๓๒
๓. การเคารพสทิ ธิในการใชข้ องส่วนรวมรว่ มกันของกลุ่มวดั จาก
๓.๑ การไมย่ ดึ ครองของส่วนรวมน้ันมาเปน็ ของตนเอง
๓.๒ การเปดิ โอกาสใหผ้ ูอ้ นื่ ได้สามารถใช้ของสว่ นรวมนนั้
สรุปได้ว่า บุคคลท่ีมีจิตสำนึกสาธารณะนั้น เป็นผู้ที่เข้าใจและเคารพทั้งต่อตนเองและผู้อ่ืน
วิสัยทัศน์ท่ีกว้างไกล คำนึงถึงประโยชน์ของการอยู่ร่วมกัน ย่อมไม่ละทิ้งเรื่องส่วนรวม และไม่ทอดท้ิง
หน้าที่ ความรบั ผิดชอบสว่ นตวั ทำหน้าที่ท้งั ของตนและของผู้อืน่ ไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์ กลา้ คิด กลา้ ออกความ
คิดเหน็ และลงมือกระทำโดยความเสียสละ และมนี ้ำใจตอ่ ผูอ้ ืน่ เสมอ
๒.๒.๕ องคป์ ระกอบของจติ สำนึกสาธารณะ
จิตสำนึกสาธารณะ มีองค์ประกอบท่ีนักการศึกษาได้จำแนกออกเป็นหลายประการ
ดงั ที่ อริสา สุขสม๓๐ ไดเ้ สนอลกั ษณะรว่ มของนักศกึ ษาผู้มีจิตสำนกึ เพื่อ สว่ นรวม ดงั นี้
๑. การมีทัศนคติที่รับรู้ว่าตนเองมีคุณค่าเพียงพอและรู้สึกว่าเป็นหน้าท่ีของตนที่จะต้อง
กระทำหรือไม่กระทำหรืองดเว้นการกระทำ คิดเห็นได้ด้วยตนเองว่าตนเป็นส่วนหน่ึงท่ีมีผลต่อความ
สำเรจ็ หรอื ไม่สำเร็จของส่วนรวม
๒. การมคี วามยินดีท่ไี ดท้ ำในสิ่งทีก่ ่อใหเ้ กดิ ประโยชน์ต่อส่วนรวม เชื่อม่นั ว่า ตนทำได้ ไม่เห็น
ว่า เป็นภาระของตนเองทีม่ ากจนเกินไป
๓. เป็นผ้เู หน็ คุณค่าในส่ิงท่ีตนทำอย่างมีความสุข ไม่รู้สึกเหนด็ เหนื่อยและไม่คิดหวังสิ่งตอบ
แทนใด ๆ ในสิ่งทีต่ นได้ทำ
๔. รู้สกึ ทนไมไ่ ด้ท่ตี นเองมองข้ามผ่านไปโดยไมใ่ หค้ วามรว่ มมือ
๕. เป็นคนมองประโยชน์ส่วนรวมเป็นทีต่ ง้ั
หฤทยั อาจปรุ๓๑ ได้สรุปองค์ประกอบของการมีจิตสำนึกสาธารณะไว้ ๖ ประการ คือ
๑. ความตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขน้ึ ในสังคมปัจจุบันร้ถู ึงสภาพเศรษฐกิจ การเมืองว่าอยู่ใน
ภาวะทีม่ ผี ลกระทบต่อตนเอง ครอบครวั ประเทศชาติ
๒. การวิเคราะหว์ ิพากษ์วิจารณ์ปญั หาท่เี กดิ ข้นึ ในสงั คมเพอื่ แสวงหาหนทางแก้ปญั หาร่วมกนั
๓. ความรักความเออื้ อาทรและความสามคั คเี พ่ือการรวมกลมุ่ ของคนในสังคม
๔. การรับรู้และความสามารถในการผลกั ดนั เพือ่ แกไ้ ขปญั หาทเ่ี กดิ ขึน้ ในสงั คม
๓๐ อริสา สุขสม. การพัฒนาจิตสำนึกสาธารณะเพื่อชุมชน ทุนมนุษย์กับการพัฒนาการสร้างจิตสำนึก
สาธารณะ. สืบค้นเมื่อ๑๙กรกฎาคม ๒๕๕๓, จาก http://www.scribd. com/doc/๕๑๓๖๘๔๑๕.(๒๕๕๒),
หน้า ๗.
๓๑ หฤทัย อาจปรุ. ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ภาวะผู้นำ รูปแบบการดำเนินชีวิตและ
ความสามารถในการเรียนรูด้ ้วยตนเองกับการมีจิตสำนึกสาธารณะของนักศึกษาพยาบาล เขตกรุงเทพมหานคร.
(กรงุ เทพฯ: บณั ฑิตวิทยาลยั จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั , ๒๕๔๔), หน้า ๔๖.
๓๓
๕. การปฏิบตั ใิ นการแกไ้ ขปัญหาสังคม
๖. การมีเครือขา่ ยในการนำกจิ กรรมทางสงั คม
ลัดดาวัลย์ เกษมเนตร และคณะ๓๒ แบ่งองค์ประกอบของจิตสำนึกสาธารณะเป็น ๓
ประการ ดงั นี้
๑. การหลีกเลี่ยงการใช้หรือการกระทำที่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อของส่วนรวมท่ีใช้
ประโยชน์ร่วมกันของกล่มุ
๒. การถือเปน็ หนา้ ที่ที่จะมสี ว่ นร่วมในการดูแลรกั ษาสมบัตขิ องส่วนรวมในวิสัยทตี่ นสามารถ
ทำได้
๓. การเคารพสิทธิในการใชข้ องส่วนรวมที่ใช้ประโยชนร์ ่วมกันของกลุ่มโดยไม่ยึดครองของ
ส่วนรวมนั้น มาเปน็ ของตนเองตลอดจนไม่ปิดก้นั โอกาสของบุคคลอนื่ ทจ่ี ะใชข้ องส่วนรวม
สรุปได้ว่า จิตสำนึกสาธารณะนั้น มีองค์ประกอบ ๒ ประการ คือการเข้าใจตนเอง และการ
เข้าใจผอู้ ่ืน ส่งผลตอ่ พฤตกิ รรมที่แสดงออกสูส่ ังคม ในงานวจิ ัยน้ี ผู้วิจัย ได้แบ่งจิตสาธารณะ ออกเป็น ๔
ดา้ น คือดา้ นความรับผดิ ชอบ ด้านความเสียสละ ด้านความสามคั คแี ละดา้ นการอนุรกั ษ์ส่ิงแวดลอ้ ม ดงั น้ี
๑. ด้านความรับผิดชอบ ปรีชา ชัยนิยม ได้กล่าวว่า๓๓ ความรับผิดชอบ หมายถึง ความ
มุ่งม่ันตั้งใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความผูกพันพากเพียรและความละเอียดรอบคอบตั้งใจที่จะ ทำงานใน
หน้าท่ีที่มีตอ่ ตนเองและสังคมเพื่อให้บรรลสุ ำเร็จตามความมุ่งหมายไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ยอมรบั ผลการ
กระทำในการปฏิบัติหน้าท่ี ดว้ ยความเตม็ ใจ โดยมคี วามรับผดิ ชอบในการกระทำของตนเอง ท้ังพยายาม
ที่จะปรบั ปรงุ การปฏิบัติหน้าทีใ่ หด้ ียิ่งข้นึ ดังนั้น๓๔ กระทรวงศกึ ษาธิการ จึงแบ่งความรับผิดชอบออกเป็น
๒ ประเภท ไดแ้ ก่
๑.๑ ความรบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเองจะเกยี่ วกบั การปฏิบตั ิหน้าที่ของตนเองรวมถงึ การดูแล
รกั ษาสุขภาพของตนเป็นเรื่องท่ีส่งผลโดยตรงตอ่ ตนเอง
๑.๒ ความรบั ผดิ ชอบตอ่ สังคม หรือส่วนรวม เกีย่ วกบั การปฏบิ ัติหนา้ ที่ของตนเองทม่ี ี
ตอ่ สังคม ความรบั ผิดชอบตอ่ สังคมสามารถแบ่งออกได้เปน็ ๕ ขอ้ ย่อย ดงั น้ี
๑.๒.๑ ความรบั ผดิ ชอบตอ่ เพอื่ น/ชน้ั เรียน/บคุ คลท่ีเกีย่ วข้อง
๓๒ ลัดดาวัลย์ เกษมเนตร และคณะ. รูปแบบการพัฒนานักเรียนระดับประถมศึกษาให้มีจิตสาธารณะ:
การศึกษาระยะยาว. ในเอกสารประกอบการประชุมวิชาการเนื่อง ในวันสถาปนา สถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร์
ครบรอบ ๔๙ ปี. (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ, ๒๕๔๗), หน้า ๒-๓.
๓๓ ปรีชา ชัยนิยม. การศึกษาความคิดเห็นของการสอนความรับผิดชอบและความมีระเบียบวินัยโดย
กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงาคณะกรรมการ การศึกษาเอกชน. (กรุงเทพฯ: บัณฑิต
วิทยาลยั มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ, ๒๕๔๒), หน้า ๙.
๓๔ กระทรวงศึกษาธิการ. การสังเคราะห์รูปแบบการพัฒนาศักยภาพของเด็กไทยด้านความรับผิดชอบ
และมวี ินยั ในตนเอง. (กรงุ เทพฯ: กรมวิชาการ. กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๒), หน้า ๒๖.
๓๔
๑.๒.๒ ความรบั ผิดชอบตอ่ ครอบครวั
๑.๒.๓ ความรบั ผิดชอบตอ่ โรงเรยี น
๑.๒.๔ ความรับผิดชอบตอ่ ชุมชน/สังคม
๑.๒.๕ ความรบั ผิดชอบตอ่ ประเทศชาติ
นอกจากนี้ ดวงเดือน พันธุมนาวนิ และเพ็ญแข ประจนปจั จนกึ กล่าวว่า๓๕ ความรับผิดชอบ
เป็นลักษณะของความเป็นพลเมืองนอกจากความมีวินัยทางสังคมความเอ้ือเฟื้อและความเกรงใจ
เน่อื งจากความรับผดิ ชอบนนั้ เป็นลักษณะนิสัยและทศั นคติของบุคคล ซ่ึงเป็นเครื่องมือผลักดันให้บุคคล
ปฏิบัติตามกฎระเบียบเคารพสิทธิผู้อื่น ทำตามหน้าที่ของตนและมีความซื่อสัตย์สุจริต การเป็นคนท่ีมี
ความรับผิดชอบน้ี เป็นคุณลักษณะท่ีจะช่วยให้การอยู่ร่วมกันในสังคมเป็นไปด้วยความราบรื่น สงบสุข
นอกจากนี้ ความรบั ผิดชอบยังเป็นคุณธรรมทีส่ ำคัญในการพัฒนาประเทศอกี ด้วยและถ้าบุคคลในสังคมมี
ความรับผดิ ชอบจะส่งผลคอื
๑. คนทีม่ คี วามรบั ผดิ ชอบ ย่อมทำงานทกุ อย่างสำเร็จตามเปา้ หมายทันเวลา
๒. คนที่มีความรับผิดชอบย่อมเป็นที่นับถอื ได้รับการยกย่องสรรเสริญและเป็นคุณประโยชน์
ตอ่ ตนเองและสังคม
๓. ความรับผิดชอบเป็นส่ิงท่ีเก้ือหนุนให้บุคคลปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับกฎจริยธรรมและ
หลกั เกณฑข์ องสังคมโดยไมต่ อ้ งมีการบงั คับจากผู้อ่นื
๔. ทำใหเ้ กดิ ความก้าวหน้าสงบสขุ เรียบรอ้ ยในสังคม
๕. ไม่เปน็ ตน้ เหตแุ หง่ ความเส่ือมและเสียหายของสว่ นรวม
อนพุ นธ์ คำปัน๓๖ ได้ศกึ ษาพฤติกรรมวัฒนธรรมทางสงั คมของนิสติ มหาวิทยาลยั ศรนี คนินท
รวิโรฒ พบว่า นิสิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มีพฤติกรรมวัฒนธรรมทางสงั คม โดยรวมอยู่ในระดับ
ปานกลาง เมอื่ พิจารณาในแตล่ ะดา้ น พบว่า พฤตกิ รรมวัฒนธรรมทางสังคมในดา้ นความ รับผิดชอบ อยู่
ในระดับมาก ส่วนด้านความเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ ด้านพฤติกรรมทางสังคมด้านความมี มารยาทในการ
พูด และดา้ นความมรี ะเบียบวนิ ยั อยูใ่ นระดับปานกลาง
อรพิ นทร์ สันติชัยอนันต์๓๗ ได้ศึกษาคุณ ธรรมและจริยธรรมของนิสิตนักศึกษ า
สถาบันอุดมศึกษาในเขตกรงุ เทพมหานครและปริมณฑล พบว่า นิสิตนักศึกษาสถาบนั อุดมศึกษาในเขต
กรงุ เทพมหานครและปริมณฑล มีคณุ ธรรมและจริยธรรม โดยรวม อย่ใู นระดับสูง เม่ือพิจารณาเป็นราย
๓๕ ดวงเดือน พันธุมนาวิน และเพ็ญแข ประจนปัจจนึก.รายงานการวิจัยเร่ืองจริยธรรมของเยาวชนไทย.
(กรุงเทพฯ: สถาบนั วิจัยพฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ, ๒๕๒๐), หน้า ๒๒.
๓๖ อนุพนธ์ คำปัน. การศึกษาพฤติกรรมวัฒนธรรมทางสังคมของนิสิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
(กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ, ๒๕๔๙), หนา้ ๗๗.
๓๗ อรพินทร์ สันติชัยอนันต์การศึกษาคุณธรรมและจริยธรรมของนิสิตนักศึกษา สถาบันอุดมศึกษาใน
เขตกรงุ เทพมหานครและปรมิ ณฑล. (กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ, ๒๕๔๙).
๓๕
ด้าน พบว่า นิสิตนกั ศกึ ษามคี ณุ ธรรมและจรยิ ธรรม ด้านความมวี ินัยและความ รับผิดชอบ ความซ่อื สตั ย์
สจุ ริต ความอดทนอดกล้ัน ความประหยัดและความกตัญญูกตเวที อยู่ใน ระดับสูง และมีคุณธรรมและ
จริยธรรม ดา้ นความใฝร่ ้อู ยใู่ นระดับปานกลาง
๒. ด้านความเสียสละ บุญเลิศ คชกุล๓๘ กล่าวว่า เร่ืองของการเสียสละเป็นเร่ืองการ
เสียสละสิ่งที่ตนรัก หวงแหนและมีกรรมสิทธิ์ไปเพื่อหวังท่ีจะรักษาสิ่งท่ีตนรักและหวงแหนเทิดทูนย่ิง
กวา่ การเสยี สละเบื้องต้น ในทางศาสนามลี กั ษณะใหญ่ ๆ ๓ ประการ คือ
๒.๑ การเสียสละอารมณ์อารมณ์ของคนเรามี ๒ ประการใหญ่ๆ คืออารมณ์ดีกับ
อารมณ์เสีย (ชัว่ )ในอารมณ์ ๒ ประการนี้ พระท่านใหล้ ะอารมณเ์ สียเพราะอารมณ์เสยี น้ี เปน็ อารมณ์ท่ีมี
ความโลภ ความโกรธ และความหลงแฝงอยู่ คนใดถา้ มคี วามโลภ โกรธ และหลงเกาะกินใจอยู่ก็จะมีแต่
ความทกุ ข์ ความเดอื ดร้อน
๒.๒ การเสยี สละวตั ถคุ ือการเสียสละส่ิงของเพื่อสร้างไมตรีจิตมิตรภาพต่อเพอ่ื นมนษุ ย์
ด้วยกัน เพราะการให้เป็นทางนำมาซึง่ ไมตรีจิต มิตรภาพ ท่านผู้รู้กล่าวไว้ว่า“จะปรารถนาส่ิงใดในโลกีย์
เอาไมตรี แลกได้ด่ังใจปอง” คนเราจะอยู่โดดเดี่ยวตามลำพังไม่ได้ ต้องพึ่งพาอาศัยกัน สงเคราะห์
ช่วยเหลอื กัน คนเราจงึ จะมคี วามเป็นอยู่ท่ีมคี วามสุข
๒.๓ การเสียสละชวี ติ การเสียสละชวี ิตเปน็ สิ่งทส่ี ำคัญยง่ิ ในชวี ติ ของมนษุ ย์เพราะมนุษย์
ทกุ คน ตา่ งก็กลวั ตายดว้ ยกันท้งั นน้ั ผรู้ ไู้ ดก้ ล่าวเอาไวว้ ่า“ภยั ท่นี า่ กลัว (ของมนุษย์) คอื ความตายทางแห่ง
ความฉิบหายคอื อบายมขุ ”แตม่ นษุ ย์เมือ่ ถึงคราวจะต้องเสยี สละชวี ติ กต็ ้องยอมเสยี สละเพือ่ แลกกับสิ่งท่ี
ดีกว่า
สาโรจน์ กาลศิริศิลป์๓๙ กล่าวว่า คำว่า ปริจจาคะ แปลว่า สละรอบ ซึ่งหมายถึง การให้
การเอือ้ เฟื้อเผ่อื แผด่ ้วยวัตถุส่ิงของโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน กบั คำว่า จาคะ แปลว่า การเสยี สละ คือสละ
ความไม่ดีงามออกไปจากใจของตนเอง สละประโยชน์สุขส่วนตัว เพ่ือประโยชน์สุขของสังคมส่วนรวม
จำแนกออกเป็น ๔ ประการ คอื
๑. การให้โดยไม่หวังผลตอบแทน เชน่ รัฐบาลสร้างถนน สร้างสะพานและสถานศึกษาเป็น
สาธารณประโยชนแ์ ก่สงั คมและประเทศชาติ
๒. การมใี จกวา้ งยอมรับฟงั ความคิดเห็น การวิพากษ์วจิ ารณ์ของผู้อนื่ ได้
๓. การสละความสขุ สบายสว่ นตัว เพือ่ ประโยชนส์ ุขของบา้ นเมือง
๔. การสละส่ิงทไ่ี มเ่ ปน็ ประโยชน์ เพอ่ื ประโยชนท์ ด่ี กี วา่ มากกว่า
๓๘ บุญเลิศ คชกุล. สุขใจที่อ่าน สาระธรรมเพื่อชีวิต เรื่องการเสียสละ. สืบค้นเมื่อ ๑๕ กรกฎาคม
๒๕๕๙,จาก http://www.rtachaplain.com/chaplain ๒/book_happyness/๐๒๙.pdf, ๒๕๕๓.
๓๙ สาโรจน์ กาลศิริศลิ ป์. ทศพิธราชธรรม ขอ้ ที่ ๓ ปริจจาคะ ๑๑ ม.ิ ย. ๒๐๑๐. สืบค้นเมอ่ื ๑๕ กรกฎาคม
๒๕๕๙, จาก http://board.palungjit.com. (๒๕๕๓: ออนไลน์).
๓๖
กมลชนก ภริ มยศ์ ิริพรรณ๔๐ สรปุ พฤตกิ รรมทแี่ สดงถึงความเสยี สละได้ ดงั นี้
๑.การให้ทางกาย เชน่
๑.๑ ช่วยเหลอื ผู้อืน่ ทำธรุ การงานทไ่ี มม่ โี ทษ
๑.๒ ชว่ ยเหลืองานสาธารณประโยชน์
๒.การให้ดว้ ยวาจา เชน่
๒.๑ ช่วยเหลอื ให้คำแนะนำท้ังในทางโลกและทางธรรม
๒.๒ ช่วยเจรจาเอาเป็นธรุ ะให้สำเร็จประโยชน์
๓.การใหท้ างกำลังสติปญั ญา เช่น
๓.๑ ช่วยแสดงความเหน็ อย่างตรงไปตรงมา
๓.๒ ชว่ ยแก้ปัญหาเดอื ดรอ้ นแก่คนที่ไมท่ ำผิด
๓.๓ ช่วยคิดหาแนวทางทีถ่ กู ที่ชอบ
๓.๔ ชว่ ยเพมิ่ พูนความรใู้ ห้แกผ่ ู้อ่นื ตามกำลงั สติปัญญา
๔.การให้ด้วยกำลงั ทรัพย์ เชน่
๔.๑ แบ่งปันเครอ่ื งอปุ โภคบริโภคให้แก่ผูข้ ัดสนที่สมควรให้
๔.๒ แบ่งปันเงินทองใหแ้ ก่ผ้ขู ัดสนท่ีสมควรให้
๔.๓ สละทรัพยเ์ พ่ือสาธารณกศุ ล
๕.การใหท้ างใจ เช่น
๕.๑ ยนิ ดีเมอ่ื เหน็ ผู้อนื่ มีความสขุ
๕.๒ ไมอ่ าฆาตจองเวร
๕.๓ ใหอ้ ภยั ในความผิดของผูอ้ นื่ ท่ีสำนกึ ผดิ
๕.๔ ไม่สมน้ำหนา้ ผ้อู น่ื เมอื่ เพลยี่ งพล้ำ
๕.๕ ไม่โลภอยากไดข้ องของผอู้ ืน่ มาเปน็ ของตน
นงนุช เทศทอง๔๑ ได้ศึกษาคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษา ในสังกัด
วิทยาลัยเทคนิค กรมอาชีวศึกษา เขตการศึกษา ๗ พบว่า การปฏิบัติคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียน
นักศึกษาอาชีวศึกษา มีคุณธรรม จริยธรรม ในภาพรวม ไม่แตกต่างกัน เม่ือพิจารณา เป็นรายด้าน
พบว่า ด้านความเสียสละ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .๐๕ ส่วนด้านอื่น ๆ
ไม่แตกตา่ งกัน
๔๐ กมลชนก ภิรมยศ์ ริ พิ รรณ. คู่มอื พฒั นาความเสยี สละของนักเรียนช่วงช้ันที่ ๑. (กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั
ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ, ๒๕๔๙), หน้า ๓๓.
๔๑ นงนุช เทศทอง. คุณธรรม จริยธรรมของนักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษา ในสังกัดวิทยาลัยเทคนิค
กรมอาชวี ศึกษา เขตการศึกษา ๗. (พษิ ณุโลก: มหาวิทยาลยั ราชภัฏพิบูลสงคราม, ๒๕๔๗), หน้า บทคดั ยอ่ .
๓๗
พัชราพร ศรีจันทรอ์ ินทร์๔๒ ได้ศกึ ษาปัจจยั ที่ส่งผลตอ่ ความเสยี สละของครูท่ี สอนนักเรยี นซ่ึงมี
ความบกพร่องทางการได้ยินของโรงเรียนโสตศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน กรณีศึกษา:
จังหวัดข่อนแก่นและจังหวัดอุดรธานี พบว่า ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความเสียสละ มี ๑
ปัจจัย ได้แก่ สัมพันธภาพระหว่างครูกับนักเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑ ปัจจัยที่มี
ความสมั พันธ์ทางลบกบั ความเสียสละ มี ๓ ปัจจัย ได้แก่ อายุ สถานภาพสมรส: คู่ และสุขภาพจติ อย่าง
มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ปัจจัยท่ีไม่มีความสัมพันธ์กับความเสียสละ มี ๙ ปัจจัยมี ได้แก่ เพศ
ชาย เพศหญิง สถานภาพสมรส: โสด สถานภาพสมรส : หม้าย รายได้ บคุ ลกิ ภาพ ลักษณะทางกายภาพ
ทางการเรยี น สมั พนั ธภาพระหว่างครูกบั ผบู้ ังคับบญั ชา และสมั พนั ธภาพระหว่างครกู บั เพ่ือนร่วมงาน
๓. ด้านความสามคั คี พระพุทธทาสภิกขุ๔๓ ไดก้ ลา่ วว่า ผลของความสามัคคจี ะทำใหส้ งิ่ ที่
หนกั กลายเปน็ ของเบา จะทำให้สงิ่ ที่ยากกลายเป็นของงา่ ย จะกระทำส่ิงทีช่ า้ ทำได้ช้า เปน็ ของเรว็ หรอื
ทำไดเ้ รว็ ส่วน ประยทุ ธ สุวรรณโกตา๔๔ ไดแ้ บ่งความสามคั คีออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑. ความสามัคคีทางกาย ได้แก่ การทำงานร่วมกนั อยรู่ ว่ มกันมคี วามพร้อมเพรยี งกลมเกลยี ว
๒. ความสามัคคีทางใจ ได้แก่ การมีจิตใจต่อกันหวังดีต่อกัน มีความคิดเห็นร่วมกัน
นอกจากนี้ พระมหาอดุ ม สารเมธี๔๕ ไดแ้ สดงลักษณะท่ีสำคัญของความสามคั คไี ว้ ๓ ประการ คือ
๒.๑ มีลักษณะสงเคราะห์กัน รวมเข้าด้วยกัน อุดหนุนกัน ส่งเสรมิ สนับสนุน มีไมตรีจิต
ต่อกนั
๒.๒ มีลักษณะไม่วิวาทกัน ไม่บาดหมางกัน ไมโ่ ต้แย้งกนั ไม่ขดั แย้งกัน ไม่แกง่ แย่งกนั ไม่
แข่งดีกัน อันมีสาเหตุมาจากความคิดเห็นไม่ลงรอยกัน เพราะต่างมีความถือดีถือเด่น แบบไม่มีใครยอม
ใคร และไมย่ อมรับฟงั ความคดิ เหน็ ของฝ่ายตรงข้าม
๒.๓ มีลักษณะเปน็ เอกภาพ มีความเป็นหน่ึง มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และมีความ
รักใคร่นับถือและหวังดีต่อกัน รวมใจเป็นหนึ่ง แม้จะมีความแตกต่างกันทางหน้าท่ีการงาน แต่ก็สามารถ
ร่วมทางกนั ได้
๔๒ พัชราพร ศรีจันทร์อินทร์. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเสียสละของครูที่สอนนักเรียนซ่ึงมีความ-บกพร่อง
ทางการได้ยินของโรงเรียนโสตศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน กรณีศึกษา:จังหวัดข่อนแกน่ และจังหวัด
อุดรธานี. (กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ, ๒๕๔๙), หนา้ ๕๒.
๔๓ พระพุทธทาสภิกขุ . พระพุทธศาสนากับคนรุ่นใหม่และสังคมไทยในอนาคต. โครงการหนังสือ
พทุ ธศาสนาสำหรับคนหน่มุ สาว. (กรงุ เทพฯ: ประพันธ์สาสน์ , ๒๕๓๕), หนา้ ๑๖.
๔๔ ประยุทธ สุวรรณโกตาความสามัคคี. วารสารพัฒนาชุมชน. ๒๘(๕) : ๓๕-๓๖, (๒๕๓๐ พฤษภาคม).
ปรชี า ชัยนิยม. การศึกษาความคิดเหน็ ของการสอนความรบั ผิดชอบและความมรี ะเบยี บวนิ ัยโดยกระบวนการกลุ่ม
สมั พันธ์ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงาคณะกรรมการการศึกษาเอกชน. (กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ.
๒๕๓๐), หนา้ ๓๕-๓๖.
๔๕ พระมหาอดุ ม สารเมธ.ี ความสามัคคีน้ัน สำคญั นกั . (กรุงเทพฯ: ระฆังทอง, ๒๕๕๐). หน้า ๑๒-๑๓.
๓๘
หนว่ ยศึกษานเิ ทศก์ กรมการฝึกหดั ครู๔๖ กล่าวว่า พฤติกรรมทแ่ี สดงถงึ ความสามคั คี ได้แก่
๑. ปรบั ตวั เองใหเ้ ข้ากบั ผ้อู ่ืนได้
๒. รับผดิ ชอบต่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตวั
๓. เข้ามีสว่ นรว่ มอย่างแข็งขนั ในกิจการของสว่ นรวม
๔. เปน็ ผปู้ ระสานความสามัคคีในหมู่คณะ
๕. ไม่แบง่ แยกเป็นพวกเขาพวกเรา
๖. รกั หมคู่ ณะ มีใจหวงั ดีและช่วยเหลือเกอื้ กูลในทางไมผ่ ดิ ศลี ธรรม
๗. มองคนอื่นในแง่ดเี สมอ
กิตติศักดิ์ กอร้อย๔๗ ได้ศึกษาพฤติกรรมการทำงานเป็นทีมของนิสิตปริญญาตรีภาคปกติ
มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ พบว่า นิสติ ปรญิ ญาตรี ภาคปกติ มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ ในดา้ น
บทบาทในการทำงาน ด้านกระบวนการการทำงานเปน็ ทีม และด้านความสมั พันธ์ระหว่างสมาชิกทีม อยู่
ในระดับมาก เมื่อจำแนกตามเพศ และระดับชั้นปี พบว่า มีพฤติกรรมการทำงานเป็นทีมแตกต่างกัน
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๕ แต่เม่ือจำแนกตามคณะวิชาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และ
สถานภาพการพักอาศยั ไมพ่ บความแตกต่างกนั
หวัน วงศ์แก่นท้าว๔๘ ได้ศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาต่อการเข้าร่วม กิจกรรม นักศึกษา
ของมหาวทิ ยาลัยเกษมบณั ฑิต พบวา่ นักศกึ ษามหาวิทยาลยั เกษมบัณฑิต เห็นดว้ ย การเขา้ ร่วมกจิ กรรม
นักศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า นักศึกษาเห็นด้วยกับการเข้าร่วม
กิจกรรมนกั ศึกษา ด้านศิลปวฒั นธรรม ในระดับมากทีส่ ดุ สว่ นด้านอน่ื ๆ นักศกึ ษาเหน็ ดว้ ยในระดับมาก
๔. ด้านการอนรุ กั ษส์ ิ่งแวดลอ้ ม นิวตั ิ เรอื งพานชิ กลา่ วถึง๔๙ ความหมายของการอนรุ ักษ์
ส่งิ แวดลอ้ ม หมายถึง การรู้จักใช้ทรัพยากรอย่างชาญฉลาดให้เป็นประโยชน์ต่อมหาชนให้มากที่สดุ และ
ใช้ได้เปน็ เวลานานที่สุด ทั้งนี้ ต้องให้สญู เสียทรัพยากรโดยไรป้ ระโยชน์ให้น้อยท่ีสุดและจะตอ้ งกระจาย
การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรโดยทั่วถึงกันด้วย ฉะนั้น การอนุรักษ์ จึงไม่ได้หมายถึงการเก็บรักษา
ทรพั ยากรไวเ้ ฉย ๆ ตอ้ งนำทรัพยากรมาใชป้ ระโยชนใ์ ห้ถูกต้องตามกาลเทศะอกี ด้วย
๔๖ หนว่ ยศึกษานิเทศก์ กรมการฝึกหดั ครู (หลกั การและทฤษฎีการปลูกฝงั สร้างเสมจริยธรรม. (กรุงเทพฯ:
หน่วยศกึ ษานเิ ทศกก์ รมสามัญศึกษา กระทรวงศกึ ษาธิการ, ๒๕๓๕), หนา้ ๒๗๗-๒๗๘.
๔๗ กิตติศักดิ์ กอร้อย. พฤติกรรมการทำงานเป็นทีมของนิสิตปริญญาตรี ภาคปกติ มหาวิทยาลัย
ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ. (กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ, ๒๕๕๐), หน้า ๗๒.
๔๘ หวนั วงศแ์ ก่นท้าว. ความคดิ เห็นของนักศกึ ษาตอ่ การเข้าร่วมกิจกรรมนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเกษม
บัณฑิต. (กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ๒๕๔๘). หนา้ ๗๖
๔๙ นิวัติ เรืองพานิช. การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. (พิมพ์คร้ังท่ี ๒), (กรุงเทพฯ : รั้ว
เขยี ว, ๒๕๓๗), หนา้ ๒๘.
๓๙
สว่ น ราตรี ภารา๕๐ ได้แบง่ สง่ิ แวดลอ้ มออกเปน็ ๒ ประเภท ดังน้ี
๑. ส่ิงแวดล้อมทเ่ี กิดขนึ้ เองตามธรรมชาติ อาจแบ่งออกไดเ้ ปน็ ๒ ประเภท คอื
๑.๑ สง่ิ มีชวี ิตเช่นพชื หรือป่าไม้สัตวแ์ ละมนษุ ย์เป็นตน้
๑.๒ สิ่งที่ไม่มชี ีวติ เชน่ ดินน้ำอากาศ ควนั เมฆ เสียงเป็นตน้
๒. สิ่งแวดล้อมทม่ี นุษย์สร้างขึน้ เช่นบ้าถนน สะพาน โตะ๊ เก้าอ้ีเสยี งอารมณ์วัฒนธรรม
ประเพณีศาสนา การศึกษาฯลฯ ซึง่ สิ่งแวดล้อมที่มนุษยส์ ร้างข้ึนอาจแยกเปน็ ๒ ประเภท คือ
๒.๑ สง่ิ แวดลอ้ มทางกายภาพเป็นสิ่งมนษุ ย์สร้างขนึ้ และสามารถมองเห็นไดเ้ ช่นถนน
บ้านเรอื นเมืองสะพาน รถ เครอื่ งบนิ เรอื วดั ส่งิ ก่อสรา้ งหรอื สถาปตั ยกรรมเป็นตน้
๒.๒ สง่ิ แวดล้อมทางสังคมอาจสร้างขนึ้ โดยต้งั ใจและไมต่ ้ังใจหรือสรา้ งเพ่ือความเปน็
ระเบยี บเรียบร้อยของการอยู่รว่ มกันเช่นวฒั นธรรมประเพณีศาสนากฎหมาย ระเบยี บขอ้ บงั คับ
กฎเกณฑร์ วมไปถึงการทะเลาะวิวาทการสง่ เสยี งด่าทอพฤติกรรมของมนษุ ย์เปน็ ตน้
นอกจากนี้ เกษม จนั ทร์แกว้ ๕๑ ได้เสนอวธิ ีการอนรุ ักษส์ ิง่ แวดลอ้ มไว้ ๘ วิธีการคอื
๑. การใช้ (แบบยงั่ ยืน) หมายถึง การใชห้ ลายรปู แบบ เช่น บรโิ ภคโดยตรง เห็น ได้ยิน ได้ฟัง
ได้สมั ผัส การให้ความสะดวก และความปลอดภัย รวมไปถงึ พลังงาน เหล่านี้ตอ้ งเป็นการใช้แบบยั่งยนื
๒. การเก็บกัก หมายถึง การรวบรวมและเก็บกักทรัพยากรท่ีมีแนวโน้มท่ีจะขาดแคลน
ในบางเวลา หรือคาดว่าจะเกิดวิกฤตการณ์เกิดข้ึน บางครั้งอาจเก็บกกั เอาไว้เพื่อการนำไปใช้ประโยชน์
ในประเทศที่สามารถควบคุมได้
๓. การรักษา/ซ่อมแซม หมายถงึ การดำเนินการใด ๆ สามารถให้ฟ้ืนคืนสภาพเดมิ ได้อาจใช้
เทคโนโลยีทีม่ นษุ ย์สรา้ งขน้ึ ช่วยใหด้ เี หมือนเดิม จนสามารถนำมาใช้ได้
๔. การฟ้ืนฟู หมายถึง การดำเนินการใดๆ ต่อทรัพยากรหรือส่ิงแวดล้อมท่ีเส่ือมโทรมให้ส่ิง
เหล่าน้ันเป็นปกติ สามารถเอื้อประโยชน์ในการนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป ซ่ึงการฟ้ืนฟูต้องใช้เวลาและ
เทคโนโลยีเข้าช่วยเสมอ
๕. การพัฒนา หมายถึง การทำส่งิ ทเ่ี ป็นอย่ใู ห้ดีข้นึ การท่ีต้องพัฒนาเพราะตอ้ งการเรง่ เพ่ิม
ประสทิ ธภิ าพให้เกดิ ผลท่ีดขี ึ้น การพัฒนาทถ่ี กู น้นั ต้องใชท้ ้ังความรูเ้ ทคโนโลยี และการวาง
๖. การป้องกัน หมายถึง การป้องกันสิ่งที่เกิดข้ึนมิให้ลุกลามมากกว่านี้ รวมไปถึงการป้อง
สิง่ ท่ีไม่เคยเกดิ ข้นึ ด้วย การปอ้ งกันตอ้ งใช้เทคโนโลยีและการวางแผนเช่นเดยี วกับวิธกี ารอนรุ ักษ์
๗. การสงวน หมายถึง การเก็บไว้โดยไม่ให้แตะต้องหรือนำไปใช้ด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม
การสงวน อาจกำหนดเวลาที่เกบ็ ไวโ้ ดยไม่ให้มกี ารแตะต้องตามเวลาท่ีกำหนดไวก้ ไ็ ด้
๕๐ ราตรี ภารา. ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม. (กรุงเทพฯ: ทิพยวสิ ทุ ธ์ิ, ๒๕๓๘), หน้า ๑๑-๑๒.
๕๑ เกษม จันทร์แก้ว วิทยาศาสตร์ส่ิงแวดล้อม. ฉบับปรับปรุงแก้ไข ครั้งท่ี ๔. (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์, ๒๕๔๐), หนา้ ๑๑๕.
๔๐
๘. การแบ่งเขต หมายถึง ทำการแบ่งเขตหรือแบ่งกลุ่ม/ประเภท ตามสมบัติของทรัพยากร
สาเหตุที่สำคัญเพราะวิธีการให้ความรู้ หรือกฎระเบียบท่ีนำมาใช้น้ันไม่ได้ผล หรือต้องการแบบชัดเจน
เพือ่ ใหก้ ารอนรุ กั ษไ์ ด้ผล เช่น อุทยานแห่งชาติ เขตรกั ษาพนั ธ์ุสัตวป์ ่า เมอื งควบคุมมลพิษ
สุธีตา หงษาชาติ๕๒ ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหวา่ งสภาพแวดล้อมในสถาบันบุคลิกภาพและ
พฤติกรรมการรับข่าวสารกับความรู้ และการตอบสนองต่อภาวะวิกฤตทางสังคมและส่ิงแวดล้อมของ
นักศึกษาพยาบาล พบว่า ความรู้เก่ียวกับภาวะวิกฤตทางสังคมและสิ่งแวดล้อมของนักศึกษาพยาบาล
อยู่ในระดับปานกลางการตอบสนองต่อภาวะวิกฤตทางสังคมและส่ิงแวดล้อมของนักศึกษาพยาบาล
อยู่ในระดับมากเพ่ือจำแนกถึงความสัมพันธ์ พบว่า สภาพแวดล้อมในสถาบันมีความสัมพันธ์กับ
การตอบสนองต่อภาวะวิกฤตทางสงั คมและสิ่งแวดลอ้ มของนักศึกษาพยาบาลอย่างมนี ัยสำคญั ทางสถิติ
ที่ระดับ .๐๕ และสภาพแวดล้อมในสถาบันมีความสัมพันธ์ระหว่างความรู้และการตอบสนองต่อภาวะ
วิกฤตทางสังคมและสิ่งแวดล้อมกบั บุคลิกภาพของนกั ศึกษาพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดบั .
๐๕ พฤตกิ รรมการรับขา่ วสารมคี วามสัมพันธก์ ับความรู้และการตอบสนองต่อภาวะวิกฤตทางสงั คมและ
สงิ่ แวดลอ้ มของนักศกึ ษาพยาบาลอยา่ งมีนยั สำคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .๐๕
ศุภรัช งามรัศมีวงศ์๕๓ ได้ศึกษาเจตคติและพฤติกรรมการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อมของนักเรียน
ช่วงช้ันที่ ๓ โรงเรียนในเครือมูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร พบว่า
นักเรียนที่ระดับชั้นต่างกันมีเจตคติและพฤติกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้านการใช้ การบำรุงรักษา
และการปรบั ปรงุ สิง่ ตา่ ง ๆ ทอ่ี ยู่รอบตัวไมแ่ ตกตา่ งกันอย่างมนี ัยสำคัญทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .๐๕
๒.๒.๖ ปัจจยั ท่ีมีอทิ ธิพลต่อจติ สำนึกสาธารณะ
จิตสำนึกสาธารณะนั้น จัดว่าเป็นสิ่งสะท้อนการพัฒนาทางจิตใจและเป็นการแสดงออกถึง
การมเี จตนาท่ีดี ซ่ึงมุ่งถึงการกระทำเพ่ือผู้อื่นโดยมไิ ด้เรียกร้อง นับได้ว่าเป็นการให้และฝึกฝน จติ ที่รู้จัก
การเสียสละซง่ึ เป็นท่ียอมรบั และใหก้ ารส่งเสริมทุกศาสนา ในทางพระพุทธศาสนา จัดวา่ เป็นการชว่ ย เหลือ
ส่วนรวมและเอ้อื อาทรต่อสังคมรอบข้าง ดว้ ยแรงกายและแรงใจ ก่อเกิดความสขุ ความดีงาม และความ
งอกงามทางจิตใจ
๕๒ สุธีตา หงษาชาติ. ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมในสถาบัน บุคลิกภาพและพฤติกรรมการรับ
ข่าวสารกับความรู้ และการตอบสนองต่อภาวะวกิ ฤตทางสังคมและสิ่งแวดล้อมของนกั ศึกษาพยาบาล. สืบคน้ เมื่อ
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๙, จาก http://cuir.car. chula.ac.th/handle/๑๒๓๔๕๖๗๘๙/๗๖๑๘. (๒๕๓๙).
๕๓ ศุภรัช งามรัศมีวงศ์. การศึกษาเจตคติและพฤตกิ รรมการอนุรักษส์ ่ิงแวดล้อมของนักเรยี นชว่ งช้นั ท่ี
๓ โรงเรียนในเครือมูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลแหง่ ประเทศไทย. (กรุงเทพมหานคร. มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ,
๒๕๕๐), หน้า ๗๐.
๔๑
ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม และสังคม สัญจร๕๔ กล่าวว่า จิตสำนึกสาธารณะหรือ จิตสำนึก
ทางสงั คมอยภู่ ายใตอ้ ทิ ธิพลของปัจจยั แวดลอ้ มท้งั ภายในและภายนอก ดงั น้ี
๑. ปัจจัยภายนอก เป็นปัจจัยท่ีเกี่ยวกับภาวะทางสัมพันธภาพของมนุษย์ ภาวะทางสังคม
เป็นภาวะทลี่ ึกซ้งึ ท่มี ีผลตอ่ จติ สำนกึ ด้านต่าง ๆ ของมนษุ ย์ เปน็ ภาวะทไ่ี ด้อบรมกลอ่ มเกลาและสะสม อยู่
ในส่วนของการรับรู้ทีละเลก็ ทลี ะน้อย ทำให้เกดิ สำนึกทม่ี ีรูปแบบหลากหลาย ภาวะแวดล้อมทางสงั คมนี้
เร่มิ ตงั้ แต่พอ่ แม่ พน่ี อ้ ง ญาติ เพอื่ นครู ส่ือมวลชน บุคคลทว่ั ไปตลอดจนระดับองคก์ รวฒั นธรรมประเพณี
ความเชอื่ กฎหมาย ศาสนา รวมท้ังภาวะแวดล้อมด้านสอ่ื สารมวลชน และสว่ นท่ี
กำกับสำนึกของบุคคล คือการได้สัมผัสจากการใช้ชีวิตที่มีพลังตอ่ การเกิดสำนึก อาทิ การไปโรงเรียนไป
ทำงาน ดูละคร ฟังผคู้ นสนทนากนั รบั ร้เู หตกุ ารณบ์ ้านเมอื ง
๒. ปัจจัยภายใน สำนึกท่ีเกิดจากปัจจัยภายใน หมายถึง การคิดวิเคราะห์ของแต่ละบุคคล
ในการพิจารณาตัดสินคุณค่าและความดีงาม ซ่ึงส่งผลต่อพฤติกรรมและการประพฤติปฏิบัติโดยเฉพาะ
การปฏิบัติทางจิตใจ เพื่อขัดเกลาตนเองให้เป็นไปทางใดทางหนึ่ง โดยเกิดจากการรับรู้จากการเรียนรู้
การมองเห็น การคิดแลว้ นำมาพิจารณาเพอื่ ตดั สนิ ใจว่า ตอ้ งการสร้างสำนึกแบบใดก็จะมีการฝึกฝนและ
สร้างสมสำนึกเหล่านน้ั
การเกิดจิตสำนึก ไม่สามารถสรุปแยกแยะได้ว่า เกิดจากปัจจัยภายในหรือภายนอกเพียง
อย่างใดอย่างหน่ึง เพราะทุกสรรพสิ่งมีความสัมพันธเ์ กี่ยวข้องกัน จิตสำนึกท่ีมาจากภายนอก เป็นการ
เข้ามาโดยธรรมชาติ กระทบตอ่ ความรู้สึกของบคุ คลแล้วกลายเปน็ จิตสำนกึ โดยธรรมชาตแิ ละมกั ไม่รู้ตัว
แต่จิตสำนกึ ท่ีเกิดจากปัจจัยภายใน เป็นความจงใจเลอื กสรรบุคคลระลึกรตู้ นเองเป็นอย่างดี เปน็ สำนึกท่ี
สรา้ งข้นึ เองระหวา่ งปัจจยั ภายในและภายนอก เปน็ ปฏิสมั พันธ์ที่มคี วามต่อเน่ืองกนั
กิ ต ติ พ งษ์ แด งเสริ ม สิ ริ ๕๕ ได้ ศึ ก ษ าจิ ต ส ำนึ ก สาธ ารณ ะ และ ตั วแ บ บ ส ร้างจิ ต
สำนึกสาธารณะระดับเยาวชนในสถาบันอดุ มศึกษา พบว่า ปจั จยั ที่มีอิทธิพลต่อจิตสำนึกสาธารณะ มี ๓
ประการ คือ
๑. ส่ือเร้าปัจเจกบุคคล โลกยุคปัจจุบัน แม้วา่ จะมีสือ่ อยู่หลายชอ่ งทาง แต่คณุ ภาพสื่อที เร้า
การสร้างจิตสำนึกสาธารณะน้ันมีอยู่ไม่มาก เมื่อเปรยี บเทียบกับสื่อท่ีเร้าความต้องการอยาก รวย หล่อ
เท่ ดัง เก่ง สบาย หรูหรา แล้วไม่สามารถเทียบกันได้ ทำให้เกิดการเลียนแบบค่านิยมที่เร้า ความสุข
เฉพาะตน
๕๔ ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม และสังคม สัญจร. สำนกึ ไทยที่พึงปรารถนา. (กรุงเทพฯ: เดือนตุลาคม, ๒๕๔๓),
หนา้ ๑๓.
๕๕ กิตติพงษ์ แดงเสริมสิริ. จิตสำนึกสาธารณะและตัวแบบสร้างจิตสำนึกสาธารณะระดับเยาวชนใน
สถาบันอดุ มศึกษา. (กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ, ๒๕๕๒), หน้า ๓๒.
๔๒
๒. การรับรู้จากสังคมหรือองค์กรแวดล้อม การรับรู้ส่ือจากทีวี โฆษนา การเรียนรู้จาก
สถาบันการศึกษา สื่ออินเทอร์เน็ต สื่อหนังสือหรือนิตยสารหลากหลาย การสัมผัสจากแฟชั่นในศูนย์
การค้า การรับรู้จากสิ่งของสีสันตามร้านค้า ตลอดไปจนถึงการเรียนรู้ค่านิยมการใช้ชีวิตของบุคคล
รอบขา้ ง
๓. ภูมิต้านทานในตวั เยาวชน ในการเลือกรบั รู้และปลุกเร้า เพราะสภาพครอบครวั ที่เปลย่ี น
แป ไปเปน็ ครอบครวั เดยี่ ว ญาติผใู้ หญ่ อาจจะไมไ่ ด้อย่รู ่วมบา้ นเดยี วกันเหมือนแต่กอ่ น หรอื หากมอี ยู่ กม็ ี
ความแตกต่างของภาษา วัย และการเรียนรู้ที่มีพ้ืนฐานแตกต่างกัน เยาวชนจะเช่ือส่ือทางอินเตอร์
มากกว่าการบอกเล่าจากญาติผู้ใหญ่ ทั้งในแง่มุมของความรักวัยรุ่นหรือเร่ืองราวต่างๆ เพราะเช่ือว่า
อินเตอรเ์ น็ตมภี าษาทเ่ี ข้าใจงา่ ยกว่า
นอกจากน้ี สุพจน์ ทรายแก้ว๕๖ ได้อธบิ ายถึงการกอ่ รปู ของจิตสำนึกว่า เป็นกระบวนการท่ีมี
ต่อเน่ืองยากที่จะกำหนด แยกแยะ หรือทำการจัดลำดับชั้น เพื่อบ่งชี้ว่าบุคคลมีความรู้สึกอยู่ที่ใดได้
ชัดเจน และ ยั ง มีคว าม เกี่ย วข้อ งกับ คุณ ลัก ษณ ะ ทางด้าน สติ ปัญ ญ าและ ก าร กร ะ ท ำของม นุษ ย์ผ่าน
กระบวนการเรยี นรู้ท่มี อี งค์ประกอบสำคญั ๓ ส่วน ได้แก่
๑. คุณลักษณะดา้ นพุทธิพิสัยหมายถึงการได้รบั รู้ (Cognition) หรือการมีประสบการณ์ตรง
กับส่ิงต่าง ๆ ท้ังที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ผ่านประสาทสัมผัสต่าง ๆ ทำให้บุคคลรู้จักหรือ
ระลึกถึง มีความเข้าใจสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินคุณค่า
ของสิ่ง ดงั กล่าวได้
๒. คุณลักษณะด้านจิตพิสัยหมาถึงความรู้สึกทางจิตใจ (Affection) อันได้แก่ ความสนใจ
หรือใฝ่ในส่ิงดังกล่าว โดยมปี ฏิกิรยิ าสนองตอบการเห็นหรือให้คุณคา่ การจัดระบบของคุณค่าและสร้าง
เป็นคุณลกั ษณะนสิ ยั
๓. คุณลักษณะทางด้านทักษะพิสัยหมาถึงพฤติกรรม (Behavior) หรือการแสดงออกท่ี
สามารถจะสังเกตรูปแบบความประพฤติไดอ้ ยา่ งชดั เจนเรยี กวา่ บุคลิกภาพ
รัญจวน อินทรกำแหง๕๗ ไดก้ ล่าวถึงแนวทางในการเสรมิ สรา้ งจติ สาธารณะของคนในสังคม
ว่า จะต้องเกิดขึ้นได้จากการคลุกคลีอยู่กับความถูกต้อง การปลูกฝัง อบรม การฝึกปฏิบัติ การได้เห็น
ตัวอยา่ งที่ชวนให้ประทับใจ ปจั จยั เหลา่ นีจ้ ะคอ่ ย ๆโนม้ นำใจของบคุ คลให้เกดิ จิตสำนกึ ท่ีถูกต้องและการ
สร้างจิตสาธารณะใหเ้ กิดข้ึน จำต้องอาศัยสถาบันทางสงั คมหลายส่วนเขา้ มาร่วมมือกนั ดังน้ี
๕๖ สุพจน์ ทรายแกว้ . จติ สำนึกสาธารณะการก่อรูปและกระบวนการเสริมสร้าง. วารสารเพชรบุรวี ิทยาลง
กรณ์, ๔(๑): ๒๕๔๖), หนา้ ๔๖.
๕๗ รั ญ จ วน อิน ท รก ำแห ง. ป ระ ช าธิป ไตยแบ บ ธรรมิ ก สั งค ม นิ ยม . ป าจา รย ส า ร. ๑ ๒ (๖ )
พฤศจิกายน-ธันวาคม), ๒๕๒๘), หนา้ ๑๑๐ – ๑๑๙.
๔๓
๑. สถาบันการศึกษา การศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาใน
รูปแบบใด การกำหนดเป้าหมายของการศึกษาให้ถูกต้องโดยธรรมชาติ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่แท้จริง
จงึ เปน็ สิ่งที่สำคัญที่สุดท่ีมผี ู้มีอำนาจในการบริหารการศึกษาพึงพิจารณาให้ลึกซึ้งถ่องแท้ รอบคอบและ
ถูกตอ้ ง ดว้ ยทัศนะที่กว้างไกล โดยมีจดุ หมายรวบยอดว่า ต้องจัดการศึกษาเพื่อพฒั นาคนให้มีจิตสำ นึก
เป็นมนุษย์ทเ่ี ตม็ ที่
๒. สถาบันศาสนา สถาบันทางศาสนาต้องเป็นผู้นำในการสร้างจิตสาธารณะให้เกิดข้ึน
ตอ้ งนำประชาชนกลบั ไปสู่คำสอนของพระพุทธองคท์ ี่ทรงเน้นให้เห็นแก่ประโยชน์สุขของสงั คมเป็นใหญ่
ไม่บริโภคเกินความจำเป็นหรือเพราะความอยาก มีความสันโดษ พอใจท่ีจะมีกินมีอยู่มีใช้เท่าที่จำเป็น
ร้จู ักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เจือจานแก่ผู้อ่ืน มีความเมตตาอาทรต่อกัน เห็นแก่ผู้อ่ืนเสมือนเห็นแก่ตนเอง รู้จัก
หน้าท่ี ปฏิบัติหนา้ ทใี่ ห้ถูกตอ้ ง
๓. สถาบนั ครอบครัว ความอบอุ่นของสถาบันครอบครัวมคี วามสำคัญเป็นอันดับแรกเพราะ
เปน็ จดุ เริ่มต้นที่ช่วยให้เดก็ เกดิ จิตสำนึกเหน็ ความสำคญั ของส่วนรวมความใกล้ชดิ ระหวา่ งพ่อแมก่ บั ลกู จึง
เป็น ส่ิงจำเป็นอย่างย่ิงในการเล้ียงอบรมลกู เพราะความใกล้ชิดจะเป็นสื่อท่ที ำความเข้าใจซึง่ กันและกัน
ใหเ้ กิด และกลายเป็นเกิดความเหน็ ใจซง่ึ กนั และกัน
๔. สื่อมวลชน สื่อมวลชน เป็นสถาบันท่ีทรงอิทธิพลอย่างย่ิงในการกระจายความคิดความรู้
หรือสิ่งใดสิ่งหน่ึงสู่การรับรู้ของประชาชนความร่วมมือจากส่ือมวลชนจะช่วยสร้างความเข้าใจช่วย
จิตสำนึก ที่ถูกต้องให้แก่คนในสังคมเนื่องจากส่ือมวลชนนั้นมีบทบาทและอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการรับรู้
เสริมสร้างทจ่ี ะส่ังสมกลายเป็นจิตสำนกึ ของคนในสงั คม
นันทวัน บุญก่อน๕๘ ได้ศึกษาวิจัยเร่ืองคุณธรรมของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัย
พยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช พบว่า ระดับปฏิบัติคุณธรรมของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ด้าน
ความซื่อสัตย์ ด้านความเสียสละ ด้านความมีวินัยในตนเอง และด้านความรับผิดชอบ อยู่ในระดับมาก
เพราะนักศึกษาเหล่าน้ีได้รับการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมจากพ่อแม่และอาจารย์พยาบาลซ่ึงเป็น
แบบอยา่ งทด่ี ี
สรุปได้ว่า ปัจจัยของการมีจิตสำนึกสาธารณะน้ัน เกิดจากทุกสิ่งท่ีอยู่ล้อมรอบตัวบุคคล
ในครอบครัว การถกู เลี้ยงดู สื่อแขนงต่าง ๆ ค่านิยมของคนในสงั คม ความเชื่อทางด้านศาสนา สถาบัน
การศึกษา ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมของแต่พนื้ ที่ ประสบการณ์ชีวิตท่ไี ดร้ บั และมุมมองในชีวิต
ส่วนตัว ล้วนมอี ทิ ธิพลต่อจิตสำนึกสาธารณะของคนทกุ คน
๕๘ นันทวัน บุญก่อน. รายงานการวิจัยเร่ืองคุณธรรมของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาล
บรมราชชนนี พุทธชินราช. เปิดขอบฟ้าคุณธรรมจริยธรรม. (กรุงเทพฯ: ศูนย์ส่งเสริม และพัฒนาพลังแผ่นดินเชิง
คณุ ธรรม (ศูนย์คณุ ธรรม) สำนกั งานบรหิ ารและพัฒนาองคค์ วามรู้ (องคก์ รมหาชน). เชน่ ปร้นิ ต้ิง, ๒๕๕๐), หน้า ๑๗๘.
๔๔
๒.๒.๗ แนวทางในการพฒั นาบุคคลให้มจี ติ สำนึกสาธารณะ
มีหน่วยงานและนักวิชาการ ได้เสนอแนวทางในการพัฒนาบุคคลให้มีจิตสำนึกสาธารณะไว้
หลากหลาย เช่น เสนอแนวทางและกลไกท่ีใช้ในการสร้างจิตสำนึกสาธารณะ สรุปได้เป็น ๓ ประการ
ดังน้ี๕๙
๑. การสรา้ งความคิดเชิงบวกหมายถึงการสร้างตนใหค้ ิดที่มุ่งประโยชน์ของผู้อ่ืนมากกว่ามุ่ง
ประโยชน์ส่วนตน (Utilization VS individualization) ซึ่งปัจจัยท่ีจะก่อให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ในทางพุทธ
ศาสนา ประกอบด้วย ปัจจัย ๒ ประการ คอื
๑.๑ การเรยี นรู้จากแหลง่ อื่น(ปรโตโฆสะ = learning from others) ได้แก่ การรับฟงั
คำแนะนำสง่ั สอนเล่าเรียน หาความรู้ สนทนาซักถาม ฟังคำบอกเล่าชักจงู ของผู้อืน่ โดยเฉพาะการสดับ
สัทธรรมจากผ้เู ป็นกัลยาณมิตร
๑.๒ การคิดโดยการใช้เหตุผล (โยนิโสมนสกิ าร= reasoned attention) ได้แก่ การใช้
ความคดิ ถกู วิธี การรู้จกั คดิ โดยมองส่ิงท้ังหลายด้วยความคิดพิจารณาจักสืบสาวหาเหตผุ ลแยกแยะออก
ใหเ้ หน็ ตามสภาวะและความสมั พันธแ์ ห่งเหตปุ ัจจยั
๒. การยึดหลักธรรม/คณุ ธรรมความดี เปน็ แนวปฏิบัติในการดำเนนิ ชีวติ โดยอาจจะคำนึงถึง
กลไกและกระบวนการของหลกั แห่งความดีงาม ดังนี้
๒.๑ หลักแห่งความพอเพียง ซ่ึงจะเห็นได้จากการรู้จักจัดสรรทรัพย์ที่หามาได้ด้วย
ความ สุจริต โดยการแบ่งออกเป็น ๔ ส่วน (โภคทรัพย์ ๔) คือ แบ่ง ๑ ส่วน ไว้เล้ียงตน แบ่ง ๒ ส่วนไว้
ประกอบหนา้ ที่การงาน และแบง่ ๑ สว่ น สำหรบั เกบ็ ออม
๒.๒ หลักแห่งการสงเคราะห์ ได้แก่ การสงเคราะห์ด้วยการให้แบ่งออกเป็น ๒ อย่าง
คือ การให้ส่ิงของจะเป็นทรัพย์หรือวัสดุกไ็ ด้ กบั การให้ความร้สู ่ังสอน (ธรรมทาน) การสงเคราะห์ท่เี ป็น
การใช้ ถ้อยคำที่เป็นประโยชน์ ประกอบด้วยเหตุผลที่ทำใหผ้ ู้ฟังเกิดความยินดี (ปยิ วาจา) โดยสรุปก็คือ
การสงเคราะห์ช่วยเหลือที่เป็นการให้ด้วยพฤติกรรม และการให้ด้วยวาจาท่ีอ่อนหวาน ก่อให้เกิดความ
ซาบซึ้งใจของผู้ฟัง จึงเป็นการสงเคราะห์ท่ีจะต้องปฏิบัติด้วยความเมตตา คือความหวังดีโดยไม่หวัง
ผลตอบแทน
๒.๓ หลักแห่งการประพฤติ การกระทำท่ีเปน็ ประโยชน์ ได้แก่ ความชว่ ยเหลอื ท่ีมอบให้
ผู้อื่น ด้วยความเต็มใจในการประกอบกิจการงานต่าง ๆ การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ตลอดถึงช่วย
แก้ไข ปรับปรุง สง่ เสริมในทางจรยิ ธรรมแก่ผู้อน่ื
๕๙ นเรศวรวิชาการ. การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมเร่ืองจิตสาธารณะ.ในเอกสารการประชุมวิชาการ
วันท่ี ๒๗ มกราคม ๒๕๕๓ สืบค้นเม่ือ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๙, จาก http://www.academic.nu.ac.th/content
_view.php?n_id=๔๔&img= ๑&action=view. (๒๕๕๓).๒๕๕๓: ออนไลน์).
๔๕
๒.๔ หลักแห่งการสงเคราะห์และทำคุณประโยชน์อย่างสม่ำเสมอ โดยไม่มุ่งหวังเอา
ประโยชน์เขา้ สตู่ นเอง เป็นการสรา้ งจิตสาธารณะที่ช่วยเหลือและทำตนเปน็ ประโยชน์ โดยการมสี ่วนร่วม
ในกจิ การต่าง ๆ ของสว่ นรวมดว้ ยการพิจารณาความเหมาะสมของกาลเทศะ และฐานะของตนเอง
๒.๕ หลักแหง่ ความเอื้ออาทร เพ่ือสร้างจิตสาธารณะให้มีความเอ้ือเฟื้อตอ่ บุคคลแวดล้อม
และสิ่งแวดล้อม โดยการแสดงออกด้วยความเป็นกัลยาณมิตรท่ีเป็นผู้ช้ีช่องทางประโยชน์ แนะนำให้
ส่วนรวมดำเนินไปบนแนวทางประโยชน์ แนะนำให้ส่วนรวมดำเนินไปบนแนวทางของจริยธรรม
เรยี งลำดับความสำคญั ของผูร้ บั ความเอ้อื อาทร ซงึ่ อาจจะเปน็
๒.๕.๑ เอือ้ อาทรดว้ ยการบชู า บำรงุ ให้มีความสุข คอื การเออ้ื อาทรตอ่ บิดามารดา
๒.๕.๒ เออื้ อาทรด้วยการประพฤตติ นเปน็ เจ้าบ้าน ปกป้องคุ้มครองการเอือ้ อาทร
ดูแล คอื ต่อบุตร ภรรยาและคนในปกครอง
๒.๕.๓ เออ้ื อาทรด้วยการแสดงความเคารพ คารวะ คือการเอ้ืออาทรโดยเคารพต่อ
ผูท้ ำหนา้ ท่สี ่ังสอน ชแ้ี นะประโยชน์ผ้ปู ระพฤติดี ปฏบิ ัตชิ อบ
๓. การประกอบกิจกรรมทเี่ ป็นประโยชนใ์ นการแสดงออกถึงความมีจติ สาธารณะ เช่น การ
เขา้ รว่ มอาสาทำกจิ กรรมของส่วนรวม ทเ่ี ป็นการสรา้ งสรรค์ เชน่ ปลกู ปา่ รณรงคก์ ารจับจ่ายใช้สอยอย่าง
ประหยดั การรีไซเคลิ ของที่ใช้แลว้ การสรา้ งโลกสีเขยี ว การใช้จกั รยานแทนยานพาหนะทใ่ี ช้เชอ้ื เพลิง
จันทิรา ธนสงวนวงศ์๖๐ กล่าวว่า การสร้างจิตสาธารณะ เป็นความรับผิด ชอบในตนเอง
แม้ว่าจะไดร้ ับการอบรมส่งั สอน ถา้ ใจตนเองไมย่ อมรับ จติ สาธารณะก็ไม่เกิด ฉะน้นั ตนวา่ เปน็ ที่พ่งึ แห่ง
ตน จงึ มีความสำคญั ส่วนหน่ึงในการสร้างจิตสาธารณะถา้ ตนเองไม่เห็นความสำคญั แล้วคง ไมม่ ีใครบังคับ
ได้นอกจากใจของตนเองแล้วแนวทางที่สำคัญในการสรา้ งจิตสาธารณะยังมีอีกหลาย ประการถ้าปฏิบัติ
ได้ก็จะเปน็ ประโยชนต์ อ่ ตนเองและสังคม ดงั น้ี
๑. สร้างวินัยในตนเองตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในระบบประชาธิปไตย รู้ถึงขอบเขตของ
สทิ ธเิ สรีภาพ หน้าที่ความรบั ผิดชอบ ตอ่ ตนเองและสังคม
๒. ให้ความสำคัญต่อส่ิงแวดล้อม ตระหนักเสมอว่า ตนเอง คือส่วนหน่ึงของสังคมต้องมี
ความรับผิดชอบในการรักษาสง่ิ แวดล้อม ซ่งึ เป็นเรื่องของสว่ นรวม ทัง้ ตอ่ ประเทศชาติ และโลกใบน้ี
๓. ตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบท่ีเกิดขึ้นกับสังคมให้ถือว่า เป็นปัญหาของตนเอง
เช่นกนั อยา่ งหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องช่วยกันแก้ไข เช่น ช่วยกันดำเนินการให้โรงงานอุตสาหกรรมสร้างบ่อ
พกั น้ำทงิ้ กอ่ นปลอ่ ยลงสู่แหลง่ น้ำสาธารณะ
๖๐ จันทิรา ธนสงวนวงศ์. หน่วยที่ ๘ จติ สำนึกสาธารณะแผนกภาษาไทย-สงั คม วิชาชีวิตและวัฒนธรรม
ไท ย ๓ ๐ ๐ ๐ -๑ ๓ ๐ ๑ (แบ บ เรียน ELearning). สื บ ค้น เมื่ อ ๒ ๕ มกร าค ม ๒ ๕ ๕ ๙ , จ าก http://edu.e-
tech.ac.th/mdec/learning/s๑๓๐๑/unit๐๘.html, ๒๕๕๓.
๔๖
๔. ยึดหลักธรรมในการดำเนินชีวิต เพราะหลักธรรมหรือคำส่ังสอนในทุกศาสนาที่นับถือ
สอนให้คนทำความดีท้ังส้ิน ถ้าปฏิบัตไิ ด้จะทำให้ตนเองมีความสุข นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดประโยชน์ต่อ
สังคมดว้ ย ทำให้เราสามารถอย่ใู นสังคมไดอ้ ย่างมคี วามสขุ
ณฐวัฒน์ ล่องทอง๖๑ ได้เสนอแนวทางในการเสริมสร้างจิตสาธารณะไว้โดยใช้หลักธรรม
ในพระพุทธศาสนาท่เี กี่ยวขอ้ งกบั ความรกั มนุษยชาตติ ามหลักพรหมวหิ าร ๔ ไดแ้ ก่
๑. เมตตา ความรกั ความปรารถนาดีให้ผูอ้ ืน่ มีความสุข
๒. กรุณา ความสงสาร เหน็ ใจ ปรารถนาให้ผู้อ่ืนพ้นทกุ ข์
๓. มุทิตา ยินดีเม่อื ผอู้ ่ืนได้มสี ขุ
๔. อุเบกขา วางเฉยไมล่ ำเอยี ง
นอกจากน้ีกย็ งั รวมทงั้ สังคหวตั ถุ ได้แก่ ๔
๑. ทาน การให้ เออื้ เฟ้ือเผอื่ แผ่
๒. ปยิ วาจา กลา่ วด้วยวาจาทซี่ าบซง้ึ สุภาพอ่อนหวาน
๓. อตั ถจริยา ทำดี ประพฤติดี เปน็ ประโยชน์ตอ่ ตนเองและผอู้ ื่น
๔. สมานตั ตตา ทำตวั เสมอต้นเสมอปลาย
เกียรติศักดิ์ แสงอรุณ๖๒ ได้ศึกษาแนวทางการพัฒนาจิตสำนึกสาธารณะ สำหรับเยาวชนไทย
กรณีศกึ ษากลุ่มและเครือข่ายเยาวชนท่ที ำงานด้านจิตสำนึกสาธารณะ พบว่า มีกระบวนการจดั กจิ กรรม
ทีเ่ ป็นไปในแนวทางเดียวกนั คือการจัดกิจกรรมเพ่ือสังคมการช่วยเหลือการอาสา ด้านการเงินเพื่อการ
ดำเนินงาน การให้คำปรึกษาและการจัดการความรู้ กิจกรรมต่าง ๆเหล่าน้ีสอดคล้องและเป็นไปตาม
กระบวนการบริหารคณุ ภาพวงจรเดมม่งิ เยาวชนกลมุ่ ตัวอย่าง ทเี่ ข้าร่วมกิจกรรมของกรณีศกึ ษาทุกคนมี
คุณลักษณะของการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม อันเน่ืองมาจากการไม่เห็นแก่ตัว และการเสียสละเพื่อ
สังคม อนั เป็นองค์ประกอบของการมจี ติ สำนึกสาธารณะ แนวทางในการจัดกิจกรรมเพ่ือพฒั นาจิตสำนึก
สาธารณะ เป็นไปตามแนวทางการปฏิรูประบบการศึกษา พัฒนาคุณภาพสื่อ ร่วมมือกันทำงาน และ
ดำเนินการอย่างต่อเนื่องโดยการจัดกจิ กรรมท่เี ยาวชนเปน็ ผนู้ ำกิจกรรมท่เี ยาวชนเป็นผเู้ ข้าร่วมกจิ กรรม
และกิจกรรมท่ีสามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน และไดม้ ีข้อเสนอแนะแนวทางในการเสริมสร้างจิตสำนึก
สาธารณะไว้วา่
๑. ควรมีการกำหนดมาตรการเพ่ือเป็นการส่งเสรมิ และมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ลงมา
ดำเนินการเพื่อเด็กและเยาวชนโดยจริงจงั ผลการวจิ ัยพบว่า การพฒั นาจิตสำนึกสาธารณะในปจั จุบนั ยัง
๖๑ ณฐวัฒน์ ลอ่ งทอง. จิตสาธารณะ รายวิชาทักษะชวี ิต ๐๐๑๑๗๓. (เอกสารประกอบคำสอน). สืบค้นเมื่อ
๓๐ มกราคม ๒๕๕๓, จาก kmc.pkn๒.go.th/research/๑๒๗๖๖๑๙๒๘๗_PM ๒๐๑๐.ppt, ๒๕๕๓.
๖๒ กิตติศักดิ์ แสงอรุณ. พฤติกรรมการทำงานเป็นทีมของนิสิตปริญญาตรี ภาคปกติ มหาวิทยาลัย
ศรีนครินทรวิโรฒ. (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ, ๒๕๕๑), ออนไลน์.
๔๗
ขาดความร่วมมือของสถาบันต่าง ๆ ในสังคมเพื่อการดำเนินการในรูปแบบท่ีเหมาะสมในระยะเร่ิมต้น
อาจจะเป็นหน่วยงานของรัฐเองที่รับผิดชอบงานด้านเยาวชนเป็นหลัก กระทรวงศึกษาธิการ เช่น
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงการท่องเทยี่ วและกีฬา แล้วจึงเปน็ การพัฒนาตอ่ ไปในทกุ กระทรวง ท้ังน้ี เพราะทกุ ๆกระทรวง
สามารถนำ เรือ่ งของเด็กและเยาวชนเข้าไปปรับใช้ได้อยา่ งเหมาะสม
๒. กระทรวงศึกษาธิการ ควรเร่งรัดการออกกฎกระทรวงในส่วนท่ีเกยี่ วกับการกำหนดให้ครู
มกี ารดำเนินการจัดการเรียนรจู้ ากการปฏิบัติอย่างจริงจัง เน่ืองจากระบบของการศึกษา ยังไม่สามารถ
พัฒนาจิตสำนึกสาธารณะของเยาวชนได้อย่างเตม็ ท่ี ด้วยข้อจำกัดของบุคลากรท่ีขาดจรรยาบรรณหรือ
ในระดับมหาวิทยาลัย ควรกำหนดให้มีวิชาบริการสังคม ให้นิสิตนักศึกษาด้วยกรบรรจุเข้าไปในหลักสูตร
การศึกษาของทุกคณะ หรือสำนักรวมท้ังสนับสนุนให้มีการทำกิจกรรมทางสังคมในสถานศึกษา กำหนด
กรอบแนวคิดในการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างให้นิสิตนักศึกษาได้นำพลังสร้างสรรค์ออกมาใช้ให้เกิด
ประโยชน์แก่สังคม
๓. ควรมีคณะกรรมการหรือองค์กรระดบั ชาติ ท่ีเป็นกลไกกลางในการรับผิดชอบ การสง่ เสริม
สนับสนุนรวมถึงติดตามผลและสังเคราะห์กระบวนการในการเรียนรู้ในการดำเนินการทางสังคมของ
เยาวชนโดยให้เยาวชนเป็นผู้มีส่วนร่วมในการดำเนินงานขององค์กรน้ัน เพื่อเป็นการพัฒนาให้เยาวชน
เป็นผู้มีคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ ตามเป้าหมายระดบั ชาติ เพราะงานเยาวชนในปัจจุบันยังกระจายอยู่
โดยทั่วไป ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเพ่ิมพื้นที่ในการทำกิจกรรมสร้างสรรค์ในระดับมหภาคให้เกิดข้ึนใน
สงั คมไทยอย่างแทจ้ รงิ
๔. ควรให้มีการกำหนดแผนระยะยาวไว้ สำหรับประเด็นท่ีจะเป็นส่วนที่เป็นประโยชน์กับ
สังคมอย่างแท้จรงิ อย่างเช่น งานการพัฒนาเยาวชนเพ่ือจะได้เป็นไปอย่างต่อเน่ืองหากการดำเนินการ
เปน็ ไปอย่างตอ่ เนื่อง เดก็ และเยาวชนกจ็ ะเข้ามาสูร่ ะบบของการมสี ่วนรว่ มในภาคสงั คมโดยอัตโนมัตกิ าร
ดำเนินการต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ยังขาดความต่อเนื่อง ที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือเม่ือเปล่ียนรัฐบาล
นโยบาย บางอยา่ งก็เปล่ยี นแปลงไป
๕. ควรเปิดพ้ืนท่ีด้านสื่อสารมวลชนให้เด็กและเยาวชน เข้าไปมีส่วนร่วมเพ่ือท่ีเด็กและ
เยาวชนด้วยกันจะได้บริโภคข่าวสารท่ีเป็นประโยชน์และเหมาะกับเยาวชนเอง เนื่องจากโอกาสในการ
รบั รูข้ ่าวสารของเดก็ และเยาวชนในปัจจบุ ันเปลย่ี นแปลงไปดว้ ยอิทธิพลของส่ือสารมวลชน นอกจากน้ัน ยัง
เปน็ การป้องกันอันตรายจากการป้อนขอ้ มูลข่าวสารที่ไมเ่ ปน็ ธรรมจากสอ่ื อีกด้วย
๔๘
๒.๓ แนวคิดเก่ียวกบั ความเป็นพลเมืองดีทางพระพทุ ธศาสนา
จากการศึกษาในพระไตรปิฎก อรรถกถา และคัมภีร์ต่าง ๆ ทางพระพุทธศาสนานั้น คำว่า
“พลเมือง” (Citizen) และ “ความเป็นพลเมือง” (Citizenship) ไม่พบคำในภาษาบาลีท่ีบ่งบอกถึง
ความหมายของคำทั้ง ๒ คำน้ี แต่สามารถเทียบเคียงได้จากความหมายที่บ่งบอกถึงลักษณะการเกิดขึ้น
ของพลเมือง และความเป็นพลเมือง ดังท่ีปรากฏในอัคคัญญสูตร๖๓ พระพุทธองค์ทรงตรัสกับสามเณร
วาเสฏฐะ และภารทวาชะเกย่ี วกับววิ ัฒนาการของโลก คอื โลกเกิดข้ึนได้อยา่ งไร มนษุ ย์เกดิ ข้ึนได้อยา่ งไร
ปัญหาสังคม การแบ่งชั้นวรรณะ กำเนิดรัฐ ระบอบการปกครอง ตลอดจนแนวคิดทฤษฎีสัญญา
ประชาคม(Theory of the Social Contract) พร้อมกับการเกิดขึ้นของคำว่าประชาชน หรือพลเมือง
ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ซ่ึงผู้วิจัยจะได้เสนอในประเด็นความหมาย ความเป็นมาการเกิดขึ้นของพลเมือง
และความเป็นพลเมอื งท่ีปรากฏในพระพุทธศาสนา ดังมรี ายละเอยี ดต่อไปนี้
๒.๓.๑ แนวคดิ ความเป็นพลเมอื งดที างพระพุทธศาสนา
๒.๓.๑.๑ ความหมายของพลเมืองทางพระพุทธศาสนา
คำว่า “พลเมอื ง” ไมม่ ใี นทางพระพทุ ธศาสนาแตส่ ามารถเปรยี บเทียบได้จากความหมายที่
บง่ บอกถึงลักษณะของพลเมอื ง ซงึ่ ในงานวจิ ัยน้ี ผวู้ ิจัยประมวลสรปุ ได้เป็น ๒ นัย คอื
๑. “พลเมือง” ในความหมายของคำว่า “มนุษย์” (Man) ภายใต้เจตนารมณ์ของการ
รวมตัวกันท่ัวไปของปัจเจกชนแก่สังคมส่วนรวม (การทำข้อตกลงที่จะอยู่ร่วมกันที่เรียกว่า สัญญา
ประชาคม)๖๔ คำว่า “มนุษย์” มาจากภาษาสันสกฤต คือ “มน” แปลว่า ใจ คิด รู้ เมื่อนำไปสนธิกับคำ
ว่า “อุษย” (อุสฺส) แปลว่า “สูงกว่า ดีกว่า”๖๕ จะได้คำว่า มน+อุษย=มนุษย์ มีรูปวิเคราะห์บาลีว่า
“มนสฺส อุสฺสนฺนตฺตา มนุสฺโส” คือผู้มีใจสูง”๖๖ หรือคน สัตว์ที่รู้จักใช้เหตุผล ผู้รู้จักประโยชน์และมิใช่
๖๓ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๑๑๑-๑๔๐/๘๓-๑๐๔.
๖๔ สาระสำคัญของทฤษฎีสัญญาประชาคม (Theory of the Social Contract) ตามแนวคิดของ โธมัส ฮ็
อบบส์ (Thomas Hobbes,๑๕๘๘-๑๖๗๙), จอห์น ล็อค (John Locke,๑๖๓๒-๑๗๐๔),และฌอง-ฌากส์ รูสโซ
(Jean-Jacques Roussean,๑๗๒๑-๑๗๗๘), เช่ือว่ามนุษย์ (Man) เป็นผู้ที่ร่วมกันสร้างสังคม (รัฐ) หรือสร้างประชา
สังคมขึ้น (Civil society) เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความยุติธรรมในการอยู่ร่วมกัน น่ันก็คือ
สังคมเกิดขึ้นได้เพราะข้อตกลงระหวา่ งผ้ทู ม่ี ารว่ มกันสร้างสังคมข้ึน หรือที่เรียกว่า สังคมไดร้ ับการจัดตั้งขึ้นโดยพลเมอื ง
และควบคุมโดยเจตจำนงร่วมของการอยู่ร่วมกัน ซ่ึงในความหมายน้ีมนุษย์ (Man) ก็คือพลเมืองน่ันเอง, ดูใน ฌอง
ฌากส์ รูสโซ (เขียน), วิภาดา กิตติโกวิท (แปล), สัญญาประชาคม/หลักแห่งสิทธิทางการเมือง, พิมพ์ครั้งที่ ๒,
(กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พิมพ์ทบั หนังสอื , ๒๕๕๕).
๖๕ ธรรมสภา,พจนานุกรมธรรม ฉบับพุทธทาส,จัดพิมพ์ฉลอง ๑๐๕ ปี ชาตกาล พุทธทาส พ.ศ.๒๕๕๔,
(กรงุ เทพฯ: สถาบันลือธรรม, ๒๕๕๕).
๖๖ หลวงเทพดรุณานุศิษฎ์ (ทวี ธรรมธัช)ธาตุปฺปทีปิกา,พิมพ์ครั้งที่ ๗, (กรุงเทพฯ: มหามกุฎราชวิทยาลัย,
๒๕๔๐), หนา้ ๒๘๓.
๔๙
ประโยชน์ (หิตาหิตํ มนติ ชานาตีติ วา มนุสฺโส)๖๗ รู้จักส่ิงเก้ือกูลแก่ตน (ยถาพลํ อตฺตโน หิตํ มนฺเตติ
มนุสฺโส) ซึ่งตามหลักพระพุทธศาสนา มนุษย์จึงเป็นสัตว์ประเภทหนึ่ง ในภาษาบาลีว่า “สตฺโต” ดังน้ัน
เมื่อกล่าวถึงมนุษย์ที่เป็นพลเมือง ภายใต้บริบททางสังคมการเมืองการปกครองสมัยน้ันท่ีมี
ความเกี่ยวข้องกับเรื่องของสัญญาประชาคม จึงมักจะพบคำท่ีเป็นนัยบ่งบอกถึงลักษณะของพลเมือง
เชน่ คำว่า “สตโฺ ต” (สตั ว์) “ปชา” (หมู่ชน) “มหาชโน” (มหาชน) “มนุสสฺ า” (มนุษย์ทั้งหลาย) ชาวนิคม
หรือชาวชนบท หรือหากกล่าวถึงบุคคลตามสถานภาพทางสังคมก็มักจะระบุเกี่ยวกับสถานภาพและ
หน้าท่ีโดยตรง เชน่ คำว่า พราหมณ์ กษตั ริย์ แพศย์ (เวสสา) หรือศูทร (สทู โฺ ท) ท่ีแสดงถึงกลุม่ ชนชั้นทาง
สังคมของอินเดียโบราณ สอดคลอ้ งกบั ทัศนะของชาญณรงค์ บุญหนุน ที่ได้อธิบายความหมายของคำว่า
พลเมืองในทางพระพุทธศาสนาไว้ว่า คำว่า “พลเมือง” น่าจะมีความหมายเทียบเคียงได้กับคำว่า “ปชา”
หรือหมู่สตั ว์ ในภาษาบาลี หรอื ปฺรชา ในภาษาสันสกฤต คำน้ี เมอื่ แปลเป็นภาษาองั กฤษจะตรงกับคำว่า
creature, living being, people, mankind อีกคำหนึ่งคือคำว่า ชโนหรือชน (ชนผู้เกิด,สัตว์, คน)
แปลเป็นภาษาอังกฤษตรงกับคำว่า a man, a person, a being, a creature, men, people, the
world, a number of people เม่ือรวมสองคำนี้เข้าด้วยกันก็จะเป็น “ประชาชน” ตามท่ีพูดกันใน
ภาษาไทยท่ัวไป”๖๘
จากนัยความหมายดังกล่าว ทำให้พอประมวลสรุปได้ว่า คำว่า “พลเมือง” จึงมีความหมาย
เทยี บเคียงไดก้ ับคำว่า “มนุษย์”๖๙ หรือหมสู่ ัตวใ์ นทางพระพทุ ธศาสนา ท่ีแสดงออกถึงการรวมตวั กันของ
มนุษย์ในฐานะปัจเจกชนภายใต้เจตนารมณ์ท่ีพึงมีแก่สังคมส่วนรวม ซ่ึงมีความเก่ียวข้องกับเรื่องของ
สัญญาประชาคมในการอยู่ร่วมกันทางสังคม เพ่ือควบคุมคนในสังคมให้อยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข
ภายใต้รูปแบบการปกครองที่มกี ฏกติกาเดยี วกนั การที่หมู่มนุษย์ (พลเมอื ง) รวมตัวกันเพ่ือแสดงออกถึง
คว าม สัม พั น ธ์ ใน ก าร ทำข้อ ตก ลงหรื อ สั ญ ญ าร่ วม กั น ดั งก ล่ าว จึ ง เป็ น นั ย ที่ บ่ง ถึงก าร เข้าไป ทำห น้ าท่ี
“พลเมอื ง” ของตน
๒. “พลเมือง” ในความหมายของคำว่า “สังฆะ” (สงฆ์) เป็นชื่อเรียกกลุ่มผู้สมัครเข้ามา
ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ศัพท์ว่า สงฆ์ คือ หมู่คนหรือสัตว์มีชาติเสมอกันหรือต่าง
๖๗ พระมหาสมปอง มทุ ิโต. คมั ภีรอ์ ภิธานวรรณนา, (กรงุ เทพฯ:ธรรมสภา,๒๕๔๒), หน้า ๓๐๑.
๖๘ ชาญณรงค์ บุญหนุน. “พระพุทธศาสนากับการสร้างสรรค์ประชาธิปไตยว่าด้วยการเป็นพลเมืองท่ีดีของ
สังคม”, วารสารบัณฑติ ศกึ ษาปรทิ รรศน์, ปที ่ี ๖ ฉบบั ที่ ๑ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๓), หน้า ๔.
๖๙ เร่ิมต้น “มนุษย์” เปน็ สตั วโ์ ลกชนิดหนึ่ง ท่ีเกิดขึ้นและเป็นไปตามกฎแห่งเหตปุ ัจจัยในธรรมชาติ มีชวี ิตอยู่
และมีสิทธิต่างๆตามธรรมชาติ (Natural Rights) ซงึ่ เปน็ สภาพท่ปี ราศจากสงั คม และรปู แบบการปกครองหรือรัฐ ไมม่ ี
กฏหมาย ไม่มีความยุติธรรม ต่อมาเม่ือมนุษย์เกิดอวิชชาครอบงำ ไม่ต้ังม่ันในธรรม มีการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน
ดังนั้น เพื่อขจดั ปัญหาความช่ัวร้ายทีเ่ กิดขึ้น มนุษย์จงึ ตอ้ งรวมตัวกันตกลงทำสัญญาที่จะอยู่รว่ มกัน ด้วยการสรรหาผู้ที่
จะมาทำหน้าท่ีรักษาผลประโยชน์ของตน และแบ่งปันผลประโยชน์ของตนเป็นการตอบแทน ตลอดจนตั้งกติกาเพ่ือ
ควบคุมสงั คมและลงโทษผู้กระทำผดิ โดยมีเป้าหมาย คอื ทำใหส้ ังคมมีความสงบเรยี บรอ้ ย.
๕๐
กัน๗๐ คำว่า สงฆ์ มาจาก Sam+Han (to hold together) and hence is meant a corporation๗๑ ภาษา
สนั สกฤตใช้ในรูป สํฆ ภาษาบาลีใช้ สงฺฆ๗๒ ซึ่งหมายถึง กลุม่ ผรู้ ่วมมือกันเพ่ือการ อย่างใดอย่างหน่ึง หรือ
เปน็ ผู้ท่ีมีทัศนะคติและมคี วามประพฤตติ รงกนั ๗๓ ใชเ้ รียกระบบการปกครองในวรรณะกษัตรยิ ์ สมัยโบราณ
ดังมีข้อความที่ปรากฏในพระไตรปิฎกว่า พวกลิจฉวี ได้นำระบบสังฆะมาเลือกผู้นำเพื่อบริหาร หมู่
คณะ เรียกว่า ลิจฉวีสังฆะ ซ่ึงในยุคโบราณระบบสงฆ์มีอยู่ ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มหน่ึงเป็นกลุ่มของชนช้ัน
เจ้านายในวรรณะกษัตริย์ ได้แก่ พลเมืองในแค้วนกัมโพชะและแคว้นสุรเสนะ อีกกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มนัก
ปกครองท่ีคดั เลอื กกนั ขึ้นมาทำหนา้ ท่ีบรหิ าร มีผนู้ ำเปน็ ราชา ได้แก่ พวกลิจฉวี และพวกมลั ละ๗๔ เป็นต้น
ซ่ึงต่อมาในสมัยพุทธกาล “สังฆะ” นี้ได้ถูกนำมาใช้ปกครองภิกษุสงฆ์ (ภิกฺขุสงฺฆ) ในพระพุทธศาสนา
และสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ไดท้ รงอธิบายว่า คำว่า “สงฆ์” นี้ไม่ใช่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เหมือนอย่างที่
คนส่วนใหญ่เข้าใจ แตค่ ือภกิ ษุหลายรูปเข้าประชุมกันเป็นหมเู่ พอ่ื ทำกิจอยา่ งใดอย่างหนึ่งเหมือนประชุม
แห่งพวกสมาชกิ ของสมาคมนนั้ ๆ ซึง่ มีอำนาจใหส้ ำเร็จกิจธรุ ะของเขา นีเ้ รียกวา่ สงฆ์๗๕
จะเห็นได้ว่า สังฆะจึงหมายถึงสถานะที่ใช้เรียกหมู่สาวกหรือหมู่ชนที่เป็นพลเมืองใน
พระพุทธศาสนา ภายใตร้ ะบบการปกครองเดียวกัน มรี ะเบียบแบบแผน ข้อปฏิบตั ิกติกาเดียวกัน กล่าว
โดยสรุปได้ว่า ความหมายของพลเมืองทางพระพุทธศาสนา สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ความหมาย
ได้เป็น ๒ นัย ได้แก่ นัยท่ีหนึ่ง คือ มนุษย์ (Man) ท่ีมีการรวมตัวทำข้อตกลงในการอยู่ร่วมกันในสังคม
(สัญญาประชาคม) และนัยท่สี อง คือ สังฆะ อนั เป็นกลุ่มบุคคลทีม่ ที ัศนะคติและความประพฤติตรงกันใน
การอยู่รว่ มกัน ซ่ึงชุดของความหมายตามนัยดังกล่าวนี้ จัดได้ว่าเป็นลักษณะที่บ่งบอกถึงพลเมืองในมิติ
ของพระพุทธศาสนา
๗๐ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาท, ปทานุกรม บาลี ไทย อังกฤษ สันสกฤต, พิมพ์คร้ังที่ ๒,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหามกุฏราชวทิ ยาลัย, ๒๕๒๐), หน้า ๗๖๐.
๗๑ D.N. Bhagvat, Early Buddhist Jurisprudence, (New Delhi : Cosmo Publications, 1939),
p.124.
๗๒ ราชบั ณ ฑิ ตยสถาน, พ จนานุ กรม ฉบับราชบั ณ ฑิ ตยส ถาน พ .ศ.๒ ๕ ๕ ๔ , พิ มพ์ คร้ังที่ ๒ ,
(กรงุ เทพมหานคร : ราชบณั ฑติ ยสถาน/บรษิ ทั ศิรวิ ัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกดั (มหาชน), ๒๕๕๖), หน้า ๑๑๕๕.
๗๓ สมิทธิพล เนตรนิมิต. ภาพลักษณ์ของพระสงฆ์ในอริยวินัย : วิถีชีวิตและบทบาทของพระสงฆ์,
รายงานการวิจยั , (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๓), หนา้ ๔๘-๔๙.
๗๔ Uma Chakravarti, Social Dimensions of Early Buddhism, (New Delhi : Munshiram
Manoharlal, ๑๙๙๖), p. ๙๐, หรือดูในสมิทธิพล เนตรนิมิตร, รายงานวิจัย เร่ืองภาพลักษณ์ของพระสงฆ์ในอริย
วนิ ัย : วถิ ีชวี ิตและบทบาทของพระสงฆ์, หนา้ ๔๑.
๗๕ สมเด็จพระมห าสมณ เจ้า กรมพระยาวชิรญ าณ วโรรส , วินัยมุข เล่ม ๑ , พิมพ์คร้ังท่ี ๓๙,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๔๑), หน้า ๓.
๕๑
๒.๓.๑.๒ ความหมายของความเป็นพลเมืองดที างพระพทุ ธศาสนา
คำว่า “ความเป็นพลเมืองดี” ทางพระพุทธศาสนา แม้พระพุทธองค์จะมิได้ตรัสนิยาม
ความหมายของความเป็นพลเมืองเอาไว้โดยตรง แต่เท่าที่ได้ประมวลจากบริบทของคำสอน เช่นที่
ปรากฏในอัคคัญญสูตร กูฏทันตสูตร และสิงคาลกสูตร จะพบว่า ความเป็นพลเมืองดีทางพระพุทธ
ศาสนาจะเป็นสภาวะ (Being) ของการเป็นพลเมืองที่มีความสัมพันธ์หรือการจัดการทรัพยากรร่วมกัน
เช่ือมโยงระหว่างประชาชนกับสังคมหรือกับรัฐที่มีทฤษฎีเร่ืองของสัญญาประชาคมเข้ามาเก่ียวข้อง
สะท้อนให้เหน็ ถงึ พฒั นาการทางสงั คมท่เี ก่ียวข้องกบั การใช้สิทธิเสรภี าพของพลเมอื งในฐานะผทู้ ำให้เกิด
“สถาบันการปกครอง” และการเกิดขนึ้ ของชนชั้นต่างๆ ท่มี ีความสัมพันธ์กันในทางสังคม ที่เป็นไปตาม
ช่วงเวลาและความจำเป็นในการอยู่ร่วมกนั และเมื่อพิจารณาจากบรบิ ทของความเป็นพลเมืองดใี นแงข่ อง
ลกั ษณะการรวมตัวกันเป็นประชาสังคม เชน่ ความเป็นพลเมืองดขี องระบบสังฆะ ทีแ่ สดงออกถงึ ความมี
อารยะ๗๖ จะมีหลักจริยธรรมเป็นเครื่องกำกับ เป็นการจัดระเบียบความสัมพันธ์ในการดำเนินชีวิต
ร่วมกนั เพื่อเป็นแบบอย่างแห่งสงั คมท่ีพึงปรารถนาอันเป็นสังคมท่ีสงบสุข ปราศจากการเบียดเบียนซึ่ง
กนั และกัน สมาชกิ ในสังคมจะมีความรัก ความเออ้ื เฟ้ือเผือ่ แผใ่ ห้แกก่ ันและกัน โดยไมห่ วังส่ิงใดตอบแทน
มคี วามสมานสามัคคี เคารพในสทิ ธเิ สรีภาพ และความเสมอภาคของพลเมืองที่เป็นมวลสมาชกิ ในสงั คม
และไม่ใช้ความรุนแรง
ดังน้ัน หากมองความเป็นพลเมืองดีจากมิติความสัมพันธ์ในการอยู่ร่วมกันทางสังคม
ดังกล่าว ความเป็นพลเมืองดีในทางพระพุทธศาสนาจึงมีส่วนคล้ายกับความเป็นพลเมืองดีในระบอบ
ประชาธิปไตยอยมู่ าก กล่าวคือ ในแง่ของสิทธิเสรีภาพ๗๗-๗๘ ความเปน็ พลเมืองดีทางพระพุทธศาสนาจะ
เป็นเรื่องท่ีเชื่อมโยงถึงการเป็นพลเมืองที่เคารพศักด์ิศรีของความเป็นมนุษย์ คือยอมรับความแตกต่าง
และความเทา่ เทียมกนั ของทุกคนในสังคม โดยถือว่าความแตกตา่ งเปน็ เรอื่ งทางสังคม ทเี่ ป็นลกั ษณะของ
ความแตกต่างกันตามการทำหน้าที่การงานหรือตามวิถีแห่งการดำรงชีวิตของพลเมืองในมิติต่างๆ ไม่มี
ใครสามารถอ้างความเหนือกวา่ ผู้อื่นโดยชาตกิ ำเนดิ ผวิ พรรณ และอื่นใด ส่วนในแง่หลักแห่งการกระทำ
๗๖ ความมอี ารยะ” คือการเปน็ พลเมืองท่ีต้องถือปฏิบตั ิตามพระธรรมวินยั เชน่ การรู้จกั ควบคุมตนเอง มคี วาม
ประพฤติที่ดีงาม มีความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่น เคารพระเบียบในการอยู่ร่วมกันไปจนถงึ การแสดงความรับผิดชอบ
และการยอมรับผดิ เมื่อกระทำบกพรอ่ งผิดพลาด รวมท้ังมีความสุจริต กาย วาจาและอาชีวะ เป็นต้น
๗๗ หลักฐานอย่างหน่ึงท่แี สดงว่า พุทธศาสนาเถรวาทถือว่ามนษุ ยม์ เี สรีภาพในการเลือกก็คอื พทุ ธพจน์ทีต่ รสั ว่า
มนษุ ยม์ อี ารัพภธาตุ (ความรเิ ร่มิ ) นิกกมธาตุ (ความพากเพียร) และปรกั กมธาตุ (ความบากบ่ัน) (ส.ํ ม. (บาลี) ๑๙/๒๓๒/
๑๖๔) พุทธพจนน์ ี้แสดงว่า มนษุ ยส์ ามารถ “รเิ ริ่ม” อะไรใหมไ่ ด้ ไม่ใชถ่ ูกเหตุปัจจัยเดมิ ควบคุมบงั คับอย่างส้ินเชิง แตม่ ี
อสิ รภาพเสรภี าพในขอบเขตท่ีจำกัด; ดูใน “อิสรภาพและขอบเขตของมนุษย์” วัชระ งามจิตรเจรญิ , พุทธศาสนาเถร
วาท, พิมพค์ รงั้ ที่ ๒, (กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พิมพ์มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์, ๒๕๕๒), หนา้ ๓๖๓-๓๖๕.
๗๘ ชาญณรงค์ บุญหนุน, “พระพุทธศาสนากับการสร้างสรรค์ประชาธิปไตยว่าด้วยการเป็นพลเมืองที่ดี
ของสังคม”, วารสารบัณฑติ ศกึ ษาปรทิ รรศน์, หนา้ ๒๒.
๕๒
หรือในทางกฎหมายจะเป็นเรื่องท่ีเชื่อมระหว่างปัจเจกชนกับรัฐท่ีต้องมีความสัมพันธ์ต่อกันและกันใน
ระดับท่ีเหมาะสมและมีความยุติธรรม คือยกย่องคนท่ีควรยกย่อง ติเตียนคนท่ีควรติเตียน และลงโทษ
อย่างเหมาะสมแกค่ นทค่ี วรถูกลงโทษ รัฐตอ้ งทำให้ทกุ คนอยู่ใต้มาตรฐานกฏเกณฑเ์ ดยี วกัน๗๙
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทำให้อาจกล่าวสรุปได้ว่า ความเป็นพลเมืองดีในทัศนะของ
พระพุทธศาสนา จะเป็นสภาวะของการเป็นพลเมืองที่มีความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชน
ประชาชนกับสังคมหรือกับรฐั ท่ีมีทฤษฎเี รื่องของสัญญาประชาคมเข้ามาเก่ียวข้อง โดยเฉพาะท่ีเกยี่ วกบั การ
ใช้สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ซึ่งสะท้อนใหเ้ ห็นถึง พฤติกรรม ความสามารถ และบทบาทหน้าท่ีของ
ประชาชนในฐานะพลเมือง ท่ีมตี ่อปัจเจกบุคคล สงั คมในด้านตา่ งๆ ตลอดจนถงึ ความสัมพนั ธท์ ่มี ีต่อรฐั ได้
อย่างเหมาะสมในการอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขภายใต้รูปแบบการปกครองของรัฐท่ีมีอธิปไตยและกติกา
สงั คมเดียวกนั
๒.๓.๑.๓ ความเป็นมาของความเปน็ พลเมืองในพระไตรปฎิ ก
ในอัคคัญญสูตร แม้พระพุทธองค์จะไม่ได้ทรงแสดงถึงการเกิดขึ้นของพลเมืองโดยตรง
แต่ก็ได้บ่งบอกถึงแนวคิดความเป็นพลเมืองท่ีปรากฏขึ้นในปฐมบทแห่งสังคมมนุษย์สมัยยุคแรกๆของ
วิวัฒนาการของโลก ดงั ท่ีพระพุทธองค์ทรงตรัสแกส่ ามเณรวาเสฎฐะและสามเณรภารทวาชะเพื่อท่ีจะ ให้
เห็นภาพที่ชัดเจนในววิ ัฒนาการ-การกำเนิดแห่งสังคม-รัฐ-การเกดิ ขึ้นของแนวคิดสัญญาประชาคมและ
พลเมอื ง ดงั ความตอนหนึ่งวา่
สมัยหน่ึง คร้ันเวลาล่วงเลยมาช้านานโลกน้ีเส่ือม เม่ือโลกกำลังเสื่อม เหล่าสัตว์
ส่วนมากไปเกิดที่พรหมโลกชั้นอาภัสสรมีปีติเป็นภักษา คร้ันเวลาล่วงเลยมาโลกน้เี จริญขน้ึ เม่ือโลกกำลัง
เจริญข้ึน เหล่าสัตว์ส่วนมากจุติจากพรหมโลกชั้นอาภัสสรมาเกิดเป็นมนุษย์ นึกคิดอะไรก็สำเร็จได้ตาม
ปรารถนา มีปีติเป็นภักษา มีรัศมีซ่านออกจากร่างกาย เที่ยวสัญจรไปในอากาศ อยู่ในวิมานอันงดงาม
สถิตอย่นู านแสนนาน
สมัยนั้นทั่วจักรวาล มืดมนอนธการ ไม่มีดวงจันทร์ ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีดวงดาว
ไม่ปรากฏกลางคืน กลางวัน เดือน ฤดู ปี แมแ้ ต่ชายหญิงกไ็ ม่ปรากฏ มีชื่อเพียงวา่ สัตว์ เท่าน้ัน ต่อมาเกิด
ง้วนดิน, สะเก็ดดิน,เครือดินและข้าวสาลีโดยลำดับ มีการทดลองล้ิมรสจนเกิดตัณหาขึ้น วัน-เดือน-ปี-
ฤดูกาล-ดวงดาวก็ปรากฏ เพศหญิงเพศชายก็ปรากฏ มีการเสพเมถุนธรรม มีความโลภ ขี้เกียจ แย่งชิง
ลักขโมยกนั ข้ึน จนเกดิ สถาบนั ทางสงั คม เช่น กษตั รยิ ์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร ข้นึ มา๘๐ เป็นต้น
๗๙ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๑๑๑-๑๔๐/๘๓-๑๐๔.
๘๐ คุณสมบัติของบุคคลที่จะเป็นหัวหน้า ประกอบด้วยคุณสมบัติ ๔ ประการ คือ ๑) ต้องเป็นคนที่มีรูปร่าง
สวยงามยงิ่ กว่าใคร (อภิรูปตโร) ๒) เป็นคนท่ีนา่ ดนู ่ามองย่ิงกว่าใคร (ทัสสนยี ตโร) ๓) เป็นคนท่ีนา่ เล่ือมใสศรัทธายิ่งกว่า
ใคร (ปาสาทิกตโร) ๔) เป็นคนท่ีมีความสามารถมากกว่าใคร (มเหสักขตโร) ; ดูใน สิรภพ เหล่าลาภะ, พุทธศาสตร์
การเมือง, (กรงุ เทพมหานคร : สหธรรมิก จำกดั , ๒๕๔๕), หน้า ๑๐๖-๑๐๗.
๕๓
๑) ความเป็นพลเมืองในยุคโบราณ
ในอัคคัญญสูตร นอกจากจะกล่าวถึงวิวัฒนาการต่างๆ ที่เกิดข้ึนอย่างเป็นขั้นเป็น
ตอน โดยเริ่มจากการเกิดปญั หาขนึ้ ในสังคม จนถึงเป้าหมายและวิธกี ารแก้ปัญหา ในพระสตู รยังได้แสดง
ให้เห็นถึงแนวคิดความเป็นพลเมืองที่ปรากฏข้ึนครั้งแรกในยุคปฐมบทสังคมโบราณสมัยนั้นว่า มีการ
ปกครองโดยบุคคลท่ีประชาชนในชุมชนหรือรัฐได้แต่งตั้งข้ึน (การเกิดขึ้นแห่งสัญญาประชาคม) เพ่ือให้
มามีอำนาจและหน้าที่เป็นหัวหน้าหรือผู้นำ ทำหน้าที่ในด้านการดูแล รักษาทรัพย์สิน และมีหน้าที่
พิจารณา ตำหนิ ขับไล่บุคคลผู้ทำผิด หรือตัดสินช้ีขาดระงับกรณีพิพาทต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนในสังคม
โดยพจิ ารณาสรรหาคัดเลือกผทู้ ีม่ ีคณุ สมบัติเหมาะสม บุคคลผู้ทมี่ ีรูปงาม ผิวพรรณดี๘๑ มีมารยาทงดงาม
บริบูรณ์ด้วยอาการทงั้ ปวงให้เป็นพระราชา (ผู้นำหรอื ตัวแทน) ของกลุ่มตน ขณะเดียวกันก็แบ่งปันข้าว
สาลีใหแ้ กผ่ ้ทู ำหน้าที่ (ภาษี) ดังความท่ปี รากฏวา่
วาเสฏฐะและภารทวาชะ ครน้ั น้ันสัตว์ทั้งหลายจึงได้ประชุมกันปรับทุกข์กนั ว่า ท่านผู้เจริญ
บาปธรรม ปรากฏในหมู่สัตว์แล้ว คือการถือเอาส่ิงท่ีเจ้าของไม่ได้ให้จักปรากฏ การครหาจักปรากฏ
การพูดเท็จจกั ปรากฏ การถอื ฑณั ทาวุธจกั ปรากฏ ทางทีด่ ีพวกเรา ควรสมมต (แตง่ ต้ัง) สัตว์ผู้หนงึ่ ซ่ึงจะ
ว่ากล่าวผู้ทคี่ วรว่ากล่าว ติเตียน ผูท้ ่ีควรติเตียน ขับไล่ผทู้ ี่ควรขับไล่โดยชอบ พวกเราจักแบ่งปันข้าวลาลี
ให้แก่สัตวผ์ นู้ ้นั ๘๒
ขอ้ ความดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ความเป็นพลเมืองในยุคสมัยปฐมบทโลก
อันเป็นการแสดงออกของประชาชนหรือมวลสมาชิกทั้งหลายในชุมชนโบราณ ท่ีใช้สิทธิเสรีภาพ และ
ความเสมอภาคอย่างเท่าเทียมกัน แต่งต้ังประมุขหรือผู้นำข้ึนมา เพ่ือทำหน้าท่ีแทนตน ซ่ึงบทบาทของ
ประชาชนในการเข้าไปมีส่วนร่วมคัดเลือกผู้นำและมอบอำนาจของตนให้แก่ผู้นำน้ี ถือเป็นหน้าท่ีพลเมือง
อย่างหนึ่ง อันเป็นหลักการที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับรัฐ ซึ่งในพระสูตรได้แสดงถึง
ความสัมพันธ์ดังกลา่ ว ๒ ประการ คือ ประการแรก เพือ่ คัดเลือกผู้ปกครองชุมชนให้ทำหนา้ ทใี่ นการดแู ล
นาข้าวสาลี คือ ใครต้องการข้าวสาลี ขัตติยะ (ผู้ปกครอง) ก็จะเป็นผู้อนุญาต หรือ ใครแอบขโมย
ขัตติยะ จะเป็นผู้จับกุมผู้นั้นมาลงโทษ ประการที่สอง เพื่อสร้างความสุข ความยินดีให้กับผู้อยู่ใต้
ปกครองอนั เนื่องมาจากการแก้ปัญหาข้อแรกไดส้ ำเรจ็ ๘๓ ด้วยเหตนุ ้ี ความเปน็ พลเมอื งในยุคโบราณจงึ มุ่ง
ที่เป้าหมายการอยู่ร่วมกันทางสังคมเป็นสำคัญ โดยมีเป้าหมายที่มีคุณธรรมเป็นพ้ืนฐาน ส่วนการแบ่ง
หน้าที่การงานตามความถนัดของแต่ละบุคคลนั้น ถือเป็นลักษณะทางสังคมอย่างหนึ่ง ท่ีเรียกว่าวถิ ีการ
๘๑ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๑๓๐/๙๖.
๘๒ ทวี ผลสมภพ. ปัญหาปรัชญาในการเมืองของโลกตะวันออก, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๓๔), หนา้ ๖๓.
๘๓ จำนงค์ อดิวัฒนสิทธิ์. สังคมวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์, พิมพ์ครั้งท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ๒๕๔๘), หน้า ๓๗, หรือดู M.N. Srinivas, Caste in India and Other Essays,
(Bombay : Asia Publishing,1962), p. 3.
๕๔
ดำรงชีวติ ของพลเมอื งในมิติต่าง ๆ เช่น กษัตรยิ ์ พรามหณ์ แพศท์ สตู ร ซ่ึงไม่มีส่วนเกีย่ วข้องแห่งระบบ
ชนชั้นวรรณะอยา่ งทศี่ าสนาพราหมณ์ใช้เป็นเครื่องมอื ในการแบ่งชนชัน้ ทางสังคมแตอ่ ย่างใด
กล่าวโดยสรุปแล้ว ความเป็นพลเมืองในยุคโบราณนั้น จะเป็นความสัมพันธ์ของมนุษย์
ระหว่างมวลสมาชิกที่พึงมีต่อบุคคล สังคม และรัฐ มิใช่ความสัมพันธ์แบบชนช้ันวรรณะอย่างที่พวก
พราหมณ์เข้าใจกัน หรืออย่างเจ้านายกับข้าทาสอย่างท่ีปรากฏในสังคมศักดินาหรือยุคสมบูรณาญา
สทิ ธริ าชย์ และแมร้ ูปแบบจะยังคงเปน็ ลักษณะของราษฎรกับขัตติยะ (ผู้ปกครอง) แต่มติ ิทางสังคมสมัย
นน้ั จะมีความเสมอภาคกันของพลเมืองในสองประการ คือ ประการแรก ความเสมอภาคทางสงั คม ไดแ้ ก่
การมีสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคที่เท่าเทียมกัน และประการที่สอง ความเสมอภาคของบุคคล
ทางการประพฤตปิ ฏบิ ัติ ไดแ้ ก่ สิทธิในทางเศรษฐกิจ และกฎหมาย คือ ทุกคนมีความเสมอภาคอย่างเท่า
เทียมกัน ใช้กติกาเดียวกัน ดังน้ัน ความเป็นพลเมืองยุคสมัยปฐมบทโลกจึงเป็นเอกสิทธขิ์ องประชาชน
ท้ังหลายที่เป็นพลเมือง เช่น การใชส้ ิทธิในการเลือกตงั้ (ผ้นู ำ) เปน็ ต้น
๒) ความเปน็ พลเมืองในยคุ สังคมอนิ เดยี โบราณและสมยั พุทธกาล
ต่อมาในยคุ สมัยสังคมอินเดยี โบราณ ความเปน็ พลเมืองของมวลสมาชิกของสังคมหรือ
รัฐได้ถูกลดความสำคัญลงไปด้วยระบบของชนชั้นวรรณะ(Class System) หรือ (Caste System)๘๔
เน่อื งจากลักษณะท่บี ่งบอกถึงความสมั พนั ธก์ ันในทางสังคมสมัยอดีต ทเ่ี ป็นการแบ่งตามหนา้ ที่และอาชีพ
การงานตามวถิ ีการดำรงชีวติ ของพลเมอื งในสังคมนนั้ ไดถ้ ูกอทิ ธพิ ลของศาสนาพราหมณ์ที่มคี วามเจริญ
รุ่งเรื่องในสงั คมอินเดียโบราณขณะน้ันครอบงำจนทำให้เกิดความเข้าใจท่ีบิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง
ด้งั เดิม จนเกิดการจำแนกสังคมออกเป็นชนช้นั วรรณะข้ึน สอดคล้องกับกรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย ท่ีได้
ให้ทัศนะไว้ว่า “เดิมทีระบบวรรณะเป็นการแบ่งหน้าที่และอาชีพให้แก่คนในสังคมมีความยืดหยุ่นไม่
เขม้ งวด แต่ต่อมาไดเ้ สื่อมความหมายเดมิ กลายเปน็ ประเพณที ่ีถือกนั แบบเถรส่องบาตร วรรณะสงู เอารัด
เอาเปรียบ เหยียดหยามและเหยยี บยาํ่ วรรณะตา่ํ ทง้ั น้ีดว้ ยเหตทุ างผลประโยชน์เป็นสำคัญประการหนึ่ง”๘๕
และได้กลายเป็นประเพณีถ่ายทอดสืบมาหลายชั่วอายุคนนับเป็นพัน ๆ ปี แม้เข้าสู่ยุคสมัยพุทธกาล
ความคิด ความเช่อื เร่ืองของวรรณะ ก็ยังคงปรากฏเปน็ ชนช้ันทางสังคมอยา่ งเข้มแข็ง ซ่ึงสอดคลอ้ งกับท่ี
R.C. Majumdar ปรชั ญาตะวันตกทา่ นหน่งึ ทีอ่ ธิบายว่า แนวคดิ เรอื่ งวรรณะน้ี มีสาเหตุเกดิ จากความเช่ือ
ทางศาสนาในสังคมฮินดูที่ปรากฏในคัมภีร์ปุรุษะ-ศุกตะแห่งฤคเวทของศาสนาฮินดู๘๖ โดยวรรณะ
พราหมณ์เป็นผู้กำหนดข้ึนมาเพี่อควบคุมคนในสังคมหรือของรัฐอินเดียโบราณ โดยพราหมณ์ได้สร้าง
๘๔ กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย. ภารตวิทยา, พิมพ์คร้ังที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ศยาม, ๒๕๔๓),
หน้า ๒๘.
๘๕ R.C. Majumdar, et.al, Advanced History of India, (Madras : Macmillan Company of India,
3rd edition, reprinted, 1976), p.31.
๘๖ Ibid., p. 31.
๕๕
บทบาทตนเองให้มคี วามสำคญั ให้มีบทบาทสำคญั ย่ิงกวา่ กลุ่มชนอ่นื ยกยอ่ งพระพรหมท่ตี นสรา้ งให้เป็น
บรรพบุรุษ โดยอ้างว่ามนุษย์ถือกำเนิดมาจากองคาพยพของพระพรหม และแบ่งมนุษย์ออกเป็น ๔
วรรณะ สร้างค่านิยมในสังคมว่าพราหมณ์ถือกำเนิดมาจากพระโอษฐ์ของพระพรหม กษัตริย์นักรบถือ
กำเนิดมาจากพระพาหา (แขน) ของพระพรหม แพศย์ถือกำเนิดมาจากพระอุทร (ท้อง) ของพระพรหม
ศูทรถือกำเนิดมาจากพระเพลา (ขา) เท้าของพระพรหม๘๗ เมื่อพราหมณ์อ้างพระพรหมว่าเป็นผู้สร้าง
มนุษย์ ทัง้ อ้างว่าพวกของตนมีกำเนดิ มาจากปากของพระพรหม จงึ เป็นเหตใุ ห้พวกพราหมณแ์ ละกษัตรยิ ์
มสี ถานภาพทางสังคมสูงกว่าคนวรรณะอื่น ๆ ระบบวรรณะจึงกลายเป็นปญั หาสำคญั ในแว่นแคว้นหรือ
ของรัฐอินเดียโบราณ และเมื่อเข้าสู่ยุคสมัยพุทธกาล ระบบวรรณะก็ยังคงครอบงำสังคมอินเดียเอาไว้
อย่างเหนียวแน่น โดยไดม้ กี ารปฏบิ ัติอยา่ งเคร่งครดั และแพร่หลายไปทวั่ สังคมอินเดยี พระพทุ ธเจ้าขณะ
เปน็ เจ้าชายสทิ ธตั ถะก็ทรงอยูภ่ ายใต้กฎเกณฑ์ของระบบวรรณะด้วยเชน่ กนั ดังจะเห็นในตอนต่าง ๆ แห่ง
พทุ ธประวัติซ่ึงพระบดิ าของพระองคพ์ ยายามฝึกอบรมพระองคใ์ ห้ปฏิบัติตามกฎแห่งวรรณะกษตั ริย์ เช่น
เรียนรู้วิชาการปกครอง วิชาการรบพุ่ง การขี่ม้า การยิงธนู เป็นต้น ซึ่งเฉพาะผู้อยู่ในวรรณะกษัตริย์
เท่าน้ันที่มีอภิสิทธิ์ในการเรียนรู้และการฝึกอบรมดังกล่าว และภายใต้บริบททางระบบชนช้ันดังกล่าว
พลเมืองของอินเดียโบราณส่วนใหญ่ จึงอยู่ในฐานะของผู้ที่ไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจในกิจการ
สาธารณะ และกิจกรรมทางการเมืองของรัฐ ซ่งึ สอดคลอ้ งกับขอ้ มลู ทางการศึกษาของ Max Weber นัก
ปรัชญาคนสำคัญท่านหน่ึงชาวเยอรมันท่ีกล่าวยืนยันว่า “แนวความคดิ เรื่องพลเมืองไม่มีปรากฏในโลก
ของอนิ เดยี และมุสลิม”๘๘
ความเป็นพลเมืองของอินเดียโบราณและสมัยพุทธกาลจึงมีเฉพาะชนช้ันสูงหรือชนช้ัน
ปกครองเท่านั้นที่เข้าข่ายการเป็นผู้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมืองการปกครอง ทั้งนี้พลเมือง
(Citizen) ส่วนใหญ่จึงอยู่ในสภาพกลุ่มชนหรือบุคคลท่ีถูกจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งสิทธิและเสรีภาพในการเลือกอาชีพการงานและในการพัฒนาตนเอง ดังท่ี ดร.จำนงค์ อดิวัฒน
สทิ ธ์ิ กล่าวว่า ระบบวรรณะเปน็ ระบบที่ไม่สง่ เสริมให้บุคคลมคี วามคิดรเิ รม่ิ และไม่สรา้ งแรงจูงใจให้บุคคล
ใฝ่สัมฤทธิ์ เพราะว่าการแบ่งหน้าท่ีการงานของบุคคลไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความสามารถ แต่อยู่บน
พื้นฐานของกฏทางสังคมซึ่งดูจะไม่เป็นธรรมเท่าท่ีควร๘๙-๙๐คือ มิได้อยู่ในฐานะพลเมืองของรัฐ มีแต่
ความสัมพันธ์แบบระบบชนชั้นวรรณะ และประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพในการเข้าร่วมกิจกรรมทางการ
๘๗ Ibid., R.C. Majumdar, et.al, Advanced History of India, p.31.
๘๘ R.C. Majumdar, Ancient India 6th, (Varanasi : Motilal Banarasidass, 1994), p. 48.
๘๙ Max Weber, อ้างใน ธเนศวร์ เจริญเมือง, “พลเมือง : นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่”, เอกสารชุดความรู้เก่ียวกับ
ประชาธิปไตย, (เชียงใหม่ : สถาบนั ลา้ นนาประชาธปิ ไตย, ๒๕๕๓), หน้า ๑๓.
๙๐ จำนงค์ อดิวัฒนสิทธ์ิ. สังคมวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์, พิมพ์คร้ังที่ ๒. (กรุงเทพมหานคร :
สำนกั พมิ พม์ หาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ๒๕๔๘), หน้า ๘๒-๘๓.
๕๖
เมืองของรัฐ ความเป็นพลเมืองของอินเดียโบราณจึงอยู่ในอำนาจของพลเมืองท่ีเป็นชนชั้นวรรณะสูง
อยา่ งแทจ้ ริง
กลา่ วโดยสรปุ แล้ว ความเป็นพลเมืองในยุคอินเดียโบราณและสมยั พุทธกาลจงึ เป็นเรื่องของ
ระบบฐานันดรหรือระบบวรรณะ ไม่ใช่ความสัมพนั ธร์ ะหว่างประชาชนกบั รัฐ และความสัมพันธ์เช่นนี้ได้
โอบอุ้มสังคมอินเดยี โบราณมาโดยตลอด ด้วยเหตนุ ้ี ความเป็นพลเมืองในยคุ สมยั อินเดียโบราณและสมัย
พุทธกาล จึงมักเปน็ เอกสิทธข์ิ องชนชัน้ วรรณะสงู ซ่ึงมีอสิ ระท้ังด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ความคิด
และการปฏบิ ตั ิหนา้ ที่ในฐานะพลเมืองของรัฐ
๓) ความเป็นมาของความเปน็ พลเมอื งในพระพทุ ธศาสนา
พระพุทธเจ้า แม้จะทรงถูกหล่อหลอมด้วยแนวความคิดคติของพราหมณ์มาต้ังแต่
พระองค์ยังทรงพระเยาว์ แต่เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้แจ้งความจริงใน
สรรพสิง่ โดยธรรมชาติ ทำให้พระองค์มองเห็นคุณค่าและความสำคัญในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เสมอ
เหมือนกัน ท้ังในแง่ของสิทธิ ความเสมอภาค และความยุติธรรมทางสังคม ซ่ึงต่อมาพระองค์ทรงสร้าง
แนวคิดความเป็นพลเมืองในแง่ของลักษณะการรวมตัวกันเป็นประชาสังคม(Civil Society) ในรปู แบบ
ของชมุ ชนเข้มแขง็ ท่เี รยี กวา่ “สังฆะ” ข้ึนมา ด้วยการประกาศคำสอนเพื่อให้เกิดผลในทางความเชื่อแบบ
ใหมแ่ ก่ประชาชน ท่ามกลางอทิ ธพิ ลค่านิยมของศาสนาพราหมณ์ในขณะน้นั โดยทรงชี้แนะ พร่ําสอนตรง
ข้ามกับความเชอ่ื ด้งั เดมิ กล่าวคอื
๑) ปฏิเสธเรื่องพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก แต่สอนว่าโลกปรากฏเกิดขึ้นตามธรรมชาติ
กรรมเปน็ ผู้สรา้ งสรรค์สัตว์และทำใหต้ ่างกันเพราะการกระทำของตน พุทธศาสนิกต้องเช่ือมั่นในผลของ
กรรม เรียกวา่ “กรรมลขิ ิต”
๒) ปฏิเสธระบบวรรณะ ให้สิทธเิ สรภี าพแกผ่ ู้เขา้ มาในระบบสังฆะโดยไม่เลือกชนช้ัน
๓) ไม่ผกู ขาด คอื ให้สิทธเิ สรีภาพแก่ผู้นับถอื สอนให้คนเป็นใหญ่ในตัวเอง เคารพตนเอง
ยึดเอาตนเองเป็นท่ีพ่ึง การกระทำของตนเป็นการช้ีโชคชะตาของผู้กระทำ การกระทำทุกอย่างเป็นไป
ด้วยเหตุผล ไม่สอนให้คนเช่ืองมงาย
๔) สอนให้ดำเนินตามทางสายกลาง อาศัยเหตผุ ลเปน็ แนวทางแหง่ การปฏิบัติ
๕) ปฏิเสธการบูชายัญ โดยสอนให้ศาสนิกแผ่เมตตาและความรักใคร่ไปยังสรรพสัตว์
โดยไม่มีประมาณ ไมแ่ สวงหาความสุขที่ได้มาจากความทุกข์ของคนอ่ืน โดยถือหลักว่า เม่ือสัตว์อื่นมีสุข
เราย่อมมสี ุขดว้ ย๙๑
แนวคิดความเป็นพลเมือง ในรูปแบบชุมชนเข้มแข็งที่เรียกว่า “สังฆะ” น้ี ทรงต้ังข้ึนโดยมี
วัตถุประสงค์ท่ีสำคัญคือ การจัดระเบียบสังคมใหม่เพ่ือกำจัดการถือชนชั้นวรรณะ ไม่ให้ถือเอาชาติ
๙๑ กระทรวงศึกษ าธิการ, ประวัติพ ระพุ ท ธศาสนาแห่ งกรุงรัตน โกสิ นท ร์ ๒ ๐ ๐ ปี ภาค ๑ ,
(กรงุ เทพมหานคร : กรมการศาสนา, ๒๕๒๕), หนา้ ๒๖.
๕๗
กำเนิดเป็นเคร่ืองแบ่งแยกความสูงต่าํ และสิทธิความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ และรับคนทุกวรรณะ
ให้เข้ามาพัฒนาตนเอง โดยพระองค์ทรงบัญญัติศีลหรือวินัย๙๒ (Discipline) หรือกฎระเบียบท่ีเรียกว่า
สาชีพ คือ ข้อปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ๙๓ สำหรับให้พลเมืองของสังฆะผู้อยู่ร่วมกันไว้เป็นข้อ
ปฏิบัติสำหรับควบคมุ กาย และวาจา ใหต้ ้ังอยู่ในความดีงาม เพอ่ื สร้างความสัมพันธ์ท่ีดีต่อกัน ดำรงชีวิต
อยู่อย่างปกติ รวมท้ังความมีอาชีวะสุจริตเพื่อรกั ษาสังคมไม่ให้เดอื ดร้อนไร้ระเบียบ ทำให้สังคมมีความ
สงบร่มเย็น โดยการปฏิบัติตามระเบียบวินัยของสังคม กล่าวคือ (๑) ทรงบัญญัติศีล ๕ สำหรับอุบาสก
อุบาสิกา (๒) ศีล ๘ สำหรับฆราวาสที่ปฏิบัติธรรม (๓) ศีล ๑๐ สำหรับสามเณร (๔) ศีล ๒๒๗ สำหรับ
พระภิกษุ และศีล ๓๑๑ สำหรับภิกษุณีบริษัท เพื่อส่งเสริมสมาชิกในสังคมให้เกิดความสมานฉันท์ สรา้ ง
ความสามัคคี เพ่ือนำไปสู่ความเป็นพลเมืองท่ีมีคุณภาพหรือความเป็นอริยชน (พระอรหันต์) ซึ่งเป็น
เป้าหมายในพระพทุ ธศาสนา
ความเป็นพลเมืองท่ีถกู รองรบั ดว้ ยพระธรรมวินัยนี้ จึงสะท้อนหลักความสามารถในการอยู่
รว่ มกนั ซงึ่ หมายถึงหลกั การประพฤติปฏิบัตหิ รือการดำเนินชีวิตของการเป็นพลเมอื ง อันเป็นแบบ อย่าง
แห่งสังคมที่พึงปรารถนาเป็นสังคมท่ีสงบสุข ปราศจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน สมาชิกที่เป็น
พลเมืองในสังคมมีความรกั ความเออื้ เฟือ้ เผือ่ แผ่ใหแ้ กก่ ันและกัน มคี วามสมานสามัคคี เคารพสิทธิ และ
ความเสมอภาคของพลเมอื งท่เี ป็นมวลสมาชิกในสังคม
๙๒ วินัย หมายถึง ระเบียบ กฎเกณฑ์ข้อบังคับสำหรับควบคุมความประพฤติทางกายของคนในสังคมให้
เรียบร้อยดีงาม เป็นแบบแผนเดยี วกนั จะได้อย่รู ่วมกนั อย่างปรกติสุข ไมก่ ระทบกระทั่งซงึ่ กันและกนั วินัยจึงเป็นส่ิงท่ี
ใช้ควบคุมคน ใหค้ นเราใช้ความรู้ ความสามารถไปในทางท่ถี ูกทคี่ วร อย่างไรก็ตามเนือ่ งจากชาวพุทธ มีทง้ั คฤหัสถ์และ
บรรพชิต ดงั นน้ั วินัยทางศาสนาจงึ มี ๒ ประเภท คอื ๑. อนาคาริยวินัย วินัยสำหรับผ้อู อกบวช ได้แก่ วนิ ยั ของพระภิกษุ
และสามเณร ๒. อาคาริยวินัย วินัยสำหรับผู้ครองเรือน หรือประชาชนชายหญิงท่ัวๆ ไป อนาคาริยวินัย จะแบ่ง
ออกเป็น ๒ ส่วน คือ ๑) อาทิพรหมจริยกาสกิ ขา หมายถึงหลกั การศึกษาอบรมในฝ่ายบทบัญญัติหรือข้อปฏิบตั ิอนั เป็น
เบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ท่ีพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้เป็นพุทธอาณา เพื่อป้องกันความประพฤติเสียหายและวางโทษ
แก่ภิกษผุ ู้ลว่ งละเมดิ โดยปรับอาบัติหนกั บา้ ง เบาบา้ ง ทเ่ี รียกวา่ พระปาติโมกข์ และ ๒) อภิสมาจาริกาสกิ ขา หมายถึง
หลักการศึกษาอบรมในฝา่ ยขนบธรรมเนียมเกี่ยวกบั มรรยาทและความประพฤติ ความเป็นอยู่ของพระสงฆใ์ ห้ดีงาม มี
คณุ ค่า นา่ เล่ือมใสศรทั ธาย่ิงข้นึ ไป อาคารยิ วินยั วนิ ยั สำหรบั คฤหสั ถผ์ ูค้ รองเรือนหรือประชาชนทว่ั ๆ ไป ท่ีสำคญั คอื ศีล
๕ และศีล ๘ สำหรับคฤหัสถ์ท่ีปฏิบัติธรรม ศีล แปลว่า ปกติ เป็นวินัยทางธรรมเบ้ืองต้นของคนเป็นเคร่ืองจำแนกคน
ออกจากสัตว์ ศีล ๕ คือ ๑. ไม่ฆา่ ๒. ไม่ลัก ๓. ไม่ลว่ งในกาม ๔. ไมห่ ลอกลวง ๕. ไม่เสพของมึนเมา และศีล ๘ เพิ่มข้อ
ที่ ๖-๘ คือ ๖. เว้นจากการกินอาหารยามวิกาล ๗. เว้นจากการตกแต่งเครอื่ งประดับ ของหอม และการดูการละเลน่ ๘.
เว้นจากการนอนบนที่นอนอันนุ่มและสูงใหญ่, ศีลระดับเบื้องต้น ๕ ข้อแรกนั้นเกิดมีมาก่อนการอุบัติข้ึนของ
พระพุทธศาสนา ถือเป็นข้อปฏิบัติอันเกิดขึ้นมาโดยสามัญสำนึกและเกิดข้ึนพร้อมกับโลกเพื่อรักษาความปกติสุขของ
โลกไว้ และท่สี ำคญั ศลี ยังใชเ้ ป็นเครอื่ งวดั ความเป็นคนดีได้อกี ดว้ ย.
๙๓ วิ.มหา.(ไทย) ๑/๔๕/๓๓.
๕๘
กล่าวโดยสรุปแล้ว ความเป็นพลเมืองหรือความเป็นอริยชนในพระพุทธศาสนา จะเป็น
ลกั ษณะของความสัมพนั ธ์ระหวา่ งมวลสมาชิกที่พึงมตี ่อกัน และมิใช่ความสมั พันธ์แบบระบบชนชั้นหรือ
ความเป็นชนชาติตระกูลใด แต่ข้ึนอยู่กบั ความประพฤติทางกายและวาจาท่ีดีงาม มีความสัมพันธ์ทีด่ ีกับ
บุคคลอ่ืน รวมท้ังมีความสุจริต กาย วาจาและอาชีวะ ทั้งนี้ความเป็นพลเมืองดีในพระพุทธศาสนาต้องมี
ความเคารพและให้ความสำคัญถือปฏิบัตติ ามพระธรรมวินัยเป็นหลกั ซ่ึงสมาชิกของระบบสงั ฆะจะต้อง
ยดึ ถือเป็นแนวทางปฏบิ ัติที่เสมอเหมือนกนั หมด หากเทยี บกับระเบียบวินัยหรอื กฎเกณฑ์ของสงั คมท่ัวไป
ก็คือ ข้อกฎหมายหรือกติกาข้อบัญญัติต่างๆ ที่สมาชิกในสังคมตกลงยอมรับร่วมกัน (Consensus
Universals) จนกลายเป็นพลงั ทางสงั คมท่มี ีอำนาจในการบงั คับใชใ้ ห้บคุ คลในสังคมปฏบิ ตั ิตาม และการ
เคารพในระเบียบวินัยก็คือการยอมรับกฎเกณฑ์ท่ีกำหนดสถานภาพและบทบาทให้พลเมืองได้ปฏิบัติ
โดยทกุ คนยอมรบั หลกั การร่วมกนั
๒.๓.๒ ความสำคัญของความเป็นพลเมอื งดที างพระพุทธศาสนา
ความสำคัญของความเป็นพลเมืองดีทางพระพุทธศาสนา จะเป็นลักษณะของการแสดงออก
ในความสามารถของประชาชนท่ีบ่งบอกถึงความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและส่วนรวม คือเป็นผู้ที่มี
ความรแู้ ละเข้าไปช่วยตัดสินใจในปัญหาสำคัญๆ ของสงั คม ชุมชนหรือของรัฐ โดยผลของการแสดงออกใน
ความเป็นพลเมืองดังกลา่ ว จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาระบบสงั คม และการเมืองการปกครอง
ดว้ ย ซ่ึงผวู้ ิจยั พอประมวลสรปุ ได้ดงั น้ี
๒.๓.๒.๑ ความเป็นพลเมอื งชว่ ยสง่ เสริมการพัฒนาศกั ยภาพมนุษย์ในเชงิ บคุ คล
ความเป็นพลเมืองเป็นพ้ืนฐานสำคัญท่ีช่วยส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ โดย
ความเป็นพลเมืองในความหมายนห้ี มายถึง พลเมืองท่มี ีความสามารถ (competencies) และพฤตกิ รรม
(behaviors)๙๔ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะพัฒนาตนเอง ซึ่งพระพุทธศาสนาเช่ือว่ามนุษย์เป็น
สัตวท์ ี่มเี หตุมีผล คิดเป็น มคี วามรู้ ความสามารถ สติปัญญา และสามารถทจ่ี ะพฒั นาศักยภาพของตนให้
สามารถดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้อย่างสันติสุขด้วยความมุ่งม่ันปรารถนาและค่านิยมอันเป็นพฤติกรรม
ภายใน ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมภายนอกด้านการกระทำที่ดี เพ่ือนำพาชีวิตสู่ความเจริญก้าวหน้า
พระพุทธศาสนาจึงยนื ยนั ในศักยภาพสูงสดุ ของมนุษย์ ยอมรบั ความสำคัญของมนษุ ย์วา่ “มนษุ ย์เปน็ สัตว์
๙๔ Hermann Josef and Ruud Veldhuis, อา้ งใน แสงรวี ไทยดำริ, ความไว้วางใจในการบริหารรัฐกิจกับ
ความเป็นพลเมืองของประชาชนในกรุงเทพมหานคร, วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย :
มหาวทิ ยาลัยรามคำแหง, ๒๕๕๐), หน้า ๓๗..
๕๙
ท่ีฝึกได้” และฝึกได้ถึงข้ันเป็นสัตว์ประเสริฐ๙๕ ดังพระพุทธพจน์ท่ีว่า “ทนฺโต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ แปลว่า
บรรดาหมู่มนุษย์ท้งั หลาย มนุษยท์ ฝ่ี กึ ฝนดีแลว้ เป็นผปู้ ระเสรฐิ สุด”๙๖
ในสมัยพุทธกาล แม้พวกพราหมณ์จะถือตัวว่าเป็นผู้ประเสริฐสูงสุด แต่พระพุทธเจ้าทรง
ปฏิเสธข้อน้ี โดยทรงให้ความสำคัญต่อคุณค่าและศักยภาพในการพัฒนาตนของมนุษย์ท่ีมีเสมอ
เหมือนกัน ไม่ว่ามนุษย์จะเกิดมาอย่างไร ถูกแบ่งชั้นวรรณะอย่างไรก็ตาม สาระอยู่ที่ว่า ทุกคนมีความ
เป็นคนทัดเทียมกัน นับต้ังแต่ศักด์ิศรีแห่งความเป็นมนุษย์ท่ีมีความเท่าเทียมกัน ตลอดจนถึงโอกาสใน
การประพฤติปฏบิ ตั ิธรรม และการบรรลธุ รรม ดังข้อความทท่ี รงตรัสว่า “กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู ร
คนจัณฑาล และคนเทขยะท้ังหลายล้วนแต่เป็นผ้สู งบเสง่ียม ฝึกตนแล้ว ลว้ นแตไ่ ด้ปรินิพพานเหมือนกัน
ทั้งหมด”๙๗ แสดงใหเ้ ห็นวา่ มนษุ ย์มคี วามสามารถท่จี ะพัฒนาศักยภาพของตนเองจากคนธรรมดาให้เป็น
มนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ เป็นการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง แก้ไข สรรคส์ รา้ งเก่ียวกับตนเอง เพือ่ นำไปสู่ความดี
ความงาม ความเจริญในตนเอง โดยมีความมุ่งหมายสูงสุด คือ การมีชีวิตที่มีคุณภาพ มีความสำเร็จใน
การปฏิบัติหน้าที่การงานและมีความสุข คือการสร้างความเป็นคนใหม่ในตนเองให้มีสุขภาพกายที่
แข็งแรง สุขภาพจิตที่ดี มีทักษะกำลังใจ มีจุดมุ่งหมายของชีวิต และเป็นมิตรกับบุคคลทั่วไป๙๘ และมี
ความพร้อมเพ่อื การเป็นสมาชิกในสังคมท้ังท่เี ป็นทางการและไมเ่ ป็นทางการเป็นผทู้ ่ีสงั คมยอมรับในการ
มีบทบาทมีส่วนร่วมต่อกิจกรรมของสังคมเสมอๆ เสียสละความสุขความสะดวกสบายส่วนตน เพ่ือ
ประโยชนข์ องสังคมสว่ นรวม๙๙
ด้วยเหตุดังกล่าวมาจะเห็นได้ว่า ความเป็นพลเมืองเป็นส่ือเช่ือมโยงท่ีแสดงออกถึงความ
สามารถและพฤติกรรมของบุคคลท่ีทรงคุณค่าและเป็นพ้ืนฐานสำคัญต่อการพัฒนาความสามารถและ
ศักยภาพของมนุษย์ให้เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพท้ังต่อตนเองและต่อสงั คม และเป็นมนุษยผ์ ู้ประเสริฐสุด
บรรลถุ ึงนิพพานตามแนวทางประพฤติปฏิบัตขิ องพระพทุ ธศาสนาได้
๙๕ จติ รกร ตั้งเกษมสุข. หยาดเพชรหยาดธรรมภูมปิ ัญญาเพอ่ื การศึกษาไทย, (กรุงเทพมหา นคร : เฟือ่ งฟ้า
การพิมพ์, ๒๕๔๗), หน้า ๒๓.
๙๖ พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต), จารกิ บุญ-จารึกธรรม, พิมพ์ครง้ั ที่ ๑๐, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท พมิ พ์
สวย จำกัด, ๒๕๔๗).
๙๗ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๗๓-๗๔/๔๓๔-๔๓๕.
๙๘ สงวน สุทธิเลิศอรุณ. พฤติกรรมมนุษย์กับการพัฒนาตน, (กรุงเทพมหานคร : หจก. ทิพยวิสทุ ธ์ิ, ๒๕๔๕),
หนา้ ๑๕๙.
๙๙ พระมหาสนอง ปัจโจปการี. มนุษย์กับสังคม, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๓), หนา้ ๑๕๒.
๖๐
๒.๓.๒.๒ ความเปน็ พลเมืองก่อใหเ้ กดิ สถาบันการเมืองการปกครอง
ความเปน็ พลเมอื งเป็นพนื้ ฐานสำคัญของระบบการเมืองการปกครอง คอื เป็นทม่ี าของ
กำเนิดระบอบการปกครองหรือรัฐข้ึน เช่นที่ปรากฏในอัคคัญญสูตร จะพบว่า สถาบันการปกครอง
เกิดขึ้นจากการสมมติของมหาชน อำนาจของผู้ปกครองเป็นอำนาจท่ีได้รับจาก “การยินยอม” ของ
ประชาคม (สัญญาประชาคม) ท่ีรวมตัวกันจัดสรรระบบอำนาจขึ้นมา โดยท่ีจุดมุ่งหมายหลักของการ
สถาปนาสถาบันปกครองก็เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแกส่ ังคมโดยทำหนา้ ท่ี “ลงโทษผู้สมควรลงโทษยก
ย่องผู้ท่ีควรยกย่อง” การแสดงออกของประชาชนที่มีต่อส่วนรวมนี้ ถือได้ว่าเป็นการเข้าไปใช้สิทธิ
เสรีภาพของความเป็นพลเมอื งในการตัดสินใจกำหนดทศิ ทางแก้ไขปัญหาสำคัญ ๆ ของสังคม ของชมุ ชน
หรือของรัฐ คัดเลือกผนู้ ำของตนเพื่อคอยปกปอ้ งคุ้มครองคนดี ลงโทษคนผดิ โดยประชาชนพรอ้ มใจกัน
สละผลประโยชน์ของตนหรือท่ีเรียกในปัจจุบันว่า “ภาษี” ให้เป็นค่าตอบแทน เมื่อเป็นเช่นนี้ คำว่า
“มหาชนสมมติ” ก็บังเกิดข้ึนเป็นอันดับแรก เพราะเหตุผู้ท่ีเป็นหัวหน้าเป็นใหญ่ยิ่งในแผ่นดิน คำว่า
“กษัตริย์” จึงบังเกิดขึ้นเป็นอันดับสอง และเพราะผู้ที่เป็นหัวหน้า ทำให้ผ้อู ื่นสุขใจ จึงเรียกว่า “ราชา”
เป็นอนั ดบั สาม ดงั ความทปี่ รากฏในพระสูตรตอนหนึ่งว่า
วาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะเหตทุ ีส่ ัตว์นั้นอันมหาชนสมมติ (แต่งต้ัง) ฉะนัน้ คำแรกว่า
“มหาสมมต มหาสมมต” จึงเกิดขึ้น เพราะเหตุที่สัตว์นั้นเป็นใหญ่แห่งที่นาทั้งหลาย ฉะน้ัน คำท่ี ๒ ว่า
“กษัตริย์ กษตั ริย์” จึงเกิดขึน้ เพราะเหตุทสี่ ัตวน์ ั้นใหช้ นเหลา่ อนื่ ยนิ ดีได้โดยชอบธรรม ฉะนั้น คำที่ ๓ ว่า
“ราชา ราชา” จงึ เกดิ ขึ้น ด้วยเหตดุ ังกลา่ วมานี้ จึงได้เกดิ มีแวดวงกษัตรยิ ข์ ้ึนแก่สตั ว์เหลา่ นนั้ ๑๐๐
พุทธพจน์นี้ สะท้อนทัศนะของพระพุทธศาสนาว่า สถาบันการเมืองการปกครองหรือรัฐ
เกดิ ขนึ้ จากความสมัครใจของมนุษย์หรือหมปู่ ระชาชน เริม่ แรกสงั คมยังอยู่ในวงแคบ มนษุ ย์อยกู่ ันอยา่ งมี
ความสุข พอสังคมเริ่มขยายวงกว้างออกไป ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปตาม
กาลเวลา กล่าวคือ เม่ือมนุษย์อยู่รวมกันมากข้ึน มักเกิดปัญหาทางสังคม เหตุเพราะเป็นเรื่องท่ี
เก่ียวกับสวัสดิภาพและชีวิตของมนุษย์ในการอยู่รวมกัน การที่มนุษย์มีความจำเป็นต้องอยู่ร่วมกัน มี
ความสมั พันธต์ อ่ กัน มนษุ ยจ์ ะต้องรวู้ ่าตนมสี ิทธิและหนา้ ทอ่ี ย่างใดบา้ งตอ่ สงั คม๑๐๑
จะเห็นได้ว่า สถาบันการเมืองการปกครองหรือรัฐ เกิดข้ึนจากการที่มวลประชาชนได้เข้า
ไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม เพ่ือแก้ไขปัญหาต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนในสังคมชุมชนของตนเอง ทำให้หมู่
ประชาชนร่วมกันพฒั นาความม่นั คงทางสงั คมดว้ ยการตดั สินใจรว่ มกนั เป็นการสะท้อนถึงการมีส่วนรว่ ม
๑๐๐ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๑๒๙-๑๓๑/๙๖-๙๗. “กษัตริย์” แปลว่า “ผู้เป็นใหญ่ในนา” (เขตฺตานํ อธิปติ) ซึ่ง
หมายถึงผู้ที่มอี ำนาจหน้าที่ในการแบ่งปันข้าวสาลี และเขตแดนให้เกดิ ความเท่าเทียมกัน ส่วน “ราชา” แปลว่า “ผูท้ ีย่ ัง
บุคคลเหล่าอื่นให้ยินดีโดยธรรม” (ธมฺเมน ปเร รญฺเชติ) หมายถึงผู้ที่ทำหน้าที่ในการสร้างความพอใจให้แก่ประชาชน
โดยธรรม
๑๐๑ สพุ ัตรา สุภาพ. ปญั หาสงั คม, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานชิ จำกัด, ๒๕๓๕), หนา้ ๑.
๖๑
ของประชาชนให้เป็นพลังสังคม คือเป็นพลเมืองท่ีเป็นผู้กระทำ เห็นประโยชน์ส่วนรวม และ
มีความรับผิดชอบ สถานะของพลเมืองดังกล่าวจึงเป็นผู้ผลิตหรือผู้สร้างระบอบการเมืองการปกครอง
หรอื รัฐขึน้ ดังน้นั มหาชนสมมติก็ดี กษัตริย์กด็ ี ราชากด็ ี สถาบันการปกครองกด็ ี ล้วนเกิดจากการใช้สทิ ธิ
เสรีภาพของความเปน็ พลเมอื งหรือการยอมรับของประชาชนท้ังสิ้น
๒.๓.๒.๓ ความเปน็ พลเมืองชว่ ยสง่ เสรมิ ความรักความสามัคคีและความม่นั คงของรฐั
ความเป็นพลเมืองเป็นพื้นฐานสำคัญทที่ ำให้สังคมและประเทศชาตเิ กดิ การพัฒนาอย่าง
มนั่ คง ในมหาปรินพิ พานสูตร แสดงให้เห็นว่า รัฐหนึง่ ซ่ึงเจริญรงุ่ เรืองและมชี ่ือเสียงมาก คอื รัฐวชั ชี เป็น
รฐั ท่ีพลเมอื งมีความสมานสามัคคีเข้มแข็งทัง้ ในทางเศรษฐกจิ และการทหาร แมพ้ ระเจ้าอชาตศตั รูแหง่ รัฐ
มคธก็ไม่สามารถโจมตีเอาชนะได้โดยง่าย จำต้องใช้คนแทรกซึมเข้าไปบ่อนทำลายความสามัคคีภายใน
ใหเ้ กดิ ความแตกแยกในหมู่ชาววชั ชีเสียก่อน จนวัชชีอ่อนแอจงึ พา่ ยแพ้ต่อรฐั มคธ
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงปรารภความสมัครสมานสามัคคีของพลเมืองชาววัชชีว่า
เพราะชาววัชชีถือข้อปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในหลักของอปริหานิยธรรม หรือที่เรียกว่า วัชชีอปริหานิย
ธรรม (โบราณํ วชฺชิธมฺมํ)๑๐๒ เป็นแนวทางในการบริหารกิจการบ้านเมือง จึงทำให้แคว้นวัชชี มีความ
เจริญรุง่ เรืองและม่ันคง แม้พระเจ้าอชาตศัตรูเองก็ยังเกรงข้ามในพลังของความสามัคคีของรฐั วัชชี ดงั ท่ี
พระพทุ ธเจ้าได้ทรงตรสั กบั พระอานนทถ์ ึงจุดแขง็ ของชาววชั ชีทง้ั หลายท่ีมคี วามประพฤติท่แี สดงถึงความ
สามัคคีรวมตวั กนั ไดอ้ ย่างเข้มแขง็ วา่
อานนท์ พวกเจ้าวัชชีพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเส่ือมเลยตราบเท่าท่ี
พวกเจ้าวัชชยี ังหม่ันประชมุ กันเนืองนิตย์ประชมุ กนั มากครง้ั
ตราบเท่าท่ีพวกเจ้าวัชชียังพร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุมและพร้อม
เพรียงกันทำกิจทพี่ วกเจ้าวชั ชีจะพึงทำ
ตราบเท่าที่พวกเจ้าวัชชียังไม่บัญญัติส่ิงที่มิได้บัญญัติไว้ ไม่ล้มล้างส่ิงท่ีบัญญัติไว้แล้วถือ
ปฏบิ ัตมิ ั่นตามวัชชีธรรมท่ีวางไว้เดิม
ตราบเท่าทพ่ี วกเจ้าวัชชยี งั สกั การะ เคารพ นับถือ บูชาเจ้าวัชชผี ู้มพี ระชนมายุมากของชาว
วัชชี และสำคัญถ้อยคำของทา่ นเหลา่ น้ันว่าเปน็ ส่งิ ควรรับฟัง
ตราบเทา่ ทพี่ วกเจ้าวชั ชยี งั ไมฉ่ ุดคร่าขืนใจกุลสตรี หรือกุลกมุ ารีใหอ้ ยู่รว่ มด้วย
ตราบเท่าที่พวกเจ้าวัชชียังสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเจดีย์ในแคว้นวัชชีของชาววัชชีท้ัง
ในเมอื งและนอกเมอื ง และไม่ละเลยการบูชาอันชอบธรรมฯเหล่านัน้ ให้เสือ่ มสญู ไป
๑๐๒ ที.ม.(บาลี) ๑๐/๑๓๔/๖๖.
๖๒
ตราบเท่าท่ีพวกเจ้าวัชชียังจัดการรักษา คุ้มครอง ป้องกันพระอรหันต์ท้ังหลายโดยชอบ
ธรรมด้วยตั้งใจว่า ‘ทำอย่างไร พระอรหันต์ที่ยังไม่มา พึงมาสู่แว่นแคว้นของเรา ท่านที่มาแล้วพึงอยู่
อย่างผาสกุ ในแว่นแควน้ ๑๐๓
นอกจากน้ี ในมหาปรนิ ิพพานสูตร ยังปรากฏร่องรอยความเป็นพลเมืองที่ช่วยเสริมสร้าง
การพฒั นาประชาธิปไตยใหเ้ ขม้ แข็งไดโ้ ดยผ่านกระบวนการทางรฐั สภา เช่น มีข้อความว่า ขณะทพี่ ระผูม้ ี
พระภาคเจ้าประทบั อยู่ ณ เมืองกุสินารา ใกล้เวลาเสด็จดับขนั ธปรินิพพาน ทรงรบั ส่งั ให้พระอานนท์ไปแจ้ง
ข่าวการปรินิพพานแก่พวกเจา้ มัลละผู้ครองกรุงกุสินารา ซึ่งขณะนั้นพวกเจา้ มลั ละกำลังประชุมกันอยู่ท่ี
สณั ฐาคารด้วยราชกิจบางอย่าง๑๐๔ แสดงให้เห็นว่า พวกเจ้ามัลละได้ใชร้ ะบอบการปกครองแบบรัฐสภา
(สามัคคีธรรม) ในการปกครองรัฐ เม่ือได้ทราบข่าวร้ายเช่นน้ัน พวกเจ้ามัลละ ก็ตัดสินใจว่า ไม่ควรพัก
การประชุม แต่ควรประชุมต่อไปจนหมดวาระ เสร็จการประชุมสภาแล้ว จึงค่อยไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
ท่ีกสุ นิ ารา
ข้อความดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า หากพลเมืองมีความสมัครสมานสามัคคีปฏิบัติหน้าที่
พลเมืองอย่างเขม้ แขง็ มคี วามรับผิดชอบร่วมกัน มีระเบียบวินัย ปฏบิ ัติเคร่งครดั ยอมรับความคิดเห็นที่
แตกต่างก็จะสามารถพัฒนาประชาธิปไตยของสังคมประเทศชาติให้เจริญรุ่งเร่ืองมีความเข้มแข็งไม่มี
ความเสอื่ มถอย สงั คมและประเทศชาติก็จะเกดิ การพฒั นาไปไดอ้ ยา่ งมน่ั คง
๒.๓.๒.๔ ความเปน็ พลเมืองช่วยเสริมสร้างการพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคม
การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมน้ัน ถือได้ว่าเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำรงอยู่
ของมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในด้านปัจจัยพ้ืนฐานสำหรับชีวิต ได้แก่ อาหาร เคร่ืองนุ่งห่ม ที่อยู่
อาศัยและยารักษาโรค โดยมีเป้าหมายท่ีสำคัญคือ การอยู่ดี มีสุขของประชาชน และหากสังคมใดเกิด
ปญั หาขึ้น เช่น ปัญหาอันเกิดจากความยากจนก็ดี ปัญหาอันเกิดจากโจรผู้ร้ายก็ดี สังคมนั้นย่อมจะเกิด
ความเดือดรอ้ นตามมา ดังกรณีการแยง่ ชิงขา้ วสาลตี ามทปี่ รากฏในอคั คัญญสูตร
ส่วนในกูฏทันตสูตร ก็ได้สะทอ้ นแนวคิดการพัฒนาสงั คมและเศรษฐกจิ เพือ่ แก้ปัญหาต่าง
ๆ อันเกดิ จากความยากจน และปัญหาโจรผู้รา้ ย ซ่ึงจากการศกึ ษาจะพบว่า เวลานนั้ พราหมณก์ ูฏทันตะ
กำลังเตรียมการบูชามหายัญ จงึ ได้เข้าเฝ้าพร้อมกับชาวบ้านด้วยจุดประสงค์เพ่ือต้องการทูลถามถึงยัญ
สมบัติที่ตนยังไม่รู้ชัด แต่พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธการบูชายัญ โดยสอนใหศ้ าสนิกแผ่เมตตาและความรัก
ใครไ่ ปยงั สรรพสัตว์โดยไม่มีประมาณ พรอ้ มกบั ยกพุทธประวตั ิสมัยเป็นพราหมณ์ปุโรหติ ของพระเจ้ามหา
วิชิตราช ได้ช้ีแนะแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ด้วยการเสนอนโยบายหลักเพื่อพัฒนาความ
เป็นพลเมืองท่ีมีคุณภาพของสังคมและประเทศชาติ โดยให้โอกาสแก่ประชาชนพลเมืองได้ใช้
ความสามารถของตนในการดำเนินชีวิตตามสมควรแก่ฐานะและหน้าท่ีของพลเมือง และเข้ามามีส่วน
๑๐๓ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๑๓๔/๗๘-๘๐, องฺ.สตฺตก.(ไทย) ๒๐/๑๙/๓๑-๓๒.
๑๐๔ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๒๑๑/๑๕๙.
๖๓
ร่วมเพ่ือแก้ปัญหาตา่ งๆ ของสังคมร่วมกันเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาสังคม ชุมชน หรือประเทศ ชาติ
ดังความตอนหน่งึ ทีป่ รากฏในพระสตู รวา่
บ้านเมืองของพระองค์ยังมีเส้ียนหนาม มีการเบียดเบียน โจรยังปล้นบ้าน ปล้นนิคม ปล้น
เมืองหลวง ดักจี้ในทางเปล่ียว เมื่อบ้านเมอื งยังมีเส้ียนหนาม พระองค์จะโปรดให้ฟื้นฟูพลีกรรมขึ้นก็จะ
ชื่อว่าทรงกระทำส่ิงที่ไม่สมควร พระราชดำริว่า ‘เราจักปราบปรามเส้ียนหนามคือโจร ด้วยการประหาร
จองจำ ปรบั ตำหนโิ ทษ เนรเทศ’ อยา่ งนี้ไมใ่ ช่การกำจัดเสีย้ นหนามคอื โจรทีถ่ ูกตอ้ ง เพราะว่าโจรทเ่ี หลือ
จากทีก่ ำจดั ไปแล้วจกั มาเบียดเบียนบ้านเมอื งของพระองค์ในภายหลงั ได้ แต่การกำจัดเส้ียนหนามคอื โจร
ท่ีถูกต้อง ตอ้ งอาศัยวธิ กี าร คอื
๑. ขอให้พระองค์พระราชทานพันธ์ุพืชและอาหารให้แก่พลเมืองผู้ขะมักเขม้นในเกษตร
กรรมและปศุสัตว์ในบา้ นเมอื งฯ เพื่อเปน็ การพัฒนาเศรษฐกจิ ในระดับชนชน้ั รากหญ้า
๒. ขอให้พระองค์พระราชทานต้นทุนให้แก่พลเมืองผู้ขะมักเขม้นในพาณิชยกรรมใน
บ้านเมอื งของพระองค์ เพื่อเป็นการพฒั นาเศรษฐกิจในระดับกลางและระดับสูง โดยการสนับสนุนต้นทุน
การผลิต ต้นทุนทางการเงนิ ใหแ้ กธ่ ุรกิจขนาดกลาง อันเป็นธุรกจิ เชงิ พาณิชย์
๓. ขอให้พระองค์พระราชทานอาหารและเงินเดือนแก่ข้าราชการท่ีขยันขันแข็งใน
บ้านเมืองของพระองค์ เพื่อเป็นการเสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่คณะผู้บริหารราชการแผ่นดิน
เพราะการพฒั นาประเทศจะตอ้ งอาศยั ข้าราชการที่เป็นมันสมอง ในการผลักดันนโยบายและยทุ ธศาสตร์
การพฒั นาตา่ ง ๆ ให้สัมฤทธิ์ผลเปน็ รูปธรรม๑๐๕
จะเห็นได้วา่ พราหมณ์ปโุ รหิตได้นำเสนอ “นโยบายคู่ขนาน” (Dualistic Policy) อันเป็น
การดำเนินนโยบายเชงิ รัฐประศาสนศาสตร์ควบค่ไู ปกบั นโยบายเกี่ยวกบั การพัฒนาเศรษฐกจิ ซง่ึ นโยบาย
คู่ขนานนั้นประกอบด้วย “ไตรภาค” หรือ “กลยุทธ์สามเส้า” อันจะเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนา
ประเทศให้เจรญิ ก้าวหน้าต่อไป อย่างไรก็ตาม การดำเนินตามนโยบายดงั กลา่ วนับได้ว่าเปน็ การประกาศ
สงครามในหลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น “สงครามกับความยากจน” “สงครามกับการฉ้อราษฎร์บัง
หลวง “สงครามกับยาเสพติด” “สงครามกับการก่อการร้าย” และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สงครามกับ
กิเลส” ท่ีมีอยู่ในตวั เองดว้ ยการปฏิบัติตนตามแนวทางของศลี สมาธิ และปัญญา๑๐๖
กล่าวโดยสรุปแล้ว การพัฒนาสังคม และเศรษฐกจิ ของประเทศชาติทจ่ี ะสามารถพฒั นาไป
ได้อย่างมั่นคงนั้น ย่อมเกิดจากความสามารถของพลเมืองที่มีคุณภาพในการดำเนินชีวิตตามสมควรแก่
ฐานะและหน้าท่ีพลเมืองของตน ดังน้ัน ด้วยการดำเนินตามหลักนโยบาย “ไตรภาค” เพ่ือช่วยเหลือ
อนุเคราะห์ให้ประชาชนพลเมืองมีความสามารถในการดำเนินชีวิตมีความเป็นอยู่อย่างพอเพียงตาม
๑๐๕ ที.สี.(ไทย) ๙/๓๓๘/๑๓๑-๑๓๒.
๑๐๖ พระมหาหรรษา ธมมฺ หาโส.รูปแบบการจัดการความขดั แย้งโดยพุทธสนั ตวิ ธิ ี : ศกึ ษาวิเคราะห์กรณีลุ่ม
นา้ํ แมต่ าช้าง จ. เชียงใหม่, กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๗), หน้า ๑๔๕.
๖๔
สมควรแก่ฐานะ ผลที่ตามมาก็จักเป็นประดุจถ้อยคำของพราหมณ์ปุโรหิตท่ีว่า “พลเมืองเหล่านั้น
จักขวนขวายในหน้าที่การงานของตน ไมพ่ ากันเบียดเบียนบ้านเมืองของพระองค์ และจักมีกองพระราช
ทรัพย์อย่างย่ิงใหญ่ บ้านเมืองก็จะอยู่ร่มเย็น ไม่มีเสี้ยนหนาม ไม่มีการเบียดเบียน ประชาชนจะช่ืนชม
ยนิ ดตี ่อกัน มคี วามสขุ กบั ครอบครวั อยู่อย่างไม่ต้องปิดประตูบ้าน”
๒.๓.๒.๕ ความเป็นพลเมืองช่วยเสริมสร้างสันติวธิ ี
ความเปน็ พลเมืองเปน็ เคร่ืองมือสำคัญท่ีช่วยเสริมสร้างสันติวิธีหรอื จัดการกับสถานการณ์
ของความขัดแย้ง ในความหมายน้ี คือการแสดงออกถึงการเข้าไปมีส่วนร่วมของพลเมือง ท่ี วรากรณ์
สามโกเศศ เรียกวา่ หมายถงึ การเปน็ คนท่ีรบั ผิดชอบไดด้ ้วยตัวเอง มีความสำนึกในสันตวิ ิธี ไม่แก้ปัญหา
ด้วยความรุนแรง ตระหนักว่าตนเองเปน็ ส่วนหน่ึงของสังคม ซงึ่ ความเปน็ พลเมืองในฐานะทีเ่ ปน็ เครื่องมือ
สำคัญในการเสริมสร้างสันติวิธีและจัดการกับสถานการณ์ของความขัดแย้ง ในมุมมองของ
พระพุทธศาสนาก็จะมีลกั ษณะคลา้ ย ๆ กัน คือเป็นการแสดงออกถึงความสามารถของบุคคลในการเข้า
ไปช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ของสังคมเพ่ือลดสถานการณ์ของความขัดแย้ง ทำให้คนในสังคมอยู่ด้วยกัน
ด้วยความสงบสุข ตวั อย่างเช่น
ในมหาปรินิพพานสูตร๑๐๗ ได้สะท้อนคุณสมบัติของบุคคลกับความสามารถในการช่วย
เสริมสรา้ งสันติวิธแี ละจัดการกับสถานการณ์ของความขัดแย้ง ประเด็นท่ีควรศกึ ษาวิเคราะห์ ก็คือ กรณี
โทณพราหมณก์ ับความสามารถในการยุตสิ งครามท่ีเกย่ี วกับการแย่งชงิ พระบรมสารรี ิกธาตุ ภายหลงั เม่ือ
พระพุทธเจา้ ปรนิ พิ พาน มีกษตั ริยจ์ ากเมืองต่าง ๆ ประสงคจ์ ะมารับพระบรมสารีรกิ ธาตุของพระพุทธเจ้า
ไปประดิษฐานยังเมืองของตน ๆ มีพระเจ้าอชาตศัตรูพระราชาแห่งแคว้นมคธ พวกเจ้าลิจฉวีผู้ครอง
กรงุ เวสาลี พวกเจา้ ศากยะแห่งกบิลพัสด์ุ พวกเจ้าถลู ีแห่งเมืองอัลละกัปปะ พวกเจ้าโกลิยะแหง่ เมืองราม
คาม พวกเจ้ามัลละแห่งเมืองปาวา และพราหมณ์ผู้ครองกรงุ เวฏฐทีปกะ รวม ๗ นครด้วยกัน๑๐๘ ล้วนมี
ความเล่ือมใสและเคารพนับถือในพระพุทธศาสนา คร้ันได้ทราบข่าวปรินิพพานของพระผู้มพี ระภาค มี
ความเศร้าโศกอาลัยอาวรณ์พระผู้มีพระภาค จึงส่งทูตไปขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ณ เมืองกุสินารา
นคร แต่ยงั เกรงวา่ พวกกษัตริย์มัลละจะขัดขืนไม่ยอม จึงยกกองทัพเข้าประชดิ พระนครกสุ ินารารวม ๗
ทพั ด้วยกัน
ในกาลน้ัน โทณพราหมณ์ พิจารณาเห็นเหตุร้ายอันจะพึงมี ในสิ่งซึ่งมิใช่เหตุอันควร
ประหารกันและกัน จึงดำริว่า ควรเราจะระงับเสีย ซ่ึงความวิวาทของกษัตริย์ทั้งปวง และช้ีให้เห็น
ประโยชน์แห่งความสามัคคี คร้ันดำริเช่นน้ันแล้ว จึงขึ้นยืนอยู่บนที่สูง ปรากฏร่างแก่กษัตริย์ท้ังหลาย
พร้อมกับกล่าววาจาห้ามว่า “ท่านท้ังหลาย โปรดฟังคำชี้แจงของข้าพเจ้าหน่อยหน่ึงเถิด พระพุทธเจ้า
ของพวกเราทรงถือหลักขันติธรรม (ความอดทน อหิงสาความไม่เบียดเบียน และความสามัคคีพร้อม
๑๐๗ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๑๓๑-๒๔๐-/๗๗-๑๘๐.
๑๐๘ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๒๓๖/๑๗๗-๑๗๘.
๖๕
เพรียงกัน) ไม่ควรท่ีจะประหัตประหารกันเพราะส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ ผู้เป็นอุดม
บคุ คล ขอให้ทุกฝา่ ยพร้อมใจกนั แบ่งพระบรมสารรี ิกธาตุออกเป็น ๘ สว่ น พระสถูปจะไดแ้ พร่กระจายไป
ยงั ทิศตา่ งๆ มปี ระชาชนจำนวนมากผเู้ ลอ่ื มใสในพระพุทธเจ้าผมู้ พี ระจักษุ”๑๐๙
เมือ่ กษตั ริย์ทงั้ ปวง ไดส้ ดับคำของโทณพราหมณ์อันชอบด้วยธรรม สอดคลอ้ งตอ้ งกันกับรฐั
ประศาสโนบายเช่นนน้ั กไ็ ด้สติ ดำรเิ ห็นสอดคลอ้ งตอ้ งตามคำของโทณพราหมณ์ เลื่อมใสในถอ้ ยคำนัน้
แลว้ พรอ้ มกนั ตรัสว่า "ทา่ นพราหมณ์ ถ้าเชน่ น้นั ท่านจงแบง่ ปันพระบรมสาริกธาตุออกเปน็ สว่ นๆ ให้เป็น
ของควรแกข่ า้ พเจา้ ทงั้ หลาย จะพึงอัญเชิญไปสักการะบูชาตามปรารถนา"๑๑๐
จากข้อสังเกต ความเป็นพลเมืองที่ช่วยเสริมสร้างสันติวิธีและจัดการกับสถานการณ์ของ
ความขัดแย้งนี้ ต้องเริ่มตน้ จากบุคคลผู้มีบารมีเป็นท่ีนา่ เชอ่ื ถือของคนท่ัวไปพอสมควร เพอื่ เช่ือมโยงโน้ม
น้าวความเห็นของพลเมืองคนอ่ืน ๆ ให้ได้มองเห็นโทษและผลที่จะเกิดจากความขดั แย้ง แต่ให้มองเห็น
คุณค่าในการอยู่ร่วมกันและตระหนักรู้ว่า ตนเองเป็นส่วนหน่ึงของสังคมและพร้อมที่จะช่วยกันแก้ปัญหา
สำคัญ ๆ ของสงั คม เพื่อการอยู่รว่ มกันไดอ้ ย่างปกติสุข
๒.๓.๒.๖ ความเปน็ พลเมอื งช่วยส่งเสรมิ สิทธิและความเสมอภาคของบคุ คล
ความเป็นพลเมืองเป็นพ้ืนฐานสำคัญในการส่งเสริมเรื่องสิทธิและความเสมอภาคของ
บุคคล ในความหมายนี้คือการแสดงออกของพลเมืองที่ ปริญญา เทวานฤมิตรกุล๑๑๑ เรียกว่า คือ การ
เป็นสมาชิกของสังคมท่ีมีอิสรภาพควบคู่กับความรับผิดชอบ และมีสิทธิเสรีภาพควบคู่กับหน้าท่ี โดยมี
ความสามารถในการยอมรับความแตกต่างและเคารพกติกาในการอยู่ร่วมกัน จากการศึกษาจะพบว่า
สิทธิและความเสมอภาคของบุคคลได้ค่อย ๆ พัฒนาเกิดข้ึน จากจุดเร่ิมต้นท่ีพระพุทธเจ้าทรงปฏิวัติ
ความเช่อื ในระบบวรรณะและทรงต้ังระบบสงั ฆะข้ึน ทา่ มกลางบรรยากาศท้ังในด้านสงั คม เศรษฐกิจและ
การเมืองที่เกาะติดอยู่กับระบบวรรณะอย่างเหนียวแน่น แต่พระพุทธเจ้าทรงปฏิวัติความเช่ือเหล่านั้น
โดยให้ความเสมอภาคแก่ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เช่น ความเช่ือถือเร่ืองวรรณะทรงสอนไม่ให้ถือเอา
ชาติกำเนิดมาเป็นเครื่องแบ่งแยกความสงู ตํ่าและสิทธขิ องมนุษย์ แตใ่ ห้ถอื ว่าคนทุกวรรณะเกิดมามีความ
เสมอภาคกัน จะดีช่ัวประเสริฐหรือต่ําทราม เพราะการกระทำและความประพฤติของตนเอง๑๑๒
คอื กรรม ดงั มีพทุ ธพจนท์ ่ียืนยันเรื่องการกระทำเป็นตวั ชีว้ ัดคณุ ภาพของบคุ คลวา่
๑๐๙ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๒๓๗/๑๗๘.
๑๑๐ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๒๓๘/๑๗๘.
๑๑๑ ปริญญา เทวานฤมิตรกุล. การศึกษาเพ่ือสร้างพลเมือง = Civic Education, (กรุงเทพมหานคร:
อักษรสัมพนั ธ์, ๒๕๕๕), หน้า ๓๐.
๑๑๒ สมิทธิพล เนตรนิมิตร, ภาพชีวิตของพระสงฆ์ในอริยวินัย, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท เอม่ี เอ็นเตอร์
ไพรส์ จำกัด, ๒๕๕๓), หน้า ๑๓๗.
๖๖
ไม่ว่าจะเป็นวรรณะไหนก็ตามท้ังกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ หรือศูทร ถ้าเป็นผู้ล่าสัตว์ ลัก
ทรัพย์ ประพฤติผดิ ในกาม ฯลฯ มีความเห็นผดิ กเ็ ปน็ คนไม่ดที ้ังนน้ั ในทางตรงข้ามถ้าประพฤติตนเป็นผู้
ไมฆ่ ่าสตั ว์ ไม่ลกั ทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกามคุณ ไม่พดู จาโกหก ฯลฯ แม้จะเกิดมาจากวรรณะ หรอื ชน
ชนั้ ไหนกต็ าม ย่อมจะเป็นคนทีด่ ีมศี ลี ธรรมเสมอกันหมด ไมม่ ีขอ้ ยกเว้น๑๑๓
หากวรรณะท้ัง ๔ นี้ ถ้าประกอบอกศุ ลก็จะไปสู่ทุคติเท่าเทียมกัน ไม่มีวรรณะใด ชนช้ันใด
ได้รับการยกเว้นเป็นพิเศษ ดังพุทธพจน์ท่ีว่า “น ชจฺจา วสโล โหติ น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ กมฺมุนา
วสโล โหติ กมฺมุนา โหติ พฺราหฺมโณ” แปลว่า “คนจะชอ่ื ว่าเป็นคนเลวเพราะชาติกำเนดิ ก็หามิได้ จะช่ือ
ว่าเป็นพราหมณ์เพราะชาติกำเนิดก็หามิได้ แต่ช่ือว่าเป็นคนเลวเพราะกรรม (การกระทำ) ชื่อว่าเป็น
พราหมณ์เพราะกรรม (การกระทำ)”๑๑๔ ท้ังส้นิ พระองค์จึงเป็นแต่เพยี งผชู้ ี้แนะแนวทางเทา่ น้ัน ส่วนใครจะ
เลือกประพฤติปฏิบัติอย่างไร เป็นสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่ต้องคิดพิจารณาเอาเอง ดังพระดำรัสว่า
“ตถาคตก็เป็นแต่ผ้บู อกทาง”๑๑๕ (อกฺขาตาโร ตถาคตา)
นอกจากนี้ พระพุทธศาสนายังยอมรับความเสมอภาคระหว่างชายกับหญิง แม้สังคม
อนิ เดียโบราณขณะนั้น เพศหญิงจะได้รับการปฏิบัตอิ ย่างไม่เหมาะสมและถูกกดดัน โดยเพศชายได้รับ
การตีคา่ สูงสง่ กว่า ซง่ึ ส่งผลใหเ้ พศชายมีอภิสิทธ์ิเหนือเพศหญิง ตวั อยา่ งที่เห็นชัดก็คือในการแต่งงานเพศ
ชายจะมีอภิสิทธิ์เรียกร้องค่าสินสอดทองหม้ัน (Dowry) จากฝ่ายหญิงที่มาแต่งงานด้วย จนกลายเป็น
ธรรมเนียมของสังคมอนิ เดียจนถึงปัจจุบัน๑๑๖ ที่สำคัญสังคมอินเดียจะมองผู้หญิงว่าเป็นท่ีมาแห่งความ
เสอ่ื ม ครอบครัวใดมีลูกสาวมาก ครอบครวั นน้ั จะถึงคราวอวสาน บางครอบครัวถ้าลกู หวั ปีเป็นหญิงก็ฆ่า
ทง้ิ เสยี เลยก็มี ชาวชมพูทวีปจงึ เรยี กผหู้ ญงิ ว่า “สตรี” แปลว่า “เสื่อม”๑๑๗
ตอ่ มาเม่ือพระพุทธศาสนาอุบัติข้ึน พระพุทธเจ้าทรงปฏิวัติความเชื่อข้อน้ีของสังคมในยุค
นั้น ทรงอนุญาตให้สตรีเข้ามาบอุปสมบทเป็นภิกษุณีได้ ดังท่ีทรงอุปสมบทให้พระนางมหาปชาบดี
๑๑๓ พระครโู สภณปริยัติสุธี (ศรีบรรดร ถิรธมฺโม), ทฤษฎีรัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก, พิมพ์คร้ังท่ี ๒, (พะเยา :
หจก.โรงพิมพเ์ จริญอักษร, ๒๕๕๐), หน้า ๓๗.
๑๑๔ ข.ุ สุ.(ไทย) ๒๕/๑๔๒/๕๓๒.
๑๑๕ ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๗๗/๘๓., ข.ุ ม.(ไทย) ๒๙/๘/๘๑, ขุ.จู.(ไทย) ๓๐/๓๓/๑๖๖.
๑๑๖ จำนงค์ อดิวัฒนสิทธิ์, สังคมวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์, พมิ พ์ครั้งที่ ๒. (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์
มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์, ๒๕๔๘), หน้า ๙๑.
๑๑๗ วิรัช ถิรพันธ์ุเมธี, พทุ ธปรัชญาการปกครอง, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพมิ พ์ดวงแก้ว, มปป.), หนา้ ๓๕.
ผหู้ ญิงอินเดียโบราณถูกเรยี กว่า “สตรี” ซ่ึงแปลวา่ “เส่อื ม” ดงั น้ันหญิงท่ีแต่งงานแล้วต้องเคารพสามีเหมือนเทวดาใน
บ้าน ก่อนเข้านอนต้องกราบไหวส้ ามีทกุ วนั เรียกว่า “ปติปชู ิกา” ถ้าภรรยาถึงแก่ความตายก่อน สามีสามารถมภี รรยา
ใหม่ได้ หากสามีตายก่อน ภรรยาไม่มีสิทธิมีชีวิตได้ต้องโดดเข้ากองฟอน เผาตัวตายตามสามีไปด้วย ถ้าหญิงคนใดไม่
กลา้ ญาตพิ ่ีนอ้ งก็จะชว่ ยกันจับมัดมอื มัดเท้าและโยนเขา้ กองฟอนนั้น คอื เผาให้ตายทง้ั เป็น พธิ ีกรรมนีก้ ็เรียกวา่ “สตรี”
และถือปฏิบตั กิ นั มาจนกระทั่งองั กฤษเขา้ มาปกครองอนิ เดยี จึงบังคบั ใหเ้ ลกิ .
๖๗
โคตมี ซึ่งถือว่า เป็นพระภิกษุณีรูปแรกในพุทธศาสนา๑๑๘ ทรงมองว่า สตรีจะแตกต่างจากชายก็เพียง
โครงสร้างสรรี ะร่างกายเทา่ นั้น แตใ่ นช้ันท่ีสงู กว่านั้น คือในขั้นสตปิ ัญญา และความสามารถในการปฏิบัติ
ธรรม เพศหญิงจะไม่ด้อยกว่าเพศชายแต่ประการใด ซ่ึงการประกาศยอมรับสตรีเข้าบวชในพุทธศาสนา
ถือว่าพระพุทธองค์ทรงยอมรับความสามารถทางสติปัญญาของสตรีว่า สตรีสามารถจะบำเพ็ญเพียร
ภาวนาปฏบิ ัติธรรมเพอื่ กำจัดกิเลสาสวะ บรรลุถึงสัจธรรมอันสงู สดุ และพัฒนาศักยภาพที่จะบรรลุถึงบรม
สุขในชีวิตได้เชน่ เดยี วกับบรุ ษุ ข้อน้ีเปน็ การยอมรบั ว่าบุรษุ และสตรีมคี วามเสมอเท่าเทียมกันในการบรรลุ
นิพพาน ถ้ามีการปฏิบัติเหมือน ๆ กัน๑๑๙ หรือข้อความที่ปรากฏในสุลสาชาดกว่า “ใช่ว่าชายจะเป็น
บัณฑติ ในทีท่ กุ สถานกห็ าไม่ แม้หญิงมีปัญญาเห็นประจักษใ์ นเรือ่ งนัน้ ๆ กเ็ ป็นบณั ฑิตไดเ้ หมอื นกัน”๑๒๐
ด้วยเหตุดังกล่าวมาจะเห็นได้ว่า สิทธิและความเสมอภาคจึงเกิดขึ้นจากการแสดงออกถึง
ความสามารถของบุคคลหรือพลเมืองในการประพฤติปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าบุคคลน้ันๆ จะเป็นใคร ซ่ึงทุก
คนมีสิทธิและความเสมอภาคในศักด์ิศรีแห่งความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกันหมด และทุกคนย่อมมีฐานะ
เท่าเทียมกันตามสทิ ธิและความเสมอภาคในการประพฤติปฏิบัติตามข้อกำหนดทางสังคม เช่นเดียวกับ
บคุ คลท่ีอยู่ในอธปิ ไตยเดียวกัน ย่อมมีความเสมอภาคกนั ตามกฎหมายของรฐั น้ัน ด้วยเหตุน้ี ในทางพุทธ
ศาสนาพระพุทธเจ้าจึงไม่ได้วัดความเป็นคนด้วยปัจจัยแวดล้อมภายนอกไม่ว่าถ่ินที่กำเนิด ภาษา หรือ
อาชีพการงาน แต่ทรงเห็นความสำคัญและคุณค่าแห่งความเป็นคนว่าอยู่ท่ีความประพฤติ ซ่ึงทุกคนมี
สิทธิและความเสมอภาคในการปฏบิ ตั ิท่ีเทา่ เทียมกนั
๒.๓.๒.๗ ความเปน็ พลเมอื งกอ่ ใหเ้ กดิ การบัญญัตกิ ฎหมายหรอื กติกาทางสงั คม
สังคมโดยทั่วไปจำเป็นจะต้องมีกฎหมายหรือกติกาทางสังคม ที่เป็นข้อตกลงหรือ
กฎเกณฑ์ที่คนในสังคมร่วมกันกำหนดขึ้น เป็นแนวทางในการปฏิบัติเพ่ือให้สังคมมีความเป็นระเบียบ
เรยี บร้อยและการอยรู่ ่วมกนั อย่างสันติสขุ ในทางพระพุทธศาสนากม็ ีพระวินัย เปน็ ข้อปฏิบตั ิสำหรบั พทุ ธ
บรษิ ัททง้ั ๔ ซ่ึงก็คือ หมชู่ นท่ีเป็นพลเมอื งของสังคมสังฆะ ท่ีต้องประพฤตปิ ฏบิ ัตภิ ายใต้บริบทระบบการ
ปกครองเดียวกัน มีระเบียบแบบแผน ข้อปฏิบัติ กฏหมาย กติกาเดียวกัน และเป็นเครื่องมือสำคัญใน
การพัฒนาคุณภาพชีวิตของมวลสมาชิกในสังคม โดยมีชื่อเรียกที่อาจจะแตกต่างกันไป กล่าวคือ
พระภิกษุ และภิกษุณีใช้คำว่า “วินัย” แต่สามเณร สามเณรี อุบาสก และอุบาสิกานั้น ใช้คำว่า “ศีล”
จากการศึกษา พบว่า ในประวัติศาสตร์ของพระสงฆ์ในสมัยแรก ๆ จะปฏิบัติตามปฏิปทาของ
พระพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าเป็นกรอบในด้านความประพฤติ จึงไม่เกิดปัญหาเก่ียวกับกฎกติกา ต่อมา
เมื่อสังคมพระสงฆ์ขยายออกไป มีสมาชิกของพระสงฆ์เพิ่มขึ้น เมื่อคนอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากจึงมี
๑๑๘ ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๔๐๒/๓๑๓-๓๑๖.
๑๑๙ จำนงค์ อดวิ ัฒนสิทธ์ิ. สังคมวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์, พมิ พ์คร้ังที่ ๒. (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ๒๕๔๘), หนา้ ๙๒.
๑๒๐ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๒๒/๒๘๘.
๖๘
ปัญหาสังคมมาก ด้วยเหตุที่สมาชิกของพระสงฆ์มีพื้นเพภูมิหลังแตกต่างกัน จึงทำให้เกิดปัญหาทาง
พฤติกรรม พระสงฆ์บางรูปจงใจทำความผิด บางรูปไมจ่ งใจ ทำไปด้วยความไม่รู้ เหตุน้ีจงึ ตอ้ งมีกฎกตกิ า
วางไว้เป็นกรอบด้านการประพฤติ
การวางกฏกติกาสำหรับพระสงฆ์เกิดขึ้นตามข้ันตอน กล่าวคือ มีผู้ไปแจ้งความประพฤติ
ของสมาชิกพระสงฆ์ พระพทุ ธเจ้าจงึ มีรับสง่ั เรียกหาสมาชิกผูถ้ ูกร้องเรียน ทรงประชุมพระสงฆส์ อบถาม
ข้อเทจ็ จริง ทรงชี้ให้เห็นข้อดีขอ้ เสียในเร่ืองน้ันๆ และทรงวางกฏกติกา ทรงบัญญัติสิกขาบท กำหนดข้อ
ปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์ ดงั นัน้ การบญั ญัตพิ ระวนิ ัย จึงไม่ได้เกิดจากพุทธประสงคข์ องพระพุทธองคเ์ พียง
ลำพังองค์เดียว แต่เกิดจากกระบวนการการมีส่วนร่วมของสมาชิกในท่ีประชุม เพ่ือร่วมกันรับผิดชอบ
แก้ปัญหาสังคมในระดับต่าง ๆ โดยร่วมกันวางกำหนดกฎเกณฑ์กติกาขึ้นเพื่อบังคับใช้ในสังคม ดังท่ี
พระองค์ได้ทรงยํ้าว่าพระองค์จะไม่บัญญัติพระวินัยจนกว่าจะเกิดปัญหาอย่างใดอย่างหน่ึงข้ึนในหมู่
สงฆ์๑๒๑ เพอ่ื เป็นบรรทัดฐานควบคุมสังคมให้มีความประพฤติไปในทิศทางเดยี วกันมีความเสมอภาคเท่า
เทียมกัน
ตัวอย่าง การบัญญัติพระวินัยท่ีมีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาหลายแห่ง เช่น
ทรงบัญญัติอาบัติปาราชิกข้อที่ ๑ ในฐานะที่พระสุทิน เสพเมถุนธรรม ทำให้เหล่าเพ่ือนภิกษุตำหนิ
ติเตยี น๑๒๒ ทรงบัญญัตอิ าบัติปาราชกิ ข้อที่ ๒ ในฐานะท่ีพระธนิยะได้นำไมข้ องหลวงไปสรา้ งกุฏจิ นทำให้
พระเจา้ พิมพิสาร และประชาชนตำหนิ๑๒๓ ฯลฯ ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ข้อที่ ๑ ในฐานะที่พระสาคตะด่ืม
สุราเมาไม่ได้สติ ทำให้ไม่น่าเล่ือมใส พระพุทธเจ้าทรงตำหนิ๑๒๔ เป็นต้น การบัญญัติพระวินัยน้ี
พระพุทธเจ้าทรงบญั ญตั ิไวแ้ ก่ภกิ ษทุ งั้ หลาย เพื่อประโยชน์สว่ นรวมต้องปฏิบัตเิ สมอภาคกันหมด ซ่ึงมีทั้ง
ข้อห้ามและข้ออนุญาต เหมือนกับกฎหมายคุมความประพฤติ แบ่งได้ ๒ อย่างได้แก่ พระพุทธบัญญัติ
คอื ข้อศึกษาหรือสิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์ และอภสิ มาจาร คอื มารยาทในการอยู่ร่วมกันในสงั คม
ที่ไมม่ าในพระปาตโิ มกข์
อกี ประเด็นทนี่ ่าศึกษาเพ่ิมเติม คอื การบญั ญตั วิ ินัยของพระพุทธเจ้าน้ันมคี วามยืดหยุ่น สูง
มาก สิ่งท่ีสามารถยืนยันข้อมูลสมมติฐานดังกล่าวก็คือ เม่ือพระองค์ได้ทรงบัญญัติพระวินัยข้อใดท่ี
เรียกว่า “ปฐมบัญญัติ” ขึ้นมาใช้แล้ว หากกฎเกณฑ์ดังกล่าวไม่ครอบคลุม หรือ มีช่องโหว่ อันจะส่งผล
กระทบต่อผู้มีส่วนได้สว่ นเสียแล้ว และเพ่ือให้การปฏิบัติ หรือวิถีชีวิตของสมณะเอ้ือต่อการปฏิบัติธรรม
หรือพัฒนาสังคมแล้ว พระองค์ก็จะบัญญัติเพ่ิมเติมดังที่เรียกว่า “อนุบัญญัติ” ลักษณะของการบัญญัติ
๑๒๑ วิ.มหา.(ไทย) ๑/๒๑/๑๓.
๑๒๒ วิ.มหา.(ไทย) ๑/๒๔-๓๙/๒๑-๒๘.
๑๒๓ ว.ิ มหา.(ไทย) ๑/๘๔-๘๙/๗๔-๗๘.
๑๒๔ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๓๒๖-๓๒๗/๔๖๒-๔๖๕.
๖๙
มุ่งเน้นไปที่พฤติกรรมของภิกษุรูปใดรูปหนึ่งท่ีส่งผลต่อองคาพยพอ่ืน ๆ ในสังคม อันเป็นการบัญญัติที่
เกิดจากการวเิ คราะห์ผู้มสี ว่ นไดส้ ่วนเสยี อย่างรอบดา้ นแลว้ จึงบัญญัติ
จะเห็นได้ว่า การบัญญัติพระวินัยจึงเกิดข้ึนจากการท่ีกระบวนการทางสังคมที่สมาชิกของ
สังคมได้เข้าไปมีส่วนกระทำหน้าทีข่ องความเป็นพลเมืองร่วมกันในการกำหนดระบบระเบียบแบบแผน
ข้อปฏิบัติ กฎหมาย หรือกติกา เพื่อบังคับใช้ขับเคลื่อนสังคม และแก้ปัญหาสังคมในระดับต่าง ๆ
โดยรวม
๒.๓.๓ คณุ ลักษณะความเปน็ พลเมอื งดที างพระพทุ ธศาสนา
คุณลักษณะของความเป็นพลเมืองดีทางพระพุทธศาสนาหรือคุณสมบัติพื้นฐานสำคัญอัน
เป็นลกั ษณะเดน่ ของบคุ คลทีเ่ ปน็ พลเมืองของสังฆะน้นั จากการศึกษาคัมภรี ์พระไตรปิฎกจะพบว่า การที่
พระพุทธเจ้าทรงตง้ั สงั คมสังฆะขึ้นมา ทรงมีวตั ถปุ ระสงค์ทสี่ ำคญั คือ การจัดระเบียบสงั คมใหม่เพอ่ื กำจัด
การถือชนช้ันวรรณะ ไม่ให้ถือเอาชาติกำเนิดเป็นเคร่ืองแบ่งแยกความสูงตํ่าและสิทธิความเท่าเทียมใน
ความเป็นมนุษย์ โดยพระองคท์ รงบญั ญัตศิ ลี หรอื วนิ ยั หรือกฎระเบยี บสำหรับการอยรู่ ่วมกันในสังคมอัน
เป็นคุณลักษณะพื้นฐานที่สำคัญไว้เป็นข้อปฏิบัติสำหรับควบคุมกายและวาจาของพลเมืองที่เป็นมวล
สมาชิกในชุมชนสงั ฆะให้ตั้งอยู่ในความดีงาม ดำรงชีวิตอยู่อยา่ งปกติ และรักษาสังคมไม่ให้เดือดรอ้ นไร้
ระเบียบ กล่าวคือ (๑) ทรงบัญญัติศีล ๕ สำหรับอุบาสกอุบาสิกา (๒) ศีล ๘ สำหรับฆราวาสที่ปฏิบัติ
ธรรม (๓) ศีล ๑๐ สำหรบั สามเณร (๔) ศีล ๒๒๗ สำหรบั พระภิกษุ และศีล ๓๑๑ สำหรับภิกษณุ ีบริษัท
โดยเป้าหมายของการบัญญัติหลักพระวินัยก็เพ่ือให้มวลสมาชิกของสังฆะได้ขัดเกลาตนเอง และรักษา
ความสงบสุขของสงั คมตามสมควรแกฐ่ านะในความเปน็ พลเมืองดีของตนในระบบสังฆะ
นอกจากจะต้องมีคุณสมบัติในระดับศีลที่เป็นบรรทัดฐานเบ้ืองต้นเพ่ือรักษากายวาจาให้
สะอาดเรียบรอ้ ยดังกล่าวแล้ว คณุ ลกั ษณะของความเปน็ พลเมอื งดที างพระพุทธศาสนา อาจพิจารณาได้
ในหลายแงม่ ุมทั้งในเชิงปจั เจกชนและสังคม ซึ่งเป็นสงิ่ ที่จะบ่งชี้วา่ มนุษย์คนหนง่ึ เปน็ คนดีตามทัศนะของ
พระพุทธศาสนา เช่น การเป็นผู้ที่เคารพตอ่ สิทธ์ิในชีวิตและทรัพย์สินผู้อ่ืน (เมตตาธรรม) การไม่ละเมิด
คนอ่ืนในทางวาจา (เคารพความเป็นมนุษย์ของผู้อ่ืน) ไม่หลอกลวง (อธรรมราคะความกำหนัดในฐานะ
อันไม่ชอบธรรม และมิจฉาธรรม ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจผิดธรรมดา) ทำหน้าท่ีทางสังคม
ด้วยความยุติธรรมโดยการปฏิบัติความสัมพันธ์ทุกระดับอย่างถูกต้องเหมาะสม ในระดับความคิดน้ัน
พลเมอื งดีจะต้องมีสัมมาทิฏฐิ (สทิ ธิที่จะได้รับร้คู วามจริง/ความถูกต้อง) ระดับจิตใจก็คือ การไม่โลภเกิน
(อวิสมโลภะ) การไม่มุ่งร้ายคนอ่ืน (อัพยาปาทะ) การไม่เพ่งโทษผู้อ่ืน (อนภิชฌา/ไม่จ้องเล่นงานคนอื่น)
เพราะการเป็นพลเมืองดีคือการแสดงออกใดๆ จำเป็นต้องเร่ิมต้นที่ความคิดเห็นและท่าทีอันถูกต้อง
เหมาะสมในเชิงบวก๑๒๕ ซ่ึงจากการศึกษาพบว่าสามารถพิจารณาได้จากกรอบมโนทัศน์ของหลักธรรม
๑๒๕ ชาญณรงค์ บุญหนุน. “พระพุทธศาสนากับการสรา้ งสรรคป์ ระชาธิปไตยวา่ ดว้ ยการเป็นพลเมืองท่ีดขี อง
สงั คม”, วารสารบณั ฑิตศกึ ษาปรทิ รรศน์, ปที ่ี ๖ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๓), หนา้ ๒๑.
๗๐
ต่างๆ เช่น ในแง่คุณลักษณะของความเป็นพลเมืองดีในฐานะปัจเจกชนและสมาชิกท่ีดีของขุมชนหรือ
สังคม อาจพจิ ารณาไดจ้ ากกรอบมโนทัศน์ของ “บุญกิริยาวัตถุ” กล่าวคอื พระพุทธศาสนา เรียกรอ้ งให้
ชาวพุทธบำเพ็ญบุญ ๓ ประการคือ (๑) การให้หรือการแบ่งปันปัจจัยส่ีหรือทรัพยากรท่ีจำเป็นต่อการ
ดำรงชวี ิต (ทาน) (๒) การไมท่ ำรา้ ยเบียดเบียดผูอ้ ่ืน รักษาระเบียบสังคมเพอื่ ไม่ให้เกิดความวุ่นวาย (ศีล)
(๓) การมีจิตใจท่ีดีมีน้ำใจต่อผู้อื่น (ภาวนา) ในที่น้ีมุ่งหมายการสร้างจิตใจท่ีมีเมตตาต่อกันของคนใน
สังคม กรอบคิดเรื่อง “บุญกิริยาวัตถุ” นี้เป็นหลักความประพฤติโดยย่อท่ีครอบคลุมทั้งเรื่องสังคมและ
ปัจเจกบุคคล การให้ทานเกี่ยวข้องกับการกระจายหรือการแบ่งปันทรัพยากรหรือปัจจัยส่ีซ่ึงจำเป็นต่อ
การมีชีวิตอยู่ของแต่ละคน การประพฤติศีลเป็นเร่ืองระเบียบกฎเกณฑ์พื้นฐานทางสังคม สังคม
จำเปน็ ตอ้ งมรี ะบบระเบียบท่คี นทั่วไปจักต้องให้ความเคารพ ขณะเดยี วกนั มนุษยใ์ นสังคมจักตอ้ งมจี ิตใจ
ท่ีมองเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกันเอ้ืออาทรต่อกัน ในฐานะสมาชิกของชุมชน๑๒๖ หรืออาจ
พิจารณาในกรอบมโนทัศน์ของ “อปัณณกปฏิปทา”๑๒๗ เพื่อให้บุคคลถือปฏิบัติเป็นหลักการในการ
ดำเนินชีวิตในฐานะปัจเจกชนให้อยู่ในแนวทางท่ีถูกต้องเป็นประโยชน์เกื้อกูล ป้องกันความผิดพลาดที่
อาจจะไปกระทบต่อสิทธิเสรีภาพเพ่ือนพลเมืองคนอ่ืนๆ หรือสังคม คือ (๑) ป้องกันความหลงเมามัว
ไม่ให้บาปอกุศลครอบงำใจ (สำรวมอนิ ทรีย์ ๖) มีสตมิ ่ัน ไมย่ นิ ดียนิ ร้ายต่อส่งิ พบเห็น เพ่อื ป้องกันไม่ให้ไป
เบยี ดเบียนผู้อน่ื ด้วยอำนาจของกิเลส (๒) ป้องกันความโลภ โดยรู้จักประมาณ (โภชเนมัตตัญตา) ในการ
เสพบริโภคปัจจัยสี่ เพ่ือไม่ให้เบียดเบียนธรรมชาตเิ กินความจำเป็น (๓) สร้างความรับผิดชอบ โดยฝึกสติ
ให้ตื่นตัวอยเู่ สมอ ไม่เกยี จคร้าน ขยนั หมน่ั เพยี ร (ชาครยิ านโุ ยค) พร้อมเสมอทุกเวลาในการปฏิบัติกิจการ
งานเพื่อความเจริญก้าวของชีวิต (ป้องกันความประพฤติเสียหาย หรือเบียดเบียนผู้อ่ืนในทางมิชอบ)
หรืออาจพิจารณาในกรอบมโนทัศน์ของ “ธรรมคุ้มครองโลก”๑๒๘ เพื่อให้การอย่รู ่วมกันในสังคมเป็นไป
อย่างปกติสุข โดยพระพุทธศาสนามองว่าเป็นธรรมที่ชว่ ยให้บุคคลไดต้ ระหนักถึงการอยู่ร่วมกันในสังคม
เพอ่ื ความเป็นระเบยี บเรียบร้อย มีสันติภาพ ไม่สร้างความเดือดร้อนและสับสนวุ่นวายใหเ้ กดิ ข้นึ กบั สังคม
กล่าวคือ (๑) หิริ ความละอายบาป คือ ความละอายใจต่อการทำความชั่วทั้งปวง เช่น ละอายต่อการ
ประพฤติทุจริตท้ังต่อหน้าและลับหลัง ทำให้ไม่ก่อความเดือดร้อนให้แก่บุคคลอ่ืนและสังคม (๒)
โอตตปั ปะ ความเกรงกลัวบาป คอื ความเกรงกลวั ต่อความชวั่ ท้ังหลาย เกรงกลัวต่อผลของความช่ัวจาก
การประพฤติทุจริตท่ีจะตามใหผ้ ลในภายหลังเช่น เกดิ ความเสียหาย เสียอิสรภาพ หรือถูกสังคมรังเกียจ
๑๒๖ อ้างแล้ว, ชาญณรงค์ บุญหนุน. “พระพุทธศาสนากับการสร้างสรรค์ประชาธิปไตยว่าด้วยการเป็น
พลเมืองท่ีดีของสังคม”, วารสารบัณฑิตศกึ ษาปรทิ รรศน์.
๑๒๗ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์คร้ังที่ ๒๗,
(กรงุ เทพมหานคร : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๗), หน้า ๑๐๘-๑๐๙.
๑๒๘ องฺ.ทุก.(ไทย) ๒๐/๙/๖๓, อภิ.สง.ฺ (ไทย) ๓๔/๑๓๐๘/๓๒๙, อภิ.สง.ฺ (ไทย) ๓๔/๑๓๑๐/๓๒๙.
๗๑
เป็นต้น ธรรม ๒ ประการน้ีเรยี กได้ว่า เป็นธรรมที่ทำให้บุคคลผู้ประพฤติเป็นคนดีหรือเป็นบัณฑิต และ
สามารถนำไปส่กู ารเปน็ พลเมืองดีที่มคี ุณภาพของสังคมได้
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาถึงหลักการสำคัญเก่ียวกับคุณลักษณะของความเป็นพลเมืองดี
ทางพระพุทธศาสนานั้น หากประมวลความมุ่งหมายจากสารัตถะคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว จะพบว่า
พระพุทธเจ้าให้ความสำคัญและคุณค่าแห่งความเป็นคนว่าอยู่ที่ความประพฤติ ฉะนั้น คุณลักษณะอัน
เป็นหลักการที่สำคัญของความเป็นพลเมืองดีในระบบสังฆะท่ีพระพุทธองค์ทรงประสงค์ ให้พลเมืองท่ี
เป็นมวลสมาชิกของสังฆะทุกคนได้ตระหนกั และประพฤตปิ ฏิบัตติ ่อเพอ่ื นพลเมอื งหรือตอ่ เพ่ือนมนษุ ยค์ น
อ่นื ๆ โดยทรงวางเป็นนโยบายเอาไว้ในการประกาศพระพุทธศาสนาของพระองคท์ ี่เรียกว่าหลักโอวาท
ปาฏิโมกข์ ๓ ประการ๑๒๙ ท่ีกระทัดรัด เข้าใจง่าย แต่ทะว่ายิ่งใหญ่ คือ การเว้นบาป-ทำดี-ทำใจให้
บริสทุ ธิ์ ความวา่
๑. สพฺพปาปสฺส อกรณํ การไม่ทำบาปท้ังปวง
๒. กสุ ลสฺสปู สมปฺ ทา การทำกุศลใหถ้ ึงพรอ้ ม
๓. สจิตฺตปรโิ ยทปนํ การทำจติ ของตนใหผ้ อ่ งแผ้ว
พลเมืองทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ จึงต้องขดั เกลาจิตใจตนเองอยู่เสมอให้บริสุทธ์ิจากกิเลส
ทง้ั หลาย อย่างน้อยกเ็ ป็นคนดีของสังคม ขั้นสงู สดุ ก็จะสามารถนำตนให้พ้นจากทุกข์ได้
กล่าวโดยสรุปแล้ว คุณลักษณะของความเป็นพลเมืองดีทางพระพุทธศาสนา จะเน้นไปท่ี
คุณสมบัติพื้นฐานของการเป็นคนดีตามคำสอนของพระพุทธศาสนา คือการรักษาระเบียบทางกาย วาจา
และใจให้ปราศจากกิเลส อันได้แก่ ความโลภ โกรธ หลง โดยมีมาตรฐานการปฏิบัติต้ังแต่ระดับศีล
ซึง่ เป็นหลักทั่วไปสำหรับการดำรงชวี ิตมนุษยใ์ ห้เกิดความสงบสุขในการอยูร่ ว่ มกนั ในสงั คม ไปจนถึงหลัก
คำสอนท่ีเป็นคุณธรรมระดับสูง เพ่ือยกระดับจิตใจของพลเมืองในระบบสังฆะให้ก้าวไปสู่จุดมุ่งหมาย
สงู สุดทางพระพทุ ธศาสนา คือความเปน็ อรยิ ชนหรือพระอรหนั ต์ (ความเป็นพลเมืองทีม่ คี ณุ ภาพ) คือการ
ไมม่ ีทกุ ขห์ รอื การมอี สิ รภาพทางจิตใจ (วิมุตติ)
๒.๓.๔ แนวคิดการพฒั นาความเป็นพลเมอื งดตี ามหลักพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ และพุทธธรรมท่ีเป็นสารัตถะคำสอนทาง
พระพุทธศาสนาน้ัน ถือเป็นจริยธรรมเชิงบวก ท่ีเป็นแนวทางแห่งการแก้ปัญหาในทุกด้านลงสู่ความ
ร่มเย็นสงบสันติสุข มีคุณค่าต่อการนำมาส่งเสริมพัฒนาประชาชนให้ก้าวไปสู่การเป็นพลเมืองดีที่มี
คุณภาพได้ เพราะเป็นศาสนาที่มีความแตกต่างจากศาสนาอ่ืน ๆ ท่ีมีขันติธรรม และเช่ือในเหตุผลตาม
หลักวิทยาศาสตร์ มองโลกแบบผู้รกั สนั ตภิ าพ การปลกู ฝงั หลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาจึงมแี ต่
บวกกับบวกในสังคม คำส่ังสอนทางพระพุทธศาสนาจึงมีความสำคัญต่อวถิ ีชีวิตของคนไทยเป็นอย่างย่ิง
๑๒๙ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๙๐/๕๐.
๗๒
เพราะพุทธธรรมท่ีเป็นระบบการดำเนินชีวิตท่ีดีงามอย่างมีสัมมาทิฏฐิเพื่อศานติสุขของคนในสังคม
สามารถนำผู้ประพฤตปิ ฏิบตั ิใหด้ ำรงอยใู่ นสังคมไดด้ ว้ ยการครองชีวติ ทีป่ ระเสริฐ มคี ณุ ธรรมในจิตใจ รู้จัก
แยกแยะสงิ่ ทดี่ งี าม ถูกหรอื ผิด ควรหรือไมค่ วรได้
ดังน้ัน ก่อนท่ีจะเสนอแนวทางการพัฒนาความเป็นพลเมืองดตี ามหลกั พระพุทธศาสนาใน
บทที่ ๔ ต่อไปน้ัน ผู้วิจัยจะได้นำเสนอแนวคิดที่เป็นหลักการ ขั้นตอนวิธีการ และเป้าหมายของการ
พฒั นาคนตามหลักพระพุทธศาสนา เพื่อเปน็ ฐานองคค์ วามรู้ ในการนำไปประยกุ ต์ใช้เป็นหลกั การในการ
พัฒนาความเปน็ พลเมอื งดตี อ่ ไป โดยหลักการพัฒนาคนตามหลักพระพุทธศาสนาน้ี ถือเปน็ กระบวนการ
หนง่ึ ของการเปล่ยี นแปลงภายในตัวของมนษุ ย์ให้มกี ารปรับตัวไปในทางทพ่ี งึ ปรารถนาใหด้ ีข้ึนกว่าเดมิ ใน
การอยู่ร่วมกนั ในฐานะพลเมืองดขี องสงั คม ซง่ึ ผู้วจิ ัยจะไดอ้ ธิบายดงั ต่อไปนี้
๒.๓.๔.๑ ความหมายของการพฒั นาตนทางพระพทุ ธศาสนา
การพัฒนาตนนับเป็นกลยุทธ์ท่ีสำคัญเพราะเป็นจุดเร่ิมต้นของการพัฒนาสังคมและ
ประเทศชาติ หากประชาชนของประเทศใดมีคุณภาพ ก็ย่อมหมายถึงว่าประเทศนั้นได้มีการพัฒนาตาม
ไปด้วย เพราะเหตุผลท่ีว่าการพัฒนาตนจะส่งผลให้มนุษย์ได้ปรับปรุงพลังและความสามารถในตัวให้
บรรลุถึงขีดสงู สุดหรอื ก่อให้เกิดประโยชน์สงู สุดสำหรบั ชวี ิต ทัง้ พลังทางกาย พลังทางจิตใจ และพลังทาง
ปัญญา ฉะน้ัน การพัฒนาตนจึงเป็นสิ่งท่ีจำเป็นสำหรับพลเมืองทุกคนที่จะต้องฝึกฝนและพัฒนาตนอยู่
ตลอดเวลาจึงนับเป็นผู้ประเสริฐ ทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคมเป็นไปได้อย่างปกติสุข ดัง
พุทธพจน์ที่ว่า “ทนฺโต เสฎฺโฐ มนุสฺเสสุ” แปลว่า “ในหมู่มนุษย์ ผู้ฝึกตนได้แล้ว เป็นผู้ประเสริฐสุด”๑๓๐
ซงึ่ การพฒั นาตนนน้ั ได้มีผใู้ ห้ความหมายไว้ต่าง ๆ กันดังน้ี
พิสิทธ์ิ สารวิจิตร ให้ทัศนะว่า การพัฒนาตนเอง หมายถึง การพัฒนาปลูกสร้างคุณสมบัติ
คุณธรรม นิสัย เจตคติ ความสามารถ ความชำนาญ ความรู้ ความคิด ความเข้าใจให้เกิดข้ึนในตนเอง
เพื่อช่วยให้ตนเองเป็นบุคคลที่มีความสุข ความเจริญ ความสมบูรณ์ และเปน็ ประโยชน์แก่ตนเอง สังคม
ประเทศชาติ อย่างสอดคล้องเหมาะสมกับความถนัด ความสนใจ ศักยภาพและความสามารถของ
ตนเอง๑๓๑ สอดคล้องกับ ไพศาล ไกรสิทธ์ิ อธิบายวา่ การพฒั นาตนเอง ก็คอื การท่ีบุคคลพยายามท่ีจะ
ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนด้วยตนเองให้ดีข้ึนกว่าเดิม เหมาะสมกว่าเดิมทำให้สามารถดำเนินกิจกรรม
แสดงพฤติกรรมเพื่อสนองความต้องการแรงจูงใจหรือเป้าหมายท่ีตนตั้งไว้ และการพัฒนาตนเองด้วย
ตนเองตามศักยภาพของตนให้ดีขึ้นท้ังร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม เพื่อให้ตนเป็นสมาชิกที่มี
๑๓๐ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๓๒๑/๑๓๓.
๑๓๑ พิสิทธ์ิ สารวิจิตร. “ยุทธศาสตร์การสอนวิชาการพัฒนาตนเองและบุคลิกภาพจากระดับอนุบาลถึง
ปริญญาเอก”, เอกสารประกอบการสอน, (กรุงเทพมหานคร : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ประสานมิตร, ๒๕๒๓), หน้า ๑๐๙.
๗๓
ประสิทธภิ าพของสังคมเป็นประโยชนต์ อ่ ผอู้ ื่นตลอดจนเพื่อการดำรงชวี ติ อย่างสันตสิ ขุ ของตน๑๓๒ ขณะที่
ในทางจิตวิทยาการพัฒนาตน จะหมายถึง การพัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับตน ภาพลักษณ์แหง่ ตน
และการพัฒนาการร้คู ณุ ค่าแหง่ ตน ซงึ่ มีนกั จิตวิทยาทีส่ ำคญั ได้ให้ความหมายไวด้ ังน้ี
คาร์ล จี จุง (Carl G. Jung) ให้ทัศนะว่า การพัฒนาตน ก็คือ การพัฒนาศักยภาพของตน
ให้ถึงจุดสูงสุด เพ่ือการเข้าใจตนและเพื่อการมีชีวิตที่สมบูรณ์ สอดคล้องกับอัลเฟรด แอดเลอร์ (Alfred
Adler) ท่ีได้ให้ทัศนะคล้ายๆ กับคาร์ล จี จุง (Carl G. Jung) ว่า การพัฒนาตนก็คือการสร้างแผนชีวิต
เพื่อไปสู่ความเด่น อันเป็นการสร้างความอิ่มใจให้กับตนเอง ซึ่งเป็นสาระสำคัญของชีวิต๑๓๓
ส่วนในทางพระพุทธศาสนาคำว่า “การพัฒนา” หรือ การพัฒนาตน ที่หมายถึง ความเจริญ หรือทำให้
เจริญขึน้ ๑๓๔ จะมีความหมายตรงกับคำว่า “ภาวนา” ในภาษาบาลีท่านให้ความหมายว่า วฑฺฒนา ซ่ึงก็
คอื วัฒนา หรือ พัฒนา ที่ใชใ้ นภาษาไทย ฉะน้ัน คำว่า “การพัฒนา” จึงตรงกับคำวา่ “ภาวนา” อันเป็น
ลกั ษณะทรี่ ู้สึกไปกนั ไดต้ ามหลักในพระพทุ ธศาสนา๑๓๕
ดังน้ัน การพัฒนาตนตามนัยแห่งความหมายของคำว่า “ภาวนา” ในคำสอนทางพระพุทธ
ศาสนาดังกลา่ ว จึงสะทอ้ นถึง ลกั ษณะของการทำให้มีข้ึน การทำให้เกิดขึน้ การเจริญ การบำเพ็ญ การ
ฝึกอบรม หรือการพัฒนาเพื่อทำส่ิงที่ยังไม่มีให้มีข้ึน๑๓๖ อันเป็นความเจริญที่ยั่งยืนเป็นกระบวนการ
ปรับเปล่ียนและจดั ระบบพฤตกิ รรมใหส้ อดคล้องกลมกลนื เหมาะสมท้งั ในดา้ นของตนเองและในด้านการ
สร้างความสัมพันธ์กบั สังคม เพ่อื ให้เกดิ ความปกติสุขในการดำเนินชีวิต โดยมีความหมายครอบคลุมถงึ การ
ปฏบิ ัติตนท้งั หมดทเ่ี ป็นไปเพือ่ การพัฒนาคณุ ธรรมภายในตน๑๓๗
สรุปได้ว่า การพัฒนาในทางพระพุทธศาสนา จึงหมายถึง การพัฒนาตนของบุคคล เป็น
การปรับปรุงเปลีย่ นแปลงสิ่งต่างๆ ภายในชีวิตของตนจากสภาพหน่ึงไปสู่อีกสภาพหน่ึงท่ีดีกว่า โดยตาม
ศัพท์ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า ภาวนา คือ การพัฒนามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านกาย ศีล จิตใจ
๑๓๒ ไพศาล ไกรสิทธิ์. เอกสารการสอนรายวิชาการพัฒนาตน, (ราชบุรี : คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏ
หมู่บา้ นจอมบึง, ๒๕๔๑), หนา้ ๒๑.
๑๓๓ Carl G. Jung และ Alfred Adler, อ้างใน สนุ ษิ า กลึงพงษ์, “ความต้องการพัฒนาตนเองของบุคลากร
สายปฏิบัติการคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ”, (บัณฑิตวิทยาลยั : มหาวิทยาลยั ศรี
นครินทรวโิ รฒ, ๒๕๕๖), หน้า ๓๓.
๑๓๔ ราชบณั ฑิตยสถาน. พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔, หนา้ ๘๒๗.
๑๓๕ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), สู่การศึกษาแนวพุทธ, พิมพ์ครงั้ ที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิ
พทุ ธธรรม, ๒๕๔๘), หน้า ๑๑๒.
๑๓๖ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์คร้ังที่ ๒๐,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ บรษิ ทั สหธรรมกิ จำกัด, ๒๕๕๖), หนา้ ๒๘๖-๒๘๗.
๑๓๗ พ ระพ รห ม คุ ณ าภ รณ์ (ป .อ . ป ยุ ตฺโต), ห ลั กแ ม่ บท ขอ งการพั ฒ น าต น , พิ ม พ์ ค ร้ังที่ ๑ ๕ ,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๖), หน้า ๑๐, ๑๕.
๗๔
หรือปัญญาก็ตาม เพื่อก่อให้เกิดคุณลักษณะท่ีเหมาะสมของประชาชนพลเมืองในการอยู่ร่วมกันอย่าง
ปกติสขุ และมีประสทิ ธภิ าพตอ่ การพัฒนาประชาธปิ ไตย จนถึงการพฒั นาประเทศชาติ
๒.๓.๔.๒ หลกั การของพทุ ธธรรมทใี่ ชพ้ ฒั นาความเป็นพลเมืองดี
การพัฒนาตนหรือการพฒั นาความเป็นพลเมืองดตี ามหลักพระพุทธศาสนาน้ัน หากจะ
มองในแงข่ องหลักการปฏิบตั ิตามหลักพุทธธรรมแล้ว จะเห็นได้ว่ามีองค์ประกอบอยู่ ๓ ประการ ซึ่งถือ
เป็นหลักการใหญ่สำหรับฝึกฝน อบรมเรียนรู้ฝึกหัดพัฒนาตน ทำให้ชีวิตเจริญก้าวหน้าไปสู่จุดหมาย
ท่ีบุคคลพึงถือเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ ได้แก่ หลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา
ดังน้ัน การภาวนาหรือการพัฒนาตนตามหลักพระพุทธศาสนา จึงต้ังอยู่บนหลักการที่เรียกว่าหลัก
ไตรสิกขา หรือ สิกขา ๓ คือ ข้อปฏิบัติท่ีเป็นหลักสำหรับศึกษา ๓ ประการ เพ่ือฝึกหัดอบรมกาย วาจา
จติ ใจ และปญั ญา ให้เจรญิ ย่ิงขึ้นไปจนบรรลุจดุ หมายสูงสุดคือ ความเป็นมนษุ ย์ท่สี มบรู ณ์ (พระนิพพาน)
ซึง่ ประกอบด้วย อธสิ ลี สกิ ขา อธจิ ิตตสกิ ขา และอธปิ ัญญาสิกขา๑๓๘ กลา่ วคือ
๑) สิกขา คือศีลอันยิ่ง (อธิสีลสิกขา) หรือ “ศีล” คือข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมในทาง
ความประพฤติอย่างสูง หมายถึง การฝึกอบรมในด้านความประพฤติ ระเบียบวินัย ให้มีสุจริตทางกาย
วาจาและอาชีวะ ว่าโดยสาระก็คือ การดำรงตนด้วยดีในสังคม รักษาระเบียบวินัย ปฏิบัติหน้าที่และ
ความรบั ผิดชอบทางสังคมให้ถูกต้อง มีความสัมพนั ธ์ทางสังคมท่ีดงี าม มชี ีวิตทเ่ี ก้ือกูลเป็นประโยชน์ ชว่ ย
รกั ษาและส่งเสริมสภาพแวดลอ้ มท่ตี นมีส่วนชว่ ยสรา้ งสรรค์รักษา โดยเฉพาะในทางสงั คม ให้อยู่ในภาวะ
เอือ้ อำนวยแกก่ ารทีท่ กุ ๆ คนจะสามารถดำเนินชวี ิตท่ดี งี ามร่วมกนั
๒) สิกขา คือจิตอันยิ่ง (อธิจิตตสิกขา) หรือ “สมาธิ” คือข้อปฏิบัติสำหรับฝึกหัดอบรมจิต
ใจ เพ่ือให้เกิดคุณธรรม (การปลูกฝังคุณธรรม) สร้างเสริมคุณภาพจิต และรู้จักใช้ความสามารถใน
กระบวนการสมาธิ ว่าโดยสาระก็คือ การพัฒนาคุณภาพจิต หรือการปรับปรุงจิตให้มีคุณภาพและ
สมรรถภาพท่ีสงู ซงึ่ เอ้ือแกก่ ารมชี ีวติ ท่ดี งี ามและพร้อมทีจ่ ะใช้งานในทางปัญญาอย่างได้ผลดีท่ีสุด
๓) สิกขา คือปัญญาอันย่ิง (อธิปัญญาสิกขา) หรือ “ปัญญา” คือข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรม
ปัญญา เพ่ือให้เกิดความรู้แจ้งอย่างสูง หมายถึง เป็นการฝึกปรือปัญญาให้เกิดความรู้ความเข้าใจสิ่ง
ท้ังหลายตามความเป็นจริง จนถึงความหลุดพ้น มีจิตใจเป็นอิสระ ผ่องใส เบิกบานโดยสมบูรณ์ ว่าโดย
สาระก็คือ การมองดรู จู้ ักและเข้าใจสิ่งทงั้ หลายตามสภาพความเป็นจรงิ หรือร้เู ท่าทนั ธรรมดาของสังขาร
ธรรมทั้งหลาย ท่ีทำให้เป็นอยู่และทำการต่าง ๆ ด้วยปัญญา คือรู้จักวางใจท่าทีและปฏิบัติต่อโลกและ
ชีวติ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม มีความสัมพันธ์กับสง่ิ ทงั้ หลายอยา่ งถูกต้องและใช้ปญั ญาท่บี ริสุทธ์ิ ไม่เอน
๑๓๘ องฺ.ตกิ .(ไทย) ๒๐/๙๑/๓๑๙, องฺ.ฉกฺก.(ไทย) ๒๒/๑๐๕/๖๒๖-๖๒๗, ขุ.ม.(ไทย) ๒๙/๑๐/๔๘-๔๙.
๗๕
เอยี ง ไม่มีกเิ ลสแอบแฝง คิดพิจารณาแก้ไขปัญหาต่างๆ ทำกิจท้งั หลายในทางท่ีเป็นไปเพ่ือประโยชน์สุข
อยา่ งแท้จรงิ ๑๓๙
บคุ คลทป่ี ฏบิ ัติตามหลกั การพัฒนานจี้ ะกอ่ ให้เกิดประโยชน์ ๓ ประการ ได้แก่
๑. ทำให้เป็นคนดีของสังคม คือการเป็นผู้มีระเบียบวินัย มีความเคารพกฎหมาย อยู่ใน
กรอบวัฒนธรรมอันดีงาม ทำให้บุคคลเว้นกายทุจริต วจีทุจริต และประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต อัน
เป็นไปตามหลักของศีล ท่ีเรียกว่า ศีลภาวนา หรือการพัฒนาศีล อันเป็นวิธีการพัฒนาพฤติกรรมของ
บคุ คลทแ่ี สดงออกทางกายและวาจา ที่เกี่ยวขอ้ งกบั สงั คม
๒. ทำให้เป็นผู้มีจิตใจและอารมณ์ที่ม่ันคง มีคุณธรรมทางจิตใจ มีความเอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่แก่
คนอ่ืน เห็นแก่ประโยชน์สว่ นรวม เวน้ ความโลภ ความพยาบาท ประพฤติมโนสุจริต อันเป็นการพัฒนา
จติ ใจตามหลักของสมาธิ ท่ีเรยี กว่า จิตตภาวนา หรอื การพัฒนาจิต
๓. ทำให้เขา้ ใจสิ่งตา่ งๆ อย่างถูกตอ้ งตามความเป็นจริงเปน็ สมั มาทิฏฐิละความหลงอนั เป็น
มโนทจุ ริต ท่ีเรียกวา่ ปัญญาภาวนา หรอื การพัฒนาปญั ญา
การพัฒนาคนตามหลักพระพุทธศาสนาจึงเน้นท่ีการฝึกฝนดังพุทธคุณบทหน่ึงท่ีกล่าวว่า
“มนุสฺสภูตํ สมฺพุทฺธํ อตฺตทนฺตํ สมาหิตํ ... เทวาปิ ตํ นมสฺสนฺติ” แปลว่า “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งท่ี
เป็นมนุษย์น่ีแหละ เมื่อได้ฝึกฝนพระองค์ดีแล้ว มีพระหฤทัยท่ีอบรมถึงที่แล้ว...แม้เทพท้ังหลายก็น้อม
นมสั การ”๑๔๐
พุทธคุณบทนี้ สะท้อนให้เห็นว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้และต้องฝึกกระตุ้นเตือนให้เกิด
จิตสำนึก ตระหนักในการที่จะต้องฝึกฝนพัฒนาตนให้ถึงที่สุด แม้พระพุทธองค์ที่ทรงตรัสรู้เป็น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เพราะว่าทรงเป็นมนุษย์ท่ีพัฒนาตนดีแล้ว คือเป็นมนุษย์ท่ีประเสริฐแล้ว แม้แต่
เทพหรือพรหมก็น้อมนมัสการ ทั้งน้ีหากอธิบายตามศัพท์ทางวิชาการปัจจุบัน ก็หมายถึง มนุษย์มี
ศักยภาพสูงสามารถฝึกฝนพฒั นาตนใหเ้ ปน็ ผปู้ ระเสริฐ หรอื การเป็นมนุษยท์ ่ีสมบูรณไ์ ด้
๑. การพัฒนาในระดับศลี
ศลี แปลว่าปกติ เรียบ นิง่ สงบ มีขอบเขตเฉพาะทางกายและวาจา จงึ เรยี กวา่ ศีล เป็น
คุณธรรมขั้นพื้นฐาน เป็นเบื้องต้นในกุศลธรรมท้ังหลาย คือการฝึกฝนพัฒนาด้านพฤติกรรม หมายถึง
การพัฒนาพฤติกรรม ทางกาย และวาจา ให้มีความสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อมอย่างถูกต้อง มีผลดี ซึ่ง
สง่ิ แวดล้อมที่ว่าน้ัน ได้แก่ สิ่งแวดล้อมทางสังคม เช่น เพ่ือนมนุษย์ (ในความหมายทางพระพุทธศาสนา
รวมท้ังสัตว์อืน่ ท้ังปวง) และส่งิ แวดลอ้ มวัตถุ เชน่ ปจั จัย ๔ เคร่ืองใช้วัสดอุ ุปกรณต์ ่างๆ รวมทั้งเทคโนโลยี
๑๓๙ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ, พิมพ์ครั้งที่ ๑๓,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ บรษิ ัท สหธรรมกิ จำกดั , ๒๕๕๑), หนา้ ๙๑๔-๙๑๕.
๑๔๐ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม (ฉบับเดิม), พิมพ์คร้ังท่ี ๒๕, (กรุงเทพมหา นคร :
มหามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๕๓), หนา้ ๓๔๕.
๗๖
และส่ิงท้ังหลายท่ีมีอยู่ในธรรมชาติ เม่ือศีลดีความเห็นก็ย่อมจักตรงตามไปด้วย๑๔๑ ท่านจึงเปรียบศีลนี้
เหมือนกับพื้นดินอันอุดม ซ่ึงเหมาะสำหรับหว่านเมล็ดพืชคือคุณงามความดีทั้งหลาย๑๔๒ โดยมีส่วน
สำคญั ท่ีควรเน้น คอื
๑. พฤติกรรม ทีม่ ีความสัมพันธ์กับส่งิ แวดล้อมทางกายภาพหรือโลกแห่งวัตถุ หรืออาจ
กลา่ ววา่ เปน็ การร้จู ักใช้อินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิน้ กาย ในการรับรู้โดยไมเ่ กิดผลเสียหรอื เกดิ โทษ แต่ให้
เกิดผลดี ส่งเสริมคุณภาพชีวิต และการฝึกอินทรีย์ให้มีประสิทธิภาพในการใช้งาน ให้ตาดูเป็น ให้หูฟัง
เป็น ฯ อยู่ในหลกั ของอินทรียสังวรศีล๑๔๓ และต้องร้จู ักบริโภคปัจจยั ๔ (ปัจจัยปฏิเสวนาหรือปัจจัยสัน
นสิ ติ ศีล) คอื ใช้ประโยชน์จากวัตถสุ ิง่ แวดล้อมหรือธรรมชาติ รวมท้ังเทคโนโลยีดว้ ยปัญญาที่รู้เขา้ ใจมงุ่ คุณ
ค่าท่ีแท้จริง ให้ได้คุณภาพชีวิตเป็นคุณประโยชน์ ไม่บริโภคด้วยโมหะ จนก่อให้เกิดความลุ่มหลงมัวเมา
ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย ความเสื่อมเสียคุณภาพชีวิต การใช้จ่ายสิ้นเปลือง การขัดแย้งแย่งชิง เบียดเบียนกันใน
สังคม การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และการก่อมลภาวะ หรือก่อให้เกิดปัญหาอย่างมากท้ังแก่ชีวิต
แก่สังคมและแก่โลก แต่ต้องพัฒนาตนให้รู้จัก กินเป็น บริโภคเป็น ใช้เป็น และปฏิบัติให้ถูกต้องตาม
วัตถุประสงค์ของปัจจัย ๔ ตลอดจนเทคโนโลยีนั้นๆ อันเป็นการปฏิบัติตามหลักของ “โภชเนมัต
ตญั ญุตา” เพอื่ หลกี เลยี่ งการทำลายสิง่ แวดล้อมและธรรมชาติ
๒. พฤติกรรม ท่ีสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางสังคมและโลก เช่น การอยู่ร่วมกันในทาง
สังคม โดยไม่เบียดเบียน ก่อความทุกข์ความเดือดร้อน หรือก่อเวรภัย แต่รู้จักมีความสัมพันธ์ท่ีดีกับ
เพื่อนมนุษย์อย่างช่วยเหลือเกื้อกูล ดำรงตนอยู่ในกรอบของศีล ดำเนินชีวิตตามหลักของศีลให้ ความ
ร่วมมือกับการรักษากติกาของสังคม กฎเกณฑ์หรือกฎหมาย ระเบียบ แบบแผน หรือวินัยแม่บทของ
ชุมชนหรือสังคมของตน และวัฒนธรรม รวมท้ังส่ิงที่เรียกว่าจรรยาบรรณต่าง ๆ และรู้จักแบ่งปัน การ
เผือ่ แผ่แบ่งปันช่วยเหลือ ตามหลกั ของการให้ทาน เพ่ือช่วยเหลือปลดเปลื้องความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์
ให้ความสุข และส่งเสริมการสร้างสรรค์ สิ่งท่ีดีงาม ตลอดจนการประพฤติเกื้อกูลแก่ชีวิตอื่น ๆ ทั้งสัตว์
มนษุ ย์และพชื พันธ์ุ เป็นต้น
๓. พฤติกรรมเกี่ยวกับการดำรงชีพท่ีบริสุทธิ์ (อาชีวปาริสุทธิศีล)๑๔๔ ซ่ึงเป็นพฤติกรรม
หลักในการดำเนินชีวิตของพลเมืองในสังคม คือ การหาเล้ียงชีพโดยทางสุจริต ไม่ผิดกฎหมาย แต่หาก
เล้ียงชีพโดยวิธีทุจริต เป็นมิจฉาชีพ นอกจากจะทำให้ตนเองเสื่อมเสียแล้ว ก็จะก่อความเดือดร้อนแก่
สังคมอย่างมาก จึงต้องย้ำเน้นกันอย่างยิ่งในเร่ืองการพัฒนาสัมมาชีพ (สัมมาอาชีวะ) และส่งเสริมให้
๑๔๑ ส.ํ ม.(ไทย) ๑๙/๓๖๙/๒๑๒-๒๑๓.
๑๔๒ พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์, ปริญญาพ้นทุกข์, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์
ธรรมดา, ๒๕๔๙), หนา้ ๕๖.
๑๔๓ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๓๖๕/๒๙๑-๒๙๒.
๑๔๔ ในท่ีนี้ ศลี คือความบริสทุ ธ์ิแห่งอาชีวะ เลี้ยงชีวติ โดยทางทชี่ อบ ไม่ประกอบ อเนสนา (การแสวงหาอันไม่
สมควร) มีหลอกลวงเขาเล้ียงชพี เป็นตน้ องฺ.ทุก.อ.(ไทย) ๒/๓๘/๕๕.
๗๗
ประชาชนฝึกฝนตนให้สามารถประกอบสัมมาชีพ สัมมาชีพพึงมีลกั ษณะที่สำคัญๆ ได้แก่ ไม่เป็นไปเพ่ือ
ความเบยี ดเบยี น ไมก่ ่อความเดือดร้อนแก่ผอู้ ื่น หรอื กอ่ ผลเสียหายแกส่ ังคม หากแต่เป็นเคร่อื งแก้ ปญั หา
ของชวี ิตและแก้ปัญหาของสังคม มีชวี ิตทีเ่ ปน็ ไปเพื่อสรา้ งสรรค์ ทำให้เกิดประโยชน์เกื้อกูล ที่เอ้ือตอ่ การ
พัฒนาชวี ิตของตน ไม่ทำให้ชีวติ ตกต่ำ หรอื ทำลายคุณค่าของความเป็นมนษุ ย์ หรือเสอื่ มจากคุณความดี
ในภาวะแหง่ ตน
๒. การพฒั นาในระดับสมาธิ
สมาธิ เป็นกระบวนการฝึกอบรมพัฒนาคุณภาพจิตใจ มีความสำคัญอย่างย่ิงเพราะ
จิตใจเป็นฐานของพฤตกิ รรม เนอ่ื งจากพฤติกรรมทุกอยา่ งเกิดขึ้นจากความตัง้ ใจหรือเจตนา และเป็นไป
ตามเจตจำนงและแรงจงู ใจท่ีอยู่เบื้องหลัง ถ้าจติ ใจได้รับการพัฒนาให้ดีงามแล้ว กจ็ ะควบคุมดูแลและนำ
พฤตกิ รรมไปในทางทดี่ งี ามด้วย ด้วยเหตุน้ี ปัญญาจะเจริญงอกงามได้ ต้องอาศัยจติ ใจที่เข้มแขง็ สู้ปัญหา
เอาใจใส่ มีความเพียรพยายามที่จะคิดค้นไม่ท้อถอย ย่ิงเร่ืองท่ีคิดหรือพิจารณานั้นยาก หรือละเอียด
ลกึ ซ้ึง ก็ยิ่งตอ้ งมีจติ ใจที่สงบแนว่ แน่ ไมฟ่ งุ้ ซา่ น ไม่พลุ่งพล่านกระวนกระวาย คอื ตอ้ งมีสมาธิ จึงจะคิดได้
ชัดเจน เจาะลึกทะลไุ ด้ และมองเห็นท่วั ตลอด จติ ท่ฝี กึ ดีแล้ว จึงเปน็ ฐานท่ีจะใหป้ ัญญาทำงานและพัฒนา
อย่างไดผ้ ล
การพัฒนาจติ ใจน้ี มสี มาธิเป็นแกน หรือเป็นศูนย์กลาง จึงเรียกง่าย ๆ ว่า สมาธิ และอาจ
แยกออกได้เป็นการพัฒนาคณุ สมบัตขิ องจติ ใจด้านตา่ ง ๆ คอื
๑. ในแงก่ ารพัฒนาคุณภาพของจติ ใจ กล่าวคือ คุณสมบตั ิท่เี สริมสร้างจติ ใจใหด้ ีงาม ให้
เป็นจิตใจที่สงู ประณตี และประเสรฐิ เชน่ (๑) เมตตา คือ ความรัก ความปรารถนาดี เปน็ มิตร อยากให้
ผู้อื่นมีความสุข (๒) กรุณา คือ ความสงสารอยากช่วยเหลือผู้อ่ืนให้พ้นจากความทุกข์ (๓) มุทิตา คือ
ความพลอยยินดี พรอ้ มที่จะสง่ เสริมสนับสนุนผู้ที่ประสบความสำเร็จ มคี วามสุข หรือก้าวหน้าในการทำ
สิง่ ท่ีดงี าม (๔) อเุ บกขา คือ ความวางตัววางใจเป็นกลาง เพื่อรักษาธรรม เม่ือผู้อื่นควรจะต้องรับผดิ ชอบ
ตอ่ การกระทำของเขาตามเหตแุ ละผล (๕) จาคะ คือ ความมีน้ำใจเสียสละ เอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ตัว
(๖) กตัญญกู ตเวทิตา คือ ความรู้จกั คณุ ค่าแห่งการกระทำของผู้อื่น และแสดงออกให้เหน็ ถงึ การรคู้ ุณค่า
นัน้ (๗) หิริ คอื ความละอายต่อบาป ละอายใจต่อการทำความชว่ั (๘) โอตตัปปะ คือ ความกลัวตอ่ บาป
เกรงกลัวตอ่ ความช่ัว ขยาดต่อการทุจริต (๙) คารวะ คือ ความเคารพ ความใสใ่ จรู้จักใหค้ วามสำคัญแก่
ส่ิงนัน้ ผนู้ ั้น อย่างถกู ตอ้ งเหมาะสม (๑๐) มัทวะ คอื ความอ่อนโยน สภุ าพ น่มุ นวล ไมก่ ระด้าง
๒. ในแง่การพัฒนาสมรรถภาพของจิตใจ คือการเสริมสร้างคุณสมบัติที่ทำให้จิตใจมี
ความเขม้ แข็ง หนักแน่นมั่นคง กล้าหาญ สามารถทำกิจการหน้าที่ไดผ้ ลดี เช่น (๑) ฉันทะ คอื ความใฝ่รู้
ใฝ่สร้างสรรค์ อยากรู้ ความจริง และใฝ่ท่ีจะทำสิ่งดีงามให้สำเร็จ อยากเข้าถึงภาวะดีงามอันเลิศสูงสุด
(๒) วริ ิยะ คือ ความเพียรฟันฝา่ ไปขา้ งหน้า เอาธรุ ะ ไมท่ ้ิงกจิ หน้าทีก่ ารงานท่ีตนรบั ผิดชอบ (๓) อตุ สาหะ
คอื ความขยัน ความบากบั่น ไม่ย่อท้อ ไม่ถอย (๔) ขันติ คือ ความอดทน ความเข้มแข็ง ความทนทาน
หนักแน่นม่ันคง (๕) จิตตะ คือ ความมีใจจดจ่อ ใส่ใจ อุทิศตนแก่กิจการงานในหน้าท่ี หรือส่ิงท่ีทำ (๖)
๗๘
สัจจะ คือ ความตั้งใจจริง จริงใจและจริงจัง มั่นคง แน่วแน่ต่อสิ่งท่ีทำไม่ลังเล (๗) อธิษฐาน คือ ความ
ต้ังใจเดด็ เดี่ยว ความมุ่งมัน่ แนวแน่ต่อจดุ หมาย (๘) ตบะ คอื พลังเผากิเลส กำลงั ความเข้มแข็งพากเพยี ร
ในการทำกจิ การหน้าที่ให้สำเรจ็ โดยระงับยับย้งั กเิ ลสตัณหาได้ ไม่ยอมแก่ทจุ รติ และไม่เห็นแก่ความสุข
สำราญปรนเปรอ (๙) สติ คือ ความระลึกนึกได้ ไม่เผอเรอ ไม่เล่ือนลอย ทันต่อส่ิงที่เกิดขึ้นเป็นไป ซ่ึง
จะต้องเก่ียวขอ้ งทุกอยา่ ง กำหนดจิตใจกับกิจการในหนา้ ท่ี หรอื ส่งิ ที่ทำ มคี วามยับยงั้ ชั่งใจจากสิ่งท่ีเสื่อม
เสียหายเป็นโทษ และไม่ปล่อยโอกาสแห่งประโยชน์ หรือความดีงาม ความเจริญให้เสียไป (๑๐) สมาธิ
คือ ภาวะจิตท่ีต้ังมั่น แน่วแน่ ได้ที่ อยู่ตัว สงบอยู่กับส่ิงท่ีต้องการทำ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่หว่ันไหวต่อสิ่งมา
กระทบ
๓. ในแง่การพัฒนาสุขภาพจติ คือคุณสมบัติทีค่ วรเสริมสรา้ งขึ้นให้มีอยู่ประจำในจติ ใจ
เพ่ือความมสี ุขภาพจติ ที่ดี พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้หลายอยา่ งโดยเฉพาะ (๑) ปราโมทย์ คือ ความรา่ เริง
สดชื่น เบิกบานใจ ไม่หดหู่หรือห่อเห่ียว (๒) ปีติ คือ ความอิ่มใจ ปลาบปลื้ม เปรมใจ ฟูใจ ไม่ห่อเห่ียว
(๓) ปัสสัทธิ คือ ความสงบเย็น ผ่อนคลายกายใจ ไม่คับ ไม่เครียด (๔) สุข คือ ความคล่องใจ
สะดวกสบายใจ สมใจ ไม่มีอะไรบีบค้ัน ติดขัดคับข้อง(๕) สันติ คือ ความสงบปราศจากความเร่าร้อน
กระวนกระวาย ซึ่งใจ (๖) เกษม คือ ความปลอดโปร่ง ความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย โล่งโปร่งใจไร้กังวล
(๗) สันตภิ าพ คือ ความเยน็ สบาย ไม่มีอะไรแผดเผาใจ ไมต่ รอมตรม (๘) เสรีภาพ คือ ความมีใจเสรเี ป็น
อิสระ ไม่ถูกผูกมัด ติดข้อง จะไปไหนก็ไปได้ตามประสงค์ (๙) ปริโยทาตตา คือความผ่องใส
ผุดผ่อง แจ่มจ้า กระจ่าง สว่างใจ ไม่มีความขุ่นมัวเศร้าหมอง (๑๐) วิมริยาทิกัตตา คือความมีใจไร้
พรมแดน ไมก่ ดี กั้น จำกดั ตัว หรือหมกมุ่นติดค้าง มจี ิตใจใหญก่ ว้างไร้ขอบคันเขตแดน
คุณสมบัติทั้งหลายท่ีกล่าวมานี้ แม้จะดีงามเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แต่บางอย่างอาจถูก
นำไปใช้ในทางที่ผิด ก่อให้เกิดโทษได้ เช่น เพียรในการลักของเขา หรือนำไปพ่วงกับการกระทำท่ีไม่ดี
เช่น ปีติปลื้มใจที่ได้รังแกเขา การส่งเสริมคนที่ได้ลาภหรือประสบความสำเร็จโดยทางทุจริต เป็นต้น
ดงั นัน้ จึงตอ้ งรจู้ กั ปฏิบตั ใิ หถ้ ูกตอ้ งพอเหมาะพอดี
การพัฒนาในด้านจิตใจน้ี เมื่อปฏิบัติสูงข้ึนไป ความสำคัญของสมาธิท่ีเป็นแกน หรือเป็น
ศูนยก์ ลาง จะยิ่งเด่นชัดมากข้ึน และเมือ่ สมาธิเจรญิ ขน้ึ ไป จนจิตแน่วแน่ ดิ่งอยู่ตวั แลว้ ผบู้ ำเพ็ญสมาธนิ ้ัน
กจ็ ะบรรลุภาวะจิตท่เี รยี กวา่ ฌาน ซงึ่ เป็นสมาธขิ ้นั สงู
การพัฒนาจิตใจ หรือเรื่องของสมาธิทั้งหมดนั้น แม้จะมีประโยชน์มากมาย นำไปใช้เพื่อ
วัตถุประสงค์ได้หลายอย่าง เช่น ในเรื่องพลังจิตและในด้านการหาความสุขทางจิตใจ แต่คุณค่าท่ีแท้จริงที่
มุ่งหมาย คอื เพื่อเป็นฐานหรือเปน็ เคร่ืองเกอื้ หนนุ การพัฒนาปญั ญานน่ั เอง
๓. การพัฒนาในระดบั ปญั ญา
ปญั ญา เป็นกระบวนการฝึกฝนอบรมทางปัญญา ความสามารถในการแก้ไขปัญหา พัฒนา
ปรับปรุง ต่อยอด ซึ่งมีความสำคัญสูงสุด เพราะปัญญาเป็นตัวนำทางและควบคุมพฤติกรรมทั้งหมด
ปัญญา แปลว่า ความรอบรู้ หมายถึงความรู้ท่ัว หรือรู้ชัด ได้แก่ ความเข้าใจ ความหย่ังรู้เหตุผล หรือ
๗๙
ความรู้ประเภทแยกคัดจัดสรรและวินิจฉยั คือแยกแยะวินิจฉัยได้ว่า จริง เท็จ ดี ชั่ว ถูก ผดิ ควร ไม่ควร
คุณ โทษ ประโยชน์ มใิ ช่ประโยชน์ รู้ความสัมพันธร์ ะหว่างเหตุและผลหรอื ปัจจัยตา่ งๆ ร้ภู าวะความเป็น
จรงิ ของส่งิ ตา่ งๆ วา่ นำไปปฏิบัติอย่างไรจงึ จะแก้ปัญหาได้ หรอื สำเรจ็ ผลท่มี งุ่ หมาย ในทนี่ ี้หมายถงึ เฉพาะ
ความรู้ที่จะใช้แก้ปัญหาชีวิตของมนุษย์คือดับทุกข์ หรือความรู้ที่จะทำให้รู้จักดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง
ดงี าม๑๔๕
การพฒั นาปญั ญาเป็นเรอ่ื งกว้างขวาง แยกออกไปไดห้ ลายดา้ น และมีหลายระดับ เช่น
๓.๑ ปัญญาที่ช่วยดำเนินชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ (สุตมยปัญญา) ได้แก่ (๑) ความรู้
ความเข้าใจข้อมูลความรู้ รวมทั้งศิลปะวิทยาการต่าง ๆ เข้าถึง เน้ือหาความหมายได้ถูกต้องชัดเจน (๒)
การรับรู้เรียนรู้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง ตรงตามสภาวะของส่ิงนั้น ๆ หรือตามที่มันเป็น (๓)
ความรู้จกั จับสาระของความรู้ หรอื เรื่องราวต่าง ๆ รจู้ ุด รปู้ ระเด็น สามารถยกข้ึนพูด ยกขน้ึ ชี้แสดงหรือ
ยกข้ึนวางเป็นหลักได้ (๔) ความรู้จักส่ือสารถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ และความต้องการของตนให้
ผู้อ่ืนรู้ตามเห็นตาม เป็นต้น (๕) การคิด การวินิจฉัย ที่ถูกต้องชัดเจนและเที่ยงตรง (๖) ความรู้จัก
แยกแยะวเิ คราะห์วิจยั สบื หาสาเหตุปัจจัยของเรื่องราวตา่ ง ๆ ท่จี ะทำให้สามารถแก้ไขปญั หาและทำการ
สรา้ งสรรค์ต่าง ๆ ได้ (๗) ความรู้จักจัดทำ ดำเนินการหรือบรหิ ารจัดการกิจการต่าง ๆ ให้สำเร็จผลตามที่
มุง่ หมาย (๘) ความร้จู ักเช่ือมสมั พันธ์ประสบการณ์ข้อมลู และองค์ความรู้ต่าง ๆ โยงออกไปสู่ความหยั่งรู้
หย่งั เห็นใหม่ ๆ ได้
๓.๒ ปัญญาที่ชว่ ยใหด้ ำเนินเขา้ สู่วิถชี ีวติ ท่ถี ูกตอ้ งดีงาม (จนิ ตามยปัญญา) ไดแ้ ก่ ความรู้
เขา้ ใจในระบบความสมั พันธ์ของส่ิงท้งั หลายทอ่ี งิ อาศัย สบื เนอ่ื งสง่ ผลตอ่ กนั ตามเหตปุ จั จัย มองเห็นภาวะ
และกระบวนการชวี ิตสงั คม และโลก คือหมู่สัตว์ มคี วามเป็นมาและจะเป็นไปตามกระแสแห่งเจตจำนง
และเหตุปัจจัยที่ตนประกอบสร้างสมจัดสรรและมีปฏิสัมพันธ์กับปัจจัยอ่ืนท้ังหลาย เรียกง่าย ๆ ว่า
เป็นไปตามกรรม
๓.๓ ปัญญาที่ช่วยให้บรรลุจุดหมายสูงสุดของชีวิตท่ีดีงาม (ภาวนามยปัญญา) ได้แก่
ความรู้ความเข้าใจเข้าถึงเท่าทันความจริงของสังขาร คือ โลกและชีวิตที่เปล่ียนแปลงเป็นไปตามกฎ
ธรรมดาของธรรมชาติ จนสามารถวางใจถูกต้องต่อส่ิงท้ังหลาย ทำจิตใจให้หลุดพ้นเป็นอิสระได้โดย
สมบูรณ์ และมชี วี ิตท่ีเปน็ อย่ดู ว้ ยปัญญาอย่างแท้จริง
จากท่ีกล่าวมาจะเห็นได้ว่า หลักการพัฒนาคนหรือการพัฒนาความเป็นพลเมืองดีในมิติ
ของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา จึงเป็นหลักใหญ่ของพระพุทธศาสนา เป็นระบบและเป็น
กระบวนการท้ังหมดของการพฒั นาคน โดยเฉพาะการพฒั นาคน จากหลักไตรสิกขานี้ พระพุทธเจา้ ทรง
แสดงหลักธรรมและข้อธรรมแยกย่อยออกไปมากมาย ซึ่งแต่ละหลักธรรมนั้นก็คือข้อปฏิบัติเพื่อการ
๑๔๕ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ, พิมพ์ครั้งที่ ๒๕,
(กรงุ เทพมหานคร : กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพจ์ ุฬาลงกรณร์ าชวิทยาลัย, ๒๕๓๘), หน้า ๔๒๒-๔๒๓.
๘๐
พัฒนาชีวิต เพื่อให้รู้แจ้ง รู้จกั ประโยชน์ มองทุกอย่างเป็นการเรียนรู้เพ่ือปรับปรุงและพัฒนาตัวเองให้ดี
ข้ึนอยู่เสมอ จึงเปน็ หลกั การสำคญั เพือ่ ฝึกฝนอบรมพฒั นาตนเองในการดำเนินชวี ิตของพลเมอื งใหถ้ ูกตอ้ ง
ดีงามตามวิถปี ระชาธปิ ไตยได้ กล่าวคอื
๑. อธิศีลสิกขา เป็นการฝึกความประพฤติสุจริตทางกาย ทางวาจาและการประกอบ
อาชีพ ดำรงตนเป็นคนดีของสังคม เป็นคนมีระเบียบ มีวินัย ปฏิบัติหน้าท่ีตามปทัสถานของสังคม และ
สามารถดำเนนิ ชวี ติ ได้อย่างดีงามโดยมีความรับผดิ ชอบเก้ือกลู ต่อสงั คม
๒. อธิจิตตสิกขา เป็นการฝึกจิต ยกจิตใจให้สูง พัฒนาคุณสมบัติของจิต ท้ังในด้าน
คุณธรรม เช่น เมตตา กรุณา มีความยุติธรรม ด้านความสามารถของจิต เช่น มีจิตใจเข้มแข็งมั่นคง มี
ขนั ติความหนักแน่น มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ มีสติดี ด้านความสุข เช่น ความอ่ิมใจ ร่าเริงเบิกบานใจ
เรียกว่า เปน็ การพัฒนาคณุ ภาพ สมรรถภาพและสุขภาพจติ
๓. อธิปัญญาสิกขา เป็นการฝึกปัญญาให้เกิดความรู้ความเข้าใจสรรพส่ิง รู้แจ้งตาม
ความเป็นจริง มีจิตใจเป็นอิสระและมีปัญญาสามารถแก้ปัญหาและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้ดีย่ิงข้ึน
ในงานวิจัยนี้ ผู้วิจัยมุ่งผลการพัฒนาความเป็นพลเมืองดี เพื่อก่อให้เกิดพฤติกรรมท่ีเหมาะสมในระดับ
โลกยิ ะทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ทางโลกหรือเร่อื งของชาวโลก๑๔๖ เทา่ นั้น
๒.๓.๔.๓ ข้ันตอนและวิธีการพฒั นาความเปน็ พลเมอื งดีทางพระพทุ ธศาสนา
หลักการพัฒนาตนตามหลักไตรสิกขาดังที่ได้กล่าวมาแล้วน้ัน เป็นการบูรณาการ
ระหว่าง ศีล สมาธิ และปัญญา อย่างสืบเน่ืองกันไปอย่างเป็นระบบ คือในขณะท่ีมีความสัมพันธ์กับ
ส่ิงแวดล้อม อันเป็นพฤติกรรมที่มีเจตจำนงต่อสิ่งน้ันเกิดขึ้น มีทา่ ทีความต้ังใจต่อส่ิงหนึ่งส่ิงใดนั้น เราจะ
ทำในขอบเขตของความรู้และตอ้ งเรียนรู้ตลอดเวลา เมื่อไดม้ ีการเรยี นรู้เพิม่ ขนึ้ สภาพจิตก็เปลีย่ นไป การ
มพี ฤติกรรมกบั สิ่งแวดล้อมก็จะเปล่ียนและพัฒนาไปด้วย ตราบใดที่ชีวิตของเรายังไม่สมบรู ณ์ ยังมคี วาม
บกพร่อง ยังมีความไม่เต็ม ยังมีทุกข์ ยังมีปัญหา จึงต้องศึกษาและพัฒนาชีวิตกันเร่ือยไป ซึ่งในทาง
พระพุทธศาสนานั้น ข้นั ตอนวิธีการทจี่ ะพัฒนาคนเพื่อความเปน็ มนุษย์ทส่ี มบูรณ์หรอื การเป็นพลเมืองดีท่ี
มีคณุ ภาพได้ ต้องดำเนินไปกับสิ่งท่ีตอ้ งพัฒนาอนั เป็นองคป์ ระกอบแห่งการดำเนนิ ชวี ิตของมนษุ ย์ในดา้ น
ตา่ งๆ ๔ ด้าน หรอื ภาวนา ๔ ไดแ้ ก่
๑. กายภาวนา หรือการพัฒนากาย เป็นการพัฒนาด้านความสมั พันธ์กับส่ิงแวดล้อมที่
เป็นกายภาพหรอื ทางวตั ถุ เชน่ เทคโนโลยี และปจั จัย ๔ ทร่ี ับรู้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น และกาย เป็นสง่ิ ซ่ึงใช้
สัมพันธก์ ับโลกภายนอก การพัฒนากายหรือกายภาวนา จึงเปน็ การทำให้กายเจริญด้วยการฝึกอินทรีย์
คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความละเอียดอ่อน มีความ
๑๔๖ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, กรุงเทพมหานคร:
โรงพิมพ์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๓๑), หน้า ๓๕๓.
๘๑
ชดั เจน ในขณะเดียวกันกฝ็ ึกให้รู้จักเลือกรับเอาส่ิงทมี่ ีคณุ คา่ เป็นประโยชน์เขา้ มาให้กบั ชีวิตไมร่ บั เอาส่ิงท่ี
ไมด่ ีหรือเปน็ โทษเข้ามาไดอ้ ยา่ งถกู ต้องเหมาะสม
๒. ศีลภาวนา หรอื การพัฒนาศีล เปน็ การพัฒนาความสมั พันธ์กับสิ่งแวดลอ้ มทางสงั คม
ด้านเพ่ือนมนุษย์และสัตวท์ ้ังหลาย เร่ิมแต่ไม่ก่อการเบียดเบียน ไม่ทำความเดอื ดรอ้ นต่อผู้อ่ืนและสงั คม
แต่ให้มีความประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อผู้อ่ืนหรือสังคม การมีระเบียบวินัย การอยู่ร่วมกับ
ผู้อื่นด้วยดี และการประกอบอาชีพสุจริตด้วยความขยันหม่ันเพียร ฝึกฝนอบรมกาย วาจาของตนให้
ประณีต ปราศจากโทษ ก่อคุณประโยชน์ หรืออาจจะสรุปได้ว่า การพัฒนาศีล ก็คือการให้มี สัมมาวาจา
วาจาชอบ สมั มากมั มันตะ การกระทำชอบ สมั มาอาชวี ะ เลย้ี งชพี ชอบ
๓. จิตภาวนา หรือการพฒั นาจิตใจ ท่อี าศัยสมาธิเป็นแกนในการฝึกและมบี ทบาทออกมา
ทางเจตจำนง คอื การอบรมจิตใจให้มคี วามดีงามพร่งั พร้อมด้วยคณุ สมบัติ ๓ ด้านดังนี้
๓.๑ คุณภาพจิต คอื การเป็นผู้ท่ีมคี ุณธรรมต่างๆ มีจติ ใจดีงาม หรือเป็นผ้มู ีจิตใจสูง
ละเอียดอ่อน เชน่ มีเมตตากรุณา มีความเป็นมิตร โอบอ้อมอารี อยากช่วยเหลือปลดเปลื้องความทุกข์
ของผู้อื่น มจี าคะ คอื มนี ้าํ ใจเผอ่ื แผ่ มีคารวะ มีความกตญั ญู ร้คู ุณค่าแหง่ การกระทำของผู้อืน่
๓.๒ สมรรถภาพจิต หรือความสามารถของจิต เช่น มีสติดี มีวิริยะความเพียร มี
ขนั ติความอดทน มสี มาธจิ ติ ใจตั้งมนั่ แน่วแน่ มขี ันติความหนักแนน่ เข็มแขง็ ของจิตใจ มสี จั จะความจรงิ จัง
มีอธิษฐานความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ต่อจุดมุ่งหมาย คือเป็นจิตใจท่ีพร้อมและเหมาะที่จะใช้งานโดย
เฉพาะงานทางปัญญา คอื การคิดพจิ ารณาให้เห็นความจริงแจม่ แจ้งชัดเจน เป็นตน้
๓.๓ สุขภาพจิต คือ จิตที่มีสุขภาพดี เป็นจิตที่มีความสุขสดชื่น ปลอดโปร่ง สงบ
ผ่องใส พรอ้ มที่จะยิม้ แย้มได้ ไม่เครียด ไม่กระวนกระวายไม่คบั ข้องใจ ไมข่ ุ่นมัวเศร้าหมอง เป็นตน้ อาจ
สรุปได้ว่า การพัฒนาจิตใจ ก็คือการให้มี สัมมาวายามะ มีความเพียรพยายามในแนวทางท่ีดีงาม
สมั มาสติ การระลึกในสงิ่ ท่ถี กู ตอ้ ง สัมมาสมาธิ การตั้งม่ันแห่งจติ ใจ
๔. ปัญญาภาวนา หรือ การพัฒนาปัญญา เป็นการพัฒนาให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ
คิดได้ หยงั่ เห็น ซ่งึ มีหลายระดับ ไดแ้ ก่ (๑) ความสามารถในการแสวงหาความรู้ โดยร้จู ักเลือกรับ เลือก
คัด จัดสรร กล่ันกรอง และประมวลข้อมูลให้ได้ความรู้ท่ีถูกต้องเป็นจรงิ ไม่บิดเบือนหรือเอนเอียงด้วย
อคติ (ความลำเอียง) และใช้ความรแู้ ก้ปัญหา (๒) ความสามารถในการคิดให้ชัดเจนในแต่ละเร่ือง โดย
รู้จักวิเคราะห์องค์ประกอบและสืบสาวเหตุปัจจัย คือคิดวินิจฉัยใช้ปัญญาโดยบริสุทธใ์ิ จ รูเ้ ข้าใจโลกและ
ชีวติ ตามเป็นจรงิ รู้จักแกไ้ ขปัญหาและทำการใหส้ ำเร็จตามแนวทางของเหตุปัจจัย (๓) ความสามารถใน
การโยงความรู้และความคิดแตล่ ะด้านรวมเขา้ มาหากันให้เกดิ ภาพรวมท่ีชดั เจน หรอื ปรุงแต่งเป็นความรู้
ความคิดใหม๑่ ๔๗
๑๔๗ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), รู้หลักก่อนแล้วศึกษาและสอนให้ได้ผล, พิมพ์คร้ังที่ ๒,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พอ์ งคก์ ารรบั ส่งสินคา้ และพัสดภุ ัณฑ์, ๒๕๔๗), หนา้ ๑๓๘-๑๓๙.