The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by social study, 2021-06-05 13:12:50

การพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมืองของนักเรียนในจังหวัดขอนแก่น ตามหลักพุทธธรรม

ผู้วิจัย : ผศ.อนุสรณ์ นางทะราช

๑๓๒

ผลลัพธ์ทไี่ ด้จากการทดสอบประสทิ ธิภาพภาคสนามควรใกลเ้ คยี งกนั เกณฑ์ที่ต้งั ไว้ หากต่ำ
จาก เกณฑ์ไม่เกิน ๒.๕% ก็ใหย้ อมรับว่า ส่อื หรอื ชุดการสอนมีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑท์ ่ตี ้งั ไว้

หากคา่ ทไี่ ด้ต่ำกว่าเกณฑ์มากกว่า -๒.๕ ใหป้ รับปรงุ และทดสอบประสทิ ธิภาพภาคสนามซ้ำ
จนกว่าจะถึงเกณฑ์ จะหยุดปรับปรงุ แลว้ สรปุ ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ไม่มีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ที่ต้ัง
ไว้หรือจะลดเกณฑล์ งเพราะ “ถอดใจ” หรอื ยอมแพไ้ ม่ได้

หากสูงกว่าเกณฑ์ไม่เกนิ +๒.๕ ก็ยอมรับวา่ สือ่ หรือชุดการสอนมีประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์
ที่ต้ังไวห้ ากค่าท่ีได้สูงกว่าเกณฑ์เกนิ +๒.๕ ให้ปรับเกณฑ์ขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น เช่น ตั้งไว้ ๘๐/๘๐ ก็ให้ปรับ
ข้ึนเป็น ๘๕/๘๕ หรอื ๙๐/๙๐ ตามคา่ ประสทิ ธภิ าพทท่ี ดสอบประสิทธภิ าพได้

ตัวอย่าง เม่ือทดสอบหาประสิทธิภาพแล้วได้ ๘๓.๕/๘๕.๔ ก็แสดงว่าส่ือหรือชุดการสอน
นน้ั มีประสิทธิภาพ ๘๓.๕/๘๕.๔ ใกล้เคยี งกับเกณฑ์ ๘๕/๘๕ ท่ีตง้ั ไว้ แต่ ถ้าตงั้ เกณฑ์ไว้ ๗๕/๗๕ เม่ือผล
การทดสอบประสิทธิภาพเปน็ ๘๓.๕/๘๕.๔ ก็อาจเล่อื นเกณฑข์ ึน้ มาเป็น ๘๕/๘๕ ได้

กล่าวโดยสรุป เกณฑ์ในการหาประสิทธิภาพของส่ือการเรียนการสอนจะนิยมต้ังเป็น
ตัวเลข ๓ลักษณะคือ ๘๐/๘๐ , ๘๕/๘๕ ,๙๐/๙๐ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของวิชาและเน้ือหาท่ีนำมา
สร้างส่ือนั้นถ้าเป็นวิชาคอ่ นข้างยางก็อาจตั้งเกณฑ์ ๘๐/๘๐ หรอื ๘๕/๘๕ สำหรับเน้ือหาวชิ าง่าย ก็อาจ
ตง้ั ไว้ที่ ๙๐/๙๐ เป็นตน้ เม่ือคำนวณแล้วค่าทเ่ี ชอ่ื ถือ ประสิทธิภาพของสอื่ และเทคโนโลยีการสอนจะมา
จากผลลัพธ์ของการคำนวณ E๑/E๒เปน็ ตวั แรกและตวั หลงั ตามลำดบั ถา้ ตวั เลขเข้าใกล้
๑๐๐ มากเทา่ ไหร่ ยิ่งถือว่ามปี ระสทิ ธิภาพมากขึน้ เป็นเกณฑท์ ่ีใชพ้ ิจารณาการรับรองประสทิ ธภิ าพของ
สือ่ การเรียนการสอน (ชัยยงค์ พรหมวงศ์, ๒๕๕๖: ๗-๒๐)๒๐๕

๒.๘ ดชั นีประสิทธผิ ล (Effectiveness Index: E.I.)

๒.๘.๑ มีผู้ให้ความหมายของดัชนีประสทิ ธิผล (Effectiveness Index: E.I.) ไว้ดงั ต่อไปน้ี
เผชิญ กิจระการ และสมนึก ภัททิยธนี๒๐๖ ได้เสนอแนวทางในการหาประสิทธิผลของ
แผนการเรียนรู้หรือสื่อที่สร้างขึ้น โดยให้พิจารณาจากพัฒนาการของนักเรียนจากก่อนเรียนและหลัง
เรียนว่ามีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นอย่างเช่ือถือได้หรือไม่ หรือเพ่ิมขึ้นเท่าใดซ่ึงอาจพิจารณาได้จาก
การคำนวณค่า t-test แบบ Dependent Samples หรือหาค่าดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness
Index : E.I) มีรายละเอียด ดังนี้

๒๐๕ อ้างแล้ว, ชัยยงค์ พรหมวงศ์. การทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน (Developmental Testing
of Media and Instructional Package). วารสารศิลปากรศึกษาศาสตรว์ ิจัย, หน้า ๗-๒๐.

๒๐๖ เผชิญ กิจระการ และสมนึก ภัททิยธนี. ดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness Index). เอกสาร
ประกอบคำอธิบายรายวิชา ๐๕๐๓๗๑๐ การวัดผลการศึกษา สาขาเทคโนโลยีการศึกษา ศูนย์จังหวัดร้อยเอ็ด คณะ
ศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, ๒๔๔๖), หนา้ ๓๐-๓๖.

๑๓๓

๑. การหาคา่ พัฒนาการทเ่ี พิ่มขึน้ ของผเู้ รียนโดยอาศัยการหาคา่ t-test (แบบ Dependent
Samples) เป็นการพิจารณาดวู ่านักเรียนมีพัฒนาการเพิ่มข้ึนอย่างเช่ือถอื ได้หรอื ไม่ โดยทำการทดสอบ
นักเรียนทุกคนก่อน (Pretest) และหลังเรียน (Posttest) แล้วนำมาหาค่า t-test แบบ Dependent
Samples หากมีนยั สำคญั ทางสถติ ิ ก็ถอื ได้วา่ นกั เรยี นกล่มุ นั้นมพี ฒั นาการเพม่ิ ข้ึนอย่างเชื่อถอื ได้

๒. การหาพัฒนาการ ทเ่ี พม่ิ ข้ึนของนักเรียน โดยอาศยั การหาคา่ ดัชนปี ระสทิ ธิผล E.I
(Effectiveness Index) มีสูตรดงั นี้

ดัชนปี ระสิทธิผล = ผลรวมของคะแนนหลังเรยี นทกุ คน – ผลรวมของคะแนนกอ่ นเรยี นทกุ คน
(จำนวนนกั เรยี น x คะแนนเต็ม) – ผลรวมของคะแนนก่อนเรียนทกุ คน

การหาค่า E.I เปน็ การพจิ ารณาพฒั นาการในลกั ษณะท่ีว่าเพ่ิมขึน้ เท่าไร ไม่ไดท้ ดสอบว่า
เพ่ิมขน้ึ อย่างเช่ือถอื ได้หรือไม่ วธิ ีการอาจแปลงคะแนนให้อย่ใู นรปู ของรอ้ ยละกไ็ ด้ ดังนี้

ดชั นีประสิทธิผล =ร้อยละของผลรวมของคะแนนหลงั เรยี น–รอ้ ยละของผลรวมของคะแนนกอ่ นเรยี น
๑๐๐ – รอ้ ยละของผลรวมของคะแนนกอ่ นเรียนทุกคน

ข้อสงั เกตบางประการทเี่ ก่ียวกบั ค่า E.I.
๑. E.I. เป็นเร่ืองของอตั ราสว่ นของผลต่าง จะมคี ่าสงู สดุ เป็น ๑.๐๐ ส่วนค่าต่ำสุดไม่สามารถ
กำหนดได้เพราะคา่ ต่ำกว่า -๑.๐๐ และถ้าเป็นค่าลบแสดงว่า ผลคะแนนสอบกอ่ นเรียนมากกว่าหลังเรียน
ซง่ึ หมายความวา่ ระบบการเรียนการสอนหรือสือ่ ท่ีสรา้ งขน้ึ ไมม่ คี ุณภาพ
๒. การแปลผล E.I. ในตาราง ผลการวิเคราะห์ข้อมูลในบทท่ี ๔ ของงานวิจัย มักจะใช้
ข้อความไม่เหมาะสม ทำให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายของ E.I. ผิดจากความเป็นจริง เช่น ค่า E.I เท่ากับ
๐.๖๒๔๐ ก็มักจะกล่าวว่า “ค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ ๐.๖๓๔๐ ซึ่งแสดงว่านักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อย
ละ๖๒.๔๐ ซึ่งในความเป็นจริงค่า E.I. เท่ากบั ๐.๖๒๔๐ เพราะคิดเทียบจาก E.I. สงู สดุ เปน็ ๑.๐๐ ดังน้ัน
ถ้าคิดเทียบเป็นร้อยละ ก็คือ คิดเทียบจากค่าสูงสุดเป็น ๑๐๐ E.I. จะมีค่าเป็น ๖๒.๔๐ จึงควรใช้
ขอ้ ความว่า คา่ ดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ ๐.๖๒๔๐ แสดงว่า นักเรียนมีความรู้เพ่มิ ขนึ้ ๐.๖๒๔๐ หรือคิดเป็น
รอ้ ยละ ๖๒.๔๐
๓. ถ้าค่าของ E๑/E๒ของแผนการเรียนสูงกว่าเกณฑ์ท่ีกำหนด และเมื่อหา E.I. ด้วยพบว่า มี
พัฒนาการเพิ่มขึ้นถึงระดับหนึ่งที่ผู้วิจัยพอใจ หากคำนวณค่าความคงทนด้วยโดยใช้สูตร t-test แบบ
Dependent Samples ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีนัยสำคัญ (เพราะผู้วิจัยคาดหวังว่าหากสื่อ หรือแผนการ
เรียนรมู้ ีคุณภาพ ผลการเรียนหลงั สอนเม่ือผา่ นไประยะหนงึ่ เช่น ผ่านไป ๒ สัปดาห์ กับผลการเรียนจบ
จะต้องไม่แตกตา่ งกัน)

๑๓๔

ลักษณะเช่นนี้ มักพบในงานวิจยั ของนิสิตบ่อย ๆ คือแผนการเรียนรู้ หรือสื่อมีค่า E๑/E๒สูง
กว่าเกณฑท์ ก่ี ำหนด คา่ E.I กส็ งู แตผ่ ลการทดสอบความคงทนมนี ัยสำคัญทางสถิติ ปญั หานีน้ ่าจะมาจาก
นักเรยี นไมไ่ ด้ตงั้ ใจหรอื เบือ่ หน่ายในการทำขอ้ สอบอย่างจริงจัง แมว้ า่ ผูว้ ิจัยจะมีความรู้สกึ ว่าสื่อหรือแผน
ที่ใช้จะมีคุณ ภาพ ทำให้นักเรียน เกิ ดความเข้าใจในเน้ือหาสาระที่เรียน มาก หรือมีความ
ตรึงตรา ตรงึ ใจตอ่ บทเรยี นมากเท่าไรกต็ าม

ดงั นัน้ ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) สามารถนำมาประยุกต์ใชเ้ พื่อประเมนิ สอื่ หรือนวัตกรรมต่าง ๆ
โดยเร่ิมจากการทดสอบก่อนเรียนซึ่งเป็นตัววัดว่า ผู้เรียนมีความรพู้ ื้นฐานอยู่ในระดับใด รวมถึงการวัด
ทางความเช่ือ เจตคติ และความต้ังใจของผู้เรียน คะแนนที่ได้จากการทดสอบมาแปลงเป็ น
รอ้ ยละ หาค่าสูงสุดที่เป็นไปได้ นำผู้เรียนเข้ารับการทดลอง เสร็จแล้วทำการทดสอบหลังเรียน แล้วนำ
คะแนนท่ีได้มาหาประสิทธิผล โดยนำคะแนนก่อนเรียนไปลบออกจากคะแนนหลังเรียน ได้เท่าไรแล้ว
หารด้วยค่าท่ีได้จากการทดสอบก่อนเรียนสูงสุดที่ผูเ้ รียนสามารถทำได้ ลบด้วยคะแนนทดสอบก่อนเรียน
โดยทำให้อยู่ในรูปร้อยละ ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) จะมีค่าอยู่ระหว่าง -๑.๐๐ ถึง ๑.๐๐ หากค่าคะแนน
หลังเรียนเท่ากับคะแนนก่อนเรียน ค่าดัชนีประสิทธิผลเทา่ กับศูนย์ และหากคะแนนหลังเรียนมากกว่า
คะแนนก่อนเรยี น ค่าดชั นปี ระสทิ ธิผลจะมีคา่ มากกว่าศูนย์๒๐๗

บุญชม ศรีสะอาด๒๐๘ กล่าวว่า ในการวิเคราะห์หาประสิทธิผลของส่ือวิธีสอน หรือ
นวัตกรรม ท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนและพัฒนาข้ึนว่ามีประสิทธิผล (effectiveness) เพียงใด ก็จะนำส่ือที่
พัฒนาขึ้นไปทดลองใช้กับผู้เรียนท่ีอยใู่ นระดบั มาก เหมาะสม แล้วนำผลการทดลองมาวเิ คราะหห์ าดชั นี
ประสทิ ธผิ ล

วิมล เหล่าแคน๒๐๙ ได้ให้ความหมายของดัชนีประสิทธิผลว่า ดัชนีประสิทธิผลหมายถึง
คะแนนที่แสดงความกา้ วหน้าในการเรยี นของผู้เรียนทไี่ ดจ้ ากผลการเรียนรู้

ดวงมาลา จาริชานนท์๒๑๐ ได้ให้ความหมาย ดัชนีประสิทธิผล หมายถึง ตัวเลขท่ีแสดง
ความก้าวหน้าในการเรียนของผู้เรียน โดยใช้สื่อการเรียน การสอนเปรียบเทียบคะแนนที่เพิ่มข้ึนจาก
การทดสอบกอ่ นเรียนกบั คะแนนที่ไดจ้ ากการทดสอบหลังเรียน

๒๐๗ เผชญิ กิจระการ และสมนกึ ภัททิยธน.ี ดชั นีประสทิ ธิผล (Effectiveness Index). หนา้ ๓๐-๓๖.
๒๐๘ บุญชม ศรีสะอาด. การวิจัยเบ้ืองต้น ฉบับปรับปรุงใหม่. (พิมพ์ครั้งท่ี ๙). (กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น,
๒๕๕๖), หนา้ ๑๕๗-๑๕๙.
๒๐๙ วิมล เหล่าแคน. ผลการเรียนรู้ภาษาไทย เร่ืองการสร้างคำตามหลักเกณฑ์ทางภาษาด้วยการจัด
กจิ กรรมตามแนวคดิ โดยใชส้ มองเปน็ ฐานชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ ๓. หน้า ๖.
๒๑๐ ดวงมาลา จาริชานนท์. การพัฒนาแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การอ่านเพื่อฝึกการคิดวิเคราะห์ ด้วย
แบบฝกึ ทักษะสำหรบั ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี ๑. หนา้ ๘.

๑๓๕

๒.๙ แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน

๒.๙.๑ ความหมายของผลสัมฤทธ์ิทางเรยี น
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน (Achievement) เป็นสมรรถภาพในด้านต่าง ๆ ท่ีนักเรียนได้จาก
ประสบการณ์ท้ังทางตรงและทางอ้อมจากครูผู้สอน สำหรับความหมายขอ งผลสัมฤทธ์ิทาง
การเรยี นมนี กั การศกึ ษาไดใ้ ห้ความหมายไวห้ ลายทา่ น สรปุ ไดด้ ังน้ี
Good๒๑๑ ใหค้ วามหมาย ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน หมายถงึ การเข้าถึงความรู้ (Knowledge
Attained) หรือการพัฒนาทกั ษะทางการเรยี น ซ่ึงโดยปกติพจิ ารณาจากคะแนนสอบท่ีกำหนดคะแนนท่ี
ได้จากงานท่ีครผู ู้สอนมอบหมายใหห้ รอื ทัง้ สองอย่าง
นภาจรี ศรีจันทร์๒๑๒ กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถเข้าถึงความรู้
(Knowledge attained) การพัฒนาทักษะในการเรียนโดยอาศัยความพยายามจำนวนหนึ่งและ
แสดงออกในรูปของความสำเร็จ ซึ่งสามารถสังเกตและวดั ไดด้ ้วยเครือ่ งมอื ทางจิตวทิ ยาหรือแบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นทว่ั ไป
สมนึก ภัททิยธนี๒๑๓ กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความ สามารถในการ
พยายามเข้าถึงความรู้ซึ่งเกิดจากการทำงานท่ีประสานกัน และต้องอาศัยความพยายามอย่างมากท้ัง
องค์ประกอบท่ีเก่ียวข้องกับสติปัญญา และองค์ประกอบน้ีไม่ใช่สติปัญญา แสดงออกในรูปความสำเร็จ
ซงึ่ สามารถและสังเกตวัดไดด้ ้วยเครือ่ งมือทางจิตวิทยา หรอื แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางจติ วิทยาหรือ
แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นทั่วไป
สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถในการเรียนหรือเข้าถึงความรู้
แสดงออกในรปู ความสำเร็จ ซึ่งสามารถและสังเกตวดั ไดด้ ้วยเคร่ืองมอื ทางจิตวิทยาหรือแบบทดสอบวัด
ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นทั่วไป

๒๑๑ Good, Carter. V. Dictionary of Education. (3 rded.). New York: McGraw–Hill Book
Company, 1973.

๒๑๒ นภาจรี ศรีจนั ทร์. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนเรื่องเศรษฐศาสตร์ในชวี ิตประจำวันกลมุ่ สาระ
สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ โดยใช้ภาพการต์ ูนประกอบการเรียนแบบอริยสัจ ๔.
(สาขาหลกั สูตรและการสอน มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม,๒๕๕๑), หน้า ๓๐๗.

๒๑๓ สมนึก ภทั ทิยธนี. การวัดผลการศกึ ษา. (Educational measurement). หนา้ ๑๒๔.

๑๓๖

๒.๙.๒ แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างเรยี น
ดารณี ปานทอง๒๑๔ กล่าวไว้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า หมายถึงชุด
คำถามท่ีมุ่งวัดพฤติกรรมทางสมองของผู้เรียนว่ามีความรู้ ทักษะ และสมรร ถภาพ สมอง
ด้านตา่ งๆในเร่ืองที่เรยี นรู้มาแล้ววา่ บรรลุผลสำเรจ็ ตามจุดประสงคท์ ก่ี ำหนดไว้เพยี งใด
โชติก า ภ าษี ผล๒๑๕ ก ล่าวว่า แบบสอบวัดผลสัม ฤทธิ์ (Achievement test) เป็ น
แบบทดสอบที่มุ่งวัดสมรรถภาพดา้ นสมอง ทม่ี ุ่งวดั สมรรถนะสูงสุด (Maximum Performance) อันบ่ง
บอกถึงสถานภาพการเรียนรู้ที่ได้รับจากการเรยี นการสอน
วารี ธนคำดี๒๑๖ กล่าวว่า แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิ หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้
ทักษะ และสมรรถภาพด้านต่างๆ หลังจากท่ีผู้เรียนได้รับการเรียนรู้ผ่านมาแล้วว่าบรรลุผลสำเร็จตาม
จุดประสงคท์ ีก่ ำหนดไวเ้ พยี งใด
พชิ ิต ฤทธ์ิจรูญ๒๑๗ กลา่ วว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิเป็นแบบทดสอบท่ีใช้วดั ความรู้ ทักษะ
และความสามารถทางวิชาการท่ีผู้เรียนได้เรียนรู้มาแล้วว่าบรรลุผลสำเร็จตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้
เพยี งใด
สมนึก ภัททิยธนี๒๑๘ ให้ความหมายว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง
แบบทดสอบทวี่ ดั สมรรถภาพของสมองดา้ นต่าง ๆ ทน่ี กั เรียนไดร้ บั การเรยี นรผู้ า่ นมาแลว้
บุญชม ศรีสะอาด๒๑๙ กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ (Achievment Test) หมายถึง
แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ ความสามารถของบุคคลในด้านวิชาการ ซ่ึงเป็นผลจากการเรยี นรู้ในเน้ือหา
สาระและตามจุดประสงคข์ องวิชาหรือเน้ือหาที่สอนน้ัน โดยท่ัวไปจะวัดผลสัมฤทธ์ิในวชิ าต่าง ๆ ท่ีเรียน
ในโรงเรียน วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัย หรอื สถาบนั การศกึ ษาต่าง ๆ

๒๑๔ ดารณี ปานทอง. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความคงทนในการเรียนรู้และ
เจตคติต่อวิชาคณติ ศาสตรเ์ รอ่ื ง ทศนยิ มของนักเรยี นชันมัธยมศกึ ษาปีท่ี ๑ โดยใช้วิธีสอน (สาขาวิชาหลกั สูตรและการ
สอน มหาวิทยาลยั ราชภฏั เทพสตรี, ๒๕๕๑), หนา้ ๔๕.

๒๑๕ โชติกา ภาษีผล. การสร้างและพัฒนาเคร่ืองมือในการวัดและประเมินผลการศึกษา. (กรุงเทพฯ:
โรงพมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๔), หนา้ ๒.

๒๑๖ วารี ธนะคำดี. การพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน แบบสอนแนะให้รู้ คิดร่วมกับการเรียนรู้แบบ
ร่วมมือเพ่ือเสริมสร้างความสามารถในการใช้เหตุผลผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และเจตคตติ ่อวิชาคณิตศาสตร์ของ
นกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปี ที่ ๑. (มหาบัณฑติ มหาวทิ ยาลยั สกลนคร, ๒๕๕๓), หน้า ๔๓.

๒๑๗ พชิ ิต ฤทธ์จิ รูญ. หลกั การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา. (พมิ พ์คร้ังที่ ๗). (กรงุ เทพฯ: เฮ้าสอ์ อฟเคอรม์ ีสท์,
๒๕๕๕), หนา้ ๙๖.

๒๑๘ สมนึก ภัททิยธนี. การวดั ผลการศึกษา. (Educational measurement). หน้า ๖๙.
๒๑๙ บุญชม ศรสี ะอาด วธิ กี ารทางสถิติสำหรบั การวิจัย เล่ม ๑. หน้า ๕๖-๕๗.

๑๓๗

สมบัติ ท้ายเรือคำ๒๒๐ กล่าววา่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นเป็นแบบทดสอบทใ่ี ช้
วัดระดับความสามารถของผู้เรียนว่ามีความรู้ ความสามารถ และทักษะในเนื้อวิชาท่ีเรียนไปแล้วมาก
นอ้ ยเพยี งใด

เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี๒๒๑ ให้ความหมายว่า แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิ หมายถึง การวัดผล
การเรยี นรู้ด้านเนอื้ หาวิชาและทักษะต่างๆ ของแต่ละสาขาวิชา โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง สาขาวชิ าทั้งหลายที่
ได้จัดสอนในระดบั ชัน้ เรียนตา่ งๆ ของแต่ละโรงเรยี น ลกั ษณะของแบบสอบผลสมั ฤทธิ์มที งั้ ทเ่ี ป็นข้อเขยี น
(Paper and Pencil Test) และทีเ่ ป็นภาคปฏิบตั ิ (Performance Test)

ธะวัตร์ ทัดเนยี ม๒๒๒ กล่าวไว้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ หมายถึง แบบทดสอบท่ีใช้วัดความรู้
ความสามารถของนักเรียนในส่วนที่เป็นมโนมติทั้งหลายในเนื้อหาท่ีเรียนไปแล้ว เพื่อหาว่านักเรียนมี
ความกา้ วหนา้ ในส่วนท่ีเป็นมโนมตขิ ึ้นมามากนอ้ ยเพียงใด

จากความหมายที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเป็น
เคร่ืองมือท่ีใชว้ ัดความรูใ้ นด้านเนื้อหาวิชาและจดุ ประสงคก์ ารเรียนร้ขู องเนื้อหาวชิ าท่สี อน

๒.๙.๓ ประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างเรยี น
พิชิต ฤทธิ์จรูญ (๒๕๕๕: ๙๖)๒๒๓ กล่าวว่า แบบสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่งออกเป็น
๒ ประเภท คือ
๑. แบบทดสอบท่ีครูสร้างข้ึนเอง หมายถึงแบบทดสอบที่มงุ่ วัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนเฉพาะ
กลุ่มท่ีครูสอน เป็นแบบทดสอบท่ีครูสร้างขึ้นใช้กันเองโดยทั่วไปในสถานศึกษามีลัก ษณะเป็น
แบบทดสอบขอ้ เขยี น (paper and pencil test) ซ่งึ แบ่งออกไดอ้ ีก ๒ ชนิด คือ

๑) แบบทดสอบอตั นยั (subjective or essay test) เป็นแบบทดสอบทกี่ ำหนดคำถาม
หรอื ปัญหาให้ แล้วใหผ้ ูต้ อบเขยี นโดยแสดงความรู้ ความคิด เจตคติเต็มท่ี

๒) แบบทดสอบปรนัยหรือแบบใหต้ อบสั้นๆ (objective test or short answer) เป็น
แบบทดสอบที่กำหนดให้ผู้สอบเขียนตอบสั้น ๆ หรือมีคำตอบให้เลือกแบบจำกัดคำตอบ (restricted
response type) ผตู้ อบไม่มีโอกาสแสดงความรู้ ความคดิ ไดอ้ ย่างกว้างขวางเหมือนแบบทดสอบอัตนัย

๒๒๐ สมบัติ ท้ายเรือคำ. วิธีการท างสถิติสำหรับการวิจัย. (ภาควิชาวัดผลและวิจัยการศึกษ า
คณะศึกษาศาสตร.์ มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ๒๕๕๓), หนา้ ๑๒๘.

๒๒๑ เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี.การวัดผลและการสร้างแบบสอบผลสัมฤทธ์ิ. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั , ๒๕๕๒), หน้า ๑๖.

๒๒๒ ธะวัตร์ ทัดเนียม. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติวิชาคณิ ตศาสตร์ของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๔ ท่ีได้รับการสอนโดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือกับการสอนปกติ. (คณะครุ
ศาสตร์ สาขาวิชาหลักสตู รและการสอน สถาบันราชภัฏนครสวรรค์, ๒๕๕๐), หน้า ๒๗.

๒๒๓ พิชิต ฤทธิ์จรญู . หลักการวดั และประเมินผลการศึกษา. หน้า ๙๖.

๑๓๘

แบบทดสอบชนิดน้ีแบ่งออกเปน็ ๔ แบบ คือ แบบทดสอบถูก-ผดิ แบบทดสอบเติมคำ แบบทดสอบจับคู่
และแบบทดสอบเลอื กตอบ

๒. แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธ์ิของผู้เรียนท่ัว ๆไป ซึ่ง
สร้างขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญ มีการวิเคราะห์และปรับปรุงอย่างดีจนมีคุณภาพ มีมาตรฐาน กล่าวคือ
มมี าตรฐานในการดำเนินการสอบ วธิ ีการให้คะแนนและการแปลความหมายของคะแนน

โชติกา ภาษีผล (๒๕๕๔: ๒)๒๒๔ กล่าวว่า แบบสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (Achievement test)
แบ่งเปน็ ๒ ประเภท ไดแ้ ก่

๑. แบบสอบท่ีครูสร้างขึ้น (Teacher-made test) เป็นแบบสอบท่ีครูสร้างข้ึนเพื่อวัดผล
สัมฤทธิ์เฉพาะกลุ่มผู้เรียนที่ครูสอน ทำให้วัดได้ตรงตามจุดมุ่งหมายท่ีครูต้องการโดยทั่วไปแบบทดสอบที่ครู
สร้างข้ึนเองจะมี ๒ ชนิด คือ แบบสอบ ที่ใช้วัดระหว่างการเรียนการสอน (Formative test)
เพ่ือตรวจสอบความก้าวหน้าของผู้เรียน และนำผลมาใช้เพ่ือการปรับปรุงการสอนของครูและปรับปรุง
การเรียนของผเู้ รียน อีกชนิดคือ แบบสอบท่ีใช้วัดหลังสิ้นสดุ การเรียนการสอน (Summative test)เพ่ือ
นำผลการวัดไปใช้ในการสรุป รวบยอดหรือตัดสินผลการเรียนของผู้เรียน แบบสอบที่ครูสร้างเองน้ันใน
การสร้างส่วนใหญ่มักไม่ได้มีการทดลองใช้เพ่ือพิจารณาตรวจสอบคุณภาพว่าเป็นแบบทดสอบที่มี
คุณภาพหรอื ไม่อย่างไร สว่ นการตรวจให้คะแนนและการแปลผลมกั ทำการเปรียบเทียบผลเฉพาะกลมุ่ ที่
สอนดว้ ยกัน หรอื เปรียบเทียบกับเกณฑ์ทผ่ี ู้สอนกำหนดไว้

๒. แบบสอบมาตรฐาน (Standardized test) เป็นแบบสอบที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ
ที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนทั่วๆ ไป มีความเป็นมาตรฐาน ๓ ประการคือ การสร้าง การดำเนินการ
ทดสอบ และการแปลความหมายของคะแนนท่ีเป็นมาตรฐาน มีเกณฑ์ในการเปรียบเทียบ
ท่ีเป็นมาตรฐานที่เรียกว่าเกณฑ์ปกติ (Norm) สำหรับแปลความหมายของคะแนนของผู้เข้าสอบ เม่ือ
เปรียบเทียบกับคนส่วนใหญ่ ทำให้ผลคะแนนที่ได้มีความน่าเช่ือถือ และนำไปเปรียบเทียบกันได้
กว้างขวางกบั แบบทดสอบท่ีครสู รา้ งข้นึ เอง

บุญชม ศรีสะอาด๒๒๕ ได้แบ่งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนออกเป็น ๒ ประเภท
คอื

๑. แบบทดสอบอิงเกณฑ์ (criterion referenced test) หมายถึง แบบทดสอบท่ีสร้าง
ขึ้นตามจุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม มีคะแนนจุดตัดหรือเกณฑส์ ำหรับใช้ตัดสนิ วา่ ผ้สู อบมคี วามรู้ตามเกณฑ์
ที่กำหนดไว้หรือไม่ การวดั ตรงตามจดุ ประสงคเ์ ป็นหวั ใจสำคัญของแบบทดสอบประเภทนี้

๒. แบบทดสอบอิงกลุ่ม (norm referenced test) หมายถึง แบบทดสอบท่มี ุ่งสร้างเพ่ือวัด
ให้ครอบคลุมหลักสูตร จึงสร้างตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร ความสามารถในการจำแนกผู้ตอบตาม

๒๒๔ โชติกา ภาษีผล. การสรา้ งและพัฒนาเครอื่ งมอื ในการวดั และประเมนิ ผลการศึกษา. หนา้ ๒.
๒๒๕ บุญชม ศรสี ะอาด วิธกี ารทางสถิติสำหรับการวจิ ัย เลม่ ๑. หน้า ๕๖-๕๗.

๑๓๙

ความเก่งอ่อนไดด้ ี เป็นหวั ใจสำคัญของข้อสอบในแบบทดสอบประเภทนี้ การรายงานผลการสอบอาศัย
คะแนนมาตรฐาน ซึ่งเป็นคะแนนท่ีสามารถให้ความหมาย แสดงถึงสถานภาพความสามารถของบุคคล
น้ัน เมือ่ เปรยี บเทียบกับบุคคลอ่นื ๆ ท่ีใช้เป็นกลุ่มเปรียบเทียบ

สมนกึ ภทั ทิยธนี๒๒๖ แบ่งแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นออกเปน็ ๒ ประเภท ดงั นี้
๑. แบบทดสอบที่ครสู รา้ ง (teacher made test) หมายถึง แบบทดสอบท่ีมุ่งวดั ผลสัมฤทธ์ิ
ของผเู้ รียนเฉพาะกล่มุ จะไม่นำไปใชก้ ับนักเรียนกลุ่มอนื่ เปน็ แบบทใ่ี ช้กนั โดยทัว่ ไปในโรงเรยี น
๒. แบบทดสอบมาตรฐาน (standardized test) หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธ์ิ
เช่นเดียวกับแบบทดสอบที่ครูสร้าง แต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบคุณภาพต่าง ๆ ของนกั เรยี นท่ีต่าง
กลุ่มกัน เช่น เปรียบเทียบคุณภาพของนักเรียนในโรงเรียนแห่งหน่ึงกับนักเรียนกลุ่มอื่น ๆ ท่ัวประเทศ
(แบบทดสอบมาตรฐานระดับชาต)ิ หรอื กับนักเรยี นกลุ่มอน่ื ๆ ท่ัวจงั หวัด (แบบทดสอบมาตรฐานระดับ
จงั หวดั ) เปน็ ตน้
เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี๒๒๗ กล่าวว่า แบบสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนแบ่งออกได้ ๒
ประเภทใหญ่ ๆ คือ แบบสอบผลสัมฤทธิ์มาตรฐาน และแบบสอบผลสัมฤทธ์ิที่ครูสร้างขึ้นเพ่ือใช้
ในชัน้ เรียน
สรุ างค์ โค้วตระกูล๒๒๘ กล่าวว่า ข้อสอบทใ่ี ชโ้ ดยท่ัวไปอาจจะแบง่ ออกได้เป็น๒ ประเภท คือ
ข้อทดสอบมาตรฐาน (Standardized Tests) ข้อสอบท่คี รูสรา้ งขนึ้ เอง (Teacher-Made Tests)
๑. ข้อทดสอบมาตรฐาน (Standardized Tests) ข้อทดสอบมาตรฐานสร้างข้ึนโดย
ผู้เชี่ยวชาญในการสร้างข้อสอบ ข้อทดสอบมีหลายชนิดขึ้นกับวัตถุประสงค์ของข้อสอบว่าต้องการวัด
อะไร และมักจะใช้ชื่อข้อทดสอบตามสิ่งที่ข้อทดสอบวัด ตัวอย่างเช่น ข้อทดสอบเชาวน์ปัญญา
(Intelligence Tests) ข้อทดสอบสัมฤทธ์ิผลทางการศึกษา (Achievement Tests) หรือข้อทดสอบ
ความถนดั (Aptitude) บุคลิกภาพ (Personality) หรืออตั มโนทศั น์ (Self Concept) เป็นต้น
๒. ข้อทดสอบท่ีครูสร้างขึ้นใช้เอง (Teacher-Made Tests) ประเภทของข้อทดสอบที่ครู
สร้างขึ้นเองอาจจะแบ่งได้เป็น ๒ ชนิดคือ (๑) ข้อทดสอบแบบปรนัย (Objective Test) และ (๒) ข้อ
ทดสอบแบบอัตนยั (Subjective Test หรอื Essay)

๒๒๖ สมนกึ ภัททยิ ธนี. การวัดผลการศกึ ษา. (Educational measurement). หนา้ ๖๙.
๒๒๗ เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี.การวัดผลและการสร้างแบบสอบผลสัมฤทธิ์. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่ง
จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๒), หนา้ ๒๐-๒๓.
๒๒๘ สุรางค์ โค้วตระกูล. จิตวิทยาการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ ๘). (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย๒๕๕๒), หน้า ๔๔๒-๔๔๓.

๑๔๐

๒.๙.๔ แนวความคิด และทฤษฎีทเี่ ป็นแนวในการสรา้ งข้อสอบ
บุญชม ศรีสะอาด๒๒๙ เสนอแนวคิดท่ีใช้เป็นแนวในการสร้างข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์
แนวความคิดในการวัดที่นิยมกัน ได้แก่ การเขียนข้อสอบวัดตามการจัดประเภทจุดประสงค์ทาง
ก าร ศึ ก ษ าด้ าน พุ ท ธิ พิ สั ย (Cognitive) ข อ ง บ ลู ม แ ล ะ ค ณ ะ (Bloom, et al.,๑ ๙ ๕ ๖ ) ซ่ึ ง
จำแนกจดุ ประสงค์ทางการศึกษาดา้ นพุทธิพิสัย ออกเปน็ ๖ ประเภท ได้แก่

๑. ความรู้ (Knowledge)
๒. ความเข้าใจ (Comprehension)
๓. การนำไปใช้ (Application)
๔. การวิเคราะห์ (Analysis)
๕. การสงั เคราะห์ (Synthesis)
๖. การประเมินคา่ (Evaluation)
ความหมาย ของแต่ละประเภท และการจำแนกเป็นประเภทยอ่ ยลงไป ซ่งึ เปน็ แนวในการ
สรา้ งขอ้ สอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ดา้ นย่อย ๆ เหล่าน้ัน

๒.๙.๕ ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นท่คี รูสร้างขึ้น
สมนึก ภัททิยธนี๒๓๐ ได้แบ่งประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท่ีครูสร้าง
ขึน้ เป็น ๖ ประเภท ดังนี้

๑. ข้อสอบแบบความเรียงหรืออัตนัย (subjective or essay) เป็นข้อสอบที่มีเฉพาะ
คำถามแลว้ ใหน้ กั เรยี นเขียนตอบอยา่ งเสรี เขียนบรรยายตามความรู้และข้อคิดเหน็ ของแต่ละคน

๒. ข้อสอบแบบ กา ถูก-ผิด (True- fallacy test) เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี
๒ตัวเลือกแต่ละตัวเลือกดังกล่าวเป็นแบบคงที่และมีความหมายตรงข้าม เช่น ถูก -ผิด ใช่-ไม่ใช่
เหมอื นกัน-ตา่ งกัน

๓. ข้อสอบแบบเติมคำ (completion test) เป็นข้อสอบที่ประกอบด้วยประโยชน์หรือ
ข้อความท่ียังไม่สมบูรณ์แล้วให้ผู้ตอบเตมิ คำหรอื ประโยค หรือข้อความลงในชอ่ งว่างที่เว้นไว้นนั้ เพื่อให้มี
ใจความสมบรู ณแ์ ละถกู ตอ้ ง

๔. ข้อสอบตอบส้ัน (short answer test) ข้อสอบประเภทนี้คล้ายกับข้อสอบแบบเติม
คำ แตแ่ ตกต่างกนั ที่ขอ้ สอบแบบตอบส้ัน ๆ เขียนเป็นประโยคคำถามท่ีสมบูรณ์แล้วให้ผู้ตอบเขียนตอบ
คำตอบท่ีต้องการจะส้ันและกะทัดรัดได้ใจความสมบูรณ์ ไม่ใช่เป็นการบรรยายแบบข้อสอบความเรียง
หรืออัตนัย

๒๒๙ บญุ ชม ศรสี ะอาด วธิ กี ารทางสถติ สิ ำหรบั การวิจัย เล่ม ๑. หนา้ ๕๖-๕๗.
๒๓๐ สมนกึ ภัททิยธนี. การวดั ผลการศึกษา. (Educational measurement). หนา้ ๖๙.

๑๔๑

๕. ข้อสอบแบบจับคู่ (matching test) เป็นข้อสอบเลือกตอบชนิดหนึ่งโดยมีคำหรือ
ขอ้ ความแยกออกจากกันเปน็ ๒ ชุด แลว้ ให้ผู้ตอบเลือกจบั คู่ว่าแต่ละขอ้ ความในชุดหนึ่ง (ตัวยืน) จะคู่กับ
คำ หรือขอ้ ความใดในอีกชุดหน่ึง (ตัวเลอื ก) ซึ่งมีความสัมพนั ธ์กนั อย่างใดอย่างหนึ่งตามท่ีผู้ออกข้อสอบ
กำหนดให้

๖. ข้อสอบแบบเลือกตอบ (multiple choice test) คำถามเลือกตอบโดยทั่วไปจะ
ประกอบด้วย ๒ตอน คือตอนนำหรือคำถาม (stem) กับตอนเลือก (choice) ในตอนเลือกนี้
ประกอบด้วย ตัวเลือกท่ีเป็นคำตอบถูกและตัวเลือกท่ีเป็นตัวลวง ปกติจะมีคำถามท่ีกำหนดให้นักเรียน
พิจารณา แล้วหาตัวเลือกท่ีถูกต้องมากที่สุดเพียงตัวเลือกเดียวจากตัวลวงอื่น ๆ และคำถามแบบ
เลือกตอบทดี่ ี นยิ มใช้ตวั เลือกท่ีใกล้เคยี งกัน โดยไม่สังเกตจะเหน็ วา่ ทกุ ตัวเลือกถูกหมด แต่ความจริงมี
น้ำหนักถูกมากน้อยต่างกัน การท่ีครูผู้สอบจะเลือกออกข้อสอบประเภทใดนั้นต้องพิจารณา ข้อดี
ข้อจำกัด ความเหมาะสมของแบบทดสอบกับเนอื้ หา หรือจดุ ประสงค์ในการเรยี นรู้

๒.๙.๖ คุณลักษณะของแบบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นทด่ี ี
สมนึก ภัททิยธนี๒๓๑ สรุปคุณลกั ษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทดี่ ีไว้ ๑๐
ประการ คอื

๑. ความเท่ียงตรง (validity) หมายถึง ลักษณะของแบบทดสอบทั้งฉบับท่ีสามารถวัด
ได้ตรงกับจุดมุ่งหมายที่ต้องการ หรือวัดในสิ่งท่ีต้องการวัดได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ความเท่ียงตรงจึง
เปรียบเสมือนหัวใจของการทดสอบ

๒. ความเช่ือม่ัน (reliability) หมายถึง ลักษณะของแบบทดสอบทั้งฉบับท่ีสามารถวัด
ได้คงทีค่ งวาไมเ่ ปลยี่ นแปลง ไมว่ ่าจะทำการสอนใหมก่ ค่ี รงั้ กต็ าม

๓. ความยุติธรรม (fair) หมายถึงลักษณะของแบบทดสอบท่ีไม่เปิดโอกาสให้มีการ
เปรียบเทียบในกล่มุ ผสู้ อบเขา้ ด้วยกัน ไมเ่ ปิดโอกาสใหน้ ักเรียนทำขอ้ สอบไดโ้ ดยการเดา

๔. ความลึกของคำถาม (scorching) หมายถึง ข้อสอบแต่ละข้อน้ันจะต้องไม่ถามผิว
เผิน หรอื ถามประเภทความรู้ ความจำ แต่ต้องใหน้ ักเรยี น นำความรคู้ วามเขา้ ใจไปคดิ ดัดแปลงแก้แล้วจึง
ตอบได้

๕. ความยัว่ ยุ (exemplary) หมายถึง แบบทดสอบทั้งฉบับทนี่ ักเรยี นทำด้วยความสนุก
เพลดิ เพลนิ ไมเ่ บ่อื หน่าย

๖. ความจำเพาะเจาะจง (definition) หมายถึง ข้อสอบที่มีแนวทาง หรือทิศทางการ
ถามชัดเจน ไม่คลุมเครือไม่แฝงกลเม็ดให้นักเรียน

๒๓๑ อา้ งแล้ว, สมนึก ภัททยิ ธนี. การวดั ผลการศึกษา. (Educational measurement). หน้า ๖๙.

๑๔๒

๗. ความเป็นปรนัย (objective) หมายถึง แบบทดสอบที่มีความเป็นปรนัยจะต้องมี
คณุ สมบตั ิ ๓ ประการ คือ

๗.๑ ตง้ั คำถามให้ชดั เจน ทำให้ผู้เข้าสอบทุกคนเข้าใจความหมายตรงกนั
๗.๒ ตรวจใหค้ ะแนนได้ตรงกนั แมว้ า่ จะตรวจหลายคร้งั หรือตรวจหลายคนก็ตาม
๗.๓ แปลความหมายของคะแนนได้เหมือนกัน
๘. ประสทิ ธภิ าพ (efficiency) หมายถงึ แบบทดสอบท่มี ีจำนวนขอ้ พอประมาณใชเ้ วลา
สอบให้พอเหมาะ ประหยัดค่าใช้จ่าย จัดทำแบบทดสอบด้วยความประณีตตรวจให้คะแนนได้รวดเร็ว
รวมถึงสิง่ แวดล้อมในการสอบท่ดี ี
๙. อำนาจจำแนก (discrimination) หมายถึง ความสามารถในการจำแนกผู้สอบ
ขอ้ สอบทดี่ ีจะตอ้ งมีอำนาจจำแนกสงู
๑๐. ความยาก (difficulty) ขึ้นอยู่กับทฤษฏีท่ีเป็นหลักยึด เช่น ตามทฤษฎีท่ีเป็นหลัก
ยึดตามทฤษฎีการวัดผลแบบอิงกลุ่ม ข้อสอบท่ีดี คือข้อสอบท่ีไม่ยากหรือไม่ง่ายเกินไปหรือมีความยาก
งา่ ยพอเหมาะ สว่ นทฤษฏกี ารวดั ผลแบบอิงเกณฑ์นัน้ ความยากง่ายไม่ใช่สง่ิ สำคญั สำคญั ที่ขอ้ สอบน้ันได้
วดั ในจุดประสงค์ท่ตี ้องการวัดได้จรงิ หรือไม่ ถ้าวัดได้จริงกน็ ับว่าเป็นข้อสอบทีไ่ ด้ไม่ว่าเปน็ ขอ้ สอบที่ง่ายก็
ตาม
พิชิต ฤทธิ์จรูญ๒๓๒ ไดก้ ลา่ วถงึ ลกั ษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น ดังน้ี
๑. ความเที่ยงตรงเป็นแบบทดสอบท่ีสามารถนำไปวัดในสิ่งท่ีเราต้องการวัดได้อย่าง
ถูกต้องครบถว้ น ตรงตามจดุ ประสงค์ทตี่ ้องการวัด
๒. ความเชื่อมันแบบทดสอบท่ีมีความเช่ือม่ัน คือสามารถวัดได้คงท่ีไม่ว่าจะวัดกี่ครั้งก็
ตาม เชน่ ถา้ นำแบบทดสอบไปวัดกับนักเรียนคนเดิมคะแนนจากการสอบท้งั สองครงั้ ควรมีความ สัมพนั ธ์
กนั ดี เมื่อสอบได้คะแนนสงู ในครงั้ แรกก็ควรไดค้ ะแนนสงู ในการสอบครั้งทสี่ อง
๓. ความเป็นปรนยั เป็นแบบทดสอบท่ีมีคำถามชัดเจน เฉพาะเจาะจง ถูกต้องตามหลัก
วิชา และเข้าใจตรงกันเมื่อนักเรียนอ่านคำถามจะเข้าใจตรงกัน ข้อคำถามต้องชัดเจนอ่านแล้วเข้าใจ
ตรงกนั
๔. การถามลกึ หมายถึง ไม่ถามเพยี งพฤตกิ รรมขั้นความรู้ ความจำ โดยถามตามตำรา
หรอื ถามตามท่ีครูสอน แต่พยายามถามพฤติกรรมข้ันสูงกว่าขั้นความรู้ ความจำ ได้แก่ ความเข้าใจการ
นำไปใช้ การวเิ คราะห์ การสงั เคราะหแ์ ละการประเมนิ ค่า
๕. ความยากงา่ ยพอเหมาะ หมายถึง ข้อสอบท่ีบอกให้ทราบว่าข้อสอบข้อนัน้ มคี นตอบ
ถกู มากหรอื ตอบถกู น้อย ถ้ามีคนตอบถกู มากข้อสอบขอ้ นน้ั กง็ า่ ยและถา้ มคี นตอบถกู นอ้ ยขอ้ สอบขอ้ นั้นก็
ยาก ข้อสอบท่ียากเกินความสามารถของนักเรียนจะตอบได้น้ันก็ไม่มีความหมายเพราะไม่สามารถ

๒๓๒ พชิ ติ ฤทธจิ์ รูญ. หลักการวดั และประเมนิ ผลการศึกษา. หนา้ ๙๖

๑๔๓

จำแนกนักเรียนได้ว่าใครเก่ง ใครอ่อน ในทางตรงกันข้ามถ้าข้อสอบง่ายเกินไป นกั เรียนตอบได้หมด ก็ไม่
สามารถจำแนกได้เช่นกัน ฉะน้ัน ข้อสอบท่ีดีควรมีความยากง่ายพอเหมาะ ไม่ยากเกินไป
และไมง่ ่ายเกนิ ไป

๖. อำนาจจำแนก หมายถึง แบบทดสอบน้ีสามารถแยกนักเรียนได้ว่าใครเก่ง ใครอ่อน
โดยสามารถจำแนกนักเรียนออกเป็นประเภทๆไดท้ กุ ระดับอย่างละเอยี ดตง้ั แต่อ่อนสุดจนถงึ เกง่ สุด

๗. ความยุติธรรมคำถามของแบบทดสอบต้องไม่มีช่องทางชี้แนะให้นักเรียนท่ีฉลาดใช้
ไหวพริบในการเดาได้ถูกต้อง และไม่เปิดโอกาสให้นักเรียนที่เกียจคร้านซึ่งดูตำราอย่างคร่าว ๆ ตอบได้
และตอ้ งเปน็ แบบทดสอบทไ่ี ม่ลำเอียงตอ่ กลุ่มใดกลุ่มหนง่ึ

๒.๙.๗ หลกั ในการสร้างแบบทดสอบแบบเลือกตอบ
หลักในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนแบบเลือกตอบ สรุปได้ ดังน้ี สมนึก
ภทั ทิยธนี๒๓๓

๑. เขียนตอนนำให้เป็นประโยคที่สมบูรณ์ แล้วใส่เครื่องหมายปรัศนี ไม่ควรสร้างตอน
นำให้เป็นแบบอ่านต่อความเหมาะทำให้คำถามไม่กระชับเกิดปัญหาสองแง่หรือข้อความไม่ต่อกัน หรือ
เกดิ ความสับสนในการคดิ หาคำตอบ

๒. เน้นเรื่องจะถามให้ชัดเจนและตรงจุดไม่คลุมเครือ เพื่อว่าผู้อ่านจะไม่เข้าใจไขว้เขว
สามารถมุ่งความคดิ ในคำตอบไม่ถกู ทิศทาง (เปน็ ปรนัย)

๓. ควรถามในเร่ืองท่ีมีคุณค่าต่อการวัดหรือถามในสิ่งท่ีดีงามมีประโยชน์คำถามแบบ
เลือกตอบสามารถถามพฤติกรรมในสมองได้หลาย ๆ ด้านไม่ใช่ถามเฉพาะความจำหรือความจริงตาม
ตำรา แต่ตอ้ งถามใหค้ ดิ หรือนำความรทู้ ี่เรียนไปใช้ในสถานการณใ์ หม่

๔. หลีกเล่ียงคำถามปฏิเสธ ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ควรจัดเส้นใต้คำปฏิเสธ แต่คำปฏิเสธ
ซ้อนไม่ควรใช้อย่างย่ิง เพราะปกตินักเรียนจะยุ่งยากต่อการแปลความหมายของคำถามและคำตอบ
คำถามทถี่ ามกลับหรือปฏิเสธซอ้ นผิดมากกว่าถกู

๕. อยา่ ใชค้ ำฟุ่มเฟือย ควรถามปัญหาโดยตรง ส่ิงใดไมเ่ กี่ยวข้องหรอื ไม่ได้ใชเ้ ป็นเงื่อนไข
ในการคิดกไ็ มต่ อ้ งนำมาเขียนไวใ้ นคำถาม จะชว่ ยให้คำถามรัดกุม ชดั เจนข้นึ

๖. เขียนตัวเลือกให้เป็นเอกพันธ์ หมายถึง เขียนตัวเลือกทุกตัวให้เป็นลักษณะใด
ลกั ษณะหน่ึงหรอื มที ิศทางแบบเดียวกนั หรือมีโครงสร้างสอดคลอ้ งเป็นทำนองเดยี วกัน

๗. ควรเรียงลำดับตวั เลขในตัวเลือกต่าง ๆ เชน่ คำตอบทเี่ ปน็ ตัวเลข นิยมเรียงจากนอ้ ย
ไปหามาก เพื่อช่วยให้ผู้ตอบพิจารณาหาคำตอบได้สะดวก ไม่หลงและป้องกันการเดาตัวเลือ ก
ท่มี ีคา่ มาก

๒๓๓ สมนึก ภทั ทยิ ธนี. การวดั ผลการศึกษา. (Educational measurement). หน้า ๖๙

๑๔๔

๘. ใช้ตัวเลือกปลายเปิดหรือปลายปิดให้เหมาะสม ตัวเลือกปลายเปิด ได้แก่ตัวเลือก
สดุ ท้ายใชค้ ำว่า ไม่มคี ำตอบถกู ทกี่ ลา่ วมาผิดหมด ผดิ หมดทกุ ข้อ หรอื สรุปแน่นอนไมไ่ ด้

๙. ข้อเดียวต้องมีคำตอบเดียวแต่บางคร้ังผู้ออกข้อสอบคาดไม่ถึงว่าจะมีปัญหาหรือ
อาจจะเกิดจากการแต่งต้ังตัวลวงไม่รัดกุมจึงมองตัวลวงเหล่าน้ันได้อีกแง่หน่ึงทำให้เกิดปัญหาสองแง่
สองมุมได้

๑๐. เขียนทั้งตัวถูกและตัวผิดให้ถูกหรือผิดตามหลักวิชาการ คือจะกำหนดตัวถูกหรือ
ผดิ เพราะสอดคล้องกับความเชอื่ ของสงั คมหรอื กับคำพังเพยท่ัว ๆ ไปไม่ได้ ท้ังน้ีเน่ืองจากการเรยี นการ
สอนมุ่งให้นักเรียนทราบความจริงตามหลักวิชาเป็นสำคัญจะนำความเช่ือโชคลางหรือขนบธรรมเนี ยม
ประเพณีเฉพาะท้องถ่ินมาอ้างไม่ได้

๑๑. เขียนตวั เลอื กให้อิสระจากกัน พยายามอย่าให้ตัวเลือกตัวใดตัวหน่ึงเปน็ ส่วนหน่ึง
หรือสว่ นประกอบของตวั เลือกอน่ื ตอ้ งให้แต่ละตัวเป็นอิสระจากกนั อย่างแทจ้ รงิ

๑๒. ควรมีตัวเลือก ๔-๕ ตัว ถ้าเขียนตัวเลือกเพียง ๒ ตัว จะกล่าวเปน็ ข้อสอบแบบกา
ถกู -ผิด และปอ้ งกนั การเดาไม่ได้ จึงควรมีตัวเลอื กมาก ๆ ทนี่ ยิ มใช้หากเป็นข้อสอบระดับประถมศกึ ษาปี
ท่ี ๑-๒ ควรใช้ ๓ ตัวเลือก ระดับประถมศกึ ษาปีที่ ๓-๖ ควรใช้ ๔ ตัวเลือก และต้ังแต่มัธยมศึกษาข้นึ ไป
ควรใช้ ๕ ตัวเลือก

๑๓. อยา่ แนะคำตอบ มหี ลายกรณี ดงั นี้
๑๓.๑ คำถามข้อหลัง ๆ แนะคำถามขอ้ แรก ๆ
๑๓.๒ ถามเรื่องที่นักเรียนคล่องปากอยู่แล้ว โดยเฉพาะคำถามประเภทคำพังเพย

สภุ าษติ คตพิ จน์ หรอื คำเตือนใจ
๑๓.๓ ใช้ขอ้ ความของคำตอบถูกตอ้ ง ซำ้ กับคำถามหรือเก่ียวข้องกันอย่างเหน็ ไดช้ ัด

เพราะนักเรียนที่ไม่มีความรู้ก็อาจจะเดาได้ถกู
๑๓.๔ ขอ้ ความของตัวถูกบางส่วนเป็นส่วนหนงึ่ ของทกุ ตวั เลือก
๑๓.๕ เขียนตวั ถูกหรือตัวลวงถกู หรอื ผิดเด่นชัดเกินไป
๑๓.๖ คำตอบไม่กระจาย

จากท่กี ล่าวมา สรปุ ได้ว่า ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนแบบเลือกตอบ
นอกจากต้องคำนึงถึงหลักการแล้ว ครูผู้สร้างข้อสอบจำเป็นต้องยึดหลักเกณฑ์ทั้ง ๑๓ ข้อเพื่อให้ได้
ข้อสอบแบบเลือกตอบที่มีคุณภาพและนอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงลักษณะของข้อสอบท่ีดีท่ีสำคัญมี ๕
ประการ ได้แก่ ความเท่ียงตรง ความเช่ือมัน่ ความเปน็ ปรนยั อำนาจจำแนกและความยาก

๑๔๕

๒.๑๐ ทฤษฎีความพึงพอใจ

ความพงึ พอใจ (satisfaction) เป็นทัศนคติท่ีเปน็ นามธรรมไม่สามารถมองเหน็ เปน็ รปู ร่างได้
การทเ่ี ราจะทราบว่าบคุ คลมีความพึงพอใจหรือไม่ สามารถสงั เกตโดยการแสดงออกทีค่ ่อนข้างสลบั
ซับซ้อน จึงเป็นการยากที่จะวัดความพงึ พอใจโดยตรง แต่สามารถวัดโดยทางออ้ มจากการคิดเห็นของ
บคุ คลเหล่าน้ัน และการแสดงความคดิ เห็นนนั้ จะตอ้ งตรงกับความรู้สึกทีแ่ ท้จรงิ จงึ จะสามารถวดั ความ
พึงพอใจนน้ั ได้ ความพงึ พอใจโดยท่วั ไปตรงกบั คำในภาษาองั กฤษวา่ Satisfaction และยงั มีผู้ให้ความ
หมายคำวา่ “ความพึงพอใจ” พอสรุปไดด้ งั น้ี

๒.๑๐.๑ แนวคิดทฤษฎีความพึงพอใจ
การท่ีผู้ปฏิบตั ิจะเกิดความพึงพอใจในกิจกรรมหรอื การทำงานน้ันมากหรือนอ้ ย ข้นึ อยกู่ ับสิ่ง
จูงใยในงานนั้น การสร้างสิ่งจูงใจหรือแรงกระตุ้นให้เกิดกับผู้ปฏิบัติงานเป็นสิ่งท่ีจำเป็น เพื่อให้การ
ปฏิบัติงานเป็นไปตามจุกประสงค์ มที ฤษฏีทเี่ กี่ยวข้องกับความพึงพอใจ ดังน้ี
รัชนีวรรณ สุขเสนา อ้างถึงใน Herzberg et al.,๒๓๔ ได้สรุปว่า ทฤษฎีที่เป็นมูลเหตุท่ีทำให้
เกดิ ความพงึ พอใจ เรยี กว่า The Motivation Hygiene Theory ซ่ึงได้กล่าวถึงปจั จยั ทีเ่ ก่ยี วกับความพึง
พอใจในการทำงาน ๒ ปจั จยั คอื
๑. ปัจจัยการกระตุ้น (Motivation factors) เป็นปัจจัยท่ีเกี่ยวกับการทำงานซ่ึงมีผลก่อ ให้
เกดิ ความพงึ พอใจในการทำงานได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ประกอบด้วย

๑.๑ ความสำเรจ็ ในการทำงาน หมายถงึ บคุ คลสามาระแก้ไขปญั หาจากการทำงานได้
จนทำงานให้สำเรจ็ จึงเกดิ ความพึงพอใจในผลสำเร็จนัน้

๑.๒ การได้รับการยอมรบั นบั ถือ หมายถงึ การได้รบั การยอมรบั ในความรคู้ วามสามารถ
ทงั้ จากผบู้ งั คับบัญชา ผู้ร่วมงาน และบุคคลอื่นในองค์กร

๑.๓ ลักษณะงาน หมายถึง งานที่น่าสนใจท้าทายความสามารถให้ต้องลงมือทำต้ังแต่
ต้นจนจบ เปน็ งานทต่ี ้องการความคดิ รเิ ริม่ สร้างสรรค์

๑.๔ ความรับผิดชอบ หมายถึง การได้รับการมอบหมายงานให้รับผิดชอบและอำนาจ
ตัดสนิ งานนั้นอยา่ งเตม็ ท่ีโดยปราศจากการควบคมุ อยา่ งใกล้ชดิ

๑.๕ ความก้าวหน้าในงาน หมายถึง การไดเ้ ล่ือยข้ัน เล่อื นตำแหนง่ ให้สูงข้นึ รวมทง้ั การ
ได้รบั การศึกษาหาความรเู้ พม่ิ เตมิ

๒๓๔ รชั นีวรรณ สขุ เสนา. การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน เรอ่ื ง บทประยุกต์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้
คณิตศาสตร์ ของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๕ ระหวา่ งการจดั กจิ กรรมการ เรยี นรู้โดยใช้ปญั หาเป็นฐาน (PBL)
กับการเรยี นรู้ตามค่มู ือครู. (มหาสารคาม: มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, ๒๕๕๐), หน้า ๑๒๗.

๑๔๖

๒. ปัจจัยค้ำจุน (Hygiene Factors) เป็นปัจจัยท่ีจำกัดความไม่พึงพอใจในงานและปัจจัยท่ี
ช่วยใหบ้ ุคคลยงั คงปฏิบัติงานได้ตลอดเวลา ประกอบดว้ ย

๒.๑ ค่าตอบแทน หมายถึง อัตราเงินเดือนและผลประโยชน์อ่ืนท่ีได้รับจากการ
ปฏิบตั ิงาน

๒.๒ โอกาสที่จะไดร้ ับความกา้ วหน้าในอนาคต
๒.๓ สัมพันธภาพระหว่างบุคคล หมายถึง การติดต่อส่ือสารและสัมพันธภาพระหว่าง
ผบู้ ังคับบัญชากบั ผู้รว่ มงาน หรือระหว่างเพ่ือนรว่ มงานด้วยกนั
๒.๔ ความในคงปลอดภัยในการทำงาน หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อความ
มน่ั คงในหน้าทกี่ ารทำงาน
๒.๕ สภาพการทำงาน หมายถึง ตารางการทำงานวัสดุอุปกรณ์และสภาพแวดล้อมใน
การปฏิบัติงาน
๒.๖ นโยบายองค์กร หมายถึง นโยบายการบริหารและการปฏิบัติงานในองค์กรการ
ปฏบิ ตั งิ าน
รงั สรรค์ ฤทธผิ์ าด อ้างถงึ ใน Maslow,๒๓๕ ได้สรปุ ไวว้ ่า ความต้องการพืน้ ฐานตามธรรมชาติ
ของมนุษย์อย่างเป็นลำดับข้ันกล่าวคือ "มนุษย์เรามีความตอ้ งการอย่เู สมอ เม่ือความต้องการได้รับการ
ตอบสนองหรอื มีความพึงพอใจต่อส่ิงใดส่ิงหน่ึงแล้ว ความต้องการด้านอ่ืนก็จะเกิดข้ึนอีก ความต้องการ
ของคนเราอาจจะซ้ำซ้อน ความต้องการหน่ึงยังไมห่ มดอาจจะเกิดความต้องการหนึ่งเกิดข้ึนอกี ได้" หาก
ความต้องการพื้นฐานของมนุษยไ์ ด้รับการตอบสนองอยา่ งเพยี งพอกจ็ ะเกิดแรงจูงใจที่สำคัญต่อการเกิด
พฤติกรรมทต่ี ้องการให้สังคมยอมรับ และสามารถพัฒนาตนไปสู่ขน้ั สูงขึ้น ไดน้ ำแนวคดิ น้ีมาจัดการเรียน
ในการสอน ดังนี้
๑. การเข้าใจถึงความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ สามารถใหเ้ ข้าใจพฤตกิ รรมของบุคคลได้
เนือ่ งจากพฤติกรรมเปน็ การแสดงออกของความต้องการของบุคคล
๒. การจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี จำเป็นต้องตอบสนองความต้องการพื้นฐานที่
เขาตอ้ งการแสดงเสียกอ่ น
๓. ในกระบวนการเรียนการสอน หากครูสามารถหาไดว้ ่าเรียนแต่ละคนมคี วามตอ้ งการอยู่
ในระดับข้ึนใด ครูสามารถใช้ความต้องการพื้นฐานของผู้เรียนน้ันเป็นแรงจูงใจช่วยให้ผู้เรียนเกิด
การเรยี นรไู้ ด้ดี

๒๓๕ รังสรรค์ ฤทธิ์ผาด. ความพึงพอใจของประชาชนต่อการจัดการมูลฝอยของเทศบาลตำบลแสงสว่าง
อำเภอหนองแสง จงั หวดั อุดรธานี.(มหาสารคาม, มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, ๒๕๕๐), หน้า ๒๓.

๑๔๗

๔. การช่วยให้ผู้เรียนได้รับการตอบสนองความต้องการพื้นฐานของตนอย่างเพียงพอ
การให้อสิ รภาพและเสรีภาพแก่ผู้เรียนในการเรียนรู้ การจัดบรรยากาศทเ่ี อ้อื ต่อการเรยี นรู้จะช่วยส่งเสริม
ให้ผเู้ รียนเกิดประสบการณใ์ นการร้จู ักตนเองตามสภาพความเป็นจริง

โดยสรุป แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจ เป็นความต้องการพ้ืนฐานตามธรรมชาติ
ของมนุษย์อย่างเป็นลำดับ การเรียนรู้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างส่ิงเร้ากับการตอบสนอง ซ่ึงมีหลาย
รูปแบบบุคคลจะมีการลองถูกลองผิด พอใจมากท่ีสุดเมื่อเกิดการเรียนรู้แล้ว บุคคลจะใช้รูปแบบการ
ตอบสนองที่เหมาะสมเพียงรูปแบบเดียว และจะพยายามใช้รูปแบบนั้นเช่ือมโยงในส่ิงเรา้ ในการเรียนรู้
ตอ่ ไปเร่ือย ๆ

๒.๑๐.๒ ความหมายของความพงึ พอใจ
ความพึงพอใจ มีความหมายที่หลากหลาย ซึ่งได้จากแนวคดิ แต่ละทัศนะตามกรอบความคิด
และความเชื่อของแต่ละบุคคลยึดถือ หมายถึง ความพอใจ ชอบใจและมีความสุขที่ความต้องการหรือ
เป้าหมาย ท่ีตั้งใจไว้บรรลุผลหรือสมหวังน้ันเอง ความพึงพอใจเป็นเรื่องเก่ียวข้องกับอารมณ์ความรู้สึก
และเจตคติของบุคคล อันเน่ืองมาจากส่ิงเร้า และแรงจูงใจ นักวิชาการได้ให้ความหมายไว้แตกต่างกัน
ดงั น้ี
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ สถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ไดใ้ หค้ วามหมายไว้วา่ พอใจ หมายถึง สมใจ
ชอบใจ เหมาะและพึงใจ หมายถึง พอใจ ชอบใจ๒๓๖
Apple white๒๓๗ กลา่ วว่า ความพึงพอใจเปน็ ความรู้สึกส่วนตัวของบุคคลในการปฏิบัติงาน
ซึ่งมีความหมายกวา้ งรวมไปถึงความพึงพอใจในสภาพแวดล้อมทางกายภาพด้วยการมีความสุขที่ทำงาน
รว่ มกบั คนอน่ื ทีเ่ ข้ากันได้ มที ัศนคติที่ดตี อ่ งานดว้ ย
Good๒๓๘ ให้ความหมาย ความพึงพอใจ หมายถึง คุณภาพหรือระดับความพึงพอใจซึ่งเป็น
ผลจากความสนใจต่าง ๆ และทศั นคตขิ องบุคคลต่อกิจกรรม
Herzberg et al.,๒๓๙ ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถึง ความรู้สึกที่เกิดขึ้น
เมื่อได้รับผลสำเร็จ ตามความมุ่งหมาย ความพึงพอใจเปน็ กระบวนการทางจิตวิทยา ไมส่ ามารถมองเห็น
ได้ชดั เจน แต่สามารถคาดคะเนได้ว่ามีหรือไม่มี จากการสังเกตพฤติกรรมของคนเท่าน้ัน การที่จะทำให้
เกิดความพึงพอใจจะต้องศึกษาปจั จัยและองค์ประกอบทเ่ี ปน็ สาเหตแุ ห่งความพึงพอใจ

๒๓๖ ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. หนา้ ๗๙๓.
๒๓๗ Apple white. C.I. Organizational Behavior. New York : Prentice-Hall. (1997), p. 6.
๒๓๘ Good, Carter. V. Dictionary of Education. (3rded.). New York: McGraw–Hill Book
Company, 1973), p. 320.
๒๓๙ Herzberg, Frederick, Mausner, Bernard, & Snyderman, Barbara B. (1 9 5 9 ). The Motivation
to work. New Brunswick: Transition.

๑๔๘

Muchinsky๒๔๐ กล่าวถึง ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานว่าเป็นสภาวะของอารมณ์ใน
ทางบวก หรือความพงึ พอใจอันเป็นผลมาจากการประเมินประสบการณ์ในงานของคน ๆ หนึ่ง และงานนั้น
ทำให้บุคคลไดร้ ับความตอ้ งการท้ังด้านรา่ งกาย และจติ ใจ

Vroom๒๔๑ ได้ให้ความหมาย ความพึงพอใจว่า ทัศนคติ และความพึงพอใจในสิ่งหนึ่ง
สามารถใช้แทนกันได้ เพราะทั้งสองคำน้ีหมายถึง ผลที่ได้จากการท่ีบุคคลเข้าไปมีส่วนร่วมในส่ิงนั้น
ทัศนคติดา้ นบวกจะแสดงให้เห็นสภาพความพึงพอใจในสิ่งนัน้ และทัศนคตดิ า้ นลบจะแสดงให้เห็นสภาพ
ความไม่พึงพอใจ

Wallerstein๒๔๒ ให้ความหมายความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเม่ือได้รับ
ผลสำเร็จตามความมุ่งหมายและอธิบายว่า เป็นกระบวนการทางจิตวิทยา ไมส่ ามารถมองเหน็ ไดช้ ัดเจน แต่
สามารถคาดคะเนได้ว่า มีหรือไม่มี จากการสังเกตพฤติกรรมของคนเท่าน้ัน การที่จะทำให้คนเกิดความ
พึงพอใจจะต้องศกึ ษาปัจจัยและองคป์ ระกอบทเ่ี ปน็ สาเหตุแห่งความพงึ พอใจนัน้

Wolman๒๔๓ ให้ความหมายว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกที่มีความสุขเมื่อได้รับ
ผลสำเร็จตามความม่งุ หมาย ความต้องการหรือแรงจงู ใจ

จําปา วัฒนศิรินทรเทพ๒๔๔ สรุปไว้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกนึกคิดความเช่ือ
การแสดงความรู้สึก ความคิดเห็นต่อส่ิงใดสิ่งหน่ึง โดยแสดงพฤติกรรมออกมา ๒ ลักษณะคือทางบวก
แสดงในลักษณะความชอบ ความพึงพอใจ ความสนใจเห็นด้วยทำให้อยากทำงานหรือปฏิบัติกิจกรรม
อีกลักษณะหนึง่ คือทางลบ ซึ่งจะแสดงออกในลักษณะของความเกลียด ไมพ่ งึ ประสงค์ ไมพ่ อใจ ไม่สนใจ
ไม่เห็นด้วย อาจทำให้บุคคลเกิดความเบ่ือหน่าย หรือต้องการหนีห่างจากสิ่งน้ัน นอกจากน้ี ความพึง
พอใจอาจจะแสดงออกในลักษณะความเป็นกลางก็ได้ เช่น รู้สึกเฉย ๆ ไม่รักไม่ชอบ ไม่น่าสนใจ
ในส่ิงนนั้ ๆ

๒๔๐ Muchinsky, paul M. Psychology applied to work : An introduction to industrial and
organizational psychology. Belmont. CA: Cole. 1993), p. 283.

๒๔๑ Vroom, V. H. Manage people not personnel: Motivation and performance
appraisal. Boston: Harvard Business School Press. 1990.

๒๔๒ Wallerstein, H.A. Dictionary of Psychology: Penguin Books, Inc. 1971.
๒๔๓ Wolman, B. B. Dictionary of Behavioral Science. London: Litton Educational. 1993.
๒๔๔ จําปา วัฒนศิรินทรเทพ. การพัฒนาแผนการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนแบบโครงงานแบบวิทยาศาสตร์
ระบบนิเวศ ชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ ๓. (สาขาวิชาหลักสูตรและการสอนมหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, ๒๕๕๐),
หน้า ๔๘.

๑๔๙

สมพิศ ไชยเสนา๒๔๕ กล่าวว่า ความพึงพอใจ คือ ความรู้สึกของบุคคลต่อสิ่งใดส่ิงหน่ึง
ความรู้สกึ พึงพอใจเกดิ ข้ึนเมื่อบุคคลได้รบั สิ่งทีต่ นต้องการและทำใหบ้ ุคคลมีพฤติกรรมตอ่ สิ่งเร้านั้นในเชิง
บวกหรือเป็นไปตามเป้าหมายที่ตนเองต้องการ หรือไม่มีความรู้สึกขัดแย้งกับส่ิงเหล่านั้น และถ้าระดับ
ความรสู้ กึ ถ้ามคี วามเครียดมากจะทำให้เกิดความไมพ่ งึ พอใจในการทำงานความพงึ พอใจเปล่ยี นแปลงไป
ตามเวลาและสถานการณแ์ วดลอ้ ม

วิมลสิทธ์ิ หรยางกูร๒๔๖ กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นการให้ค่าความรู้สึกของเราและมี
ความสัมพันธ์กับโลกทัศน์ที่เกี่ยวกับความหมายของสภาพแวดล้อม ค่าความรู้สึกของบุคคลท่ีมีต่อ
สภาพแวดล้อมจะแตกตา่ งกัน เชน่ ความรสู้ กึ เลว-ดี พอใจ-ไมพ่ อใจ สนใจ-ไม่สนใจ เปน็ ต้น

จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความพอใจ ชอบใจและ
มีความสุขที่ความต้องการหรือเป้าหมาย ที่ตั้งใจไว้บรรลุผลหรือสมหวังน้ันเอง ความพึงพอใจเป็นเร่ือง
เก่ียวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกและเจตคติของบุคคลอันเนื่องมาจากส่ิงเร้า และแรงจูงใจ ซึ่งจะปรากฏ
ออกมาทางพฤติกรรมและเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของบุคคล ซึ่งสามารถวัด
ได้จากแบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจ หรือผลการสอบถามความพึงพอใจกับทัศนคติ เป็นคำที่มี
ความหมายคล้ายคลึงกันมากจนสามารถใช้แทนกันได้ โดยให้คำอธิบายความหมายของทั้งสองคำนี้ว่า
หมายถึง ผลจากการทีบ่ ุคคลเข้าไปมสี ่วนรว่ มในสิ่งน้ันและทัศนคติด้านลบจะแสดงให้เห็นสภาพความไม่
พึงพอใจ

๒.๑๐.๓ การประเมินความพึงพอใจ
ศิริชัย กาญจนวาสี๒๔๗ ได้กล่าวว่า การสร้างแบบสอบถามวดั ความพึงพอใจหรือวดั ทศั นคติ
ที่นยิ มกันในปจั จบุ นั มีหลายวธิ ี ดังนี้

๑. การวัดทัศนคติโดยใช้วิธี Summated Ratings หรือ Likert method วิธีการน้ี
สร้างข้ึนโดย ลิเคอร์ท (Likert) กระบวนการของการสร้างแบบสอบถามก็โดยการสร้างข้อความ
(Attitude statements) ข้ึนมาหลาย ๆ ข้อความให้ครอบคลุมหัวข้อที่เราจะศึกษาการตอบ
แบบสอบถามน้ีมขี ้อให้เลือก ๕ ข้อคือ (๑) เห็นดว้ ยอย่างมาก (๒) เหน็ ด้วย (๓) ไมแ่ น่ใจ (๔) ไม่เหน็ ดว้ ย

๒๔๕ สมพิศ ไชยเสนา. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการอ่านการเขียนคำควบกล้ำ กลมุ่ สาระภาษาไทย
ช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๔ โดยการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT.(มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม,
๒๕๕๐), หนา้ ๕๔.

๒๔๖ วิมลสิทธิ์ หรยางกูร. พฤติกรรมมนุษย์กับสภาพแวดล้อม. (พิมพ์ครั้งที่ ๖). (กรุงเทพฯ:จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลยั , ๒๕๕๑), หนา้ ๙.

๒๔๗ ศิริชัย กาญจนวาสี. ทฤษฎีการประเมิน. (พิมพ์ครั้งท่ี ๗). (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๕๒), หนา้ ๒๖๘.

๑๕๐

และ (๕) ไม่เห็นด้วยอย่างมาก การให้คะแนนนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของข้อความว่าเป็น positive หรือ
negative statement

๒. การวัดทัศนคติ โดยใช้วิธี Equai-Appearing lntervals วิธีการน้ี สร้างขึ้นโดย
เธอร์สโตน Thurstone ซง่ึ มีข้ึนตอนในการสร้างสเกลวดั ทศั นคติ ดังนี้ ขนั้ แรกจะตอ้ งสร้างข้อความหรือ
ประโยค (Statement or items) ที่เก่ียวกับส่ิงท่ีเราต้องการจะวัด อาจจะได้มาจากข้อมูลจากการทำ
โครงการทดลองหรือจากบทความ การวิจัยอ่ืน ๆ ที่เกี่ยวข้องหรือจากแหล่งอื่น ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า
ข้อความเหล่าน้ันจะแทนความรู้สึกที่มีต่อ วัตถุ สิ่งของ บุคคล หรือสถานการณ์ท่ีเราต้องการจะวัด
ทัศนคติท่ีมีต่อสิ่งนั้น เม่ือได้ข้อความท่ีมากท่ีสุดแล้ว กลุ่มบุคคลที่ต้องการ คือกลุ่มบุคคลท่ีจะให้ความ
คิดเห็นตอ่ ข้อความทส่ี ร้างข้ึนมา ขอ้ ความเหล่าน้ี จะแยกพิมพ์ไว้ในบัตร โดยแต่ละบัตรจะประกอบด้วย
ข้อความหน่ึงข้อความ นอกจากบัตรน้ีแล้ว ผู้ตอบยังได้บัตรอีก ๑๑ บัตร ซ่ึงตัวอักษร A ถึง K บัตร A
หมายถึง ความรู้สึกที่ไม่เห็นด้วยอย่างมากท่ีสุด ลำดับความรู้สึกนี้จะลดน้อยลงจนถึงความรู้สึกเฉย ๆ
หรือไม่แน่ใจ ซ่ึงแทนด้วยบัตร F และจะเพิ่มข้ึนเร่ือยจนถึงบัตร K ซึ่งแทนความรู้สึกเห็นด้วยมากท่ีสุด
โดยผู้ตอบท่ีได้รับบัตรเหล่านี้ จะต้องพิจารณา ลำดับความมากน้อยของข้อความ ชอบหรือไม่ชอบ
ความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ความพอใจหรือไม่พอใจ ของแต่ละข้อความในบัตรท่ีได้รับโดยนำไป
รวมกล่มุ กับบัตร A ถงึ บัตร K บัตรดังกลา่ ว หรืออาจจะใสต่ ัวอักษรลงในบัตรที่บรรจุข้อความกไ็ ด้

๓. การวัดทัศนคติโดยใชว้ ิธี Semantic Differential เป็นการศึกษาเกยี่ วกับความ คิด
รวบยอดของสิ่งต่าง ๆ ซ่ึงเป็นการศึกษาถึงความหมายของส่ิงต่าง ๆ ตามความคิดเห็นของกลุ่มท่ีจะ
ศึกษาโดยทั่วไปสเกลแบบนีจ้ ะประกอบดว้ ยขอ้ ใหเ้ ลือก ๗ ข้อศกึ ษา จะให้กลุ่มบคุ คลท่ีจะศึกษาประเมิน
ค่า (rate) เกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหน่ึง ซ่ึงอาจจะเป็นสถานท่ี บุคคล เหตุการณ์ การประเมินค่าน้ันใช้
คำคุณศัพท์ซึ่งตรงกันข้ามกัน และมีลำดับของความมากน้อย (degree) จากด้านหนึ่งไปสู่อีกด้านหน่ึง
รวมท้ังหมด ๗ อันดับ แบบสอบถามแบบนี้เป็นแบบสเกลที่ให้ตอบโดยการให้ผู้ตอบประเมินค่ามาก/
น้อย และสามารถจะใช้วัดความคิดเห็น ความรู้สึก หรือทัศนคติของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลต่าง ๆ
ไม่ว่า เช้ือชาติใดหรือกลุ่มใดท่ีมีตอ่ สง่ิ ตา่ ง ๆ ได้ และสามารถจะเปรียบเทียบทศั นคติทมี่ ีต่อส่ิงใดสิ่ง หนึ่ง
ของกลุ่มต่าง ๆ ได้ แบบสอบถามต้องมีความตรง สามารถวัดส่ิงท่ีต้องการวัดได้ถูกต้อง ตรงตาม
จดุ ประสงคซ์ ่ึงการหาค่าความตรง คือ IOC เป็นดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์เชิง
พฤติกรรม โดยมเี กณฑว์ า่ ถ้า IOC>๐.๕ ถือว่าข้อคำถามนั้นวดั ได้สอดคล้องกับเนอ้ื หา/จุดประสงค์ หรือ
ถา้ IOC≤๐.๕ ถือว่าขอ้ คำถามนั้นวัดไม่สอดคล้องกับเน้ือหา/จุดประสงค์ และแบบสอบถามต้องมีความ
เท่ียง ค่าดัชนที ่ีใช้วัดความเที่ยง คือ ค่าสมั ประสิทธ์ิอลั ฟ่าของครอนบาค ค่าความเท่ียงมคี ่าอยรู่ ะหว่าง -
๑.๐๐ กับ ๑.๐๐ เป็นความคงเสน้ คงวาของคะแนนในการวดั แตล่ ะครั้งวัดซำ้ แล้วคะแนนไม่เปลี่ยนแปลง
เช่น สอบครั้งแรกไดค้ ะแนนสูง ครั้งต่อมาสอบในเง่ือนไขเดียวกันและกลุ่มผู้สอบกลุ่มเดียวกัน คะแนนท่ี
ได้ต้องสัมพันธ์กบั คะแนนในคร้ังแรก ค่าความเท่ียงย่ิงสูงมากเท่าไรย่ิงดี โดยปกติแบบทดสอบที่ดคี วรมี
ค่าความเท่ียงไม่ตำ่ กวา่ ๐.๖

๑๕๑

จากที่กล่าวมาข้างต้น เกี่ยวกับความพึงพอใจ ในด้านความหมาย การวัดความพึงพอใจ
และทฤษฎีเก่ียวกับความพึงพอใจ สรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกมีความสุขเม่ือได้รับ
ผลสำเร็จตามความมุ่งหมาย ความต้องการหรือแรงจูงใจในการร่วมมือปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้และ
ตอ้ งการดำเนนิ กิจกรรมน้ัน ๆ จนบรรลุผลสำเร็จ โดยสามารถวดั ความพึงพอใจได้หลายวิธี แตว่ ิธที ่ีผู้วิจัย
คดิ วา่ ดที ่ีสุด วดั ได้ชดั เจนที่สุด คอื การวดั ความพึงพอใจโดยใช้แบบสอบถาม ซึง่ ผู้ตอบมีความสะดวกใน
การตอบ และกล้าท่ีจะตอบจึงสามารถได้ความจริงมากที่สุด ซึ่งเกี่ยวข้องกับทฤษฎีความพึงพอใจที่มี
สาเหตุมาจากผลของการตอบสนองต่อความตอ้ งการทางดา้ นต่าง ๆ ได้แก่ ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้าน
ผลการกระทำในงาน ด้านความแตกต่าง และด้านความยุติธรรม

จากแนวคิดดังกล่าว ครูผู้สอนท่ีต้องการให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็น
ศูนย์กลาง บรรลุผลสำเร็จ จึงต้องคำนึงถึงการจัดบรรยากาศและสถานการณ์รวมทั้งสื่อ อุปกรณ์การ
เรยี นการสอนที่เอือ้ อำนวยต่อการเรยี น เพือ่ ตอบสนองความพึงพอใจของผู้เรียน ให้มีแรงจูงใจในการทำ
กิจกรรมจนบรรลุตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร เมื่อนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ผลตอบแทนภายในหรือรางวัลภายใน เป็นผลด้านความรู้สึกของผู้เรียนที่เกิดแก่ตัวผู้เรียนเอง เช่น
ความรู้สึกตอ่ ความสำเรจ็ ที่เกิดขึ้น สามารถเอาชนะความยงุ่ ยากต่าง ๆ และสามารถดำเนินงานภายใต้
ความยงุ่ ยากทง้ั หลายได้สำเร็จ ทำใหเ้ กิดความภมู ใิ จ ความมน่ั ใจ ตลอดจนไดร้ ับบรกิ ารยกย่องจากบุคคล
อืน่ ส่วนผลตอบแทนภายนอก เป็นรางวัลท่ีผู้อื่นจัดหาให้มากกว่าท่ีตนเองให้ตนเอง เช่น การได้รับคำ
ยกย่องชมเชยจากครูผู้สอน พ่อแม่ ผู้ปกครองหรือแม้แตก่ ารได้คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับ
ท่นี า่ พอใจ

๒.๑๑ บริบทของโรงเรียนซำสงู พิทยาคม

๒.๑๑.๑ ประวตั ิโรงเรยี นซำสูงพิทยาคม๒๔๘
ประวัติย่อโดยสังเขป โรงเรียนซำสูงพิทยาคม เดิมช่ือโรงเรยี นกระนวนวิทยาคม สังกดั กรม
สามัญศกึ ษา กระทรวงศึกษาธิการ เปดิ ทำการเรียนการสอน เม่ือวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๒๔ โดยกรม
สามัญศึกษา ได้แต่งต้ังให้ นายสุรพล เพียศิริ ตำแหน่งอาจารย์ ๑ โรงเรียนบ้านไผ่ มารักษาราชการใน
ตำแหน่ง ครูใหญ่ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสภาตำบลกระนวน จำนวนเงนิ ๑๗,๐๐๐ บาท
และจากชาวบ้านกระนวน จำนวนเงิน ๔๔,๑๒๑ บาท ทำการก่อสร้างอาคารเรียนช่ัวคราว จำนวน ๑
หลัง โดยใช้แรงงานของชาวบ้าน ซ่ึงมีนายทองดี จอมทอง อดีตกำนันตำบลกระนวน เป็นผู้นำการ
ก่อสรา้ งและในเวลาต่อมาโรงเรียน ไดม้ ีการพัฒนาตามลำดบั ดงั น้ี

๒๔๘ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม. รายงานการประเมินคุณภาพภายใน., (ขอนแก่น: โรงเรียนซำสูงพิทยาคม
สังกดั องค์การบริหารส่วนจังหวัด จังหวดั ขอนแกน่ , ๒๕๕๙).

๑๕๒

ปีการศึกษา ๒๕๒๙ เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาเพ่ือการพัฒนาชนบท (มพช.๓ รุ่น ๔) ปี
การศึกษา ๒๕๓๐ เป็นโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น รุ่นท่ี ๑ (ค.อมต.ศส.)

ปีการศึกษา ๒๕๓๒ เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาเพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคม (มพช.)
และเขา้ โครงการสง่ เสริมระบบการนเิ ทศงานวิชาการภายในโรงเรยี น

ปีการศกึ ษา ๒๕๓๖ กรมสามัญศึกษาได้อนมุ ัติให้รับนกั เรยี นระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย
ปกี ารศึกษา ๒๕๓๘ ได้รับอนุมัติจากกระทรวงศึกษาธิการ ให้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น โรง
เรียนซำสูงพิทยาคม ตามชอื่ ก่ิงอำเภอ เมื่อวันที่ ๑ มิถนุ ายน ๒๕๓๘
ปีการศกึ ษา๒๕๔๖ เมอื่ วนั ที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๖ โรงเรยี นไดม้ ีฐานะเป็นนิตบิ คุ คล สงั กัด
สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาขอนแก่นเขต ๔ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (สพฐ.)
กระทรวงศึกษาธกิ าร
ปีการศึกษา ๒๕๕๐ เมื่อวันท่ี ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ โรงเรียนได้ถ่ายโอนไปสงั กัดองคก์ าร
บรหิ ารสว่ นจังหวัด จงั หวัดขอนแกน่
ปจั จบุ นั โรงเรยี นซำสงู พิทยาคม สังกัดองค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวดั จังหวัดขอนแก่น ตงั้ อยู่
เลขท่ี ๓๓๓ หมู่ ๑ ตำบลกระนวน อำเภอซำสูง จังหวัดขอนแก่น รหัสไปรษย์ ๔๐๑๗๐
โทรศพั ท์ ๐๔๓-๒๑๙-๑๑๙
นายอำนาจ โพธศ์ิ รี ผอู้ ำนวยการโรงเรียน

๒.๑๑.๒ วิสยั ทศั น์
โรงเรยี นซำสูงพิทยาคม จัดการศึกษาได้มาตรฐาน บริหารแบบมีส่วนรว่ ม สืบสานศาสนา
วัฒนธรรมประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ย่ังยืนมุ่งสู่
ไทยแลนด์ ๔.๐

๒.๑๑.๓ พันธกิจ
๑. ส่งเสริมและพัฒนาผูเ้ รยี นใหม้ สี มรรถนะ คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ใหเ้ หมาะสมกบั วัย
๒. สรรหา ส่งเสรมิ ครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาให้เหมาะสมกบั ตำแหน่งและมีคุณภาพ
๓. ระดมงบประมาณและทรัพยากรทางการศกึ ษาใหเ้ พยี งพอ และหลากหลาย
๔. สรา้ งความเข้มแข็งและยกระดบั ระบบการบรหิ ารงานแบบมีสว่ นรว่ มให้ต่อเนอ่ื ง
๕. สืบสาน อนุรักษ์ ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีและภูมิปัญญาท้องถ่ิน ให้อยู่คู่กับ
สังคมไทย
๖. น้อมนำหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง มาใช้ในการดำเนนิ ชีวติ
๗. สง่ เสริมและพฒั นาการขบั เคล่ือนดว้ ยเทคโนโลยี ความคิดสรา้ งสรรคแ์ ละนวัตกรรม

๑๕๓

๒.๑๑.๔ ปรชั ญาโรงเรียน
"การศกึ ษาเพื่อพัฒนาเยาวชนและทอ้ งถ่นิ "

๒.๑๑.๕ คำขวัญ
ประพฤติดี กฬี าเกง่ เคร่งวินัย ใฝศ่ กึ ษา พฒั นาชุมชน

๒.๑๑.๖ อกั ษรยอ่ โรงเรียน "ซ.พ."

๒.๑๑.๗ สีประจำโรงเรยี น สแี สด สเี ทา

๒.๑๑.๘ ตราสญั ลกั ษณ์ของโรงเรียน

ภาพที่ ๒.๗ ตราสญั ลักษณ์ของโรงเรยี นซำสงู พิทยาคม

๒.๑๑.๙ หลกั การ
หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรยี นซำสูงพิทยาคม พุทธศกั ราช ๒๕๕๙ ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ มีหลักการที่สำคัญตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น
พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ มีหลักการทสี่ ำคญั ดังน้ี
๑. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพ่ือความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการ
เรียนรู้เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรม
บนพืน้ ฐานของความเปน็ ไทยควบคกู่ ับความเปน็ สากล
๒. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพ่ือปวงชนท่ีประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่าง
เสมอภาคและมีคุณภาพ
๓. เป็นหลักสูตรการศึกษาท่ีสนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัด
การศกึ ษาใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพและความตอ้ งการของทอ้ งถ่นิ
๔. เป็นหลักสูตรการศึกษาท่ีมีโครงสร้างยืดหยุ่นท้ังด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการ
จัดการเรยี นรู้
๕. เป็นหลกั สูตรการศกึ ษาท่ีเน้นผูเ้ รยี นเป็นสำคญั

๑๕๔

๖. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย
ครอบคลุมทกุ กลมุ่ เปา้ หมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์

๒.๑๑.๑๐ จุดหมาย
หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนซำสูงพิทยาคม พุทธศกั ราช ๒๕๕๙ ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เปน็ คนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพ
ในการศกึ ษาต่อและประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพอ่ื ให้เกิดกับผู้เรยี น เมื่อจบการศึกษาตาม
หลกั สตู ร ดังนี้
๑. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและ
ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาท่ีตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพยี ง
๒. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมี
ทกั ษะชวี ติ
๓. มสี ุขภาพกายและสขุ ภาพจิตท่ีดี มสี ขุ นิสยั และรกั การออกกำลงั กาย
๔. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดม่ันในวิถีชีวิตและ
การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมขุ
๕. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา
สิ่งแวดล้อมมีจติ สาธารณะที่มุ่งทำประโยชนแ์ ละสรา้ งสิ่งที่ดีงามในสังคม และอย่รู ่วมกันในสังคมอย่างมี
ความสขุ

๒.๑๑.๑๑ สมรรถนะสำคัญของผ้เู รยี น และคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
ในการพัฒนาผู้เรยี นตามหลักสตู รสถานศึกษาโรงเรยี นซำสูงพทิ ยาคม พุทธศกั ราช ๒๕๕๙
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ มุ่งเนน้ พัฒนาผู้เรยี นใหม้ ีคุณภาพตาม
มาตรฐานทกี่ ำหนด ซึ่งจะช่วยให้ผ้เู รยี นเกดิ สมรรถนะสำคญั และคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ดังน้ี
๑) สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รียน

หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนซำสูงพิทยาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ มงุ่ ให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ ๕ ประการ ดงั น้ี

๑. ความสามารถในการส่ือสารเป็นความสามารถในการรับและสง่ สาร มีวฒั นธรรมใน
การใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพ่ือแลกเปล่ียน
ข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจา
ตอ่ รองเพ่ือขจัดและลดปัญหาความขดั แย้งต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล
และความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการส่ือสารท่ีมีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบท่ีมีต่อ
ตนเองและสังคม

๑๕๕

๒. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์
การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบเพื่อน าไปสู่การสร้างองค์
ความรู้หรอื สารสนเทศเพ่อื การตดั สนิ ใจเกยี่ วกบั ตนเองและสังคมไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

๓. ความสามารถในการแก้ปัญหาเป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง
ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ
ความสัมพนั ธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยกุ ต์ความรู้มาใช้
ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาและมีการตัดสินใจท่ีมีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดข้ึนต่อ
ตนเอง สังคมและส่งิ แวดล้อม

๔. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ เป็นความสามารถในการนำกระบวนการ
ตา่ ง ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวติ ประจำวัน การเรยี นรูด้ ้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงานและ
การอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสรมิ ความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจดั การปัญหาและความ
ขัดแย้งต่างๆ อยา่ งเหมาะสม การปรบั ตัวให้ทันกับการเปล่ียนแปลงของสังคมและสภาพ
แวดลอ้ ม และการรู้จกั หลีกเลี่ยงพฤตกิ รรมไม่พึงประสงค์ทสี่ ง่ ผลกระทบต่อตนเองและผอู้ น่ื

๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นความสามารถในการเลือก และใช้เทคโนโลยี
ดา้ นต่างๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้
การสอ่ื สาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถกู ต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม

๒) คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนซำสูงพิทยาคม พุทธศกั ราช ๒๕๕๙ ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพ่ือให้
สามารถอยรู่ ่วมกบั ผอู้ ื่นในสังคมได้อยา่ งมีความสขุ ในฐานะเปน็ พลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้

๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์
๒. ซอ่ื สัตยส์ ุจรติ
๓. มวี นิ ัย
๔. ใฝ่เรยี นรู้
๕. อยอู่ ยา่ งพอเพียง
๖. ม่งุ มั่นในการท างาน
๗. รักความเปน็ ไทย
๘. มจี ิตสาธารณะ

๑๕๖

๒.๑๑.๑๒ โครงสร้างหลักสูตรสถานศกึ ษาโรงเรยี นซำสูงพทิ ยาคม
หลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรยี นซำสงู พทิ ยาคม พุทธศกั ราช ๒๕๕๙ ตามหลกั สูตรแกนกลาง
การศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้กำหนดโครงสร้างของหลักสูตรสถานศึกษาเพื่อให้ผู้สอน
และผ้ทู ี่เก่ียวขอ้ งในการจดั การเรียนรู้ตามหลกั สูตรของสถานศึกษา มีแนวปฏิบัติดังนี้๒๔๙
๑. ระดับการศึกษากำหนดหลักสูตรเป็น ๒ ระดับตามโครงสร้างของหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ และตามภารกิจหลักของการจัดการเรียนการสอนในระดับ
ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
๒. สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ในหลักสูตรโรงเรียนซำสูงพิทยาคม พุทธศักราช
๒๕๕๙ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้กำหนดไว้ในหลักสูตร
ประกอบด้วยองค์ความรู้ ทักษะหรือกระบวนการเรียนรู้ และคุณลักษณะหรือค่านิยม คุณธรรม
จริยธรรมของผู้เรยี น ๘ กลุ่ม คือ

๒.๑ ภาษาไทย
๒.๒ คณติ ศาสตร์
๒.๓ วิทยาศาสตร์
๒.๔ สังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม
๒.๕ สุขศึกษาและพลศกึ ษา
๒.๖ ศลิ ปะ
๒.๗ การงานอาชพี และเทคโนโลยี
๒.๘ ภาษาตา่ งประเทศ
๒.๑๑.๑๒.๑ ข้อมลู ผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา
๑) ข้อมลู ผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษา จำนวน ๔๒ คน

๑. ข้าราชการ จำนวน ๓๖ คน
๑.๑ ผบู้ รหิ าร จำนวน ๔ คน
๑.๒ ข้าราชการครู จำนวน ๓๒ คน

๒. พนักงานราขการ จำนวน ๓ คน
๓. บุคลากรทางการศกึ ษา (สนบั สนุนการเรยี นการสอน) จำนวน ๓ คน
๒) ข้อมลู นกั เรยี น
นกั เรยี นมธั ยมศกึ ษาตอนต้น จำนวน ๓๐๗ คน นกั เรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย
จำนวน ๑๘๑ คน รวมจำนวนนักเรียนทง้ั หมด ๔๘๘ คน ดงั ตารางที่ ๒.๑๒๕๐

๒๔๙ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม. แผนปฏบิ ัตกิ ารประจำปี ๒๕๖๐. ขอนแก่น, โรงเรยี นซำสูงพิทยาคม, ๒๕๖๐),
หน้า ๖.

๑๕๗

ตารางท่ี ๒.๒ จำนวนนกั เรียนในระบบโรงเรียนซำสงู วทิ ยาคม จำแนกตามระดับชนั้ ชั้นปี และเพศ

ระดับชน้ั ชั้นปี ชาย หญิง รวม

มัธยมศกึ ษา ม.๑ ๕๕ ๔๘ ๑๐๓

ตอนต้น ม.๒ ๔๘ ๖๔ ๑๑๒

ม.๓ ๓๐ ๖๒ ๙๒

รวม ๑๓๓ ๑๗๔ ๓๐๗

มธั ยมศกึ ษาตอน ม.๔ ๓๑ ๓๘ ๖๙

ปลาย ม.๕ ๒๐ ๓๘ ๕๘

ม.๖ ๒๕ ๒๙ ๕๔

รวม ๗๖ ๑๐๕ ๑๘๑

รวมทงั้ สน้ิ ๒๐๙ ๒๗๙ ๔๘๘

(โรงเรยี นซำสูงวทิ ยาคม, ๒๕๖๐)

๒.๑๒ งานวิจัยที่เกยี่ วขอ้ ง

วราพร วันไชยธนวงศ์ ประกายแก้ว ธนสุวรรณ และวรรณภา พิพัฒน์ธนวงศ์ ๒๕๑ ได้
ศึกษาวิจัยเร่ืองการพัฒนากระบวนการสร้างจิตอาสาของนักศึกษาพยาบาลวิทยาลัยพยาบาลบรมราช
ชนนี เชียงใหม่ พบว่า นักศกึ ษาให้ความหมายจติ อาสา เป็นความสมัครใจ เตม็ ใจ ตั้งใจทำและเสียสละ
ทั้งแรงกายและแรงใจ หรือทรัพย์สินในการทำกิจกรรมหรือส่ิงที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่ืนโดยไม่หวัง
ผลตอบแทน และมีความสขุ ที่ได้ชว่ ยเหลือผู้อืน่ กระบวนการสรา้ งจิตอาสา มี ๔ประเดน็ คือ (๑) ปลกู ฝัง
ให้ ตระหนักถึงความสำคัญของจิตอาสา (๒) การเตรียมความพรอ้ มทั้งด้านร่างกาย จิตใจ ด้านความรู้
และการติดต่อส่ือสาร (๓) การสร้างความเชื่อมั่นในตน และ (๔) การเข้าร่วมกิจกรรมอย่างต่อเน่ือง
ประสบการณ์ต่อการพัฒนาด้านจติ อาสา คือทำให้ได้รบั การพัฒนาให้เป็นคนเก่ง คนดแี ละใช้ชีวิตอย่างมี
ความสุข และเกิดความภาคภมู ิใจในตนเอง

จากการศึกษาแนวทางในการพัฒนาบุคคลให้มีจิตสำนึกสาธารณะ สรุปได้ว่า แนวทางใน
การพัฒนาน้ัน ต้องการที่จะสร้างคนให้อยู่ร่วมกันได้อย่างเท่าเทียมกัน มีจิตสำนึกต่อทุกส่ิงทุกอย่างที่
เกิดข้ึนบนโลกใบนี้ และต้องการจะรักษาคุณธรรมประจำใจให้คงอยู่ ให้การแบ่งบัน การช่วยเหลือกัน

๒๕๐ เรอื่ งเดยี วกัน, หน้า ๖.
๒๕๑ วราพร วันไชยธนวงศ์ ประกายแกว้ ธนสุวรรณ และวรรณภา พิพัฒน์ธนวงศ์. การพัฒนากระบวนการ
สร้างจิตอาสาของนักศึกษาพยาบาลวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี เชียงใหม่, รายงานการวิจัย, (๒๕๕๑),
หน้า บทคัดย่อ.

๑๕๘

การรู้รกั สามัคคี มีน้ำใจไมตรีตอ่ เพ่ือนมนษุ ย์ ตอ่ สรรพสัตว์ ต่อทรัพยากรธรรมชาติให้มีเพ่ิมมากขึ้น เพื่อ
สรา้ งสรรคส์ งั คมทดี่ ี

ภาวดี รามสิทธ์ิ และคณะ๒๕๒ ศึกษาวิจัยเร่ือง การพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมือง
กรณีศึกษานักศึกษาในสถาบันผลิตบัณฑิตทางการพยาบาล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการ
การอุดมศึกษาเอกชน การวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินระดับจิตสำนึกความเป็นพลเมือง และ
พฒั นารูปแบบการเสรมิ จิตสำนึกความเป็นพลเมืองประชาธิปไตยในการจัดการเรยี นการสอนวิชาพัฒนา
ตนสู่สังคม ในนักศึกษาช้ันปีท่ี ๑ วิทยาลัยเซนต์หลุยส์ เป็นวิจัยเชิงก่ึงทดลองปฏิบัติการ ๒ กลุ่ม
กลมุ่ ตัวอย่างเลือกแบบเจาะจงในนักศึกษาชั้นปีท่ี ๑ วิทยาลยั เซนตห์ ลยุ ส์ เคร่อื งมือการวิจยั เป็นรปู แบบ
การเสริมจิตสำนึกความเป็นพลเมืองประชาธิปไตยในการเรียนการสอนวชิ าการพฒั นาตนในสงั คม และ
แบบประเมินจิตสำนึกความเป็นพลเมอื ง วิเคราะหข์ ้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการเปรยี บเทียบความ
แตกต่างของคา่ เฉล่ียระหว่างกลุ่ม ๒ กลุ่มท่ีเป็นอิสระต่อกัน ผลการวิจัย พบว่า กอ่ นดำเนินการจัดการ
เรียนการสอน ระดับจิตสำนึกด้านการตัดสินความถูกต้องและการตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อ
เหตุการณ์อยู่ในระดับปานกลาง และความเอนเอียงเชิงบวกท่ีจะทำตามเหตุการณ์ อยู่ในระดับ
ค่อนข้างมากทัง้ ๒ ปีการศึกษา และหลังดำเนนิ การจัดการเรียนการสอน ระดับจิตสำนึกด้านการตัดสิน
ความถูกต้องของพฤติกรรม อยู่ในระดบั ค่อนข้างสงู ความเอนเอียงเชิงบวกที่จะทำตามเหตุการณ์อยู่ใน
ระดบั สูง และการตอบสนองอยา่ งเหมาะสมตอ่ เหตกุ ารณ์อยใู่ นระดบั ปานกลาง

ผลการทดสอบสมมตฐิ านการวิจัย พบว่า (๑) นกั ศึกษากลุ่มทเ่ี รียนวิชาการพัฒนาตนสู่สงั คม
ด้วยรูปแบบการส่งเสริมจิตสำนึกความเป็นพลเมืองประชาธิปไตย มีคะแนนการประเมินระดับจิตสำนึก
ความเป็นพลเมืองภายหลังการเรียนการสอนสูงกว่าก่อนการเรียนการสอน เฉพาะด้านการตัดสินความ
ถูกตอ้ งของพฤติกรรม และด้านความเอนเอยี งเชิงบวกท่ีจะทำตามเหตุการณ์ อย่างมีนยั สำคัญทางสถติ ทิ ่ี
ระดับ .๐๕ ซ่งึ เป็นไปตามสมมติฐานการวจิ ยั เพยี งบางสว่ น และ (๒) นักศกึ ษากลุ่มทเี่ รียนวชิ าการพัฒนา
ตนสู่สังคมด้วยรูปแบบการเสริมจิตสำนึกความเป็นพลเมืองประชาธิปไตย ท่ีได้รบั การปรับปรุงรปู แบบ
โดยผูม้ ีส่วนได้ส่วนเสยี มีคะแนนการประเมินระดับจิตสำนึกความเป็นพลเมืองสูงกวา่ นกั ศึกษากลมุ่ ทเ่ี รยี น
ดว้ ยรูปแบบการเสริมจิตสำนกึ ความเป็นพลเมืองประชาธิปไตยก่อนการปรับปรุงโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
เฉพาะด้านการตัดสินความถูกต้องของพฤติกรรม อย่างมีนยั สำคัญที่ระดับ .๐๕ แต่ด้านความเอนเอียง
ทจี่ ะทำตามพฤติกรรม และดา้ นการตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อเหตุการณ์พบวา่ มคี ่าเฉลี่ยแตกต่างกัน
อย่างไม่มีนัยสำคญั ทางสถิติ จงึ ยอมรบั สมมตฐิ านการวิจยั บางส่วน

๒๕๒ ภาวดี รามสิทธิ์ และคณะ. การพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมือง กรณีศึกษานักศึกษาในสถาบันผลิต
บัณฑิตทางการพยาบาล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาเอกชน. คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยเซนต์
หลยุ ส์, ๒๕๕๕-๒๕๕๖.

๑๕๙

สติธร ธนานิธโิ ชต๒ิ ๕๓ ศึกษาวิจัย เรื่ององค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิ่นกับการพัฒนาความเป็น
พลเมืองเพอ่ื ปฏิรปู ประเทศไทย พบว่า บทบาททสี่ ำคัญขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถิน่ ประการหนง่ึ คือ
การสร้างสำนึกความเป็นพลเมือง บทความช้ินน้ี แบ่งการนำเสนอออกเป็น ๔ ส่วน ประกอบด้วย ส่วน
แรก เป็นการพิจารณาคณุ ลักษณะของพลเมืองในสังคมประชาธิปไตยในเชงิ ทฤษฎี ส่วนท่ีสอง นำเสนอ
มุมมองของบคุ คลที่ทำงานในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ ทัง้ ในฐานะผบู้ รหิ าร สมาชิกสภา และพนกั งาน
ขา้ ราชการ เกี่ยวกับคุณลักษณะของพลเมืองในสังคมประชาธิปไตย ซึ่งประมวลมาจากการระดมความ
คิดเห็น (focus group) ผู้แทนองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นที่เข้าร่วมสมัชชาองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน
เพ่อื การปฏริ ปู ระดับพื้นท่ซี ึ่งไดม้ ีการจัดขน้ึ ใน ๔ ภมู ภิ าค รวม ๑๓ เวทที ัว่ ประเทศ ในชว่ งเดอื นมกราคม-
กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ ส่วนท่ีสาม เป็นการอภิปรายมุมมองท่ีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรมีต่อ
พลเมืองในท้องถ่ินของตนเอง ส่วนท่ีสี่ เป็นข้อเสนอบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินในการ
ส่งเสริมการสร้างความเป็นพลเมืองในสังคมประชาธิปไตย ซึ่งสามารถสรุปบทบาทท่ีสำคัญได้เป็น ๓
ประการ คือ (๑) การเปดิ กลไกการทำงานขององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถ่ินเพอ่ื ใหป้ ระชาชนเข้ามามีสว่ น
รว่ มอยา่ งกว้างขวาง (๒) การเปน็ แกนประสานและหนนุ เสริมกระบวนการสร้างสำนึกความเป็นพลเมอื ง
ในสังคมประชาธิปไตยรว่ มกับสถาบนั การศึกษา และภาคส่วนอนื่ ๆ ในพ้ืนที่ทเี่ ก่ียวข้อง และ (๓) การให้
คำปรกึ ษาและสนับสนุนการเคลอื่ นไหวของภาคประชาชนในท้องถิ่นเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปกฎหมาย
เพื่อเสริมสรา้ งการมีส่วนรว่ มของประชาชน

กมลวรรณ คารมปราชญ์ คล้ายแก้ว๒๕๔ ศึกษาวิจัย เรื่อง บทบาทของครอบครัวในการ
ปลกู ฝังและพัฒนาความเปน็ พลเมืองดีตามระบอบประชาธปิ ไตยให้กบั เด็กและเยาวชน พบวา่ การสร้าง
ความเป็นพลเมืองดีให้กับคนในสังคมถือเป็นวิธีการที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการทำให้การปกครอง
ระบอบประชาธิปไตยของประเทศมีความม่ันคง โดยครอบครวั ถือว่าเป็นสถาบันทางสังคมท่ีมีสว่ นสำคัญ
ในการอบรมบม่ นสิ ยั ปลูกฝงั ความเชอื่ ค่านยิ ม คณุ ธรรม จริยธรรม และศลี ธรรมอนั ดงี ามให้กับเด็ก รวม
ไปถึงปลูกฝังและพัฒนาความเป็นพลเมืองดีตามระบอบประชาธิปไตย อันประกอบไปด้วย ความ
รบั ผิดชอบต่อตนเองและพ่ึงตนเองได้ การเคารพผู้อื่น การเคารพความแตกต่าง การเคารพความเสมอ
ภาค การเคารพ กติกาหรือเคารพ กฎหมาย และความรับผิดชอบต่อสังคมและส่วน รวม
จากการศึกษาแนวคิดทฤษฎีและประมวลผลงานวิจัยที่ผ่านมาในอดีต พบว่า วิธีการสำคัญที่ครอบครัว
ควรใชใ้ นการถา่ ยทอดความเป็นพลเมอื งดีตามระบอบประชาธิปไตยประกอบไปด้วย (๑) การอบรมเลี้ยง

๒๕๓ สติธร ธนานิธิโชติ. องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินกับการพัฒนาความเป็นพลเมืองเพื่อปฏิรูปประเทศไทย.
(กรุงเทพฯ: สำนักวิจยั และพัฒนา สถาบันพระปกเกลา้ , ๒๕๕๕).

๒๕๔ กมลวรรณ คารมปราชญ์. บทบาทของครอบครัวในการปลูกฝังและพัฒนาความเป็นพลเมืองดตี าม ระบอบ
ประชาธิปไตยให้กับเด็กและเยาวชน. วารสารพฤติกรรมศาสตร์. (ปีที่ ๒๐ ฉบับท่ี ๑ (มกราคม ๒๕๕๗), สถาบันวิจัย
พฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ, ๒๕๕๖).

๑๖๐

ดูแบบประชาธิปไตยท่ีเป็นผลรวมของการอบรมเลี้ยงดูแบบรักสนับสนุนและแบบใช้เหตุผล และ (๒)
การเป็นแบบอย่างที่ดีของบิดามารดาในการเป็นพลเมืองดีตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งทั้ง ๒ วธิ ีการน้ี
จะช่วยให้บุตรได้รับการปลูกฝังเจตคติและพฤติกรรมแบบประชาธิปไตยต้ังแต่อยู่ในช่วงวัยเด็กและจะ
ส่งผลตอ่ เนื่องไปตลอดชว่ งชีวิต

สจุ ิตรา วันทอง๒๕๕ ศึกษาการวิจัยและพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ารวิจัยเป็น
ฐานเพื่อพัฒนาคุณลักษณะพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตยของนักเรียนประถมศึกษา กลุ่มตัวอย่างใน
การสำรวจ คือ ครผู ู้สอนระดบั ประถมศึกษาจำนวน ๕๑ คน กลมุ่ ตัวอยา่ งในการทดลอง คือ นกั เรยี นช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ ๕ จำนวน ๓๘ คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ ๑๙ คน เคร่อื งมือ
ในการวิจัย คือแบบสอบถามความคิดเห็นของครู แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และแบบวัด
คุณลักษณะพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การทดสอบค่าที (t-test) การ
วิเคราะหค์ วามแปรปรวนรว่ ม และการวิเคราะหเ์ นื้อหา พบวา่ (๑) สภาพปจั จบุ นั คอื (๑.๑) ครูมีการจัด
กจิ กรรมการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาคุณลักษณะพลเมอื งดตี ามวิถปี ระชาธิปไตยของนักเรียนและมีความสำเร็จ
อยู่ในระดับสูง โดยการจัดกิจกรรมใชส้ ่ือท่ีหลากหลาย ปัญหาที่ครู พบ คือ ความไม่พร้อมของนักเรียน
และงบประมาณสนับสนุนการจัดกิจกรรมที่ไม่เพียงพอ และ (๑.๒) ครูมีการจัดการเรียนรู้โดยใช้
กระบวนการวิจยั และมีความ สำเร็จอยู่ในระดับปานกลาง ปัญหาคอื ครขู าดความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับ
การวจิ ยั และขาดทัศนคติท่ีดตี ่อการวิจัย (๒) แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การวิจยั เป็นฐานเพ่ือ
พัฒนาคุณลักษณะพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตยของนักเรียนระดับประถมศึกษาที่พัฒน าข้ึน มี
กระบวนการเรียนรู้ ๔ ข้ันตอน คือ (๒.๑) การตีความ และการกำหนดปัญหา (๒.๒) การวางแผนงาน
(๒.๓) การดำเนนิ งานตามแผน และ (๒.๔) การนำผลท่ีไดไ้ ปใช้แก้ปัญหา ประกอบด้วย หนว่ ยการเรียนรู้
๓ หน่วย คือ เรียนรู้ประชาธิปไตย ใส่ใจส่วนรวม และร่วมสืบสานความเป็นไทย และ (๓) นักเรียนท่ี
เรียนรู้ตามแผนการจัดกิจกรรมท่ีพัฒนาขึ้นมีค่าเฉล่ียของคะแนนของคุณลักษณะพลเมืองดีตามวิถี
ประชาธิปไตยด้านพุทธิพิสยั และด้านจิตพิสัยสูงกว่านักเรยี นที่เรียนตามแผนแบบปกตอิ ย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถติ ิท่รี ะดับ .๐๕

คลอเด็ท๒๕๖ ได้ศึกษาเรื่อง "The Degree of World mindedness Exhibited in School
with Varying Emphasis on Global Education" ท้ังนี้เพื่อศึกษาเก่ียวกับระดับของความรู้สึกห่วงใย
ในโลกของนกั เรยี นในโรงเรียนที่เรยี นด้วยการเน้นเกย่ี วกบั สกลทรรศนศ์ กึ ษา เครือ่ งมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั นี้

๒๕๕ สุจิตรา วันทอง. การวิจัยและพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การวิจัยเป็นฐานเพ่ือพัฒนา
คุณลักษณะพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตยของนักเรียนประถมศึกษา. (กรุงเทพฯ: สาขาวิธีวิทยาการวิจัยการศึกษา
ภาควิชาวิจัยและจติ วทิ ยาการศกึ ษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย, ๒๕๕๕).

๒๕๖ Claudette, Pauline Richards. "The Degree of Worldmindedness Exhibited in School
with Varying Emphasis on Gloval Eduction." Dissertation Abstracts International, 1981. P. 40.

๑๖๑

คือ แบบวัดจติ สำนึกความเป็นพลโลก โดยนำเน้ือหามาจากหวั ข้อสำคัญจากสาระในสกลทรรศน์ศึกษา
และสาระท่ีประมวลจากเอกสารท่ีเกี่ยวกับความรู้สึกที่มีต่อโลก เครอ่ื งมือนี้ได้นำไปทดลองกับนักเรียน
ระดับมัธยมศกึ ษา ๓๐ คน และได้ผ่านการทดลองกับนักเรียนอีก ๑๓๓ คน เพื่อพัฒนาเครอ่ื งมือนี้ให้มี
ประสิทธิภาพนา่ เช่ือถือ เม่อื ได้เครือ่ งมอื ท่ีมีประสทิ ธภิ าพแลว้ ผู้วิจยั ไดน้ ำเครื่องมือไปวดั กับนักเรียนระดับ
มัธยมศึกษาท้ังสิ้น ๒๒๕ คน โดยกลุ่มตัวอย่าง เป็นตัวแทนของนักเรียนในโรงเรียน ๓ ประเภทในรัฐ
มชิ ิแกน ประเทศสหรฐั อเมริกา คอื (๑) ประเภทท่ีไดร้ ับเงินทุนช่วยเหลอื การศกึ ษาเกี่ยวกับสกลทรรศน์
ศึกษา และเรยี กร้องที่จะให้มีการเน้นในหลักสตู ร (๒)ประเภทไม่ได้รับทนุ แตเ่ รียกร้องสิทธทิ ่ีจะได้เรยี น
เกี่ยวกับสกลทรรศน์ศึกษา และ (๓)ประเภทที่ไม่ได้รับเงินทุนช่วยเหลือ และไม่เรียกร้องที่จะให้เน้น
เกย่ี วกบั สกลทรรศนศ์ กึ ษา พบว่า ไมม่ ีความแตกต่างในระดับของความรู้สกึ ห่วงใยต่อโลกจากนักเรียนใน
โรงเรียนท้ัง ๓ ประเภท แต่มีข้อสรุปโดยการตัง้ ประเด็นที่ควรคิดว่า สาเหตุที่หลักสูตรที่วางไว้ เพื่อให้
การเรียนรู้เกี่ยวกับสกลทรรศน์ศึกษาไม่ได้ผลเท่ากับหลักสูตรที่ไม่ได้เน้นเร่ืองนี้ เป็นเพราะโรงเรียน
ต่าง ๆ ได้เนน้ เรือ่ งท่ีควรรู้เก่ียวกบั โลกมากพอหรอื ไม่ โรงเรยี นทัง้ หลายกำลงั เนน้ ความสำคญั ในประเด็น
ขอ้ โต้แย้งเก่ียวกับโลกโดยไมส่ นใจเร่อื งอนื่ ๆ จริงหรือไม่

จากผลการวิจยั ท่ยี กมาเป็นตัวอยา่ งข้างตน้ เป็นงานวิจัยท่ีเก่ยี วกับการพฒั นาจิตสำนึกความ
เปน็ พลโลก เพอื่ เนน้ ให้เห็นความสำคัญของการพัฒนาในเรือ่ งดังกล่าว โดยเฉพาะเยาวชนหรอื นกั เรยี น
ท่ีอยู่ร่วมในสังคมเดียวกัน ตั้งแต่สังคมในระดับท้องถิ่น ในระดับประเทศ จนถึงระดับโลก ดังน้ัน
การจัดการศึกษา โดยเฉพาะการจัดการเรียนการสอนเพ่อื พัฒนาจติ สำนึกความเป็นพลโลกจึงเป็นเร่อื ง
ทม่ี ีความจำเปน็ อย่างแท้จริง

การจดั การเรียนการสอนเพื่อพัฒนาจติ สำนึกความเป็นพลโลก โดยใช้แนวพุทธวิธีหรือแนว
พุทธธรรมน้นั ยังไมม่ ีงานวิจัยในเร่ืองน้โี ดยตรง มเี พียงงานวจิ ัยท่ีเสนอการจัดการเรยี นการสอนตามแนว
พทุ ธวธิ ี เพอ่ื ใชใ้ นการสอนจรยิ ธรรมหรือศลี ธรรมเทา่ นนั้ เชน่

ดุษฎี สีตลวรางค์๒๕๗ ได้ศึกษาเรื่อง "การเปรียบเทียบวิธีสอนแบบไตรสิกขาและแบบธรรม
สากจั ฉาในการสอบเบญจศลี และฆราวาสธรรม ในช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ ๑" ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนของนักเรียนท่ีเรียนจากวิธีสอนแบบธรรมสากัจฉาสูงกว่ากลุ่มท่ีเรียนจากวิธีสอ นแบบ
ไตรสิกขา ส่วนการใช้หลักธรรมในการแก้ปัญหาเชิงจริยธรรมนั้น นักเรียนท่ีเรียนจากวิธีสอนแบบ
ไตรสิกขา มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่านักเรียนที่เรียนจากวิธีสอนแบบธรรมสากัจฉา อย่างมีนัยสำคัญ
ท่ีสถิติ .๐๑

๒๕๗ ดษุ ฎี สตี ลวรางค์. การเปรียบเทยี บวิธสี อนแบบไตรสกิ ขาและแบบธรรมสากจั ฉาในการสอนเบญจ
ศีลและฆราวาสธรรม ในระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๑. มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒประสานมิตร, ๒๕๒๕.

๑๖๒

วรรณา สุติวิจิตร๒๕๘ ได้ศึกษาเร่ือง "การทดลองสอนจริยศึกษาโดยการสร้างศรัทธาแก่
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๓" ผลการศึกษาพบว่า ความคิดรวบยอดเชิงจริยธรรมของนักเรียนที่ครู
สอนตามแผนการสอนปกติ และที่ครูสอนโดยสร้างศรัทธาตามแนวพุทธวิธี มีความแตกต่างกันอย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ ๐๕ และนักเรียนท่ีเรียนตามแผนการสอนปกติกับนักเรียนที่เรียนตาม
แผนการสอนโดยการสร้างศรัทธา มีการเรียนรู้โดยมัชฌิมาเลขคณิตคะแนนหลังสอบสูงกว่าก่อนสอน
อย่างมีนัยสำคญั ทางสถิติท่ีระดบั .๐๕

ศิวพร เสนีวงศ์ ณ อยุธยา๒๕๙ ได้ศึกษาเปรียบเทียบความสามารถในการคิดแก้ปัญหา
และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๒ โดยวิธีสอนตามข้ันทั้งสี่ของอริยสัจ
กับการสอนตามคู่มือครู สรุปได้ว่าความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของ
กลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคมุ แตกตา่ งกนั อย่างมีนัยสำคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .๐๑

อารมณ์ กัณฑศรีวิกรม๒๖๐ ศึกษาผลการสอนโดยการสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการ
โดยใช้วิธีคิดแบบคุณโทษและทางออกท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต
ของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๕ ผลการวจิ ัยพบว่า นักเรียนทเี่ รียนด้วยการสอนโดยสร้างศรทั ธาและ
โยนิโสมนสกิ ารโดยใช้วธิ ีคิดแบบคุณโทษและทางออก มีคะแนนความรู้เร่ืองส่ิงแวดลอ้ มสูงกว่านักเรียน
ที่เรยี นด้วยการสอนปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑ และมีความสามารถในการตัดสินใจเร่อื ง
ส่งิ แวดลอ้ มสงู กวา่ นักเรยี นทเี่ รยี นด้วยการสอนปกตอิ ย่างมีนัยสำคัญทางสถติ ิท่ีระดับ .๐๑

อังษณา ปุรินทราภิบาล๒๖๑ ได้ศึกษาผลการใช้ชุดการสอนเพ่ือพัฒนาทักษะการคิดแบบ
โยนิโสมนสิการ ในวิชาพลงั งานกับส่ิงแวดล้อมของนักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๕ โรงเรียนสรุ ศกั ดิม์ นตรี
กรุงเทพมหานคร ผลการวิจัยพบว่า หลังทดลองใช้ชุดการสอนเพื่อพัฒนาการคิดแบบโยนิโสมนสิการ
ในวิชาพลังงานและสิ่งแวดล้อมทักษะการคิดแบบโยนิโสมนสิการของนักเรียนกลุ่มท่ีมีผลการเรียนสูง
และนักเรียนกลมุ่ ที่มีระดับผลการเรียนตำ่ สงู กวา่ กอ่ นการทดลองอย่างมนี ัยสำคญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ .๐๕

๒๕๘ วรรณา สุติวิจิตร. การทดลองสอนจริยธรรมโดยการสร้างศรัทธาแก่นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๓.
ภาควิชามัธยมศึกษา บณั ฑิตวิทยาลยั จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๗.

๒๕๙ ศิวพร เสนีวงศ์ ณ อยุธยา. การเปรียบเทียบความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและผลสัมฤทธ์ิทาง
การเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โดยวิธีการขั้นท่ี ๔ ของอริยสัจกับการสอนตามคู่มือครู. คณะศึกษาศาสตร์,
มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทร วโิ รฒประสานมติ ร. ๒๕๒๙.

๒๖๐ อารมณ์ กัณฑศรีวิกรม. ผลของการสอนโดยสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการโดยวิธีคิกแบบคุณโทษ
และทางออกท่ีมีผลต่อผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นกล่มุ สรา้ งเสรมิ ประสบการณ์ชวี ิตของนักเรียนขั้นประถมศึกษาปีที่
๕. (กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๓๖).

๒๖๑ อังษณา ปุรินทราภิบาล. การศึกษาผลการใช้ชุดการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการคิดแบบโยนิโส
มนสิการในวิชาพ ลังงานและสิ่งแวดล้อมของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๕ โรงเรียนสุรศักด์ิมนตรี
กรุงเทพมหานคร. (ภาควชิ าการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ๒๕๓๗).

๑๖๓

และหลังการทดลองใช้ชุดการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการคิดแบบโยนิโสมนสิการในวิชาพลังงานและ
ส่ิงแวดล้อม ทักษะการคิด แบบโยนิโสมนสิการของนักเรียนกลุ่มทมี่ ีผลการเรียนสูง และนักเรียนกลุ่ม
ทมี่ ีระดับผลการเรียนต่ำ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .๐๕ นอกจากน้ันนักเรียนมี
ความคิดเห็นวา่ การนำชุดการสอนเพอ่ื พัฒนาทักษะการคิดแบบโยนิโสมนสกิ าร มาจดั กิจกรรมการเรยี น
การสอนช่วยให้นักเรยี นมีทักษะเพมิ่ ขน้ึ และนกั เรียนเห็นว่าทักษะการคดิ จำเป็นตอ่ การศกึ ษาวิชาสังคม
ศกึ ษามากดว้ ย

สุคนธ์ สินธพานนท์๒๖๒ ศกึ ษาการใชว้ ิธีสอนแบบธรรมสากัจฉา เพ่อื สร้างศรทั ธาและวิธคี ิด
ตามหลักพุทธธรรมแก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ รายวิชา ส ๐๑๑๓ พระพุทธศาสนา โรงเรียน
บดินทรเดชา (สงิ ห์ สิงหเสนี) ผลการวิจยั พบว่า นักเรียนมีวิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัยหลังการทดลอง
สงู กว่ากอ่ นการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถติ ิท่ีระดับ .๐๑ และพฤติกรรมด้านการเรียน การทำงาน
และความเปน็ กลั ยาณมติ ร มกี ารพฒั นาข้ึนมากจากการประเมินโดยตรงโดยเพอื่ นและผูส้ อน

วรรณกรรมที่ยกมาเป็นตัวอย่างน้ี เพ่ือเป็นแนวทางให้เห็นว่า การจัดการเรียนการสอน
โดยเฉพาะการสอนโดยใช้แนวของพระพุทธเจ้า หรือแนวพุทธธรรมจะทำให้การเรียนเกิดผลพอ ๆ
กบั วิธีการสอนแบบอื่น ๆ หรอื อาจจะมากกวา่ ดังนั้น นอกจากจะใช้แนวพทุ ธธรรมในการพัฒนาด้าน
จริยธรรมหรือศีลธรรมแก่นักเรียนแล้ว การพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมืองให้แก่นักเรียนก็อาจ
ประยกุ ตแ์ นวพทุ ธธรรมมาใช้ในการจัดการเรยี นการสอนได้ เช่นกนั

๒๖๒ สคุ นธ์ สินธพานนท์. การใช้วิธสี อนแบบธรรมสากัจฉา เพื่อสรา้ งศรัทธาและวิธคี ดิ ตามหลกั พทุ ธธรรม
แก่นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๓. (วิชาหลักสูตรและการสอน สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัย
ธรรมาธริ าช, ๒๕๓๘).

บทที่ ๓

ระเบยี บวิธีการวจิ ัย

การศึกษาวิจัย เรื่องการพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมืองไทยของนักเรียนในจังหวัด
ขอนแก่น ตามหลักพุทธธรรม การศึกษาครั้งน้ี เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research)
แบบแผนการวิจัย เป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น (Pre-Experimental Design) แบบกลุ่มเดียว
ทดสอบก่อนการทดลองและหลังการทดลอง (One Group Pretest-Posttest Design) ผู้วิจัย
ดำเนินการนำเสนอตามลำดับ โดยมรี ายละเอียด ดังน้ี

๓.๑ รปู แบบการวจิ ัย
๓.๒ กลุ่มเปา้ หมาย
๓.๓ เครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการวิจัย
๓.๔ การสรา้ งและหาคณุ ภาพเครอ่ื งมือ
๓.๕ การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
๓.๖ การวเิ คราะห์ข้อมูล
๓.๗ สถิตทิ ่ีใชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมลู
๓.๘ สรุปกระบวนการวจิ ยั

๓.๑ รปู แบบการวจิ ยั

การศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) แบบแผนการวิจัย
เป็นการวจิ ยั เชิงทดลองเบื้องต้น (Pre-Experimental Design) แบบกล่มุ ทดลองกลุ่มเดยี ว ทดสอบก่อน
การทดลองและหลังการทดลอง (One Group Pretest-Posttest Design) ซึ่งมีแผนการทดลองตามแบบ
แผนการวิจัย ดังภาพท่ี ๓.๑๑; ๒; ๓

๑ Tuckman, B.W. Conducting Educational Research. (๕th ed.). U.S..A.: Harcourt Brace &
Company. 1999.

๒ กิตติยา วงษ์ขันธ์. การออกแบบการวิจัย รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ การกำหนดตัวอย่าง และ
การวิเคราะหข์ อ้ มูล. ภาควิชาเคมี คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธาน,ี ๒๕๖๑.

๓ วาโร เพง็ สวสั ดิ.์ วธิ ีวทิ ยาการวิจัย. หน้า ๑๘๑-๑๙๐.

๑๖๕

E ทดสอบก่อน การทดลอง ทดสอบหลงั
(Treatment)

O1 X O2

ภาพที่ ๓.๑ แผนการทดลองตามแบบแผนการวจิ ยั เป็นการวจิ ยั เชงิ ทดลองเบ้ืองต้น (Pre-Experimental
Design)

สัญลกั ษณ์ทใี่ ช้
E หมายถึง กลุ่มทดลอง หรือกลุม่ เป้าหมาย
O๑ หมายถงึ ทดสอบก่อนการทดลอง
X หมายถงึ การทดลอง (Treatment)
O๒ หมายถึง ทดสอบหลงั การทดลอง

๓.๒ กลุม่ เปา้ หมาย

กลุ่มเป้าหมาย ที่ใช้ในการศึกษา ครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๒ โรงเรียนซำ
สูงพิทยาคม สังกดั องค์การบรหิ ารส่วนจังหวัด จังหวัดขอนแก่น ที่ลงทะเบยี นเรียน วิชาพระพุทธศาสนา
กลมุ่ สาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ภาคเรยี นท่ี ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๐ จำนวน ๓๒
คน โดยการส่มุ แบบเป็นกลมุ่ (Cluster Random Sampling) (บุญชม ศรสี ะอาด, ๒๕๕๖: ๔๙)๔ โดยใช้
หอ้ งเรยี นเป็นหนว่ ยในการเลือก โดยมผี ลการสรุปรายงานการประเมินคุณภาพภายใน ประจำปีการ ศึกษา
๒๕๕๙ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด จังหวัดขอนแก่น พบว่า มีจุดที่ควร
พัฒนาในมาตรฐานคุณภาพผู้เรียน ควรได้รับการฝึกให้รู้จักประหยัด ใช้สิ่งของอย่างคุ้มค่าและรู้จัก
ช่วยเหลือสังคม พรอ้ มท้ังฝึกใหม้ วี ินัยและซอ่ื สตั ย์ สุจรติ โดยผา่ นกจิ กรรมเสริมหลกั สตู รที่สถานศกึ ษาจัด
ขึ้น และยังพบว่า นักเรียนมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ได้แก่ มีบางส่วนทำลายทรัพย์สินของโรงเรียน ขาด
ความเต็มใจในการช่วยเหลือผู้ปกครองรวมถึงครู การอาสาทำงานยังมุ่งผลตอบแทน การมีน้ำใจแบ่งปัน
สิ่งของให้กับผู้อื่นยังมีน้อยเป็นส่วนใหญ่ เก็บของได้ไม่คืนเจ้าของทางโรงเรียนจึงถือว่า เป็นหน้าที่ของ
โรงเรยี นในการมุ่งขดั เกลาบ่มเพาะ แกป้ ญั หา จงึ มีความจำเป็นท่ีโรงเรยี นจะต้องหากระบวนการมาแก้ไข
ปัญหาดังกล่าวเพื่อหารูปแบบทีช่ ัดเจนในการแก้ปญั หา ผู้วิจัย จึงตระหนักและถือเป็นภาระที่จะต้องมุง่
พัฒนาจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมืองของนักเรียนให้มากขึ้น เพื่อส่งผลต่อองค์ประกอบด้าน
การเรียนรู้ทางวิชาการ เพราะหากโรงเรียนสามารถปรับพฤติกรรม ด้านจิตสำสาธารณะความเป็น

๔ บญุ ชม ศรสี ะอาด, วธิ ีการทางสถิตสิ ำหรับการวจิ ัย เลม่ ๑. หนา้ ๔๙.

๑๖๖

พลเมืองของนักเรียนให้บรรลุเป้าหมาย ย่อมส่งผลต่อการจัดการเรียนการสอนของครูได้ง่ายขึ้นและส่งผล
ตอ่ บรรยากาศในโรงเรยี นโดยรวมดขี ึน้ ๕

๓.๓ เคร่ืองมือทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั

๓.๓.๑ เครือ่ งมอื ที่ใช้ในการวจิ ัย ไดแ้ ก่ เครื่องมอื ๖ ฉบบั ดังน้ี
๓.๓.๑.๑ แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ
ความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม
จำนวน ๕ แผน ไดแ้ ก่

๑) แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๑ เร่อื ง มรรค ๘
๒) แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๒ เรอ่ื ง พรหมวิหาร ๔
๓) แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๓ เร่ือง อทิ ธบิ าท ๔
๔) แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๔ เร่อื ง สงั คหวัตถุ ๔
๕) แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี ๕ เรอ่ื ง ฆราวาสธรรม ๔
๓.๓.๑.๒ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องจิตสำนึกสาธารณะความเป็น
พลเมือง ตามหลักพุทธธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ได้แก่
แบบทดสอบระหว่างเรียน จำนวน ๕๐ ข้อ และแบบทดสอบหลังเรียน จำนวน ๕๐ ข้อเป็นแบบ
ทดสอบแบบปรนยั ๔ ตวั เลือก
๓.๓.๑.๓ แบบสอบถามจิตสำนึกสาธารณะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำ
สูงพทิ ยาคม ตามหลักพทุ ธธรรม จำนวน ๔๐ ข้อ ๔ ดา้ น ไดแ้ ก่ (๑) ดา้ นความรับผิดชอบ (๒) ด้านความ
เสียสละ (๓) ด้านความสามคั คี และ (๔) ด้านการอนรุ ักษ์สง่ิ แวดลอ้ ม
๓.๑.๓.๔ แบบสอบถามความเป็นพลเมืองดีตามหลักพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ ๓ จำนวน ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) การพัฒนาด้านกาย (๒) การพัฒนาด้านทักษะทางสังคม
(๓) การพฒั นาดา้ นคุณธรรม และ (๔) การพัฒนาด้านปญั ญา จำนวน ๔๐ ข้อ
๓.๑.๓.๕ แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูง
พิทยาคม ที่มีต่อจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อรยิ สัจ ๔ จำนวน ๓๐ ข้อ

๕ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม. รายงานการประเมินคุณภาพภายใน, (ขอนแก่น: โรงเรียนซำสูงพิทยาคม สังกัด
องค์การบรหิ ารส่วนจังหวดั จงั หวัดขอนแก่น, ๒๕๕๙), หนา้ ๖-๑๓.

๑๖๗

๓.๔ การสรา้ งและหาคุณภาพเคร่ืองมอื

๓.๔.๑ การสรา้ งเครื่องมอื
ผู้วิจัย ได้ดำเนินการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ และจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้
กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะความเปน็ พลเมอื ง ตามหลักพุทธธรรมของนักเรียน
ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓ โรงเรียนซำสงู พทิ ยาคม มขี น้ั ตอนการสรา้ ง ดงั น้ี
๓.๔.๑.๑ สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึก
สาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูง
พิทยาคม

๑) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการ
เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม วิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ เพื่อ
กำหนดเน้อื หาสาระ ศกึ ษาเอกสาร หนังสอื คู่มอื ครู และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ทฤษฎีและหลักการเรียนรู้
องค์ประกอบของหน่วยการเรียนรู้ที่ ๑-๕ และศึกษาหลักการของหลักสูตร จุดหมายของหลักสูตร
หลักเกณฑ์การใช้หลักสูตร โครงสร้างหลักสูตร วิเคราะห์หลักสูตร จุดประสงค์รายวิชา คำอธิบาย
รายวิชา๖

๒) ศึกษารายละเอียด กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
จดุ ประสงค์รายวชิ า และคำอธิบายรายวชิ า วิชาพระพทุ ธศาสนาของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ ๓ โดย
ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับ (๑) มรรค ๘ (๒) พรหมวิหาร ๔ (๓) อิทธิบาท ๔ (๔) สังคหวัตถุ ๔ และ (๕)
ฆราวาสธรรม ๔ เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงความสำคัญ และลักษณะเฉพาะของวิชา เพื่อกำหนดเป้าหมาย
ของการจัดการเรยี นการสอนทีช่ ดั เจนยงิ่ ขึ้น

๓) จัดทำหน่วยการเรียนรู้ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธ
ธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม โดยกำหนดหัวข้อเรื่อง (ด้านความรู้
ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม) สาระสำคัญ จุดประสงคก์ ารสอน เนื้อหาสาระการสอน กิจกรรมการเรียนรู้
งานที่มอบหมายหรือกิจกรรม สื่อการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล และบั นทึกหลังการสอน
รายละเอียด ดังกล่าว จะเป็นสิ่งที่กำหนดกระบวนการ วิธีสอน กิจกรรมการเรียนรู้ เทคนิคการสอน
สือ่ การเรียนรู้ เครอ่ื งมือวัดและประเมินผล

๔) จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึก
สาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรียนซำสูง
พทิ ยาคม นำคำอธิบายรายวชิ าพระพุทธศาสนา กลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๖ กระทรวงศึกษาธิการ. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑, . (กรุงเทพมหานคร:
ชมุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกัด, ๒๕๕๑).

๑๖๘

มาจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ ตามองค์ประกอบของแผน ได้แก่ (๑) หัวข้อเรื่อง (๒) สมรรถนะการ
เรียนรู้ (๓) สาระสำคัญ (๔) จุดประสงค์การเรียนรู้ (๕) เนื้อหาสาระการเรียนรู้ (๖) การจัดกิจกรรมการ
เรียนการสอน (๗) งานที่มอบหมายหรือกิจกรรม (๘) สื่อการเรียนการสอน (๙) การประเมินผลการ
เรียนรู้ (๑๐) บนั ทึกหลังการสอน จำนวน ๕ แผน

๕) นำแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึก
สาธารณะความเปน็ พลเมือง ตามหลกั พทุ ธธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยา
คม จำนวน ๕ แผน เสนอให้ผ้เู ช่ียวชาญ ๕ คน ตรวจสอบความตรงเชิงเนอ้ื หา (Content Validity) และ
ให้ข้อเสนอแนะ แล้วนำมาคำนวณหาค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (Item-
Objective Congruence Index: IOC) ตั้งแต่ ๐.๖๐ ขนึ้ ไป๗

๓.๔.๑.๒ สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องจิตสำนึกสาธารณะความเป็น
พลเมือง ตามหลักพุทธธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ได้แก่
แบบทดสอบระหว่างเรียน จำนวน ๕๐ ข้อ และแบบทดสอบหลังเรียน จำนวน ๕๐ ข้อ เป็นแบบ
ทดสอบแบบปรนยั ๔ ตัวเลอื ก โดยมขี นั้ ตอนในการสรา้ ง ดงั น้ี

๑) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการ
เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม วิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ เพ่ือ
กำหนดเนื้อหาสาระ ศกึ ษาเอกสาร หนังสือ คมู่ อื ครู และงานวจิ ัยท่ีเก่ียวข้อง ทฤษฎแี ละหลักการเรียนรู้
องค์ประกอบของหน่วยการเรียนรู้ที่ ๑-๕ และศึกษาหลักการของหลักสูตร จุดหมายของหลักสูตร
หลักเกณฑ์การใช้หลักสูตร โครงสร้างหลักสูตร วิเคราะห์หลักสูตร จุดประสงค์รายวิชา คำอธิบาย
รายวชิ า

๒) ศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement Test)
เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ (knowledge) และทักษะ (skill) การวัดและประเมินผลการจัดการ
เรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑๘; ๙; ๑๐; ๑๑ และการพัฒนา

๗ ไพศาล วรคำ. การวิจัยทางการศึกษา. (Educational Research). (พิมพ์ครั้งที่ ๑๐).คณะครุศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏมหาสารคาม. (มหาสารคาม: ตกั สลิ าการพิมพ,์ ๒๕๖๐), หน้า ๒๖๙.

๘ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๒๓๙-๒๖๐.
๙ บญุ ชม ศรสี ะอาด. วธิ ีการทางสถติ สิ ำหรับการวิจัย เล่ม ๑. หน้า ๗๐.
๑๐ สมนึก ภัททิยธนี. การวัดผลการศึกษา. (Educational measurement). หนา้ ๑๒๔-๑๒๙.
๑๑ พิชติ ฤทธจ์ิ รญู . หลักการวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา. หน้า ๑๓๕-๑๖๑.

๑๖๙

พฤติกรรมการเรียนรู้จากองค์ประกอบ ๓ ด้าน ของบลูม๑๒ ประกอบด้วย (๑) ด้านพุทธิพิสัย (๒) ด้าน
จิตพสิ ัย และ (๓) ด้านทักษะพิสยั

๓) วิธีการตั้งคำถามแบบทดสอบ เพื่อวัด ๓ ตัวแปรหลัก คือ (๑) การวัดความรู้
(Knowledge) (๒) การวัดความคิดเห็น ความรู้สึก ความพึงพอใจ ความต้องการและความคาดหวัง
ซึ่งเป็นเรื่องของทัศนคติ (Attitude) หรือความคิดเห็น (Opinion) (๓) การวัดพฤติกรรม (Behavior)
หรอื วดั ความจริง (Fact)

๔) สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพื่อหาความสอดคล้องระหว่าง
แบบทดสอบกับวัตถุประสงค์ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม วิชา
พระพุทธศาสนา กลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ของนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปี
ที่ ๓ เป็นแบบปรนัย ๔ ตัวเลือก ได้แก่ (๑) แบบทดสอบระหว่างเรียน และแบบทดสอบหลังเรียน
จำนวน ๕ ชุด ชดุ การสอนละ ๑๐ ข้อ รวม ๕๐ ขอ้

๕) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สร้างขึ้น เสนอให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน
๕ คน เพื่อพิจารณาตรวจสอบคุณภาพ และตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity)
ระหว่างแบบทดสอบสอบกับวตั ถุประสงค์

๖) วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามของแบบทดสอบ
กบั จดุ ประสงค์การเรียนรู้ โดยใชส้ ูตร IOC (Index of Item Objective Congruence) และคัดเลือกข้อ
ทมี่ ีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ตัง้ แต่ ๐.๖๐ ขึน้ ไป ไว้ใช้

๗) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน ๕๐ ข้อ ที่ผ่านการปรับปรุง
แก้ไข โดยพิจารณาจากข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ จำนวน ๕ คน แล้วนำไปทดลอง
(Try out) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม จำนวน ๓๐ คน ที่ไม่ใช่กลุ่ม
ตัวอย่าง แล้วนำผลการทดสอบมาหาคณุ ภาพของแบบทดสอบ

๘) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ที่คัดเลือกไว้ จำนวน ๕๐ ข้อ มาวิเคราะห์
หาความเช่ือมั่น (Reliability) โดยวธิ ีของ คเู ดอร์-ริชารด์ สนั ๑๓

๙) จัดพิมพ์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียน
ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓ โรงเรยี นซำสงู พทิ ยาคม เปน็ ฉบบั จรงิ เพือ่ นำไป ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู ต่อไป

๑๒ Bloom, B.S. (Ed.). Engelhart, M.D., Furst, E.J., Hill, W.H., Krathwohl, D.R. Taxonomy of
Educational Objectives, Handbook I: The Cognitive Domain. (New York:David McKay Co Inc. 1956),
p. 4.

๑๓ Kuder, Frederic G. and M.W. Richardson. (๑ ๙ ๓ ๗ ). The Theory of the Estimation of Test
Reliability, Psychometrika. 2, (September 1937), p. 151-160.

๑๗๐

๓.๔.๑.๓ สร้างแบบสอบถามจิตสำนึกสาธารณะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรง
เรียนซำสูงพิทยาคม ตามหลักพุทธธรรม จำนวน ๔๐ ข้อ ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านความรับผิดชอบ (๒)
ด้านความเสียสละ (๓) ดา้ นความสามคั คี และ (๔) ด้านการอนรุ ักษส์ ิ่งแวดล้อม

๑) นำแบบสอบถามจิตสำนึกสาธารณะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำ
สูงพิทยาคม ตามหลักพุทธธรรม ที่สร้างขึ้น เสนอให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน ๕ คน เพื่อพิจารณา
ตรวจสอบคณุ ภาพ และตรวจสอบความเทยี่ งตรงเชงิ เนื้อหา (Content Validity) ระหว่างแบบสอบ ถาม
กบั วตั ถปุ ระสงค์

๒) วเิ คราะหข์ อ้ มลู เพื่อหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหวา่ งข้อคำถามของแบบสอบถาม
กับจุดประสงค์การเรยี นรู้ โดยใชส้ ูตร IOC (Index of Item Objective Congruence) และคัดเลือกข้อ
ทีม่ คี ่าดัชนคี วามสอดคล้อง (IOC) ตัง้ แต่ ๐.๖๐ ขึ้นไป ไวใ้ ช้

๓) นำแบบแบบสอบถามจิตสำนกึ สาธารณะ จำนวน ๔๐ ข้อ ที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไข
โดยพิจารณาจากขอ้ คดิ เห็นและข้อเสนอแนะของผ้เู ชย่ี วชาญ จำนวน ๕ คน แล้วนำไปทดลอง (Try out)
กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม จำนวน ๓๐ คน ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง แล้ว
นำผลการทดสอบมาหาคุณภาพของแบบสอบถาม

๔) นำแบบสอบถามจิตสำนึกสาธารณะ ที่คัดเลือกไว้ จำนวน จำนวน ๔๐ ข้อ มา
วิเคราะห์หาความเชื่อมั่น (Reliability) โดยวิธีของ คูเดอร์-ริชาร์ดสัน (Kuder-Richardson
Methods)๑๔ มีค่าความเชือ่ มัน่ เทา่ กับ ๐.๙๓

๕) จัดพิมพ์แบบแบบสอบถามจิตสำนึกสาธารณะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓
โรงเรยี นซำสูงพิทยาคม เปน็ ฉบบั จรงิ เพื่อนำไป ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูลต่อไป

๓.๔.๑.๔ สร้างแบบสอบถามความเป็นพลเมืองดีตามหลักพุทธธรรม ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ ๓ จำนวน ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) การพัฒนาด้านกาย (๒) การพัฒนาด้านทักษะทางสังคม
(๓) การพฒั นาด้านคณุ ธรรม และ (๔) การพฒั นาด้านปญั ญา จำนวน ๔๐ ข้อ

๑) นำแบบสอบถามความเป็นพลเมืองดีตามหลักพุทธธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยม
ศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ที่สร้างขึ้น เสนอให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน ๕ คน เพื่อพิจารณา
ตรวจสอบคณุ ภาพ และตรวจสอบความเทีย่ งตรงเชิงเนอื้ หา (Content Validity) ระหว่างแบบสอบ ถาม
กับวตั ถปุ ระสงค์

๒) วิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามของแบบสอบถาม
กับจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ โดยใชส้ ตู ร IOC (Index of Item Objective Congruence) และคัดเลือกข้อ
ทม่ี ีคา่ ดัชนีความสอดคลอ้ ง (IOC) ต้งั แต่ ๐.๖๐ ข้นึ ไป ไว้ใช้

๑๔ ไพศาล วรคำ. การวจิ ัยทางการศึกษา. (Educational Research). หนา้ ๒๗๘-๒๘๘.

๑๗๑

๓) นำแบบสอบถามความเป็นพลเมืองดีตามหลักพุทธธรรม จำนวน ๔๐ ขอ้ ท่ีผ่านการ
ปรับปรุงแก้ไข โดยพิจารณาจากข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ จำนวน ๕ คน แล้วนำไป
ทดลอง (Try out) กับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๓/๑ โรงเรียนซำสงู พิทยาคม จำนวน ๓๐ คน ที่ไม่ใช่
กลุ่มตัวอยา่ ง แล้วนำผลการทดสอบมาหาคุณภาพของแบบสอบถาม

๔) นำแบบสอบถามความเป็นพลเมืองดีตามหลักพุทธธรรม ที่คัดเลือกไว้ จำนวน ๔๐
ข้อ มาวิเคราะห์หาความเชื่อมั่น (Reliability) โดยวิธีของ คูเดอร์-ริชาร์ดสัน (Kuder-Richardson
Methods)๑๕ มคี า่ ความเชื่อมัน่ เท่ากับ ๐.๙๓

๕) จัดพิมพ์แบบสอบถามความเป็นพลเมืองดีตามหลักพุทธธรรม ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปที ่ี ๓ โรงเรียนซำสูงพทิ ยาคม เปน็ ฉบบั จริงเพ่ือนำไป ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลตอ่ ไป

๓.๔.๑.๕ สร้างแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำ
สูงพิทยาคม ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะความ
เป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรม รวม ๕ ด้าน จำนวน ๓๐ ข้อ ได้แก่ (๑) ด้านสาระการเรียนรู้ ๖ ข้อ (๒)
ด้านคณุ ลักษณะครูผู้สอน ๖ ขอ้ (๓) ดา้ นการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ๖ ขอ้ (๔) ด้านสื่อการเรียนรู้ ๖ ข้อ
และ (๕) ด้านการวัดและประเมินผล ๖ ข้อ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า ๕ ระดับ (Rating Scale)
คือ พึงพอใจมากที่สุด พึงพอใจมาก พึงพอใจปานกลาง พึงพอใจน้อย พึงพอใจน้อยที่สุด ตามวิธีการวัด
แบบลิเคิทสเกล (Likert)๑๖ โดยแปลและปรับปรุงจากแบบประเมินความพึงพอใจของ บุญชม
ศรสี ะอาด๑๗ และศิรชิ ัย กาญจนวาสี๑๘

ให้ผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม จำนวน ๕ คน ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ หาความตรงเชิง
เนื้อหา (Content Validity) แล้วนำมาคำนวณหาค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์
(Index of Item Objective Congruence: IOC) ซึ่งพบว่า แต่ละข้อมีค่าความสอดคล้องระหว่าง
๐.๖๐-๑.๐๐ แสดงวา่ แบบประเมินมคี ่าความตรงเชิงเนอ้ื หาเชื่อถอื ได้ ๑๙ ดังนี้

๑) จัดสร้างสร้างแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓
โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะความเป็น
พลเมืองตามหลักพุทธธรรม ฉบับสมบูรณ์และจัดพิมพ์ นำไปเก็บข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมาย
เพอ่ื การวเิ คราะหท์ างสถติ ิตอ่ ไป

๑๕ อา้ งแล้ว, ไพศาล วรคำ. การวิจยั ทางการศกึ ษา. (Educational Research). หน้า ๒๗๘-๒๘๘.
๑๖ สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์. การใช้สถิติในงานวิจัยอย่างถูกต้องและได้มาตรฐานสากล. (พิมพ์ครั้งที่ ๖).
(กรงุ เทพฯ: สามลดา, ๒๕๕๖), หนา้ ๙๓-๑๑๓.
๑๗ บญุ ชม ศรีสะอาด. การวิจัยเบื้องต้น ฉบับปรับปรุงใหม่. หน้า ๘๓.
๑๘ ศิริชัย กาญจนวาสี. ทฤษฎีการประเมิน. (พิมพ์ครั้งที่ ๗). (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๒), หนา้ ๒๖๘.
๑๙ อา้ งแลว้ , การวิจัยทางการศกึ ษา. (Educational Research). หนา้ ๒๓๙.

๑๗๒

๒) นำแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสงู
พิทยาคม ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมืองตามหลัก
พุทธธรรม ปรบั ปรุงแก้ไขแลว้ ไปทดลองใช้ (Try- out) กบั นกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๓/๑ โรงเรียนซำ
สูงพิทยาคม ที่มีลักษณะเหมือนกลุ่มเป้าหมาย จำนวน ๓๐ คน ไปหาค่าความเชือ่ มัน่ (Reliability) โดย
ใช้สัมประสิทธิ์อัลฟ่า (Alpha Coefficient) ตามวิธีการของ Cronbach’s Alpha Coefficient๒๐
มีคา่ ความเช่อื ม่นั เทา่ กบั ๐.๙๑

๓) จัดพิมพ์แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำ
สงู พิทยาคม ทีม่ ตี ่อการจัดการเรียนรูแ้ บบอรยิ สัจ ๔ เร่อื งจติ สำนึกสาธารณะความเปน็ พลเมืองตามหลัก
พุทธธรรม เปน็ ฉบับจริงเพอ่ื นำไป ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป

๓.๔.๒ การหาคุณภาพเครื่องมือ
๓.๔.๒.๑ การตรวจสอบความถูกต้องในเนื้อหา (Content Validity) โดยใช้วิธีการใน
ลักษณะเดียวกับการหาดัชนีความสอดคล้องระว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (Index of Item
Objective Congruence: IOC) ของรายการประเมินที่กำหนดไว้ในแต่ละข้อ แล้วนำมาหาค่าเฉลี่ย
ถ้าแต่ละข้อมีค่าเฉลี่ยความสอดคล้องระหว่าง ๐.๖๐-๑.๐๐ แสดงว่า แบบประเมิน มีค่าความเที่ยงตรง
เชิงเนื้อหา (Content Validity) เชื่อถือได้๒๑ เสนอผู้เชี่ยวชาญ ๕ คน ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา
(Content Validity) และให้ข้อเสนอแนะ ได้แก่

๑) รองศาสตราจารย์อุดม บัวศรี ตำแหน่ง อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ สาขาวิชาปรัชญา
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาอุดมศึกษา

๒) พระมหาดาวสยาม วชิรปญฺโญ,ผู้ช่วยศาสตราจารย์,ดร. ตำแหน่ง ผู้อำนวยการ
วิทยาลัยสงฆ์ขอนแก่น มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยลัย วิทยเขตขอนแก่น ผู้เชียวชาญ
ด้านหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา

๓) พระครูภาวณาโพธิคุณ,ผู้ช่วยศาสตราจารย์,ดร. (สมชาย กนตฺสีโล) ตำแหน่ง
อาจารย์ประจำหลักสูตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาปรัชญา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตขอนแกน่ ผเู้ ช่ียวชาญด้านพระพุทธศาสนา

๔) รองศาสตราจารย์ ดร. โสวิทย์ บำรุงภักดิ์ ตำแหน่ง อาจารย์สาขาวิชาปรัชญา
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดผลและ
ประเมนิ ผลการศกึ ษา

๒๐ สชุ าติ ประสิทธ์ิรัฐสินธ์ุ. การใชส้ ถติ ิในงานวิจัยอย่างถูกตอ้ งและได้มาตรฐานสากล. หน้า ๙๓-๑๑๓.
๒๑ ไพศาล วรคำ. การวจิ ยั ทางการศกึ ษา. (Educational Research). หน้า ๒๓๙.

๑๗๓

๕) พระมหามิตร ฐิตปญฺโญ, รองศาสตราจารย์,ดร. ตำแหน่ง อาจารย์สาขาวิชา
พระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ผู้เชี่ยวชาญด้าน
การวิจยั และพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษา

โดยให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้อง และพิจารณาว่า ข้อคำถามหรือรายการใน
แบบสอบถาม และแบบประเมนิ แตล่ ะขอ้ คำถาม ได้ตรวจสอบและครบถ้วน ครอบคลมุ เน้ือหาที่ต้องการ
ให้ถามหรือไม่ และพิจารณาความสอดคล้องระหว่างรายการที่จะประเมินกับคุณลักษณะแต่ละด้าน
โดยแปลงระดับความสอดคล้องเป็นคะแนน ดังน้ี

สอดคล้อง มีคะแนนเปน็ +๑
ไมแ่ นใ่ จ มคี ะแนนเป็น ๐
ไม่สอดคล้อง มีคะแนนเป็น -๑

โดยหาดชั นีความสอดคลอ้ งได้จากสตู ร (ไพศาล วรคำ, ๒๕๖๐: ๒๖๘-๒๖๙)๒๒

R

สตู ร IOC = n

เมอื่  R = เป็นคะแนนระดับความสอดคล้องท่ผี ูเ้ ช่ียวชาญแต่ละคน
ประเมนิ ในแตล่ ะข้อ

n = เปน็ จำนวนผู้เชี่ยวชาญทปี่ ระเมินความสอดคล้องในข้อนั้น
จำนวนผู้เชี่ยวชาญ ๕ คน เสยี งสว่ นใหญก่ ็คอื ๓ ใน ๕ ขน้ึ ไป ดงั นนั้ เกณฑ์ทใี่ ช้ในกรณีน้ีคือ
เลือกข้อคำถามที่มีค่าดัชนีความสอดคลอ้ ง (IOC) ตั้งแต่ ๐.๖๐ ขึ้นไป หากมีค่าต่ำกว่า ๐.๖๐ ก็ถือว่าใช้
ไม่ได้ ขอ้ คำถามนั้นกถ็ กู ตดั ออกหรือปรับปรงุ แก้ไขใหม่ให้ดีขึน้
ผู้วิจัย พิจารณาคัดเลือกเฉพาะรายการประเมินข้อที่มีค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC ตั้งแต่
๐.๖๐-๑.๐๐ ข้นึ ไปเอาไว้ และปรับปรงุ รายการประเมินข้อที่ผเู้ ชย่ี วชาญใหข้ อ้ เสนอแนะหรือเพิม่ เติม
๓.๔.๒.๒ การตรวจสอบความเท่ียงตรง (Reliability) ในการตรวจสอบความเที่ยงตรงของ
แบบสอบถาม แบบทดสอบ และแบบประเมิน นั้น ไม่ว่าจะใช้สอบถามกลุ่มตัวอย่างกี่ครั้ง หรือไม่ว่าจะ
นำไปสอบถามบุคคลที่เป็นกลุ่มตัวอย่างแบบใด ก็จะได้รับคำตอบที่ค่อนข้างแน่นอน โดยนำ
แบบสอบถาม แบบทดสอบ และแบบประเมินท่ีสร้างขน้ึ และผ่านการตรวจสอบเชิงเนื้อหาแลว้ ไปทดลอง
ใช้ (Try out) กับผใู้ ห้ข้อมลู (Information) กับนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม
สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด จังหวัดขอนแก่น ที่มีลักษณะเหมือนกลุ่มเป้าหมาย จำนวน ๓๐ คน

๒๒ อ้างแล้ว, ไพศาล วรคำ. การวิจยั ทางการศกึ ษา. (Educational Research). หน้า ๒๖๘-๒๖๙.

๑๗๔

จากนั้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์หาค่าความเที่ยง โดยการคำนวณหาค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าตามวิธีการของ
(Cornbrash’s Alpha Coefficient)๒๓

๓.๕ การเกบ็ รวบรวมข้อมูล

การศึกษาในครัง้ นี้ ผ้วู ิจยั ได้ดำเนนิ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบอรยิ สจั ๔ เรอื่ งหลักธรรม
ทางพระพุทธศาสนา วิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม
ด้วยการปลูกฝังจิตสำนึกและเสริมสร้างความเป็นพลเมือง ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๐ จำนวน
๓๒ คน โดยเก็บรวบรวมข้อมลู ตามลำดับการทดลอง ดงั น้ี

๓.๕.๑ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบอริยสัจ ๔ เรื่องหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา วิชา
พระพทุ ธศาสนาของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรยี นซำสูงพทิ ยาคม ดว้ ยการปลกู ฝังจิตสำนกึ และ
เสริมสรา้ งความเป็นพลเมือง โดยกำหนดใหผ้ ู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน และแบบทดสอบหลังเรียน
แบบทดสอบ เป็นแบบปรนัยแบบ ๔ ตัวเลือก พร้อมด้วยแบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล
และรายกลุ่ม

๓.๕.๒ การประเมนิ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น (๕๐ คะแนน) ดำเนินการ ดงั นี้
๓.๕.๒.๑ คะแนนทดสอบก่อนเรียน ได้จากคะแนนทดสอบระหว่างเรียน ผู้วิจัยทำการ

ทดสอบ ๕ ครั้ง ๆ ละ ๑๐ คะแนน รวม ๕๐ คะแนน
๓.๕.๒.๒ คะแนนทดสอบหลังเรียน ได้จากคะแนนทดสอบหลังเรียน ผู้วิจัยทำการ

ทดสอบ ๕ ครั้ง ๆ ละ ๑๐ คะแนน รวม ๕๐ คะแนน
๓.๕.๒.๓ นำผลรวมคะแนนกจิ กรรมระหว่างเรียน (ก่อนเรียน) ๕๐ คะแนนและผลรวม

คะแนนทดสอบหลังเรียน ๕๐ คะแนน โดยการหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้แบบ
อริยสัจ ๔ เรื่องหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา วิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓
โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ด้วยการปลูกฝังจิตสำนึกและเสริมสร้างความเป็นพลเมือง (E๑/E๒) และหาค่า
ดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness Index: E.I.) ของผลการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ และใช้ทดสอบ
สมมตฐิ าน เพอื่ เปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนกั เรยี น ระหวา่ งกอ่ นเรียนและหลงั เรยี น

๓.๕.๓ แบบสอบถามจิตสำนึกสาธารณะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียน
ซำสูงพิทยาคม ตามหลักพุทธธรรม จำนวน ๔๐ ข้อ ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านความรับผิดชอบ (๒) ด้าน
ความเสยี สละ (๓) ด้านความสามัคคี และ (๔) ด้านการอนรุ ักษส์ ่งิ แวดล้อม

๓.๕.๔ แบบสอบถามความเป็นพลเมืองดีตามหลักพระพุทธศาสนา ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ ๓ จำนวน ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) การพัฒนาด้านกาย (๒) การพัฒนาด้านทักษะทางสังคม
(๓) การพัฒนาด้านคุณธรรม และ (๔) การพัฒนาดา้ นปญั ญา จำนวน ๔๐ ข้อ

๒๓ สชุ าติ ประสิทธิร์ ฐั สนิ ธุ์. การใชส้ ถิติในงานวจิ ยั อยา่ งถูกต้องและได้มาตรฐานสากล. หนา้ ๙๓-๑๑๓.

๑๗๕

๓.๕.๕ แบบประเมนิ ความพงึ พอใจของนักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยา
คม ที่มีต่อจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔
จำนวน ๓๐ ขอ้ รวม ๕ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านสาระการเรียนรู้ (๒) ดา้ นคุณลกั ษณะครผู ู้สอน (๓) ดา้ นการ
จดั กิจกรรมการเรียนรู้ (๔) ด้านส่อื การเรยี นรู้ และ (๕) ดา้ นการวัดและประเมนิ ผล เปน็ แบบมาตราส่วน
ประมาณค่า ๕ ระดับ (Rating Scale) คือ พึงพอใจมากที่สุด พึงพอใจมาก พึงพอใจปานกลาง พึงพอใจ
นอ้ ย พงึ พอใจนอ้ ยท่สี ุด ตามวิธกี ารวดั แบบลเิ คิทสเกล (Likert)๒๔

๓.๖ การวิเคราะห์ขอ้ มลู

ในการวเิ คราะหข์ ้อมลู เรอ่ื งการพัฒนาจิตสำนกึ ความเป็นพลเมืองไทยของนักเรยี นในจังหวัด
ขอนแก่น ตามหลักพุทธธรรม การศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research)
แบบแผนการวิจัย เป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น (Pre-Experimental Design) แบบกลุ่มเดียว
ทดสอบก่อนการทดลองและหลังการทดลอง (One Group Pretest-Posttest Design) ผู้วิจยั เสนอผล
การวเิ คราะห์ข้อมูลเป็น ๔ ตอน ตามลำดบั ดังนี้

ตอนท่ี ๑ ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีท่ี ๓ โรงเรียนซำสงู พิทยาคม ทม่ี ปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐

ตอนที่ ๒ ผลการวิเคราะห์จิตสำนึกสาธารณะตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวดั
จังหวดั ขอนแก่น

ตอนที่ ๓ ผลการวิเคราะห์ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีท่ี ๓ โรงเรยี นซำสูงพิทยาคม

ตอนที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ ๓ โรงเรียนซำสงู
พิทยาคม ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ
ความเปน็ พลเมอื งตามหลกั พทุ ธธรรม

ผู้วิจัยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS for Windows (Statistical Package for Social
Science) วิเคราะหห์ าค่าเฉลี่ย (X ) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ใช้เกณฑ์การประเมินตามวธิ ี
วัดแบบลิเคิทสเกล (Likert)๒๕ และแปลความเกณฑ์การประเมินแบบมาตราส่วนประมาณค่า ๕ ระดับ
(Rating Scale) ดังน้ี

๒๔ อา้ งแล้ว, สชุ าติ ประสทิ ธร์ิ ฐั สนิ ธ์ุ. การใช้สถิตใิ นงานวจิ ยั อยา่ งถกู ต้องและได้มาตรฐานสากล. หน้า ๙๓-
๑๑๓.

๒๕ เรือ่ งเดยี วกนั , หนา้ ๙๓-๑๑๓.

๑๗๖

ระดบั คณุ ภาพ
ระดบั ๕ หมายถงึ ระดับคุณภาพ ดีมาก
ระดับ ๔ หมายถึง ระดับคุณภาพ ดี
ระดับ ๓ หมายถงึ ระดบั คุณภาพ ปานกลาง
ระดับ ๒ หมายถึง ระดบั คุณภาพ พอใช้
ระดบั ๑ หมายถงึ ระดับคณุ ภาพ ปรับปรุง

โดยแปลความตามเกณฑ์ค่าเฉลยี่ ดงั นี้ (บญุ ชม ศรสี ะอาด, ๒๕๕๖: ๑๒๑)๒๖
ค่าเฉลย่ี ๔.๕๑ – ๕.๐๐ หมายถงึ ระดับคุณภาพ ดมี าก
คา่ เฉลี่ย ๓.๕๑ – ๔.๕๐ หมายถงึ ระดบั คุณภาพ ดี
ค่าเฉล่ีย ๒.๕๑ – ๓.๕๐ หมายถงึ ระดบั คุณภาพ ปานกลาง
คา่ เฉลย่ี ๑.๕๑ – ๒.๕๐ หมายถงึ ระดบั คุณภาพ พอใช้
คา่ เฉลยี่ ๑.๐๐ – ๑.๕๐ หมายถึง ระดับคุณภาพ ปรับปรงุ

ระดบั ความพึงพอใจ
๕ หมายถึง พึงพอใจ มากที่สุด
๔ หมายถงึ พึงพอใจ มาก
๓ หมายถงึ พึงพอใจ ปานกลาง
๒ หมายถึง พึงพอใจ น้อย
๑ หมายถงึ พงึ พอใจ น้อยทส่ี ดุ

โดยแปลความตามเกณฑ์คา่ เฉล่ีย ดงั น้ี
ค่าเฉลย่ี ๔.๕๑ – ๕.๐๐ หมายถึง พึงพอใจ มากทส่ี ดุ
คา่ เฉลยี่ ๓.๕๑ – ๔.๕๐ หมายถึง พงึ พอใจ มาก
ค่าเฉลี่ย ๒.๕๑ – ๓.๕๐ หมายถึง พงึ พอใจ ปานกลาง
คา่ เฉลี่ย ๑.๕๑ – ๒.๕๐ หมายถงึ พงึ พอใจ น้อย
ค่าเฉลย่ี ๑.๐๐ – ๑.๕๐ หมายถงึ พึงพอใจ นอ้ ยทีส่ ุด

๓.๗ สถติ ทิ ีใ่ ช้ในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู

การศึกษาครงั้ นี้ ผู้วิจยั ใช้สถิตใิ นการวเิ คราะหข์ ้อมูล คือสถติ ิพรรณนา (Descriptive Statistics)
เป็นสถิติที่ใช้บรรยายคุณสมบัติทีละคุณสมบัติแต่ละด้านของประชากร หรือกลุ่มตัวอย่าง หรือ
กลุม่ เป้าหมายที่ศึกษา การจะใช้สถิตติ ัวใดในการพรรณนา ขึน้ อยู่กับระดับการวัดของตัวแปรว่า เป็นตัว
แปรประเภทกลุ่ม อนั ดบั ช่วง หรืออตั ราสว่ น การวเิ คราะห์ข้อมูลคร้ังนี้ ผวู้ จิ ัย ไดต้ รวจสอบความถูกต้อง

๒๖ บญุ ชม ศรสี ะอาด. การวิจัยเบือ้ งต้น ฉบับปรบั ปรงุ ใหม่. หนา้ ๑๒๑.

๑๗๗

ของข้อมูลในแบบสอบถาม แบบทดสอบและแบบประเมินแต่ละฉบับ ลงรหัสแล้ว ทำการประมวลผล
ข้อมูลทางสถิติโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS for Windows (Statistical Package for Social
Science) ดงั น้ี

๓.๗.๑ สถติ ิทใี่ ชใ้ นการวเิ คราะห์ตรวจสอบคณุ ภาพเครอื่ งมือ
๓.๗.๑.๑ สถติ ใิ นการวเิ คราะห์คณุ ภาพของแบบทดสอบ

๑) หาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแบบทดสอบ โดยใช้สูตร

ดัชนคี วามสอดคล้องระหวา่ งข้อคำถามกบั วตั ถุประสงค์ (Item-Objective Congruence Index: IOC)๒๗

IOC =  R

n

เมือ่ IOC เป็น ดัชนคี วามสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกบั วัตถปุ ระสงค์

 R เป็น คะแนนระดบั ความสอดคล้องทผี่ ู้เชยี่ วชาญแต่ละคนประเมินในแต่ละขอ้
n เป็น จำนวนผูเ้ ชยี่ วชาญทป่ี ระเมนิ ความสอดคล้องในข้อนั้น

๒) การหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบ โดยวิธีของคูเดอร์-
ริชารด์ สัน (Kuder-Richardson Method : KR-๒๐)๒๘

KR − 20 = k    piqi 
 k −1 1 − 
 S 2 
t

เมอื่ KR-๒๐ เปน็ สัมประสิทธิ์ความเชอื่ ม่นั ของแบบทดสอบ
k เป็น จำนวนข้อสอบ
Pi เป็น สัดสว่ นของผูท้ ่ีตอบถกู ในขอ้ ที่ i
qi เปน็ สัดส่วนของผู้ทต่ี อบผิดในข้อท่ี i หรอื เทา่ กับ ๑-pi
St๒ เปน็ ความแปรปรวนของคะแนนรวม t

๓) การหาค่าอำนาจจำแนกของแบบวัด ชนิดมาตรวัดแบบประมาณค่า ใช้วิธีหา
ความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนรายข้อกับคะแนนรวม (Item Total Correlation: rxy’) โดยได้จากสูตร
สัมประสทิ ธ์สิ หสัมพันธ์ของเพยี รส์ นั (Pearson Product-Moment Correlation Coefficient)๒๙

๒๗ ไพศาล วรคำ. การวจิ ยั ทางการศกึ ษา. (Educational Research). หน้า ๓๐๓.
๒๘ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๒๘๗.
๒๙ เรื่องเดยี วกนั , หนา้ ๓๐๓.

๑๗๘

rXY ' = n XY ' −  X Y'
[n X 2 − ( X )2 ][nY '2 −(Y ')2 ]

เม่อื rxy’ เป็น ดัชนอี ำนาจจำแนก
X เป็น คะแนนรายข้อ
Y’ เปน็ คะแนนรวมทห่ี ักขอ้ น้นั ออกแลว้ Y’ = Y-X
เม่ือ Y เป็นคะแนนรวม
N เป็น จำนวนผ้เู ข้าสอบ

๔) การหาคา่ ความเชื่อมนั่ (Reliability) ของเคร่อื งมอื กำหนดคะแนนแบบมาตรประมาณ
ค่า (rating scale) โดยใช้สูตร วิธีสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient
Method)๓๐

 =  k   Si2 
 k − 1 1 − 
 St2 

เมื่อ  เป็น สัมประสิทธ์คิ วามเชื่อม่นั ของแบบทดสอบ

k เป็น จำนวนข้อสอบ

Si2 เปน็ ความแปรปรวนของคะแนนขอ้ ท่ี i
St2 เปน็ ความแปรปรวนของคะแนนรวม t

๓.๗.๒ สถติ ิพืน้ ฐาน ไดแ้ ก่

๓.๗.๒.๑ ร้อยละ (Percentage) ใชส้ ูตร๓๑
ร้อยละ = ตวั เลขทตี่ อ้ งการเปรยี บเทียบ 100
จำนวนเต็ม

 = f 100
N

เม่ือ P แทน รอ้ ยละ
f แทน ความถที่ ่ีต้องการแปลงใหเ้ ป็นร้อยละ
N แทน จำนวนความถ่ที ัง้ หมด

๓๐ ไพศาล วรคำ. การวจิ ัยทางการศกึ ษา. (Educational Research). หนา้ ๒๘๘-๒๘๙.
๓๑ บญุ ชม ศรสี ะอาด. การวจิ ยั เบอ้ื งต้น ฉบบั ปรบั ปรุงใหม.่ หนา้ ๑๒๑.

๑๗๙

๓.๗.๒.๒ คา่ เฉลยี่ (Mean) ใช้สตู ร๓๒

สูตร X = X
N

เมือ่ X แทน คา่ เฉลย่ี
แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลมุ่
X แทน จำนวนกลมุ่ ตัวอย่าง

N

๓.๗.๒.๓ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation: S.D.) เป็นการวัดการ
กระจายของขอ้ มูลท่ีเบย่ี งเบนไปจากค่าเฉลย่ี ของกล่มุ โดยใช้สูตร๓๓

เมอ่ื S.D. แทน สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน
X แทน คะแนนแต่ละตวั

X แทน คา่ เฉล่ยี

X แทน ผลรวมทง้ั หมดของคะแนน
n แทน จำนวนคะแนนในกลมุ่

๓.๗.๒.๔ วธิ กี ารคำนวนหาประสิทธภิ าพของแผนการจดั การเรียนรู้ โดยใช้สูตร๓๔ ดงั น้ี
การคำนวณหาคา่ E๑ (ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ)

X

E๑ = N ×๑๐๐
A

เมื่อ E๑ คือ ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ
 X คือ คะแนนรวมของแบบทดสอบระหว่างเรียน

๓๒ อ้างแล้ว, บุญชม ศรสี ะอาด. การวจิ ัยเบอ้ื งต้น ฉบบั ปรับปรุงใหม.่ หน้า ๑๒๓-๑๒๔.
๓๓ เรือ่ งเดียวกนั , หน้า ๑๒๖.
๓๔ ชัยยงค์ พรหมวงศ์. การทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน (Developmental Testing of Media
and Instructional Package). วารสารศิลปากรศกึ ษาศาสตร์วจิ ยั , หน้า ๑๐.

๑๘๐

N คอื จำนวนผู้เรียน
A คือ คะแนนเต็มของแบบทดสอบ ทุกช้นิ รวมกนั

การคำนวณหาค่า E๒ (ประสิทธภิ าพของผลลัพธ์)

F

E๒ = N ๑๐๐
B

เมอ่ื E๒ คือ ประสทิ ธิภาพของผลลพั ธ์
 F คือ คะแนนรวมของผลลัพธ์ของการประเมินหลังเรียน
N คอื จำนวนผเู้ รยี น
B คือ คะแนนเต็มของการทดสอบหลงั เรียน

๓.๗.๓ สถติ ทิ ีใ่ ชห้ าค่าดัชนปี ระสทิ ธผิ ล
การหาค่าดัชนีประสิทธิผล E.I. (Effectiveness Index) ของแผนการจดั การเรยี นรู้ โดยใช้
วิธีของ Goodman and Schneider)๓๕ ทั้งนี้ เกณฑ์ประสิทธิผลทีไ่ ด้จะต้องมากกว่า .๕๐ ขึ้นไป โดยใช้
สตู ร

ผลรวมของคะแนนทดสอบหลังเรียน-ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรยี น
ดัชนปี ระสิทธผิ ล = (จำนวนนกั เรยี นคะแนนเต็ม)-ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียน

E.I. = P๒ – P๑
Total - P๑

P๑ แทน ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรยี นทุกคน
P๒ แทน ผลรวมของคะแนนทดสอบหลงั เรยี นทุกคน
Total แทน ผลคูณของจำนวนนักเรยี นกบั คะแนนเต็ม

๓๕ เผชญิ กิจระการ และสมนกึ ภทั ทิยธน.ี ดัชนปี ระสทิ ธิผล (Effectiveness Index). หน้า ๓๑.

๑๘๑

๓.๗.๔ สถติ ทิ ่ใี ช้ทดสอบสมมติฐาน
การทดสอบที (t-test) กลุ่มไม่เป็นอิสระแก่กัน (Dependent Sample) การเปรียบเทียบ
คะแนนเฉล่ียผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนระหว่างกอ่ นเรียนและหลังเรียน ใชส้ ูตร๓๖ ดงั น้ี

t = D
n D 2 − ( D)2

(n −1)

เม่ือ t แทน คา่ สถิตทิ จี่ ะใชเ้ ปรยี บเทยี บค่าวกิ ฤตเพื่อทราบความมีนยั สำคัญ
D แทน ผลตา่ งระหว่างของคะแนนกอ่ นเรยี นและหลงั เรียน คา่ ผลตา่ งระหว่าง
ค่ขู นาน
n แทน จำนวนกลมุ่ ตวั อยา่ ง หรอื จำนวนคูค่ ะแนน

 D แทน ผลรวมท้ังหมดของผลต่างระหวา่ งคะแนนทดสอบหลงั เรียนกับก่อนเรียน
 D 2 แทน ผลรวมของผลต่างคะแนนทดสอบหลงั เรยี นกับกอ่ นเรยี นยกกำลังสอง
(D)2 แทน ผลรวมท้งั หมดของผลต่างระหวา่ งคะแนนทดสอบหลงั เรียนกับก่อนเรยี น

ยกกำลัง

๓.๘ สรุปขบวนการวิจยั

การศึกษาวิจัย เรื่องการพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมืองของนักเรียนในจังหวัดขอนแก่น
ตามหลกั พุทธธรรม การศึกษาคร้ังน้ี เป็นการวจิ ยั เชิงทดลอง (Experimental Research) แบบแผนการ
วิจัย เป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น (Pre-Experimental Design) แบบกลุ่มเดียว ทดสอบก่อนและ
หลังการทดลอง (One Group Pretest-Posttest Design) ผูว้ จิ ัย สรุปกระบวนการวจิ ยั ดังนี้

๓.๘.๑ รูปแบบการวิจัย เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) แบบ
แผนการวิจยั เปน็ การวิจยั เชงิ ทดลองเบื้องตน้ (Pre-Experimental Design) แบบกลมุ่ ทดลองกลุ่มเดียว
ทดสอบก่อนการทดลองและหลงั การทดลอง (One Group Pretest-Posttest Design)

๓.๘.๒ กลุ่มเป้าหมาย ที่ใช้ในการศึกษา ครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๒
โรงเรียนซำสูงพิทยาคม สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ที่ลงทะเบียนเรียน วิชาพระพุทธ
ศาสนา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๐
จำนวน ๓๒ คน โดยการสมุ่ แบบเปน็ กลมุ่ (Cluster Random Sampling)

๓๖ บญุ ชม ศรีสะอาด. การวจิ ยั เบื้องตน้ ฉบับปรบั ปรงุ หนา้ ๑๓๓-๑๓๖.


Click to View FlipBook Version