The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แนวข้อสอบเอกวิทยาศาสตร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by maruding.pe, 2021-03-18 04:32:24

แนวข้อสอบเอกวิทยาศาสตร์

แนวข้อสอบเอกวิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 1

คำนำ

คู่มือเตรียมสอบ เพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ เป็นข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ภาค ข ความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง วิชาเอก
วิทยาศาสตร์ (คะแนนเต็ม 75 คะแนน) เป็นวิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง ท่ีนำมาใช้
สอบแข่งขัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ ปฏิภาณไหวพรบิ สามารถคิด
วเิ คราะห์ แกป้ ัญหาและไตร่ตรองไดด้ ี

คู่มอื เตรยี มสอบ เพือ่ บรรจแุ ละแตง่ ต้งั บุคคลเขา้ รบั ราชการ เป็นขา้ ราชการครแู ละบุคลากร
ทางการศกึ ษา ตำแหนง่ ครูผู้ชว่ ย ภาค ข ความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง วิชาเอก
วิทยาศาสตร์ เลม่ น้ี ได้จดั ทำขน้ึ โดยยึดหลักสตู รและเน้ือหาทใ่ี ชส้ อบ

ซ่ึงเนอื้ หาในการเรียบเรยี ง ผู้จัดทำไดย้ ึดหลกั และเนอื้ หา ดังน้ี
1. สรปุ ประเด็นสำคัญของเนอื้ หาแตล่ ะหวั ข้อ
2. ยกตัวอย่างข้อสอบแต่ละเรื่อง พร้อมแนะนำเทคนิคในการทำข้อสอบ เพ่ือให้ผู้อ่าน
ได้ทดลองทำข้อสอบจริงๆ
3. เสริมเทคนิคการจำแตล่ ะเรื่อง
4. สรปุ ขอ้ สอบโดยการคัดกรองขอ้ สอบของหนว่ ยงานต่างๆ ท่ีใชใ้ นการพจิ ารณาบุคลากรแต่ละปี
ผู้จัดทำ หวังเป็นอยา่ งย่ิงว่า คู่มือเตรยี มสอบ เพ่อื บรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ เป็น
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ภาค ข ความรู้ความสามารถเฉพาะ
ตำแหน่ง วิชาเอกวิทยาศาสตร์ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่กำลังเตรียมตัวเข้ารับการสอบคัดเลือก ได้
เปน็ อย่างดี

ดว้ ยความปรารถนาดี
รองไผ่

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

2 ค่มู อื เตรยี มสอบ 1
3
สารบญั 70
วทิ ยาศาสตรก์ ้าวหนา้ ประเทศชาตกิ ้าวไกล 88
สาระท่ี 1 ส่ิงมีชวี ติ กบั กระบวนการดำรงชวี ติ 135
สาระท่ี 2 ชวี ติ กับสงิ่ แวดลอ้ ม 152
สาระที่ 3 สารและสมบัตขิ องสาร 166
สาระที่ 4 แรงและการเคลื่อนท่ี 223
สาระที่ 5 งานและพลงั งาน 250
สาระที่ 6 กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก 253
สาระที่ 7 ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ 273
ตัวอยา่ งแนวข้อสอบ 274
รวมโจทย์วิทยาศาสตร์เรอ่ื งที่ออกบอ่ ยชุดที่ 1 278
เฉลยรวมโจทย์วิทยาศาสตร์ชุดที่ 1
รวมโจทย์วทิ ยาศาสตรท์ ่ีออกบอ่ ย ชุดที่ 2
เฉลยรวมโจทย์วิทยาศาสตรช์ ดุ ที่ 2

ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 3

คำสง่ั กระทรวงศกึ ษาธิการ
ที่ สพฐ. 1239 / 2560
เรอ่ื ง ใหใ้ ช้มาตรฐานการเรียนร้แู ละตัวชี้วดั กล่มุ สาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ และสาระ
ภมู ิศาสตร์ ในกลมุ่ สาระการเรียนรสู้ งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551
---------------------------------
เพอ่ื ใหก้ ารจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสอดคลอ้ งกบั การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม
วฒั นธรรม สภาพแวดลอ้ ม และความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยที ่ีเจรญิ ก้าวหน้าอยา่ งรวดเรว็
เปน็ การพัฒนาและเสรมิ สร้างศกั ยภาพคนของชาตใิ ห้สามารถเพ่ิมขีดความสามารถในการแข่งขัน
ของประเทศ การยกระดบั คุณภาพการศึกษาและการเรยี นรู้ใหม้ คี ณุ ภาพและมาตรฐาน
ระดบั สากล สอดคลอ้ งกับประเทศไทย 4.0 โลกในศตวรรษท่ี 21 และทัดเทยี มกบั นานาชาติ ผเู้ รียนมี
ศักยภาพในการแข่งขนั และดารงชวี ติ อยา่ งสรา้ งสรรคใ์ นประชาคมโลก ตามหลักปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียง ฉะนั้น อาศยั อานาจตามความในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติการศกึ ษา
แห่งชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแกไ้ ขเพม่ิ เติม (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. 2545 และมาตรา ๑๒ แห่ง
พระราชบญั ญัติระเบียบราชการกระทรวงศกึ ษาธกิ าร พ.ศ. 2546 กระทรวงศกึ ษาธิการจงึ
ประกาศใชม้ าตรฐานการเรียนรู้และตัวชว้ี ัด กลมุ่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระ
ภูมศิ าสตร์ ในกลมุ่ สาระการเรียนร้สู ังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ดงั ปรากฏแนบท้ายคาส่ังน้ี แทน
มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตัวชว้ี ัด กลุ่มสาระการเรยี นร้คู ณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ และสาระ
ภมู ิศาสตร์ ในกลุม่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ในหลักสตู รแกนกลาง
การศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 เง่ือนไขและระยะเวลาการใชม้ าตรฐานการเรยี นรูแ้ ละ
ตวั ชว้ี ัด กลุ่มสาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้
สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) ให้เป็นไป ดังนี้
ปีการศึกษา 2561 ให้ใชใ้ นช้ันประถมศึกษาปีที่ 1 และ 4 และช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 และ 4
ปีการศกึ ษา 2562 ให้ใช้ในชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 1 2 4 และ 5 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 124และ 5
ต้งั แต่ปกี ารศึกษา 2563 เป็นตน้ ไป ให้ใชใ้ นทุกชน้ั เรียน
ให้เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พนื้ ฐานมีอานาจในการยกเลกิ เพ่มิ เตมิ เปลีย่ นแปลง
มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชว้ี ัด กล่มุ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ และสาระ

ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

4 ค่มู อื เตรยี มสอบ

ภมู ศิ าสตร์ ในกลุ่มสาระการเรียนร้สู ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551

สง่ั ณ วนั ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2560
(นายธรี ะเกยี รติ เจรญิ เศรษฐศลิ ป์)
รฐั มนตรีว่าการกระทรวงศกึ ษาธิการ

กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
สาระที่ ๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ
มาตรฐาน ว ๑.๑ เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสมั พันธ์ระหว่างสิง่ ไม่มีชีวิต

กบั สง่ิ มีชวี ติ และความสมั พันธ์ระหวา่ งส่งิ มีชวี ิตกบั สิ่งมชี วี ิตต่างๆ ในระบบ
นิเวศ การถา่ ยทอดพลังงาน การเปล่ียนแปลงแทนท่ีในระบบนิเวศ
ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีตอ่ ทรัพยากรธรรมชาติ
และสง่ิ แวดล้อม แนวทางในการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแกไ้ ข
ปญั หาสิ่งแวดล้อม รวมท้งั นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว ๑.๒ เขา้ ใจสมบัติของส่งิ มชี วี ติ หน่วยพ้นื ฐานของส่ิงมีชีวิต การลาเลียงสารเขา้
และออกจากเซลล์ ความสมั พันธข์ องโครงสรา้ ง และหน้าทีข่ องระบบต่างๆ
ของสัตวแ์ ละมนุษย์ท่ีทางานสัมพนั ธ์กัน ความสัมพนั ธข์ องโครงสรา้ ง และ
หน้าที่ของอวยั วะตา่ งๆ ของพืชที่ทางานสมั พันธ์กัน รวมทั้งนาความรูไ้ ปใช้
ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๑.๓ เขา้ ใจกระบวนการและความสาคญั ของการถา่ ยทอดลักษณะทาง
พนั ธุกรรม สารพันธุกรรม การเปล่ยี นแปลงทางพนั ธุกรรมท่ีมผี ลตอ่
ส่งิ มีชีวติ ความหลากหลายทางชวี ภาพและวิวัฒนาการของสงิ่ มีชวี ิต
รวมทงั้ นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
หมายเหตุ: มาตรฐาน ว ๑.๑ - ว ๑.๓ สาหรับผูเ้ รียนในระดบั ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 1 ถึงระดับชัน้
มัธยมศึกษา ปีท่ี 3 และผเู้ รยี นในระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 – 6 ทไี่ มเ่ น้นวิทยาศาสตร์

สาระที่ ๒ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 5

มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พันธ์ระหว่างสมบัติ
ของสสารกับโครงสรา้ งและแรงยดึ เหนีย่ วระหวา่ งอนภุ าค หลักและ
ธรรมชาติของการเปลีย่ นแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และ
การเกิดปฏิกริ ิยาเคมี

มาตรฐาน ว ๒.๒ เขา้ ใจธรรมชาตขิ องแรงในชวี ิตประจาวัน ผลของแรงทกี่ ระทาต่อวตั ถุ
ลักษณะการเคลื่อนที่แบบต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์

มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลงั งาน การเปล่ยี นแปลงและการถ่ายโอนพลงั งาน
ปฏิสัมพันธร์ ะหว่างสสารและพลงั งาน พลงั งานในชวี ติ ประจาวนั ธรรมชาติ
ของคล่ืน ปรากฏการณ์ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั เสยี ง แสง และคล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้
รวมท้ังนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

หมายเหตุ: มาตรฐาน ว 2.๑ - ว 2.๓ สาหรับผเู้ รียนในระดบั ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงระดับช้ัน
มัธยมศกึ ษา ปีที่ 3 และผู้เรยี นในระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 – 6 ทีไ่ ม่เน้นวทิ ยาศาสตร์
สาระท่ี ๓ วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๑ เขา้ ใจองคป์ ระกอบ ลักษณะ กระบวนการเกดิ และวิวฒั นาการของเอกภพ

กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุรยิ ะ รวมทง้ั ปฏสิ ัมพันธภ์ ายในระบบสรุ ิยะ
ท่ีสง่ ผลต่อสงิ่ มชี ีวติ และการประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยอี วกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสมั พันธข์ องระบบโลก กระบวนการ
เปล่ียนแปลงภายในโลก และบนผวิ โลก ธรณีพิบตั ิภัย กระบวนการ
เปล่ยี นแปลงลม ฟ้า อากาศ และภูมอิ ากาศโลก รวมทัง้ ผลต่อสงิ่ มีชีวติ และ
ส่งิ แวดลอ้ ม
หมายเหตุ: มาตรฐาน ว 3.๑ และ ว 3.2 สาหรับผู้เรียนทุกคนในระดับชั้นประถมศึกษาปที ่ี 1 ถึง
ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 และผู้เรียนในระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 – 6 ท่ไี ม่เน้นวิทยาศาสตร์

สาระท่ี ๔ ชีววิทยา เข้าใจธรรมชาติของสิ่งมีชีวติ การศกึ ษาชวี วิทยาและวธิ กี ารทาง
มาตรฐาน ว ๔.๑ วทิ ยาศาสตร์ สารทเี่ ป็นองคป์ ระกอบของสง่ิ มชี วี ิต ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์
ของส่งิ มชี วี ิต กลอ้ งจุลทรรศน์ โครงสรา้ งและหนา้ ที่ของเซลล์ การลาเลียง
สารเข้าและออกจากเซลล์ การแบง่ เซลล์ และการหายใจระดบั เซลล์

ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

6 คมู่ อื เตรยี มสอบ

มาตรฐาน ว ๔.๒ เขา้ ใจการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม
สมบัติและหน้าท่ีของสารพันธุกรรม การเกดิ มวิ เทชัน เทคโนโลยที างดเี อน็
เอ หลักฐาน ข้อมลู และแนวคิดเก่ียวกับวิวัฒนาการของสิง่ มีชีวติ ภาวะ
สมดลุ ของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก การเกิด สปชี ีส์ใหม่ ความหลากหลายทาง
ชวี ภาพ กาเนดิ ของสิง่ มีชวี ิต ความหลากหลายของสง่ิ มีชีวิต และ
อนุกรมวิธาน รวมทั้งนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์

มาตรฐาน ว ๔.๓ เขา้ ใจส่วนประกอบของพชื การแลกเปลยี่ นแกส๊ และคายน้าของพชื การลา
เลยี งของพชื การสงั เคราะห์ด้วยแสง การสืบพนั ธขุ์ องพืชดอกและการ
เจรญิ เตบิ โต และการตอบสนองของพชื รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์

มาตรฐาน ว ๔.๔ เขา้ ใจการย่อยอาหารของสตั ว์และมนษุ ย์ รวมทงั้ การหายใจและการ
แลกเปลย่ี นแก๊ส การลาเลยี งสารและการหมนุ เวยี นเลอื ด ภมู คิ มุ้ กนั ของ
รา่ งกาย การขบั ถ่าย การรบั รู้และการตอบสนอง การเคลื่อนท่ี การ
สบื พันธ์ุและการเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับการรักษาดุลยภาพ และ
พฤติกรรมของสัตว์ รวมทง้ั นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์

มาตรฐาน ว ๔.๕ เข้าใจแนวคิดเกีย่ วกบั ระบบนิเวศ กระบวนการถา่ ยทอดพลังงานและการ
หมนุ เวยี นสาร ในระบบนิเวศ ความหลากหลายของไบโอม การ
เปล่ียนแปลงแทนที่ของสิ่งมชี ีวติ ใน ระบบนเิ วศ ประชากรและรปู แบบการ
เพิ่มของประชากร ทรัพยากรธรรมชาติและ สง่ิ แวดล้อม ปัญหา และ
ผลกระทบทีเ่ กดิ จากการใชป้ ระโยชน์ และแนวทางการแก้ไข ปญั หา

หมายเหต:ุ มาตรฐาน ว ๔.๑ – ว ๔.๕ สาหรับผ้เู รยี นในระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 – 6 ท่เี น้น
วทิ ยาศาสตร์
สาระที่ ๕ เคมี
มาตรฐาน ว ๕.๑ เขา้ ใจโครงสรา้ งอะตอม การจัดเรยี งธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ

พนั ธะเคมีและสมบัตขิ องสาร แกส๊ และสมบัตขิ องแกส๊ ประเภทและสมบัติ
ของสารประกอบอินทรียแ์ ละพอลเิ มอร์ รวมทั้งการนาความรู้ไปใช้
ประโยชน์

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 7

มาตรฐาน ว ๕.๒ เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมี ปรมิ าณสมั พนั ธใ์ นปฏกิ ิรยิ าเคมี
อตั ราการเกิดปฏิกิริยาเคมี สมดลุ ในปฏกิ ริ ิยาเคมี สมบตั ิและปฏิกิรยิ าของ
กรด–เบส ปฏิกริ ิยารีดอกซแ์ ละเซลลเ์ คมีไฟฟ้า รวมทั้งการนาความรู้ไปใช้
ประโยชน์

มาตรฐาน ว ๕.๓ เข้าใจหลักการทาปฏิบัติการเคมี การวัดปริมาณสาร หนว่ ยวดั และการ
เปล่ียนหนว่ ย การคำนวณปริมาณของสาร ความเขม้ ข้นของสารละลาย
รวมท้ังการบรู ณาการความรแู้ ละทกั ษะในการอธิบายปรากฏการณ์ในชีวิต
ประจาวันและการแกป้ ัญหาทางเคมี

หมายเหต:ุ มาตรฐาน ว 5.๑ – ว 5.3 สาหรับผู้เรียนในระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 – 6 ท่ีเนน้
วิทยาศาสตร์
สาระท่ี ๖ ฟิสิกส์
มาตรฐาน ว ๖.๑ เขา้ ใจธรรมชาติทางฟสิ กิ ส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลอ่ื นทแ่ี นว

ตรง แรงและกฎการเคล่ือนท่ีของนวิ ตัน กฎความโนม้ ถว่ งสากล แรงเสียด
ทาน สมดุลกลของวัตถุ งาน และกฎการอนุรกั ษพ์ ลังงานกล โมเมนตมั และ
กฎการอนุรักษโ์ มเมนตมั การเคลื่อนทแ่ี นวโค้ง รวมท้ังนาความรู้ไปใช้
ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๖.๒ เข้าใจการเคลื่อนทแี่ บบฮารม์ อนกิ สอ์ ย่างง่าย ธรรมชาติของคลืน่ เสียงและ
การได้ยิน ปรากฏการณ์ท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั เสยี ง แสงและการเห็น
ปรากฏการณ์ทเ่ี กย่ี วข้องกับแสง รวมท้งั นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๖.๓ เข้าใจแรงไฟฟ้าและกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟา้ ศักย์ไฟฟา้ ความจไุ ฟฟ้า
กระแสไฟฟ้า และกฎของโอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลงั งานไฟฟา้ และ
กาลังไฟฟา้ การเปลย่ี นพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟา้ สนามแม่เหลก็
แรงแมเ่ หลก็ ทกี่ ระทากบั ประจไุ ฟฟ้า และกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนา
แม่เหล็กไฟฟ้าและกฎของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลับ คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้
และการส่ือสาร รวมทั้งนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว ๖.๔ เขา้ ใจความสัมพนั ธ์ของความร้อนกบั การเปลยี่ นอุณหภูมแิ ละสถานะของ
สสาร สภาพยืดหยุ่นของวสั ดุ และมอดุลัสของยัง ความดนั ในของไหล แรง
พยงุ และหลกั ของอาร์คมิ ดี สี ความตึงผวิ และแรงหนืดของของเหลว ของ
ไหลอดุ มคติ และสมการแบร์นลู ลี กฎของแกส๊ ทฤษฎีจลน์ของแกส๊ อดุ มคติ

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

8 ค่มู อื เตรยี มสอบ

และพลังงานในระบบ ทฤษฎอี ะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอเิ ล็กทริก
ทวิภาวะของคล่ืนและอนภุ าค กมั มันตภาพรังสี แรงนวิ เคลียร์ ปฏิกริ ยิ า
นิวเคลียร์ พลงั งานนิวเคลียร์ ฟสิ กิ สอ์ นุภาค รวมท้งั นาความรไู้ ปใช้
ประโยชน์
หมายเหตุ: มาตรฐาน ว 6.๑ – ว 6.4 สาหรบั ผู้เรียนในระดับชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 – 6 ที่เน้น
วทิ ยาศาสตร์
สาระท่ี ๗ โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
มาตรฐาน ว ๗.๑ เข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก ธรณีพิบัติภัยและผลต่อ
สง่ิ มชี วี ิตและส่ิงแวดล้อม การศกึ ษาลาดับชั้นหนิ ทรัพยากรธรณี แผนท่ี
และการนาไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๗.๒ เข้าใจสมดุลพลังงานของโลก การหมนุ เวียนของอากาศบนโลก การ
หมุนเวยี นของนา้ ในมหาสมุทร การเกิดเมฆ การเปล่ียนแปลงภูมิอากาศ
โลกและผลต่อสงิ่ มชี ีวติ และส่งิ แวดลอ้ ม รวมทงั้ การพยากรณ์อากาศ
มาตรฐาน ว ๗.๓ เขา้ ใจองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกดิ และวิวฒั นาการของเอกภพ
กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุรยิ ะ ความสัมพันธ์ของดาราศาสตร์กบั
มนุษยจ์ ากการศึกษาตาแหนง่ ดาวบนทรงกลมฟ้าและปฏิสมั พนั ธภ์ ายใน
ระบบสุริยะ รวมทัง้ การประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ
หมายเหตุ: มาตรฐาน ว ๗.๑ – ว ๗.๓ สาหรับผเู้ รียนในระดบั ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 – 6 ทเ่ี น้น
วทิ ยาศาสตร์
สาระท่ี ๘ เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว ๘.๑ เข้าใจแนวคดิ หลักของเทคโนโลยเี พอื่ การดารงชวี ิตในสงั คมทีม่ กี าร
เปลี่ยนแปลงอยา่ งรวดเรว็ ใชค้ วามรู้และทักษะทางดา้ นวิทยาศาสตร์
คณติ ศาสตร์ และศาสตร์อน่ื ๆ เพอ่ื แก้ปญั หาหรือพัฒนางานอย่างมี
ความคิดสรา้ งสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม เลือกใช้
เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคานงึ ถงึ ผลกระทบต่อชวี ติ สงั คม และ
สง่ิ แวดล้อม

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 9

มาตรฐาน ว ๘.๒ เขา้ ใจและใช้แนวคดิ เชงิ คำนวณในการแก้ปญั หาทพ่ี บในชีวิตจริงอยา่ งเปน็
ขน้ั ตอนและเปน็ ระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สารในการ
เรียนรู้ การทางาน และการแก้ปญั หาได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ รเู้ ท่าทัน
และมจี ริยธรรม

หมายเหต:ุ มาตรฐาน ว 8.๑ สาหรับผูเ้ รียนในระดับชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 –6

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

10 คมู่ อื เตรยี มสอบ

วิทยาศาสตร์กา้ วหนา้ ประเทศชาติก้าวไกล

ทำไมต้องเรียนวิทยาศาสตร์
วทิ ยาศาสตร์มบี ทบาทสำคญั ย่ิงในสังคมโลกปัจจบุ นั และอนาคต เพราะวทิ ยาศาสตร์

เกี่ยวข้องกบั ทุกคนทงั้ ในชีวติ ประจำวันและการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เครอ่ื งมือ
เคร่ืองใชแ้ ละผลผลติ ต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้ใชเ้ พื่ออำนวยความสะดวกในชวี ิตและการทำงาน เหลา่ นีล้ ว้ น
เปน็ ผลของความรู้วทิ ยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคดิ สร้างสรรค์และศาสตร์อื่น ๆ วทิ ยาศาสตรช์ ว่ ย
ให้มนษุ ย์ ได้พฒั นาวิธีคิด ทัง้ ความคิดเปน็ เหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คดิ วิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะ
สำคญั ในการคน้ คว้าหาความรู้ มคี วามสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งเป็นระบบ สามารถตดั สินใจ
โดยใช้ข้อมูลทีห่ ลากหลายและมีประจกั ษ์พยานที่ตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลก
สมัยใหม่ซึง่ เป็นสงั คมแห่งการเรยี นรู้ (knowledge-based society) ดงั น้ันทกุ คนจึงจำเป็นต้องได้รับ
การพัฒนาให้รวู้ ิทยาศาสตร์ เพอ่ื ทจี่ ะมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาตแิ ละเทคโนโลยที ีม่ นุษย์
สรา้ งสรรค์ขึ้น สามารถนำความรู้ไปใช้อย่างมเี หตุผล สร้างสรรค์ และมคี ุณธรรม

เรยี นร้อู ะไรในวทิ ยาศาสตร์
กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวงั ใหผ้ ู้เรียนไดเ้ รียนรู้วิทยาศาสตรท์ เ่ี นน้ การเชื่อมโยง

ความรูก้ ับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการคน้ คว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใชก้ ระบวนการใน
การสบื เสาะหาความรู้ และการแก้ปญั หาที่หลากหลาย ใหผ้ เู้ รียนมสี ว่ นรว่ มในการเรยี นรู้
ทุกข้ันตอน มีการทำกิจกรรมดว้ ยการลงมอื ปฏิบตั ิจรงิ อย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับชัน้ โดยได้
กำหนดสาระสำคญั ไว้ดงั นี้

สิ่งมีชวี ติ กับกระบวนการดำรงชวี ิต ส่งิ มีชวี ติ หน่วยพนื้ ฐานของสิง่ มีชีวิต โครงสร้างและ
หน้าท่ขี องระบบต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต และกระบวนการดำรงชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ
การถา่ ยทอดทางพนั ธุกรรม การทำงานของระบบตา่ ง ๆ ของสิ่งมชี วี ิต วิวัฒนาการและความ
หลากหลายของสงิ่ มชี วี ติ และเทคโนโลยีชวี ภาพ

ชีวิตกบั สิ่งแวดล้อม สิ่งมชี ีวติ ทีห่ ลากหลายรอบตัว ความสัมพันธร์ ะหวา่ งส่งิ มีชวี ิตกบั
สง่ิ แวดลอ้ ม ความสัมพันธ์ของสิง่ มีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนเิ วศ ความสำคญั ของทรัพยากรธรรมชาติ

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 11

การใช้และจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ในระดบั ท้องถนิ่ ประเทศ และโลก ปัจจยั ทีม่ ผี ลต่อการอยรู่ อด
ของสิง่ มชี วี ติ ในสภาพแวดลอ้ มตา่ ง ๆ

สารและสมบตั ิของสาร สมบัตขิ องวสั ดุและสาร แรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค การเปลย่ี น
สถานะ การเกิดสารละลายและการเกิดปฏิกริ ิยาเคมขี องสาร สมการเคมี และการแยกสาร

แรงและการเคล่ือนที่ ธรรมชาตขิ องแรงแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ แรงโน้มถว่ ง แรงนวิ เคลยี ร์
การออกแรงกระทำต่อวัตถุ การเคล่ือนที่ของวัตถุ แรงเสียดทาน โมเมนตก์ ารเคล่ือนทแี่ บบต่าง ๆ ใน
ชวี ติ ประจำวัน

พลงั งาน พลังงานกบั การดำรงชีวิต การเปลี่ยนรปู พลังงาน สมบตั แิ ละปรากฏการณข์ อง
แสง เสียง และวงจรไฟฟ้า คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า กัมมนั ตภาพรังสแี ละปฏิกิรยิ านิวเคลยี ร์ ปฏิสัมพนั ธ์
ระหวา่ งสารและพลังงานการอนรุ กั ษ์พลงั งาน ผลของการใช้พลังงานตอ่ ชวี ิตและสง่ิ แวดลอ้ ม

กระบวนการเปล่ียนแปลงของโลก โครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของโลก ทรัพยากรทาง
ธรณี สมบตั ิทางกายภาพของดิน หิน นำ้ อากาศ สมบัติของผวิ โลก และบรรยากาศ กระบวนการ
เปลย่ี นแปลงของเปลือกโลก ปรากฏการณ์ทางธรณี ปัจจยั ทม่ี ีผลตอ่ การเปลย่ี นแปลงของบรรยากาศ

ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ วิวฒั นาการของระบบสรุ ยิ ะ กาแล็กซี เอกภพ ปฏสิ มั พันธ์และผล
ต่อสง่ิ มชี วี ติ บนโลก ความสมั พันธ์ของดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และโลก ความสำคญั ของเทคโนโลยี
อวกาศ

ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสืบเสาะหา
ความรู้ การแก้ปญั หา และจิตวิทยาศาสตร์

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

12 คมู่ อื เตรยี มสอบ

สาระที่ 1 สิง่ มีชวี ิตกับกระบวนการดำรงชีวิต

บทที่ 1 หนว่ ยของสิ่งมีชีวติ

ในโลกของเรามีสงิ่ มีชีวิตหลายๆชนดิ ในแตล่ ะชนิดจะมีทั้งขนาด รูปร่าง และลกั ษณะ
เฉพาะท่ีแตกต่างกนั อย่างหลากหลายและในสิ่งมชี ีวติ ลว้ นประกอบดว้ ยหนว่ ยยอ่ ยขนาดเลก็ ๆ
เรยี กว่า เซลล์ (Cell)

1 เซลล์ (Cell) คอื หน่วยทเ่ี ลก็ ท่สี ดุ ทำหนา้ ทใ่ี นการดำรงชวี ติ ได้อย่างสมบรู ณ์ มีการ
ขยายพันธ์ุ และมกี ารเจรญิ เติบได้

สิง่ มีชีวติ บางชนดิ เปน็ สิ่งมีชีวติ เซลล์เดยี ว (unicellular organism) เชน่ แบคทเี รยี ยีสต์แต่
สง่ิ มชี ีวติ ชนิดอืน่ เช่น พืช สัตว์ เปน็ ส่ิงมีชวี ติ หลายเซลล์ (multicellular organism) (มนุษยม์ ีเซลล์
อยู่ประมาณ 100 ล้านลา้ น หรือ 1014 เซลล์)

2 คณุ สมบัตขิ องเซลล์แตล่ ะเซลลม์ อี งค์ประกอบและดำรงชีวติ ไดด้ ้วยตวั ของมันเอง
โดยการนำสารอาหารเขา้ ไปในเซลล์และเปล่ยี นสารอาหารให้กลายเป็นพลงั งานเพื่อการดำรงชวี ติ
และการสบื พันธุ์ เซลล์มีความสามารถหลายอย่างดังน้ี

เพิ่มจำนวนโดยการแบ่งเซลล์
เมทาบอลซิ ึมของเซลล์ (cell metabolism) ประกอบด้วย การลำเลียงวัตถุดิบเข้าเซลล์,

การสร้างสว่ นประกอบของเซลล์, การสรา้ งพลงั งานและโมเลกุล และปลอ่ ย
ผลิตภัณฑ์ออกมา การทำงานของเซลลข์ น้ึ กบั ความสามารถในการสกดั และใช้
พลงั งานเคมีทีส่ ะสมในโมเลกุลของสารอนิ ทรยี ์ พลังงานเหลา่ น้จี ะได้จากวธิ เี มทาบอ
ลซิ มึ (metabolic pathway)
การสังเคราะหโ์ ปรตีนเพ่ือใชใ้ นระบบการทำงานของเซลล์ เชน่ เอนไซม์ โดยเฉพาะเซลล์ของ
สัตวเ์ ล้ียงลกู ด้วยนมจะมีโปรตีนตา่ ง ๆ ถึง 10,000 ชนดิ
ตอบสนองตอ่ สง่ิ กระต้นุ ท้ังภายนอกและภายใน เช่น การเปล่ยี นแปลงอณุ หภมู ิ pH หรือ
ระดบั อาหาร

ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 13

การขนส่งของเวสิเคิล (vesicle)ประเภทของเซลล์วธิ กี ารจัดกลุม่ เซลล์ไมว่ า่ เซลล์นน้ั จะอยู่
ตามลำพังหรืออยู่เป็นกลุม่ ได้แก่ สง่ิ มีชวี ิตเซลล์เดียว (unicellular) ซึ่งดำรงชวี ติ เพื่อความอยูร่ อด
จนไปถงึ การอยู่รวมกันเป็นกลุ่มทเี่ รียกว่า โคโลนี (colonial forms) หรือ ส่ิงมชี ีวิตหลายเซลล์
(multicellular) ซึ่งเซลลเ์ หลา่ น้จี ะกลายเปน็ เซลลเ์ ฉพาะทางทีแ่ ตกตา่ งกันหลายรูปแบบ เชน่ เซลล์
ตา่ งๆ ในรา่ งกายมนษุ ย์

โดยสรุป เซลลส์ ามารถแบง่ ได้เป็น 2 รปู แบบคือ

โพรแครโิ อต (prokaryote)เปน็ เซลล์ทีม่ โี ครงสรา้ งอย่างง่าย อาจอยู่เป็นเซลล์
เดี่ยวๆ หรอื รวมกล่มุ เป็นโคโลนี (Colony) ในการจำแนกชน้ั ทางวทิ ยาศาสตร์แบบระบบสาม
โดเมน (three-domain system) ไดจ้ ัดโพรแครโิ อตอยใู่ นโดเมนอาร์เคยี (Archaea) และ
แบคทีเรีย (Eubacteria)

ยูแคริโอต (eukaryote)เป็นเซลล์ทมี่ ีออรแ์ กเนลล์ (organelle) และผนงั ของออร์
แกเนลล์ มตี ั้งแตเ่ ซลล์เดียวเชน่ อะมีบา (amoeba) และเหด็ รา (fungi)หรือเป็นสงิ่ มชี ีวติ หลาย
เซลล์ เช่นพชื และสตั วร์ วมทง้ั สาหรา่ ยสนี ้ำตาล

ภาพเปรยี บเทยี บเซลล์ยแู คริโอต (eukaryotes) และเซลล์โพรแคริโอต (prokaryotes) - รูปน้ี
แสดงเซลลม์ นษุ ย์ (ยแู คริตโอต) และ เซลลแ์ บคทีเรยี (โพรแคริโอต)ด้านซ้ายแสดงโครงสรา้ งภายใน
ของเซลล์ยแู ครโิ อต ซึ่งประกอบดว้ ย นิวเคลยี ส, นิวคลโี อลสั , ไมโทคอนเดรีย, และไรโบโซมรปู
ทางขวาแสดงดเี อ็นเอของแบคทีเรยี ทอี่ ยู่ในโครงสรา้ งทเี่ รียกว่า นิวคลอิ อยด์และโครงสร้างอ่นื ๆ ท่ี
พบในเซลลโ์ พรแคริโอตซ่งึ ประกอบดว้ ย เย่อื หุม้ เซลล์, ผนังเซลล์, แคปซูล, ไรโบโซม, แฟลกเจลลมั

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

14 คมู่ อื เตรยี มสอบ

4 องค์ประกอบของเซลล์พืช โดยท่ัวไปจะมรี ปู ร่างเป็นเหล่ียม ประกอบด้วยส่วนท่ี
สำคญั คือ ผนงั เซลล์ เย่อื หุ้มเซลล์ ไซโทพลาซมึ นวิ เคลยี สคลอโรพลาสต์

5 องคป์ ระกอบของเซลล์สัตว์ ประกอบด้วยสว่ นประกอบพ้ืนฐานท่ีเหมือนกันกบั
เซลลพ์ ืชคือ เยื่อห้มุ เซลล์ ไซโทพลาซมึ และนิวเคลยี สแต่ไม่มผี นงั เซลล์ และภายในไซโทพลาซึมไม่มี
คลอโรพลาสต์เหมือนในเซลล์พชื จึงทำใหส้ ัตวส์ รา้ งอาหารเองไม่ได้

6 ผนงั เซลล์ (Cell Wall)พบในเซลลพ์ ืชเทา่ น้นั เปน็ สว่ นที่อยู่นอกสุดของเซลล์
ลักษณะเปน็ ผนงั แขง็ ไม่มชี วี ิตและสมารถยืดหยุ่นได้ดี ประกอบด้วยสารพวก เซลลโู ลส(Cellulose)
ซเู บอรนิ (Suberin) ลกิ นนิ (Lignin) เพคตนิ (Pectin) ควิ ติน(Cutin) ผนงั เซลลม์ สี มบตั ิยอมใหส้ าร
เกอื บทุกชนดิ ผ่านเข้าออกเซลลไ์ ด้อย่างสะดวก ผนงั เซลลท์ ำหนา้ ทส่ี ร้างความแขง็ แรงทำใหเ้ ซลล์คง
รูปรา่ งอยูไ่ ด้และป้องกนั อันตรายใหแ้ ก่เซลล์

7 เยอ่ื หุ้มเซลล์ (Cell Membrane)เป็นเยื่อทม่ี ีชวี ติ ลกั ษณะเป็นช้นั บางๆ ยืดหยุ่น
ได้ มีสมบัติเปน็ เยื่อเลอื กผ่านโดยจะยอมใหโ้ มเลกลุ ของสารบางอย่างผา่ นไดด้ ี และบางอยา่ งผ่านได้
ยาก และไม่ยอมใหโ้ มเลกลุ ใหญๆ่ ผ่านได้ เยอ่ื หุ้มเซลล์ทำหนา้ ทคี่ วบคุมปริมาณและชนิดของสารท่ี
ผา่ นเขา้ ออกเซลล์ ห่อหุ้มเซลล์ทำให้เซลล์คงรูปอยู่ได้

ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 15

8 ไซโทพลาสซึม (Cytoplasm)ลกั ษณะเป็นของกงึ่ เหลวที่ข้นนอ้ ยกวา่ ภายใน
นวิ เคลยี ส ประกอบด้วย คลอโรพลาสต์ ไมโทคอนเดรยี ไรโบโซม แวคิวโอล เอนโดพลาสมกิ เรติคูลมั
นำ้ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เกลอื แร่ต่างๆและของเสีย ไซโทพลาสซมึ จะไหลเวยี นอยู่ในเซลล์และมี
การเปลย่ี นแปลงทางเคมีอยู่ตลอดเวลา

9 นวิ เคลยี ส (Nucleus)เป็นสว่ นประกอบทีส่ ำคัญทสี่ ุดของเซลลพ์ บอยใู่ นไซโทพลา
ซึม ลกั ษณะข่อนข้างกลม นิวเคลียสแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ

เยือ่ หุ้มนวิ เคลียส ลักษณะคล้ายเยือ่ หุม้ เซลล์ มีสมบตั ิเป็นเย่อื เลอื กผ่าน
โดยมรี เู ลก็ ๆ กระจายอยทู่ วั่ ไปเพือ่ เปน็ ทางแลกเปลี่ยนสารระหวา่ งนิวเคลยี สกับไซ
โทพลาซึม

สารในนวิ เคลียส เช่น นวิ คลีโอลัส และโครมาติน ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง
สำหรบั เกดิ ปฏิกิริยาเคมีตา่ งๆนิวเคลียสมหี น้าท่ี ควบคุมการทำงานของเซลล์
การเจริญเติบโต และการถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรมจากพ่อแม่ไปสู่ลูก
10 คลอโรพลาสต์(Choroplast)พบเฉพาะในพืช ลกั ษณะเป็นเม็ดสีเขียว พบมากท่ี
บริเวณใบของพืช ภายในประกอบดว้ ยสารคลอโรฟิลลซ์ ึ่งเปน็ ปัจจัยสำคัญตอ่ การสังเคราะห์ด้วยแสง
11 คลอโรฟิลล์ (Chorophyll)เปน็ รงควัตถสุ ีเขยี วพบในคลอโรพลาสต์ของเซลลพ์ ืช มี
หนา้ ทด่ี ดู กลืนแสงจากดวงอาทิตยม์ าใช้ประโยชนใ์ นการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงของพชื โดยทำให้
เกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมเี ปลย่ี นพลงั งานแสงเป็นพลังงานเคมีในอาหาร คือ กลโู คส
12 ไมโทคอนเดรีย(Mitochondria)เป็นโครงสร้างท่มี ีลักษณะท่ีมีลักษณะยาวเป็น
เเหล่งผลติ สารที่มพี ลงั งานสูงใหเ้ เก่เซลล์
13 ไรโบโซม(Ribosome) เป็นโครงสรา้ งท่มี ขี นาดเลก็ เป็นเเหลง่ ท่มี ีขนาดเล็ก เป็น
เเหลง่ ทีม่ ีการการสงั เคราะหโ์ ปรตนี เพอ่ื ส่งออกไปใชน้ อกเซลล์
14 เอนโดพลาสมิกเรตคิ รู มั (Endoplasmic Reticulum)มีลกั ษณะเปน็ เยือ่ บาง ๆ
สองช้นั เรยี งทบไปทบมาคลา้ ยถงุ แบน ๆ แบ่งออกเปน็ 2 ชนิด คอื ชนิดท่ีมีไรโบโซมเกาะอยู่ ทำหน้าที่
สังเคราะห์โปรตีนและเปน็ ทางสง่ โปรตีนนีอ้ อกนอกเซลล์ และชนดิ ท่ไี ม่มไี รโบโซมเกาะอยู่
15 เเวคิวโอล (Vaculoe) มลี กั ษณะเปน็ ถงุ ใสที่มีขนาดและรูปร่างไม่แนน่ อนทำหน้าท่ี
ควบคุมปรมิ าณนำ้ ในเซลล์ สะสมน้ำ เก็บอาหาร และขับของเสียท่ีเปน็ ของเหลว

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

16 ค่มู อื เตรยี มสอบ

16 เซลล์ในส่วนตา่ งๆ ของร่างกายสตั ว์ จะมรี ูปร่างและขนาดแตกตา่ งกนั ตามชนดิ
และหนา้ ทข่ี องเซลล์น้นั ๆ เช่น

เซลลป์ ระสาท รูปรา่ งบางสว่ นเป็นแฉก บางส่วนยาว เหมาะสมสำหรบั การรับและ
สง่ กระแสประสาทไปยงั สว่ นต่างๆ ของร่างกายได้อย่างรวดเรว็

เซลล์กล้ามเน้ือลาย ลักษณะเป็นเสน้ ใยกล้ามเนื้อรูปทรงกระบอกเปน็ แถบลายขาว
ดำสลับกัน

เซลลก์ ลา้ มเน้อื เรียบ ลักษณะรปู รา่ งทรงกระสวยเรยี งตวั สลับกันเปน็ ผืนและหดตวั
ได้งา่ ย

เซลลเ์ ย่อื บุข้างแก้ม ลกั ษณะรูปร่างค่อนขา้ งกลม แบน ทำใหพ้ นื้ ผิวปากเรียบล่ืน
เซลล์เมด็ เลอื ดแดง ลักษณะรูปร่างกลมไมม่ ีนวิ เคลียส ประกอบด้วยสารท่ีมสี ีแดง
เนอื่ งจากภายในมสี ารฮีโมโกลบิน
17 เซลล์ทท่ี ำหนา้ ท่เี ฉพาะบางชนดิ ของพืชใบของพืชยงั มีเซลล์อกี ชนดิ หน่งึ ที่มี
ลักษณะคล้ายเมล็ดถวั่ อยดู่ ้วยกันเป็นคู่ ๆ โดยหันดา้ นเว้าเข้าหากัน เรยี กว่า เซลล์คุม (Guard
cell)ภายในเซลล์คุมจะมีคลอโรพลาสต์ ซ่งึ เซลลผ์ ิวธรรมดาไม่มีเซลล์คุม มีหนา้ ที่ควบคุมการเปิดและ
ปดิ ปากใบซึ่งเป็นช่องอยูร่ ะหว่างเซลลค์ ุมท้ัง 2 เซลลป์ ากใบเป็นทางท่ีพชื ใชใ้ นการคายนำ้ ออกจาก
เซลลพ์ ชื และยงั ทำหนา้ ทีร่ ับน้ำและแกส๊ จากบรรยากาศเข้าสใู่ บได้
18 ปากใบ ทำหนา้ ท่เี ป็นทางแลกเปลย่ี นแก๊สและไอนำ้ ระหว่างภายในและภายนอกใบ
19 ลกั ษณะของส่ิงมีชวี ติ เซลล์เดยี ว รา่ งกายประกอบดว้ ยเซลล์เพียงเซลล์เดยี ว
รา่ งกายมหี ลายสมมาตรหลายแบบ โครงสร้างห่อหมุ้ รา่ งกายเปน็ เยือ่ หุ้มเซลล์ นิวเคลียสมีเย่อื ห้มุ มี
ออร์แกเนลลเ์ ป็นสว่ นประกอบทเ่ี ทียบได้กบั อวัยวะ ในการขับถา่ ยของเสยี ของเสยี จะถูกกำจัดออก
นอกร่างกายโดยการแพร่ออกทางเยือ่ หุ้มเซลล์ มีการสบื พนั ธุ์ 2 แบบ คือ การสืบพนั ธแุ์ บบไม่อาศยั
เพศ เช่น การแตกหน่อ การสรา้ งสปอร์ และการสืบพนั ธ์แุ บบอาศยั เพศโดยการรวมของนิวเคลยี ส
ทเี่ ปลี่ยนแปลงไปทำหนา้ ที่คล้ายเซลล์สบื พนั ธุ์

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 17

20 การแพร่ เป็นการเคลื่อนท่ีของโมเลกลุ สารจากบรเิ วณที่มีความเขม้ ขน้ ของโมเลกุล
มากกวา่ ไปยงั บรเิ วณที่มีความเขม้ ข้นของโมเลกุลนอ้ ยกวา่ จนกระทั่งสารนน้ั อยใู่ นสภาวะสมดลุ คอื
โมเลกลุ ของสารมีการกระจายอยา่ งสม่ำเสมอ

21 ปัจจยั ท่ีมีผลต่อการแพร่

อณุ หภูมิ อุณหภูมสิ ูงข้ึนจะทำใหส้ ารเคล่ือนท่ไี ดเ้ ร็วขนึ้

ความเขม้ ขน้ ของสาร สารจะแพรจ่ ากบริเวณท่ีมคี วามเขม้ ข้นมากไปยงั บรเิ วณ
ท่ีมคี วามเขม้ ข้นน้อย

ขนาดของโมเลกลุ สารท่ีมขี นาดเลก็ จะแพรไ่ ดเ้ ร็วกวา่ สารทม่ี โี มเลกุลใหญ่

ความเขม้ ขน้ และชนิดของสาร สารตวั กลางทีม่ ีความเขม้ ข้นมากจะทำให้โมเลกลุ ของ
ตวั กลาง สารที่เปน็ ตัวละลายเคล่ือนทไี่ ปไดย้ าก และสารตัวกลาง
ทีม่ ีความเข้มขน้ นอ้ ยจะทำใหโ้ มเลกุลของสารทเ่ี ป็นตวั
ละลายเคล่ือนทไ่ี ดเ้ ร็ว ทำใหเ้ กดิ การแพรไ่ ดเ้ ร็วกว่า

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

18 คมู่ อื เตรยี มสอบ

ขอ้ สอบ

1. อวัยวะชนิดใดในเซลล์สร้าง ATP ได้

ก. เยือ่ ห้มุ เซลล์ ข. นวิ เคลียส

ค. ไมโครทิวบูลส์ ง. คลอโรพลาสต์

2 . ขอ้ ใดต่อไปนเ้ี ปน็ อาหารสะสมในเซลลข์ องพืชและสัตว์

ก. คาร์โบไฮเดรต ข. โปรตนี

ค. ไลบดิ ง. กรดนิวคลีอิก

3. ส่วนของเซลลพ์ ชื ทแ่ี ตกต่างจากเซลล์สตั ว์ คือ

ก. มีผนังเซลลแ์ ละไลโวโวม

ข. มีผนงั เซลลแ์ ละไมโตคอนเดรยี

ค. มีผนงั เซลล์และคลอโรพลาสต์

ง. มีคลอโรพลาสตแ์ ละไมโตคอนเดรีย

4. พลังงานภายในเซลลอ์ ย่ใู นรปู ของสารใดต่อไปน้ี

ก. DNA ข. RNA

ค. ATP ง. โคเอนไซมเ์ อ

5. ขอ้ ใดต่อไปนเ้ี กย่ี วขอ้ งกบั การทำหน้าทขี่ องเซลล์

ก. การขนส่งสารผา่ นเย่อื เซลล์ ข. การสรา้ งสารชีวโมเลกุล

ค. การยืดหดตวั ของเซลล์ ง. การปรับสภาพเซลล์

6. ในกระบวนการหายใจระดบั เซลล์ สารใดทผ่ี า่ นเข้าส่ไู มโทคอนเดรยี และสารใดที่ผ่านออกจาก

ไมโทคอนเดรยี

ก. กลโู คส ATP ข. กลโู คส

ค. กรดไพรวู ิกATP ง.กรดซติ รกิ ATP

7. ขอ้ ใดคือหน่วยพ้ืนฐานทเี่ ล็กทส่ี ดุ ของสิ่งมีชวี ิต

ก. เซลล์ ข. ยนี

ค. นวิ เคลียส ง. โครโมโซม

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 19

8. โครงสร้างใดของเซลล์มคี ุณสมบัติเปน็ เย่ือเลือกผ่าน

ก. ผนงั เซลล์ ข. เยอ่ื หมุ้ เซลล์

ค. นวิ เคลียส ง. ร่างแหเอนโดพลาซึม

9. ข้อใดคือหน้าทีข่ องนิวเคลียส

ก. ควบคมุ การแบง่ เซลล์

ข. ควบคุมกระบวนการสบื พันธุ์

ค. ศูนย์กลางการควบคมุ กระบวนการตา่ ง ๆ ภายในเซลล์

ง. ถกู มากกว่า 1 ข้อ

10. โครงสรา้ งใดของเซลล์ทำหนา้ ที่เปน็ แหล่งผลติ พลังงานสูงให้กับเซลล์

ก. ร่างแหเอนโดพลาซมึ ข. ไรโบโซม

ค. ไมโทคอนเดรยี ง. กอลไจแอปพาราตสั

11. ส่วนประกอบท่ีควบคุมการแพรข่ องน้ำ แกส๊ และสารละลายต่างๆ เข้าหรืออกจากเซลล์ คือ

ก. ไซโทพลาสซึม ข. นวิ เคลยี ส

ค. เยอ่ื หมุ้ เซลล์ ง. ผนังเซลล์

12. ผนังเซลล์ประกอบด้วยสารชนดิ ใด

ก. เซลลโู ลส ข. ซเู บอรนิ

ค. เพคตนิ ง. ถกู มากกวา่ 1 ข้อ

13. สิง่ มชี ีวติ ในขอ้ ใดไมไ่ ด้มเี ซลลเ์ ปน็ โปรคารโิ อต

ก. อะมีบา ข. พลามเี ซียม

ค. แบคทีเรยี ง. สไปโรไจรา

14. เซลล์ท่มี ีส่วนประกอบคอื ดเี อน็ เอ ไรโบโซม เยอื่ หุ้มเซลล์ ไมโทคอนเดรีย และเอมไซม์ เปน็

เซลลข์ องสง่ิ มชี ีวิตในข้อใด

ก. แบคทเี รยี ข. พชื เทา่ นัน้

ค. สตั วเ์ ทา่ นั้น ง. อาจเปน็ ไดท้ ้ังพชื และสัตว์

15. ลักษณะของกระดาษแก้วคลา้ ยกับสมบตั ิสว่ นใดของเซลล์

ก. ผนงั เซลล์ ข. เซลล์เมมเบรน

ค. ไซโทพลาสซมึ ง. นิวเคลียส

16. ข้อใดเปน็ ลักษณะทัว่ ไปของต้นไม้

ก. ไม่ถ่ายของเสยี ข. มขี นาดไมจ่ ำกดั

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

20 คมู่ อื เตรยี มสอบ

ค. สรา้ งอาหารได้เอง ง. เตบิ โตจากภายนอกพอกพูนขึน้

17. ในการทดลองการแพร่ของสารโดยนำสารละลายของนำ้ ตาลใสถ่ ุงกระดาษแกว้ 2 ถงุ ถุงท่ี 1

นำไปแช่ไวใ้ นนำ้ และเสยี บหลอดแกว้ ไวใ้ ห้จุม่ ลงในสารละลายนำ้ ตาล ถุงท่ี 2 นำไปแช่ในน้ำหมึก

สีแดง

ก. ระดบั น้ำในหลอดแกว้ ในถุงที่ 1 สูงขึ้นและไม่มสี แี ดงในถุงท่ี 2

ข. ระดบั น้ำในหลอดแก้วในถงุ ที่ 1 สูงข้ึนและมีสีแดงในถุงท่ี 2

ค. ระดบั น้ำในหลอดแกว้ ในถุงท่ี 1 ลดลงและไมม่ สี แี ดงในถุงท่ี 2

ง. ระดับน้ำในหลอดแก้วในถุงท่ี 1 ลดลงและมสี แี ดงในถุงที่ 2

18. ข้อใดไม่ใชป่ จั จัยท่ีมีผลต่อการแพร่

ก. อณุ หภูมิ ข. ความเขม้ ข้นของสาร

ค. ชนดิ ของสารตัวกลาง ง. ขนาดและคุณภาพของภาชนะ

19. สายบัวหรอื กา้ นดอกของดอกบัวมีประโยชน์ต่อการลำเลยี งในพชื คอื

ก. นำ้ ข. อากาศ

ค. เกลือแร่ ง. อาหารทใ่ี บสรา้ งข้ึน

20. ในรากของพชื ส่วนใดที่มีการดูดน้ำและเกลือแร่

ก. รากแกว้ ข. ขนราก

ค. หมวกราก ง. ทกุ ส่วนของราก

ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 21

บทที่ 2 การดำรงชีวติ ของพืช

1 การลำเลยี งในพืช คือการเคล่ือนท่ขี องนำ้ เกลือแร่ อาหาร แกส๊ ของเสยี
จากเซลล์หน่งึ ไปยังอกี เซลล์หน่งึ หรือเคลอื่ นที่ออกไปภายนอกเซลล์

นำ้ มีความจำเป็นต่อกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงชองพืช พชื จงึ จำเปน็ ตอ้ ง
ลำเลยี งนำ้ และธาตุอาหารจากบรเิ วณรากไปยงั ใบ
และเนือ้ เย่ืออน่ื ๆ นอกจากน้ีพืชยงตอ้ งลำเลยี ง
อาหารจากบรเิ วณทีม่ ีการสรา้ งอาหาร เช่น บริเวณ
ใบไปยังเน้ือเยือ่ ในส่วนตา่ งๆ เพอ่ื ใช้พลงั งาน
จากอาหารในการเจริญเติบโต การสืบพนั ธุ์
การเคลอ่ื นไหวและการดำรงชีวิต
เนือ้ เยอื่ ทีท่ ำหน้าทล่ี ำเลยี งน้ำซึ่งมีอยูเ่ ฉพาะที่ เซลล์
ลำเลยี งนำ้ เหลา่ นเี้ รยี งกันเป็นท่อๆ ต่อเนอ่ื งต้ังแต่
ราก ลำตน้ ก่ิง ใบ เรยี กกลุม่ เซลลเ์ หลา่ นี้ว่า เนอื้ เยื่อ
ลำเลียงนำ้ หรอื ไซเลม (Xylem)
น้ำท่เี คลอ่ื นทไ่ี ปตามเนื้อเยือ่

ลำเลียงนำ้ ต้ังแตข่ นราก ลำต้น เขา้ สูใ่ บผ่านมาทางเสน้ ใบ เซลล์บรเิ วณใบทมี่ ีการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

22 คมู่ อื เตรยี มสอบ

จะนำน้ำไปใช้ในกระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสง ซงึ่ เป็นการสร้างอาหารของพชื อาหารท่พี ชื สรา้ ง
ขนึ้ คอื น้ำตาล (C6H12O6)จะถูกลำเลียงในรปู
ของสารละลายไปตามเนอ้ื เย่ือลำเลยี งอาหารหรือโฟลเอม(Phloem) ซ่งึ เปน็ เนื้อเยื่อทเี่ รียงตัว
ตอ่ เน่ืองกนั จากใบไปตามก้านใบ กง่ิ ลำตน้ ราก เพ่อื ส่งอาหารไปเลยี้ งเซลล์ทกุ เซลลข์ องพืช

2 ราก (Root) คืออวัยวะหรือส่วนของพืชที่เจรญิ ลงสูใ่ ตด้ ินตามแรงดงึ ดดู ของโลก
บรเิ วณเกือบจะถึงปลายรากจะมีขนเล็กๆ จำนวนมากอยู่รอบราก เรยี กวา่ ขนราก รากเป็นส่วนทีอ่ ยู่
ใกลช้ ดิ นำ้ และแร่ธาตุมากท่ีสดุ

3 ขนราก (Root Hair) มีลกั ษณะเป็นขนเส้นเลก็ ๆ จำนวนมากอยู่รอบปลายรากเปน็
โครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงมาจากเซลล์ผิวนอกสดุ ของราก ทำหน้าท่ีดซู ึมน้ำและแรธ่ าตจุ ากดิน การท่ี
รากมีขนรากมปี ระโยชน์ คือ ทำใหร้ ากมพี ้ืนทผ่ี ิวสัมผสั กับน้ำและแร่ธาตมุ ากขน้ึ รากดดู ซึมนำ้ และแร่
ธาตุได้ดีขึ้น

4 การออสโมซสิ ของน้ำผา่ นเซลล์ขนราก นำ้ จะเกดิ การออสโมซสิ เขา้ สเู่ ซลล์ขนราก
ไดต้ ลอดเวลา เน่ืองจากความเขม้ ข้นของอนุภาคน้ำในดินและในเซลล์ขนรากมีความแตกต่างกัน น้ำ
จากในดนิ จึงเคล่อื นที่ผ่านเยื่อห้มุ เซลล์เขา้ สเู่ ซลล์ขนราก

5 กลมุ่ ท่อลำเลียงหรือเนื้อเยอ่ื ลำเลยี งของพชื
เน้อื เย่ือลำเลยี งน้ำ (Xylem)เป็นเน้อื เยอ่ื ทีท่ ำหน้าทล่ี ำเลียงนำ้ และแรธ่ าตุ

ท่ีรากพชื ดดู มาจากดนิ เน้อื เยือ่ ลำเลยี งน้ำจะมีอยู่เฉพาะที่มลี กั ษณะเปน็ ท่อยาวติดต่อกันต้งั แตร่ าก
ลำตน้ ใบ จนถึงยอด

เนื้อเย่ือลำเลยี งอาหาร (Phloem)เปน็ เนือ้ เยื่อท่ีทำหน้าท่ีลำเลียงอาหาร
ท่ีพืชสรา้ งขึ้นจากกระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงท่ีใบแล้วลำเลยี งไปยังส่วนต่างๆของต้นพชื เนอ้ื เย่ือ
ลำเลียงอาหารจะมอี ยู่เฉพาะทีม่ ลี กั ษณะเปน็ ทอ่ ยาวตดิ ตอ่ กันตง้ั แตร่ าก ลำตน้ ใบ จนถึงยอด

6 การลำเลียงน้ำของพชื เกิดขึ้นเม่อื นำ้ เขา้ สู่เซลลข์ นรากโดยวธิ ีการออสโมซิสจะทำ
ให้เซลล์ขนรากมีความเข้มข้นรากมีความเขม้ ขน้ ของนำ้ มากกว่าเซลล์บรเิ วณถดั ไปน้ำจึงเกิดการ
ออสโมซิสไปยงั บริเวณถดั ไปเรอ่ื ยๆ ในลักษณะเซลลต์ ่อเซลลเ์ ป็นทอดๆ เนื่องมาจากความแตกต่าง
จากความเขม้ ข้นของนำ้ โดยมีการลำเลียงไปตาท่อไซเลม

7 การลำเลยี งแร่ธาตุของพืช เปน็ การลำเลยี งแบบใช้พลังงานเน่ืองจากความเข้มขน้
ของแร่ธาตุในดินนอ้ ยกวา่ เซลล์ภายในเซลลร์ าก ซ่ึงพลังงานที่นำมาใชน้ น้ั ไดจ้ ากการหายใจระดบั เซลล์

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 23

8 ปัจจยั ท่ีมีผลต่อการออสโมซิส

ความแตกต่างของความเขม้ ข้นของโมเลกลุ ของสารท้ังสองบริเวณ

ขนาดของโมเลกุลของสาร

สมบัติการยอมให้สารผ่านไดข้ องเยื่อก้ัน

9 แรงดนั ราก (Root Pressure)เกิดขน้ึ ภายในราก สามารถดันให้น้ำและสารที่

ละลายอยู่ในนำ้ เคล่อื นทขี่ ึน้ สู่สว่ นบนของต้นพชื ได้

10 แรงดึงจากการคายนำ้ เกดิ จากการคายนำ้ ของใบพืช เมอื่ ใบคายน้ำออกไปจะทำให้

เซลล์ทใี่ บขาดน้ำ น้ำจากเซลล์ถดั ไปที่มีความเข้มข้นของนำ้ มากกวา่ จะออสโมซสิ ไปยังเซลลท์ ค่ี ายน้ำ

ออกเปน็ การแทนท่ีอยเู่ รื่อยๆจึงทำให้เกิดแรงดงึ นำ้ จากรากข้ึนมาแทนท่ี

11 การคายน้ำของพืช (Transpiration)เกิดจากการแพร่ของไอน้ำท่ีอยใู่ นช่องว่าง

ภายในเซลล์พืชซง่ึ มีความเข้มข้นมากกวา่ ไอน้ำในบรรยากาศจึงทำใหน้ ้ำแพร่ผา่ นออกทางช่องเปิดทม่ี ี

อยู่ เช่น ปากใบ ผวิ ใบ หรอื รอยแตกขา้ งลำต้น

12 ประโยชน์และโทษของการคายนำ้

ประโยชนข์ องการคายนำ้ ผลเสียของการคายนำ้

- ช่วยในการดูดลำเลยี งน้ำและแร่ธาตุ - ทำใหเ้ กดิ การสูญเสียนำ้ และ

ชว่ ยลดอณุ หภูมภิ ายในลำตน้ และใบ อาจทำให้เกิดอันตรายต่อตน้

พชื ถา้ มีการคายนำ้ มากกว่าดดู

ซมึ เขา้ ไป

13 ปจั จัยที่มีผลต่อการคายน้ำของพืช

ความเขม้ ข้นของแสง ถ้ามีมากจะมีผลทำใหป้ ากใบของพืชเปิดกวา้ งไอน้ำจงึ แพร่ออกมา

ได้มากขึ้น

อณุ หภมู ิ บริเวณท่ีอณุ หภมู ิสงู น้ำจะระเหยกลายเปน็ ไอและแพรไ่ ด้เรว็ กว่า

บรเิ วณทมี่ ีอณุ หภูมติ ่ำ

ความชนื้ ในบริเวณท่ีมีความชน้ื ตำ่ พืชจะคายนำ้ ไดม้ ากส่วนบริเวณท่ีมีความชน้ื

สูงพืชจะคายนำ้ ไดน้ ้อย

ลม ลมแรงจะทำให้อัตราการคายน้ำสงู ข้ึน

ปริมาณน้ำในดิน ถา้ มมี ากอัตราการคายนำ้ จะสูงแตถ่ ้ามีน้อยอตั ราการคายนำ้ จะตำ่

โครงสรา้ งของใบ จำนวนใบการมีใบมากกวา่ ทำใหม้ ปี ากใบมากกว่า จงึ สูญเสยี นำ้ มากขึ้น

และเพ่มิ พ้นื ทผ่ี ิวสำหรับการระเหย

จำนวนปากใบปากใบท่ีมีมากข้นึ จะทำให้มชี อ่ งสำหรบั ระเหยน้ำมาก

ขึ้น

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

24 คมู่ อื เตรยี มสอบ

14 การลำเลียงแกส๊ แก๊สออกซิเจน(O2) และคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) จะถูกลำเลยี ง
จากเซลลห์ นึง่ ไปยงั อกี เซลล์หนึง่ ด้วยการแพร่ (Diffiusion) แก๊สดังกลา่ วจะแพรเ่ ขา้ ออกจากรใู บ
(Stomata)

15 ออกซเิ จน (O2) เปน็ แกส๊ ท่ีพืชและสัตว์ใช้ในการหายใจ และเปน็ แกส๊ ทเ่ี กิดจาก
กระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงของพืช

16 คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)เป็นแก๊สท่ีพชื สีเขียวใชเ้ ป็นวัตถดุ ิบในการสังเคราะห์
ดว้ ยแสง และเป็นแกส๊ ท่เี กิดการหายใจของพืช และสัตว์

17 การสังเคราะหด์ ้วยแสง (Photosynthesis) คอื กระบวนการสรา้ งอาหารของพชื
ซ่ึงจะเกิดข้ึนบริเวณทมี่ ีสีเขียวของพชื เช่น ใบ ลำต้น หรอื รากของพืชบางชนดิ โดยมีแก๊ส
คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) และน้ำ(H2O) เป็นวตั ถดุ ิบ มีคลอโรฟลิ ล์ (Chlorophyll)ทำหน้าทด่ี ูด

แสง

พลังงานแสงมาเป็นตวั คะตะไลส์(Catalyst) หรอื ตวั เร่ง และแสงยังเปน็ ปจั จัยสำคัญ ทำให้

ได้ผลผลติ คอื นำ้ ตาลแลว้ เปลยี่ นเป็นแป้ง ดังสมการ

6CO2 + 12H2O คลอโรฟิลล์ C6H12O6 + 6O2 + 6H2O

(คาร์บอนไดออกไซด)์ (นำ้ ) (น้ำตาล) (ออกซิเจน)

(น้ำ)

18 ปัจจัยทใ่ี ชใ้ นการสงั เคราะหด์ ้วยแสง

1) แสง (Light) เป็นปัจจัยสำคัญในการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช โดยทัว่ ไปเม่ือ

ความเขม้ ขน้ ของแสงสงู ข้นึ พืชจะสังเคราะห์ดว้ ยแสงได้มากข้ึน แตถ่ ้าแสงสว่างมากเกินไปอาจเปน็

อันตรายต่อเน้อื เยื่อได้ ทำให้พชื สงั เคราะหด์ ้วยแสงได้น้อยลง

2) อณุ หภมู ิ (Temperature)เม่ืออุณหภมู ิสงู ขึ้นอตั ราการสงั เคราะห์ด้วยแสง

จะเพ่ิมขึน้ เพราะอตั ราการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมเี กิดไดเ้ รว็ ขนึ้ โดยท่วั ไปอัตราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมจี ะ

แปรผนั ตรงกบั อุณหภูมยิ กเว้นปฏกิ ริ ิยาคายความร้อน แต่ถา้ อณุ หภูมิสูงมากๆ จะทำใหเ้ อมไซม์ในพชื

เสื่อมสภาพลง

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 25

3) แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ แพร่เขา้ สเู่ ซลล์พชื ทางปากใบ เม่ือความเข้มข้นของ
แก๊สคารบ์ อนไดออกไซดส์ งู ขึ้น จะทำให้อัตราการสงั เคราะหด์ ้วยแสงเพิ่มข้นึ ดว้ ย

4) น้ำ ถา้ พืชขาดนำ้ ปากใบจะปดิ ทำใหอ้ ตั ราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชลดลง
เพราะแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ไมส่ ามารถแพรผ่ า่ นเข้าไปยังเซลลท์ ่ีทำหนา้ ทีส่ ังเคราะหด์ ้วยแสงได้

19 ปริมาณคลอโรฟลิ ล์ คือ เป็นตวั ดูดกลนื พลังงานแสงอาทติ ยท์ ำให้เกิดปฏิกริ ยิ าเคมี
เปลยี่ นพลงั งานแสงเปน็ พลงั งานเคมี ถ้าพชื มปี รมิ าณคลอโรฟลิ ลม์ ากอัตราการสงั เคราะห์ด้วยแสงก็
จะสูงขน้ึ ดว้ ย

20 ผลผลติ จากการสงั เคราะหด์ ้วยแสง คือ น้ำตาลกลูโคส แก๊สออกซิเจนและน้ำ โดย
น้ำตาลทเี่ กดิ ข้ึนจะมีปริมาณมากเกนิ กว่าทพ่ี ชื จะนำไปใชป้ ระโยชนจ์ ึงเปลีย่ นนำ้ ตาลส่วนที่เหลือเปน็
แป้งไปเก็บสะสมไว้ตามสว่ นต่างๆของผล ราก ใบ ลำต้น เชน่ รากบวั (ราก) เผือก(ลำต้นใต้ดนิ )
เมลด็ ขา้ วโพด ข้าว เป็นตน้ นอกจากน้ียงั เปล่ยี นไปเป็นสารทีจ่ ำเปน็ ต่อการดำรงชวี ิต อื่นๆ เชน่
เซลลโู ลส (ผนังเซลล)์

21 ความสำคัญของการสังเคราะหด์ ้วยแสง อาหารท่พี ชื สร้างได้คือ นำ้ ตาล ซง่ึ เปน็
แหล่งพลงั งานและวตั ถดุ บิ ในการสงั เคราะหส์ ารอินทรีย์อืน่ ๆ เช่น แป้ง ไขมนั และโปรตีน พชื จงึ ถือว่า
เปน็ ผผู้ ลติ อาหารของโลก เพราะพชื สามารถสรา้ งอาหารเองได้ มนษุ ยแ์ ละสตั ว์อนื่ ๆนำมาใช้เปน็
อาหารในการดำรงชีวิต นอกจากนีใ้ นการสร้างอาหารของพืชยังช่วยให้เพมิ่ ออกซเิ จนในอากาศ
ชว่ ยให้ส่ิงมีชีวติ สามารถใชแ้ ก๊สออกซิเจนในการหายใจได้ และเมอื่ หายใจออกเป็นแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ พืชกจ็ ะนำไปใช้ตอ่ เกิดการหมนุ เวียนของแก๊สทัง้ สองในบรรยากาศช่วยลด
ปญั หาภาวะโลกรอ้ นทเ่ี กิดจากแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์

22 การสบื พนั ธุข์ องพืช มี 2 ชนิดคอื การสืบพนั ธ์แุ บบอาศัยเพศ (Sexual
Reproduction) และการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ (Asexual Reproduction)

23 การสบื พันธ์ุแบบอาศัยเพศ (Sexual Reproduction) เปน็ การสบื พนั ธุท์ ่ีอาศัย
ดอก มีการผสมกนั ระหว่างนวิ เคลียสเซลลส์ ืบพนั ธ์เุ พศผู้ และเซลลส์ ืบพันธุ์เพศเมยี เรียกการรวม
นวิ เคลยี สนีว้ ่า การปฏิสนธิ ทำให้ไดเ้ มล็ด ซึ่งงอกเปน็ ต้นใหม่ได้

24 การปฏิสนธิ (Fertilization)หมายถงึ การผสมระหวา่ งละอองเรณู (เซลลส์ ืบพนั ธ์ุ
เพศผู้) และเซลลไ์ ข่ (เซลล์สบื พันธ์ุเพศเมยี ) ภายในออวุล

25 การปฏิสนธขิ องพืชดอก เมือ่ ละอองเรณู ตกลงสู่ ยอดเกสรตัวเมีย ละอองเรณจู ะ
งอกทอ่ ยาว เรียกวา่ พอลเลนทิวบ์ (Pollen tube) ลงสู่กา้ นเกสรตัวเมยี ทวิ บน์ วิ เคลยี สจะเคลื่อนตัว
ไปตามทอ่ ผา่ นทางรู ไมโครไพล์ (Micropyle) ของออวุล ในขณะน้ี เจเนเรทฟี นิวเคลยี ส

ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

26 ค่มู อื เตรยี มสอบ

(Generative nucleus) จะแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซีสได้สเปิร์มนวิ เคลียส (Sperm nucleus) 2

ตวั เขา้ ผสมกัน นวิ เคลยี สของไข่ (Egg cell)ไดไ้ ซโกต ซึ่งจะเจริญเปน็ เอมบรโิ อต่อไป ส่วนอีก

นิวเคลยี สจะผสมกับโพลารน์ วิ คลีไอ (Polar nuclei) เจริญเปน็ เอนโดสเปิร์ม ซงึ่ เป็นอาหารสำหรบั

เลยี้ งเอมบรโิ อการผสมซึง่ เกิดจากการผสม 2 ครั้งนี้เรียกว่า การปฏสิ นธิซอ้ น (Double

Fertilization) ซ่ึงพบเฉพาะใน พืชดอกเทา่ น้นั

26 การเปลยี่ นแปลงของดอกไม้หลังการปฏสิ นธิ

รังไข่ (ovary ) เจริญเปน็ ผล

ผนงั รงั ไข่ (ovary wall ) เจริญเปน็ เปลอื กและเน้ือของผลไม้

ออวุล (ovule ) เจริญเป็น เมลด็

ไข่ (egg ) เจริญเปน็ ต้นอ่อนอยภู่ ายในเมลด็

โพลาร์นวิ เคลยี ส เจรญิ เป็น เอนโดสเปริ ์ม

(polarnucleus )

เยอ่ื หุม้ ออวลุ (integument ) เจริญเปน็ เปลือกหมุ้ เมล็ด

(ทมี่ า หนังสอื คมั ภรี ช์ ีววทิ ยาม.4-5-6 Entrance A-NET ฉบับสมบูรณ์เรยี นเรยี งโดย ผศ.ประสงค์ หลำสะอาด และ ผศ.ดร.จิตเกษม หลำสะอาด)

27 ข้อดีและข้อเสียของการสืบพันธ์ุแบบอาศยั เพศ

ข้อดี ขอ้ เสยี

- ปลกู ง่าย ประหยดั ค่าใช้จา่ ย - ใหผ้ ลช้า ตอ้ งใช้เวลานานในการดูแล

- สามารถนำไปปลูกในที่ต่าง ๆ ได้ กว่าจะให้ผลตอบแทน

สะดวก

- พืชท่ีปลูกดว้ ยเมลด็ จะมรี ากแกว้ ทำ

ให้ต้นแขง็ แรง

- สามารถผสมพนั ธ์ุใหม่เพอ่ื ใหเ้ กิด - ถา้ ผสมพันธเ์ุ องโดยธรรมชาติอาจจะ

พนั ธใ์ุ หม่ทดี่ ีกว่าเดิมได้ กลายพันธไ์ุ ด้

- พชื อายยุ ืน

28 การสบื พันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ (Asexual Reproduction)การสบื พันธุแ์ บบไม่
อาศัยเพศ เป็นวธิ ีการสืบพนั ธุ์ ของพชื ทจ่ี ะเกิดต้นใหม่ไดโ้ ดยไมต่ ้องใชเ้ มล็ด หรอื การผสมเกสรแต่
อย่างใด พืชจะมีการแบง่ เซลล์และพัฒนาส่วนใดสว่ นหนง่ึ ของตน้ พืช พชื ดอกมีวิธีการสบื พันธ์แุ บบไม่

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 27

อาศัยเพศอย่หู ลายวิธี เชน่ การงอกตน้ ใหม่ จากสว่ นตา่ ง ๆ เชน่ กล้วย ขิง ขา่ งอกเป็นลําต้นใหมจ่ าก

ลาํ ตน้ ท่ี อย่ใู ต้ดิน ทเี่ รยี กว่าการแตกหนอ่ มันสําปะหลงั อ้อย ตัดเอาสว่ นของลาํ ต้นทม่ี ีตาและปล้อง

อยเู่ พยี งทอ่ นหรือสองท่อนไปปกั ชำต้นใหม่กจ็ ะงอกออกตรงบรเิ วณตา กระเพรา โหระพา ชบา เขม็

นาํ ตน้ หรอื กิ่งไปปักชําขึ้นเป็นต้นใหมไ่ ดเ้ ช่น เดียวกัน ใบของพืชบางชนดิ เช่น คว่าํ ตายหงายเป็น

กุหลาบหิน นาํ ไปเพาะ ใหเ้ กดิ เปน็ ตน้ ใหม่ได้ท่ีมีลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมเหมือนกบั พืชตน้ เดิมทุก

ประการ

วิธใี นการขยายพันธ์ุการสบื พันธ์ุแบบไมอ่ าศัยเพศ (Asexual Reproduction)

วิธขี ยายพนั ธ์ุ พืชท่ีใช้

การแบง่ ตัวออกเป็นสอง คลอเรลลา(Chlorella) สไปโรไจรา (Spirogyra)

การแตกหน่อ ยสี ต์ เห็ด รา มอส เฟิรน์

การแตกตน้ ใหม่จากสว่ น ขิง ขมนิ้ กหุ ลาบหนิ พลูด่าง ผกากรอง มนั ฝร่งั

ตา่ งๆของพชื กระชาย มนั เทศ ฯลฯ

การตอนก่งิ ฝรัง่ มะมว่ ง กุหลาบ สม้ เงาะ ล้นิ จ่ี จำปา พทุ รา

การติดตา กหุ ลาบ ยางพารา พุทรา

การตัดชำ ต้นหมอ่ น ชบา พู่ระหง เฟ่ืองฟ้า อ้อย มันสำปะหลัง ฯลฯ

29 ข้อดีและข้อเสียของการสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศ

ขอ้ ดี ข้อเสีย

- ให้ผลตรงตามพันธ์ทุ ีต่ ้องการ - ต้นไม่แข็งแรงเพราะไมม่ ีรากแกว้ (ยกเวน้ การ

ต่อกงิ่ ติดตา และทาบกงิ่ )

- ให้ผลเรว็ กว่าการปลูกด้วยเมลด็ - วิธีการเก็บรักษาและย้ายพันธุ์ทำยากกวา่

- ใช้ขยายพนั ธท์ุ ปี่ ลูกด้วยเมลด็ แลว้ ไมข่ น้ึ - สนิ้ เปลืองค่าใช้จา่ ยในการปลูกมากกวา่

30 เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) เปน็ วิธกี ารนำความรทู้ างชวี วิทยามา
ประยุกตใ์ ช้สำหรับพัฒนาและปรับปรุงสิ่งมชี ีวิต หรือองค์ประกอบของสิง่ มชี ีวิต ใหไ้ ด้ผลผลิตทเี่ ป็น
ประโยชนข์ องมนุษย์ ซ่ึง เรารู้จักการใช้เทคโนโลยีชีวภาพมานานแลว้ การทำน้ำปลาซีอ๊ิว การหมัก
อาหาร หมักเหล้า ล้วนเป็นเทคโนโลยีชวี ภาพแบบดง้ั เดิม เช่นเดยี วกับ การปรบั ปรุงพนั ธ์พุ ืช สตั ว์ ให้
มผี ลผลติ มากข้นึ มีคุณภาพดีข้นึ หรอื การนำสมุนไพรมาใช้รักษาโรค บำรงุ สขุ ภาพ ก็จัดว่าเป็น
เทคโนโลยีชวี ภาพแบบดง้ั เดมิ

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

28 คมู่ อื เตรยี มสอบ

31 การเพาะเลีย้ งเนอ้ื เยื่อ (Tissue Culture)คือเทคนิคการขยายพันธุพ์ ชื แบบไม่
อาศยั เพศ โดยการนำเนอื้ เย่ือจากตา ปลายช่อดอก ยอดของลำต้น หรือปลายรากของตน้ พชื ไป
เพาะเลย้ี งในอาหารสงั เคราะห์ ซง่ึ สามารถขยายพันธ์พุ ชื ได้เปน็ จำนวนมากในเวลาอนั ส้นั โดยไมเ่ กดิ
การกลายพันธ์ุวธิ ดี ังกลา่ วนิยมใชก้ บั พืชเศรษฐกิจทสี่ ำคัญๆ เชน่ กล้วยไม้

32 ดอกไม้ (Flowers)เป็นอวยั วะสบื พันธ์ขุ องพชื ดอกเปน็ โครงสร้างทเี่ ปลยี่ นแปลงมา
จากก่ิงและใบแบง่ ออกเกณฑ์ดงั น้ี

33 ใช้เพศเปน็ เกณฑ์ จำแนกดอกไม้ได้2 ประเภท ได้แก่
1) ดอกสมบูรณเ์ พศ (perfect flower)เป็นดอกท่ีมีช้ันเกสร เพศ ผู้ และเกสร

เพศเมียอยใู่ นดอกเดียวกัน โดยสว่ นประกอบอนื่ ๆ อาจมีหรือไม่มีก็ได้ เชน่ ดอกกลว้ ยไม้
ดอกบวั ดอกชบา ฯลฯ

2)ดอกไม่สมบูรณเ์ พศ (imperfect flower)เป็นดอกทมี่ ีชั้นเกสรเพศผู้ และเกสร
เพศเมียเพียงอย่างใดอย่างหน่ึงเท่าน้นั สว่ นประกอบอื่นๆ อาจมหี รอื ไม่มีก็ได้ ดอกทม่ี ีแต่
เกสรเพศผู้ เรยี กว่า ดอกเพศผู้ (staminate flower) ดอกที่มีแตเ่ กสรเพศเมีย เรียกว่า ดอก
เพศเมีย (pistillate flower) เช่น ดอกบวบ ดอกฟักทอง ดอกแตง ดอกมะพร้าว ฯลฯ
34 ใช้ส่วนประกอบตา่ งๆ บนฐานรองดอกเป็นเกณฑ์ จำแนกได้ 2 ประเภท ได้แก่

1) ดอกสมบรู ณ์ (complete flower)เป็นดอกท่ีมีครบท้ัง 4 สว่ น คือ กลบี เลี้ยง
กลีบดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย เช่น ดอกชบา ดอกแค ดอกกุหลาบ ฯลฯ

2) ดอกไมส่ มบรู ณ์ (incomplete flower)เป็นดอกที่มสี ่วนประกอบไม่ครบท้ัง 4
สว่ น เชน่ ดอกฟกั ทอง ดอกแตงกวา ดอกข้าวโพด ฯลฯ

35 จำแนกโดยการตดิ ของส่วนต่างๆ บนฐานรองดอก ซ่ึงจำแนกได้ 3 ประเภท ไดแ้ ก่
1) ดอกไฮโพจีนัส (hypogenous flower)เป็นชนดิ ของดอก ท่ีกลีบเล้ยี ง กลบี

ดอกและเกสรเพศ ผู้ ติดอยูบ่ นฐานรองดอกที่ต่ำกว่ารงั ไข่ของเกสรเพศเมยี รงั ไข่แบบน้ี
เรียกว่า Superior-ovary ได้แก่ ดอกมะเขือ พริก มะละกอ หอม องุ่น บานบุรี ข้าวโพด
ผกั กาด ฯลฯ

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 29

2) ดอกเอพจิ นี สั (epigenous flower)เป็น ชนิดของดอก ท่ีกลบี เลีย้ ง กลีบดอก
และเกสรเพศผู้ ตดิ อยู่บนฐานรองดอก ท่ีสูงกวา่ รงั ไข่ ของเกสรเพศเมีย เน่ืองจากฐานรอง
ดอกมขี อบโค้งขน้ึ ไปห้มุ รงั ไข่ไว้หมด รังไขแ่ บบนี้เรยี กว่า Inferior ovary ไดแ้ ก่ ดอกกล้วย
แตงกวา บวบ ชมพู่ ฝร่ัง ฟักทอง กระบองเพชร แอปเปลิ ฯลฯ

3) ดอกเพรจิ นี สั (perigenous flower)เปน็ ชนดิ ของดอก ท่ีกลบี เลย้ี ง กลบี ดอก
และเกสรเพศผู้ ติดอยบู่ นฐานรองดอกในระดบั เดยี วกับรังไขข่ องเกสรเพศเมยี เน่ืองจาก
ฐานรองดอกเว้าลงไปและมีขอบโค้งเปน็ รปู ถ้วยอยรู่ อบรงั ไข่ รังไข่แบบนเ้ี รียกวา่ Half-
superior หรือ Half-inferior ovary ได้แก่ ดอกกุหลาบ ถั่วตะแบก อนิ ทนนิ เชอร่ี ฯลฯ
36 จำแนกตามจำนวนดอกทตี่ ิดอยูบ่ นกา้ นดอก จำแนกได้ 2 ประเภท ไดแ้ ก่

1) ดอกเดยี่ ว (solitary flower)หมายถึง ดอกทอ่ี ยู่บนกา้ นดอกเพียงดอกเดยี ว
ดอกอาจเกิดท่ปี ลายก่ิง หรอื ลำตน้ ตรงบริเวณซอกใบ หรือดา้ นข้างของกิง่ เชน่ ฟกั ทอง
จำปี ชบา บัว การะเวก

2) ดอกช่อ (inflorescence flower)หมายถึง ดอกท่ปี ระกอบด้วยดอกหลาย
ดอกอยบู่ นกา้ นชดู อก (peduncle)เดยี วกัน (ดอกยอ่ ยเรยี กวา่ floret, กา้ นดอกยอ่ ยเรียกว่า
pedicle แกนกลาง ต่อจากก้านดอก ซึ่งดอกย่อยแยกออกมา เรียกวา่ rachis)ไดแ้ ก่ ดอก
ข้าว กลว้ ย ผกากรอง เข็ม หญา้ ข้าวโพด มะพร้า พลับพลงึ ว่านส่ีทิศ พวงชมพู
ชวนชม หางนกยงุ
37 โครงสร้างของดอกไม้ ดอกไม้ต่างๆ ถงึ แม้จำทำหน้าท่ใี นการสืบพันธเ์ุ หมอื นกันแต่
กม็ ีโครงสร้างแตกตา่ งกนั ไปตามแต่ชนิดของพชื ดอกแต่ละชนดิ มโี ครงสร้างของดอกแตกตา่ งกนั
ออกไป บางชนดิ มีโครงสร้างหลักครบทั้ง 4 สว่ น ดงั น้ี

1. กลบี เล้ียง (sepals)เปน็ ส่วนของดอกท่ีอยู่นอกสดุ เจริญเปลย่ี นแปลงมาจากใบ
จงึ มักมสี ีเขียว ทำหนา้ ทหี่ อ่ หุ้มป้องกนั อนั ตรายตา่ งๆ ใหแ้ ก่ส่วนในของดอก นอกจากนี้จะ
ชว่ ยในการสังเคราะห์แสงได้ด้วย กลีบเลยี้ งของพืชอาจอย่แู ยกกันเปน็ กลีบๆ เรียกวา่ อะโป
เซพัลลัส (Asoposepalous) หรอื พอลเิ ซพัลลัส (Polysepalous) ได้แก่ กลีบเลยี้ งของ
ดอกบัวสาย และดอกพุทธรักษา แตบ่ างชนิดกลบี เลยี้ งจะเชอ่ื มตดิ กันเรยี กวา่ แกมโม
เซพลั ลสั (Gamosepalous) หรือ ซนิ เซพัลลสั (Synsepalous) ไดแ้ ก่ กลบี เลีย้ งของดอก
ชบา แตง บานบุรี และดอกแค เปน็ ตน้ วงกลีบเลี้ยงทง้ั หมดนเ้ี รียกว่า แคลกิ ซ์ (Calyx)

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

30 ค่มู อื เตรยี มสอบ

ในพืชบางชนดิ กลบี เลีย้ งมสี ีตา่ งๆ นอกจากสเี ขยี วเรยี กวา่ เพทัลลอยด์ (Petaloid) ทำหน้าท่ี
ชว่ ยล่อแมลงในการผสมเกสร เชน่ เดยี วกบั กลบี ดอก นอกจากนใ้ี นดอกชบา และดอกพรู่ ะหงจะมี ร้วิ
ประดบั (Epicalyx) เป็นกลีบเลี้ยงเลก็ ๆ ใกลก้ ลีบเลย้ี ง

2. กลบี ดอก (Petal)เป็นส่วนของดอกที่อยู่ถดั จากกลบี เล้ียงเข้าไปขา้ งใน มักมี
สีสนั ตา่ งๆ สวยงาม เนอ่ื งจากมรี งควตั ถุชนดิ ตา่ งๆ ได้แก่ แอนโทไซยานนิ (Anthocyanin)
และแอนโทแซนทนิ (Anthoxanthin) ละลายอยูใ่ นสารละลายแวคิวโอล ทำให้กลีบดอกเป็น
สีตา่ งๆ เชน่ สมี ว่ ง สีแดง สนี ำ้ เงนิ หรืออาจมีแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ในพลาสตดิ ทำให้
กลีบดอกเปน็ สีเหลือง หรอื แสด สว่ นดอกสีขาวและไม่มสี เี กิดจากไม่มีรงควัตถุอยภู่ ายใน
เซลลข์ องกลีบดอก นอกจากนี้กลีบดอกของพชื บางชนดิ อาทเิ ชน่ ดอกพดุ ตาลสามารถ
เปลยี่ นสไี ด้ ทั้งนีเ้ น่อื งจากความเป็นกรดและด่างภายในเซลล์ของกลีบดอกเปล่ียนแปลง

ไป วงของกลบี ดอกทั้งหมดเรียกวา่ colloraท้งั กลบี เล้ยี งและกลีบดอกจัดเป็น
ส่วนประกอบรอง (Acessory part) ห่อหมุ้ อยู่รอบนอกของดอก พชื บางชนดิ กลบี เล้ียงและ
กลีบดอกมลี ักษณะเหมือนกัน แยกกนั ไมอ่ อกเรยี กชน้ั นีว้ า่ วงกลีบรวม (Perianth) กลบี แต่
ละกลีบเรยี กวา่ ทีพัล (Tepal) ได้แก่ บัวหลวง จำปี และจำปา เปน็ ต้น

3.เกสรตวั ผเู้ ปน็ สว่ นที่อย่ถู ดั จากกลีบดอกเข้ามา เจริญและเปลี่ยนแปลงมาจาก
เนือ้ เย่อื เจริญปลายยอด (apical meristem) จงึ เป็นสว่ นประกอบทจ่ี ำเป็นต่อการสบื พนั ธ์ุ
ทำหนา้ ทสี่ รา้ งเซลล์สบื พันธเุ์ พศผู้ ในพชื บางชนดิ เกสรตวั ผูผ้ ู้อาจทำหน้าท่อี ่ืน เชน่ สรา้ ง
น้ำหวานล่อแมลง หรอื เป็นอาหารใหก้ บั แมลงทช่ี ว่ ยการถ่ายละอองเรณู

เกสรตวั ผู้มกั มหี ลายอันและเรียงกันเปน็ วง เรยี กว่า แอนดรเี ซยี ม (androcium) มกั
ใช้สัญลกั ษณว์ า่ A เกสรตัวผ้สู ่วนใหญ่แยกเปน็ อันๆ แตบ่ างชนิดอาจตดิ กนั ได้ เรยี กว่า คอน
เนชัน (connation) เชน่ เกสรตัวผขู้ องดอกชบา พู่ระหง ฝ้าย ถ่วั แค สม้ มะนาว แกว้ หรอื
อาจตดิ กบั สว่ นอน่ื ของดอก เรียกว่า แอดเนชนั (adnation) เชน่ เกสรตัวผเู้ ชือ่ มตดิ กบั กลีบ
ดอก พบในดอกพุด แพงพวย ฝร่งั ลำโพง เขม็ ยาสบู หรอื เกสรตวั ผู้ติดกับเกสรตวั เมีย พบ
ในดอกเทียน เยาพาณี ดอกรัก เกสรตวั ผูแ้ ต่ละอันประกอบดว้ ย 2 สว่ น คือ

1. ก้านชเู กสรตวั ผู้ (filament)เปน็ ส่วนที่มีลกั ษณะเป็นเส้น อาจรวมกนั เป็นกลุ่ม
หรือแยกกนั อาจยาวหรือส้ันซ่ึงกแ็ ลว้ แต่ชนิดของพชื ทำหนา้ ทีช่ ูอับเกสรตัวผหู้ รอื อบั เรณู

ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 31

2. อบั เกสรตัวผู้ (anther)มีลกั ษณะเปน็ แท่งกลมยาวหรือคอ่ นข้างกลม 2 พู
ภายในแบ่งเป็นถุงเล็กๆ 4 ถุง เรียกว่า ถุงเรณูหรือโพรงอับเรณู (pollen sac หรือ
microsporangium) บรรจกุ ลุม่ เซลล์ทเ่ี รียกวา่ microspore mother cell ซ่ึงพฒั นาต่อไป
เป็นละอองเรณู (pollen grain) จำนวนมาก โดยมีลกั ษณะเป็นเม็ดเลก็ ๆสเี หลืองๆ ผวิ ของ
ละอองเรณแู ต่ละชนิดจะแตกต่างกนั ละอองเรณทู ำหน้าที่เป็นเซลลส์ ืบพนั ธ์ตุ ัวผู้ เม่อื ดอก
เจริญเต็มทีแ่ ลว้ ถงุ ละอองเรณูจะแตกออก ละอองเรณูกจ็ ะปลวิ ออกมา เกสรตวั ผู้ในพืชแต่ละ
ชนิดมจี ำนวนมากนอ้ ยไม่เท่ากัน ในพชื โบราณหรอื พชื ววิ ัฒนาการต่ำมักมีเกสรตวั ผจู้ ำนวน
มาก ส่วนพืชที่มวี ิวัฒนาการสูงจำนวนเกสรตัวผจู้ ะน้อยลง ในพืชบางชนดิ เช่น ชงโค กล้วย
เกสรตวั ผู้บางอันเป็นหมัน ไม่สามารถสร้างละอองเรณูได้ เรียกว่าสเตมิโนด ในพุทธรกั ษา
ส่วนเกสรตัวผทู้ ่เี ปน็ หมันเปล่ียนแปลงไปจนมีลักษณะคลา้ ยกลีบดอก มสี สี นั สวยงามและเปน็
แผ่นกว้าง เรียกวา่ เพทะลอยด์สเตมิโนด (petaloidstaminode)

4. เกสรตัวเมีย เปน็ ชน้ั ทอี่ ยู่ในสดุ เปลี่ยนแปลงมาจากใบเพือ่ ทำหน้าทีส่ ร้างเซลล์
สืบพนั ธุ์เพศเมีย จงึ เป็นอวยั วะสำคญั ต่อการสบื พันธุ์ จำนวนเกสรตัวเมียในดอกหนง่ึ อาจมี
อันเดียวหรอื หลายอันเรียงกนั เปน็ วง เรยี กวงของเกสรตัวเมียว่า จิเนเซยี ม (gynoecium)
และมักใชส้ ัญลกั ษณ์ G เกสรตัวเมยี ประกอบดว้ ย 3 ส่วน คอื

1. ยอดเกสรตัวเมีย (stigma) เปน็ ส่วนทพี่ องออก มลี กั ษณะเปน็ ตุ่ม
แผ่แบนเป็นแฉก เป็นพู และมีน้ำเหนยี วๆ หรอื ขนคอยจับละอองเรณูทล่ี อยมาตดิ

2. ก้านชเู กสรตวั เมีย (style)เปน็ ส่วนทม่ี ีลักษณะเปน็ เส้นหรอื เป็นก้าน
เลก็ ๆอาจยาวหรือสนั้ เชอื่ มต่อจากยอดเกสรตวั เมยี ลงสู่รงั ไข่ เปน็ ทางใหส้ เปิรม์ นิวเคลียสเขา้
ไปปผสมกับไข่

3. รังไข่ (ovary)คือสว่ นท่ีมลี กั ษณะพองโตออกเป็นกระพุ้ง ภายในรังไข่
จะมีออวลุ อนั เดียวหรือหลายอันก็ได้ และภายในออวลุ จะมีเซลลส์ บื พันธ์เุ พศเมยี ทเี่ รยี กว่า
ไข่ (egg)
38 ดอกที่มีองคป์ ระกอบครบทั้ง 4 สว่ นเรยี กว่า ดอกสมบูรณ์ (complete flower)
แต่ถ้าขาดส่วนใดสว่ นหนึ่งไปไม่ครบ 4 สว่ นเรียกว่า ดอกไม่สมบูรณ์ (incomplete flower) และดอก
ทีม่ ีทง้ั เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยี อยภู่ ายในดอกเดยี วกัน เรยี กว่า ดอกสมบรู ณ์เพศ (perfect
flower) ถา้ มีแต่เกสรเพศผหู้ รือเกสรเพศเมียเพียงอย่างเดียว เรยี กวา่ ดอกไมส่ มบรู ณเ์ พศ
(imperfect flower)จากโครงสรา้ งของดอกยังสามารถจำแนกประเภทของดอกได้อกี โดยพจิ ารณา
จากตำแหนง่ ของรังไข่ เมอ่ื เทียบกบั ฐานรองดอกซง่ึ ได้แก่ ดอกประเภทที่มีรังไข่อยูเ่ หนือฐานรองดอก

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

32 ค่มู อื เตรยี มสอบ

เช่น ดอกมะเขือ จำปี ยี่หบุ บัว บานบรุ ี พริก ถั่ว มะละกอ ส้ม เป็นตน้ และดอกประเภทท่ีมรี ังไข่อยู่
ใตฐ้ านรองดอก เช่น ดอกฟักทอง แตงกวา บวบ ฝรงั่ ทบั ทิม กลว้ ย พลบั พลงึ

39 กา้ นดอก (Peduncle)เปน็ ส่วนของก่ิงที่มดี อกอยตู่ รงปลายทีท่ ำหนา้ ทชี่ ูดอกและ
ทำใหด้ อกติดกบั กิ่งหรือลำต้น

40 ฐานรองดอก (Receptacle)เปน็ สว่ นปลายของก้านดอกท่ีพองออกทำหนา้ ที่
รองรบั สว่ นต่างๆ ของดอก

41 การถ่ายละอองเรณู (Pollination)หมายถงึ กระบวนการท่ีละอองเรณูของเกสร
เพศผถู้ ูกพาไปตกลงบนยอดเกสรเพศเมียของดอกชนดิ เดียวกัน

42 ลกั ษณะการถา่ ยทอดละอองเรณู แบง่ ออกเป็น 2 แบบ คือ
1)การถ่ายละอองเรณทู เ่ี กดิ ขึ้นภายในดอกเดยี วกนั หรอื ระหวา่ งดอกของ

ต้นเดียวกัน โดยตำแหน่งของดอกเพศผู้จะอย่เู หนือดอกเพศเมียเพ่ือความสะดวก ทำใหไ้ ด้พชื ต้นใหม่
ที่มีลักษณะทางพนั ธกุ รรมเหมือนเดิม

2) การถา่ ยทอดละอองเรณขู ้ามต้นของพืชชนดิ เดียวกัน เปน็ การถา่ ยละอองเรณู
แบบข้ามดอกและต่างตน้ กัน ซึ่งตอ้ งอาศยั ส่ือต่างๆ เชน่ ลม แมลง นก เป็นตน้ พชื ตน้ ใหม่ทีไ่ ด้จะมี
ลกั ษณะตา่ งๆ หลากหลายและอาจได้พืชพนั ธุ์ใหม่ๆ ข้ึนมาได้

43 การตอบสนองของพืชต่อส่ิงแวดลอ้ ม
1. การเคล่ือนไหวเนอื่ งจากการเจรญิ เติบโต (growth movement)

- การตอบสนองต่อสิง่ เรา้ ภายนอก (paratonic movement)
- การตอบสนองทีเ่ กดิ จากสิ่งเร้าภายใน (autonomic movement)

2. การเคล่อื นไหวเน่อื งมาจากการเปลีย่ นแปลงแรงดันเต่ง (turgor movement)
3. การตอบสนองของพชื ต่อสารควบคมุ การเจริญเติบโต
44 การตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกของต้นพืช มี 2 แบบ คือ

1) แบบมีทศิ ทางสัมพันธก์ ับทศิ ทางของส่ิงเร้า เปน็ การตอบสนองของพืชโดยมที ิศ
ทางการเคลอ่ื นไหวสัมพนั ธก์ บั ทศิ ทางของส่ิงเรา้ ท่ีมากระตุ้นคือเคล่ือนไหวเข้าหาสิ่งเรา้ กับหนีออก
จากสง่ิ เร้า เชน่

การตอบสนองต่อสง่ิ เร้าที่เปน็ แสง โดยปลายยอดของพชื จะมที ิศทางการ
เจริญเติบโตเขา้ หาแสงสวา่ ง ส่วนปลายรากของพืชจะมีทศิ ทางการเจรญิ เตบิ โตหนจี ากแสงสวา่ ง

ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 33

การตอบสนองของพชื ตอ่ สง่ิ เร้าที่เปน็ ความช้นื หรอื น้ำ โดยรากของต้นพชื จะเจริญ
งอกไปยังบรเิ วณที่มคี วามชนื้

การตอบสนองของพืชต่อการสมั ผัส เชน่ การเจริญของมือเกาะของตน้ พชื บางชนดิ
หรอื พวกลำตน้ แบบเลอ้ื ยจะพันหลักในลกั ษณะบิดลำตน้ ไปรอบๆ เปน็ เกลียว เชน่ ต้นตำลงึ ต้นบวบ
ตน้ พลู เป็นตน้

การตอบสนองของพชื ต่อแรงโนม้ ถ่วงของโลก โดยรากของพชื จะเจรญิ เข้าหาแรง
โน้มถ่วงของโลก ส่วนปลายยอดของพืชจะเจรญิ ในทศิ ทางตรงข้ามกบั แรงโนม้ ถว่ งของโลก

2) แบบมทิ ศิ ทางไมส่ ัมพนั ธ์กับทิศทางของสง่ิ เรา้ เปน็ การตอบสนองของพชื โดย
มที ิศทางการเคลอ่ื นไหวไมส่ ัมพันธก์ บั ทิศทางของส่ิงเรา้ ท่ีมากระต้นุ แต่เกย่ี วข้องกับการเจริญเติบโต
การตอบสนองแบบนีจ้ ะมีทิศทางคงทคี่ ือ การเคล่ือนท่ีข้ึนหรือลงเทา่ นน้ั

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

34 ค่มู อื เตรยี มสอบ

ตัวอยา่ งแนวข้อสอบบทท่ี 2

1. ถ้าภายในเซลล์มคี วามเข้มข้นของนำ้ มากกว่าภายนอกเซลล์ จะทำใหโ้ มเลกุลของนำ้ เคลือ่ นที่

ผ่านเยือ่ หมุ้ เซลลเ์ ข้ามาในเซลล์มากกวา่ ทจี่ ะเคลื่อนท่อี อกไปจากเซลล์ ทำให้เซลล์มีลักษณะบวม

เตง่ ตรงข้อใดมากท่ีสดุ

ก. แรงดันราก

ข. แรงดนั ภายนอก แรงดันภายใน

ค. เกิดการออสโมซสิ

ง. การเคล่ือนท่ีของสาร

2. ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพชื ส่ิงแรกท่ไี ด้คืออะไร

ก. นำ้ ข. แปง้

ค. นำ้ ตาล ง. แกส๊ ออกซเิ จน

3. ขอ้ ความใดตอ่ ไปน้ีเปน็ ความจริง

ก. การแพรเ่ กดิ ข้ึนในตัวกลางทีเ่ ปน็ ของเหลวไม่ได้

ข. การออสโมซิสเป็นการแพร่อยา่ งหนง่ึ

ค. สารต่าง ๆ จะผา่ นเข้าออกเซลล์โดยวธิ กี ารแพร่ไม่ได้

ง. การแพรเ่ กิดข้นึ ในตัวกลางท่เี ป็นกา๊ ซเท่านั้น

4. สารจะแพร่ได้ดีในตวั กลางชนดิ ใด

ก. ก๊าซ ข. ของเหลว

ค. ของแขง็ ง. ก และ ข

5. ขอ้ ใดอธิบายความหมายของการแพร่พร้อมทงั้ ยกตัวอย่างไดถ้ กู ต้องที่สุด

ก. การเคล่ือนทีข่ องโมเลกลุ จากด้านบนลงดา้ นลา่ ง เชน่ การเทนำ้

ข. การเคล่ือนทข่ี องโมเลกุลจากบริเวรโมเลกุลนอ้ ยไปยังโมเลกลุ หนาแน่น

ค. การเคลื่อนทีข่ องโมเลกลุ จากทีม่ ีโมเลกุลหนาแน่นไปยังท่ีมโี มเลกลุ นอ้ ย เชน่ การแพร่ของ

น้ำหอม

ง. การเคลื่อนที่ของสารจากบริเวณหนง่ึ ไปยงั อีกบรเิ วณหน่งึ เช่น การสาดนำ้

ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 35

6. ในสัตวช์ ัน้ ตำ่ พวกไสเ้ ดือนดนิ พยาธิตัวแบน ผนงั ลำตวั เปียกช้นื อยเู่ สมอ ทำให้ออกซเิ จนเขา้ สู่

ร่างกาย ไดโ้ ดยวธิ ใี ด

ก. การซมึ ซับ ข. การละลาย

ค. การออสโมซิส ง. การแพร่

7. เพราะเหตุใด เมื่อนำเซลล์เมด็ เลือดแดง ซง่ึ เปน็ เซลล์สัตว์ แช่ในนำ้ กลน่ั จึงเกดิ การออสโมซิส

น้ำเข้าส่เู ซลล์มากจนทำใหเ้ ซลล์แตกได้

ก. เพราะเซลล์เม็ดเลอื ดแดงไมม่ นี ิวเคลยี ส

ข. เพราะเซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดงไม่มคี ลอโรพลาส

ค. เพราะเซลลเ์ ม็ดเลือดแดง ไมม่ ผี นังเซลล์

ง. เพราะเซลลเ์ มด็ เลือดแดงไมม่ ีเย่อื หุ้มเซลล์

8. เพราะเหตใุ ดอุณหภูมทิ ่เี พ่ิมขึน้ จึงทำใหเ้ กดิ อัตราการแพรไ่ ด้เรว็ ขึน้

ก. เพราะเมือ่ อณุ หภูมิเพิ่ม ไปช่วยทำให้ความเขม้ ขน้ ของสารเพม่ิ ขน้ึ

ข. เพราะเมอื่ อุณหภูมเิ พิม่ ทำให้อนุภาคของสารเกิดการขยายตวั ใหญ่ขนึ้

ค. เพราะเมอ่ื อณุ หภมู เิ พิ่ม ชว่ ยเร่งปฏิกริ ยิ าของตัวกลางที่อนุภาคสารเคลื่อนที่ผ่าน

ง. เพราะเม่ืออณุ หภูมิเพม่ิ ไปช่วยเพิ่มพลังงานจลนใ์ ห้แก่อนภุ าคของสาร

9. เพราะเหตุใดเราจงึ ควรตัดใบบางสว่ นออก เมื่อต้องการยา้ ยตน้ ไมไ้ ปปลูกในที่ใหม่

ก. เพอื่ ลดนำ้ หนักของตน้ ไม้ ข. เพื่อลดการสังเคราะห์ดว้ ยแสง

ค. เพือ่ ลดการคายน้ำของใบ ง. เพอ่ื กระตุ้นให้พชื สรา้ งอาหารมากขน้ึ

10. ข้อใดสรุปข้อมลู เกี่ยวกบั ทอ่ ไซเล็มไมถ่ กู ต้อง

ก. ใช้ลำเลียงน้ำและแรธ่ าตุ

ข. ประกอบดว้ ยเซลลท์ ตี่ ายแลว้

ค. มกี ารลำเลียงสารภายในที่มีทศิ ทางขนึ้ สยู่ อดพชื

ง. มขี นาดเลก็ และอยู่ใกลเ้ ปลือกลำตน้

11. กระบวนการในขอ้ ใดไม่เกยี่ วข้องกบั ใบพืช

ก. การปลอ่ ยแก๊สออกซิเจน ข. การดดู ซึมแร่ธาตุอาหารพืช

ค. การคายนำ้ เป็นไอน้ำ ง. การคายน้ำเปน็ หยดน้ำ

12. โครงสร้างใดทพ่ี ืชใช้ในการสบื พนั ธ์แุ บบอาศยั เพศ

ก. ราก ข. ลำต้น

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

36 ค่มู อื เตรยี มสอบ

ค. ใบ ง. ดอก

13. ดอกไมใ้ นข้อใดเป็นดอกสมบรู ณเ์ พศ

ก. ตำลึง ข. กุหลาบ

ค. ข้าวโพด ง. ฟกั ทอง

14. การปฏิสนธขิ องพชื เกิดขึ้นเมือ่ ใด

ก. กลบี ดอกไมเ้ ริ่มบาน ข. ละอองเรณูตกบนยอดเกสรตัวเมยี

ค. สเปิรม์ เซลล์ผสมกับเซลลไ์ ข่ ง. เมลด็ เร่มิ งอกเป็นตน้ ใหม่

15. ส่วนใดของดอกที่เจรญิ ไปเปน็ ผลหลังจากปฏิสนธแิ ลว้

ก. รงั ไข่ ข. ไข่อ่อน

ค. ฐานรองดอก ง. ออวุล

16. ข้อใดกล่าวไมถ่ ูกต้อง

ก. เซลล์ไขเ่ จรญิ เป็นตน้ ออ่ น ข. ออวลุ เจริญเป็นเมล็ด

ค. รังไข่เจริญเป็นใบเลยี้ ง ง. รงั ไข่ทำหนา้ ทส่ี รา้ งเซลลไ์ ข่

17. การเคลื่อนไหวแบบใดที่ไม่สัมพันธก์ ับทิศทางของส่ิงเร้า

ก. การหุบและบานของกลว้ ยไม้ ข. การหนั เขา้ หาแสงของดอกทานตะวนั

ค. การเจริญของยอดพืชเขา้ หาแสง ง. การเจรญิ ของรากพชื เข้าหาน้ำ

18. ส่วนใดของพืชท่มี กี ารสังเคราะหด์ ว้ ยแสง

ก. ใบ ข. ราก

ค. ดอก ง. ทุกส่วนของพชื ท่มี ีสเี ขยี ว

19. น้ำมคี วามสำคญั อย่างไรต่อการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง

ก. เป็นแหลง่ ใหอ้ ิเล็กตรอน

ข. รกั ษาระดบั อุณหภูมิใหค้ งที่

ค. ช่วยในการแพร่ของไอออนบวกและลบ

ง. ถกู มากกว่า 1 ข้อ

20. การสังเคราะห์ด้วยแสงจะพบในบรเิ วณใดของใบขา้ วโพด

ก. โฟลเอม ข. เอพิเดอรม์ สิ

ค. บนั เดิลชีท ง. โฟลเอมพาเรงคมิ า

ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 37

21. รงควตั ถชุ นิดใดทพ่ี ืชและสาหรา่ ยเขียวแกมสีนำ้ เงนิ ใชใ้ นกระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสง

เหมือนกัน

ก.คลอโรฟิลล์ ข. คลอโรฟลิ ล์ บี

ค. แคโรทนี อยด์ ง. ถกู ท้ัง ก และ ค

22. รงควัตถชุ นดิ ใดท่ีช่วยสังเคราะห์ด้วยแสงทางอ้อมและมีอยใู่ นสาหร่ายและแบคทเี รียที่

สงั เคราะหด์ ว้ ยแสงได้

ก. คลอโรฟลิ ล์ เอ ข. คลอโรฟลิ ล์ บี

ค. แคโรทนี นอยด์ ง. ไฟโคบิลนิ

23. คารโ์ บไฮเดรตท่ีพืชสังเคราะห์ข้นึ เกิดจากปฏกิ ริ ิยาของ

ก. คาร์บอนไดออกไซด์รวมตวั กบั นำ้

ข. คารบ์ อนไดออกไซดร์ วมตัวกับไฮโดรเจนจากน้ำ

ค. คาร์บอนไดออกไซด์รวมตัวกับออกซิเจนอากาศและไฮโดรเจนจากนำ้

ง. คารบ์ อนรวมตวั กับไฮโดรเจนและออกซเิ จนจากน้ำ

24. โปรตีสต์คใู่ ดที่มีความสามารถใช้พลงั งานแสงได้คล้ายพชื สเี ขียว

ก. ยีสต์ ไลเคนส์ ข. ราขนมปงั สาหรา่ ยสีนำ้ ตาล

ค. แบคทเี รยี บางชนดิ นอสดอก ง. ราเมอื ยูสนี า

25. จากการทดลองฉายแสงทลี ะช่วงความยาวคลนื่ ต้งั แต่ 400 -700 นาโนเมตร แกส่ าหรา่ ยสี

เขียวชนิดหนงึ่ พบว่าถา้ ฉายแสงที่มีความยาวคล่นื เกิน 680 นาโนเมตร อตั ราการสงั เคราะห์ด้วย

แสงลดลงวดั จากออกซิเจนที่ปล่อยออกมา เป็นเพราะเหตุใด

ก. คลอโรฟลิ ล์ดดู พลงั งานแสงที่มคี วามยาวคลนื่ เกนิ 650 นาโนเมตรไม่ได้

ข. มีปฏกิ ิรยิ าเกิดขึ้นในรงควัตถุระบบ 1 เทา่ นั้น

ค. มปี ฏิกิรยิ าเกิดขึ้นในรงควัตถรุ ะบบ 2 เทา่ น้ัน

ง. เกิดการถ่ายทอดอเิ ล็กตรอนแบบไม่เป็นวฏั จักร

26. บรรจสุ าหรา่ ยหางกระรอกและนำ้ กลั่นในหลอดแก้วปิดฝาจกุ ใหแ้ นน่ แล้วนำไปวางกลางแจ้ง

นำ้ ในหลอดแกว้ ควรจะมี pH เป็นอย่างไร

ก. ต่ำสดุ สดุ ในชว่ งเชา้ ก่อนพระอาทิตยข์ นึ้

ข. สูงสุดในชว่ งเชา้ ก่อนพระอาทติ ยข์ น้ึ

ค. ต่ำสุดเมอ่ื ตอนเทย่ี งวัน

ง. สูงสดุ ในตอนเย็นก่อนพระอาทติ ย์ตก

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

38 คมู่ อื เตรยี มสอบ

บทท่ี 3 อาหารกบั การดำรงชีวิต

1. อาหาร (Food) หมายถงึ สงิ่ ทบี่ รโิ ภคไดแ้ ละเมื่อบรโิ ภคเข้าไปแล้วจะก่อให้เกดิ
ประโยชนต์ อ่ รา่ งกาย เชน่ ทำใหร้ ่างกายเจรญิ เติบโตได้เป็นปกติใหพ้ ลงั งานใหค้ วามอบอุ่นแกร่ า่ งกาย
ชว่ ยบำรุงและกระตนุ้ ให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้ตามปกติ ชว่ ยซอ่ มแซมสว่ นทส่ี กึ หรอของรา่ งกาย
และชว่ ยให้รา่ งกายมีภูมิค้มุ กันโรค เปน็ ต้น

2. สารอาหาร (Nutrients)หมายถงึ สารเคมีทีเ่ ป็นองคป์ ระกอบในอาหารได้แก่
โปรตนี คาร์โบไฮเดรต ไขมัน แรธ่ าตุ วติ ามนิ และนำ้ และมปี ระโยชน์ตอ่ รา่ งกายของส่ิงมีชวี ติ เชน่
ให้พลงั งาน ช่วยซ่อมแซมสว่ นท่ีสกึ หรอของร่างกาย ควบคุมปฏกิ ริ ิยาเคมีในรา่ งกาย ช่วยปอ้ งกันและ
ตา้ นทานโรค ทำใหร้ า่ งกายเจรญิ เติบโตและแข็งแรง เปน็ ต้น

3. ประเภทของสารอาหารจำแนกโดยใชค้ วามสามารถในการใหพ้ ลงั งานเป็นเกณฑ์
ได้ 2 ประเภท คือ

1) สารอาหารประเภทที่ให้พลังงาน ได้แก่ โปรตีน คารโ์ บไฮเดรต และไขมัน
2) สารอาหารประเภทที่ไม่ให้พลงั งาน แต่ร่างกายขาดไม่ได้ ไดแ้ ก่ แรธ่ าตุ วิตามิน และน้ำ
4. ประเภทของสารอาหารจำแนกโดยใชป้ ระเภทของสารเคมที ่เี ป็นองค์ประกอบ
เปน็ เกณฑ์ แบ่งเปน็ 2 ประเภท คอื
1) สารอาหารที่เปน็ สารอนิ ทรีย์ ไดแ้ ก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมนั และวติ ามินเป็น
สารอาหารทไ่ี ด้จากสง่ิ มีชีวิตซง่ึ มีธาตุคารบ์ อน(C) ไฮโดรเจน(H) เป็นองค์ประกอบ และนอกจากนบ้ี าง
ชนดิ อาจมีธาตุ ไนโตรเจน(N) ออกซเิ จน(O) และกำมะถนั (S) เปน็ องค์ประกอบดว้ ย
2) สารอาหารทีเ่ ปน็ สารอนินทรีย์ ไดแ้ ก่ แรธ่ าตุและนำ้ เป็นสารอาหารทไ่ี ด้จากส่งิ ทไี่ ม่มี
ชีวติ
5. สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต จำแนกตามสมบตั ิทางกายภาพและทางเคมีได้
เปน็ 2 ประเภท คือ
1) นำ้ ตาล ได้แก่ คารโ์ บไฮเดรตท่มี ีรสหวานและละลายน้ำได้ เช่น

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 39

น้ำตาลโมเลกลุ เดีย่ ว (Monosaccharide)เป็นคาร์โบไฮเดรตท่มี โี มเลกุลเล็กที่สุด
ซง่ึ ร่างกายไมส่ ามารถย่อยได้อีก เช่น กลูโคส(Glucose) ฟรุกโทส(Fructose) กาแลกโทส
(Galactose)

นำ้ ตาลโมเลกลุ คู่ (Disaccharide)เปน็ คาร์โบไฮเดรตท่แี ตกตัวใหน้ ้ำตาลโมเลกลุ
เดี่ยวจำนวน 2 โมเลกลุ ไดแ้ ก่ ซโู ครส(Sucrose) แลกโทส(Lactose) มอลโทส(Maltose)

2)พวกทไี่ ม่ใชน่ ้ำตาล เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ไม่มรี สหวาน เชน่ พอลิแซก็ คา
ไรด์(Polysaccharide) เกดิ จากน้ำตาลโมเลกลุ เดย่ี วจำนวนมากมาเกาะกันเป็นสารทมี่ ีโมเลกุล
เชิงซอ้ น เชน่ แปง้ (เชือ่ มกนั แบบเป็นเกลียว), เซลลโู ลส(เชื่อมกันแบบเส้นตรง), ไกลโคเจน(เชอื่ มกัน
แบบก่งิ กา้ น)

6. ธาตุทีเ่ ปน็ องค์ประกอบพื้นฐานของคาร์โบไฮเดรต คือ คารบ์ อน
ไฮโดรเจน และออกซิเจน

7. แหล่งอาหารของคารโ์ บไฮเดรต เช่น ขา้ ว เผือก มัน นำ้ นม ถ่ัว
เมลด็ แห้ง ผัก และผลไม้ที่มีรสหวาน เปน็ ตน้

8. ประโยชนข์ องคาร์โบไฮเดรต
1) เปน็ สารอาหารท่ีใหพ้ ลงั งานแกร่ า่ งกายเป็นส่วนใหญ่ คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม จะให้
พลงั งาน 4 กโิ ลแคลอรี
2) คารโ์ บไฮเดรตทีร่ ่างกายใช้เป็นเช้อื เพลิงในการให้พลงั งานมากทสี่ ดุ คือ น้ำตาลกลโู คส
ซึ่งสะสมอยู่ในตบั และกลา้ มเน้ือ และพร้อมท่จี ะนำมาใช้ประโยชนไ์ ดท้ ันที
3) ให้กากอาหารทำให้การขับถ่ายอุจจาระเปน็ ปกติชว่ ยปอ้ งกนั การเกดิ ท้องผูกได้
4) เปน็ สารตง้ั ตน้ ในการสังเคราะห์สารอ่นื ๆ เชน่ น้ำตาลไรโบส เปน็ ส่วนประกอบหนึ่งของ
ดเี อ็นเอ
9. สารอาหารประเภทโปรตีน เป็นสารอาหารทม่ี ีความจำเปน็ มากต่อรา่ งกาย เพราะ
โปรตนี เปน็ องค์ประกอบของอวัยวะทกุ สว่ นของรา่ งกายประกอบด้วยกรดอะมโิ นหลายชนิดเชื่อมต่อ
กนั
10. ธาตทุ ี่เปน็ องค์ประกอบพืน้ ฐานของโปรตีน คอื คารบ์ อน ไฮโดรเจน ออกซเิ จน
และไนโตรเจน บางชนิดก็มีกำมะถันเป็นสว่ นประกอบ
11. แหล่งอาหารของโปรตีน เชน่ เนื้อสัตว์ชนดิ ต่าง ๆ ไข่ น้ำนม ถั่วเหลือง และถวั่
ชนดิ อ่ืน ๆ เปน็ ต้น
12. ประโยชนจ์ ากโปรตีน

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

40 คมู่ อื เตรยี มสอบ

1) เปน็ สารอาหารที่ให้พลงั งานแกร่ ่างกายโปรตีน 1 กรมั ใหพ้ ลังงาน 4 กิโลแคลอรี
2) สรา้ งเซลลใ์ หร้ ่างกายเด็กทกี่ ำลงั เจริญเติบโต
3) ช่วยเสรมิ สร้างเซลล์สมองให้มีประสทิ ธภิ าพ
4) ชว่ ยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์
5) สร้างภูมิคมุ้ กันโรคแกร่ า่ งกาย
6) เปน็ สว่ นประกอบของเอนไซม์ทช่ี ่วยเรง่ และควบคุมปฏิกิริยาเคมีในส่ิงมชี ีวิต
13. สารอาหารประเภทไขมัน ไขมนั เปน็ สารประกอบระหว่างกรดไขมัน(Fatty acid)
กับกลเี ซอรอล(Glyceral)
14. ธาตทุ ่เี ปน็ องค์ประกอบพืน้ ฐานของไขมนั คือ คารบ์ อน ไฮโดรเจน และ
ออกซิเจน
15. แหล่งอาหารของไขมัน เชน่ ไขมันจากสัตวแ์ ละน้ำมันจากพชื ซง่ึ ประกอบดว้ ย
กรดไขมันต่างชนิดกัน
1) ไขมนั จากสตั ว์ ประกอบด้วยกรดไขมนั ท่ีอ่ิมตัวซง่ึ มปี ระโยชน์แกร่ ่างกายน้อย
2) น้ำมนั พชื ประกอบดว้ ยกรดไขมันไม่อม่ิ ตวั ซงึ่ มีประโยชนแ์ ก่ร่างกายมาก
16. กรดไขมัน แบ่งตามความจำเปน็ ได2้ กลุ่มคือ
1) กรดไขมันไม่จำเปน็ ร่างกายสามารถสร้างเองได้
2) กรดไขมนั จำเป็น ร่างกายสรา้ งเองไมไ่ ด้ ต้องไดร้ ับจากอาหารเทา่ นน้ั ไดแ้ ก่ กรดไขมัน
กล่มุ โอเมกา พบมากในอาหารพวกปลากและน้ำมันพืช
17. ประโยชน์ของไขมนั
1) เปน็ สารอาหารที่ใหพ้ ลังงานแกร่ ่างกายสงู ท่สี ดุ คือ ไขมัน 1 กรัม ให้พลังงานแก่
รา่ งกาย9 กิโลแคลอรี
2) เปน็ ตัวทำละลายวิตามินท่ีละลายไดใ้ นไขมัน คือ วติ ามินเอ ดี อี เค และชว่ ยดูดซึม
วติ ามนิ เหล่านีเ้ ขา้ สูร่ ่างกาย ถ้าหากขาดไขมันก็จะทำให้ร่างกายขาดวิตามนิ เหล่าน้ดี ว้ ย
3) เปน็ ฉนวนปอ้ งกนั ความร้อนภายในรา่ งกายให้ออกสู่ภายนอกอยา่ งช้า ๆ เชน่ สตั ว์ที่
อาศัยอยแู่ ถบขั้วโลกจะมีชน้ั ไขมนั ใตผ้ วิ หนังที่หนามากๆ เพื่อชว่ ยป้องกนั ความหนาว
4) ไขมันทอี่ ยรู่ อบอวัยวะภายในจะช่วยปอ้ งกันการกระทบกระเทือน
5) ช่วยสรา้ งวติ ามินและฮอร์โมนบางชนิด เช่น วติ ามินดี เปน็ ตน้

ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 41

18. สารอาหรประเภทวติ ามิน เปน็ สารอนิ ทรยี ท์ ่ีมคี วามสำคัญต่อการทำงานของระบบ

ต่าง ๆ ในร่างกาย แบ่งโดยใชส้ มบัติในการละลายเปน็ เกณฑ์ได้ดังนี้

1) วติ ามนิ ท่ลี ะลายได้ในไขมัน ได้แก่ วติ ามนิ เอ ดี อี และเค วติ ามินประเภทน้ี

สามารถละลายไดใ้ นไขมนั และจะถูกดดู ซึมเข้าสู่กระแสเลือดพร้อมกบั ไขมนั ถ้ารา่ งกายไดร้ ับ

วติ ามินประเภทนมี้ ากเกนิ ไปก็จะเก็บสะสมไว้ และถา้ หากสะสมไวม้ าก ๆ ก็จะทำใหเ้ กิดอันตรายต่อ

ร่างกายได้

2) วิตามนิ ทลี่ ะลายได้ในนำ้ ได้แก่ วิตามนิ บีชนดิ ต่าง ๆ และวิตามินซี วติ ามนิ ประเภทนี้

จะสามารถละลายนำ้ ได้ดี ถูกทำละลายได้งา่ ยดว้ ยแสงแดดและอากาศ รา่ งกายไม่สามารถเกบ็

สะสมได้ดี แต่ถ้าหากไดร้ บั ในปรมิ าณท่ีมากเกินความจำเป็นกจ็ ะถูกขับออกมาทางปสั สาวะ

19. แหลง่ อาหาร ประโยชน์ และผลจากการขาดวิตามนิ ชนิดต่าง ๆ

1) วิตามินทลี่ ะลายไดใ้ นไขมัน ได้แก่ วิตามนิ เอ ดี อี และเค

วติ ามิน แหล่งอาหาร ประโยชน์ ผลจากการขาด

เรตนิ อล(A) ตับ น้ำมนั ตบั ปลา ไข่ ช่วยในการเจรญิ เตบิ โต เด็กไม่เจรญิ เติบโต

นม เนย ผกั ผลไม้ทมี่ ี สี บำรุงสายตา ผิวหนังแห้งหยาบ

เขยี วและสเี หลือง มองไม่เหน็ ในทีส่ ลวั

แคลซเิ ฟอรอล(D) นม เนย ไข่ จำเป็นในการสร้างกระดกู โรคกระดดู อ่อน

นำ้ มันตบั ปลา และฟัน

เพิม่ อัตราการดดู ซึม

แคลเซยี มและฟอสฟอรสั

แอลฟาโทโคเฟ ผักสีเขยี ว นำ้ มนั จากพชื ชว่ ยใหเ้ มด็ เลือดแดง โรคโลหิตจาง หญงิ มีครรภ์

อรอล(E) แข็งแรงและไม่เป็นหมนั อาจทำให้แทง้ ได้

ผชู้ ายอาจเป็นหมนั

แอลฟา ฟลิ โล ผักสีเขยี ว ตับ ช่วยในการแข็งตวั ของเลอื ด เลือดแข็งตัวช้ากวา่ ปกติ

ควิโนน(K)

2) วติ ามนิ ที่ละลายไดใ้ นนำ้ ได้แก่ วิตามินบีชนิดตาง ๆ และวิตามินซี

วติ ามิน แหล่งอาหาร ประโยชน์ ผลจากการขาด

ไทอามนี (B) ขา้ วซ้อมมือ เน้ือสัตว์ ช่วยบำรุงระบบประสาท โรคเหนบ็ ชา เบือ่ อาหาร

ตับ ถว่ั ไข่ และการทำงานของหวั ใจ อ่อนเพลีย

ไรโบเฟลวนิ (B2) ตับ ไข่ ถว่ั นม ยีสต์ ชว่ ยให้การเจรญิ เติบโต โรคปากนกกระจอก

เป็นไปอย่างปกติ ทำให้ ล้นิ อักเสบ ผิวหนงั แหง้

ผวิ หนงั ลน้ิ ตา มสี ุขภาพดี และแตก

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

42 ค่มู อื เตรยี มสอบ

ไนอาซิน (B3) เนือ้ สตั ว์ ตับ ถั่ว ขา้ วซ้อม ชว่ ยในการทำงานของ เบอ่ื อาหาร อ่อนเพลีย
มือ ยีสต์ ระบบประสาท กระเพาะ ผวิ หนังเป็นผน่ื แดง
อาหาร ลำไส้ จำเปน็ ต่อ สคี ลำ้ หยาบ และอักเสบที่
สขุ ภาพของผิวหนงั และลนิ้ ถูกแสงแดด

ไพรดิ อกซลิ (B6) เนือ้ สัตว์ ตับ ถั่ว ผัก ชว่ ยในการทำงานของ เบื่ออาหาร ผวิ หนังเปน็

ระบบย่อยอาหาร แผล มีอาการทางประสาท

ไชยาโนโคบาลามิน ตับ ไข่ เนอื้ ปลา จำเป็นต่อการสรา้ งเมด็ เลือ โรคโลหิตจาง
(B12) แดงช่วยใหก้ ารเจรญิ เตบิ โต ประสาทเสอื่ ม

ในเดก็ เปน็ ไปตามปกติ

กรดแอสคอร์บกิ (C) ผลไมแ้ ละผักต่าง ๆ ชว่ ยรกั ษาสขุ ภาพฟันและ โรคเลือดออกตามไรฟนั

เหงือกทำใหห้ ลอดเลอื ด หลอดเลือดฝอยเปราะเปน็

แข็งแรง หวัดง่าย

20. แรธ่ าตุ ส่วนใหญร่ า่ งกายจะได้รับมาพร้อมอาหารในรปู แบบไอออนทล่ี ะลายน้ำ

แรธ่ าตทุ ่ีรา่ งกายต้องการแบง้ ออกได้เปน็ 2 ประเภท คือ

1) แรธ่ าตุที่ร่างกายตอ้ งการจากอาหารในปรมิ าณทีไ่ มต่ ำ่ กว่าวนั ละ 100 มลิ ลิกรมั เช่น

แคลเซยี ม ฟอสฟอรสั แมกนเี ซียม โซเดียม โพแทสเซยี มคลอไรด์ เป็นต้น

2) แรธ่ าตทุ ่รี ่างกายตอ้ งการในปริมาณนอ้ ย วันละไม่กีม่ ิลลิกรมั เช่น เหลก็ ไอโอดีน

ฟลูออไรด์ แมงกานีส สังกะสี โครเมยี ม เป็นตน้

21. แหลง่ อาหาร ประโยชน์ และผลจากการขาดแรธ่ าตุบางชนิด

แร่ธาตุ แหลง่ อาหาร ประโยชน์ ผลจากการขาด

แคลเซียม นม เนอื้ ไข่ ผกั สีเขียว เปน็ ส่วนประกอบของ เด็กเจริญเติบโตไมเ่ ต็มท่ี

สตั ว์ทก่ี นิ ไดท้ ัง้ เปลอื ก กระดกู และฟนั ช่วยในการ หญงิ มีครรภ์ทำใหฟ้ ันผุ

และกระดูก แขง็ ตวั ของเลือดชว่ ยใน

การทำงานของระบบ

ประสาทและกล้ามเนอื้

ฟอสฟอรัส นม เนื้อสัตว์ ไข่ ถวั่ ช่วยในการสรา้ งกระดกู อ่อนเพลีย กระดกู เปราะ

ผกั สีเขยี ว และฟนั การดูดซมึ และแตกง่าย

คารโ์ บไฮเดรต การสรา้ ง

เซลลป์ ระสาท

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 43

ฟลอู อไรด์ อาหารทะเล ทำใหก้ ระดูกและฟัน ฟันผุงา่ ย
แมกนเี ซียม อาหารทะเล ถ่ัว นม ผักสี แข็งแรงป้อนกันฟนั ผุ
เขียว เปน็ ส่วนประกอบของ เกิดความผดิ ปกตขิ อง
โพแทสเซยี ม เลอื ดและกระดูก ช่วยใน ระบบประสาทและ
ผกั ผลไม้ ธัญพืช ถัว่ การทำงานของระบบ กลา้ มเนอ้ื
โซเดยี ม เมลด็ แห้ง นม เนื้อสัตว์ ประสาทและกลา้ มเนอ้ื
เหล็ก รกั ษาสมดลุ ของของเหลว ส่งผลตอ่ การทำงานของ
ไอโอดนี เกลอื แกง ไข่ นม และสภาพ กรด-เบส ใน ระบบประสาท กล้ามเนอ้ื
ตบั เน้ือสัตว์ ถว่ั ไข่ ผักสี ร่างกาย ชว่ ยการหดตวั ออ่ นลา้
เขียว ของกล้ามเน้อื และการ
อาหารทะเล เกลือสมุทร นำกระแสประสาท เกดิ อาการคลน่ื ใส้ เบอ่ื
เกลือเสริมไอโอดีน ควบคมุ ปริมาณน้ำ ใน อาหาร ความดันเลือดต่ำ
เซลล์ให้คงที่ โลหิตจาง อ่อนเพลีย
เปน็ ส่วนประกอบของ
เอนไซมบ์ างชนดิ และเฮฌ เด็กสติปัญญาเส่ือม
มโกลบนิ ในเม็ดเลอื ดแดง และร่างกายแคระ
เป็นส่วนประกอบของ แกร็น ผู้ใหญ่เป็นโรคคอ
ฮอร์โมนไทรอกซนิ พอก
ซึง่ ผลติ จากต่อมไทรอยดื

22. นำ้ มปี ระโยชนด์ ังน้ี
1) เป็นส่วนประกอบท่สี ำคญั ของอวยั วะรา่ งกาย
2) ชว่ ยในปฏกิ ริ ิยาการเผาผลาญสารอาหาร
3) เปน็ ตัวกลางลำเลยี งสารภายใตร้ า่ งกาย
4) ชว่ ยนำของเสยี ออกจากร่างกายทางปสั สาวะแลกเหงื่อ
5) ช่วยรักษาอุณหภมู ิของรา่ งกายใหค้ งท่ี
23. ผลจากการขาดนำ้ ปวดศรี ษะ หงุดหงดิ ง่าย อ่อนเพลีย ปากแห้ง ผวิ แหง้
ปสั สาวะสีเข้ม หากขาดนำ้ มาก ๆ จะทำใหค้ วามดนั ตำ่ และหมดสตไิ ด้
24. การทำสอบสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต

ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

44 ค่มู อื เตรยี มสอบ

1) การทดสอบคารโ์ บไฮเดรตประเภทนำ้ ตาล ทำได้โดยหยดสารละลายเบเนดิกต์ลงใน
อาหารแลว้ นำไปต้มในน้ำเดือดนาน 2 นาที ถา้ อาหารมีนำ้ ตาล สารละลายเบเนดิกต์จเปลี่ยนจากสี
ฟา้ เป็นตะกอนสีตา่ ง ๆ ตามปริมาณน้ำตาสลเรียงตามลำดับจากน้อยไปหามาก ดงั น้ี สเี ขยี ว
สีเหลอื ง สีส้ม สีแดงอิฐ

2) การทดสอบคารโ์ บไฮเดรตประเภทแปง้ ทำได้โดยหยดสารไอโอดนี ลงในอาหาร ถ้า
อาหารมแี ป้งสารละลายไอโอดีนจะเปลี่ยนจากสีนำ้ ตาลแดงเปน็ สนี ำ้ เงินเข้ม แต่ถา้ มีแป้งอยู่
ในปรมิ าณเพียงเลก็ น้อย สารละลายจะเปลย่ี นเปน็ สมี ่วง

25. การทดสอบสารอาหารประเภทโปรตนี สามารถทำได้ 2 วธิ ี คือ
1) วธิ กี ารทดสอบไบยเู รต็ ทำไดโ้ ดยเตมิ สารละลาบไบยเู ร็ต (สารละลายคอปเปอร์(ll)
ซลั เฟต กับสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์หรือโพแทสเซียมไฮดรอกไซด)์ ลงในอาหาร ถ้าอาหารมี
สารอาหารประเภทโปรตนี สารละลายไบยเู รต็ จะเปลีย่ นจากสีฟา้ ไปเป็นสีม่วงอ่อน หรือสีมว่ งปนชมพู
2) วธิ แี ซนโธโปรเตอิก ทำได้โดยการเติมสารละลายกรดไนตรกิ เขม้ ข้นลงในอาหาร
ประมาณ 5 หยด แลว้ นำไปตม้ ในนำ้ เดือด ถ้ามสี เี หลืองเกิดขนึ้ แสดงวา่ อาหรชนดิ น้นั มีสารอาหาร
ประเภทโปรตีน
26. การทดสอบสารอาหารประเภทไขมนั ทำได้โดยนำอาหารที่ตอ้ งการทดสอบมาถู
กับกระดาษ ถา้ ผลการทดสอบทำให้กระดาษโปร่งแสงหรือแสงสามารถส่องผา่ นได้ แสดงวา่ อาหาร
ชนดิ นั้นมสี ารอาหารประเภทไขมนั
27. การทดสอบวติ ามนิ ซี วติ ามินซี (Ascorbic acid) เปน็ วติ ามนิ ที่สามารถละลายใน
น้ำได้ การทดสอบวิตามินซีทำไดโ้ ดยหยดสารละลายที่ต้องการทดสอบลงในนำ้ แปง้ สุกที่มีสารละลาย
ไอโอดีนเติมอยู่ก่อนแลว้ ถา้ น้ำแปง้ ทมี่ สี ารละลายไอโอดีนเปลี่ยนจากสีนำ้ เงนิ เปน็ ไมม่ สี ี แสดงว่า
สารละลายอาหารทีน่ ำมาทดสอบน้นั มวี ติ ามินซี
28. การทดสอบน้ำ ทำได้โดยนำของเหลวที่ไดจ้ ากอาหารมาแตะกบั ผลจุนสีสะตุท่มี ี
ลักษณะเป็นของแขง็ สขี าวขุ่น ถา้ ผลจุนสีสะตุเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสฟี า้ หรือสีน้ำเงนิ แสดงวา่ อาหาร
ชนิดนนั้ มีนำ้ เป็นส่วนประกอบ
******* บโี อดี (Biochemical Oxygen Demand, BOD)หมายถึง ปริมาณของออกซเิ จนที่
แบคทเี รยี ใช้ในการย่อยสลายสารอนิ ทรีย์ ในเวลา 5 วัน ที่อุณหภมู ิ 20 ºC มีหนว่ ยเป็น มิลลิกรมั /
ลิตร คา่ บีโอดีเปน็ ค่าทม่ี ีความสำคญั อย่างมากในการออกแบบและควบคุมระบบบำบัดน้ำเสียทาง

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 45

ชวี ภาพ โดยใชบ้ ่งบอกถึงคา่ ภาระอนิ ทรยี ์ (Organic Loading) ใช้ในการหาประสิทธิภาพของระบบ

บำบัดน้ำเสีย และใช้สำหรบั การตรวจสอบคณุ ภาพของน้ำตามแหลง่ นำ้ ตา่ งๆ

ซโี อดี (Chemical Oxygen Demand, COD)หมายถงึ ปริมาณออกซิเจนทงั้ หมดท่ีต้องการใช้เพื่อ

ออกซเิ ดชนั สารอนิ ทรียใ์ นน้ำให้เปน็ คารบ์ อนไดออกไซด์และน้ำ โดยใชห้ ลกั การวา่ สารประกอบ

อนิ ทรีย์อนิ ทรยี เ์ กือบทุกชนดิ จะถกู ออกซิไดซ์ดว้ ย Strong Oxidizing Agents (K2 Cr2 O7) ภายใต้
สภาวะที่เป็นกรด ค่าซโี อดีมักจะมีค่าสงู กวา่ บีโอดี เน่ืองจากซีโอดไี ม่สามารถแยกความแตกต่าง

ระหวา่ งสารอนิ ทรีย์ท่ถี ูกย่อยสลายทางชวี ภาพและสารทีย่ ากต่อการยอ่ ยสลายทางชีวภาพได้ แต่มี

ขอ้ ดีคอื ใช้เวลาในการวิเคราะห์เพยี ง 3 ชม. เทา่ นั้น ค่าซโี อดมี คี วามสำคัญในการวิเคราะห์คณุ ภาพ

น้ำทิ้ง การคุมระบบบำบดั นำ้ เสยี การตรวจสอบคุณภาพของนำ้ ในแหล่งนำ้ เชน่ เดยี วกบั ค่าบโี อดี และ

ยงั สามารถใชใ้ นการประเมนิ ค่าบโี อดีย่างครา่ วๆได้

****ปรมิ าณออกซเิ จนท่ลี ะลายนำ้ (dissolved oxygen, DO)แบคทเี รียที่เป็น

สารอนิ ทรีย์ในน้ำต้องการออกซเิ จน (aerobic bacteria) ในการย่อยสลายสารอนนิ ทรยี ์ ความ

ตอ้ งการออกซเิ จนของแบคทเี รยี นีจ้ ะทำใหจ้ ะทำให้ปริมาณออกซิเจนทีล่ ะลายในน้ำลดลง ดงั นัน้ ในนำ้

ท่สี ะอาดจะมีคา่ DO สูง และน้ำเสยี จะมีคา่ DO ต่ำ มาตรฐานของน้ำทีม่ ีคณุ ภาพดีโดยท่ัวไปจะมีคา่

DO ประมาณ 5-8 ppm หรือปรมิ าณ O2 ละลายอยูป่ ริมาณ 5-8 มิลลกิ รัม / ลิตร หรอื 5-8 ppm
น้ำเสยี จะมีคา่ DO ตำ่ กว่า 3 ppm คา่ DO มีความสำคัญในการบ่งบอกวา่ แหล่งนำ้ น้ันมีปรมิ าณ

ออกซิเจนเพยี งพอต่อความต้องการของสง่ิ มีชวี ติ หรือไม*******

29. ปริมาณพลงั งานท่คี วรไดร้ บั ในแตล่ ะวนั สำหรับคนไทยในวัยต่าง ๆ

สถานภาพ อาย(ุ ปี) พลังงาน (กโิ ลแคลอรี)
ชาย หญงิ

ทารก 0-5 เดอื น ควรไดร้ บั พลังงานจากน้ำนมแม่

6-11 เดือน 800

เด็ก 1-3 ปี 1,000

4-5 ปี 1,300

6-8 ปี 1,400

วยั รนุ่ 9-12 ปี 1,700 1,600

13-15 ปี 2,100 1,800

16-18 ปี 2,300 1,850

ผู้ใหญ่ 19-30 ปี 2,150 1,750

31-50 ปี 2,100 1,750

ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

46 ค่มู อื เตรยี มสอบ

51-70 ปี 2,100 1,750

71 ปีขึน้ ไป 1,750 1,550

หญิงต้ังครรภ์ 3 เดอื นแรก +0

เดอื นท่ี 4-9 +300

หญงิ ใหน้ มบตุ ร +500

30. พลังงานทร่ี า่ งกายต้องการในแตล่ ะวนั ควรไดม้ าจากคาร์โบไฮเดรต 55%-60%

โปรตนี 10%-15% และไขมัน 25%-30%

31. แคลอรี (Calorie) หน่วยของพลงั งานในอาหาร โดยพลังงานในอาหาร 1 แคลอรี

เทา่ กับ พลังงานความร้อนท่ีทำให้น้ำ 1 กรัม มีอุณหภูมเิ พ่ิมขน้ึ 1 องศาเซลเซยี ส ส่วนใหญ่มกั ระบุ

เปน็ กโิ ลแคลอรี (kcal) เครอ่ื มมอื ท่ีใชห้ าคา่ พลังงานในอาหารเรียกว่า แคลอรีมเิ ตอร์

32. ดชั นีมวลกาย (Body Mass Index หรือ BMI)ใช้สำหรับพิจารณาว่าผูใ้ หญ่มี

นำ้ หนักเกินมาตรฐานหรือไม่ หาไดจ้ าก

โดยมคี ่ามาตรฐานอยรู่ ะหว่าง 18.5-22.9กโิ ลกรมั /ตารางเมตร ถ้าค่าน้อยกว่า 18.5
กโิ ลกรมั /ตารางเมตร แสดงวา่ นำ้ หนักเกินหรือทว้ ม และถ้าค่ามากกว่า 30 กโิ ลกรัม/ตารางเมตร
แสดงวา่ อว้ นมาก

33. ปจั จัยทีส่ ่งผลต่อความต้องการพลังงานและสารอาหาร
1) อายุ วยั เดก็ จะมคี วามต้องการพลงั งานและสารอาหารบางชนดิ มากกวา่ ผู้ใหญโ่ ดยเฉพาะ
วัยรุ่นจะมคี วามต้องการพลงั งานมากกวา่ บุคคลในวัยอืน่ ๆ
2) เพศ เพศชายจะต้องการพลงั งานและสารอาหารมากกว่าเพศหญิงทีอ่ ยใู่ นวยั เดยี วกนั
3) สภาพของร่างกาย รา่ งกายแตล่ ะสภาพจะตอ้ งการพลังงานและสารอาหารประเภท
ต่าง ๆ ในปริมาณเทา่ กัน เชน่ หญงิ ในระยะต้ังครรภ์ ตอ้ งการพลังงานเพิม่ ขน้ึ เพื่อสร้างเนื้อเยือ่ ของ
ทารกในครรภ์ และหญิงในระยะให้นมบุตรก็ตอ้ งการอาหารและพลงั งานสงู สำหรบั สงั เคราะห์สาร
ตา่ ง ๆ ที่จำเปน็ สำหรบั ทารกผา่ นไปทางนำ้ นมและซ่อมแซมร่างกายหลงั ต้งั ครรภแ์ ละคลอดบุตร
4) ลักษณะของกจิ กรรม กิจกรรมท่ใี ช้การเคลอ่ื นไหวของรา่ งกายมากจะใชพ้ ลงั งานมาก

ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 47

34. ธงโภชนาการ เปน็ แผนภาพการนำเสนอขอ้ มลู สดั ส่วน ปริมาณและความ
หลากหลายของอาหารที่คนไทยอายุ 6 ปีขน้ึ ไปควรรับประทานใน 1 วัน โดยแบ่งอาหารเปน็ 4 ชั้น
6 กลมุ่ ดงั นี้

1) ชน้ั ท่ี 1 กลุม่ ขา้ ว แปง้ ควรบริโภคปรมิ าณมากทสี่ ุดเพราะเป็นแหล่งพลังงาน
2) ช้นั ท่ี 2 กลุ่มผกั และกลมุ่ ผลไม้ บริโภคปริมาณรองลงมา เพือ่ ใหไ้ ด้วิตามิน แรธ่ าตุ และ
ใยอาหาร
3) ชัน้ ที่ 3 กลุ่มเนอ้ื สตั ว์ ถว่ั ไข่ และกลมุ่ นม บรโิ ภคปรมิ าณพอเหมาะ เพื่อให้ได้โปรตีน
คณุ ภาพดี เหล็ก และแคลเซียม
4) ชั้นที่ 4 กล่มุ น้ำมัน นำ้ ตาล เกลอื ควรบริโภคแต่น้อย เทา่ ทจี่ ำเป็น
35. ฉลากโภชนาการ คือ ฉลากอาหารทมี่ กี ารแสดงข้อมูลโภชนาการของอาหาร
นัน้ ไว้บนฉลากนอกเหนือไปจากการให้ข้อมูลทวั่ ไป โดยแสดงเปน็ กรอบข้อมลู โภชนาการทรี่ ะบุ
รายละเอียดของชนิดและปรมิ าณสารอาหารท่ีมีในอาหารน้ัน
36. หนงึ่ หน่วยบริโภค หมายถึง ปริมาณการกินหรือดื่มต่อครั้ง เชน่
“หน่งึ หน่วยบริโภค: 1 กลอ่ ง (120 มลิ ลิลิตร)” หมายถงึ บริโภคคร้งั ละ 1 กล่อง หรือ 120 มิลลลิ ติ ร
“หนงึ่ หน่วยบริโภค: 3 ลกู (100 ก.)” หมายถึง บรโิ ภคคร้ังละ 3 ลูก
37. จำหนว่ ยหน่วยบริโภคตอ่ ภาชนะบรรจุ หมายถงึ ห่อนี้กล่องนี้หรือขวดน้ีบรโิ ภคได้
ก่ีครง้ั เชน่
“จำนวนหน่วยบริโภคตอ่ กล่อง : 1” หมายถึง สามารถบริโภคใหห้ มดกล่องภายใน 1 คร้ังได้
“จำนวนหน่วยบรโิ ภคตอ่ กลอ่ ง : 2” หมายถงึ 1 กล่องสามารถบรโิ ภคได้ 2 ครง้ั
38. คณุ ค่าทางโภชนาการตอ่ หนง่ึ หนว่ ยบรโิ ภค หมายถงึ พลงั งานและสารอาหารที่
ร่างกายจะได้รบั เมื่อบริโภคตามปริมาณที่ระบตุ ่อครั้ง
39. ร้อยละของปรมิ าณทีแ่ นะนำตอ่ วัน หมายถงึ สามอาหารท่ไี ดร้ บั จากการบรโิ ภค
แต่ละครง้ั น้ันคดิ เป็นสัดสว่ นเทา่ ใดของปรมิ าณสารอาหารท่ีแนะนำใหบ้ ริโภคต่อวนั (Thai RDI) เชน่
การบริโภคหนึ่งคร้งั ไดร้ ับคารโ์ บไฮเดรต 8 กรมั ซ่ึงคิดเปน็ ร้อยละ 3 ของปรมิ าณที่แนะนำโดย Thai
RDI ดังน้ันควรบริโภคคารโ์ บไฮเดรตจากอาหารอน่ื ๆ อีกประมาณ 97%
40. Thai Recommended Daily Intakeหรือ Thai RDI หมายถงึ ปริมาณ
สารอาหารที่แนะนำใหบ้ ริโภคต่อวันสำหรับคนไทยอายุ 6 ปี ขึน้ ไป โดยคดิ จากความต้องการ
พลังงานวันละ 2,000 กิโลแคลอรี เช่น ในแต่ละวันควรได้รบั คารโ์ บไฮเดรตประมาณ 250 กรมั
ไขมนั น้อยกว่า 50 กรัม เปน็ ต้น

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

48 คมู่ อื เตรยี มสอบ

41. วตั ถุเจือปนในอาหาร คือ สารเคมที ี่ใส่ลงไปในอาหารเพื่อสงวนคุณคา่ ทาง
โภชนาการ ช่วยยืดอายุในการเก็บ ช่วยทำให้อาหารมีลักษณะและคุณภาพคงท่ี หรือชว่ ยปรับปรุง
คุณภาพอาหารในด้านสี กลิ่น รส เชน่ วตั ถกุ ันเสยี สีผสมอาหาร วัตถุปรงุ แตง่ กลนิ่ รสอาหาร เป็นต้น

42. วัตถกุ ันเสีย มีประโยชน์ คอื ช่วยให้อาหารคงสภาพ รส กล่นิ ไว้ไดน้ านเหมือนเมื่อ
แรกผลติ โดยบั ย้งั การเจริฐเติบโตหรอื ทำลายจุลินทรยี ท์ ่ีทำใหอ้ าหารเนา่ เสยี วัตถุกันเสยี ท่นี ิยมใช้
เชน่ กรดเบนโซอิก โซเดียมเบนโซเอต สารพวกไนเตรตและไนไตรท์ เปน็ ต้น

43. สีผสมอาหาร วตั ถปุ ระสงคข์ องการใช้สีผสมอาหาร คือ เพื่อแตง่ สขี องอาหารให้มสี ี
คล้ายสธี รรมชาติหรอื เพื่อให้อาหารมสี ีสวยงามน่ากินยง่ิ ขึน้ สผี สมอาหารแบง่ ออกเปน็ 2 ชนดิ คือ

1) สีธรรมชาติ เปน็ สที ่ีผลติ จากพืช สัตว์ และเกลือแร่ เช่น สีเหลอื ไดจ้ ากขม้ิน สเี ขยี วได้
จากใบเตย สนี ำ้ เงินไดจ้ ากดอกอัญชันสแี ดงได้จากครง่ั กระเจ๊ียบ เป็นต้น

2) สสี งั เคราะห์ เปน็ สที ีส่ งั เคราะหจ์ ากสารเคมีต่าง ๆ
44. วตั ถุปรุงแตง่ กลิน่ รสอาหาร มปี ระโยชน์ คอื ช่วยให้อาหารมีกลน่ิ และรสถูกใจ
ผู้บริโภค เชน่ ผงชรู ส น้ำตาลเทียม กลน่ิ และรสผลไม้ เครอื่ งเทศต่าง ๆ เป็นตน้
45. สารปนเปอ้ื น เป็นสารท่ีตดิ มาในอาหารโดยไมไ่ ด้ต้งั ใจ อาจเกดิ ขึ้นในกระบวนการ
ผลติ อาหาร ซึง่ รวมถึงจากการเพาะปลูก การเล้ยี งสตั ว์ การผลิต การบรรจุ การขนสง่ หรอื การเกบ็
รักษา และอาจเกดิ จากการปนเปือ้ นจากส่ิงแวดล้อม เช่น โลหะ ยาฆ่าแมลง สารพิษจากการป้งิ ย่างท่ี
เกรียมเกนิ ไป หมึกพมิ พ์จากบรรจภุ ณั ฑ์ สารพษิ จากสง่ิ มีชีวิต
46. สารชวี พษิ (biotoxin)คอื สารพิษทเ่ี กดิ ในสิ่งมชี ีวิต เช่น สารอะฟลาท็อกซินจาก
เชอ้ื รา พลบอ่ ยในถว่ั ลสิ ง ขา้ วโพด หอม กระเทยี ม งา พริกแห้ง สารนี้จะทนความร้อนไดส้ งู ถงึ 260
องศาเซลเซียส
47. สัญลกั ษณ์อาหารไดม้ าตรฐาน เราสามารถเลือกรบั ประทานอาหารที่สะอาด
ปราศจากสารปนเป้ือนได้ โดยดจู ากสญั ลกั ษณม์ าตรฐานของกระทรวงสาธารณสขุ ซ่ึงมี 3 แบบ แบง่
ตามประเภทอาหาร
1) อาหารสด สงั เกตสัญลักษณ์ อาหรปลอดภัย (Food Safety)
2) อาหารปรงุ สำเรจ็ สงั เกตสญั ลกั ษณ์ อาหารสะอด รสชาตอิ ร่อย (Claean Food Good
Taste) ที่ระบชุ อื่ ร้านโดยมีอายกุ ารรบั รอง 1 ปี และระบุวนั หมดอายุไวทมี่ ุมขวาล่าง

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 49

3) อาหารแปรรูป สังเกตสัญลกั ษณ์ หมายเลขทะเบยี นอาหารของสำนักงานคณะกรรมการ
อาหารและยา หรือเคร่ืองหมาย อย.

ตัวอยา่ งแนวข้อสอบบทท่ี 3

1. สารอาหารประเภทใดให้พลงั งานมากท่ีสดุ

ก. ไขมัน ข. โปรตนี

ค. คาร์โบไฮเดรต ง. เกลือแรแ่ ละน้ำ

2. ขอ้ ใดเปน็ สารอาหารท่ีให้พลงั งาน

ก. คาร์โบไฮเดรต ไขมนั วติ ามิน ข. คาร์โบไฮเดรต ไขมนั โปรตีน

ค. ไขมนั โปรตีน วิตามนิ ง. ไขมัน โปรตีน แรธ่ าตุ

3. กรดไขมนั ไม่อม่ิ ตัวพบในอาหารประเภทใด

ก. น้ำมันดอกทานตะวนั ข. น้ำมนั ปาล์ม

ค. มนั สัตว์ ง. เคร่ืองในสัตว์

4. เมื่อเรารบั ประทานอาหาร สารอาหารประเภทโปรตนี จะถกู ย่อยท่ีอวัยวะส่วนใด

ก.เฉพาะกระเพาะอาหาร ข.เฉพาะลำไสเ้ ล็ก

ค.กระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ง.กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และลำไสใ้ หญ่

5. นกั กีฬา ควรรบั ประทานอาหารที่มสี ารอาหารใด เพือ่ ป้องกนั การเปราะหกั ง่ายของกระดกู

ก. โปรตีน ไขมัน ข. แคลเซียม ฟอสฟอรัส

ค. เหลก็ แมกนีเซียม ง. โซเดียม โพแทสเซียม

6. ในการหนั่ ผักแชน่ ำ้ ทิง้ ไว้นานๆ ก่อนนำไปปรงุ อาหารจะทำให้วติ ามินใดลดปรมิ าณลง

ก.วติ ามนิ B และ C ข.วิตามิน K และ C

ค.วติ ามิน A และ C ง.วติ ามนิ A และ K

7. ข้อใดเปน็ อาการขาดสารวิตามินซี

ก. คอพอก ข. เลอื ดออกตามไรฟนั

ค.เปน็ แผลทม่ี มุ ปาก ง.ตาฟาง

8. ผลไมท้ ีใ่ หส้ ารอาหารวิตามนิ เอ

ก. สับปะรด ข. มะขาม

ค. กล้วย ง. มันเทศ

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

50 คมู่ อื เตรยี มสอบ

9. เพราะเหตุใดจงึ ตอ้ งรบั ประทานอาหารม้ือเย็นนอ้ ยกว่ามอ้ื เชา้ และมอื้ กลางวนั

ก. เพราะกระเพาะอาหารต้องทำงานหนกั ในเวลานอน

ข. เพราะจะทำใหน้ อนหลบั ไม่สนิทเนอ่ื งจากอาหารไม่ย่อย

ค. เพราะร่างกายต้องการพักผอ่ นอย่างเต็มท่ีในเวลากลางคืน

ง. เพราะอาหารม้ือเยน็ เป็นสว่ นเกนิ ทไ่ี ปสะสมเปลี่ยนเป็นไขมนั ในร่างกาย

10. การรณรงค์ให้เลย้ี งลูกด้วยนมแมใ่ นระยะหลงั คลอดเนื่องด้วยเหตุผลสำคญั ในข้อใด

(O-net 48)

ก. นมแม่มีโปรตนี สูง ข. นมแมไ่ มม่ เี ช้อื โรค

ค. นมแม่มแี อนตบิ อดี ง. นมแม่มีแอนติเจน

11. วัคซนี ท่ีใช้หยอดป้องกนั โรคโปลโิ อ เป็นสารใด

ก. แอนตบิ อดี ข. แอนติเจน

ค. เอนไซม์ ง. แอนติไบโอตกิ

12. ถา้ ตอ้ งการบำรุงโลหติ ควรเลือกรบั ประทานอาหารใดจึงเหมาะสมท่ีสดุ

ก. ตบั ไข่แดง ข. นม ผลไม้

ค. ผกั ถวั่ ง. แปง้ เครือ่ งในสัตว์

13. เม่ือหยดสารละลายไอโอดีนลงไปในหลอดทดลองที่มีสารชนิดหนึง่ ปรากฏว่ามีการ

เปล่ยี นแปลงเปน็ สนี ้ำเงิน แสดงวา่ สารชนดิ น้นั คอื อะไร

ก. กลโู คส ข. แปง้

ค. ซูโคส ง. ไกลโคเจน

14. ฮอรโ์ มนชนิดใดควบคมุ ปริมาณน้ำตาลในเลือด

ก. ไทรอกซนิ ข. เอสโตรเจน

ค. แอนโดรเจน ง. อนิ ซลู ิน

15. พชื ในข้อใดที่หยดสารละลายไอโอดนี แล้วไม่เกิดเปน็ สีน้ำเงนิ

ก. ส้ม ข. มะมว่ ง

ค. ฝรงั่ ง. กลว้ ย

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์


Click to View FlipBook Version