๑๘๒
๓.๘.๓ เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (๑) แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ ความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม จำนวน ๕ แผน (๒)
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน ๕๐ ข้อ (๓) แบบสอบถามจิตสำนึกสาธารณะ จำนวน
๔๐ ข้อ (๔) แบบสอบถามความเป็นพลเมืองดีตามหลักพุทธธรรม จำนวน ๔๐ ข้อ (๕) แบบประเมิน
ความพึงพอใจ จำนวน ๓๐ ขอ้
๓.๘.๔ การสรา้ งและหาคุณภาพเครื่องมอื
๓.๘.๔.๑ การสรา้ งเครอื่ งมือ ผวู้ จิ ยั มขี ั้นตอนการสรา้ ง ดงั นี้
๑) สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึก
สาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพทุ ธธรรมของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยา
คม จำนวน ๕ แผนการจดั การเรียนรู้ ไดแ้ ก่ (๑) มรรค ๘ (๒) พรหมวหิ าร ๔ (๓) อิทธบิ าท ๔ (๔) สังคห
วัตถุ ๔ และ (๕) ฆราวาสธรรม ๔
๒) สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องจิตสำนึกสาธารณะความเป็น
พลเมือง ตามหลักพุทธธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ได้แก่
แบบทดสอบระหว่างเรียน จำนวน ๕๐ ข้อ และแบบทดสอบหลังเรียน จำนวน ๕๐ ข้อ เป็นแบบ
ทดสอบแบบปรนัย ๔ ตวั เลอื ก
๓) สร้างแบบสอบถามจิตสำนึกสาธารณะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรง
เรียนซำสูงพิทยาคม ตามหลักพุทธธรรม จำนวน ๔๐ ข้อ ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านความรับผิดชอบ (๒)
ดา้ นความเสยี สละ (๓) ด้านความสามคั คี และ (๔) ด้านการอนุรกั ษส์ ่ิงแวดลอ้ ม
๔) สร้างแบบสอบถามความเป็นพลเมืองดีตามหลักพุทธธรรม ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ ๓ จำนวน ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) การพัฒนาด้านกาย (๒) การพัฒนาด้านทักษะทางสังคม
(๓) การพฒั นาดา้ นคุณธรรม และ (๔) การพฒั นาด้านปัญญา จำนวน ๔๐ ขอ้
๕) สร้างแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียน
ซำสูงพิทยาคม ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ
ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรม รวม ๕ ด้าน จำนวน ๓๐ ข้อ ได้แก่ (๑) ด้านสาระการเรียนรู้ ๖ ข้อ
(๒) ด้านคุณลักษณะครูผู้สอน ๖ ข้อ (๓) ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ๖ ข้อ (๔) ด้านสื่อการเรียนรู้
๖ ขอ้ และ (๕) ด้านการวัดและประเมนิ ผล ๖ ข้อ
๓.๘.๔.๒ การหาคุณภาพเครอื่ งมอื
๑) การตรวจสอบความถูกต้องในเนื้อหา (Content Validity) โดยใช้วิธีการใน
ลักษณะเดียวกับการหาดัชนีความสอดคล้องระว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (Index of Item
Objective Congruence: IOC) ของรายการประเมินที่กำหนดไว้ในแต่ละข้อ แล้วนำมาหาค่าเฉลี่ย
ถ้าแต่ละข้อมีค่าเฉลี่ยความสอดคล้องระหว่าง ๐.๖๐-๑.๐๐ แสดงว่า แบบประเมิน มีค่าความเที่ยงตรง
๑๘๓
เชิงเนื้อหา (Content Validity) เชื่อถือได้ เสนอผู้เชี่ยวชาญ ๕ คน ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา
(Content Validity)
๒) การตรวจสอบความเทีย่ งตรง (Reliability) ในการตรวจสอบความเทีย่ งตรงของ
แบบสอบถาม แบบทดสอบ และแบบประเมิน นั้น ไม่ว่าจะใช้สอบถามกลุ่มตัวอย่างกี่ครั้ง หรือไม่ว่าจะ
นำไปสอบถามบุคคลที่เป็นกลุ่มตัวอย่างใด ก็จะได้รับคำตอบที่ค่อนข้างแน่นอน โดยนำแบบสอบถาม
แบบทดสอบ และแบบประเมินที่สร้างขึ้นและผ่านการตรวจสอบเชิงเนื้อหาแล้วไปทดลองใช้ (Try out)
กับผใู้ ห้ขอ้ มูล (Information) กบั นกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๓/๑ โรงเรียนซำสูงพทิ ยาคม สังกดั องค์การ
บริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ที่มีลักษณะเหมือนกลุ่มเป้าหมาย จำนวน ๓๐ คน จากนั้นนำข้อมูลมา
วิเคราะห์หาค่าความเที่ยง โดยการคำนวณหาค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าตามวิธีการของ (Cornbrash’s
Alpha Coefficient)
๓.๘.๕ การเก็บรวบรวมข้อมลู โดยเก็บรวบรวมข้อมลู ดังนี้
๓.๘.๕.๑ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบอริยสัจ ๔ เรื่องหลักธรรมทางพระพุทธ
ศาสนา วิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ด้วยการปลูกฝัง
จิตสำนึกและเสริมสร้างความเป็นพลเมือง โดยกำหนดให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน และ
แบบทดสอบหลังเรียน แบบทดสอบ เป็นแบบปรนัยแบบ ๔ ตัวเลือก พร้อมด้วยแบบสังเกตพฤติกรรม
การทำงานรายบคุ คล และรายกลุ่ม
๓.๘.๕.๒ การประเมนิ ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน (๕๐ คะแนน)
๓.๘.๕.๓ แบบสอบถามจิตสำนึกสาธารณะของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียน
ซำสูงพิทยาคม ตามหลักพุทธธรรม จำนวน ๔๐ ข้อ ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านความรับผิดชอบ (๒) ด้าน
ความเสียสละ (๓) ดา้ นความสามัคคี และ (๔) ดา้ นการอนรุ ักษ์สง่ิ แวดลอ้ ม
๓.๘.๕.๔ แบบสอบถามความเป็นพลเมืองดีตามหลักพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชนั้
มัธยมศึกษาปีที่ ๓ จำนวน ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) การพัฒนาด้านกาย (๒) การพัฒนาด้านทักษะทางสังคม
(๓) การพัฒนาด้านคณุ ธรรม และ (๔) การพัฒนาดา้ นปัญญา จำนวน ๔๐ ขอ้
๓.๘.๕.๕ แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรียนซำสูง
พิทยาคม ที่มีต่อจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ จำนวน ๓๐ ข้อ รวม ๕ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านสาระการเรียนรู้ (๒) ด้านคุณลักษณะครูผู้สอน
(๓) ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (๔) ด้านสื่อการเรียนรู้ และ (๕) ด้านการวัดและประเมินผล
เปน็ แบบมาตราส่วนประมาณคา่ ๕ ระดับ (Rating Scale) คือ พึงพอใจมากทส่ี ดุ พึงพอใจมาก พงึ พอใจ
ปานกลาง พงึ พอใจน้อย พึงพอใจนอ้ ยที่สุด
๑๘๔
๓.๘.๖ การวิเคราะหข์ ้อมูล ผ้วู จิ ยั เสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล ดงั น้ี
๓.๘.๖.๑ ผลการวเิ คราะห์ประสิทธภิ าพแผนการจัดการเรยี นรู้ โดยใช้กระบวนการแบบ
อรยิ สัจ ๔ เรอื่ งจติ สำนกึ สาธารณะ ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี
๓ โรงเรียนซำสงู พิทยาคม ท่ีมีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐
๓.๘.๖.๒ ผลการวิเคราะห์จิตสำนึกสาธารณะตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการ
แบบอริยสัจ ๔ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม สังกัดองค์การบริหารส่วน
จงั หวดั จงั หวดั ขอนแกน่
๓.๘.๖.๓ ผลการวิเคราะห์ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนชั้น
มธั ยมศึกษาปที ่ี ๓ โรงเรยี นซำสูงพทิ ยาคม
๓.๘.๖.๔ ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียน
ซำสูงพิทยาคม ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึก
สาธารณะ ความเปน็ พลเมืองตามหลักพทุ ธธรรม
๓.๘.๗ สถติ ิท่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมลู ได้แก่ ค่ารอ้ ยละ คา่ เฉล่ีย ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน
และทดสอบคา่ ที (t-test)
บทที่ ๔
ผลการศกึ ษาวจิ ัย
การศึกษาวิจัย เรื่องการพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมืองของนักเรียนในจังหวัดขอนแก่น
ตามหลักพทุ ธธรรม ภาคเรยี นท่ี ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๐ ผู้วิจัย ไดเ้ สนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับ
ดังนี้
๔.๑ สญั ลักษณท์ ใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู
๔.๒ ลำดับการนำเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูล
๔.๓ ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล
๔.๔ องค์ความรู้จากการวิจัย
๔.๑ สญั ลักษณท์ ่ีใชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มูล
การศกึ ษาครัง้ น้ี ผ้วู ิจยั ได้กำหนดสญั ลักษณเ์ พื่อใชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มลู ดังนี้
n แทน จำนวนนกั เรียนในกลุม่ ตวั อยา่ ง หรอื กลุ่มเป้าหมาย
X แทน คา่ เฉลี่ย
∑ แทน ผลรวม
S.D. แทน ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน
E๑ แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ
E๒ แทน ประสิทธภิ าพของผลลัพธ์
E.I. แทน ค่าดชั นปี ระสิทธผิ ล
๔.๒ ลำดับการนำเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมลู
ผวู้ จิ ัย เสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มูลเปน็ ๔ ตอน ตามลำดบั ดังนี้
ตอนท่ี ๑ ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบ
อรยิ สัจ ๔ เร่ืองจิตสำนกึ สาธารณะ ความเปน็ พลเมืองตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี
๓ โรงเรยี นซำสงู พทิ ยาคม ทมี่ ปี ระสิทธภิ าพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐
๑๘๖
ตอนที่ ๒ ผลการวิเคราะห์จิตสำนึกสาธารณะตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อรยิ สัจ ๔ ของนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม สงั กัดองคก์ ารบริหารส่วนจังหวัด
จงั หวัดขอนแกน่
ตอนที่ ๓ ผลการวิเคราะห์ความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปที ี่ ๓ โรงเรียนซำสงู พทิ ยาคม
ตอนที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูง
พิทยาคม ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ
ความเปน็ พลเมืองตามหลักพุทธธรรม
๔.๓ ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล
ตอนท่ี ๑ ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ ความเปน็ พลเมืองตามหลักพทุ ธธรรมของนกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่
๓ โรงเรียนซำสงู พิทยาคม ทีม่ ีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐
ตารางที่ ๔.๑ ผลการวเิ คราะห์ประสทิ ธภิ าพแผนการจัดการเรยี นรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔
เร่อื งจิตสำนกึ สาธารณะ ความเปน็ พลเมืองตามหลกั พุทธธรรมของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี
๓ โรงเรียนซำสงู พทิ ยาคม ทม่ี ีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐
..
แผนการ แผนการ แผนการ แผนการ แผนการ คะแนน คะแนน
จัดการ จดั การ จดั การ จัดการ จดั การ ระหวา่ ง ทดสอบหลงั
ลำดับที่ เรียนรู้ที่ เรียนรูท้ ่ี เรยี นรู้ท่ี เรียนรทู้ ี่ เรียนรทู้ ี่ เรียน เรียน
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ (๕๐) (๕๐)
(๑๐) (๑๐) (๑๐) (๑๐) (๑๐)
๑๘ ๙ ๘ ๘ ๗ ๔๐ ๔๙
๒๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๔๐ ๔๘
๓๗ ๘ ๙ ๙ ๘ ๔๑ ๔๙
๔๙ ๘ ๘ ๘ ๙ ๔๒ ๔๙
๕๗ ๘ ๘ ๘ ๙ ๔๐ ๔๙
๖๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๔๐ ๔๘
๗๗ ๘ ๙ ๘ ๘ ๔๐ ๔๗
๘๘ ๘ ๙ ๘ ๙ ๔๒ ๔๗
๙๗ ๘ ๘ ๙ ๘ ๔๐ ๔๗
๑๘๗
ตารางท่ี ๔.๑ (ตอ่ )
แผนการ แผนการ แผนการ แผนการ แผนการ คะแนน คะแนน
จดั การ จดั การ จดั การ ระหว่าง ทดสอบหลัง
จดั การ จัดการ เรยี นรทู้ ่ี เรยี นรู้ท่ี เรยี นรทู้ ่ี เรียน
(๕๐) เรยี น
ลำดบั ท่ี เรยี นรทู้ ่ี เรยี นรทู้ ี่ ๓ ๔ ๕ (๕๐)
(๑๐) (๑๐) (๑๐)
๑๒ ๙ ๘ ๙
๘ ๘ ๘
(๑๐) (๑๐) ๙ ๘ ๙
๘ ๙ ๘
๑๐ ๘ ๘ ๙ ๗ ๙ ๔๒ ๔๘
๘ ๙ ๙ ๔๐ ๔๗
๑๑ ๘ ๘ ๙ ๘ ๙ ๔๒ ๔๘
๘ ๙ ๘ ๔๐ ๔๖
๑๒ ๘ ๘ ๙ ๘ ๙ ๔๒ ๔๖
๘ ๘ ๗ ๔๓ ๔๘
๑๓ ๘ ๗ ๘ ๙ ๙ ๔๒ ๔๙
๘ ๙ ๙ ๔๐ ๔๗
๑๔ ๙ ๘ ๘ ๘ ๙ ๔๒ ๔๗
๘ ๘ ๘ ๔๑ ๔๗
๑๕ ๙ ๘ ๘ ๘ ๙ ๔๒ ๔๗
๙ ๙ ๘ ๔๒ ๔๘
๑๖ ๘ ๘ ๘ ๘ ๙ ๔๓ ๔๘
๘ ๘ ๙ ๔๐ ๔๗
๑๗ ๗ ๘ ๘ ๙ ๙ ๔๒ ๔๘
๘ ๘ ๙ ๔๒ ๔๗
๑๘ ๘ ๘ ๙ ๘ ๙ ๔๒ ๔๗
๘ ๘ ๙ ๔๒ ๔๙
๑๙ ๙ ๙ ๙ ๘ ๙ ๔๒ ๔๗
๒๖๗ ๒๖๔ ๒๗๔ ๔๑ ๔๘
๒๐ ๘ ๘ ๔๓ ๔๙
๔๒ ๔๙
๒๑ ๘ ๘ ๔๓ ๔๙
๑,๓๒๕ ๑,๕๒๙
๒๒ ๙ ๙
๒๓ ๘ ๘
๒๔ ๘ ๙
๒๕ ๘ ๘
๒๖ ๙ ๘
๒๗ ๘ ๙
๒๘ ๘ ๘
๒๙ ๘ ๘
๓๐ ๙ ๘
๓๑ ๙ ๘
๓๒ ๘ ๙
รวม ๒๕๙ ๒๖๑
๑๘๘
ตารางท่ี ๔.๑ (ตอ่ )
แผนการ แผนการ แผนการ แผนการ แผนการ คะแนน คะแนน
จดั การ จัดการ จดั การ จดั การ จัดการ ระหว่าง ทดสอบหลัง
ลำดับท่ี เรยี นรทู้ ี่ เรียนรู้ที่ เรียนรทู้ ่ี เรยี นรูท้ ี่ เรียนรู้ท่ี เรียน
(๕๐) เรียน
๑๒ ๓ ๔ ๕ (๕๐)
(๑๐) (๑๐) (๑๐) (๑๐) (๑๐) ๔๑.๔๑
X ๘.๐๙ ๘.๑๖ ๘.๓๔ ๘.๒๕ ๘.๕๖ ๑.๐๗ ๔๗.๗๘
S.D. ๐.๖๔ ๐.๔๕ ๐.๔๘ ๐.๕๑ ๐.๖๒ ๘๒.๘๑ ๐.๙๔
ร้อยละ ๘๐.๙๔ ๘๑.๕๖ ๘๓.๔๔ ๘๒.๕๐ ๘๕.๖๓ E๑= ๙๕.๕๖
ประสิทธภิ าพของกระบวนการจดั การเรยี นการสอน ๘๒.๘๑
ระหว่างเรยี นทัง้ หมด E๒=๙๕.๕๖
จากตารางที่ ๔.๑ พบว่า ประสิทธิภาพแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบ
อรยิ สัจ ๔ เรอ่ื งจิตสำนกึ สาธารณะ ความเปน็ พลเมืองตามหลกั พุทธธรรมของนกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี
๓ โรงเรยี นซำสงู พิทยาคม ระหว่างเรียนทั้งหมด (E๑) และประสทิ ธิภาพของผลลพั ธ์ (E๒) จากแบบทดสอบ
ระหว่างเรียนทั้งหมดและหลังเรียน จะมีค่า E๑/ E๒ ที่ระดับ ๘๒.๘๑/๙๕.๕๖ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ๘๐/๘๐
ทตี่ ง้ั ไว้
ผลการวิเคราะหด์ ชั นีประสทิ ธภิ าพแผนการจดั การเรยี นรู้ โดยใชก้ ระบวนการแบบอรยิ สัจ ๔
เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรง
เรยี นซำสงู พทิ ยาคม
๑๘๙
ตารางท่ี ๔.๒ ผลการวเิ คราะห์ประสทิ ธิภาพแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔
เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ ความเป็นพลเมอื งตามหลักพุทธธรรมของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปี
ท่ี ๓ โรงเรียนซำสงู พทิ ยาคม
คะแนนรวม (n=๓๒)
ผลคูณของ ดัชนี
หลงั เรยี น ประสิทธิผล แปลความ
แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน กอ่ นเรยี น (๓๒x๑๐) (E.I.) ลำดับ
นักเรยี น (๓๒x๑๐) ท่ี
๑ มรรค ๘ กับคะแนน
๒ พรหมวิหาร ๔ ๕
๓ อิทธิบาท ๔ เต็ม ๔
๔ สังคหวัตถุ ๔ ๒
๕ ฆราวาสธรรม ๔ ๓๒๐ ๒๕๙ ๒๙๕ ๐.๕๙๐๒ ผา่ นเกณฑ์ ๓
๑
รวม ๓๒๐ ๒๖๑ ๒๙๘ ๐.๖๒๗๑ ผ่านเกณฑ์
๓๒๐ ๒๖๗ ๓๑๕ ๐.๙๐๕๗ ผ่านเกณฑ์
๓๒๐ ๒๖๔ ๓๐๔ ๐.๗๑๔๓ ผ่านเกณฑ์
๓๒๐ ๒๗๔ ๓๑๗ ๐.๙๓๔๘ ผ่านเกณฑ์
๑,๖๐๐ ๑,๓๒๕ ๑,๕๒๙ ๐.๗๔๑๘ ผา่ นเกณฑ์
จากตารางที่ ๔.๒ พบว่า ดัชนีประสิทธิผลแผนการจัดการเรียนรู้จิตสำนึกสาธารณะความ
เป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓
โรงเรียนซำสูงพิทยาคม มีค่าดัชนีประสิทธิผลในการเรียนรู้ (E.I.) โดยรวม เท่ากับ ๐.๗๔๑๘ แสดงว่า
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓ มีความรู้เพิ่มขึ้น เท่ากับ ๐.๗๔๑๘ หรือคิดเป็นร้อยละ ๗๔.๑๘
เมื่อพิจารณาเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ พบว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๕ ฆราวาสธรรม ๔ มีค่าดัชนี
ประสิทธิผลในการเรียนรู้ มากที่สุด เท่ากับ ๐.๙๓๔๘ แสดงว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓
มีความรเู้ พมิ่ ข้นึ เท่ากับ ๐.๙๓๔๘ หรือคดิ เป็นร้อยละ ๙๓.๔๘ รองลงมา คือ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๓
อิทธบิ าท ๔ มีคา่ ดัชนีประสิทธิผลในการเรียนรู้ เทา่ กบั ๐.๙๐๕๗ แสดงวา่ นักเรียนชนั้ มัธยมศึกษา ปีที่
๓ มีความรูเ้ พม่ิ ข้นึ เท่ากับ ๐.๙๐๕๗ หรือคิดเป็นร้อยละ ๙๐.๕๗ สว่ นแผนการจัดการเรียนรู้ ทมี่ คี ่าดัชนี
ประสิทธิผลในการเรียนรู้ น้อยท่สี ดุ ไดแ้ ก่ แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๑ มรรค ๘ มคี า่ ดัชนีประสิทธิผลใน
การเรยี นรู้ เทา่ กับ ๐.๕๙๐๒ แสดงวา่ นกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษา ปที ่ี ๓ มีความรเู้ พ่ิมขึ้น เท่ากับ ๐.๕๙๐๒
หรือคิดเป็นร้อยละ ๕๙.๐๒ โดยค่าดัชนีประสิทธิผลในการเรียนรู้ สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ส่วนชุดการ
สอนอ่นื ๆ มคี า่ ดชั นีประสทิ ธิผลในการเรียนรู้ สงู กว่าเกณฑท์ กี่ ำหนด ใกล้เคียงกันและมคี วามสัมพันธ์กัน
ตามลำดบั
๑๙๐
ตอนที่ ๒ ผลการวิเคราะห์จิตสำนึกสาธารณะตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด
จังหวัดขอนแกน่
ตารางที่ ๔.๓ ค่าเฉลยี่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจติ สำนกึ สาธารณะตามหลกั พทุ ธธรรม โดยใช้
กระบวนการแบบอรยิ สัจ ๔ ของนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ ๓ โรงเรียนซำสงู พทิ ยาคม สังกัด
องคก์ ารบรหิ ารส่วนจังหวัด จงั หวัดขอนแกน่ โดยรวม
ท่ี รายการประเมิน ระดับคณุ ภาพ (n=๓๒)
X S.D. แปลผล ลำดบั ที่
๑ ดา้ นความรบั ผิดชอบ ๔.๔๕ ๐.๕๑ มาก ๔
๒ ด้านความเสียสละ ๔.๕๓ ๐.๔๖ มากท่สี ุด ๒
๓ ด้านความสามัคคี ๔.๕๓ ๐.๕๐ มากที่สดุ ๒
๔ ด้านการอนุรักษส์ งิ่ แวดล้อม ๔.๕๘ ๐.๓๙ มากท่สี ุด ๑
๔.๕๒ ๐.๓๗ มากท่ีสดุ
รวม
จากตารางที่ ๔.๓ พบว่า ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจิตสำนึกสาธารณะตามหลัก
พทุ ธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบอริยสจั ๔ ของนักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรียนซำสงู พทิ ยาคม
สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด จังหวัดขอนแก่น ผลการประเมิน โดยรวม ค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก
ที่สุด ( X =๔.๕๒, S.D.= ๐.๓๗) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้าน
การอนุรักษส์ ่ิงแวดล้อม อยู่ในระดับมากทสี่ ุด (X =๔.๕๘, S.D.= ๐.๓๙) รองลงมา คอื ดา้ นความเสียสละ
และด้านความสามัคคี อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๔๖) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ
ด้านความรบั ผดิ ชอบ อยใู่ นระดบั มาก ( X =๔.๔๕, S.D.= ๐.๕๑) ส่วนด้านอืน่ ๆ มีคา่ เฉลยี่ ท่ีใกลเ้ คยี งกัน
และมีความสมั พนั ธ์กันตามลำดบั
๑๙๑
ตารางท่ี ๔.๔ คา่ เฉลย่ี และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานจิตสำนึกสาธารณะตามหลกั พทุ ธธรรม โดยใช้
กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ของนกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ๓ โรงเรยี นซำสงู พิทยาคม สังกัด
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจังหวัด จังหวัดขอนแกน่ ด้านความรับผดิ ชอบ
ท่ี รายการประเมิน ระดับคุณภาพ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดบั ที่
๑. ด้านความรบั ผดิ ชอบ ๔.๓๔ ๐.๗๐ มาก ๘
๑ เมื่อมีกจิ กรรมสว่ นรวมเกิดขึ้นภายในวัด ๔.๔๗ ๐.๖๗ มากทีส่ ดุ ๕
๔.๓๘ ๐.๗๕ มาก ๖
นกั เรยี นเขา้ ไปชว่ ยเหลอื ๔.๓๔ ๐.๘๗ มาก ๘
๒ นกั เรียนทำการเผยแผธ่ รรมะแกพ่ ทุ ธศาสนิกชน ๔.๔๗ ๐.๗๙ มากที่สดุ ๖
๔.๕๐ ๐.๗๒ มาก ๔
ทกุ คร้งั ทม่ี ีโอกาส
๓ เม่อื นักเรยี นพบว่า ภิกษหุ รือสามเณรภายในวัด ๔.๓๔ ๐.๘๓ มาก ๘
๔.๕๓ ๐.๖๒ มากทส่ี ดุ ๓
กระทำผิด นักเรียนได้ตักเตือนเขา ๔.๕๖ ๐.๖๒ มากที่สุด ๒
๔ เมื่อนกั เรยี นพบเหน็ คนกระทำผิดกฎหมาย ๔.๖๖ ๐.๕๕ มากทีส่ ดุ ๑
๔.๔๕ ๐.๕๑ มาก
นกั เรยี นแจ้งใหเ้ จา้ หนา้ ท่ตี ำรวจทราบ
๕ นักเรียนยอมรับฟงั ความคดิ เหน็ ทแ่ี ตกตา่ ง
ทกั ทว้ งและคำตำหนิจากผู้อืน่
๖ เมอ่ื มผี วู้ า่ กลา่ วตักเตือน เก่ยี วกบั การกระทำ
ความผิดของนกั เรียน นักเรียนจะไมแ่ สดงอาการ
ไม่พอใจ
๗ เมื่อนักเรยี นทำผิดต่อผู้ใด นักเรยี นพรอ้ มที่จะขอ
โทษ
๘ เม่อื นักเรียนไดร้ ับมอบหมายใหท้ ำงาน นักเรียน
รบั ผิดชอบงานนั้นอย่างเตม็ ความสามารถ
๙ เมอ่ื มีการเขา้ แถวเพอื่ รบั ส่งิ ของ นักเรยี นจะเข้า
แถวตามลำดับการมาถงึ ก่อนหลัง
๑๐ นกั เรียนยอมรบั การกระทำของตนเองทงั้ ผลดี
และผลเสีย
รวม
จากตารางที่ ๔.๔ พบว่า ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานจิตสำนกึ สาธารณะตามหลกั พุทธธรรมของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยา
๑๙๒
คมที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ด้าน ด้านความรับผิดชอบ โดยรวม
คา่ เฉล่ียอยู่ในระดบั มาก ( X =๔.๔๕, S.D.= ๐.๕๑) เมอ่ื พจิ ารณาเปน็ รายขอ้ พบว่า ขอ้ ทมี่ ีคา่ เฉล่ียสูงสุด
คือข้อ ๑๐ นักเรียนยอมรับการกระทำของตนเองทั้งผลดีและผลเสีย อยู่ในระดับมากทีส่ ุด ( X =๔.๖๖,
S.D.= ๐.๕๕) รองลงมา คือข้อ ๙ เมื่อมีการเข้าแถวเพื่อรับสิ่งของ นักเรียนจะเข้าแถวตามลำดับการ
มาถงึ กอ่ นหลงั อยใู่ นระดบั มากท่สี ุด ( X =๔.๕๖, S.D.= ๐.๖๒) สว่ นดา้ นที่มคี ่าเฉลย่ี ต่ำสุด คือขอ้ ๑ เมือ่
มีกิจกรรมสว่ นรวมเกิดขึ้นภายในวัด นักเรียนเข้าไปช่วยเหลือ ข้อ ๔ เมื่อนักเรยี นพบเห็นคนกระทำผดิ
กฎหมาย นักเรียนแจ้งให้เจ้าหนา้ ที่ตำรวจทราบ และข้อ ๗ เมื่อนักเรียoทำผิดต่อผู้ใด นักเรียนพร้อมท่ี
จะขอโทษ อยู่ในระดับมาก ( X =๔.๓๔, S.D.= ๐.๗๐) ส่วนข้ออื่น ๆ มีค่าเฉลี่ยที่ใกล้เคียงกันและมี
ความสัมพันธ์กนั ตามลำดบั
ตารางท่ี ๔.๕ คา่ เฉลีย่ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานจติ สำนกึ สาธารณะตามหลักพทุ ธธรรม โดยใช้
กระบวนการแบบอริยสจั ๔ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรียนซำสูงพทิ ยาคม สังกดั
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั จงั หวัดขอนแกน่ ดา้ นความเสยี สละ
ท่ี รายการประเมิน ระดบั คุณภาพ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดบั ที่
๒. ดา้ นความเสียสละ ๔.๕๙ ๐.๖๑ มากทีส่ ุด ๒
๑ เมื่อเห็นเพ่ือนกำลังลำบาก ทา่ นเขา้ ไปสอบถาม ๔.๕๖ ๐.๖๒ มากท่ีสุด ๕
๔.๕๓ ๐.๖๗ มากทส่ี ดุ ๖
เพ่อื ใหค้ วามชว่ ยเหลือ ๔.๕๙ ๐.๖๑ มากทส่ี ดุ ๒
๒ ท่านแบง่ ปันสิ่งของท่เี กินจำเปน็ ของท่านให้แก่ ๔.๔๗ ๐.๖๒ มาก ๗
๔.๖๓ ๐.๗๑ มากท่สี ุด ๑
ผอู้ ืน่ ๔.๖๓ ๐.๗๑ มากที่สุด ๑
๓ ทา่ นพร้อมจะใหค้ วามช่วยเหลอื กบั ทุกคน โดย
ไม่หวังผลตอบแทน
๔ ทา่ นมักให้ความชว่ ยเหลอื แก่ผูท้ ดี่ อ้ ยโอและ
ต้องการความชว่ ยเหลือ
๕ เม่ือมีกิจกรรมบำเพญ็ ประโยชน์ของชุมชนท่าน
เสยี สละเวลาไปเข้าร่วม
๖ ทา่ นพร้อมทจ่ี ะเขา้ ร่วมกจิ กรรมสาธารณะแม้
จะตอ้ งเสยี สละทรพั ย์ส่วนตัว
๗ ทา่ นพร้อมที่จะใหก้ ารสนับสนุนกิจกรรมที่เปน็
สาธารณะประโยชน์
๑๙๓
ตารางท่ี ๔.๕ (ตอ่ )
ที่ รายการประเมิน ระดับคุณภาพ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดบั ที่
๒. ด้านความเสียสละ ๔.๔๔ ๐.๘๐ มาก ๘
๘ ท่านมักบรจิ าคส่งิ ของท่ที ่านไมใ่ ชแ้ ลว้ ใหอ้ งค์กร
๔.๔๔ ๐.๗๖ มาก ๘
การกศุ ลตา่ ง ๆ
๙ ทา่ นพร้อมท่ีจะใหค้ วามรู้แก่ผ้อู ื่น โดยได้ ๔.๔๑ ๐.๘๐ มาก ๑๐
ผลตอบแทน ๔.๕๓ ๐.๔๖ มากท่สี ดุ
๑๐ ทา่ นพร้อมทจ่ี ะเสียสละต่อผ้อู ่ืน แมว้ า่ ไม่เห็น
เจตนาดีของท่าน
รวม
จากตารางที่ ๔.๕ พบว่า ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานจติ สำนกึ สาธารณะตามหลกั พุทธธรรมของนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยา
คมที่มตี ่อการจัดการเรยี นรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ดา้ น ด้านความเสยี สละ โดยรวม คา่ เฉลี่ย
อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๔๖) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด
คือข้อ ๖ ท่านพร้อมที่จะเข้าร่วมกิจกรรมสาธารณะแม้จะต้องเสียสละทรัพย์ส่วนตัว และข้อ ๗ ท่าน
พร้อมที่จะให้การสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นสาธารณะประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด
( X =๔.๖๓, S.D.= ๐.๗๑) รองลงมา คือข้อ ๑ เมื่อเห็นเพื่อนกำลังลำบาก ท่านเข้าไปสอบถามเพื่อให้
ความช่วยเหลือ และข้อ ๔ ท่านมักให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ด้อยโอและต้องการความช่วยเหลือ อยู่ใน
ระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๙, S.D.= ๐.๖๑) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือข้อ ๑๐ นักเรียนยอมรับการ
กระทำของตนเองท้ังผลดีและผลเสยี อยใู่ นระดบั มาก( X =๔.๔๑, S.D.= ๐.๘๐) สว่ นขอ้ อน่ื ๆ มีคา่ เฉล่ีย
ทีใ่ กล้เคียงกนั และมีความสัมพนั ธ์กันตามลำดับ
๑๙๔
ตารางที่ ๔.๖ คา่ เฉลี่ย และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานจิตสำนกึ สาธารณะตามหลกั พุทธธรรม โดยใช้
กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ของนักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๓ โรงเรยี นซำสูงพทิ ยาคม สงั กัด
องค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวัด จงั หวดั ขอนแก่น ดา้ นความสามัคคี
ท่ี รายการประเมิน ระดบั คณุ ภาพ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดบั ที่
๓. ด้านความสามคั คี
๑ ทา่ นประพฤตติ นเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี ๔.๔๔ ๐.๗๒ มาก ๘
๒ ท่านทำงานส่วนรวม โดยไม่เกี่ยงว่างานนั้นจะ ๔.๔๔ ๐.๖๗ มาก ๘
เปน็ งานหนกั หรืองานเบา ๔.๕๖ ๐.๕๖ มากทส่ี ุด ๔
๓ เมอื่ ท่านเหน็ เพ่ือนทำงานอย่างเหนด็ เหนื่อยท่าน
๔.๔๑ ๐.๗๖ มาก ๑๐
จะเขา้ ไปชว่ ยเหลอื เพ่อื ใหง้ านเสรจ็ เรว็ ขึน้
๔ เมอ่ื ท่านตอ้ งการตำหนใิ คร ท่านไมต่ ำหนติ อ่ หน้า ๔.๕๖ ๐.๖๗ มากที่สุด ๔
๔.๕๙ ๐.๕๖ มากท่ีสุด ๒
ผู้คนจำนวนมาก แต่จะเรียกเข้ามาคุยเป็น
ส่วนตัว ๔.๖๓ ๐.๖๑ มากที่สุด ๑
๕ ท่านทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างไม่มีปัญหาข้อ
ขดั แย้ง ๔.๕๖ ๐.๖๗ มากที่สดุ ๔
๖ เมื่อเกิดปัญหาระหว่างการทำงาน ท่านจะ ๔.๕๙ ๐.๖๑ มากทส่ี ดุ ๒
ปรึกษาขอความคิดเห็นจากแต่ละคน เพื่อหาวิธี
แก้ปญั หา ๔.๕๓ ๐.๗๒ มากที่สุด ๗
๗ ท่านตัดสินใจแก้ปัญหาจากเหตุผลมากกว่าการ
ใช้อารมณ์ ๔.๕๓ ๐.๕๐ มากท่สี ดุ
๘ การทำงานเปน็ ทีม ทำใหท้ ่านเข้าใจผอู้ ื่นมากข้นึ
๙ ท่านจะไม่ละทิ้งหน้าที่ เมื่อเกิดความขัดแย้งขึน้
ภายในทมี
๑๐ เมื่อสมาชิกภายในทีมไม่รับผิดชอบต่อหน้าท่ี
ท่านมักทำหน้าที่แทน เพื่อให้งานที่ได้รับ
มอบหมายสำเร็จทนั ตามกำหนดเวลา
รวม
จากตารางที่ ๔.๖ พบว่า ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานจติ สำนึกสาธารณะตามหลักพุทธธรรมของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรยี นซำสูงพิทยา
๑๙๕
คมทีม่ ตี ่อการจดั การเรียนรู้ โดยใชก้ ระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ด้าน ด้านความสามคั คี โดยรวม ค่าเฉล่ีย
อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๕๐) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด
คือข้อ ๗ ท่านตัดสินใจแก้ปัญหาจากเหตุผลมากกว่าการใช้อารมณ์ อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๖๓,
S.D.= ๐.๖๑) รองลงมา คือขอ้ ๖ เมอื่ เกิดปัญหาระหวา่ งการทำงาน ทา่ นจะปรึกษาขอความคดิ เห็นจาก
แต่ละคน เพอ่ื หาวิธีแก้ปญั หา และข้อ ๙ ทา่ นจะไมล่ ะทง้ิ หนา้ ท่ี เมื่อเกดิ ความขดั แยง้ ขึน้ ภายในทมี อยู่ใน
ระดับมากท่ีสุด ( X =๔.๕๙, S.D.= ๐.๕๖) สว่ นดา้ นทีม่ ีค่าเฉล่ียต่ำสุด คือข้อ ๔ เม่ือท่านต้องการตำหนิ
ใคร ท่านไม่ตำหนิตอ่ หน้าผู้คนจำนวนมาก แตจ่ ะเรียกเข้ามาคยุ เป็นส่วนตวั อยูใ่ นระดับมาก ( X =๔.๔๑,
S.D.= ๐.๗๖) สว่ นข้ออนื่ ๆ มคี ่าเฉล่ียทีใ่ กลเ้ คียงกนั และมีความสมั พนั ธก์ ันตามลำดับ
ตารางที่ ๔.๗ ค่าเฉลย่ี และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานจิตสำนกึ สาธารณะตามหลักพทุ ธธรรม โดยใช้
กระบวนการแบบอรยิ สัจ ๔ ของนกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๓ โรงเรยี นซำสงู พทิ ยาคม สังกดั
องค์การบรหิ ารสว่ นจังหวัด จงั หวัดขอนแก่น ดา้ นการอนุรักษส์ งิ่ แวดลอ้ ม
ที่ รายการประเมิน ระดบั คุณภาพ (n=๓๒)
๔. ดา้ นการอนรุ กั ษ์สง่ิ แวดล้อม X S.D. แปลความ ลำดับท่ี
๑ เมือ่ ทา่ นมีโอกาสช่วยดแู ลรักษาธรรมชาติพร้อมให้ ๔.๕๖ ๐.๕๐ มากทีส่ ดุ ๕
ความร่วมมืออย่างเต็มที่
๒ ท่านได้นำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้อย่างคุ้มค่า ๔.๖๓ ๐.๖๑ มากทส่ี ุด ๒
ท่ีสุด
๓ เมอ่ื มีคนนำสง่ิ ของสว่ นรวมไปใช้แล้วไมน่ ำไปเก็บ ๔.๕๙ ๐.๖๑ มากที่สดุ ๔
ไวท้ ่ีเดมิ ท่านนำไปเก็บไวท้ ่เี ดมิ ให้
๔ เมอื่ ทา่ นใชข้ องที่เปน็ สาธารณะ ทา่ นจะดแู ลรกั ษา ๔.๖๙ ๐.๕๙ มากทส่ี ุด ๑
เหมือนกบั เป็นของส่วนตัวของท่าน
๕ เมื่อทา่ นเครียดหรอื หงดุ หงิด ท่านจะไม่ระบาย ๔.๕๓ ๐.๖๒ มากทส่ี ดุ ๙
อารมณ์ โดยการทำลายของสาธารณะ
๖ เมอ่ื มสี ิ่งของทีย่ งั ไม่ชำรดุ แต่ทา่ นไม่ได้ใชง้ านแล้ว ๔.๖๓ ๐.๖๑ มากทส่ี ุด ๒
ทา่ นจะนำไปใหก้ ับผู้อื่นทมี่ คี วามต้องการ
๗ ทา่ นมกั นำวสั ดุหรอื ส่งิ ของท่เี หลอื ใชม้ าดดั แปลง ๔.๕๖ ๐.๕๖ มากท่ีสุด ๕
เพอื่ นำมาใชป้ ระโยชน์ใหม่
๘ ท่านสนบั สนนุ การใชถ้ งุ ผ้าแทนถงุ พลาสตกิ ๔.๕๖ ๐.๕๖ มากทส่ี ุด ๕
๑๙๖
ตารางที่ ๔.๗ (ต่อ) ระดับคณุ ภาพ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดบั ที่
ที่ รายการประเมิน ๔.๕๖ ๐.๕๖ มากทีส่ ุด ๕
๔. ด้านการอนุรักษ์สิง่ แวดล้อม ๔.๕๐ ๐.๖๒ มาก ๑๐
๙ เมื่อทา่ นพบเหน็ การตัดไมท้ ำลายปา่ ท่านไดท้ ำ
๔.๕๘ ๐.๓๙ มากทีส่ ดุ
การแจ้งต่อเจา้ หน้าท่ีให้เขา้ มาตรวจสอบ
๑๐ ท่านมักใหค้ วามรู้และเผยแพร่วธิ ีการอนรุ กั ษ์
ส่งิ แวดล้อมท่ีถกู ตอ้ งแก่ผู้ที่ท่านเกีย่ วขอ้ ง
รวม
จากตารางที่ ๔.๗ พบว่า ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานจติ สำนกึ สาธารณะตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓ โรงเรยี นซำสูงพิทยา
คมทม่ี ีต่อการจัดการเรยี นรู้ โดยใชก้ ระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ดา้ น ดา้ นการอนุรกั ษส์ ิ่งแวดล้อมโดยรวม
ค่าเฉล่ยี อย่ใู นระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๘, S.D.= ๐.๓๙) เม่อื พิจารณาเปน็ รายข้อ พบว่า ข้อท่ีมีค่าเฉล่ีย
สูงสุด คือข้อ ๔ เมื่อท่านใช้ของที่เป็นสาธารณะ ท่านจะดูแลรักษาเหมือนกับเป็นของส่วนตัวของท่าน
อยใู่ นระดบั มากท่สี ดุ ( X =๔.๖๙, S.D.= ๐.๕๙) รองลงมา คือข้อ ๒ ทา่ นไดน้ ำทรพั ยากรธรรมชาติมาใช้
อยา่ งค้มุ ค่าทีส่ ุด และข้อ ๖ เมอ่ื มีสง่ิ ของที่ยังไมช่ ำรุด แต่ท่านไม่ได้ใช้งานแลว้ ท่านจะนำไปให้กับผู้อ่ืนท่ีมี
ความต้องการ อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๖๓, S.D.= ๐.๖๑) ส่วนด้านที่มีค่าเฉล่ียต่ำสุด คือข้อ ๑๐
ท่านมักให้ความรูแ้ ละเผยแพรว่ ิธกี ารอนรุ ักษส์ งิ่ แวดลอ้ มท่ีถูกต้องแก่ผทู้ ่ีท่านเกยี่ วขอ้ ง อย่ใู นระดับมาก (
X =๔.๕๐, S.D.= ๐.๖๒) ส่วนข้ออนื่ ๆ มคี า่ เฉลยี่ ท่ีใกล้เคียงกันและมีความสัมพนั ธ์กนั ตามลำดบั
ตอนท่ี ๓ ผลการวเิ คราะห์ความเป็นพลเมืองตามหลกั พทุ ธธรรมของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษา
ปีท่ี ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม
๑๙๗
ตารางท่ี ๔.๘ ค่าเฉลยี่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความเป็นพลเมอื งตามหลกั พุทธธรรมของนักเรียน
ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรยี นซำสูงพทิ ยาคม โดยรวม
ที่ รายการประเมิน ระดบั คณุ ภาพ (n=๓๒)
X S.D. แปลผล ลำดบั ท่ี
๑ ด้านกาย (civic Physical) ๔.๖๒ ๐.๓๖ มากท่สี ดุ ๒
๒ ด้านทกั ษะทางสังคม (civic social skills) ๔.๖๐ ๐.๓๙ มากท่สี ดุ ๓
๓ ด้านคณุ ธรรม (civic virtue) ๔.๖๓ ๐.๔๓ มากทีส่ ดุ ๑
๔ ด้านปญั ญา (civic knowledge) ๔.๕๖ ๐.๓๗ มากทีส่ ดุ ๔
๔.๖๐ ๐.๓๐ มากทส่ี ุด
รวม
จากตารางที่ ๔.๘ พบว่า ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความเป็นพลเมืองตามหลัก
พุทธธรรมของนกั เรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๓ โรงเรียนซำสงู พิทยาคม ผลการประเมนิ โดยรวม ค่าเฉล่ีย
อยู่ในระดบั มากท่สี ุด ( X =๔.๖๐, S.D.= ๐.๓๐) เม่ือพจิ ารณาเป็นรายดา้ น พบว่า ด้านท่มี คี ่าเฉล่ียสูงสุด
คือด้านคุณธรรม (civic virtue) อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๖๓, S.D.= ๐.๔๓) รองลงมา คือด้านกาย
(civic Physical) อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๖๒, S.D.= ๐.๓๖) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือด้าน
ปญั ญา (civic knowledge) อยูใ่ นระดับมากท่สี ดุ ( X =๔.๕๖, S.D.= ๐.๓๗) สว่ นด้านอ่ืน ๆ มคี ่าเฉล่ียท่ี
ใกล้เคยี งกนั และมคี วามสมั พนั ธก์ ันตามลำดบั
ตารางที่ ๔.๙ คา่ เฉลีย่ และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานความเปน็ พลเมืองตามหลักพุทธธรรมของนักเรยี น
ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ด้านกาย (civic Physical)
ที่ รายการประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ (n=๓๒)
๑. ดา้ นกาย (civic Physical) X S.D. แปลความ ลำดับที่
๑ มคี วามสามารถทจี่ ะมองปญั หาและแกป้ ญั หาไดใ้ นฐานะ๔ข.อ๖ง๓คน ๐.๖๑ มากที่สดุ ๕
ในสังคมโลกาภิวัฒน์
๒ มเี จตนารมณ์ท่ีจะเปลย่ี นแปลงวถิ ีชวี ติ และอุปนิสัย ๔.๖๙ ๐.๖๔ มากที่สุด ๒
การบริโภคให้เออ้ื ต่อการอนุรกั ษส์ ่ิงแวดลอ้ ม
๓ พลเมืองดตี อ้ งเปน็ ผู้ทีร่ จู้ กั เปิดรบั ความรู้ความคดิ ๔.๖๙ ๐.๔๗ มากท่ีสุด ๒
ใหม่ ๆ และรจู้ กั ปดิ ไม่รับในส่ิงไม่ดี
๑๙๘
ตารางท่ี ๔.๙ (ต่อ) ระดบั คณุ ภาพ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดบั ท่ี
ที่ รายการประเมิน ๔.๗๒ ๐.๔๖ มากท่ีสดุ ๑
๔.๕๖ ๐.๖๗ มากทส่ี ุด ๗
๑. ด้านกาย (civic Physical) ๔.๕๓ ๐.๖๗ มากทส่ี ดุ ๙
๔ พลเมอื งดตี ้องเป็นผู้ทีม่ ีส่วนร่วมในการตัดสนิ ใจ
๔.๖๖ ๐.๕๕ มากที่สุด ๔
รบั ร้ขู ้อมลู ทมี่ ีผลต่อสาธารณชน ๔.๕๖ ๐.๖๒ มากทส่ี ุด ๗
๕ มคี วามซอื่ สตั ย์ ตัง้ ใจทำความดี ใช้สิทธิเสรีภาพของ
๔.๕๓ ๐.๖๒ มากทีส่ ดุ ๙
ตนในขอบเขต มีใจกวา้ ง ๔.๕๙ ๐.๕๖ มากที่สดุ ๖
๖ การเป็นผูท้ ีม่ คี วามรู้ มีการศกึ ษา และมี
๔.๖๒ ๐.๓๖ มากทส่ี ดุ
ความสามารถทจ่ี ะมองเห็นและเขา้ ใจในสังคมของ
ตนและสังคมโลกเฉกเช่นเป็นสมาชิกของสังคม
๗ ยึดถอื ประโยชนส์ ว่ นรวมและสงั คมเป็นหลกั
๘ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจต่อการเปลีย่ นแปลงทางสังคม
และทางการเมอื ง (Political Literacy) และเขา้ ไป
มสี ่วนรว่ มทางการเมอื ง (Political Participation)
ในทกุ ระดับต้งั แตช่ ุมชน ทอ้ งถิ่น ระดบั ชาติ และ
นานาชาติ
๙ เคารพความแตกต่าง มีทักษะในการฟงั และ
ยอมรบั ความคดิ เห็นทีแ่ ตกตา่ งจากตนเอง
๑๐ รับผิดชอบตอ่ สังคม ตระหนกั ว่าตนเองเป็นสว่ นหน่ึง
ของสงั คม กระตอื รือร้นท่จี ะรับผดิ ชอบ และรว่ ม
แก้ไขปัญหาสังคมโดยเรมิ่ ต้นท่ีตนเอง
รวม
จากตารางที่ ๔.๙ พบว่า ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความเป็นพลเมืองตามหลกั
พทุ ธธรรมของนักเรียน ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๓ โรงเรยี นซำสงู พิทยาคม ดา้ นกาย (civic Physical)โดยรวม
ค่าเฉลย่ี อยูใ่ นระดับมากที่สดุ ( X =๔.๖๒, S.D.= ๐.๓๖) เมอื่ พจิ ารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ย
สูงสุด คือข้อ ๔ พลเมืองดีต้องเป็นผู้ที่มีส่วนรว่ มในการตัดสินใจ รับรูข้ ้อมูลที่มผี ลต่อสาธารณชน อยู่ใน
ระดับมากที่สุด ( X =๔.๗๒, S.D.= ๐.๔๖) รองลงมา คือข้อ ๒ มีเจตนารมณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต
และอุปนิสัยการบริโภคให้เอือ้ ต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และข้อ ๓ พลเมืองดีต้องเป็นผู้ที่รู้จักเปิดรับ
ความรู้ความคิดใหม่ ๆ และรู้จักปิดไม่รับในสิ่งไม่ดี อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๖๙, S.D.= ๐.๔๗)
๑๙๙
ส่วนด้านท่มี ีคา่ เฉลีย่ ตำ่ สุด คือข้อ ๙ เคารพความแตกต่าง มที ักษะในการฟงั และยอมรบั ความคิดเห็นที่
แตกต่างจากตนเอง อยู่ในระดบั มากทีส่ ุด ( X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๖๒) สว่ นข้ออ่นื ๆ มีคา่ เฉล่ียที่ใกล้เคียง
กนั และมคี วามสัมพนั ธ์กันตามลำดบั
ตารางท่ี ๔.๑๐ ค่าเฉล่ีย และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานความเปน็ พลเมืองตามหลักพุทธธรรมของนักเรยี น
ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรยี นซำสงู พทิ ยาคม ดา้ นทกั ษะทางสงั คม (civic social skills)
ที่ รายการประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดับท่ี
๒. ด้านทักษะทางสังคม (civic social skills) ๔.๕๐ ๐.๗๒ มาก ๙
๑ มีความสามารถทจี่ ะทำงานรว่ มกบั ผู้อืน่ และมีความ
๔.๖๖ ๐.๕๕ มากที่สุด ๒
รับผดิ ชอบหน้าท่ี และบทบาทของตนท้งั ตอ่ ตนเอง ๔.๔๗ ๐.๖๗ มาก ๑๐
และต่อสงั คม ๔.๖๓ ๐.๖๑ มากทส่ี ุด ๔
๒ มคี วามสามารถทีจ่ ะเข้าใจและปกปอ้ งสิทธิ
มนษุ ยชน ๔.๖๓ ๐.๖๑ มากที่สดุ ๔
๓ มคี วามรบั ผดิ ชอบต่อการกระทำทางการเมอื ง ๔.๕๙ ๐.๖๑ มากที่สุด ๖
๔ คณุ ลักษณะทางสงั คม ได้แก่ มีความตระหนกั และ ๔.๕๖ ๐.๖๗ มากที่สดุ ๘
เห็นใจในสวสั ดภิ าพของผูอ้ ืน่ มีพฤตกิ รรมทม่ี ี ๔.๖๖ ๐.๕๕ มากทสี่ ุด ๒
คณุ ธรรม มคี วามอดทนในความแตกต่างทเ่ี กดิ ขนึ้ ใน ๔.๕๙ ๐.๖๑ มากทีส่ ดุ ๖
สังคม ๔.๖๙ ๐.๔๗ มากท่สี ุด ๑
๕ สนใจปฏิบัตติ ามกฎหมายและรบั รโู้ ดยชอบธรรม ๔.๖๐ ๐.๓๙ มากท่สี ดุ
ของผูอ้ ่นื
๖ มเี จตนารมณท์ ี่จะเปลย่ี นแปลงวิถชี วี ิตและอปุ นิสยั
การบริโภค ให้เอ้ือต่อการอนรุ ักษ์สิง่ แวดลอ้ ม
๗ มีความประพฤติดสี ำคญั ยิ่งกวา่ สถานภาพทางสงั คม
เศรษฐกิจ อาชีพ ศาสนา เช้ือชาติ
๘ คิดถึงสว่ นรวมมากกวา่ สว่ นตวั
๙ มีอิสรภาพ และพึง่ ตนเองได้ ไมอ่ ยภู่ ายใตก้ าร
ครอบงำของระบบอปุ ถัมภ์
๑๐ เคารพกตกิ า กฎหมาย ใช้กติกาในการแก้ปัญหาไม่
ใชก้ ำลงั และยอมรับผลของการละเมิดกฎหมาย
รวม
๒๐๐
จากตารางท่ี ๔.๑๐ พบวา่ คา่ เฉล่ยี และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานความเป็นพลเมืองตามหลัก
พุทธธรรมของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ด้านทักษะทางสังคม (civic
social skills) โดยรวม ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๖๐, S.D.= ๐.๓๙) เมื่อพิจารณาเป็นราย
ข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลีย่ สูงสุด คือข้อ ๑๐ เคารพกติกา กฎหมาย ใช้กติกาในการแก้ปัญหาไม่ใช้กำลัง
และยอมรับผลของการละเมิดกฎหมาย อยู่ในระดบั มากที่สุด ( X =๔.๖๙, S.D.= ๐.๔๗) รองลงมา คือ
ข้อ ๒ มีความสามารถที่จะเขา้ ใจและปกป้องสิทธิมนุษยชน และข้อ ๘ คิดถึงส่วนรวมมากกว่าสว่ นตัว
อย่ใู นระดบั มากที่สุด ( X =๔.๖๖, S.D.= ๐.๕๕) สว่ นดา้ นทม่ี ีค่าเฉลี่ยตำ่ สุด คือขอ้ ๓ มีความรับผิดชอบ
ต่อการกระทำทางการเมือง อยู่ในระดับมาก ( X =๔.๔๗, S.D.= ๐.๖๗) ส่วนข้ออื่น ๆ มีค่าเฉลี่ยท่ี
ใกล้เคียงกนั และมคี วามสัมพันธก์ นั ตามลำดบั
ตารางท่ี ๔.๑๑ ค่าเฉล่ยี และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานความเปน็ พลเมอื งตามหลกั พุทธธรรมของนักเรยี น
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๓ โรงเรยี นซำสงู พิทยาคม ด้านคุณธรรม (civic virtue)
ท่ี รายการประเมนิ ระดับคุณภาพ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดบั ที่
๓. ด้านคณุ ธรรม (civic virtue) ๔.๕๙ ๐.๖๑ มากที่สดุ ๙
๑ มคี วามรกั และจงรกั ภักดีตอ่ ประเทศชาติ ๔.๖๖ ๐.๔๘ มากทส่ี ดุ ๕
๒ ต้องเป็นบุคคลทมี่ ีคุณธรรมและจรยิ ธรรม รับฟงั ๔.๗๒ ๐.๔๖ มากที่สุด ๒
๔.๕๖ ๐.๗๒ มากท่สี ุด ๗
ความคิดเหน็ ของบคุ คลอืน่ ๔.๗๒ ๐.๔๖ มากทส่ี ุด ๒
๓ เคารพความเสมอภาค ความยุติธรรม
๔ มีอสิ รภาพ และพงึ่ ตนเองได้ ไมอ่ ย่ภู ายใต้การ ๔.๖๙ ๐.๔๗ มากทสี่ ุด ๔
ครอบงำของระบบอุปถมั ภ์ ๔.๕๓ ๐.๗๒ มากทสี่ ุด ๑๐
๕ รบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คม ตระหนักวา่ ตนเองเปน็ ส่วน ๔.๕๖ ๐.๖๗ มากทส่ี ดุ ๗
หนงึ่ ของสังคม กระตอื รือรน้ ทจ่ี ะรบั ผิดชอบ และ
รว่ มแก้ไขปญั หาสงั คมโดยเรม่ิ ตน้ ท่ีตนเอง
๖ มคี วามเขา้ ใจและกระตือรอื ร้นท่จี ะมสี ่วนรว่ มใน
การปกครองประเทศตามวถิ ีทางประชาธิปไตย ยึด
มน่ั ในสถาบนั ชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์
๗ มคี วามยึดมัน่ และผดงุ ความเสมอภาค ความสุจรติ
และความยตุ ิธรรม
๘ มีโลกทรรศน์กว้างและจิตใจสาธารณะ
๒๐๑
ตารางที่ ๔.๑๑ (ตอ่ )
ที่ รายการประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดับท่ี
๓. ดา้ นคณุ ธรรม (civic virtue) ๔.๗๕ ๐.๔๔ มากท่ีสุด ๑
๙ ความมวี นิ ยั ในตนเอง ได้แก่ ซ่ือสตั ยส์ จุ รติ
๔.๕๖ ๐.๖๗ มากทสี่ ุด ๖
ขยนั หม่ันเพียร อดทน ใฝห่ าความรู้ ตั้งใจปฏบิ ตั ิ
หน้าที่ ยอมรับผลทีเ่ กิดจากการกระทำของตนเอง ๔.๖๓ ๐.๔๓ มากท่ีสุด
๑๐ รกั ชาติ ยึดมนั่ ในศาสนา และเทิดทนู สถาบัน
พระมหากษัตรยิ ์ คือการเหน็ คณุ ค่าและการ
แสดงออกถงึ ความรกั ชาติ ยึดมั่นในศาสนา และ
เทิดทนู สถาบันพระมหากษัตริย์
รวม
จากตารางท่ี ๔.๑๑ พบว่า คา่ เฉลย่ี และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานความเป็นพลเมืองตามหลัก
พุทธธรรมของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ด้านคุณธรรม (civic virtue)
โดยรวม ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( X =๔.๖๓, S.D.= ๐.๔๓) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มี
ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือข้อ ๙ ความมีวินัยในตนเอง ได้แก่ ซื่อสัตย์สุจริต ขยันหม่ันเพียร อดทน ใฝ่หาความรู้
ต้งั ใจปฏิบตั ิหน้าท่ี ยอมรับผลท่ีเกดิ จากการกระทำของตนเอง อยใู่ นระดบั มากที่สุด ( X =๔.๗๕, S.D.=
๐.๔๔) รองลงมา คือข้อ ๓ เคารพความเสมอภาค ความยุติธรรม และข้อ ๕ รับผิดชอบต่อสังคม
ตระหนักวา่ ตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม กระตือรือร้นที่จะรับผิดชอบ และร่วมแก้ไขปัญหาสังคมโดย
เริม่ ต้นที่ตนเอง อยใู่ นระดับมากที่สุด ( X =๔.๗๒, S.D.= ๐.๔๖) สว่ นดา้ นท่มี ีค่าเฉลย่ี ตำ่ สุด คือข้อ ๗ มี
ความยึดมั่นและผดุงความเสมอภาค ความสุจริตและความยุติธรรม อยู่ในระดับมากที่สุด
( X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๗๒) ส่วนข้ออื่น ๆ มคี ่าเฉล่ยี ทีใ่ กล้เคียงกันและมคี วามสมั พันธก์ ันตามลำดับ
๒๐๒
ตารางที่ ๔.๑๒ คา่ เฉลยี่ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานความเปน็ พลเมืองตามหลักพทุ ธธรรมของนักเรียน
ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ดา้ นปัญญา (civic knowledge)
ที่ รายการประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ (n=๓๒)
๔. ดา้ นปัญญา (civic knowledge) X S.D. แปลความ ลำดับท่ี
๑ มคี วามสามารถทจี่ ะเข้าใจ ยอมรับ และอดทนต่อ ๔.๕๙ ๐.๖๑ มากท่สี ุด ๓
ความแตกตา่ งทางวฒั นธรรม
๒ มเี จตนารมณ์ที่จะแก้ปัญหาความขัดแยง้ ใดๆดว้ ย ๔.๕๓ ๐.๖๒ มากท่ีสุด ๖
สนั ตวิ ิธี ไมใ่ ชค้ วามรนุ แรง
๓ มคี วามสามารถที่จะคิดและวพิ ากษ์ วจิ ารณ์ ๔.๔๗ ๐.๗๒ มาก ๑๐
(Critical way) อย่างมเี หตผุ ลและคิดเปน็ ระบบ
๔ มคี วามเข้าใจหลักสทิ ธิมนุษยชน และยอมรบั ความ ๔.๕๓ ๐.๖๗ มากทีส่ ุด ๖
แตกตา่ งในความเปน็ พหุสงั คม
๕ มคี วามสามารถทีจ่ ะเข้าใจและปกป้องสิทธิ ๔.๖๙ ๐.๕๔ มากท่ีสดุ ๑
มนุษยชน
๖ มีความรับผดิ ชอบต่อการกระทำทางการเมอื ง ๔.๕๐ ๐.๖๗ มากที่สดุ ๙
๗ เคารพสทิ ธิผ้อู ่ืนไม่ใชส้ ิทธิเสรภี าพของตนไปละเมิด ๔.๕๓ ๐.๕๗ มากทส่ี ดุ ๖
สทิ ธเิ สรภี าพของบุคคลอื่น
๘ มคี วามกระตอื รอื รน้ ทีจ่ ะเข้ามามสี ว่ นรว่ มในการ ๔.๖๓ ๐.๕๕ มากที่สุด ๒
แกป้ ญั หาของชุมชนหรือองค์กรทต่ี นสงั กัด
๙ คณุ ลกั ษณะทางสงั คม ไดแ้ ก่ มีความตระหนักและ ๔.๕๖ ๐.๖๒ มากทีส่ ุด ๕
เห็นใจในสวสั ดิภาพของผอู้ ่นื มพี ฤติกรรมที่มี
คุณธรรม มคี วามอดทนในความแตกต่างทเ่ี กดิ ข้นึ
ในสงั คม
๑๐ เคารพกตกิ า กฎหมาย ใช้กติกาในการแก้ปัญหาไม่ ๔.๕๙ ๐.๖๗ มากที่สดุ ๓
ใชก้ ำลงั และยอมรับผลของการละเมดิ กฎหมาย
รวม ๔.๕๖ ๐.๓๗ มากทส่ี ดุ
จากตารางท่ี ๔.๑๒ พบวา่ คา่ เฉลีย่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความเปน็ พลเมอื งตามหลัก
พุทธธรรมของนักเรียน ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ ๓ โรงเรยี นซำสูงพิทยาคม ด้านปัญญา (civic knowledge)
โดยรวม ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( X =๔.๕๖, S.D.= ๐.๓๗) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มี
๒๐๓
ค่าเฉล่ยี สูงสดุ คือขอ้ ๕ มคี วามสามารถท่จี ะเข้าใจและปกปอ้ งสทิ ธมิ นุษยชน อยใู่ นระดับมากที่สดุ ( X =
๔.๖๙, S.D.= ๐.๖๗) รองลงมา คอื ขอ้ ๘ มคี วามกระตือรอื รน้ ท่ีจะเข้ามามีสว่ นร่วมในการแกป้ ัญหาของ
ชมุ ชนหรอื องคก์ รทตี่ นสงั กัด อยู่ในระดับมากทส่ี ุด ( X =๔.๖๓, S.D.= ๐.๕๕) ส่วนด้านท่มี คี า่ เฉลี่ยต่ำสุด
คือข้อ ๓ มีความสามารถที่จะคิดและวิพากษ์ วิจารณ์ (Critical way) อย่างมีเหตุผลและคิดเป็นระบบ
อยู่ในระดบั มาก ( X =๔.๔๗, S.D.= ๐.๗๒) สว่ นขอ้ อืน่ ๆ มคี ่าเฉลย่ี ทใี่ กลเ้ คียงกันและมคี วามสัมพันธ์กัน
ตามลำดบั
ตอนที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูง
พิทยาคม ที่มีต่อการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ
ความเป็นพลเมอื งตามหลกั พทุ ธธรรม
ตารางท่ี ๔.๑๓ คา่ เฉลี่ย และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานความพึงพอใจของนักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ ๓
โรงเรยี นซำสงู พิทยาคม ท่มี ีต่อการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔
เรอื่ งจติ สำนกึ สาธารณะ ความเปน็ พลเมอื งตามหลักพทุ ธธรรม โดยรวม
ท่ี รายการประเมนิ ระดับความพงึ พอใจ (n=๔๘)
X S.D. แปลผล ลำดับท่ี
๑ ดา้ นสาระการเรียนรู้ ๔.๕๕ ๐.๔๗ มากท่สี ุด ๓
๒ ด้านคุณลกั ษณะครูผสู้ อน ๔.๕๙ ๐.๔๑ มากที่สดุ ๒
๓ ด้านการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ๔.๕๓ ๐.๔๘ มากที่สุด ๕
๔ ดา้ นส่ือการเรยี นรู/้ แหลง่ การเรยี นรู้ ๔.๕๔ ๐.๔๒ มากท่สี ดุ ๔
๕ ดา้ นการวดั และประเมินผล ๔.๖๕ ๐.๔๖ มากทสี่ ดุ ๑
๔.๕๗ ๐.๔๑ มากท่สี ดุ
รวม
จากตารางท่ี ๔.๑๓ พบว่า คา่ เฉลยี่ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานความพึงพอใจของนักเรียน
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ทมี่ ตี ่อจิตสำนึกสาธารณะความเปน็ พลเมอื งตามหลักพุทธ
ธรรม โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ โดยรวม ค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๗, S.D.=
๐.๔๑) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านการวัดและประเมินผล อยู่ใน
ระดบั มากท่ีสุด ( X =๔.๖๕, S.D.= ๐.๔๖) รองลงมา คอื ดา้ นคณุ ลกั ษณะครูผู้สอน อยูใ่ นระดับมากท่ีสุด (
X =๔.๕๙, S.D.= ๐.๔๑) สว่ นดา้ นท่มี คี ่าเฉลี่ยต่ำสุด คอื ด้านการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ อยู่ในระดับมาก
ทีส่ ดุ ( X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๔๘) สว่ นดา้ นอน่ื ๆ มีคา่ เฉล่ยี ทใ่ี กลเ้ คยี งกนั และมคี วามสัมพนั ธก์ ันตามลำดับ
๒๐๔
ตารางที่ ๔.๑๔ ค่าเฉล่ยี และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานความพงึ พอใจของนักเรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๓
โรงเรียนซำสงู พิทยาคม ทม่ี ตี อ่ การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ โดยใชก้ ระบวนการแบบอรยิ สจั ๔
เรอ่ื งจติ สำนกึ สาธารณะ ความเป็นพลเมอื งตามหลักพุทธธรรม ดา้ นสาระการเรียนรู้
.. ระดบั ความพงึ พอใจ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดับที่
ท่ี รายการประเมนิ
๑. ดา้ นเนื้อหาสาระการเรยี นรู้
๑ ความสอดคล้องระหวา่ งเน้ือหาสาระการเรยี นรู้ ๔.๖๓ ๐.๖๑ มากที่สุด ๑
กับจดุ ประสงค์การเรียนรู้
๒ ลำดบั ขั้นในการนำเสนอเน้อื หาสาระการเรยี นรู้ ๔.๕๙ ๐.๕๖ มากทส่ี ุด ๒
มีความตอ่ เนอื่ งกัน
๓ ความเหมาะสมของเน้ือหาสาระการเรียนรู้กับ ๔.๓๘ ๐.๖๖ มาก ๖
ระดับของผเู้ รยี น
๔ การใช้ตัวอกั ษรมีขนาดและสีท่ีชัดเจน อ่านง่าย ๔.๕๖ ๐.๖๒ มากท่สี ดุ ๔
๕ กิจกรรมการจดั การเรยี นรู้ สอดคลอ้ งกบั ๔.๕๙ ๐.๕๖ มากที่สุด ๒
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ และสมรรถนะรายวชิ า
อย่างชดั เจน
๖ เน้อื หาสาระการเรียนรู้ท่ีนำเสนอสอดคลอ้ งกับ ๔.๕๓ ๐.๖๒ มากทส่ี ุด ๕
สาระสำคัญและการกำหนดสมรรถนะประจำ
หน่วย
รวม ๔.๕๕ ๐.๔๗ มากที่สดุ
จากตารางที่ ๔.๑๔ พบว่า ความพึงพอใจของนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสงู
พิทยาคม ที่มีต่อจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ ด้านสาระการเรียนรู้ โดยรวม ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๕, S.D.= ๐.๔๗) เม่ือ
พิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือข้อ ๑ ความสอดคล้องระหว่างเนื้อหาสาระการ
เรียนรู้ กับจุดประสงค์การเรียนรู้ อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๖๓, S.D.= ๐.๖๑) รองลงมา คือข้อ ๒
ลำดับขั้นในการนำเสนอเนื้อหาสาระการเรียนรู้ มีความต่อเนื่องกัน อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๙,
S.D.= ๐.๕๖) ส่วนดา้ นที่มีค่าเฉล่ียต่ำสุด คือข้อ ๓ ความเหมาะสมของเนื้อหาสาระการเรียนรู้กับระดับ
ของผู้เรียน อยู่ในระดับมาก ( X =๔.๓๘, S.D.= ๐.๖๖) ส่วนข้ออื่น ๆ มีค่าเฉลี่ยที่ใกล้เคียงกันและมี
ความสมั พันธก์ ันตามลำดับ
๒๐๕
ตารางที่ ๔.๑๕ คา่ เฉล่ยี และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานความพงึ พอใจของนักเรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๓
โรงเรยี นซำสูงพิทยาคม ทมี่ ีตอ่ การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔
เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ ความเปน็ พลเมอื งตามหลักพทุ ธธรรม ด้านคุณลักษณะครูผ้สู อน
.. ระดับความพึงพอใจ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดับท่ี
ท่ี รายการประเมิน
๒. ดา้ นคุณลักษณะครูผสู้ อน
๑ ผู้สอน เปน็ ผ้อู ำนวยความสะดวก และกระตุน้ ๔.๕๓ ๐.๖๗ มากทีส่ ุด ๕
ให้นักเรยี นเกิดการเรียนรู้
๒ เทคนคิ วธิ ีการถา่ ยทอดความรแู้ ละกิจกรรมที่ ๔.๖๙ ๐.๔๗ มากทส่ี ดุ ๑
หลากหลายในเชิงบูรณาการ
๓ การเปิดโอกาสให้นักเรียน ได้เข้าพบ เพอื่ ๔.๕๐ ๐.๕๑ มาก ๖
ปรึกษาหารือและให้คำแนะนำ
๔ ผู้สอน คอยดูแลช่วยเหลอื ให้คำแนะนำแก่ ๔.๕๙ ๐.๖๗ มากท่ีสุด ๓
นกั เรยี นในการปฏิบัติงาน
๕ ผูส้ อน มกี ารใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการ ๔.๖๖ ๐.๕๕ มากทสี่ ดุ ๒
สอน เหมาะสม
๖ ส่งเสริมใหน้ ักเรยี น ได้ปฏิบตั ิจรงิ สร้างองค์ ๔.๕๖ ๐.๕๖ มากท่ีสดุ ๔
ความร้ใู หม่ และเน้นใหเ้ รยี นรดู้ ้วยตนเอง
รวม ๔.๕๙ ๐.๔๑ มากท่สี ุด
จากตารางที่ ๔.๑๕ พบว่า ความพึงพอใจของนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูง
พิทยาคม ที่มีต่อจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ ด้านคุณลักษณะครผู ู้สอน โดยรวม ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สดุ ( X =๔.๕๙, S.D.= ๐.๔๑)
เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือข้อ ๒ เทคนิควิธีการถ่ายทอดความรู้และ
กิจกรรมที่หลากหลายในเชิงบรู ณาการ อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๖๙, S.D.= ๐.๔๗) รองลงมา คือ
ข้อ ๕ ผู้สอน มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการสอน เหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๖๖,
S.D.= ๐.๕๕) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือข้อ ๓ การเปิดโอกาสให้นักเรียน ได้เข้าพบ เพื่อ
ปรึกษาหารือและให้คำแนะนำ อยู่ในระดับมาก ( X =๔.๕๐, S.D.= ๐.๕๑) ส่วนข้ออื่น ๆ มีค่าเฉลี่ยที่
ใกล้เคยี งกนั และมคี วามสมั พันธ์กันตามลำดบั
๒๐๖
ตารางท่ี ๔.๑๖ ค่าเฉลยี่ และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานความพงึ พอใจของนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ ๓
โรงเรยี นซำสูงพทิ ยาคม ที่มตี ่อการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ โดยใชก้ ระบวนการแบบอริยสจั ๔
เร่ืองจิตสำนึกสาธารณะ ความเป็นพลเมอื งตามหลักพทุ ธธรรม ดา้ นการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้
ท่ี รายการประเมนิ ระดับความพึงพอใจ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดบั ที่
๓. ดา้ นการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ๔.๕๓ ๐.๖๒ มากทีส่ ดุ ๒
๑ การอธบิ ายและช้แี จงวตั ถปุ ระสงคข์ องการสอน
๔.๕๓ ๐.๖๒ มากทีส่ ดุ ๒
ไว้อยา่ งชัดเจน เชน่ มกี ารอธิบายโครงการสอน ๔.๕๐ ๐.๖๒ มาก ๔
กจิ กรรมการจัดการเรยี นรู้ วธิ ีการวดั และ ๔.๔๗ ๐.๖๗ มาก ๖
ประเมินผล เป็นต้น
๒ รูปแบบการสอน เทคนิควธิ ีการถา่ ยทอดความรู้ ๔.๕๐ ๐.๖๗ มาก ๔
และกจิ กรรมที่หลากหลายในเชงิ บรู ณาการ ๔.๖๓ ๐.๕๕ มากท่สี ดุ ๑
๓ การมีส่วนร่วมในการฝกึ ปฏบิ ัติ นำเสนอหนา้ ๔.๕๓ ๐.๔๘ มากทส่ี ุด
ชน้ั และร่วมอภปิ ราย
๔ กิจกรรมการจดั การเรียนร้หู ลากหลาย ส่งเสรมิ
ทกั ษะการคดิ สอดคล้องและเหมาะสมกับวัย
ของผู้เรียน และสามารถปฏิบัตไิ ด้
๕ การสอดแทรกคุณธรรม จรยิ ธรรม และแนวคิด
เศรษฐกิจพอเพยี งให้แก่ผู้เรยี น
๖ พฒั นาผู้เรยี นใหเ้ กดิ แนวคิดเชิงวิเคราะห์และ
สรา้ งสรรค์
รวม
จากตารางที่ ๔.๑๖ พบว่า ความพึงพอใจของนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสงู
พิทยาคม ที่มีต่อจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยรวม ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๓, S.D.=
๐.๔๘) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือข้อ ๖ พัฒนาผู้เรียนให้เกิดแนวคิดเชงิ
วิเคราะห์และสร้างสรรค์ อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๔๘) รองลงมา คือข้อ ๑ การ
อธบิ ายและช้ีแจงวัตถุประสงคข์ องการสอนไวอ้ ย่างชัดเจน เชน่ มกี ารอธบิ ายโครงการสอนกิจกรรมการ
จัดการเรียนรู้ วิธีการวัดและประเมินผล เป็นต้น และข้อ ๒ รูปแบบการสอน เทคนิควิธีการถ่ายทอด
ความรูแ้ ละกิจกรรมทห่ี ลากหลายในเชงิ บูรณาการ อยูใ่ นระดับมากท่ีสดุ ( X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๖๒) สว่ น
๒๐๗
ด้านท่มี คี า่ เฉลี่ยต่ำสุด คอื ข้อ ๔ กิจกรรมการจัดการเรียนรหู้ ลากหลาย ส่งเสรมิ ทกั ษะการคดิ สอดคล้อง
และเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน และสามารถปฏบิ ัติได้ อยู่ในระดบั มาก ( X =๔.๔๗, S.D.= ๐.๖๗) ส่วน
ข้ออ่ืน ๆ มคี ่าเฉล่ียท่ใี กลเ้ คยี งกนั และมีความสัมพันธ์กันตามลำดบั
ตารางท่ี ๔.๑๗ คา่ เฉล่ีย และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานความพงึ พอใจของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๓
โรงเรยี นซำสูงพทิ ยาคม ทมี่ ีตอ่ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ โดยใชก้ ระบวนการแบบอรยิ สัจ ๔
เรื่องจิตสำนกึ สาธารณะ ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรม ดา้ นสอ่ื การเรยี นรู/้ แหล่ง
การเรียนรู้
ท่ี รายการประเมนิ ระดับความพึงพอใจ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดับท่ี
๔. ดา้ นสอ่ื การเรยี นรู้/แหลง่ การเรยี นรู้ ๔.๓๘ ๐.๖๖ มาก ๖
๑ การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
๔.๕๙ ๐.๕๖ มากท่สี ุด ๓
(ICT)เพอ่ื ช่วยในการสอน เชน่ e-Learning, ๔.๕๓ ๐.๖๒ มากทีส่ ุด ๔
e-mail,Face book, LINEหรอื social
network ตา่ ง ๆ ๔.๔๗ ๐.๕๗ มาก ๕
๒ ให้ข้อมลู ช้แี นะแหล่งคน้ คว้าหาความรู้เพิม่ เติม ๔.๖๖ ๐.๖๐ มากท่สี ุด ๑
สอ่ื อินเทอร์เน็ต/ เวบ็ ไซต์ (Website) ๔.๖๓ ๐.๕๕ มากทส่ี ุด ๒
๓ ๓.ชดุ การสอน เหมาะสม สอดคลอ้ งกับ ๔.๕๔ ๐.๔๒ มากทสี่ ดุ
สาระสำคัญสมรรถนะประจำหน่วย
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้
กจิ กรรมการจดั การเรียนรู้ สือ่ การเรียนร/ู้
แหล่งการเรยี นรู้ การวัดและประเมนิ ผล
๔ Power point ประกอบการบรรยาย การ
สาธติ สอดคล้องกับเนอื้ หาสาระการเรยี นรู้
และจุดประสงค์การเรยี นรู้
๕ ส่อื การเรียนรู้/แหลง่ การเรยี นรู้ สอดคล้องและ
สง่ เสริมให้เกิดการเรียนรตู้ ามเน้ือหาสาระการ
เรยี นรู้ และกิจกรรมการจดั การเรียนรู้
๖ คู่มือ เอกสาร ส่ืออินเทอรเ์ นต็ /เว็บไซตแ์ หลง่
คน้ คว้าหาความรู้เพิม่ เตมิ ดว้ ยตนเอง มีความ
ทนั สมัย จำนวนเพยี งพอ
รวม
๒๐๘
จากตารางที่ ๔.๑๗ พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูง
พิทยาคม ที่มีต่อจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ ด้านส่อื การเรยี นรู้/แหล่งการเรียนรู้ โดยรวม คา่ เฉล่ยี อยใู่ นระดบั มากทส่ี ุด ( X =๔.๕๔, S.D.=
๐.๔๒) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือข้อ ๕ สื่อการเรียนรู้/แหล่งการเรยี นรู้
สอดคล้องและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ตามเนื้อหาสาระการเรียนรู้ และกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ อยู่
ในระดบั มากที่สุด ( X =๔.๖๖, S.D.= ๐.๖๐) รองลงมา คอื ข้อ ๖ คมู่ ือ เอกสาร ส่ืออนิ เทอรเ์ นต็ /เวบ็ ไซต์
แหล่งค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง มีความทันสมัย จำนวนเพียงพอ
อยู่ในระดับมากท่ีสุด ( X =๔.๖๓, S.D.= ๐.๕๕) ส่วนด้านที่มีค่าเฉล่ียต่ำสุด คือข้อ ๑ การใช้เทคโนโลยี
สารสนเทศและการสือ่ สาร (ICT)เพอ่ื ชว่ ยในการสอน เช่น e-Learning, e-mail,Face book, LINEหรือ
social network ต่าง ๆ อยูใ่ นระดบั มาก ( X =๔.๓๘, S.D.= ๐.๖๖) สว่ นข้ออ่นื ๆ มีคา่ เฉลี่ยท่ีใกล้เคียง
กนั และมคี วามสมั พนั ธก์ ันตามลำดับ
ตารางท่ี ๔.๑๘ ค่าเฉลย่ี และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานความพงึ พอใจของนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๓
โรงเรียนซำสงู พิทยาคม ท่ีมตี ่อการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ โดยใชก้ ระบวนการแบบอริยสัจ ๔
เรือ่ งจิตสำนกึ สาธารณะ ความเป็นพลเมอื งตามหลักพุทธธรรม ดา้ นการวัดและประเมนิ ผล
.. ระดบั ความพงึ พอใจ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดับที่
ที่ รายการประเมิน
๕. ดา้ นการวดั และประเมนิ ผล
๑ การวัดและประเมินผลการเรยี นของผเู้ รียนใช้ ๔.๖๓ ๐.๖๖ มากทสี่ ุด ๒
วิธีการที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกดา้ น ทง้ั
ดา้ นพุทธพิ สิ ัย ทักษะพิสยั และจิตพสิ ัย
๒ วธิ ีการประเมินผลการเรยี นร/ู้ งานทจี่ ะใช้ ๔.๖๖ ๐.๕๕ มากที่สุด ๑
ประเมินผลผู้เรียน สามารถวัดและประเมินผล
ไดค้ รบตามทรี่ ะบไุ วใ้ นคำอธิบายรายวิชา
๓ ขอ้ สอบ วัดได้ครอบคลมุ เนื้อหาสาระการ ๔.๕๙ ๐.๖๑ มากทสี่ ุด ๕
เรยี นรู้ และสอดคล้องกบั จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
๔ การระบวุ ิธกี ารประเมนิ ผล สัดสว่ นและ ๔.๕๓ ๐.๖๗ มากท่ีสดุ ๖
ระยะเวลาท่ีเหมาะสม สอดคล้องกบั เนอื้ หา
สาระการเรยี นร้ขู องรายวิชา
๕ เกณฑ์การประเมินมคี วามเทีย่ งธรรม โปรง่ ใส ๔.๖๓ ๐.๖๑ มากทส่ี ดุ ๒
๒๐๙
ตารางที่ ๔.๑๘ (ต่อ) ระดับความพงึ พอใจ (n=๓๒)
X S.D. แปลความ ลำดับที่
ท่ี รายการประเมิน
๔.๖๖ ๐.๕๕ มากที่สุด ๑
๕. ด้านการวดั และประเมนิ ผล
๖ นำผลจากการวัดและประเมนิ ผล ไปใช้ในการ ๔.๖๑ ๐.๕๑ มากทีส่ ุด
พฒั นาสมรรถนะผเู้ รียน
รวม
จากตารางที่ ๔.๑๘ พบว่า ความพึงพอใจของนกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ ๓ โรงเรียนซำสูง
พิทยาคม ที่มีต่อจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ ดา้ นการวดั และประเมินผล โดยรวม ค่าเฉลยี่ อยู่ในระดบั มากท่ีสุด ( X =๔.๖๑, S.D.= ๐.๕๑)
เมอื่ พจิ ารณาเป็นรายข้อ พบวา่ ข้อท่ีมคี า่ เฉลีย่ สงู สุด คือข้อ ๒ วิธกี ารประเมินผลการเรียนรู้/งานท่ีจะใช้
ประเมินผลผเู้ รียน สามารถวดั และประเมนิ ผล ไดค้ รบตามทร่ี ะบไุ วใ้ นคำอธบิ ายรายวิชา อยใู่ นระดับมาก
ที่สุด ( X =๔.๖๖, S.D.= ๐.๕๕) รองลงมา คือข้อ ๑ การวัดและประเมินผลการเรียนของผู้เรียนใช้
วิธีการที่หลากหลาย ครอบคลุมทกุ ด้าน ทัง้ ดา้ นพุทธพิ ิสัย ทักษะพสิ ยั และจติ พิสยั และข้อ ๕ เกณฑก์ าร
ประเมินมีความเที่ยงธรรม โปร่งใส อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๖๓, S.D.= ๐.๖๑)
ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือข้อ ๔ การระบุวิธีการประเมินผล สัดส่วนและระยะเวลาที่เหมาะสม
สอดคล้องกบั เนื้อหาสาระการเรียนรู้ของรายวิชา อย่ใู นระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๖๗) ส่วน
ข้ออนื่ ๆ มคี ่าเฉลี่ยทีใ่ กล้เคียงกันและมคี วามสัมพันธ์กันตามลำดบั
๔.๔ องค์ความรู้จากการวจิ ัย
การศึกษาวิจัย เรื่องการพัฒนาจติ สำนึกความเปน็ พลเมืองของนักเรียนในจงั หวัดขอนแก่น
ตามหลักพทุ ธธรรม ภาคเรยี นท่ี ๒ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๐ ผูว้ จิ ยั ไดอ้ งค์ความรู้จากการวจิ ัย ดังนี้
๔.๔.๑ ประสิทธิภาพแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่อง
จิตสำนกึ สาธารณะ ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรมของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรียนซำ
สูงพิทยาคม ระหว่างเรยี นท้งั หมด (E๑) และประสทิ ธิภาพของผลลัพธ์ (E๒) จากแบบทดสอบระหว่างเรียน
ท้ังหมดและหลังเรยี น จะมคี า่ E๑/ E๒ ทร่ี ะดับ ๘๒.๘๑/๙๕.๕๖
๔.๔.๒ ดัชนีประสิทธิผลแผนการจัดการเรยี นรู้จติ สำนึกสาธารณะความเป็นพลเมืองตาม
หลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูง
พิทยาคม มีค่าดัชนีประสิทธิผลในการเรียนรู้ (E.I.) โดยรวม เท่ากับ ๐.๗๔๑๘ แสดงว่า นักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษา ปีที่ ๓ มีความรู้เพิ่มขึ้น เท่ากับ ๐.๗๔๑๘ หรือคิดเป็นร้อยละ ๗๔.๑๘ เมื่อพิจารณาเป็น
๒๑๐
แผนการจัดการเรียนรู้ พบว่า แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๕ ฆราวาสธรรม ๔ มีคา่ ดัชนีประสิทธิผลในการ
เรียนรู้ มากที่สุด เท่ากับ ๐.๙๓๔๘ แสดงว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓ มีความรู้เพิ่มขึ้น เท่ากับ
๐.๙๓๔๘ หรือคิดเป็นร้อยละ ๙๓.๔๘ รองลงมา คือ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๓ อิทธิบาท ๔
มีค่าดัชนีประสิทธิผลในการเรียนรู้ เท่ากับ ๐.๙๐๕๗ แสดงว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓ มีความรู้
เพิ่มขึ้น เทา่ กับ ๐.๙๐๕๗ หรอื คดิ เป็นร้อยละ ๙๐.๕๗ สว่ นแผนการจดั การเรียนรู้ ทีม่ คี ่าดัชนีประสทิ ธิผล
ในการเรียนรู้ น้อยที่สุด ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑ มรรค ๘ มีค่าดัชนีประสิทธิผลในการเรียนรู้
เท่ากับ ๐.๕๙๐๒ แสดงว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓ มีความรู้เพิ่มข้ึน เท่ากับ ๐.๕๙๐๒ หรือคิด
เป็นรอ้ ยละ ๕๙.๐๒ โดยคา่ ดชั นปี ระสทิ ธิผลในการเรยี นรู้ สงู กว่าเกณฑ์ทกี่ ำหนด
๔.๔.๓ จิตสำนึกสาธารณะตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ผลการประเมิน โดยรวม ค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับ
มากที่สุด (X =๔.๕๒, S.D.= ๐.๓๗) เมือ่ พิจารณาเป็นรายดา้ น พบว่า ดา้ นทีม่ คี ่าเฉล่ยี สงู สดุ คอื ดา้ นการ
อนรุ ักษส์ ่งิ แวดล้อม อยู่ในระดับมากทส่ี ดุ (X =๔.๕๘, S.D.= ๐.๓๙) รองลงมา คือด้านความเสียสละ และ
ด้านความสามัคคี อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๔๖) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือด้าน
ความรบั ผดิ ชอบ อยู่ในระดบั มาก (X=๔.๔๕, S.D.= ๐.๕๑)
๔.๔.๔ ความเป็นพลเมอื งตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๓ โรงเรียน
ซำสูงพิทยาคม ผลการประเมิน โดยรวม ค่าเฉลี่ย อยู่ในระดบั มากที่สุด ( X =๔.๖๐, S.D.= ๐.๓๐) เม่ือ
พิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านคุณธรรม (civic virtue) อยู่ในระดับมาก
ทส่ี ดุ (X =๔.๖๓, S.D.= ๐.๔๓) รองลงมา คอื ด้านกาย (civic Physical) อยู่ในระดับมากท่ีสดุ (X =๔.๖๒,
S.D.= ๐.๓๖) สว่ นด้านทีม่ ีค่าเฉล่ียต่ำสุด คือด้านปญั ญา (civic knowledge) อยู่ในระดบั มากท่ีสดุ (X =
๔.๕๖, S.D.= ๐.๓๗)
๔.๔.๕ ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ที่มีต่อ
จิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ โดยรวม
ค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๗, S.D.= ๐.๔๑) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มี
ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านการวัดและประเมินผล ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (X =๔.๖๕, S.D.= ๐.๔๖)
รองลงมา คือด้านคุณลักษณะครูผู้สอน อยู่ในระดับมากที่สุด (X =๔.๕๙, S.D.= ๐.๔๑) ส่วนด้านที่มี
ค่าเฉล่ียตำ่ สุด คือดา้ นการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ อย่ใู นระดับมากทีส่ ุด (X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๔๘)
บทที่ ๕
สรปุ อภปิ รายผลวิจยั
การศึกษาวิจัย เรื่องการศึกษาวิจัย เรื่องการพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมืองของนักเรยี น
ในจังหวัดขอนแก่นตามหลักพุทธธรรม ภาคเรยี นท่ี ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๐ ผู้วจิ ัย สรปุ อภปิ รายผล และ
ขอ้ เสนอแนะ สาระสำคญั ได้ ดงั นี้
๕.๑ สรปุ ผลการวิจัย
๕.๒ อภิปรายผลการวิจยั
๕.๓ ข้อเสนอแนะ
๕.๑ สรุปผลการวจิ ัย
จากการศึกษาวิจัย การพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมืองของนักเรียนในจังหวัดขอนแก่น
ตามหลักพทุ ธธรรม ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๐ ผู้วจิ ัย สรปุ ผลการวิจยั ได้ ดงั น้ี
๕.๑.๑ ผลการวิเคราะหป์ ระสิทธภิ าพแผนการจัดการเรยี นรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ
๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓
โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ระหว่างเรียนทั้งหมด (E๑) และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E๒) จากแบบทดสอบ
ระหว่างเรียนทั้งหมดและหลังเรียน จะมีค่า E๑/ E๒ ที่ระดับ ๘๒.๘๑/๙๕.๕๖ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ๘๐/๘๐
ทีต่ ้งั ไว้
๕.๑.๒ ผลการวิเคราะหด์ ัชนีประสิทธิผลแผนการจัดการเรียนรจู้ ิตสำนึกสาธารณะความเป็น
พลเมืองตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓
โรงเรียนซำสูงพิทยาคม มีค่าดัชนีประสิทธิผลในการเรียนรู้ (E.I.) โดยรวม เท่ากับ ๐.๗๔๑๘ แสดงว่า
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓ มีความรู้เพิ่มขึ้น เท่ากับ ๐.๗๔๑๘ หรือคิดเป็นร้อยละ ๗๔.๑๘
เมื่อพิจารณาเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ พบว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๕ ฆราวาสธรรม ๔ มีค่าดัชนี
ประสิทธิผลในการเรียนรู้ มากที่สุด เท่ากับ ๐.๙๓๔๘ แสดงว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓
มีความรู้เพิ่มข้นึ เท่ากบั ๐.๙๓๔๘ หรือคิดเปน็ รอ้ ยละ ๙๓.๔๘ รองลงมา คือ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๓
อิทธิบาท ๔ มีค่าดัชนีประสิทธิผลในการเรียนรู้ เท่ากับ ๐.๙๐๕๗ แสดงว่า นักเรียนชั้นมธั ยมศึกษา ปีท่ี
๓ มคี วามรู้เพม่ิ ขน้ึ เทา่ กบั ๐.๙๐๕๗ หรือคิดเปน็ รอ้ ยละ ๙๐.๕๗ สว่ นแผนการจัดการเรียนรู้ ท่มี ีค่าดัชนี
ประสิทธิผลในการเรียนรู้ น้อยที่สุด ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑ มรรค ๘ มีค่าดัชนีประสิทธิผลใน
๒๑๒
การเรียนรู้ เท่ากบั ๐.๕๙๐๒ แสดงว่า นักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษา ปที ่ี ๓ มคี วามร้เู พม่ิ ขึน้ เทา่ กับ ๐.๕๙๐๒
หรือคิดเป็นร้อยละ ๕๙.๐๒ โดยค่าดัชนีประสิทธิผลในการเรียนรู้ สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ส่วนแผนการ
จัดการเรียนรู้อื่น ๆ มีค่าดัชนีประสิทธิผลในการเรียนรู้ สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ใกล้เคียงกันและมี
ความสมั พันธก์ นั ตามลำดับ
๕.๑.๓ ผลการวิเคราะห์จิตสำนึกสาธารณะตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ ของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ผลการประเมิน โดยรวม ค่าเฉล่ีย
อยู่ในระดับมากที่สุด (X =๔.๕๒, S.D.= ๐.๓๗) เมื่อพิจารณาเป็นรายดา้ น พบว่า ด้านที่มีค่าเฉล่ียสูงสดุ
คือด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อยู่ในระดับมากที่สุด (X =๔.๕๘, S.D.=๐.๓๙) รองลงมา คือด้านความ
เสียสละ และด้านความสามัคคี อยู่ในระดับมากที่สุด (X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๔๖) ส่วนด้านที่มีค่าเฉล่ีย
ต่ำสุด คือด้านความรับผิดชอบ อยู่ในระดับมาก (X=๔.๔๕, S.D.= ๐.๕๑) ส่วนด้านอื่น ๆ มีค่าเฉลี่ยที่
ใกล้เคยี งกนั และมคี วามสัมพนั ธก์ นั ตามลำดบั
๕.๑.๔ ผลการวิเคราะห์ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ผลการประเมิน โดยรวม ค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๖๐,
S.D.= ๐.๓๐) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านคุณธรรม (civic virtue)
อยู่ในระดับมากที่สุด (X =๔.๖๓, S.D.= ๐.๔๓) รองลงมา คือด้านกาย (civic Physical) อยู่ในระดับมาก
ที่สุด (X=๔.๖๒, S.D.= ๐.๓๖) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือด้านปัญญา (civic knowledge) อยู่ใน
ระดับมากที่สุด (X=๔.๕๖, S.D.=๐.๓๗) ส่วนด้านอื่น ๆ มีค่าเฉลี่ยทีใ่ กลเ้ คียงกันและมีความสัมพันธ์กัน
ตามลำดบั
๕.๑.๕ ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูง
พิทยาคม ที่มีต่อจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อรยิ สัจ ๔ โดยรวม ค่าเฉลี่ย อย่ใู นระดบั มากท่ีสุด (X =๔.๕๗, S.D.= ๐.๔๑) เมอ่ื พิจารณาเป็นรายด้าน
พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านการวัดและประเมินผล อยู่ในระดับมากที่สุด (X =๔.๖๕, S.D.=
๐.๔๖) รองลงมา คอื ดา้ นคณุ ลักษณะครูผูส้ อน อยู่ในระดบั มากท่สี ดุ (X =๔.๕๙, S.D.= ๐.๔๑) ส่วนด้าน
ที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๔๘)
ส่วนดา้ นอน่ื ๆ มคี ่าเฉลยี่ ท่ใี กลเ้ คยี งกนั และมีความสัมพันธ์กันตามลำดบั
๕.๒ อภปิ รายผลการวจิ ยั
จากการศึกษาวิจัย การพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมืองของนักเรียนในจังหวัดขอนแก่น
ตามหลกั พทุ ธธรรม ดังกลา่ ว สง่ ผลถึง (๑) ประสิทธภิ าพแผนการจดั การเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบ
อรยิ สัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ ความเปน็ พลเมืองตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีที่
๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ (๒) จิตสำนึกสาธารณะตามหลักพุทธ
๒๑๓
ธรรม โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม
สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด จังหวัดขอนแก่น (๓) ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรมของ
นกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓ โรงเรียนซำสงู พทิ ยาคม (๔) ความพงึ พอใจของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี
๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่อง
จติ สำนึกสาธารณะ ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรม ซง่ึ สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ และ (ฉบับที่ ๔)
พ.ศ. ๒๕๖๒ และยังสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๖๐-
๒๕๖๔ แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกระบบและวิธีการ
เรียนได้อย่างเหมาะสมตามศักยภาพตามความสนใจและโอกาสของตน ส่งเสริมให้มีการประสานความ
ร่วมมือเพื่อจัดการศึกษา และพัฒนาหลักสูตรร่วมกันระหว่างสถาบัน สถานศึกษา หน่วยงาน สถาน
ประกอบการและองค์กรตา่ ง ๆ ทงั้ ในระดบั ชมุ ชน ระดบั ทอ้ งถนิ่ และระดับชาติ
๕.๒.๑ ผลการวิเคราะหป์ ระสิทธิภาพแผนการจดั การเรียนรู้ โดยใชก้ ระบวนการแบบอริยสัจ
๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓
โรงเรยี นซำสูงพิทยาคม ระหวา่ งเรียนทั้งหมด (E๑) และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E๒) จากแบบทดสอบ
ระหว่างเรียนทั้งหมดและหลังเรียน จะมีค่า E๑/ E๒ ที่ระดับ ๘๒.๘๑/๙๕.๕๖ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ๘๐/๘๐
ที่ตั้งไว้ สอดคล้องกับการศึกษาของ พระมหาพุทธินันทน์ อภินันฺโท๑ ได้ศึกษาการพัฒนาโปรแกรม
บทเรียนตามแนวคิดอริยสัจ ๔ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหา วิชาพระพุทธศาสนา ชั้น
มธั ยมศึกษาปีที่ ๓ ผลการวจิ ยั พบว่า โปรแกรมบทเรียนตามแนวคิดอรยิ สัจ ๔ วิชาพระพุทธศาสนา ชั้น
มัธยมศึกษาปีท่ี ๓ มีประสิทธิภาพ (E๑/E๒) เท่ากับ ๘๓.๙๙/๘๑.๙๗ ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้
๘๐/๘๐ สว่ นการศึกษาของ ดษุ ฎี สีตลวรางค๒์ ไดศ้ กึ ษา เร่ืองการเปรยี บเทียบวธิ สี อนแบบไตรสิกขา และ
แบบธรรมสากัจฉาในการสอบเบญจศีลและฆราวาสธรรม ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ผลการวิจัย พบว่า
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนกั เรยี นท่ีเรียนจากวธิ สี อนแบบธรรมสากจั ฉาสูงกว่ากลุ่มท่เี รียนจากวิธีสอน
แบบไตรสิกขา ส่วนการใช้หลักธรรมในการแก้ปัญหาเชิงจริยธรรมนั้น นักเรียนที่เรียนจากวิธีสอน
แบบไตรสิกขา มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่านักเรียนที่เรียนจากวิธีสอนแบบธรรมสากัจฉา อย่างมีนัยสำคัญ
๑ พระมหาพุทธินันทน์ อภินันฺโท. การพัฒนาโปรแกรมบทเรียนตามแนวคิดอริยสัจ 4 เพื่อส่งเสริมความ
สามารถในการแกป้ ญั หา วชิ าพระพุทธศาสนาชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 3. วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม,
ปีที่ 12 ฉบบั ที่ 2 (เมษายน - มิถุนายน ๒๕๖๑) ๒๔๑, หน้า ๑๖๙-๑๘๐.
๒ ดุษฎี สีตลวรางค์. การเปรียบเทียบวิธีสอนแบบไตรสิกขาและแบบธรรมสากัจฉาในสอนเบญจศีลและ
ฆราวาสธรรม ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๑. (กรุงเทพฯ. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร, ๒๕๒๕),
หนา้ บทคัดยอ่ .
๒๑๔
ที่สถิติ .๐๑ สำหรับการศึกษาวิจยั ของ วรรณา สุติวิจติ ร๓ ได้ศึกษา เรื่องการทดลองสอนจริยศึกษาโดย
การสร้างศรัทธาแก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ผลการศึกษา พบว่า ความคิดรวบยอดเชิงจริยธรรม
ของนักเรียนที่ครูสอนตามแผนการสอนปกติ และที่ครูสอนโดยสร้างศรัทธาตามแนวพุทธวิธี มีความ
แตกต่างกนั อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทีร่ ะดับ ๐๕ และนกั เรียนท่ีเรยี นตามแผนการสอนปกติกับนักเรียน
ท่ีเรยี นตามแผนการสอนโดยการสร้างศรทั ธา มีการเรียนรูโ้ ดยมชั ฌมิ าเลขคณติ คะแนนหลังสอบสูงกว่า
ก่อนสอนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ สอดคล้องกับ ศิวพร เสนีวงศ์ ณ อยุธยา๔ ได้ศึกษา
เปรียบเทียบความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ชั้นมัธยม
ศึกษาปีที่ ๒ โดยวิธีสอนตามขั้นทั้งสี่ของอริยสัจ ๔ กับการสอนตามคู่มือครู สรุปได้ว่า ความสามารถ
ในการคิดแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมแตกต่างกันอย่างมี
นยั สำคัญทางสถติ ิทร่ี ะดบั .๐๑
จากการศึกษาวิจยั ของ สุคนธ์ สินธพานนท์๕ ไดศ้ ึกษาการใชว้ ธิ สี อนแบบธรรมสากัจฉา เพื่อ
สร้างศรัทธาและวิธีคิดตามหลักพุทธธรรมแก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ รายวิชา ส ๐๑๑๓
พระพุทธศาสนา โรงเรยี นบดนิ ทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ผลการวิจัย พบว่า นกั เรยี นมีวิธีคิดแบบสืบสาว
เหตุปัจจัยหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑ และพฤติกรรม
ด้านการเรียน การทำงาน และความเป็นกัลยาณมิตร มีการพัฒนาขึ้นมากจากการประเมินโดยตรงโดย
เพื่อนและผู้สอน สอดคล้องกับการศึกษาของ สมนึก ปฏิปทานนท์๖ ได้ศึกษาวิจัยการเปรียบเทียบ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมบุคลิกภาพประชาธิปไตยและทักษะกระบวนการกลุ่มของนักเรียนช้ัน
มธั ยมศึกษาปที ่ี ๑ ระหวา่ งกลุ่มที่ใช้วธิ ีสอนแบบสตอรไี่ ลน์ แบบการใช้การวิจยั เป็นฐานและแบบปกติ ซง่ึ
ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนที่เรียนวิชาสังคมศึกษาด้วยวิธีสตอรี่ไลน์ มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียน คะแนนเฉลยี่ บุคลิกภาพประชาธิปไตย และคะแนนเฉล่ยี ทักษะกระบวนการกลุ่ม ทปี่ รบั แก้ด้วยตัว
แปรร่วมไม่แตกต่างจากนักเรียนกลุ่มทีเ่ รียนปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ และนักเรียนที่
เรียนวิชาสังคมศึกษาด้วยวิธีการใช้การวิจัยเป็นฐาน มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คะแนน
๓ วรรณา สุติวิจิตร. การทดลองสอนจริยธรรมโดยการสร้างศรัทธาแก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓.
(กรุงเทพฯ. จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๒๗), หน้า บทคัดยอ่ .
๔ ศิวพร เสนีวงศ์ ณ อยุธยา. การเปรียบเทียบความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โดยวิธีการขั้นที่ ๔ ของอริยสัจกับการสอนตามคู่มอื ครู. (กรุงเทพฯ. คณะศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทร วิโรฒประสานมติ ร. ๒๕๒๙), หนา้ บทคัดย่อ.
๕ สุคนธ์ สินธพานนท์. นวัตกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาคุณภาพของเยาวชน. (พิมพ์ครั้งที่ ๔).
(กรุงเทพฯ: ๙๑๑๙ เทคนิคพรน้ิ ติง้ , ๒๕๕๓), บทคัดย่อ
๖ สมนกึ ปฏปิ ทานนท.์ การเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นวิชาสงั คมศึกษาบุคลกิ ภาพประชาธิปไตย
และทักษะกระบวนการกลุ่มของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ระหว่างกลุ่มที่ใช้วิธีการสอนแบบการใช้วิจัยเป็น
ฐานและแบบปกต.ิ รายงานการวิจัย. (กรงุ เทพฯ : คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๙), หน้า บทคัดยอ่ .
๒๑๕
เฉลี่ยบุคลิกภาพประชาธิปไตย และคะแนนเฉลี่ยทักษะกระบวนการกลุ่ม ที่ปรับแก้ด้วยตัวแปรร่วมไม่
แตกต่างจากนักเรียนกลุ่มที่เรียนปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ สอดคล้องกับ จารุวรรณ
ยิ่งยงค์๗ ได้ศึกษาวิจัย เรื่องการพัฒนาคุณลักษณะความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของ
นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ ๑ ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้สืบสวนโดยใช้กระบวนการกลุ่ม พบว่า
พัฒนาการคุณลักษณะความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๑
ระหว่างเรียนด้วยรูปแบบการจดั การเรียนรู้สืบสวนโดยใช้กระบวนการกลุ่ม มีพัฒนาการจากระดับปาน
กลางไปสูง และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ หลังเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้สืบสวนโดยใช้กระบวนการกลุ่ม สูงกว่า
กอ่ นเรียนอยา่ งมีนยั สำคัญทางสถติ ิ ที่ระดับ .๐๕
๕.๒.๒ ผลการวเิ คราะห์ดชั นีประสทิ ธิผลแผนการจัดการเรยี นรจู้ ิตสำนึกสาธารณะความเป็น
พลเมืองตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓ โรง
เรียนซำสูงพิทยาคม มีค่าดัชนีประสิทธิผลในการเรียนรู้ (E.I.) โดยรวม เท่ากับ ๐.๗๔๑๘ แสดงว่า
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ มีความรู้เพิ่มขึ้น เท่ากับ ๐.๗๔๑๘ หรือคิดเป็นร้อยละ ๗๔.๑๘
เมื่อพิจารณาเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ พบว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๕ ฆราวาสธรรม ๔ มีค่าดัชนี
ประสิทธิผลในการเรียนรู้ มากที่สุด เท่ากับ ๐.๙๓๔๘ แสดงว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓
มคี วามรเู้ พิม่ ข้ึน เท่ากบั ๐.๙๓๔๘ หรอื คิดเปน็ ร้อยละ ๙๓.๔๘ รองลงมา คือ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๓
อิทธิบาท ๔ มีค่าดัชนีประสิทธิผลในการเรียนรู้ เท่ากับ ๐.๙๐๕๗ แสดงว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่
๓ มคี วามรู้เพมิ่ ขึ้น เท่ากับ ๐.๙๐๕๗ หรอื คดิ เป็นร้อยละ ๙๐.๕๗ สว่ นแผนการจดั การเรยี นรู้ ทม่ี ีค่าดัชนี
ประสิทธิผลในการเรียนรู้ น้อยที่สุด ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑ มรรค ๘ มีค่าดัชนีประสิทธิผลใน
การเรยี นรู้ เท่ากบั ๐.๕๙๐๒ แสดงวา่ นกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษา ปีท่ี ๓ มคี วามร้เู พ่ิมข้ึน เท่ากับ ๐.๕๙๐๒
หรือคิดเป็นร้อยละ ๕๙.๐๒ โดยค่าดัชนีประสิทธิผลในการเรียนรู้ สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ส่วนชุดการ
สอนอ่นื ๆ มคี ่าดชั นปี ระสิทธิผลในการเรียนรู้ สูงกว่าเกณฑ์ท่กี ำหนด ใกลเ้ คียงกนั และมีความสัมพันธ์กัน
ตามลำดับ สอดคล้องกับการศึกษาของ พระมหาพุทธินันทน์ อภินันฺโท๘ ได้ศึกษาการพัฒนาโปรแกรม
บทเรียนตามแนวคิดอริยสัจ ๔ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหา วิชาพระพุทธศาสนา ช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ ๓ ผลการวิจัย พบว่า ดัชนีประสิทธิผลของการเรียนด้วยโปรแกรมบทเรียนตามแนวคิด
อริยสัจ ๔ มีค่าเท่ากับ .๖๔๐๐ หรือคิดเป็นร้อยละ ๖๔ และยังสอดคล้องกับ นฤมล นาดสูงเนิน
๗ จารุวรรณ ยิ่งยงค์. การพัฒนาคุณลักษณะความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปี ท่ี 1 ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้สบื สวนโดยใช้กระบวนการกลุ่ม. (สาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา
บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร, ๒๕๕๘).
๘ พระมหาพุทธินันทน์ อภินันฺโท. การพัฒนาโปรแกรมบทเรียนตามแนวคิดอริยสัจ 4 เพื่อส่งเสริมความ
สามารถในการแกป้ ญั หา วชิ าพระพุทธศาสนา ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 3. วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม,
ปีที่ 12 ฉบบั ท่ี 2 (เมษายน - มิถนุ ายน ๒๕๖๑) ๒๔๑, หน้า ๑๖๙-๑๘๐.
๒๑๖
(๒๕๕๒)๙ ได้ศึกษา เรื่องการพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมเรียนรู้วิชาบัญชี เบื้องต้น ๑ เรื่องสินทรัพย์
หนี้สิน ส่วนของเจ้าของ (ทุน) ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ ๑ โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบกลุ่ม
ร่วมมือ (STAD) พบว่า ดัชนีประสิทธิผลของแผนการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ
(STAD) เรื่องสินทรัพย์ หนี้สินส่วนของเจ้าของ (ทุน) พัฒนาขึ้น มีค่าเท่ากับ ๐.๖๖๘๗ แสดงว่า ผู้เรียนมี
ความก้าวหน้าทางการเรยี นคิดเป็นร้อยละ ๖๖.๘๗
จากการศึกษาวิจัยของ ปฐมพงษ์ พืชสิงห์๑๐ ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดย
วิธีการสอนแบบร่วมมือ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่องวันสำคัญทาง
พระพุทธศาสนา ชั้นประถมศึกษาปี ที่ ๕ พบว่า ค่าดัชนีประสิทธิผลมีค่าเท่ากับ ๐.๗๒๒๗ แสดงว่า
ผเู้ รียนมคี ะแนนผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนเพม่ิ ขึ้นคดิ เป็นร้อยละ ๗๒.๒๗
๕.๒.๓ ผลการวิเคราะห์จิตสำนึกสาธารณะตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ ของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม ผลการประเมิน โดยรวม ค่าเฉล่ยี
อยู่ในระดับมากที่สุด (X=๔.๕๒, S.D.= ๐.๓๗) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสงู สดุ
คือด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อยู่ในระดับมากที่สุด (X =๔.๕๘, S.D.= ๐.๓๙) รองลงมา คือด้านความ
เสียสละ และด้านความสามัคคี อยู่ในระดับมากที่สุด (X=๔.๕๓, S.D.= ๐.๔๖) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ย
ต่ำสุด คือด้านความรับผิดชอบ อยู่ในระดับมาก (X =๔.๔๕, S.D.= ๐.๕๑) ส่วนด้านอื่น ๆ มีค่าเฉลี่ยที่
ใกล้เคียงกันและมีความสัมพันธ์กันตามลำดับ สอดคล้องกับการศึกษาของ วราพร วันไชยธนวงศ์
ประกายแก้ว ธนสุวรรณ และวรรณภา พิพัฒน์ธนวงศ์๑๑ ไดศ้ ึกษาวจิ ัย เรอ่ื งการพัฒนากระบวนการสร้าง
จิตอาสาของนกั ศึกษาพยาบาลวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี เชียงใหม่ พบว่า นักศึกษาใหค้ วามหมาย
จิตอาสา เป็นความสมัครใจ เต็มใจ ตั้งใจทำและเสียสละท้ังแรงกายและแรงใจ หรือทรัพย์สินในการทำ
กิจกรรมหรือสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน และมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น
กระบวนการสร้างจิตอาสา มี ๔ ประเด็น คือ (๑) ปลูกฝังให้ ตระหนักถึงความสำคัญของจิตอาสา (๒)
การเตรียมความพร้อมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ ด้านความรู้ และการติดต่อสื่อสาร (๓) การสร้างความ
๙ นฤมล นาดสงู เนนิ . การพฒั นาแผนการจัดการเรียนรูรายวชิ าการบัญชีเบื้องตน ๑ เรอ่ื งสินทรัพยหนี้สิน
และสวนของเจาของ (ทุน) โดยใชรปแบบการเรียนรูแบบกลุมรวมมือ(STAD). (สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน
มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, ๒๕๕๒).
๑๐ ปฐมพงษ์ พืชสิงห์. การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยวิธีการสอนแบบร่วมมือ กลุม่ สาระการเรียนรู้
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่องวันสำคัญทางพระพทุ ธศาสนาชัน้ ประถมศึกษาปีที่ ๕. (สาขาวิชาหลักสตู ร
และการสอน มหาวทิ ยาลัยราชภัฏ มหาสารคาม, ๒๕๕๓).
๑๑ วราพร วันไชยธนวงศ์ ประกายแก้ว ธนสุวรรณ และวรรณภา พิพัฒน์ธนวงศ์. การพัฒนากระบวนการ
สร้างจิตอาสาของนักศึกษาพยาบาล (วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี เชียงใหม่. ในเอกสารการประชุมวิชาการ
ระดับชาติ เรื่องการปฏิบัติสู่นวัตกรรมและวิจัย วันที่ ๒๘- ๒๙ เมษายน ๒๕๕๑ ณ โรงแรมเซนทารา ดวงตะวัน.
สืบค้นเมื่อ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙, จากhttp://www.bcnc.ac.th/History/ information/ publicin.php%๒๕
month=&/December ๒๕๕๑/๑๑-๐๘-๒๐๐๘%๒๐.doc, ๒๕๕๑), หน้า บทคัดย่อ.
๒๑๗
เชื่อมั่นในตน และ (๔) การเข้าร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ประสบการณ์ต่อการพัฒนาด้านจิตอาสา คือ
ทำให้ได้รับการพัฒนาให้เปน็ คนเก่ง คนดี และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และเกิดความภาคภมู ิใจในตนเอง
และยังสอดคล้องกับ ภาวดี รามสิทธิ์๑๒ ศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมือง
กรณีศึกษานักศึกษาในสถาบันผลิตบัณฑิตทางการพยาบาล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการ
อุดมศึกษาเอกชน ผลการวิจัย พบว่า ก่อนดำเนินการจัดการเรียนการสอนระดับจิตสำนึกด้านการ
ตัดสินความถูกตอ้ งและการตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อเหตุการณ์อยูใ่ นระดับปานกลาง และความเอน
เอียงเชิงบวกที่จะทำตามเหตุการณ์อยู่ในระดับค่อนข้างมากทั้ง ๒ ปีการศึกษา และหลังดำเนินการ
จัดการเรียนการสอน ระดับจิตสำนึกด้านการตัดสินความถูกต้องของพฤติกรรม อยู่ในระดับค่อนข้างสูง
ความเอนเอียงเชิงบวกที่จะทำตามเหตุการณ์อยู่ในระดับสูง และการตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อ
เหตกุ ารณอ์ ยใู่ นระดับปานกลาง
ส่วนการศึกษาของ Claudette ได้ศึกษาเรื่อง "The Degree of World mindedness
Exhibited in School with Varying Emphasis on Global Education" ทั้งนี้เพื่อศึกษาเกี่ยวกับ
ระดับของความรู้สึกหว่ งใยในโลกของนักเรยี นในโรงเรียนที่เรียนด้วยการเน้นเกี่ยวกับสกลทรรศน์ศึกษา
พบว่า ไม่มีความแตกต่างในระดับของความรู้สึกห่วงใยต่อโลกจากนักเรียนในโรงเรียนทั้ง ๓ ประเภท
แต่มีข้อสรุปโดยการตั้งประเด็นที่ควรคิดว่าสาเหตุที่หลักสูตรที่วางไว้ เพื่อให้การเรียนรู้เกี่ยวกับ
สกลทรรศน์ศึกษา ไม่ได้ผลเท่ากับหลักสูตรที่ไม่ได้เน้นเรื่องนี้ เป็นเพราะโรงเรียนต่าง ๆ ได้เน้นเรื่องที่
ควรรู้เกี่ยวกับโลกมากพอหรือไม่ โรงเรียนทั้งหลายกำลังเน้นความสำคัญในประเด็นข้อโต้แย้งเกี่ยวกับ
โลกโดยไม่สนใจเร่ืองอ่นื ๆ จรงิ หรอื ไม่ สอดคลอ้ งกบั การศึกษาของ ปณั พร ศรปี ลงั่ ๑๓ ได้ศกึ ษาวจิ ัย เร่ือง
การพัฒนากิจกรรมเพื่อส่งเสริมจิตสาธารณะสำหรับนักศึกษาครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ
มหาสารคาม พบว่า (๑) กิจกรรมเพื่อส่งเสริมจิตสาธารณะสำหรับนักศึกษาครุศาสตร์ ที่ผู้วิจัยออกแบบ
โดยใช้วิธีสอนแบบการคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ดี ประกอบด้วย ๔ ขั้นตอน คือขั้นสร้างความเชื่อมโยง
(Connection) ขั้นการซักถามการเรียนรู้ (Questioning) ขั้นสะท้อนตนเอง (Self-reflecting) และขั้น
ซักถามเกี่ยวกับความจริงหรือ ความสามารถในการเชื่อถือได้ (Questioning the truth
or believability) (๒) ผลการใช้กิจกรรมพัฒนาจิตสาธารณะ พบว่า หลังการทดลองนักศึกษาคณะ
ครุศาสตร์ มีคะแนนเฉลีย่ จิตสาธารณะเพิ่มขึ้น มากกว่าก่อนเรียนอย่างมนี ยั สำคัญทางสถิติ (p-value =
๑๒ ภาวดี รามสิทธ์ิ และคณะ. การพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมือง กรณีศึกษานักศึกษาในสถาบันผลิต
บัณฑิตทางการพยาบาล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาเอกชน. คณะพยาบาลศาสตร์ (วิทยาลัยเซนต์
หลุยส์, ๒๕๕๔), หนา้ บทคัดย่อ.
๑๓ ปัณพร ศรปี ลัง่ . การพฒั นากจิ กรรมเพ่ือสง่ เสริมจิตสาธารณะสำหรับนักศกึ ษาครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัย
ราชภัฏมหาสารคาม. ปริญญาปรชั ญาดุษฎีบัณฑิต, (สาขาวิชาเทคโนโลยี การศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย
บรู พา, ๒๕๕๙), หนา้ จ.
๒๑๘
๐.๐๑) โดยมีผลต่างของคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ๒๐.๑๖ คะแนน และยังสอดคล้องกับ นฤมล ช่องชนิล๑๔
ได้ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีจิตสาธารณะของนักศึกษาวิทยาลัยเซนต์หลุยส์ พบว่า (๑) การศึกษา
ระดับจิตสาธารณะของนักศึกษาวิทยาลัยเซนต์หลุยส์ พบว่า ส่วนใหญ่เป็น เพศหญิง โดยภาพรวม
(ค่าเฉลี่ย เท่ากับ ๓.๘๙) อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมาก ทุกด้าน
เรียงลำดับ ดังนี้ ด้านการมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา ด้านการเคารพสิทธิในการใชส้ ิ่งของส่วนรวม และ
ด้านความตระหนกั ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นต่อส่วนรวม (ค่าเฉลี่ยเทา่ กับ ๔.๐๙, ๓.๙๙, ๓.๕๘) (๒) การศึกษา
เปรียบเทียบจิตสาธารณะของนักศึกษา จำแนกตามสถานภาพของนักศึกษา พบว่า นักศึกษาที่มีชั้นปี
ตา่ งกัน โดยรวม มจี ติ สาธารณะแตกต่างกันอย่างมนี ัยสำคัญทางสถิตทิ ่ีระดับ ๐.๐๕ โดยนักศึกษาชั้นปีท่ี
๔ มีจิตสาธารณะสงู กวา่ ชั้นที่ ๓, ๒ และ ๑ และ พบว่า นักศึกษาที่เรียนคณะวชิ าต่างกันมีจิตสาธารณะ
โดยรวมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ และ (๓) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีจิต
สาธารณะของนักศึกษา พบว่า การสนับสนุนทางสังคม (β = ๐.๒๖๗) อัตมโนทัศน์ (β = ๐.๑๙๘) และ
เหตผุ ลเชงิ จริยธรรม (β = ๐.๓๓๑) ส่งผลตอ่ จติ สาธารณะอย่างมีนยั สำคัญทางสถิตทิ ่รี ะดบั .๐๑
๕.๒.๔ ผลการวิเคราะห์ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีท่ี ๓ โรงเรยี นซำสูงพทิ ยาคม ผลการประเมนิ โดยรวม ค่าเฉลีย่ อย่ใู นระดบั มากท่สี ุด (X =๔.๖๐, S.D.=
๐.๓๐) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านคุณธรรม (civic virtue) อยู่ใน
ระดับมากที่สุด (X =๔.๖๓, S.D.= ๐.๔๓) รองลงมา คือด้านกาย (civic Physical) อยู่ในระดับมากที่สุด
( X =๔.๖๒, S.D.= ๐.๓๖) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือด้านปัญญา (civic knowledge) อยู่ในระดับ
มากที่สุด ( X =๔.๕๖, S.D.= ๐.๓๗) ส่วนด้านอื่น ๆ มีค่าเฉลี่ยที่ใกล้เคียงกันและมีความสัมพันธ์กัน
ตามลำดับ สอดคล้องกับ พระมหาพุทธินันทน์ อภินันฺโท๑๕ ได้ศึกษาการพัฒนาโปรแกรมบทเรียนตาม
แนวคิดอรยิ สัจ ๔ เพอื่ สง่ เสรมิ ความสามารถในการแก้ปญั หา วิชาพระพุทธศาสนา ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๓
ผลการวิจัย พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยโปรแกรมบทเรียนตามแนวคิดอริยสัจ ๔ วิชา
พระพุทธศาสนา ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๓ นกั เรียนมีความพงึ พอใจ เฉล่ยี เทา่ กับ ๔.๕๑ อยใู่ นระดบั พงึ พอใจ
มากที่สุด สอดคล้องกับ ภาวดี รามสิทธ์ิ๑๖ ศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมือง
๑๔ นฤมล ช่องชนิล. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีจิตสาธารณะของนักศึกษาวิทยาลัยเซนต์หลุยส์. คณะศิลปะ
ศาสตร์ วิทยาลัยเซนต์หลุยส์. วารสารปัญญาภิวัฒน์. ปีที่ 8 ฉบับพิเศษ ประจำเดือน สิงหาคม 2559, หน้า ๑๙๘-
๒๐๖.
๑๕ พระมหาพุทธินันทน์ อภินันฺโท. การพัฒนาโปรแกรมบทเรียนตามแนวคิดอริยสัจ 4 เพื่อส่งเสริมความ
สามารถในการแก้ปญั หา วิชาพระพุทธศาสนา ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม,
หนา้ ๑๖๙-๑๘๐.
๑๖ ภาวดี รามสิทธ์ิ. การพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมือง กรณีศึกษานักศึกษาในสถาบันผลิต บัณฑิต
ทางการพยาบาล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาเอกชน. คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยเซนต์หลุยส์,
๒๕๕๔)บทคดั ยอ่ (๒๕๕๔: บทคัดยอ่
๒๑๙
กรณีศึกษานักศึกษาในสถาบันผลิตบัณฑิตทางการพยาบาล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการ
อดุ มศึกษาเอกชน ผลการทดสอบสมมติฐานการวจิ ยั พบว่า (๑) นักศกึ ษากล่มุ ทเี่ รียนวชิ าการพัฒนาตน
สู่สังคมด้วยรูปแบบการส่งเสริมจิตสำนึกความเป็นพลเมืองประชาธิปไตย มีคะแนนการประเมินระดับ
จิตสำนึกความเป็นพลเมืองภายหลังการเรียนการสอนสูงกว่าก่อนการเรียนการสอน เฉพาะด้านการ
ตัดสินความถูกต้องของพฤติกรรม และด้านความเอนเอียงเชิงบวกที่จะทำตามเหตุการณ์ อย่างมี
นัยสำคญั ทางสถิตทิ ่ีระดบั .๐๕ ซงึ่ เป็นไปตามสมมติฐานการวิจยั เพียงบางส่วน และ (๒) นักศึกษากลุ่มที่
เรียนวิชาการพัฒนาตนสู่สังคมด้วยรูปแบบการเสริมจิตสำนึกความเป็นพลเมืองประชาธิปไตย ที่ได้รับ
การปรับปรุงรูปแบบโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มีคะแนนการประเมินระดับจิตสำนึกความเป็นพลเมืองสูง
กว่า นักศึกษากลุ่มท่ีเรียนด้วยรูปแบบการเสริมจิตสำนึกความเป็นพลเมืองประชาธิปไตยก่อนการ
ปรับปรุงโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เฉพาะด้านการตัดสินความถูกต้องของพฤติกรรม อย่างมีนัยสำคัญท่ี
ระดับ .๐๕ แต่ด้านความเอนเอียงที่จะทำตามพฤติกรรม และด้านการตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อ
เหตกุ ารณพ์ บวา่ มคี า่ เฉลี่ยแตกต่างกันอย่างไม่มนี ัยสำคญั ทางสถิติ จงึ ยอมรับสมมติฐานการวิจยั บางส่วน
ส่วนการศึกษาของ สติธร ธนานิธิโชติ๑๗ ได้ศึกษาวิจัย เรื่ององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกบั
การพัฒนาความเป็นพลเมืองเพื่อปฏิรูปประเทศไทย พบว่า บทบาทที่สำคัญขององค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่นประการหนึ่งคือ การสร้างสำนึกความเป็นพลเมือง บทความชิ้นนี้ แบ่งการนำเสนอออกเป็น ๔
ส่วน ประกอบด้วย ส่วนแรก เป็นการพิจารณาคุณลักษณะของพลเมืองในสังคมประชาธิปไตยในเชิง
ทฤษฎี สว่ นทสี่ อง นำเสนอมุมมองของบุคคลทที่ ำงานในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินท้ังในฐานะผู้บริหาร
สมาชิกสภา และพนักงานข้าราชการ เกี่ยวกับคุณลักษณะของพลเมืองในสังคมประชาธิปไตย ซ่ึง
ประมวลมาจากการระดมความคิดเห็น (focus group) ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เข้าร่วม
สมัชชาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อการปฏิรูประดับพื้นที่ซึ่งได้มีการจัดขึ้นใน ๔ ภูมิภาค รวม ๑๓
เวทีทั่วประเทศ ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ ส่วนที่สาม เป็นการอภิปรายมุมมองท่ี
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรมีต่อพลเมืองในท้องถิ่นของตนเอง ส่วนที่สี่ เป็นข้อเสนอบทบาทของ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมการสร้างความเป็นพลเมืองในสังคมประชาธิปไตย ซึ่ง
สามารถสรุปบทบาทที่สำคัญได้เป็น ๓ ประการ คือ (๑) การเปิดกลไกการทำงานขององค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นเพื่อให้ประชาชนเข้ามามสี ่วนร่วมอย่างกว้างขวาง (๒) การเป็นแกนประสานและหนุนเสริม
กระบวนการสรา้ งสำนึกความเป็นพลเมืองในสังคมประชาธปิ ไตยร่วมกับสถาบนั การศึกษา และภาคส่วน
อื่น ๆ ในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง และ (๓) การให้คำปรกึ ษาและสนบั สนุนการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนใน
ท้องถิ่นเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปกฎหมายเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน สอดคล้องกับ
การศึกษาของ
๑๗ สติธร ธนานิธิโชติ. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับการพัฒนาความเป็นพลเมืองเพื่อปฏิรูปประเทศไทย.
(กรงุ เทพฯ: สำนักวิจยั และพัฒนา สถาบนั พระปกเกลา้ , ๒๕๕๕), หน้า บทคดั ย่อ.
๒๒๐
กมลวรรณ คารมปราชญ์๑๘ ได้ศึกษาวิจัย เรื่องบทบาทของครอบครัวในการปลูกฝังและพัฒนาความ
เป็นพลเมืองดีตามระบอบประชาธิปไตยให้กับเด็กและเยาวชน พบว่า การสร้างความเป็นพลเมืองดี
ให้กับคนในสังคมถือเป็นวิธีการที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการทำให้การปกครองระบอบประชาธิปไตย
ของประเทศมีความมัน่ คง โดยครอบครวั ถือวา่ เป็นสถาบันทางสังคมที่มีสว่ นสำคัญในการอบรมบ่มนิสัย
ปลูกฝงั ความเช่ือ ค่านยิ ม คุณธรรม จริยธรรมและศีลธรรมอนั ดงี ามให้กบั เด็กรวมไปถึงปลูกฝังและพัฒนา
ความเป็นพลเมืองดีตามระบอบประชาธิปไตย อันประกอบไปด้วย ความรับผิดชอบต่อตนเองและ
พึ่งตนเองได้ การเคารพผู้อื่น การเคารพความแตกต่าง การเคารพความเสมอภาค การเคารพกติกาหรอื
เคารพกฎหมาย และความรับผิดชอบต่อสังคมและส่วนรวม พบว่า วิธีการสำคัญที่ครอบครัวควรใช้ใน
การถ่ายทอดความเป็นพลเมืองดีตามระบอบประชาธิปไตยประกอบไปด้วย (๑) การอบรมเลี้ยงดูแบบ
ประชาธิปไตยที่เป็นผลรวมของการอบรมเลี้ยงดูแบบรักสนับสนุนและแบบใช้เหตุผล และ (๒) การเป็น
แบบอย่างที่ดีของบิดามารดาในการเป็นพลเมืองดีตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งทั้ง ๒ วิธีการนี้ จะช่วย
ให้บุตรได้รับการปลูกฝังเจตคติและพฤติกรรมแบบประชาธิปไตยตั้งแต่อยู่ในช่วงวัยเด็กและจะส่งผล
ต่อเน่อื งไปตลอดชว่ งชวี ติ
จากการศึกษาวิจัยของ สุจิตรา วันทอง๑๙ ได้ศึกษาการวิจัยและพัฒนาการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้โดยใช้การวิจัยเป็นฐานเพื่อพัฒนาคุณลักษณะพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตยของนักเรียน
ประถมศึกษา พบว่า (๑) สภาพปัจจุบัน คือครูมีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณลักษณะ
พลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตยของนกั เรียนและมีความสำเร็จอยู่ในระดับสูง โดยการจัดกิจกรรมใช้สื่อท่ี
หลากหลาย ปัญหาที่ครู พบ คือความไม่พร้อมของนักเรียนและงบประมาณสนับสนุนการจัดกจิ กรรมท่ไี ม่
เพียงพอ และครูมีการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยและมีความ สำเร็จอยู่ในระดับปานกลาง
ปัญหาคือ ครูขาดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการวิจัย และขาดทัศนคติที่ดีต่อการวิจัย (๒) แผนการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การวิจัยเป็นฐานเพื่อพัฒนาคุณลักษณะพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตยของ
นักเรียนระดับประถมศึกษาที่พัฒนาขึ้น มีกระบวนการเรียนรู้ ๔ ขั้นตอน คือ การตีความ และการ
กำหนดปญั หา การวางแผนงาน การดำเนนิ งานตามแผน และการนำผลทไ่ี ด้ไปใชแ้ กป้ ัญหา ประกอบด้วย
หน่วยการเรียนรู้ ๓ หนว่ ย คือเรียนร้ปู ระชาธิปไตย ใสใ่ จส่วนรวม และรว่ มสืบสานความเป็นไทย และ (๓)
นักเรียนที่เรียนรู้ตามแผนการจัดกิจกรรมที่พัฒนาขึ้นมีค่าเฉลี่ยของคะแนนของคุณลักษณะพลเมืองดี
ตามวิถีประชาธิปไตยด้านพุทธิพิสัยและด้านจิตพิสัยสูงกว่านักเรียนที่เรียนตามแผนแบบปกติอย่างมี
๑๘ กมลวรรณ คารมปราชญ์. บทบาทของครอบครัวในการปลูกฝังและพัฒนาความเป็นพลเมืองดีตาม
ระบอบประชาธิปไตยให้กับเด็กและเยาวชน. วารสารพฤติกรรมศาสตร์. ปีท่ี ๒๐ ฉบับที่ ๑ (มกราคม ๒๕๕๗),
สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ, ๒๕๕๖), หนา้ บทคัดย่อ.
๑๙ สุจิตรา วันทอง. การวิจัยและพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การวิจัยเป็นฐานเพื่อพัฒนา
คุณลักษณะพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตยของนักเรียนประถมศึกษา. (กรุงเทพฯ: สาขาวิธีวิทยาการวิจัยการศึกษา
ภาควชิ าวิจยั และจิตวทิ ยาการศกึ ษา คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั , ๒๕๕๕), หนา้ บทคัดย่อ.
๒๒๑
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ สอดคล้องกับการศึกษาของ จารุวรรณ ยิ่งยงค์๒๐ ได้ศึกษาวิจัย เรื่อง
การพัฒนาคุณลักษณะความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปี ท่ี ๑
ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้สืบสวนโดยใช้กระบวนการกลุ่ม พบว่า คุณลักษณะความเป็นพลเมืองใน
ระบอบประชาธิปไตยของนักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปีที่ ๑ หลังเรียนด้วย รูปแบบการจดั การเรยี นรู้สืบสวน
โดยใชก้ ระบวนการกลุ่ม สงู กว่าก่อนเรยี นอยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถติ ิท่ีระดบั .๐๕
๕.๒.๕ ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูง
พิทยาคม ที่มีต่อจิตสำนึกสาธารณะความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔
โดยรวม คา่ เฉลย่ี อย่ใู นระดบั มากทส่ี ุด (X=๔.๕๗, S.D.= ๐.๔๑) เมอ่ื พิจารณาเป็นรายด้าน
พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านการวัดและประเมินผล อยู่ในระดับมากที่สุด (X =๔.๖๕, S.D.=
๐.๔๖) รองลงมา คอื ดา้ นคุณลกั ษณะครผู สู้ อน อยใู่ นระดบั มากทีส่ ุด (X=๔.๕๙, S.D.= ๐.๔๑) ส่วนด้าน
ที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ อยู่ในระดับมากที่สุด ( X =๔.๕๓, S.D.= ๐.๔๘)
ส่วนด้านอื่น ๆ มีค่าเฉลี่ยที่ใกล้เคียงกันและมีความสัมพันธ์กันตามลำดับ สอดคล้องกับการศึกษาของ
ปัณพร ศรีปลั่ง๒๑ ได้ศึกษาวิจัย เรื่องการพัฒนากิจกรรมเพื่อส่งเสริมจิตสาธารณะสำหรับนักศึกษาครุ
ศาสตร์มหาวทิ ยาลัยราชภัฏมหาสารคาม พบวา่ ความพงึ พอใจของนกั ศึกษาท่ีมีต่อกิจกรรมการเรียนการ
สอนเพื่อส่งเสรมิ จิตสาธารณะสำหรับนักศึกษาครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั มหาสารคาม อยู่ในระดบั
มาก และยังสอดคล้องกับ จารุวรรณ ยิ่งยงค์๒๒ ได้ศึกษาวิจัย เรื่องการพัฒนาคุณลักษณะความเป็น
พลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ ๑ ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้
สืบสวนโดยใช้กระบวนการกลุ่ม พบว่า ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีต่อรูปแบบ
การจัดการเรียนรู้สืบสวนโดยใช้กระบวนการกลุ่ม โดยภาพรวม อยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด จากการ
ศึกษาวิจัยของ น้ำผึ้ง โสดดี๒๓ ได้ศึกษาการพัฒนาการเรียนการสอนแบบร่วมมือ โดยใช้บทเรียน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเพื่อเสริมทักษะการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องหลักภาษาสำหรับ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วย
๒๐ จารุวรรณ ยิ่งยงค์. การพัฒนาคุณลักษณะความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ของนักเรียน
ช้ันมธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 1 ดว้ ยรปู แบบการจัดการเรียนรสู้ ืบสวนโดยใชก้ ระบวนการกล่มุ .
๒๑ ปณั พร ศรีปล่ังปัณพร ศรีปล่ัง. การพฒั นากิจกรรมเพอ่ื ส่งเสริมจิตสาธารณะสำหรับนักศึกษาครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภฏั มหาสารคาม. หน้า จ.
๒๒ อ้างแล้ว, การพัฒนาคุณลักษณะความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปี ท่ี 1 ด้วยรปู แบบการจัดการเรียนรู้สบื สวนโดยใชก้ ระบวนการกลุ่ม. หน้า บทคดั ย่อ.
๒๓ น้ำผึ้ง โสดดี. การพฒั นาการเรียนการสอนแบบร่วมมอื โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอรช์ ่วยสอนเพ่ือเสริม
ทกั ษะการเรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย เร่อื งหลกั ภาษา สำหรบั นกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ ๓. (สาขาวิชา
คอมพวิ เตอรศ์ กึ ษา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครปฐม, ๒๕๖๐), หน้า บทคัดยอ่ .
๒๒๒
มีค่าเฉล่ียเท่ากับ ๔.๕๑ อยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด สอดคล้องกับการศึกษาของ สอดคล้องกับการ
ศึกษาวิจัยของ ปฐมพงษ์ พืชสิงห์๒๔ ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยวิธีการสอนแบบ
ร่วมมือ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
ชั้นประถมศึกษาปี ที่ ๕ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้แบบ
ร่วมมอื เรื่องวนั สำคญั ทางพระพทุ ธศาสนา อยใู่ นระดบั มากท่ีสุด
๕.๓ ข้อเสนอแนะ
จากการศึกษาวิจัย การพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมืองของนักเรียนในจังหวัดขอนแก่น
ตามหลกั พทุ ธธรรม ผวู้ จิ ยั มีข้อเสนอแนะ ดังน้ี
๕.๓.๑ ขอ้ เสนอแนะจากผลการวิจัย
๕.๓.๑.๑ แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ
ความเป็นพลเมือง ตามหลักพุทธธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซำสูงพิทยาคม
ทส่ี รา้ งข้ึนสามารถใช้จัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ ผู้สอนจะตอ้ งศึกษา แผนการจัดการ
เรียนรู้ ให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง มีความรู้ ความเข้าใจ เนื้อหาสาระการเรยี นรู้ กระบวนการจัดการเรียนการ
สอน วิธีการวดั และประเมนิ ผล จะส่งผลให้ผูเ้ รียนเกิดทักษะการเรียนรู้ และส่งผลต่อผลสมั ฤทธิท์ างการ
เรยี นของผ้เู รยี น สามารถนำความรทู้ ่ีได้ไปใชใ้ นชีวติ ประจำวนั ได้
๕.๓.๑.๒ ครูผูส้ อน ควรศกึ ษารูปแบบการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้
โดยใช้กระบวนการแบบอริยสจั ๔ เพอ่ื พฒั นาทักษะกระบวนการเรียนรู้ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์
และทกั ษะการปฏิบัติให้เข้าใจก่อนนำไปใช้ เพ่อื ใหน้ กั เรียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
อยา่ งถกู ต้อง
๕.๓.๑.๓ ครูผ้สู อน ควรมกี ารสง่ เสรมิ ความสามารถในการทำงานกลุ่ม การฝกึ ทกั ษะปฏิบัติ
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อกระตุ้น
การเสรมิ แรง สง่ เสริมการมีส่วนรว่ ม ทำใหเ้ กดิ ประสทิ ธิภาพสงู สุดในการจดั การเรยี นรู้
๕.๓.๑.๔ การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ ทักษะการปฏิบัติ และความสามารถในการคิด
วิเคราะห์ โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ซึ่งสามารถนำไปใช้จัด
กิจกรรมการเรียนการสอนในรายวชิ าอ่ืน ๆ ในทกุ ระดับการศึกษา และในสถาบันการศกึ ษาอนื่ ๆ
๒๔ ปฐมพงษ์ พืชสงิ ห์ปฐมพงษ์ พชื สิงห.์ การพัฒนาแผนการจดั การเรยี นรู้โดยวธิ กี ารสอนแบบร่วมมือ กลุ่ม
สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่องวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๕.
หนา้ บทคัดยอ่ .
๒๒๓
๕.๓.๒ ข้อเสนอแนะเพือ่ นำผลการวิจัยไปใช้
๕.๓.๒.๑ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสจั ๔ เร่ืองจิตสำนกึ สาธารณะ ความเปน็ พลเมอื งตามหลักพุทธธรรม ปญั หาทมี่ กั จะเกิดขึ้นเสมอ คือ
ขอ้ จำกัด เรอ่ื งเวลา ดังน้ัน ครูผู้สอน ควรกำหนดเวลาในการจัดกิจกรรม ในแตล่ ะขั้นตอนใหช้ ดั เจน และ
เหมาะสมกับระดบั ความสามารถของผูเ้ รียน
๕.๓.๒.๒ ครูผู้สอน ควรนำแผนการจัดการเรยี นรู้ โดยใชก้ ระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เร่ือง
จิตสำนึกสาธารณะ ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรม ไปใช้ในกิจกรรมการเรียนรู้ โดยอาจเลือก
เนื้อหาสาระการเรียนรู้อื่น ๆ ที่เหมาะสมมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเพื่อนครูด้วยกัน เพื่อพัฒนาการ
เรยี นรู้และยกระดบั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนให้สูงขน้ึ
๕.๓.๒.๓ ก่อนนำแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึก
สาธารณะ ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรม ไปใช้ฝึกปฏิบัติ ควรมีการแนะนำให้นักเรียนมีความ
เข้าใจในการใช้สื่อการเรียนรู้ และทำความคุ้นเคยกับการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการ
แบบอรยิ สจั ๔ เพื่อใหเ้ กิดประสทิ ธิภาพในการใช้
๕.๓.๒.๔ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ ครูผู้สอน ควรให้คำแนะนำ ชี้แจงแนวทางปฏิบัติให้แก่นักเรียน ได้ศึกษาเรียนรู้แต่ละเนื้อหา
ยอ่ ยกอ่ น เรียงตามลำดับในแต่ละแผน เพื่อใหม้ พี ้ืนฐานการเรยี นในเนอ้ื หาสาระการเรยี นรู้ และเรอื่ งย่อย
ต่อไปตามลำดับ
๕.๓.๒.๕ การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ผู้สร้าง
ควรมีการวางแผนการสร้างอย่างมีขั้นตอน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดทุกขั้นตอน และการ
ทดลองใช้ เพื่อปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ ให้ได้แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบ
อริยสัจ ๔ ทมี่ คี ณุ ภาพ จงึ นำมาใช้ในการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
๕.๓.๒.๖ การใช้และพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ ควร
ผา่ นขนั้ ตอนท่ีสำคญั คอื การทดลองใช้ อย่างน้อย ๑ ภาคการศกึ ษา เพือ่ นำผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
มาปรบั ปรุงแก้ไข พัฒนาให้มีประสิทธิภาพและประสทิ ธิผลสูงสดุ
๕.๓.๓ ข้อเสนอแนะเพือ่ การวิจยั คร้ังตอ่ ไป
๕.๓.๓.๑ ควรมีการศึกษาวจิ ัยตดิ ตามผลว่า ผู้เรยี นทผี่ า่ นการใช้แผนการจัดการเรยี นรู้ โดย
ใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึกสาธารณะ ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรมแล้ว
สามารถนำความรู้ และทักษะทีไ่ ด้ปฏิบตั ิงานไดผ้ ลเปน็ อยา่ งไร โดยเกบ็ ข้อมูลผ้เู รยี นมาเปรียบเทียบ เพ่ือ
แสดงให้เห็นถึงความจำเปน็ และความสำคัญของการสอนทเ่ี น้นผเู้ รยี นไดฝ้ ึกปฏิบตั ิ ได้อย่างแท้จรงิ
๕.๓.๓.๒ ควรศึกษาแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่อง
จิตสำนกึ สาธารณะ ความเปน็ พลเมืองตามหลักพุทธธรรม ทีใ่ ชร้ ว่ มกบั ส่ือประสมอน่ื ๆ เชน่ บทเรียน e-
๒๒๔
Learning วีดิทัศน์ Power Point หรือการสอนด้วยรูปแบบอื่น ๆ ในแต่ละเนื้อหา เพื่อตรวจสอบความ
คงทนในเน้ือหาสาระการเรยี นรู้ และการปลกู ฝังเจตคติท่ดี ตี อ่ การเรยี น
๕.๓.๓.๓ ควรพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่อง
จิตสำนึกสาธารณะ ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรม ในหน่วยการเรียนรู้อื่น ๆ ให้มีมากขึ้นเพื่อให้
นกั เรียนมีความสนใจ และเกิดองค์ความรู้ใหมใ่ นการเรียนรู้เพม่ิ มากขึ้น
๕.๓.๓.๔ ควรจัดทำสื่อชนิดอื่น ๆ มาใช้ในการสร้างและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้
เชน่ บทเรียน e-Learning หรอื บทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน (CAI)
๕.๓.๓.๕ ควรนำแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ เรื่องจิตสำนึก
สาธารณะ ความเป็นพลเมืองตามหลักพุทธธรรม ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ไปทดลองใช้กับผู้เรียนกลุ่มอื่น ๆ ใน
สภาพแวดลอ้ มทแี่ ตกต่างกนั ออกไป แล้วนำผลการทดลองมาเปรียบเทียบกบั ผลการวจิ ัย ครั้งน้ี เพื่อเพิ่ม
ความเชอ่ื มั่นในประสิทธภิ าพของแผนการจดั การเรยี นรู้ โดยใช้กระบวนการแบบอรยิ สจั ๔
นี้ใหม้ ากย่ิงขึน้
๕.๓.๓.๖ ควรมกี ารศกึ ษาวิจัยเปรียบเทียบการใช้และพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้
กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ กับวิธีการจัดการเรียนรู้แบบปกติ หรือการเรียนการสอนที่ใช้สื่อการสอน
ประเภทอน่ื ๆ
๕.๓.๓.๗ ควรมีการสนับสนุนให้ครู ได้ผลิตและพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้
กระบวนการแบบอริยสัจ ๔ แต่ละรายวิชารวมทั้งการสนับสนุนด้านงบประมาณ วัสดุ ครุภัณฑ์ อาคาร
สถานที่ สำหรับการนำไปใช้ หรือการเผยแพรผ่ ลงานทางวชิ าการไปยงั สถานศึกษาแหง่ อ่ืน ๆ
บรรณานกุ รม
๑. ภาษาบาลี - ไทย:
๑.๑ ขอ้ มลู ปฐมภูมิ
มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปฎิ กภาษาบาลี ฉบบั มหาจฬุ าเตปิฏกํ ๒๕๐๐. กรงุ เทพมหานคร:
โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๕.
__________. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์
มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
__________. อรรถกถาภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาอฏฺ กถา. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลง
กรณราชวิทยาลยั , โรงพิมพว์ ิญญาณ, ๒๕๓๒-๒๕๓๔.
__________. ฎีกาภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาฎีกา. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลัย, โรงพิมพ์วญิ ญาณ, ๒๕๓๙-๒๕๔๕.
__________. ปกรณวิเสสภาษาบาลี ฉบับมหาจฬุ าปกรณวิเสโส. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์วิญญาณ,
๒๕๓๙-๒๕๔๒.
๑.๒ ข้อมลู ทุติยภมู ิ
๑.๒.๑ หนังสือ
กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส พระบาทสมเด็จ
พระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช เกี่ยวกับศาสนาและศีลธรรม. กรุงเทพมหานคร:
โรงพมิ พก์ ารศาสนา, ๒๕๕๒.
กมลวรรณ คารมปราชญ์. บทบาทของครอบครัวในการปลูกฝังและพัฒนาความเป็นพลเมืองดีตาม
ระบอบประชาธิปไตยให้กับเด็กและเยาวชน. วารสารพฤติกรรมศาสตร์. ปีที่ ๒๐ ฉบับที่ ๑
(มกราคม ๒๕๕๗), สถาบนั วจิ ยั พฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ, ๒๕๕๖.
กมลชนก ภิรมย์ศิริพรรณ. คู่มือพัฒนาความเสียสละของนักเรียนช่วงชั้นที่ ๑. กรุงเทพฯ:
มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ, ๒๕๔๙.
กษิณา วิไลลักษณ์. การผลิตบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบเกมการสอน เรื่องส่วนประกอบ
ของคอมพวิ เตอร์เบอ้ื งต้น สำหรับนกั เรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปี ๒. มหาวิทยาลยั ขอนแก่น,
๒๕๕๑.
กนษิ ฐา นิทัศนพ์ ัฒนาและคณะ. จติ สำนึกทางสงั คมของนักศึกษาระดบั บัณฑิตศกึ ษา มหาวิทยาลัย
มหดิ ล, กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั มหดิ ล, ๒๕๔๑.
กรณุ า-เรืองอุไร กศุ ลาสยั , ภารตวทิ ยา, พิมพค์ รง้ั ที่ ๔, กรงุ เทพมหานคร : สำนักพิมพ์ศยาม, ๒๕๔๓.
๒๒๖
กรมสามัญศึกษา. หัวใจของการศึกษาศาสนาต้องเป็นรากฐาน. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์พิฆเณศ
พรนิ้ ต้งิ เซนเตอร์, ๒๕๓๙.
กระทรวงศึกษาธิการ. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ พร้อมกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องและพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคบั
พ.ศ. ๒๕๔๕, กรุงเทพมหานคร: องค์การรบั สง่ สนิ คา้ และพัสดภุ ณั ฑ์ (ร.ส.พ.), ๒๕๔๖.
__________. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐, สำนักงานเลขาธิการสภา
การศกึ ษา. กรงุ เทพมหานคร: ว.ี ที. ซี. คอมมิวนเิ คช่นั , ๒๕๕๐.
__________. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑, . กรุงเทพมหานคร : ชุมนุม
สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกดั , ๒๕๕๑.
__________. การสังเคราะห์รูปแบบการพัฒนาศักยภาพของเด็กไทยด้านความรับผิดชอบและมี
วนิ ัยในตนเอง. กรงุ เทพฯ: กรมวิชาการ. กระทรวงศกึ ษาธิการ, ๒๕๔๒.
กิตติพงษ์ แดงเสริมสิริ. จิตสำนึกสาธารณะและตัวแบบสร้างจิตสำนึกสาธารณะระดับเยาวชน
ในสถาบันอุดมศึกษา. FEU ACADEMIC REVIE. ๒ (๒): ๒๗-๓๒, ๒๕๕๑, (ธันวาคม-
๒๕๕๒, พฤษภาคม).
กิตติศักดิ์ กอร้อย. พฤติกรรมการทำงานเป็นทีมของนิสิตปริญญาตรี ภาคปกติ มหาวิทยาลัย
ศรีนครนิ ทรวิโรฒ. ปรญิ ญาการศกึ ษามหาบัณฑิต, สาขาวิชาการอุดมศกึ ษา บัณฑติ วทิ ยาลัย
มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ, ๒๕๕๑.
เกียรติศักดิ์ แสงอรุณ. แนวทางการพัฒนาจิตสำนึกสาธารณะสำหรับเยาวชนไทย : กรณีศึกษากลุ่ม
และเครือข่ายเยาวชน ที่ทำงานด้านจิตสำนึกสาธารณะ. กรุงเทพฯ.จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๑.
เกษม จันทร์แก้ว. วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม. ฉบับปรับปรุงแก้ไข ครั้งท่ี ๔. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร,์ ๒๕๔๐.
กิตติยา วงษ์ขันธ์. การออกแบบการวิจัย รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ การกำหนดตัวอย่าง และ
การวิเคราะห์ขอ้ มูล. ภาควชิ าเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, ๒๕๖๑.
เกรียงศกั ดิ์ เจรญิ วงศศ์ ักด์ิ. จอมปราชญน์ ักการศกึ ษา. กรุงเทพฯ: ซคั เซสมเี ดีย, ๒๕๔๓.
__________. ภาพอนาคตและคุณลักษณะของคนไทยที่พึงประสงค์. กรุงเทพฯ. โครงการวิถี
การเรียนรู้ของคนไทย. สำนักพัฒนาการเรียนรู้และมาตรฐานการศึกษา สำนัก
คณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาต,ิ ๒๕๔๖.
เขียน วันทนียตระกูล. หลักการและวิธีการสอน. เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
วทิ ยาเขตลา้ นนา, ๒๕๕๒.
จําปา วัฒนศิรินทรเทพ. การพัฒนาแผนการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนแบบโครงงานแบบวิทยาศาสตร์
ระบบนิเวศ ชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ ๓. สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน
มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, ๒๕๕๐.
๒๒๗
จำนงค์ อดิวัฒนสิทธิ์. สังคมวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร :
สำนกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์, ๒๕๔๘.
จารุวรรณ ยิ่งยงค์. การพัฒนาคุณลักษณะความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้สืบสวนโดยใช้กระบวนการกลุ่ม.
สาขาวชิ าการสอนสังคมศึกษา บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร, ๒๕๕๘.
จิตรกร ตั้งเกษมสุข. หยาดเพชรหยาดธรรมภูมิปัญญาเพื่อการศึกษาไทย, กรุงเทพมหานคร :
เฟ่ืองฟ้าการพมิ พ์, ๒๕๔๗.
ชวลิต ชูกำแพง. การวิจัยหลักสูตรและการสอน. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). มหาสารคาม: มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม, ๒๕๕๓.
ชาญณรงค์ บุญหนุน. “พระพุทธศาสนากับการสร้างสรรค์ประชาธิปไตยว่าด้วยการเป็นพลเมืองที่ดี
ของสงั คม”, วารสารบัณฑติ ศึกษาปรทิ รรศน์, ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๑ (มกราคม-มนี าคม ๒๕๕๓).
ชนาธิป พรกุล. การออกแบบการสอน การบูรณาการ การอ่าน การคิดวิเคราะห์ และการเขียน.
กรงุ เทพฯ: ว.ี ปร้ินท์, ๒๕๕๑.
ชยั อนนั ต์ สมุทวณชิ . ประชารัฐกบั การเปล่ยี นแปลง. กรงุ เทพฯ: สถาบันนโยบายศกึ ษา, ๒๕๔๗.
ชัยยงค์ พรหมวงศ์ บุญเลิศ ส่องสว่าง และวาสนา ทวีกุลทรัพย์ ชุดการเรียนการสอนในประมวล
สาระชุดวิชาการพัฒนาหลักสูตร และสื่อการเรียนการสอน หน่วยที่ ๑๔. คณะ
ศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช, ๒๕๕๑.
__________. การทดสอบประส ิ ทธ ิ ภ าพส ื ่ อหร ื อช ุ ดการส อน ( Developmental Testing
of Media and Instructional Package). วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย, ๕(๑) : ๗-๒๐.
(มกราคม-มถิ นุ ายน ๒๕๕๖), ๒๕๕๖.
ชาย โพธิสิตาและคณะ. รายงานการวิจัยเรื่องการศึกษาจิตสำนึกของคนไทยต่อสาธารณะสมบัติ:
กรณีศึกษากรุงเทพมหานคร. นครปฐม: สถาบันวิจัยประชากรและสังคม
มหาวทิ ยาลยั มหิดล, ๒๕๔๓.
โชติกา ภาษีผล. การสร้างและพัฒนาเครื่องมือในการวัดและประเมินผลการศึกษา. กรุงเทพฯ:
โรงพมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๕๔.หนา้ ๒
ยุทธนา วรุณปิติกุล. สำนึกพลเมือง: ความเรียงว่าด้วยประชาชนบนเส้นทางประชาคม.กรุงเทพฯ:
มลู นธิ ิการเรยี นรูแ้ ละพัฒนาประชาคม, ๒๕๔๒.
เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี. การวัดผลและการสร้างแบบสอบผลสัมฤทธิ์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์
แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั , ๒๕๕๒.
ดารณี ปานทอง. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความคงทนในการเรียนรู้และ
เจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง ทศนิยมของนักเรียนชันมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยใช้วิธีสอน
สาขาวิชาหลกั สตู รและการสอน มหาวิทยาลยั ราชภัฏเทพสตรี, ๒๕๕๑.
๒๒๘
ดวงมาลา จาริชานนท์. การพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านเพื่อฝึกการคิดวิเคราะห์
ด้วยแบบฝึกทักษะสำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม, ๒๕๕๑.
ดวงเดือน พันธุมนาวิน. การพัฒนาคนเพื่อพัฒนาชาติ: งานวิจัยและพัฒนาระบบพฤติกรรมไทย.
เอกสารการประชุมทางวิชาการ เรื่อง ซิมโปเซียมงานวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ด้านระบบ
พฤตกิ รรมไทย. สำนักคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ๒๐-๒๑ สงิ หาคม ๒๕๔๖ ณ โรงแรมมิรา
เคลิ แกรนด์ คอนเวนชัน่ กรุงเทพมหานคร. กรงุ เทพมหานคร: การวจิ ยั และการพัฒนาระบบ
พฤตกิ รรมไทย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, ๒๕๔๖.
__________. การสังเคราะห์งานวิจัยเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรมในประเทศไทยและต่าง
ประเทศ. กรุงเทพมหานคร: ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม ศูนย์
คณุ ธรรม, ๒๕๕๑.
ดุษฎี สีตลวรางค์. การเปรียบเทียบวิธีสอนแบบไตรสิกขาและแบบธรรมสากัจฉาในการสอนเบญจศีล
และฆราวาสธรรม ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ประสานมิตร, ๒๕๒๕.
ทวี ผลสมภพ. ปัญหาปรชั ญาในการเมอื งของโลกตะวันออก, กรงุ เทพมหานคร : สำนักพมิ พ์
มหาวทิ ยาลยั รามคำแหง, ๒๕๓๔, หนา้ ๖๓.
ทิพยพ์ าพร ตนั ติสุนทร. การศึกษาเพือ่ สรา้ งพลเมอื ง. กรุงเทพฯ: สถาบันนโยบายศึกษา, ๒๕๕๔.
ธะวัตร์ ทัดเนียม. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติวิชาคณิตศาสตร์ของ
นกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๔ ทไี่ ดร้ บั การสอนโดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือกับการ
สอนปกติ. คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน สถาบันราชภัฏนครสวรรค์,
๒๕๕๐.
ธเนศวร์ เจริญเมือง, “พลเมือง : นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่”, เอกสารชุดความรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตย, เชียงใหม่
: สถาบันลา้ นนาประชาธปิ ไตย, ๒๕๕๓, หน้า ๑๓.
ธรรมนันทิกา แจ้งสว่าง. ผลของการใช้โปรแกรมพัฒนาจิตสาธารณะด้วยบทบาทสมมติกับตัวแบบ
ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓. กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทลัยศรีนครินทร
วิโรฒ, ๒๕๔๗.
ธรรมสภา. พจนานุกรมธรรม ฉบับพุทธทาส,จัดพิมพ์ฉลอง ๑๐๕ ปี ชาตกาลพุทธทาส พ.ศ.๕๕๔.
กรุงเทพฯ: สถาบันลอื ธรรม, ๒๕๕๕.
นภาจรี ศรีจันทร.์ ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนเร่ืองเศรษฐศาสตรใ์ นชีวติ ประจำวันกลุ่มสาระ
สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ โดยใช้ภาพการ์ตูน
ประกอบการเรียนแบบอริยสัจ ๔. สาขาหลักสตู รและการสอน มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม,
๒๕๕๑.
๒๒๙
นฤมล นาดสูงเนิน. การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรูรายวิชาการบัญชีเบื้องตน ๑ เรื่องสินทรัพย
หนี้สินและสวนของเจาของ (ทุน) โดยใชรปแบบการเรียนรูแบบกลุมรวมมือ(STAD).
สาขาวชิ าหลักสตู รและการสอน มหาวิทยาลัย มหาสารคาม, ๒๕๕๒.
นงนุช เทศทอง. คุณธรรม จริยธรรมของนักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษา ในสังกัดวิทยาลัยเทคนิค
กรมอาชวี ศึกษา เขตการศกึ ษา ๗. พิษณโุ ลก: มหาวิทยาลยั ราชภฏั พบิ ูลสงคราม, ๒๕๔๗.
นันทวัน บุญก่อน. คุณธรรมของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี
พุทธชินราช. รายงานการวิจยั , กรงุ เทพฯ: ศูนยส์ ง่ เสริม และพฒั นาพลังแผ่นดินเชงิ คณุ ธรรม
(ศูนย์คุณธรรม) สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์กรมหาชน). เช่น ปริ้นติ้ง,
๒๕๕๐.
นิภา สุขพิทักษ์. จิตสำนึกความเป็นพลโลกของครูกลุ่มสร้างเสริมประสบการณชีวิต ชั้นประถมศึกษา
ปีที่ ๖ ในโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแหง่ ชาติ
เขตการศึกษา ๙ ตามการรับรู้ของตนเอง. ภาควิชาประถมศึกษาบัณฑิต วิทยาลัย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๓๖.
นิวัติ เรืองพานิช. การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. (พิมพ์ครั้งที่ ๒), กรุงเทพฯ :
รัว้ เขียว, ๒๕๓๗.
น้ำผึ้ง โสดดี. การพัฒนาการเรียนการสอนแบบร่วมมือ โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเพ่ือ
เสริมทักษะการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องหลักภาษา สำหรับนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓. สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม, ๒๕๖๐.
บุญชม ศรสี ะอาด. การพฒั นาการสอน. (พมิ พ์ครัง้ ที่ ๒). กรุงเทพฯ: สำนักพมิ พข์ มรมเด็ก, ๒๕๔๑.
__________. การพฒั นาการสอน/(CD-ROM). กรงุ เทพฯ: เจเนซสิ เอ็ดดเู คชัน่ , ๒๕๕๔.
บุญชม ศรีสะอาด. วิธีการทางสถิติสำหรับการวิจัย เล่ม ๑. (พิมพ์ครั้งที่ ๕). กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น,
๒๕๕๖.
__________. การวจิ ัยเบอื้ งต้น ฉบบั ปรับปรุงใหม่. (พิมพ์ครงั้ ท่ี ๙). กรุงเทพฯ: สุวรี ิยาสาส์น, ๒๕๕๖.
บุญสม หรรษาศิริพจน์. จิตสำนึก การสร้างจิตสำนึก. วารสารวิชาการสภาอาจารย์.๔(๑): ๗๑-๗๓.
(มกราคม, ๒๕๔๒), ๒๕๔๒.
บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์. ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์. (พิมพ์ครั้งท่ี ๑๐). กรุงเทพฯ:
จามจุรโี ปรดกั ท์, ๒๕๕๑.
ปริญญา เทวานฤมิตรกุล. การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง (Civic Education). กรุงเทพมหานคร:
อักษรสัมพันธ์, ๒๕๕๕.
__________. การศึกษาเพื่อความเป็นพลเมือง (Civic Education): แก้ปัญหาการเมืองโดยสร้าง
ประชาธิปไตยที่ “คน”. เอกสารประกอบการประชุมวิชาการ สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ ๑๓
๒๓๐
ประจำปี ๒๕๕๔ ความเป็นพลเมืองกับอนาคตประชาธิปไตยไทย เล่ม ๒. กรุงเทพมหานคร:
สถาบนั พระปกเกล้า, ๒๕๕๕.
ปรีชา ชัยนิยมการศึกษาความคิดเห็นของการสอนความรับผิดชอบและความมีระเบียบวินัยโดย
กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงาคณะกรรมการ การศึกษา
เอกชน. กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวทิ ยาลัยมหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ. ๒๕๔๒.
ประหยัด จิระวงศ์. หลักการและทฤษฎีทางเทคโนโลยีการศึกษา. กรุงเทพฯ : ศิลปะบรรณาการ,
๒๕๕๐.
ปฐมพงษ์ พืชสิงห์. การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยวิธีการสอนแบบร่วมมือ กลุ่มสาระ
การเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่องวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาชั้น
ประถมศึกษาปีที่ ๕. สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาสารคาม,
๒๕๕๓.
ปาริชาต สถาปิตานนท์. ระเบียบวิธีวิจัยการสื่อสาร. (พิมพ์ครั้งที่ ๗). ฉบับปรับปรุงใหม่. กรุงเทพฯ:
สำนกั พิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๗.
ปัญญา สังข์ภิรมย์ และสุคนธ์ สินธพานนท์. สุดยอดวิธีสอนการงานอาชีพและเทคโนโลยีนำไปสู่...
การจัดการเรยี นรขู้ องครูยุคใหม.่ กรงุ เทพฯ: อักษรเจรญิ ทัศน์, ๒๕๕๐.
เผชิญ กิจระการ และสมนึก ภัททิยธนี. ดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness Index). เอกสาร
ประกอบคำอธิบายรายวิชา ๐๕๐๓๗๑๐ การวัดผลการศึกษา สาขาเทคโนโลยีการศึกษา
ศูนยจ์ งั หวัดร้อยเอด็ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, ๒๔๔๖.
ภาวดี รามสิทธิ์ และคณะ. การพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมือง กรณีศึกษานักศึกษาในสถาบันผลิต
บัณฑิตทางการพยาบาล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาเอกชน. คณะ
พยาบาลศาสตร์ วทิ ยาลยั เซนต์หลุยส์, ๒๕๕๕-๒๕๕๖.
พวงรัตน์ ทวีรัตน์. วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์ . (พิมพ์ครั้งท่ี ๑๐).
กรุงเทพฯ: สำนักทดสอบทางการศึกษาและจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ประสานมิตร, ๒๕๔๙.
พิชิต ฤทธิ์จรูญ. หลักการวัดและประเมินผลการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ ๗). กรุงเทพฯ: เฮ้าส์ออฟเคอร์มีสท์,
๒๕๕๕.
พิสิทธ์ิ สารวิจิตร, “ยุทธศาสตร์การสอนวิชาการพัฒนาตนเองและบุคลิกภาพจากระดับอนุบาลถึง
ปริญญาเอก”, เอกสารประกอบการสอน, (กรุงเทพมหานคร : บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ ประสานมิตร, ๒๕๒๓), หนา้ ๑๐๙.
พิณสุดา สิริธรังศรี. การพัฒนาการศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมือง. วิทยาลัยครุศาสตร์,
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์. สุทธิปริทัศน์, ปีท่ี ๓๑ ฉบับท่ี ๑๐๐ (ตุลาคม-ธันวาคม
๒๕๖๐): ๑๐๐- ๑๑๓, ๒๕๖๐.
๒๓๑
พัชราพร ศรีจันทร์อินทร์. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเสียสละของครูที่สอนนักเรียนซึ่งมีความ-บกพร่อง
ทางการได้ยินของโรงเรียนโสตศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน กรณีศึกษา:
จังหวัดข่อนแก่นและจังหวัดอุดรธานี. กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย
ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ, ๒๕๔๙.
ไพบูลย์ วัฒนศิรธิ รรม และสงั คม สญั จร. สำนกึ ไทยท่พี งึ ปรารถนา. กรุงเทพฯ: เดือนตุล, ๒๕๔๓.
ไพโรจน์ คชชา. ความรู้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ. กรุงเทพฯ: เซ็นเตอร์ดิสคัฟเวอร่ี,
๒๕๔๒.
ไพศาล วรคำ. การวิจัยทางการศึกษา. (Educational Research). (พิมพ์ครั้งที่ ๑๐). คณะครุ
ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏมหาสารคาม. มหาสารคาม: ตักสลิ าการพมิ พ์, ๒๕๖๐.
ไพศาล ไกรสิทธ์ิ. เอกสารการสอนรายวิชาการพัฒนาตน. ราชบุรี : คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏ
หมู่บา้ นจอมบงึ , ๒๕๔๑, หน้า ๒๑.
พระพุทธทาสภิกขุ. พระพุทธศาสนากับคนรุ่นใหม่และสังคมไทยในอนาคต. โครงการหนังสือ
พุทธศาสนาสำหรับคนหนุ่มสาว. กรงุ เทพฯ: ประพนั ธส์ าส์น, ๒๕๓๕.
พระไพศาล วิสาโล. เมื่อดอกไม้บานสะพรั่งทั้งแผ่นดิน. กรุงเทพฯ : สำนักกองทุนสนับสนุน
การสรา้ งเสริมสุขภาพ. เครือขา่ ยพุทธกิ า, ๒๕๔๘.
พระมหาพุทธินันทน์ อภินันฺโท. การพัฒนาโปรแกรมบทเรียนตามแนวคิดอริยสัจ 4 เพื่อส่งเสริม
ความสามารถในการแก้ปัญหา วิชาพระพุทธศาสนา ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3. วารสาร
ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ปีที่ 12 ฉบับที่ 2 (เมษายน - มิถุนายน ๒๕๖๑).
พระมหาสนอง ปัจโจปการี. มนุษย์กับสังคม. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลยั , ๒๕๕๓.
พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส,“รูปแบบการจัดการความขัดแย้งโดยพุทธสันตวิ ิธี : ศึกษาวิเคราะห์กรณี
ลุ่มนํ้าแม่ตาช้าง จ. เชียงใหม่”.กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,
๒๕๔๗.
พระมหาสมปอง มุทโิ ต. คมั ภรี ์อภิธานวรรณนา. กรงุ เทพฯ:ธรรมสภา, ๒๕๔๒.
พระมหาอุดม สารเมธ.ี ความสามคั คีน้นั สำคญั นัก. กรุงเทพฯ: ระฆังทอง, ๒๕๕๐.
พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์, ปริญญาพ้นทุกข์, พิมพ์ครั้งท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์
ธรรมดา, ๒๕๔๙.
พระเทพเวที. (ประยุกต์ ปยุตฺโต). เทคนิคการสอนของพระพุทธเจ้า. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร:
มลู นิธิพทุ ธธรรม, ๒๕๓๒.
__________. พจนานุกรมพุทธศาสนาฉบับประมวลศัพท์. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลยั , ๒๕๓๑.
พระธรรมปิฎก. (ป.อ. ปยุตฺโต). พุทธธรรมฉบับปรับปรุงและขยายความ. พิมพ์ครั้งที่ ๖.กรุงเทพมหานคร:
โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘.