คมู่ อื เตรยี มสอบ 351
ซ่งึ คร้งั นี้จะมที ัง้ สตั วท์ ีต่ ิดเคร่ืองหมายสตั ว์ที่จับได้ใหม่ จากนั้นนำมาคำนวณหาจำนวนประชากรจาก
สูตร
80. การหาความหนาแน่นสัมพทั ธ์ของประชากรใช้ในเชิงเปรียบเทียบมหี ลายวิธี เช่น
ทำเครือ่ งหมายตดิ นับจำนวนร่องรอยทีส่ ตั วท์ ำไว้ ใช้กบั ดักจับ หรอื ดจู ากปรมิ าณอาหารท่ีสัตวก์ นิ
เป็นตน้
81. ขนาดของประชากร หมายถึง จำนวนของประชากรท้งั หมดที่อาศัยอยูใ่ นพ้นื ที่ที่
กำหนด เช่น จำนวนตน้ กหุ ลาบในพืน้ ท่ี 1 ไร่ มี 200 ตน้
82. ปจั จัยทกี่ ำหนดความหนาแนน่ ของประชากร มี 4 ประการ คอื
1) การเกิด เปน็ การเพ่ิมจำนวนสมาชิกใหมท่ ำให้มีจำนวนประชากรเพิ่มขน้ึ เช่น การแตก
หนอ่ ของไฮดรา การงอกใหม่ของดาวทะเล การคลอดของมนษุ ย์ การงอกจากเมล็ดของพืช เป็นต้น
2) การตาย เปน็ การลดจำนวนสมาชกิ ของประชากรทำให้จำนวนประชากรลดลง
3) การอพยพเข้า เปน็ การเคล่อื นยา้ ยของประชากรเข้ามาอยูใ่ นแหลง่ ท่ีอยูใ่ หม่ในท่ีไดท่ีหนง่ึ
โดยไม่ย้ายออกไปทำใหม้ จี ำนวนประชากรเพิม่ ข้นึ
4) การอพยพออก เป็นการเคล่ือนยา้ ยของประชากรออกจากแหลง่ ที่อยู่เดิมโดยไมก่ ลับมา
อกี ทำให้จำนวนประชากรในแหลง่ ท่อี ยนู่ ้ันลดลง
83. ส่ิงแวดล้อมทม่ี ผี ลตอ่ ความหนาแนน่ ของประชากร
1) สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เช่น แสงแดด น้ำ อากาศ อุณหภมู ิ เป็นตน้
2) สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ เช่น สตั ว์ พืช และมนษุ ยท์ ี่อาศัยอยู่ในแหลง่ ที่อยนู่ ้ัน
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
352 ค่มู อื เตรยี มสอบ
ตัวอยา่ งแนวข้อสอบ บทที่ 1
1. ข้อใดกลา่ วถูกต้องเก่ียวกับระบบนิเวศ 5. สิง่ มีชวี ิตชนิดใดท่ีมีความสำคัญต่อระบบ
นิเวศมากทีส่ ุด
ก. ระบบนเิ วศแตล่ ะระบบมีความ
ซบั ซอ้ นที่คลา้ ยคลงึ กนั ก. หนขู . หญ้า
ข. ระบบนเิ วศแตล่ ะระบบไม่ไดม้ ี ค. ก้ิงกือ ง. กระต่าย
ความเกี่ยวข้องสัมพนั ธ์กนั
6. หว่ งโซอ่ าหารเกย่ี วข้องกบั เร่ืองใดมาก
ค. ระบบนเิ วศเมือ่ เขา้ สสู่ ภาวะสมดลุ ทส่ี ดุ
แลว้ จะไม่มีการเปล่ยี นแปลง
ก. การมรี ะดับของสงิ่ มีชีวิต
ง.ระบบนเิ วศจะมกี ารเปล่ยี นแปลง
ตลอดเวลาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ข. ความสัมพันธ์ระหวา่ งกนั
2. ข้อใดไม่จดั เป็นระบบนิเวศ ค. การถา่ ยทอดพลงั งานตอ่ กันไป
ก. บอ่ นำ้ ทม่ี สี ่ิงมีชวี ิตอยู่เตม็
ข. อทุ ยานแห่งชาติและป่าสงวน ง. ความเกยี่ วข้องของระดับชวี ิต
ค. สนามกฬี าในโรงพละ
ง. สนามหญ้าและสระนำ้ หนา้ โรงเรยี น 7. ระบบนิเวศจะดำรงอยู่ได้นานทสี่ ดุ ใน
3. ปลวกมีความสำคัญต่อระบบนิเวศ คอื สภาวะใด
ก. ผผู้ ลิต ก. มเี ฉพาะผผู้ ลติ เทา่ น้ัน
ข. มเี ฉพาะผูบ้ ริโภคเทา่ นนั้
ค. มที ้งั ผผู้ ลิตและผบู้ รโิ ภค อยู่
รว่ มกัน
ข. ผูบ้ รโิ ภค ง. มผี ู้ผลิต ผบู้ ริโภคและผูย้ ่อยอินทรีย์
ค. ผู้ย่อยสลาย สารอยู่ดว้ ย
ง. เปน็ ทัง้ ผู้ผลิตและผู้บรโิ ภค
4. ข้อใดท่ีไมถ่ ูกต้องเกย่ี วกับการถ่ายทอด 8. ในสนามหญา้ แห่งหน่ึงมตี ั๊กแตน กบ งู
พลงั งาน หนู อาศยั อยู่ในบรเิ วณเดียวกัน ควรมี
ความสัมพนั ธ์กันในรูปใด
ก. ต๊ักแตน หนู กบ งู ข. งู หนู กบ
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 353
ก. ผผู้ ลติ เปน็ ตวั เร่ิมของหว่ งโซอ่ าหารทกุ ต๊ักแตน
ชนิด ค. หญ้า ตก๊ั แตน กบ งู ง. หญ้า ตั๊กแตน
งู กบ
ข. ในระบบนเิ วศใดทีม่ สี ายใยอาหาร 9. สงิ่ ทข่ี าดไมไ่ ด้ในวฎั จักรไนโตรเจน คือ
ซับซ้อนมากแสดงวา่ ระบบนิเวศนนั้ มี ก. คารบ์ อน ข. สาหรา่ ย
ความสมดุล ค. พืชตระกูลถัว่ ง. แบคทเี รียทต่ี งึ
ไนโตรเจน
ค. จุลินทรีย์มีบทบาทในการย่อยสลาย 10. สัตวไ์ ดร้ ับสารประกอบไนโตรเจนโดยวิธใี ด
สารอินทรยี ์ แต่ไม่ได้มสี ว่ นในการ ก. กนิ พืช ข. กนิ สตั ว์
ถ่ายทอดพลังงาน ค. การหายใจ ง. กนิ สิ่งเนา่ เปือ่ ย
ง. ห่วงโซอ่ าหารที่มีจำนวนส่ิงมชี ีวติ ยิง่ มาก
สิง่ มชี ีวิตท้ายๆหว่ งโซ่อาหารย่ิงไดร้ ับ
พลังงานน้อยลง
บทท่ี 2 มนุษย์กับสงิ่ แวดลอ้ ม
1. ทรัพยากรธรรมชาติ (Natural Resources)หมายถึง สงิ่ ท่ีเกิดขึน้ เองตามธรรมชาตแิ ละมี
ประโยชน์ตอ่ มนุษย์
2. ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติ
1) ทรัพยากรธรรมชาติทใ่ี ช้ไมห่ มดส้ิน เช่น อากาศ นำ้ ดิน แสง อาทติ ย์ เป็นต้น
2) ทรัพยากรธรรมชาติท่ใี ชแ้ ล้วเกิดทดแทนได้หรือรักษาให้คงอยไู่ ด้ เช่น ป่าไม้ สัตวป์ ่า เป็น
ตน้
3) ทรัพยากรธรรมชาตทิ ่ีใชแ้ ล้วหมดไป เชน่ แร่ธาตุ น้ำมนั ดบิ แกส๊ ธรรมชาติ เปน็ ตน้
3. สาเหตุท่ที ำให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย
1) การเพ่ิมของจำนวนของประชากร
2) การขยายตวั ทางเศรษฐกิจ
3) ความเจริญก้าวหนา้ ทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
4) การใช้ทรัพยากรอย่างไม่ถูกต้อง
ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
354 คมู่ อื เตรยี มสอบ
5) ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและภัยธรรมชาติ
4. ป่าไม้เปน็ พืน้ ท่ีหรืออาณาบรเิ วณทปี่ กคลุมด้วยตน้ ไมห้ ลากหลายชนดิ และสตั ว์ปา่
รวมทงั้ สิ่งไม่มชี วี ติ เช่น ดนิ หนิ น้ำ เปน็ ต้น ซ่ึงสิง่ เหลา่ น้ีมีความเกย่ี วข้องสมั พนั ธก์ นั
5. ประโยชนข์ องปา่ ไม้
1) ชว่ ยให้เกิดวฏั จกั รต่าง ๆ ในระบบนเิ วศ เชน่ วฏั จักรน้ำ ออกซิเจน คาร์บอน เป็นตน้
2) ช่วยในการอนุรักษ์ดินและนำ้
3) ชว่ ยปรับสภาพบรรยากาศ
4) เปน็ แหล่กำเนดิ ของต้นนำ้ ลำธาร
5) เป็นแหลง่ กำเนิดปจั จัยส่ที ่ีจำเป็นตอ่ การดำรงชีวิตของมนุษย์
6) เปน็ แหล่งที่อยูอ่ าศัย แหลง่ อาหาร แหลง่ เพาะพันธ์ุ และเปน็ ท่ีหลบภัยของสัตวป์ า่
7) เป็นแหลง่ พลังงาน
8) เป็นสถานที่พักผ่อนหยอ่ นใจของมนุษย์
9) ปอ้ งกันความรนุ แรงของลมพายแุ ละน้ำทว่ ม
6. สัตว์ป่า หมายถึง สตั ว์และไข่ของสตั วท์ ุกชนิดทเ่ี กิดและดำรงชีวติ อย่ใู นปา่ ตาม
ธรรมชาติ
7. ประเภทของสัตว์ป่า
1) สตั วป์ ่าสงวน หมายถึง สตั วป์ า่ ทีห่ ายาก ห้ามลา่ โดยเด็ดขาด มี 15 ชนิด เชน่ แรด กระซู่
กรปู ี เลียงผา พะยนู เปน็ ตน้
2) สัตว์ป่าคุ้มครอง หมายถึง สตั ว์ป่าที่ตามหลกั กฎหมายไม่อนุญาตให้ล่า เว้นแต่จะกระทำ
โดยทางราชการเพื่อการศึกษาวิจยั การเพาะพนั ธ์ุ เช่น กระจง เปน็ ตน้
3) สัตวป์ า่ นอกประเภท หมายถึง สตั วป์ า่ ที่ไมส่ งวนและไม่ค้มุ ครอง เช่น หนู หมปู ่า
นกกระจบิ นกกระจอก กบ เขยี ด เป็นตน้
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 355
8. สาเหตทุ ี่ทำใหจ้ ำนวนสัตวป์ า่ ลดลง
1) การเปลีย่ นแปลงของธรรมชาติ
2) การตัดไมท้ ำลายปา่ ซึ่งเปน็ ทอ่ี ยู่อาศยั ของสัตว์ป่า
3) การล่าของมนุษย์
4) วิถีการดำรงชีวติ และการขยายพนั ธ์ขุ องสัตว์ป่า
9. ประโยชนข์ องนำ้
1) ใช้ในการอปุ โภคบริโภคของมนุษย์
2) เป็นแหลง่ อาหารของมนษุ ย์
3) เปน็ แหลง่ ท่ีอยอู่ าศัยของสัตว์น้ำและพชื น้ำ
4) การเกษตร เชน่ ใชน้ ้ำในการปลูกพชื เลย้ี งสัตว์
5) การอตุ สาหกรรม ใชน้ ้ำในกระบวนการผลิต เช่น การลา้ งวัตถุดิบล้างเครื่องจักร เป็นต้น
6) การคมนาคมขนสง่
7) เปน็ แหลง่ พลงั งานในการผลิตกระแสไฟฟา้
8) เป็นสถานที่พกั ผ่อนหย่อนใจ
10. มลพิษส่งิ แวดลอ้ ม หมายถึง ส่ิงแวดลอ้ มท่ที ำให้เกิดผลไม่ดี หรอื สงิ่ แวดล้อมท่ีมี
อันตรายต่อสุขภาพทางรา่ งกายจิตใจและสังคมของสง่ิ มีชวี ิต
11. มลพิษทางนำ้ (Water Pollution)หมายถงึ น้ำที่มีคุณภาพไม่ดีหรอื มสี มบัติ
เปล่ยี นแปลงไปจากปกตเิ น่ืองจากมีส่ิงแปลกปลอมเจือปน
12. สาเหตุทีท่ ำให้เกดิ มลพิษทางน้ำ
1) การปลอ่ ยน้ำท้งิ จากชุมชนลงส่แู หลง่ น้ำ
2) โรงงานอตุ สาหกรรมปล่อยน้ำเสยี ลงแหลง่ น้ำ
3) น้ำทง้ิ จากพนื้ ท่ีการเกษตร การปลกู พืช เลยี้ งสตั ว์
4) น้ำท้งิ จากโรงงานผลิตกระแสไฟฟา้
ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
356 คมู่ อื เตรยี มสอบ
13. มลพิษทางอากาศ (air pollution)หมายถึง การมีสิ่งเจอื ปนในอากาศทำให้เกดิ
อากาศเสยี ก่อให้เกิดผลกระทบในทางลบต่อสิง่ มชี ีวติ
14. สาเหตทุ ท่ี ำให้เกดิ มลพิษทางอากาศ
1) จากธรรมชาติ เชน่ ภเู ขาไฟระเบดิ พายุ แผ่นดินไหว ไฟไหม้ปา่ เปน็ ตน้
2) จากการกระทำของมนุษย์ เช่น การเผาไหม้เชอื้ เพลิง การฉดี พ่นสารปราบศัตรูพืช เปน็
ตน้
15. มลพิษทางดนิ (soil pollution)หมายถึง ภาวะท่ดี ินเส่ือมคุณภาพลงทำให้เกิดผล
เสยี ต่อการเจรญิ เตบิ โตของสิ่งมีชีวิต
16. สาเหตุทีท่ ำใหเ้ กิดมลพษิ ทางดนิ
1) การเกษตรกรรม มกี ารใช้สารเคมแี ละสารปราบศัตรูพชื มากเกนิ ไป
2) การฝังกลบขยะที่ย่อยสลายยากในดนิ
3) โรงงานอุตสาหกรรมปลอ่ ยสารเคมแี ละส่ิงมีพิษลงดนิ
4) การค้นคว้าทดลองทางวิทยาศาสตร์ และโรงปฏกิ รณป์ รมาณูมีการปล่อยสารเคมแี ละสาร
กมั มนั ตรงั สลี งดิน
17. มลพิษทางเสียง (noise pollution)หมายถงึ สภาวะท่ีทำให้เกดิ เสียงดังเกินไปจน
กอ่ ให้เกดิ ความรำคาญและอนั ตรายต่อระบบการได้ยนิ ของมนุษยแ์ ละสตั ว์
18. สาเหตทุ ท่ี ำใหเ้ กิดมลพษิ ทางเสียง
1) ยานพาหนะต่าง ๆ
2) สถานประกอบการที่เปิดเครอ่ื งเสยี งดัง ๆ หรอื ใช้เครอ่ื งจักรในการทำงาน
3) แหล่งชุมชนทม่ี คี วามพลกุ พล่าน เชน่ ตลาดสด
4) บริเวณที่มีการก่อสรา้ ง
ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 357
19. การอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติ หมายถงึ การนำทรัพยากรธรรมชาตมิ าใชอ้ ยา่ ง
ฉลาด ประหยดั และใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนม์ ากที่สดุ
20. วธิ กี ารอนรุ ักษท์ รพั ยากรธรรมชาติ ขนึ้ อย่กู บั ปญั หาท่ีเกดิ ข้ึนและสมบตั ิของ
ทรัพยากรธรรมชาติ ซึง่ มแี นวทางดังนี้
1) การถนอมและรกั ษา
2) การบูรณะฟน้ื ฟู
3) การลดปรมิ าณของเสยี โดยนำของทใ่ี ช้แลว้ มาเวยี นใช้ใหม่
4) นำวัสดชุ นดิ อื่นมาใชท้ ดแทนทรัพยากรธรรมชาติทใ่ี ช้แลว้ หมดไป
5) สำรวจหาทรัพยากรธรรมชาติแหลง่ ใหม่อย่เู สมอ
21. แนวทางการใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ 3Rเปน็ แนวทางการอนุรกั ษ์
ทรัพยากรธรรมชาติท่ีไดร้ ับการยอมรบั อย่างแพร่หลายในแถบเอเชีย
22. Reduceหมายถงึ การลดการใช้เป็นการลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาตทิ ี่ไม่จำเป็น
หรอื ลดปรมิ าณการใชล้ ง รวมถงึ การซ่อมแซมสิง่ ของเคร่ืองใชด้ ว้ ย
23. Reuseหมายถงึ การใช้ซ้ำ เป็นการใชท้ รัพยากรธรรมชาตินั้นจนกระท่ังหมดสภาพ
การใช้งาน
24. Recycleหมายถึง การนำกลับมาใชใ้ หม่ โดยเปน็ การนำทรัพยากรธรรมชาตนิ ้นั ไป
แปรสภาพก่อนการนำมาใชใ้ หม่
25. เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง ปรัชญาท่ีพระบาทสมเด็จพระเจา้ อย่หู ัวทรงช้แี นะแนว
ทางการดำเนินชวี ิตและการปฏบิ ตั แิ ก่ประชาชน โดยยดึ หลักทางสายกลางและความไมป่ ระมาท โดย
คำนงึ ถึงความพอประมาณความมเี หตผุ ล และการสร้างภมู ิคุม้ กนั ท่ีดใี นตัว
26. ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีหลกั พจิ ารณา 5 ส่วน ดังน้ี
1) กรอบแนวคิด ใช้แนวทางการดำรงอย่แู ละปฏิบตั ิตนในทางทคี่ วรจะเป็นโดยมีพื้นฐาน
จากวถิ ชี ีวิตด้ังเดิมของสังคมไทย และมองโลกเชงิ ระบบท่มี ีการเปล่ียนแปลงตลอดเวลา มงุ่ เนน้ การ
รอดจากวกิ ฤตเพ่ือความม่ันคงและยงั่ ยืน
ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
358 ค่มู อื เตรยี มสอบ
2) คุณลักษณะ สามารถนำมาปฏบิ ตั ิไดใ้ นทุกระดบั เนน้ ทางสายกลางและการพัฒนาอย่าง
เปน็ ขนั้ ตอน
3) คำนิยาม ประกอบด้วย
ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี
ความมีเหตุผล หมายถึง การตดั สินใจเกยี่ วกบั ระดับความพอเพียงต้องเป็นไปอยา่ งมี
เหตุผล
การมีภมู คิ มุ้ กันท่ดี ีในตัว หมายถงึ การเตรยี มตัวให้พร้อมรบั ผลกระทบและการ
เปลีย่ นแปลงตา่ ง 4) เง่ือนไข การตดั สินใจและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ต้องอาศยั ทั้งความรอบรู้
ความรอบคอบ และความมีคุณธรรม
5) แนวทางปฏิบัติ / ผลทค่ี าดวา่ จะไดร้ ับ จากการประยุกต์ใช้ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง พร้อม
รบั ต่อการเปลย่ี นแปลงในทุกด้าน
ตวั อยา่ งแนวข้อสอบบทที่ 2
1. สตั วป์ า่ สงวนหมายถึง 5. ประเทศไทยมแี หลง่ พลังงานท่ีคน้ พบมี
ก. สตั วป์ ่าทุกชนิดทต่ี ้องการสงวนไว้ มากท่สี ุดคือแหลง่ พลังงานใด
ข. สตั วป์ า่ หายาก
ค. สัตวป์ ่าตามที่กฎกระทรวงกำหนด ก. พลงั งานน้ำมัน
ง. สัตว์ป่าค้มุ ครอง ข. พลังงานถ่านหนิ
2. ข้อใดไม่ไดเ้ ปน็ สตั ว์ป่าสงวน ค. พลงั งานชีวมวล
ก. แมวลายหินอ่อน พะยูน ง. พลังงานแสงอาทติ ย์
ข. กระซู่ สมเสร็จ 6. ระบบนิเวศที่ใหญ่ทส่ี ดุ เรียกว่าอะไร
ค. กระทิง ชะนี ก. ระบบนเิ วศขนาดใหญ่
ง. นกกระเรยี นควายปา่ ข. ระบบนเิ วศขนาดเล็ก
3. แหลง่ พลงั งานปฐมภูมิ หมายถึงพลังงาน ค. โลกของส่ิงมีชวี ติ
ง. โลกของสิง่ แวดล้อม
อะไร 7. ผูบ้ รโิ ภคทตุ ยิ ภมู ิ เปน็ ผ้บู รโิ ภคประเภท
ก. พลังงานชวี ภาพ
ใด
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 359
ข. พลงั งานหมุนเวียน ก. สงิ่ มชี วี ติ ทก่ี นิ พชื เป็นอาหารอย่าง
ค. พลงั งานความร้อน เดียว
ง. พลังงานแสงอาทิตย์ ข. เปน็ พวกท่ีกนิ ทงั้ พืชทงั้ สัตว์เป็น
4. พลังงานหมุนเวียนมีขอ้ ดีกว่าพลังงาน อาหาร
สิ้นเปลอื งอยา่ งไร ค. เปน็ พวกท่ีกนิ เนื้อสัตวด์ ้วยกันเป็น
ก. การเกิดผลกระทบต่อมนุษย์น้อยกว่า อาหารอย่างเดียว
ข. การเกดิ มลภาวะตอ่ สิง่ แวดล้อมน้อยกวา่ ง. เปน็ พวกทบ่ี ริโภคซากพชื ซากสตั ว์
ค. การเกิดมลพิษต่อสงิ่ แวดล้อมน้อยกวา่ เป็นอาหาร
ง. การเกดิ ผลดีต่อภาคอุตสาหกรรม
มากกวา่
8. สบุ เดช ใชค้ วามรู้ซ่อมวิทยเุ ก่าให้กลบั มา 13. พ้ืนท่ใี ดเส่ยี งต่อการเกิดภาวะดนิ เค็ม
ใชง้ านไดเ้ หมือนเดมิ เปน็ การกระทำในขอ้ ใด ก.นาข้าว
ก. Reduce ข.ไรข่ า้ วโพด
ข. Reuse ค.พืน้ ทน่ี ้ำทว่ มขัง
ค. Recycle ง. พื้นทีท่ ำนากุ้งกลุ าดำ
ง. ถูกมากกวา่ 1 ข้อ 14. ชายฝ่งั ทะเลด้านใด คงสภาพความอุดม
9. ผ้อู ำนวยการโรงเรียนแห่งหน่งึ มีนโยบาย สมบูรณ์ของพ้นื ทป่ี า่ ชายเลนไวไ้ ดม้ ากท่ีสดุ
ใหค้ รูใชก้ ระดาษครบทัง้ สองหน้าจัดว่าเป็น ก. ชายฝง่ั อา่ วไทยของภาคกลาง
การปฏบิ ัตติ ามข้อใด ข. ชายฝั่งอา่ วไทยของภาคตะวนั ออก
ก. Reduce ค. ชายฝง่ั ภาคใต้ ดา้ นทะเลอนั ดามนั
ข. Reuse ง. ชายฝัง่ ภาคใต้ ดา้ นอา่ วไทย
ค. Recycle 15. น้ำที่มีอุณหภูมสิ ูงเกนิ ไปมีผลเสียต่อสตั ว์และ
ง. ถูกมากกว่า 1 ข้อ พืชน้ำอย่างไร
10. การหาค่าปรมิ าณออกซเิ จนที่จลุ ินทรยี ์ ก. มีปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์มากข้นึ
ใชย้ ่อยสลายสารอินทรยี ์ต่างๆในน้ำเสยี ข. มีปริมาณออกซเิ จนในน้ำลดลง
(BOD) วิธนี ้ีเปน็ วธิ ที างดา้ นใด ค. อตั ราการหายใจของพชื และสตั ว์ลดลง
ก. ทางเคมี ง. ถูกทุกข้อ
ข. ทางกายภาพ
ค. ทางชีวภาพ
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
360 ค่มู อื เตรยี มสอบ
ง. ทางชีววิทยา
11. ไนโตรเจนมีความสำคัญในการ
สงั เคราะห์สารใด
ก. ฟอสฟอรัส
ข. โพแทสเซียม
ค. ฮเี ล่ียม
ง. โปรตีน
12. มลพษิ ทางดินหมายถงึ อะไร
ก. ดนิ ทเ่ี สือ่ มคณุ ภาพ หรอื มีคณุ สมบตั ิ
เปลย่ี นแปลงไปจากสภาพเดิม
ข. ดินที่สามารถเพาะปลุกและได้ผลผลิตท่ี
ดี
ค. ดินท่ีมีคุณภาพ และไม่มีการ
เปล่ียนแปลง
ง. ดินท่ีมคี ุณภาพดี และมกี ารเปลีย่ นแปลง
ไป
เฉลยบทที่ 1
1 ง2 ค3 ข4 ง5 ข
6 ง 7 ง 8 ค 9 ง 10 ก
เฉลยบทท่ี 2
1 ข2 ค3 ง 4 ค5 ค
6 ค 7 ค 8 ก 9 ข 10 ง
11 ง 12 ก 13 ง 14 ค 15 ข
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 361
สาระท่ี 3 สารและสมบตั ขิ องสาร
บทท่ี 1 สารรอบตวั
1. สสาร (Matter)หมายถึง ส่ิงที่มตี ัวตน มีรูปร่าง มีมวล มีน้ำหนักต้องการท่ีอยู่ และ
สามารถสมั ผัสจับต้องได้ เชน่ ดนิ สอ ปากกา น้ำ ดิน อากาศ เป็นตน้
2. สาร (Substance)เปน็ สว่ นหน่งึ ของสสารโดยสารเปน็ สสารทีม่ ลี กั ษณะเฉพาะ สาร
บางชนดิ เป็นสารบริสทุ ธิ์ เช่น ทองคำ สงั กะสี เงิน ทองแด ออกซิเจน และสารบางชนดิ เป็น
สารประกอบ เช่น น้ำ แอลกอฮอล์ เกลือแกง น้ำตาลทราย คารบ์ อนไดออกไซด์
3. สมบตั ิของสาร หมายถงึ ลกั ษณะเฉพาะตวั ของสารแตล่ ะชนดิ แบง่ เปน็ 2 ประเภท
คอื
1) สมบัติทางกายภาพ หมายถงึ สมบตั ิทีส่ ามารถสงั เกตเห็นและตรวจสอบไดง้ า่ ยจาก
ลักษณะภานอก เชน่ กลน่ิ รส สี สถานะ การละลาย การนำความรอ้ น ความหนาแน่น เป็นต้น
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
362 ค่มู อื เตรยี มสอบ
2) สมบัตทิ างเคมี หมายถึง สมบตั ิท่ีตรวจสอบได้โดยดูการเปลยี่ นแปลงเมอื่ เกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี
ข้ึน สมบัติทางเคมีจะเกยี่ วข้องกบั โครงสรา้ งภายใจของสาร เช่น การเผาไหม้ การผุพัง การเกิดสนิม
การระเบิด เปน็ ตน้
4. การเปลย่ี นแปลงสมบัตทิ างกายภาพของสาร จะไม่มีการเปล่ียนแปลง
องค์ประกอบของสาร ไม่มสี ารใหม่เกดิ ขนึ้ สว่ นใหญเ่ ปน็ การเปลยี่ นแปลงทางด้านลักษณะภายนอก
เท่านัน้ เชน่ การเปล่ยี นสถานการณ์เปล่ยี นอุณหภมู ิ การสกึ กรอ่ น เปน็ ต้น
5. การเปลย่ี นแปลงทางเคมีหรือการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี จะต้องมสี ารใหม่เกิดขึ้นเสมอ
มีการเปลีย่ นแปลงองคป์ ระกอบภายในของสาร และสมบตั ทิ างกายภาพของสารจะเปลย่ี นไปด้วย
สารใหมท่ เ่ี กิดขึน้ จากการเปล่ียนแปลงทางเคมจี ะมสี มบตั แิ ตกตา่ งไปจากสารเดิม เชน่ การเกดิ สนิม
เหลก็ การเนา่ บูดของอาหาร การเผาไหม้ของสารตา่ ง ๆ การสุกของผลไม้ เป็นตน้
6. สารรอบตัว หมายถงึ ส่ิงท่ีอยู่รอบ ๆ ตัวเรา ทงั้ สง่ิ ทเี่ กิดจากธรรมชาตโิ ดยตรง จาก
การดดั แปลงจากธรรมชาติโดยมนุษย์ รวมทัง้ สงิ่ ท่ีมนุษย์สร้างข้นึ มาเอง
7. การจัดกลุม่ สาร ทำไดห้ ลายวิธีขนึ้ อยู่กบั สมบัติของสารท่ีนำมาใช้เป็นเกณฑ์ เชน่
จดั กลุม่ ตามสถานะของสาร จัดกล่มุ ตามลักษณะเนื้อสารจดั กล่มุ ตามขนาดของอนุภาค
8. การจดั กลมุ่ สารตามสถานะของสาร จดั ได้ 3 กล่มุ คือ
1) ของแข็ง อนภุ าคของสารจะอยูช่ ิดกนั มาก มีแรงยืดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคของสารมาก
สารมรี ปู ร่างแน่นอนและมปี ริมาตรคงที่ เชน่ หนังสือ ปากกา ยางลบ เกลือแกง น้ำตาลทราย
2) ของเหลว อนภุ าคของสารอยูใ่ กล้กัน มแี รงยืดเหน่ยี วระหว่างอนุภาคค่อนข้างมาก สารมี
รปู ร่างไมแ่ นน่ อนแปรเปล่ียนไดต้ ามภาชนะท่ีบรรจุ มปี ริมาตรคงท่ี เชน่ น้ำ ปรอท แอลกอฮอล์
3) แก๊ส อนาคตของสารอยู่ห่างกนั มาก มีแรงยืดเหนีย่ วระหว่างอนภุ าคน้อย สารมีรูปรา่ ง
และปรมิ าตรไม่คงที่แปรเปล่ยี นไดต้ ามภาชนะทีบ่ รรจุ เชน่ แก๊ส ไอน้ำ
9. พลงั งานจลน์ เป็นพลังงานที่เกี่ยวขอ้ งกบั การเคลื่อนที่ของวัตถหุ รอื อนุภาค เม่ือ
พิจารณาตามสถานะของสารพบว่า อนุภาคของแขง็ มีพลังงานจลนเ์ น่ืองจากการสั่นของอนภุ าค
เทา่ น้นั อนุภาคของเหลวมีพลังงานจลนเ์ นื่องจากการส่นั และการเคลือ่ นท่ีเปล่ียนตำแหน่ง และ
อนภุ าคของแกส๊ มีพลงั งานจลนเ์ นอื่ งจากการสนั่ และการเคลอื่ นที่เหมือนของเหลวแตม่ ากกว่า
10. ความรอ้ น เปน็ พลงั งานรูปหนงึ่ ซ่ึงอาจได้จากการแปลงรปู ของพลังงานเคามที ส่ี ะสม
ในวัตถุ เมอ่ื วตั ถุได้รบั พลงั งานความรอ้ นจะทำให้อะตอมและโมเลกุลของวตั ถเุ กดิ การส่ันสะเทือนซงึ่
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 363
ผลของความร้อนทำใหว้ ตั ถเุ กิดการเปลีย่ นแปลง เชน่ มีอุณหภูมสิ งู ข้ึน มีการเปลยี่ นแปลงสถานะ
และเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี เป็นต้น
11. แหล่งกำเนิดความร้อน เช่น ดวงอาทิตย์ การเผาไหมเ้ ชื้อเพลงิ เป็นต้น
12. อุณหภมู ิ คือ ปริมาณทีบ่ อกระดับความร้อนของวตั ถุ
13. เทอร์มอมเิ ตอร์ (Thermometer)คือ เครื่องมือที่ใชว้ ดั ระดับความรอ้ นหรือ
อณุ หภูมขิ องวตั ถุ โดยใชห้ ลกั การขยายตัวของของเหลวเมื่อได้รบั ความร้อน แบ่งเป็น 2 ชนดิ คอื
1) เทอรม์ อมเิ ตอรธ์ รรมดา นิยมใช้ในห้องปฏบิ ัติการทางวิทยาศาสตร์มีช่วงอุณหภมู ิทวี่ ดั ได้
คอื 0-100 องศาเซลเซยี ส
2) เทอร์มอมเิ ตอรว์ ัดไข้ ใช้วัดอณุ หภมู ริ า่ งกายของคนไข้ มีขดี บอกอุณหภมู ิระหวา่ ง 35-
42 องศาเซลเซยี ส และมีขดี แบ่งช่วงระหว่างองศาเซลเซียสอย่างละเอียด
14. หนว่ ยทใ่ี ชว้ ัดอุณหภมู ิ ทน่ี ิยมใชก้ นั อยา่ งแพร่หลาย คือ องศาเซลเซียส )องศา
ฟาเรนไฮด์( และเคลวิน(K)
15. ความสัมพนั ธ์ของอุณหภูมอิ งศาเซลเซียสและองศาฟาเรนไฮด์ โดยกำหนดวา่
อณุ หภมู ทิ ่ีเปน็ จุดเยือกแข็งของนำ้ บรสิ ุทธคิ์ อื 0 องศาเซลเซียส หรือ 32 องศาฟาเรนไฮด์ และ
อณุ หภูมทิ เ่ี ป็นจุดเดอื ดของน้ำบริสุทธิ์คือ 100 องศาเซลเซียส หรอื 212 องศาฟาเรนไฮด์ จะไดว้ า่
100 ช่องสเกลของอณุ หภูมิในหน่วยองศาเซลเซียสจะเท่ากับ 180 ชอ่ งสเกลของอณุ หภูมิในหน่วย
องศาฟาเรนไฮด์
เมือ่ C = อุณหภูมิในหน่วยองศาเซลเซียส
F = อณุ หภูมิในหน่วยองศาฟาเรนไฮด์
จาก 100 ชอ่ งสเกลองศาเซลเซยี ส = 180 ชอ่ งสเกลองศาฟาเรนไฮด์
ดงั น้ัน
น่นั คือ =
เชน่ อณุ หภมู ริ ่างกาย 37 องศาเซลเซียส มคี ่าเท่ากบั 98.6 องศาฟาเรนไฮด์
16. ความสัมพนั ธ์ของอุณหภูมิองศาเซลเซยี สและเคลวนิ คือ
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
364 คมู่ อื เตรยี มสอบ
T = t + 273
เมื่อ T = อณุ หภมู ใิ นหนว่ ยเคลวนิ
T = อุณหภูมิในหนว่ ยองศาเซลเซยี ส
เช่น อณุ หภมู ิรา่ งกาย 37 องศาเซลเซยี ส มีค่าเท่ากบั 310 เคลวนิ
17. หน่วยวดั พลังงานความร้อน คือ จลู (J)หรือแคลอรี(cal) ซึง่ 1 แคลอร่มี ี
ค่าประมาณ 4.2 จูล
18. 1 แคลอรี หมายถงึ ปรมิ าณความร้อนทีท่ ำให้นำ้ 1 กรัม มีอุณหภมู ิเพม่ิ ข้ึน 1 องศา
เซลเซียส
19. ถา้ สารที่มีอณุ หภมู ติ า่ งกนั สัมผัสกนั จะเกิดการถา่ ยโอนพลังงานความร้อน
จนกระทงั่ อุณหภูมิของสารทงั้ สองเท่ากันเรยี กว่าสารท้งั สองอย่ใู นภาวะสมดุลความร้อน ( Thermal
Equilibrium)
20. กฎการอนรุ ักษพ์ ลังงาน (Law of Conservation of Energy)กล่าววา่ พลงั งาน
รวมของวตั ถุจะไมเ่ ปล่ยี นแปลง คือจะไมส่ ูญหายหรือถูกสรา้ งขนึ้ ใหม่
21. การเปลย่ี นแปลงของสารแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1) การเปล่ียนแปลงทางกายภาพ เปน็ การเปลี่ยนแปลงลักษณะภายนอกของสาร ไม่มีการ
เปล่ียนแปลงองคป์ ระกอบของสาร และไม่มสี ารใหม่เกิดขึน้ เชน่ การละลาย การเปลย่ี นสถานะของ
สาร การเปล่ียนอณุ หภูมิ
2) การเปล่ียนแปลงทางเคมี หรอื การเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี เปน็ การเปล่ยี นองค์ประกอบภายใน
ของสาร ทำให้เกิดสารใหมท่ ีม่ ีสมบตั แิ ตกต่างจากสารเดิม เช่น การหมักแอลกอฮอล์ การเผาไหมข้ อง
สาร
22. สถานะของสาร สารมี 3 สถานะ คือ ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส
23. ของแข็ง (Solid)สารในสถานะของแข็งมีอนภุ าคเรียงอยชู่ ิดกันมากการจดั เรยี ง
อนุภาคอยู่ในตำแหนง่ ที่แน่นอนและเรยี งตวั อย่างเปน็ ระเบยี บทำใหม้ ีแรงยึดเหนีย่ วระหวา่ งอนภุ าค
ของสารมากกวา่ ของเหลวและแก๊สมรี ูปร่างแนน่ อนไม่ข้ึนอยู่กับภาชนะท่บี รรจุ และมปี ริมาตรคงที่
24. ของเหลว (Liquid)สารในสถานะของเหลวมกี ารจัดเรียงอนภุ าคไม่เปน็ ระเบียบ มี
ทว่ี ่างระหวา่ งอนุภาคเล็กน้อย ทำให้ของเหลวมแี รงยดึ เหน่ียวระหว่างอนุภาคน้อยกว่าของแข็ง
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 365
อนภุ าคของของเหลวมีอสิ ระในการเคลื่อนทีไ่ ด้มากกว่าของแขง็ แต่ไมแ่ ยกจากกนั ของเหลวจงึ ไหลได้
รูปร่างของของเหลวสามารถเปลีย่ นแปลงไดต้ ามภาชนะท่ีบรรจแุ ละมีปรมิ าตรคงที่
25. แก๊ส (Gas)สารในสถานะแก๊สจะมีอนภุ าคอยู่หา่ งกันมากเมอื่ เทียบกบั ของแขง็ และ
ของเหลวทำให้แก๊สมีแรงยดึ เหนยี่ วระหวา่ งอนุภาคน้อยมากจนถอื ได้วา่ ไม่มีแรงกระทำต่อกนั มี
รูปรา่ งเปลีย่ นแปลงได้ตามภาชนะที่บรรจุ
26. การเปลี่ยนสถานะของสาร เปน็ การเปล่ยี นแปลงทางกายภาพ หลงั เกิดการ
เปลีย่ นแปลงจะไม่มสี ารใหม่เกดิ ขึน้ แต่สถานะของสารจะเปล่ียนไป
27. สารจะสามารถเปล่ยี นสถานะไดเ้ มอื่ ได้รบั ความร้อนหรือคายความรอ้ น
จนกระทัง่ อย่ใู นภาวะท่ีเหมาะสม
28. การเปลยี่ นสถานะของสารจากของแข็งเป็นของเหลว เรียกวา่ การหลอมเหลว
เกิดข้นึ เมื่ออนภุ าคของของแข็งได้รับความร้อนทำใหอ้ นุภาคมพี ลังงานสงู ขึ้นจึงเกิดการส่นั สะเทอื นได้
แรงขนึ้ และถ่ายเทพลงั งานให้แก่กันจนถึงภาวะหนงึ่ อนุภาคจึงมีพลังงานสงู พอที่จะเคลือ่ นทอ่ี อกหา่ ง
จากกนั และมแี รงยึดเหน่ยี วระหวา่ งอนุภาคตำ่ ลง สารจึงเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเปน็ ของเหลว
29. จดุ หลอมเหลว (Melting Point)คือ จดุ ทส่ี ารเปลย่ี นสถานะจากของแขง็ เป็น
ของเหลว จุดหลอมเหลวมคี ่าเทา่ กบั จดุ เยือกแขง็ เพยี งแตจ่ ุดเยือกแขง็ ใช้เรียกเม่ือสารเปล่ียนสถานะ
จากของเหลวเปน็ ของแข็ง เช่น นำ้ มีจุดหลอมเหลวเท่ากับ 0 องศาเซลเซียส หมายความวา่ น้ำแข็งซง่ึ
เป็นสถานะของแขง็ ของน้ำจะกลายสถานะเป็นของเหลวเมื่ออุณหภูมมิ ากกวา่ 0 องศาเซลเซียส และ
น้ำก็มีจดุ เยือกแขง็ ท่ี 0 องศาเซลเซยี ส หมายความวา่ น้ำสถานะของเหลวจะกลายสถานะเปน็
ของแขง็ เม่ืออุณหภมู ลิ ดลงต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส
30. ความรอ้ นแฝงของการหลอมเหลว คือ ความร้อนที่ทำใหส้ ารเปล่ยี นสถานะจาก
ของแขง็ เปน็ ของเหลวโดยอุณหภูมิไม่เปล่ยี นแปลง เช่น ความรอ้ นแฝงของการหลอมเหลวของน้ำแขง็
มีค่าเทา่ กบั 80 แคลอรตี ่อกรัม
31. การเปลีย่ นสถานะของสารจากของเหลวเป็นแกส๊ เรยี กว่า การเดอื ด หรือการ
กลายเป็นไอ เกิดขึ้นเม่ืออนภุ าคของของเหลวได้รับความรอ้ นเพ่ิมข้ึนทำให้อนุภาคมีพลงั งานมากขึน้
อนุภาคจงึ สามารถเคล่ือนออกหา่ งจากกันได้มากขน้ึ อีกจนไม่มแี รงยึดเหน่ยี วต่อกนั อนุภาคของ
ของเหลว จึงฟงุ้ กระจากออกไปกลายเปน็ แก๊ส
32. จดุ เดือด หมายถงึ จดุ ที่สารเปล่ียนสถานะจากของเหลวเป็นแก๊ส เปน็ จดุ เดยี วกัน
กับจุดควบแนน่ จดุ เดือนของน้ำบรสิ ุทธคิ์ ือ 100 องศาเซลเซยี สหมายความวา่ นำ้ ท่สี ถานะของเหลว
จะกลายเปน็ ไอนำ้ (สถานะแก๊สของนำ้ เมอื่ อุณหภูมมิ ากว่า 100 องศาเซลเซียส
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
366 ค่มู อื เตรยี มสอบ
33. ความรอ้ นแฝงของการกลายเปน็ ไอ คือ ความร้อนท่ที ำให้สารเปลีย่ นสถานะจาก
ของเหลวเปน็ แกส๊ โดยอุณหภูมิไมเ่ ปลย่ี นแปลง เช่น ความรอ้ นแฝงของการกลายเปน็ ไอของน้ำเดือดมี
ค่าเท่ากบั 540 แคลอรตี ่อกรัม
34. การเปลยี่ นสถานะของสารจากแก๊สเปน็ ของเหลว เรยี กว่า การควบแนน่ เกดิ
เนื่องจากสารในสถานะแกส๊ มีอุณหภมู ลิ ดลงทำให้แกส๊ กลัน่ ตัวกลายเปน็ ของเหลว
35. จดุ ควบแน่น คือ จุดท่สี ารเปลยี่ นสถานะจากแกส๊ เป็นของเหลวจุดควบแน่นมีคา่
เทา่ กบั จุดเดือด
36. การเปลีย่ นสถานะของสารจากของเหลวเป้นของแข็ง เรยี กวา่ การแขง็ ตัว เกดิ ข้นึ
เม่อื ลดอุณหภูมิของของเหลวใหเ้ ยน็ ลงจนถึงอุณหภูมหิ น่ึงของของเหลวจะกลายเป็นของแขง็ เชน่
การนำน้ำทมี่ ีสถานะเป็นของเหลวไปแช่ไวใ้ นช่องเยือกแขง็ ในตูเ้ ย็นจะทำให้น้ำกลายเปน็ น้ำแข็ง
37. จุดเยอื กแข็ง คือ จดุ ทส่ี ารเปล่ียนสถานะจากของเหลวเป็นของแข็งจุดเยือกแข็งมี
คา่ เทา่ กบั จดุ หลอมเหลว
38. ผลของพลังงานความร้อนต่อการเปลีย่ นแปลงของวัตถุ เช่น ความรอ้ นทำให้วัตถุ
มีอุณหภูมสิ ูงข้ึน มีการขยายตัว เกดิ ปฏิกิริยาเคมีทำใหไ้ ดส้ ารใหมเ่ กดิ ขึน้ และทำใหว้ ตั ถเุ ปลยี่ นแปลง
สถานะ เปน็ ต้น
39. การเปลย่ี นสถานะของนำ้ แบง่ ได้ 2 ประเภท คือ
1) การเปล่ียนสถานะระหวา่ งของแข็งกบั ของเหลว
2) การเปลีย่ นสถานะระหวา่ งของเหลวกับแกส๊
40. การเปล่ยี นสถานะระหว่างของแขง็ กับของเหลว
1) น้ำแข็งอุณหภูมิ 0 เมอ่ื ไดร้ ับพลงั งานความรอ้ นจากส่ิงแวดลอ้ มจะเปลีย่ นสถานเป็น
ของเหลวทีอุณหภูมิ 0 ขณะที่น้ำแขง็ เปล่ยี นสถานะเป็นน้ำเหลว อุณหภูมิของน้ำแขง็ และน้ำเหลวจะ
ไมเ่ ปลี่ยนแปลง
2) นำ้ อุณหภมู ิ 0 เมอ่ื คายพลงั งานความร้อนออกมาจะเปล่ียนสถานะเป็นนำ้ แขง็ ท่ี
อุณหภมู ิ 0 ขณะทน่ี ำ้ เปลยี่ นสถานะเปน็ นำ้ แข็งอุณหภูมิของน้ำและนำ้ แข็งจะไม่เปลย่ี นแปลง
41. ความรอ้ นแฝงของการหลอมเหลวของน้ำแขง็ คือ พลังงานความรอ้ นที่ใชใ้ นการ
เปล่ียนสถานะจากน้ำแขง็ เป็นน้ำเหลว ซึง่ ในขณะท่นี ำ้ แข็งเปล่ียนสถานะเปน็ น้ำเหลวอุณหภูมิจะคงท่ี
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 367
42. ความรอ้ นแฝงจำเพาะของการหลอมเหลวของนำ้ แข็ง คือพลังงานความร้อนท่ที ำ
ใหน้ ำ้ แขง็ มวล 1 กรม เปลีย่ นสถานะเป็นนำ้ เหลวโดยอุณหภมู ิไม่เปลยี่ นแปลง
43. ความร้อนแฝงของการแขง็ ตัวของนำ้ คอื พลังงานความร้อนท่ีของเหลวคาย
ออกมาเพอ่ื เปลี่ยนสถานะไปเปน็ ของแข็งโดยอณุ หภูมิไมเ่ ปล่ียนแปลง
44. ความรอ้ นแฝงของการหลอมเหลวของสารใดจะมีคา่ เท่ากบั ความร้อนแฝงของการ
แขง็ ตัวของสารนนั้
45. ความรอ้ นแฝงจำเพาะของการหลอมเหลวของน้ำแข็งและความรอ้ นแฝงจำเพาะ
ของการแข็งตวั ของน้ำมีค่าเท่ากนั คอื มีค่าประมาณ 80 แคลอรตี อ่ กรมั
46. การเปลยี่ นสถานะระหว่างของเหลวกบั แก๊ส
1) นำ้ เดอื ดที่อุณหภูมิ 100 เม่ือได้รับพลังงานความร้อนจากสงิ่ แวดล้อมจะเปล่ยี นสถานะ
เป็นไอนำ้ อุณหภมู ิ 100 ขณะท่นี ้ำเปลีย่ นสถานะเปน็ ไอนำ้ อุณหภูมขิ องนำ้ และไอน้ำจะไม่
เปลยี่ นแปลง
2) ไอน้ำอุณหภูมิ 100 เมอื่ คายพลังงานความร้อนออกมาเปลี่ยนสถานะเปน็ นำ้ เดือดท่ี
อณุ หภูมิ 100 ขณะท่ีไอน้ำเปล่ียนสถานะเป็นน้ำเดือด อุณหภูมิของไอน้ำและนำ้ เดอื ดจะไม่
เปลีย่ นแปลง
47. ความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอของน้ำเดือด คือ พลงั งานความรอ้ นทท่ี ำใหน้ ้ำ
เดอื ดเปล่ียนสถานะเปน็ ไอนำ้ โดยอณุ หภมู ิไม่เปล่ียนแลง
48. ความร้อนแฝงจำเพาะของการกลายเปน็ ไอของนำ้ เดือด คือ พลงั งานความร้อนที่
ทำใหน้ ้ำเดือดมวล 1 กรัม เปลยี่ นสถานะเปน็ ไอนำ้ โดยอุณหภูมไิ ม่เปลีย่ นแปลง
49. ความรอ้ นแฝงของการกลัน่ ตวั คือ พลังงานความร้อนที่ไอน้ำคายออกมาเพอ่ื
เปลี่ยนสถานะเป็นน้ำ โดยไม่มกี ารเปล่ยี นแปลงอุณหภูมิ
50. ความร้อนแฝงของการกลายเปน็ ไอของสารใดจะมีคา่ เทา่ กับความร้อนแฝงของ
การกลัน่ ตัวของสารน้นั
51. ความร้อนแฝงจำเพาะของการกลายเปน็ ไอของนำ้ เดือดและความรอ้ นแฝง
จำเพาะของการกล่ันตวั ของน้ำมคี ่าเท่ากัน คือ มคี ่าประมาณ 540 แคลอรตี ่อกรมั
52. นำ้ บรสิ ุทธิ์จะเดอื นทอี่ ุณหภูมิ 100 ทคี่ วามดนั ปกติ 1 บรรยากาศ คือ ความดนั ที่
ระดบั น้ำทะเล แต่ถ้าความดันอากาศเปลยี่ นไปอณุ หภมู ิของจดุ เดอื ดของน้ำก็จะเปลีย่ นไปดว้ ย โดยถ้า
ความดันอากาศต่ำลงนำ้ จะเดือดที่อณุ หภูมิของจุดเดือดของนำ้ กจ็ ะเปลี่ยนไปด้วย โดยถ้าความดัน
อากาศตำ่ ลงนำ้ จะเดือดที่อณุ หภมู ิตำ่ กวา่ 100
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
368 ค่มู อื เตรยี มสอบ
53. การคำนวณหาปริมาณความรอ้ นทที่ ำให้สารมอี ุณหภูมเิ ปลี่ยนไปหาได้จาก
สมการ
Q = mst
เม่ือ Q = ปริมาณความร้อน มีหน่วยเป็นแคลอรี หรือจูล
m = มวลของสาร มีหน่วยเป็นกรัม หรอื กิโลกรัม
s = ความจุความร้อนจำเพาะของสาร มีหนว่ ยเป็นแคลอรตี ่อกรมั ต่อองศาเซลเซียส
t= อุณหภมู ขิ องสารทเี่ ปลี่ยนไปจากเดิม มหี น่วยเปน็ องศาเซลเซียส
ตวั อย่างเชน่ พลังงานความร้อนทีท่ ำให้นำ้ มวล 50 กรัม อุณหภูมิ 25 กลายเป็นน้ำเดือดอุณหภูมิ
100
แนวคิด หาปรมิ าณความรอ้ นท่ีทำใหส้ ารมีอณุ หภมู ิเปลี่ยนไปจาก
Q = mst
= 50 X 1 X ( 100 – 25)
= 3,750 แคลอรี
น้ำ 50 กรมั จะมีอณุ หภูมเิ พิ่มขน้ึ 75 เม่อื รบั ความร้อน 3,750 แคลอรี
54. ความจุความร้อนของสาร คือ พลังงานความร้อนทีท่ ำให้สารมอี ุณหภมู เิ ปล่ียนไปจาก
เดมิ 1
55. ความจุความร้อนจำเพาะของสาร คือ พลังงานความร้อนท่ที ำใหส้ ารมวล 1 กรัม มี
อุณหภูมิเปลีย่ นไป 1
56. ความจุความร้อนจำเพาะของนำ้ มคี ่า 1 แคลอรีตอ่ กรัมต่อองศาเซลเซียส
หมายความวา่ พลังงานความรอ้ น 1 แคลอรีทำใหน้ ้ำมวล 1 กรมั มีอุณหภมู เิ พิ่มขน้ึ หรือลดลง 1
57. การคำนวณหาปรมิ าณความรอ้ นท่ีทำให้สารเปล่ียนสถานะ หาไดจ้ ากสมการ
Q = mL
เม่ือ Q = ปรมิ าณความร้อน มีหนว่ ยเป็นแคลอรี หรอื จูล
m = มวลของสาร มีหนว่ ยเปน็ กรัม หรอื กโิ ลกรัม
L = ความร้อนแฝงจำเพาะของสาร มีหนว่ ยเป็นแคลอรีตอ่ กรมั
ตัวอย่างเช่น
พลงั งานความร้อนที่ทำใหน้ ำ้ เดอื ดมวล 50 กรัม อุณหภมู ิ 100 กลายเปน็ ไอนำ้ เดอื ดอุณหภมู ิ 100
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 369
แนวคดิ หาปริมาณความรอ้ นทท่ี ำใหส้ ารเปลย่ี นสถานะจาก
Q = mL
= 50 X 540
= 27,000 แคลอรี
นำ้ 50 กรมั ใช้พลังงานความร้อนในการเปล่ยี นสถานะ 27,000 แคลอรี
58. อิทธิพลของความร้อนต่อการขยายตัวและหดตัวของวัตถุ
1) เมอื่ วัตถไุ ด้รบั ความร้อนอุณหภมู ิและพลังงานจลนข์ องโมเลกุลของวตั ถุจะเพิ่มขนึ้ ทำให้
โมเลกลุ สัน่ มากขนึ้ และเคลื่อนที่เรว็ ข้ึน ทำให้วัตถุมีขนาดใหญ่ขน้ึ เรยี กว่า วตั ถุเกดิ การขยายตวั
2) เม่ือวัตถคุ ายความรอ้ นออกมา โมเลกุลของวตั ถุจะส่ันน้อยลงและเคล่ือนทีช่ ้าลงทำให้วัตถุ
มขี นาดเล็กลง เรียกว่า วตั ถุเกิดการหดตวั
59. การขยายตวั และหดตัวของโลหะ โลหะทุกชนดิ เม่ือไดร้ บั ความร้อนจะขยายตวั
และเมื่อคายความร้อนจะหดตวั โดยอาจจะขยายตัวตามความยาว ตามปริมาตร หรอื ตามพื้นที่
60. สมั ประสิทธ์ิการขยายตัว คือ อัตราส่วนระหวา่ งขนาดของวตั ถทุ เี่ ปล่ยี นแปลงกับ
ขนาดเดิมของวัตถุต่ออณุ หภมู ิท่ีเปลี่ยนแปลง เช่น สมั ประสิทธ์กิ ารขยายตัวตามเส้นของเหล็กกลา้
เทา่ กบั
หมายความวา่ ถา้ อณุ หภมู เิ พ่ิมขน้ึ 1 ลวดเหล็กทย่ี าว 12,000,000 เมตร จะยืดยาวออก 1 เมตร
ถา้ อุณหภมู ิเพิม่ ข้นึ 20 ลวดเหลก็ จะยืดออก 20 เมตร
61. การระเหดิ (Sublimation)หมายถึง ปรากฏการณท์ ีส่ ามารถเปลี่ยนสถานะจาก
ของแขง็ กลายเปน็ แก๊สไดโ้ ดยไม่ผ่านสถานะของเหลวกอ่ น เกดิ เนอ่ื งจากอนุภาคของของแขง็ อย่ใู กล้
กนั มากทำให้มโี อกาสกระทบกนั ได้เมื่อสารได้รับความร้อนจงึ มีการถ่ายเทพลงั งานใหแ้ ก่กัน อนุภาคท่ี
ผวิ หน้าของของแขง็ จงึ เปลย่ี นสถานะกลายเป็นแกส๊
62. การระเหดิ จะเกดิ ไดเ้ ฉพาะสารบางชนดิ เทา่ นน้ั เชน่ การบูร พมิ เสน ลกู เหมน็
(แนฟทาลีน) ไอโอดนี และนำ้ แข็งแห้ง เป็นต้น ปรากฏการณ์ท่ีแสดงวา่ สารเกิดการระเหิดได้ เชน่
เมือ่ วางสารเหล่านใ้ี นสถานะของแข็งไว้ในทโ่ี ล่งระยะเวลาหนงึ่ สารจะมขี นาดเล็กลงและหมดไปใน
ทสี่ ดุ
63. การนำความร้เู รอื่ งการเปล่ยี นสถานะของสารไปใช้ประโยชน์ เชน่
1) การทำไอศกรีม เปน็ การเปล่ยี นสถานะสว่ นผสมของไอศกรีมที่มีสถานะเป้นของเหลวให้
กลายเปน็ ของแข็ง โดยการดึงความร้อนออกจากของเหลวเหลา่ น้ัน
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
370 คมู่ อื เตรยี มสอบ
2) การตกแต่งเวทีการแสดงหรือละคร ใช้การเปลีย่ นสถานะของนำ้ แขง็ แห้งที่มสี ถานะเป็น
ของแข็งให้กลายเป็นแก๊ส แลว้ ทำให้บรเิ วณน้ันมีอุณหภมู ิลดตำ่ ลงอย่างรวดเรว็ ไอนำ้ ในอากาศที่มี
สถานะเปน็ แกส๊ จงึ เกิดการควบแนน่ เปน็ ละอองนำ้ เลก็ ๆ ทำใหม้ ลี กั ษณะเหมอื นหมอกควันเม่ือใชไ้ ฟสี
ส่องก็จะได้หมอกควันสีสวยงามเกดิ ขึ้น
3) เคร่ืองทำความเย็น เช่น ตเู้ ยน็ เคร่อื งปรับอากาศ อาศัยหลักการเปลยี่ นสถานะของแกส๊
บางชนิดใหเ้ ปน็ ของเหลวโดยใช้เครอ่ื งอัดอากาศ (Compressor) จากน้นั ผา่ นสารที่เปน็ ของเหลวไป
ยังสว่ นตา่ ง ๆ ทต่ี อ้ งการลดอุณหภมู ิ สารน้ีจะดงึ ความร้อนจากบริเวณโดยรอบเพ่ือทำให้สาร
เปลย่ี นเปน็ แกส๊ ไหลกลบั ไปยังเครื่องอัดอากาศอีกร้งั ทำให้บรเิ วณที่ตอ้ งการทำใหเ้ ย็นมีอุณหภมู ลิ ดลง
ได้
4) การนำลูกเหม็นหรือการบูรท่ีมสี ถานะเป็นของแขง็ ใสใ่ นตู้เสอื้ ผา้ ใหร้ ะเหิดกลายเป็นแก๊ส
เพื่อป้องกันแมลง
64. การละลายของสาร เป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพทำใหส้ ารละลายทีไ่ ด้ยังคงมี
สมบัติของสารเดิมที่เปน็ สว่ นประกอบอยู่ โดยข้ึนอย่กู บั ปริมาณของสารท่ีเปน็ ส่วนประกอบนั้น เช่น
น้ำเกลอื กจ็ ะมีสมบัติของนำ้ และเกลือด้วย
65. การละลาย เกิดจากสารตัง้ แต่ 2 ชนิดขนึ้ ไปมาผสมเป็นเนื้อเดยี วกนั โดยไม่
เกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี
66. การละลายของสารจะเกี่ยวข้องกบั พลังงาน ซงึ่ การละลายมี 2 ขัน้ ตอน คือ
1) อนภุ าคของของแข็งแยกตัวออกเป็นอนภุ าคเล็ก ๆ ของแข็งประกอบด้วยอนภุ าคจำนวน
มากมายอยู่รวมกันโดยมีแรงยึดเหนย่ี วระหว่างกนั การแยกอนภุ าคของของแขง็ ออกจากกันเป็น
อนภุ าคเล็ก ๆ จะตอ้ งใช้พลังงานหรอื ดูดพลังงานจากส่งิ แวดลอ้ ม
2) อนภุ าคเล็ก ๆ ของของแข็งรวมตัวกบั อนภุ าคของของเหลว เม่อื ของแขง็ แยกตัวออกเปน็
อนุภาคเลก็ ๆ แล้วอนภุ าคเหลา่ นจ้ี ะกระจายแทรกตวั อยรู่ ะหว่างอนุภาคของของเหลว ทำใหอ้ นภุ าค
เล็ก ๆ ของของแขง็ สร้างแรงยึดเหนย่ี วกบั อนภุ าคของของเหลว และการสรา้ งแรงยดึ เหนยี่ วจะเกดิ
การคายพลงั งาน
67. การถ่ายโอนพลงั งานความร้อน พลงั งานความรอ้ นจะถา่ ยโอนจากทท่ี ี่มีอุณหภูมิ
ต่ำกวา่ และหยดุ ถา่ ยโอนเม่ืออุณหภมู เิ ท่ากัน
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 371
68. วธิ ีการถา่ ยโอนพลงั งานความร้อน พลังงานความร้อนสามารถถา่ ยโอนไปยงั วตั ถุ
ตา่ ง ๆ ไดโ้ ดยการพาความร้อน การนำความร้อน และการแผร่ ังสี
69. การพาความร้อน (Convection) เป็นการถ่ายโอนพลงั งานความรอ้ นโดยอาศยั
การเคล่อื นทข่ี องตวั กลางที่เป็นของไหลเปน็ ตัวพาไปและโมเลกลุ ของสารที่เป็นตัวกลางเคล่อื นที่ไป
ด้วยไดแ้ ก่โมเลกุลของของเหลวและแก๊ส เข่น การพาความร้อนของน้ำในเครื่องทำนำ้ อนุ่ การพา
ความร้อนของสารพรีออนในเครอื่ งทำความเย็น เป็นต้น
70. วิธีการพาความรอ้ น เกดิ จากโมเลกุลของของเหลวและแก๊สได้รับพลังงานความ
ร้อน โมเลกลุ จะสัน่ และอยู่ห่างกนั มากขน้ึ ทำให้ความหนาแนน่ ของของเหลวและแก๊สลดลง โมเลกุล
ทีไ่ ดร้ บั ความรอ้ นน้จี ึงลอยตวั ขนึ้ และพาความร้อนไปดว้ ย โมเลกุลท่อี ยู่ขา้ งเคียงจะเคลอื่ นท่เี ขา้ มา
แทนที่
71. การนำความร้อน (Conduction) เป็นการถ่ายโอนพลงั งานความร้อนผ่าน
ตัวกลางโดยทีโ่ มเลกลุ ของตัวกลางไม่ไดเ้ คลอ่ื นท่ีไปด้วย เชน่ การทอดปลา ความรอ้ นจากเปลวไฟจะ
ถา่ ยโอนผ่านกระทะมายังปลาทำใหป้ ลาสุก เป็นต้น
72. วิธีการนำความร้อน เกดิ จากความร้อนถ่ายโอนผา่ นตวั กลางทีเ่ ป็นของแข็งใน
ลักษณะท่ีโมเลกุลของตัวกลางท่อี ยใู่ กลแ้ หล่งกำเนิดความร้อนจะร้อนก่อนโมเลกลุ ท่ีอยไู่ กลออกไป
โมเลกลุ ของตวั กลางซงึ่ เคลือ่ นทไ่ี ม่ได้เม่ือไดร้ ับความร้อนจะสนั่ มากขน้ึ จึงชนกบั โมเลกลุ ที่อยตู่ ิดกัน
และทำให้โมเลกุลที่อยู่ตดิ กนั สัน่ มากข้นึ ไปด้วย โมเลกุลแหลา่ นจ้ี ะส่ันตอ่ เน่ืองกันไปจึงทำใหค้ วามรอ้ น
ถูกถา่ ยโอนตอ่ เนื่องกนั โดยการสั่นของโมเลกลุ
73. ตัวนำความรอ้ น คือ วัตถทุ ่ีไม่สามารถนำความร้อนได้หรือไม่ยอมใหค้ วามร้อนผ่าน
เชน่ ยาง กระเบอื้ ง แกว้ พลาสติก ไม้ เปน็ ตน้
75. การแผร่ ังสีความรอ้ น (Radiation)เป็นการถ่ายโอนพลงั งานความรอ้ นโดยไม่
อาศัยตัวกลางในการถ่ายโอน เช่น การแผร่ ังสคี วามร้อนของดวงอาทิตย์
76. วธิ กี ารแผร่ งั สีความร้อน เกดิ จากวตั ถุท่ีมีอณุ หภมู สิ ูงแผร่ ังสคี วามรอ้ นออกมาใน
รูปคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้าไปยงั วัตถุทเ่ี ยน็ กว่า
77. การจัดกลุ่มสารตามลกั ษณะเนือ้ สาร จดั ได้ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คอื
1) สารเน้ือเดยี ว มองเหน็ เป็นเนอ้ื เดยี ว อาจมเี นื้อสารเพยี งอย่างเดยี วหรอืมากกวา่ หน่งึ
อยา่ ง มีสมบตั ิเหมอื นกนั ทุกส่วน เช่น อากาศ ทองคำ นำ้ เกลอื
2) สารเนอื้ ผสม มเี นื้อสารมากกว่าหนึ่งอย่างผสมกนั อยู่ สามารถมองเห็นความแตกตา่ งของ
องค์ประกอบของเนื้อสารได้ เช่น ดนิ น้ำโคลน นำ้ เลือด
ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
372 คมู่ อื เตรยี มสอบ
78. สารเนื้อเดยี ว พบไดท้ ้ัง 3 สถานะ คือ ของแข็ง ของเหลว และแก๊สแบง่ เป็น 2 ชนิด
คือ
1) สารบรสิ ุทธ์ิ หมายถงึ สารเน้อื เดียวท่ีมีองค์ประกอบของสารเพยี งชนดิ เดยี ว สมบัติของ
สารบรสิ ุทธิ์จะคงที่และเปน็ สมบัตเิ ฉพาะตวั สารบริสทุ ธิ์แบ่งเป็น 2 ชนดิ คือ ธาตแุ ละสารประกอบ
เชน่ ทองคำ ทองแดง แก๊ส ออกซเิ จน แก๊สไฮโดรเจน เป็นต้น
2) สารละลาย หมายถึง สารเน้ือเดียวที่เกิดจาสารบริสุทธ์ิท่ีเป็นธาตหุ รอื สารประกอบตั้งแต่
สองชนดิ ขึน้ ไปมารวมกันโดยมีอัตราสว่ นของการผสมไม่คงท่ี และแสดงสมบัตติ ามอัตราสว่ นของสาร
ท่ผี สมกัน เชน่ น้ำเกลือ น้ำเช่ือม ทองเหลอื ง อากาศ เป็นต้น
79. สารเนอ้ื ผสม เป็นสารท่ีมเี นื้อสารมากกว่าหนึง่ อย่างผสมกนั อย่สู ามารถมองเหน็
ความแตกต่างขององคป์ ระกอบเนอ้ื สารได้ มีลักษณะหรือสมบัตทิ ้ังก้อนของสารไม่เหมือนกัน เม่ือนำ
แตล่ ะส่วนของสารไปทดสอบจะแสดงสมบัติแตกต่างกนั พบสารเน้ือผสมได้ 2 สถานะ คือ ของแข็ง
และของเหลว
80. การจดั กลมุ่ สารตามขนาดของอนุภาค จดั ได้ 3 กลมุ่ คือ สารแขวนลอย
คอลลอยด์ และสารละลาย
81. สารแขวนลอย (Suspension)เป็นสารผสมที่มลี ักษณะข่นุ มองเหน็ อนภุ าคของ
ของแข็งทีผ่ สมอยู่ไดช้ ดั เจน เน่อื งจากอนุภาคมีขนาดใหญ่ประกอบดว้ ยอนภุ าคของแข็งขนาดใหญ่
กวา่ เซนติเมตร กระจายอยู่ในตัวกลางท่เปน็ ของเหลวเมื่อนำมากรองอนุภาคไม่สามารถลอด
ผ่านกระดาษกรองและเซลโลเฟนได้ ตวั อยา่ งแขวนลอย เช่น น้ำโคลน ดินเหนยี ว อย่างหยาบและ
ดินทรายในน้ำ เป็นตน้
82. คอลลอยด์ (Colloid)เป็นสารผสมทม่ี ลี ักษณะขนุ่ มองเห็นอนุภาคท่ีแพรก่ ระจาย
อยไู่ มช่ ัดเจน อนภุ าคของของแขง็ ในคอลลอยด์มีขนาดเลก็ กว่าสารแขวนลอย แตม่ ีขนาดใหญ่กว่า
สารละลาย โดยอนภุ าคมขี นาด เซนติเมตร เมื่อนำมากรอง อนภุ าคสามารถผ่าน
กระดาษกรองได้ แตไ่ ม่สามารถผ่านเซลโลเฟนได้ เช่น นมสด นำ้ กะทิ นำ้ สบู่ นำ้ แปง้ สกุ เปน็ ต้น
83. คอลลอยด์ แบง่ ตามชนิดของสารทีน่ ำมาผสมกันได้ ดงั น้ี
1) เจล (Gel) หมายถงึ คอลลอยด์ท่มี ีลกั ษณะเป็นของแขง็ เกิดจากของเหลวแขวนลอย
อยูใ่ นของแข็ง เช่น ว้นุ แข็ง เจลลาตนิ เนยแขง็ เป็นตน้
ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 373
2) ซอลล์(Sols) หมายถงึ คอลลอยด์ทเี่ ปน็ ของเหลว เกิดจากของแข็งแพร่กระจายอย่ใู น
ของเหลว เชน่ สที าบ้าน นำ้ หมึก เปน็ ต้น
3) แอโรซอล (Aerosol) หมายถงึ คอยลอยดท์ ี่มีสถานะเป็นแก๊สฝุ่นละอองในอากาศ
เปน็ ตน้
4) อมิ ลั ซัน (Emulsin) หมายถึง คอยลอยดท์ ีเ่ กิดจากสาร 2 ชนิด ทีไ่ ม่ละลายในกัน
และกัน โดยมีของเหลวชนดิ หน่งึ กระจายตวั แทรกอยใู่ นของเหลวอกี ชนดิ หน่ึง และมีอิมลั ซไิ ฟเออร์
(Emulsifier) ทำหน้าท่เี ป็นตัวประสารให้สาร 2 ชนิด รวมตัวกันอยู่ได้ เช่น นมสด ครมี เปน็ ต้น
5) โฟมของเหลว หมายถงึ คอลลอยด์ที่มีอนภุ าคแก๊สแขวนลอยอยใู่ นของแข็ง เชน่ ฟอง
สบู่ ฟองผงซักฟอก เปน็ ตน้
6) โฟมของแขง็ หมายถึง คอลลอยดท์ ี่มอี นภุ าคแกส๊ แขวนลอยอยูใ่ นของแข็ง เชน่
ฟองน้ำ สบกู่ ้อน เป็นตน้
84. ตัวอิมัลชัน เชน่ น้ำนมสด เกิดจากการรวมกันของไขมนั โปรตนี และน้ำ โดย
มีไขมันสัตวก์ ระจายอยู่ในน้ำที่เปน็ ตวั กลาง (ปกติไขมนั สตั ว์จะไมล่ ะลายในนำ้ ) และมีโปรตนี ชว่ ยทำ
ให้ไขมนั และน้ำรวมตวั กนั ได้ เรียก ไขมนั น้ำ และโปรตีน ที่รวมตัวเป็นเน้อื เดยี วกันว่า อมิ ลั ชนั
ส่วนโปรตนี ทชี่ ่วยทำให้ไขมนั และนำ้ รวมตวั กันได้ เรยี กว่า อมิ ลั ซิไฟเออร์
85. คอลลอยด์ชนดิ ต่าง ๆ ท่ีพบในชวี ิตประจำ
ตวั อยา่ งคอลลอยด์ สถานนะของตวั กลาง สถานนะของสารในตัวกลาง
เนยแข็ง วนุ้ แข็ง ของแข็ง ของเหลว
นำ้ หมกึ สีทาบาน ของเหลว ของแขง็
กาวลาเท็กซ์ นำ้ สลดั ของเหลว ของเหลว
ฝุ่นละอองในอากาศ แก๊ส ของแข็ง
โฟม ของแข็ง แก๊ส
86. สารละลาย (Solution) สารละลายในสถานะของเหลวจะไมส่ ามารถแยกสารท่ี
ผสมกนั อยู่ได้ด้วยวธิ กี ารกรองและใชเ้ ซลโลเฟน เพราะอนภุ าคมขี นาดเลก็ กวา่ ซงึ่ มขี นาดเลก็
กวา่ รูของกระดาษกรองและเซลโลเฟน
87. สรปุ สมบตั ิของสารแขวนลอย คอลลอยด์ และสารละลายไดด้ ังน้ี
สมบัติ สารละลาย คอลลอยด์ สรแขวนลอย
1) ลักษณะของสาร ใส ข่นุ ทบึ แสง ขนุ่ ทึบแสง
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
374 คมู่ อื เตรยี มสอบ
ไมต่ กตะกอน หรอื โปรง่ แสง เกิดการตกตะกอน
ไม่ตกตะกอน
2) ขนาดของอนุภาค < cm cm cm
3) การกรอง อนุภาคผา่ นท้ัง อนภุ าคผา่ นท้ังกระดาษ อนภุ าคไมผ่ า่ นทั้ง
กระดาษ กรองไมผ่ า่ นเซลโลเฟน กระดาษกรองและเซล
กรองและเซลโลเฟน โลเฟน
4) ปรากฎการณ์ ไมเ่ กิด เกิด ไม่เกิด
ทนิ ดอลล์
88. ประโยชน์ของความรูเ้ กย่ี วกับการตรวจสอบขนาดของเนอ้ื สาร เช่น การใชแ้ ผน่
กรองอากาศในเครื่องปรับอากาศเพอื่ กำจดั ฝุน่ ละอองออกจากอากาศ การกรองกากมะพร้าวออก
จากน้ำกะทิ โดยใช้กระชอนกรองทำให้ได้น้ำกะทิ เปน็ ตน้
89. ความรเู้ กยี่ วกับการจัดกลุ่มสารรอบตัว สามารถนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ เชน่ การ
จดั ส่งิ ของเครื่องใช้ หรอื หนังสือต่าง ๆ ใหเ้ ปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ยตามลกั ษณะการใช้งาน ทำให้หยบิ
ใช้ไดส้ ะดวก ถูกต้อง และไม่เกิดการสญู หาย
90. ปรากฏการณ์ทินดอลล์ (Tyndall Effect) หมายถึง ปรากฏการณ์ท่ีมองเห็น
ลำแสงในคอลลอยด์ เกิดเน่ืองจากผ่านแสงเข้าไปในคอลลอยดแ์ ลว้ แสงจะไปกระทบกบั อนุภาคของ
คอลลอยด์ทำใหเ้ กิดการสะท้อนของแสงในทุกทิศทุกทาง เรยี กวา่ เกดิ การกระเจงิ แสง ทำให้
มองเหน็ แสงผา่ นคอลลอยดไ์ ด้
91. ตวั อยา่ งปรากฏการณ์ทนิ ดอลลใ์ นชวี ติ ประจำวนั เชน่ การเห็นลำแสงในห้องท่มี ี
ฝ่นุ ละออง การเห็นลำแสงของไฟฉาย เป็นต้น
92. การแยกสงิ่ เจือปนออกจากน้ำ สามารถทำไดห้ ลายวิธีดงั น้ี
1) การทำให้ตกตะกอน เปน็ วิธีการแยกสารแขวนลอยออกจากนำ้ โดยการเติมสาร
บางอยา่ งลงไปในน้ำ เช่น สารส้ม แล้วสารส้มจะทำใหส้ ารแขวนลอยรวมตัวกันทำให้มนี ้ำหนกั
เพมิ่ ขึน้ และเกดิ การตกตะกอนแยกออกจากนำ้
2) การกรอง เปน็ วิธีการแยกสารท่ีไมล่ ะลายน้ำ เช่น สารแขวนลอย หรือของแข็งออก
จากน้ำโดยใชภ้ าชนะกรองทมี่ ีรูขนาดเล็กกว่าขนาดอนุภาค ของสารแขวนลอย เชน่ กระดาษกรอง
หรือเซลโลเฟน
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 375
3) การกลั่น เปน็ วธิ กี ารทำน้ำให้สะอาดทีส่ ดุ แตม่ ีคา่ ใชจ้ า่ ยสงู
ตวั อยา่ งแนวข้อสอบ บทที่ 1
1. เราสามารถใชส้ มบัตขิ องสารเป็นเกณฑ์จำแนก 6. ข้อใดอธิบายความหมายของอุณหภมู ิได้
ชนิดของสารได้กล่ี ักษณะ ถูกต้อง
ก. 2 ลกั ษณะข. 3 ลกั ษณะ ก. ระดับความเย็นท่ปี รากฏในวัตถุนั้นๆ
ค. 4 ลกั ษณะ ง. 5 ลักษณะ ข. ระดับความร้อนทปี่ รากฏในวัตถุนั้นๆ
2. การจำแนกสารจากลักษณะเนื้อสารเป็นเกณฑ์ ค. ปริมาณอากาศรอ้ นที่อย่ใู นวัตถุนน้ั ๆ
สามารถแบง่ สารออกเปน็ 2 ประเภทคือ ง. ปริมาณอากาศเย็นที่อยู่ในวตั ถนุ ั้นๆ
ก. สารเนอ้ื เดยี ว และ สารบริสุทธิ์ 7.ขอ้ ใดอธิบายความหมายของจุดเดือดได้ถูกต้อง
ข. สารบริสทุ ธิ์ และ สารเนื้อผสม ก. อณุ หภมู ิของไอน้ำขณะทีส่ ารนนั้
ค. สารเนือ้ ผสม และ สารละลาย หลอมเหลว
ง. สารเนอ้ื เดยี ว และ สารเนอ้ื ผสม ข. อุณหภูมขิ องนำ้ ท่ีเปลยี่ นสถานะจากของเหลว
3. ข้อใดต่อไปน้ีไม่ใช่สารเน้อื เดียว กลายเป็นไอ
ก. นำ้ ค. อุณหภูมิของน้ำทเี่ ปล่ียนสถานะจาก
ข. คอลลอยด์ ของแข็งกลายเป็นของเหลว
ค. สารละลาย ง. อุณหภูมขิ องไอนำ้ ขณะท่นี ำ้ กำลงั เดือด
ง. สารแขวนลอย ภายใตค้ วามดนั บรรยากาศ
4. สารใดบา้ งทเ่ี ปลยี่ นสีกระดาษลติ มัสจากสีแดง 8.ขอ้ ใดคือหน่วยของอุณหภมู ิทมี่ ใี ช้กนั ในปจั จุบัน
เปน็ สีน้ำเงิน น้ี
ก. นำ้ มะนาว น้ำส้มสายชู นำ้ อดั ลม ก. เซลเซยี ส - เคลวิน - โรเมอร์
ข. น้ำส้มสายชู ยาสฟี นั ผงซกั ฟอก ข. ฟาเรนไฮต์ - เคลวิน - เซลเซยี ส
ค. ผงซกั ฟอก ยาสฟี ัน เลือด ค. โรเมอร์ - เซลเซียส - ฟาเรนไฮต์
ง. น้ำอดั ลม น้ำบริสทุ ธิ์ เลอื ด ง. ถูกทุกข้อ
5. เกลอื แกง 50 กรัม ละลายในน้ำ 200 กรัม มี 9. นำ้ ทอี่ ยู่ในอณุ หภูมิ 150 องศาฟาเรนไฮต์,
ความเข้มข้นรอ้ ยละเทา่ ไรโดยมวล 150 องศาเคลวิน และ 150 องศาโรเมอรจ์ ะมี
ก. รอ้ ยละ 20 โดยมวล สถานะของนำ้ เป็นอย่างไรตามลำดับ
ข. รอ้ ยละ 25 โดยมวล ก. ของแขง็ , ของเหลว, กา๊ ซ
ค. ร้อยละ 50 โดยมวล ข. ของเหลว, ของแข็ง, ก๊าซ
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
376 ค่มู อื เตรยี มสอบ ค. กา๊ ซ, กา๊ ซ, กา๊ ซ
ง. ของเหลว, ของเหลว, ของเหลว
ง. รอ้ ยละ 75 โดยมวล
10.ณเดชไปเทีย่ วกับครอบครัวที่ออสเตรเลียแล้ว 14. นำ้ แขง็ 100 กรัมเปล่ียนสถานะเป็นไอน้ำ
มาบอกมารโิ อวา่ ทนี่ ั่นหนาวมากอุณหภมู ิ 283 เดอื ดต้องใช้พลังงานความร้อนกี่แคลลอร่ตี ่อกรัม
องศาเคลวนิ แต่มาริโอบอกวา่ ทอ่ี ิตาลีหนาวกวา่ (ความร้อนแฝงของการหลอมเหลวเทา่ กับ 80
เพราะอุณหภูมิเพียง 5 องศาเซลเซยี ส ถามว่าที่ แคลลอรตี ่อกรัม, ความจุความร้อนจำเพาะของ
ไหนหนาวกวา่ กนั และตา่ งกันก่ีองศาเซลเซียส นำ้ เท่ากบั 1 cal/g.Kและความร้อนแฝงของการ
กลายเปน็ ไอนำ้ เท่ากับ 540แคลลอรตี ่อกรมั )
ก. ออสเตรเลยี หนาวกว่า อณุ หภูมิต่างกัน
5 ก. 540แคลลอรีต่อกรมั
ข. อติ าลีหนาวกว่า อุณหภูมติ ่างกัน 5 ข. 620แคลลอรตี อ่ กรัม
ค. 720แคลลอรีตอ่ กรัม
ค. ออสเตรเลียหนาวกวา่ อณุ หภมู ติ า่ งกนั ง. 840 แคลลอรีตอ่ กรัม
10 15.ตอ้ งใช้พลังงานเท่าไร เพ่ือใหน้ ำ้ แขง็ มวล 500
กรัม กลายเป็นนำ้ จนหมด (ความรอ้ นแฝงของ
ง. อติ าลีหนาวกวา่ อุณหภูมติ า่ งกนั 10 การหลอมเหลวของน้ำแข็ง = 80 cal/g)
11. ขอ้ ใดตรงกับคำกล่าวท่ีวา่ "พลังงานความ ก. 580 kcal
ร้อนจะมีการถา่ ยโอนจากแหล่งพลงั งานสูงไปยงั ข. 40 kcal
แหลง่ พลงั งานต่ำ" ค. 420 kcal
ง. 40 cal
ก. น้ำแขง็ ท่ีวางในหอ้ งจะคายความรอ้ นออก 16. พลังงานความร้อน 2,000 J สามารถทำ
ข. นำ้ บนเตาไฟจะดูดความร้อน ให้น้ำทม่ี ีอณุ หภมู ิ 80 องศาเซลเซยี ส มวลกกี่ รมั
กลายเป็นน้ำเดือดท่ีมีอุณหภมู ิ 100 องศา
ค. นำ้ ในชอ่ งแชแ่ ข็งจะดูดความร้อน เซลเซียส (ค่าความจุความร้อนของนำ้ = 4
ง. ไม่มีขอ้ ใดผดิ J/g.K)
12. สงิ่ แรกของการเปล่ียนแปลงของสสารเมื่อ ก. 10 กรมั
ไดร้ บั ความร้อน คือข้อใด ข. 15 กรัม
ก. สสารเปล่ียนสถานะ
ข. สสารขยายตวั
ค. อุณหภูมิของสสารเปลยี่ นแปลง
ง. ขนาดเพ่ิมขน้ึ
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 377
13. เรารู้สกึ เย็นเม่ือนำแอลกอฮอล์มาถูผิว ค. 20 กรัม
เนอ่ื งมาจากสาเหตใุ ด ง. 25 กรมั
17.ตอ้ งใช้น้ำมนั กี่ลิตร เพ่ือใช้ในการทำให้นำ้ มวล
ก. แอลกอฮอล์พาความร้อนเร็ว 500 กรัม อณุ หภูมิ 30 องศาเซลเซียส เดอื ดท่ี
ข. แอลกอฮอล์นำความร้อนได้ดี 100 องศาเซลเซียส (ความจุความร้อนจำเพาะ
ค. แอลกอฮอลร์ ะเหยเรว็ และดึงความรอ้ นทผี่ ิว ของนำ้ เทา่ กบั 1 cal/g.Kน้ำมัน 1 ลติ รมพี ลังงาน
ออกไปดว้ ย 10,000 cal)
ง. เกิดปฏิกิรยิ าระหวา่ งแอลกอฮอลก์ บั ก. ใชน้ ้ำมนั 3.5 ลติ รข. ใชน้ ้ำมัน 4.5 ลติ ร
ผวิ หนงั ทำใหเ้ กิดความเย็น
ค. ใช้น้ำมัน 5.5 ลิตร ง. ใช้นำ้ มัน 6.5 ลติ ร
บทท่ี 2 สารละลาย
1. สารละลาย เป็นของผสมท่เี ปน็ สารเนอ้ื เดยี ว มอี งค์ประกอบของสารตั้งแต่ 2
ชนิดข้ึนไป (มีขนาดอนภุ าคน้อยกวา่ cm) ส่วนทม่ี ปี ริมาณมากเรยี กวา่ ตัวทำลาย ส่วนทมี่ ี
ปรมิ าณนอ้ ยเรยี กวา่ ตวั ละลาย พบได้ทั้งสองสถานะของแข็ง ของเหลว และแกส๊
2. สารละลาย มีสมบัตดิ ังน้ี
1) เป็นสารทม่ี องเหน็ เปน็ เน้ือเดยี ว มีสมบัติเหมือนกนั ทกุ ส่วน
2) ประกอบด้วยตวั ทำลาย (Solvent) และตวั ละลาย (Solute)
3) สารละลายเปน็ การเปล่ยี นแปลงทางกายภาพของสาร โดยตวั ทำละลายและตวั ละลาย
ไม่ได้ทำปฏกิ ิริยากนั
4) สามารถแยกตัวทำละลายและตวั ละลายออกจากนั ไดโ้ ดยวธิ ที างภายภาพอย่างง่าย ๆ
เชน่ การระเหย การตกผลึก เป็นตน้
5) สารละลายมีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวไม่คงที่
6) สารละลายมไี ด้ท้งั 3 สถานะ คอื ของแขง็ เชน่ นาก (ทองแดงกับทองคำ) ของเหลว
เช่น นำ้ เกลือ (เกลือละลายในนำ้ ) และแกส๊ เชน่ อากาศ (ออกซเิ จน ไนโตรเจน) เปน็ ต้น
3. ถา้ สารสองชนิดท่ีผสมกันมสี ถานะตา่ งกนั สารทมี่ ีสถานะเดยี วกับสารละลายจะ
เปน็ ตัวทำละลาย ส่วนสารที่มีสถานะต่างกับสารละลายจะเป็นตัวละลาย เชน่ นำ้ เกลือมสี ถานะ
เปน็ ของเหลว ประกอบดว้ ย เกลอื และน้ำ เกลอื มีสถานะเป็นของแข็งต่างจากสถานะของ
สารละลาย ดงั นีเ้ กลือจงึ เป็นตวั ละลาย และน้ำเป็นตัวทำละลาย เพราะมีสถานะเดยี วกบั
สารละลาย
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
378 ค่มู อื เตรยี มสอบ
4. ถา้ สารละลายมีสถานะเดียวกันกับตัวทำละลายและตัวละลาย สารทมี่ ปี รมิ าณ
มากกว่าจะเป็นตวั ทำละลาย ส่วนสารทมี่ ปี รมิ าณน้อยกวา่ จะเป็นตวั ละลาย เชน่ ทองเหลือง
ประกอบดว้ ย ทองแดง 60% และสังกะสี 40% ทองแดงมีปริมาณมากกวา่ สงั กะสี ดงั น้ันทองแดง
เป็นตัวทำละลาย ส่วนสงั กะสีเป็นตัวถกู ละลาย
5. สารละลายในสถานะของเหลวโดยท่ัวไป จะมีน้ำเป็นตัวทำละลายเสมอ เช่น
นำ้ หวาน น้ำเกลอื เปน็ ต้น
6. สารละลายบางชนดิ จะระบตุ ัวทำละลายได้ เชน่ สารละลายไอโอดีน ไนเฮกเซน
แสดงว่าเฮกเซนเป็นตัวทำละลาย และไอโอดีนเป็นตัวละลาย
7. การระเหยแห้ง เป็นวธิ ีการแยกสารโดยใช้ความรอ้ น ในกรณที ตี่ วั ละลายเปน็
ของแข็งละลายในตวั ทำละลายท่เี ปน็ ของเหลว เหมาะกบั ตัวละลายทเ่ี ปน็ ของแข็งระเหยยาก ซึง่ เมื่อ
ให้ความรอ้ นจนตวั ทำละลายระเหยกลายเป็นไอหมด จะเหลอื ตัวละลายของแข็งท้งิ ไว้
8. การละลายได้ หมายถึง การที่สารมากกว่าสองชนดิ สามารถรวมเป็นเนื้อเดยี วกนั
ได้
9. ความสามารถในการละลายของตัวละลายในตัวทำละลายใด ๆ มเี กณฑไ์ ด้ดังนี้
1) ละลายได้ดี หมายถงึ ตัวละลายละลายได้มากกว่า 1 กรมั ในน้ำ 100 กรมั
2) ละลายไดเ้ ล็กนอ้ ย หมายถงึ ตวั ละลายละลายได้มากกวา่ 0.1 กรัมในน้ำ 100 กรัม
แต่ไมเ่ กิน 1 กรัม
3) ไม่ละลาย หมายถงึ ตวั ละลายละลายไดน้ อ้ ยกว่า 0.1 กรมั ในนำ้ 100 กรัม หรอื ไม่
ละลายเลย
10. ปจั จยั ท่ีมีผลต่อการละลายของสาร
1) ชนดิ ของตัวละลายและตัวทำละลาย โดยตวั ละลายชนดิ เดียวกนั จะละลายในตัวทำ
ละลายต่างชนิดกนั ได้ต่างกัน และตวั ละลายตา่ งชนิดกนั จะละลายในตวั ทำละลายชนดิ เดียวกนั ได้
ตา่ งกนั
2) อัตราส่วนระหวา่ งปรมิ าณของตัวละลายและตวั ทำละลาย ถ้าใช้ตวั ทำละลายนอ้ ยตวั
ละลายจะละลายไดน้ ้อย ถา้ ใชต้ ัวทำละลายมากตวั ละลายจะละลายได้มาก
3) อณุ หภมู ิ โดยท่ัวไปการละลายของสารจะเพิ่มขึน้ เม่ืออุณหภูมสิ ูงขนึ้
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 379
4) ความดนั ความดันจะมีผลตอ่ ตวั ละลายที่เปน็ แกส๊ ซง่ึ ที่ความดันสงู แก๊สจะสามารถ
ละลายได้ดีขนึ้
11. การเตรียมสารละลายจากสารบริสทุ ธ์ิ ทำไดโ้ ดยนำสารบริสุทธิ์ตามปรมิ าณที่
ตอ้ งการมาละลายในตัวทำละลายปรมิ าณเล็กน้อย แลว้ ปรับปริมาตรของสารละลายให้ได้ตามท่ี
ต้องการ โดยใช้อุปกรณ์วัดปริมาตร เช่น ขวดวดั ปรมิ าตร กระบอกตวง เป็นต้น
12. การเตรยี มสารละลายจากสารละลายเข้มข้น ทำได้โดยนำสารละลายเข้มขน้ ที่มี
อยู่แล้วมาเตมิ ตัวทำละลายเพ่ือทำให้สารละลายเจอื จางลง
13. ความรเู้ กี่ยวกับการเตรียมสรละลายมีประโยชนใ์ นชวี ติ ประจำวนั คอื
1) ใช้ในการเลอื กซื้อเคร่ืองประดับพวกทองคำ ต้องเลือกทม่ี ีโลหะอืน่ ผสมอยูบ่ ้าง จงึ จะทำ
ให้เคร่อื งประดบั คงรปู อยู่ได้
2) ทองคำแท่งตอ้ งเลอื กซ้อื ทองคำบรสิ ทุ ธ์ิ
3) แอลกฮอล์เชด็ แผล เตรยี มจากเอทานอล 70%
4) นำ้ ผลไมก้ ระป๋อง ต้องเลือกซ้ือกระป๋องท่ีมีปริมาณนำ้ ผลไม้มาก ๆ หรือมนี ำ้ ผลไม้
100%
14. ค วามเข้มขน้ ของสารละลาย หมายถึง คา่ ท่ีแสดงปริมาณของตวั ละลายท่ีมอี ยู่ใน
ปรมิ าณของตัวทำละลายจำนวนหน่ึง หรอื ปริมาณของตัวละลายท่ีมีอยูใ่ นปรมิ าณของสารละลาย
จำนวนหนึง่
15. ความเขม้ ขน้ ของสารละลายนยิ มบอกเปน็ รอ้ ยละหรือสว่ นใน 100 สว่ น (pph)
เปน็ การบอกใหท้ ราบว่ามีตวั ละลายอยู่กห่ี น่วยในสารละลาย 100 หน่วย เชน่ รอ้ ยละโดยมวลตอ่ มวล
รอ้ ยละโดยมวลตอ่ ปริมาตรและรอ้ ยละโดยปรมิ าตรต่อปริมาตร
16. รอ้ ยละโดยมวลตอ่ มวล ใชบ้ อกความเขม้ ขน้ ของสารละลายที่เกิดจากสารทีเ่ ปน็
ของแข็งละลายอยู่ในตัวทำละลายท่ีเปน็ ของแข็ง เช่น เหรยี ญบาทประกอบด้วยทองแดงร้อยละ 75
และนิกเกลิ ร้อยละ 25 หมายความวา่ ในเหรียญบาทหนัก 100 กรัม มีทองแดง 75 กรัม ผสมอยกู่ บั
นิกเกิล 25 กรัม
17. ร้อยละโดยมวลต่อปริมาตร ใชบ้ อกความเขม้ ข้นของสารละลายที่เกิดจากสารที่
เป็นของแข็งละลายอยใู่ นตวั ทำละลายทเี่ ป็นของเหลว เช่น สารละลายโพแทสเซยี มเปอร์แมงกาเนต
เข้มขน้ ร้อยละ 20 โดยมวลตอ่ ปรมิ าตร หมายความว่า สารละลายโพแทสเซยี มเปอรแ์ มงกาเนต 100
ลกู บาศก์เซนติเมตร มีโพแทสเซยี มเปอร์แมงกาเนตละลายอยู่ 20 กรัม
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
380 ค่มู อื เตรยี มสอบ
18. รอ้ ยละโดยปริมาตรต่อปรมิ าตร ใชบ้ อกความเขม้ ขน้ ของสารละลายทเี่ กดิ จากสาร
ทเี่ ป็นของเหลวละลายอยใู่ นตัวทำลายทเี่ ปน็ ของเหลว และแกส๊ ละลายในแก๊ส เช่น สารละลายเอทา
นอลเขม้ ขน้ รอ้ ยละ 10 โดยปรมิ าตรตอ่ ปริมาตร หมายความว่า ในสารละลาย 100 ลกู บาศก์
เซนตเิ มตรมเี อทานนอลอยู่ 10 ลูกบาศก์เซนติเมตร
19. สารละลายท่ีมคี วามเขม้ ขน้ น้อย ๆ หรือสารละลายที่มตี ัวละลายอยู่น้อยนิยมบอก
ความเข้มขน้ เปน็ ส่วนในพันส่วน (ppt) ส่วนในลา้ นสว่ น (ppm) และสว่ นในพันลา้ นสว่ น (ppb)
20. ส่วนในพนั ส่วน(ppt) หมายถงึ ในสารละลาย 1,000 ส่วน มีตวั ละลายอยู่ 1 สว่ น
เช่น น้ำทใ่ี ชเ้ ลีย้ งปลาในบ่อมีปรมิ าณเกลือ 0.5 ppt หมายความว่า ในน้ำ 1,000 สว่ น มีเกลอื ละลาย
อยู่ 0.5 สว่ น
21. ประเภทของการละลาย การละลายของสารจะมีการเปลีย่ นแปลงพลงั งานซึง่ มีอยู่
2 แบบ คือ การละลายประเภทคายความรน้ และการละลายประเภทดูดความร้อน
22. การละลายประเภทคายความรอ้ น คือ การทสี่ ารเกดิ การละลายแล้วพลงั งาน
ขณะท่ีตัวละลายแยกตัวเปน็ อนภุ าคเล็ก ๆ มคี ่าน้อยกวา่ พลังงานขณะที่ตัวละลายยดึ เหน่ียวกบั ตวั ทำ
ละลาย การละลายประเภทนี้จะมกี ารปล่อยพลังงานออกมาทำสารละลายมีอณุ หภูมสิ งู ขึ้น
23. ตัวอย่างการละลายประเภทคายความร้อน เช่น การเตมิ แคลเซยี มคลอไรด์
โซเดยี มไฮดรอกไซด์ และจนุ สีสะตุลงในน้ำแลว้ ทำให้สารละลายมอี ณุ หภมู สิ ูงขนึ้ (สารละลาย
แคลเซียมคลอไรด์ เกดิ จากการละลายแคลเซยี มคลอไรดใ์ นน้ำ เมอ่ื ใชม้ ือจบั ขา้ งภาชนะท่ีบรรจุ
สารละลายจะพบว่าภาชนะน้ันร้อนขึน้ การที่ภาชนะร้อนเนื่องจากมีการปล่อยพลงั งานความร้อน
ออกมาขณะเกิดการละลาย
24. การละลายประเภทดูดความรอ้ น คือ การท่ีสารเกิดการละลายแล้วพลงั งานขณะท่ี
ตัวละลายแยกตัวเปน็ อนุภาคเลก็ ๆ มีคา่ มากกวา่ พลังงานขณะทีต่ วั ละลายยดึ เหน่ียวกับตัวทำละลาย
การละลายประเภทนี้จะมีการดูดพลงั งาน สารละลายจึงมอี ุณหภมู ิตำ่ ลง
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 381
25. ตวั อย่างการละลายประเภทดดู ความรอ้ น เชน่ การเติมแอมโมเนยี มไนเตรต
โซเดยี มไนเตรต โซเดยี มคลอไรด์ และแอมโมเนยี มคลอไรด์ลงในแม่น้ำแลว้ ทำใหส้ ารละลายมีอุณหภูมิ
ลดลง
26. ปัจจยั ที่มผี ลต่อการละลายของสาร
1) ชนดิ ของสารทเ่ี ป็นตวั ละลายและตวั ทำละลาย โดยสารตา่ งชนิดกันจะละลายในตวั ทำ
ละลายชนดิ เดยี วกนั ได้ไมเ่ ท่ากัน
2) อัตราส่วนระหว่างปริมาณของตัวละลายและตัวทำละลายท่ใี ช้ ถา้ ใชต้ ัวทำละลายมาก ตัว
ละลายจะละลายได้มาก ถา้ ใช้ตัวทำละลายน้อย ตวั ละลายจะละลายไดน้ อ้ ย
3) อณุ หภูมิ โดยทวั่ ไปการละลายของสารจะเพ่ิมขึ้นเม่ืออณุ หภมู สิ ูงข้ึนยกเว้นตัวละลายที่
เป็นแกส๊ จะละลายได้น้อยลงเมือ่ อุณหภูมสิ งู ข้ึน และสารแต่ละชนิดจะละลายไดด้ ีท่ีอุณหภมู ิต่างกัน
4) ความดนั บรรยากาศ มผี ลต่อตวั ละลายทม่ี ีสถานะเป็นแก๊สโดยที่ความดันสูงความสามารถ
ในการละลายของแก๊สจะดขี นึ้
27. การศกึ ษาการเปลีย่ นแปลงของสารในปฏกิ ิรยิ าเคมี จะต้องกำหนดขอบเขตของ
การศึกษาซ่ึงมีองค์ประกอบสำคัญ 2 สว่ น คอื
1) ระบบ (System)หมายถงึ สว่ นทอี่ ยูภ่ ายในขอบเขตของการศึกษาซงึ่ รวมท้ังก่อนการ
เปลย่ี นแปลงและหลังการเปลย่ี นแปลง
2) สิ่งแวดล้อม (Surrounding)หมายถึง สว่ นท่ีอยูน่ อกขอบเขตของการศึกษา หรือสว่ นที่
ไมเ่ ก่ียวข้องกับการเปลีย่ นแปลงในสง่ิ ทท่ี ำการศึกษา เช่น ภาชนะ อปุ กรณ์ หรือเครื่องมอื ทีใ่ ช้สำหรับ
ช่งั ตวง วดั เป็นต้น
28. การกำหนดว่าระบบจะประกอบดว้ ยสง่ิ ใดข้นึ อยู่กบั จดุ มุง่ หมายของการศกึ ษา
บางกรณีอาจจดั ใหภ้ าชนะหรืออากาศภายในภาชนะเปน็ สว่ นหนงึ่ ของระบบดว้ ยก็ได้ถ้าสง่ิ เหล่านน้ั มี
ผลต่อการเปล่ียนแปลงสมบัติของสาร เรยี กปจั จยั ทมี่ ีผลต่อสมบัติของระบบว่า ภาวะของระบบ
29. ระบบแบง่ เปน็ 2 ประเภท คือ
1) ระบบเปิด หมายถึง ระบบทีม่ ีการถ่ายเทมวลสารระหว่างสง่ิ แวดล้อมโดยเม่ือเกิดการ
เปล่ียนแปลงแล้วมวลของสารในระบบเปลย่ี นแปลงไป
2) ระบบปิด หมายถึง ระบบท่ีไม่มีการถ่ายเทมวลสารกับสิ่งแวดล้อมโดยเม่ือเกดิ การ
เปลย่ี นแปลงแล้วมวลของสารคงท่ี
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
382 ค่มู อื เตรยี มสอบ
30. การพิจารณาระบบว่าเป็นระบบเปดิ หรือระบบปดิ ต้องพิจารณาท่ีมวลของสาร
เป็นหลกั วา่ มกี ารเปล่ียนแปลงหรอื ไม่ ถา้ หากสารทำปฏิกิริยากนั แลว้ ไม่มแี กส๊ เกิดขึ้นและทำการ
ทดลองในภาชนะเปิดก็จัดว่าเป็นระบบปิด
31. สภาพละลายได้ หมายถงึ ปริมาณสูงสดุ ของตวั ละลายในสารละลายอมิ่ ตัว ณ
อณุ หภูมนิ ้นั
32. ประโยชนข์ องหลักการเกีย่ วกบั การละลายของสาร สามารถนำไปใชใ้ นการแยก
สารที่ผสมกนั และอยูใ่ นรูปสารละลายออกจากกันได้ เชน่ แยกสารท่ลี ะลายได้นอ้ ยลงที่อุณหภูมิตำ่
ออกจากสารละลายโดยอุณหภูมขิ องสารละลายลงจะทำให้ตวั ละลายส่วนหน่ึงแยกตัวออกมา
33. การแยกสารโดยใช้หลักการการละลายของสาร เชน่ สารผสมระหวา่ ง
โพแทสเซยี มไนเตรตและโซเดียมไนเตรต ถา้ ต้องการแยกสารผสมนอี้ อกจากกนั ก็ทำได้โดยนำของ
ผสมไปละลายในน้ำที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซยี ส สารท้งั สองชนิดจะละลายไดห้ มด แตเ่ มื่อลด
อุณหภูมิลงจนถึง 20 องศาเซลเซียส จะพบวา่ มโี พแทสเซียมไนเตรตสว่ นหนงึ่ แยกตวั ออกมา
34. ประเภทของสารละลาย จำแนกตามความเขม้ ขน้ ของสารละลายได้ 2 ประเภท คือ
1) สารละลายเขม้ ข้น หมายถึง สารละลายทมี่ ปี รมิ าณตวั ละลายอยมู่ ากเม่อื เทยี บกับปรมิ าณของตัว
ทำละลาย
2) สารละลายเจือจาง หมายถึง สารละลายที่มปี ริมาณตวั ละลายอยู่น้อยเมือ่ เทียบกบั ปริมาณของตัว
ทำละลาย
35. สารละลายอิ่มตัว หมายถงึ สารละลายทีม่ ตี ัวละลายละลายอยูม่ ากท่ีสุด ณ
อณุ หภูมินน้ั ในหนง่ึ หน่วยปริมาตรของตัวทำละลาย และถา้ เพม่ิ ตวั ละลายเข้าไปอกี เพยี งเล็กนอ้ ยกจ็ ะ
ไม่สามารถละลายไดอ้ ีกเว้นแตจ่ ะมกี ารเพ่ิมอุณหภูมิ
36. สารละลายไม่อม่ิ ตัว หมายถึง สารละลายทีม่ ีตวั ละลายละลายอยู่นอ้ ยกว่าทค่ี วรจะ
ละลายได้ในหนึง่ หน่วยปรมิ าตรของตวั ทำละลาย และถ้าเพ่ิมตัวละลายเข้าไปอีกกจ็ ะสามารถละลาย
ไดอ้ ีก
37. การตกผลึก เป็นกระบวนการที่ตัวละลายทเ่ี ป็นสารบรสิ ุทธ์ิแยกตัวออกจาก
สารละลายอมิ่ ตัวในรูปของของแขง็ ท่ีเรียกวา่ ผลึก โดยการทำให้สารละลายอ่มิ ตวั ที่อุณหภูมิสงู แล้ว
ปล่อยใหส้ ารละลายเยน็ ตวั ลง ตัวละลายก็จะตกผลกึ ออกมา
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 383
38. ผลกึ คอื สารบริสุทธทิ์ ปี่ ระกอบด้วยสารเพียงชนิดเดียว เป็นของแขง็ รปู รา่ งเฉพาะ
เป็นรูปทรงเรขาคณิต มีเหลยี่ ม มมี มุ และมีผิวหน้าเรียบ ผลกึ ของสารต่างชนิดกนั จะมีรูปร่างแตกตา่ ง
กนั เช่น
1) ผลึกเกลอื แกง มรี ูปร่างเป็นพีระมิดฐานส่เี หล่ียม 2 รูป ประกับกันข่นุ ขาว
2) ผลกึ สารส้ม มีรูปร่างเปน็ พีระมดิ ฐานส่ีเหล่ยี ม 2 รปู ประกบั กันใส แวววาว
3) ผลึกน้ำตาลทราย มีรูปรา่ งเป็นสี่เหล่ยี มลกู บาศก์ ใส แวววาว
39. กระบวนการเกิดผลกึ ท่เี กดิ ข้ึนในธรรมชาติ เช่น การเกิดผลกึ แร่ในหนิ อัคนี การเกดิ
ผลกึ เกลือในนาเกลอื
40. ประโยชน์จากผลกึ
1) ผลกึ นำ้ ตาลทราย ใชใ้ นครัวเรือน อุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น
2) ผลึกเกลือแกง ใช้ในครวั เรือน อตุ สาหกรรมเคมี เปน็ ต้น
3) ผลกึ สารสม้ ใช้ตกตะกอนนำ้ ประปา อุตสาหกรรมเสน้ ใย เปน็ ต้น
4) ผลกึ ซลิ ิคอน ใชท้ ำโซลาร์เซลล์ อุปกรณ์อเิ ล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
5) ผลึกเพชร ใชท้ ำเคร่ืองมือในการตัดวัสดุ
6) ผลกึ ควอตซ์ ใช้ทำสว่ นประกอบในนาฬิกา
ตวั อย่างแนวข้อสอบบทท่ี 2
1. ขอ้ ใดกล่าวไมถ่ ูกต้องเกย่ี วกับสารละลาย 5. วิธีทดสอบคอลลอยด์ท่เี ปน็ ของเหลวทส่ี ะดวก
ก. มีอัตราของสารผสมคงท่ี และดีท่ีสุด คือข้อใด
ข.เปน็ สารทมี่ องเห็นเป็นเน้อื เดียวกัน ก. ดดู ้วยตาเปลา่
ค.เป็นการรวมกันของสารต้ังแต่ 2 ชนดิ ข้ึนไป ข. เติมสารสม้ แลว้ ดูการตกตะกอน
ง.สามารถแยกส่วนประกอบไดโ้ ดยวธิ ีทาง ค. ฉายลำแสงผ่านแล้วดูการกระเจิงแสง
กายภาพ ง. กรองอนุภาคสารดว้ ยกระดาษกรองและเซล
2.สารชนดิ ใดทสี่ ามารถทำละลายไดใ้ นตัวทำ โลเฟน
ละลายต่างจากข้ออ่ืน 6. นำ้ อัดลมเป็นสารละลายทเี่ กดิ จากขอ้ ใด
ก. เกลอื แกง ก. ของเหลวละลายในแก๊ส
ข. น้ำมันพชื ข. แกส๊ ละลายในของเหลว
ค. นำ้ ตาลทราย ค. ของแขง็ ละลายในของเหลว
ง. สีผสมอาหาร ง. ของเหลวละลายในของเหลว
3. ข้อใดจัดเป็นสารละลาย 7. เมื่อใสส่ าร ก ลงไปในสาร ข แลว้ เขย่าทิ้งไว้
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
384 ค่มู อื เตรยี มสอบ
ก. อากาศ สักครูป่ รากฎว่าสาร ข หายไป ดังน้ันสาร ก คือ
ข. ทองคำ ก. ตัวถกู ละลาย
ค. น้ำสม้ สายชู ข. ตัวทำละลาย
ง. ซอส ค. สารละลาย
4. ข้อใดกลา่ วถกู ต้องเกยี่ วกบั สารละลายท่มี ี ง. ตัวหลอมละลาย
สว่ นประกอบ 2 ชนิด สถานะต่างกนั ผสมกนั
ก. สารทีม่ ปี ริมารมากวา่ จะเป็นตวั ทำละลาย
ข. สารที่มปี ระมาณนอ้ ยกว่าเป็นตวั ทำละลาย
ค. สารท่มี ีสถานะเดียวกับสารละลายจะเปน็ ตวั
ทำละลาย
ง. สารที่มีสถานะตา่ งกับสารละลายจะเปน็ ตัวทำ
ละลาย
บทที่ 3 สารละลายกรดและเบส
1. สารละลายจำแนกโดยอาศัยสมบัตกิ ารเปล่ียนสีของกระดาษลิตมสั เป็นเกณฑ์ได้
3 ประเภท คือ
1) สารทีม่ สี มบตั ิเปน็ กรด จะเปลี่ยนสกี ระดาษลิตมัสสนี ้ำเงินเป็นสีแดง
2) สารทีม่ สี มบัติเป็นเบส จะเปลยี่ นสีกระดาษลติ มัสสีแดงเป็นสีนำ้ เงิน
3) สารท่ีมีสมบตั เิ ปน็ กลาง ไม่เปลยี่ นสขี องกระดาษลติ มสั ทั้งสองสี
2. กรด (Acid) หมายถึง สารประกอบที่มีธาตุไฮโดรเจนเป็นองคป์ ระกอบเม่ือละลาย
นำ้ จะแตกตวั ให้ไฮโดรเจนไอออน ออกมา
3. กรดอ่อน หมายถึง สารทีล่ ะลายน้ำแล้วแตกตวั ใหไ้ ฮโดรเนยี มไอออนน้อย เชน่ กรด
แอซีติก กรดซติ ริก กรดไฮโดรซลั ฟวิ รกิ เปน็ ตน้
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 385
4. กรดแก่ หมายถึง สารท่ีละลายน้ำแลว้ แตกตัวให้ไฮโดรเนยี มไอออนมากหรอื แตกตัว
ได้หมด 100% เช่น กรดไฮโดรคลอรกิ กรดซลั ฟิวริก เปน็ ต้น
5. สมบัติทั่วไปของสารละลายกรด
1) มีรสเปรี้ยว
2) เปล่ยี นสกี ระดาษลิตมัสจากสนี ำ้ เงนิ เป็นสีแดง
3) ไมเ่ ปลย่ี นสขี องสารละลายฟีนอล์ฟทาลนี
4) นำไฟฟา้ ได้
5) ทำปฏิกริ ิยากับโลหะและสารประกอบคาร์บอเนตได้ฟองแกส๊ และมคี วามร้อนเกดิ ข้ึน และ
ทำใหโ้ ลหะและสารประกอบคาร์บอเนตผกุ ร่อน
6. กรดทำปฏิกริ ิยากบั โลหะทุกชนดิ ได้แก๊สไฮโดรเจน และทำให้โลหะผุกรอ่ น
7. โลหะทองคำไม่ทำปฏกิ ริ ิยากับกรดธรรมดา แต่จะทำปฏกิ ิริยากับกรดกดั ทอง
(กรดไนตรกิ เข้มขน้ 1 สว่ น ผสมกบั กรดไฮโดรคลอรกิ เขม้ ข้น 3 สว่ น) ดังปฏกิ ิริยา
Zn + 2HCI +
8. กรดทำปฏิกิริยากบั เกลด็ หนิ ปนู หรอื สารประกอบคารบ์ อเนต จะได้แกส๊
คาร์บอนไดออกไซด์ ดังปฏกิ ิริยา
+ ++
9. ภาชนะที่เกบ็ สารละลายกรดควรทำจากวัสดุท่ไี ม่ทำปฏกิ ริ ิยากบั กรด เช่น แก้ว
พลาสติกพวกพอลิเอทิลีน เป็นตน้
10. สารละลายกรด จำแนกตามแหล่งทม่ี าได้ 2 ประเภท คือ
1) กรดอนิ ทรีย์ ไดจ้ ากพืชหรือจากการสงั เคราะห์ข้ึนมา เช่น กรดแอซีตกิ กรดซติ รกิ
2) กรดอนนิ ทรยี ์ ไดจ้ ากธาตุ เชน่ กรดไฮโดรคลอรกิ กรดซัลฟิวริก ไซด์ไอออน
11. เบส (Base)หมายถึง สารประกอบท่ลี ะลายน้ำแลว้ แตกตวั ใหไ้ ฮดรอกไซด์ไอออน
12. เบสอ่อน หมายถึง สารท่ีละลายนำ้ แล้วแตกตัวให้ไฮดรอกไซด์ไอออนไดน้ ้อย เช่น
แอมโมเนยี
13. เบสแก่ หมายถงึ สารท่ีละลายนำ้ แล้วแตกตวั ใหไ้ ฮดรอกไซด์ไออนไดม้ ากหรือ
100% เช่น โพแทสเซยี มไฮดรอกไซด์
14. สมบัติทวั่ ไปของสารละลายเบส
1) มรี สฝาด ล่นื มือคล้ายสบู่
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
386 ค่มู อื เตรยี มสอบ
2) เปลยี่ นสกี ระดาษลิตมัสสีแดงเป็นสนี ำ้ เงนิ
3) เปลย่ี นสีสารละลายฟนี อลฟ์ ทาลนี จากไม่มีสเี ป็นสีชมพเู ข้ม
4) นำไฟฟ้าได้
5) ไม่ทำปฏิกริ ิยากับโลหะ ยกเว้นอะลูมเิ นียมและสังกะสี
6) ทำปฏิกริ ยิ ากบั เกลือแอมโมเนยี ได้แกส๊ แอมโมเนีย น้ำ และเกลือ
7) รวมกับกรดไดเ้ กลอื กบั นำ้ หรือเกลอื อย่างเดยี ว
15. โลหะบางชนดิ สามารถทำปฏิกริ ิยากับสารละลายเบสแล้วไดแ้ กส๊ ไฮโดรเจน เชน่
อะลูมิเนยี ม ดงั ปฏกิ ิรยิ า
++ +
16. การระบุความเปน็ กรด – เบสของสารละลาย ระบเุ ปน็ คา่ pHซงึ่ มีความสมั พันธ์
กบั ความเข้มข้นของไฮโดรเจนทีแ่ ตกตัวมาจากสารละลายกรด
17. สารละลายโดยท่ัวไปคา่ pH จะอยใู่ นช่วง 0-14
1) สารละลายทมี่ ี pH ตำ่ กวา่ 7 มีสมบตั ิเป็นกรด
2) สารละลายที่มีค่า pH มากกว่า 7 มสี มบตั ิเปน็ เบส
3) สารละลายทม่ี ีคา่ pH เท่ากบั 7 มสี มบัตเิ ปน็ กลาง
18. ความสัมพนั ธ์ระหว่างความเข้มขน้ ของสารละลายกับปริมาณความเข้มข้นของ
ไฮโดรเนียมไอออน และคา่ pH
1) สารละลายกรดทีม่ ีความเข้มข้นมาก จะมีความเข้มขน้ ของไฮโดรเนียมไอออนมาก คา่ pH
นอ้ ย
2) สารละลายเบสทมี่ ีความเข้มข้นมาก จะมีความเข้มข้นของไฮโดรเนยี มไอออนนอ้ ย ค่า pH
สูง
19. การวดั ค่าความเป็นกรด – เบสของสารละลาย วดั ไดโ้ ดยใชอ้ ินดเิ คเตอร์สำหรบั
กรด-เบส และใช้มาตรความเปน็ กรดและเบสหรือเครื่องพีเอชมิเตอร์ (pH meter)
20. อินดิเคเตอร์(Indicator) เป็นสารอนิ ทรีย์ประเภทหนึง่ เมื่ออยใู่ นสารละลายทมี่ ี
ความเป็นกรด-เบสตา่ งกัน สขี องอนิ ดเิ คเตอรจ์ ะเปลี่ยนไปได้ และมผี ลทำให้สขี องสารละลาย
เปลยี่ นไปดว้ ย
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 387
21. อนิ ดเิ คเตอรม์ หี ลายชนดิ เชน่ เมทลิ ออเรนจ์เมทลิ เรด ลติ มัส บรอมไทมอลบลู
ฟนี อลเรดฟีนอล์ฟทาลนี เป็นต้น
22. อินดเิ คเตอรแ์ ตล่ ะชนิดจะเปลย่ี นสที ี่ pHช่วงใดชว่ งหนึง่ เท่านัน้ และอินดิเคเตอร์
แตล่ ะชนดิ จะเปล่ยี นสีที่ pH ต่าง ๆ กัน การใช้อินดิเคเตอร์เพยี งชนิดเดยี วตรวจสอบความเป็นกรด-
เบสของสารละลายจึงบอกค่าได้เป็นช่วงของ pH เทา่ นนั้
23. การใช้อินดเิ คเตอรบ์ อกค่า pH ของสารละลาย ทำได้โดยสงั เกตสที เี่ กดิ ขึ้นเมื่อ
เตมิ อนิ ดิเคเตอร์ลงในสารละลาย แล้วเปรียบเทยี บกับสีหรอื ชว่ งเปล่ยี นสีที่เปน็ มาตรฐาน
24. ยูนเิ วอร์ซัลอินดิเคเตอร์(Universal Indicator)เป็นอินดิเคเตอร์ที่เตรยี มไดจ้ าก
การนำเอาอนิ ดเิ คเตอรห์ ลาย ๆ ชนดิ ทีไ่ ม่ทำปฏกิ ริ ยิ ากนั มาผสมกันในอัตราสว่ นท่เี หมาะสม ยูนิเวอร์
ซลั อนิ ดิเคเตอร์มีท้งั ในรูปสารละลายและกระดาษ เมื่อนำมาวัดค่า pH โดยเทียบสีทเ่ี ปลย่ี นกับสี
มาตรฐาน ค่า pH ของสารละลายท่ีวัดได้จะมชี ่วงทแ่ี คบขึ้น
25. พเี อชมิเตอร์ (pH Meter)เป็นเคร่อื งมือที่ใชว้ ัดคา่ pH ของสารละลายโดยบอก
ค่า pH เปน็ ตัวเลขทีห่ นา้ ปัด ค่าที่ไดจ้ งึ มีความละเอยี ดและใกล้เคยี งความจรงิ มากที่สดุ
26. ความกว้างของช่วง pHมีความสัมพนั ธก์ ับชนดิ ของสาร เช่น น้ำปสั สาวะมี
ช่วงกวา้ งของ pH ต้ังแต่ 5.5 – 7.0 ซ่งึ อาจมสี าเหตุมาจากอาหารหรือยาท่ีกิน เช่น กินอาหารทมี่ ี
สภาพเปน็ กรด (น้ำส้ม น้ำอดั ลม นำ้ มะนาว กาแฟ) หรือยาแก้ปวดพวกแอสไพริน วติ ามินซี ก็จะทำ
ใหป้ สั สาวะมี pH เป็นกรดได้ แต่ถ้ากนิ อาหารทเ่ี ปน็ เบส (ไข่แดง ผักกระถนิ สะตอ) ก็จะทำให้
ปัสสาวะเปน็ เบสได้
27. การเติมสารละลายที่มีสมบตั ิตรงกนั ข้ามจะทำให้ความเป็นกรด-เบสของ
สารละลายเปลีย่ นแปลง ถ้าสารละลายทีเ่ ตรียมไว้มคี วามเข้มข้นแนน่ อน การผสมสารละลายกรดและ
สารละลายเบสทม่ี ีความเขม้ ข้นเทา่ กันและมีปรมิ าตรเทา่ กนั จะไดส้ ารละลายที่เป็นกลางพอดี
28. ยาลดกรดทุกชนิดมีสมบัตเิ ป็นเบส ทำใหล้ ดความเปน็ กรดในกระเพาะอาหารได้
และยาลดกรดทดี่ จี ะต้องทำให้ pH ของสารละลายเปน็ กลาง
29. สารทำความสะอาดส่วนใหญ่มสี มบัตเิ ปน็ เบส แตม่ ี pH ไม่เกิน 8
30. สารทำความสะอาดสว่ นใหญม่ สี ารลดความตงึ ผิวประเภทแอนไอออนกิ (Anioic
Surfactant) ซ่งึ พบในแชมพูและครีมลา้ งหน้า สว่ นสารทำความสะอาดในสบ่จู ะเปน็ โซเดียมสเตีย
เรต(Sodium Stearate)
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
388 ค่มู อื เตรยี มสอบ
31. ฝนกรด มคี ่า pH น้อยกวา่ 5.6 เกิดจากนำ้ ฝนรวมตัวกบั แกส๊ บางชนดิ ในอากาศ
เชน่ แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ซลั เฟอร์ไดออกไซด์ ทำให้เกิดสารละลายท่ีมสี มบตั ิเป็นกรด สว่ นใหญ่
เกิดข้นึ ในเขตอตุ สาหกรรมทีม่ ีโรงงานปล่อยแก๊สเหล่าน้ีออกสูบ่ รรยากาศ
32. ผลกระทบของฝนกรดตอ่ สภาพแวดล้อม คือ ฝนกรดจะกัดกร่อนสงิ่ กอ่ สรา้ งทท่ี ำ
จากหนิ อ่อน หนิ ปูน หรอื โลหะชนิดตา่ ง ๆ ทำให้เกิดการสกึ กรอ่ น ผุเร็วกวา่ ที่ควร ทำลายสาร
คลอโรฟลิ ลท์ ี่อยูใ่ นใบไม้ ถ้าฝนกรดสะสมในแหล่งน้ำมาก ๆ จะทำใหส้ ัตว์นำ้ ตาย และถา้ สะสมอยใู่ น
ดินจะทำใหด้ นิ มีสมบัติเปน็ กรดไม่เหมาะต่อการเจริญของพืช
33. วธิ ปี ฐมพยาบาลเบือ้ งตน้ เม่ือสารเคมถี กู ผวิ หนัง คือใหล้ า้ งบริเวณน้นั ดว้ ยนำ้ มาก
ๆ ทนั ที โดยให้น้ำไหลผ่านอย่างน้อย 20 นาที
1) ถ้าสารเป็นกรดใหล้ า้ งตามด้วยเบสออ่ น เช่น สารละลายโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต
เข้มข้น 10% แล้วทาด้วยครีมแมกนีเซียกลีเซอรอล(Magnesia Glyceral paste)
2) ถา้ สารเปน็ เบสให้ลา้ งตามด้วยสารละลายกรดอ่อน เช่น ละลายกรดแอซตี ิก เข้มข้น 10%
แลว้ ทาด้วยครีมแมกนเี ซียกลีเซอรอล
34. ถ้ากรดหรือเบสเขา้ ตา ใหร้ ีบล้างตาดว้ ยน้ำปริมาณมาก ๆ ทนั ที และกลอกตา
ในน้ำประมาณ 30 นาที
35. ถา้ กรดหรอื เบสเข้าปากใหบ้ ้วนทง้ิ ทันทีแล้วใช้นำ้ บ้วนปากหลาย ๆ ครงั้
36. ถ้ากลืนกรดหรอื เบส ใหด้ ่ืมน้ำตามเข้าไปมาก ๆ แล้วจึงด่มื สารที่ทำใหส้ ะเทิน แต่
อยา่ ใช้สารทีท่ ำให้อาเจยี น ดังนี้
1) ถา้ สารเปน็ กรด ใหด้ ม่ื นมผสมแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์
2) ถ้าสารเป็นเบส ให้ดมื่ น้ำมะนาว
37. เครื่องหมายอันตราย เปน็ เครื่องหมายท่ีแสดงความเปน็ อันตรายของสารเคมี เป็น
ระบบมาตรฐานที่กำหนดโดยองค์การสหประชาชาติ เพื่อให้ทั่วโลกจดั กลมุ่ สารเคมี โดยคำนงึ ถึง
อนั ตรายด้านกายภาพ ดา้ นสุขภาพและด้านส่งิ แวดล้อม ตัวอยา่ งแนวข้อสอบบทที่ 3
1. สารในข้อใดมีสมบัติความเปน็ กรด-เบส 6. ถา้ สารชนิดหน่งึ มสี มบตั เิ ป็นกลาง จะมีคา่ pH
แตกต่างจากข้ออื่น เท่าไร
ก.แอซตี ิก ก. นอ้ ยกวา่ 7
ข.ซัลฟิวริก ข. มากกวา่ 7
ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 389
ค.ไฮโดรคลอริก ค. เท่ากบั 7
ง. โซเดยี มไฮดรอกไซด์ ง. ระหว่าง 5-6
2.สารละลายใดมคี วามเปน็ กรดมากทส่ี ุด 7. ระดับความเป็นกรดเพ่ิมขึ้นคา่ pHจะมีค่า
ก. สารละลายกรดไฮโดรคลอริกเขม้ ขน้ 10-5โมล/ เพิ่มข้ึนด้วย
ลิตร ก.ใช่ เนื่องจากระดับความเป็นกรดแปรผัน
ข. สารละลายกรดไฮโดรเนยี มไอออน 10-2โมล/ ตรงกนั กับคา่ pH
ลติ ร ข.ใช่ เนอ่ื งจากระดับความเปน็ กรดแปรผกผัน
ค. สารละลาย pH 3 ตรงกันกบั คา่ pH
ง. สารละลาย pH 4 ค.ไมใ่ ช่ เนอ่ื งจากระดบั ความเปน็ กรดกับคา่
3. ขอ้ ใดต่อไปน้ีเป็นสมบัตขิ องกรด pH คงที่
ก. มรี สเปรีย้ ว ง.ไม่ใช่ เน่ืองจากระดบั ความเป็นกรดแปรผกผนั
ข. ทำปฏกิ ริ ยิ ากบั หนิ ปนู เกดิ ก๊าซ ตรงกันกบั คา่ pH
คาร์บอนไดออกไซด์ 8. เมื่อนำผงซักฟอกมาละลายมาละลายในนำ้
ค. ทำปฏิกิรยิ ากับโลหะเกดิ กา๊ ซไฮโดรเจน แล้วนำไปทดสอบดว้ ยกระดาษลิตมสั จะได้ผล
ง. ถูกทุกข้อ เหมอื นกับการทดสอบสารใด
4. เมอ่ื หยดสารละลายชนิดหนง่ึ ปรากฏว่าเปลย่ี น ก. เกลอื แกงข. น้ำเชอื่ ม
สกี ระดาษลติ มสั จากสีนำเงนิ เป็นสแี ดง ค. น้ำปนู ใส ง. นำ้ อัดลม
สารละลายมีสมบตั ิอย่างไร 9. ขอ้ ใดคือผลิตภณั ฑ์ทไ่ี ด้จากการผสมระหวา่ ง
ก. กรด กรดกับโลหะ
ข. เบส ก. โลหะ ข. กรดแก่
ค. กลาง ค. เกลือ ง. เกลือ แกส๊ น้ำ
ง. ขอ้ มูลไม่เพยี งพอ 10. เมอื่ เกิดปฏกิ ริ ยิ าการสะเทินระหวา่ งกรดกับ
5. การทำปฏกิ ิรยิ าของเบสกันสารใดทเ่ี กิดสาร เบสจะเกดิ สารในขอ้ ใด
คล้ายสบู่ ก. เกลอื กับแกส๊
ก. เบสกบั แอมโมเนยี มไนเตรต ข. เกลือ กบั น้ำ
ข. เบสกบั นำ้ มันพืชหรือไขมนั สตั ว์ ค. เบสกับ น้ำ
ค. เบสกับกรดเกลอื ง. แก๊ส
ง. เบสกบั ชน้ิ อะลมู ิเนียม
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
390 คมู่ อื เตรยี มสอบ
บทที่ 4 การจำแนกสาร
1. การแยกสารผสมออกจากกนั เพ่อื ให้สารบรสิ ทุ ธม์ิ หี ลายวธิ ีขน้ึ อย่กู ับสมบัติ
เฉพาะตวั ของสาร และชนิดของสารทผ่ี สมกัน
2. การแยกสารเน้ือผสม สามารถแยกออกจากกนั ไดง้ า่ ย ๆ โดยวิธีทางกายภาพ
สารท่แี ยกได้จะมีสมบัติเหมือนเดมิ การแยกสารโดยวิธนี ี้ เช่น การกรอง การใช้อำนาจแมเ่ หลก็ การ
ใช้มือหยบิ ออก การร่อนดว้ ยตะแกรง การใชก้ รวยแยก และการระเหิด เปน็ ตน้
3. การแยกสารเน้อื เดยี ว ทำได้โดยวิธกี ารระเหยแหง้ การสกดั ดว้ ยตวั ทำละลาย
การกล่ัน และโครมาโทกราฟี
4. การกรอง เป็นวิธีการแยกสารท่ีมขี นาดอนุภาคไม่เท่ากันออกจากกันหรือแยก
สารเนอ้ื ผสมที่ไม่ละลายในน้ำอออกจากน้ำหรือของเหลว เชน่ การกรองกากมะพร้าวออกจากนำ้ กะทิ
การกรองสารแขวนลอยออกจากนำ้ เปน็ ตน้ การกรองสารจะต้องเลอื กวสั ดุสำหรับกรองใหเ้ หมาะสม
วัสดกุ รอง เช่น สำลี กระดาษกรอง ผา้ ขาวบาง เป็นต้น
5. การใช้มอื หยบิ หรอื วธิ เี ขยี่ เป็นวิธีการแยกของผสมทเี่ ปน็ ของแข็งและมีขนาดโต
มองเหน็ ได้ชัดเจนออกจากกนั เช่น การหยิบเมลด็ ขา้ วเปลอื กออกจากข้าวสาร
6. การใชอ้ ำนาจแม่เหลก็ เปน็ วิธีการใช้สมบัตคิ วามเปน็ แม่เหลก็ แยกสารที่ถกู
แมเ่ หล็กดดู ไดอ้ อกจากสารท่ีไมถ่ กู แม่เหล็กดูด เช่น ใชแ้ ม่เหลก็ แยกผงตะไบเหล็กออกจากทราย
7. การใชก้ รวยแยก เปน็ วิธีการแยกของเหลวสองชนิดที่ไมล่ ะลายซงึ่ กันและกนั
ออกจากกนั และของเหลวจะแยกกันเปน็ ช้ัน เชน่ น้ำมนั กับน้ำ เป็นต้น
8. การระเหดิ เปน็ วิธกี ารแยกสารทร่ี ะเหดิ ได้ออกจากสารท่ีไม่ระเหิด สารที่เกิดการ
ระเหิดได้ เชน่ ลูกเหมน็ (เนพทาลีน) การบรู พเิ สน ไอโอดีน เป็นตน้
9. การรอ่ น เปน็ วิธีการแยกสารทเ่ี ปน็ ของแข็งและมขี นาดต่างกนั ออกจากกนั เช่น
ทรายทม่ี ีเม็ดเลก็ และเมด็ ใหญ่ผสมกนั การร่อนจะต้องเลอื กอุปกรณ์ท่ีใชใ้ นการร่อนที่มขี นาดรูเล็ก
พอเหมาะกบั ขนาดของสารผสม เชน่ ตะแกรง
10. การละลายน้ำ เปน็ วิธกี ารแยกสารทีไ่ ม่ละลายนำ้ ออกจากสารทีล่ ะลายนำ้ เชน่
ทรายปนกบั เกลือแกง
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 391
11. การตกตะกอน เป็นวิธกี ารแยกสารทเี่ ป็นของเหลวมีลักษณะขนุ่ และมีของแข็ง
แขวนลอยอยู่ในของเหลวออก เช่น นำ้ คลอง น้ำอบไทย เม่ือตั้งทงิ้ ไวน้ ิ่ง ๆ ประมาณ 1-2 ชว่ั โมง จะ
เห็นของแขง็ ตกตะกอนอยู่ในก้นภาชนะและของเหลวมีลักษณะใส
12. การระเหยแหง้ เปน็ วธิ กี ารแยกสารผสมที่เปน็ สานเนอ้ื เดยี วซึ่งมขี องแขง็ ละลาย
อยู่ในของเหลวออกจากกัน โดยการใชค้ วามร้อนทำให้ของเหลวระเหยกลายเป็นไอจนเหลอื ของแข็ง
ตกค้างอยู่ เชน่ การทำนาเกลือจากน้ำทะเล เปน็ ต้น
13. การสกัดด้วยตัวทำละลาย เป็นวธิ ีการแยกสารท่ีอาศยั หลักการเก่ยี วกบั การ
ละลายของสารซ่ึงสารแตล่ ะชนดิ จะละลายไดใ้ นตัวทำละลายตา่ งกนั สารบางชนดิ มจี ุดเดอื ดตำ่ ระเหย
กลายเป็นไอได้ง่ายและไมล่ ะลายน้ำ จึงใชไ้ อนำ้ ร้อนชว่ ยในการแยกสารได้
14. ตัวทำละลาย ควรมสี มบตั ดิ ังนี้
1) สามารถละลายสารท่ีต้องการสกดั ได้
2) ไม่ละลายสารอนื่ ๆ ที่ไมต่ ้องการสกัด
3) ไม่ทำปฏกิ ริ ิยากบั สารทีต่ ้องการสกัด
4) สามารถแยกออกจากสารทตี่ อ้ งการสกัดไดง้ ่าย
5) ไมเ่ ป็นพิษและมีราคาถูก
15. หลกั การสกัดสาร คือ เลอื กตัวทำละลายใหเ้ หมาะสมกับสารทต่ี อ้ งการแยก เติม
ตัวทำละลายลงในสารทตี่ ้องการสกัด แล้วเขยา่ แรง ๆ หรอื นำไปต้ม เพื่อให้สารทต่ี อ้ งการจะสกดั
ละลายในตัวทำละลายท่เี ลือกไว้ สารท่สี กดั ไดน้ ้ันยังเปน็ สารละลายอยู่ ถา้ ต้องการทำใหบ้ ริสุทธิ์ควร
จะนำสารที่ไดไ้ ปแยกตวั ทำละลายออกก่อน อาจจะนำไประเหย หรอื นำไปกลนั่ ต่อไป เช่น การสกัด
นำ้ ขิงจากขงิ การสกัดคลอโรฟิลล์ของใบไม้
16. ปจั จุบันนยิ มสกดั สารจากพืชเพ่ือใชเ้ ปน็ เคร่ืองดม่ื โดยใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย
ออกมา เชน่ นำ้ ใบเตย น้ำขงิ นอกจากนย้ี งั มีการใชเ้ ฮกเซนในการสกัดนำ้ มันออกจากสว่ นต่าง ๆ ของ
พืช เชน่ นำ้ มนั ปาลม์ นำ้ มันข้าวโพด นำ้ มนั ถ่ัวเหลอื ง เป็นต้น
17. ชนิดและปรมิ าณสารทส่ี กัดได้ ข้นึ อยกู่ ับชนดิ ปริมาณ และส่วนต่าง ๆ ของพชื
ทน่ี ำมาใช้ รวมทั้งชนดิ และปริมาณของตวั ทำละลาย
18. การสกัดสารโดยใชเ้ ครื่องสำเรจ็ ซอกหเ์ ลต (Soxhlet Extraction
Apparatus) เปน็ วธิ ีการสกัดสารท่ใี ชต้ ัวทำละลายในปริมาณนอ้ ย เนื่องจากตวั ทำละลายทใี่ ช้สกดั
สารแลว้ จะถูกทำให้ระเหย และควบแน่นกลยั มาใช้สกดั สารไดอ้ ีกเป็นลักษณะหมุนเวียน
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
392 ค่มู อื เตรยี มสอบ
19. หลกั การของเคร่ืองสำเร็จซอกหเ์ ลต คือ ตัวทำละลายทใี่ ส่ลงไปในเคร่ืองมือจะ
หมุนเวียนผา่ นสารทต่ี อ้ งการสกัดหลาย ๆ ครง้ั จนกระท่ังสารทต่ี อ้ งการสกัดออกมามปี ริมาณเขม้ ขน้
มากพอ สว่ นตวั ทำละลายที่ใชส้ กัดแล้วนน้ั จะถูกทำให้ระเหยแล้วควบแน่นกลบั มาใชไ้ ดอ้ ีก
20. การสกดั โดยการกลั่นดว้ ยไอน้ำ เป็นการสกดั สารโดยอาศัยไอน้ำใหท้ ำหน้าที่เปน็
ตวั ทำละลายสารที่ต้องการจะแยกออกมาใชแ้ ยกสารท่ีระเหยงา่ ย ไมล่ ะลายน้ำ และไม่ทำปฏกิ ริ ิยากบั
นำ้ ส่วนใหญก่ ารกลั่นด้วยไอน้ำมกั จะใช้สกัดสารอนิ ทรยี อ์ อกจากสว่ นต่าง ๆ ของพชื ท่ีอยู่ตาม
ธรรมชาติ เช่น การแยกสารหอมระเหยออกจากผวิ มะกรดู การสกัดแยกน้ำมันหอมระเหยจากใบกระ
เพรา การแยกนำ้ มนั หอมระเหยจากดอกกุหลาบเป็นต้น
21. หลักการสกัดสารโดยการกล่ันดว้ ยไอน้ำ คือ ให้ความร้อนแกน่ ้ำจนน้ำระเหย
กลายเป็นไอไอน้ำจะผา่ นไปยังสารท่ีต้องการแยกและสกดั สารที่ต้องการแยก ซึง่ เปน็ สารที่ระเหยง่าย
ออกมา เมื่อไอของนำ้ กบั น้ำมันหอมระเหยผา่ นเครื่องควบแน่นจะกล่นั ตัวกลายเปน็ ของเหลวสองชน้ั
ไม่รวมตัวกันเปน็ เนื้อเดยี ว จากนัน้ จึงแยกสารที่สกดั ไดแ้ ละนำ้ ออกจากกันด้วยวิธกี ารทเ่ี หมาะสม
ตอ่ ไป
22. การกลัน่ (Distillation)เป็นวิธกี ารแยกสารผสมเนอื้ เดียวที่เป็นของเหลวที่
ประกอบดว้ ยสารต่างชนดิ ออกจากกัน โดยอาศัยหลกั การคือทำให้ของเหลวเดอื ดกลายเป็นไอ แลว้
ทำใหไ้ อน้ำควบแน่นกลายเป็นของเหลวของเหลวท่มี จี ุดเดือดต่ำกวา่ จะเดือนกลายเป็นไอและแยกตัว
อออกมาก่อนของเหลวท่มี ีจดุ เดอื ดสงู
23. การกลั่นแบบธรรมดา เป็นวิธกี ารแยกสารองค์ประกอบออกจากสารละลาย โดย
ตวั ละลายและตัวทำละลายจะต้องมจี ุดเดือดทีแ่ ตกตา่ งกันมากประมาณ 80 องศาเซลเซยี ส เชน่
น้ำเกลอื น้ำเช่ือม น้ำผสมเอทิลอีเทอร์ เปน็ ต้น
24. การแยกน้ำออกจากนำ้ เกลือ ทำได้โดยให้ความร้อนแก่น้ำเกลือ น้ำมจี ดุ เดือด
เพียง 100 องศาเซลเซยี ส จะเดอื ดกลายเปน็ ไอนำ้ ออกมาก่อนเม่ือไอน้ำผา่ นเคร่ืองควบแนน่ ก็จะ
ควบแน่นกลั่นตัวกลายเปน็ น้ำบริสุทธ์ิแยกตวั ออกมา และจะเหลอื เพียงเกลือที่มจี ดุ เดอื นสูงถึง 1,413
องศาเซลเซียสอยใู่ นขวดกลั่น
25. การกลั่นลำดบั ส่วน คือ กระบวนการแยกสารที่มจี ุดเดอื ดแตกตา่ งกันน้อยกวา่ 80
องศาเซลเซียส ออกจากกนั เป็นส่วน ๆ โดยการกล่ันซ้ำหลาย ๆ คร้งั สารท่ีมีจดุ เดือดสงู จะควบแน่น
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 393
กอ่ น และสารทม่ี ีจุดเดือดต่ำจะควบแนน่ หลังตามลำดบั พวกทม่ี จี ดุ เดือดต่ำท่สี ุดจะควบแนน่ ใน
ตอนบนสดของลำกระบอกลำดับสว่ น
26. หลักการของการกลน่ั ลำดับส่วน คอื ให้ความร้อนแกข่ องเหลวใหร้ ะเหย
กลายเป็นไอทงั้ หมด เมอ่ื ของเหลวกลายเป็นไอ ไอจะผา่ นลำกระบอกลำดับสว่ น (Fractionating
Column) ซึง่ ภายในมีลักษณะเปน็ ช้ัน ๆ หรือบรรจุ ลูกแก้วเพอ่ื เพมิ่ พน้ื ท่ีผวิ สมั ผัสกับไอ สารท่มี จี ุด
เดือดสูงจะควบแนน่ ตกลงมาก่อน สว่ นสารทีม่ ีจุดเดือดตำ่ จะควบแน่นภายหลงั
27. การแยกเอทานอลออกจากน้ำ โดยการกลน่ั ลำดับส่วนทำไดโ้ ดยให้ความร้อน
จนถงึ อุณหภูมิหน่งึ ซง่ึ เปน็ จดุ เดอื ดของเอทานอลกจ็ ะเดือดกลายเป็นไอ ขณะเดยี วกันน้ำซึ่งมีจดุ เดอื ด
ใกลเ้ คยี งกบั เอทานอลก็จะเดือดกลายเปน็ ไอลอยขึ้นไปยงั ลำกระบอกลำดับส่วน แลว้ ไอของนำ้ ท่ีมีจุด
เดือดสงู กวา่ จะควบแน่นในลำกระบอกลำดับส่วนเป็นของเหลวตกลงสขู่ วดกลั่นใหมส่ ว่ นไอของเอทา
นอลท่มี ีจุดเดือดตำ่ กวา่ จะลอยขน้ึ ขา้ งบนผ่านลำกระบอกลำดับส่วนเข้าสู่เครอ่ื งควบแนน่ กล่ันตัวเปน็
ของเหลวแยกออกมา
28. การกล่นั นำ้ มันดิบ ใช้หลกั การกล่ันลำดับส่วนโดยใช้ความร้อนสูงประมาณ 300-
500 องศาเซลเซยี ส ทำใหส้ ารผสมสว่ นใหญก่ ลายเปน็ ไอปนอยใู่ นหอกลั่น จากนนั้ จงึ ค่อยลดอุณหภมู ิ
ลงให้ไอสารท่ีมีจุดเดือดตา่ งกันเหล่าน้ันควบแนน่ เปน็ ของเหลวตามลำดบั ซงึ่ อุณหภมู ิสูงจะควบแน่น
ออกมากอ่ น
29. โครมาโทกราฟี(Chromatography) เปน็ วธิ ีการแยกสารที่ผสมกันอยู่ใน
ปริมาณน้อยออกจากกนั หรือใชว้ ิเคราะห์สาร เปน็ แถบเสน้ สีหรือแถบสีโดยอาศยั สมบตั ิ 2 ประการ
คือ
1) สารต่างชนิดกันมีความสามารถในการละลายในตวั ทำละลายได้ตา่ งกนั
2) สารตา่ งชนิดกนั มีความสามารถในการถูกดูดซบั ดว้ ยตัวดดู ซบั ได้ต่างกัน
30. ตวั กลางในวิธีโครมาโทกราฟี มี 2 ชนดิ คือ
1) ตัวกลางทเี่ คลอ่ื นที่ จะทำหน้าทีช่ ะเอาสารผสมออกจากตัวกลางทไ่ี ม่เคล่ือนที่ใหเ้ คลื่อนท่ี
ไปดว้ ย สารทใี่ ชเ้ ปน็ ตวั กลางที่เคล่ือนท่ีได้แก่ พวกตวั ทำละลาย เชน่ ปิโตรเลยี มอเี ทอร์ เฮกเซน
คลอโรฟอร์ม เบนซนี เป็นตน้
2) ตวั กลางท่ีไมเ่ คล่ือนที่ จะทำหนา้ ที่ดดู ซบั สารผสมด้วยแรงไฟฟ้าสถิต สารท่ีใช้ทำตวั กลางท่ี
ไมเ่ คลื่อนทจ่ี ึงมีลักษณะเป็นผงละเอยี ดมพี น้ื ท่ผี ิวมาก เชน่ อะลูมินา ( ซิลิกาเจล (
หรอื อาจจะใชว้ ัสดทุ ส่ี ามารถดูดซับไดด้ ี เช่น แท่งชอลก์ กระดาษกรอง กระดาษซบั กระดาษสา
31. หลักการของโครมาโทกราฟี คอื
ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
394 ค่มู อื เตรยี มสอบ
1) สารที่แยกออกมาจากสารผสมไดก้ ่อนจะมคี วามสามารถละลายได้ดีในตัวทำละลายที่ใช้
แตถ่ กู ดูดซบั ดว้ ยตวั ดดู ซบั ไดน้ ้อยจึงสามารถเคลื่อนที่ไปได้ไกล
2) สารทแ่ี ยกออกมาจากสารผสมไดท้ ีหลังจะมีความสามารถในการละลายในตวั ทำละลายที่
ใช้ได้น้อย แต่ถกู ดูดซับดว้ ยตัวดดู ซับได้มากจงึ สามารถเคลื่อนที่ไปไดไ้ ม่ไกล
3) ถ้าสารท่ีแยกออกมามหี ลายสมี องเห็นเปน็ ช่วง ๆ หลายช่วงแสดงว่าสารท่ใี ช้ในการทดลอง
มีองค์ประกอบอย่างน้อยเท่ากับสิ่งทแี่ ยกไดห้ รือมากกวา่
4) ถา้ สารที่แยกออกมามสี เี ดยี วจะยังสรปุ ไม่ได้ว่าสารทใี่ ชใ้ นการทดลองน้ันเปน็ สารบรสิ ทุ ธิ์
หรอื มอี งคป์ ระกอบเพียงหน่งึ ชนดิ เนอ่ื งจากอาจจะมีสารอน่ื ปนอยู่ดว้ ยแต่สารนน้ั แยกโดยวิธีน้ไี ม่ได้
หรอื อาจใชต้ ัวทำละลายไมเ่ หมาะสมในการแยก
32. การเลือกตวั ทำละลายและตัวดูดซบั
1) ตวั ทำละลายและสารที่ต้องการแยกจะต้องมีการละลายไม่เทา่ กนั
2) ควรเลอื กตัวดูดซบั ที่มีการดดู ซบั สารได้ไม่เท่ากัน
3) ถา้ ต้องการแยกสารท่ผี สมกนั หลายชนดิ อาจตอ้ งใชต้ ัวทำละลายหลายชนิด หรอื ใช้ตัวทำ
ละลายผสม
33. โครมาโทกราฟีกระดาษ (Paper Chromatography)ใช้กระดาษโครมาโทก
ราฟี เชน่ กระดาษกรองหรือกระดาษซบั เป็นตวั ดดู ซบั โดยตัดให้เป็นแผน่ สี่เหลีย่ มผืนผา้ จากนั้นหยด
สารละลายทต่ี ้องการแยกลงบนด้านหน่งึ ของกระดาษห่างจากปลายประมาณ 1.5 เซนติเมตร รอจน
สารแห้ง แล้วนำกระดาษนี้จมุ่ ลงในขวดแก้วทรงสูงซ่งึ บรรจุตวั ทำละลายไว้ตัวทำละลายจะซมึ ผ่าน
สารตัวอย่างทแ่ี ตะไว้บนกระดาษโครมาโทกราฟแี ละจะละลายสารตวั อยา่ งพร้อมกับพาสารเหล่าน้นั
เคล่อื นท่ีไปขา้ งบนดว้ ยแตเ่ นื่องจากสารแต่ละชนิดละลายในตัวทำละลายได้ไมเ่ ทา่ กัน และถูกดูดซบั
ดว้ ยกระดาษโคมาโทกราฟีไดไ้ ม่เทา่ กนั การเคลื่อนท่ีไปพร้อมกับตัวทำละลายจงึ ไมเ่ ทา่ กนั ดงั น้ัน
ตำแหนง่ ของสารทส่ี ปี รากฏอยู่บนกระดาษจงึ ไม่เท่ากัน
34. วิธแี ยกสารสที ป่ี รากฏบนกระดาษโครมาโทกราฟีออกมา ทำไดโ้ ดย
1) ตดั กระดาษโครมาโทกราฟีท่มี สี ารสแี ตล่ ะสว่ นออกจากกัน
2) นำส่วนทตี่ ัดน้นั ไปแช่ในตวั ทำละลายท่ีเหมาะสม เชน่ นำ้ แอลกอฮอล์ จนกระทง่ั สารสี
ละลายออกมาจากกระดาษจนหมด
ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 395
3) นำสารละลายที่ไดน้ ้นั ไประเหยแหง้ หรือกลั่นเพ่ือแยกตัวทำละลายออกจากสารกจ็ ะได้สาร
สีท่ีเปน็ ของแข็งเหลืออยู่
35. โครมาโทกราฟแี บบคอลมั น์ (Column Chromatography) ทำได้โดยการ
บรรจตุ วั ดดู ซบั เช่น อะลมู ินาหรือซลิ กิ าเจลไวใ้ นคอลัมน์ แลว้ เทสารผสมทเ่ี ปน็ สารละลายของเหลว
ลงสคู่ อลัมน์ สารผสมจะเคล่อื นผ่านคอลัมนช์ ้า ๆ โดยตัวทำละลายเป็นผู้พาไป ตัวดดู ซบั จะดดู ซบั สาร
ในสารผสมไว้ ส่วนประกอบใดของสารผสมที่ถกู ดดู ซับได้ดีจะเคลื่อนทีช่ า้ สว่ นท่ีถูกดดู ซับไมด่ จี ะ
เคลอื่ นที่ได้เรว็ ทำให้สารผสมแยกจากกนั ได้
36. โครมาโทกราฟีแบบแก๊ส (Gas Chromatography)ใช้สำหรับแยกสารผสมท่ี
เปน็ แกส๊ โดยมีตวั ทำละลายเป็นแกส๊ แต่ไมท่ ำปฏิกิรยิ ากบั สารผสม เช่น ฮเี ลียม ส่วนตวั ดดู ซับอาจเป็น
ของแข็งหรือของเหลวทบ่ี รรจุอยูใ่ นคอลัมน์ เมื่อตัวทำละลายและสารผสมเคลอื่ นท่ผี า่ นคอลัมน์น้ี ตวั
ดดู ซับในคอลมั นจ์ ะดงึ ดูดดว้ ยแรงดงึ ดูดไฟฟ้าสถติ ตามความเป็นขัว้ ของสารกบั โมเลกุลในสารผสมทำ
ใหอ้ งคป์ ระกอบในสารผสมถกู พาไปด้วยอัตราเร็วทตี่ า่ งกนั สารผสมก็จะแยกออกจากกัน
37. การหาค่าอัตราการเคลอ่ื นท่ี (Rate of flow ; )โครมาโทกราฟกี ระดาษ
สามารถนำมาคำนวณหาค่า ได้ คา่ เป็นคา่ เฉพาะตัวของสารข้นึ อยู่กับชนดิ ของตัวทำละลาย
และตัวดูดซับ ดังนน้ั การบอกคา่ ของสารแต่ละชนดิ จงึ ต้องบอกชนิดของตวั ทำละลายและตัวดูด
ซับเสมอ
38. ค่าอัตราการเคลอื่ นที่ ( ) คำนวณได้จากสตู ร
1) สารชนดิ เดียวกันจะมีคา่ เทา่ กนั ถ้าใชส้ ภาวะเดียวกัน
2) ค่า จะมคี า่ ไม่เกิน 1 และไม่มหี นว่ ย
3) ถ้าแยกสารได้หลายสารและมีคา่ ไดห้ ลายคา่ แสดงว่าสารนน้ั เป็นสารไม่บริสทุ ธิ์ ถา้
แยกไดเ้ พียงชนิดเดียวจะมีค่า คา่ เดยี ว แตส่ รปุ ไม่ไดว้ า่ สารน้ันเป็นสารบริสุทธิ์หรอื สารละลาย
เนอื่ งจากสารบางชนิดไม่มีสีหรือองค์ประกอบต่าง ๆ เคล่ือนท่ไี ดเ้ ท่ากันหรอื ใกลเ้ คียงกัน
39. ขอ้ ดขี องโครมาโทกราฟีคือ
1) สามารถแยกสารทม่ี ีปรมิ าณนอ้ ย ๆ ได้
2) สามารถแยกไดท้ ง้ั สารท่ีมสี แี ละสารท่ีไม่มสี ี
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
396 ค่มู อื เตรยี มสอบ
3) สามารถใช้ไดท้ ั้งปริมาณวิเคราะห์ (บอกไดว้ ่าสารน้ันเป็นสารชนิดใด ปริมาณเท่าใด) และ
คณุ ภาพวิเคราะห์ (บอกได้ว่าสารนัน้ เปน็ สารชนิดใด)
4) สามารถแยกสารผสมทม่ี สี ารหลายชนิดปนกันอยู่ออกจากกันได้
5) สามารถแยกสารออกจากกระดาษกรองหรือตัวดดู ซบั ไดโ้ ดยวิธีการสกัดด้วยตวั ทำละลาย
40. ข้อจำกัดของโครมาโทกราฟี คอื ไมส่ ามารถแยกสารทีเ่ คลื่อนทีไ่ ปบนตวั ดดู ซับได้
เท่ากนั หรือใกลเ้ คียงกนั ออกจากกนั ได้ หรอื แยกได้แต่ไม่บริสุทธ์ิ
41. สารทกุ ชนดิ จะมีองคป์ ระกอบพ้นื ฐานหลักที่เหมือนกนั คอื ประกอบด้วย
สารประกอบและธาตุ
42. สารประกอบ (Compound)หมายถึง สารบรสิ ุทธท์ิ ่มี ีเนอ้ื เดยี วเกดิ จากธาตุ
ตง้ั แต่สองชนดิ ขึน้ ไปมารวมเป็นเนือ้ เดยี วกนั โดยการเกดิ ปฏิกิริยาเคมีแล้วไดส้ ารใหมซ่ ึ่งมีสมบัติเฉพาะ
มอี ัตราสว่ นของธาตุที่เปน็ องค์ประกอบของสารท่ีเกดิ ขึน้ คงที่เสมอ และสามารถแยกสารประกอบ
กลับไปเปน็ ธาตทุ ี่มสี มบตั ิเหมือนเดิมไดโ้ ดยวิธีการทางเคมี
43. สารประกอบสามารถสลายตัวไปเปน็ ธาตทุ ่มี ีสมบตั ิเหมือนเดมิ ได้ เชน่ นำ้
สลายตัวไปเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจน โซเดียมคลอไรด์ (เกลอื แกง) สามารถสลายตัวไปเปน็ โซเดียม
และคลอรีน เป็นตน้
44. ตวั อยา่ งสารประกอบและการนำมาใชป้ ระโยชน์
1) น้ำตาลทราย ใชป้ รงุ รสชาตอิ าหาร ใช้ถนอมอาหารประเภทแช่อ่ิม
2) เกลอื แกง ใชป้ รงุ รสชาติอาหาร ใช้ถนอมอาหารประเภทดองเค็ม
3) การบรู ใชท้ ำยาหมอ่ ง ยาแกล้ ม ใสต่ ูเ้ สอ้ื ผา้ ป้องกันแมลง
4) แอลกอฮอล์ ใชล้ ้างแผล ผสมทำเคร่ืองดืม่ ทำทิงเจอรไ์ อโอดนี
5) กรดนำ้ สม้ ใชป้ รงุ อาหาร
6) นำ้ ปนู ใส ใชแ้ ชผ่ ักผลไมใ้ ห้กรอบ
7) ดินประสวิ ใชท้ ำดนิ ปืน พลุ ดอกไม้ไฟ ปยุ๋ ใส่อาหารทำใหม้ เี นอ้ื แดง
45. ของผสม (Mixture)เกิดจากการนำสารต้งั แตส่ องชนดิ ขึน้ ไปมารวมกนั โดยมี
อัตราส่วนขององคป์ ระกอบไม่แน่นอนและไม่มปี ฏกิ ิรยิ าเคมีเกิดขึน้ ของผสมทีไ่ ดย้ งั คงมสี มบัติของ
สารเดมิ ทน่ี ำมาผสมและสามารถแยกกลบั ไปเป็นสารเดิมได้โดยวิธที างกายภาพ
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 397
46. ธาตุ (Element) หมายถึง สารบริสทุ ธท์ิ ่ีมเี น้อื เดยี วและมสี ารเพยี งชนิดเดยี ว
ประกอบด้วยอนุภาคอยา่ งเดียวกันตลอดทุกสว่ นของธาตดุ ังนนั้ ธาตุจึงมีสมบตั ทิ ุกส่วนเหมอื นกันทกุ
ประการ เป็นสารที่ไม่สามารถสร้างข้นึ จากสารอื่น หรอื สลายต่อไปเปน็ สารอื่นไดโ้ ดยวธิ ที างเคมี
ธรรมดา
47. อะตอม (Atom)เป็นอนภุ าคทเ่ี ลก็ ท่สี ดุ ของธาตุที่สามารถนำไปสูก่ ารเกิดปฏกิ ิริยา
เคมไี ด้
48. ธาตจุ ำแนกตามแหลง่ ทม่ี าได้ 3 ประเภท คือ
1) ธาตทุ ีเ่ กิดข้นึ เองตามธรรมชาติ มี 88 ธาตุ เชน่ ออกซเิ จน ไนโตรเจน คาร์บอน ซัลเฟอร์
ทองคำ ไอโอดนี เปน็ ตน้
2) ธาตทุ ี่เกิดจากการสลายตัวของธาตุกมั มนั ตรังสี มี 4 ธาตุ คอื เทคนเี ซียม โพรมเี ทียม
แอสทาทนี และฟรานเซยี ม
3) ธาตุท่เี กดิ จากการสังเคราะห์ คือ ธาตุเหนือลำดบั ท่ี 92 ในตารางธาตุ ยกเวน้ ธาตพุ ลโู ต
เนียม
49. ธาตุแบง่ โดยใช้สมบตั ิต่าง ๆ เปน็ เกณฑ์ได้ 3 ประเภท1) โลหะ2) อโลหะ
3) กงึ่ โลหะ
50. ธาตุโลหะ (Metal)มีสมบัตดิ ังน้ี
1) มีสถานะเปน็ ของแข็งท่ีอุณหภมู ิห้อง ยกเว้นปรอทมีสถานะเปน็ ของเหลวท่อี ุณหภมู ิห้อง
2) นำความร้อนและนำไฟฟา้ ไดด้ ี
3) มจี ุดเดือดและจุดหลอมเหลวสงู ยกเว้นปรอท
4) มีชว่ งกลายเปน็ ไอและหลอมเหลวกว้าง ยกเว้นปรอท
5) แขง็ เหนียว ทนทาน ดเี ป็นแผน่ และดึงเปน็ เส้นได้
6) เคาะมเี สยี งดงั กงั วาน ผวิ เรยี บมันวาว สะท้อนแสงไดด้ ี
7) ทำปฏิกิริยากบั กรดได้แกส๊ ไฮโดรเจน
8) รวมตวั กบั แก๊สออกซเิ จนไดใ้ นภาวะปกติหรือเกิดสนิมได้ง่าย
51. โลหะแบง่ ตามความหนาแนน่ ได้ 2 กลุ่ม คือ
1) โลหะหนกั มคี วามหนาแน่นสูง เชน่ เหล็ก
2) โลหะเบา มคี วามหนาแน่นตำ่ เชน่ แมกนเี ซียม แคลเซียม โซเดยี ม
52. ประโยชน์ของธาตโุ ลหะ เช่น สังกะสีทำหลังคาบา้ น ขาปลั๊กไฟ ถ่าน ไฟฉาย
ทองแดงทำลวด อุปกรณเ์ คร่ืองใช้ ปรอทใช้ในเทอรม์ อมเิ ตอร์
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
398 ค่มู อื เตรยี มสอบ
53. ธาตอุ โลหะ (Non Metal)มีสมบัติดังน้ี
1) พบไดท้ ้งั 3 สถานะ คือ ของแข็ง เชน่ คารบ์ อน ฟอสฟอรัส กำมะถัน ของเหลว เชน่
โบรมนี และแก๊ส เช่น ออกซิเจน ไนโตรเจน คลอรนี เป็นต้น
2) ไมน่ ำไฟฟ้าและความร้อน ยกเวน้ แกรไฟต์
3) จุดเดือดและจดุ หลอมเหลวต่ำ ยกเวน้ คารบ์ อน
4) มีชว่ งการกลายเปน็ ไอและหลอมเหลวแคบ ยกเว้นคารบ์ อน
5) แข็งแต่เปราะ แตกหักงา่ ย ดงึ เปน็ เสน้ หรอื ตีเป็นแผน่ ไม่ได้
6) เคาะไม่มเี สียงดังกังวาน ผิวดา้ นไม่มันวาว สะท้อนแสงได้ไม่ดี
7) มีความหนาแน่นตำ่
8) ไม่ทำปฏิกิรยิ ากับกรดไมร่ วมตัวกับแก๊สออกซิเจนที่อุณหภมู ิปกติ
54. ธาตุอโลหะ ไดแ้ ก่ ไฮโดรเจน ฮีเลยี ม คาร์บอน นอี อน ไนโตรเจน คลอรีน ไอโอดนี
อาร์กอน ฟอสฟอรสั ซัลเฟอร์ ฯลฯ
55. ในบรรยากาศประกอบด้วยแกส๊ ตา่ ง ๆ ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นธาตอุ โลหะ คอื
ไนโตรเจน 78.084% ออกซิเจน20.964% อาร์กอน 0.934% คารบ์ อนไดออกไซด์ 0.013% และ
อ่นื ๆ 0.005%
56. ประโยชน์ของธาตอุ โลหะ เช่น คารบ์ อนใชท้ ำไสด้ ินสอ ซลั เฟอร์เป็นส่วนผสมของ
สารฆ่าแมลง เป็นส่วนผสมของยา ทำยางรถยนต์ไนโตรเจนใชท้ ำปยุ๋ ทำให้อาหารเยน็ เป็นนำ้ แขง็
57. ธาตุกง่ึ โลหะ (Metalloid)มีสมบตั ิดงั น้ี
1) มสี มบตั ิอยู่ระหว่างโลหะกับอโลหะ
2) เป็นสารกึ่งตวั นำ คือ นำไฟฟา้ ได้ไม่ดีท่อี ุณหภมู ิหอ้ งแต่จะนำไฟฟา้ ได้ดีข้นึ เม่ืออุณหภมู ิ
สงู ขน้ึ และเม่ือมีสิ่งเจือปน
58. ธาตกุ ึง่ โลหะ ไดแ้ ก่ โบรอน ซิลคิ อน เจอรเ์ มเนยี ม สารหนู พลวง เทลลเู รียม
พอโลเนยี ม
59. ประโยชนข์ องธาตกุ ึ่งโลหะ นำมาใช้ทำอปุ กรณ์ในเครื่องอิเลก็ ทรอนิกส์และเคร่อื ง
คอมพิวเตอร์
60. สญั ลกั ษณ์ทางเคมีของธาตุ คอื ส่งิ ทใ่ี ช้เขยี นแทนชอื่ และอะตอมของธาตนุ ้นั
เพอื่ ให้เกิดความสะดวกและเข้าใจตรงกันเปน็ สากล
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 399
62. เยอนแบรเ์ ซลิอุส(Jons Berzelius)นกั เคมชี าวสวเี ดนเป็นผสู้ ร้างระบบการใช้
สญั ลกั ษณข์ องธาตุและเสนอใหใ้ ชอ้ กั ษรเป็นสญั ลักษณ์ธาตุและมีการใช้มาจนถึงปัจจบุ นั
63. หลักในการใชอ้ กั ษรแทนสัญลกั ษณท์ างเคมีของธาตุ
1) ใช้อกั ษรตัวแรกของชื่อธาตุโดยเขียนเปน็ ตัวพิมพ์ใหญ่ เช่น ออกซเิ จน (Oxygen) ใช้
สัญลักษณ์ O คาร์บอน (Carbon) ใชส้ ัญลักษณ์ ฉ ไนโตรเจน (Nitrogen) ใช้สัญลักษณ์ N
2) ถา้ อักษรตัวหนา้ ซ้ำกนั ให้เขียนตามด้วยอักษรตวั ถัดไป โดยอักษรตัวแรกเปน็ ตัวพิมพ์ใหญ่
ควบกับตวั อักษรตวั พิมพ์เล็กตัวอื่น ๆ ท่ีไมซ่ ้ำกัน เชน่ แคลเซยี ม (Calcium) ใช้สญั ลกั ษณ์Ca
โครเมยี ม (Chromium) ใชส้ ัญลกั ษณ์ Cr โคบอลต์ (Cobalt) ใชส้ ญั ลักษณ์ Co
3) สัญลกั ษณ์ของธาตบุ างชนิดเปน็ คำในภาษาละตนิ จงึ ไม่ตรงกับคำในภาษาอังกฤษ เช่น
ทองแดง คำในภาษาอังกฤษ คือ Copper คำในภาษาละติน คือ Cuprum จึงใช้สญั ลกั ษณ์ Cu ตาม
คำในภาษาละติน
64. ตารางธาตุ (Periodic Table)เป็นตารางท่รี วบรวมธาตุต่าง ๆ เข้าเป็นหมวดหมู่ ตาม
คุณสมบตั ทิ ี่เหมือน ๆ กัน ไวเ้ ป็นพวกเดยี วกัน เพ่ือสะดวกในการจดจำและศึกษา ดงั นี้
65. ตารางธาตแุ บง่ ธาตุในแนวต้งั ออกเปน็ 18 แถว เรียกแถวในแนวต้ังว่า หมู่ ในแนวตงั้ ยัง
แบง่ เป็นกลุ่มย่อยAกับB กลุ่มA มี 8หมู่ คือIA-VIIIA กลุ่มB ม8ี หมู่ คอื IB-VIIIB ธาตุในกลุ่มB ทัง้ หมด
เรยี กวา่ ธาตแุ ทรนสชิ นั
66. ตารางธาตแุ บ่งธาตุในแนวนอนออกเปน็ 7 แถว เรยี กแถวในแนวนอนวา่ คาบ
คาบที่ 1 มี 2 ธาตุ คาบที่ 2 และ 3 มคี าบละ 8 ธาตุ คาบท่ี 4 และ 5 มีคาบละ 18 ธาตุ คาบท่ี 6 มี
32 ธาตุ แบง่ เปน็ กลุม่ แรกมี 17 ธาตุ คือ Cs – Rnและกลุม่ หลงั มี 15 ธาตุ คือ La – Lu เรยี กธาตุ
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
400 คมู่ อื เตรยี มสอบ
กลุ่มหลังวา่ กลุ่มธาตแุ ลนทาไนด์ คาบที่ 7 แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กล่มุ แรกกำลงั มีการคน้ พบเพิ่มขนึ้ อยู่
ตลอดเวลา สว่ นกลมุ่ หลังมี 15 ธาตุ คอื Ac – Lrเรยี กธาตุกลมุ่ หลังว่า กล่มุ ธาตแุ อกทิไนด์
67. บรเิ วณด้านขวาของตารางธาตจุ ะมีเส้นทบึ คลา้ ยขั้นบันได เปน็ เส้นที่แบ่งธาตุ
ออกเป็นโลหะและอโลหะ โดยธาตทุ างซา้ ยของเสน้ ทบึ จะเปน็ โลหะ ธาตทุ างขวาของเส้นทึบจะเป็น
อโลหะ และธาตุบรเิ วณเสน้ ทบึ มีสมบัตบิ างประการคลา้ ยโลหะและบางประการคลา้ ยอโลหะจงึ
เรยี กวา่ กง่ึ โลหะ
68. โมเลกลุ (Molecules)คือ หนว่ ยยอ่ ยทสี่ ดุ ของสารประกอบที่ยังคงแสดงสมบัติ
ของสาร
69. โมเลกุล เกดิ จากอะตอมของธาตุตัง้ แต่ 2 อะตอมขึ้นไปมารวมกัน ซ่งึ อาจะ
เปน็ อะตอมของธาตชุ นดิ เดยี วกันหรอื อะตอมของธาตุต่างชนดิ กันก็ได้
1) อะตอมของธาตุชนิดเดยี วกันมารวมกันตงั้ แต่ 2 อะตอมข้นึ ไปจะไดโ้ มเลกุลของธาตุ
เช่น
ออกซเิ จน ( ) 1 โมเลกลุ ประกอบดว้ ยอะตอมของธาตุออกซเิ จน (O) 2 อะตอม
ไฮโดรเจน ( ) 1 โมเลกุล ประกอบดว้ ยอะตอมของธาตุไฮโดรเจน (H) 2 อะตอม
โอโซน ( ) 1 โมเลกลุ ประกอบดว้ ยอะตอมของธาตุออกซเิ จน 3 อะตอม
2) อะตอมของธาตตุ ง้ั แต่ 2 ชนิดขนึ้ ไปมารวมกันจะได้โมเลกุลของสารประกอบ เชน่
น้ำ 1โมเลกลุ ประกอบด้วยอะตอมของธาตุไฮโดรเจน (H) 2 อะตอม และธาตุออกซิเจน
(O) 1 อะตอม
โซเดียมคลอไรด์(NaC1) 1โมเลกุล ประกอบดว้ ยอะตอมของธาตโุ ซเดยี ม 1 อะตอม และ ธาตุ
คลอรีน 1 อะตอม
คาร์บอนไดออกไซด์ ( ) 1โมเลกุล ประกอบด้วยอะตอมของธาตคุ ารบ์ อน(C ) 1 อะตอม และ
ธาตอุ อกซเิ จน (O) 2 อะตอม
70. อะตอม (Atom)คือ หนว่ ยย่อยที่สดุ ของธาตุทย่ี ังคงแสดงสมบัตขิ องธาตุ อะตอม
มีขนาดเลก็ มากไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปลา่ แตส่ ามมารถมองเห็นได้จากกล้องจุลทรรศน์
อิเล็กตรอน
71. พ.ศ.2309-2387 จอห์น ดอลตนั (John Dalton)นกั วทิ ยาศาสตรช์ าวอังกฤษ
เสนอแบบจำลองโครงสรา้ งอะตอมดังน้ี
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์