The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by social study, 2021-06-05 13:12:50

การพัฒนาจิตสำนึกความเป็นพลเมืองของนักเรียนในจังหวัดขอนแก่น ตามหลักพุทธธรรม

ผู้วิจัย : ผศ.อนุสรณ์ นางทะราช

๘๒

อาจสรุปไดว้ ่า การพฒั นาปัญญา ก็คือการให้มี สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถกู ต้องตามทำนอง
คลองธรรม สัมมาสังกัปปะ การมีความคิดดำริไปในแนวทางทด่ี ีงามถูกต้อง

ข้นั ตอนการพฒั นาตามหลักพระพุทธศาสนาดังกล่าวข้างตน้ นี้ จึงเปน็ ระบบการพฒั นาตน
ของพลเมืองแบบบูรณาการและมีดุลยภาพ และเป็นกระบวนการท้ังหมดของการพัฒนาคน ซึ่งถือ
เป็นทางเลือกสำคัญท่ีจะช่วยแก้ไขปัญหาหรือทุกข์ให้กับพลเมืองในสังคมยุคปัจจุบัน เพราะระบบการ
พฒั นาตนที่มีหลักการของไตรสิกขาเป็นแกนกลางนี้ ถอื เป็นการดำเนนิ ตามข้อปฏบิ ัตขิ องความประพฤติ
ท่ถี กู ตอ้ งตามทำนองคลองธรรมทัง้ ทางกาย วาจา และใจ โดยขนั้ ตอนต่าง ๆ ของการพฒั นาพลเมืองก็จะ
มีสาระของไตรสิกขาผสมผสาน บูรณาการกันอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์
แต่ละกรณี โดยสารัตถะสำคัญก็คือเพื่อเตรียมบุคคลให้มีความพร้อม หรือเพ่ือการเสริมสร้างศักยภาพ
ของประชาชนให้เกิดความรู้ความเข้าใจในสิทธิเสรีภาพ บทบาทหน้าท่ี ความรับผิดชอบ และเพ่ือการ
ดำรงชีวิตในฐานะพลเมืองได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามวิถีทางประชาธิปไตย สามารถดำรงชีวิตอยู่
ร่วมกบั ผู้อ่ืนในสังคมด้วยความสขุ มีบุคลิกภาพท่ีสมบูรณ์ มีสติปัญญา มีแนวคิดและพฤติกรรมท่ีถูกต้อง
มีคุณธรรมของความเป็นพลเมืองดีในระบอบประชาธิปไตยที่รู้จักแพ้-รู้จักชนะ พูดอีกอย่างหน่ึงก็คือ
เป็นการมุ่งเน้นให้เกิดการสร้าง “ความเป็นพลเมืองดี” ในปัจเจกบุคคลซึ่งเป็นสมาชิกในสังคม ให้ได้
ตระหนักถึงการมีค่านิยมทางคุณธรรมจริยธรรมของศาสนา อาทิ มีความเคารพในสิทธิเสรีภาพความ
เสมอภาค ความหลากหลายทางวัฒนธรรม แก้ปัญหาโดยการยึดม่ันในสันติวิธี มีความซื่อสัตย์ มีวินัย
เคารพกฎหมาย มีจิตอาสามีความเก้ือกูลพึ่งพาอาศัยกัน และมีความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อ
สังคม มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสิ่งแวดล้อมและมีส่วนร่วมเพื่อให้สังคมไทยก้าวสู่ความเป็นสังคมพลเมือง
(Civic society) ได้ จึงเป็นระบบท่ีสามารถนำมาพัฒนาความเป็นพลเมืองดีได้ครบทุกด้าน คือ การ
พฒั นากาย การพัฒนาพฤตกิ รรม การพัฒนาจิตใจ และการพฒั นาปญั ญา

ซึ่งบุคคลท่ีมีการพัฒนาตนแล้ว ย่อมจะมีคุณลักษณะท่ีท่านเรียกว่าเป็นคนสมบูรณ์แบบ
ตามหลักพระพุทธศาสนาหรอื ภาวติ ๔ กลา่ วคือ

๑) ภาวิตกาย (ภาวิตกาโย) ผู้มีกายท่ีพัฒนาแล้ว (มีกายภาวนา) คือ มีความสัมพันธ์กับ
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพในทางท่ีเกื้อกลู เรมิ่ แต่ร้จู ักใช้อินทรยี ์ เชน่ ตาดู หฟู งั เป็นต้น อย่างมสี ติ ดเู ปน็ ฟัง
เป็น ให้ไดป้ ญั ญา บรโิ ภคปัจจยั ๔ ตลอดจนเทคโนโลยี อยา่ งฉลาดได้ผลตรงคณุ ค่า

๒) ภาวิตศีล (ภาวิตสีโล) ผู้มีศีลที่พัฒนาแล้ว (มีศีลภาวนา) คือมีพฤติกรรมทางสังคมที่
พัฒนาแล้ว ไม่เบียดเบียนก่อความเดือดรอ้ น ตั้งอยู่ในวนิ ัย มีอาชีวะท่สี จุ ริต เป็นตน้

๓) ภาวิตจิต (ภาวิตจิตฺโต) ผู้มีจิตท่ีพัฒนาแล้ว (มีจิตภาวนา) คือมีจิตใจท่ีฝึกอบรมดีแล้ว
สมบูรณ์ด้วยคุณภาพจิต (คุณธรรม) เชน่ มีกตัญญู เมตตากรณุ า เอ้อื เฟื้อเผอื่ แผม่ ีวฒั นธรรมที่ดีงาม เป็น
ต้น สมบูรณ์ด้วยสมรรถภาพจิต เช่น มีความเพียรพยามมีจิตอาสาช่วยเหลือสังคม และสมบูรณ์ด้วย
สขุ ภาพจิต เช่น มจี ิตใจสงบ มีสติ มีจติ ใจเขม้ แข็งมนั่ คงทำให้มีความยตุ ธิ รรม เปน็ ต้น

๘๓

๔) ภาวิตปัญญา (ภาวิตปฺญโญ) ผู้มีปัญญาท่ีพัฒนาแล้ว (มีปัญญาภาวนา) คือรู้จักวินิจฉัย
ร้จู ักคิดในทางสร้างสรรค์ รู้จักแกป้ ัญหาอย่างสันติวธี รู้จักจดั ทำดำเนินการต่างๆ มีส่วนร่วมด้วยปัญญา
เป็นอยดู่ ว้ ยปัญญาเข้าใจความแตกตา่ งรเู้ ท่าทนั โลกและชวี ติ เปน็ ตน้

๒.๓.๔.๔ ความสำคญั ของการพฒั นาความเปน็ พลเมืองดีทางพระพทุ ธศาสนา
ความสำคัญของการพัฒนาความเป็นพลเมืองดีทางพระพุทธศาสนา ในที่นี้หมายถึง

การพัฒนาตนใหม้ ีพฤติกรรมท่ีเหมาะสมในระดบั ที่ดีขึ้นกว่าเดมิ คอื ไมใ่ ช่เพียงแต่การทำให้พฤตกิ รรมท่มี ี
ปัญหาหมดไปเท่านั้น แต่เพื่อประโยชน์ในการจัดการกับปัญหาท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคตให้มีประสิทธิภาพ
มากกวา่ ในอดตี เป็นการเตรยี มตัวให้พร้อมเพ่ือทีจ่ ะมอี สิ ระทจี่ ะเลอื กทำพฤติกรรมเพ่อื สง่ิ ที่ดีท่ีสดุ ของตน
โดยความสำคัญของการพฒั นาตนให้เปน็ พลเมอื งดมี รี ายละเอียดทส่ี ำคัญคอื

๑. เพื่อที่จะได้รู้จักตนเองตรงตามความเป็นจริง ท้ังส่วนที่เป็นจุดอ่อนและจุดแข็ง อันจะ
นำไปสู่การจัดความรู้สึกท่ีขัดแย้งภายในตัวบุคคลออกไป เพ่ือก้าวไปสู่การยอมรับตนตามสภาพ
ความเป็นจริง

๒. เพื่อเตรียมความพร้อมท่ีจะปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้น โดยสร้างคุณลักษณะท่ีมีประโยชน์
และลดหรือขจัดคุณลักษณะท่ีเป็นโทษกับชีวิตและสังคม ทั้งนี้ต้องเป็นการกระทำด้วยความสมัครใจ
เพือ่ การอย่รู ่วมกนั อย่างปกตสิ ุขในสงั คม

๓. เพือ่ วางแนวทางในการที่จะพัฒนาชีวิต ไปสูเ่ ปา้ หมายทต่ี ้องการได้อย่างเปน็ ระบบ และ
มีคุณภาพ คือการสร้างสำนึกพลเมอื งที่รจู้ ักบทบาทหน้าท่ี สทิ ธิ เสรีภาพ และความรับผิดชอบ ในฐานะ
พลเมืองดขี องชมุ ชน สงั คม

กลา่ วโดยสรุปแลว้ การพัฒนาความเป็นพลเมืองดีทางพระพุทธศาสนามคี วามสำคัญต่อตัว
ของบุคคลเองและต่อสังคมส่วนรวม โดยเฉพาะการได้รับการพัฒนาท้ังร่างกาย พฤติกรรม จิตใจและ
สติปัญญา จะทำให้พลเมืองดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข ท้ังยังเป็นพลเมืองท่ีมีคุณภาพอีกด้วย
กล่าวคือ การพัฒนาตนให้ก้าวไปสคู่ วามเป็นพลเมืองดีท่ีรู้จักบทบาทหน้าท่ีของตน ย่อมจะเป็นหนทาง
หนงึ่ ทจี่ ะนำไปส่กู ารพฒั นาชุมชน สังคมและประเทศชาติได้

๒.๓.๕ หลกั พุทธธรรมท่เี กอื้ หนนุ ตอ่ การพัฒนาความเปน็ พลเมอื งดี
เนื่องจากหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่มีอยู่เป็นจำนวนมากน้ัน ยังปรากฏหลักธรรม

สำคญั ต่าง ๆ ทีส่ ามารถนำมาเป็นองค์ประกอบรว่ มเพ่ือส่งเสริมการพฒั นาความเปน็ พลเมืองดีได้ โดยมี
หลักธรรมทเี่ ปน็ คุณธรรมพ้นื ฐานทคี่ วรนำมาสนบั สนุน เพ่อื พัฒนาความเปน็ พลเมอื งดี ดังนี้

๑. รธู้ รรมของสัตบรุ ุษ (สัปปุรสิ ธรรม ๗)
การรู้ธรรมของสตั บุรุษหรือธรรมของสัปปุรสิ ชน หมายถงึ รูข้ ้อปฏบิ ัตขิ องการเป็นคนดี

หรือคนท่ีแท้ อันเปน็ คุณสมบัติของความเป็นคนท่ีสมบูรณ์ และถือเป็นคุณสมบตั ิของสมาชกิ ทด่ี ีมีคุณค่า

๘๔

อย่างแท้จริงของมนุษยชาติ ที่เรียกได้ว่าเป็นคนเต็มคน เป็นผู้สามารถนำหมู่ชนและสังคมไปสู่สันติสุข
โดยมีหลักธรรมทเ่ี ปน็ คณุ สมบัติของคนดี ๗ ประการทปี่ รากฏในสปั ปรุ สิ สตู ร ดังน้ี

๑) ธัมมัญญุตา รู้จักเหตุ คือรู้หลักการและกฏเกณฑ์ของสิ่งทั้งหลายที่ตนเข้าไป
เกี่ยวข้อง รู้เหตุให้บรรลุถึงผลสำเร็จ รู้หลักความจริงตามธรรมชาติ เพื่อปฏิบัติต่อโลกและชีวิตอย่าง
ถกู ต้อง

๒) อัตถัญญุตา รู้จักผล คือรู้ความมุ่งหมาย เข้าใจวัตถุประสงค์ของกิจกรรมที่ตน
กระทำ รผู้ ลดีผลเสยี ตลอดถึงรปู้ ระโยชน์ท่ีเป็นสาระของโลกและชวี ิต

๓) อัตตัญญุตา รู้จักตน คือรู้ความจริงว่าเรามีภาระ มีกำลัง มีความรู้ ความสามารถ
และคณุ ธรรมเทา่ ไร รู้จกั ปรับปรงุ ตนเองใหส้ อดคลอ้ งกบั ความเป็นจรงิ ทสี่ ่งผลดตี อ่ ตนเองและผู้อ่นื

๔) มัตตัญญุตา รู้จักประมาณ คือรู้จักพอดี รู้จักพอประมาณ รู้จักพอเพียงในการ
ดำเนินชวี ิต ไมใ่ หเ้ กดิ ความเดอื ดรอ้ นเบียดเบยี นทงั้ ตนเองและผูอ้ นื่

๕) กาลัญญุตา รู้จักกาล คือรู้กาลอันควรในการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับผู้อ่ืนและสภาพ
ความเป็นจรงิ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ส่งผลดีตอ่ การงาน ร้วู ่าเวลาไหนควรทำอะไรและทำอย่างไร

๖) ปริสัญญตุ า รู้จักชุมชน คือร้จู กั สถานที่ รู้จกั วฒั นธรรมประเพณี ความเชื่อของแต่ละ
กล่มุ ชน เพื่อปฏบิ ัตใิ หส้ อดคลอ้ งเหมาะสม

๗) ปุคคลปโรปรัญญตุ า รจู้ ักบุคคล คือรจู้ ักและเขา้ ใจแต่ละบคุ คล รู้ความสามารถและ
คุณธรรม เพอ่ื ปฏบิ ัติได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกยั วัตถปุ ระสงค์ทต่ี ั้งไว้๑๔๘

หลักสัปปุริสธรรม ๗ ย่อมส่งเสริมสนับสนุนให้บุคลได้เตรียมความพร้อมเพื่อการก้าว
ไปสู่การครองตนเป็นพลเมืองดีของสังคมในฐานะปัจเจกบุคคล เพื่อความสามารถในการอยู่ร่วมกัน
ในสงั คมได้อยา่ งสันติสุข

๒. รูห้ ลักการมีสว่ นร่วมในการปกครอง (อปรหิ านยิ ธรรม ๗)
พระพุทธศาสนาเน้นเร่ืองหลักการรว่ มรับผดิ ชอบหรอื การมีสว่ นรว่ ม เพราะการมคี วาม

รับผิดชอบและการมีส่วนร่วมสามารถเป็นตัวชีว้ ัดความเจริญและความเส่ือมของสังคมและการเมืองการ
ปกครองได้ โดยมีหลกั ปฏิบตั ิท่ีเรยี กว่า อปริหานยิ ธรรม ๗ ประการ ไดแ้ ก่

๑) หมนั่ ประชุมกันเนืองนิตย์ พบปะปรึกษาหารือกิจการงาน (ท่ีพึงรับผดิ ชอบตาม
ระดบั ของตน) โดยสมำ่ เสมอ

๒) พร้อมเพรียงกันประชุมและเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจท้ังหลายท่ีพึงทำ
รว่ มกนั

๑๔๘ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), ธรรมนูญชีวิต [A Constitution for Living], พิมพ์ครั้งที่ ๑๑๙,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์พระพุทธศาสนาของธรรมสภา, ๒๕๕๕), หนา้ ๑๔-๑๕.

๘๕

๓) ไม่ถืออำเภอใจใคร่ต่อความสะดวก บัญญัติวางข้อกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ
อันมิได้ตกลงบัญญัติวางไว้ และไม่เหยียบย่ำล้มล้างสิ่งท่ีตกลงวางบัญญัติกันไว้แล้ว ถือปฏิบัติมั่นอยู่
ในบทบญั ญตั ิใหญท่ ี่วางไว้เป็นธรรมนูญ

๔) ท่านผใู้ ดเป็นผู้ใหญม่ ีประสบการณ์ยาวนาน ให้เกียรติเคารพนบั ถอื ท่านเหล่านั้น
มองเหน็ ความสำคญั แห่งถอ้ ยคำของท่านวา่ เป็นสงิ่ อนั พึงรบั ฟงั

๕) ใหเ้ กยี รติและคุ้มครองกุลสตรี มใิ หม้ กี ารข่มเหงรงั แก
๖) เคารพบูชาสักการะเจดีย์ ปูชนียสถาน อนุสาวรีย์ประจำชาติ อันเป็นเครื่อง
เตือนความทรงจำ เร้าให้ทำดี และเป็นที่รวมใจของหมู่ชน ไม่ละเลยพิธีเคารพบูชาอันพึงทำตอ่ อนุสรณ์
สถานเหลา่ นน้ั ตามประเพณี
๗) ให้ความอารักขา บำรุงคุ้มครอง อันชอบธรรม แก่บรรพชิตผู้ทรงศีลทรงธรรม
ซ่ึงเป็นหลักใจและเป็นตัวอย่างทางศีลธรรมของประชาชน เต็มใจต้อนรับและหวังให้ท่านอยู่โดย
ผาสุก๑๔๙ อปริหานิยธรรม ๗ ย่อมทำให้พลเมืองมองเห็นคุณค่าของการมีส่วนร่วมทางการเมือง
การปกครองเพอ่ื ร่วมกันขบั เคลื่อนสงั คมและประเทศชาติได้
๓. อยูร่ ว่ มในหมูด่ ว้ ยดี (สาราณยี ธรรม ๖)
การอยู่ร่วมในหมู่ด้วยดี ในด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่นท่ีเป็นเพ่ือนร่วมงาน ร่วมกิจการ
หรือร่วมชุมชน ตลอดจนพ่ีน้องร่วมครอบครวั พึงปฏิบัติตามหลกั การอยรู่ ่วมกันท่ีเรียกวา่ สาราณียธรรม
๖ ประการ คือ ธรรมเป็นเหตุให้ระลกึ ถึงกัน ประกอบด้วย
๑) เมตตากายกรรม ทำต่อกันด้วยเมตตา คือ แสดงไมตรีและความหวังดีตอ่ เพ่ือน
ร่วมงาน ร่วมกิจการ ร่วมชุมชน ด้วยการช่วยเหลือกิจธุระต่างๆ โดยเต็มใจ แสดงอาการกิริยาสุภาพ
เคารพนับถือกนั ทั้งต่อหนา้ และลับหลัง
๒) เมตตาวจีกรรม พูดต่อกันด้วยเมตตา คือแนะนำสิ่งท่ีเป็นประโยชน์ สั่งสอน
แนะนำตกั เตอื นกันด้วยความหวงั ดี กลา่ ววาจาสุภาพ แสดงความเคารพนบั ถือกนั ทงั้ ต่อหน้าและลบั หลงั
๓) เมตตามโนกรรม คิดต่อกันด้วยเมตตา คือ ต้ังจิตปรารถนาดี คิดทำสิ่งที่เป็น
ประโยชนแ์ กก่ ัน มองกนั ในแง่ดี มีหน้าตายมิ้ แยม้ แจม่ ใสตอ่ กัน
๔) สาธารณโภคี ได้มาแบ่งกันกินใช้ คือ แบ่งปันลาภผลท่ีได้มาโดยชอบธรรม
แม้เปน็ ของเลก็ นอ้ ยก็แจกจา่ ยให้ไดม้ สี ่วนรว่ มใช้สอยบรโิ ภคทั่วกนั
๕) สีลสามัญญตา ประพฤติให้ดีเหมือนเขา คือ มีความประพฤติสุจริตดีงาม รักษา
ระเบยี บวินยั ของส่วนรวม ไมท่ ำตนให้เป็นที่น่ารงั เกียจหรือเสือ่ มเสียแก่หม่คู ณะ
๖) ทิฏฐิสามัญญตา ปรับความเห็นเข้ากันได้ คือ เคารพรับฟังความคิดเห็นกัน
มีความเห็นชอบร่วมกัน ยึดถือหลักการและอุดมคติ หลักแห่งความดีงามหรือจุดหมายสูงสุด

๑๔๙ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๑๓๔/๗๘-๘๐, องฺ.สตฺตก.(ไทย) ๒๐/๑๙/๓๑-๓๒.

๘๖

อนั เดียวกัน๑๕๐ สาราณียธรรม ๖ ยอ่ มสนับสนุนให้พลเมืองเกิดจิตสำนึกด้วยการกระทำประโยชนต์ ่อกัน
เพ่ือความสงเคราะห์กนั มคี วามสามัคคกี ัน และเพ่อื ความเปน็ อนั หน่งึ อนั เดยี วกัน

๔. รหู้ ลกั การสงเคราะห์ (สังคหวัตถุ ๔)
ปฏิบัติตามหลักธรรมแห่งการสงเคราะห์ที่ดี หรอื เป็นธรรมเครือ่ งยึดเหนีย่ วใจคน และ

ประสานหมู่ชนไว้ในสามัคคี เรยี กวา่ สงั คหวัตถุ ๔ ประกอบด้วย
๑) การให้ (ทาน) ให้ปัน คือ เอือ้ เฟ้ือเผื่อแผ่ เสียสละ แบ่งปัน ช่วยเหลือสงเคราะห์

ดว้ ยปัจจัยส่ี ทุนหรอื ทรัพย์สนิ ส่งิ ของ ตลอดจนให้ความรคู้ วามเขา้ ใจ และศลิ ปวิทยา
๒) วาจาเป็นท่รี กั ปิยวาจา (เปยยวัชชะ) พูดอย่างรักกนั คอื กลา่ วคำสภุ าพ ไพเราะ

น่าฟัง ชี้แจงแนะนำส่ิงที่เป็นประโยชน์ มีเหตุผลเป็นหลักฐาน ชักจูงในทางท่ีดีงาม หรือคำแสดง
ความเหน็ อกเห็นใจ ให้กำลังใจ รู้จักพูดให้เกิดความเข้าใจดี สมานสามคั คี เกดิ ไมตรี ทำให้รักใครน่ ับถือ
และชว่ ยเหลือเก้ือกูลกนั

๓) การประพฤติประโยชน์ (อัตถจริยา) คือ การทำประโยชน์ด้วยการขวนขวาย
ชว่ ยเหลอื การงานต่างๆ การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ตลอดถึงการช่วยชักชวนผู้ที่ไม่มศี รัทธา ไม่มีศีล
มีความตระหน่ี มีปัญญาทราม ให้มีศรัทธาต้ังม่ันในศีล มีความยินดีในการเสียสละ และมีปัญญา
พจิ ารณา ซึ่งเป็นเลศิ กว่าการประพฤติประโยชน์ทง้ั หลาย

๔) การวางตนสม่ําเสมอ (สมานัตตตา) เอาตัวเข้าสมาน คือ ทำตัวให้เข้ากับเขาได้
วางตนเสมอต้นเสมอปลาย ให้ความเสมอภาค ปฏิบัติสม่ําเสมอกันต่อคนทั้งหลาย ไม่เอาเปรียบและ
เสมอในสุขทุกข์ คือ รว่ มสขุ ร่วมทกุ ข์ ร่วมรับรู้ ร่วมแกไ้ ขปัญหาเพอื่ ให้เกิดประโยชน์สขุ รว่ มกัน

พูดสั้น ๆ คือ ชว่ ยด้วยทุน ความรู้ ด้วยถ้อยคำ ดว้ ยกำลังงาน ร่วมเผชิญและแก้ ปัญหา๑๕๑
สงั คหวตั ถุ ๔ จงึ เป็นหลักธรรมที่จะชว่ ยเชอื่ มโยงสนบั สนุนความสัมพันธ์ทีด่ ขี องพลเมอื งในสังคมได้

จากท่ีกล่าวมาข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า การนำหลักพุทธธรรมคำสอนมาใช้เพื่อพัฒนา
ความเป็นพลเมืองดี มีความครอบคลุมการดำเนินชีวิตของพลเมืองในสังคมทั้งหมดก็ว่าได้ โดยสอนให้
บุคคลดำเนินชีวิตแบบยึดทางสายกลางหรือสอนความพอดี เป็นแนวทางความประพฤติตามหลักสัจ
ธรรมที่เป็นอกาลิโก ว่าด้วยประโยชนส์ ุขที่พึงได้ อันเกิดจากการอยู่ร่วมสัมพันธ์กันโดยยึดเมตตา กรุณา
สามัคคี สังคหะ และปัญญาซ่งึ สอดคลอ้ งกับสภาพสังคมและการเมืองปัจจบุ ันในยคุ ท่ีถือหลักความเสมอ
ภาค มีกฏกติกา ระเบียบแบบแผนมากมาย แต่ประชาชนพลเมืองกลับขาดความเคารพในการท่ีจะ
ปฏิบัติต่อกัน คนปัจจุบันจำนวนมากมองชีวิตทุกวงการเป็นการต่อสู้ระหว่างผลประโยชน์ที่ขัดกัน เกิด
เป็นฝ่ายรัฐบาลกับราษฎร คนมีกับคนจน และแม้แต่หญิงกับชาย เมื่อคนถือเอาทรัพย์และอำนาจเป็น
จุดหมายของชีวิต สังคมก็กลายเป็นสนามต่อสู้ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัว ทำให้ชีวิตของผู้คนสับสน

๑๕๐ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๓๒๔/๓๒๑-๓๒๒.
๑๕๑ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๒๑๐/๑๗๐-๑๗๑, ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๓/๒๙๕.

๘๗

วนุ่ วายย่ิงกวา่ ยุคสมัยใดๆ ในสภาพเช่นนี้ คำสอนอันเป็นหลักธรรมของพระพุทธศาสนาท่ีย้อนยุคสมัย
มีมาแต่ครั้งท่ีอะไร ๆ ยังเป็นไปตามธรรมดาสามัญกว่าน้ีอย่างมากมายนั้น จะเป็นเสมือนกระแสอากาศ
อันบริสุทธ์ิสดชื่นท่ีผ่านเข้ามาในห้องท่ีมีผู้คนแออัด บางทีอาจจะถึงเวลาแล้วท่ีเราจะหวนกลับไปหา
คุณค่าทว่ี ่าเก่าๆ แต่คงทนดีกว่า

ด้วยเหตุนี้ หลักพุทธธรรมในพระพุทธศาสนา จึงถือเป็นส่ือกลาง ท่ีจะช่วยให้ทุกคนมี
โอกาสอันเท่าเทียมกันท่ีจะพัฒนาตนเอง จุดมุ่งหมายคือประโยชน์สุขของบุคคลและสังคมและเข้าถึง
ประโยชนส์ ขุ ได้มากทส่ี ดุ และการนำเอาพทุ ธธรรมมาใช้เพอ่ื เกือ้ หนนุ จดุ มุ่งหมายท่กี ล่าวนี้ ซ่ึงในเรือ่ งการ
พฒั นาความเป็นพลเมืองดีของประชาชนก็เช่นเดียวกับเร่ืองอ่นื ๆ ถือเปน็ การนำหลักการของพุทธธรรม
มาวางเป็นวิธีการปฏิบัติ เพ่ือความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ บุคคล สถานการณ์ เง่ือนไข และระดับ
ความพร้อมจำเพาะที่แตกต่างกนั ไปนานัปการ โดยประกอบร่วมกบั หลักธรรมตา่ งๆ ทส่ี ามารถนำมาเป็น
แนวทางพนื้ ฐานเพื่อพัฒนาความเป็นพลเมืองดไี ด้ดังท่ีไดเ้ สนอไปแลว้ น้ัน ซ่งึ องค์กรหนว่ ยงานของรฐั หรือ
สถาบันการศึกษาพงึ ตระหนักในคณุ ค่าและประโยชนข์ องพุทธธรรมเพื่อนำมาพัฒนาความเป็นพลเมอื งดี
ให้กับประชาชน ซึ่งจะต้องพัฒนาสิ่งทั้งปวงไปพร้อมๆ กันทั้งทางด้านร่างกาย (กายภาวนา) ด้าน
พฤติกรรม (สีลภาวนา) ดา้ นจิตใจ (จติ ตภาวนา) และด้านปัญญา (ปัญญาภาวนา) อันเป็นทกุ มมุ ของชวี ิต
ของพลเมอื ง

๒.๓.๖ สรปุ
จากการศกึ ษาแนวคิดเกยี่ วกับความเป็นพลเมืองดที างพระพุทธศาสนา ทำใหพ้ อประมวล
สรปุ ไดว้ า่ แมใ้ นพระไตรปิฎก อรรถกถา และคมั ภีรต์ ่างๆ ทางพระพทุ ธศาสนา จะไม่พบคำในภาษาบาลี
ท่ีบ่งบอกถึงคำว่า “พลเมือง” และ “ความเป็นพลเมืองดี” โดยตรง แต่จากการศึกษาสามารถทำให้
เข้าใจได้ว่า พลเมืองและความเป็นพลเมืองดี เช่นที่ปรากฏในอัคคัญญสูตร เบ้ืองต้นนั้นเกิดข้ึนจาก
เจตนารมณข์ องมนษุ ยใ์ นการท่จี ะแสวงหาวธิ ีแก้ปัญหาทางสังคมและการอยู่ร่วมกนั
อย่างสันติ และเม่ือมองในแง่บริบทของเจตนารมณ์ดังกล่าว ความเป็นพลเมืองดีในยุคแรกเริ่มสังคม
มนุษย์จงึ สะท้อนลักษณะท่ีบ่งบอกถงึ สถานะ/ภาวะของการเปน็ สมาชิกและการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกนั ใน
สังคมท่ีเกี่ยวข้องกับการใชส้ ิทธเิ สรภี าพของประชาชนในฐานะพลเมอื งท่มี ีความสัมพันธ์ต่อกัน
ต่อมาเม่ือเข้าสู่ยคุ สงั คมอินเดียโบราณและสมัยพุทธกาล พัฒนาการของความเป็นพลเมอื ง
ก็ได้ถูกยึดโยงด้วยระบบวรรณะอนั เปน็ ความเชือ่ ทางสังคมท่ีตกอยภู่ ายใตอ้ ิทธพิ ลของศาสนาพราหมณ์ใน
ขณะน้ัน และมีความแตกต่างกันไปภายใต้กฎกติกาทางการเมืองการปกครองของรัฐนั้นด้วย แต่อย่างไร
ก็ดี เม่ือพระพุทธเจ้าทรงตง้ั ระบบสังฆะขึ้นในแง่ลักษณะของการรวมตัวกันเป็นประชาสังคม ความเป็น
พลเมืองดีของระบบสังฆะหรือในพระพุทธศาสนา จะแสดงออกถึงความมีอารยะโดยมีหลักจริยธรรม
หรือคณุ ธรรมบางประการเป็นเครื่องกำกับ เป็นการจัดระเบียบความสัมพันธห์ รือการจัดการทรัพยากร
ร่วมกัน เพื่อเป็นแบบอย่างแห่งสงั คมท่ีพึงปรารถนาอันเป็นสังคมท่ีสงบสขุ ปราศจากการเบียดเบียนซึ่ง
กันและกัน สมาชิกในสังคมมีความรัก ความเอื้อเฟ้ือ เผ่ือแผ่ให้แก่กนั และกัน โดยไมห่ วังสิ่งใดตอบแทน

๘๘

มีความสมานสามัคคี เคารพสิทธิ และความเสมอภาคของพลเมืองที่เป็นมวลสมาชิกในสังคม ยึดมั่นใน
สนั ตวิ ิธี ไม่ใชค้ วามรนุ แรง เป็นตน้

ดังน้ัน ความเปน็ พลเมืองดีในพระพุทธศาสนาจึงมุ่งทีเ่ ปา้ หมายของการอยู่ร่วมกนั ในสังคม
เป็นสำคัญ คือจะเน้นไปที่หลักของการประพฤติปฏิบัติทางจริยธรรมหรือคุณธรรมอันเป็นคุณสมบัติ
พ้ืนฐานของการเป็นคนดีตามคำส่ังสอนของพระพุทธเจ้าในการรักษาระเบียบทางกาย วาจาและใจ ให้
ปราศจากกิเลส อันได้แก่ความโลภ ความโกรธ ความหลง เพ่ือควบคุมพฤติกรรมของพลเมือง หรือที่
เรียกว่า ความมีอารยะ เปน็ เคร่ืองกำกับให้อยู่ในระเบยี บเป็นบรรทัดฐานเดยี วกัน เพอื่ การเป็นสมาชกิ ที่
ดขี องสังคม โดยมีมาตรฐานการปฏบิ ัตติ ั้งแตร่ ะดับศลี ซ่ึงเป็นหลักท่ัวไปสำหรับการดำรงชีวติ ของมนษุ ย์
เพ่ือให้เกิดความสงบสุขในการอยู่ร่วมกันในสังคม ไปจนถึงหลักคำสอนที่เป็นคุณธรรมระดับสูง เพื่อ
ยกระดับจิตใจของพลเมืองในระบบสังฆะให้ก้าวไปสู่จุดมุ่งหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา น่ันก็คือ
ความเป็นอริยชน (ความเป็นพลเมืองท่มี ีคุณภาพ)

ส่วนแนวคิดเก่ียวกับการพัฒนาความเป็นพลเมืองดที างพระพุทธศาสนาน้นั ต้องยดึ ระบบ
การพัฒนาตนของพลเมืองแบบบูรณาการและมีดุลยภาพตามข้ันตอนของภาวนา ๔ ท่ีมีไตร สิกขาเป็น
แกนกลาง หลักการพัฒนาคนที่มีไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นแกนกลางน้ี ถือเปน็ หลักใหญ่ของ
พระพุทธศาสนา เป็นระบบและเป็นกระบวนการของการพัฒนาความเป็นพลเมืองดี ที่ครอบคลุม
หลักการดำเนินชีวิตทั้งหมดของพลเมืองที่จะต้องพัฒนาส่ิงท้ังปวงไปพร้อมๆ กัน ท้ังทางด้านร่างกาย
(กายภาวนา) ด้านพฤติกรรม (ศีลภาวนา) ด้านจิตใจ (จติ ตภาวนา) และด้านปญั ญา (ปัญญาภาวนา) อัน
เป็นทุกมุมของชีวติ ของพลเมือง เพื่อพัฒนาตนเองให้เป็นมนษุ ยท์ ี่สมบรู ณ์หรือเป็นพลเมืองท่ีดีมีคณุ ภาพ
และเป็นทีพ่ งึ ประสงคข์ องสังคมตามความเหมาะสมกับสถานการณแ์ ตล่ ะกรณไี ป

ดังนั้น ความรู้ท่ีได้จากการศึกษาในบทน้ี ผู้วิจัยจะได้นำไปวิเคราะห์เพ่ือหาคำตอบของ
แนวทางสำหรับการพัฒนาความเป็นพลเมืองดีตามหลักพระพุทธศาสนา ให้กับผู้คนในสังคมอย่าง
เปน็ รูปธรรม

๒.๔ แผนการจัดการเรียนรู้

๒.๔.๑ ความหมายของแผนการจัดการเรยี นรู้
วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์๑๕๒ กล่าวว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หมายถึง การเตรียมการ
สอนอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ล่วงหน้า เพื่อเป็นแนวทางการสอนสำหรับครูอันจะช่วยให้การเรียน
การสอน บรรลุจุดประสงค์ที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพข้อมูลท่ีผู้สอนต้องเตรียมไว้ในการวางแผน
ได้แก่

๑๕๒ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์. การพัฒนาการเรียนการสอนภาควิชาหลักสูตรและการสอน. คณะศึกษาศาสตร์.
มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.๒๕๕๔), หนา้ ๔.

๘๙

๑. การกำหนดจดุ ประสงค์
๒. การคัดเลอื กเน้อื หา
๓. การกำหนดกิจกรรมการเรยี นการสอน
๔. การเลือกสือ่ การเรยี นการสอน
๕. การวัดผลประเมนิ ผล
วันชัย แย้มจันทร์ฉาย๑๕๓ กล่าวสรุปไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การวางแผน
ล่วงหน้า เพ่ือจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน โดยจัดทำเป็นเอกสาร เน้ือหาความรู้ ส่ือการเรียนการสอน
กจิ กรรมและการประเมนิ ผล
เขียน วันทนียตระกูล๑๕๔ ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ว่าเป็นการจัดวาง
โปรแกรมการสอนท้ังหมดในวิชาใดวิชาหนึ่งไว้ล่วงหน้า เพื่อช่วยให้ครูผู้สอนได้จัดดำเนินกระบวนการ
เรียนรู้ให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรที่วางไว้ การวางแผนการจัดการเรียนรู้เป็นการเตรียมตัว
ล่วงหน้าก่อนสอน เพือ่ ให้การเรียนการสอนบรรลจุ ุดมุ่งหมายทีก่ ำหนดไวโ้ ดยใชข้ อ้ มลู ท่ีได้จากการสำรวจ
ปัญหา การสำรวจทรัพยากร การวเิ คราะห์เนื้อหา การวเิ คราะห์ผูเ้ รียน การกำหนดมโนมติ วัตถปุ ระสงค์
กิจกรรมการเรียน ส่ือการสอน และการประเมินผล แล้วเขียนแผนออกมาในรูปของแผนการการจัด
การเรยี นรู้
มนสิช สิทธิสมบูรณ์๑๕๕ ได้ให้คำจำกัดความของแผนการจัดการเรียนรู้ว่า คือแผนการหรือ
โครงการทจ่ี ัดทำเป็นลายลักษณ์อักษร เพ่ือใช้ในการปฏิบัติการสอนในรายวชิ าใดรายวิชาหน่ึง เป็นการ
เตรียมการสอนอย่างเป็นระบบและเป็นเคร่ืองมือท่ีช่วยให้ครูพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ไปสู่
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ และจุดหมายของหลักสูตรได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ
วิกานดา จักรอิศราพงษ์๑๕๖ กลา่ วว่า แผนการจัดการเรียนรู้เป็นผลของการเตรียมการอยา่ ง
เป็นรูปธรรมของการแปลงหลักสูตรสู่กระบวนการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน แผนการจัดการเรียนรู้จึงเป็น

๑๕๓ วันชัย แย้มจันทร์ฉาย. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยของนักเรียนช้ัน
มธั ยมศึกษาปีท่ี ๕ ทจี่ ัดการเรยี นรู้โดยใช้โครงงานกบั การเรียนตามปกติ. (นครสวรรค์ : สำนักงานเขตพน้ื ที่การศกึ ษา
มธั ยมศึกษา เขต ๔๒. ๒๕๕๔).

๑๕๔ เขียน วันทนียตระกูล. หลักการและวิธีการสอน. (เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
วทิ ยาเขตล้านนา.๒๕๕๒), หนา้ ๑๐.

๑๕๕ มนสชิ สทิ ธสิ มบูรณ.์ ชดุ ฝึกอบรมการเขียนแผนจดั การเรียนร้ทู ีเ่ นน้ ผู้เรยี นเปน็ สำคัญ.(พมิ พ์คร้ังที่
๕). คณะศึกษาศาสตร์, (พิษณโุ ลก: มหาวิทยาลัยนเรศวร, ๒๕๕๒), หน้า ๑.

๑๕๖ วิกานดา จักรอิศราพงษ์. การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้การอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษ โดยใช้
รูปแบบการเรียนการสอนภาษาแบบองค์รวมสำหรบั นกั เรียนช้ันประถมศึกษาปที ่ี ๒. (มหาวิทยาลยั เชียงใหม่, ๒๕๕๓),
หน้า ๒๗.

๙๐

นวัตกรรมการเรียนรู้สำคัญท่ีทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับผู้เรียน ซ่ึง
จะต้องใหค้ วามสำคญั มคี วามรู้ความเขา้ ใจ

อาภรณ์ ใจเทย่ี ง๑๕๗ ไดใ้ ห้ความหมายของแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรูว้ า่ เปน็ แผนการจัด
กจิ กรรมการเรียนรู้ การใช้ส่อื การเรียนรู้และการวดั ผลประเมินผลท่ีสอดคล้องกับสาระการเรยี นรู้และ
จุดประสงคก์ ารเรียนร้หู รือผลการเรียนทคี่ าดหวงั ท่กี ำหนดไวใ้ นหลักสูตร

ชนาธิป พรกุล๑๕๘ ได้ให้ความหมายของแผนการเรียนรู้ว่าเป็นแนวทางการจัดกจิ กรรมการ
เรียนการสอนที่เขียนไว้ล่วงหน้า ทำให้ผู้สอนมีความพร้อมและมั่นใจว่าจะสามารถสอนได้บรรลุ
จุดประสงคท์ ่กี ำหนดไว้และดำเนินการสอนได้

ชวลิต ชกู ำแพง๑๕๙ กล่าวว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ หมายถึงการวางแผนการจดั
กจิ กรรมการเรียนการสอนล่วงหนา้ อยา่ งเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรของครูผูส้ อนเพอ่ื เป็นแนวทางในการจัด
กิจกรรมการเรียนรใู้ นแตล่ ะครง้ั โดยใช้สอ่ื และอุปกรณก์ ารเรียนการสอนให้สอดคลอ้ งกับผลการเรียนรู้
ท่คี าดหวังเนอ้ื หาเวลาเพ่ือพฒั นาการเรียนรู้ของผเู้ รยี นใหเ้ ปน็ ไปอย่างเตม็ ศักยภาพ

สรุปความหมายของแผนการจดั การเรยี นรู้ หมายถึงเอกสารที่เป็นคู่มอื และเคร่ืองมอื ของครู
ในการจัดกระบวนการเรียนรูใ้ ห้ผู้เรียนใหเ้ ป็นไปตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรท่ีวางไว้เพื่อใหค้ รูสามารถ
จัดกิจกรรมการเรียนการสอนไปตามขั้นตอนตามหลักสูตร เพื่อให้นักเรียนบรรลุวัตถุประสงค์
การเรยี นร้ไู ด้

๒.๔.๒ ความสำคัญของแผนการจัดการเรยี นรู้
วิมลรตั น์ สุนทรโรจน์๑๖๐ กล่าววา่ การวางแผนการสอนมีความสำคญั ดังน้ี

๑. ทำให้ผู้สอนสอนด้วยความมั่นใจเมื่อเกิดความมั่นใจในการสอนย่อมเกิดความ
คล่องแคล่วเป็นไปตามลำดับขั้นตอนอย่างราบร่ืน ไม่ติดขัดเพราะได้เตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว
การสอนจะดำเนนิ การไปสู่จุดหมายปลายทางอยา่ งสมบูรณ์

๒.ทำให้การสอนมีคณุ คา่ คมุ้ กับเวลาที่ผ่านไปเพราะผู้สอนสอนอย่างมีแผน มีเป้าหมาย
และมีทิศทางในการสอนมิใช่สอนอย่างเล่ือนลอยผู้เรียนก็จะได้รับความรู้ความคิดเกิดเจตคติเกิดทักษะ
และประสบการณ์ใหมต่ ามทผ่ี ู้สอนวางแผนไว้ทำใหก้ ารเรียนการสอนมีคณุ ค่า

๑๕๗ อาภรณ์ ใจเท่ียง. หลักการสอน (ฉบับปรับปรุง). (พิมพ์คร้ังที่ ๕). (กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์, ๒๕๕๓),
หน้า ๑๐๕.

๑๕๘ ชนาธิป พรกุล. การออกแบบการสอน การบูรณาการ การอ่าน การคิดวิเคราะห์ และการเขียน.
(กรุงเทพฯ: วี. ปรน้ิ ท,์ ๒๕๕๑), หนา้ ๘๕.

๑๕๙ ชวลิต ชูกำแพง. การวิจัยหลักสูตรและการสอน. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). (มหาสารคาม: มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม, ๒๕๕๓), หนา้ ๑๑๒-๑๑๖.

๑๖๐ วมิ ลรัตน์ สนุ ทรโรจน.์ การพฒั นาการเรยี นการสอนภาควชิ าหลักสตู รและการสอน. หน้า ๔.

๙๑

๓. ทำให้เป็นการสอนที่ตรงตามหลักสูตร ทั้งนี้ เพราะในการวางแผนการสอนผู้สอน
ต้องศึกษาหลักสูตร ท้ังทางด้านจุดประสงค์การสอนเน้ือหาสาระกิจกรรมการใชส้ ื่อการสอนและการวัด
ประเมนิ ผลเม่อื ผู้สอนสอนตามแผนการสอนกเ็ ปน็ การสอนที่ตรงตามจดุ หมายและทศิ ทางของหลักสูตร

๔. ทำให้การสอนบรรลุผล อย่างมีประสิทธิภาพดีกว่าการสอนที่ไม่มีการวางแผน
เน่ืองจากการวางแผนการสอน ผู้สอนต้องวางแผนอยา่ งรอบคอบในทกุ องค์ประกอบของการสอนรวมทั้ง
การจัดเวลาสถานที่และส่ิงอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ซึ่งจะเอ้ืออำนวยให้เกิดการเรียนรู้ได้สะดวกและ
ง่ายขึ้น

๕. ทำให้ผู้สอนมีเอกสารเตือนความจำสามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการสอนต่อไป
ทำให้ไม่เกิดความซ้ำซ้อนและเป็นแนวทางในการทบทวนหรือการออกข้อสอบเพื่อวัดผลประเมินผล
ผู้เรียนได้ นอกจากนี้ทำให้ผู้สอนมีเอกสารไว้ให้แนวทางแก่ผู้ที่สอนแทนในกรณีท่ีจำเป็นเม่ือผู้สอนไม่
สามารถเขา้ สอนเองได้ผเู้ รยี นจะไดร้ ับความรูแ้ ละประสบการณ์ท่ีต่อเน่อื งกนั

๖. ทำให้ผู้เรียนเกิดเจตคติทีด่ ีต่อผสู้ อนและต่อวิชาท่ีเรียนทัง้ นี้เพราะว่าผูส้ อนสอนด้วย
ความพรอ้ มทัง้ ทางดา้ นจิตใจและวตั ถคุ วามพร้อมทางดา้ นจติ ใจคือความมัน่ ใจในการสอนเพราะผสู้ อนได้
เตรยี มการสอนไว้อยา่ งพร้อมเพรยี งเม่อื เกิดความพร้อมในการสอนยอ่ มสอนด้วยความกระจา่ งแจ้งทำให้
ผู้เรียนเกดิ ความเขา้ ใจในบทเรยี นอันส่งผลให้ผเู้ รยี นเกิดเจตคติทดี่ ีต่อผู้สอนและต่อวิชาท่จี ะเรยี น

สวุ ิทย์ มลู คำและคณะ๑๖๑ กล่าววา่ ความสำคญั ของแผนการจดั การเรยี นรู้ดังนี้
๑. ทำให้เกิดการวางแผนวิธีสอนที่ดี วิธีเรียนที่ดี ท่ีเกิดจากการผสมผสานความรู้และ

จติ วทิ ยาการศึกษา
๒. ช่วยให้ครูผู้สอนมีคู่มอื การจัดการเรียนรู้ ทีท่ ำไว้ล่วงหน้าดว้ นตนเอง และทำให้ครูมี

ความม่ันใจในการจัดการเรยี นร้ไู ดต้ ามเป้าหมาย
๓. ชว่ ยใหค้ รผู ูส้ อนทราบวา่ การสอนของตนได้เดินไปในทางทศิ ใด หรอื ทราบว่าจะสอน

อะไร ด้วยวธิ ีใด สอนทำไม สอนอยา่ งไรจะใชส้ อ่ื แหลง่ เรยี นรอู้ ะไรและจะวดั และประเมินผลอยา่ งไร
๔. ส่งเสรมิ ให้ครูผู้สอนใฝ่ศึกษาหาความรู้ ท้ังเรื่องหลักสูตร วิธีจดั การเรียนรู้ จะจัดหา

และใช้สือ่ แหล่งเรียนรู้ ตลอดจนการวดั และประเมนิ ผล
๕. ใช้เปน็ คูม่ อื สำหรบั ครูทม่ี าสอน (จัดการเรยี นรู)้ แทนได้
๖. แผนการจัดการเรยี นรทู้ น่ี ำไปใชแ้ ละพัฒนาแลว้ จะเกิดประโยชนต์ อ่ วงการศึกษา
๗. เป็นผลงานทางวิชาการที่แสดงถึงความชำนาญและความเชียวชาญของครูผู้สอน

สำหรบั ประกอบการประเมนิ เพอ่ื ขอเลอื่ นตำแหน่ง และวิทยฐานะครใู หส้ ูงขน้ึ

๑๖๑ สุวิทย์ มูลคำ ประภาพรรณ เส็งวงศ์ คณาพร คมสัน สายพิณ ทองสว่าง มาลี ชัยมณีและมุกดา ลอนใหม่.
การเขียนแผนการจดั การเรียนรทู้ ีเ่ นน้ การคดิ . (พิมพค์ ร้ังที่ ๓). (กรงุ เทพฯ: อีเคบุ๊คส์, ๒๕๕๑), หนา้ ๕๘.

๙๒

เขียน วันทนียตระกูล๑๖๒ ได้กล่าวถึง ความสำคัญของแผนการสอน หรือแผนการจัดการ
เรยี นร้ไู ว้ว่า การวางแผนการสอน เปน็ งานสำคัญของครูผสู้ อน การสอนจะประสบผลสำเรจ็ ดว้ ยดหี รือไม่
มากน้อยเพียงใด ขนึ้ อย่กู ับการวางแผนการสอน เป็นสำคัญประการหนงึ่ ถา้ ผสู้ อนมีการวางแผนการสอน
ที่ดีก็เท่ากับบรรลุจุดหมายปลายทางไปแล้วครึ่งหนึ่ง การวางแผนการสอน จึงมีความสำคัญหลาย
ประการ ดงั นี้

๑. ทำให้ผู้สอนสอนด้วยความม่ันใจเม่ือเกิดความมั่นใจในการสอนย่อมจะสอนด้วย
ความแคล่วคลอ่ ง เป็นไปตามลำดับขั้นตอนอย่างราบรื่น ไม่ติดขดั เพราะได้เตรียมการ ทุกอย่างไว้พร้อม
แล้ว การสอนก็จะดำเนนิ ไปสูจ่ ุดมุง่ หมายปลายทางอยา่ งสมบรู ณ์

๒. ทำให้เป็นการสอนที่มีคุณค่าคุ้มกับเวลาที่ผ่านไปเพราะผู้สอนสอนอย่างมีแผนมี
เปา้ หมายและมที ิศทางในการสอน มิใช่สอนอย่างเล่ือนลอย ผู้เรียนกจ็ ะได้รบั ความรู้ ความคดิ เกดิ เจตคติ
เกดิ ทกั ษะและเกิดประสบการณ์ใหมต่ ามท่ีผู้สอนวางแผนไว้ทำใหเ้ ปน็ การเรียนการสอนทม่ี ีคุณค่า

๓. ทำให้เป็นการสอนท่ีตรงตามหลักสูตร ทั้งนี้เพราะในการวางแผนการสอน ผู้สอน
ตอ้ งศึกษาหลกั สูตรทั้งด้านจุดประสงค์การสอนเน้ือหาสาระท่ีจะสอนการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน
การใช้ส่ือการสอนและการวัดผลประเมินผล แล้วจัดทำออกมาเป็นแผนการสอน เม่ือผู้สอนสอนตาม
แผนการสอน ก็ยอ่ มทำให้เป็นการสอนท่ีตรงตามจดุ หมายและทิศทางของหลักสตู ร

๔. ทำให้การสอนบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพดีกว่าการสอนท่ีไม่มีการวางแผน
เนื่องจากในการวางแผนการสอน ผู้สอนต้องวางแผนอย่างรอบคอบ ในทุกองค์ประกอบของการสอน
รวมท้ังการจัดเวลา สถานท่ี และส่ิงอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ซึ่งจะเอื้ออำนวย ให้เกิดการเรียนรู้ได้
โดยสะดวกและง่ายดายข้นึ ดังนั้น เมื่อมีการวางแผนการสอนท่ีรอบครอบและปฏิบตั ิตามแผนการสอน
ท่วี างไว้ ผลของการสอนยอ่ มสำเร็จได้ดีกว่าการไมไ่ ด้วางแผนการสอน

๕. ทำให้ผู้สอนมีเอกสารเตือนความจำ สามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการสอนต่อไป
ทำให้ไม่เกิดความซ้ำซ้อนและเป็นแนวทางในการทบทวนหรือการออกข้อทดสอบ เพื่อวัดผลประเมิน
ผู้เรียนได้ นอกจากนี้ทำให้ผู้สอนมีเอกสารไว้ให้เปน็ แนวทางแก่ผู้ท่ีเข้าสอนแทนในกรณีจำเป็นเมื่อผู้สอน
ไมส่ ามารถเขา้ สอนเองได้ผูเ้ รียนจะไดร้ ับความรู้และประสบการณท์ ต่ี ่อเน่ืองกนั

๖. ทำให้ผู้เรียนเกดิ เจตคติท่ีดีต่อผู้สอนและต่อวิชาท่ีเรียน ท้ังน้ีเพราะผู้สอน สอนด้วย
ความพรอ้ ม เป็นความพร้อมทั้งทางด้านจิตใจ และความพร้อมทางด้านวัตถุ ความพร้อมทางด้านจิตใจ
คอื ความม่ันใจในการสอน เพราะผู้สอนไดเ้ ตรียมการสอน มาอย่างรอบครอบ ส่วนความพรอ้ มทางด้าน
วตั ถุคือ การที่ผู้สอนได้เตรียมเอกสาร หรือสอ่ื การสอนไว้อย่างพร้อมเพียง เมื่อผู้สอนเกิดความพร้อมใน

๑๖๒ เขียน วันทนยี ตระกูล. หลกั การและวิธกี ารสอน. (เชียงใหม่: มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลยั
วิทยาเขตล้านนา, ๒๕๕๒), หน้า ๑๑.

๙๓

การสอนย่อมสอนดว้ ยความกระจ่างแจ้ง ทำใหผ้ ู้เรียนเกดิ ความเข้าใจอย่างชัดเจนในบทเรียนอนั ส่งผลให้
ผู้เรยี นเกดิ เจตคติทด่ี ีตอ่ ผ้สู อนและตอ่ วิชาทเ่ี รยี น

จากการศึกษาเร่ืองความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ สรุปว่า แผนการจัดการเรียนรู้
เป็นส่ิงท่ีช่วยให้ผู้สอน ได้วางแผนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
การศึกษาบรรลุเป้าหมาย วัตถุประสงค์ และจุดหมายปลายทางของหลักสูตร ส่งผลให้นักเรียนมี
คุณลกั ษณะตรงตามทีห่ ลักสูตรไดต้ งั้ เปา้ หมายเอาไว้

๒.๔.๓ ลกั ษณะของแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
สาํ ลี รักสุทธี๑๖๓ กลา่ วไว้วา่ แผนการจัดการเรียนรูห้ รือแผนการสอนที่ดีจะตอ้ งประกอบดว้ ย
องคป์ ระกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ครบถ้วน มีกิจกรรม สื่อ การวดั และประเมินผลท่ีสอดคล้องกัน
ตลอด และที่สำคัญให้ผู้เรียนมีส่วนในการปฏิบัติมากที่สุด ทุกขั้นตอน เพ่ือให้ผู้เรียนได้พัฒนาความรู้
ความสามารถอยา่ งเต็มศักยภาพ ซึง่ สรุปได้ดงั น้ี

๑. เป็นแผนการสอนท่ีมีกิจกรรมท่ีให้ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติมากที่สุด โดยครู
เป็นเพียงผนู้ ำ สง่ เสริม หรอื กระตนุ้ ใหก้ จิ กรรมให้ผเู้ รยี นดำเนินการไปตามความมงุ่ หมาย

๒. เป็นแผนการสอนท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเป็นผู้ค้นพบคำตอบหรือทำสำเร็จด้วย
ตนเอง โดยครูพยายามลดบทบาทของผ้บู อกคำตอบมาเปน็ ผูค้ อยกระตนุ้ ด้วยคำถามหรอื ปญั หาให้ผเู้ รียน
เรียนคิดแกห้ รอื หาแนวทางไปสคู่ วามสำเรจ็ ในการทำกจิ กรรมเอง

๓. เป็นแผนการสอนที่เน้นทักษะกระบวนการมุ่งให้ผู้เรียนรับรู้และนำกระบวนการ
ไปใช้จรงิ

๔. เปน็ แผนการสอนท่ีส่งเสริมให้ใช้วัสดอุ ปุ กรณ์ท่สี ามารถจดั หาไดใ้ นท้องถิน่ หลกี เลยี่ ง
การใชว้ สั ดอุ ุปกรณ์สำเร็จรูป ราคาสงู

อาภรณ์ ใจเที่ยง๑๖๔ กล่าวไว้ว่า แผนการสอนท่ีดี จะช่วยให้การเรียนการสอนประสบผล
สำเรจ็ ไดด้ ี ดงั นนั้ ผสู้ อนจึงควรทราบถึงลกั ษณะของแผนการสอนที่ดี ซึ่งมีดังน้ี

๑. สอดคลอ้ งกับหลักสูตร และแนวการสอนของกรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
๒. นำไปใช้สอนไดจ้ ริงและมปี ระสิทธภิ าพ
๓. เขยี นอยา่ งถูกตอ้ งตามหลกั วชิ า เหมาะสมกับผู้เรียนและเวลาที่กำหนด
๔. มคี วามกระจา่ งชัดเจน ทำใหผ้ ้อู ่านเขา้ ใจง่ายและเข้าใจไดต้ รงกัน
๕. มรี ายละเอยี ดมากพอทที่ ำให้ผู้อา่ นสามารถนำไปใชส้ อนได้
๖. ทุกหวั ข้อในแผนการสอนมคี วามสอดคลอ้ งสัมพันธ์กัน

๑๖๓ สำลี รักสุทธี. คู่มอื การจัดทำส่ือ นวัตกรรมและแผนฯ ประกอบสื่อ นวตั กรรม. (กรุงเทพฯ: พัฒนาศึกษา,
๒๕๕๓), หน้า ๑๖.

๑๖๔ อาภรณ์ ใจเท่ยี ง. หลกั การสอน (ฉบบั ปรบั ปรงุ ). หนา้ ๒๑๓.

๙๔

สวุ ิทย์ มลู คำ และคณะ๑๖๕ ได้กล่าวถึงลกั ษณะของแผนการจัดการเรยี นรูด้ ังน้ี
๑. กำหนดจุดประสงค์การเรยี นรู้ ไว้ชัดเจน (ในการสอนเรื่องนั้น ๆ ต้องการให้ผู้เรียน

เกดิ คณุ สมบตั ิอะไร หรอื ด้านใด)
๒. กำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนไว้ชดั เจนและนำไปสู่ผลการเรียนรู้ตามจุดประสงค์

ได้จรงิ (ระบุบทบาทของครูผู้สอนและผเู้ รียนไว้ชัดเจนว่า จะต้องทำอะไร จึงจะทำให้การเรียนการสอน
บรรลุผล)

๓. กำหนดส่ืออุปกรณ์ หรือแหล่งเรยี นรู้ไว้ชัดเจน (จะใช้ส่ืออุปกรณ์ หรือแหล่งเรียนรู้
อะไรชว่ ยบา้ ง และจะใชอ้ ยา่ งไร)

๔. กำหนดวิธีวัด และประเมินผล ไว้ชัดเจน (จะใช้วิธีการและเครื่องมือในการวัดและ
ประเมินผลใด เพื่อใหบ้ รรลุจุดประสงค์การเรียนร้นู ั้น)

๕. ยืดหยุ่น และปรับเปลี่ยนได้ (ในกรณีท่ีมีปัญหาเมื่อมีการนำไปใช้ หรือไม่สามารถ
กำหนดการจัดการเรียนรู้ตามแผนน้ันได้ ก็สามารถปรับเปล่ียนเป็นอย่างอ่ืนได้ โดยไม่กระทบต่อการ
เรียนการสอนและผลการเรียนร)ู้

๖. มีความทันสมัย ทนั ต่อเหตุการณ์ ความเคล่ือนไหวต่าง ๆ และสอดคลอ้ งกับสภาพท่ี
เปน็ จรงิ ที่ผู้เรียนดำเนินชีวิตอยู่

๗. แปลความได้ตรงกัน แผนการจัดการเรียนรู้ท่ีเขียนขึ้น จะต้องสื่อความหมายได้
ตรงกันเขียนให้อ่านเข้าใจง่าย กรณีมีการสอนแทนหรือเผยแพร่ ผู้นำไปใช้สามารถเข้าใจและใช้ได้ตรง
ตามจดุ ระสงคข์ องผเู้ ขียนแผนการจัดการเรยี นรู้

๘. มีการบูรณาการ แผนการจัดการเรียนรู้ท่ีดี จะสะท้อนให้เห็นการบูรณาการแบบ
องค์รวมของเนอื้ หาสาระการเรียนรู้และวิธีการจัดการเรยี นรู้เขา้ ดว้ ยกนั

๙. มีการเชื่อมโยงความรู้ไปใช้อย่างต่อเน่ือง เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้นำความรู้และ
ประสบการณ์เดิมมาเชื่อมโยงกับความรู้ และประสบการณ์ใหม่ และนำไปใช้ในชีวติ จริงกับการเรียนใน
เรื่องตอ่ ไป

จากการศึกษา เร่ืองลักษณะของแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สรุปได้ว่า แผนการจัดการ
เรียนรู้ จะต้องมีการใช้สื่อ อุปกรณ์การสอน การวัดและการประเมินผล สำหรับเนื้อหาสาระ และ
จุดประสงค์การเรียนการสอนย่อยๆ ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือจุดเน้นของหลักสูตร สภาพ
ผูเ้ รยี น ความพร้อมของโรงเรียนในด้านวัสดุอปุ กรณ์ และตรงกับชีวติ จรงิ ในท้องถิ่น

๑๖๕ สุวิทย์ มูลคำ ประภาพรรณ เส็งวงศ์ คณาพร คมสัน สายพิณ ทองสว่าง มาลี ชัยมณีและมุกดา ลอนใหม่.
การเขยี นแผนการจดั การเรียนรทู้ ี่เน้นการคดิ . (พมิ พค์ รง้ั ที่ ๓). (กรงุ เทพฯ: อีเคบุ๊คส์, ๒๕๕๑), หน้า ๕๙.

๙๕

๒.๔.๔ รูปแบบของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
วมิ ลรตั น์ สนุ ทรโรจน์๑๖๖ ได้กลา่ วว่ารูปแบบของแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ไม่มีรปู แบบ
ตายตัวขึ้นอยู่กันหน่วยงานหรือสถานศึกษาแต่ละแห่งจะกำหนด ซ่ึงลักษณะส่วนใหญ่ของแผนการจัด
กิจกรรมการเรยี นรจู้ ะคลา้ ยคลึงกนั ซ่ึงพอสรปุ ได้ดังน้ี

๑. แบบเรียงหัวข้อ รปู แบบน้ีจะเรียงตามลำดับก่อนหลงั โดยไม่ต้องตีตาราง รปู แบบนี้
ให้ความสะดวกในการเขียนเพราะไม่ต้องตีตารางแต่มีส่วนเสียคือยากต่อการดูให้สัมพันธ์กันในแต่ละ
หวั ขอ้

๒. แผนการจัดการเรียนรู้แบบบรรยายหรือเรียงหัวข้อ เป็นรูปแบบท่ีเขียนลำดับกิจกรรม
การเรยี นการสอนเปน็ เชิงบรรยายกจิ กรรมทีค่ รจู ดั เตรยี มไวโ้ ดยไม่ระบชุ ดั เจนว่า นักเรยี น ทำอะไร

จากการศึกษารูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้ ดังกล่าว สรุปได้ว่า แผนการจัดการ
เรียนรู้น้ัน มีหลากหลายรูปแบบ ผู้สอนมีอิสระในการออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ของตนเอง
ซ่ึงจะตอ้ งประกอบดว้ ย ส่วนสำคัญต่าง ๆ อยา่ งครบถ้วน จึงจะสามารถจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ไดค้ รอบคลุม
และมีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้สอนควรปฏิบัติตามนโยบายของโรงเรียนที่กำหนดไว้ว่า ให้ใช้
รูปแบบใด ถา้ โรงเรยี นมิได้กำหนดรปู แบบไว้ จึงเลือกแบบท่ีตนเองเหน็ ว่า สะดวกตอ่ การนำไปใช้

๒.๔.๕ องคป์ ระกอบของแผนการจดั การเรียนรู้
องค์ประกอบสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ มุ่งเน้นสมรรถนะของสถานศึกษาอาชีวศึกษา
โดยเน้นผ้เู รียนเปน็ สำคญั ให้ผเู้ รยี นมีส่วนรว่ มในกิจกรรม และกระบวนการเรียนรู้ ประกอบดว้ ย๑๖๗

๑) สาระสำคญั
๒) สมรรถนะประจำหนว่ ย
๓) จุดประสงค์การเรยี นรู้
๔) เน้ือหาสาระการเรยี นรู้
๕) กิจกรรมการจดั การเรยี นรู้
๖) สอื่ การเรียนรู้/แหลง่ การเรียนรู้
๗) หลกั ฐานการจดั การเรียนรู้ (ใบความรู้ ใบงาน ใบมอบหมายงาน ฯลฯ)
๘) การบูรณาการ/ความสมั พนั ธก์ บั วิชาอนื่
๙) การวดั และประเมนิ ผล
๑๐) บนั ทึกหลังสอน

๑๖๖ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์. การพัฒนาการเรียนการสอนภาควิชาหลักสูตรและการสอน. คณะศึกษา
ศาสตร.์ (มหาสารคาม: มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, ๒๕๕๔), หนา้ ๔.

๑๖๗ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา. หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช ๒๕๕๖.
สำนักมาตรฐานการอาชีวศกึ ษาและวชิ าชพี . (กรุงเทพฯ: วทิ ยาลัยเทคนิคมนี บุร,ี ๒๕๕๗), หนา้ ๑-๑๖.

๙๖

องค์ประกอบของแผนการจัดการเรยี นรู้ มดี งั ตอ่ ไปน้ี
๑) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
๒) สาระการเรยี นรู้
๓) สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
๔) โครงสร้างเวลาเรียน
๕) โครงสร้างหลกั สตู รกลุ่มสาระ
๖) ตัวชีว้ ดั /ผลการเรยี นรแู้ ละสาระการเรียนรู้
๗) คำอธิบายรายวิชา
๘) โครงสร้างรายวิชา
๙) หน่วยการเรยี นรู้
๑๐) ตารางวิเคราะหห์ ลักสตู ร

เขียน วันทนียตระกูล๑๖๘ ยังได้เสนอองค์ประกอบของแผนการสอนไว้ว่า องค์ ประกอบของ
แผนการสอน เกิดขนึ้ จากความพยายามตอบคำถามดงั ต่อไปน้ี

๑. สอนอะไร (หน่วยหัวเรอื่ งความคิดรวบยอด หรือสาระสำคญั )
๒. เพอ่ื จดุ ประสงคอ์ ะไร (จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม)
๓. ดว้ ยสาระอะไร (โครงร่างเน้ือหา)
๔. ใช้วิธีการใด (กิจกรรมการเรยี นการสอน)
๕. ใชเ้ ครือ่ งมอื อะไร (สือ่ การเรียนการสอน)
๖. ทราบได้อย่างไรว่าประสบความสำเร็จหรอื ไม่ (วัดผลประเมินผล) เพ่ือตอบคำถาม
ดงั กลา่ ว จงึ กำหนดใหแ้ ผนการสอน มอี งค์ประกอบ ดังนี้

๖.๑ วชิ าหนว่ ยท่สี อนและสาระสำคัญ (ความคิดรวบยอดของเร่อื ง)
๖.๒ จุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม
๖.๓ เนือ้ หา
๖.๔ กิจกรรมการเรยี นการสอน
๖.๕ สอ่ื การเรียนการสอน
๖.๖ วดั ผลประเมนิ ผล
จากการศึกษาเน้ือหาดังกล่าว ามารถสรุปได้ว่า องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้
น้ันมีองค์ประกอบ ได้แก่ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวัด สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการ
เรยี นรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้ แหล่งการเรียนรู้ และการวดั ผลประเมินผล

๑๖๘ เขียน วนั ทนยี ตระกูล. หลกั การและวิธีการสอน. หน้า ๑๒.

๙๗

๒.๔.๖ ขน้ั ตอนการทำแผนการจัดการเรยี นรู้
สำลี รักสุทธี๑๖๙ กลา่ วถงึ ข้นั ตอนการทำแผนการจดั การเรยี นรู้ ไวด้ งั ตอ่ ไปนี้

๑. ศึกษาหลักสูตร ต้องศึกษาหลักสูตรอย่างกว้างขวางและรอบด้านในวิชาและราย
วชิ าท่ีเกี่ยวข้องกับเรือ่ งทจ่ี ะสอน สาระ และตัวบ่งช้ี เพ่ือจะได้เขา้ ใจและเหน็ ความสัมพนั ธท์ ่ีเก่ียวขอ้ งกับ
เนื้อหา

๒. ศึกษาคำอธิบายรายวิชา และตัวบ่งช้ี ให้กระจ่าง เพ่ือจะได้นำไปสร้างจุดประสงค์
การเรยี นรู้

๓. สร้างจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ เน้ือหา เวลา
กิจกรรม วิเคราะห์ได้จากคำอธิบายรายวิชา โดยให้สัมพันธ์กับจุดประสงค์ ตัวบ่งชี้ของวิชาและ
จุดประสงค์ของหลกั สตู ร

๔. หากลวิธี เทคนิคในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธจี ัดกิจกรรมการเรยี นร้จู ะต้อง
สอดคล้องกับเนื้อหา หลักสูตร และทันสมัย โดยใช้ทักษะกระบวนการและทฤษฎีการเรียนรู้ต่าง ๆ
ตลอดท้ังประสมประสานระหว่างประสบการณ์และจินตนาการของผู้สอนเอง คงไม่มวี ิธีการจัดกิจกรรม
ใดวเิ ศษทีส่ ุดในโลก แตว่ ิธกี ารจดั กจิ กรรมที่เหมาะสมและสอดคลอ้ งกบั เนือ้ หาและทฤษฎีการเรียนรู้มาก
ท่ีสุด จะต้องยดึ หลักให้ผู้เรียนเป็นผ้ปู ฏิบัตแิ ละค้นพบความร้ดู ว้ ยตนเองใหร้ ู้จกั วางแผนและฝึกทกั ษะเป็น
กลุ่มและรายบุคคล เพ่อื ให้นักเรียนได้เป็นผู้คิดเปน็ ผู้ทำและเหน็ ช่องทางการทำงานอย่างมปี ระสิทธภิ าพ

๕. จัดทำส่ือประกอบการจัดกิจกรรม แผนท่ีดีจะต้องมีส่ือการเรียนรู้ท่ีหลากหลายหา
กิจกรรมเสริมทั้งก่อนเรียน ขณะเรียนและหลังเรียน นอกจากน้ันควรเป็นสื่อท่ีคิดทำข้ึนมาใหม่อย่าง
สร้างสรรค์ด้วย แต่ต้องให้เหมาะสม และสอดคล้องกับวัยของผู้เรียนดว้ ย

๖. กำหนดโครงสร้างสำหรับ ๑ รายวิชา สามารถปฏิบัติได้สองลักษณะคือ โครงสร้าง
อย่างสังเขป และโครงสร้างอย่างละเอียด โครงสร้างอย่างละเอียด เป็นการวางโครงสร้างสัมพันธ์กับ
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้และเน้ือหา เวลา กระบวนการ สื่อการเรียนการสอน การวัดผลประเมนิ ผลให้เห็น
ภาพรวม ตลอดในหนึ่งรายวิชา ส่วนโครงสร้างอย่างสังเขป เป็นการวางโครงสร้างโดยสัมพันธ์กับ
จุดประสงค์การเรียนรู้ เน้ือหาและเวลา เพื่อให้เหน็ ภาพรวมทัง้ หมดภายในหนงึ่ รายวิชา

๗. กำหนดหน่วยการเรยี นรู้ การกำหนดหน่วยการเรียนร้เู ป็นการนำเน้อื หาจากนวัตกรรม
ทง้ั หมดมาวเิ คราะห์วา่ แตล่ ะเร่ืองใชเ้ วลาเท่าไรกแ่ี ผน

๘. การจัดกำหนดการจัดการเรียนรู้ เป็นการนำเน้ือหา จุดประสงค์ กิจกรรมที่ให้
นักเรียนปฏิบตั ิ และการวัดผลประเมินผล มาเขียนเป็นตารางให้เห็นโครงร่างของแผนการจัดการเรียนรู้

๑๖๙ สำลี รักสุทธี. คู่มอื การจัดทำสื่อ นวัตกรรมและแผนฯ ประกอบส่ือ นวัตกรรม. (กรงุ เทพฯ: พัฒนาศึกษา,
๒๕๕๓), หน้า ๑๕๓ -๑๕๗.

๙๘

ขนาดเล็ก ให้เห็นภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ว่า จะดำเนนิ การจดั การเรียนรู้อย่างไร เพ่ือทจี่ ะได้
นำไปขยายภาพสู่แผนการจัดการเรียนรู้ใหญไ่ ด้ง่ายข้ึน

๙. การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้นั้นคือการขยาย
จากโครงสร้างหนว่ ยและกำหนดการจัดการเรยี นรู้เป็นการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ที่จะนำไปใช้ในแต่
ละคาบ/ช่ัวโมงอยา่ งละเอยี ดและปฏิบัติได้จรงิ ท้ังน้ีโดยมีสว่ นประกอบในแผนการจัดการเรียนรทู้ ่ีจะช่วย
ใหก้ ารสอนบรรลถุ ึงเปา้ หมาย ตามจุดประสงค์การเรยี นรู้ ซงึ่ มีมากมายหลากหลายข้อแตกต่างกันไปแต่ส่วน
สำคัญท่ขี าดไมไ่ ด้จะต้องมีแผนการจดั การเรยี นรเู้ หมอื นแผนการจัดการเรียนรทู้ ว่ั ไปคอื

๙.๑ สาระสำคัญ (Concept) เป็นความคิดรวบยอดหรือหลักการของเร่ืองหนึ่งที่
ต้องการใหเ้ กดิ กบั นกั เรยี นตามแผนการเรยี นรู้

๙.๒ จุดประสงค์การเรียนรู้ (Learning Objective) เป็นการกำหนดจุดประสงค์ที่
ต้องการใหเ้ กิดกบั ผเู้ รยี นเม่ือเรียนตามแผนเรียนรนู้ ้ีแลว้

๙.๓ เน้ือหา (Content) เป็นเนื้อหาที่จัดกิจกรรมและต้องการให้นักเรียน เกิดการ
เรียนรู้

๙.๔ กิจกรรมการเรียนการสอน (Instructional Activities) เป็นการเสนอข้ันตอน
หรือกระบวนการการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน ซ่งึ จะนำไปสจู่ ดุ ประสงค์ทกี่ ำหนดไว้

๙.๕ ส่ือและอุปกรณ์ (Instructional Media) เป็นสื่อและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการ
จดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนทกี่ ำหนดไวใ้ นแผนการเรียนรู้

๙.๖ การวัดผลประเมินผล (Measurement and Evaluation) เป็นการกำหนด
ขั้นตอนหรือวิธกี าร วัดผลประเมินผลว่านักเรยี นบรรลุจุดประสงค์ตามกำหนดในกิจกรรม การเรยี นการ
สอน แยกประเมินผลเป็นประเมินผลกอ่ นสอน ขณะสอน และประเมินผลหลังเรยี น

๙.๗ กิจกรรมขอ้ เสนอแนะเป็นกิจกรรมบนั ทึกการสอนก่อนนำไปใช้สอน
๙.๘ ข้อเสนอแนะของผู้บังคับบัญชา เป็นการบันทึกการตรวจแผนการเรียนรู้เพ่ือ
เสนอแนะหลังจากได้ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง การกำหนดรายละเอียดในหัวขอ้ ต่างๆ ในแผนการเรียนรทู้ ่ี
มีความสมบูรณ์ เช่น การกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ เน้ือหากิจกรรมการเรียนการสอน การใช้ส่ือ
และการวัดผลประเมินผลให้มีความสอดคลอ้ ง ส่งเสริมการเรียนร้กู ิจกรรมการเรียนการสอน
๙.๙ บันทึกการสอนเป็นการบันทึกของผสู้ อน บันทึกหลงั การนาแผนการใชส้ ื่อและ
การวัดผลประเมนิ ผลไปใช้แล้ว เพ่ือนำแผนไปปรับปรุงและใชส้ อนในคราวต่อไป

๙.๙.๑ ผลการเรียน เป็นการบันทึกการเรียนรู้และด้านคุณภาพและปริมาณท้ัง
๓ ด้าน คือด้านพุทธิพิสัย ด้านทักษะพิสัย ด้านจิตพิสัย ซ่ึงได้กำหนดในข้ันกิจกรรมการเรียนการสอน
และประเมินผล

๙.๙.๒ ปัญหา และอุปสรรค เป็นการบันทึกปัญหา อุปสรรคท่ีเกิดขึ้นในขณะ
สอนก่อนสอน และหลงั ทำการสอน

๙๙

๙.๙.๓ ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไขเป็นการบันทึกเสนอแนะเพื่อแก้ไข
ปรบั ปรงุ การเรียนการสอนใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ การเรยี นรูบ้ รรลุจุดประสงค์ของบทเรยี นท่ีหลักสตู รกำหนด

มนสิช สิทธิสมบูรณ์๑๗๐ ได้เสนอข้ันตอนการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ โดยสรุปเป็น ๙
ขั้นตอน ตามองค์ประกอบของแผนทั้ง ๑๑ หวั ขอ้ ดังนี้

ขั้นตอนที่ ๑ ทำความเขา้ ใจกับ
๑.๑ มาตรฐานการเรยี นรู้
๑.๒ ตัวช้ีวัด/ ผลการเรียนรทู้ ีค่ าดหวงั
๑.๓ สาระการเรียนรู้
๑.๔ คำอธิบายรายวิชา
๑.๕ หนว่ ยการเรยี นรู้

ขั้นตอนที่ ๒ กำหนดจดุ ประสงค์การเรยี นรู้
ขน้ั ตอนที่ ๓ กำหนดสาระการเรยี นรู้
ขน้ั ตอนที่ ๔ เลอื กกจิ กรรมการเรียนรู้
ขั้นตอนที่ ๕ กำหนดส่ือการเรยี นรู้
ขน้ั ตอนที่ ๖ กำหนดการวัดและประเมินผล
ขน้ั ตอนที่ ๗ ระบุแหลง่ การเรยี นรู้
ขนั้ ตอนท่ี ๘ กิจกรรมเสนอแนะ
ขั้นตอนที่ ๙ บนั ทึกผลหลังการจดั การเรียนรู้
จากการศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้ สรุปได้ว่า ประโยชน์ของ
แผนการจัดการเรียนรู้ ทำให้ครูผู้สอน มีแนวทางในการสอน สามารถจัดเตรียมส่ือ วัสดุอุปกรณ์อีกทั้ง
จดั เตรียมกิจกรรมการเรียนการสอนเพ่ือให้สอดคล้องกับหลกั สูตร ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถ
นำไปเสนอเป็นผลงานทางวิชาการได้

๒.๕ วิธสี อนแบบอรยิ สจั ๔

วิธสี อนแบบอริยสัจ ๔ เปน็ วิธีการสอนทีพ่ ระพทุ ธองคท์ ท่ี รงนําเอาหลักธรรมมา ประยุกต์ใน
การสอนพทุ ธบริษทั สําหรับความหมายของอรยิ สัจ น้ัน อริยะ หมายถึง บุคคลผู้ บรรลุธรรมวิเศษ ส่วน
คําว่า สัจจะ หมายถึง ความรู้เรื่องแห่งความจริง ดังนั้น อริยสัจ จึงหมายถึง ความจริงของพระอริยะ

๑๗๐ มนสิช สิทธิสมบูรณ์. ชุดฝึกอบรมการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ. (พิมพ์คร้ังที่
๕).คณะศึกษาศาสตร์. (พิษณุโลก: มหาวิทยาลยั นเรศวร, ๒๕๕๒), หนา้ ๗.

๑๐๐

หรือความจริงอันประเสริฐ เป็นชื่อธรรมสำคัญมาก พระพุทธศาสนา ๔ ประการ อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย
นิโรธ และมรรค๑๗๑

สาโรช บัวศรี๑๗๒ ได้อธบิ ายวิธีสอนตามข้ันท้งั ๔ ของอรยิ สัจ ไว้ดงั นี้
๑. ขัน้ กาํ หนดปัญหา (หรือข้ันทุกข์) ครูช่วยนักเรยี นใหไ้ ดศ้ ึกษาพิจารณาดูปัญหาท่ีเกิดขึ้น
ด้วยตนเอง ด้วยความรอบคอบ และพยายามกําหนดขอบข่ายของปัญหาท่ีผู้เรียนจะต้อง คิดแก้ไข
ใหจ้ งได้
๒. ข้ันตั้งสมมติฐาน (หรือขั้นสมุทัย) โดยครูช่วยนักเรียนให้ได้พิจารณาด้วยตนเองว่า
สาเหตุของปัญหาท่ียกมากล่าวในขั้นที่ ๑ นั้นมีอะไรบ้าง ช่วยผู้เรียนให้เกิดความ เข้าใจว่าในการ
แกป้ ัญหาใด ๆ น้นั จะต้องกําจัดหรือดับท่ีตน้ ตอหรือแก้ท่สี าเหตุ ของปญั หาเหล่านั้น และชว่ ยผู้เรียนให้
คดิ วา่ ในการแกป้ ัญหาที่สาเหตุน้นั อาจจะกระทาํ อะไรได้บ้างคอื ให้กําหนดสง่ิ ทจ่ี ะกระทาํ น้เี ป็นขอ้ ๆ
๓. ขั้นการทดลองและเก็บข้อมูล (หรือช้ันนิโรธ) สัจฉิกิริยา หมายถึง การทําให้แจ้ง หรือ
ทาํ ให้บรรลุจุดมุ่งหมายท่ีต้องการ ทําอย่างไรจงึ จะทําให้แจง้ ได้ เมื่อทดลอง ไดผ้ ลประการใดต้องบันทึก
ผลของการทดลองแตล่ ะอย่างไว้เพื่อพจิ ารณาขั้นต่อไป
๔. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล (หรือข้ันมรรค) จากการทดลองกระทําด้วยตนเอง
หลาย ๆ อย่างน้ัน ย่อมจะได้ผลออกมาให้เห็นชัด ผลบางประการจะชี้ให้เห็นว่า แก้ปัญหาไม่ได้เลย
ผลบางประการนี้ชี้ให้เห็นว่า แก้ปัญหาได้ แต่ไม่ค่อยชัดเจนนัก ผลท่ีถูกต้องจะช้ีให้เห็นว่าแก้ปัญหาได้
แนน่ อนแลว้ และไดบ้ รรลจุ ดุ หมายแล้ว ได้ แนวทางหรือข้อปฏิบัติท่ีตอ้ งวิเคราะหแ์ ละเปรยี บเทียบข้อมูล
ทไ่ี ด้บนั ทกึ ไวใ้ นขน้ั ท่ี ๓ นนั้ จนเห็นแจ่มแจง้ ว่าทําอย่างไรจงึ จะแก้ปญั หาได้ท่ีกําหนดในขนั้ ที่ ๑ ไดส้ าํ เรจ็
จากการวิเคราะห์ดังกล่าวนั้น จะทําให้เห็นว่าสิ่งใดแก้ปัญหาได้จริง ต่อไป ก็ให้สรุปการ
กระทําท่ีได้ผลนั้นไว้เป็นข้อ ๆ หรือเป็นระบบ หรือเป็นแนวทาง ปฏิบัติ แล้วลงมือกระทําหรือปฏิบัติ
อย่างเต็มท่ตี ามแนวทางนนั้ โดยทั่วกัน

๒.๕.๑ ข้นั ตอนการจดั การเรยี นรแู้ บบอริยสจั ๔ ประกอบด้วย

๑) กำหนดปัญหา (ขัน้ ทุกข์) คอื
๑.๑) ผู้สอนกำหนดและนำเสนอปัญหาอย่างละเอียดพยายามให้ผู้เรียนทำความเข้าใจ

ต่อปัญหานั้นตรงกัน และพยายามเร้าความรสู้ ึกให้ผู้เรียนเกิดความตระหนักว่า สิ่งท่ีผู้สอนนำเสนอน้ัน
เป็นปัญหาของทุกคน

๑๗๑ ราชบั ณ ฑิ ตยสถาน . พ จนานุ กรมฉบับราชบัณ ฑิ ตยสถาน พ .ศ. 2554 เฉลิมพ ระเกียรติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม
2554. (กรุงเทพฯ: ราชบณั ฑิตยสถาน.(๒๕๕๖).

๑๗๒ สาโรช บัวศรี.วิธีสอนตามขั้นตอนท้ังสี่ของอริยสัจ ศึกษาศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์.(กรุงเทพฯ :
สำนักพมิ พว์ ัฒนธรรมแหง่ ชาติ, ๒๕๒๖), หน้า ๕-๖.

๑๐๑

๑.๒) ผู้สอนช่วยผู้เรียนให้ได้ศึกษาพิจารณาดูปัญหาที่เกิดข้ึนด้วยตนเอง ด้วยความ
รอบคอบและพยายามกำหนดขอบเขตของปญั หาซึง่ ผู้เรียนจะตอ้ งคิดแกไ้ ขให้ได้

๒) การตงั้ สมมติฐาน (ข้นั สมทุ ัย) คอื
๒.๑) ผู้สอนช่วยให้ผู้เรียนให้ได้พิจารณาด้วยตัวเองว่าสาเหตุของปัญหาที่ยกขึ้นมา

กล่าวในขน้ั ที่ ๑ นั้นมอี ะไรบ้าง
๒.๒) ผู้สอนชว่ ยผเู้ รียนใหไ้ ด้เกิดความเข้าใจและตระหนักว่าในการแกป้ ัญหาใด ๆ นั้น

จะตอ้ งกำจัดหรือดบั
๒.๓) ผู้สอนชว่ ยผ้เู รียนให้คิดว่าในการแก้ทส่ี าเหตุนั้นอาจจะกระทำอะไรได้บ้าง คือให้

กำหนดส่งิ ทจี่ ะกระทำนเ้ี ป็นข้อ ๆ ไป
๓) ทดลองและเก็บข้อมูล (ขน้ั นิโรธ) คือ ใช้เทคนิคการแบ่งงานและการทำงานเป็นกลุ่มและ

เสนอแนะวิธีการจดบันทึกข้อมูลผู้สอน อาจให้ผู้เรียนช่วยกันเสนอว่าจะบันทึกข้อมูลอย่างไร หรือ
ชว่ ยกนั ออกแบบตารางบนั ทกึ ข้อมลู

๔) วิเคราะห์ขอ้ มลู และสรุปผล (ข้ันมรรค) คือ
๔.๑) ช่วยให้ผเู้ รียนเกิดความเข้าใจและสรปุ ได้ว่า ในบรรดาการทดลองหรอื การกระทำ

ด้วยตัวเองหลาย ๆ อย่างนั้น บางอย่างก็แก้ปัญหาไม่ได้บางอย่างก็แก้ปัญหาได้ชัดเจนบางอย่าง
กแ็ กป้ ัญหาไดไ้ มช่ ัดเจน การแก้ปัญหาให้สำเรจ็ จะต้องทำอย่างไรแน่

๔.๒) เมือ่ ลงข้อสรุปวธิ ีแก้ปัญหาได้แล้ว ใหผ้ ู้เรยี นชว่ ยกนั กำหนดแนวทางในการปฏิบัติ
และลงมือปฏิบัติตามแนวทางน้ันโดยท่ัวกัน รวมทั้งให้ผู้เรียนช่วยกันคิดวิธีการควบคุมและติดตามของ
การปฏิบตั ิเมอ่ื แก้ไขปัญหานัน้ ๆ ด้วย

๒.๕.๒ การจดั กระบวนการเรียนรแู้ บบอริยสจั ๔
การจัดกระบวนการเรียนรู้แบบอริยสัจ ๔ เป็นกระบวนการแสวงหาความรู้โดยผู้เรียน
พยายามคิดค้นวิธีการแก้ปัญหาต่างๆ โดยใช้ลำดับข้ันตอน ของอริยสัจ ๔ เป็นแนวทางการแก้ปัญหา
ด้วยตนเอง ซ่งึ ประกอบไปด้วย
๑) ทุกข์ (การกำหนดปัญหา)
๒) สมุทัย (การตัง้ สมมติฐาน)
๓) นิโรธ (การทดลองเกบ็ ข้อมูล)
๔) มรรค (การวิเคราะห์ขอ้ มูลและอุปสรรค)
ในวัฒนธรรมของชาติไทยเราได้ ยอมรับนับถือว่าพระพุทธองค์เป็นบรมครูย่อมต้องมีวิธี
สอนที่ดี ดงั น้ัน ถา้ เราพบว่า วิธีสอนของพุทธองค์เป็นอย่างไรแลว้ ก็ถือว่า เป็นวิธีสอนของครูไทยท่ีควร
นำมาปฏิบตั ิเพอ่ื เปน็ ตัวอยา่ งทีด่ ีดว้ ยวิธกี ารสอนของพระพุทธองค์จะเขียนไว้ ณ ทใ่ี ดบา้ งจะมีการอธิบาย
เกยี่ วกบั วธิ สี อนทีพ่ ระองค์ทรงใชไ้ ว้ท่ีใดบ้าง ก็ไม่ทราบกนั อยา่ งแพร่หลาย

๑๐๒

ดังนนั้ จึงจำเป็นต้องอนุมานหรือคาดหมายเอาบ้าง โดยมากสิ่งที่เราพบเห็นกันน้ันกค็ ือ พระ
ธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ในพระไตรปิฎกซ่ึงรวบรวมสิ่งท่ีสาคัญทั้งหมดของพระพุทธศาสนา
เอาไว้ เป็นหนังสือที่มีจำนวนมากมายหลายเล่ม เรายังไม่มีเวลาท่ีจะอ่านให้หมด จึงไม่มีโอกาสที่จะได้
พบได้ว่า จะมีคำอธิบายเกี่ยวกับวิธีสอนของพระพุทธองค์อยู่ในพระไตรปิฎกเพียงใด แต่เพ่ือความ
รวดเรว็ ก็ควรท่ีจะสามารถ หรืออนุมานเกี่ยวกับวิธีสอนของพระพุทธองค์ได้บ้างตามสมควรจากคำสอน
หรือพฤติการณ์ต่าง ๆ ของพระองค์เนื่องจากอริยสัจ ๔ เป็นคำสอนท่ีถือว่าเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา
ประการหนึ่ง ซ่ึงพยายามทำการคาดหมายหรืออนุมานเอาวิธีสอนมาจากอริยสัจ ๔ และพฤติการณ์
สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ นั้นได้บ้างไม่มากก็น้อย จากการอนุมาน ก็พอจะมองเห็นหรือพอจะอนุโลมได้ว่า
วิธีการแห่งปัญญาน้ัน คล้ายกับวิธีการของอริยสัจ ๔ อย่างท่ีสุด ดังจะพยายามเปรียบเทียบให้เห็น
ดงั ต่อไปน้ี

๑. ขนั้ ตอนของอริยสจั ๔
๑) ทุกข์ ชีวิตน้ีเป็นความทุกข์อย่างย่ิง (ดังน้ัน ปัญญาของเราก็คือ ทำอย่างไรจะได้
พ้นทุกข์)
๒) สมุทัย สาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา (ดังนั้น เพื่อหาทางกำจัดตัณหา เสีย
ได้ ทุกข์ก็คงจะหมดไป วิธีการที่อาจทดลองเพ่ือกำจัดตัณหาอาจมีดังน้ีการอดอาหารการน่ังสมาธิการ
เขา้ ใจสิ่งทีถ่ ูกต้อง)
๓) นิโรธ การดับทุกข์ (ในการให้ได้มาซึ่งสภาวะน้ีจำต้องดำเนินการต่าง ๆ เพ่ือให้ทุกข์ดับ
ไป หรอื เพอ่ื จะได้พ้นทกุ ข์ จึงทำการอดอาหาร เพอ่ื ใหเ้ หน็ ว่า การทำทกุ รกิรยิ าไมอ่ าจพน้ ทกุ ขไ์ ดก้ ็ลองทำ
อยา่ งอื่นออกไปอีก
๔) มรรค จากการปฏิบัติต่าง ๆ ดว้ ยตนเองแลว้ ตกลงสรุปผลได้ว่า วิธีการที่จะพน้ ทุกข์ได้
นั้นมีทางเดยี ว คือทางทเี่ รียกวา่ “มรรค ๘” น่ันเอง
๒. ข้ันต่าง ๆ ของวธิ ีการแหง่ ปัญญา
๑) การกำหนดปัญหา ได้แก่ การพิจารณาเหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้ถูกต้องเหมาะสม
(ในกรณีนีเ้ มอื่ พิจารณาเหน็ ว่าชวี ิตเป็นความทกุ ข์อยา่ งยิ่งแล้วกก็ ำหนดปัญหาได้ว่าทำอย่างไรจงึ จะได้พ้น
ทุกข์นัน่ เอง)
๒) ต้ังสมมติฐาน เม่ือเข้าใจปัญหาโดยรอบคอบแล้ว เช่น รู้สึกสาเหตุของปัญหาแล้วอาจ
ต้ังสมมติฐานหรือทดลองกำหนดหลักการในการแก้ไขได้ (เช่น กำหนดว่าจะต้องกำจัดตัณหาเสียให้
สิน้ เชงิ และกำหนดวิธีการยอ่ ยลงไปอกี ว่าอาจจะอดอาหาร อาจทำสมาธิ เปน็ ต้น)
๓) การทดลองและเก็บข้อมูล ลองทำตามท่ีต้ังสมมติฐานแล้ว เช่น ลองอดอาหารลองทำ
สมาธฯิ ลฯ จดและจำผลของการปฏิบตั ิแต่ละอย่างไวเ้ พื่อจะไดพ้ จิ ารณาต่อไป
๔) การวเิ คราะห์ข้อมูล ทำการวิเคราะห์ข้อมูลหรือผลตา่ ง ๆ ท่ีจำไว้ในขั้นทดลองนน้ั เพื่อ
จะได้รู้ว่าสง่ิ แกป้ ญั หาทกี่ ำหนดไวด้ ั้งเดิมนั้นได้หรือไม่ประการใด

๑๐๓

๕) การสรุปผล นำการสรุปให้เป็นหลักเกณฑ์ หรือขอ้ ความที่แน่ชัดวา่ ไดแ้ ก้ปัญหาได้ด้วย
วิธีใด และได้ผลประการใด (เช่น สรุปว่า วิธีทุกข์กิริยาน้ัน ไม่ได้ผลในการดับทุกข์แต่การปฏิบัติตาม
แนวทางของอริยมรรค ๘ นั้น เป็นทางเดียวที่พ้นทุกข์ได้ แต่จะพ้นไดใ้ นระดับโลกิยะหรือระดับโลกุตระ
ตามแต่เหตกุ ารณ์และบคุ คล

จากการเปรยี บเทียบน้ี กพ็ อจะเหน็ ไดว้ ่าขน้ั ตอนของอริยสัจ ๔ และขน้ั ต่าง ๆ ของวิธกี ารแห่ง
ปัญญานั้นคล้ายคลึงกันเต็มที่ จะกล่าวได้ว่า แบบเดียวกันก็ไม่ผิด คือต่างก็เป็นวิธีการหาเหตุผลและ
แก้ปัญหาน่ันเอง ดังนั้น นับว่าเป็นส่ิงมหัศจรรย์ไม่ใช่น้อยที่โลกตะวันออกและโลกตะวันตก ค้นพบ
วิธีการออกมาได้อย่างเดียวกัน โดยท่ีไม่ได้ทราบซึ่งกันและกนั เลย ต่างคนต่างคิดออกมา แตส่ ังเกตได้ว่า
พระพุทธองค์ไดท้ รงใช้วธิ ีการน้ีมา ๒๕๔๙ ปีมาแลว้

๓. ขน้ั ตอนการจดั การเรยี นรู้ของการจดั กระบวนการเรยี นรแู้ บบอรยิ สัจ ๔
๑) กำหนดปัญหา (ข้ันทุกข์) คือ (๑) ผู้สอนกำหนดและนำเสนอปัญหาอย่างละเอียด
พยายามให้ผู้เรียนทำความเข้าใจต่อปัญหานั้นตรงกัน และพยายามเร้าความรู้สึกให้ผู้เรียนเกิดความ
ตระหนักว่า ส่ิงที่ผู้สอนนำเสนอน้ันเป็นปัญหาของทุกคน (๒) ผู้สอนช่วยผู้เรียนให้ได้ศึกษาพิจารณาดู
ปญั หาท่ีเกิดขน้ึ ด้วยตนเอง ด้วยความรอบคอบและพยายามกำหนดขอบเขตของปญั หาซ่ึงผู้เรียนจะตอ้ ง
คิดแก้ไขให้ได้
๒) การตั้งสมมติฐาน (ขั้นสมุทัย) คือ (๑) ผูส้ อนช่วยให้ผู้เรียนให้ไดพ้ ิจารณาด้วยตัวเองว่า
สาเหตุของปัญหาท่ียกขนึ้ มากลา่ วในข้ันที่ ๑ น้ันมีอะไรบ้าง (๒) ผู้สอนชว่ ยผู้เรียนใหไ้ ดเ้ กิดความ เข้าใจ
และตระหนกั วา่ ในการแก้ปญั หาใด ๆ นั้น จะตอ้ งกำจัดหรอื ดบั (๓) ผู้สอนช่วยผู้เรียนให้คดิ วา่ ในการแก้
ที่สาเหตนุ ั้นอาจจะกระทำอะไรไดบ้ า้ ง คือให้กำหนดส่งิ ท่จี ะกระทำน้ีเป็นขอ้ ๆ ไป
๓) ทดลองและเก็บข้อมูล (ขั้นนิโรธ) คือ ใช้เทคนิคการแบ่งงานและการทำงานเป็นกลุ่ม
และเสนอแนะวิธกี ารจดบันทึกข้อมูลผู้สอน อาจให้ผู้เรียนช่วยกันเสนอวา่ จะบันทึกข้อมูลอย่างไร หรือ
ชว่ ยกันออกแบบตารางบันทกึ ขอ้ มูล
๔) วเิ คราะห์ขอ้ มลู และสรุปผล (ข้ันมรรค) คือ (๑) ชว่ ยให้ผู้เรยี นเกิดความเข้าใจและ สรุป
ได้ว่า ในบรรดาการทดลองหรือการกระทำด้วยตัวเองหลาย ๆ อย่างน้ัน บางอย่างก็แก้ปัญหาไม่ได้
บางอย่างก็แกป้ ัญหาได้ชัดเจนบางอย่างก็แก้ปัญหาได้ไม่ชัดเจน การแก้ปัญหาให้สำเร็จจะต้องทำอย่าง
ไรแน่ (๒) เมื่อลงข้อสรุปวิธีแก้ปัญหาได้แล้ว ให้ผู้เรียนช่วยกันกำหนดแนวทางในการปฏิบัติและลงมือ
ปฏิบัติตามแนวทางน้ันโดยท่ัวกัน รวมทั้งใหผ้ ู้เรียนช่วยกนั คิดวิธีการควบคุมและติดตามของการปฏิบัติ
เมอ่ื แก้ไขปัญหานน้ั ๆ ดว้ ย
หลกั อริยสัจ ๔ ประการ ท่ีทำให้ผูบ้ ริหารจะต้องมีคุณธรรมประจำใจในการวิเคราะห์ พัฒนา
หลักสูตร การเรียนการสอนการใช้สอื่ การเรียนการสอน การใช้หอ้ งสมดุ ให้มีความเรียบร้อยในการเรยี น
และการวดั ผลประเมินผล สำหรบั การเรียนการสอน โดยนำหลกั อริยสจั ๔ เขา้ ไปพัฒนาในการวิเคราะห์
หลกั บรหิ ารเพ่ือเกดิ ประสิทธิภาพในการทำงานของโรงเรยี น

๑๐๔

๒.๕.๓ อริยสัจ ๔ ตามหลกั ธรรมพุทธศาสนา
อริยสัจ ๔ หมายถึง ความจริงอันประเสริฐ ๔ เป็นความจริงท่ีมีอยู่คู่โลก แต่ไม่มีใครเห็น

จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือทั้งรูท้ ั้งเห็น แล้วทรงช้ีให้ดู ๔ ประการ ประกอบดว้ ย ทุกข์ สาเหตุแห่ง
ทุกข์ ความดับทุกข์ และ หนทางไปสู่ความดับทุกข์ ความจรงิ เหล่าน้ีเรียกว่า อรยิ สจั ๔ เป็นหลกั ธรรมท่ี
สอนให้แก้ปญั หาด้วยปัญญาและเหตุผลตามความเป็นจริง

ทุกข์ คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจต่าง ๆ ภาวะที่ถูกบีบคั้น กดดัน เม่ือแยกองค์
ประกอบของทุกข์ออกมาจะประกอบไปด้วย ๒ ลักษณะ คือ สภาวทุกข์ (ทุกข์ประจำหรือทุกจริง) คือ
ความทุกข์ทเี่ กิดจากตวั เอง ได้แก่ ความเกดิ ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ความทกุ ข์ประเภทนี้ไม่มี
ใครหลีกเล่ียงได้และ ปกิณกทุกข์ (ทุกข์จริงหรือทุกข์ภาวะสมมุติฐาน) คือ ความทุกข์ท่ีเกิดจากเหตุ
ภายนอก เมื่อกระทบตนแล้วทำให้เกิดอาการ เช่น น้อยใจ ท้อใจ กลุ้มใจ ความเศร้าโศก ความโกรธ
ความอิจฉารษิ ยา ความวติ กกังวล ความกลัวและความผิดหวังล้วนเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของท่ีรัก
ก็เป็นทุกข์ ความเกลียดก็เป็นทุกข์ ความอยากมี อยากเปน็ อยากได้ ความยึดม่นั ถือมั่น ความยึดติดใน
ขนั ธท์ ั้ง ๕ ล้วนเปน็ ทกุ ข์ ความทกุ ข์ประเภทนี้ ผมู้ ปี ญั ญาสามารถหลกี เลีย่ งได้

หมวดธรรมทว่ี ่าด้วยทุกข์ คือ ขันธ์ ๕ ที่แสดงถึงความเปน็ อนัตตา (พระพรมหมคณุ ากรณ์,
๒๕๕๗)๑๗๓ ประกอบด้วย (๑) รูป หมายถึง ร่างกาย (๒) เวทนาหมายถึง อาการที่เป็นความสุข ความ
ทุกข์ (๓) สัญญา หมายถึง ความจำได้ (๔) สังขาร หมายถึง การคิดปรุงแต่งทั้งทางดี ทางช่ัว (๕)
วิญญาณ หมายถึง ความรู้แจ้งทางอารมณ์ในสิง่ ตา่ ง ๆ ของใจ มี ๖ ทาง คือ ตา (จักขุวิญญาณ) หู (โสต
วญิ ญาณ) จมูก (ฆานะวิญญาณ) ลนิ้ (ชวิ หาวญิ ญาณ) กาย (กายะวิญญาณ) ใจ (มโนวญิ ญาณ)

สรุป ทกุ ข์ เมื่อเกดิ ขึ้นแล้วเป็นส่ิงท่ีควรกำหนดรู้ ทำความเข้าใจสภาวะทีเ่ ปน็ ทุกข์ตรงตาม
ความเป็นจริง และแยกองค์ประกอบแหง่ ทกุ ข์นั้นออกมา

สมุทัย คือ สาเหตุแห่งทุกข์ท้ังหลายทั้งปวง ความทุกข์หรือปัญหาที่เกิดขึน้ กับคนน้ันย่อม
เกิดจากสาเหตุบางอย่าง มิใช่เกิดขึ้นลอยๆ สาเหตุของความทุกข์นั้น ต้องแยกพิจารณาตามองค์
ประกอบแหง่ ทุกข์วา่ เป็นสภาวทุกข์ หรือปกิณกทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงค้นความจรงิ ว่า สาเหตุที่นำมาสู่
ความทุกข์เกิดจากตัณหา (ความดิ้นรนทะยานอยากในใจ) และทรงแยกสาเหตุออกเป็น ๓ ลักษณะ
ดังน้ี คือ

๑. กามตณั หา คอื ความอยากได้ หรืออยากยนิ ดใี นรูป เสียง กลิน่ รส และสัมผัส เมื่อไมไ่ ด้
กเ็ กดิ เป็นความทุกข์ ทั้งกายและใจ

๒. ภวตัณหา คือ ความอยากมีอยากเป็น เม่ือใจเกิดความอยากมีอยากเป็นตามท่ีตน
ปรารถนาแล้วไมไ่ ด้ ความทกุ ขก์ เ็ กิดขน้ึ กับกายและใจของผนู้ ้นั

๑๗๓ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. พิมพ์ครั้งท่ี ๒๗.
(กรงุ เทพมหานคร : มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๗).

๑๐๕

๓. วภิ วตณั หา คือ ความไมอ่ ยากมไี มอ่ ยากเป็น เมื่อต้องอยู่ในสภาพไมพ่ ึงปรารถนา ความ
ทุกข์ก็เกิดขึ้นกับกายและใจของผู้น้ันหมวดธรรมท่ีว่าด้วย สมุทัย ได้แก่ ปฏิจจสมุปบาท นิวรณ์ ๕ และ
อปุ าทาน

๑. ปฏิจจสมุปบาท สภาพที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น หรืออิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้น กล่าว
โดยหลักการ คอื เมอื่ สิ่งเหล่านี้มีสิ่งเหลา่ นัน้ จงึ มีเพราะสิ่งเหล่านเี้ กิด สิ่งเหล่านั้นจงึ เกิดเม่ือส่ิงเหลา่ นีไ้ มม่ ี
สงิ่ เหล่าน้ันจงึ ไม่มี เพราะส่ิงเหล่าน้ีดับ สิง่ เหลา่ นน้ั จึงดบั ดังน้นั ความทกุ ข์ หรือปญั หาทเ่ี กิดข้นึ กับมนษุ ย์
ตามหลกั ปฏิจจสมุปบาท เกิดจากการกระทำเหตหุ รือปัจจยั ที่ไม่เหมาะสม เช่น ความไม่ดี ความประมาท
ความเกียจคร้าน เป็นต้น ผลก็เป็นความทุกข์ เช่น ความเดือดร้อน ความไม่เจริญก้าวหน้า ความวิบัติ
เปน็ ตน้

๒. นิวรณ์ ๕ หมายถงึ กเิ ลสทั้ง ๕ เป็นเครื่องกั้น เป็นเคร่ืองขัดขวาง เป็นเครื่องห้ามมิ
ให้ ฌาน อภิญญา สมาบัติ มรรค ผล เกดิ ข้ึนได้ เปน็ เครือ่ งกดี ขวาง ปิดกัน้ การกระทำความดี ได้แก่ (๑)
กามฉันทะ (๒) พยาบาท (๓) ถีนมิทธะ (๔) อุทธัจจกุกกุจจะ (๕) วิจิกิจฉา เหล่านี้ เม่ือเกิดข้ึนอยู่ในใจ
ของผู้ใดแล้ว ย่อมขัดขวาง หรือขวางกั้นในการทำความดีหรือการปฏิบัติหน้าท่ีการงานทั้งทางโลกและ
ทางธรรม มใิ หเ้ กดิ ความเจรญิ กา้ วหน้า หรอื ประสบความสำเรจ็

๓. อุปาทาน ๔ ความยึดมั่นถือม่ันในกาม (กามคุณ ๕ = รูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส)
ทิฏฐุปาทาน ความยึดม่ันถือม่ันด้วยทิฏฐิ (ความเห็น) สีลัพพตุ ปาทาน ความยึดมั่นถือม่ันด้วยศีลวัตร
(ขอ้ ปฏิบัติ) อัตตวาทปุ าทาน ความยึดม่นั ถอื มั่นวาทะว่าตน (การแบ่งเราแบ่งเขา) อุปาทาน เป็นช่ือของ
กเิ ลสกลุ่มหนึ่ง ที่แสดงออกมาในลักษณะที่ยึดมั่น ถือม่ัน ด้วยอำนาจของ กิเลสนั้น ๆ โดยความ หมาย
ท่ัวไป อุปาทาน คือ ความยึดม่ันถือมั่น แบ่งออกเป็น ๔ ประเภทคือ (๑) กามุปาทาน (๒) ทิฏฐุปาทาน
(๓) สีลัพพตุปาทาน (๔) อัตตวาทุปาทาน อุปาทานทั้ง ๔ ประการนี้ อยู่ในฐานะเป็นปัจจุบัน เหตุ
ร่วมกับตัณหา และด้วยอุปาทานนี้เอง ทที่ ำใหเ้ ป็นสาเหตแุ หง่ ความทุกขต์ ่าง ๆ

๒.๕.๔ สรุป
สมุทัย เหตุแห่งทกุ ข์ เป็นสิง่ ที่ควรพจิ ารณา มูลเหตทุ ี่จะก่อใหเ้ กิดทุกข์ ควร ลด ละ เลิก
นิโรจน์ คือ ความดบั ทกุ ข์ หรือดบั ปัญหาได้ส้ินเชิง หรือภาวะทไ่ี ม่ความทุกข์ ภาวะที่ไม่มี

ปัญหาหรอื ภาวะท่ีเป็นความสุขสงบหรอื ภาวะเจริญก้าวหนา้ หรอื ประสบความสำเรจ็ ในชวี ิต ความทุกข์
นัน้ เม่ือเกิดไดก้ ด็ ับได้ ความทกุ ข์เกิดข้นึ จากสาเหตุ ถา้ เราดับสาเหตุน้นั เสีย ความทกุ ขน์ ้ันก็ยอ่ มดับไป
ดว้ ย ดงั พทุ ธดำรสั ว่า “เมอ่ื สิ่งนไี้ ม่มี สิง่ นน้ั กไ็ ม่มเี พราะส่งิ นี้ดับ สิ่งนน้ั ก็ดบั ” ความทุกขห์ รือปัญหาของ
คนเราน้ัน เมอื่ เกิดแล้วกจ็ ะไม่คงอยู่อย่างน้นั เป็นนจิ นริ นั ดร์ แต่อยใู่ นวสิ ัยท่เี ราสามารถจะแก้ไขไดไ้ มช่ ้า
กเ็ รว็ ไม่มากกน็ อ้ ย และอยทู่ วี่ า่ มีความตั้งใจจริงที่จะแก้ไขหรือไม่

หมวดธรรมท่ีว่าด้วยนโิ รธ ได้แก่ นพิ พาน แปลว่า ดบั เยน็ ภาวะนิพพานในพระพุทธศาสนา
มนี ยั ท่ตี อ้ งพจิ ารณาอย่างละเอียดอยู่ ๓ ประเดน็ คือ

๑๐๖

๑. การสิ้นกเิ ลสหรอื การดบั กเิ ลส เกิดขน้ึ ช่ัวขณะจิตเดียวหรอื แวบเดยี วเป็นอาการนาม
๒. ความที่ทุกข์ไม่มี เป็นผลท่ีเกิดขึ้นเป็นความสงบปราศจากความทุกข์โดยสิ้นเชิงตลอด
ชวี ิตของบุคคลผู้ลุถึงนพิ พาน หรือกลา่ วอีกอยา่ งหนึ่งก็คือภาวะท่ีปราศจากความทุกข์ อันเกิดจากการส้ิน
กิเลสนั่นเอง เปน็ ภาวะนาม
๓. สภาพนิรันดร เป็นธรรมธาตุอย่างหน่ึง ซ่ึงเป็นที่ดับของกิเลสและเป็นสภาพท่ีมีอยู่
นิรันดร ไม่มีเกิดไม่มีดับ เม่ือใครปฏิบัติหรือลุถึง กิเลสของบุคคลน้ันก็ดับไป ธรรมธาตุอันนี้ถูกว่าจัดว่า
เปน็ นพิ พานหรอื บางทีก็เรียกวา่ “นิพพานธาตุ” เป็นลักษณะนิพพาน

สรุป
นโิ รธ (ความดบั ทุกข)์ เป็นส่งิ ท่ีควรทำให้เกดิ ข้นึ โดยการดับที่สาเหตุ
มรรค คือ หนทางนำไปส่คู วามดับทุกข์ หรอื วิธีการปฏบิ ตั ิให้พ้นจากความทุกข์ ท่เี กิดขนึ้ ใน
ชวี ติ ด้วยการปฏิบัติตามทางมัชฌมิ าปฏปิ ทา
หมวดธรรมที่ว่าด้วย มรรค ได้แก่ อริยมรรค ๘ “ไตรสิกขา” เป็นแนวทางการปฏิบัติตาม
ทางมัชฌิมาปฏิปทาที่นำไปสู่ ความมีศิล สมาธิและปัญญาซ่ึงจะปลดปล่อย ให้พ้นจากความทุกข์และ
ความโศกเศร้าทงั้ มวลอันจะนำไปสู่ความรใู้ นสรรพส่ิงทั้งหลายทั้งปวง ข้อปฏิบัตใิ ห้ถงึ ความดับทุกข์ หรือ
หมดปญั หาต่าง ๆ โดยส้นิ เชงิ มอี งค์ประกอบ ๘ ประการ ได้แก่
๑. การเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐ)ิ นำไปสู่ ปัญญา คือเห็นส่ิงตา่ ง ๆ ตามที่เป็นจรงิ
๒. การดำรชิ อบ (สัมมาสังกัปปะ) นำไปสู่ปัญญา คือ ไม่ลมุ่ หลงมัวเมากับความสุขทางกาย
ไมพ่ ยาบาทและไมค่ ดิ ทำรา้ ยผ้อู ืน่
๓. การเจรจาชอบ (สัมมาวาจา) นำไปสู่ ศีล คือการไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำ
หยาบ และไม่พูดเพอ้ เจ้อ
๔. การกระทำชอบ (สัมมากัมมันตะ) นำไปสู่ ศีล คือ ไม่ทำลายชีวิต ไม่ลักขโมย
ไม่ประพฤตผิ ิดทางกาม
๕. การเล้ียงชีวิตชอบ (สัมมาอาชีวะ) นำไปสู่ ศีล คือการทำมาหากินด้วยอาชีพที่สุจริต
ไมค่ ดโกง ไมห่ ลอกลวง ไม่ทำกจิ การในสิ่งที่เป็นผลร้ายต่อคนทว่ั ไป
๖. การพยายามชอบ (สัมมาวายามะ) นำไปสู่สมาธิ คือความพยายามที่จะป้องกันมิให้
ความช่ัวเกิดขึ้น ความพยายามท่ีจะกำจัดความชั่วท่ีเกิดข้ึนแล้วให้หมดไป ความพยายามที่จะสร้าง
ความดีที่ยังไม่เกดิ ใหเ้ กดิ ขึน้ และความพยายามทจี่ ะรักษาความดีท่ีเกดิ ขนึ้ แล้วให้คงอย่ตู ลอดไป
๗. การระลึกชอบ (สัมมาสติ) นำไปสู่ สมาธิความหลงไม่ลืม รู้ตัวอยู่เสมอว่ากำลังเห็น
สง่ิ ต่าง ๆ ตามทีเ่ ป็นจริง
๘. การตั้งจิตมั่นชอบ (สัมมาสมาธิ) นำไปสู่สมาธิ คือการท่ีสามารถต้ังจิตให้จดจ่ออยู่กับ
สง่ิ ใดสงิ่ หน่ึงไดน้ าน

๑๐๗

สรปุ มรรค คอื ขอ้ ปฏิบัติ วิธีการในการดบั ทกุ ขโ์ ดยสนิ้ เชงิ การปฏบิ ตั ติ ามทางเพ่อื ให้ถึง
ความดบั แหง่ ทุกข์

๒.๖ การวจิ ัยเชิงทดลอง (Experimental Research): แบบแผนการวจิ ยั เชิงทดลอง
เบื้องตน้ (Pre-Experimental Design)

การวิจัยเชิงทดลอง เป็นการศึกษาหาความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลของตัวแปรภายใต้การ
ควบคุมสถานการณ์ตามวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ โดยมวี ัตถปุ ระสงค์เพื่อศึกษาความสมั พันธ์เชิงเหตแุ ละ
ผล (cause and effect relationship) ระหว่างตัวแปรและมุ่งตรวจสอบทฤษฎี การวิจัยเชิงทดลอง
อาจแบง่ ออกได้ ๒ ลกั ษณะ ไดแ้ ก่

๑) แบ่งตามสภาพแวดล้อมของการศึกษา จำแนกออกเป็นการวิจัยด้วยการทดลองใน
หอ้ งปฏิบตั กิ าร (laboratory experiment) และการวิจยั ดว้ ยการทดลองในสนาม (field experiment)

๒) แบ่งตามวิธีการศึกษาตัวแปร จำแนกออกเป็นการทดลองแท้ (true experiment)
และการทดลองเชิงก่ึงทดลอง (quasi experiment) ซึ่งการวิจัยเชิงทดลอง มีลักษณะท่ีสำคัญ
ประกอบด้วย การสุ่ม การจัดกระทำ ตวั แปร การควบคุม การสังเกต การออกแบบการทดลองและกลุ่ม
เปรยี บเทียบ๑๗๔

การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) เป็นกระบวนการค้นหาความจริง ทฤษฎี
หลักการ เทคโนโลยีหรือองค์ความรู้ใหม่ ๆ โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่มุ่งเน้นการศึกษาความ
เปล่ียนแปลงของตัวแปรท่ีเกี่ยวข้อง ภายใต้เง่ือนไขที่มีการควบคุม โดยกระบวนการวิจัย เพื่อศึกษา
พฤติกรรมหรือสถานการณ์ดังกล่าวนั้นว่า เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ โดยวิธีการ
เปรียบเทียบความแตกต่างของตัวแปรท่ีเปล่ียนไป ท่ีเกิดขึ้นในสภาพปกติ กับพฤติกรรมท่ีเกิดขึ้นใน
สภาพที่ถกู ควบคมุ เพื่อสรุปผลความจริงที่ค้นพบ ซึ่งสามารถนำไปใชอ้ ธิบายพฤตกิ รรมต่าง ๆ ในเชิง เหตุ
ผลได้อย่างชัดเจน การวิจัยเชิงทดลอง จึงเป็นการศึกษาวิจัยจากสาเหตุไปหาผล เพ่ือศึกษาว่า
ตัวแปร ท่ีเก่ียวข้องน้ัน เป็นสาเหตุท่ีทำให้เกิดผลเช่นน้ันจริงหรือไม่ กล่าวโดยสรุปได้ว่า การวิจัยเชิง
ทดลอง เปน็ การวิจยั เพื่อหาความสมั พันธเ์ ชิงเหตผุ ลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ซ่ึงได้รบั การยอมรบั ว่า เป็น
การวิจัยท่ีให้ผลความเชื่อถือดีท่ีสุด โดยเฉพาะการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เน่ืองจาก
การวจิ ัยเชิงทดลอง ถือวา่ มบี ทบาทอย่างมากในการพฒั นาและสร้างสรรค์องค์ความร้ใู หม่ ๆ เพ่ือนำไปสู่
การพฒั นา เพ่ือเออื้ ประโยชน์ตอ่ การประกอบภารกิจและการดำรงชีวติ ของมนษุ ยใ์ นสงั คมปจั จบุ ัน๑๗๕

๑๗๔ วาโร เพ็งสวัสดิ์. การวิจัยเชิงทดลองทางการศึกษา. คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร.
วารสารมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร, ๖(๑๑), ๑๘๑-๑๙๐, (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๗), ๒๕๕๗), หนา้ ๑๘๑.

๑๗๕ มนต์ชัย เทียนทอง. สถิติและวิธีการวิจัยทางเทคโนโลยีสารสนเทศ. (กรุงเทพฯ: สถาบันเทคโนโลยี
พระจอมเกล้าพระนครเหนอื , ๒๕๔๘), หน้า ๑๖๔.

๑๐๘

นวัตกรรมใหม่ ๆ ท่ีมนุษย์ได้คิดค้น และพัฒนาขึ้น เพ่ือใช้ในการประกอบอาชีพ หรือใช้ใน
การดำรงชีวติ ประจำวันในสมยั ปัจจุบัน ล้วนเกิดจากการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ที่อาศยั กระบวนการ
ทดลอง ท่ีเป็นระบบและสามารถพิสูจน์ได้ในเชิงเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบทางการแพทย์ ท่ีต้อง
อาศัยกระบวนการวจิ ยั เชงิ ทดลองอย่างต่อเนื่องในระยะเวลานาน เพ่อื พัฒนาวคั ซีนใหม่ ๆ ทหี่ ยุดยั้งการ
แพร่ระบาดของเชื้อโรคสมัยใหม่ ท่ีไม่เคยปรากฏในตำราทางการแพทย์มาก่อน หรือการค้นคว้า
เทคโนโลยีทางการทหาร เพื่อพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ ในการใช้เพื่อสันติภาพของการอยู่
ร่วมกันของมนุษย์โลก รวมท้ังการค้นพบทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ ที่ส่งผลให้มนุษย์
ทกุ คนมีคณุ ภาพชีวิตทดี่ ีขนึ้ ลว้ นเกิดจากการวิจยั เชิงทดลองทั้งส้ิน

การวิจัยเชิงทดลอง (experimental research) เป็นการวิจัยที่ศึกษาถึงความสัมพันธ์เชิง
“เหตุผล” ของตัวแปรของปรากฏการณ์ต่าง ๆ โดยมีการจัดกระทำกับตัวแปรที่เป็นเหตุ แล้วสังเกต
ดูว่าจะเกิดผลเช่นไร นอกจากน้ี ยังมีการควบคุมสภาพการณ์บางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องให้หมดไปตาม
วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ โดยนำเสนอเนอ้ื หาตามลำดับ ดงั น้ี

๒.๖.๑ ความหมายของการวจิ ัยเชิงทดลอง
นักการศึกษา ได้ให้ความหมายของการวิจยั เชงิ ทดลอง ดงั น้ี
Best and Kahn๑๗๖ กล่าววา่ การวิจัยเชงิ ทดลองเปน็ การวิจัยที่มงุ่ บรรยายและวิเคราะห์สิ่ง
ท่ีควรเกิดขนึ้ ภายใต้สภาพการณ์ควบคุมอยา่ งระมดั ระวัง สำหรับ พวงรัตน์ ทวีรัตน์๑๗๗ กล่าวว่า การวจิ ัย
เชิงทดลองเป็นการวิจัยท่ีศึกษาถึงความสัมพันธ์เชิงเหตุ และผลของตัวแปรของปรากฏการณ์ต่าง ๆ
โดยมีการจัดกระทำกับตัวแปรท่ีเป็นเหตุ แล้วสังเกตดูว่า จะเกิดผลเช่นไร นอกจากนี้ ยังมีการควบคุม
สภาพการณ์บางอย่างท่ีไม่เกี่ยวข้องให้หมดไปตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ส่วน บุญธรรม กิจปรีดา
บริสทุ ธิ์๑๗๘ กล่าวว่า การวิจัยเชงิ ทดลอง เป็นการคน้ หาขอ้ เท็จจริงซ่งึ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเหตแุ ละ
ผล (cause and effect relationship) ทเี่ กิดขนึ้ ภายใตภ้ าวการณ์ควบคุม
สรุปได้ว่า การวจิ ัยเชงิ ทดลอง หมายถึง การวิจยั ทศี่ กึ ษาหาความสัมพันธเ์ ชงิ เหตแุ ละผลของ
ตัวแปร ภายใต้การควบคมุ สถานการณต์ ามวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์

๑๗๖ Best, John W. and Kahn, Jams V. Research Education. (7th ed.). (Boston: Allyn and
Bacon. 1993), p 125.

๑๗๗ พวงรัตน์ ทวีรัตน์. วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์ . (พิมพ์คร้ังที่ ๑๐).(กรุงเทพฯ:
สำนกั ทดสอบทางการศึกษาและจติ วทิ ยา มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ ประสานมติ ร, ๒๕๔๙), หน้า ๓๑.

๑๗๘ บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธ์ิ. ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์. (พิมพ์คร้ังท่ี ๑๐). (กรุงเทพฯ:
จามจุรโี ปรดักท์, ๒๕๕๑), หนา้ ๑๓๑.

๑๐๙

๒.๖.๒ สาระสำคัญของการวจิ ยั เชงิ ทดลอง
สาระสำคญั ของการวจิ ัยเชิงทดลอง มดี ังน้ี
๑. วัตถุประสงค์ของการวจิ ยั เชิงทดลอง มดี งั น้ี

๑.๑ เพ่ือคน้ หาข้อเท็จจรงิ ของสาเหตที่ทำใหเ้ กิดผลหรือพฤติกรรมต่าง ๆ
๑.๒ เพื่อศกึ ษาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสาเหตุและผลของตวั แปรหรือเหตุการณ์ตา่ ง ๆ
๑.๓ เพ่ือนำผลการวจิ ัยไปประยุกต์สร้างสรรค์ทฤษฎี หลัก กฎ เทคโนโลยี องค์ความรู้
หรอื เทคนคิ ใหม่ ๆ
๑.๔ เพ่ือวิเคราะห์หรือค้นหาข้อบกพร่องของระบบ เพื่อนำข้อมูลไปพิจารณาปรับปรุง
แก้ไขระบบให้มีประสทิ ธภิ าพยิ่งขนึ้
๑.๕ เพ่ือนำผลการทดลองไปใช้๑๗๙
๒. องคป์ ระกอบของการวจิ ัยเชิงทดลอง
ในการวจิ ัยเชงิ ทดลองโดยสว่ นใหญ่จะประกอบดว้ ย กลุ่มตวั อยา่ ง ๒ ประเภท ได้แก่
๒.๑ กลุ่มทดลอง (Experimental Group) ใช้ตัวย่อว่า E หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่
ได้รับการทดลอง (Treatment) ในการกระทำตามแบบแผนการทดลอง (Experimental Design) ท่ี
กำหนดไว้ลว่ งหนา้
๒.๒ กลุ่มควบคุม (Control Group) ใช้ตัวย่อว่า C หมายถึง กลุ่มตัวอย่างท่ีมีลักษณะ
เหมือนกลุ่มทดลอง ทั้งจำนวนและคุณสมบัติทั่ว ๆ ไป แต่ไม่ได้รับการทดลอง ถูกปล่อยให้เป็นไปตาม
สภาพแวดล้อมปกติท่ีเปน็ อยู่เดมิ เพ่ือประโยชน์ในการเปรียบเทียบพฤติกรรมต่าง ๆ กับกลุ่มทดลองที่ถูก
กระทำ
๓. ตวั แปรทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั เชิงทดลอง
ตัวแปรท่ใี ช้ในการวิจัยเชงิ ทดลอง ประกอบด้วยตวั แปร ๔ ชนิดดังนี้
๓.๑ ตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น (Independent Variable) หมายถึง ตัวแปรท่ีคาดว่า
เป็นต้นเหตุหรือสาเหตุที่ส่งผลให้ตัวแปร อื่น ๆ เกิดการเปล่ียนแปลง บางคร้ัง จึงเรียกว่า ตัวแปรการ
ทดลอง (Experimental Variable) ใช้ตวั ย่อวา่ X
๓.๒ ตัวแปรตาม (Dependent Variable) หมายถึง ตวั แปร ที่คาดวา่ จะเปน็ ผลมาจาก
ตัวแปรอิสระ หรือตัวแปรต้น หรือเป็นตัวแปรที่มีการเปลี่ยนแปลง อันเนื่องมาจากอิทธิพลหรือ
การกระทำของตัวแปรอิสระหรอื ตวั แปรตน้ ใช้ตวั ย่อวา่ Y
๓.๓ ตัวแปรเช่ือมโยง (Intervening Variable) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรสอดแทรก
หรือตัวแปรภายใน หมายถึง ตัวแปรท่ีเกิดข้ึนจากพฤติกรรมใด ๆ ในระหว่างดำเนินการทดลองท่ีมีผล

๑๗๙ มนต์ชัย เทียนทอง. สถิติและวิธีการวิจัยทางเทคโนโลยีสารสนเทศ. (กรุงเทพฯ: สถาบันเทคโนโลยี
พระจอมเกล้าพระนครเหนอื , ๒๕๔๘), หนา้ ๑๓๙.

๑๑๐

ต่อพฤติกรรมที่แสดงออกมา ซ่ึงในการวิจัยจะควบคุมตัวแปรชนิดนี้ได้ยาก ส่วนใหญ่เกิดข้ึนจากภายใน
บุคคล ท้ังทางบวกและทางลบ ได้แก่ ความวติ กกังวล ความทะเยอทะยาน การปรับตัว การจูงใจ และ
ความใส่ใจ เป็นต้น

๓.๔ ตัวแปรแทรกซ้อน หรอื ตวั แปรภายนอก (Extraneous Variable) หมายถึง ตัวแปรที่
เกิดข้ึน ระหว่างกระบวนการดำเนินการทดลอง ที่อาจมีอิทธิพลต่อการทดลอง โดยที่ผู้วิจัย
ไม่ต้องการให้เกิดข้ึน หรือไม่ต้องการทราบ อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัย สามารถกำหนดวิธกี ารควบคุมตัวแปร
ชนิดน้ีได้เช่นกัน จึงเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า ตัวแปรควบคุม (Control Variable) ตัวแปรแทรกซ้อนอาจ
เกดิ ขึน้ ได้จากสงิ่ ต่าง ๆ ดังน้ี

๓.๔.๑ เกิดจากกลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มประชากรที่ใช้ในการทดลองทำให้เกิดตัวแปร
แทรกซ้อนได้มากมาย เช่น เพศ อายุ ความรู้พื้นฐาน ระดับการศึกษา อาชีพ เช้ือชาติ บุคลิกภาพ
สติปัญญา สภาพครอบครวั และเจตคติ เปน็ ต้น

๓.๔.๒ เกิดจากวิธีดำเนินการทดลองเก็บข้อมูล วิธีดำเนินการทดลองและการทดสอบ
ตัวแปรต่าง ๆ อาจมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ เช่น คุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ เวลาที่เก็บข้อมูล
สภาพแวดลอ้ ม การควบคุมคณุ ภาพ ลกั ษณะและวธิ ีการเก็บข้อมูล เปน็ ตน้

๓.๔.๓ เกิดจากแหล่งภายนอก สภาพแวดล้อมภายนอกก็มีส่วนทำให้เกิดตัวแปร
แทรกซ้อนในการวิจัยเชิงทดลองได้เช่นกัน เช่น ความร้อน แสง เสียง สถานท่ี บรรยากาศ และสภาพ
แวดล้อม เป็นต้น ตัวแปรแทรกซ้อนจากแหล่งภายนอกนี้สามารถควบคุมได้ง่ายกว่าตัวแปรแทรกซ้อน
ทีเ่ กิดจากสภาพอน่ื ๆ

๔. สถานที่ในการทดลอง
สถานที่ในการทดลอง ได้แก่ ห้องประลอง (Laboratory) หรือสถานท่ีจริง โดยท่ัวไป

การดำเนินการทดลอง มักกระทำในห้องประลองหรือห้องทดลองที่มีการเตรียมการและควบคุม
สภาพแวดลอ้ มไว้อย่างเหมาะสม เพ่ือควบคุมไม่ให้เกิดตัวแปรแทรกซ้อนขน้ึ ตลอดจนมีความสะดวกใน
การเก็บข้อมูล สามารถบันทึกพฤติกรรมต่าง ๆ ของกลุ่มตัวอย่างขณะดำเนินการทดลอง อย่างไรก็ตาม
ในปัจจุบันน้ี การวิจัยเชิงทดลองในสถานที่จริง กำลังมีบทบาทและได้รับความนิยมมากข้ึน เรียกว่า
การวิจัยเชิงทดลองภาคสน าม (Field Experiment Research) โดยท่ีผู้วิจัยได้เข้าไปสังเก ต
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับกลุ่มทดลองในสถานที่จริง แทนที่จะนำกลุ่มทดลองไปเก็บข้อมูลในห้อง
ประลอง ทำให้ได้บรรยากาศของการทดลองท่ีแท้จริง๑๘๐,๑๘๑

๑๘๐ ปาริชาต สถาปิตานนท์. ระเบียบวิธีวิจัยการสื่อสาร. (พิมพ์คร้ังที่ ๗). ฉบับปรับปรุงใหม่. (กรุงเทพฯ:
สำนักพิมพแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๕๗), หนา้ ๑๘๔.

๑๘๑ มนต์ชัย เทียนทอง. สถิติและวิธีการวิจัยทางเทคโนโลยีสารสนเทศ. (กรุงเทพฯ: สถาบันเทคโนโลยี
พระจอมเกล้าพระนครเหนือ, ๒๕๔๘), หนา้ ๑๓๙-๑๔๑.

๑๑๑

๕. ประโยชนข์ องการวจิ ัยเชงิ ทดลอง
ประโยชน์ของการวจิ ัยเชิงทดลอง มดี ังนี้
๕.๑ ทำให้ทราบถึงองค์ประกอบท่ีเป็นสาเหตุท่ีแท้จริงของปรากฏการณ์หรือพฤติกรรม

ต่าง ๆ ไดอ้ ย่างชดั เจน
๕.๒ เป็นการวิจัยท่ีเหมาะสำหรับสาขาวิชาที่เป็นศาสตร์บริสุทธ์ิ (Pure Science) เช่น

วทิ ยาศาสตรเ์ ทคโนโลยแี ละวศิ วกรรมศาสตร์ เป็นตน้
๕.๓ ผลจากการวิจัยเชิงทดลอง สามารถนำมาช่วยพัฒนาการศึกษาให้ดียิ่งข้ึนทำให้

ผู้วิจัย มีความรู้กว้างขวางและแตกฉานข้ึนในสาขาท่ีทำการวิจัย นอกจากนี้ ยังทำให้ทราบจุดอ่อน
ของการศกึ ษาในสาขาวชิ าที่เกยี่ วขอ้ ง

๕.๔ เป็นพื้นฐานของการศึกษาและวิจัยในระดับลึกเพื่อมุ่งพัฒนาและสรา้ งสรรค์ทฤษฎี
องค์ความรู้ และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทันต่อการเปล่ียนแปลงของกระแสโลก โดยเฉพาะทางด้าน
เทคโนโลยี ในสาขาที่ทันสมัย เช่น นาโนเทคโนโลยี (Nano Technology) เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์และ
เทคโนโลยเี ครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ เป็นต้น

๒.๖.๓ ประเภทของการวจิ ัยเชิงทดลอง
พวงรัตน์ ทวีรัตน์๑๘๒ กล่าวว่า การแบ่งประเภทของการวิจัยเชิงทดลอง อาจแบ่งได้
๒ ลกั ษณะ ดงั น้ี
๑. แบง่ ตามสภาพแวดล้อมของการศึกษา แบง่ ออกเปน็ ๒ ประเภท ดงั นี้

๑) การวิจัยด้วยการทดลองในห้องปฏิบัติการ (laboratory experiment) เป็นการ
วิจัยท่ีดำเนินการทดลองในห้องปฏิบัติการเท่าน้ัน เป็นการยึดถือการใช้กฎของตัวแปรเดียว (law of
single variable) กล่าวคือ พยายามควบคุมหรือขจัดตัวแปรทไี่ ม่ตอ้ งการศึกษาใหห้ มดไป ใหเ้ หลอื แตต่ ัว
แปรอิสระ ที่ต้องการศึกษาเพียงตวั เดยี วเท่าน้ัน ทำการทดลองเพอ่ื วดั ผลที่ตวั แปรตาม เพ่อื ดูวา่ เกิดจาก
ตัวแปรอิสระท่ีคิดว่า เป็นสาเหตุจริงหรือไม่ การวิจัยเชิงทดลอง ในลักษณะน้ี เหมาะสำหรับการวิจัย
ทางด้านวิทยาศาสตร์ (physical science) มากกว่าการวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์ (social science)
เพราะการวิจัยทางสังคมศาสตร์ ส่วนใหญ่ศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรมของมนุษย์ ซ่ึงการควบคุมตัวแปร
แทรกซ้อน ทำได้ยาก

๒) การวิจัยด้วยการทดลองในสนาม (field experiment) เป็นการวิจัยที่มีระเบียบวิธี
วิจัยคล้ายกับวิธีการทดลองในห้องปฏิบัติการมาก เพราะมีการกำหนดตัวแปรอิสระ เพ่ือศึกษาผลท่ี
เกิดขึ้น แต่วิธีน้ีต่างกับการทดลองในห้องปฏิบัติการ ตรงที่เป็นการศึกษาวิจัยในสภาพการณ์ที่เป็นจริง
ตามธรรมชาติ โดยผู้วิจัย พยายามควบคมุ ตัวแปร ท่ีไมต่ ้องการศกึ ษา หรือตัวแปรแทรกซ้อนอืน่ ๆ อย่าง

๑๘๒ พวงรัตน์ ทวีรตั น์. วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์ . (พิมพ์ครั้งท่ี ๑๐). (กรุงเทพฯ:
สำนักทดสอบทางการศึกษาและจิตวทิ ยา มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ ประสานมิตร, ๒๕๔๙), หนา้ ๓๓.

๑๑๒

ระมัดระวัง ภายใต้สภาพการณ์เท่าท่ีจะอำนวยให้ การวิจัยแบบนี้ จึงเป็นท่นี ิยมกระทำสำหรับสาขาวิชา
ดา้ นพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์อยา่ งมาก เพราะการศึกษากับมนุษย์ ไม่สะดวกท่ีจะศึกษาและ
วจิ ัยในห้องปฏิบัตกิ าร เพราะการควบคุมตัวแปรต่าง ๆ ของมนุษยท์ ำได้ยาก

๒. แบ่งตามวธิ กี ารศกึ ษาตัวแปร แบง่ ออกเปน็ ๒ ประเภท ดังนี้
๑) การทดลองแท้ (true experiment) เปน็ การทดลองท่สี ามารถดำเนินการทดลองได้

ครบถ้วนกระบวนการทดลอง ซง่ึ มีลักษณะทส่ี ำคัญ ดงั นี้
๑.๑) เปน็ การหาความสมั พนั ธใ์ นเชงิ เหตุ-ผล อยา่ งแทจ้ รงิ
๑.๒) สามารถจดั กระทำกับตวั แปรอสิ ระ หรือตวั แปรทดลองตามท่ตี ้องการศกึ ษาได้

เพ่ือดูวา่ ตัวแปรอิสระหรือตวั แปรทดลองน้ัน จะเป็นสาเหตทุ ำให้เกิดผล (ตวั แปรตาม) เช่นไร
๑.๓) สามารถจัดสภาพการณก์ ารทดลองใหต้ รงตามทฤษฎแี ละแนวคดิ สาคญั ได้
๑.๔) สามารถแบ่งกลุ่มตวั อยา่ งเปน็ กลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ ได้
๑.๕) สามารถใช้หลัก max min con principle ในการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน

ได้ (หลกั max min con principle)
๑.๖) ผลการวิจยั สามารถอ้างองิ ไปสู่ประชากรได้

๒) การทดลองกึ่งทดลอง (quasi experiment) เป็นการทดลองที่ไม่สามารถควบคุม
ตัวแปรแทรกซ้อนได้ การวิจัยกงึ่ ทดลองมลี กั ษณะสาคัญดงั นี้ คอื

๒.๑) เปน็ การหาความสัมพนั ธเ์ ชงิ เหตผุ ลของตัวแปรท่ไี ม่สมบรู ณน์ กั
๒.๒) ไม่สามารถจัดสภาพการณ์การทดลองให้เปน็ ไปตามทฤษฎี และแนวคิดสำคัญท่ี
กำหนดไวไ้ ด้
๒.๓) เปน็ การทดลองในสภาพที่เป็นจริงตามธรรมชาติ
๒.๔) ไม่สามารถใช้หลัก max min con principle ในการควบคุมตัวแปรแทรก
ซอ้ นได้

๑๑๓

ประเภทของการวจิ ยั เชิงทดลอง สามารถสรุปเป็นแผนภาพได้ ดงั ภาพที่ ๒.๕

ภาพที่ ๒.๕ ประเภทของการวจิ ยั เชงิ ทดลอง
ทมี่ า: วาโร เพ็งสวสั ด์ิ๑๘๓

๒.๖.๔ ความมุ่งหมายของการวจิ ยั เชิงทดลอง
การวิจยั เชงิ ทดลอง มีความมงุ่ หมายที่สำคญั ๒ ประการ คือ
๑. เพ่ือหาความสัมพันธ์เชิงประจักษ์ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล (cause and
effect relationship) ระหว่างตัวแปร ที่เป็นสาเหตุกบั ตัวแปร ท่เี ป็นผลมาจากการทดลอง การทำการ
ทดลอง มกั จะเร่ิมจากความอยากรอู้ ยากเหน็ ของผวู้ ิจัยว่า ถ้าเปล่ียนค่าตัวแปรนี้แล้ว ผลทเี่ กิดตามมาจะ
เป็นอย่างไร เชน่ อยากรู้ว่า ถ้าเปล่ียนสูตรปุ๋ยแล้วจะทำใหต้ ้นไม้เจริญเติบโตหรอื ไม่ อยา่ งไร เป็นต้น ใน
กรณีท่ีผู้วิจัยยังไม่มีทฤษฎีที่จะนำมาใช้พยากรณ์ผลที่เกิดข้ึน จึงยังไม่มีสมมติฐานที่จะทดสอบ แต่ก็สนใจ
อยากทราบว่า ผลจะเป็นอย่างไร เม่ือทำการศึกษาด้วยการทดลอง ผลการทดลองก็จะออกมาในลักษณะ
ทว่ี า่ ถ้าทำอย่างน้ีแล้ว ผลจะเป็นอยา่ งนัน้ ซึ่งเป็นการหาความสัมพนั ธ์เชงิ ประจกั ษเ์ ท่าน้ัน
๒. เพื่อตรวจสอบทฤษฎี โดยยึดเกณฑ์การพยากรณ์เป็นสำคัญ หากการพยากรณ์ ของ
ทฤษฎีไม่ตรงกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แสดงว่า ทฤษฎีน้ันผิดพลาด การใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงทดลอง
เพื่อตรวจสอบทฤษฎี เป็นวิธีการที่ค่อนข้างสะดวก เพราะสามารถที่จะทดสอบเมื่อไรก็ได้ หรือสามารถ
เปลี่ยนแปลงขั้นตอน บางสว่ นของการทดลอง เพอ่ื ดผู ลการเปล่ียนแปลงก็สามารถทำได้

๑๘๓ วาโร เพ็งสวัสดิ์. วธิ ีวทิ ยาการวจิ ยั . (กรงุ เทพฯ: สุวรี ิยาสาสน์ , ๒๕๕๗), หนา้ ๑๘๓.

๑๑๔

๒.๖.๕ ลักษณะของการวิจยั เชงิ ทดลอง
การวิจัยเชงิ ทดลอง มีลักษณะท่สี ำคัญ ดังน้ี๑๘๔,๑๘๕,๑๘๖

๑. การสุ่ม (randomization) เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน ทเ่ี กดิ จากกลุ่มตวั อยา่ ง
และวิธีการทดลอง ซ่ึงการสุม่ ตัวอย่าง แบง่ ออกเป็น ๒ ขนั้ ตอน ดังน้ี

๑.๑ การสุ่มตัวอย่างจากประชากร (random selection) เป็นการสุ่มแต่ละหน่วย
ของตัวอย่างจากประชากร โดยทุกหน่วยของประชากร ที่ต้องการศึกษามีโอกาสท่ีจะถูกเลือกเป็น
ตัวแทนเทา่ ๆ กนั

๑.๒ การสุ่มตัวอย่าง เข้ารับวิธีการทดลอง (random assignment) เป็นการสุ่มหน่วย
ตัวอย่างเข้าสู่แต่ละวิธีของการทดลอง โดยแต่ละหน่วยมีโอกาสท่ีจะได้รับวิธีการทดลองเท่า ๆ กันการสุ่ม
ตัวอย่างของการวิจยั เชงิ ทดลอง สามารถสรุปได้ ดังภาพท่ี ๒.๖ ดังน้ี

ภาพที่ ๒.๖ ขัน้ ตอนการสมุ่ ตัวอย่างของการวจิ ัยเชงิ ทดลอง
ท่มี า: วาโร เพง็ สวสั ดิ์๑๘๗

๑๘๔ Koul, Lokerh. Methodology of Educational Research. (New Delhi: Vikas Publishing
House. 1984). P. 131.

๑๘๕ พิชิต ฤทธิ์จรูญ. หลักการวัดและประเมินผลการศึกษา. (พิมพ์ครั้งท่ี ๗). (กรุงเทพฯ: เฮ้าส์ออฟเคอร์มีสท์
,๒๕๕๕), หนา้ ๑๘๐-๑๘๑.

๑๘๖ สุวิมล ติรกานันท์. ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์ แนวทางสู่การปฏิบัติ. (พิมพ์คร้ังที่ ๙).
(กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, ๒๕๕๔), หนา้ ๑๘๐-๑๘๑.

๑๘๗ วาโร เพ็งสวัสดิ.์ วิธวี ิทยาการวจิ ัย. หนา้ ๑๘๓.

๑๑๕

๒. การจัดกระทำตัวแปร (manipulation) ตวั แปรในการวิจัยเชิงทดลองเป็นตวั แปรที่
ผวู้ จิ ัย จัดกระทำขึ้น (active variable) โดยสามารถแบง่ ตวั แปรออกเปน็ ระดับต่าง ๆ หลายวิธที ่ีใชใ้ น
การทดลอง การแบ่งระดบั ของตวั แปรทศ่ี ึกษาเปน็ หลายระดับ เพ่อื ศึกษาผลที่ไดจ้ ากแตล่ ะระดับของตวั
แปร เช่น การทดสอบ คณุ ภาพปุ๋ยสตู รต่าง ๆ ในกรณนี ี้ ปยุ๋ จะเป็นตัวแปร สูตรต่าง ๆ ของปุ๋ย คอื ระดบั
ของตัวแปร ซึง่ ระดับของตวั แปรในการวิจัยเชิงทดลองเรยี กวา่ treatment

๓. การควบคุม (control) เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนอ่ืน ๆ เช่น สภาพ แวดล้อม
ในการทดลอง การทดลองในห้องปฏิบัติการ (lab) เป็นวิธกี ารที่ได้รบั การยอมรบั ในทางวิทยาศาสตร์ว่า
สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้ดีท่ีสุด แต่ในทางสังคมศาสตร์ เป็นการศึกษาเก่ียวกับมนุษย์
การศึกษาในห้องปฏิบัติการ จึงไม่สามารถกระทำได้ เพราะมีผลในแง่จริยธรรมและการละเมิดสิทธิ
มนุษยชน

๔. การสังเกต (observation) จะต้องมีการวัด หรือการสังเกตผลท่ีเกิดข้ึนจากการทดลอง
เป็นการวดั การเปล่ยี นแปลงของตวั แปรตาม เพือ่ ศกึ ษาวา่ เปน็ ผลมาจากตวั แปรอสิ ระท่ที ดลองหรือไม่

๕. การออกแบบการทดลอง จะตอ้ งมกี ารออกแบบการทดลอง โดยมวี ัตถุประสงค์เพื่อ ให้
การวจิ ยั มคี วามเทยี่ งตรงภายในและภายนอก อันจะนำไปสกู่ ารได้ผลการวจิ ัยที่ตรงตามความจริง

๖. กลุ่มเปรียบเทียบ (replication) การวิจัยเชิงทดลอง จะต้องมีกลุ่มควบคุมเอาไว้
เปรียบเทยี บผลการทดลองท่ีได้ เพราะการควบคมุ ตัวแปรภายนอก ดว้ ยวิธีการสุม่ ตวั อยา่ งหรอื วิธอี ื่น ๆ นั้น
สามารถควบคุมได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น ยังไม่อาจควบคุมอิทธิพลของตัวแปรภายนอกได้ท้ังหมด
จงึ จำเป็นตอ้ งมีกลุ่มควบคุม ที่ไมไ่ ดร้ บั การทดลองเอาไว้เปรยี บเทียบ

เพ่ือให้เห็นลักษณะของการวิจัยเชิงทดลองชัดเจนยิ่งขึ้น จึงขอเปรียบเทียบลักษณะ
ความแตกตา่ งของการวจิ ยั เชิงทดลองกบั การวจิ ัยที่ไมท่ ดลอง หรอื การวจิ ยั เชิงบรรยาย ดงั ตารางท่ี ๒.๑

๑๑๖

ตารางท่ี ๒.๑ การเปรียบเทียบลักษณะของการวิจยั เชิงทดลองกับการวจิ ัยที่ไมท่ ดลอง (การวิจัยเชงิ

บรรยาย)

การวิจัยเชงิ ทดลอง การวจิ ัยที่ไม่ทดลอง (การวจิ ยั เชิงบรรยาย)

๑. ผลหรือตัวแปรตามท่ีสงั เกตหรือวัดได้ มาจาก ๑. ผลหรือตัวแปรตามที่สังเกตหรือวดั ได้ มาจาก

การจัดกระทำภายใต้การควบคุม ธรรมชาติ ไม่มกี ารปรุงแตง่

๒. สามารถควบคมุ ตวั แปรต่าง ๆ ท่ีเกีย่ วขอ้ ง ๒. ต้องคอยเฝา้ สงั เกตปรากฏการณ์ ซง่ึ ไม่ทราบ

ได้ ทัง้ หมด ว่า จะเกิดข้นึ เม่อื ใด อาจต้องใช้เวลารอคอยนาน

๓. ทำซำ้ เพื่อใหเ้ กดิ ผลเดิมได้ และทดสอบผล ๓. ส่วนมากทำซำ้ ไมไ่ ด้ ทดสอบผลซำ้ ทำไดย้ าก

ซำ้ ได้ทกุ เมอื่

๔. เปลย่ี นสภาพและเงอื่ นไขใหม่ได้ เพื่อเปรียบ ๔. ไมส่ ามารถเปล่ียนสภาพ และเงือ่ นไขใหม่ได้

เทยี บผลที่เกดิ ขนึ้ ตอ้ งปลอ่ ยให้เปน็ ไปตามธรรมชาติ

๕. สรุปความสัมพนั ธ์เชิงเหตแุ ละผลได้ ๕. สรุปความสมั พนั ธเ์ ชิงเหตแุ ละผลไมไ่ ด้

ท่มี า: บญุ ธรรม กิจปรีดาบริสทุ ธ์ิ๑๘๘

๒.๖.๖ ระเบยี บวิธีวจิ ัยของการวิจยั เชิงทดลอง
ระเบียบวิธีวิจัยของการวิจัยเชิงทดลอง ดำเนินการตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์อย่าง
แท้จริง ซงึ่ ประกอบด้วยขั้นตอนท่ีละเอียด ดงั ต่อไปน้ี (วาโร เพ็งสวัสดิ,์ ๒๕๕๗: ๑๘๖)๑๘๙
๑. เลือกหัวข้อปัญหาเพ่ือทำการวิจัย หัวขอ้ ปัญหาจะต้องกำหนดขอบข่ายของงานวิจยั ว่า
จะศกึ ษาในขอบเขตแคไ่ หน และในแง่มมุ ใด
๒. ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับปัญหาวิจัย โดยเฉพาะอย่างย่ิงศึกษาเก่ียวกับ
ทฤษฎีและหลักการเกย่ี วกับตัวแปรที่ศึกษา ซึ่งจะทำให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับตัวแปรท่ีศึกษามากย่ิงขึ้น
และไดแ้ นวทางในการตั้งสมมตฐิ านการวจิ ยั อย่างเหมาะสม
๓. พจิ ารณาหวั ข้อปญั หาท่ีจะวจิ ัย เพื่อให้ทราบว่าตอ้ งการศึกษาตวั แปรอะไร อะไรเปน็ ตัว
แปรอิสระ อะไรเปน็ ตวั แปรตาม และตัวแปรแทรกซ้อนท่จี ะต้องควบคุมมอี ะไรบา้ ง
๔. ทำการนิยามปญั หาให้ชดั เจน เพ่ือจะได้ตรวจสอบโดยวิธีวิจยั
๕. ต้ังสมมติฐานการวิจยั ใหช้ ัดเจน และสอดคลอ้ งกับวตั ถุประสงคข์ องการวจิ ัย
๖. ออกแบบการวิจัย (experimental design) โดยการกำหนดรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ที่
เกีย่ วข้องในการทดลอง ได้แก่

๑๘๘ บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์. ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์. (พิมพ์คร้ังที่ ๑๐). (กรุงเทพฯ:
จามจรุ ีโปรดักท์, ๒๕๕๑), หน้า ๑๓๓.

๑๘๙ วาโร เพ็งสวัสด.ิ์ วิธวี ิทยาการวิจยั . หนา้ ๑๘๓.

๑๑๗

๖.๑ การกำหนดตัวแปรอิสระ หรือตัวแปรทดลอง หรือตวั แปรจดั กระทำ
๖.๒ การกำหนดตัวแปร ทไี่ ม่ตอ้ งการศกึ ษาและหาวธิ กี ารทีจ่ ะควบคุมตวั แปรเหล่านัน้
๖.๓ เลือกแบบการทดลอง
๖.๔ กำหนดและเลือกกลุ่มตัวอย่าง โดยให้เป็นตัวแทนของมวลประชากรที่ต้อง
การศกึ ษา
๖.๕ กำหนดและสร้างเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ตลอดจนการตรวจสอบคุณภาพ
ของเครอื่ งมือ
๖.๖ ทำการศึกษานำ (pilot study) ก่อนทำจริง เพื่อศึกษาลู่ทาง และหาทางขจัด
ปัญหาอันอาจเกิดข้นึ ในขณะดำเนนิ การทดลอง
๗. ดำเนินการทดลองตามแบบการทดลองทไี่ ด้กำหนดไว้
๘. จดั กระทำขอ้ มูล และวางแผนการนำเสนอขอ้ ค้นพบ
๙. สรปุ ผลการทดลอง
๑๐. เขยี นรายงานการวิจยั

๒.๖.๗ การดำเนินการวจิ ยั เชิงทดลอง
การวจิ ัยเชงิ ทดลอง มเี ป้าหมายเพอ่ื การศึกษาอิทธิพลของตัวแปรอสิ ระหรอื ตัวแปรตน้ ที่มตี อ่
ตวั แปรตาม การดำเนินการวิจัยจึงตอ้ งพิสูจนป์ ระเด็นต่าง ๆ ท่ีสำคัญ ๓ ประการ ได้แก่
๑. เพ่ือพสิ ูจน์ว่า ตวั แปรอิสระหรือตัวแปรต้นเกิดขนึ้ ก่อนตัวแปรตาม ถา้ ไม่สามารถพสิ ูจน์ได้
วา่ ตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น เกิดก่อนตวั แปรตาม ก็จะไมส่ ามารถอ้างหรือสรุปได้ว่า ตัวแปรอสิ ระหรือ
ตัวแปรต้น เป็นสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการเปล่ียนแปลงของตัวแปรตาม (เน่ืองจากตัวแปรตามจะไม่มี
อทิ ธพิ ลใด ๆ ตอ่ ตวั แปรอสิ ระหรอื ตัวแปรตน้ )
๒. เพื่อพิสูจน์ว่า ตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้นกับตัวแปรตาม มีความสัมพันธ์กันในเชิง
หลักการ ในกรณีท่ี ตัวแปรท้ังสอง ไม่มีความสัมพันธ์กัน ก็จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ตวั แปรใดเป็นเหตุ
และตวั แปรใดเป็นผล
๓. เพื่อพิสูจน์ว่า การเปล่ียนแปลงของตัวแปรตาม ต้องเป็นผลมาจากการเปล่ียนแปลง
ของตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น ไม่ใช่เกิดจากการเปล่ียนแปลงของตัวแปรอื่น ดังน้ัน จึงต้องควบคุม
ไมใ่ หต้ วั แปรแทรกซ้อนหรอื ตวั แปรอ่ืน ๆ เข้ามามีอทิ ธิพลต่อตวั แปรตาม๑๙๐,๑๙๑

๑๙๐ ปาริชาต สถาปิตานนท์. ระเบียบวิธีวิจัยการส่ือสาร. (พิมพ์คร้ังที่ ๗). ฉบับปรับปรุงใหม่. (กรุงเทพฯ:
สำนกั พิมพแ์ ห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย, ๒๕๕๗), หน้า ๑๘๔.

๑๙๑ มนต์ชัย เทียนทอง. สถิติและวิธีการวิจัยทางเทคโนโลยีสารสนเทศ. (กรุงเทพฯ: สถาบันเทคโนโลยี
พระจอมเกลา้ พระนครเหนอื , ๒๕๔๘), หน้า ๑๓๙-๑๔๑.

๑๑๘

ขอ้ บกพร่องทีเ่ กดิ ข้ึนจากการดำเนนิ การวจิ ัยเชงิ ทดลอง มีดังน้ี
๑. กลุ่มตัวอย่างส่งผลให้การวิจัยคลาดเคลื่อน เชน่ กลุ่มตัวอย่างแต่ละกลมุ่ มีคุณลักษณะท่ี

แตกตา่ งกนั มาก เช่น ความรู้พ้ืนฐาน สติปัญญา ประเพณีและวฒั นธรรม เป็นต้น
๒. ขาดการควบคุม ตัวแปรแทรกซ้อนที่รัดกุมและได้ผล ผลการทดลองที่เกิดขึ้นจึง

ไม่ไดเ้ ป็นผลมาจากการทดลองทแี่ ทจ้ ริง
๓. แบบแผนการทดลอง (Experimental Design) ท่ีเลือกใช้ในการดำเนินการทดลอง

ขาดความเท่ียงตรงท้ังภายในและภายนอก (Internal and External Validity) เช่น ไม่สามารถ
ตรวจสอบสมมติฐานได้ครบทุกขอ้ กลุม่ ตัวอยา่ งไม่เป็นตัวแทนของประชากรที่แท้จริง และเคร่อื งมือขาด
ความเช่ือมั่นและความเที่ยงตรง เป็นต้น จึงส่งผลให้ข้อมูลที่ได้ขาดความเช่ือม่ันและความเท่ียงตรง
ทำให้ผลการทดลองเกดิ ความคลาดเคลื่อน

๔. เลือกใช้สถิติไมส่ อดคล้องกบั ข้อมูล
๕. การสรุปผลการทดลองขาดความเชื่อม่นั เนื่องจากการควบคมุ และการวางแผนไม่
รัดกุม

๒.๖.๘ การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนในการวิจัยเชงิ ทดลอง
ในการดำเนินการวิจัยเชิงทดลอง โดยท่ัวไปมักจะมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดข้ึนได้เสมอ ผู้วิจัย
จะต้องควบคุมตัวแปรต่าง ๆ ไม่ให้มีอทิ ธพิ ลต่อการเปลีย่ นแปลงของตวั แปรตาม อันเนื่องมาจากตวั แปร
อสิ ระ หรอื ตัวแปรต้น ทกี่ ำลงั ศึกษาอยู่ เพ่ือจะได้ทราบว่า ตัวแปรตาม เป็นผลมาจากอิทธิพลของตัวแปร
อสิ ระหรือตัวแปรตน้ อยา่ งแทจ้ ริง ไมไ่ ด้เปน็ ผลมาจากตัวแปรอ่ืน ๆ ท่ีไมเ่ กยี่ วข้อง
ดังน้ัน ในการวิจยั เชิงทดลอง จงึ จะตอ้ งพยายามควบคุมตวั แปรแทรกซ้อน เพ่ือปอ้ งกันไม่ให้
ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรตาม การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน นิยมใช้หลักการควบคุมท่ี
เรียกว่า Max-Min-Con Principle ดงั ต่อไปน้ี๑๙๒
๑. เพิ่มความแปรปรวนท่ีเป็นระบบให้มากที่สุด (Maximized Systematic Variance)
เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน โดยการเพ่ิมความแปรปรวนระหว่างกลุ่ม หรือความแปรปรวน
อันเน่ืองมาจากการทดลองให้สูงสุด ทำได้โดยการกำหนดวิธีการทดลองให้กับกลุ่มทดลองและกลุ่ม
ควบคุม ให้แตกต่างและเป็นอิสระซ่ึงกันและกันรวมท้ังควบคุมเวลาและสภาพแวดล้อมของการทดลอง
ใหเ้ หมาะสม เพ่อื ใหส้ ามารถกระทำกับตวั แปรอสิ ระหรอื ตวั แปรตน้ ให้สง่ ผลตอ่ ตัวแปรตามมากที่สดุ
๒. ลดความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อน (Minimized Error Variance) เป็นการ
ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน โดยทำให้ค่าความแปรปรวนของความคลาดเคล่ือนมีค่าน้อยท่ีสุดหรือ
เปน็ ศูนย์ซ่ึงความคลาดเคลอ่ื น จำแนกออกได้ ๒ ชนิด ไดแ้ ก่

๑๙๒ อ้างแล้ว, มนต์ชยั เทยี นทอง. สถิตแิ ละวิธกี ารวิจัยทางเทคโนโลยีสารสนเทศ. หน้า ๑๓๙-๑๔๑.

๑๑๙

๒.๑ ความคลาดเคล่ือนแบบระบบ (Systematic Error) เป็นความคลาดเคลื่อนท่ีมี
ผลต่อกลุ่มตัวอย่างท้ังกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน เช่น ความบกพร่องของเคร่ืองมือวัด และการจับเวลา
ทดสอบผิดพลาด เป็นต้น ซึ่งผู้วิจัยสามารถแก้ไขและควบคุมความคลาดเคลื่อนเหล่าน้ีได้โดยการ
ดำเนินการพฒั นาและควบคุมเคร่ืองมอื หรือสภาพการณ์ต่าง ๆ ให้ดีและมปี ระสิทธิภาพสงู สุด

๒.๒ ความคลาดเคล่ือนแบบสุ่ม (Random Error) เป็นความคลาดเคลื่อนท่ีเกิดกับ
กลุ่มตัวอย่าง บางส่วน ทำให้เกิดความไม่เท่ากันของโอกาสในการเกิดขึ้นของตัวแปรแทรกซ้อน เช่น
ความเหน่ือย ความประมาทเลินเล่อ การเดาคำตอบ ความสนใจ อารมณ์ และสุขภาพร่างกาย เป็นต้น
ความคลาดเคลื่อนชนิดน้ี สามารถแก้ไขโดยใช้กฎการแจกแจงปกติ (Normal Distribution Law) เพ่ือ
คำนวณหาค่าสถติ ิทก่ี ระทำกับความคลาดเคลอ่ื นชนดิ น้ี

๓. ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน ท่ีส่งผลอย่างมีระบบ (Control Extraneous Systematic
Variance) เป็นการควบคุมหรือกำจัดตัวแปรอ่ืน ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทดลองออกไป เพ่ือให้ตัว
แปรตาม ที่เกดิ ขน้ึ เปน็ ผลมาจากอิทธิพลของตวั แปรอสิ ระหรอื ตัวแปรตน้ เท่านัน้ มีวธิ ีการกระทำ ดงั น้ี

๓.๑ การสุ่ม (Randomization) เป็นการสุ่มกลุ่มตัวอย่างจากกลุ่มประชากร โดยให้มี
คุณสมบัติด้านต่าง ๆ เท่าเทียมกัน และเพ่ือให้กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม มีคุณสมบัติไม่แตกต่างกัน
จึงจะสามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้ ซ่ึงวิธีนี้ถือว่า เป็นวิธีท่ีดีท่ีสุดในทางปฏิบัติ ตลอดจนยังช่วย
เพิ่มค่าความเท่ียงตรงภายใน (Internal Validity) ของงานวิจัยอีกด้วย โดยอาจใช้เทคนิคการสุ่ม
ดงั ตอ่ ไปนี้

๓.๑.๑ การนับหมายเลข ในกรณีที่ต้องการแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น ๒ กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เช่น ผู้วิจัยอาจใช้วิธีการนับหมายเลข ๑ และ ๒ โดยผู้ท่ีได้หมายเลข ๑
เปน็ กลุ่มทดลอง สว่ นผู้ท่ีไดห้ มายเลข ๒ เปน็ กล่มุ ควบคุม

๓.๑.๒ การจับฉลาก เช่นเดียวกับการนับหมายเลข แต่ใช้วธิ ีการจับฉลากหมายเลข
๑ และ ๒ แทน ซึ่งได้ผลเหมือนกัน แต่ทั้งสองวิธีน้ีจะต้องมั่นใจว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นตัวแทนของกลุ่ม
ประชากรท่แี ทจ้ ริง โดยมคี ณุ สมบตั ิและลักษณะเฉพาะดา้ นเท่าเทยี มกัน

๓.๒ การเพ่ิมตัวแปร (Add to the Design) ในกรณที่การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน
บางตัวทำได้ยาก ก็ให้เอาตัวแปรนน้ั เพ่มิ เข้าไปโดยถือวา่ เปน็ ตัวแปรตน้ ท่จี ะต้องศึกษาดว้ ย

๓.๓ การจบั คู่ (Matching) เปน็ การใช้กลุ่มตวั อย่าง ๒ กลุ่มทม่ี คี ุณสมบัตเิ หมอื นกัน คือ
ให้มลี กั ษณะของตัวแปรแทรกซ้อนในระดับท่ีเท่าเทยี มกนั การจบั คู่มี ๒ แบบ ได้แก่

๓.๓.๑ จับกลุ่ม (Matched Group) เป็นการจัดให้ท้ัง ๒ กลุ่มมีคุณสมบัติเหมือนกัน
โดยไม่คำนึงถึงว่าสมาชิกในกลุ่มจะมีจำนวนเท่ากันหรือไม่ ซ่ึงทำได้โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่ม
แล้วนำทั้ง ๒ กลุ่ม หรือหลาย ๆ กลุ่ม มาทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย และความแปรปรวน
ถ้าพบว่า แตกต่างกันก็ต้องจัดกลุ่มใหม่เพ่ือได้กลุ่มตัวอย่างท่ีมีค่าเฉล่ียไม่แตกต่างกัน ซึ่งทำได้ยาก
ในทางปฏิบตั ิ

๑๒๐

๓.๓.๒ จับคู่รายบุคคล (Matched Subjects) เป็นการจัดให้บุคคลท่ีมีความเหมือนกัน
หรือเท่าเทียมกันมาจบั คู่กัน แล้วแยกออกเป็นคนละกลุ่ม ทำเช่นน้จี นได้ครบตามจำนวนที่ต้องการก็จะ
ได้กลุ่มตัวอย่าง ๒ กลุ่มที่มีคุณสมบัติเหมือนกัน นำ ๒ กลุ่มน้ี มาทดสอบนัยสำคัญทางสถิติเพื่อศึกษา
ความแตกตา่ งของค่าเฉลยี่ และความแปรปรวน เชน่ เดียวกับการจับกลมุ่

๔. การใช้สถิติ (Statistical Control) เทคนิควิธีการทางสถิติที่สามารถนำมาควบคุม
ตัวแปรแทรกซ้อนได้ก็คือ การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (Analysis of Covariance) จะสามารถ
ปรับคณุ สมบตั ทิ แ่ี ตกต่างกันของกลมุ่ ตัวอยา่ งได้ ทำให้ผลที่ปรากฏเป็นผลจากการทดลองเท่านัน้

๕. การตดั ทิ้ง (Elimination) เป็นการกำจัดตัวแปร ทคี่ ดิ วา่ มีส่วนเกย่ี วขอ้ งกบั การทดลอง
ออกไป เช่น ถ้าผูว้ ิจัยคิดวา่ ความสนใจเก่ียวข้องกับการทดลอง และจะไม่เอามาเป็นตัวแปรอิสระหรือ
ตวั แปรต้น จำเป็นจะต้องตัดตวั แปรน้ีออกไป วธิ ีการน้ี ก็คอื คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างท่ีมีความสนใจเหมือน
ๆ กัน เปน็ ต้น๑๙๓

๒.๖.๙ แบบแผนการทดลอง (Experimental Design)
แบบแผนการทดลอง (Experimental Design) หมายถึง รูปแบบ ขั้นตอนหรือกระบวน

การในการทดลอง เพ่ือศึกษาผลอิทธิพลของตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้นที่มีตอ่ ตัวแปรตาม ในการวิจัย
การวิจัยเชิงทดลองส่วนใหญ่จึงจะตอ้ งมีการกำหนดแบบแผนการทดลองไว้ก่อน เพื่อใช้เป็นแนวทางใน
การออกแบบเคร่ืองมือ การแบ่งกลุ่มตัวอย่าง การเก็บข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งจะส่งผลไปยัง
การค้นหาคำตอบเพื่อทดสอบสมมติฐาน ตามประเด็นปัญหาของการวิจัยท่ีกำหนดไว้ แบบแผนการ
ทดลอง จึงมีประโยชน์ต่อผู้วิจยั โดยตรง เพ่ือใช้ในการวางแผนการวิจัย ให้ดำเนินไปตามกระบวนการวิจัย
อย่างเปน็ ระบบ ไมอ่ อกนอกกรอบแนวทาง และได้ผลตรงตามวัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย

แบบแผนการทดลองมดี ว้ ยกันหลายแบบ การเลอื กใช้แบบแผนการทดลองจะขึน้ อยู่กับ
ลกั ษณะของการเก็บข้อมูล และกลุ่มตวั อย่าง รวมท้ังความต้องการของผ้วู จิ ัยเอง แบบแผนการทดลอง
ท่ีนยิ มใช้ในการวจิ ัยเชิงทดลองทั่ว ๆ ไป จำแนกออกเป็น ๔ กล่มุ ดังตอ่ ไปน้ี๑๙๔

๑. แบบแผนการทดลองข้ันตน้ (Pre-Experimental Design) ได้แก่
๑.๑ One-Shot Case Study
๑.๒ One Group Pretest Posttest Design
๑.๓ Static Group Comparison

๒. แบบแผนการทดลองจริง (True-Experimental Design) ไดแ้ ก่
๒.๑ Posttest-Only Control Group Design
๒.๒ Pretest Posttest Control Group Design

๑๙๓ อา้ งแล้ว, มนตช์ ยั เทียนทอง. สถิตแิ ละวิธกี ารวิจัยทางเทคโนโลยีสารสนเทศ. หน้า ๑๓๙-๑๖๔
๑๙๔ เรอ่ื งเดียวกัน, หนา้ ๑๓๙-๑๔๕.

๑๒๑

๒.๓ Solomon Four Group Design
๓. แบบแผนการทดลองก่ึงการทดลอง (Quasi-Experimental Design) ไดแ้ ก่

๓.๑ Quasi-Equivalent Control Group Design
๓.๒ Time Series Design
๓.๓ Multiple Time Series Design
๔. แบบแผนการทดลองอืน่ ๆ ได้แก่
๔.๑ One-Shot Repeated Measures Design
๔.๒ Randomized Groups Repeated Measures Design
๔.๓ Latin Square Design
สำหรับสัญลักษณ์ที่ใช้ มีดังต่อไปน้ี
E หมายถึง กลุ่มทดลอง (Experimental Group)
C หมายถงึ กลมุ่ ควบคมุ (Control Group)
X หมายถงึ การทดลอง หรือการกระทำ (Treatment)
O๑ หมายถงึ การสงั เกต (หรือการวัดผล) ก่อนการทดลอง (Pre-Observation)
O๒ หมายถึง การสังเกต (หรอื การวดั ผล) หลังการทดลอง (Post-Observation)
R หมายถงึ การสุ่ม (Random)

๒.๖.๑๐ แบบแผนการทดลองขัน้ ต้น (Pre-Experimental Design)
แบบแผนการทดลองขั้นต้น (Pre-Experimental Design) เป็นแบบแผนขั้นพื้นฐาน

ของการวิจัยเชิงทดลอง เพื่อใช้ในการวางแผนการทดลอง โดยมุ่งเน้นการศึกษาการเปล่ียนแปลงของ
ตวั แปรตาม อันเน่ืองมาจากอิทธพิ ลของตัวแปรอิสระหรอื ตัวแปรตน้ แบง่ ออกเป็น ๓ แบบ ไดแ้ ก่ (มนต์
ชัย เทียนทอง, ๒๕๔๘: ๑๓๙-๑๖๔)

๑. One-Shot Case Study
วธิ กี ารทดลอง :

E X O๒

แบบแผนการทดลองแบบ One-Shot Case Study มุ่งเนน้ การวิจยั เชิงทดลองกับกลุ่ม
ทดลองเพียงกลุ่มเดียวเท่าน้ัน โดยดำเนินการทดลองแล้วศึกษาผลท่ีเกิดขึ้นกับตัวแปรตาม ว่าเกิดการ
เปลี่ยนแปลงหรือไม่อย่างไร ปัญหาของแบบแผนการทดลองแบบนี้ก็คือ ไม่มีกลุ่มควบคุมและไม่มีการ
ทดสอบก่อนการทดลอง ผลที่เกิดขึ้นกับตัวแปรตาม จึงคาดเดาได้ยากว่า เป็นผลเกิดจาก
อิทธิพลใด ตัวอย่าง เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนผ่านเว็บช่วยสอนวิชาการโปรแกรม ถ้าใช้

๑๒๒

แบบแผนการทดลองแบบ One-Shot Case Study จะไม่มีการทดสอบก่อนบทเรียน แต่มีการ
ทดสอบหลังบทเรียน ดังนั้นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนที่เกิดจากการเรียนผ่านเว็บช่วยสอน
(X) จึงสรุปไม่ได้แน่นอนว่าเกิดจากประสิทธิภาพของเว็บช่วยสอน หรือเกิดจากผู้เรียนที่เป็นกลุ่ม
ทดลอง (E) ท่ีอาจจะมีความรู้เรื่องการโปรแกรมมาเป็นอย่างดีแล้วก็ได้ ทำให้เป็นจุดอ่อนของแบบ
แผนการทดลองแบบนี้ แต่แบบแผนการทดลองนี้ สามารถดำเนินการทดลองได้ง่าย มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก
ในการวิจัยเชิงทดลองทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะการพัฒนาระบบใหม่ ๆ
ที่ไม่ตอ้ งการกระบวนการทดลองท่ียุ่งยากและซับซ้อนมากนัก สามารถใช้แบบแผนการทดลองแบบนี้ได้
โดยนำระบบที่พัฒนาข้ึนไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง ท่ีเป็นกลุ่มทดลองเพียงกลุ่มเดียว ในระยะเวลา
หน่ึงหลงั จากน้ันจึงทำการสังเกตผลหลังการทดลอง และรายงานผลการค้นพบ

๒. One Group Pretest Posttest Design
วธิ ีการทดลอง :

E O๑ X O๒

แบบแผนการทดลองแบบ One Group Pretest Posttest Design มุ่งเน้นการดำเนิน
การทดลองกับกลุ่มทดลองเพียงกลุ่มเดียว แต่ดำเนินการสังเกต (Observation) ผู้เข้าร่วมการทดลอง
ก่อนและหลังการทดลอง (O๑ และ O๒) หลังจากน้ันจึงนำผลท่ีได้จากการวัดหรือการสังเกตไป
เปรยี บเทียบกนั เพอ่ื ทดสอบดวู า่ แตกตา่ งกนั หรือไม่ อย่างไร ตัวอยา่ ง เช่น ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของ
ผู้เรียนผ่านเว็บชว่ ยสอน วิชาการโปรแกรม ถา้ ใช้แบบแผนการทดลองแบบนี้ แสดงว่า มีการสังเกตก่อน
และหลังการเรียนด้วยบทเรียนผ่านเว็บ (X) จำนวน ๒ ครั้ง ด้วยกัน ซ่ึงในกรณีนี้ O๑ อาจเป็น
แบบทดสอบก่อนบทเรียน (Pretest) และ O๒ อาจเป็นแบบทดสอบหลังบทเรียน (Posttest) จึง
สามารถนำคะแนนจากการสังเกตท้ัง ๒ คร้ัง ไปเปรียบเทียบกัน ผลคะแนนที่เพิ่มขึ้น อาจจะสรุปได้ว่า
เป็นผลมาจากอทิ ธพิ ลของบทเรยี นผา่ นเวบ็ ที่ทำการทดลอง

อย่างไรก็ตามการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้น ก็อาจไม่สามารถสรุปได้อย่างเต็มท่ีว่าเป็นผล
มาจากการทดลองเพียงประการเดียวเน่ืองจากอาจมีปัจจัยอ่ืน ๆ แทรกเขามาดว้ ยก็ได้ เช่น ประสบการณ์
ของกลุ่มทดลองท่ีมีความรู้เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีตัวแปรทางด้านเวลามาเก่ียวข้องด้วยหรือกลุ่มทดลอง
อาจได้รับข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ ขณะทำการทดลองด้วยก็ได้ เน่ืองจากแบบแผนการทดลองแบบน้ี
กระทำกับกลุ่มตัวอย่างเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น ไม่มีการเปรียบเทียบผลการทดลองกับกลุ่มอ่ืน ๆ แต่
อย่างใด ซ่ึงอาจจะเป็นข้อด้อยของแบบแผนการทดลองแบบน้ี แต่ถ้าเปรียบเทียบกับแบบแผนการ
ทดลองแบบ One-Shot Case Study จะเห็นได้ว่า แบบแผนการทดลองแบบน้ีสามารถกำจัดตัวแปร
แทรกซอ้ นได้ดีกว่า เน่อื งจากมกี ารสงั เกตท้ังก่อนและหลังการทดลอง

๑๒๓

๓. Static Group Comparison X O๑
- O๒
วธิ ีการทดลอง :
E
C

แบบแผนการทดลองแบบ Static Group Comparison เป็นการแบ่งกลุ่มตัวอย่าง
ออกเป็น ๒ กลุ่ม ได้แก่กลุ่มทดลอง (E) และกลุ่มควบคุม (C) ทำการทดลองเฉพาะกลุ่มทดลองโดยไม่มี
การวัดหรือสงั เกตใด ๆ กอ่ นการทดลอง ส่วนกลมุ่ ควบคุมไมไ่ ด้ถูกกระทำใด ๆ เพยี งแต่ตอ้ งมกี ารควบคมุ ตัว
แปรแทรกซ้อนไม่ใหส้ ่งผลใด ๆ ต่อตัวแปรตาม หลังจากเสรจ็ ส้นิ การทดลองแล้วจึงทำการวัดหรือสังเกต
(O๒) เพ่ือเปรียบเทียบความแตกต่างระหวา่ งกลุม่ ทดลองกับกลุ่มควบคุม เพ่ือสรปุ ผลอทิ ธิพลของตัวแปร
อิสระหรือตัวแปรตน้ ท่ีมตี ่อตวั แปรตาม

ข้อจำกัดของแบบแผนการทดลองแบบน้ีก็คือ ไม่มีการวัดหรือสังเกตใด ๆ ก่อนการ
ทดลองเช่นเดียวกันกับแบบแผนการทดลองแบบ One-Shot Case Study จึงสรุปผลของการ
เปล่ียนแปลงได้ยากกว่า การเปลยี่ นแปลงที่เกิดขึ้นของตัวแปรตามนั้นเป็นผลมาจากอทิ ธิพลของตัวแปร
อสิ ระหรอื ตวั แปรตน้ ท่เี กิดจากการกระทำในการทดลองหรอื ไม่ แต่ก็มีข้อดกี ว่าแบบแผนการทดลองแบบ
One-Shot Case Study โดยทสี่ ามารถนำผลการทดลองของกลมุ่ ทดลองไปเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม
ได้ ตัวอย่างเช่น การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ของผู้เรียน ผ่าน เว็บช่วยสอ น
วิชาการโปรแกรม ถ้าใช้แบบแผนการทดลองแบบนี้ จะต้องแบ่งผู้เรียนออกเป็น ๒ กลุ่ม ได้แก่กลุ่ม
ทดลอง (E) ซ่ึงเป็นกลุ่มที่เรียนด้วยเว็บช่วยสอน และกลุ่มควบคุม (C) ซ่ึงเป็นกลุ่มที่เรียนด้วยวิธีปกติ
(เช่น สอนโดยผู้สอน) ภายหลังจากเสร็จสิ้นการทดลองจะมีการสังเกตผลการทดลองท้ัง ๒ กลุ่ม ในท่ีนี้
หมายถงึ การทดสอบหลังบทเรยี น (O๒) ซ่ึงสามารถนำผลการทดสอบหลังบทเรียนของผู้เรียนท้ัง ๒ กลุ่ม
ไปเปรยี บเทยี บกันได้ ผลการเปรยี บเทียบการทดสอบหลังบทเรยี นจะได้ข้อสรปุ ถึงความแตกตา่ งของเว็บ
ชว่ ยสอนว่า ใหผ้ ลแตกต่างจากการเรยี นดว้ ยวิธปี กตหิ รอื ไม่

บทสรุป การวิจยั เชิงทดลอง เป็นการวิจัยท่ีจัดกระทำกับตัวแปรอสิ ระหรือตวั แปรต้นแล้ว
ศึกษาผลท่ีเกิดข้ึนกับตัวแปรตาม อันเป็นผลมาจากอิทธิพลของตัวแปรอิสระ หรือตัวแปรต้นโดย
เปรียบเทียบกับกลุ่มท่ีไมไ่ ด้จดั กระทำ มกี ารควบคมุ ตัวแปรภายนอกเพอ่ื ใหผ้ ลลัพธท์ทไี่ ด้จากการทดลอง
เป็นผลมาจากตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น ที่ได้จากการกระทำอย่างแท้จริง วัตถุประสงค์ของการวิจัย
เชิงทดลอง ก็เพ่ือหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของตัวแปรทั้งสอง และเพื่อพิสูจน์ทฤษฎี ลักษณะสำคัญ
ของการวิจัยเชิงทดลองก็คือ มีการสุ่ม มกี ารทดลอง และมีการควบคมุ การวิจัยเชิงทดลอง นับว่า เป็น
รากฐานของการพัฒนาทฤษฎีหลักการ องค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ สามารถนำผล การวิจัยไป
ประยุกตเ์ พ่ือสร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยยึดผลการวิจยั เชิงทดลองท่ไี ด้เป็นแนวทาง

๑๒๔

ในการพฒั นาแบบแผนการทดลอง เปน็ แนวทางการทดลองท่ีกระทำกับกลุม่ ตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยเชิง
ทดลอง เป็นแนวทางที่บ่งบอกถึงขนั้ ตอนการดำเนินการทดลอง เพื่อให้ได้มาซ่ึง ผลลัพธ์ท่ีเกิดขึ้นกับตัว
แปรตาม แบบแผนการทดลองจำแนกออกได้ ๔ กลุ่ม ไดแ้ ก่

๑) แบบแผนการทดลองขนั้ ตน้ (Pre-Experimental Design) แบ่งออกเป็น One-Shot
Case Study, One Group Pretest Posttest Design และ Static Group Comparison

๒) แบบแผนการทดลองจริง (True-Experimental Design) แบ่งออกเป็น Posttest-
Only Control Group Design, Pretest Posttest Control Group Design และ Solomon Four
Group Design

๓) แบบแผนการทดลองกึ่งการทดลอง (Quasi-Experimental Design) แบ่งออกเป็น
Quasi-Equivalent Control Group Design, Time Series Design แ ล ะ Multiple Time Series
Design

๔) แบบแผนการทดลองอื่น ๆ เช่น One-Shot Repeated Measures Design, Ran-
domized Groups Repeated Measures Design และ Latin Square Design

การเลือกใช้แบบแผนการทดลองในการวิจัยเชิงทดลองข้ึนอยู่กับข้อมูล กลุ่มตัวอย่างและ
ความสนใจของผู้วิจัยที่จะทำการศึกษาค้นคว้า เพ่ือให้ได้ผลการวิจัยตามความต้องการท่ีสอดคล้องตาม
วตั ถปุ ระสงค์ และสมมติฐานของการวิจัย

๒.๗ การทดสอบประสิทธภิ าพ

การทดสอบประสิทธิภาพส่ือหรือชุดการสอน Developmental Testing of Media and
Instructional Package การผลิตส่ือหรือชุดการสอนนั้น ก่อนนำไปใช้จริงจะต้องนำส่ือหรือชุดการสอน
ที่ผลิตข้ึนไปทดสอบประสิทธิภาพ เพ่ือดูว่าส่ือหรือชุดการสอนทำให้ผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นหรือไม่
มีประสิทธิภาพ ในการช่วยให้กระบวนการเรียนการสอน ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด
มีความสัมพันธ์กับผลลัพธ์หรือไม่ และผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนจากส่ือหรือชุดการสอนใน
ระดับใด ดังนั้น ผู้ผลิตส่ือการสอนจำเป็นจะต้องนำสื่อหรือชุดการสอนไปหาคุณภาพ เรียกว่า การทดสอบ
ประสิทธิภาพ๑๙๕

๑๙๕ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ . การทดสอบประสิทธิภาพส่ือหรือชุดการสอน (Developmental Testing
of Media and Instructional Package). วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย, ๕(๑) : ๗-๒๐.(มกราคม-มิถุนายน
๒๕๕๖), ๒๕๕๖), หน้า ๗-๒๐.

๑๒๕

๒.๗.๑ ความหมายของการทดสอบประสิทธิภาพ
๒.๗.๑.๑ ความหมายของประสิทธภิ าพ
ชัยยงค์ พรหมวงศ์๑๙๖ กล่าวว่า ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึงสภาวะหรือ

คุณภาพของสมรรถนะในการดำเนินงานเพ่ือให้งานมีความสำเรจ็ โดยใช้เวลา ความพยายามและค่าใช้จ่าย
คุ้มค่าท่ีสุดตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้เพ่ือให้ได้ผลลัพธ์ โดยกำหนดเป็นอัตราส่วนหรือร้อยละระหว่าง
ปจั จัยนำเข้า กระบวนการและผลลัพธ์ (Ratio between input, process and output) ประสทิ ธิภาพ
เน้นการดำเนนิ การท่ีถูกตอ้ งหรอื กระทำส่ิงใดๆ อยา่ งถกู วิธี (Doing the right thing)

สมหมาย ศุภพินิ๑๙๗ ได้ให้ความหมายของประสิทธิภาพไว้ว่า ประสิทธิภาพหมายถึง
คุณภาพของสื่อซึ่งนำไปจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยมีการกำหนดเกณฑ์ขึ้นมาสำหรับทดสอบ
ทำใหท้ ราบว่าส่อื ท่สี รา้ งขึ้นมาน้ันมคี ณุ ภาพมากนอ้ ยเพยี งใด

วิมล เหล่าแคน๑๙๘ ได้ให้ความหมายของประสิทธิภาพว่า ประสิทธิภาพหมายถึง คุณภาพ
ของส่ือการเรียนการสอนหรือนวตั กรรม ซึ่งนำไปจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน

ดวงมาลา จาริชานนท์๑๙๙ ได้ให้ความหมายของประสิทธิภาพไว้วา่ ประสิทธิภาพ หมายถึง
คณุ ภาพของสอ่ื ท่ีเกิดจากกระบวนการจดั กิจกรรมการเรยี นรจู้ ากสอื่ และเทคโนโลยกี ารเรียนการสอน ทำ
ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ซ่ึงประสิทธิภาพมาจากผลลัพธ์ของการคำนวณ (E๑) เป็นตัวเลขแรกและ (E๒)
เป็นตัวเลขหลัง ถ้าตัวเลขเข้าใกล้ร้อยมากเท่าไรยิ่งถือว่ามีประสิทธิภาพมากยิ่งข้ึนเท่าน้ัน เป็นเกณฑ์
พจิ ารณาการรับรองประสิทธิภาพของสอื่ การสอน

คำว่า ประสิทธิภาพ มักสับสนกับคำว่า ประสิทธิผล (Effectiveness) ซ่ึงเป็นคำท่ี
คลุมเครือไม่เน้นปริมาณ และมุ่งให้บรรลุวัตถุประสงค์ และเน้นการทำสิ่งท่ีถูกที่ควร (Doing the right
thing)ดงั น้ันสองคำนีจ้ ึงมักใช้คกู่ ัน คอื ประสิทธภิ าพและประสทิ ธิผล

๑๙๖ อ้างแล้ว, ชัยยงค์ พรหมวงศ์. การทดสอบประสิทธิภาพส่ือหรือชุดการสอน (Developmental Testing
of Media and Instructional Package). วารสารศลิ ปากรศกึ ษาศาสตรว์ ิจยั , หนา้ ๗-๒๐.

๑๙๗ สมหมาย ศุภพินิจ. การพัฒนาแบบฝึกทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องร้อยละ
ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี ๕. (อุบลราชธานี. มหาวิทยาลัยราชภฎั อุบลราชธานี, ๒๕๕๑), หนา้ ๔๕.

๑๙๘ วิมล เหล่าแคน. ผลการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องการสร้างคำตามหลักเกณฑ์ทางภาษาด้วยการจัด
กิจกรรมตามแนวคิดโดยใช้สมองเป็นฐานช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๓. (สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม, ๒๕๕๒), หน้า ๖.

๑๙๙ ดวงมาลา จาริชานนท์. การพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านเพ่ือฝึกการคิดวิเคราะห์ ด้วย
แบบฝกึ ทักษะสำหรบั ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี ๑. (มหาสารคาม: มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, ๒๕๕๑), หน้า ๘.

๑๒๖

๒.๗.๑.๒ ความหมายของการทดสอบประสิทธิภาพ
การทดสอบประสทิ ธภิ าพของส่อื หรอื ชดุ การสอน จงึ หมายถงึ การหาคณุ ภาพของสื่อ

หรือชุดการสอน โดยพจิ ารณาตามขั้นตอนของการพัฒนาสอ่ื หรอื ชดุ การสอนแต่ละข้ัน ตรงกับภาษา
อังกฤษวา่ “Developmental Testing”๒๐๐

Developmental Testing คือ การทดสอบคุณภาพตามพัฒนาการของการผลิตส่ือ
หรือชุดการสอนตามลำดับข้ันเพื่อตรวจสอบคุณภาพของแต่ละองค์ประกอบของต้นแบบชิ้นงานให้
ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับการผลิตสื่อและชุดการสอนการทดสอบประสิทธิภาพ หมายถึง
การนำสื่อหรือชุดการสอนไปทดสอบด้วยกระบวนการสองข้ันตอนคือ การทดสอบประสิทธิภาพใช้
เบ้ืองต้น (Try-out) และทดสอบประสิทธิภาพสอนจริง (Trial Run) เพ่ือหาคุณภาพของสอื่ ตามข้ันตอน
ทกี่ ำหนดใน ๓ ประเด็น คือการทำให้ผู้เรียนมีความรู้เพ่ิมข้ึน การช่วยให้ผู้เรยี นผา่ นกระบวนการเรียนและ
ทำแบบประเมนิ สดุ ทา้ ยไดด้ ี และการทำให้ผเู้ รียนมีความพึงพอใจ นำผลท่ีได้มาปรับปรงุ แก้ไข ก่อนที่จะ
ผลิตออกมาเผยแพร่เป็นจำนวนมาก

๑. การทดสอบประสิทธิภาพใช้เบื้องต้น เป็นการนำสื่อหรือชุดการสอนที่ผลิตข้ึนเป็น
ต้นแบบ (Prototype) แล้วไปทดลอบประสิทธิภาพใช้ตามขั้นตอนท่ีกำหนดไว้ในแต่ละระบบ เพื่อ
ปรบั ปรุงประสทิ ธิภาพของส่อื หรือชดุ การสอนให้เท่าเกณฑท์ ี่กำหนดไว้ และปรบั ปรุงจนถึงเกณฑ์

๒. การทดสอบประสิทธิภาพสอนจริง หมายถึง การนำสื่อหรือชุดการสอนท่ีได้ทดสอบ
ประสิทธิภาพใชแ้ ละปรบั ปรุงจนได้คุณภาพถึงเกณฑ์แล้วของแต่ละหน่วย ทุกหน่วยในแต่ละวิชาไปสอน
จริงในชั้นเรียนหรือในสถานการณ์การเรียนท่ีแท้จริงในช่วงเวลาหนึ่ง อาทิ ๑ ภาคการศึกษาเป็นอย่าง
น้อย เพ่ือตรวจสอบคุณภาพเป็นคร้ังสุดท้ายก่อนนำไปเผยแพร่และผลิตออกมาเป็นจำนวนมากการ
ทดสอบประสิทธิภาพท้ังสองข้ันตอนจะต้องผ่านการวิจัยเชิงวิจัยแ ละพัฒนา (Research and
Development: R & D) โดยต้องดำเนินการวิจัยในข้ันทดสอบประสิทธิภาพเบ้ืองต้น และอาจทดสอบ
ประสิทธิภาพซ้ำในข้ันทดสอบประสิทธิภาพใช้จริงด้วยก็ได้เพ่ือประกันคุณภาพของสถาบันการศึกษา
ทางไกลนานาชาติ

๒.๗.๒ ความจำเปน็ ทจี่ ะตอ้ งหาประสทิ ธิภาพ
การทดสอบประสิทธิภาพของส่ือหรือชุดการสอนมีความจำเป็นด้วยเหตุผล ๓ ประการ
ได้แก่๒๐๑
๑. สำหรบั หน่วยงานผลิตสือ่ หรอื ชดุ การสอน

๒๐๐ ชัยยงค์ พรหมวงศ์. การทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน (Developmental Testing
of Media and Instructional Package). วารสารศิลปากรศึกษาศาสตรว์ ิจัย, หนา้ ๗-๒๐

๒๐๑ เร่อื งเดียวกนั , หน้า ๗-๒๐.

๑๒๗

การทดสอบประสิทธิภาพช่วยประกันคุณภาพของส่ือหรือชุดการสอนว่าอยู่ในขั้นสูง
เหมาะสมที่จะลงทุนผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก หากไม่มีการทดสอบประสิทธิภาพเสียก่อนแล้ว
เมื่อผลิตออกมาใช้ประโยชน์ไมไ่ ด้ดี กจ็ ะตอ้ งผลิตหรือทำข้ึนใหม่เป็นการส้ินเปลืองทงั้ เวลา แรงงานและ
เงินทอง

๒. สำหรับผใู้ ชส้ ่ือหรอื ชุดการสอน
ส่อื หรอื ชุดการสอนทผี่ ่านการทดสอบประสทิ ธิภาพจะทำหน้าท่ีเป็นเครอ่ื งมือชว่ ยสอนได้

ดี ในการสรา้ งสภาพการเรียนให้ผู้เรยี นได้เปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมตามท่ีมุ่งหวัง บางครงั้ ชุดการสอนต้อง
ช่วยครูสอนบางคร้ังตอ้ งสอนแทนครู (อาทิในโรงเรยี นครูคนเดียว) ดังนั้น ก่อนนำสื่อหรือชุดการสอนไป
ใช้ ครูจึงควรมั่นใจว่า ชุดการสอนน้ันมีประสิทธิภาพในการช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนจริง
การทดสอบประสิทธิภาพตามลำดับขั้นจะช่วยให้เราได้สื่อหรือชุดการสอนที่มีคุณค่าทางการสอนจริง
ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้

๓. สำหรบั ผู้ผลิตส่อื หรือชุดการสอน
การทดสอบประสทิ ธิภาพจะทำให้ผ้ผู ลิตม่ันใจได้ว่าเน้ือหาสาระท่ีบรรจลุ งในสื่อหรือชุด

การสอนมีความเหมาะสม ง่ายต่อการเข้าใจ อันจะช่วยให้ผู้ผลิตมีความชำนาญสูงขึ้น เป็นการประหยัด
แรงสมองแรงงาน เวลาและเงนิ ทองในการเตรยี มต้นแบบ

๒.๗.๓. การกำหนดเกณฑป์ ระสิทธภิ าพ
๒.๗.๓.๑ ความหมายของเกณฑ์ (Criterion)
เกณฑ์ เปน็ ขดี กำหนดท่ีจะยอมรับว่าสิ่งใดหรือพฤติกรรมใดมีคณุ ภาพและหรือปริมาณ

ท่จี ะรบั ไดก้ ารต้งั เกณฑต์ ้องตั้งไว้ครัง้ แรกครัง้ เดยี วเพ่อื จะปรับปรุงคุณภาพใหถ้ ึงเกณฑข์ ้ันต่ำท่ีต้ังไว้จะต้ัง
เกณฑ์การทดสอบประสทิ ธิภาพไว้ตา่ งกันไม่ไดเ้ ชน่ เมื่อมกี ารทดสอบประสิทธิภาพแบบเดย่ี วตั้งเกณฑ์ไว้
๖๐/๖๐ แบบกลุ่มตั้งไว้ ๗๐/๗๐ ส่วนแบบสนามตั้งไว้ ๘๐/๘๐ ถือว่า เปน็ การตั้งเกณฑ์ที่ไม่ถูกต้องอนึ่ง
เนอ่ื งจากเกณฑท์ ่ตี ัง้ ไวเ้ ป็นเกณฑ์ตำ่ สุดดังนน้ั หากการทดสอบคุณภาพของสงิ่ ใดหรอื พฤตกิ รรมใดได้ผลสูง
กว่าเกณฑ์ท่ีตั้งไว้อย่างมีนัยสำคัญท่ีระดับ .๐๕ หรืออนุโลมให้มีความคลาดเคล่ือนต่ำหรือสูงกว่าค่า
ประสทิ ธิภาพท่ตี ง้ั ไวเ้ กิน ๒.๕ กใ็ หป้ รบั เกณฑข์ นึ้ ไปอีกหนึง่ ขน้ั แตห่ ากได้คา่ ตำ่ กวา่ คา่ ประสทิ ธภิ าพทตี่ ้ังไว้
ต้องปรับปรงุ และนำไปทดสอบประสิทธภิ าพใช้หลายครั้งในภาคสนามจนไดค้ ่าถงึ เกณฑ์ที่กำหนด

๒.๗.๓.๒ ความหมายของเกณฑป์ ระสิทธภิ าพ
เกณฑ์ประสิทธิภาพหมายถึง ระดับประสิทธิภาพของสื่อหรือชุดการสอนที่จะช่วยให้

ผู้เรียนเกดิ การเปลย่ี นแปลงพฤติกรรม เป็นระดบั ที่ผลิตสอื่ หรือชดุ การสอนจะพึงพอใจว่า หากสือ่ หรือชุด
การสอนมีประสิทธิภาพถึงระดับนนั้ แล้ว สอ่ื หรอื ชดุ การสอนนนั้ ก็มคี ุณคา่ ท่จี ะนำไปสอนนักเรียนและคุ้ม
แก่การลงทุนผลิตออกมาเป็นจำนวนมากการกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพกระทำได้โดยการประเมินผล
พฤติกรรมของผู้เรียน ๒ ประเภท คือพฤตกิ รรมต่อเนอื่ ง (กระบวนการ) กำหนดคา่ ประสทิ ธิภาพเป็น E๑ =

๑๒๘

Efficiency of Process(ประสิทธิภาพของกระบวนการ) และพฤติกรรมสุดท้าย (ผลลัพธ์) กำหนดค่า
ประสิทธภิ าพเป็น E๒ = Efficiency of Product (ประสทิ ธิภาพของผลลพั ธ์)

๑. ประเมินพฤติกรรมต่อเนื่อง (Transitional Behavior) คือประเมินผลต่อเน่ือง
ซ่ึงประกอบด้วย พฤติกรรมย่อยของผู้เรียน เรียกว่า“กระบวนการ” (Process) ที่เกิดจากการประกอบ
กจิ กรรมกลุ่ม ได้แก่ การทำโครงการหรอื ทำรายงานเป็นกลมุ่ และรายงานบุคคล ไดแ้ ก่ งานที่มอบหมายและ
กิจกรรมอื่นใดทผ่ี สู้ อนกำหนดไว้

๒. ประเมนิ พฤติกรรมสดุ ทา้ ย (Terminal Behavior) คอื ประเมินผลลัพธ์ (Product)
ของผู้เรียน โดยพิจารณาจากการสอบหลังเรียนและการสอบไลป่ ระสิทธิภาพของส่ือหรือชุดการสอนจะ
กำหนดเป็นเกณฑ์ที่ผู้สอนคาดหมายวา่ ผู้เรยี นจะเปล่ียนพฤติกรรมเป็นท่ีพึงพอใจ โดยกำหนดให้ของผล
เฉล่ียของคะแนนการทำงานและการประกอบกจิ กรรมของผู้เรียนทั้งหมดต่อร้อยละของผลการประเมิน
หลงั เรียนทง้ั หมด น่ันคือ E๑/E๒ = ประสทิ ธิภาพของกระบวนการ/ประสิทธิภาพของผลลัพธ์

ตัวอยา่ ง ๘๐/๘๐ หมายความเมื่อเรยี นจากส่ือหรอื ชดุ การสอนแลว้ ผูเ้ รยี นจะสามารถ
ทำแบบฝกึ ปฏบิ ตั ิ หรอื งานไดผ้ ลเฉล่ีย ๘๐% และประเมนิ หลงั เรียนและงานสดุ ทา้ ยได้ผลเฉล่ยี ๘๐%

การที่จะกำหนดเกณฑ์ E๑/E๒ ให้มีค่าเท่าใดน้ัน ให้ผู้สอนเป็นผู้พิจารณาตามความ
พอใจโดยพิจารณาพิสัยการเรียนท่ีจำแนกเป็นวิทยพิสัย(Cognitive Domain) จิตพิสัย (Affective
Domain)และทกั ษะพสิ ยั (Skill Domain)

ในขอบขา่ ยวทิ ยพสิ ัย (เดมิ เรยี กวา่ พทุ ธิพสิ ยั ) เนื้อหาทีเ่ ป็นความรู้ความจำมักจะต้ังไว้
สูงสุดแล้วลดต่ำลงมาคอื ๙๐/๙๐ ๘๕/๘๕ ๘๐/๘๐

ส่วนเนื้อหาสาระท่ีเป็นจิตพิสัย จะต้องใช้เวลาไปฝึกฝนและพัฒนา ไม่สามารถทำให้
ถึงเกณฑ์ระดับสูงได้ในห้องเรียนหรือในขณะท่ีเรียน จึงอนุโลมให้ต้ังไว้ต่ำลง นั่นคือ ๘๐/๘๐ ๗๕/๗๕
แต่ไม่ต่ำกว่า ๗๕/๗๕ เพราะเป็นระดับความพอใจต่ำสุด จงึ ไม่ควรตั้งเกณฑ์ไว้ต่ำกว่าน้ี หากต้งั เกณฑ์ไว้
เท่าใด ก็มักไดผ้ ลเท่าน้ัน ดังจะเห็นได้จากระบบการสอนของไทยปัจจุบัน ได้กำหนดเกณฑ์ โดยไม่เขียน
เปน็ ลายลักษณ์อักษรไว้ ๐/๕๐ น่ันคอื ให้ประสิทธิภาพกระบวนการมีค่า ๐ เพราะครมู กั ไมม่ เี กณฑ์เวลา
ในการให้งานหรือแบบฝึกปฏิบัติแก่นักเรียน ส่วนคะแนนผลลัพธ์ท่ีให้ผ่านคือ ๕๐% ผลจึงปรากฏว่า
คะแนนวิชาต่างๆ ของนักเรียนต่ำในทุกวิชา เช่น คะแนนภาษาไทยนักเรียนช้ันประถม ศึกษาปีท่ี ๔
โดยเฉลย่ี แต่ละปเี พียง ๕๑% เทา่ นั้น๒๐๒

๒๐๒ ส ม นึ ก ภั ท ธิย ธนี การวั ดผล การศึ กษ า. (Educational measurement). (พิ ม พ์ ค รั้งท่ี ๑๐ ).
(กาฬสินธ์ุ : ประสานการพมิ พ์, ๒๕๕๘), หนา้ ๑๒๔-๑๒๙.

๑๒๙

๒.๗.๔. วิธีการคำนวณหาประสิทธภิ าพ
วิธกี ารคำนวณหาประสิทธิภาพ กระทำได้ ๒ วธิ ี คือโดยใช้สูตรและโดยการคำนวณธรรมดา

ก. โดยใช้สูตร๒๐๓

สูตรท่ี ๑ การคำนวณหาประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ (E๑)

E1 = X1 x100
NxA

เม่อื E1 คอื ประสิทธภิ าพของกระบวนการ

 X1 คือ คะแนนรวมของแบบฝึกหัดหรอื กิจกรรมในบทเรียน

A คอื คะแนนเต็มของแบบฝึกหัดหรอื กจิ กรรมในบทเรียน

N คือ จำนวนผู้เรยี น

สูตรที่ ๒ การคำนวณหาประสิทธภิ าพของผลลพั ธ์ (E๒)

E2 = F2 x100
NxB

เมื่อ E2 คอื ประสิทธภิ าพของผลลัพธ์
 F2 คือ คะแนนรวมของแบบทดสอบหลงั เรยี น
B คือ คะแนนเตม็ ของแบบทดสอบหลงั เรียน

N คือ จำนวนผเู้ รยี น
การคำนวณหาประสิทธิภาพโดยใช้สูตรดังกล่าวข้างต้น กระทำได้โดยการนำคะแนนรวม
แบบฝกึ ปฏบิ ัติ หรอื ผลงานในขณะประกอบกิจกรรมกลมุ่ /เดยี่ ว และคะแนนสอบหลังเรยี น มาเข้าตาราง
แลว้ จึงคำนวณหาค่า E๑/E๒

ข. โดยใช้วธิ ีการคำนวณโดยไมใ่ ช้สูตร
หากจำสูตรไม่ได้หรือไม่อยากใช้สูตร ผู้ผลิตส่ือหรือชุดการสอนก็สามารถใช้วิธีการ

คำนวณธรรมดาหาค่า E๑ และ E๒ ได้ ด้วยวิธีการคำนวณธรรมดาสำหรับ E๑ คือค่าประสิทธิภาพของ
งานและแบบฝกึ ปฏิบัติ กระทำได้โดยการนำคะแนนงานทุกช้ินของนักเรยี นในแต่ละกิจกรรม แตล่ ะคน
มารวมกนั แล้วหาคา่ เฉล่ียและเทยี บส่วนโดยเป็นร้อยละ สำหรับค่า E๒ คือประสิทธิภาพผลลัพธ์ของการ
ประเมนิ หลังเรียนของแต่ละสอ่ื หรือชดุ การสอน กระทำไดโ้ ดยการเอาคะแนนจากการสอบหลงั เรยี นและ
คะแนนจากงานสดุ ทา้ ยของนกั เรยี นทั้งหมดรวมกันหาคา่ เฉลี่ยแลว้ เทียบส่วนรอ้ ย เพือ่ หาค่าร้อยละ

๒๐๓ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ . การทดสอบประสิ ทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน (Developmental Testing
of Media and Instructional Package). วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย, หนา้ ๗-๒๐.

๑๓๐

๒.๗.๕ การตคี วามหมายผลการคำนวณ
หลงั จากคำนวณหาค่า E๑ และ E๒ ได้แล้วผู้หาประสิทธิภาพตอ้ งตีความหมายของผลลัพธ์
โดยยดึ หลกั การและแนวทางดงั นี้
๑. ความคลาดเคล่ือนของผลลัพธ์ ใหม้ ีความคลาดเคลื่อนหรือความแปรปรวนของผลลัพธ์
ไดไ้ มเ่ กนิ .๐๕ (ร้อยละ ๕) จากช่วงต่ำไปสูง=๒.๕ นั่นให้ผลลัพธ์ของค่า E๑ หรือ E๒ ที่ถือว่า เป็นไปตาม
เกณฑ์ มีค่าต่ำกว่าเกณฑ์ ไม่เกิน ๒.๕% และสูงกว่าเกณฑ์ทีต่ งั้ ไวไ้ ม่เกิน ๒.๕% หากคะแนน E๑ หรอื E๒
ห่างกันเกิน ๕% แสดงว่า กิจกรรมท่ีให้นักเรียนทำกับการสอบหลังเรียนไม่สมดุลกัน เช่น ค่า E๑
มากกว่า E๒ แสดงวา่ งานท่ีมอบหมายอาจจะงา่ ยกว่า การสอบ หรือหากคา่ E๒ มากกวา่ ค่า E๑ แสดงว่า
การสอบง่ายกว่าหรอื ไม่สมดุลกับงานที่มอบหมายให้ทำจำเป็นท่ีจะต้องปรับแก้หากสอื่ หรือชุดการสอน
ได้รับการออกแบบและพัฒนาอย่างดีมีคุณภาพ ค่า E๑ หรือ E๒ ท่ีคำนวณได้จากการทดสอบ
ประสิทธิภาพ จะต้องใกล้เคียงกันและห่างกันไม่เกิน ๕% ซึ่งเป็นตัวช้ีท่ีจะยืนยันได้ว่า นักเรียนได้มีการ
เปล่ียนพฤติกรรมต่อเนื่องตามลำดับขั้นหรือไม่ ก่อนที่จะมีการเปล่ียนพฤติกรรมขั้นสุดท้ายหรืออีกนัย
หนึง่ ตอ้ งประกนั ได้วา่ นักเรียนมีความรู้จรงิ ไมใ่ ช่ทำกจิ กรรมหรือทำสอบได้เพราะการเดาการประเมินใน
อนาคตจะเสนอผลการประเมินเป็นเลขสองตัว คือ E๑ คู่ E๒ เพราะจะทำให้ผู้อ่านผลการประเมินทราบ
ลักษณะนิสัยของผู้เรียนระหว่างนิสัยในการทำงานอย่างต่อเน่ือง คงเส้นคงวาหรือไม่ (ดูจากค่า E๑ คือ
กระบวนการ) กับการทำงานสุดท้ายว่ามีคุณภาพมากน้อยเพียงใด (ดูจากค่า E๒ คือกระบวนการ) เพื่อ
ประโยชน์ของการกล่ันกรองบุคลากรเขา้ ทำงาน
ตัวอย่าง นักเรียนสองคนคือเกษมกับปรีชา เกษม ได้ผลลัพธ์ E๑/E๒ =๗๘.๕๐/๘๒.๕๐
ส่วนปรชี า ได้ผลลัพธ์ ๘๒.๕๐/๗๘.๕๐ แสดงว่านักเรียนคนแรกคือเกษม ทำงานและแบบฝกึ ปฏิบัตทิ ้ังปี
ได้ ๗๘% และสอบไล่ได้ ๘๓% จะเห็นว่า จะมีลักษณะนิสัยท่ีเป็นกระบวนการสู้นักเรียนคนที่สอง คือ
ปรีชาทไี่ ดผ้ ลลัพธ์ E๑/E๒ =๘๒.๕๐/๗๘.๕๐ ไมไ่ ด้

๒.๗.๖ ขั้นตอนการทดสอบประสทิ ธิภาพ
เม่ือผลิตสื่อ หรือชุดการสอนขึ้นเป็นต้นแบบแล้ว ต้องนำสื่อ หรือชุดการสอนนั้น
ไปหาประสทิ ธิภาพ ตามขน้ั ตอนต่อไปน้ี๒๐๔
ก. การทดสอบประสิทธิภาพแบบเด่ียว (๑:๑) เป็นการทดสอบประสิทธิภาพที่ผู้สอน
๑ คน ทดสอบประสิทธิภาพส่ือหรือชุดการสอนกับผู้เรียน ๑-๓ คน โดยใช้เด็กอ่อน ปานกลาง และ
เด็กเก่ง ระหว่างทดสอบประสิทธิภาพ ให้จับเวลาในการประกอบกิจกรรม สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน
ว่า หงุดหงิด หรือทำท่าทางไม่เข้าใจหรอื ไม่ ประเมินการเรียนจากกระบวนการ คือกิจกรรมหรือภารกิจ
และงานท่ีมอบใหท้ ำและทดสอบหลังเรยี น นำคะแนนมาคำนวณหาประสิทธิภาพ หากไม่ถึงเกณฑ์ต้อง

๒๐๔ อ้างแล้ว, ชัยยงค์ พรหมวงศ์. การทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน (Developmental Testingof
Media and Instructional Package). วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจยั , หนา้ ๗-๒๐.

๑๓๑

ปรับปรุงเนื้อหาสาระ กจิ กรรมระหว่างเรียนและแบบทดสอบหลังเรียนให้ดีขึ้น โดยปกตคิ ะแนนทีไ่ ด้จาก
การทดสอบประสิทธิภาพแบบเดี่ยวนี้จะได้คะแนนต่ำว่าเกณฑ์มาก แต่ไม่ต้องวิตกเม่ือปรับปรุงแล้ว
จะสงู ข้นึ มาก กอ่ นนำไปทดสอบประสิทธภิ าพแบบกลมุ่ ท้งั น้ี E๑/E๒ ท่ไี ดจ้ ะมคี ่าประมาณ ๖๐/๖๐

ข. การทดสอบประสิทธิภาพแบบกลุ่ม (๑:๑๐) เป็นการทดสอบประสิทธิภาพที่ผู้สอน
๑ คน ทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือแผนการจัดการเรียนรู้กับผู้เรียน ๖–๑๐ คน (คละผู้เรียนที่เก่ง ปาน
กลางกับอ่อน) ระหว่างทดสอบประสทิ ธิภาพ ให้จับเวลาในการประกอบกิจกรรม สังเกตพฤติกรรมของ
ผู้เรียนว่า หงุดหงิด หรือทำท่าทางไม่เข้าใจหรือไม่ หลังจากทดสอบประสิทธิภาพให้ประเมินการเรียน
จากกระบวนการ คือกิจกรรมหรือภารกิจและงานท่ีมอบให้ทำและประเมินผลลัพธ์คือการทดสอบหลัง
เรียนและงานสุดท้ายท่ีมอบให้นักเรียนทำส่งก่อนสอบประจำหน่วย ให้นำคะแนนมาคำนวณหา
ประสทิ ธิภาพหากไมถ่ ึงเกณฑ์ตอ้ งปรับปรุงเนอ้ื หาสาระ กิจกรรมระหว่างเรยี นและแบบทดสอบหลังเรยี น
ใหด้ ีขึ้นคำนวณหาประสิทธิภาพแล้วปรับปรุง ในคราวนี้คะแนนของผู้เรยี นจะเพิ่มข้ึนอีกเกือบเท่าเกณฑ์
โดยเฉล่ียจะห่างจากเกณฑ์ประมาณ ๑๐% น่ันคอื E๑/E๒ ที่ไดจ้ ะมีคา่ ประมาณ ๗๐/๗๐

ค. การทดสอบประสิทธิภาพภาคสนาม (๑:๑๐๐) เป็นการทดสอบประสทิ ธิภาพท่ีผสู้ อน ๑
คน ทดสอบประสทิ ธิภาพสอ่ื หรอื ชุดการสอนกับผเู้ รียนท้ังชั้น ระหว่างทดสอบประสทิ ธิภาพให้จับเวลาใน
การประกอบกจิ กรรม สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนว่า หงดุ หงิด หรอื ทำทา่ ทางไม่เขา้ ใจหรือไม่ หลังจาก
ทดสอบประสิทธิภาพภาคสนามแล้วให้ประเมินการเรียนจากกระบวนการ คือกิจกรรมหรือภารกิจและ
งานที่มอบให้ทำและทดสอบหลังเรียนนำคะแนนมาคำนวณหาประสิทธิภาพ หากไม่ถึงเกณฑ์ต้อง
ปรับปรุงเนื้อหาสาระ กิจกรรมระหว่างเรียนและแบบทดสอบหลังเรียนให้ดีขึ้น แล้วนำไปทดสอบ
ประสิทธิภาพภาคสนามซ้ำกับนักเรียนต่างกลุ่ม อาจทดสอบประสิทธิภาพ ๒-๓ ครั้ง จนได้ค่า
ประสิทธิภาพถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ ปกติไม่น่าจะทดสอบประสิทธิภาพเกินสามครั้ง ด้วยเหตุน้ี ขั้นทดสอบ
ประสิทธิภาพภาคสนามจงึ แทนด้วย ๑:๑๐๐

ผลลัพธ์ท่ีได้จากการทดสอบประสิทธิภาพภาคสนาม ควรใกล้เคียงกัน เกณฑ์ท่ีต้ังไว้ หาก
ต่ำจากเกณฑ์ไม่เกิน ๒.๕% ก็ให้ยอมรับว่า สื่อหรือชุดการสอนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ท่ีตั้งไว้ หาก
ค่าท่ีได้ต่ำกว่าเกณฑ์มากกว่า -๒.๕ ให้ปรับปรุงและทดสอบประสิทธิภาพภาคสนามซ้ำจนกว่าจะถึง
เกณฑ์ จะหยุดปรับปรุงแล้วสรุปว่า ชุดการสอนไม่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ต้ังไว้หรือจะลดเกณฑ์ลง
เพราะ“ถอดใจ” หรือยอมแพ้ไม่ได้ หากสูงกว่าเกณฑ์ ไม่เกิน +๒.๕ ก็ยอมรับว่า สื่อหรือชุดการสอนมี
ประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ท่ีตั้งไว้ หากค่าท่ไี ดส้ ูงกว่าเกณฑ์เกนิ +๒.๕ ให้ปรบั เกณฑ์ขึ้นไปอีกหนงึ่ ขั้น เช่น
ตง้ั ไว้ ๘๐/๘๐ กใ็ หป้ รบั ข้ึนเปน็ ๘๕/๘๕ หรอื ๙๐/๙๐ ตามคา่ ประสิทธภิ าพท่ีทดสอบประสิทธภิ าพได้

ตวั อย่าง เมื่อทดสอบหาประสิทธิภาพแล้วได้ ๘๓.๕/๘๕.๔ กแ็ สดงวา่ ส่ือหรือชุดการสอน
นนั้ มีประสิทธิภาพ ๘๓.๕/๘๕.๔ ใกล้เคียงกบั เกณฑ์ ๘๕/๘๕ ที่ตงั้ ไว้ แตถ่ ้าตั้งเกณฑ์ไว้ ๗๕/๗๕ เม่ือผล
การทดสอบประสิทธภิ าพเป็น ๘๓.๕/๘๕.๔ ก็อาจเล่อื นเกณฑข์ ้ึนมาเป็น ๘๕/๘๕ ได้


Click to View FlipBook Version