิ ผล ไดค้ รบตามทร่ี ะบไุ วใ้ นคำอธบิ ายรายวิชา อยใู่ นระดับมาก
ที่สุด ( X =๔.๖๖, S.D.= ๐.๕๕) รองลงมา คือข้อ ๑ การวัดและประเมินผลการเรียนของผู้เรียนใช้
วิธีการที่หลากหลาย ครอบคลุมทกุ ด้าน ทัง้ ดา้ นพุทธพิ ิสัย ทักษะพสิ ยั และจติ พิสยั และข้อ ๕ เกณฑก์ าร
ประเมินมีความเที่ยงธรรม โปร่งใส อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๖๓, S.D.= ๐.๖๑)
ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือข้อ ๔ การระบุวิธีการประเมินผล สัดส่วนและระยะเวลาที่เหมาะสม
สอดคล้องกบั เนื้อหาสาระการเรียนรู้ของรายวิชา อย่ใู นระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๖๗) ส่วน
ข้ออนื่ ๆ มคี ่าเฉลี่ยทีใ่ กล้เคียงกันและมคี วามสัมพันธ์กันตามลำดบั

๔.๔ องค์ความรู้จากการวจิ ัย

การศึกษาวิจัย เรื่องการพัฒนาจติ สำนึกความเปน็ พลเมืองของนักเรียนในจงั หวัดขอนแก่น
ตามหลักพทุ ธธรรม ภาคเรยี นท่ี ๒ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๐ ผูว้ จิ ยั ไดอ้ งค์ความรู้จากการวจิ ัย ดังนี้

๔.๔.๑ ประสิทธิภาพแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่อง
จิตสำนกึ สาธารณะ ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรมของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรียนซำ
สูงพิทยาคม ระหว่างเรยี นท้งั หมด (E๑) และประสทิ ธิภาพของผลลัพธ์ (E๒) จากแบบทดสอบระหว่างเรียน
ท้ังหมดและหลังเรยี น จะมคี า่ E๑/ E๒ ทร่ี ะดับ ๘๒.๘๑/๙๕.๕๖

๔.๔.๒ ดัชนีประสิทธิผลแผนการจัดการเรยี นรู้จติ สำนึกสาธารณะความเป็นพลเมืองตาม
หลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูง
พิทยาคม มีค่าดัชนีประสิทธิผลในการเรียนรู้ (E.I.) โดยรวม เท่ากับ ๐.๗๔๑๘ แสดงว่า นักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษา ปีที่ ๓ มีความรู้เพิ่มขึ้น เท่ากับ ๐.๗๔๑๘ หรือคิดเป็นร้อยละ ๗๔.๑๘ เมื่อพิจารณาเป็น

๒๑๐

แผนการจัดการเรียนรู้ พบว่า แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๕ ฆราวาสธรรม ๔ มีคา่ ดัชนีประสิทธิผลในการ
เรียนรู้ มากที่สุด เท่ากับ ๐.๙๓๔๘ แสดงว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓ มีความรู้เพิ่มขึ้น เท่ากับ
๐.๙๓๔๘ หรือคิดเป็นร้อยละ ๙๓.๔๘ รองลงมา คือ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๓ อิทธิบาท ๔
มีค่าดัชนีประสิทธิผลในการเรียนรู้ เท่ากับ ๐.๙๐๕๗ แสดงว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓ มีความรู้
เพิ่มขึ้น เทา่ กับ ๐.๙๐๕๗ หรอื คดิ เป็นร้อยละ ๙๐.๕๗ สว่ นแผนการจดั การเรียนรู้ ทีม่ คี ่าดัชนีประสทิ ธิผล
ในการเรียนรู้ น้อยที่สุด ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑ มรรค ๘ มีค่าดัชนีประสิทธิผลในการเรียนรู้
เท่ากับ ๐.๕๙๐๒ แสดงว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓ มีความรู้เพิ่มข้ึน เท่ากับ ๐.๕๙๐๒ หรือคิด
เป็นรอ้ ยละ ๕๙.๐๒ โดยคา่ ดชั นปี ระสทิ ธิผลในการเรยี นรู้ สงู กว่าเกณฑ์ทกี่ ำหนด

๔.๔.๓ จิตสำนึกสาธารณะตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ผลการประเมิน โดยรวม ค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับ
มากที่สุด (X =๔.๕๒, S.D.= ๐.๓๗) เมือ่ พิจารณาเป็นรายดา้ น พบว่า ดา้ นทีม่ คี ่าเฉล่ยี สงู สดุ คอื ดา้ นการ
อนรุ ักษส์ ่งิ แวดล้อม อยู่ในระดับมากทส่ี ดุ (X =๔.๕๘, S.D.= ๐.๓๙) รองลงมา คือด้านความเสียสละ และ
ด้านความสามัคคี อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๔๖) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือด้าน
ความรบั ผดิ ชอบ อยู่ในระดบั มาก (X=๔.๔๕, S.D.= ๐.๕๑)

๔.๔.๔ ความเป็นพลเมอื งตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๓ โรงเรียน
ซำสูงพิทยาคม ผลการประเมิน โดยรวม ค่าเฉลี่ย อยู่ในระดบั มากที่สุด ( X =๔.๖๐, S.D.= ๐.๓๐) เม่ือ
พิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านคุณธรรม (civic virtue) อยู่ในระดับมาก
ทส่ี ดุ (X =๔.๖๓, S.D.= ๐.๔๓) รองลงมา คอื ด้านกาย (civic Physical) อยู่ในระดับมากท่ีสดุ (X =๔.๖๒,
S.D.= ๐.๓๖) สว่ นด้านทีม่ ีค่าเฉล่ียต่ำสุด คือด้านปญั ญา (civic knowledge) อยู่ในระดบั มากท่ีสดุ (X =
๔.๕๖, S.D.= ๐.๓๗)

๔.๔.๕ ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ที่มีต่อ
จิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ โดยรวม
ค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๗, S.D.= ๐.๔๑) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มี
ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านการวัดและประเมินผล ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (X =๔.๖๕, S.D.= ๐.๔๖)
รองลงมา คือด้านคุณลักษณะครูผู้สอน อยู่ในระดับมากที่สุด (X =๔.๕๙, S.D.= ๐.๔๑) ส่วนด้านที่มี
ค่าเฉล่ียตำ่ สุด คือดา้ นการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ อย่ใู นระดับมากทีส่ ุด (X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๔๘)

บทที่ ๓

ระเบยี บวิธีการวจิ ัย

การศึกษาวิจัย เรื่องการพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมืองไทยของนักเรียนในจังหวัด
ขอนแก่น ตามหลักพุทธธรรม การศึกษาครั้งน้ี เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research)
แบบแผนการวิจัย เป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น (Pre-Experimental Design) แบบกลุ่มเดียว
ทดสอบก่อนการทดลองและหลังการทดลอง (One Group Pretest-Posttest Design) ผู้วิจัย
ดำเนินการนำเสนอตามลำดับ โดยมรี ายละเอียด ดังน้ี

๓.๑ รปู แบบการวจิ ัย
๓.๒ กลุ่มเปา้ หมาย
๓.๓ เครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการวิจัย
๓.๔ การสรา้ งและหาคณุ ภาพเครอ่ื งมือ
๓.๕ การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
๓.๖ การวเิ คราะห์ข้อมูล
๓.๗ สถิตทิ ่ีใชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมลู
๓.๘ สรุปกระบวนการวจิ ยั

๓.๑ รปู แบบการวจิ ยั

การศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) แบบแผนการวิจัย
เป็นการวจิ ยั เชิงทดลองเบื้องต้น (Pre-Experimental Design) แบบกล่มุ ทดลองกลุ่มเดยี ว ทดสอบก่อน
การทดลองและหลังการทดลอง (One Group Pretest-Posttest Design) ซึ่งมีแผนการทดลองตามแบบ
แผนการวิจัย ดังภาพท่ี ๓.๑๑; ๒; ๓

๑ Tuckman, B.W. Conducting Educational Research. (๕th ed.). U.S..A.: Harcourt Brace &
Company. 1999.

๒ กิตติยา วงษ์ขันธ์. การออกแบบการวิจัย รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ การกำหนดตัวอย่าง และ
การวิเคราะหข์ อ้ มูล. ภาควิชาเคมี คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธาน,ี ๒๕๖๑.

๓ วาโร เพง็ สวสั ดิ.์ วธิ ีวทิ ยาการวิจัย. หน้า ๑๘๑-๑๙๐.

๑๖๕

E ทดสอบก่อน การทดลอง ทดสอบหลงั
(Treatment)

O1 X O2

ภาพที่ ๓.๑ แผนการทดลองตามแบบแผนการวจิ ยั เป็นการวจิ ยั เชงิ ทดลองเบ้ืองต้น (Pre-Experimental
Design)

สัญลกั ษณ์ทใี่ ช้
E หมายถึง กลุ่มทดลอง หรือกลุม่ เป้าหมาย
O๑ หมายถงึ ทดสอบก่อนการทดลอง
X หมายถงึ การทดลอง (Treatment)
O๒ หมายถึง ทดสอบหลงั การทดลอง

๓.๒ กลุม่ เปา้ หมาย

กลุ่มเป้าหมาย ที่ใช้ในการศึกษา ครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๒ โรงเรียนซำ
สูงพิทยาคม สังกดั องค์การบรหิ ารส่วนจังหวัด จังหวัดขอนแก่น ที่ลงทะเบยี นเรียน วิชาพระพุทธศาสนา
กลมุ่ สาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ภาคเรยี นท่ี ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๐ จำนวน ๓๒
คน โดยการส่มุ แบบเป็นกลมุ่ (Cluster Random Sampling) (บุญชม ศรสี ะอาด, ๒๕๕๖: ๔๙)๔ โดยใช้
หอ้ งเรยี นเป็นหนว่ ยในการเลือก โดยมผี ลการสรุปรายงานการประเมินคุณภาพภายใน ประจำปีการ ศึกษา
๒๕๕๙ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด จังหวัดขอนแก่น พบว่า มีจุดที่ควร
พัฒนาในมาตรฐานคุณภาพผู้เรียน ควรได้รับการฝึกให้รู้จักประหยัด ใช้สิ่งของอย่างคุ้มค่าและรู้จัก
ช่วยเหลือสังคม พรอ้ มท้ังฝึกใหม้ วี ินัยและซอ่ื สตั ย์ สุจรติ โดยผา่ นกจิ กรรมเสริมหลกั สตู รที่สถานศกึ ษาจัด
ขึ้น และยังพบว่า นักเรียนมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ได้แก่ มีบางส่วนทำลายทรัพย์สินของโรงเรียน ขาด
ความเต็มใจในการช่วยเหลือผู้ปกครองรวมถึงครู การอาสาทำงานยังมุ่งผลตอบแทน การมีน้ำใจแบ่งปัน
สิ่งของให้กับผู้อื่นยังมีน้อยเป็นส่วนใหญ่ เก็บของได้ไม่คืนเจ้าของทางโรงเรียนจึงถือว่า เป็นหน้าที่ของ
โรงเรยี นในการมุ่งขดั เกลาบ่มเพาะ แกป้ ญั หา จงึ มีความจำเป็นท่ีโรงเรยี นจะต้องหากระบวนการมาแก้ไข
ปัญหาดังกล่าวเพื่อหารูปแบบทีช่ ัดเจนในการแก้ปญั หา ผู้วิจัย จึงตระหนักและถือเป็นภาระที่จะต้องมุง่
พัฒนาจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมืองของนักเรียนให้มากขึ้น เพื่อส่งผลต่อองค์ประกอบด้าน
การเรียนรู้ทางวิชาการ เพราะหากโรงเรียนสามารถปรับพฤติกรรม ด้านจิตสำสาธารณะความเป็น

๔ บญุ ชม ศรสี ะอาด, วธิ ีการทางสถิตสิ ำหรับการวจิ ัย เลม่ ๑. หนา้ ๔๙.

๑๖๖

พลเมืองของนักเรียนให้บรรลุเป้าหมาย ย่อมส่งผลต่อการจัดการเรียนการสอนของครูได้ง่ายขึ้นและส่งผล
ตอ่ บรรยากาศในโรงเรยี นโดยรวมดขี ึน้ ๕

๓.๓ เคร่ืองมือทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั

๓.๓.๑ เครือ่ งมอื ที่ใช้ในการวจิ ัย ไดแ้ ก่ เครื่องมอื ๖ ฉบบั ดังน้ี
๓.๓.๑.๑ แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ
ความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม
จำนวน ๕ แผน ไดแ้ ก่

๑) แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๑ เร่อื ง มรรค ๘
๒) แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๒ เรอ่ื ง พรหมวิหาร ๔
๓) แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๓ เร่ือง อทิ ธบิ าท ๔
๔) แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๔ เร่อื ง สงั คหวัตถุ ๔
๕) แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี ๕ เรอ่ื ง ฆราวาสธรรม ๔
๓.๓.๑.๒ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องจิตสำนึกสาธารณะความเป็น
พลเมือง ตามหลักพุทธธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ได้แก่
แบบทดสอบระหว่างเรียน จำนวน ๕๐ ข้อ และแบบทดสอบหลังเรียน จำนวน ๕๐ ข้อเป็นแบบ
ทดสอบแบบปรนยั ๔ ตวั เลือก
๓.๓.๑.๓ แบบสอบถามจิตสำนึกสาธารณะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำ
สูงพทิ ยาคม ตามหลักพทุ ธธรรม จำนวน ๔๐ ข้อ ๔ ดา้ น ไดแ้ ก่ (๑) ดา้ นความรับผิดชอบ (๒) ด้านความ
เสียสละ (๓) ด้านความสามคั คี และ (๔) ด้านการอนรุ ักษ์สง่ิ แวดลอ้ ม
๓.๑.๓.๔ แบบสอบถามความเป็นพลเมืองดีตามหลักพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ ๓ จำนวน ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) การพัฒนาด้านกาย (๒) การพัฒนาด้านทักษะทางสังคม
(๓) การพฒั นาดา้ นคุณธรรม และ (๔) การพัฒนาด้านปญั ญา จำนวน ๔๐ ข้อ
๓.๑.๓.๕ แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูง
พิทยาคม ที่มีต่อจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อรยิ สัจ ๔ จำนวน ๓๐ ข้อ

๕ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม. รายงานการประเมินคุณภาพภายใน, (ขอนแก่น: โรงเรียนซำสูงพิทยาคม สังกัด
องค์การบรหิ ารส่วนจังหวดั จงั หวัดขอนแก่น, ๒๕๕๙), หนา้ ๖-๑๓.

๑๖๗

๓.๔ การสรา้ งและหาคุณภาพเคร่ืองมอื

๓.๔.๑ การสรา้ งเครื่องมอื
ผู้วิจัย ได้ดำเนินการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ และจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้
กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะความเปน็ พลเมอื ง ตามหลักพุทธธรรมของนักเรียน
ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓ โรงเรียนซำสงู พทิ ยาคม มขี น้ั ตอนการสรา้ ง ดงั น้ี
๓.๔.๑.๑ สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึก
สาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูง
พิทยาคม

๑) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการ
เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม วิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ เพื่อ
กำหนดเน้อื หาสาระ ศกึ ษาเอกสาร หนังสอื คู่มอื ครู และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ทฤษฎีและหลักการเรียนรู้
องค์ประกอบของหน่วยการเรียนรู้ที่ ๑-๕ และศึกษาหลักการของหลักสูตร จุดหมายของหลักสูตร
หลักเกณฑ์การใช้หลักสูตร โครงสร้างหลักสูตร วิเคราะห์หลักสูตร จุดประสงค์รายวิชา คำอธิบาย
รายวิชา๖

๒) ศึกษารายละเอียด กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
จดุ ประสงค์รายวชิ า และคำอธิบายรายวชิ า วิชาพระพทุ ธศาสนาของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ ๓ โดย
ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับ (๑) มรรค ๘ (๒) พรหมวิหาร ๔ (๓) อิทธิบาท ๔ (๔) สังคหวัตถุ ๔ และ (๕)
ฆราวาสธรรม ๔ เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงความสำคัญ และลักษณะเฉพาะของวิชา เพื่อกำหนดเป้าหมาย
ของการจัดการเรยี นการสอนทีช่ ดั เจนยงิ่ ขึ้น

๓) จัดทำหน่วยการเรียนรู้ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธ
ธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม โดยกำหนดหัวข้อเรื่อง (ด้านความรู้
ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม) สาระสำคัญ จุดประสงคก์ ารสอน เนื้อหาสาระการสอน กิจกรรมการเรียนรู้
งานที่มอบหมายหรือกิจกรรม สื่อการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล และบั นทึกหลังการสอน
รายละเอียด ดังกล่าว จะเป็นสิ่งที่กำหนดกระบวนการ วิธีสอน กิจกรรมการเรียนรู้ เทคนิคการสอน
สือ่ การเรียนรู้ เครอ่ื งมือวัดและประเมินผล

๔) จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึก
สาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรียนซำสูง
พทิ ยาคม นำคำอธิบายรายวชิ าพระพุทธศาสนา กลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๖ กระทรวงศึกษาธิการ. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑, . (กรุงเทพมหานคร:
ชมุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกัด, ๒๕๕๑).

๑๖๘

มาจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ ตามองค์ประกอบของแผน ได้แก่ (๑) หัวข้อเรื่อง (๒) สมรรถนะการ
เรียนรู้ (๓) สาระสำคัญ (๔) จุดประสงค์การเรียนรู้ (๕) เนื้อหาสาระการเรียนรู้ (๖) การจัดกิจกรรมการ
เรียนการสอน (๗) งานที่มอบหมายหรือกิจกรรม (๘) สื่อการเรียนการสอน (๙) การประเมินผลการ
เรียนรู้ (๑๐) บนั ทึกหลังการสอน จำนวน ๕ แผน

๕) นำแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึก
สาธารณะความเปน็ พลเมือง ตามหลกั พทุ ธธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยา
คม จำนวน ๕ แผน เสนอให้ผ้เู ช่ียวชาญ ๕ คน ตรวจสอบความตรงเชิงเนอ้ื หา (Content Validity) และ
ให้ข้อเสนอแนะ แล้วนำมาคำนวณหาค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (Item-
Objective Congruence Index: IOC) ตั้งแต่ ๐.๖๐ ขนึ้ ไป๗

๓.๔.๑.๒ สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องจิตสำนึกสาธารณะความเป็น
พลเมือง ตามหลักพุทธธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ได้แก่
แบบทดสอบระหว่างเรียน จำนวน ๕๐ ข้อ และแบบทดสอบหลังเรียน จำนวน ๕๐ ข้อ เป็นแบบ
ทดสอบแบบปรนยั ๔ ตัวเลอื ก โดยมขี นั้ ตอนในการสรา้ ง ดงั น้ี

๑) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการ
เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม วิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ เพ่ือ
กำหนดเนื้อหาสาระ ศกึ ษาเอกสาร หนังสือ คมู่ อื ครู และงานวจิ ัยท่ีเก่ียวข้อง ทฤษฎแี ละหลักการเรียนรู้
องค์ประกอบของหน่วยการเรียนรู้ที่ ๑-๕ และศึกษาหลักการของหลักสูตร จุดหมายของหลักสูตร
หลักเกณฑ์การใช้หลักสูตร โครงสร้างหลักสูตร วิเคราะห์หลักสูตร จุดประสงค์รายวิชา คำอธิบาย
รายวชิ า

๒) ศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement Test)
เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ (knowledge) และทักษะ (skill) การวัดและประเมินผลการจัดการ
เรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑๘; ๙; ๑๐; ๑๑ และการพัฒนา

๗ ไพศาล วรคำ. การวิจัยทางการศึกษา. (Educational Research). (พิมพ์ครั้งที่ ๑๐).คณะครุศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏมหาสารคาม. (มหาสารคาม: ตกั สลิ าการพิมพ,์ ๒๕๖๐), หน้า ๒๖๙.

๘ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๒๓๙-๒๖๐.
๙ บญุ ชม ศรสี ะอาด. วธิ ีการทางสถติ สิ ำหรับการวิจัย เล่ม ๑. หน้า ๗๐.
๑๐ สมนึก ภัททิยธนี. การวัดผลการศึกษา. (Educational measurement). หนา้ ๑๒๔-๑๒๙.
๑๑ พิชติ ฤทธจ์ิ รญู . หลักการวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา. หน้า ๑๓๕-๑๖๑.

๑๖๙

พฤติกรรมการเรียนรู้จากองค์ประกอบ ๓ ด้าน ของบลูม๑๒ ประกอบด้วย (๑) ด้านพุทธิพิสัย (๒) ด้าน
จิตพสิ ัย และ (๓) ด้านทักษะพิสยั

๓) วิธีการตั้งคำถามแบบทดสอบ เพื่อวัด ๓ ตัวแปรหลัก คือ (๑) การวัดความรู้
(Knowledge) (๒) การวัดความคิดเห็น ความรู้สึก ความพึงพอใจ ความต้องการและความคาดหวัง
ซึ่งเป็นเรื่องของทัศนคติ (Attitude) หรือความคิดเห็น (Opinion) (๓) การวัดพฤติกรรม (Behavior)
หรอื วดั ความจริง (Fact)

๔) สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพื่อหาความสอดคล้องระหว่าง
แบบทดสอบกับวัตถุประสงค์ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม วิชา
พระพุทธศาสนา กลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ของนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปี
ที่ ๓ เป็นแบบปรนัย ๔ ตัวเลือก ได้แก่ (๑) แบบทดสอบระหว่างเรียน และแบบทดสอบหลังเรียน
จำนวน ๕ ชุด ชดุ การสอนละ ๑๐ ข้อ รวม ๕๐ ขอ้

๕) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สร้างขึ้น เสนอให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน
๕ คน เพื่อพิจารณาตรวจสอบคุณภาพ และตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity)
ระหว่างแบบทดสอบสอบกับวตั ถุประสงค์

๖) วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามของแบบทดสอบ
กบั จดุ ประสงค์การเรียนรู้ โดยใชส้ ูตร IOC (Index of Item Objective Congruence) และคัดเลือกข้อ
ทมี่ ีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ตัง้ แต่ ๐.๖๐ ขึน้ ไป ไว้ใช้

๗) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน ๕๐ ข้อ ที่ผ่านการปรับปรุง
แก้ไข โดยพิจารณาจากข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ จำนวน ๕ คน แล้วนำไปทดลอง
(Try out) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม จำนวน ๓๐ คน ที่ไม่ใช่กลุ่ม
ตัวอย่าง แล้วนำผลการทดสอบมาหาคณุ ภาพของแบบทดสอบ

๘) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ที่คัดเลือกไว้ จำนวน ๕๐ ข้อ มาวิเคราะห์
หาความเช่ือมั่น (Reliability) โดยวธิ ีของ คเู ดอร์-ริชารด์ สนั ๑๓

๙) จัดพิมพ์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียน
ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓ โรงเรยี นซำสงู พทิ ยาคม เปน็ ฉบบั จรงิ เพือ่ นำไป ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู ต่อไป

๑๒ Bloom, B.S. (Ed.). Engelhart, M.D., Furst, E.J., Hill, W.H., Krathwohl, D.R. Taxonomy of
Educational Objectives, Handbook I: The Cognitive Domain. (New York:David McKay Co Inc. 1956),
p. 4.

๑๓ Kuder, Frederic G. and M.W. Richardson. (๑ ๙ ๓ ๗ ). The Theory of the Estimation of Test
Reliability, Psychometrika. 2, (September 1937), p. 151-160.

๑๗๐

๓.๔.๑.๓ สร้างแบบสอบถามจิตสำนึกสาธารณะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรง
เรียนซำสูงพิทยาคม ตามหลักพุทธธรรม จำนวน ๔๐ ข้อ ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านความรับผิดชอบ (๒)
ด้านความเสียสละ (๓) ดา้ นความสามคั คี และ (๔) ด้านการอนรุ ักษส์ ิ่งแวดล้อม

๑) นำแบบสอบถามจิตสำนึกสาธารณะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำ
สูงพิทยาคม ตามหลักพุทธธรรม ที่สร้างขึ้น เสนอให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน ๕ คน เพื่อพิจารณา
ตรวจสอบคณุ ภาพ และตรวจสอบความเทยี่ งตรงเชงิ เนื้อหา (Content Validity) ระหว่างแบบสอบ ถาม
กบั วตั ถปุ ระสงค์

๒) วเิ คราะหข์ อ้ มลู เพื่อหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหวา่ งข้อคำถามของแบบสอบถาม
กับจุดประสงค์การเรยี นรู้ โดยใชส้ ูตร IOC (Index of Item Objective Congruence) และคัดเลือกข้อ
ทีม่ คี ่าดัชนคี วามสอดคล้อง (IOC) ตัง้ แต่ ๐.๖๐ ขึ้นไป ไวใ้ ช้

๓) นำแบบแบบสอบถามจิตสำนกึ สาธารณะ จำนวน ๔๐ ข้อ ที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไข
โดยพิจารณาจากขอ้ คดิ เห็นและข้อเสนอแนะของผ้เู ชย่ี วชาญ จำนวน ๕ คน แล้วนำไปทดลอง (Try out)
กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม จำนวน ๓๐ คน ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง แล้ว
นำผลการทดสอบมาหาคุณภาพของแบบสอบถาม

๔) นำแบบสอบถามจิตสำนึกสาธารณะ ที่คัดเลือกไว้ จำนวน จำนวน ๔๐ ข้อ มา
วิเคราะห์หาความเชื่อมั่น (Reliability) โดยวิธีของ คูเดอร์-ริชาร์ดสัน (Kuder-Richardson
Methods)๑๔ มีค่าความเชือ่ มัน่ เทา่ กับ ๐.๙๓

๕) จัดพิมพ์แบบแบบสอบถามจิตสำนึกสาธารณะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓
โรงเรยี นซำสูงพิทยาคม เปน็ ฉบบั จรงิ เพื่อนำไป ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูลต่อไป

๓.๔.๑.๔ สร้างแบบสอบถามความเป็นพลเมืองดีตามหลักพุทธธรรม ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ ๓ จำนวน ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) การพัฒนาด้านกาย (๒) การพัฒนาด้านทักษะทางสังคม
(๓) การพฒั นาด้านคณุ ธรรม และ (๔) การพฒั นาด้านปญั ญา จำนวน ๔๐ ข้อ

๑) นำแบบสอบถามความเป็นพลเมืองดีตามหลักพุทธธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยม
ศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ที่สร้างขึ้น เสนอให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน ๕ คน เพื่อพิจารณา
ตรวจสอบคณุ ภาพ และตรวจสอบความเทีย่ งตรงเชิงเนอื้ หา (Content Validity) ระหว่างแบบสอบ ถาม
กับวตั ถปุ ระสงค์

๒) วิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามของแบบสอบถาม
กับจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ โดยใชส้ ตู ร IOC (Index of Item Objective Congruence) และคัดเลือกข้อ
ทม่ี ีคา่ ดัชนีความสอดคลอ้ ง (IOC) ต้งั แต่ ๐.๖๐ ข้นึ ไป ไว้ใช้

๑๔ ไพศาล วรคำ. การวจิ ัยทางการศึกษา. (Educational Research). หนา้ ๒๗๘-๒๘๘.

๑๗๑

๓) นำแบบสอบถามความเป็นพลเมืองดีตามหลักพุทธธรรม จำนวน ๔๐ ขอ้ ท่ีผ่านการ
ปรับปรุงแก้ไข โดยพิจารณาจากข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ จำนวน ๕ คน แล้วนำไป
ทดลอง (Try out) กับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๓/๑ โรงเรียนซำสงู พิทยาคม จำนวน ๓๐ คน ที่ไม่ใช่
กลุ่มตัวอยา่ ง แล้วนำผลการทดสอบมาหาคุณภาพของแบบสอบถาม

๔) นำแบบสอบถามความเป็นพลเมืองดีตามหลักพุทธธรรม ที่คัดเลือกไว้ จำนวน ๔๐
ข้อ มาวิเคราะห์หาความเชื่อมั่น (Reliability) โดยวิธีของ คูเดอร์-ริชาร์ดสัน (Kuder-Richardson
Methods)๑๕ มคี า่ ความเชื่อมัน่ เท่ากับ ๐.๙๓

๕) จัดพิมพ์แบบสอบถามความเป็นพลเมืองดีตามหลักพุทธธรรม ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปที ่ี ๓ โรงเรียนซำสูงพทิ ยาคม เปน็ ฉบบั จริงเพ่ือนำไป ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลตอ่ ไป

๓.๔.๑.๕ สร้างแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำ
สูงพิทยาคม ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะความ
เป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรม รวม ๕ ด้าน จำนวน ๓๐ ข้อ ได้แก่ (๑) ด้านสาระการเรียนรู้ ๖ ข้อ (๒)
ด้านคณุ ลักษณะครูผู้สอน ๖ ขอ้ (๓) ดา้ นการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ๖ ขอ้ (๔) ด้านสื่อการเรียนรู้ ๖ ข้อ
และ (๕) ด้านการวัดและประเมินผล ๖ ข้อ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า ๕ ระดับ (Rating Scale)
คือ พึงพอใจมากที่สุด พึงพอใจมาก พึงพอใจปานกลาง พึงพอใจน้อย พึงพอใจน้อยที่สุด ตามวิธีการวัด
แบบลิเคิทสเกล (Likert)๑๖ โดยแปลและปรับปรุงจากแบบประเมินความพึงพอใจของ บุญชม
ศรสี ะอาด๑๗ และศิรชิ ัย กาญจนวาสี๑๘

ให้ผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม จำนวน ๕ คน ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ หาความตรงเชิง
เนื้อหา (Content Validity) แล้วนำมาคำนวณหาค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์
(Index of Item Objective Congruence: IOC) ซึ่งพบว่า แต่ละข้อมีค่าความสอดคล้องระหว่าง
๐.๖๐-๑.๐๐ แสดงวา่ แบบประเมินมคี ่าความตรงเชิงเนอ้ื หาเชื่อถอื ได้ ๑๙ ดังนี้

๑) จัดสร้างสร้างแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓
โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะความเป็น
พลเมืองตามหลักพุทธธรรม ฉบับสมบูรณ์และจัดพิมพ์ นำไปเก็บข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมาย
เพอ่ื การวเิ คราะหท์ างสถติ ิตอ่ ไป

๑๕ อา้ งแล้ว, ไพศาล วรคำ. การวิจยั ทางการศกึ ษา. (Educational Research). หน้า ๒๗๘-๒๘๘.
๑๖ สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์. การใช้สถิติในงานวิจัยอย่างถูกต้องและได้มาตรฐานสากล. (พิมพ์ครั้งที่ ๖).
(กรงุ เทพฯ: สามลดา, ๒๕๕๖), หนา้ ๙๓-๑๑๓.
๑๗ บญุ ชม ศรีสะอาด. การวิจัยเบื้องต้น ฉบับปรับปรุงใหม่. หน้า ๘๓.
๑๘ ศิริชัย กาญจนวาสี. ทฤษฎีการประเมิน. (พิมพ์ครั้งที่ ๗). (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๒), หนา้ ๒๖๘.
๑๙ อา้ งแลว้ , การวิจัยทางการศกึ ษา. (Educational Research). หนา้ ๒๓๙.

๑๗๒

๒) นำแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสงู
พิทยาคม ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมืองตามหลัก
พุทธธรรม ปรบั ปรุงแก้ไขแลว้ ไปทดลองใช้ (Try- out) กบั นกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๓/๑ โรงเรียนซำ
สูงพิทยาคม ที่มีลักษณะเหมือนกลุ่มเป้าหมาย จำนวน ๓๐ คน ไปหาค่าความเชือ่ มัน่ (Reliability) โดย
ใช้สัมประสิทธิ์อัลฟ่า (Alpha Coefficient) ตามวิธีการของ Cronbach’s Alpha Coefficient๒๐
มีคา่ ความเช่อื ม่นั เทา่ กบั ๐.๙๑

๓) จัดพิมพ์แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำ
สงู พิทยาคม ทีม่ ตี ่อการจัดการเรียนรูแ้ บบอรยิ สัจ ๔ เร่อื งจติ สำนึกสาธารณะความเปน็ พลเมืองตามหลัก
พุทธธรรม เปน็ ฉบับจริงเพอ่ื นำไป ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป

๓.๔.๒ การหาคุณภาพเครื่องมือ
๓.๔.๒.๑ การตรวจสอบความถูกต้องในเนื้อหา (Content Validity) โดยใช้วิธีการใน
ลักษณะเดียวกับการหาดัชนีความสอดคล้องระว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (Index of Item
Objective Congruence: IOC) ของรายการประเมินที่กำหนดไว้ในแต่ละข้อ แล้วนำมาหาค่าเฉลี่ย
ถ้าแต่ละข้อมีค่าเฉลี่ยความสอดคล้องระหว่าง ๐.๖๐-๑.๐๐ แสดงว่า แบบประเมิน มีค่าความเที่ยงตรง
เชิงเนื้อหา (Content Validity) เชื่อถือได้๒๑ เสนอผู้เชี่ยวชาญ ๕ คน ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา
(Content Validity) และให้ข้อเสนอแนะ ได้แก่

๑) รองศาสตราจารย์อุดม บัวศรี ตำแหน่ง อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ สาขาวิชาปรัชญา
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาอุดมศึกษา

๒) พระมหาดาวสยาม วชิรปญฺโญ,ผู้ช่วยศาสตราจารย์,ดร. ตำแหน่ง ผู้อำนวยการ
วิทยาลัยสงฆ์ขอนแก่น มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยลัย วิทยเขตขอนแก่น ผู้เชียวชาญ
ด้านหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา

๓) พระครูภาวณาโพธิคุณ,ผู้ช่วยศาสตราจารย์,ดร. (สมชาย กนตฺสีโล) ตำแหน่ง
อาจารย์ประจำหลักสูตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาปรัชญา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตขอนแกน่ ผเู้ ช่ียวชาญด้านพระพุทธศาสนา

๔) รองศาสตราจารย์ ดร. โสวิทย์ บำรุงภักดิ์ ตำแหน่ง อาจารย์สาขาวิชาปรัชญา
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดผลและ
ประเมนิ ผลการศกึ ษา

๒๐ สชุ าติ ประสิทธ์ิรัฐสินธ์ุ. การใชส้ ถติ ิในงานวิจัยอย่างถูกตอ้ งและได้มาตรฐานสากล. หน้า ๙๓-๑๑๓.
๒๑ ไพศาล วรคำ. การวจิ ยั ทางการศกึ ษา. (Educational Research). หน้า ๒๓๙.

๑๗๓

๕) พระมหามิตร ฐิตปญฺโญ, รองศาสตราจารย์,ดร. ตำแหน่ง อาจารย์สาขาวิชา
พระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ผู้เชี่ยวชาญด้าน
การวิจยั และพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษา

โดยให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้อง และพิจารณาว่า ข้อคำถามหรือรายการใน
แบบสอบถาม และแบบประเมนิ แตล่ ะขอ้ คำถาม ได้ตรวจสอบและครบถ้วน ครอบคลมุ เน้ือหาที่ต้องการ
ให้ถามหรือไม่ และพิจารณาความสอดคล้องระหว่างรายการที่จะประเมินกับคุณลักษณะแต่ละด้าน
โดยแปลงระดับความสอดคล้องเป็นคะแนน ดังน้ี

สอดคล้อง มีคะแนนเปน็ +๑
ไมแ่ นใ่ จ มคี ะแนนเป็น ๐
ไม่สอดคล้อง มีคะแนนเป็น -๑

โดยหาดชั นีความสอดคลอ้ งได้จากสตู ร (ไพศาล วรคำ, ๒๕๖๐: ๒๖๘-๒๖๙)๒๒

R

สตู ร IOC = n

เมอื่  R = เป็นคะแนนระดับความสอดคล้องท่ผี ูเ้ ช่ียวชาญแต่ละคน
ประเมนิ ในแตล่ ะข้อ

n = เปน็ จำนวนผู้เชี่ยวชาญทปี่ ระเมินความสอดคล้องในข้อนั้น
จำนวนผู้เชี่ยวชาญ ๕ คน เสยี งสว่ นใหญก่ ็คอื ๓ ใน ๕ ขน้ึ ไป ดงั นนั้ เกณฑ์ทใี่ ช้ในกรณีน้ีคือ
เลือกข้อคำถามที่มีค่าดัชนีความสอดคลอ้ ง (IOC) ตั้งแต่ ๐.๖๐ ขึ้นไป หากมีค่าต่ำกว่า ๐.๖๐ ก็ถือว่าใช้
ไม่ได้ ขอ้ คำถามนั้นกถ็ กู ตดั ออกหรือปรับปรงุ แก้ไขใหม่ให้ดีขึน้
ผู้วิจัย พิจารณาคัดเลือกเฉพาะรายการประเมินข้อที่มีค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC ตั้งแต่
๐.๖๐-๑.๐๐ ข้นึ ไปเอาไว้ และปรับปรงุ รายการประเมินข้อที่ผเู้ ชย่ี วชาญใหข้ อ้ เสนอแนะหรือเพิม่ เติม
๓.๔.๒.๒ การตรวจสอบความเท่ียงตรง (Reliability) ในการตรวจสอบความเที่ยงตรงของ
แบบสอบถาม แบบทดสอบ และแบบประเมิน นั้น ไม่ว่าจะใช้สอบถามกลุ่มตัวอย่างกี่ครั้ง หรือไม่ว่าจะ
นำไปสอบถามบุคคลที่เป็นกลุ่มตัวอย่างแบบใด ก็จะได้รับคำตอบที่ค่อนข้างแน่นอน โดยนำ
แบบสอบถาม แบบทดสอบ และแบบประเมินท่ีสร้างขน้ึ และผ่านการตรวจสอบเชิงเนื้อหาแลว้ ไปทดลอง
ใช้ (Try out) กับผใู้ ห้ข้อมลู (Information) กับนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม
สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด จังหวัดขอนแก่น ที่มีลักษณะเหมือนกลุ่มเป้าหมาย จำนวน ๓๐ คน

๒๒ อ้างแล้ว, ไพศาล วรคำ. การวิจยั ทางการศกึ ษา. (Educational Research). หน้า ๒๖๘-๒๖๙.

๑๗๔

จากนั้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์หาค่าความเที่ยง โดยการคำนวณหาค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าตามวิธีการของ
(Cornbrash’s Alpha Coefficient)๒๓

๓.๕ การเกบ็ รวบรวมข้อมูล

การศึกษาในครัง้ นี้ ผ้วู ิจยั ได้ดำเนนิ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบอรยิ สจั ๔ เรอื่ งหลักธรรม
ทางพระพุทธศาสนา วิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม
ด้วยการปลูกฝังจิตสำนึกและเสริมสร้างความเป็นพลเมือง ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๐ จำนวน
๓๒ คน โดยเก็บรวบรวมข้อมลู ตามลำดับการทดลอง ดงั น้ี

๓.๕.๑ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบอริยสัจ ๔ เรื่องหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา วิชา
พระพทุ ธศาสนาของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรยี นซำสูงพทิ ยาคม ดว้ ยการปลกู ฝังจิตสำนกึ และ
เสริมสรา้ งความเป็นพลเมือง โดยกำหนดใหผ้ ู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน และแบบทดสอบหลังเรียน
แบบทดสอบ เป็นแบบปรนัยแบบ ๔ ตัวเลือก พร้อมด้วยแบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล
และรายกลุ่ม

๓.๕.๒ การประเมนิ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น (๕๐ คะแนน) ดำเนินการ ดงั นี้
๓.๕.๒.๑ คะแนนทดสอบก่อนเรียน ได้จากคะแนนทดสอบระหว่างเรียน ผู้วิจัยทำการ

ทดสอบ ๕ ครั้ง ๆ ละ ๑๐ คะแนน รวม ๕๐ คะแนน
๓.๕.๒.๒ คะแนนทดสอบหลังเรียน ได้จากคะแนนทดสอบหลังเรียน ผู้วิจัยทำการ

ทดสอบ ๕ ครั้ง ๆ ละ ๑๐ คะแนน รวม ๕๐ คะแนน
๓.๕.๒.๓ นำผลรวมคะแนนกจิ กรรมระหว่างเรียน (ก่อนเรียน) ๕๐ คะแนนและผลรวม

คะแนนทดสอบหลังเรียน ๕๐ คะแนน โดยการหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้แบบ
อริยสัจ ๔ เรื่องหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา วิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓
โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ด้วยการปลูกฝังจิตสำนึกและเสริมสร้างความเป็นพลเมือง (E๑/E๒) และหาค่า
ดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness Index: E.I.) ของผลการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ และใช้ทดสอบ
สมมตฐิ าน เพอื่ เปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนกั เรยี น ระหวา่ งกอ่ นเรียนและหลงั เรยี น

๓.๕.๓ แบบสอบถามจิตสำนึกสาธารณะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียน
ซำสูงพิทยาคม ตามหลักพุทธธรรม จำนวน ๔๐ ข้อ ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านความรับผิดชอบ (๒) ด้าน
ความเสยี สละ (๓) ด้านความสามัคคี และ (๔) ด้านการอนรุ ักษส์ ่งิ แวดล้อม

๓.๕.๔ แบบสอบถามความเป็นพลเมืองดีตามหลักพระพุทธศาสนา ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ ๓ จำนวน ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) การพัฒนาด้านกาย (๒) การพัฒนาด้านทักษะทางสังคม
(๓) การพัฒนาด้านคุณธรรม และ (๔) การพัฒนาดา้ นปญั ญา จำนวน ๔๐ ข้อ

๒๓ สชุ าติ ประสิทธิร์ ฐั สนิ ธุ์. การใชส้ ถิติในงานวจิ ยั อยา่ งถูกต้องและได้มาตรฐานสากล. หนา้ ๙๓-๑๑๓.

๑๗๕

๓.๕.๕ แบบประเมนิ ความพงึ พอใจของนักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยา
คม ที่มีต่อจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔
จำนวน ๓๐ ขอ้ รวม ๕ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านสาระการเรียนรู้ (๒) ดา้ นคุณลกั ษณะครผู ู้สอน (๓) ดา้ นการ
จดั กิจกรรมการเรียนรู้ (๔) ด้านส่อื การเรยี นรู้ และ (๕) ดา้ นการวัดและประเมนิ ผล เปน็ แบบมาตราส่วน
ประมาณค่า ๕ ระดับ (Rating Scale) คือ พึงพอใจมากที่สุด พึงพอใจมาก พึงพอใจปานกลาง พึงพอใจ
นอ้ ย พงึ พอใจนอ้ ยท่สี ุด ตามวิธกี ารวดั แบบลเิ คิทสเกล (Likert)๒๔

๓.๖ การวิเคราะห์ขอ้ มลู

ในการวเิ คราะหข์ ้อมลู เรอ่ื งการพัฒนาจิตสำนกึ ความเป็นพลเมืองไทยของนักเรยี นในจังหวัด
ขอนแก่น ตามหลักพุทธธรรม การศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research)
แบบแผนการวิจัย เป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น (Pre-Experimental Design) แบบกลุ่มเดียว
ทดสอบก่อนการทดลองและหลังการทดลอง (One Group Pretest-Posttest Design) ผู้วิจยั เสนอผล
การวเิ คราะห์ข้อมูลเป็น ๔ ตอน ตามลำดบั ดังนี้

ตอนท่ี ๑ ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีท่ี ๓ โรงเรียนซำสงู พิทยาคม ทม่ี ปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐

ตอนที่ ๒ ผลการวิเคราะห์จิตสำนึกสาธารณะตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวดั
จังหวดั ขอนแก่น

ตอนที่ ๓ ผลการวิเคราะห์ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีท่ี ๓ โรงเรยี นซำสูงพิทยาคม

ตอนที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ ๓ โรงเรียนซำสงู
พิทยาคม ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ
ความเปน็ พลเมอื งตามหลกั พทุ ธธรรม

ผู้วิจัยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS for Windows (Statistical Package for Social
Science) วิเคราะหห์ าค่าเฉลี่ย (X ) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ใช้เกณฑ์การประเมินตามวธิ ี
วัดแบบลิเคิทสเกล (Likert)๒๕ และแปลความเกณฑ์การประเมินแบบมาตราส่วนประมาณค่า ๕ ระดับ
(Rating Scale) ดังน้ี

๒๔ อา้ งแล้ว, สชุ าติ ประสทิ ธร์ิ ฐั สนิ ธ์ุ. การใช้สถิตใิ นงานวจิ ยั อยา่ งถกู ต้องและได้มาตรฐานสากล. หน้า ๙๓-
๑๑๓.

๒๕ เรือ่ งเดยี วกนั , หนา้ ๙๓-๑๑๓.

๑๗๖

ระดบั คณุ ภาพ
ระดบั ๕ หมายถงึ ระดับคุณภาพ ดีมาก
ระดับ ๔ หมายถึง ระดับคุณภาพ ดี
ระดับ ๓ หมายถงึ ระดบั คุณภาพ ปานกลาง
ระดับ ๒ หมายถึง ระดบั คุณภาพ พอใช้
ระดบั ๑ หมายถงึ ระดับคณุ ภาพ ปรับปรุง

โดยแปลความตามเกณฑ์ค่าเฉลยี่ ดงั นี้ (บญุ ชม ศรสี ะอาด, ๒๕๕๖: ๑๒๑)๒๖
ค่าเฉลย่ี ๔.๕๑ – ๕.๐๐ หมายถงึ ระดับคุณภาพ ดมี าก
คา่ เฉลี่ย ๓.๕๑ – ๔.๕๐ หมายถงึ ระดบั คุณภาพ ดี
ค่าเฉล่ีย ๒.๕๑ – ๓.๕๐ หมายถงึ ระดบั คุณภาพ ปานกลาง
คา่ เฉลย่ี ๑.๕๑ – ๒.๕๐ หมายถงึ ระดบั คุณภาพ พอใช้
คา่ เฉลยี่ ๑.๐๐ – ๑.๕๐ หมายถึง ระดับคุณภาพ ปรับปรงุ

ระดบั ความพึงพอใจ
๕ หมายถึง พึงพอใจ มากที่สุด
๔ หมายถงึ พึงพอใจ มาก
๓ หมายถงึ พึงพอใจ ปานกลาง
๒ หมายถึง พึงพอใจ น้อย
๑ หมายถงึ พงึ พอใจ น้อยทส่ี ดุ

โดยแปลความตามเกณฑ์คา่ เฉล่ีย ดงั น้ี
ค่าเฉลย่ี ๔.๕๑ – ๕.๐๐ หมายถึง พึงพอใจ มากทส่ี ดุ
คา่ เฉลยี่ ๓.๕๑ – ๔.๕๐ หมายถึง พงึ พอใจ มาก
ค่าเฉลี่ย ๒.๕๑ – ๓.๕๐ หมายถึง พงึ พอใจ ปานกลาง
คา่ เฉลี่ย ๑.๕๑ – ๒.๕๐ หมายถงึ พงึ พอใจ น้อย
ค่าเฉลย่ี ๑.๐๐ – ๑.๕๐ หมายถงึ พึงพอใจ นอ้ ยทีส่ ุด

๓.๗ สถติ ทิ ีใ่ ช้ในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู

การศึกษาครงั้ นี้ ผู้วิจยั ใช้สถิตใิ นการวเิ คราะหข์ ้อมูล คือสถติ ิพรรณนา (Descriptive Statistics)
เป็นสถิติที่ใช้บรรยายคุณสมบัติทีละคุณสมบัติแต่ละด้านของประชากร หรือกลุ่มตัวอย่าง หรือ
กลุม่ เป้าหมายที่ศึกษา การจะใช้สถิตติ ัวใดในการพรรณนา ขึน้ อยู่กับระดับการวัดของตัวแปรว่า เป็นตัว
แปรประเภทกลุ่ม อนั ดบั ช่วง หรืออตั ราสว่ น การวเิ คราะห์ข้อมูลคร้ังนี้ ผวู้ จิ ัย ไดต้ รวจสอบความถูกต้อง

๒๖ บญุ ชม ศรสี ะอาด. การวิจัยเบือ้ งต้น ฉบับปรบั ปรงุ ใหม่. หนา้ ๑๒๑.

๑๗๗

ของข้อมูลในแบบสอบถาม แบบทดสอบและแบบประเมินแต่ละฉบับ ลงรหัสแล้ว ทำการประมวลผล
ข้อมูลทางสถิติโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS for Windows (Statistical Package for Social
Science) ดงั น้ี

๓.๗.๑ สถติ ิทใี่ ชใ้ นการวเิ คราะห์ตรวจสอบคณุ ภาพเครอื่ งมือ
๓.๗.๑.๑ สถติ ใิ นการวเิ คราะห์คณุ ภาพของแบบทดสอบ

๑) หาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแบบทดสอบ โดยใช้สูตร

ดัชนคี วามสอดคล้องระหวา่ งข้อคำถามกบั วตั ถุประสงค์ (Item-Objective Congruence Index: IOC)๒๗

IOC =  R

n

เมือ่ IOC เป็น ดัชนคี วามสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกบั วัตถปุ ระสงค์

 R เป็น คะแนนระดบั ความสอดคล้องทผี่ ู้เชยี่ วชาญแต่ละคนประเมินในแต่ละขอ้
n เป็น จำนวนผูเ้ ชยี่ วชาญทป่ี ระเมนิ ความสอดคล้องในข้อนั้น

๒) การหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบ โดยวิธีของคูเดอร์-
ริชารด์ สัน (Kuder-Richardson Method : KR-๒๐)๒๘

KR − 20 = k    piqi 
 k −1 1 − 
 S 2 
t

เมอื่ KR-๒๐ เปน็ สัมประสิทธิ์ความเชอื่ ม่นั ของแบบทดสอบ
k เป็น จำนวนข้อสอบ
Pi เป็น สัดสว่ นของผูท้ ่ีตอบถกู ในขอ้ ที่ i
qi เปน็ สัดส่วนของผู้ทต่ี อบผิดในข้อท่ี i หรอื เทา่ กับ ๑-pi
St๒ เปน็ ความแปรปรวนของคะแนนรวม t

๓) การหาค่าอำนาจจำแนกของแบบวัด ชนิดมาตรวัดแบบประมาณค่า ใช้วิธีหา
ความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนรายข้อกับคะแนนรวม (Item Total Correlation: rxy’) โดยได้จากสูตร
สัมประสทิ ธ์สิ หสัมพันธ์ของเพยี รส์ นั (Pearson Product-Moment Correlation Coefficient)๒๙

๒๗ ไพศาล วรคำ. การวจิ ยั ทางการศกึ ษา. (Educational Research). หน้า ๓๐๓.
๒๘ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๒๘๗.
๒๙ เรื่องเดยี วกนั , หนา้ ๓๐๓.

๑๗๘

rXY ' = n XY ' −  X Y'
[n X 2 − ( X )2 ][nY '2 −(Y ')2 ]

เม่อื rxy’ เป็น ดัชนอี ำนาจจำแนก
X เป็น คะแนนรายข้อ
Y’ เปน็ คะแนนรวมทห่ี ักขอ้ น้นั ออกแลว้ Y’ = Y-X
เม่ือ Y เป็นคะแนนรวม
N เป็น จำนวนผ้เู ข้าสอบ

๔) การหาคา่ ความเชื่อมนั่ (Reliability) ของเคร่อื งมอื กำหนดคะแนนแบบมาตรประมาณ
ค่า (rating scale) โดยใช้สูตร วิธีสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient
Method)๓๐

 =  k   Si2 
 k − 1 1 − 
 St2 

เมื่อ  เป็น สัมประสิทธ์คิ วามเชื่อม่นั ของแบบทดสอบ

k เป็น จำนวนข้อสอบ

Si2 เปน็ ความแปรปรวนของคะแนนขอ้ ท่ี i
St2 เปน็ ความแปรปรวนของคะแนนรวม t

๓.๗.๒ สถติ ิพืน้ ฐาน ไดแ้ ก่

๓.๗.๒.๑ ร้อยละ (Percentage) ใชส้ ูตร๓๑
ร้อยละ = ตวั เลขทตี่ อ้ งการเปรยี บเทียบ 100
จำนวนเต็ม

 = f 100
N

เม่ือ P แทน รอ้ ยละ
f แทน ความถที่ ่ีต้องการแปลงใหเ้ ป็นร้อยละ
N แทน จำนวนความถ่ที ัง้ หมด

๓๐ ไพศาล วรคำ. การวจิ ัยทางการศกึ ษา. (Educational Research). หนา้ ๒๘๘-๒๘๙.
๓๑ บญุ ชม ศรสี ะอาด. การวจิ ยั เบอ้ื งต้น ฉบบั ปรบั ปรุงใหม.่ หนา้ ๑๒๑.

๑๗๙

๓.๗.๒.๒ คา่ เฉลยี่ (Mean) ใช้สตู ร๓๒

สูตร X = X
N

เมือ่ X แทน คา่ เฉลย่ี
แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลมุ่
X แทน จำนวนกลมุ่ ตัวอย่าง

N

๓.๗.๒.๓ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation: S.D.) เป็นการวัดการ
กระจายของขอ้ มูลท่ีเบย่ี งเบนไปจากค่าเฉลย่ี ของกล่มุ โดยใช้สูตร๓๓

เมอ่ื S.D. แทน สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน
X แทน คะแนนแต่ละตวั

X แทน คา่ เฉล่ยี

X แทน ผลรวมทง้ั หมดของคะแนน
n แทน จำนวนคะแนนในกลมุ่

๓.๗.๒.๔ วธิ กี ารคำนวนหาประสิทธภิ าพของแผนการจดั การเรียนรู้ โดยใช้สูตร๓๔ ดงั น้ี
การคำนวณหาคา่ E๑ (ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ)

X

E๑ = N ×๑๐๐
A

เมื่อ E๑ คือ ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ
 X คือ คะแนนรวมของแบบทดสอบระหว่างเรียน

๓๒ อ้างแล้ว, บุญชม ศรสี ะอาด. การวจิ ัยเบอ้ื งต้น ฉบบั ปรับปรุงใหม.่ หน้า ๑๒๓-๑๒๔.
๓๓ เรือ่ งเดียวกนั , หน้า ๑๒๖.
๓๔ ชัยยงค์ พรหมวงศ์. การทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน (Developmental Testing of Media
and Instructional Package). วารสารศิลปากรศกึ ษาศาสตร์วจิ ยั , หน้า ๑๐.

๑๘๐

N คอื จำนวนผู้เรียน
A คือ คะแนนเต็มของแบบทดสอบ ทุกช้นิ รวมกนั

การคำนวณหาค่า E๒ (ประสิทธภิ าพของผลลัพธ์)

F

E๒ = N ๑๐๐
B

เมอ่ื E๒ คือ ประสทิ ธิภาพของผลลพั ธ์
 F คือ คะแนนรวมของผลลัพธ์ของการประเมินหลังเรียน
N คอื จำนวนผเู้ รยี น
B คือ คะแนนเต็มของการทดสอบหลงั เรียน

๓.๗.๓ สถติ ทิ ีใ่ ชห้ าค่าดัชนปี ระสทิ ธผิ ล
การหาค่าดัชนีประสิทธิผล E.I. (Effectiveness Index) ของแผนการจดั การเรยี นรู้ โดยใช้
วิธีของ Goodman and Schneider)๓๕ ทั้งนี้ เกณฑ์ประสิทธิผลทีไ่ ด้จะต้องมากกว่า .๕๐ ขึ้นไป โดยใช้
สตู ร

ผลรวมของคะแนนทดสอบหลังเรียน-ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรยี น
ดัชนปี ระสิทธผิ ล = (จำนวนนกั เรยี นคะแนนเต็ม)-ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียน

E.I. = P๒ – P๑
Total - P๑

P๑ แทน ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรยี นทุกคน
P๒ แทน ผลรวมของคะแนนทดสอบหลงั เรยี นทุกคน
Total แทน ผลคูณของจำนวนนักเรยี นกบั คะแนนเต็ม

๓๕ เผชญิ กิจระการ และสมนกึ ภทั ทิยธน.ี ดัชนปี ระสทิ ธิผล (Effectiveness Index). หน้า ๓๑.

๑๘๑

๓.๗.๔ สถติ ทิ ่ใี ช้ทดสอบสมมติฐาน
การทดสอบที (t-test) กลุ่มไม่เป็นอิสระแก่กัน (Dependent Sample) การเปรียบเทียบ
คะแนนเฉล่ียผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนระหว่างกอ่ นเรียนและหลังเรียน ใชส้ ูตร๓๖ ดงั น้ี

t = D
n D 2 − ( D)2

(n −1)

เม่ือ t แทน คา่ สถิตทิ จี่ ะใชเ้ ปรยี บเทยี บค่าวกิ ฤตเพื่อทราบความมีนยั สำคัญ
D แทน ผลตา่ งระหว่างของคะแนนกอ่ นเรยี นและหลงั เรียน คา่ ผลตา่ งระหว่าง
ค่ขู นาน
n แทน จำนวนกลมุ่ ตวั อยา่ ง หรอื จำนวนคูค่ ะแนน

 D แทน ผลรวมท้ังหมดของผลต่างระหวา่ งคะแนนทดสอบหลงั เรียนกับก่อนเรียน
 D 2 แทน ผลรวมของผลต่างคะแนนทดสอบหลงั เรยี นกับกอ่ นเรยี นยกกำลังสอง
(D)2 แทน ผลรวมท้งั หมดของผลต่างระหวา่ งคะแนนทดสอบหลงั เรียนกับก่อนเรยี น

ยกกำลัง

๓.๘ สรุปขบวนการวิจยั

การศึกษาวิจัย เรื่องการพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมืองของนักเรียนในจังหวัดขอนแก่น
ตามหลกั พุทธธรรม การศึกษาคร้ังน้ี เป็นการวจิ ยั เชิงทดลอง (Experimental Research) แบบแผนการ
วิจัย เป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น (Pre-Experimental Design) แบบกลุ่มเดียว ทดสอบก่อนและ
หลังการทดลอง (One Group Pretest-Posttest Design) ผูว้ จิ ัย สรุปกระบวนการวจิ ยั ดังนี้

๓.๘.๑ รูปแบบการวิจัย เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) แบบ
แผนการวิจยั เปน็ การวิจยั เชงิ ทดลองเบื้องตน้ (Pre-Experimental Design) แบบกลมุ่ ทดลองกลุ่มเดียว
ทดสอบก่อนการทดลองและหลงั การทดลอง (One Group Pretest-Posttest Design)

๓.๘.๒ กลุ่มเป้าหมาย ที่ใช้ในการศึกษา ครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๒
โรงเรียนซำสูงพิทยาคม สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ที่ลงทะเบียนเรียน วิชาพระพุทธ
ศาสนา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๐
จำนวน ๓๒ คน โดยการสมุ่ แบบเปน็ กลมุ่ (Cluster Random Sampling)

๓๖ บญุ ชม ศรีสะอาด. การวจิ ยั เบื้องตน้ ฉบับปรบั ปรงุ หนา้ ๑๓๓-๑๓๖.

๑๘๒

๓.๘.๓ เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (๑) แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ ความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม จำนวน ๕ แผน (๒)
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน ๕๐ ข้อ (๓) แบบสอบถามจิตสำนึกสาธารณะ จำนวน
๔๐ ข้อ (๔) แบบสอบถามความเป็นพลเมืองดีตามหลักพุทธธรรม จำนวน ๔๐ ข้อ (๕) แบบประเมิน
ความพึงพอใจ จำนวน ๓๐ ขอ้

๓.๘.๔ การสรา้ งและหาคุณภาพเครื่องมอื
๓.๘.๔.๑ การสรา้ งเครอื่ งมือ ผวู้ จิ ยั มขี ั้นตอนการสรา้ ง ดงั นี้
๑) สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึก

สาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพทุ ธธรรมของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยา
คม จำนวน ๕ แผนการจดั การเรียนรู้ ไดแ้ ก่ (๑) มรรค ๘ (๒) พรหมวหิ าร ๔ (๓) อิทธบิ าท ๔ (๔) สังคห
วัตถุ ๔ และ (๕) ฆราวาสธรรม ๔

๒) สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องจิตสำนึกสาธารณะความเป็น
พลเมือง ตามหลักพุทธธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ได้แก่
แบบทดสอบระหว่างเรียน จำนวน ๕๐ ข้อ และแบบทดสอบหลังเรียน จำนวน ๕๐ ข้อ เป็นแบบ
ทดสอบแบบปรนัย ๔ ตวั เลอื ก

๓) สร้างแบบสอบถามจิตสำนึกสาธารณะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรง
เรียนซำสูงพิทยาคม ตามหลักพุทธธรรม จำนวน ๔๐ ข้อ ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านความรับผิดชอบ (๒)
ดา้ นความเสยี สละ (๓) ด้านความสามคั คี และ (๔) ด้านการอนุรกั ษส์ ่ิงแวดลอ้ ม

๔) สร้างแบบสอบถามความเป็นพลเมืองดีตามหลักพุทธธรรม ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ ๓ จำนวน ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) การพัฒนาด้านกาย (๒) การพัฒนาด้านทักษะทางสังคม
(๓) การพฒั นาดา้ นคุณธรรม และ (๔) การพฒั นาด้านปัญญา จำนวน ๔๐ ขอ้

๕) สร้างแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียน
ซำสูงพิทยาคม ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ
ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรม รวม ๕ ด้าน จำนวน ๓๐ ข้อ ได้แก่ (๑) ด้านสาระการเรียนรู้ ๖ ข้อ
(๒) ด้านคุณลักษณะครูผู้สอน ๖ ข้อ (๓) ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ๖ ข้อ (๔) ด้านสื่อการเรียนรู้
๖ ขอ้ และ (๕) ด้านการวัดและประเมนิ ผล ๖ ข้อ

๓.๘.๔.๒ การหาคุณภาพเครอื่ งมอื
๑) การตรวจสอบความถูกต้องในเนื้อหา (Content Validity) โดยใช้วิธีการใน

ลักษณะเดียวกับการหาดัชนีความสอดคล้องระว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (Index of Item
Objective Congruence: IOC) ของรายการประเมินที่กำหนดไว้ในแต่ละข้อ แล้วนำมาหาค่าเฉลี่ย
ถ้าแต่ละข้อมีค่าเฉลี่ยความสอดคล้องระหว่าง ๐.๖๐-๑.๐๐ แสดงว่า แบบประเมิน มีค่าความเที่ยงตรง

๑๘๓

เชิงเนื้อหา (Content Validity) เชื่อถือได้ เสนอผู้เชี่ยวชาญ ๕ คน ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา
(Content Validity)

๒) การตรวจสอบความเทีย่ งตรง (Reliability) ในการตรวจสอบความเทีย่ งตรงของ
แบบสอบถาม แบบทดสอบ และแบบประเมิน นั้น ไม่ว่าจะใช้สอบถามกลุ่มตัวอย่างกี่ครั้ง หรือไม่ว่าจะ
นำไปสอบถามบุคคลที่เป็นกลุ่มตัวอย่างใด ก็จะได้รับคำตอบที่ค่อนข้างแน่นอน โดยนำแบบสอบถาม
แบบทดสอบ และแบบประเมินที่สร้างขึ้นและผ่านการตรวจสอบเชิงเนื้อหาแล้วไปทดลองใช้ (Try out)
กับผใู้ ห้ขอ้ มูล (Information) กบั นกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๓/๑ โรงเรียนซำสูงพทิ ยาคม สังกดั องค์การ
บริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ที่มีลักษณะเหมือนกลุ่มเป้าหมาย จำนวน ๓๐ คน จากนั้นนำข้อมูลมา
วิเคราะห์หาค่าความเที่ยง โดยการคำนวณหาค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าตามวิธีการของ (Cornbrash’s
Alpha Coefficient)

๓.๘.๕ การเก็บรวบรวมข้อมลู โดยเก็บรวบรวมข้อมลู ดังนี้
๓.๘.๕.๑ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบอริยสัจ ๔ เรื่องหลักธรรมทางพระพุทธ

ศาสนา วิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ด้วยการปลูกฝัง
จิตสำนึกและเสริมสร้างความเป็นพลเมือง โดยกำหนดให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน และ
แบบทดสอบหลังเรียน แบบทดสอบ เป็นแบบปรนัยแบบ ๔ ตัวเลือก พร้อมด้วยแบบสังเกตพฤติกรรม
การทำงานรายบคุ คล และรายกลุ่ม

๓.๘.๕.๒ การประเมนิ ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน (๕๐ คะแนน)
๓.๘.๕.๓ แบบสอบถามจิตสำนึกสาธารณะของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียน
ซำสูงพิทยาคม ตามหลักพุทธธรรม จำนวน ๔๐ ข้อ ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านความรับผิดชอบ (๒) ด้าน
ความเสียสละ (๓) ดา้ นความสามัคคี และ (๔) ดา้ นการอนรุ ักษ์สง่ิ แวดลอ้ ม
๓.๘.๕.๔ แบบสอบถามความเป็นพลเมืองดีตามหลักพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชนั้
มัธยมศึกษาปีที่ ๓ จำนวน ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) การพัฒนาด้านกาย (๒) การพัฒนาด้านทักษะทางสังคม
(๓) การพัฒนาด้านคณุ ธรรม และ (๔) การพัฒนาดา้ นปัญญา จำนวน ๔๐ ขอ้
๓.๘.๕.๕ แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรียนซำสูง
พิทยาคม ที่มีต่อจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ จำนวน ๓๐ ข้อ รวม ๕ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านสาระการเรียนรู้ (๒) ด้านคุณลักษณะครูผู้สอน
(๓) ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (๔) ด้านสื่อการเรียนรู้ และ (๕) ด้านการวัดและประเมินผล
เปน็ แบบมาตราส่วนประมาณคา่ ๕ ระดับ (Rating Scale) คือ พึงพอใจมากทส่ี ดุ พึงพอใจมาก พงึ พอใจ
ปานกลาง พงึ พอใจน้อย พึงพอใจนอ้ ยที่สุด

๑๘๔

๓.๘.๖ การวิเคราะหข์ ้อมูล ผ้วู จิ ยั เสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล ดงั น้ี
๓.๘.๖.๑ ผลการวเิ คราะห์ประสิทธภิ าพแผนการจัดการเรยี นรู้ โดยใช้กระบวนการแบบ

อรยิ สัจ ๔ เรอื่ งจติ สำนกึ สาธารณะ ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี
๓ โรงเรียนซำสงู พิทยาคม ท่ีมีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐

๓.๘.๖.๒ ผลการวิเคราะห์จิตสำนึกสาธารณะตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการ
แบบอริยสัจ ๔ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม สังกัดองค์การบริหารส่วน
จงั หวดั จงั หวดั ขอนแกน่

๓.๘.๖.๓ ผลการวิเคราะห์ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนชั้น
มธั ยมศึกษาปที ่ี ๓ โรงเรยี นซำสูงพทิ ยาคม

๓.๘.๖.๔ ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียน
ซำสูงพิทยาคม ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึก
สาธารณะ ความเปน็ พลเมืองตามหลักพทุ ธธรรม

๓.๘.๗ สถติ ิท่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมลู ได้แก่ ค่ารอ้ ยละ คา่ เฉล่ีย ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน
และทดสอบคา่ ที (t-test)

บทที่ ๒

แนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวิจยั ท่เี กย่ี วข้อง

การศึกษาวจิ ัยเรื่อง การพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมืองของนกั เรียนในจังหวัดขอนแก่น
ตามหลักพุทธธรรม ผ้วู ิจยั ได้ศึกษาค้นควา้ จากเอกสารและงานวิจัยทีเ่ กี่ยวขอ้ ง ดงั นี้

๒.๑ การพัฒนาจติ สำนกึ ความเป็นพลเมอื ง
๒.๒ จิตสำนกึ สาธารณะ
๒.๓ แนวคดิ เกี่ยวกบั ความเปน็ พลเมอื งดีทางพระพุทธศาสนา
๒.๔ แผนการจัดการเรียนรู้
๒.๕ วธิ สี อนแบบอริยสัจ ๔
๒.๖ การวิจยั เชิงทดลอง (Experimental Research): การวจิ ยั เชงิ ทดลองเบ้ืองต้น
(Pre-Experimental Design)
๒.๗ การทดสอบประสิทธภิ าพ
๒.๘ ดชั นีประสิทธผิ ล (Effectiveness Index: E.I.)
๒.๙ แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น
๒.๑๐ ทฤษฎีความพงึ พอใจ
๒.๑๑ บรบิ ทของโรงเรยี นซำสงู พิทยาคม
๒.๑๒ งานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วขอ้ ง

๒.๑ การพฒั นาจิตสำนกึ ความเป็นพลเมอื ง

ในประเทศไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายของคำว่า
“พลเมือง” ไว้ว่า “ประชาชน ราษฎร ชาวประเทศ”๑ และมีนักวิชาการได้ให้ความหมายของพลเมืองดี
ไว้ในหลากหลายมุมมองด้วยกัน ดังเช่น ปริญญา เทวานฤมิตกุล๒ ได้ให้ความหมายของความเป็น
พลเมืองดีไวว้ ่า ตอ้ งมีคุณลักษณะสำคัญ ๓ ประการ คือ (๑) เป็นผทู้ ่ีเคารพผู้อื่น เคารพสิทธิผู้อ่นื เคารพ

๑ ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. (กรุงเทพมหานคร: นานมีบุ๊คส์
พบั ลิเคชัน่ , ๒๕๔๖).

๒ ปริญญา เทวานฤมิตกุล. การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง (Civic Education). (กรุงเทพมหานคร: อักษร
สัมพันธ์, ๒๕๕๕), หนา้ ๓๐.

๑๙

ความแตกต่าง เคารพหลักความเสมอภาค (๒) เคารพกติกา (๓) มีส่วนร่วมรับผิดชอบสังคมและ
พงึ่ ตนเอง ส่วนวชิ ยั ตันศิริ๓ ได้กล่าวไวว้ ่า ความเปน็ พลเมอื งดใี นความหมายเก่า คือการเป็นผูร้ ับทค่ี อยรับ
ทั้งผลบวกและผลลบจากนโนบายของรัฐบาล แต่ในความหมายใหม่พลเมืองดี หมายถึง การมีส่วนเป็น
ผู้กระทำท่ีมีแนวคิดกว้างไกลและมีจิตวิญญาณสาธารณะ สำหรับ ดุจเดือน พันธุมนาวิน๔ ได้กล่าวถึง
พฤติกรรมพลเมืองดีไว้ว่า เป็นการกระทำที่ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อ่ืน ซึ่งผลของการ
กระทำน้ันเกดิ ประโยชน์ตอ่ ส่วนรวม

จากความหมายของความเป็นพลเมืองดีที่กล่าวมาขา้ งต้น แสดงให้เหน็ ว่า ความเป็นพลเมืองดี
ของประเทศมีความหมายที่มขี อบเขตกว้างขวางมากโดยมุง่ เน้นไปท่ีการเป็นสมาชิกทีด่ ีของสังคม มีเจต
คตแิ ละพฤติกรรมท่ีก่อใหเ้ กดิ ผลดตี ่อสังคม ไม่เบยี ดเบียนและไมท่ ำให้ผู้อืน่ หรือสังคมไดร้ ับผลกระทบในทาง
ลบ “ความเป็นพลเมืองดีตามระบอบประชาธิปไตย” ซึ่งหมายถึงบุคคลผู้ที่มีคุณลักษณะสำคัญคือ (๑) เป็น
ผู้ท่ีมีความรู้ ความเข้าใจในการปกครองระบอบประชาธิปไตย (๒) เป็นผู้ที่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้
ทำงานรว่ มกับผู้อื่นได้ มีความเคารพผู้อื่น เคารพสิทธิผูอ้ ื่น เคารพหลักความเสมอภาค และเคารพความ
แตกต่างทางความคิดและวัฒนธรรม (๓) เป็นผทู้ ่ีพ่ึงตนเองได้ โดยไมต่ ้องพ่ึงพาหรอื เบียดเบียนผู้อื่น (๔)
เป็นผทู้ ่ีมีจติ สำนึกสาธารณะ มุ่งที่จะทำประโยชนเ์ พ่ือสว่ นรวมและธำรงรักษาสาธารณะสมบตั ิ (๕) เปน็ ผู้
ท่ีเคารพกฎกติกาของสังคม และเคารพกฎหมาย (๖) เป็นผู้ทม่ี คี วามเตม็ ใจทจี่ ะแกป้ ัญหาความขดั แยง้ ใน
ทุกกรณีด้วยท่าทีสันติโดยไม่ใช้ความรุนแรง (๗) เป็นผู้ท่ีมีความตระหนักและมีความกระตือรือร้นท่ีจะ
เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองท้ังระดับขาติและระดับทอ้ งถิ่นด้วยความสมัครใจ “ความเปน็ พลเมืองดี”
ถือวา่ เป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่สถาบนั ทางสังคมทุกภาคส่วนควรร่วมมอื กันพัฒนาความเป็นพลเมืองดี
ให้กบั เด็กและเยาวชน ซ่งึ จากการประมวลแนวคดิ ทฤษฎีและงานวิจัยทเี่ ก่ียวข้อง พบว่า ครอบครัวเป็น
สถาบันทางสังคมที่มีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่อบรมบ่มนิสัย ปลูกฝังความเช่ือ เจตคติ ค่านิยม
คุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรมอันดีงามให้กับเด็ก และเยาวชน รวมไปถึงเจตคติและพฤติกรรม
ประชาธปิ ไตยด้วย๕

ผลการสำรวจของสถาบันพระปกเกล้าและมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต เร่ืองความเข้าใจต่อ
ความเป็นพลเมอื งในมหาวทิ ยาลยั ๔ แหง่ อนั ได้แก่ มหาวิทยาลยั ธุรกิจบณั ฑติ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
มหาวิทยาลยั ราชภัฏสวนดุสติ และมหาวิทยาลัย ศรีปทมุ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ท่ีผ่านมา พบว่า นักศึกษา
คณาจารย์ พนักงาน และผู้ประกอบการ ร้านค้าในมหาวิทยาลัย มีการรับรู้และเข้าใจคำวา่ “พลเมือง”

๓ วชิ ยั ตันศริ ิ. วฒั นธรรม. (กรุงเทพฯ, สถาบนั นโยบายศึกษา, ๒๕๕๑).
๔ ดุจเดือน พันธุมนาวิน. ซิมโปเซียมงานวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ด้านระบบพฤติกรรมไทย. สำนัก
คณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ๒๐-๒๑ สิงหาคม ๒๕๔๖ ณ โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนช่ันกรุงเทพมหานคร.
(กรุงเทพมหานคร: การวจิ ัย และการพัฒนาระบบพฤติกรรมไทย สำนักงานคณะกรรมการวจิ ัยแหง่ ชาติ, ๒๕๕๑).
๕ เร่ืองเดยี วกัน.

๒๐

ไมแ่ ตกตา่ งจากคำวา่ “ประชาชน” โดยเม่อื พดู ถงึ พลเมอื ง คำตอบสว่ นใหญ่มุง่ ไปทเี่ รือ่ งของสถานภาพว่า
เป็นประชาชน พลเมือง หรือคนทั่วไป มากกวา่ มอง พลเมือง ในเร่ืองสทิ ธิหน้าท่คี วามรับผิดชอบ อันเล็ง
ใหเ้ ห็นถงึ การขาดความร้คู วามเข้าใจในมติ ิเชงิ ของการเป็นพลเมอื งนน่ั เอง๖

การที่คนในสังคมมีความคลุมเครือในตำแหน่งแห่งท่ีของตนในฐานะ “คนในรัฐ”ส่งผลให้ขาด
“สำนึกของความเป็นพลเมือง” ขาดความตระหนักว่า ตนเองเป็นกำลังสำคัญในการมีส่วนร่วมพัฒนา
ประเทศชาติ ตัวชี้วัดง่าย ๆ ที่เห็นชัดเจนคือ คนส่วนใหญ่ไม่สนใจส่ิงท่ีเป็นของสาธารณะเท่ากับของ
ส่วนตัว ผู้ประกอบการทำบัญชีสองบัญชีเพราะไม่ต้องการเสียภาษีเต็มจำนวน แม้รู้ว่าเงินภาษีน้ันจะ
นำไปพัฒนาประเทศ ประชาชนเรียกร้องสิทธิของตนอย่างกระตือรอื ร้น อยากไดร้ ับสวัสดิการจากรัฐทุก
ๆ เรื่อง แต่หลีกเล่ียงหน้าที่ ความรับผิดชอบ และเพิกเฉยต่อการเขาไปมีส่วนร่วมจัดการเรอื่ งท่ีจะเกิด
ประโยชน์ต่อภาพรวม เปน็ ตน้

Hett ๗ ได้ให้ความหมายของจิตสำนึกความเป็นพลโลกไว้ว่า เป็นทรรศนะเกี่ยวกับโลก ซ่ึง
บุคคลแต่ละคนสามารถที่จะคิดและเข้าใจตนเองได้ว่า ตนมีฐานะเป็นสมาชิกของครอบครัวมนุษย์
เดียวกันมากกว่าการเป็นสมาชิกของชาติใดชาติหนึ่งเพียงลำพัง ที่ต้องมีการคิดถึงสัมพันธ์กับชุมชนโลก
และมีความรับผิดชอบในฐานะสมาชิกของชมุ ชนโลกด้วย

Glick ๘ ให้ความหมายของจิตสำนกึ ความเป็นพลโลกว่า เปน็ ระดบั นามธรรมในระดับสงู ท่ีใช้
ในความหมายที่หมายถึง พ้ืนความรู้แบบท่ีเกี่ยวพันกันเป็นพลวัตของบุคคลแต่ละคน โครงสร้างของ
คา่ นิยมและบุคลิกภาพซึ่งเปน็ ปัจจัยในการสร้างลักษณะการตดิ ต่อสัมพนั ธ์ ต้ังแต่ในระดับเฉพาะรวมถึง
ระดับท่ีซับซ้อนข้ึน อันก่อให้เกิดผลต่อการใช้ชีวิต การมีทัศนคติ ความรู้สึก และแรงจูงใจในลักษณะ
ของผลสะท้อนของทรรศนะความจงรักภักดีการปฏิสัมพันธ์ในระดับท้องถ่ิน ระดับภูมิภาค และระดับ
นานาชาติอย่างกว้างขวางในฐานะมนุษยชาติเดียวกัน เพ่ือจะแสวงหาความมั่นคง ความเป็นสมาชิก
และความรูส้ กึ ถงึ ตนเองในฐานะความสัมพันธร์ ะดับโลก

จิตสำนึกความเป็นพลโลก จึงหมายถึง สภาวะท่ีบุคคลมีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้อง
เก่ียวกับความเป็นพลโลก มีความคิดในทางบวกต่อความเป็นพลโลกและปฏิบัติตนอย่างสอดคล้องกับ

๖ ณัฏฐพัชร์ ทัศนรุ่งเรือง, เปิดผลสำรวจคนไทยแยกไม่ออก ระหว่างคำว่า “ประชาชน-พลเมือง,
[ออนไลน์]. แหล่งท่ีมา http://www.thaireform.in.th/news-highlight/ item/๕๖๖๔-๒๐๑๑-๐๔-๑๒-๐๘-๓๓-
๕๖.html?pop=๑&tmpl=component&print=๑.

๗ Hett, E.Jane. The Development of an Instrument of Measure GlobalMindedness. UPI
Dissertation. University of San Diego, 1991.

๘ Glick, ๑๙๗๕ อา้ งใน นิภา สุขพิทักษ์. จิตสำนึกความเป็นพลโลกของครูกลุ่มสร้างเสริมประสบการณชีวิต
ชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๖ ในโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษา แห่งชาติ เขต
การศึกษา ๙ ตามการรบั รู้ของตนเอง. ภาควชิ าประถมศกึ ษาบณั ฑิต วิทยาลยั จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๖.

๒๑

หลักการและลักษณะของความเป็นพลโลก ซึ่งความเป็นพลโลกนั้นหมายถึง การเป็นพลเมืองดีของ
สงั คมโลก นอกเหนือจากการเปน็ พลเมอื งดีของประเทศท่ีตนอาศยั อยู่

สำหรับความสำคัญของจิตสำนึกความเป็นพลโลกนั้น เฮทท์๙ ไดก้ ลา่ วว่าความหวังท่ียง่ิ ใหญ่
ที่สุดสำหรับโลกในปัจจุบันก็คือ ความสามารถท่ีจะให้การศึกษาเรื่องจิตสำนึกความเป็นพลโลกให้แก่
พลเมือง ให้เขามีทรรศนะวา่ ตนเป็นส่วนหน่ึงของระบบโลกที่กวา้ งใหญ่มีอิสระจากข้อผูกมัดของความ
รักชาติอย่างผิด ๆ สามารถประสานสัมพันธ์และแก้ปัญหาท่ีเกิดแก่โลกได้ เพราะโลกเจริญมาถึงยุค
ข้อมูลขา่ วสารซึง่ มบี ทบาทตอ่ ชีวิตของมนุษย์

การศึกษาจะช่วยให้ผู้เรียนรู้จักการมองโลกและมีทักษะในการแก้ไขปัญหาท่ีเกิดขึ้นและที่
สำคัญคือมีสำนึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลกที่จะช่วยเปล่ียนแปลงให้โลกมีพัฒนาการท่ีดีขึ้น
ดังนั้นภาวะของนักการศึกษาก็คือการเตรียมนักเรียนสำหรับโลกในศตวรรษท่ี ๒๑ ให้มีจิตสำนึกของ
ความเป็นพลโลก และวิธีการปลูกฝังจิตสำนึกความเป็นพลโลกนั้นทำได้หลายวิธี การจัดการศึกษา
สกลทรรศน์ (Global Education) ก็เป็นแนวทางหนึ่งโดยการสอดแทรกมโนมติและหลักการทาง
สกลทรรศน์ศึกษาไว้ในหลกั สตู ร

๒.๒ จติ สำนกึ สาธารณะ

๒.๒.๑ ความหมายของจิตสำนกึ สาธารณะ
มีนักการศึกษาได้ให้ความหมายของจิตสำนึกสาธารณะ (Public Consciousness) ไว้
หลากหลายทั้งแตกต่างกัน และใกล้เคียงกันการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม เช่น ความสำนึกทางสังคม
จิตสำนึกตอ่ ส่วนรวมหรอื จิตสำนึกต่อสาธารณสมบัติ นอกจากนี้๑๐ ไดใ้ หค้ วามหมายเพิม่ เตมิ ว่า การรูจ้ ัก
เอาใจใส่เปน็ ธุระและเข้าร่วมในเรื่องของสว่ นรวมท่ีเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ มีความสำนกึ และยึด
ม่ันในระบบคุณธรรมและจริยธรรมที่ดีงาม ละอายต่อส่ิงผิด เน้นความเรียบร้อย ประหยัดและมีความ
สมดุลระหว่างมนุษยก์ ับธรรมชาติ ซ่ึง กนิษฐา นทิ ัศน์พัฒนาและคณะ๑๑ ได้ใหค้ วามหมายของจิตสำนึก
สาธารณะว่า เป็นคำเดียวกับคำว่า จิตสำนึกทางสังคม หมายถึง การตระหนักรู้และคำนึงถึงส่วนรวม

๙ Hett, E.Jane. The Development of an Instrument of Measure Global Mindedness.UPI
Dissertation. University of San Diego, 1991.

๑๐ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ. วาระการวิจัยแห่งชาติในภาวะวิกฤตเพื่อฟื้นฟูชาติ.
(กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและ ส่ิงแวดล้อม,๒๕๔๒),
หน้า ๑๔.

๑๑ กนษิ ฐา นทิ ัศนพ์ ัฒนาและคณะ. จิตสำนึกทางสงั คมของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลยั มหดิ ล
(กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั มหิดล, ๒๕๔๑), หน้า ๘.

๒๒

ร่วมกัน ซงึ่ สอดคล้องกับ ศักดช์ิ ัย นริ ญั ทวีทีก่ ล่าววา่ ๑๒ การมจี ติ สำนึกสาธารณะ คือการมจี ิตใจท่ีคำนงึ ถึง
ประโยชน์ของสว่ นรวม คำนึงถงึ ความสำคัญของส่ิงอันเปน็ ของทีต่ ้องใช้หรอื มผี ลกระทบร่วมกนั ในชมุ ชน
เช่น ป่าไม้สวนสาธารณะ ความสงบสุขของชุมชนและสาธารณะสมบัติต่าง ๆ เป็นต้น ส่วน เกรียงศักดิ์
เจริญวงศ์ศักด์ิ๑๓ ได้ให้ความหมายของจิตสาธารณะว่า หมายถึง ความคิดที่ไม่เห็นแก่ตัวมีความ
ปรารถนาที่จะชว่ ยเหลือผู้อื่นหรอื สังคมโดยไม่หวังผลตอบแทน พยายามทจี่ ะช่วยเหลืออย่างจริงจังและ
มองโลกในแง่ดีบนพ้ืนฐานของความเป็นจริงในขณะที่ สพุ จน์ ทรายแกว้ ใช้คำวา่ ๑๔ จติ สำนึกตอ่ ส่วนรวม
หมายความว่า คุณลกั ษณะทางจิตใจของบคุ คลที่ให้ความสำคญั ต่อปฏิสัมพนั ธท์ างสงั คมและสว่ นรวม ซ่ึง
แสดงออกมาจากความคิด การสนทนาหรือการกระทำ ดังที่ บญุ สม หรรษาศริ พิ จน์ ใช้คำว่า๑๕ จติ สำนึก
ที่ดีในสังคม โดยการปฏิบัติตนให้มีจิตสำนึกท่ีดีต่อสังคมและชุมชนของตน เช่น การมีส่วนร่วมใน
กิจกรรมชุมชน การช่วยดูแลชุมชน การให้ความร่วมมือท้ังกำลังกายและกำลังทรัพย์ เพื่อรักษาความ
สามคั คแี ละให้ความเป็นมิตรและมนี ้ำใจตอ่ กัน และลัดดาวัลย์ เกษมเนตร และคณะ๑๖ ได้ให้ความหมาย
ของจติ สาธารณะไว้ว่า หมายถึง การรูจ้ ักเอาใจใส่เปน็ ธรุ ะและเข้าร่วมในเรอื่ งของส่วนรวมที่ใชป้ ระโยชน์
ร่วมกันของกลุ่ม โดยพิจารณาจากความรู้ความเข้าใจหรือพฤติกรรมท่ีแสดงออก ดังท่ี พระไพศาล วิสาโล
ได้ใช้คำว่า๑๗ จิตอาสา โดยได้ให้นิยามไว้ว่า จิตท่ีพร้อมจะสละเวลา แรงกาย และสติปัญญา เพื่อ
สาธารณะประโยชน์ เป็นจิตท่ีพร้อมจะช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาหรือมีความทุกข์เกิดข้ึน และเป็นจิตท่ีมี
ความสุขเมือ่ ได้ทำความดี

สรุปได้ว่า จิตสำนึกสาธารณะ คือ จิตสำนึกท่ียึดม่ันในคุณธรรมจริยธรรมอันดี แสดงออก
ทางพฤติกรรมในเร่ืองส่วนรวม ต่อทุกสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ วัตถุ ธรรมชาติ เพ่ือการอยู่ร่วมกัน
อย่างสันติสุข ปราศจากการเอารดั เอาเปรยี บ เหน็ แกป่ ระโยชน์สว่ นรวมมากกว่าประโยชน์สว่ นตน

๑๒ ศกั ด์ชิ ัย นิรัญทว.ี บทบาทของมหาวิทยาลัยกับการศกึ ษาเพอื่ ความเปน็ ประชาสังคม. (วารสาร สออ.ย
ประเทศไท/ Asaihl-Thailand Journal. ๑(๑): ๕๗. (พฤศจกิ ายน), ๒๕๔๑), หนา้ ๕๗.

๑๓ เกรียงศักดิ์ เจรญิ วงศศ์ กั ด์ิ (จอมปราชญน์ ักการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ: ซคั เซสมเี ดยี , ๒๕๔๓), หนา้ ๑๗.
๑๔ สุพจน์ ทรายแก้ว จิตสำนึกสาธารณะ การก่อรูปและกระบวนการเสรมิ สร้าง. วารสารเพชรบุรีวทิ ยาลง
กรณ,์ ๔(๑): ๔๖-๕๕, (๒๕๔๖), หนา้ ๔๙.
๑๕ บุญสม หรรษาศิริพจน์จิตสำนึก การสร้างจิตสำนึก. วารสารวิชาการสภาอาจารย์.๔(๑): ๗๑-๗๓.
(มกราคม ๒๕๔๒), หน้า ๗๑-๗๓.
๑๖ ลัดดาวัลย์ เกษมเนตร และคณะ รูปแบบการพัฒนานักเรียนระดับประถมศึกษาให้มีจิตสาธารณะ:
การศึกษาระยะยาว. ในเอกสารประกอบการประชุมวิชาการเน่ือง ในวันสถาปนา สถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร์
ครบรอบ ๔๙ ปี. หนา้ ๑-๓. (กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ, ๒๕๔๗). หน้า ๒-๓.
๑๗ พระไพศาล วิสาโล. เมื่อดอกไม้บานสะพรั่งทั้งแผ่นดิน. (กรุงเทพฯ: สำนักกองทุนสนับสนุนการ
สร้างเสริมสุขภาพ. เครอื ขา่ ยพทุ ธิกา, ๒๕๔๘), หน้า ๒๔.

๒๓

๒.๒.๒ ความสำคญั ของการมจี ิตสำนกึ สาธารณะ
จิตสำนึกสาธารณะ เป็นความรบั ผดิ ชอบที่เกิดข้นึ จากภายในจติ ใจ ดังนัน้ จติ สำนกึ ในความ
รบั ผดิ ชอบต่อตนเอง จงึ เป็นพ้ืนฐานของความรับผิดชอบต่อสงั คม เป็นสิ่งหนง่ึ ท่ีมคี วามสำคญั ในการปลูก
จิตสำนึก ให้คนรู้จักเสียสละ ร่วมแรงร่วมใจ มีความร่วมมือในการทำประโยชน์เพ่ือส่วนรวม ช่วยลด
ปัญหาท่ีเกิดข้ึนในสังคม ช่วยกันพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อเป็นหลักการในการดำเนินชีวิตช่วยแก้ปัญหา
และสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์สุขแก่สังคม ดังท่ี ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม และสังคม สัญจร๑๘ ได้ให้
ความสำคัญของการมีจิตสำนึกสาธารณะไวว้ ่า การที่คนมาอยูร่ วมกันเป็นสังคมย่อมต้องมีความสัมพันธ์
ในรูปแบบการพึ่งพากันและมีบทบาทหน้าท่ีแตกต่างกันไป ถ้าคนในสังคมขาดจิตสำนึกสาธารณะจะมี
ผลกระทบต่อบคุ คล ครอบครวั องคก์ รชุมชนระดบั ประเทศและระดบั โลก ดงั น้ี
๑. ผลกระทบตอ่ บุคคล ใหเ้ กิดปญั หา คือ

๑.๑ สรา้ งความเดือดร้อนให้กับตนเอง
๑.๒ สร้างความเดือดรอ้ นใหก้ ับคนอ่นื
๒. ผลกระทบระดบั ครอบครวั ทำใหเ้ กิดปัญหา คือ
๒.๑ ความสามัคคีในครอบครวั ลดนอ้ ยลง
๒.๒ การแกง่ แยง่ ทะเลาะเบาะแวง้ ภายในครอบครวั
๓. ผลกระทบระดับองค์กร ทำใหเ้ กดิ ปัญหา คือ
๓.๑ การแบง่ พรรคแบง่ พวกภายในองค์กร
๓.๒ ความเหน็ แกต่ วั แก่งแย่งชิงดชี ิงเด่น
๓.๓ การเบียดเบียนสมบตั ขิ ององคก์ รเป็นสมบตั ิส่วนตน
๓.๔ องคก์ รไม่ก้าวหนา้ ประสิทธิภาพและคณุ ภาพของงานลดลง
๔. ผลกระทบในระดบั ชุมชน ทำใหเ้ กดิ ปญั หา คือ
๔.๑ ชุมชนอ่อนแอขาดการพัฒนาเพราะต่างคนต่างอยู่ สภาพชุมชนมีสภาพเช่นไรก็
ยงั คงเปน็ เชน่ น้ัน ไมเ่ กิดการพัฒนาและยง่ิ นานไปก็มแี ตเ่ ส่ือมทรดุ ลง
๔.๒ อาชญากรรมในชมุ ชนอย่ใู นระดบั สูง
๔.๓ ขาดศูนย์รวมจติ ใจ ขาดผู้นำทนี่ ำไปส่กู ารแก้ปัญหา เพราะคนในชมุ ชนมองปญั หา
ของตัวเองเป็นเร่อื งใหญ่ ขาดคนอาสานำพาการพฒั นา เพราะกลวั เสยี ทรัพย์ กลัวเสียเวลาหรือกลวั เป็น
ท่คี รหาจากบุคคลอื่น

๑๘ ไพบลู ย์ วัฒนศิริธรรม และสังคม สญั จร. สำนึกไทยที่พึงปรารถนา.(กรุงเทพฯ: เดือนตลุ , ๒๕๔๓), หน้า
๒๒-๒๙.

๒๔

๕. ผลกระทบในระดับชาติถา้ บุคคลในชาตขิ าดจิตสาธารณะจะทำให้เกดิ
๕.๑ วกิ ฤตการณภ์ ายในประเทศบ่อยครั้งและแกป้ ญั หาไมไ่ ด้เกดิ การเบียดเบียนทำลาย

ทรพั ยากรและสมบตั ิทเี่ ป็นของส่วนรวม
๕.๒ ประเทศชาติอยู่ในสภาพล้าหลัง เน่ืองจากขาดพลังของคนในสังคมเมื่อผู้นำ

ประเทศ นำมาตรการใดออกมาใชก้ ็จะไมไ่ ด้ผล เพราะไมไ่ ดร้ ับความรว่ มมือจากประชาชน
๕.๓ เกิดการแบ่งพรรคแบง่ พวก เกิดการแก่งแย่งแขง่ ขันเห็นแก่ประโยชน์กลุ่มของตน

และ พวกพ้องเกดิ การทุจรติ คอรัปช่นั
๖. ผลกระทบในระดับโลก ถ้าบุคคลขาดจิตสาธารณะจะทำให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ

ระหวา่ งประเทศ ทำให้เกิดปญั หาในระดบั ตา่ ง ๆ ดังนี้
๖.๑ เกิดการสะสมอาวุธกันระหว่างประเทศเพราะขาดความไว้วางใจซ่ึงกันและกัน

กลัว ประเทศอื่นจะโจมตจี ึงต้องมีอาวธุ ที่มีอานุภาพในการทำลายสงู ไว้ในครอบครอง เพ่ือข่มขูป่ ระเทศ
อ่ืนและเม่ือมีปัญหาเกิดข้ึน ก็มักมีแนวโน้มในการใช้ความรุนแรงของแสนยานุภาพทางการสงคราม
ตดั สนิ ปัญหา

๖.๒ เกิดการกล่ันแกล้งแก่งแย่งหรือครอบงำทางการค้าระหว่างประเทศ พยายามทุก
วิถีทาง เพื่อให้เกิดการได้เปรียบทางการค้า ทำให้ประเทศด้อยกว่าขาดโอกาสในการพัฒนาประเทศ
ของตน

๖.๓ เกดิ การรังเกยี จเหยียดหยามคนตา่ งเช้ือชาติ ต่างเผ่าพันธ์หุ รอื ต่างท้องถิ่น มองชน
ชาติอนื่ เผา่ พันธ์ุอ่ืนว่า มคี วามเจริญหรือมีศักด์ิศรดี อ้ ยกว่าเช้ือชาตแิ ละเผา่ พันธขุ์ องตนเอง ดถู ูกหรือเป็น
ปฏิปักษต์ ่อชาติอน่ื

ดังท่ี วราพร ศรีสุพรรณ ได้กล่าวถึง๑๙ ความสำคัญของจิตสำนึกต่อทรัพยากร ธรรมชาติและ
ส่ิงแวดล้อมไว้ว่า มนุษย์ทุกคนเป็นผู้ใช้ทรัพยากรร่วมกัน เป็นเจ้าของร่วมกัน จะต้องมองเห็นสิทธิของ
ผูอ้ ่ืนท่ีจะเกดิ มาในยคุ สมัยต่อไป ที่จะดำรงชีวติ อยโู่ ดยพงึ่ พาทรพั ยากรท่ีมีในวันนี้ ทางสิ่งแวดล้อมยังต้อง
ประกอบด้วย ระบบการคิดหรือค่านิยมที่จะสร้างความเป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากร ด้วยระบบ
คณุ คา่ ทางสงั คมและคุณคา่ ของการดำรงชีวติ อยู่ ซึ่งระบบน้เี รยี กว่า คุณธรรมทางสิง่ แวดล้อม การสรา้ ง
จติ สำนึกดังกล่าว จะต้องอาศัยการศึกษาเป็นสำคัญท่ีจะสร้างทัศนะความคิด ค่านิยมท่ีจะทำให้มนุษย์
แสดงถึงความรับผิดชอบต่อธรรมชาติ เพ่ือใหบ้ ุคคลเขา้ ใจธรรมชาติ เข้าใจ ขีดจำกดั ในการดำรงอยู่ของ
มนุษย์ ขยายฐานประสบการณ์ทางสังคมให้แกเ่ ยาวชน และเปิดโอกาสให้เกิดการคิดเพ่ือแสวงหาคุณค่า
ของชีวติ เพือ่ ให้เยาวชนเกิดวฒุ ภิ าวะในตน เขา้ ใจสงั คมและเพ่อื นมนุษยพ์ ัฒนาระบบการคดิ ทม่ี คี ุณธรรม
ในตนเองเพื่อเขาจะได้เป็นบุคคลที่มีจิตสำนึกอย่างเต็มเปี่ยมท่ีร่วมในการแก้ปัญหาต่อไป ซ่ึงสอดคล้อง

๑๙ วราพร ศรีสุพรรณ. หลักการและขอ้ เสนอในการจัดการส่ิงแวดล้อมศึกษา สาระความรู้และกลวิธี เพ่ือ
ส่งเสริมการอนุรักษ์. (กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล, ๒๕๓๖), หน้า ๗๓-๗๔.

๒๕

กบั ๒๐ สำนักนโยบายและยทุ ธศาสตร์กระทรวงวัฒนธรรม เพ่ือเป็นการขับเคล่ือนให้เกิดการเปลยี่ นแปลง
ทางสังคมในระดับโครงสร้างได้มีการใช้แผนพัฒนาของชาติ รวมทั้งกฎหมายต่าง ๆ ผลักดันให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลง หากพิจารณาแผนพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี ๑๐ พบว่า มุ่งพัฒนาสู่
สงั คมอยู่เย็นเปน็ สุขร่วมกนั โดยเน้นให้คนไทยมีคุณธรรม นำความรอบรู้ รเู้ ท่าทนั โลก ครอบครวั อบอุ่น
ชุมชนเข้มแข็ง สังคมสันติสุขเศรษฐกิจมีคุณภาพเสถียรภาพ และเป็นธรรม ส่ิงแวดล้อมมีคุณภาพและ
ทรัพยากรธรรมชาติท่ียงั่ อยู่ภายใต้ระบบบริหารจัดการของประเทศที่มีธรรมาภิบาล ดำรงไว้ซ่ึงระบอบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและอยู่ในประชาคมโลกได้อย่างมีศักดิ์ศรี โดย
แนวทางในการดำเนนิ การอย่ภู ายใตแ้ นวปฏิบัติของ“ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง”

นอกจากน้ี ศูนยแ์ นะแนวการศึกษาและอาชีพ๒๑ ไดศ้ ึกษาเก่ยี วกับการปลกู ฝังให้ เยาวชนทำ
ตนให้เป็นประโยชน์เพื่อสังคมจากบุคคลในอาชีพต่าง ๆ ได้ให้ความหมายของการทำ ประโยชน์เพื่อ
สังคมไว้ สอดคล้องกับจิตสาธารณะว่า คือการทำส่ิงท่ีดีงามจนเป็นนิสัย เพื่อความสุขความสงบของ
ตนเองและสังคมส่วนรวม ตลอดจนการกระทำ เพ่ือปอ้ งกันปัญหาหรอื การสร้างสรรค์เพื่อประโยชน์ของ
สงั คมจะต้องประกอบดว้ ยคุณลกั ษณะ ๗ ดา้ น ได้แก่

๑. มีความรับผิดชอบ หมายถึง การเอาใจใส่ปฏิบัติภารกิจตามบทบาทหน้าท่ีและตามท่ี
ได้รับมอบหมาย ท้ังของตนเองและของกลุ่มให้สำเร็จลุล่วงอย่างได้ผลดี รวมท้ังยอมรับผลของ
การกระทำน้นั

๒. มีวินัย หมายถึง การปฏิบัติตามกฎระเบียบหรือบรรทัดฐานของสังคม ทั้งนี้ เพื่อการอยู่
รว่ มกนั อย่างสงบหรือเพือ่ ความสำเร็จของการปฏิบัตภิ ารกิจ

๓. รักษาสุขภาพอนามัย หมายถึง การกระทำท่ีทำให้ตนเองและผู้อ่ืนมีร่างกายและจิตใจ
แขง็ แรงปราศจากโรคภยั

๔. เคารพสิทธิของผู้อ่ืน หมายถึง ไม่ก้าวก่ายในเร่ืองส่วนตัวของผู้อ่ืน ไม่ทำให้ผู้อื่นสูญเสีย
ประโยชนอ์ นั พงึ มพี ึงได้ ไม่เบียดเบียนใหผ้ ู้อืน่ ได้รบั ความเดอื ดร้อนทางด้านร่างกายและจิตใจ

๕. มีน้ำใจช่วยเหลอื เกื้อกลู หมายถึง การช่วยกระทำสิง่ ใด ๆ เท่าท่ตี นเองสามารถทำได้ดว้ ย
ความเต็มใจโดยไมต่ อ้ งรอใหผ้ ู้อน่ื ขอรอ้ ง

๖. มีความสามัคคีรว่ มมือ หมายถึง การร่วมมือด้วยความเต็มใจเพ่ือความพร้อมเพรยี งและ
ประสานสมั พันธ์กันในการทำกิจกรรมทีด่ งี ามของหมคู่ ณะ

๗. รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม หมายถึง การกระทำหรือพฤติกรรมท่ีแสดงออกถึงการ
ทำนุบำรุงรกั ษาทรัพยากรธรรมชาติ สาธารณะสมบัติและปกป้องผลประโยชน์ของส่วนรวม จะเห็นได้ว่า

๒๐ สำนกั นโยบายและยุทธศาสตร์กระทรวงวฒั นธรรม (กรงุ เทพ: กระทรวงวมั นธรรม, ๒๕๕๒), หน้า ๑๑๓.
๒๑ ศูนย์แนะแนวการศึกษาและอาชีพ. เคร่ืองมือแนะแนวพัฒนาบุคลิกภาพชุดทำประโยชน์เพื่อ
สงั คม. (กรุงเทพฯ: กระทรวงศกึ ษาธิการ, ๒๕๓๙), หน้า ๑-๒.

๒๖

ในองค์กรระดับประเทศน้ัน ให้ความสำคัญต่อการปลูกฝังให้เยาวชนมีคุณลักษณะที่ทำตนให้เป็น
ประโยชน์ เพื่อสังคมเพราะการพัฒนาคุณภาพของบุคคลเป็นสิ่งท่ีจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนา
ประเทศชาติ

สรุปได้ว่า จิตสำนึกสาธารณะนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการอยู่ร่วมกันในสังคม เมื่อคน มี
จิตสำนึกสาธารณะที่ดี ย่อมจะทำให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข แต่เมื่อขาดจิตสำนึกสาธารณะ เห็นแก่
ประโยชน์ส่วนตนมากว่าประโยชน์ส่วนรวม ย่อมก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ท้ังปัญหาส่วนตัว ปัญหาแก่
สงั คมสว่ นรวม ธรรมชาตสิ ่ิงแวดล้อม

๒.๒.๓ รูปแบบของจติ สำนึกสาธารณะ
สมพงษ์ สิงหะพล๒๒ ได้กลา่ วถึงจติ สำนึกว่ามอี ยู่ ๓ ด้านหลกั ๆ คือ
๑. จิตสำนึกเกยี่ วกบั ตนเอง (Self Consciousness) เป็นจิตสำนึกของการพัฒนาตนเองให้
สามารถอย่รู ่วมกบั คนในสงั คม เช่น ความขยัน ความรับผดิ ชอบ ความอดทนอดกลั้น เปน็ ตน้
๒. จิตสำนึกเกี่ยวกับผู้อ่ืน (Others Oriented Consciousness) เป็นจิตสำนึกของความ
สมั พันธ์ระหว่างบุคคลในกลมุ่ ชนหรือสังคม เช่น ความเห็นอกเหน็ ใจ ความเอ้อื เฟ้ือเผื่อแผ่ ความสามัคคี
เปน็ ตน้
๓. จติ สำนึกเกี่ยวกบั สังคมหรอื จิตสำนกึ สาธารณะ (Social or Public Consciousness)
เปน็ จิตสำนกึ ท่ีตระหนกั ถึงความสำคญั ในการอย่รู ่วมกัน คำนึงถงึ ผู้อื่นท่ีรว่ มความสัมพันธ์ เชน่ จิตสำนึก
ดา้ นเศรษฐกิจ จติ สำนึกดา้ นการเมือง จติ สำนกึ ด้านส่ิงแวดล้อม จิตสำนกึ ดา้ นสุขภาพ เปน็ ต้น
ชาย โพธิสิตา และคณะ (๒๕๔๓: ๓๙)๒๓ ได้ทำการศึกษาจติ สำนึกของคนไทยต่อสาธารณะ
สมบัติ กรณีศึกษากรงุ เทพมหานคร พบว่า จติ สำนึกต่อสาธารณะสมบตั หิ รอื จิตสาธารณะ แบง่ ไดเ้ ป็น ๒
ระดบั คือ
ระดับท่ี ๑ เป็นจิตสำนึกแบบที่บุคคลไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแต่ไม่ก่อให้เกิดความ
เสยี หายหรอื ไม่ทำลายสาธารณะสมบัติ ซึ่งเป็นการแสดงวา่ บุคคลมีความเข้าใจว่าควรหรือไม่ควรปฏิบัติ
อย่างไรต่อสาธารณะสมบัติ
ระดับท่ี ๒ เป็นระดบั ท่ีบุคคลแสดงออกว่า มีความรับผดิ ชอบท่ีดีต่อสาธารณะสมบัติ ไม่ว่า
จะได้ใชป้ ระโยชน์หรอื ไมไ่ ดใ้ ช้ เชน่ การมสี ว่ นรว่ มในการบำรุงรักษาสาธารณสมบตั ทิ ี่ชำรุดเสียหาย

๒๒ สมพงษ์ สิงหะพล. ต้องสอนให้เกิดจิตสำนึกใหม่. สีมาจารย์, ๑๓ (๒๗): ๑๕-๑๖. (มิถุนายน-ตุลาคม),
๒๕๔๒), หน้า ๑๕-๑๖.

๒๓ ช า ย โ พ ธิ สิ ต า แ ล ะ ค ณ ะ . ก า ร ศึ ก ษ า จิ ต ส ำ นึ ก ข อ งค น ไท ย ต่ อ ส า ธ า ร ณ ะ ส ม บั ติ :
กรณีศึกษากรุงเทพมหานคร. รายงานการวิจัย, (นครปฐม: สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล,
๒๕๔๓), หน้า ๓๙.


Click to View FlipBook Version