The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Jadsada Ratniyom, 2021-09-27 05:14:44

ตำราเคมีอินทรีย์ [Jadsada Ratniyom]

บทที่ 13
อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก





13.1 บทนำ
กรดคาร์บอกซิลิกมีอนุพันธ์หลายชนิด โดยเมื่อหมู่ OH ใน COOH ถูกแทนที่ด้วยอะตอมหรือ


หมู่แทนที่ต่าง ๆ ก็จะเป็นอนุพนธ์ต่างชนิดกัน ซึ่งจะเขียนสูตรทั่วไปของกรดคาร์บอกซิลิกและอนุพนธ์

ของกรดคาร์บอกซิลิกได้ R-COZ ดังแสดงในตารางที่ 13.1

ตารางที่ 13.1 สูตรทั่วไปและโครงสร้างของอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก


Z โครงสร้าง/ชื่อสาร


OH





Cl





OCOR'





OR'





NR2





จากตารางที่ 13.1 กรดคาร์บอกซิลิกและอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกจะมีหมู่ acyl (RCO-)
เชื่อมพันธะกับอะตอมที่มีค่า EN สูง จึงสามารถแทนด้วยสูตรทั่วไปได้ RCOZ เมื่อหมู่ Z แทนด้วย
อะตอมของ Cl จะเรียกอนุพันธ์นั้นว่า แอซิดคลอไรด์ (acid chloride) เมื่อ Z แทนด้วย OCOR’ จะ
เรียกอนุพันธ์นั้นว่า แอซิดแอนไฮไดรด์ (acid anhydride) หาก Z แทนด้วยหมู่ OR' จะเรียกว่า

724 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก


เอสเทอร์ ถ้าแทนด้วย NR2 จะเรียกว่า เอไมด์ (amide) โดยจะแสดงตัวอย่างของอนุพันธ์แต่ละชนิด
ดังต่อไปนี้

[1] แอซิดคลอไรด์

แอซิดคลอไรด์ คือ อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกที่มี Cl อะตอมมาแทนที่หมู่ OH
สามารถเตรียมได้จากการให้กรดคาร์บอกซิลิกทำปฏิกิริยากับ SOCl2 (รายละเอียดแสดงใน
หัวข้อ 12.6.2) ตัวอย่างสารประกอบแอซิดคลอไรด์ ดังแสดง










[2] แอซิดแอนไฮไดรด์
แอซิดแอนไฮไดรด์ เป็นอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกที่มี หมู่คาร์บอนิลสองหมู่เชื่อม
พันธะด้วยออกซิเจนอะตอม โดยหมู่อัลคิลทั้งสองหมู่ในแอซิดแอนไฮไดรด์อาจจะเหมือน

หรือไม่เหมือนกันก็ได้ แต่หากแอซิดแอนไฮไดรด์มีโครงสร้างเป็นวง จะเรียกว่า cyclic
anhydride ตัวอย่างของแอซิดแอนไฮไดรด์ ดังแสดง











หมู่อัลคิลทั้ง 2 หมู่เหมือนกัน หมู่อัลคิลทั้ง 2 หมู่ต่างกัน


[3] เอสเทอร์
เอสเทอร์เป็นอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกที่มี หมู่คาร์บอนิล เชื่อมพันธะกับ OR

สามารถเตรียมได้จากปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน (หัวข้อ 12.6.4) ระหว่างกรดคาร์บอกซิลิก
และแอลกอฮอล์ ตัวอย่างเอสเทอร์ ดังแสดง










เอสเทอร์ที่มีโครงสร้างเป็นวงจะมีชื่อเรียกเฉพาะว่า แลคโทน (lactone) โดยจะ

เรียกแลคโทนตามขนาดของวง โดยกำหนดเป็น อลฟา (), เบตา () และ แกมมา () เช่น


เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 725


แลคโทนที่เป็นวง 5 เหลี่ยมจะเรียกว่า -แลคโทน เพราะไล่ลำดับจากคาร์บอนอะตอมที่ติด
กับหมู่คาร์บอนิล ไล่ลำดับของคาร์บอนอะตอมไป จนตัวสุดท้ายอยู่ตำแหน่งแกมมา ดังแสดง












[4] เอไมด์
เอไมด์ จะมีหมู่คาร์บอนิลเชื่อมพันธะกับไนโตรเจนอะตอม โดยสารประกอบเอไมด์นี้
จะแบ่งออกได้เป็นสามชนิดตามหมู่แทนที่ที่มาเกาะที่ไนโตรเจนอะตอม ถ้าตรงไนโตรเจน

อะตอมไม่มีหมู่อัลคิล (หมู่ R) ใดมาเกาะ มีแต่ H มาเกาะจะเรียกว่า 1˚ เอไมด์ (primary
amide) ถ้ามีหมู่อัลคิลมาเกาะหนึ่งหมู่จะเรียกว่า 2˚ เอไมด์ (secondary amide) และถ้า
มีหมู่อัลคิลเกาะถึงสองหมู่จะเรียกว่า 3˚ เอไมด์ (tertiary amide) ดังแสดง
















เอไมด์ที่มีโครงสร้างเป็นวงจะมีชื่อเรียกเฉพาะว่า แลคแทม (lactam) โดยจะเรียก

แลคแทมตามขนาดของวง เช่น แลคแทมที่เป็นวง 4 เหลี่ยมจะเรียกว่า -แลคแทม (ไล่ลำดับ
เหมือนดังในกรณีของ แลคโทน) และ แลคแทมที่เป็นวง 5 เหลี่ยมจะเรียกว่า -แลคแทม












[5] ไนไทรล์

อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกอีกตัวหนึ่งที่จะกล่าวถึงคือ ไนไทรล์ (nitriles) ไน-

ไทรล์เป็นสารประกอบที่มีหมู่ C≡N เกาะอยู่กับหมู่อัลคิล จะมีโครงสร้างแตกต่างจากอนุพนธ์
ของกรดคาร์บอกซิลิกโดยทั่วไปคือไม่มีหมู่คาร์บอนิล แต่ก็มี oxidation state เสมือนหมู่

726 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก


คาร์บอนิล ดังนั้นคุณสมบัติทางเคมีจึงใกล้เคียงกับอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก กล่าวคือ
คาร์บอนอะตอมของหมู่คาร์บอนิลเชื่อมพันธะ 3 พันธะกับอะตอมที่มีค่า EN สูง คาร์บอน
อะตอมของหมู่ CN ก็เชื่อม 3 พันธะกับอะตอมที่มีค่า EN สูงเช่นกัน ดังแสดง











คาร์บอนอะตอมทั้งสอง มี 3 พันธะเชื่อม

พันธะกับอะตอมที่มี EN สูงเหมือนกัน

ตัวอย่างสารประกอบไนไทรล์ ดังแสดง







ตัวอย่างที่ 13.1 | อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก

โจทย จงระบุชนิดของเอไมด์ทั้งหมด จากโครงสร้างสาร amoxicillin นี้














วิธีคิด เฉลยคำตอบดังแสดง

เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 727


13.2 โครงสร้างและการสร้างพันธะของอนุพันธ์ของคาร์บอกซิลิก
โครงสร้างของกรดคาร์บอกซิลิกและอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกมีหมู่ที่เหมือนกันคือ หมู่
2
คาร์บอนิล (C=O) คาร์บอนอะตอมของหมู่คาร์บอนิลมีไฮบริดไดเซชันแบบ sp จึงมีรูปร่างโมเลกุลเป็น
สามเหลี่ยมแบนราบ เนื่องด้วยคาร์บอนอะตอมอยู่ติดกับออกซิเจนอะตอมที่มีค่า EN สูง จึงดึง
อิเล็กตรอนจากคาร์บอนทำให้คาร์บอนโพลาร์ไรซ์ขั้วบวก ออกซิเจนอะตอมโพลาร์ไรซ์ขั้วลบ ดังแสดง
ในภาพที่ 13.1(a) ส่วนภาพที่ 13.1 (b) แสดงความหนาแน่นของอิเล็กตรอนของอนุพันธ์ของกรดคาร์-
บอกซิลิก


(a)















(b)






แอซิดคลอไรด เอสเทอร์ เอไมด์


ภาพที่ 13.1 (a) โครงสร้างของหมู่คาร์บอนิล (b) ความหนาแน่นของอิเล็กตรอนของอนุพนธ์ของกรด

คาร์บอกซิลิก
ปรับปรุงจาก: Smith, J. (2010). Organic Chemistry: McGraw-Hill Education.

เมื่อสูตรทั่วไปของกรดคาร์บอกซิลิกและอนุพันธ์เขียนได้เป็น R-COZ เมื่อ Z เป็นอะตอมที่มี
อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวอยู่ ดังแสดงในตารางที่ 13.1 RCOZ สามารถเขียนโครงสร้างเรโซแนนซ์ได้สาม

โครงสร้าง ซึ่งจะได้ความเสถียรอันเป็นผลจากจากการกระจายตัวของอิเล็กตรอน ดังแสดง

728 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก



ิ่
จากโครงสร้างเรโซแนนซ์ของ RCOZ ที่แสดงจะเห็นว่า Z มีบทบาทสำคัญในการช่วยเพมความเสถียร
ของอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก กล่าวคือ ถ้า Z มีความเป็นเบสมาก (ความเป็นเบสคือความสามารถ
ในการให้อิเล็กตรอน) ก็จะสามารถให้อิเล็กตรอนไปช่วยลดความเป็นบวกของคาร์บอนได้มาก สาร

RCOZ จะเสถียรมากเมื่อ Z ให้อิเล็กตรอนได้ดี (เป็นเบสมาก) ในการเรียงลำดับความเป็นเบสของ Z
-
เราจะพิจารณาจากค่า pKa ของคู่กรดของเบส Z ดังแสดงในตารางที่ 13.2


ตารางที่ 13.2 ค่า pKa ของคู่กรด (HZ) ของหมู่ Z ในสูตร R-COZ
โครงสร้าง Z คู่กรด (HZ) pKa
-
RCOCl Cl HCl -7

แอซดคลอไรด์ RCOO RCOOH

ความเป็นเบสของ Z - เพิ่มขึ้น แอซดแอนไฮไดรด์ – OH H2O 3-5 ความเป็นกรดของ HZ เพิ่มขึ้น
(RCO)2O


RCOOH
15.7
กรดคาร์บอกซิลิก

RCOOR'
เอสเทอร์ – OR' R'OH 15.5-18

RCONR'2
เอไมด์ – NR2' HNR2' 38-40

ปรับปรงจาก: Smith, J. (2010). Organic Chemistry: McGraw-Hill Education.


จากตารางที่ 13.2 จะเห็นว่าความเป็นเบสของ Z เรียงลำดับดังนี้
-




– NR2' > OR' ≈ OH > RCOO > Cl

เนื่องด้วยความเป็นเบสของ Z สามารถใช้ในการตัดสินความเสถียรของกรดคาร์บอกซิลิกและอนุพนธ์
ของกรดคาร์บอกซิลิกได้ ดังนั้น หากอะตอมใดให้อิเล็กตรอนได้ดีอนุพันธ์นั้นจะเสถียรมาก จากลำดับ
ความเป็นเบสทำให้ลำดับความเสถียรสามารถแสดงได้ดังนี้








เสถียรน้อยสุด เสถียรมากสุด
เสถียรเท่ากัน



ความเสถียรเพิ่มขึ้น

เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 729


สำหรับโครงสร้างและการสร้างพันธะของสารประกอบไนไทรล์นั้น จะต่างจากกรดคาร์บอกซิ-
ลิก โดยคาร์บอนอะตอมในหมู่ CN จะมีไฮบริดไดเซชันแบบ sp สร้างพันธะสามกับไนโตรเจนอะตอม
ประกอบด้วยพันธะซิกมา 1 พันธะ พันธะไพน์ 2 พันธะ และมีรูปร่างโมเลกุลเป็นเส้นตรง แต่เนื่องจาก
คาร์บอนอะตอมในหมู่ CN อยู่ติดกับไนโตรเจนอะตอมที่มีค่า EN สูงจึงทำให้คาร์บอนอะตอมในหมู่

CN มีความอิเล็กโทรฟิลิกสูง (สามารถทำปฏิกิริยากับนิวคลีโอไฟล์ได้ดี) ดังแสดงในภาพที่ 13.2













ความหนาแน่นของอิเล็กตรอนของ CH3CN

ภาพที่ 13.2 โครงสร้างและการสร้างพันธะของสารประกอบไนไทรล์
ปรับปรุงจาก: Smith, J. (2010). Organic Chemistry: McGraw-Hill Education.


13.3 สมบัติทางกายภาพของอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก

อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกทุกตัวจัดเป็นโมเลกุลมีขั้ว เพราะหมู่คาร์บอนิลเป็นส่วนที่มีขั้ว
ทำให้ อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกทุกตัวมีแรงระหว่างโมเลกุลที่แข็งแรงที่สุดเป็น แรง dipole-

dipole ยกเว้นแต่ 1˚ และ 2˚ เอไมด์ ที่มี H อะตอมเกาะกับ N อะตอม จึงสามารถเกิดพันธะ
ไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุลได้ ดังแสดง









พันธะไฮโดรเจน


ดังนั้น ในบรรดาอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก เอไมด์จะมีจุดเดือดสูงที่สุด ส่วนตัวอื่น ๆ เช่น เอสเทอร์
แอซิดคลอไรด์ จะมีจุดเดือดใกล้เคียงกันในกรณีที่มวลโมเลกุลเท่ากัน ยกตัวอย่างเช่น หาก
เปรียบเทียบจุดเดือดของ เอไมด์ เอสเทอร์ และแอซิดคลอไรด์ โดยสารทุกตัวมีมวลโมเลกุลอยู่ในช่วง

ใกล้เคียงกัน ประมาณ 73-78 ได้ผลดังแสดง

730 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก








แรง dipole-dipole แรง dipole-dipole พันธะไฮโดรเจน,
และแรงลอนดอน และแรงลอนดอน แรง dipole-dipole, และแรงลอนดอน
มวลโมเลกุล 73
มวลโมเลกุล 78.5 มวลโมเลกุล 74 จุดเดือด 213 ˚C
จุดเดือด 58 ˚C
จุดเดือด 52 ˚C

จุดเดือดใกล้เคียงกัน จุดเดือดสูงที่สุด



จะเห็นว่าแอซิดคลอไรด์และเอสเทอร์มีแรงระหว่างโมเลกุลเป็น แรง dipole-dipole และแรง
ลอนดอน ที่มวลโมเลกุลใกล้เคียงกันจุดเดือดของสารทั้งสองชนิดใกล้เคียงกัน ส่วนเอไมด์มีพันธะ
ไฮโดรเจนจึงมีจุดเดือดสูงที่สุด
อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกส่วนใหญ่ละลายในตัวทำละลายอินทรีย์ แต่เอสเทอร์ เอไมด์ ที่

มีจำนวนคาร์บอนอะตอมไม่เกิน 5 อะตอมจะยังสามารถละลายน้ำได้บ้าง เช่น acetamide และ
methyl acetate เป็นต้น



13.4 เอสเทอร์และเอไมด์ที่น่าสนใจ

อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก ที่มักพบเจอในชีวิตประจำวัน ส่วนใหญ่จะเป็นเอสเทอร์และเอ-
ไมด์ บางตัวใช้เป็นสารออกฤทธิ์ในเครื่องสำอาง หรือบางตัวมีประโยชน์ทางยา


13.4.1 วิตามินซีหรือกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic acid)
วิตามินซีหรือกรดแอสคอร์บิก จัดเป็นสารประเภทเอสเทอร์ เพราะมีหมู่ COOR หรือ
หากจำแนกให้ลึกลงไปก็จะเป็นแลคโทน (โครงสร้างแสดงในภาพที่ 13.3) จากหลักฐานทางวิชาการ
วิตามินซีในรูปของ กรดแอสคอร์บิก มีประโยชน์ต่อผิวพรรณเป็นอย่างมาก อาทิ มีฤทธิ์ช่วยบำรุงให้ผิว

ขาวใส ต่อต้านอนุมูลอิสระ (anti-aging) ได้เป็นอย่างดี (Farris, 2005; Pinnell et al., 2001) ผลัด
เซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ และยังมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจน ด้วยคุณสมบัติครบเครื่องเหล่านี้
จึงมักเห็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในท้องตลาดส่วนใหญ่เคลมว่ามีส่วนผสมของวิตามินซี ตัววิตามินซีเองจะ
สามารถละลายได้ดีในน้ำ แต่เมื่อละลายน้ำแล้วจะไม่เสถียร จะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็น 2,3-

diketogulonic acid (DKGA) (เจษฎา ราษฎร์นิยม, 2559) ซึ่งเป็นสารที่มีสีเหลืองเข้ม เป็นสารที่ไม่
ออกฤทธิ์ทางชีวภาพและไม่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ หากผู้บริโภคซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสม
ของวิตามินซีและมีสีเหลืองเข้มให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ตัววิตามินซีที่เป็นสารออกฤทธิ์หลักในครีม
บำรุงผิวนั้นเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว (บางแบรนด์จะใส่สีเหลืองไว้ผลิตภัณฑ์อยู่ก่อนแล้ว เพอไม่ให้ผู้บริโภค
ื่
ทราบได้ว่าสีเหลืองนี้เป็นสีดั้งเดิมของครีมนั้นหรือเกิดจากการเสื่อมสภาพของวิตามินซี ซึ่งการกระทำ
เช่นนี้ถื่อเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างมาก) ด้วยข้อจำกัดนี้ บริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอางจึงพยายาม

เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 731


วิจัยและคิดค้นวิธีการชะลอการสลายตัวของกรดแอสคอร์บิกออกไปให้ได้มากสุด บริษัท
SkinCeuticals (บริษัทผลิตเครื่องสำอางรายใหญ่แต่ปัจจุบันอยู่ภายใต้การจัดการของ L'Oreal
Group) ได้คิดค้นและจดสิทธิบัตร (Zielinski, 2005) วิธีการชะลอการเสื่อมสภาพของวิตามินซีได้ โดย
ใช้ ferulic acid ปริมาณ 0.5% ผสมร่วมกับวิตามินซี ซึ่งจะช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของวิตามินซีได้












Vitamin C
serum


ภาพที่ 13.3 โครงสร้างของวิตามินซีในรูปของกรดแอสคอร์บิก


13.4.2 Niacinamide หรือ วิตามินบี 3
Niacinamide หรือรู้จักในชื่อ วิตามินบี 3 (โครงสร้างแสดงในภาพ 13.4) จัดเป็นสาร
ประเภทเอไมด์ มีสรรพคุณต่อผิวพรรณหลากหลาย เช่น ช่วยลดเลือนริ้วรอยกระตุ้นการสร้างคอลลา-
เจนใต้ผิวหนัง ช่วยลดการระคายเคืองต่าง ๆ และช่วยควบคุมความมันส่วนเกิน (Draelos, 2016) อน

เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว เนื่องจากประโยชน์ที่ครอบคลุมในวงกว้าง วิตามินบี 3 จึงมักใช้ผสมใน
เครื่องสำอางจำพวกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ จนกระทั่งในปี คศ. 2013 Shahmoradi และคณะ
(2013) ได้ศึกษางานวิจัยเปรียบเทียบประสิทธิภาพของ niacinamide กับยารักษาสิว clindamycin
เจล โดยค้นพบว่า 5% niacinamide มีประสิทธิภาพในการรักษาสิวเทียบเท่ากับ 2% clindamycin














ภาพที่ 13.4 โครงสร้างของ niacinamide

732 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก


13.5 การเตรียมอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก
อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกส่วนใหญ่มาจากกรดคาร์บอกซิลิก ซึ่งในบทที่ 12 ได้กล่าวถึง
การเปลี่ยนกรดคาร์บอกซิลิก ให้กลายเป็นอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกไว้แล้ว ดังนั้นในหัวข้อนี้จะ

แสดงสรุปปฏิกิริยาการเปลี่ยนกรดคาร์บอกซิลิกไปเป็นอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกต่าง ๆ

ตารางที่ 13.3 สรุปปฏิกิริยาการเปลี่ยนกรดคาร์บอกซิลิกไปเป็นอนุพันธ์ต่าง ๆ ของกรดคาร์บอกซิลิก


[1] ปฏิกิริยาการเปลี่ยนกรดคาร ์
บอกซิลิกไปเป็นแอซิดคลอไรด ์
(หัวข้อ 12.6.2)




[2] ปฏิกิริยาการเปลี่ยนกรดคาร ์
บอกซิลิกไปเป็นแอซิดแอนไฮไดรด ์
(หัวข้อ 12.6.3)


[3] การเปลี่ยน COOH เป็น
COOR (Fisher เอสเทอริฟิเคชัน)
(หัวข้อ 12.6.4)

[4] ปฏิกิริยาการเปลี่ยนกรดคาร ์
บอกซิลิกไปเป็นเอไมด์
(หัวข้อ 12.6.5)





13.6 บทนำปฏิกิริยาของอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก
ในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงปฏิกิริยาและกลไกโดยทั่วไปของอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก โดยจุดที่

อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก (RCOZ) จะเกิดปฏิกิริยาแทนที่ด้วยนิวคลีโอไฟล์ ปฏิกิริยาสุทธิเสมือน
นิวคลีโอไฟล์ (:Nu) แทนที่ Z แล้ว Z จะหลุดออกมาเป็น leaving group ดังแสดง

เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 733


❑ อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกเกิดปฏิกิริยากับนิวคลีโอไฟล์ได้ เพราะคาร์บอนในหมู่คาร์บอ
นิลอิเล็กโทรฟิลิกมาก

❑ อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก จะเกิดปฏิกิริยาแทนที่ด้วยนิวคลีโอไฟล์ (ไมเกิดปฏิกิริยาการ
เติม) เพราะมีหมู่ที่ติดกับคาร์บอนิลเป็น leaving group


กลไกการเกิดปฏิกิริยาการแทนที่ด้วยนิวคลีโอไฟล์ของอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกจะ
เกี่ยวข้องกับสองขั้นตอนใหญ่ ๆ คือ นิวคลีโอไฟล์เข้าชนที่คาร์บอนอะตอมของหมู่คาร์บอนิล (step
[1]) และขั้นที่สองเกี่ยวข้องกับการขจัด Z ออกเป็น leaving group (step [2]) ดังแสดงภาพที่ 13.5


Mechanism 13.5 | กลไกทั่วไปของการเกิดปฏิกิริยาการแทนที่ด้วยนิวคลีโอไฟล์ของอนุพันธ์
ของกรดคาร์บอกซิลิก



















ภาพที่ 13.5 กลไกทั่วไปของการเกิดปฏิกิริยาการแทนที่ด้วยนิวคลีโอไฟล์ของอนุพันธ์ของกรดคาร์
บอกซิลิก


13.6.1 การทำนายสารผลิตภัณฑ์ของปฏิกิริยาการแทนที่ด้วยนิวคลีโอไฟล์ของอนุพันธ์
ของกรดคาร์บอกซิลิก
พิจารณาตัวอย่างปฏิกิริยาการแทนที่ด้วยนิวคลีโอไฟล์ของอนุพันธ์ของกรดคาร์บอก

ซิลิกที่แสดงด้านล่างจะเห็นว่าเป็นการเปลี่ยนจากอนุพันธ์หนึ่งของกรดคาร์บอกซิลิกไปเป็นอกอนุพนธ์

2
หนึ่งของกรดคาร์บอกซิลิก โดยนิวคลีโอไฟล์จะเข้าไปแทนที่ leaving group ซึ่งมักอยู่ติดกับ sp
ไฮบริดออร์บิทัลของคาร์บอนอะตอม ดังแสดง

734 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก















ในการทำนายสารผลิตภัณฑ์ที่จะเกิดขึ้นของปฏิกิริยาการแทนที่ด้วยนิวคลีโอไฟล์นี้จะมีหลักการ ดังนี้
2
[1] หาคาร์บอนอะตอมที่เป็น sp ไฮบริดไดเซชันคาร์บอนอะตอมที่ต่อกับ leaving group
[2] ระบุตัวที่ทำหน้าที่เป็นนิวคลีโอไฟล์ ตัวนิวคลีโอไฟล์ที่มักเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยานี้ มักใช้

ไนโตรเจนและออกซิเจนนิวคลีโอไฟล์ ดังแสดง












[3] แทนที่ leaving group ด้วยนิวคลีโอไฟล์ หากนิวคลีโอไฟล์ใดที่เป็นกลางให้ขจัดโปรตอนออก
เพื่อให้สารผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นเป็นกลางไม่ติดประจุ พิจารณาเพิ่มเติมจากตัวอย่างที่ 13.2


ตัวอย่างที่ 13.2 | การทำนายสารผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากปฏิกิริยาการแทนที่ด้วยนิวคลีโอไฟล์ของ
อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก
โจทย จงใช้หลักการทำนายสารผลิตภัณฑจากปฏิกิริยาการแทนที่ด้วยนิวคลีโอไฟล์ของอนุพันธ์


ในการทำนายสารผลิตภัณฑ์จากปฏิกิริยาต่อไปนี้





2
วิธีคิด [1] หาคาร์บอนอะตอมที่เป็น sp ไฮบริดไดเซชัน







[2] ระบุตัวที่ทำหน้าที่เป็นนิวคลีโอไฟล์ ในกรณีนี้ CH3OH ทำหน้าที่เป็นนิวคลีโอไฟล์
เพราะมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวที่สามารถให้อิเล็กตรอนได้ที่หมู่ OH ดังแสดง

เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 735


ตัวอย่างที่ 13.2 | การทำนายสารผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากปฏิกิริยาการแทนที่ด้วยนิวคลีโอไฟล์ของ
อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก (ต่อ)

อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว


[3] แทนที่ leaving group ด้วยนิวคลีโอไฟล์ แต่กรณีนี้ CH3OH เป็นนิวคลีโอไฟล์ที่เป็น
กลางต้องลบ H ของ CH3OH ออกก่อน และ leaving group ในกรณีนี้ คือ Cl ดังนั้น

เขียน CH3O แทนที่ Cl จะได้









13.6.2 ความว่องไวของอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกต่อปฏิกิริยาการแทนที่ด้วย

นิวคลีโอไฟล์
ความว่องไวของอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกต่อปฏิกิริยาการแทนที่ด้วยนิวคลีโอ-
ไฟล์ขึ้นอยู่กับความเป็น leaving group ที่ดีของหมู่ Z กล่าวคือสารที่ว่องไวต่อปฏิกิริยาแทนที่ด้วย
นิวคลีโอไฟล์ต้องมี Z เป็น leaving group ที่ดี สาเหตุที่ความว่องไวในการเกิดปฏิกิริยาขึ้นกับ

leaving group เพราะเมื่อนิวคลีโอไฟล์เข้าชนที่หมู่คาร์บอนิลแล้ว ประจุลบบนออกซิเจนอะตอมจะ
เคลื่อนลงมาสร้างพันธะไพน์ระหว่าง C และ O อะตอม จะมีความเป็นไปได้สองทางในการขจัดหมู่
แทนที่ออกไป หนทางแรกคือขจัดนิวคลีโอไฟล์ที่พึ่งเข้ามาชน (Nu) ทำปฏิกิริยาแล้วจะได้สารตั้งต้น
เดิมกลับมา หนทางที่สองคือขจัด leaving group (Z) ออกจะได้สารผลิตภัณฑ์ใหม่ ดังนั้น ถ้า Z เป็น

leaving group ที่ดีกว่านิวคลีโอไฟล์ที่พึ่งเข้ามาชนปฏิกิริยาก็จะเกิดได้เร็วขึ้นนั่นเอง




เพื่อให้ปฏิกิริยาเกิดได้ดี Z ต้องเป็น
leaving group ที่ดีกว่า Nu










❑ หาก Z ใน ROZ เป็น leaving group ที่ดี สารนั้นจะว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยาแทนที่ด้วย
นิวคลีโอไฟล์

736 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก


ความเป็น leaving group จะแปรผกผันกับความเป็นเบสของสาร ยิ่งสารใดเป็นเบส
ที่แรงจะเป็น leaving group ที่แย่ สารใดเป็นเบสอ่อน ๆ ก็จะเป็น leaving group ที่ดี จากตารางที่
13.2 ที่แสดงความเป็นเบสของ leaving group ของหมู่ Z ทำให้เรียงลำดับความเป็น leaving group
และลำดับความว่องไวของกรดคาร์บอกซิลิกและอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกได้ดังแสดง



ความสามารถในการเป็น leaving group เพิ่มขึ้น

ความสามารถในการ
เป็น leaving group




ความว่องไวในการ
เกิดปฏิกิริยา



ความว่องไวต่อปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น



-
-
โดยจะพบว่า Cl เป็น leaving group ที่ดีที่สุด เนื่องจากเป็นเบสที่อ่อนที่สุด และ NH2 เป็น leaving
group ที่แย่ที่สุดเพราะเป็นเบสที่แรงที่สุด ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า แอซิดคลอไรด์มีความว่องไวต่อปฏิกิริยา
การแทนที่ด้วยนิวคลีโอไฟล์มากที่สุด รองลงมาคือ แอซิดแอนไฮไดรด์ เอสเทอร์ และสารที่มีความ

ว่องไวน้อยที่สุดคือ เอไมด์
จากลำดับความว่องไวในการเกิดปฏิกิริยาการแทนที่ เราสามารถใช้ลำดับนี้ทำนายได้
ว่าปฏิกิริยาการแทนที่ด้วยนิวคลีโอไฟล์ของอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกสามารถเกิดขึ้นได้หรือไม่
รายละเอียดพิจารณาจากตัวอย่างที่ 13.3


ตัวอย่างที่ 13.3 | การทำนายปฏิกิริยาการแทนที่ด้วยนิวคลีโอไฟล์เกิดได้หรือไม่

โจทย จงทำนายว่าปฏิกิริยาต่อไปนี้สามารถเกดได้หรือไม่


เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 737


ตัวอย่างที่ 13.3 | การทำนายปฏิกิริยาการแทนที่ด้วยนิวคลีโอไฟล์เกิดได้หรือไม่ (ต่อ)

วิธีคิด ให้พิจารณาว่าระหว่างนิวคลีโอไฟล์ที่เข้าชนที่คาร์บอนของหมู่คาร์บอนิล กับหมู่ Z สารใด

เป็น leaving group ที่ดีดว่ากัน หากนิวคลีโอไฟล์ที่เข้ามาชนเป็น leaving group ที่
ดีกว่า ปฏิกิริยาก็จะไม่เกิด แต่หากนิวคลีโอไฟล์ที่เข้ามาชนเป็น leaving group ที่แย่กว่า
หมู่ Z ปฏิกิริยาแทนที่ก็จะเกิดขึ้นได้


-
-
a. นิวคลีโอไฟล์ที่เข้าชนที่คาร์บอนของหมู่คาร์บอนิล เป็น OCH3 ซึ่งเป็นเบสที่แรงกว่า Cl
จึงเป็น leaving group ที่แย่กว่า Cl ดังนั้น ปฏิกิริยานี้เกิดได้











-
b. นิวคลีโอไฟล์ที่เข้าชนที่คาร์บอนของหมู่คาร์บอนิล เป็น OCH3 ซึ่งเป็นเบสที่อ่อนกว่า
-
-
-
-
NH2 ตัว OCH3 จึงเป็น leaving group ที่ดีกว่า NH2 ดังนั้น เมื่อ OCH3 ชนที่คาร์บอน
เสร็จก็จะถูกขจัดออก ปฏิกิริยานี้ไม่สามารถเกิดได้










❑ ปฏิกิริยาแทนที่ด้วยนิวคลีโอไฟล์ของอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมอ หม ู่
ื่
Z เป็น leaving group ที่ดีกว่า นิวคลีโอไฟล์ หรือ Z เป็นเบสที่อ่อนกว่า นิวคลีโอไฟล์

❑ อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกที่ว่องไวกว่า สามารถถูกเปลี่ยนเป็น สารที่ว่องไวน้อยกว่าได้


ในหัวข้อถัด ๆ ไปจะกล่าวถึงปฏิกิริยาของอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกทีละตัว โดย
เริ่มจาก แอซิดคลอไรด์ เอสเทอร์ และเอไมด์ เป็นต้น

738 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก


13.7 ปฏิกิริยาของแอซิดคลอไรด์
ดังที่กล่าวไปแอซิดคลอไรด์ (R-COCl) คืออนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกที่มีหมู่คาร์บอนิล
เชื่อมพันธะกับคลอรีนอะตอม แอซิดคลอไรด์สามารถเตรียมได้จากปฏิกิริยาระหว่างกรดคาร์บอกซิลิก

กับไธโอนิลคลอไรด์ (SOCl2) ดังแสดงรายละเอียดในหัวข้อ 12.6.2







แอซิดคลอไรด์เป็นสารที่มีความว่องไวต่อนิวคลีโอไฟล์สูง จึงมักเกิดปฏิกิริยาการแทนที่ด้วยนิวคลีโอ
ไฟล์ (nucleophilic substitution reaction) และมักจะมี HCl เกิดขึ้นในปฏิกิริยาเสมอ จึงนิยมใส่

เบสอินทรีย์ เช่น ไพริดีน (pyridine) ในการขจัดกรด HCl ออกจากปฏิกิริยา









นิวคลีโอไฟล์แทนที่ Cl




แอซิดคลอไรด์ทำปฏิกิริยากับนิวคลีโอไฟล์ได้หลายชนิด แต่ในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงกรณีใช้ออกซิเจนนิว-
คลีโอไฟล์และไนโตรเจนนิวคลีโอไฟล์ ซึ่งจะได้สารผลิตภัณฑ์ต่างกันไปตามชนิดของนิวคลีโอไฟล์ที่ใช้


13.7.1 ปฏิกิริยาการเปลี่ยนแอซิดคลอไรด์ไปเป็นกรดคาร์บอกซิลิก
(Conversion of RCOCl to RCOOH)
เมื่อใช้นิวคลีโอไฟล์ที่เป็นกลางไม่มีประจุ เช่น น้ำ (H2O) ทำปฏิกิริยากับแอซิดคลอ

ไรด์โดยมีไพริดีนเป็นเบส จะเกิดกรดคาร์บอกซิลิกเป็นสารผลิตภัณฑ์ และเกลือไพริดิเนียมคลอไรด์เป็น
by-product









กลไกการเกิดปฏิกิริยาการเปลี่ยนแอซิดคลอไรด์ไปเป็นกรดคาร์บอกซิลิก แสดงใน

ภาพที่ 13.6 โดยเริ่มจาก อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวบนออกซิเจนของ H2O จะเข้าชนที่คาร์บอนอะตอม
ของหมู่คาร์บอนิล (step [1]) ไพริดีนเข้ามาดึงโปรตอนออก (step [2]) ในขั้นถัดมา (step [3]) นี้ จะ
-
-
-
พบว่าหากเปรียบเทียบความเป็นเบส ระหว่าง OH และ Cl จะพบว่า Cl เป็นเบสที่อ่อนกว่า จึงมี

เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 739



ความสามารถเป็น leaving group ดีกว่า ดังนั้นประจุลบบนออกซิเจนจะเคลื่อนลงมาสร้างพนธะไพน์
C–O พร้อมไล่ Cl ออกเป็น leaving group และจะให้กรดคาร์บอกซิลิกออกมาเป็นผลิตภัณฑ์

Mechanism 13.6 | กลไกการเกิดปฏิกิริยาการเปลี่ยนแอซิดคลอไรด์ไปเป็นกรดคาร์บอกซิลิก



















ภาพที่ 13.6 กลไกการเกิดปฏิกิริยาการเปลี่ยนแอซิดคลอไรด์ไปเป็นกรดคาร์บอกซิลิก

ปรับปรุงจาก: Smith, J. (2010). Organic Chemistry: McGraw-Hill Education.


13.7.2 ปฏิกิริยาของแอซิดคลอไรด์กับแอลกอฮอล์
ถ้าเปลี่ยนนิวคลีโอไฟล์เป็นแอลกอฮอล์ (R'OH) ทำปฏิกิริยากับแอซิดคลอไรด์ โดยใส่
ไพริดีนเป็นเบสทำหน้าที่ดึง HCl ออกจากปฏิกิริยา จะเกิดเอสเทอร์เป็นสารผลิตภัณฑ์ ดังแสดง








Mechanism 13.7 | กลไกการเกิดปฏิกิริยาระหว่างแอซิดคลอไรด์กับแอลกอฮอล์




















ภาพที่ 13.7 กลไกการเกิดปฏิกิริยาระหว่างแอซิดคลอไรด์กับแอลกอฮอล์

740 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก


กลไกการเกิดปฏิกิริยานี้จะเหมือนกันกับกลไกการเกิดปฏิกิริยาการเปลี่ยนแอซิด-
คลอไรด์ไปเป็นกรดคาร์บอกซิลิก ต่างกันแค่นิวคลีโอไฟล์ที่ใช้ทำปฏิกิริยาเป็น R′OH โดยหลังจากที่
R′OH เข้าชนและสร้างพันธะที่คาร์บอนของหมู่คาร์บอนิลแล้ว จะเกิดผ่านสารตัวกลางที่คาร์บอน

อะตอมมี 4 พันธะ (อยู่ระหว่าง step [2] และ [3], ภาพที่ 13.7) เนื่องจาก Cl เป็นเบสที่อ่อนกว่า


– OR′ ตัว Cl จึงเป็น leaving group ที่ดีกว่า ปฏิกิริยาจึงเกิดได้ เมื่อเกิดการขจัด Cl ออก จะได้สาร
ผลิตภัณฑ์เป็น เอสเทอร์ รายละเอียดกลไกการเกิดปฏิกิริยาของแอซิดคลอไรด์กับแอลกอฮอล์แสดงใน
ภาพที่ 13.7
ปฏิกิริยาตัวอย่างของปฏิกิริยาของแอซิดคลอไรด์กับแอลกอฮอล์ ดังแสดง

























ตัวอย่างที่ 13.4 | การทำนายปฏิกิริยาการแทนที่ด้วยนิวคลีโอไฟล์เกิดได้หรือไม่

โจทย จงทำนายสารผลิตภัณฑ์จากปฏิกิริยาต่อไปนี้ (Ouellette, 2018)






วิธีคิด ในข้อนี้จะเห็นว่าแอลกอฮอล์ใช้มีหมู่ OH อยู่ 2 หมู่ แต่จากคุณสมบัติของนิวคลีโอไฟล์ที่ดี
ต้องไม่มีความเกะกะ ดังนั้นจะพบว่า 1˚ แอลกอฮอล์ เกะกะน้อยกว่า 2˚ แอลกอฮอล์
ดังนั้นจะเกิดปฏิกิริยาที่ 1˚ แอลกอฮอล์ ดังแสดง

เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 741


13.7.3 ปฏิกิริยาการเปลี่ยนแอซิดคลอไรด์ไปเป็นแอซิดแอนไฮไดรด์

หากแอซิดคลอไรด์ทำปฏิกิริยากับคาร์บอกซิเลทไอออน (RCOO ) จะให้สาร
ผลิตภัณฑ์เป็น แอซิดแอนไฮไดรด์











กลไกการเกิดปฏิกิริยาเหมือนดังกลไกการเกิดปฏิกิริยาทั่วไปที่แสดงในภาพที่ 13.8 แต่นิวคลีโอไฟล์ใน

กรณีนี้คือ R′COO ปฏิกิริยาเสมือนว่า R′COO ไปแทนที่ Cl เกิดสารผลิตภัณฑเป็นแอซิดแอนไฮไดรด์


รายละเอียดของกลไกแสดงในภาพที่ 13.8

Mechanism 13.8 | กลไกการเกิดปฏิกิริยาการเปลี่ยนแอซิดคลอไรด์ไปเป็นแอซิดแอนไฮไดรด์













ภาพที่ 13.8 กลไกการเกิดปฏิกิริยาการเปลี่ยนแอซิดคลอไรด์ไปเป็นแอซิดแอนไฮไดรด์

13.7.4 Friedel–Crafts Acylation ของวงอะโรมาติก

Friedel–Crafts Acylation เป็นปฏิกิริยาการเติมหมู่ acyl ลงไปในวงอะโรมาติก
โดยใช้แอซิดคลอไรด์ทำปฏิกิริยากับเบนซีน โดยมี AlCl3 เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ได้สารผลิตภัณฑ์เป็น
พวกอะโรมาติกคีโตน รายละเอียดได้กล่าวไว้ในบทที่ 9 หัวข้อ 9.4.13

742 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก













13.7.5 ปฏิกิริยาการเปลี่ยนแอซิดคลอไรด์ไปเป็นเอไมด์
(Conversion of RCOCl to RCONR'2)
แอซิดคลอไรด์ทำปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วกับ แอมโมเนีย (NH3), 1° เอมีน และ 2° เอ
มีน ได้สารผลิตภัณฑ์เป็น 1° เอไมด์, 2° เอไมด์ และ 3° เอไมด์ตามลำดับ ดังแสดง





























ในปฏิกิริยานี้จะให้ HCl เกิดขึ้นเป็น by-product ของปฏิกิริยา ซึ่ง HCl อาจจะไป protonate ที่

ไนโตรเจนของเอมีนที่เป็นสารตั้งต้นทำให้ปฏิกิริยาเกิดได้ไม่ดี จึงมีการใส่เอมีนสารตั้งต้นลงไปทำ
ปฏิกิริยาจำนวน 2 equivalents เอมีน equivalent แรกจะทำหน้าที่เป็นนิวคลีโอไฟล์ไปแทนที่ Cl
ในแอซิดคลอไรด์ ส่วนเอมีน equivalent ที่สองจะทำหน้าที่เป็นเบส ทำปฏิกิริยากับกรด ขจัดกรดที่
เกิดขึ้นในปฏิกิริยา เกิดเป็นเกลือของแอมโมเนียมเป็นผลิตภัณฑ ์

เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 743


กลไกการเกิดปฏิกิริยาการเปลี่ยนแอซิดคลอไรด์ไปเป็นเอไมด์นี้แสดงในภาพที่ 13.9
ในขั้นแรก เอมีน equivalent แรก จะทำหน้าที่เป็นนิวคลีโอไฟล์เข้าชนที่คาร์บอนของหมู่คาร์บอนิล
สร้างพันธะใหม่ C–N (step [1]) จากนั้น เอมีน equivalent ที่สองจะทำหน้าที่เป็นเบสช่วยดึง
โปรตอนเกิดเป็น by-product เกลือของแอมโมเนียม (ammonium salt) (step [2]) จากนั้น

อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวบนออกซิเจนอะตอมเคลื่อนลงมาสร้างพันธะไพน์ C═O พร้อมทั้งไล่ Cl -
ออกเป็น leaving group (step [3]) และเกิดสารผลิตภัณฑ์เป็นเอไมด์


Mechanism 13.9 | กลไกการเกิดปฏิกิริยาการเปลี่ยนแอซิดคลอไรด์ไปเป็นเอไมด์


















ภาพที่ 13.9 กลไกการเกิดปฏิกิริยาของปฏิกิริยาการเปลี่ยนแอซิดคลอไรด์ไปเป็นเอไมด์


ปฏิกิริยาการเปลี่ยนแอซิดคลอไรด์ไปเป็นเอไมด์นี้ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในการ
สังเคราะห์ N,N-diethyl-m-toluamide หรือรู้จักในนาม DEET ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ช่วยป้องกันและ
ขับไล่ ยุงและแมลง มักเป็นส่วนผสมสำคัญในผลิตภัณฑ์ยากันยุงกันแมลงต่าง ๆ ปฏิกิริยาการ

สังเคราะห์สาร DEET แสดงด้านล่าง

744 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก


ตัวอย่างที่ 13.5 | ปฏิกิริยาของแอซิดคลอไรด์
โจทย จงเขียนสารผลิตภัณฑ์เมื่อ CH3COCl ทำปฏิกิริยากับนิวคลีโอไฟล์ต่อไปนี้



a. NH3 (excess) b. CH3COO

วิธีคิด

















13.8 ปฏิกิริยาของแอซิดแอนไฮไดรด์
แอซิดแอนไฮไดรด์เป็นสารที่ว่องไวน้อยกว่าแอซิดคลอไรด์ ดังนั้นแอซิดแอนไฮไดรด์ไม่

สามารถเปลี่ยนเป็นแอซิดคลอไรด์ได้ แต่แอซิดแอนไฮไดรด์ก็สามารถเกิดปฏิกิริยาแทนที่ด้วยนิวคลีโอ
ไฟล์ได้ ดังแสดง













ในกรณีที่แอซิดแอนไฮไดรด์ก็ทำปฏิกิริยาแทนที่กับนิวคลีโอไฟล์โดยใช้ H2O ROH เป็นนิวคลีโอไฟล์จะ
ได้ผลิตภัณฑ์ ดังแสดง

เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 745


กลไกการเกิดปฏิกิริยาระหว่าง แอซิดแอนไฮไดรด์ กับนิวคลีโอไฟล์ H2O และ ROH จะเหมือนกับ

กลไกของแอซิดคลอไรด์ทำปฏิกิริยากับ H2O และ ROH (ภาพที่ 13.6 และ 13.7 ตามลำดับ) เพยงแต่

leaving group ที่หลุดออกไปเป็น RCOO
นอกจากนี้แอซิดแอนไฮไดรด์ยังสามารถทำปฏิกิริยาแทนที่กับพวกเอมีน (ใส่เอมีน 2

equivalents) โดยหากแอซิดแอนไฮไดรด์ทำปฏิกิริยากับ NH3 จะให้สารผลิตภัณฑ์เป็น 1˚ เอไมด์
หากทำปฏิกิริยากับ 1˚ เอมีน จะให้สารผลิตภัณฑ์เป็น 2˚ เอไมด์ และหากแอซิดแอนไฮไดรด์ทำ
ปฏิกิริยากับ 2˚ เอมีน จะให้สารผลิตภัณฑ์เป็น 3˚ เอไมด์ ดังแสดง




































กลไกการเกิดปฏิกิริยาระหว่าง แอซิดแอนไฮไดรด์ กับเอมีน จะเหมือนกับกลไกของแอซิดคลอไรด์ทำ
ปฏิกิริยากับเอมีน (ภาพที่ 13.9) เพียงแต่ leaving group ที่หลุดออกไปเป็น RCOO


746 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก


13.9 ปฏิกิริยาของเอสเทอร์
เอสเทอร์สามารถถูกเปลี่ยนไปเป็นกรดคาร์บอกซิลิกและเอไมด์ได้ โดยถ้าต้องการเปลี่ยนเอส
เทอร์ไปเป็นกรดคาร์บอกซิลิกสามารถใช้เอสเทอร์มาทำปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสกับน้ำซึ่งสามารถทำ

ปฏิกิริยาได้ทั้งในกรดและเบส























ส่วนการเปลี่ยนเอสเทอร์ไปเป็นเอไมด์จะสามารถทำได้โดยให้เอสเทอร์ทำปฏิกิริยากับ
แอมโมเนียและเอมีนได้สารผลิตภัณฑ์เป็น 1°, 2°, และ 3° เอไมด์

















ในหัวข้อนี้จะกล่าวรายละเอียดของปฏิกิริยาต่าง ๆ ที่กล่าวไปข้างต้น โดยจะกล่าวรายละเอียด
ทีละปฏิกิริยา

13.9.1 ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอสเทอร์

เอสเทอร์สามารถถูกไฮโดรไลท์ด้วยน้ำในสารละลายกรดและเบสได้กรดคาร์บอกซิ
ลิกและคาร์บอกซิเลทไอออนตามลำดับ

13.9.1A ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอสเทอร์ในสารละลายกรด
ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอสเทอร์ในสารละลายกรดจะเป็นปฏิกิริยาที่อยู่
ในสมดุลและสามารถผันกลับได้ หากต้องการให้เกิดสารผลิตภัณฑ์กรดคาร์บอกซิลิกที่มากขึ้นจะต้อง

ใช้ปริมาณน้ำที่มากเพื่อให้สมดุลเคลื่อนไปฝั่งสารผลิตภัณฑมากขึ้น


เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 747










Mechanism 13.10 | ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอสเทอร์ในสารละลายกรด
Part 1 การเติมนิวคลีโอไฟล์ (H2O)





















Part 2 ขั้นขจัด R’OH ออกเป็น leaving group
















ภาพที่ 13.10 ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอสเทอร์ในสารละลายกรด

กลไกการเกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอสเทอร์ในสารละลายกรดจะเหมือน
การย้อนกลับกลไกการเกิดปฏิกิริยาการเปลี่ยนกรดคาร์บอกซิลิกไปเป็นเอสเทอร์ กลไกแสดงในภาพที่
13.10 กลไกนี้จะแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะเป็นปฏิกิริยาการเติมน้ำเข้าไปที่เอสเทอร์ ส่วนที่สองจะ

เกี่ยวข้องกับการขจัด R'OH ออกเป็น leaving group ในขั้นแรก (step [1]) อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว

ของออกซเจนอะตอมในหมู่คาร์บอนิลจะมาจับโปรตอนของกรด HA (HA ในที่นี้หมายถึงรูปทั่วไปของ
กรด) เพื่อทำให้คาร์บอนในหมู่คาร์บอนิลมีความเป็นอิเล็กโทรฟิลิกมากขึ้น จากนั้น น้ำจะทำหน้าที่เป็น

-
นิวคลีโอไฟล์เข้าชนที่คาร์บอนของหมู่คาร์บอนิล (step [2]) คู่กรดของ HA (A) จะมาดึงโปรตอนตรง
ออกซิเจนอะตอมที่มาจากน้ำ (step [3]) เกิดสารที่เป็นกลางเกิดขึ้น ในส่วนที่สองของปฏิกิริยา เริ่ม
จาก อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวตรง –OR' จะถูกเติม H จากกรด HA (step [4]) อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว
+

748 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก



ของหมู่ OH จะเคลื่อนลงมาสร้างพนธะไพน์ระหว่างพันธะ C–O พร้อมทั้งไล่ R'OH ออกเป็น leaving
group (step [5]) และในขั้นสุดท้ายจะเกิดการขจัดโปรตอนเกิดสารผลิตภัณฑ์เป็นกรดคาร์บอกซิลิก
(step [6])


ตัวอย่างที่ 13.6 | ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอสเทอร์ในสารละลายกรด

โจทย สาร (R)-2-butyl acetate คอนฟิกุเรชันแบบ R และมีออกซิเจนไอโซโทป 18 จงทำนาย
สารผลิตภัณฑ์ของปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอสเทอร์ที่แสดงด้านล่างนี้











วิธีคิด เนื่องด้วยปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอสเทอร์ เป็นปฏิกิริยาย้อนกลับของ Fisher เอสเทอ
ริฟิเคชัน ดังนั้น สาร (R)-2-butyl acetate ที่มีคอนฟิกุเรชันอยู่ในฝั่งของแอลกอฮอล์

หากเกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสในกรด เฉพาะสารผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์เท่านั้นที่จะแสดง
คอนฟิกุเรชันออกมาโดยจะแสดงคอนฟิกุเรชันแบบเดิมเพราะปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสจะไม่
กระทบต่อคอนฟิกุเรชันของสาร และออกซิเจนไอโซโทป 18 นี้ ก็จะมาปรากฏอยู่ที่ฝั่ง
แอลกอฮอล์ด้วย ตำแหน่งที่แบ่งส่วนจากกรดคาร์บอกซิลิก และแอลกอฮอล์ ดังแสดง






















ดังนั้น ปฏิกิริยานี้จะได้สารผลิตภัณฑ์ ดังแสดง

เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 749


13.9.1B ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอสเทอร์ในสารละลายเบส
ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอสเทอร์ในสารละลายเบสจะได้สารผลิตภัณฑ์
-
เป็นคาร์บอกซิเลทไอออน (COO) ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอสเทอร์ในเบสอาจถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
สะปอนนิฟิเคชัน (saponification) คำว่า saponification มาจากภาษาลาตินคำว่า sapo ซึ่ง

หมายถึง soap (สบู่) จะกล่าวถึงการเตรียมสบู่ในหัวข้อ 13.9.1C















กลไกการเกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอสเทอร์ในสารละลายเบสนี้จะ
-
แตกต่างจากการทำปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสในกรด ในขั้นแรกเบส (OH) จะทำหน้าที่เป็นนิวคลีโอไฟล์เข้า
ชนที่คาร์บอนของหมู่คาร์บอนิลเกิดเป็นสารตัวกลางที่เป็นทรงสี่หน้า (tetrahedral intermediate)
(step [1]) จากนั้นประจุลบบนออกซิเจนอะตอมจะเคลื่อนลงมาสร้างพันธะไพน์ระหว่างคาร์บอนและ


ออกซิเจนอะตอมและไล่ OR ออกเป็น leaving group เกิดเป็นกรดคาร์บอกซิลิก (step [2]) แต่
เนื่องจากอยู่ในสภาวะเบส เบสจึงมาดึงโปรตอนของหมู่ COOH เกิดเป็นคาร์บอกซิเลทไอออน (step
[3]) ดังแสดงในภาพที่ 13.11


MECHANISM 13.11 | กลไกการเกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอสเทอร์ในสารละลายเบส



















ภาพที่ 13.11 กลไกการเกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอสเทอร์ในสารละลายเบส

750 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก


ตัวอย่างที่ 13.7 | ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอสเทอร์ในสารละลายเบสกรด
โจทย จงเขียนกลไกการเกิดปฏิกิริยา จากปฏิกิริยาต่อไปนี้












วิธีคิด หากใช้กลไกการเกิดปฏิกิริยาที่แสดงในภาพที่ 13.11 เป็นแบบอย่างก็จะสามารถเขียน
กลไกการเกิดปฏิกิริยาได้ ดังนี้






















13.9.1C การเตรียมสบู่จากปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอสเทอร์ในสารละลายเบส
สบู่สามารถเตรียมได้จากปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของไตรเอซิลกลีเซอรอล
(triacylglycerol) ในสารละลายเบส ไตรเอซิลกลีเซอรอลก็คือพวกไขมันสัตว์หรือน้ำมันพืชนั่นเอง เมื่อ

นำพวกไขมันหรือน้ำมันมาต้มกับสารละลายเบสจะได้ กลีเซอรอล (Glycerol) หนึ่งโมเลกุลและ เกลือ
-
+
โซเดียมของกรดไขมันจำนวน 3 โมเลกุล (RCOONa ) เกลือของกรดไขมันนี้เองที่เป็นตัวสบู่ สบู่มักถูก
ใช้ในการทำความสะอาดร่างกายและขจัดสิ่งสกปรก โครงสร้างของสบู่จะมีทั้งส่วนที่มีขั้วซึ่งจะสามารถ
ละลายน้ำได้ และส่วนที่ไม่มีขั้วซึ่งจะละลายในน้ำมัน ดังแสดงด้านล่าง


สบู่ (เกลือของกรดไขมัน)

เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 751















โครงสร้างของสบู่ แสดงส่วนที่มีขั้วและไม่มีขั้ว


13.9.2 ปฏิกิริยาของเอสเทอร์กับกรินยาร์ดรีเอเจนต์
เมื่อใช้กรินยาร์ดรีเอเจนต์จำนวน 2 equivalents มาทำปฏิกิริยากับเอสเทอร์จะได้
เป็นอัลคอกไซด์ไอออนก่อน จากนั้นทำปฏิกิริยาการเติมกรดจะได้ 3° แอลกอฮอล์ออกมา ดังแสดงใน
ปฏิกิริยาทั่วไปและตัวอย่างปฏิกิริยาด้านล่าง สำหรับหัวข้อนี้ได้กล่าวไว้ในบทที่ 10 หัวข้อที่ 10.6


























13.9.3 ปฏิกิริยาทรานส์เอสเทอริฟิเคชัน
(Transesterification)

ปฏิกิริยาทรานส์เอสเทอริฟิเคชันเป็นปฏิกิริยาระหว่างเอสเทอร์ (R-COOR') กับ
แอลกอฮอล์ โดยหมู่ –OR' ของเอสเทอร์ที่นำมาใช้ทำปฏิกิริยาจะถูกแทนที่ด้วยแอลกอฮอล์อีกชนิด
หนึ่ง (R˝–OH) โดยมีกรดหรือเบสเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ปฏิกิริยาทั่วไปดังแสดง

752 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก


อาจมองภาพเสมือนเป็นการเปลี่ยนหมู่ –OR' ของเอสเทอร์ไปเป็น –OR˝ (มาจากแอลกอฮอล์) ซึ่ง
ขึ้นกับชนิดของแอลกอฮอล์ที่นำมาใช้ทำปฏิกิริยา ปฏิกิริยานี้เหมือนดังปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชันแบบ
ธรรมดา กล่าวคือ ปฏิกิริยาจะอยู่ในสมดุลและสามารถผันกลับได้ ดังนั้นเพื่อให้เกิดสารผลิตภัณฑ์ให้
มากขึ้นจะต้องใช้ R˝–OH ปริมาณที่มากเกินพอ เพื่อให้สมดุลปรับตัวไปทางขวาของปฏิกิริยา ตัวอย่าง

ของปฏิกิริยานี้ ดังแสดง














Mechanism 13.12 | กลไกการเกิดปฏิกิริยาของปฏิกิริยาทรานส์เอสเทอริฟิเคชันโดยมีกรดเป็น
ตัวเร่งปฏิกิริยา

Part 1 ขั้นปฏิกิริยาการเติมนิวคลีโอไฟล์ R'OH






















Part 2 ขั้นขจัด leaving group ออก















ภาพที่ 13.12 กลไกการเกิดปฏิกิริยาของปฏิกิริยาทรานส์เอสเทอริฟิเคชันในกรด

เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 753


กลไกการเกิดปฏิกิริยาของปฏิกิริยาทรานส์เอสเทอริฟิเคชันในสภาวะที่มีกรดเป็น
ตัวเร่งปฏิกิริยาจะคล้ายคลึงกับปฏิกิริยา Fisher เอสเทอริฟิเคชันในสภาวะกรด ปฏิกิริยาที่จะใช้
ประกอบการอธิบายกลไกการเกิดปฏิกิริยาทรานส์เอสเทอริฟิเคชันจะใช้ปฏิกิริยาระหว่าง ethyl
+
benzoate กับเมทานอล (methanol) โดยมีกรด (H3O ) เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา เนื่องจากเพื่อความ
สะดวกในการมองภาพการแทนที่ของ CH3OH ตรงหมู่ OCH2CH3 ของเอสเทอร์ ซึ่งรายละเอียด
แสดงในภาพที่ 13.12 ในส่วนแรกจะเป็นการเติม CH3OH เข้าไปในเอสเทอร์ โดยเริ่มจากขั้นแรกกรด
+
จะมาเติม H ที่ออกซิเจนอะตอมของหมู่คาร์บอนิลของ ethyl benzoate เพื่อทำให้คาร์บอนอะตอม
ของหมู่คาร์บอนิลมีความเป็นอิเล็กโทรฟิลิกมากขึ้น (step [1]) เพื่อเหนี่ยวนำให้ CH3OH เข้ามาทำ

ปฏิกิริยา เมื่อออกซิเจนอะตอมของ CH3OH เข้ามาชนที่หมู่คาร์บอนิลของของ C6H5COOCH2CH3
แล้ว (step [2]) จะเกิดการสูญเสียโปรตอนออกมา (step [3]) ได้สารที่เป็นกลางมีรูปร่างทรงสี่หน้า
ออกมา ในส่วนที่สองของกลไกจะเป็นการขจัด leaving group ออก โดยเริ่มจากออกซิเจนอะตอม
+
ของหมู่ OCH2CH3 จะถูกเติม H โดยกรดเพื่อเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็น leaving group ที่ดี (H–
+
O –CH2CH3) (step [4]) จากนั้น อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวบนออกซิเจนอะตอมของหมู่ OH จะเคลื่อน
มาสร้างพันธะไพน์พร้อมทั้งไล่ leaving group ออก (step [5]) และเมื่อเกิดการขจัดโปรตอนก็จะได้

methyl benzoate เป็นผลิตภัณฑ (step [6])
ในการอธิบายการทำปฏิกิริยาทรานส์เอสเทอริฟิเคชันในเบสนั้น จะใช้ปฏิกิริยา
ระหว่าง ethyl benzoate กับ methanol โดยใช้เบสเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาดังแสดง









ส่วนกลไกการเกิดปฏิกิริยาทรานส์เอสเทอริฟิเคชันในสภาวะที่มีเบสเป็นตัวเร่ง
ปฏิกิริยาจะเหมือนกับกลไกการเกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอสเทอร์ในสารละลายเบส ในการแสดง

กลไกการเกิดปฏิกิริยาทรานส์เอสเทอริฟิเคชันในสภาวะที่มีเบสเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาจะใช้ตัวอย่าง
ปฏิกิริยาระหว่าง ethyl benzoate กับเมทานอล (methanol) เพียงแต่มีเบสเป็นตัวเร่ง แสดง
รายละเอียดในภาพที่ 13.13 ในส่วนแรก (Part 1) เป็นการเกิดเบส alkoxide โดยในขั้นแรก (step


[1]) เมื่อ CH3OH จะทำปฏิกิริยากับเบสในปฏิกิริยาเกิดเป็น methoxide (CH3O ) ขึ้น ในส่วนที่สอง
(Part 2) จะเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาการเติมนิวคลีโอไฟล์และขจัด leaving group ออก โดยเมื่อเกิด -
-
OCH3 ขึ้นแล้ว จากนั้น OCH3 จะเข้าชนที่คาร์บอนอะตอมของหมู่คาร์บอนิลของเอสเทอร์ (step
[2]) เกิดเป็นสารตัวกลางที่มีประจุลบและรูปร่างเป็นทรงสี่หน้า ประจุลบบนออกซิเจนอะตอมจะ
เคลื่อนลงมาสร้างพันธะไพน์ระหว่างคาร์บอนและออกซิเจนอะตอม พร้อมทั้งไล่เอทอกไซด์ ( -
OCH2CH3) ออกเป็น leaving group (step [3]) ก็จะได้ methyl benzoate เป็นสารผลิตภัณฑ์

รายละเอียดดังแสดงในภาพที่ 13.13

754 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก


Mechanism 13.13 | กลไกการเกิดปฏิกิริยาของปฏิกิริยาทรานส์เอสเทอริฟิเคชันโดยมีเบสเป็น
ตัวเร่งปฏิกิริยา
Part 1 การเกิด alkoxide ion







Part 2 การแทนที่ด้วย methoxide ion
















ภาพที่ 13.13 กลไกการเกิดปฏิกิริยาของปฏิกิริยาทรานส์เอสเทอริฟิเคชันโดยมีเบสเป็นตัวเร่ง

ปฏิกิริยา
ปรับปรุงจาก: Aransiola, E. F., Ojumu, T. V, Oyekola, O. O., Madzimbamuto, T. F., & Ikhu-Omoregbe, D. I. O. (2014). A review of
current technology for biodiesel production: State of the art. Biomass and Bioenergy, 61, 276–297.

ปฏิกิริยาทรานส์เอสเทอริฟิเคชันโดยมีเบสเป็นตัวเร่งปฏิกิริยานี้เป็นปฏิกิริยาสำคัญ

ในการสังเคราะห์ ไบโอดีเซล โดยนำน้ำมันทำอาหารที่เหลือใช้ (ไตรเอซิลกลีเซอรอล) มาทำปฏิกิริยา
กับเมทานอลโดยใช้ NaOH เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาจะเกิดสารผลิตภัณฑ์เป็นกลีเซอรอลและ เมทิลเอส
เทอร์ (methyl ester) 3 โมเลกุล เมทิลเอสเทอร์ที่เกิดขึ้นนี้จะถูกเรียกว่า ไบโอดีเซล ปฏิกิริยานี้เป็น
ตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการนำสารเคมีมารีไซเคิล เพราะเป็นการเปลี่ยนจากน้ำมันทำกับข้าวที่
ใช้แล้วมาเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามากขึ้นอย่างไบโอดีเซล
















ไบโอดีเซล

เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 755


ตัวอย่างที่ 13.8 | ปฏิกิริยาทรานส์เอสเทอริฟิเคชัน
โจทย จงทำนายสารผลิตภัณฑ์ จากปฏิกิริยาต่อไปนี้









วิธีคิด ปฏิกิริยาในข้อนี้เป็นปฏิกิริยาทรานส์เอสเทอริฟิเคชัน ซึ่งปฏิกิริยาทรานส์เอสเทอริฟิเคชัน
เป็นการแทนที่ หมู่ OR′ ในเอสเทอร์ ด้วย แอลกอฮอล์อีกตัวที่เติมลงไปทำปฏิกิริยา ดังนั้น

ปฏิกิริยานี้จะได้สารผลิตภัณฑ ดังแสดง






















13.9.4 ปฏิกิริยาการเปลี่ยนเอสเทอร์เป็นเอไมด์
เอสเทอร์มีความว่องไวมากกว่าเอไมด์ จึงสามารถทำปฏิกิริยากับเอมีนเปลี่ยนไปเป็น



เอไมด์ได้ เพราะ NH2 เป็นเบสที่แรงกว่า OR นั่นหมายความว่า OR เป็น leaving group ที่ดีกว่า
(ทบทวนหัวข้อ 13.6.2) ดังนั้น เมื่อนำเอสเทอร์มาทำปฏิกิริยา NH3 หรือ 1˚ เอมีน หรือ 2˚ เอมีน จะ
ให้สารผลิตภัณฑ์เป็น 1˚ เอไมด์ 2˚ เอไมด์ และ 3˚ เอไมด์ ตามลำดับ ดังแสดง

756 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก
















กลไกการเกิดปฏิกิริยาการเปลี่ยนเอสเทอร์เป็นเอไมด์ จะคล้ายคลึงกับกลไกการ
เกิดปฏิกิริยาการเปลี่ยนแอซิดคลอไรด์ไปเป็นเอไมด์ที่แสดงไว้ใน ภาพที่ 13.9 แตกต่างกันที่หมู่

leaving group ที่หลุดออกมาเป็น OR แต่อย่างไรก็ตามจะแสดงกลการเกิดปฏิกิริยาการเปลี่ยนเอส-
เทอร์เป็นเอไมด์ไว้ในภาพที่ 13.14


Mechanism 13.14 | กลไกการเกิดปฏิกิริยาการเปลี่ยนเอสเทอร์ไปเป็นเอไมด์


















ภาพที่ 13.14 กลไกการเกิดปฏิกิริยาการเปลี่ยนเอสเทอร์ไปเป็นเอไมด์


ตัวอย่างที่ 13.9 | ปฏิกิริยาการเปลี่ยนเอสเทอร์ไปเป็นเอไมด์

โจทย จงทำนายสารผลิตภัณฑ์หลักที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาต่อไปนี้



















วิธีคิด หากเอสเทอร์ทำปฏิกิริยากับเอมีน จะเกิดปฏิกิริยาแทนที่ หมู่ OR ของเอสเทอร์เกิดขึ้น
ดังนั้น ในแต่ละข้อจะได้สารผลิตภัณฑ์ ดังแสดง

เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 757


ตัวอย่างที่ 13.9 | ปฏิกิริยาการเปลี่ยนเอสเทอร์ไปเป็นเอไมด์ (ต่อ)

















13.10 ปฏิกิริยาของเอไมด์

เอไมด์เป็นอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกที่มีหมู่ –NH2 ติดกับหมู่คาร์บอนิล หมู่ฟังก์ชันของ
เอไมด์ คือ RCONR˝2 ดังแสดงในตาราง 13.1 เอไมด์สามารถเตรียมได้จากกรดคาร์บอกซิลิก แอซิด-
คลอไรด์ แอซิดแอนไอไดรด์ และเอสเทอร์ ซึ่งปฏิกิริยาการเตรียมเอไมด์ได้สรุปไว้ในตารางที่ 13.4

ตารางที่ 13.4 สรุปปฏิกิริยาการเตรียมเอไมด์

(หัวข้อ 12.6.5A)





[1] ปฏิกิริยาการเปลี่ยนกรด
คาร์บอกซิลิกไปเป็นเอไมด์
(หัวข้อ 12.6.5) (หัวข้อ 12.6.5B)








[2] ปฏิกิริยาการเปลี่ยนแอซิด
คลอไรด์ไปเป็นเอไมด์
(หัวข้อ 13.7.5)



[3] ปฏิกิริยาการเปลี่ยนแอซิด

แอนไฮไดรดไปเป็นเอไมด์
(หัวข้อ 13.8)

[4] ปฏิกิริยาการเปลี่ยนเอส
เทอรไปเป็นเอไมด์

(หัวข้อ 13.9.4)

758 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก


ื่
เอไมด์เป็นสารที่ไม่ว่องไวในการเกิดปฏิกิริยาเมื่อเทียบกับอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกตัวอน
เนื่องจากหมู่ Z ของเอไมด์เป็น leaving group ที่แย่ เอไมด์จึงเกิดปฏิกิริยากับรีเอเจนต์ที่จำเพาะกับ
ปฏิกิริยา แต่อย่างไรก็ตามเอไมด์ก็สามารถเกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสกับน้ำได้ ดังจะกล่าวต่อไปนี้

13.10.1 ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอไมด์

ภายใต้สภาวะที่เหมาะสมเอไมด์สามารถเกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสได้ทั้งในกรดและใน
เบส ได้สารผลิตภัณฑ์เป็นกรดคาร์บอกซิลิกและคาร์บอกซิเลทไอออนตามลำดับ


















13.10.1A ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอไมด์ในสารละลายกรด
เนื่องด้วยเอไมด์เป็นสารที่มีความเสถียรสูงมาก สภาวะที่ใช้ในการไฮโดร-
ไลท์ในสภาวะกรดอาจใช้สภาวะที่รุนแรง เช่น ให้ความร้อนโดยใช้กรด HCl เข้มข้น 6.0 M หรืออาจใช้
H2SO4 เป็นต้น ตัวอย่างปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอไมด์ในสารละลายกรดแสดงด้านล่าง















กลไกการเกิดปฏิกิริยาของปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอไมด์ในสภาวะกรดจะ
มีกลไกคล้ายคลึงกับปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอสเทอร์ในสภาวะกรด ซึ่งกลไกการเกิดปฏิกิริยาของ

ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอไมด์ในสภาวะกรดแสดงในภาพที่ 13.15 ในขั้นแรก (step [1]) อเล็กตรอน

คู่โดดเดี่ยวของออกซิเจนอะตอมในหมู่คาร์บอนิลจะมาจับโปรตอนของกรด (HA) เพื่อทำให้คาร์บอน
ในหมู่คาร์บอนิลมีความเป็นอิเล็กโทรฟิลิกมากขึ้น น้ำจะทำหน้าที่เป็นนิวคลีโอไฟล์เข้าชนที่คาร์บอน

ของหมู่คาร์บอนิล (step [2]) จากนั้นโปรตอนตรงออกซิเจนอะตอมที่มาจากน้ำจะเกิดการขจัด
โปรตอน (step [3]) ในส่วนที่สองจะเป็นการขจัด หมู่เอมีนออกเป็น leaving group โดยเริ่มจาก
+
+
อิเล็กตรอนคู่โดดบนไนโตรเจนอะตอมของ –NH2 จะถูกเติม H โดยกรดเกิดเป็น –NH3 (step [4])

เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 759



อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวของหมู่ OH จะเคลื่อนลงมาสร้างพันธะไพน์ระหว่างพนธะ C–O พร้อมทั้งไล่หมู่
+
–NH3 ออกเป็น leaving group (step [5]) และในขั้นสุดท้าย NH3 จะมาดึงโปรตอนออก เกิดสาร
ผลิตภัณฑ์เป็นกรดคาร์บอกซิลิก (step [6])


Mechanism 13.15 | ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอไมด์ในสารละลายกรด
Part 1 การเติมน้ำเข้าที่หมู่คาร์บอนิลโดยมีกรดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา




















Part 2 การขจัด NH3 ออกเป็น leaving group


















ภาพที่ 13.15 ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอไมด์ในสารละลายกรด
ปรับปรุงจาก: Ashenhurst, J. (2019). Amide Hydrolysis. Retrieved November 17, 2019, from https://www.masterorga-
nicchemistry.com/2019/10/07/amide-hydrolysis/#two


13.10.1B ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอไมด์ในสารละลายเบส
ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอไมด์ในสารละลายเบสจะให้คาร์บอกซิเลท
ไอออนออกมา ดังที่ได้กล่าวไปว่าเอไมด์เป็นอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกที่เสถียรที่สุด ในความเป็น

จริงไฮโดรไลซิสในเบสของเอไมด์เกิดได้ยากมาก จึงต้องทำปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสในสภาวะรุนแรง เช่น
40% NaOH เป็นต้น ตัวอย่างปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอไมด์ในสารละลายเบสแสดงด้านล่าง

760 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก












กลไกการเกิดฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอไมด์ในสารละลายเบส แสดงในภาพ
-
ที่ 13.16 ในขั้นแรก OH จะทำหน้าที่เป็นนิวคลีโอไฟล์เข้าชนที่คาร์บอนอะตอมของหมู่คาร์บอนิลของ
CONH2 (step [1]) เกิดผ่านสารตัวกลางที่มีรูปร่างเป็นทรงสี่หน้า (tetrahedral intermediate)
ประจุลบบนออกซิเจนอะตอมจะเคลื่อนลงมาสร้างพันธะไพน์ระหว่างคาร์บอนอะตอมและออกซิเจน
อะตอม พร้อมไล่ –NH2 ออกเป็น leaving group (step [2]) หมู่ NH2 ที่หลุดออกมาจะทำหน้าที่เป็น
-
เบสดึงโปรตอนของหมู่ COOH (step [3]) ได้เป็นคาร์บอกซิเลทไอออน (RCOO ) เป็นสารผลิตภัณฑ์
-
และแอมโมเนียแก๊ส (NH3) เป็น by-product

Mechanism 13.16 | กลไกการเกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอไมด์ในสารละลายเบส
















ภาพที่ 13.16 ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอไมด์ในสารละลายเบส
ปรังปรุงจาก: Smith, J. (2010). Organic Chemistry: McGraw-Hill Education.

จุดที่น่าสนใจของกลไกการเกิดปฏิกิริยานี้มีอยู่ในขั้นที่ [2] จะเห็นว่า NH2 ที่
-
หลุดออกมามีความเป็นเบสที่แรงมากกว่า OH จึงหมายความว่า NH2 เป็น leaving group ที่แย่กว่า
OH ซึ่งขั้นนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ในกรณีนี้จะมีโอกาสน้อยมากที่ NH2 สามารถเป็น leaving group
-
หลุดออกไปได้ ซึ่งมี 2 ปัจจัยอธิบายการเกิดกลไกลักษณะเช่นนี้ คือ สารผลิตภัณฑ์คาร์บอกซิเลท
-
RCOO ที่เกิดขึ้นเป็นผลิตภัณฑ์ที่เสถียรอันเนื่องจากมีผลของเรโซแนนซ์ช่วย และอีกเหตุผลคือ เมื่อ
พิจารณาปฏิกิริยาในขั้นที่ [2] จะอยู่ในสมดุลเมื่อเกิดสารผลิตภัณฑ์เป็น RCOOH จะถูกเบสดึงโปรตอน

ไปเป็นคาร์บอกซิเลทไอออน จึงเสมือนว่า RCOOH หายไป สมดุลจึงเลื่อนเกิดไปทางผลิตภัณฑ์
(RCOOH) มากขึ้น

เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 761


ตัวอย่างที่ 13.10 | ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอไมด์
โจทย จงเขียนกลไกการเกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอไมด์ต่อไปนี้ ในสภาวะเบส






วิธีคิด






















13.10.2 ปฏิกิริยารีดักชันของเอไมด์ไปเป็นเอมีน
(Reduction of amides to amines)
เอไมด์สามารถถูกรีดิวซ์ด้วย LiAlH4 ได้เอมีนเป็นสารผลิตภัณฑ์ โดยที่ 1° เอไมด์จะ

ถูกรีดิวซ์ไปเป็น 1° เอมีน ส่วน 2° เอไมด์จะถูกรีดิวซ์ไปเป็น 2° เอมีน และ 3° เอไมด์จะถูกรีดิวซ์ไป
ื่
เป็น 3° เอมีน เมื่อรีเอเจนต์ LiAlH4 เข้าทำปฏิกิริยาในขั้นตอนแรกเรียบร้อยแล้ว จะมีการใส่น้ำเพอ
ขจัด LiAlH4 ที่อาจยังเหลือในปฏิกิริยาดังแสดง

762 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก



จากปฏิกิริยาทั่วไปที่แสดงด้านบน ให้ลองพิจารณาว่ามีการเติมไฮโดรเจนอะตอมเข้าไปที่ C═O ของเอ
ไมด์จำนวน 2 อะตอม (พันธะ C–O ลดลง) จึงเป็นปฏิกิริยารีดักชัน ดังที่กล่าวไว้ในบทที่ 10 หัวข้อ
10.7 ตัวอย่างปฏิกิริยารีดักชันของเอไมด์แสดงด้านล่าง














กลไกการเกิดปฏิกิริยารีดักชันเอไมด์ไปเป็นเอมีนแสดงรายละเอียดในภาพที่ 13.17
-
ในขั้นแรกไฮไดรด์ (H) จาก LiAlH4 จะเข้าชนที่คาร์บอนของหมู่คาร์บอนิลเกิดเป็นสารตัวกลางที่มี
รูปร่างโมเลกุลเป็นทรงสี่หน้า (tetrahedral intermediate) โดยที่ออกซิเจนอะตอมจากหมู่คาร์บอ-
นิลจะสร้างพันธะกับสารประกอบเชิงซ้อนของอะลูมิเนียม (step [1]) จากนั้นอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว


บนไนโตรเจนอะตอมของหมู่ –NH2 จะเคลื่อนลงมาสร้างพนธะไพน์ C–N และไล่ O-AlH2 ออกไปเป็น
-
leaving group (step [2]) เกิดเป็น imminium salt จากนั้นไฮไดรด์ (H) อีกตัวหนึ่งที่มาจาก LiAlH4
+
จึงเข้ามาชนที่คาร์บอนอะตอมตรง C═N (step [3]) เพื่อรีดิวซ์ไปเป็นเอมีนในที่สุด

MECHANISM 13.17 | ปฏิกิริยารีดักชันของเอไมด์ไปเป็นเอมีน
















ภาพที่ 13.17 ปฏิกิริยารีดักชันของเอไมด์ไปเป็นเอมีน
ปรังปรุงจาก: Brown, W. H., Foote, C. S., Iverson, B. L., & Anslyn, E. (2011). Organic Chemistry. Cengage Learning.

เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 763


ตัวอย่างที่ 13.11 | ปฏิกิริยารีดักชันของเอไมด์ไปเป็นเอมีน
โจทย จงเสนอแผนการสังเคราะห์สาร จากปฏิกิริยาต่อไปนี้







วิธีคิด แผนการสังเคราะห์ คือการเสนอแผนการเปลี่ยนสารตั้งต้นที่โจทย์ให้มา เปลี่ยนให้เป็นสาร

ผลิตภัณฑ์ที่โจทย์กำหนด โดยอาจใช้มากกว่า 1 ขั้นตอน และต้องเขียนด้วยว่าในแต่ละขั้น
ที่ใส่รีเอเจนต์ลงไปเกิดสารผลิตภัณฑ์เป็นสารใด จากโจทย์ในข้อนี้สามารถเสนอแผนการ
สังเคราะห์ได้ดังนี้























13.10.3 ปฏิกิริยาการขจัดน้ำออกจากเอไมด์เพื่อให้เกิดเป็นไนไทรล์

(Dehydration of amides to form nitriles)
หากใช้รีเอเจนต์ที่มีความสามารถในการดึงน้ำออกจากเอไมด์ที่แรงพอ ปฏิกิริยาการ
ขจัดน้ำออกจาก 1˚ เอไมด์ก็จะสามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่งจะเกิดสารผลิตภัณฑ์เป็นไนไทรล์ (R-CN) รีเอ-

เจนต์ที่นิยมใช้ในปฏิกิริยานี้ได้แก่ P2O5 (Phosphorus pentoxide) และ POCl3 (Phosphorus
oxychloride) แต่เนื่องจาก POCl3 จะให้ร้อยละผลได้ของปฏิกิริยา (yield) สูงกว่าจึงมักนิยมใช้
มากกว่า สมการทั่วไปของปฏิกิริยาและตัวอย่างของปฏิกิริยานี้แสดงด้านล่าง

764 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก




















กลไกการเกิดปฏิกิริยานี้แสดงในภาพที่ 13.18 อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวบน
ไนโตรเจนอะตอมจะให้อิเล็กตรอนมาที่คาร์บอนเกิดเป็น C═N แล้วใช้ไพน์อิเล็กตรอนของ C═O ไป
-
สร้างพันธะกับฟอสฟอรัสอะตอมของ POCl3 ไล่ Cl ออกมาเป็น leaving group (step [1]) ในขั้นถัด
+
-
มา Cl จะมาดึงโปรตอนตรง C═NH2 ออก พร้อมไล่ออกซิเจนออกไปเป็น PO2Cl พร้อมเกิดการสร้าง
-
พันธะไพน์ที่ C≡N (step [2]) และในขั้นสุดท้าย Cl จะมาดึงโปรตอนออกได้เป็นสารประกอบไนไทรล์
และเกิด HCl เป็น by-product (step [3])


MECHANISM 13.18 | กลไกการเกิดปฏิกิริยาการขจัดน้ำออกจากเอไมด์เพื่อให้เกิดเป็นไนไทรล์
















ภาพที่ 13.18 กลไกการเกิดปฏิกิริยาการขจัดน้ำออกจากเอไมด์เพื่อให้เกิดเป็นไนไทรล์
ปรับปรุงจาก: Chemistry Steps. (n.d.). Amides from Carboxylic Acids-DCC and EDC Coupling. Retrieved May 13, 2019,
from https://www.chemistrysteps.com/amides-from-carboxylic-acids-dcc-edc-coupling/

เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 765


13.11 ปฏิกิริยาของไนไทรล์
ไนไทรล์ จัดเป็นอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก (หัวข้อ 13.2) เตรียมได้จากปฏิกิริยาแทนที่
ด้วยนิวคลีโอไฟล์ผ่านกลไกแบบ SN2 ของ อัลคิลเฮไลด์ ดังแสดง













เนื่องด้วยสารประกอบไนไทรล์ไม่มี leaving group เหมือนดั่งอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิกอื่น ๆ จึง

ไม่เกิดปฏิกิริยาแทนที่ แต่จะเกิดปฏิกิริยาการเติมนิวคลีโอไฟล์แทน เพราะ C อะตอมในหมู่ CN มี
ความเป็นบวกมาก ปฏิกิริยาของไนไทรล์ได้กล่าวผ่านมาบ้างแล้ว ในบทเรียนที่ผ่านมา ดังนั้นในหัวข้อ
นี้จะสรุปรวมปฏิกิริยาของไนไทรล์ไว้ ดังแสดงในตารางที่ 13.5


ตารางที่ 13.5 สรุปปฏิกิริยาของไนไทรล์


[1] การเตรียมอัลดีไฮด์จากไนไทรล์
(หัวข้อ 11.4.6)



[2] ปฏิกิริยาการเตรียมคีโตนจากไนไทรล์
(หัวข้อ 13.7.5)







[3] ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของไนไทรล์
(หัวข้อ 12.4.5)





[4] ปฏิกิริยารีดักชันของไนไทรล์
(กล่าวในบทที่ 14 หัวข้อ 14.5.2)

766 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก


13.12 สรุปสาระสำคัญประจำบท


• โครงสร้างของอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก












• ความวองไวในการเกิดปฏิกิริยาของอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก




ความสามารถในการเป็น leaving group เพิ่มขึ้น

ความสามารถในการ
เป็น leaving group




ความว่องไวในการ
เกิดปฏิกิริยา




ความว่องไวต่อปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น



• ปฏิกิริยาแทนที่ด้วยนิวคลีโอไฟล์ของอนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก


[1] ปฏิกิริยาของแอซิดคลอไรด์


[1a] ปฏิกิริยาการเปลี่ยนแอซิดคลอไรด์ไปเป็นกรดคาร์บอกซิลิก

เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 767


[1b] ปฏิกิริยาการเปลี่ยนแอซิดคลอไรด์ไปเป็นเอสเทอร์







[1c] ปฏิกิริยาการเปลี่ยนแอซิดคลอไรด์ไปเป็นแอซิดแอนไฮไดรด์










[1d] ปฏิกิริยาการเปลี่ยนแอซิดคลอไรด์ไปเป็นเอไมด์








[2] ปฏิกิริยาของแอซิดแอนไฮไดรด์


[2a] ปฏิกิริยาระหว่างแอซิดแอนไฮไดรด์กับน้ำ








[2b] ปฏิกิริยาระหว่างแอซิดแอนไฮไดรด์กับแอลกอฮอล์








[2c] ปฏิกิริยาระหว่างแอซิดแอนไฮไดรด์กับเอมีน

768 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก



[3] ปฏิกิริยาของเอสเทอร์

[3a] ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอสเทอร์






















[3b] ปฏิกิริยาทรานส์เอสเทอริฟิเคชัน








[3c] ปฏิกิริยาการเปลี่ยนเอสเทอร์เป็นเอไมด์












[4] ปฏิกิริยาของเอไมด์


[4a] ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเอไมด์

เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 769


[4b] ปฏิกิริยารีดักชันของเอไมด์ไปเป็นเอมีน








[4c] ปฏิกิริยาการขจัดน้ำออกจากเอไมด์เพื่อให้เกิดเป็นไนไทรล์











[5] ปฏิกิริยาของไนไทรล์
ปฏิกิริยาของไนไทรล์สามารถดูจากสรุปปฏิกิริยา แสดงในตารางที่ 13.5

770 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก


แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 13
อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก



1) พิจารณาโครงสร้างของสาร ascorbic acid ที่แสดงต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม













a. ascorbic acid เป็นกรดคาร์บอกซิลิกหรือไม่ ถ้าไม่จัดเป็นสารใด
b. จงทำนายโปรตอนตำแหน่งใดมีความเป็นกรดมากที่สุด

2) จงเรียงลำดับความว่องไวในการเกิดปฏิกิริยาแทนที่ด้วยนิวคลีโอไฟล์จากสารต่อไปนี้






3) จงทำนายสารผลิตภัณฑ์หลัก เมื่อ benzoyl chloride (PhCOCl) ทำปฏิกิริยากับรีเอเจนต์
ต่อไปนี้
a. ethanol b. sodium acetate c. aniline
d. anisole and aluminum chloride e. LiAlH(O-tert-Bu)3

f. excess phenylmagnesium bromide, then dilute acid

4) จงเขียนสารผลิตภัณฑ์ เมื่อ pentanoic anhydride [(CH3CH2CH2CH2CO)2O] ทำปฏิกิริยา
กับรีเอเจนต์ต่อไปนี้

a. H2O b. CH3NH2 (excess) c. CH3OH
d. (CH3CH2)2NH (excess)

5) จงทำนายสารผลิตภัณฑ์หลัก เมื่อสาร C6H5COOCH3 ทำปฏิกิริยากับรีเอเจนต์ต่อไปนี้
+
-
a. ethanol, H b. sodium acetate c. OH, H2O
+
d. NH3 e. LiAlH(O-tert-Bu)3 f. H , H2O

6) จงทำนายสารผลิตภัณฑ์หลัก เมื่อสาร CH3CON(CH3)2 ทำปฏิกิริยากับรีเอเจนต์ต่อไปนี้

-
a. OH, H2O b. H , H2O c. POCl3
+
– +
d. LiAlH4 e. CH3O K

เคมีอินทรีย์ (Org. Chem.) 771


7) จงทำนายสารผลิตภัณฑ์หลัก เมื่อสาร C6H5CN ทำปฏิกิริยากับรีเอเจนต์ต่อไปนี้
-
+
+
a. OH, H2O b. H , H2O c. DIBAL-H, ตามด้วย H
+
d. CH3MgBr, ตามด้วย H

8) จงทำนายสารผลิตภัณฑ์และเสนอกลไกของปฏิกิริยาในแต่ละข้อ

























9) จงทำนายสารผลิตภัณฑ์จากปฏิกิริยาสะปอนนิฟิเคชันของสารต่อไปนี้















10) จงแสดงกลไกของปฏิกิริยาต่อไปนี้

772 อนุพันธ์ของกรดคาร์บอกซิลิก




























11) จงทำนายสารผลิตภัณฑ์จากปฏิกิริยาต่อไปนี้


Click to View FlipBook Version