The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แนวข้อสอบเอกวิทยาศาสตร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by maruding.pe, 2021-03-18 04:32:24

แนวข้อสอบเอกวิทยาศาสตร์

แนวข้อสอบเอกวิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 51

16. อาหารในขอ้ ใดทีพ่ บว่ามีวติ ามนิ เอในปริมาณมาก

ก. ฟกั ทอง ผกั กาดขา้ ว ข. มะละกอสกุ มะเขือเทศ

ค. พรกิ ช้ฟี า้ ไข่ไก่ ง. มวี ติ ามนิ เอทุกชนิด

17. ในรา่ งกายคนมีธาตุอะไรมากท่ีสุด

ก. ออกซิเจน ข. ไนโตรเจน

ค. คารบ์ อน ง. ไฮโดรเจน

18. อาการเสน้ เลอื ดฝอยเปราะ เป็นหวดั ได้ง่าย เป็นโทษของการขาดวิตามนิ ใด

ก. A ข. B1 ค. B2 ง. C

19. สารพษิ ในข้อใดเมื่อเขา้ สู่ร่างกายแล้วจะไปทำลายเซลล์เมด็ เลือดแดง

ก. ดนิ ประสิว ข. โครเมยี ม ค. ตะก่วั ง. สารหนู

20. สาเหตขุ องการเกดิ โรคอิไต-อไิ ต มาจากสารใด

ก. บอแรกซ์ ข. โครเมยี ม ค. แคดเมยี ม ง. ถูกมากกวา่ 1 ข้อ

บทที่ 4 ระบบในร่างกายมนุษย์และสตั ว์

1. ร่างกายคนมีระบบต่าง ๆ ทท่ี ำงานร่วมกนั และสมั พนั ธก์ ัน เชน่ ระบบย่อยอาหาร ระบบหายใจ
ระบบหมนุ เวยี นเลอื ด ระบบขับถา่ ย ระบบสืบพันธุ์ ระบบกล้ามเนอ้ื โดยมรี ะบบประสาทควบคุม
และประสานการทำงานของระบบอวัยวะทั้งหมด
2. การย่อยอาหาร (Digestion)หมายถึง กระบวนการแปรสภาพอาหารท่ีมีอนภุ าคขนาดใหญใ่ ห้มี
ขนาดอนภุ าคเลก็ ลงเพื่อให้เซลลส์ ามาถดูดซมึ ไปใช้ประโยชน์ได้
3. ระบบย่อยอาหาร แบง่ เป็น 2 ระบบ คือ

1) ระบบการย่อยเชิงกล เป็นการเปลี่ยนแปลงขนาดอนภุ าคของสารอาหารที่มีขนาดใหญ่
ใหม้ ขี นาดเล็กโดยอาศยั การบดหรอื บีบของอวัยวะตา่ ง ๆ ทำให้นำ้ ยอ่ ยแทรกซมึ เข้าไปถึงอนภุ าคของ
อาหารได้อย่างรวดเร็ว เชน่ การบดเค้ยี วอาหารของฟนั การบบี ตัวของทางเดินอาหาร ส่วนกระเพาะ
อาหาร การบบี ตัวของลำไสเ้ ลก็ และการทำให้ไขมันแตกตัวโดยน้ำดี เป็นตน้

2) ระบบการย่อยทางเคมี เป็นการเปลยี่ นแปลงขนาดอนุภาคของอาหารให้มีขนาดเล็กลง
โดยอาศัยน้ำย่อยหรือเอนไซม์
4. น้ำย่อยอาหาร ประกอบด้วย 2 สว่ นท่ีสำคัญ คือ

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

52 ค่มู อื เตรยี มสอบ

1) เอนไซม์ (Enzyme)และเมือก (Mucus)เอนไซม์ทำหนา้ ทใี่ นการย่อยอาหารท่มี ี
อนุภาคขนาดใหญ่ให้มีอนุภาคเล็กลงเพื่อทำให้มกี ารดูดซมึ เข้าสกู่ ระแสเลอื ดได้อยา่ งสมบูรณ์ สว่ น
เมอื กจะทำหน้าท่ใี นการหล่อเลย้ี งอาหารขณะท่มี ีการเคลื่อนยา้ ย ทำใหอ้ าหารอ่อนตัว และนอกจากนี้
ยังช่วยป้องกันไม่ให้เอนไซคย์ ่อยหรอื ทำลายเซลล์บุผวิ หนงั ทางเดินอาหารด้วย

2) เกลือแร่และน้ำ ทำหน้าท่ีเพิม่ ปริมาตรของสารละลายในโพรงทางเดนิ อาหาร เพ่ือการ
ย่อยและการดูดซึมท่ดี ี ปรับความเขม้ ขน้ ของสารอาหารใหเ้ หมาะกับสภาพของเซลล์ท่บี ุผิวทางเดิน
อาหาร และปรับความเปน็ กรด-ดา่ ง (pH) ของสารละลายใหเ้ หมาะสมต่อการทำงานของเอนไซม์
ชนิดต่าง ๆ
5. ทางเดนิ อาหาร คือ อวัยวะที่ใชส้ ำหรับเป็นทางผา่ นของอาหาร มีลกั ษณะโครงสร้างเปน็ ท่อยาวมี
ปลายตดิ ต่อกับภายนอก และเป็นท่อท่ีตดิ ต่อถงึ กันโดยตลอดตงั้ แต่ปาก หลอดอาหาร กระเพาะ
อาหาร ลำไสเ้ ลก็ และลำไสใ้ หญ่ ไปจนถึงทวารหนัก
6. ต่อมนำ้ ลาย เป็นต่อมที่มที ่ออย่ภู ายในช่องปาก ทำหนา้ ท่ีสรา้ งนำ้ ลายมีอยู่ 3 คู่ คอื

1) ต่อมนำ้ ลายใต้หู (Parotid gland)อยู่บรเิ วณส่วนหา้ ทางด้านลา่ งของหู ซง่ึ จะหลง่ั
เกลือแรแ่ ละนำ้ ประมาณ 25% ของน้ำลายท้ังหมด

2) ต่อมนำ้ ลายใต้ขากรรไกรลา่ ง (Submandibular gland)อยบู่ รเิ ซณผวิ ดา้ นในทาง
ด้านข้างของขากรรไกรล่างมีท่อเปดิ เข้าสู่เพดานลา่ งของปากทางข้างหลงั ฟนั ตดั ล่าง ต่อมน้ีจะหลงั่
เอนไซม์ และเมือกประมาณ 70%

3) ต่อมนำ้ ลายใต้ลิ้น (Subingual gland)อยบู่ ริเวณผิวด้านล่างของเยือ่ หุ้มเพดานลา่ ง
ของปาก ต่อมนีจ้ ะหลั่งเมือกเป็นสว่ นใหญ่
7. การยอ่ ยอาหารในปาก มีอยู่ 2 ระบบ คือ

1) การย่องเชิงกล เป็นการย่อยโดยอาศัยการทำงานของฟนั ล้นิ และกล้ามเนือ้ บรเิ วณ
โพรงปาก โดยฟันจะชว่ ยบดเค้ยี วก้อนอาหารใหม้ ีพนื้ ท่ผี วิ สัมผสั กับเอนไซม์มากข้นึ ทำให้การย่อย
อาหารทางเคมเี ปน็ ไปได้อยา่ งรวดเรว็

2) การย่อยทางเคมี เปน็ การยอ่ ยโดยอาศยั การทำงานของน้ำยอ่ ยหรอื เอนไซม์ ซง่ึ ใน
นำ้ ลายคนจะมีเอนไซม์ไทยาลิน (Ptyalin) หรอื เอนไซม์ อะไมเลส (Amylase) เอนไซมช์ นิดนจ้ี ะ
สามารถย่อยแปง้ ให้เปน็ นำ้ ตาลได้และจะย่อยเฉพาะแป้งเท่านั้น

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 53

8. หลอดอาหาร (Esophagus)ทำหน้าที่รับอาหารจากคอหอยใหผ้ ่านลงสู่กระเพาะอาหารโดยการ
บบี ตวั ของผนกั กล้ามเนื้อหลอดอาหารแบบเพอริสตัลซสิ คือ หลอดอาหารจะบีบตวั โดยการหดตวั
และคลายตัวของกล้ามเนือ้ หลอดอาหารเป็นชว่ ง ๆ ทำให้อาหารเคลื่อนลงสกู่ ระเพาะอาหารอยา่ ง
รวดเรว็ การบบี และคลายตัวของกลา้ มเน้ือหลอดอาหารจะคืนส่สู ภาพปกติเม่ือกอ้ นอาหารผ่านพน้ ไป
แล้ว
9. กระเพาะอาหาร (Shomach)เป็นส่วนของทางเดนิ อาหารทม่ี ขี นาดใหญ่ท่สี ดุ ในขณะที่ไม่มี
อาหารอยู่ กระเพาะอาหารจะมีขนาดประมาณ 50 ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร แต่เมื่อมีอาหาร กระเพาะ
อาหารจะสามารถขยายได้อีก 10-0 เทา่ กระเพาะอาหารแบ่งออกไดเ้ ปน็ 3 สว่ น คอื

1) คาร์ดแิ อก (Cardiac stomach)เป็นส่วนทต่ี ่อจากหลอดอาหารมีกล้ามเนื้อหูรุดต่อกบั
หลอดอาหาร ซ่ึงทำหนา้ ที่ป้องกนั ไมใ่ หอ้ าหารย้อนกลับออกสหู่ ลอดอาหาร

2) ฟันดัส (Fundus) เป็นส่วนกลางของกระเพาะอาหารและเป็นสว่ นทม่ี ีขนาดใหญท่ ีส่ ดุ
3) ไพโลรัส (Pylorus)เป็นส่วนปลายสดุ ของกระเพาะอาหารบรเิ วณนจี้ ะมีกลา้ มเน้ือหูรดุ
ซ่ึงจะเปดิ ให้อาหารในกระเพาะอาหารผ่านออกไปในลำไสเ้ ล็ก
10. กระเพาะอาหาร มีหน้าท่ีดังนี้
1) เปน็ ทีพ่ ักอาหารช่ัวคราว
2) ย่อยอาหาร ในกระเพาะอาหารจะมีน้ำย่อยซึง่ สามารถย่อยสารอาหารประเภทโปรตีน
ใหม้ ีขนาดอนุภาคเลก็ ลงได้ ซ่ึงอาหารจะถกู ย่อยอยู่ทน่ี ี่นานท่ีสดุ
3) ชว่ ยลำเลยี งอาหารเขา้ สลู่ ำไสเ้ ลก็ ในอตั ราที่พอเหมาะ
11. การย่อยอาหารในกระเพาะอาหาร มีอยู่ 2 ระบบคือ
1) การย่อยเชงิ กล เกิดจากการหดแกละคลายตัวของกลา้ มเนอ้ื กระเพาะอาหารเปน็ ระยะ
สั้น ๆ ตดิ ตอ่ กันเป็นชว่ ง ๆ ทำใหโ้ มเลกุลของอาหารแตกออกไปผสมกับนำ้ ย่อยทสี่ รา้ งออกมา
2) การย่อยทางเคมี อาศัยนำ้ ย่อยที่สรา้ งจากต่อมสรา้ งน้ำยอ่ ยท่ีอยูบ่ รเิ วณผนังภายในของ
กระเพาะอาหาร นำ้ ย่อยทส่ี ร้างขนึ้ ในกระเพาะอาหาร ได้แก่ เอนไซมเ์ พปซินและเรนนนิ นอกจากน้ี
ท่ีผนังกระเพาะอาหารยังสรา้ งกรดไฮโดรคลอริกและน้ำเมอื กอีกด้วย
12. นำ้ ยอ่ ยในกระเพาะอาหาร
1) เอนไซม์เพปซิน (Pepsin)มหี นา้ ท่ียอ่ ยโปรตีนให้มขี นาดเล็กลง เป็นโปรตีนสายสน้ั ๆ
แต่ยังไมส่ ามารถถูกดูดซมึ เข้าสู่เซลล์ได้ เพปซนิ จะทำงานไดด้ ีในสภาพทเ่ี ปน็ กรด
2) เอนไซมเ์ รนนิน (Renin)ชว่ ยทำให้โปรตีนเคซีน (Casein) มหี น้าทอ่ี ยู่ในน้ำนมเกิดการ
แข็งตัวตกตะกอนซึ่งจะเปน็ ผลทำให้เอนไซมเ์ พปซนิ ย่อยได้ดีขน้ึ

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

54 ค่มู อื เตรยี มสอบ

3) กรดไฮโดรคลอริก (HCI) หรือกรดเกลือ ทำหนา้ ที่กระตุ้นให้เพปซโิ นเจนเปล่ียนเป็น
เอนไซมเ์ พปซิน ทำใหส้ ามารถยอ่ ยโปรตีนได้

4) นำ้ เมือก (Mucus)ทำให้สามารถหล่อลน่ื หรอื เคลือบผนังกระเพาะอาหารไม่ใหถ้ ูกย่อย
13. โรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือทเ่ี รามกั เรยี กกันว่าโรคกระเพาะอาหารเกิดจากภาวะมีกรดใน
กระเพาะอาหารมากเกนิ ไป เนื่องจากทานอาหารไม่ตรงเวลา ทานยาแอสไพรินขณะท้องวา่ ง การด่มื
สุราและการสูบบุหร่ีหรือการตดิ เชอื้ แบคทีเรยี บางชนดิ จะมอี าการปวด แสบท้อง จุกเสียด ท้องเฟ้อ
14. โรคกรดไหลยอ้ นกลบั เกิดจากกล้ามเนื้อหรู ูดของกระเพาะอาหารสว่ นทีต่ ่อกับหลอดอาหาร
คลายตวั ผิดปกตทิ ำให้กรดไฮโดรคลอริกไหลย้อนออกมา จะมีอาการแนง่ หนา้ อกหรือลิน้ ปี่ แสบรอ้ น
ท่ีคอ หรือรู้สึกขมหรือเปรี้ยวเนอื่ งจากกรดทป่ี ากหรือคอ
15. ลำไสเ้ ลก็ (Smaill intestine)เป็นบริเวณท่ีมกี ารย่อยสารอาหารได้ครบทุกชนดิ และมีการ
ดดู ซึมสารอาหารเข้าสเู่ ซลล์ของรา่ งกายทีบ่ ริเวณน้ีด้วยภายในผนงั ด้านในของลำไส้เลก็ จะมสี ่วนยน่ื
ออกไปคล้ายนิ้วมือ เรียกว่า วิลลสั (villus)ช่วยเพ่มิ พนื้ ทใ่ี นการดูดซึมอาหาร

ลำไสเ้ ล็กแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
1) ดูโอดนิ ัม (Duodenum)สารทส่ี รา้ งจากตับและตบั อ่อนจะมารวมเปดิ เข้าทส่ี ว่ นน้ี
อาหารเกือบทุกชนิดและวิตตามนิ หลายชนดิ จะถูกดูดซึมท่ีบริเวณน้ี
2) เจจูนมั (Jejunum)เป็นส่วนทอ่ี ยู่ถัดจากดโู อดนิ มั ลำไส้สว่ นนจ้ี ะดูดซึมอาหารพวก
ไขมัน
3) ไอเลี่ยม (Heum)เป็นสว่ นที่มีความยาวมากที่สุด ที่บริเวณนจ้ี ะมกี ารดูดซึมวติ ามินบาง
ชนดิ และเกลือของนำ้ ดี
16. การยอ่ ยอาหารในลำไส้เล็ก มี 2 ระบบ คือ
1) การย่อยเชิงกล เกิดจากการบีบตัวของกลา้ มเน้อื วงกลมของผนังลำไส้ช่วยให้มกี าร
สลายโมเลกุลของอาหาร
2) การย่อยทางเคมี โดยอาศัยน้ำดีทส่ี รา้ งจากตัว เอนไซมจ์ ากตับอ่อน และเอนไซมท์ ่ี
สร้างจากต่อมที่ผนงั ลำไส้เล็กเอง
17. สารอาหารประเภทโปรตนี คารโ์ บไฮเดรต และไขมนั จะถูกย่อยจนเป็นอนภุ าคที่เล็กทีส่ ุด
บรเิ วณลำไส้เล็กจนสามารถแพรผ่ า่ นลำไสเ้ ลก็ เข้าสูห่ ลอดเลือดได้ จากนั้นสารอาหารจะถูกนำไป

ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 55

เล้ียงเซลลต์ ่าง ๆ ทั่วรา่ งกาย โดยการหมนุ เวยี นของเลือด ส่วนสารอาหารประเภทไขมันจะถกู ดดู ซึม
เขา้ สู่หลอดน้ำเหลอื งเพื่อลำเลียงไปยังเซลลต์ ่าง ๆ
18. สารอาหารประเภทวติ ามิน แรธ่ าตุ และนำ้ ร่างกายสามารถดูดซึมผา่ นผนงั ลำไส้เล็กไดโ้ ดย
ไม่ต้องผา่ นกระบวนการย่อยเพราะมีขนาดของอนุภาคเล็กอยแู่ ลว้
19. ทางเดินอาหารของสิ่งมีชีวติ แบ่งออกเป็น 2 แบบดงั น้ี

1) ทางเดินอาหารแบบไมส่ มบรู ณ์ เปน็ ทางเดินอาหารที่มีลกั ษณะเปน็ ถงุ ทีม่ ีทางเปิดทาง
เดยี ว คอื มปี ากและทวารหนักเปน็ ทางเดียวกนั โดยอาหารจะถูกนำเข้ามาทางเปิด และเมื่ออาหาร
ถูกแปรสภาพจนไม่มีประโยชนแ์ ลว้ กจ็ ะถูกกำจดั ออกมาทางเดมิ กับที่อาหารเข้ามา

2) ทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ เปน็ ทางเดนิ อาหารท่ีมลี ักษณะเป็นท่อมีทางเปิด 2 ทาง
คือ ปากเปน็ ทางนำอาหารเขา้ และทวารหนกั เปน็ ทางนำอาหารทีแ่ ปรสภาพจนไมม่ ีประโยชนแ์ ลว้ ออก
จากร่างกาย ท่อทางเดินอาหารแบบนี้อาจจะมีการคต ม้วน งอ หรอื พับ ลุภายในท่อนจี้ ะมีการ
เพมิ่ พน้ื ที่ในการสมั ผสั กบั อาหาร โดยผนังด้านในจะไมส่ ่วนยื่นออกมาเปน็ ปุ่มเล็ก ๆ
20. ระบบย่อยอาหารของไสเ้ ดือนดิน ทางเดนิ อาหารของไส้เดือนดินเป็นแบบสมบูรณ์ อาหารเขา้
ทางปาก ผ่านคอหอยหลอดอาหาร กระเพาะพักอาหาร ก๋ึนซงึ่ ทำหน้าที่บดอาหารให้มีขนาดเล็กลง
และลำไส้ เซลลบ์ ุผนังลำไสส้ ามารถปล่อยเอนไซม์ออกมาย่อยอาหารได้
21. ระบบย่อยอาหารของปลา ปลามีทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ อาหารจะเข้าทางปาก ผ่านคอ
หอย หลอดอาหาร และกระเพาะอาหารซ่งึ มนี ำ้ ย่อย ย่อยอาหารแล้วจงึ ผ่านลงสลู่ ำไส้ อาหารสว่ น
ใหญจ่ ะถูกย่อยและดูดซึมท่ีลำไส้ ตบั ทำหนา้ ท่ีสร้างน้ำดีเกบ็ ไว้ในถุงน้ำดีแล้วส่งไปย่อยอาหารในลำไส้
หลงั จากการย่อยและการดูดซึม กากอาหารจะถกู ขับออกทางทวารหนัก
22. ระบบย่อยอาหารของแมลง ทางเดินอาหารของแมลงเปน็ ทอ่ ยาวอาหารเข้าส่รู ่างกายทางปาก
มตี ่อมน้ำลายทำหนา้ ท่ีสรา้ งน้ำลายท่ีสามารถย่อยแปง้ ได้ ผ่านคอหอย กึน๋ และกระเพาะอาหาร มี
ตอ่ มสร้างน้ำย่อยทำหนา้ ทส่ี ร้างนำ้ ยอ้ ยชนิดตา่ ง ๆ สง่ เขา้ สู่กระเพาะอาหารเพอ่ื ย่อยอาหาร อาหาร
จะถูกย่อยและดูดซึมตรงบริเวณทางเดนิ อาหารสว่ นกลางและสว่ นท้าย ส่วนกากอาหารท่ีเหลือจาก
การยอ่ ยและดดู ซึมจะถูกยบั ออกจากรา่ งกายทางทวารหนัก
23. ระบบย่อยอาหารของไฮดรา ไฮดรามีทางเดนิ อาหารแบบไม่สมบูรณ์ กนิ อาหารโดยใช้หนวด
จบั สตั ว์นำ้ เล็ก ๆ เขา้ ปาก ผ่านเขา้ สู่ช่องกลวงภายในลำตวั ซึง่ เปน็ บริเวณที่มีการย่อยอาหาร เซลล์
บรเิ วณเยอ่ื บภุ ายในลำตัวจะสรา้ งเอนไซมแ์ ละขับออกมาย่อยอาหารให้มีขนาดเล็กลง แล้วลำเลียง
เขา้ สู่ภายในเซลล์เพื่อยอ่ ยต่ออีก สว่ นกากอาหารจะถูกขับออกทางปาก

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

56 ค่มู อื เตรยี มสอบ

24. ระบบหมุนเวียนเลือด ประกอบด้วย หัวใจ เลอื ด และหลอดเลอื ด โดยมหี วั ใจเป็นอวัยวะ
สำคญั ทท่ี ำหน้าทสี่ ูบฉดี เลือดไปยงั สว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกาย และมีหลอดเลือดเป็นทางลำเลยี งเลอื ดไป
ทว่ั ทุกเซลล์ของรา่ งกาย เป็นระบบท่ที ำหน้าทล่ี ำเลยี งอาหารและแกส๊ ไปหล่อเลยี้ งเซลล์ตา่ ง ๆ และ
ลำเลยี งของเสียทีร่ ่างกายไมต่ ้องการออกไปจากร่างกาย
25. หวั ใจ ทำหน้าท่สี บู ฉีดเลือดใหไ้ หลเวยี นไปทว่ั ร่างกายโดยเลือดจะไหลไปตามหลอดเลือด มี
ลักษณเ์ ป็นโพรง มผี นังก้นั และมีล้นิ หัวใจ หวั ใจแบ่งออกเปน็ 4 ห้อง ห้องบน 2 ห้อง เรียกเอ
เตรียม(Atrium)ห้องล่าง 2 หอ้ ง เรยี ก เวนตริเคลิ (Ventricle)หวั ใจหอ้ งบนมีขนาดเลก็ และผนัง
บางกวา่ หวั ใจหอ้ งล่าง เพราะมหี นา้ ทร่ี ับเลอื ดส่งตอ่ ไปยังห้องล่าง สว่ นหอ้ งล่างมีหน้าท่ีสบู ฉดี
เลือดออกจากหัวใจจึงต้องมคี วามแข็งแรง
26. ลิ้นหวั ใจ กน้ั อยรู่ ะหว่างหวั ใจหอ้ งบนและหัวใจหอ้ งล่าง ทำหน้าท่ีปอ้ งภยั ไม่ใหเ้ ลือดไหล
ย้อนกลับ
27. การหมนุ เวียนเลอื ดในรา่ งกายของคน หัวใจหอ้ งบนขวารบั เลอื ดทีม่ ีแกส๊ คารบ์ ินไดออกไซดใ์ น
ปรมิ าณสูงจากสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย และสง่ ไปยงั หัวใจห้องล่างขวาซ่ึงจะบีบตวั นำเลือดไปยังปอด
เพ่ือการแลกเปลย่ี นแก๊ส โดยจะรบั แกส๊ ออกซเิ จนเข้ามาและปล่อยแก๊สคารบ์ อนไดออกไซคอ์ อกไป
จากน้ันเลือดจะไหลกลับเข้าสู่หัวใจห้องบนซา้ ยลงสู่หัวใจห้องล่างซ้ายซงึ่ เมื่อบบี ตัวเลือดจะถูกส่งไป
เล้ยี งเซลลต์ ่าง ๆ ท่วั ร่างกาย
28. หลอดเลือด (Blood vessel)คือ ท่อซ่ึงเป็นทางใหเ้ ลอื ดไหลเวียนไปโดยอาศัยแรงจากการสูบ
ฉีดของหวั ใจ หรือจากการบบี ตวั ของผนงั หลอดเลือดเองทำให้เกดิ แรงดนั เลือดไหลไปตามหลอดเลือด
สสู่ ว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกายและไหลกลบั คืนเข้าส่หู ัวใจ
29. หลอดเลือด แบ่งออกเป็น 3 ชนดิ คือ 1) หลอดเลือดอารเ์ ทอรี 2)หลอดเลอื ดเวน 3) หลอด
เลอื ดฝอย
30. หลอดเลือดอาร์เทอรรี (Arteries)ทำหนา้ ทีน่ ำเลือดออกจากหวั ใจไปยงั ปอดและสว่ นต่าง ๆ
ท่ัวรา่ งกาย เลอื ดท่ีอยใู่ นอาร์เทอรจี ะเปน็ สแี ดงเนื่องจากมแี กส๊ ออกซิเจนอยใู่ นปรมิ าณมาก ยกเว้น
หลอดเลือดท่ีออกจากหวั ใจไปปอดเปน็ เลือดดำ หลอดเลือดอรเ์ ทอรีมลี กั ษณะดงั นี้

1) มผี นังหนาประกอบด้วยเนื้อเยอื่ 3 ชัน้ คือ เนอื้ เย่ือดา้ นในสุดเปน็ เนอื้ เยอื่ บุผวิ ช้ันกลาง
เปน็ เนื้อเย่ือกลา้ มเน้ือและช้ันนอกเปน็ เนื้อเย่ือเก่ยี วพัน

ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 57

2) ผนงั มีความยืดหยนุ่ ดี ทำให้สามาถขยายตวั เพื่อรบั แรงดันเลือดทเ่ี กิดจากการบีบตวั ของ
หัวใจหอ้ งล่างซา้ ยไดด้ ี
31. หลอดเลือดเวน (Vein)ทำหน้าที่นำเลอื ดจากส่วนต่าง ๆ ของรา่ งกายและจากปอดกลับเข้าสู่
หวั ใจ เลือดที่อยูใ่ นเวนจะเปน็ เลอื ดดำเนื่องจากปริมาณแกส๊ ออกซเิ จนอยูน่ ้อย ยกเวน้ หลอดเลอื ดเวน
ท่ีนำเลอื ดจากปอดมายงั หัวใจจะเปน็ เลอื ดแดง หลอดเลือดเวนมีลักษณะดังนี้

1) ประกอบด้วยเนอื้ เย่ือ 3 ช้ัน เหมือนกบั หลอดเลือดอาร์เทอรี แตม่ ีผนังบางกว่า
2) ผนงั มีความยืดหยุ่นน้อย เนื่องจากมีเนือ้ เย่ือกลา้ มเนื้อและเนื้อเยื่อเกยี่ วพนั น้อย
3) มีลิน้ กน้ั เปน็ ระยะๆ ช่วยป้องกนั ไม่ใหเ้ ลือดไหลย้อนกลบั เนอื่ งจากในหลอดเลือดเวนมี
ความดนั ต่ำ
32. หลอดเลอื ดฝอย (Capillaries)เป็นหลอดเลือดท่ีมีขนาดเล็ก ประกอบดว้ ยเซลลเ์ พียงชัน้ เดยี ว
และมีผนังบางมาก เปน็ หลอดเลือดทเ่ี ชือ่ มโยงระหวา่ งหลอดเลอื ดฝอยกบั หลอดเลือดดำฝอย พบ
แทรกอยูต่ ามสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกายทุกส่วนและมีจำนวนมาก บรเิ วณผนงั ของหลอดเลอื ดฝอยเปน็
บรเิ วณทม่ี กี ารแลกเปลย่ี นสารอาหารแกส๊ สารตา่ ง ๆ และของเสีย ระหวา่ งเลอื ดกับเซลล์ของร่างกาย
ดงั นัน้ การที่มีหลอดเลือดฝอยเป็นจำนวนมากในรา่ งกายจงึ เปน็ การเพิ่มพนื้ ทผ่ี วิ ทำใหก้ ารแลกเปลย่ี น
สารระหวา่ งเซลล์กับเลอื ดมปี ระสทิ ธภิ าพมากข้ึน
33. ความดันเลอื ด (Blood Pressure)หมายถึง แรงดนั ของเลือดในหลอดเลอื ดท่ีกระทบผนัง
หลอดเลอื ด เกิดเนื่องจากการบีบตวั และคลายตวั ของกลา้ มเนอ้ื หัวใจ โดยขณะที่หวั ใจบบี ตวั จะดนั
เลือดออกไปสสู่ ว่ นต่าง ๆ ของร่างกายตามหลอดเลือดอารเ์ ทอรี และขณะทห่ี ัวใจคลายตัวเลือดจะ
ไหลเขา้ สู่หัวใจได้อีกทางหลอดเลอื ดเวน
34. การวดั ความดนั เลือด จะวดั จากหลอดเลือดอารเ์ ทอรที ต่ี ้นแขนเพราะมคี วามดันมากท่สี ดุ ตอน
หวั ใจบบี ตวั และน้อยทสี่ ดุ ตอนหวั ใจคลายตัว โดยใชเ้ ครอ่ื งมือที่เรยี กวา่ มาตรความดันเลอื ด
(sphygmomanometer) และในการวัดจะใชค้ วบคู่กับสเต็ทโทสโคป (stethoscope) ความดนั
เลือดมหี นว่ ยเป็นมิลลเิ มตรของปรอท
35. คา่ ความดนั เลือด มี 2 คา่ คอื
1) ความดันซสิ โทลิก (Diastolic pressure)คือ ความดันของเลือดในหลอดเลือดแดง
ในขณะท่ีหัวใจบีบตัวให้เลือดออกจากหัวใจ ซง่ึ เลือดจะถูกดนั ออกไปจากหวั ใจดว้ ยความดันสูง
2) ความดนั ไดแอสโทลิก (Diastolic pressure)คือ ความดนั ของเลอื ดในหลอดเลือดแดง
ในขณะทห่ี ัวใจคลายตัวรับเลอื ดเข้าสู่หวั ใจ ซ่งึ มีความดนั น้อย

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

58 ค่มู อื เตรยี มสอบ

36. ความดันเลือดท่ีวัดได้จะมีค่าตัวเลข 2 คา่ เชน่ 120/80 มิลลิเมตรของปรอท ตวั เลข 120
แสดงค่าความดนั เลอื ดขณะหัวใจบีบตัวให้เลอื ดออกจากหวั ใจ และตัวเลข 80 แสดงค่าความดนั
เลือดขณะหัวใจคลายตัวรบั เลือดเข้าสหู่ วั ใจ
37. ปัจจยั ท่ีมีอิทธพิ ลตอ่ ความดันเลือด

1) อายุ เม่ืออายุมากข้นึ ความดนั เลือดกจ็ ะสูงข้ึนด้วยเนือ่ งจากความยดื หยนุ่ ของผนังหลอด
เลือดลดลงทำใหห้ วั ใจต้องสูบฉดี เลอื ดแรงข้ึน

2) เพศ โดยทัว่ ไปเพศชายจะมคี วามดันเลอื ดสูงกว่าเพศหญงิ ท่มี ีอายุเท่ากัน
3) ขนาดของรา่ งกาย คนอ้วนมกั จะมีความดันเลือดสูงกว่าคนผอมเพราะหลอดเลือดอยู่
ลกึ มีชน้ั ของไขมนั มาก
4) อารมณ์ ผ้ทู ่ีโกรธง่ายและมจี ติ ใจตกอยู่ในภาวะเครียดเปน็ ประจำจะมีความดนั เลือดสูง
เพราะร่างกายจะสรา้ งสารชนิดหน่ึงออกมาซ่ึงมผี ลต่อการบีบตวั ของหวั ใจและหลอดเลือด ทำใหห้ วั ใจ
ตอ้ งฉดี เลือดออกแรงข้นึ กว่าปกติ
5) กิจกรรม ขณะออกกำลงั กายและทำงานรา่ งกายจะมคี วามดันเลือดสงู กวา่ บุคคลใน
ภาวะปกติ
38. ความดันเลอื ดสูง หมายถงึ ความดนั เลอื ดมีค่ามากท้งั ขณะหัวใจบีบตวั และคลายตัว โดยความ
ดนั เลือดที่วดั ในขณะท่ีหัวใจบีบตัวไดค้ ่ามากกว่าหรือเท่ากับ 140 มิลลเิ มตรของปรอท หรอื วัดใน
ขณะท่ีหัวใจคลายตัวได้ค่ามากกกวา่ 90 มิลลิเมตรของปรอท
39. สาเหตขุ องการมคี วามดันเลือดสงู เชน่ หลอดเลอื ดตบี เนอ่ื งจากไขมันและคอเลสเทอรอลไป
เกาะที่ผนังหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลอื ดไม่สะดวก เปน็ ตน้
40. บคุ คลทีเ่ สยี่ งต่อการเป็นโรคความดนั เลอื ดสงู คือ ผูส้ ูงอายุ คนอ้วน หรือคนที่มรี ะดับไขมนั ใน
เลอื ดสูง ผทู้ ี่มอี ารมณ์โกรธงา่ ยและตกอยใู่ นภาวะเครยี ดเป็นประจำ
49. วธิ ีการควบคุมความดนั เลือด
1) ไม่กนิ อาหารรสเค็ม
2) ทานยาลดความดนั เลือดอย่างสมำ่ เสมอตามแพทยส์ ่งั
3) ออกกำลังกายอยา่ งสมำ่ เสมอ
4) ทำจิตใจให้เบิกบานแจ่มใส ไม่เครยี ด โดยการฝึกสมาธิหรอื ใช้ยาคลายเครยี ด
5) ควบคมุ น้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 59

6) ไม่สูบบุหรห่ี รอื ด่มื เครื่องดื่มทมี่ ีแอลกอฮอล์
50. การเต้นของชีพจร คือ การเต้นของหลอดเลือดอารเ์ ทอรี ซงึ่ เกดิ จากการบีบและคลายตวั ของ
หวั ใจเปน็ จังหวะ ทำให้เกิดแรงดนั เลือดสง่ ออกมาตามหลอดเลือดตามจงั หวะการเต้นของหัวใจ
ดงั นัน้ จำนวนครั้งที่ชพี จรเต้นจะเท่ากับจงั หวะการเตน้ ของหัวใจในหนึง่ หนว่ ยเวลา
51. การวดั อตั ราการเต้นของชีพจร สามารถวัดหรือจบั การเต้นของชีพจรไดจ้ ากหลอดเลือดอาร์เทอ
รที ี่อยตู่ ื้น ๆ บริเวณใกลผ้ วิ หนงั เช่น หลอดเลอื ดอาร์เทอรีที่ข้อมือทางด้านนว้ิ หวั แมม่ ือของฝ่ามอื ข้อ
ผบั ศอก ขมับขา้ ง ๆ ลำคอ หลงั เข่า หลงั เทา้ และขาหนีบ เป็นตน้
52. การตรวจสอบการเตน้ ของชีพจร ทำใหท้ ราบวา่ อตั ราการเตน้ ของหัวใจอยใู่ นช่วงปกติหรอื ไม่
อัตราปกติ คือประมาณ 60-100 ครงั้ /นาที และเตน้ สม่ำเสมอ (เฉล่ียประมาณ 72 ครัง้ /นาที) หาก
หวั ใจเต้นชา้ หรอื เรว็ กว่าปกติ หรือมีอตั ราการเตน้ ไมส่ ม่ำเสมออาจสันนิษฐานได้ว่าร่างกายมีความ
ผดิ ปกติ เชน่ เปน็ โรคหวั ใจ โรคไทรอยดเ์ ป็นพษิ ท้ังน้ีแพทยต์ ้องวนิ ิจฉยั เพ่ิมเตมิ เพื่อหาสาเหตขุ อง
ความผดิ ปกตติ ่อไป
53. เลอื ด (Blood)เป็นของเหลวท่เี ปน็ นำ้ หล่อเล้ยี งร่างกาย ในรา่ งกายของคนท่เี จรญิ เติบโตเต็มทจ่ี ะ
มีเลือดอยปู่ ระมาณ 75 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตรต่อนำ้ หนกั รา่ งกาย 1 กโิ ลกรัม และเลือดจะมีคา่ pH
ประมาณ 7.3-7.4
54. หน้าท่ขี องเลือด ทส่ี ำคัญมี 2 ประการ คอื

1) การลำเลยี ง เลอื ดช่วยลำเลยี งสารอาหารไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เมด็ เลือดช่วย
ขนส่งแก๊ส น้ำเลือดลำเลยี งสารอาหารพวกน้ำตาล ไขมนั วติ ามิน กรดอะมิโน และเลือดยังชว่ ย
ลำเลียงของเสียท่ีเกิดจากกระบวนการต่าง ๆ ของร่างกายไปยงั อวัยวะขับถ่ายดว้ ย

2) การปรับสภาวะสมดลุ ของรา่ งกาย นำ้ เลอื ดช่วยปรบั อุณหภมู ขิ องร่างกายให้คงท่ีโดยจะ
เป็นตวั รับความรอ้ ยทีเ่ กิดจากกระบวนการต่าง ๆ ในร่างกายเพือ่ สง่ ไปยังผวิ หนังและปอดให้ระบาย
ความรอ้ นออกจากร่างกาย
55. ส่วนประกอบที่สำคญั ของเลือด ประกอบด้วย น้ำเลอื ด เซลลเ์ มด็ เลือด และเกลด็ เลอื ด
56. นำ้ เลอื ด (Plasman)เป็นของเหลวใส สเี หลอื งอ่อน ประกอบด้วยนำ้ ประมาณ 90% และที่เหลือ
เปน็ สารอาหารต่าง ๆ ของ โปรตีน แร่ธาตุ กลโู คส ไขมนั วิตามิน เอนไซม์ ของเสยี ต่าง ๆ และแกส๊ ที่
เก่ียวข้องกบั การหายใจ
57. เซลล์เม็ดเลอื ด มี 2 ชนิด คอื เซลล์เมด็ เลอื ดแดง และเซลล์เม็ดเลือดขาว
58. เซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดง (Erythrocyte หรอื Red blood cell)

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

60 ค่มู อื เตรยี มสอบ

• ลกั ษณะ กลมแบน ตรงกลางบมุ๋ ชว่ ยให้เคล่อื นท่ีในนำ้ เลอื ดไดด้ ีและทำให้มีพื้นที่
ผวิ สมั ผสั มากขึน้ ขณะเกดิ ขึน้ ใหม่มนี ิวเคลียสแตเ่ ม่ือโตเต็มท่ีนวิ เคลียสจะสลายไป

• แหลง่ สรา้ ง ทารกที่อยูใ่ นครรภเ์ ม็ดเลือดแดงสรา้ งมาจากตบั ม้าม ไขกระดูก และ
ภายหลงั จากคลอดแลว้ เมด็ เลอื ดแดงจะสรา้ งมาจากไขกระดูก เซลล์เม็ดเลอื ดแดงมีอายปุ ระมาณ
100-120 วัน แลว้ จะถูกสง่ ไปทำลายที่ตบั และม้าม

• หน้าท่ี ลำเลยี งแกส๊ แกซิเจนจากปอดไปสู่เซลล์ และลำเลียงแกส๊ คาร์บอนไดออกไซดจ์ าก
เซลล์กลบั ไปยังปอดภายในเซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดง จะมีเฮโมโกลบินซง่ึ เปน็ โปรตนี ทีม่ ธี าตเุ หล็กเปน็
องค์ประกอบ เฮโมโกบินสามารถจบั ออกซเิ จนไดด้ ี และยังจบั คารบ์ อนไดออกไซด์และ
คารบ์ อนมอนอกไซด์ได้อีกดว้ ย ทำใหส้ ามารถลำเลียงแกส๊ เหลา่ นไี้ ด้

59. เซลล์เมด็ เลอื ดขาว (Leucocyte หรือ White blood cell)
• ลกั ษณะ รูปร่างกลม ขนาดใหญ่กวา่ เซลล์เมด็ เลือดแดง มีนิวเคลยี ส สามารถเปล่ียนรูปได้

เม่ือผวิ เซลลส์ มั ผสั กบั เนือ้ เยื่ออ่นื
• แหลง่ สรา้ ง คือ ไขกระดูก มา้ ม และต่อมน้ำเหลือง เซลล์เมด็ เลือดขาวมอี ายุ 2-3 วัน
• หน้าที่ เซลลเ์ มด็ เลอื ดขาวมีหลายชนิด บางชนิดทำหน้าที่จบั และทำลายเช้ือโรคหรือส่งิ

แปลกปลอมท่เี ขา้ สรู่ า่ งกาย บางชนดิ ทำหนา้ ทส่ี ร้าง
แอนตบิ อดี ซึง่ เป็นสารประเภทโปรตนี ทำให้รา่ งกายมีภมู ิคุม้ กันต่อโรคหรือสิง่ แปลกปลอมท่ีเข้าสู่
รา่ งกาย จำนวนเซลล์เม็ดเลอื ดขาวทเ่ี ปลยี่ นแปลงจากปกติจงึ เปน็ ดัชนีบ่งชคี้ วามเจบ็ ป่วยของรา่ งกาย
60. การตรวจนับจำนวนเมด็ เลือด เปน็ วธิ กี ารหน่ึงทแ่ี พทย์ใชว้ นิ จิ ฉยั โรคอย่างกว้าง ๆ ได้ โดยสังเกต
จากจำนวนเซลลห์ รอื รปู ร่างของเซลลค์ วรคู่ไปกบั การตรวจจำนวนของเกล็ดเลือด
61. วัคซีน (Vaccine) คือ เช้ือโรคที่ตายแลว้ หรอื เชื้อโรคท่ถี กู ทำให้อ่อนกำลังลงแมน้ ำมาใชก้ ระต้นุ
ใหร้ า่ งกายสร้างแอนตบิ อดตี ่อต้านเชอ้ื โรคนั้น ๆ
62. การผลติ วัคซีน มวี ิธีการดังน้ี

1) ผลิตจากเชอ้ื โรคทตี่ ายแล้ว และไมท่ ำให้เกดิ โรคกบั ร่างกาย แต่สามารถกระตุ้นระบบ
ภมู คิ มุ้ กันให้สร้างแอนตบิ อดีได้ เชน่ วัคซนี ปอ้ งกนั โรคไอกรน ไข้ไทฟอยด์ โรคคอตีบ โรคบาดทะยัก
โรคไขห้ วัดใหญ่ เปน็ ต้น

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 61

2) ผลติ จากเชื้อโรคทยี่ ังมชี วี ติ อยซู่ ่ึงถูกทำให้อ่อนกำลังลง เชอ้ื โรคเหล่านจ้ี ะไม่ทำใหเ้ กิดโรค
รุนแรง แตส่ ามารถกระตนุ้ ให้ร่างกายสรา้ งแอนตบิ อดไี ด้ เช่น วัคซีนปอ้ งกันโรควณั โรค โรคหดั โรค
หัดเยอรมนั และโรคคางทมู เปน็ ตน้
63. หลกั การของวัคซีน คือ ทำใหร้ ะบบภูมิคมุ้ กนั ของร่างกายรูจ้ กั กับเชอื้ โรคที่ไมเ่ คยเจอมาก่อน
เพอื่ ทร่ี ะบบภูมิคมุ้ กันของรา่ งกายจะไดร้ วู้ ่าจะรบั มือกับเชอื้ โรคชนิดน้นั ๆ ไดอ้ ย่างไร
64. เซรมุ่ (Serum)เปน็ ของเหลวสเี หลืองใส ทำใหเ้ กดิ ภูมิต้านทานเชอ้ื โรคนำมาฉีดในคนเพ่ือใหเ้ กดิ
ภมู ติ า้ นทานเชื้อโรค มีประโยชนอ์ ย่างมากในการใชร้ ักษาโรคท่ีแสดงอาการรนุ แรงเฉียบพลัน เช่น
เซร่มุ แก้พิษงู เซรุ่มโรคคอตบี เซรุ่มโรคกลวั นำ้ เปน็ ตน้
65. การผลติ เซรมุ่ มดี งั น้ี

1) การฉีดเช้ือโรคท่ีอ่อนกำลังลงเข้าไปในสัตว์ เช่น มา้ หรอื กระตา่ ยเพอ่ื ให้รา่ งกายของสตั ว์
สร้างแอนติบอดีขึน้ มาต่อต้านเช้ือโรคนั้น แล้วนำเลือดของสัตว์เฉพาะสว่ นท่ีเปน็ เซรุ่มจะมีแอนตบิ อดี
อยู่มาเกบ็ ไว้

2) การนำเลือดของผ้ทู ่เี พม่ิ จะหายปว่ ยจากโรคท่ีต้องการผลติ เซรุ่มมาแยกเอาเฉพาะส่วนท่ี
เปน็ นำ้ สเี หลอื งใส ซ่ึงมแี อนติบอดีทมี่ ีความจำเพาะตอ่ โรคไว้
66. หลกั การของเซรมุ่ นำเซรุ่มมาฉีดให้กบั คนป่วยที่แสดงอาการรนุ แรงเฉียบพลนั ทำให้ร่างกาย
ได้รับแอนติบอดีโดยตรง และมีภมู คิ ุ้มกนั ทันทแี ต่จะมภี ูมิคุ้มกันอยู่ในระยะเวลาสน้ั ๆ เท่านน้ั
67. เกลด็ เลือด (Thrombocyte หรือ Blood platelet)

• ลักษณะ รปู รา่ งกลม ไมม่ ีนวิ เคลียส ไมใ่ ชเ่ ซลล์แต่เปน็ ชนิ้ สว่ นของเซลล์
• แหลง่ สร้าง คือ ไขกระดกู เกลด็ เลือดมีอายเุ พยี ง 4 วนั เท่านั้น
• หน้าที่ ทำใหเ้ ลือดแขง็ ตัวเมื่อเลอื ดออกสภู่ ายนอกรา่ งกาย และช่วยหา้ มเลือดในกรณที ี่
เกิดบาดแผล โดยจะจับตวั เป็นกระจุกรา่ งแหอุดรูของหลอดเลือดฝอยไว้
68. ระบบหมุนเวียนเลือด แบ่งออกเป็น 2 แบบคือ
1) แบบวงจรปดิ เป็นระบบท่มี ีหลอดเลือดต่อเนอื่ งกันเป็นวงจรเลือดจะไหลอย่ใู นหลอด
เลือดตลอดเวลา และมีการแลกเปลย่ี นสารระหว่างเลอื ดกบั เซลลท์ างผนังหลอดเลอื ดฝอย
2) แบบวงจรเปดิ เป็นระบบทเ่ี ลือดไม่ได้ไหลเวียนอยู่ในหลอดเลือดตลอดเวลา บางชว่ ง
เลือดจะไหลออกจากหลอดเลือดแทรกซึมไปตามช่องรบั เลอื ดตามลำตวั เนอ่ื งจากหลอดเลือดไม่ได้
เช่ือมติดต่อกนั ตลอด การแลกเปลย่ี นสารระหว่างเลือดกับเซลล์จะแลกเปล่ยี นโดยไมต่ ้องผ่านผนัง
หลอดเลอื ดฝอยเนื่องจากเลอื ดสมั ผสั เซลล์โดยตรง

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

62 คมู่ อื เตรยี มสอบ

69. ระบบหมุนเวียนเลือดของปลา ปลามีหัวใจ 2 ห้อง เลือดทม่ี ีแก๊สออกซเิ จนต่ำจากส่วนตา่ ง ๆ
ของร่างกายจะเขา้ ส่หู ัวใจห้องบนแล้วเคลอ่ื นลงสู่หัวใจหอ้ งล่างซงึ่ สูบฉีดเลอื ดไปยงั เหงอื กเพ่อื
แลกเปลย่ี นแกส๊ เลือดมีแกส๊ ออกซิเจนสูงจากเหลือกจะไหลตามหลอดเลือดไปยังสวนต่าง ๆ ของ
ร่างกายแล้วไหลกลบั เข้าสู่หัวใจห้องบนอีก
70. ระบุหมุนเวียนเลอื ดของแมลง หัวใจของแมลงมลี ักษณะเปน็ ท่ออยูบ่ รเิ วณด้านบนของลำตวั
และมีรเู ปดิ เปน็ ระยะ ๆ เพ่ือให้เลือดผ่อนเข้าไปในทอ่ ได้ ท่อนีจ้ ะบีบตัวดนั เลือดออกไปยังหลอดเลอื ด
ทแ่ี ยกออกจากหวั ใจและไปสู่สว่ นต่าง ๆ ของรา่ งกายนอกหลอดเลอื ดจะสัมผัสกับเน้ือเย่อื โดยตรงทำ
ใหเ้ กดิ การแลกเปล่ยี นสารขึน้ เมือ่ ท่อคลายตวั และมีการบีบตวั ของกล้ามเนือ้ ลำตวั จะทำใหเ้ ลือดไหล
กลบั เขา้ สหู่ วั ใจทางรูเปดิ อีกครง้ั
71. ระบบหายใจ มหี นา้ ท่ีนำแก๊สออกซิเจนจากการหายใจเข้าส่รู ่างกายเพื่อทำปฏิกิรยิ ากับ
สารอาหารก่อใหเ้ กิดพลงั งาน น้ำ และแกส๊ คาร์บอนไดออกไซดซ์ งึ่ จะถูกกำจัดออกจากรา่ งกายทางลม
หายใจออก
72. การหายใจ หมายถงึ กระบวนการทแี่ กส๊ ออกซเิ จนเข้าสเู่ ซลล์ต่าง ๆ ของรา่ งกายแลว้ ทำ
ปฏิกริ ยิ าเผาผลาญสารอาหารทำใหไ้ ด้พลงั งาน น้ำ และแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ออกมา
73. กระบวนการหายใจ เร่ิมจากอากาศเขา้ จมูกผา่ นไปตามโพรงจมูกหลอดลม และเข้าสูป่ อด
ภายในปอดประกอบดว้ ยถงุ ลมจำนวนมาก ถงุ ลมแตล่ ะอันมีหลอดเลอื ดฝอยหอ่ หุ้มอยู่ และเป็น
บริเวณท่มี กี ารแลกเปล่ียนระหว่างแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์และแก๊สออกซเิ จน แกส๊ ออกซิเจน จาก
ถงุ ลมท่ีมีความเข้มขน้ มากกว่าจะแพร่เข้าสหู่ ลอดเลือดฝอยและถกู ลำเลยี งไปกับเมด็ เลือดแดงกลบั เขา้
ส่หู ัวใจเพื่อส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายแลว้ แกส๊ ออกซิเจนจะแพรเ่ ขา้ สูเ่ ซลล์ทำปฏิกิริยาเผา
ผลาญสารอาหารที่อยภู่ ายในเซลล์ ไดพ้ ลังงาน น้ำ และแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ออกมา จากนน้ั แกส๊
คารบ์ อนไดออกไซดจ์ ะกลบั มาแพร่เข้าสูถ่ งุ ลมในปอด ถูกลำเลยี งผ่านหลอดลมออกสู่ภายนอก
รา่ งกายทางลมหายใจออก
74. กลไกการหายใจเข้าและการหายใจออก

1) การหายใจเข้า เกิดจากกระดูกซโี่ ครงเล่อื มสงู ขึ้น กล้ามเน้อื กระบงั ลมเล่อื นตำ่ ลงทำให้
ปรมิ าตรภายในช่องอกมีมากข้ึน และความดนั อากาศลดต่ำลงอากาศภายนอกจึงผา่ นเขา้ สปู่ อดได้

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 63

2) การหายใจออก เกดิ จากกระดูกซโ่ี ครงเลื่อนตำ่ ลง กล้ามเน้ือกระบงั ลมเลือ่ นสูงขึน้ ทำ
ให้ปริมาตรภายในช่องอกน้อยลง และความดันอากาศภายในชอ่ งอกสูงขนึ้ อากาศภายในจงึ เคลื่อน
ออกจากปอดสภู่ ายนอกได้
75. แกส๊ ท่เี ปน็ ส่วนประกอบของอากาศท่ีเข้าและออกจากปอด มสี ดั สว่ นเปลยี่ นแปลงดังน้ี

76.ความจุอากาศของปอด เปน็ ค่าทบ่ี อกวา่ ปอดของเรามีความสามารถในการแลกเปลี่ยนแกส๊
ได้มากน้อยแค่ไหน วดั ได้จากปริมาตรของอากาศขณะหายใจเข้าเตม็ ที่แลว้ ผอ่ นลมหายใจออกมา
77. ปัจจัยที่มผี ลต่อความจุอากาศของปอด

1) เพศ เพศชายจะมคี วามจุมากกวา่ เพศหญิง
2) อายุ ผสู้ ูงอายุจะมคี วามจะของปอดลดลง
3) สภาพร่างกาย เช่น นกั กีฬา นกั ดนตรปี ระเภทเคร่ืองเปา่ หรือ ผูท้ อ่ี อกกำลังกายเป็น
ประจำ จะมีความจะของปอดมากกวา่ คนปกติ
4) โรคบางชนดิ เชน่ โรคถงุ ลมโปง่ พอง โรคมะเร็งในปอด จะทำใหป้ อดมีความจะอากาศ
นอ้ ยลง
78. ระบบหายใจของปลา เมื่อปลาเคล่ือนไหวแผ่นแก้มของปลาจะเคลอื่ นไหวด้วย โดยการ
เคล่อื นไหวจะเปน็ จงั หวะพอดีกบั การอ้าปากและหุบปากของปลา ทำใหน้ ้ำที่มีแก๊สออกซเิ จนละลาย
อย่เู ข้าทางปากแล้วผา่ นออกไปทางเหงือก แก๊สออกซเิ จนจากนำ้ จะแพร่เขา้ สู่หลอดเลือดฝอยและถูก
ลำเลียงไปสูส่ ว่ นต่าง ๆ ของรา่ งกายเกดิ การเผาผลาญอาหารได้พลังงานและแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์
ซ่ึงแกส๊ นี้จะแพรเ่ ขา้ สู่หลอดเลือดไหลไปสูห่ ลอดเลือดฝอยทเี่ หงอื กและแพร่ออกสนู่ ้ำ
79. ระบบหายใจของแมลง อากาศจะผ่านเข้าสชู่ อ่ งหายใจ (Spiracle) ซงึ่ เปน็ รเู ล็ก ๆ ขา้ งลำตวั
สว่ นทอ้ ง แลว้ ผา่ นเขา้ สทู่ ่อลมซ่งึ แตกแขนงเป็นหลอดเลก็ ๆ แทรกไปตามเน้ือเยื่อต่าง ๆ ท่วั ร่างกาย

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

64 ค่มู อื เตรยี มสอบ

เพือ่ แลกเปล่ยี นแกส๊ แกส๊ ออกซิเจนจะแพร่เข้าสู่เซลล์ ในขณะเดยี วกันแกส๊ คาร์บอนไดออกไซดจ์ าก
ภายในเซลล์จะแพร่เขา้ สูแ่ ขนงหลอดลมผ่านมาตามท่อลม เมือ่ ท่อลมบีบตัวแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
จะถกู ขบั ออกมาทางช่องหายใจ แมลงบางชนิดจะมีถงุ ลมตดิ ต่อกับทอ่ ลมเพื่อสำรองอากาศไว้สำหรบั
บิน
80. ระบบหายใจของไฮดรา ไฮดราไมม่ ีอวยั วะที่ใชใ้ นการหายใจการแลกเปลย่ี นแกส๊ ระหว่างเซลล์
กบั ส่งิ แวดลอ้ มเกิดจากการแพร่โดยทภี่ ายในเซลล์ของไฮดราจะมแี กส๊ ออกซเิ จนน้อยกว่าในนำ้ แกส๊
ออกซิเจนจึงแพร่จากน้ำผา่ นเข้าสู่เซลล์ และแพร่จากเซลล์หนง่ึ ไปยงั เซลล์ถดั ไปเรื่อย ๆ ใน
ขณะเดียวกนั แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ในเซลล์จะมีปริมาณมากกวา่ ในน้ำจะแพร่ออกจากเซลล์ด้วย
วธิ ีการเดยี วกัน
81. การขบั ถา่ ย หมายถงึ การกำจดั ของเสียทเ่ี ป็นอันตรายหรอื สารท่ีร่างกายไม่ตอ้ งการออกจาก
รา่ งกาย เชน่ แอนโมเนีย ยูเรีย กรดยรู ิก และ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น
82. ผิวหนัง ทำหน้าท่กี ำจดั ของเสยี พวกยูเรยี ออกจากเลือดในรปู ของเหง่อื
83. ลำไสใ้ หญ่ ทำหนา้ ทกี่ ำจัดของเสยี และกากอาหารออกมาในรูปของอจุ จาระ
84. ปอด ทำหนา้ ทรี่ บั แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์จากนำ้ เลือดและนำออกสภู่ ายนอกรา่ งกายทางลม
หายใจออก
85. ไต ทำหนา้ ทกี่ รองของเสยี พวกยูเรียและสารทไี่ ม่มีประโยชนอ์ อกจากเลือดในรูปของน้ำปสั สาวะ
นอกจากน้ียังทำหน้าทีร่ กั ษาสมดุลของน้ำ แร่ธาตุ และสารบางชนดิ อกี ด้วย
86. ไตของคน เปน็ อวัยวะท่ีมลี ักษณะคลา้ ยเมล็ดถ่ัวมีอยู่ 2 ข้าง อยู่ทางดา้ นหลงั ของช่องทอ้ งเหนือ
ระดบั เอว ไตข้างขวาจะอยู่ต่ำกว่าข้างซ้ายเลก็ น้อย
87. ลกั ษณะโครงสร้างของไต ประกอบดว้ ย

1) เน้อื เยื่อสองชนั้ ได้แก่ เนือ้ ไตช้ันนอกและเนอ้ื ไตชัน้ ใน
✓ เน้ือไตชั้นนอก (Cortex)มลี ักษณะเปน็ จดุ สแี ดงกระจายอยมู่ ากมาย แต่ละจุดคือ
หนว่ ยไต(Nephron) ท่ีทำหนา้ ทีใ่ นการกรองซง่ึ ประกอบด้วยโบว์แมนสแ์ คปซูล
(Bowmans capsule) โกลเมอรูลสั (Glomerulus) ท่อขดสว่ นตน้ และทอ่ ขด
ส่วนทา้ ย

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 65

✓ เนอ้ื ไตชน้ั ใน (Medulla)มลี ักษณะเปน็ เส้นหรือท่อเรยี งตวั เปน็ เน้อื เยอื่
ประกอบดว้ ยหา่ งเฮนเลและหลอดไตรว่ มเป็นส่วนท่ีนำเอาน้ำปสั สาวะไปเปดิ สู่กรวย
ไตเพื่อนำออกไปสูห่ ลอดไต

2) กรวยไต เปน็ สว่ นทอ่ี ยูต่ รงส่วนรอยเวา้ ของไตโดยเปน็ ทร่ี วมของน้ำปัสสาวะท่ีไหล
ออกมาจากหลอดไต
88. การกำจัดของเสียทางไต หลอดเลอื ดอารเ์ ทอรีจะนำเลอื ดมายงั ไตผ่านเข้าสู่หนว่ ยไต ซึ่งภายใน
มโี กลเมอรลู สั ทำหนา้ ท่ีกรองสารและของเสยี ออกจากเลือด โดยจะยอมให้สารท่ีมีโมเลกุลเล็ก ๆ เช่น
กลโู คส เกลือแร่ ยูเรีย ผา่ นไปได้พร้อมกบั น้ำ สว่ นสารทีม่ ีโมเลกุลขนาดใหญ่ เช่น โปรตนี โมเลกุล
ใหญ่ ไขมัน และเซลล์เมด็ เลือด จะไม่ยอมใหผ้ า่ น จากนัน้ ของเหลวจะผ่านเข้าสูโ่ บว์แมนสแ์ คปซูล
และผา่ นเข้าส่ทู ่อของหนว่ ยไต ตามลำดับทอ่ ของหน่วยไตจะดดู นำ้ และสารต่าง ๆ ทีม่ ีประโยชน์ตอ่
ร่างกาย เช่น กลูโคส กรดอะมโิ น วติ ามินบางชนิดกลังสูก่ ระแสเลือด สว่ นของเสยี

เชน่ ยูเรีย และสารทร่ี ่างกายไมต่ ้องการจะปะปนอยู่ในน้ำปสั สาวะ และถกู ส่งเข้าสู่หลอดไต
รว่ ม และหลอดไตร่วมหลาย ๆ หลอดจะรวมกันแล้วเปดิ เข้าสกู่ รวยไต นำปัสสาวะรวมกันเขา้ สูห่ ลอด
ไต ผา่ นเขา้ สูก่ ระเพาะปสั สาวะ และขบั ปัสสาวะออกทางท่อปัสสาวะ
89. น้ำปสั สาวะของคนปกติ มลี ักษณะใส สีเหลืออ่อน ๆ มคี า่ pH ประมาณ 4.8-8.0 สว่ นใหญม่ ี
สมบตั เิ ปน็ กรดออ่ น ๆ แต่ถา้ ต้ังทิง้ ไวน้ าน ๆ จะมีสมบตั เิ ป็นเบสเพราะยูเรียจะถูกสลายโดยแบคทีเรยี
กลายเป็นแอมโมเนีย น้ำปัสสาวะประกอบด้วยสารหลายชนดิ เช่น นำ้ ยเู รยี คลอรีน โพแทสเซียม
ฟอสเฟต กรดยูริก แอนโมเนีย เป็นต้น
90. การทดสอบนำ้ ปสั สาวะเป็นการทดสอบเบื้องตน้ เกีย่ วกับการทำงานของไต เพราะถา้ ไตไม่
ทำงานหรอื ทำงานผิดปกตจิ ะทำใหม้ ีของเสยี สะสมอยู่ในเลือดมาก เม่ือเลือดไหลไปหลอ่ เล้ยี งเซลล์
ตา่ ง ๆ ของร่างกายจะทำใหเ้ ซลลท์ ำงานผิดปกติ และอาจทำให้การกรองสารต่าง ๆ ผดิ ปกตโิ ดยสารที่
มโี มเลกุลใหญ่บางชนดิ เช่น เม็ดเลือดแดง น้ำตาล และโปรตีน อาจผ่านออกมากบั น้ำปัสสาวะได้
91. ระบบขบั ถ่ายของแมลง แมลงที่อาศยั ออยูบ่ นบกมีอวัยวะขบั ถา่ ยของเสยี เรียกว่า ท่อมัลพเิ กยี น
(Malpighian tubule) ลกั ษณะเป็นท่อเล็ก ๆ ตนั จำนวนมากย่นื ออกมาจากบรเิ วณรอยต่อ ระหว่าง
กระเพาะอาหารกบั ลำไส้ สารทม่ี ปี ระโยชน์ในเลือดจะถูกดูดซึมกลบั เข้าสทู่ างเดินอาหาร สว่ นของ
เสียจะถูกลำเลียงผา่ นเข้าในท่อมลั พเิ กยี นและนำ้ จะถกู ดดู กลับสูร่ ่างกายทำให้ของเสียมีสภาพเปน็ สาร
กึง่ แข็งก่งึ เหลว และของเสียที่มีไนโตรเจน เป็นองค์ประกอบจะถกู เปลยี่ นเปน็ กรดยูริกซง่ึ ไมล่ ะลายน้ำ
แลว้ จงึ เคลอื่ นเข้าบรเิ วณทางเดนิ อาหารและขบั ถ่ายออกมาพร้อมกากอาหาร

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

66 คมู่ อื เตรยี มสอบ

92. ระบบประสาท (Nervous system)เป็นตวั ควบคมุ การทำงานและการรบั ความร้สู กึ ของอวยั วะ
ทกุ สว่ นในรา่ งกาย รวมทง้ั ความรสู้ กึ อารมณ์ และความทรงจำตา่ ง ๆ ประกอบดว้ ย สมอง ไขสนั
หลงั และเสน้ ประสาท แบง่ ออกเปน็

1) ระบบประสาทส่วนกลาง ทำหนา้ ทรี่ บั ความรูส้ ึกท่ถี กู กระตนุ้ แลว้ สง่ั การให้อวยั วะตา่ ง
ๆ ทำงาน ระบบนี้ได้แก่ สมอง ไขสันหลัง และอวยั วะรับความรู้สึก

2) ระบบประสาทรอบนอก ทำหน้าท่นี ำความรู้สึกเข้าสู่ระบบ ประสาทส่วนกลางและนำ
คำสั่งปฏิบัตงิ าน จากระบบประสาทสว่ นกลางไปยังอวยั วะปฏบิ ัตงิ าน ระบบนี้ได้แก่ เส้นประสาท
ทัง้ หมดที่ออกมาจากสมองและไขสนั หลัง

93. เซลล์ประสาท ประกอบดว้ ย
1) ตวั เซลล์ เปน็ สว่ นของไซโทพลาซมึ และนวิ เคลยี ส ส่วนใหญจ่ ะอยู่ภายในสมองและไขสันหลงั
2) เสน้ ใยประสาท เปน็ ส่วนของเซลล์ที่มีลักษณะเป็นแขนงเล็กๆ ยน่ื ออกมาจากตวั เซลล์

มี 2 พวก คอื
• เดนไดรต์ เปน็ เส้นใยประสาททน่ี ำกระแสประสาทเข้าสู่ตัวเซลล์
• แอกซอน เป็นเสน้ ใยประสาททนี่ ำกระแสประสาทออกจากตัวเซลล์
94. สมอง (Brain)เปน็ อวัยวะของระบบประสาททซ่ี บั ซ้อนขนาดใหญ่ และเจริญดีท่ีสดุ ในระบบ
ประสาท มลี ักษณะเป็นหลอดหรอื ทอ่ ท่ีพองจนเต็มกะโหลกศรี ษะ หากแบง่ สมองออกเปน็ ส่วน ๆ
ตามหนา้ ทค่ี วบคมุ การทำงานของร่างกายจะแบ่งได้ 3 ส่วน คอื
1) สมองใหญ่ ควบคมุ การได้ยนิ การดมกลิน่ การรับรส การพูด การคิด การเคลอื่ นไหว
การรับสัมผัส การมองเห็น
2) สมองน้อย ควบคุมการทรงตวั
3) ก้านสมอง ควบคมุ กรหายใจและการเต้นของหวั ใจ
95. สมองส่วนหนา้ ไดแ้ ก่
1) ทาลามสั (Thalamus)ทำหนา้ ที่เปน็ ศูนย์รวมกระแสประสาทท่ีผา่ นเข้ามาแล้วแยก
กระแสประสาทสง่ ไปยงั สมอง ทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั กระแสประสาทนัน้ ๆ
2) ไฮโพทาลามสั (Hypothalamus)ทำหนา้ ทีร่ ักษาดุลยภาพของร่างกาย ควบคุม
อณุ หภูมขิ องรา่ งกาย เปน็ ศูนย์ควบคมุ ระบบประสาทอัตโนมตั ิ ซึ่งเก่ียวข้องในการควบคุมการทำงาน

ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 67

ของอวัยวะตอบสนองรา่ งกาย เช่น การเตน้ ของหวั ใจ ความดันเลือด นอกจากนยี้ ังเปน็ ศนู ย์ควบคมุ
อารมณ์ และความร้สู ึกตา่ ง ๆ

3) เซรีบรมั (Cerebrum) ทำหน้าที่สั่งการการปฏบิ ัตกิ ารของกลา้ มเนื้อ การบันทึก
ความทรงจำ การหาเหตุผล การตัดสินใจ ความคิดรเิ ร่มิ และเปน็ ท่ีเกดิ การเรียนรู้
96.สมองส่วนกลาง ทำหนา้ ทเ่ี กี่ยวข้องกบั การควบคุมการเคลอ่ื นไหวของนยั น์ตาทำให้ลูกตากลอก
ไปมาได้ และควบคุมการปดิ เปิดของม่านตา
97. สมองส่วนหลงั ได้แก่

1) เมดัลลา ออบลองกาตา (Medulla oblongata)ทำหน้าท่ีรบั กระแสประสาทจากไข
สนั หลงั ผา่ นไปยงั สมอง ควบคุมการหายใจ การกลนื อาหาร การย่อยอาหาร และการเตน้ ของหวั ใจ

2) เซรีเบลลมั (Cerebellum) ทำหน้าที่ควบคมุ กลา้ มเน้อื ต่าง ๆ ใหท้ ำงานประสานกัน
ควบคมุ การทรงตัว และการเคลอ่ื นที่ของร่างกายใหเ้ ปน็ ไปอย่างราบรนื่

3) พอนส์ (Pons)ทำหน้าที่ควบคมุ การเคล่ือนไหวเกีย่ วกับการเคย้ี ว การหลั่งนำ้ ลาย การ
เคลื่อนไหวของลูกตา การเคลือ่ นไหวบรเิ วณใบหน้า การรับรู้เกย่ี วกบั การทรงตวั และการได้ยิน
98. ไขสันหลงั (Spinal cord)เปน็ สว่ นทต่ี อ่ จากสมองอยู่ภายในโพรงของกระดกู สันหลัง ตรงกลาง
ของไขสนั หลงั จะเปน็ ชอ่ งยาวโดยตลอดข้นึ ไปตดิ ต่อกบั โพรงภายในสมอง ภายในมีน้ำเลย้ี งสมองและ
ไขสนั หลงั บรรจอุ ยู่
99. หน้าทขี่ องไขสันหลงั

1) เปน็ ทางผ่านของกระแสประสาทระหว่างหนว่ ยรบั ความรสู้ กึ กับสมองและสมองกับหน่วย
ปฏบิ ตั งิ าน

2) เป็นศนู ย์สง่ั การให้หนว่ ยปฏิบตั งิ านทำงานได้
3) ควบคุมปฏกิ ิริยารีเฟลกซ์ (Reflex) ซ่ึงเปน็ ปฏกิ ริ ยิ าที่เกิดขน้ึ อย่างทนั ทีทนั ใด โดยไม่
ต้องรอให้สมอสงส่งั การ เช่น การกระตุกเท้าหนที ันทเี ม่อื เหยยี บของมคี มหรือของร้อน
100. เส้นประสาท เป็นส่วนท่เี ชอื่ มต่อระหว่างอวยั วะตา่ ง ๆ กับสมองและไขสนั หลงั ทำหนา้ ท่ีรับส่ง
ข้อมลู ในรปู ของสญั ญาณไฟฟ้าทเี่ รยี กว่า กระแสประสาท
101.ส่งิ เรา้ หมายถงึ สงิ่ ทเ่ี ปน็ สาเหตทุ ำใหส้ ง่ิ มีชวี ติ เกดิ การแสดงพฤตกิ รรมออกมาตอบสนอง
แบ่งเปน็ 2 กลุม่ คือ
1) สิ่งเรา้ ภายนอก คือ สง่ิ เร้าทอี่ ยูภ่ ายนอกร่างกายของผแู้ สดงพฤติกรรม เช่นความร้อน
ความเยน็ แสง เสยี ง นำ้ อาหาร สารเคมี เปน็ ตน้

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

68 ค่มู อื เตรยี มสอบ

2) ส่ิงเรา้ ภายใน คอื ส่ิงเรา้ ท่ีอยูภ่ ายในรา่ งกายของผูแ้ สดงพฤติกรรม เชน่ ความหิว
ความกระหาย ความร้สู ำเจบ็ ปวด เป็นต้น
102. พฤติกรรม (Behavior)หมายถึง อาการทีแ่ สดงออกเพื่อตอบสนองต่อการเปลยี่ นแปลงของ
สภาพแวดลอ้ มทั้งภายนอกร่างกายท่ีส่งิ มีชีวติ ต้องเผชญิ หรอื สัมผัส และภายในร่างกายของสิ่งมชี ีวิต
103. ประเภทของพฤติกรรม แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ

1) พฤติกรรมท่ีเกิดขึ้นไดเ้ องโดยไม่ต้องเรียนรู้ หรือพฤติกรรมทีม่ มี าแต่กำเนิด
2) พฤติกรรมทเ่ี กดิ จากากรเรียนรู้ หรือมีประสบการณ์มาก่อน
104. พฤตกิ รรมท่เี กิดข้นึ ไดเ้ องโดยไม่ต้องเรียนรู้ เป็นพฤตกิ รรมที่แสดงออกมาได้เองโดยไม่ต้องมี
การฝกึ ฝนหรอื เรยี นร้มู าก่อน เช่น การชักใยของแมงมุม การฟักไขข่ องแม่ไก่ การสรา้ งรังของนก
การดูดนมของเดก็ ทารก หรอื อย่างการกะพรบิ ตาเม่ือมีวัตถุเคลอ่ื นท่ีเขา้ มาใกลก้ บั นยั น์ตา เป็นตน้
เป็นพฤติกรรมทตี่ อบสนองต่อสิง่ เร้าทันทที ันใดเรยี กวา่ ปฏิกริ ิยารเี ฟลก็ ซ์
105.พฤติกรรมทเี่ กดิ จากการเรียนรู้ เปน็ พฤตกิ รรมท่ีเกยี่ วขอ้ งกับระบบประสาทเนื่องจากตอ้ งอาศยั
ประสบการณห์ รือการเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตจากประสบการณ์ในอดตี ส่วนใหญ่พบพฤติกรรมแบบนใ้ี น
ส่ิงมชี ีวติ ช้นั สงู ทีม่ ีระบบประสาทเจริญดี พฤติกรรมการเรียนร้มู ีหลายประเภท ได้แก่ พฤติกรรมการ
เรียนรู้แบบความเคยชนิ การมเี ง่ือนไข การลองผดิ ลองถูก ความฝงั ใจ และการรู้จักใชเ้ หตผุ ล
106. พฤติกรรมการเรียนรู้แบบความเคยชิน (Habituation)เปน็ พฤติกรรมของส่งิ มีชีวิตท่ี
แสดงออกด้วยการละเลยหรอื เพกิ เฉยต่อส่งิ เรา้ ทมี่ ากระตุน้ ซำ้ กนั หลาย ๆคร้งั ถา้ หากสิ่งเรา้ นัน้ ไม่มี
ส่งิ เรานน้ั ไม่มีผลต่อการดำรงชีวติ ท้งั ในดา้ นท่ีมีประโยชนแ์ ละใหโ้ ทษ โดยการตอบสนองของสิง่ มีชวี ติ
จะเกดิ ข้นึ เมื่อมสี งิ่ เรา้ มากระตุ้นในครงั้ แรก ๆ แล้วจะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อง ๆ จนหยดุ ตอบสนองต่อสง่ิ
เร้าในที่สดุ ทัง้ ๆ ท่ีการกระต้นุ จากสิ่งเร้ายงั คงมอี ยู่ เช่น การเห่าของสนุ ัขเม่ือเห็นคนแปลกหน้า
107. พฤตกิ รรมการเรียนรูแ้ บบการมเี งื่อนไง (Conditioned rdflex)เปน็ พฤติกรรมของสิ่งมชี วี ติ
ทีแ่ สดงออก เพ่อื ตอบสนองสง่ิ เร้าสองชนิดที่มากระตุ้นตามลำดบั โดยมแี บบแผนของการตอบสนอง
ต่อสง่ิ เร้าสองชนิดทมี่ ากระตุ้นตามลำดบั โดยมแี บบแผนของการตอบสนองคงเดมิ เมื่อสิ่งเร้าชนดิ
แรกถูกแทนที่ด้วยสิ่งเรา้ ชนดิ หลังเชน่ การเลย้ี งปลาและให้อาหารปลาทกุ วนั เม่ือหย่อนมอื อยู่เหนอื
อา่ งปลาจะว่ายมาทุกคร้ังแมไ้ มม่ อี าหารอยใู่ นมอื
108. พฤตกิ รรมการเรยี นรู้แบบการลองผิดลองถกู (Trial and Error)เป็นพฤตกิ รรมการเรยี นรทู้ ี่
เกิดจากการทดลองทำโดยไม่รู้ว่าพฤติกรรมนั้นจะเกิดผลดีหรอื ผลเสยี ต่อตวั เอง ซึ่งผลของการทดลอง

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 69

ทำจะทำใหส้ ง่ิ มชี ีวติ เกดิ การเรียนร้ทู จ่ี ะเลอื กตอบสนองต่อส่ิงเร้าทม่ี ผี ลดตี อ่ ตวั เองเทา่ นน้ั และ
หลีกเลี่ยงการตอบสนองต่อสิง่ เร้าทีท่ ำให้เกดิ ผลเสยี
109. พฤตกิ รรมการเรียนรู้แบบความฝงั ใจ (Imprinting) เปน็ พฤติกรรมการเรียนร้ทู จี่ ะเกดิ ขึ้น
เฉพาะในชว่ งใดช่วงหน่งึ ของชีวติ สว่ นใหญพ่ บในสตั ว์ปกี เชน่ นำ เปด็ ไก่ ห่าน และสัตวเ์ ล้ียงลกู
ดว้ ยน้ำนม เชน่ ววั ควาย มา้ สนุ ขั
110. พฤติกรรมการเรียนร้แู บบการรจู้ ักใช้เหตผุ ล (Insight learning หรอื Reasoning)เป็น
พฤติกรรมการเรยี นรู้ที่สงิ่ มชี ีวติ สามารถตอบสนองต่อสิ่งเรา้ ท่มี ากระตุ้นไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และถูกต้องใน
ครงั้ แรกต่อสถานการณ์ที่ไม่เคยพบเหน็ มากอ่ น และสงิ่ มีชวี ิตสามารถนำการเรียนรูเ้ ดิมที่ไดจ้ าก
สถานการณ์แบบอน่ื มาใช้แก้ปัญหาใหมท่ ่ีกำลงั เผชิญได้ดี พฤติกรรมแบบน้ีพบในสตั วเ์ ลี้ยงลกู ด้วย
นำ้ นมชนั้ สูง เชน่ ลงิ ชิมแปนซแี ละมนษุ ย์ เปน็ ตน้
111. สารเสพติด หมายถึง ยา สารเคมี หรอื วัตถุชนิดใด ๆ ทอ่ี าจเปน็ ผลิตภณั ฑจ์ ากธรรมชาตหิ รอื
จาการสงั เคราะหข์ ้ึนมา เม่ือเสพเขา้ ส่รู า่ งกายเป็นระยะเวลานานตดิ ต่อกนั จะทำให้ร่างกายทรุดโทรม
และตกเป็นทาสของสง่ิ นัน้ และต้องเพิ่มขนาดการเสพข้นึ เรื่อง ๆ หากไม่ได้เสพจะทำให้เกิดอาการ
ขาดยา และทำใหท้ รมาน
112. ประเภทของสารเสพติด แบง่ ตามการออกฤทธิ์ตอ่ ระบบประสาทสว่ นกลาง
1) ประเภทกดประสาท ได้แก่ ฝิ่น มอรฟ์ นี เฮโรอีน ยากล่อมประสาร สารระเหย ยานอนหลับ
2) ประเภทกระต้นุ ประสาท ไดแ้ ก่ แอมเฟตามนี กระท่อม ยาอี โคคาอีนเอ็กสต์ าซี
3) ประเภทหลอนประสาท ไดแ้ ก่ แอลเอสดี ดีเอ็มที เหด็ ข้ีควาย ยาเค
4) ประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน (อาจกด กระตุ่น หรอื หลอนประสาทรว่ มกัน) ไดแ้ ก่ กัญชา
113. การสืบพันธุ์ (Reproduction)หมายถงึ การเพิม่ จำนวนส่งิ มีชวี ิตจากส่งิ มีชีวติ ชนดิ เดียวกนั
โดยสิ่งมชี วี ิตรุ่นใหมท่ ี่เกิดข้นึ จะมาทดแทนสง่ิ มชี วี ิตร่นุ เก่าท่ีตายไป ทำใหส้ ่งิ มีชวี ิตนั้นไม่สูญพันธุ์
และสามารถดำรงเผ่าพนั ธุ์ของตนตอ่ ไปได้
114. การสบื พนั ธุ์ของคน เป็นการสืบพันธ์ุแบบอาศยั เพศเกดิ จากการรวมตวั ระหวา่ งเซลลส์ บื พนั ธ์ุ
เพศชายและเซลล์สืบพนั ธุ์เพศหญิง เกิดเป็นหนว่ ยส่งิ มีชีวิตใหม่ทม่ี ีลกั ษณะเหมือนพ่อแม่ และเรียก
กระบวนการรวมตวั กันของเซลลส์ ืบพันธ์ุนว้ี า่ การปฏสิ นธิ (Fertillization)
115. เซลล์สบื พนั ธุ์เพศชาย คือ เซลล์อสจุ ิ (Sperm) เซลล์สบื พันธ์ุเพศหญงิ คือเซลล์ไข่ (Egg)
116. ระบบสืบพนั ธุ์เพศชาย ประกอบดว้ ย อัณฑะ หลอดเกบ็ เซลล์อสจุ ิ หลอดนำเซลล์อสุจิ ตอ่ ม
สร้างนำ้ เลีย้ งอสจุ ิ ตอ่ มคาวเปอร์ อวัยวะเพศชาย

ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

70 ค่มู อื เตรยี มสอบ

117. อณั ฑะ (Testis)มีอยู่ 2 ขา้ งและมีขนาดใกล้เคยี งกนั ทำหน้าที่ผลติ ฮอรโ์ มนเพศชายและ
เซลล์สบื พนั ธเ์ุ พศชาย อัณฑะจะอยูใ่ นถุงอัณฑะและมเี ย่ือยึดอณั ฑะตดิ อยู่กบั ผนงั ลำตวั ภายใน
อัณฑะแต่ละขา้ งจะมหี ลอดสร้างเซลล์อสุจิ ซงึ่ เปน็ ท่อเล็ก ๆ และยาวขดไปมาอยู่ภายในอัณฑะ
118. หลอดสร้างเซลล์อสจุ ิ (Seminiferous tubule)ทำหนา้ ท่สี รา้ งเซลลอ์ สุจแิ ละมีอินเตอร์สติ
เชียลเซลล์ (Interstitial cell) แทรกอยู่ซงึ่ เซลล์น้ีจะทำหน้าทีผ่ ลติ ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน
(Testosterone) ซึง่ ทำหน้าท่คี วบคุมลกั ษณะเพศชาย เช่น การมีเสยี งแหบหา้ ว การมีหนวดเป็นต้น
119. ถุงอัณฑะ (Scrotum)เป็นส่วนของผวิ หนงั ทยี่ นื่ ออกมาจากหนา้ ท้อง ทำหน้าท่หี อ่ หุม้ อัณฑะ
และควบคุมอุณหภมู ิภายในถุงอณั ฑะใหเ้ หมาะสำหรบั การสร้างอสจุ ิ เพราะอณุ หภูมิในร่างกายสงู
เกนิ ไปไมเ่ หมาะต่อการสร้างอสจุ ิ
120. หลอดเก็บเซลล์อสจุ ิ (Epididymis)มลี กั ษณะเปน็ ท่อเล็กยาวขดพับทบไปมาอยูบ่ ริเวณใกล้
อัณฑะทำหน้าท่ีเปน็ แหล่งพกั เซลลอ์ สจุ ิที่เพง่ิ สรา้ งข้นึ มาใหเ้ จริญสมบรู รเ์ ตม็ ที่พรอ้ มจะผสมพนั ธไ์ุ ด้
กอ่ นที่จะปลอ่ ยออกสภู่ ายนอก
121. หลอดนำเซลลอ์ สุจิ (Vas deferens)ทำหน้าท่เี ปน็ ทางผา่ นของเซลลอ์ สจุ ิจากหลอดเก็บเซลล์
อสุจิไปยงั ต่อมสร้างนำ้ เลย้ี งอสจุ ิ
122. ตอ่ มสร้างน้ำเลย้ี งอสจุ ิ (Seminal vesicle)ทำหนา้ ทส่ี รา้ งอาหาร เพือ่ ใช้หลอ่ เลย้ี งเซลลอ์ สุจิ
ไดแ้ ก่ น้ำตาลฟรุกโทส วิตามินซี โปรตีน โกลบลู ิน (Globulin) สารเมอื ก และสารอ่ืน ๆ ทช่ี ่วย
ในการเคล่ือนท่ีของเซลล์อสจุ ิ ซ่งึ ช่วยใหอ้ สจุ แิ ข็งแรงและเคลื่อนไหวไดด้ ีข้ึน
123. ต่อมลกู หมาก (Prostate gland)ทำหนา้ ท่สี ร้างสารที่มีฤทธเ์ิ ป็นเบสออ่ น ๆ และสารทที่ ำให้
เซลล์อสจุ ิแข็งแรงโดยเขา้ ไปปนกบั นำ้ เลี้ยงอสุจิ สารท่ีเป็นเบสจะไปลดความเป็นกรดในท่อปสั สาวะ
ทำให้เกิดสภาพทเ่ี หมาะสมต่อเซลล์อสจุ ิ
124. ตอ่ มคาวเปอร์ (Cowper’s gland)มลี ักษณะเป็นต่อมเลก็ ๆ มี 2 ต่อม ทำหนา้ ที่หลั่งสารที่
เป็นของเหลวใส ๆ ไปหล่อลน่ื ทอ่ ปัสสาวะ
125. อวัยวะเพศชาย (Penis)คือ ส่วนที่ย่ืนออกมาจากร่างกายอยู่ระหว่างอัณฑะทั้งสองข้าง
ภายในอวัยวะเพศจะมีท่อปสั สาวะอยูท่ ำหนา้ ทเี่ ปน็ ทางผ่านของน้ำอสจุ แิ ละน้ำปัสสาวะออกนอก
รา่ งกาย
126. นำ้ อสจุ ิ (Semen)ประกอบดว้ ย เซลลอ์ สุจิ สารเมือก และน้ำหล่อเล้ียงตา่ ง ๆ การหล่งั นำ้ อสจุ ิ
แต่ละคร้ังจะมีของเหลวประมาร 3-4 ลูกบาศก์เซนติเมตร มีเซลลอ์ สจุ ิอยปู่ ระมาณ 350-500 ลา้ นตัว

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 71

ซ่งึ ปรมิ าณน้ำอสจุ ิและเซลลอ์ สุจิอาจแตกต่างกนั ไปตามความสมบูรณแ์ ข็งแรงของร่างกาย เชอื้ ชาติ
และสภาแวดล้อม น้ำอสจุ ิมีสภาวะคอ่ นข้างเป็นดา่ งคือมี pH
ประมาณ 7.35-7.50
127.ชายท่ีเป็นหมนั จะมีปรมิ าณเซลลอ์ สจุ ิน้อยกวา่ 30-50 ล้านตัวต่อ 1 ลูกบาศก์เซนตเิ มตร
หรือมเี ซลล์อสุจทิ ่ีผิดปกติมากกวา่ 25 %
128. เซลลอ์ สจุ ิ (Sperm)มีขนาดเลก็ มากไมส่ ามารถมองเห็นไดด้ ว้ ยตาเปล่า ประกอบด้วยสว่ นหวั
สว่ นกลาง และสว่ นหาง ซ่งึ ภายในส่วนหัวจะมนี วิ เคลียส และสว่ นหางโบกพดั ชว่ ยในการเคลอื่ นที่
เซลลอ์ สจุ ิจะเคลื่อนท่ีได้ประมาณ 1-4 มลิ ลเิ มตรต่อนาที และสามารถมีชีวิตอยูใ่ นมดลกู ได้นาน
ประมาณ 1-2 วัน โดยท่ัวไปรา่ งกายเด็กชายจะเรม่ิ สร้างเซลล์อสุจไิ ด้เม่ืออายุ 12-13 ปี และจะสร้าง
ไปจนตลอดชวี ิต
129. ระบบสืบพนั ธเ์ุ พศหญิง ประกอบด้วย รงั ไข่ ท่อนำไข่ มดลูก ช่องคลอด
130. รงั ไข่ (Ovary)รงั ไข่มีอยู่ 2 รงั อยคู่ นละข้างของมดลูก มีเอ็นยดึ ติดกับมดลูกด้านหน้าและ
ด้านหลังกบั ผนงั ชอ่ งทอ้ ง รงั ไขม่ หี นา้ ทผี่ ลิตเซลลไ์ ขซ่ ึ่งเปน็ เซลล์สบื พันธุเ์ พศหญงิ รังไข่แตล่ ะขา้ งจะ
ผลดั กนั ผลติ ไข่ออกมาทุกเดือนปกติเซลลไ์ ข่จะสกุ เดอื นละ 1 เซลล์ และออกจากรงั ไข่ทุกรอบเดอื น
เรียกว่า การตกไข่ และผลิตฮอร์โมนเพศหญิงท่ีสำคัญ 2 ชนิด คือ เอสโทรเจน (Estrogens) และ
โพรเจสเทอโรน (Progesterone)ซึ่งมีหนา้ ท่ีควบคมุ การทำงานของอวยั วะเพศ
131. ท่อนำไข่ (Oviduct)หรือ ปกี มดลกู (Fallopian tube)เปน็ ทอ่ ที่เจริญยน่ื ออกจากตัวมดลกู
ทางดา้ นขา้ งทางซ้ายและขวา ตอนปลายสุดจะบานออกมีลักษณะคลา้ ยปากแตรและอยู่ชดิ กบั รงั ไข่
ผนงั ของท่อนำไปไข่เป็นกลา้ มเนือ้ เรียบ ดา้ นในมีขนละเอียดอ่อน คอยพดั โบกตลอดเวลาเพื่อให้ไข่
เดนิ ทางเขา้ สู่โพรงมดลูก ท่อนำไข่ทำหน้าท่ีเป็นทางเดนิ ของไข่ทสี่ ุกเต็มที่ซงึ่ ถูกปล่อยออกจากรงั ไข่ไป
ยงั มดลกู และถ้ามีอสุจเิ ข้าไปในท่อนำไข่จะเกดิ การปฏสิ นธิขึ้นบริเวณนี้
132. มดลกู (Uterus) มีขนาดเทา่ กำปน้ั มือเล็ก ๆ รปู รา่ งคลา้ ยสามเหลยี่ มเอาหวั ลง ภายในเปน็
โพรงสามเหล่ียมเรยี กวา่ โพรงมดลูก มดลูกจะติดต่อกบั ท่อนำไข่ และตอนล่างติดต่อกับช่องคลอด
เมอ่ื มีการตั้งครรภ์ขนาดของมดลูกจะสามารถขยายไดถ้ ึง 1,000 เทา่ และจะกลบั เข้าสู่สภาพเดมิ
ภายหลังการคลอดประมาณ 5 วัน และในวัยหมดประจำเดือนขนาดของมดลกู จะเหีย่ วและเลก็ ลง
มดลูกมีหนา้ ทรี่ องรับการฝังตัวของตวั อ่อนโดยการขยายขนาดผนงั ดา้ นในใหห้ นาขึน้ มหี ลอดเลอื ดมา
หลอ่ เลย้ี งจำนวนมากและมีการสร้างรก (Placenta) เพ่ือเป็นแหลง่ แลกเปล่ยี นแก๊สและส่งอาหาร
ใหแ้ ก่เอม็ บริโอ บริเวณท่ีมดลูกตดิ ต่อกับชอ่ งคลอดเรียกว่า ปากมดลูก

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

72 คมู่ อื เตรยี มสอบ

133. ช่องคลอด (Vagina)ทำหน้าท่ีเป็นทางผา่ นของเซลล์อสุจเิ ข้าสูภ่ ายในรา่ งกาย เป็นทางผ่าน
ของทารกตอนคลอด และเป็นทางผ่านของเลอื ดประจำเดือน ช่องคลอดน้ีจะมีขนาดเล็กมากในวัย
เดก็ เม่อื ย่างเขา้ สูว่ ยั สาวกจ็ ะโตขึน้ ตามอายุและจะโตเต็มท่ีในระยะคลอด
134. ประจำเดือน (Menstruation)หมายถึง การท่ีมเี ลอื ดออกจากภายในโพรงมดลกู ทุกรอบ
เดอื น เกดิ จากการสลายตัวของเยือ่ บมุ ดลูกทีถ่ ูกสรา้ งขึน้ เพื่อรองรบั การฝงั ตัวของตัวอ่อน แต่ถ้า
เซลลไ์ ขไ่ ม่ไดร้ บั การผสมก็จะสลายตัว และมกี ารเปลี่ยนแปลงของระดับฮอรโ์ มนทำใหเ้ ยื่อบุมดลกู

ถูกทำลาย มีการฉีกขาดของเน้อื เย่ือชัน้ ใน และหลอดเลอื ดฝอยกจ็ ะสลายตวั ไหลออกมา
ทางช่องคลอด เลือดประจำเดอื นประกอบดว้ ยเลอื ด เนื้อเยื่อทห่ี ลุดออก และสารทีต่ ่อมภายใน
มดลกู สร้างข้ึน
135. การมปี ระจำเดือน ผูห้ ญิงอายปุ ระมาณ 10-13 ปีขน้ึ ไปจะมรี อบของการมีประจำเดือนทุก 21-
35 วนั หรือเฉลีย่ ประมาณ 28 วัน การมีประจำเดือนจะมจี นกระทงั้ อายุประมาณ 45-50 ปี ซึ่ง
เปน็ วยั ทีไ่ มม่ ีการตกไข่ เรยี กวา่ วัยหมดประจำเดือน ชว่ งระยะเวลาการมีประจำเดอื นแตล่ ะคร้งั จะ
กนิ เวลาประมาณ 3-6 วัน แตไ่ ม่ควรน้อยกวา่ 1 วนั และไมค่ วยเกนิ กวา่ 7 วนั ในแตล่ ะเดอื นจะ
สูญเสียเลอื ดทางประจำเดือนประมาณ 60-90 ลกู บาศก์เซนตเิ มตร ดงั นัน้ ผหู้ ญิงจงึ ต้องการธาตุ
เหลก็ และโปรตีนในแต่ละเดือนเพ่ือสรา้ งเลือดชดเชยส่วนทเ่ี สยี ไป
136. การนับรอบประจำเดอื นเปน็ วันท่ี 1 จะมกี ารตกไขเ่ กดิ ข้นึ อีกประมาณ วันที่ 13-15 คอื
ประมาณชว่ งกลางของรอบเดือน ไขท่ ี่ตกจากรังไขจ่ ะมชี วี ติ อยไู่ ดเ้ พยี ง 1 วัน ถ้ามีอสจุ ิเขา้ ไปผสม
จะทำใหเ้ กดิ การตั้งครรภ์ แต่ถ้าไม่มอี สจุ ิเข้าไปผสมไข่และเยื่อบุผนังมดลูกจะสลายตวั ไปเป็น
ประจำเดอื นในอีก 13-1 วนั ตอ่ มา
137. การตงั้ ครรภ์ มขี ั้นตอนดงั นี้

1) เมอื่ มีการรว่ มเพศ เพศชายจะหลัง่ นำ้ อสุจิในช่องคลอดของเพศหญิง เซลล์อสุจินับ
ล้านเซลลจ์ ะเคลื่อนทีเ่ ขา้ ไปในมดลูก ซง่ึ ปกติแล้วจะมเี ซลล์อสุจิเพียงเซลล์เดยี วเท่านน้ั ท่ีเกดิ การ
ปฏิสนธกิ บั เซลล์ไข่ โดยส่วนใหญ่จะเกดิ ขึ้นบริเวณท่อนำไข่ เม่ือเกดิ การปฏสิ นธิกันแล้วเย่ือหมุ้ เซลล์
ของไขจ่ ะหนาตวั ขน้ึ ทำให้เซลลอ์ สจุ ิเซลล์อนื่ เขา้ มาผสมอีกไม่ได้ และภายในเวลา 10-12 ช่ัวโมง
นิวเคลยี สของเซลล์อสุจิจะเขา้ รวมกันกบั นิวเคลยี สของเซลล์ไข่ เกดิ การปฏิสนธขิ ้ึนไดเ้ ซลลท์ ีเ่ รยี กว่า
ไซโกต (Zygote)

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 73

2) หลังจากนน้ั อกี ประมาณ 30-70 ชั่วโมง ไซโกตจะเร่ิมแบง่ เซลลจ์ าก 1 เซลล์ เปน็ 2
เซลล์ เป็น เซลล์ และแบ่งเพิ่มข้นึ เร่ือย ๆ เปน็ ทวคี ูณจนเกิดเป็นกลมุ่ เซลล์ ระหวา่ งการแบ่งเซลล์
กลมุ่ เซลลจ์ ะเคลื่อนท่ีไปตามท่อนำไข่ แล้วไปฝงั ตวั ยังผนงั มดลูก เรยี กกล่มุ เซลล์ท่ีมีการเปลย่ี นแปลง
ถึงระยะนี้วา่ เอม็ บริโอ(Embryo)
138. การเจรญิ เติบโตจองเอม็ บริโอและฟตี ัส

1) เอ็มบรโิ อ อายุ 3 สัปดาห์ เร่ิมมีหวั ใจ สมอง และไขสันหลงั
2) อายุ 4 สปั ดาห์ เริ่มมตี า ปมุ่ แขนขา หัวใจเจริญมากข้ึน
3) อายุ 6 สัปดาห์ เริ่มมหี ู
4) อายุ 7 สัปดาห์ เรมิ่ มเี พดานในชอ่ งปาก
5) เอม็ บรโิ ออายุ 8 สัปดาห์ เริม่ ปรากฏอวยั วะเพศภายนอกและมลี ักษณะทุกอยา่ งเหมือน
คนเรยี กวา่ ฟีตสั
6) เดือนท่ี 3ฟตี สั เรม่ิ มีการเคลื่อนไหวแขขา อวยั วะหายใจเร่ิมปรากฏแตย่ งั ไม่ทำหนา้ ท่ี
เหน็ รอยนิว้ ระบบขบั ถ่ายเจริญ
7) เดือนท่ี 4-5ฟตี ัสมีขนาดโตข้ึนเร่ือย ๆ มีการเคล่ือนไหวมากข้นึ มีการเจรญิ ของกระดูก
มผี ม และขน
8) เดอื นท่ี 7-9 (3เดือนสุดท้ายของการต้ังครรภ์) มไี ขมนั ใต้ผิวหนงั ทำให้ผิวหนังตงึ ขึ้น มี
ระบบประสาทเจรญิ มาก
139. การดำรงชีวติ ของทารกในครรภม์ ารดา ทารกจะได้รับอาหารอากาศ และขบั ถ่ายของเสยี
โดยผ่านทางรกซึ่งเป็นสว่ นท่ีติดต่อกับมดลูกของแม่ บรเิ วณรกจะมหี ลอดเลอื ดจากตวั แม่มาหลอ่
เล้ียงเป็นจำนวนมากหลอดเลือดน้จี ะเชื่อมต่อกบั ตัวทารกทางสายสะดือ เลือดของแมจ่ ะลำเลยี ง
อาหารมาให้ทารำ ในขณะทเี่ ลอื ดของทารกกจ็ ะไหลมารบั อาหาร และขบั ถา่ ยของเสยี ให้แกแ่ ม่
ดังน้ันรกจึงทำหนา้ ทเ่ี ปน็ ทง้ั ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหาร และระบบขับถา่ ยของเสยี ในเวลา
เดยี วกัน
140. การคลอด เม่ือฟีตสั เจริญมาจนครบกำหนดคลอด คือ ประมาณ 9 เดือน ต่อมใตส้ มองของ
แม่จะหล่งั ฮอรโ์ มนออกซโิ ทซิน (Oxytocin)ออกมากระตุ้นให้กล้ามเน้ือมดลกู บีบตัวอย่างแรง
ประกอบกบั การหดตวั ของกล้ามเนอ้ื หน้าทอ้ งทำให้ปากมดลูกเปดิ กว้าง ถงุ น้ำคร่ำแตกทำให้น้ำครำ่
ไหลออกมา พร้อมกับดันทารกให้คลอดออกมาทางช่องคลอด โดยสว่ นหัวของทารกจะออกมาก่อน
ส่วนอ่นื ๆ ของร่างกาย เมื่อทารกคลอดแลว้ กล้ามเน้ือมดลกู จะบีบตวั ตอ่ เพอื่ ให้รกและสว่ นของ

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

74 ค่มู อื เตรยี มสอบ

สายสะดอื หลุดออกมาพรอ้ มกับเลอื ด ทารกที่คลอดออกมากแลว้ จะเริ่มหายใจทางปอด มีการหดตวั
ของกล้ามเน้ือกะบังลม และปริมาตรในช่องอกเพ่มิ มากข้ึน
141. นำ้ นมแม่ หลังคลอดได้ประมาณ 2-3 วนั แม่จะมนี ำ้ นมซ่ึงจะมีลักษณะขุน่ ข้น สีค่อนขา้ ง
เหลือง เรียกวา่ น้ำนมนำ้ เหลือง (Colostrum) นำ้ นมนี้จะมสี ่วนผสมตา่ งจากน้ำนมธรรมดาทผ่ี ลติ
ข้ึนมาในภายหลงั คือ มีโปรตีนสูง แต่มีไขมนั และวติ ามนิ น้อยกว่า นอกจากนีย้ งั มภี มู คิ มุ้ กันโรคด้วย
ซึ่งจะชว่ ยกนั การติดเช้อื ของระบบทางเดินอาหารในทารก และเหล่าน้ีจะหมดไปหลงั จากทารกอายุ
2 เดอื น
142. ข้อดขี องการเลีย้ งลูกด้วยนำ้ นมแม่

1) น้ำนมแม่มีสารอาหารครบถ้วนและเพียงพอกับความต้องการของทารก
2) น้ำนมแม่ไม่มีโปรตนี เบตา้ -แลกโตโกลบลู ิน (b-Lactoglobulin) ซึ่งเป็นตน้ ตอสำคัญท่ี
ทำใหเ้ กดิ โรคภมู ิแพ้ในทารก
3) นำ้ นมมมี ีกรดลิโนเลอีก (Linoleic acid) ซง่ึ เปน็ กรดไขมันทจ่ี ำเปน็ ต่อรา่ งกาย
4) น้ำนมแม่มเี อนไซม์ไลเปส (Lipase) ชว่ ยทำให้การย่อยและการดูดซึมไขมนั ในน้ำนม
เป็นไปได้ดี
5) น้ำนมมีมีการแลกโทสสูงกวา่ นำ้ นมวัว ทำให้ทารกถ่ายอุจจาระเปน็ ปกติมีสีเหลอื งทอง
6) การดื่มนำ้ นมแม่เป็นการประหยดั คอื ไมต่ ้องเสียค่าใช้จ่ายซอื้ อุปกรณ์การชงนมและซ้ือ
นมผสมทารกมีร่างกายแขง็ แรง ชว่ ยใหป้ ระหยัดค่ารักษาพยาบาล
7) น้ำนมแมส่ ะดวก สะอาด ปลอดภยั และมใี หเ้ สมอเม่ือทารกต้องการ
8) น้ำนมแม่มภี มู ิต้านทานโรคตดิ เชื้อ มเี ม็ดเลอื ดขาวคอยทำลายเชอื้ โรคท่เี ข้าสูร่ ่างกาย
และมสี ารทส่ี ามารถฆ่าเชอื้ โรคอย่างอ่อน ๆ ซงึ่ ช่วยในการฆ่าเช้อื แบคทเี รียดว้ ย
9) นำ้ นมแม่มผี ลดีต่อสภาวะจติ ใจท้ังของแมแ่ ละลูก เพราะการใหล้ ูกดูนมจะทำให้แม่และ
ลกู มคี วามสมั พนั ธ์กนั อย่างใกล้ชิด
10. กอ่ ให้เกิดผลดีต่อตวั แม่ เพราะแม่ที่ใหน้ มลูกเต็มท่ีจะมีภาวะขาดประจำเดือนประมาณ
8-12 เดอื น หลงั คลอดชว่ ยให้แม่ไม่ตอ้ งต้ังครรภ์ถีเ่ กินไป
148. การแท้ง หมายถงึ การทท่ี ารกคลอดกอ่ นทอี่ ายุครรภจ์ ะครบ 28 สัปดาห์ หรือน้ำหนักตัว
ทารกน้อยกว่า 1,000 กรัม เกิดจากความผดิ ปกติของไข่ท่ีถูกผสมแลว้ ทำให้การเจริญเติบโตผดิ ปกติ

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 75

หรอื อาจเกดิ จากความผดิ ปกตขิ งิ ร่างกายแม่ เช่น ระบบอวยั วะสืบพนั ธ์หุ รือระบบฮอรโ์ มนผิดปกติมี
การตดิ เชื้อรา้ ยแรง หรือมีโรคเร้อื รงั ระหวา่ งตงั้ ครรภ์
149. การคลอดก่อนกำหนด หมายถงึ การท่ีทารกคลอดในชว่ งอายุ 28 สัปดาห์ถึง 37 สปั ดาห์
เกิดจากความผิดปกติระหวา่ งตง้ั ครรภ์
150. การคุมกำเนิด (Birth control)หมายถึง การป้องกันไม่ให้มีการตง้ั ครรภ์ โดยวธิ ีการปอ้ งกนั
ไม่ใหเ้ ซลล์อสจุ มิ ีโอกาสเขา้ ไปผสมกับไข่ ป้องกนั การตกไข่ หรอื ป้องกันการฝงั ตวั ของไข่ท่ีถกู ปฏสิ นธิ
แล้ว
151. ประเภทของการคุมกำเนิด แบ่งเปน็ 2 ประเภท คือ

1) การคมุ กำเนิดแบบช่ัวคราว เป็นการยืดระยะเวลาท่จี ะต้ังครรภอ์ อกกไปตามความ
ตอ้ งการ เชน่ การใชถ้ งุ ยางอนามยั การใสห่ ่วงคมุ กำเนิด การฉดี ยาคุมกำเนิด การนบั ระยะ
ปลอดภัย เปน็ ต้น

2) การคมุ กำเนดิ แบบถาวร เปน็ การปอ้ งกนั ไมใ่ ห้มีการตั้งครรภเ์ กิดขึ้นไดอ้ ีก เหมาะ
สำหรับคูแ่ ต่งงานทีม่ ีบตุ รครบจำนวนท่ีต้องการแล้ว เช่นการทำหมนั เปน็ ตน้
152. การคมุ กำเนดิ โดยใชอ้ ุปกรณ์ ได้แก่

1) การใช้ถุงยางอนามัย (Condom)เปน็ การป้องกนั ไมใ่ หเ้ กดิ การหล่ังน้ำอสจุ ิเขา้ สู่ชอ่ ง
คลอดและชว่ ยปอ้ งกนั การตดิ โรคทางเพศสัมพันธด์ ว้ ย

2) การใส่ห่วงคุมกำเนิดหรอื ห่วงอนามัย เปน็ การป้องกันการต้งั ครรภโ์ ดยทำให้สภาวะ
ภายในมดลกู ไมเ่ หมาะสมต่อการฝงั ตวั ของเอม็ บริโอคุมกำเนิดได้เปน็ เวลานาน และสามารถตัง้ ครรภ์
ได้อีกเม่ือเลกิ ใช้
153. การคุมกำเนดิ โดยใชส้ ารเคมี ได้แก่

1) การกนิ ยาคุมกำเนิด เป็นการยับยั้งการตกไข่
2) การฉีดยาคุมกำเนดิ เป็นการยบั ย้ังการตกไข่ การฉดี ยาคุมกำเนิดจะมผี ลปอ้ งกนั การ
ตง้ั ครรภไ์ ดน้ านถึง 3 เดือน
154.การคมุ กำเนดิ โดยการผา่ ตัด ไดแ้ ก่
1) การทำหมนั ชาย แพทยจ์ ะตัดและผกู หลอดนำเซลลอ์ สุจใิ หแ้ ยกออกจากกัน เพ่ือ
ปอ้ งกนั ไม่ใหเ้ ซลลอ์ สจุ เิ คลื่อนไปยังต่อมสร้างนำ้ เล้ียงอสจุ แิ ละทางเดินปัสสาวะได้
2) การทำหมันหญงิ แพทยจ์ ะตดั และผกู ท่อนำไขใ่ ห้แยกออกจากกนั เพอ่ื ป้องกนั ไม่ใหไ้ ข่
เดินทางมาพบกับเซลลอ์ สุจทิ ่ีเข้าไปในท่อนำไข่ได้

ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

76 คมู่ อื เตรยี มสอบ

155. การคุมกำเนดิ โดยวธิ ีธรรมชาติ เป็นการหาระยะท่ีปลอดภยั ในรอบประจำเดือนทไ่ี ข่และอสุจิ
ไมม่ โี อการปฏิสนธกิ นั ระยะปลอดภยั ในผ้หู ญิง คือ ชว่ งเวลาที่นบั จากการมีประจำเดือนวนั แรกไป
7 วนั และระยะกอ่ นทจี่ ะมีประจำเดือนในรอบต่อไปอีก 7 วัน การคมุ กำเนดิ วธิ ีน้ีเหมาะสำหรับคนท่ี
มรี ะยะของรอบประจำเดือนที่แนน่ อน
156. การปฏิสนธใิ นหลอดแกว้ (In Vitro Fertillization;IVE) ทำไดโ้ ดยการใช้ฮอรโ์ มนกระต้นุ ให้ไข่
สุกและเกิดการตกไข่ แล้วดดู เซลลไ์ ข่ออกมานำเซลลไ์ ขแ่ ละเซลลอ์ สุจมิ าผสมกนั ในหลอดทดลอง
หรือจานแกว้ ท่ีมีอาหารที่เหมาะสมกบั การเจริญของตวั ออ่ นจนได้ตวั อ่อนระยะ 4-8 เซลล์ จงึ นำ
เอม็ บริโอใส่กลบั เขา้ ไปในมดลกู เพอ่ื ใหฝ้ ังตัวและเจริญเตบิ โตต่อไป
157. การทำกฟิ ต์ (Gamete IntrafallopianTranafer; GIFT)ทำได้โดยใช้ฮอรโ์ มนกระตนุ้ ใหเ้ กิด
การตกไข่แล้วดูดเซลล์ไข่ออกมา จากน้นั นำเซลลไ์ ขแ่ ละเซลล์อสจุ ิเข้าสู่ท่อนำไข่พร้อม ๆ กันโดยการ
ใชห้ ลอดฉีด ฉีดเข้าส่ทู อ่ นำไข่ เพ่อื ใหเ้ กิดการปฏสิ นธิบริเวณท่อนำไข่ เมื่อเกิดการปฏสิ นธิแล้วตวั
ออ่ นจะเคล่ือนไปยังมดลกู และเจริญเติบโตตอ่ ไป
158. การทำซิฟต์ (Zygote Intrafallopian Transfer ; ZIFT)ทำได้โดยนำเซลลไ์ ข่และเซลลอ์ สุจิ
มาผสมกันภายนอกร่างกายได้เป็นไซโกต จากนนั้ นำไซโกตใสค่ นื เข้าสทู่ ่อนำไข่ แล้วไซโกตจะเจรญิ
เปน็ ตัวออ่ นในทอ่ นำไข่แลว้ เคล่ือนทไี่ ปฝงั ตวั ที่มดลกู
159. อ๊ิกซี่ (Intracytoplasmic Sperm Ingection ; ICSI)ขัน้ ตอนของอิ๊กซี่คลา้ ยกับการปฏสิ นธิ
ในหลอดแกล้ว ต่างกันตรงที่การปฏสิ นธิในหลอดแกว้ นั้นเกิดขนึ้ เอง สว่ นอิ๊กซเี่ ป็นการฉีดเซลล์อสจุ ิ
เข้าไปในไซโทพลาซมึ ของเซลล์ไขโ่ ดยตรง จากนัน้ จงึ นำตวั อ่อนเขา้ สูม่ ดลกู
160. การสืบพนั ธุ์ (Reproduction)หมายถึง การเพ่มิ จำนวนสิ่งมีชวี ติ ร่นุ ใหม่ท่มี ลี ักษณะ
เหมอื นเดมิ โดยส่ิงมชี ีวติ ใหม่ท่เี กิดขึน้ จะมาทดแทนส่ิงมีชีวิตร่นุ เก่าท่ีตายไปทำให้สิง่ มชี ีวติ เหลา่ น้ันคง
อยแู่ ละไมส่ ญู พันธุ์ไปจากโลก
161. การสบื พนั ธข์ุ องสัตว์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การสบื พนั ธุ์ แบบอาศัยเพศและการ
สบื พนั ธ์ุแบบไม่อาศัยเพศ
162. การสืบพันธ์แุ บบอาศยั เพศ หมายถึง การผสมระหว่างเซลล์สืบพนั ธขุ์ องเพศผู้ คือเซลล์อสจุ ิ
(Sperm) และเซลลส์ ืบพันธ์ขุ องเพศเมยี คอื เซลล์ไข่ (Egg) แล้วเกดิ การปฏิสนธขิ น้ึ
163. การปฏสิ นธิ (Fertillization)หมายถึง การที่เซลลอ์ สุจิเขา้ ผสมกับเซลลไ์ ข่แลว้ นวิ เคลยี สของ
เซลล์อสจุ ิรวมตวั กับนวิ เคลยี สของเซลล์ไข่กลายเป็นไซโกต (Zygote)

ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 77

164. การปฏิสนธิ มี 2 แบบ คือ การปฏสิ นธิภายในและการปฏิสนธิภายนอก
165. การปฏสิ นธิภายใน (Internal Fertillization)หมายถึง การทเี่ ซลล์อสจุ ิจากสตั วเ์ พศผเู้ ขา้
ผสมกับเซลล์ไขภ่ ายในตัวของสัตว์เพศเมยี แลว้ เกิดการปฏสิ นธิระหว่างเซลล์อสุจแิ ละเซลลไ์ ข่
กลายเป็นไซโกตเจรญิ ไปเป็นตัวอ่อน การปฏิสนธิแบบนี้พบได้ทัง้ ในสัตวน์ ำ้ และสัตวบ์ ก

• ขอ้ จำกดั คือ ในการต้ังครรภล์ ูกจะเจรญิ เติบโตภายในตวั แมท่ ำให้ไดล้ ูกคร้ังละน้อยตัว
และแม่จะต้องดแู ลคุ้มภยั ให้กับลูกจนกว่าลกู จะสามารถชว่ ยเหลือตวั เองได้

• ขอ้ ดี คือ ทำใหล้ กู ท่ีเกิดมามโี อกาสรอดชวี ิตไดม้ ากทุกตัว
166. การเจรญิ เติบโตของตัวอ่อนที่เกดิ จากสตั วท์ ่ีมีการปฏิสนธภิ ายใน มี 2 กรณี ดงั น้ี

1) ตัวอ่อนเจริญเตบิ โตภายในไขน่ อกตัวแม่ หลงั จากไข่เกิดการปฏสิ นธิกับเซลลอ์ สจุ ิแล้วจะ
มีไข่ขาวเปลือกไข่มาหอ่ หุ้มไข่แดงและตัวอ่อนไว้แล้วตัวแมจ่ ึงวางไข่ พบในสัตวท์ วี่ างไขบ่ นบกทุกชนิด
ไดแ้ ก่ สตั วป์ ีก และสัตว์เล้ือยคลาน

2) ตวั อ่อนเจรญิ เตบิ โตภายในตวั แม่และออกลูกเป็นตัว หลงั จากไข่เกดิ การปฏิสนธกิ ับเซลล์
อสจุ ิแล้วจะเจรญิ พฒั นาไปเป็นตวั ออ่ น พบในสัตว์ทอี่ อกลูกเปน็ ตัว แบ่งออกเปน็ 2 กลุ่ม คือ ตัว
ออ่ นไดร้ ับอาหารจากแมผ่ า่ นทางรก เชน่ แมว สุนขั วัว ควาย และตัวออ่ นไดร้ ับอาหารทสี่ ะสมอยู่ใน
ไขแ่ ดง ได้แก่ พวกปลาฉลามบางชนดิ
167. การปฏสิ นธิภายนอก (External Fertilization) หมายถึง การผสมระหว่างไข่และเซลล์
อสุจิภายนอกตัวของสตั วเ์ พศเมีย พบในสัตว์ทีอ่ าศัยออยใู่ นนำ้ และออกลูกเปน็ ไข่ เชน่ ปลา กบ
คางคก อ่งึ อ่าง เปน็ ต้น ตัวเมยี จะวางไขเ่ ป็นจำนวนมากในนำ้ แล้วตวั ผู้จะปลอ่ ยเซลล์อสุจอิ อกไป
คร้งั ละมาก ๆ เชน่ กัน จากนั้นเซลลอ์ สจุ ิจะว่ายนำ้ เข้าไปผสมกับไข่

• ข้อจำกัด คือ ต้องอาศยั น้ำเปน็ ตัวกลางเพื่อใหเ้ ซลล์อสุจเิ คล่ือนทีเ่ ข้าไปผสมกับไข่ได้
และในการเกิดการปฏสิ นธจิ ะตอ้ งอาศัยการบังเอญิ

• ข้อดี คือ ทำใหส้ ตั ว์ได้ลูกเปน็ จำนวนมากในแต่ละครง้ั
168. การสบื พนั ธแุ์ บบไมอ่ าศัยเพศ หมายถึง การผลิตหน่วยสงิ่ มีชวี ิตใหมจ่ ากส่งิ มชี ีวิตเดมิ โดยไม่
ต้องอาศัยการรวมตวั ของเซลลส์ บื พนั ธุ์ และสิง่ มีชีวติ ท่เี กดิ ข้ึนใหม่ จะมีสมบัติทางพันธกุ รรม
เหมอื นกบั สิง่ มีชวี ิตเดมิ ส่วนใหญจ่ ะเกิดขึ้นในส่ิงมชี ีวิตขั้นต่ำ
169. การสบื พนั ธุแ์ บบไม่อาศัยเพศ หมายถึง การแบ่งตัวออกเป็นสอง การแตกหน่อ การงอก
ใหม่ เป็นตน้
170. การแบ่งตวั ออกเป็นสอง เซลลข์ องสิง่ มีชีวติ จะมีการแบง่ ตวั จาก 1 เซลล์ เป็น 2 เซลล์ โดย
นิวเคลยี สจะแบ่งตัวก่อนแลว้ ไซโทพลาซึมจะแบง่ ตามไดเ้ ปน็ ตวั ใหม่ 2 ตัว แต่ละตวั จะมีลักษณะ

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

78 คมู่ อื เตรยี มสอบ

เหมือนตวั เดิมทกุ ประการสง่ิ มีชีวิตท่ีมกี ารสืบพันธุแ์ บบนี้ ไดแ้ ก่ อะมีบา พารามเี ซยี ม ยูกลนี า
สาหร่าย เซลลเ์ ดยี ว
171. การแตกหนอ่ หน่วยชวี ติ ใหม่จะเกิดขึน้ บรเิ วณผนังรอบนอกของเซลล์ซง่ึ บรเิ วณเหลา่ น้จี ะมี
การแบง่ เซลลเ์ พมิ่ จำนวนจนเป็นกลุ่มเซลลย์ ื่นออกมาเจริญอย่ภู ายนอกเซลลเ์ ดิมหรอื ตวั เดิม เรียกวา่
หนอ่ (Bud) และหน่อจะเจริญเตบิ โตบนตัวเดมิ จนกระทัง้ ได้เปน็ สง่ิ มชี วี ิตใหม่

มีลกั ษณะเหมือนตัวเดมิ แต่ขนาดเลก็ กว่า เมื่อเจริญเติบโตถึงระยะหนึ่งก็จะหลุดออกจากตัว
เดมิ เพ่ือเตบิ โตต่อไป หรือบางชนดิ อาจติดอยู่กับตัวเดมิ กไ็ ด้ สง่ิ มชี วี ิตทีม่ กี ารสบื พันธุ์แบบน้ี ได้แก่
ไฮดรา ยสี ต์ ฟองนำ้ แหน
172. การงอกใหม่ เกดิ เมอ่ื ส่วนของร่างกายส่ิงมชี ีวิตหลดุ ออกหรือสญู เสียไปแล้วสว่ นทหี่ ลดุ ออกและ
สว่ นเดมิ นั้นสามารถเจรญิ ไปเป็นตัวใหม่หรือชีวิตใหมท่ ี่สมบูรณ์เหมือนเดิมได้ ส่งิ มชี ีวติ ที่มีการวอก
ใหมไ่ ด้ ได้แก่ ดาวทะเล พลานาเรยี ไฮดรา ดอกไม่ทะเล
173.พารท์ ีโนจนี ซี ิส (Parthenogenesis)เปน็ การสบื พันธุข์ องส่ิงมีชีวติ โดยไมต่ ้องอาศัยเซลล์
สืบพันธเ์ุ พศผ้หู รือไม่ไดร้ บั การปฏิสนธิ ซ่งึ เซลลส์ ืบพันธ์เุ พศเมยี (เซลลไ์ ข่) จะเจริญพัฒนากลายเป็น
ตวั ออ่ นไดเ้ ลย สิ่งมีชวี ติ ที่มีการสบื พนั ธ์แุ บบน้ี ไดแ้ ก่ ผงึ้ มด ตอ่ แตน ตกั๊ แตนกิ่งไม้ เพลี้ย ไร
นำ้
174. การผสมเทียม หมายถึง การผสมพันธ์สุ ัตวท์ ีอ่ าศยั หลกั การของการผสมระหวา่ งเซลลส์ ืบพันธุ์
เพศผแู้ ละเซลล์สบื พนั ธุเ์ พศเมียโดยไม่ต้องรอการผสมพนั ธกุ์ ันเองตามธรรมชาติ มนุษยจ์ ะเปน็ ผู้จดั ให้
มกี ารผสมพนั ธุ์โดยใช้วิธกี ารรีดนำ้ เช้อื จากสตั ว์ตวั ผูแ้ ล้วนำไปฉดี เขา้ ไปในอวัยวะสบื พันธ์ุของสตั ว์ตัว
เมยี ในช่วงเวลาท่ีเป็นสดั (ระยะทส่ี ตั วม์ ีไขส่ กุ ) ซึ่งเซลล์อสจุ ิจะเข้าไปผสมกบั ไข่ทำให้เกิดการปฏสิ นธิ
แล้วสตั วต์ วั เมียกจ็ ะตง้ั ท้อง การผสมเทียมสามารถทำไดท้ ัง้ สัตวท์ มี่ กี ารปฏสิ นธิภายใน เช่น สตั ว์
เลีย้ งลกู ดว้ ยนำ้ นมและสัตวท์ ี่มกี ารปฏสิ นธิภายนอก เช่น ปลา
175. หลักการผสมเทยี มสตั ว์ มีข้นั ตอนดังน้ี

1) การรดี เกบ็ นำ้ เชือ้ โดยใช้เครอ่ื งมือกระตุ้นใหเ้ พศผหู้ ล่ังน้ำอสจุ ิออกมา ในการดี เกบ็
น้ำเช้อื จะต้องระมดั ระวังเรอื่ งความสะอด อายุ และความสมบรู ณ์ของเพศผดู้ ว้ ย

2) การตรวจคุณภาพน้ำเชอ้ื นำมาตรวจหาปรมิ าณและการเคล่ือนไหวของเซลล์อสจุ เิ พื่อ
ดูความแข็งแรงและจำนวนของเซลล์อสจุ วิ ่ามีมากพอทจ่ี ะนำไปใชง้ านหรอื ไม่

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 79

3) การละลายน้ำเชือ้ เป็นการเดิมน้ำยาเลย้ี งเชอ้ื ลงในนำ้ เช้อื เพื่อเพิม่ ปริมาณ และเป็น
อาหารเล้ียงเซลล์อสจุ ใิ ห้มอี ายุอยู่ไดน้ านหลายวนั

4) การเกบ็ รกั ษาน้ำเชอ้ื เก็บได้ 2 แบบ คอื น้ำเช้ือสด โดยละลายน้ำเชอ้ื แล้วเก็บไว้ที่
อณุ หภูมิ 4-5 องศาเซลเซยี ส สามารถเกบ็ ไว้ไดน้ านเปน็ เดือน และนำ้ เชอื้ แชแ่ ขง็ โดยนำน้ำเชือ้ ไป
ทำใหเ้ ยน็ จนแข็ง เกบ็ ไว้ในไนโตรเจนเหลวที่อุณหภูมิประมาณ-196 องศาเซลเซียส สามารถเกบ็ ไว้
ได้นานเป็นปี

5) การฉดี นำ้ เช้อื ต้องฉดี เวลาทเ่ี พศเมยี แสดงอาการเปน็ สดซง่ึ เป็นระยะที่ไข่สกุ
176. สตั ว์เลย้ี งลูกด้วยนำ้ นมทน่ี ยิ มนำมาทำการผสมเทียม ไดแ้ ก่ โค กระบือ แพะ สกุ ร ทำได้
โดยการนำน้ำช้อื พ่อพันธท์ุ ่ีดฉี ีดเขา้ ไปในมดลกู ของแม่พันธุ์ในระยะที่แม่พันธ์ุมกี ารตกไขเ่ พ่ือใหเ้ กดิ
การปฏิสนธิระหวา่ งตัวอสุจิกับไข่ แล้วเจรญิ ไปเป็นตัวออ่ น
177. ขอ้ ดีของการผสมเทียมในสตั ว์เล้ียงลูกดว้ ยน้ำนม

1) ช่วยให้ประหยดั พ่อพันธุ์ และไมส่ ิ้นเปลืองคา่ ใชจ้ ่ายในการเล้ยี งดูพ่อพันธ์ุหลายตัว
2) สามารถนำน้ำเช้ือมาผสมพันธ์กุ บั เพศเมยี ได้เลยโดยไม่ต้องคำนึงถึงขนาดตวั และน้ำหนัก
3) ช่วยตดั ปญั หาการขนส่งพ่อพนั ธุไ์ ปผสมพันธุ์กับตวั เมยี ในทไ่ี กล
4) ควบคุมให้สตั ว์ตกลกู ได้ตรงตามฤดูกาล
5) แก้ปัญหาการติดลกู ยากในกรณีท่ีแม่พนั ธุม์ ีความผดิ ปกตขิ องระบบสบื พันธุ์
6) ชว่ ยป้องกนั การเกิดโรคติดตอ่ และโรคระบาด เพราะใช้เทคนคิ การปลอดเชอ้ื ทกุ ขั้นตอน
178. ขอ้ จำกัดของการผสมเทยี มในสัตวเ์ ลยี้ งลกู ด้วยนำ้ นม
1) ลกั ษณะที่ไม่ดบี างประการจากพ่อพันธ์ุอาจถูกถ่ายทอดไปยังลูกจำนวนมากได้
2) ถ้าเจา้ หนา้ ที่ท่ที ำการผสมเทียมขาดความชำนาญอาจทำให้เกิดความเสียหายขนึ้ ได้
3) ทำได้เฉพาะพน้ื ทที่ ี่มีการคมนาคมสะดวกรวดเร็ว เพราะการผสมพนั ธส์ุ ตั วต์ อ้ งทำใน
ช่วงเวลาทสี่ ัตวเ์ ปน็ สัด และจะต้องทำโดยเจ้าหนา้ ท่ีทม่ี คี วามชำนาญเท่านนั้
179. การถ่ายฝากตวั อ่อน เปน็ เทคโนโลยดี ้านการผสมเทียมสัตว์ ใช้ในการปรบั ปรงุ ให้ไดส้ ัตว์พนั ธ์ุ
ดี และเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพการขยายพนั ธุส์ ัตว์ใหไ้ ดจ้ ำนวนลูกมากกวา่ เวลาเท่าเดมิ
180. หลกั การของการถ่ายฝากตัวอ่อน คือ นำตวั อ่อนทเ่ี กดิ จากากรผสมพนั ธ์รุ ะหวา่ งไขข่ องสัตว์
แม่พนั ธแ์ุ ละเชือ้ ของพ่อพันธท์ุ ่ีคัดเลอื กไว้นำไปฝากไว้ในมดลูกของเพศเมยี ตวั อนื่ เพ่ือให้เจริญเติบโต
ตอ่ ไปจนคลอด
181. ข้ันตอนการถ่ายฝากตัวออ่ น มีดังน้ี

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

80 ค่มู อื เตรยี มสอบ

1) การคัดเลือกพ่อพันธุแ์ ม่พันธุ์ คัดเลอื กสตั ว์ที่มสี ภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ไมม่ ี
โรคตดิ ตอ่ โดยเฉพาะแม่พันธุ์ที่ให้ไข่ต้องมีประวัติดีและเปน็ สายพนั ธุแ์ ท้

2) การชกั นำให้ตกไข่หลาย ๆ เซลล์ โดยการใช้สารเคมหี รอื ฮอรโ์ มนเร่งให้ไข่ในรังไขเ่ กิด
การพฒั นาข้ึนพร้อมกันหลายเซลล์ และเกดิ การตกไข่ในเวลาใกล้เคยี งกัน

3) การผสมเทยี ม นำน้ำเช้ือปรมิ าณมากจากพ่อพนั ธ์ไุ ปฉดี ใหแ้ ม่พันธ์ุท่ีมีการเร่งใหเ้ กดิ การ
ตกไข่หลายเซลล์

4) การล้างเกบ็ ตัวอ่อนจากมดลกู ของแม่พนั ธุต์ วั ให้ ทำการเกบ็ ตัวอ่อนระหวา่ งวันที่ 6-8
นบั จากวนั ทส่ี ัตว์แสดงอาการเปน็ สด ซึ่งตัวอ่อนจะอยูใ่ นระยะ 8 เซลล์ และเคลอื่ นตวั จากท่อนำไข่
มายังมดลูก แต่ยังไม่ฝังตวั ท่ีผนังมดลูก

5) การตรวจสอบคุณภาพและการเก็บรักษาตัวอ่อน การตรวจคุณภาพจะตรวจความปกติ
ประเมนิ และคดั เลอื กเฉพาะตัวออ่ นที่มีความสมบูรณเ์ ท่านั้น การเกบ็ รกั ษาตัวอ่อนจะทำในกรณีที่
ไมม่ แี ม่พันธุ์ตวั รับหรอื ในกรณีที่ต้องเก็บไว้นานโดยจะเกบ็ แบบแชแ่ ข็งที่อณุ หภมู ิ -195 องศา
เซลเซยี ส แต่ถา้ มแี มพ่ ันธุ์ตัวรับจะทำการถ่ายฝากตวั อ่อนได้เลยหลังจากตรวจคุณภาพของตัวอ่อน

6) การเตรยี มแม่พนั ธุท์ ี่เปน็ ตัวรับ ใช้ฮอรโ์ มนเหนย่ี วนำแม่พันธ์ตุ ัวรับเปน็ สดั พรอ้ มกับแม่
พนั ธตุ์ วั ให้เพ่ือให้มดลูกอยใู่ นสภาพคลา้ ยคลงึ กนั

7) การถ่ายฝากตวั อ่อนในมดลูกของแม่พนั ธุ์ตัวรับ โดยการผา่ เจาะบรเิ วณด้านข้างทางขวา
ของสัตว์ แลว้ ดึงทอ่ นำไข่ออกมาเพ่อื ฉีดตวั อ่อนเข้าไปภายใน หรือใชห้ ลอดฉีดตวั ออ่ นที่อย่ใู นอาหาร
เขา้ ไปในทอ่ นำไข่หรือมดลูกเพ่อื ใหเ้ จริญเตบิ โตตอ่ ไป
182. ขอ้ ดีของการถ่ายฝากตัวอ่อน

1) สามารถลดช่วงการตกลกู ใหส้ ั้นลงได้ ทำใหจ้ ำนวนลกู ที่ไดเ้ พ่มิ ข้ึน
2) ปอ้ งกันการเกดิ โรคตดิ ต่อท่ีเกิดขนึ้ กับสตั วโ์ ดยเฉพาะโรคตดิ ต่อทางอวยั วะสบื พันธ์
3) สามารถทำให้เกิดลูกแฝดไดโ้ ดยการย้ายฝากไขท่ ่ผี สมแล้ว 2 เซลล์ในสตั ว์ตัวเดยี ว
4) สามารถกำหนดเพศของลูกไดโ้ ดยอาศยั ความรเู้ ก่ยี วกับโรคโมโซมเพศ
183.การโคลนในสัตว์ มหี ลกั การคือ นำเซลลไ์ ข่มาดูดนวิ เคลียสออก จากนัน้ นำนิวเคลยี สของเซลล์
ร่างกาย เช่น เซลลเ์ ตา้ นม เซลลผ์ วิ หนงั ของสตั ว์ชนดิ เดียวกนั ที่มสี ายพันธท์ุ ดี่ ีตามตอ้ งการ ใส่เข้าไป
แทนท่ีนิวเคลียสของเซลลไ์ ขท่ ี่ดดู ออกไป แลว้ นำไปเพาะเลยี้ งใหเ้ จรญิ เปน็ เอ็มบรโิ อ จากน้ันนำไปถ่าย
ฝากไว้ในมดลูกของตัวเมียซึ่งเป็นตวั รบั ให้เอม็ บรโิ อเจริญเติบโตจนคลอด

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 81

184.การเจรญิ เตบิ โต หมายถึง การขยายขนาดของเซลล์ การเพิม่ จำนวนเซลล์ และการเปล่ียนแปลง
รูปร่างของเซลลไ์ ปเปน็ ส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกายที่ซบั ซ้อนข้นึ
185.วัฏจกั รชีวติ คือ ชว่ งเวลาทส่ี ่งิ มีชีวิตมกี ารเจรญิ เติบโต โดยภายหลงั การปฏิสนธไิ ซโกตจะเจรญิ
เปน็ เอ็มบริโอ และเจรญิ ต่อไปเปน็ ตัวเต็มวยั ที่มรี ูปรา่ งลักษณะคลา้ ยกับพ่อและแม่
186.เมทามอรโ์ ฟซิส (Metamorphosis)คือ การเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะไปเป็นข้ัน ๆ ของสัตว์
ระหว่างการเจริญเติบโต สตั ว์ท่มี เี มทามอรโ์ ฟซสิ ไดแ้ ก่ แมลงเกอื บทุกชนิดและสตั ว์ครึ่งนำ้ ครึง่ บก
187.การเจริญเติบโตของแมลง แบง่ ได้ 4 ประเภท ดังน้ี

1) ประเภทที่ไม่มกี ารเปลยี่ นแปลงรปู รา่ ง (Ametabolous) เมื่อฟกั ออกจากไข่แล้วจะมี
รูปรา่ งลักษณะเหมือนตัวเต็มวยั ทุกประการแตม่ ีขนาดเลก็ กว่า เช่น แมลงหางดีด ตวั สองง่าม และตัว
สามงา่ ม เปน็ ต้น

2) ประเภทที่มกี ารเปลี่ยนแปลงรปู ร่างทีละน้อย (Paurometabolous) มกี ารเปล่ยี นแปลง
เพยี ง 3 ขั้น คือ จากไขเ่ ป็นตวั ออ่ นและตวั เต็มวัย โดยเมื่อฟักออกจากไข่แล้วจะเจริญเป็นตวั อ่อนที่มี
รูปร่างตา่ งจากตวั เต็มวัยมากแล้วตัวอ่อนจึงเปลี่ยนเปน็ ลกั ษณะเหมือนตวั เตม็ วยั แตย่ ังมีอวยั วะ
บางอย่างของร่างกายเจรญิ ไม่เตม็ ที่แล้วจึงเจริญเปน็ ตัวเตม็ วัยในท่ีสุดแมลงประเภทนไ้ี ด้แก่ ตก๊ั แตน
แมลงสาบ เรือด และมวนต่าง ๆ

3) ประเภทที่มกี ารเปลย่ี นแปลงรปู รา่ งแตไ่ ม่สมบูรณ์แบบหรอื ไม่ครบข้ัน
(Hemimetabolousหรอื Incomplete Metamorphosis) ตวั ออ่ นของแมลงจะอาศัยอยู่ในน้ำ และ
เมือ่ เจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวยั จะเปล่ยี นขึ้นมาอยู่บนบก มลี ักษณะภายนอกของรา่ งกาย เชน่ ขา และ
ลำตวั เหมอื นตวั เต็มวัย แมลงประเภทนี้ ไดแ้ ก่ แมลงปอ และชปี ะขาว

4) ประเภทท่ีมกี ารเปลีย่ นแปลงรปู ร่างสมบูรณแ์ บบหรือครบข้ัน (Holometabolousหรอื
Complete Metamorphosis) มีการเจริญเตบิ โตเป็นระยะครบ 4 ขนั้ คอื จากไขเ่ ปน็ ตวั หนอน
ดกั แด้ แล้วเจริญเป็นตวั เตม็ วัยซึ่งในแต่ละขน้ั ของการเจรญิ เติบโต จะมรี ูปรา่ งลักษณะไม่เหมอื นกัน
เลยแมลงประเภทน้ีได้แก่ ยุง แมลงวนั ผเี สอื้ และดว้ งต่าง ๆ

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

82 คมู่ อื เตรยี มสอบ

บทท่ี 5 การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม

1. ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม (Genetic Character)หมายถึง ลักษณะที่ไดร้ บั การถา่ ยทอด
มาจากพ่อแม่และสามารถถ่ายทอดจากรุน่ หนึง่ ไปยังรนุ่ ต่อ ๆ ไปได้

2. พนั ธศุ าสตร์ (Genetics)เป็นวิทยาศาสตร์สาขาหนง่ึ ทีเ่ ก่ียวกบั การถา่ ยทอดลักษณะทาง
พันธุกรรมจากพ่อแม่ไปสู่ลูกหลาน โดยมีการศกึ ษาเกยี่ วกับลักษณะทางพนั ธุกรรมและความแปรผัน
ของลกั ษณะตา่ ง ๆ เป็นศาสตรท์ ท่ี ำใหท้ ราบถงึ สาเหตุความคลา้ ยคลึงหรือความแตกต่าง ระหว่าง
บรรพบรุ ุษกับลูกหลานที่สบื ต่อมา และยงั สามารถคาดคะเนลกั ษณะของลูกหลานทจี่ ะเกิดมาได้ใน
อตั ราสว่ นท่ีใกลเ้ คยี งอีกดว้ ย

3. โครโมโซม (Chromosome)มลี กั ษณะเป็นเส้นยาวอยู่ภายในนวิ เคลยี สทำหน้าที่
เก่ยี วขอ้ งกบั การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรมจากรุ่นหน่งึ ไปสูอ่ ีกรุ่นหน่ึง

4. ดีเอน็ เอ (DNA)เปน็ สารประกอบในโครโมโซม มลี ักษณะเป็นเกลียวคู่ ทำหน้าท่ีกำหนด
ลกั ษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมชี วี ิต

5. การศึกษาจำนวนและรปู ร่างของโครโมโซมของคน ทำได้โดยการนำเซลล์รา่ งกาย เชน่
เซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาวบางชนิดมาศึกษาและถ่ายภาพของโครโมโซมภายใต้กล้องจลุ ทรรศน์ จากนั้นจงึ นำ
ภาพถ่ายโครโมโซมมาจัดเรียงตามรูปรา่ ง ลกั ษณะ และขนาด โดยนำโครโมโซมที่มรี ปู ร่างลักษณะ
เหมือนกันและขนาดใกลเ้ คียงกนั มาจดั ไว้ในคู่เดียวกนั

6. โครโมโซมในเซลล์รา่ งกายของส่งิ มีชีวิต จะมรี ูปรา่ งลกั ษณะท่ีเหมือนกนั เป็นคู่ ๆ
7. โครโมโซมมีอยู่ 2 ประเภท คอื
1) ออโตโซม (Autosome)เป็นโครโมโซมทคี่ วบคุมลักษณะตา่ ง ๆ ของรา่ งกายจำนวน 22
คู่ ยกเว้นลกั ษณะท่ีเก่ียวกบั เพศ ในเซลลข์ องเพศชายและเพศหญงิ จะมีออโตโซมเหมือนกัน
2) โครโมโซมเพศ (Sex Chromosome)เปน็ โครโมโซมคู่ที่ 23 ท่ีทำหน้าท่ีควบคุมหรือ
กำหนดเพศ ได้แก่ โครโมโซม X และโครโมโซม Y ซึง่ จะแตกตา่ งกนั ในแต่ละเพศโครโมโซม Y มขี นาด
เล็กกว่าโครโมโซม X มาก
8. โครโมโซมเพศชาย ประกอบด้วยโครโมโซม X และโครโมโซม Y ใชส้ ัญลกั ษณ์ XY
9.โครโมโซมเพศหญิง ประกอบด้วยโครโมโซม X เหมอื นกันทงั้ คู่ ใช้สญั ลักษณ์ XX

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 83

10. คนมโี ครโมโซมจำนวน 46 แท่ง จดั เปน็ คู่ ๆ ได้ 23 คู่ แบ่งเปน็ ออโตโซมซ่ึงมีลักษณะ
เหมือนกนั ทงั้ ในเพศชายและเพศหญิงจำนวน 22 คู่ ส่วนโครโมโซมค่ทู ี่ 23 เป็นโครโมโซมเพศมี
ลกั ษณะแตกตา่ งกนั ระหว่างเพศชายและเพศหญิง

11. การสร้างเซลล์ไข่ของเพศหญิง ทงั้ ออโตโซมและโครโมโซมเพศจะถูกแบ่งใหเ้ หลือเพียง
จำนวนครึง่ หน่งึ ของเซลล์ร่างกาย ดงั นั้นเซลลไ์ ขจ่ ะมีจำนวนโครโมโซม 23 แทง่ โดยมอี อโตโซมและ
โครโมโซมเพศเป็น 22 แท่ง + X เหมือนกันหมดทุกเซลล์

12. การสร้างเซลล์อสุจิของเพศชาย ทงั้ ออโตโซมและโครโมโซมเพศจะถูกแบง่ ใหเ้ หลือ
เพยี งจำนวนครึ่งหนงึ่ ของเซลล์รา่ งกาย ดังน้นั เซลลอ์ สุจิจะมจี ำนวนโครโมโซม 23 แทง่ เหมอื นกนั กับ
เซลลไ์ ข่ โดยมีจำนวนออโตโซมเหมือนกนั แต่มชี นดิ ของโครโมโซมเพศตา่ งกันคืออสจุ ิบางเซลล์ จะมี
โครโมโซมเป็น 22 แท่ง + X และบางเซลลจ์ ะมีโครโมโซมเปน็ 22 แทง่ + Y

13. จำนวนโครโมโซมภายหลงั การปฏสิ นธิ เมอ่ื เซลล์อสุจิของพ่อและเซลล์ไขข่ องแมซ่ ่งึ มี
โครโมโซมเซลลล์ ะ 23 แท่งมารวมกนั เซลล์ใหมท่ ่ีได้จงึ มีจำนวนโครโมโซม 46 แท่ง ซึ่งเท่ากับจำนวน
โครโมโซมของเซลล์รา่ งกายปกติ

14. โครโมโซมของส่งิ มีชีวติ แต่ละชนิดจะมรี ปู ร่างลกั ษณะเหมือนกันเป็นคู่ ๆ ยืนซึ่งอยู่บน
โครโมโซมกป็ รากฏเป็นคูด่ ว้ ยเช่นกนั โดยยีนทคี่ วบคุมลักษณะพนั ธุกรรมลักษณะเดียวกันจะอยู่บน
โครโมโซมทต่ี ำแหน่งเดยี วกัน บนโครโมโซมแทง่ หนง่ึ ๆ อาจมียนี เปน็ จำนวนนับพนั ยนี ที่ควบคุม
ลกั ษณะทางพนั ธุกรรมต่าง ๆ จงึ ทำให้สิ่งมชี ีวติ แตล่ ะชนดิ มีลกั ษณะต่าง ๆ ไดม้ ากมาย

15. การค้นพบท่มี คี วามสำคญั มาก เกยี่ วกบั การถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรม และเป็น
พ้นื ฐานของการศกึ ษาเกยี่ วกบั พนั ธศุ าสตร์ คือ งานทดลองของเมนเดล

16. เกรเกอร์เมนนเดล(Gregor Mendel)เป็นผ้คู น้ พบและอธิบายหลกั การถ่ายทอด
ลักษณะทางพันธุกรรม จึงได้รับการยกย่องให้เป็น บดิ าแห่งวชิ าพนั ธุศาสตร์

17. เกรเกอร์ เมนเดลผสมพันธ์ุถ่ัวลนั เตาเพื่อศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรม
18. สาเหตทุ ่เี มนเดลเลอื กต้มถัว่ ลันเตาใช้ในการทดลอง
1) ต้นถว่ั ลันเตาเปน็ พืชทป่ี ลกู ง่าย อายุสั้น ผลดก และมีเมล็ดมาก
2) ดอกถัว่ ลันเตามลี กั ษณะพิเศษทีป่ ้องกันการผสมข้ามดอกคอื มีกลีบทดลองโดยจัดให้มีการ
ผสมข้ามต้นก็ได้ ไม่ข้ามตน้ ก็ได้
3) ต้นถัว่ ลันเตามหี ลายพันธทุ์ ่ีมีลักษณะแตกตา่ งกนั อย่างชัดเจน

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

84 ค่มู อื เตรยี มสอบ

19. ลกั ษณะภายนอกของตน้ ถว่ั ทีเ่ มนเดลศึกษา มี 7 ลักษณะท่ีมคี วามแตกตา่ งกนั อย่าง
ชัดเจน ได้แก่ ต้นสูงกับตน้ เตี้ย เมลด็ เรยี บกบั เมล็ดขรขุ ระ เมลด็ สเี หลอื งกับเมลด็ สีเขียว ฝกั อวบกับ
ฝักแฟบ ฝกั สีเขียวกับฝกั สีเหลือง ดอกเกดิ ทลี่ ำต้นกบั ดอกเกิดทยี่ อด ดอกสีม่วงกับดอกสีขาว

20. ถ่วั ท่ีเมนเดลนำมาใชเ้ ป็นพ่อพันธแุ์ ละแม่พันธุ์เป็นพันธ์แุ ท้ ท้ังคู่
21. ถั่วสายพนั ธุแ์ ท้ ได้จากการนำต้นถั่วแต่ละสายพนั ธม์ุ าปลูกและผสมพนั ธ์ุภายใน
ดอกเดยี วกัน เม่อื ตน้ ถั่วออกฝัก นำเมลด็ แกไปปลกู จนตน้ ถั่วเจริญเติบโต จึงคดั เลือกต้นที่มีลักษณะ
เหมอื นพ่อแม่นำมาผสมพนั ธุต์ ่อไปด้วยวิธกี ารเดียวกบั ครง้ั แรก และทำอกี หลาย ๆ ร่นุ จนไดต้ น้ ถั่ว
พนั ธแุ์ ท้ที่มลี ักษณะเหมือนพ่อแมท่ ุกประการ
22. พันธ์แุ ท้หมายถึง ลกู หลายทเ่ี กดิ จากพนั ธนุ์ ้ันไม่มคี วามแปรผนั ทางพันธุกรรม และไม่มี
ความแตกต่างไปจากพ่อแม่
23. พันธุ์ทางหมายถงึ ลกู หลายทเ่ี กดิ จากพนั ธุน์ นั้ ไม่มีความแปรผันทางพนั ธกุ รรม และอาจ
มีลักษณะแตกตา่ งไปจากพ่อแม่
24. ยีน (Gene)คือ หนว่ ยพันธุกรรมท่ีควบคุมการแสดงออกของลักษณะตา่ ง ๆ ของ
ส่ิงมชี วี ติ เช่น ความสงู ความเตยี้ ซง่ึ ลกั ษณะต่าง ๆ เหลา่ น้ีสามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปยังลกู หลาน
ได้ โดยยนี ทคี่ วบคุมลักษณะพันธกุ รรมลักษณะเดยี วกนั จะอย่บู นคโู่ ครโมโซมท่ีตำแหนง่ เดยี วกนั
25. ยนี แบ่งเปน็ 2 แบบ คือ
1) ยนี เดน่ หรือยีนท่คี วบคมุ ลักษณะเดน่ เป็นลักษณะทางพันธกุ รรมของส่ิงมีชวี ิตทีม่ ีโอกาส
ปรากฏในรุ่นตอ่ ไปเสมอ หรอื ปรากฏในรุ่นต่อไปเปน็ สนั ส่วนมากกวา่ โดยสามารถแสดงลักษณะตา่ ง
ๆ น้นั ออกมาได้แม้มียนี นัน้ เพียงยีนเดียว
2) ยนี ดอ้ ยหรือยีนทีค่ วบคุมลักษณะด้อย เปน็ ลกั ษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมชี ีวิตท่ีมีโอกาส
ปรากฏในรนุ่ ตอ่ ไปได้นอ้ ยกว่า ซง่ึ ยีนดอ้ ยจะสามารถแสดงลักษณะตา่ ง ๆ ออกมาไดก้ ็ตอ่ เมอ่ื มียีน
ดอ้ ยนน้ั อยู่คูก่ ันทั้งสองยีน เช่น ยีนที่ควบคมุ ลกั ษณะเมล็ดขรขุ ระ (r) เป็นยนี ด้อย การแสดงออของ
ลักษณะเมล็ดขรุขระจะต้องมียีนเมล็ดขรขุ ระทัง้ คู่ (rr) จงึ จะสามารถแสดงลกั ษณะน้นั ออกมาได้
26. ลักษณะแตล่ ะลักษณะจะมยี ีนควบคมุ 1 คู่ โดยมยี นี หน่ึงมาจากพ่อและอกี ยนี หนึ่งมา
จากแม่
27. การแยกตวั ของยนี เมื่อมีการสรา้ งเซลล์สบื พันธุ์ยนี ท่ีอยเู่ ป็นคู่ ๆ จะแยกออกจากกนั ไป
อย่ใู นเซลล์สบื พนั ธุ์แตล่ ะเซลล์ และยนี เหล่าน้ันจะเข้าคกู่ นั ไดใ้ หมอ่ ีกในไซโกต

ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 85

28. ลกั ษณะเด่น คอื ลักษณะทีม่ ีโอกาสปรากฏออกมาในลูกรุ่นท่ี 1 และมโี อกาสปรากฏใน
รนุ่ ต่อ ๆ ไปได้เสมอ เช่น เมลด็ เรยี บ เมล็ดสเี หลอื งฝกั อวบ ต้นสูง มยี ีนเด่นควบคุม นยิ มใช้อกั ษร
ภาษาอังกฤษตัวใหญ่แทนยีนเด่น เช่น อกั ษร R แทนยนี ท่กี ำหนดลักษณะเมลด็ เรยี บ

29. ลักษณะดอ้ ย คือ ลกั ษณะท่ีไม่สามารถปรากฏออกมาในลูกรนุ่ ท่ี 1 แต่สามารถปรากฏ
ในลูกรุน่ ท่ี 2 และมโี อกาสปรากฏในรุ่นต่อไปได้นอ้ ย เช่น เมลด็ ขรุขระ เมล็ดสเี ขียว ฝกั แฟบ ตน้ เตีย้
มียนี ดอ้ ยควบคมุ และใชอ้ กั ษรภาษาอังกฤษตัวเล็กแทนยนี ด้อย เชน่ อกั ษร r แทนยีนท่ีกำหนด
ลักษณะเมล็ดขรุขระ

30. การผสมพันธุถ์ ั่วร่นุ พ่อแม่ที่เป็นพนั ธุแ์ ท้ จะได้ลูกรุ่นท่ี 1 ปรากฏออกมาเหมือนกันคือ
ได้ลกั ษณะเดน่ ทงั้ หมด

31. การผสมพันธ์ลุ ูกรนุ่ ที่ 1 ภายในดอกเดียวกนั จะไดล้ กู รุน่ ท่ี 2 ลกั ษณะเดน่ และด้อย
ปรากฏออกมาเปน็ อัตราสว่ นลกั ษณะเด่น : ลกั ษณะด้อย = 3 : 1

32. กล่มุ อาการที่เกดิ จากความผดิ ปกตขิ องโครโมโซม เช่น กลมุ่ อาการดาวน์ กลุม่ อาการค
ริดูชาด์ กลุม่ อาการไคลนเ์ ฟลเดอร์ เป็นตน้

33. กลมุ่ อาการดาวน์ (Down’s Syndrome)
สาเหตุ เกดิ จากโครโมโซมคู่ท่ี 21 ซงึ่ เป้นออโตโซมท่ีมีขนาดเลก้ ทีส่ ุดเกนิ มา 1 โครดม
โซมทำให้โครโมโซมคู่ที่ 21 มี 3 โครโมโซม พบวา่ แมท่ ี่มีอายุมากระหว่าง 35 – 45 ปี มีโอกาสให้
กำเนดิ ลกู ท่ีมอี าการดาวนส์ งู มากกว่าแม่ทมี่ ีอายนุ ้อย
อาการ คือ ตั้งจมูกแบน ตาหา่ ง หางตาช้ขี ้ึน ล้นิ จุกปาก กะโหลกศีรษะเล็กกลม ท้าย
ทอยแบน ตวั ค่อนขา้ งเตย้ี น้วิ มอื สนั้ ป้อม เส้นลายมือขาด มีพัฒนาการทางสมองช้า ประมาณ 40%
ของเด็กกล่มุ อาการดาวนจ์ ะมีหัวใจผิดปกตแิ ละเป็นโรคเกี่ยวกบั ระบบหายใจได้งา่ ย ทำให้มอี ายุไม่ยืน
ยาวเหมอื นคนปกติ
34. โรคทเี่ กดิ จากความผดิ ปกตขิ องยีน เชน่ โรคธาลสั ซีเมีย ภาวะตาบอดสี เปน็ ตน้
35. โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia)
สาเหตุ อาจเกิดจากยนี ด้อยในโครโมโซมคู่ที่ 16 หรอื ยีนด้อยในโครโมโซมคู่ที่ 11 โดยยนี
ทำใหเ้ กิดโรคมีผลทำใหเ้ ฮโมโกลบนิ ผิดปกตแิ ละทำให้เมด็ เลือดแดงมรี ปู ร่างผิดปกติ ไม่สามารถทำ
หนา้ ที่นำออกชเิ จนไปเล้ยี งเนื้อเย่อื ได้จึงเปน็ สาเหตุทำใหผ้ ูป้ ่วยมอี าการโลหิตจาง
อาการ มีหลายแบบ บางชนดิ เด็กที่เปน็ จะตายหมด 100% ต้ังแต่อยู่ในครรภ์หรือหลัง
คลอดใหม่ ๆ บางชนดิ มีอาการแคระแกร็น มกี ะโหลกศรี ษะและลักษณะใบหน้าผดิ ปกติ พุงป่อง

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

86 คมู่ อื เตรยี มสอบ

เพราะตับและม้ามโต มีอาการโลหติ จากมาแตก่ ำเนิดและมดี ีซ่าน กระดูกเปราะบาง หัวใจวาย และ
บางชนิดอาการไม่มากแต่เม่ือเป็นไขเ้ ม็ดเลือดแดงจะแตกได้งา่ ย ทำให้มภี าวะซีดและดีซ่านอย่าง
เฉยี บพลนั

36. ภาวะตาบอดสี (Color Blindness)
สาเหตุ เกิดจากยีนด้อยในโครโมโซม X พบในเพศชายมากกว่าเพศหญงิ คนที่ตาบอดสี
ส่วนใหญ่มกั ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากบรรพบุรุษ แตค่ นปกตอิ าจเกดิ การตาบอดสไี ด้ถ้า
เซลล์เกย่ี วกบั การรับสีภายในตาไดร้ ับความกระทบกระเทือนอยา่ งรนุ แรง
อาการ คอื มีอาการตาบอดสแี ดง – เขียว โดยท่ไี ม่สามารถแยกสแี ดงกับสเี ขยี วออกจาก
กันได้ หรือไมส่ ามารถแยกสีแดง สีเขียว ออกจากสีอื่น ๆ ได้ หรืออาจจะมองเห็นสีน้ำเงนิ ผดิ ไปจาก
ความเปน็ จริง
37. เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)เป็นเทคโนโลยที ี่เกย่ี วกับการนำส่ิงมชี ิวิตและ
ผลผลติ มาใช้ประโยชน์ ที่มวี ทิ ยาศาสตร์เป็นรากฐานประกอบดว้ ยหลายสาขาวชิ าผสมผสานกนั อยู่
โดยเฉพาะความรู้ทางพันธวุ ิศวกรรม
38. พันธวุ ศิ วกรรม (Genetic Engineering)หมายถึง เทคโนโลยที ่ีทำการเคล่ือนยา้ ยยีน
จากสิ่งมีชีวิตสายพันธ์หุ นึง่ ไปสูส่ ง่ิ มชี วี ิตอีกสายพนั ธุห์ นง่ึ เพื่อสร้างส่งิ มชี วี ิตรปู แบบใหม่ท่ีมีลักษณะตา่ ง
ๆ ตามทไ่ี ดม้ กี ารออกแบบไวเ้ รียกวา่ สิง่ มชี ีวติ ดดั แปรพันธุกรรม
39. สิ่งมชี ีวิตดดั แปรพันธกุ รรม (Genetically Modified Organism; GMO) เป็น
สงิ่ มีชวี ิตทไ่ี ดม้ ีการเปลี่ยนแปลงลกั ษณะทางพันธุกรรมโดยอาศยั เทคนิคทางพันธุกรรมหรือเทคนิคที่
เกยี่ วขอ้ งกบั การตัดต่อยีน ปจั จุบนั มีส่งิ มชี วี ติ ดดั แปรพันธุกรรมหลายชนิด เช่น ถ่ัวเหลอื ง ฝา้ ย พริก
มะละกอ เป็นต้น
40. การตัดต่อยนี หรือการเปลยี่ นถา่ ยหนว่ ยพนั ธกุ รรม ทำได้โดยใช้เทคโนโลยพี นั ธุ
วศิ วกรรม ซ่งึ เป็นวิธกี ารคดั เลือกสายพนั ธุ์โดยตรง แทนที่วธิ กี ารตามธรรมชาติซ่งึ ใชเ้ วลานาน
สงิ่ มชี ีวติ ใหม่ทไี่ ดจ้ ะมลี ักษณะเหมอื นพนั ธ์เุ ดมิ แทบทกุ ประการ ยกเว้นลักษณะพเิ ศษเพม่ิ เตมิ จากเดิม
ข้ึนอยกู่ ับชนิดของยีนที่ถ่ายทอดให้ตามความต้องการในการปรบั ปรุงพนั ธุ์สิ่งมีชีวิตนน้ั ๆ
41. ข้นั ตอนการตัดต่อยนี และส่งถ่ายยีนเขา้ สู่เซลล์พืช
1) คน้ หายีนที่มสี มบัติตามท่ีต้องการ อาจได้มาจากพืช สตั ว์ หรอื จลุ ินทรยี ์

ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 87

2) นำยนี ใส่เข้าไปในโครโมโซมภายในเซลลข์ องสง่ิ มีชวี ติ ทีต่ ้องการดัดแปร ซงึ่ มีวิธีการทีน่ ิยม
ใช้กันอยู่ 2 วิธคี อื ใชป้ นื (Gene Gun) โดยเคลอื บยนี อย่บู นอนุภาคโลหะขนาดเลก็ มาก จากนั้นยงิ
เขา้ สเู่ ซลล์พชื แลว้ ยีนจะสอดแทรกเข้าไปในยีนของพืชทเ่ี ป็นตัวรับยีน ใชแ้ บคทเี รีย ท่ีมสี มบัตเิ ข้า
ทำลายพชื และกอ่ ให้เกิดโรคกับพชื เป็นตัวกลาง

42. ประโยชนข์ องพนั ธุวิศวกรรม
1) ด้านการเกษตร เช่น ชว่ ยปรบั ปรุงพันธพ์ุ ชื ให้ด้านทานโรคและแมลง พฒั นาพันธพ์ุ ชื ใหม้ ี
คุณภาพผลผลติ ดี พัฒนาพันธส์ุ ัตว์ พฒั นาสายพนั ธุจ์ ุลนิ ทรีย์ให้มปี ระโยชน์ เปน็ ต้น
2) ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสุข เช่น พัฒนายารักษาโรคและวคั ซนี การสับเปลี่ยนยีน
ด้อยดว้ ยยีนดี เปน็ ตน้
3) ด้านการอนุรกั ษส์ ิ่งแวดล้อม เชน่ ไม่ต้องใช้สารเคมฉี ีดพ่นพชื ทต่ี ้านทานโรคและแมลง
เปน็ ต้น
4) ด้านการพฒั นาอุตสาหกรรม ทำใหเ้ กิดอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ขึน้ เพราะความกา้ วหน้า
ทางเทคโนโลยชี วี ภาพ
43. ผลเสียของพันธวุ ศิ วกรรม คอื มีความเสย่ี งและความซับซอ้ นในการจัดการเพื่อใหม้ ี
ความปลอดภยั และใหเ้ กิดประโยชน์มากกวา่ โทษความเสี่ยงทค่ี นทวั่ ไปวิตกกังวล เช่น พืชดดั แปร
พันธุกรรมอาจผลติ สารก่อภมู ิแพห้ รอื สารทีม่ สี มบัติเปน็ สารด้านการเจริญเตบิ โตของร่างกาย ยนี ท่ีถกู
ถา่ ยเขา้ ไปในพืชดัดแปรพนั ธุกรรมอาจเล็ดลอดไปสู่พชื อนื่ ๆ ในธรรมชาติ แมลงศัตรูพืชอาจพฒั นา
ความตา้ นทานต่อสารพษิ ทีส่ ร้างโดยพชื ดดั แปรพันธุกรรมเป็นต้น
44. การโคลน เป็นเทคโนโลยพี นั ธุวศิ วกรรมทส่ี รา้ งสง่ิ มชี ีวิตให้มีลกั ษณะเหมอื นตน้ แบบทุก
ประการ เหมาะแกก่ ารนำไปขยายพนั ธพ์ุ ชื เศรษฐกิจ เช่น การเพาะเล้ยี งเน้อื เยื่อเป็นการนำสว่ นใด
ส่วนหน่ึงของพชื มาเลี้ยงในอาหารวทิ ยาศาสตรท์ ป่ี ราศจากจุลนิ ทรยี แ์ ละอยู่ในสภาวะควบคมุ ให้
เติบโตเปน็ ต้นใหม่ทสี่ มบรู ณ์และเหมอื นต้นเดิม

45. ประโยชน์จากการเพาะเล้ยี งเนื้อเย่ือ
1) เพ่ิมจำนวนพันธ์ุพืชทตี่ ้องการในเวลาอันรวดเรว็ ได้
2) ผลติ ตน้ พืชทีม่ ีลกั ษณะทางพันธุกรรมเหมือนต้นแบบได้
3) ผลติ ตน้ พชื ทปี่ ราศจากโรคได้
4) ทำใหส้ ามารถเกบ็ รักษาพนั ธุ์พืชท่ีมอี ยู่ พชื หายาก พืชท่ีใกลส้ ูญพันธ์ พืชลักษณะดี หรือ

พชื ทีแ่ ลกเปลยี่ นระหวา่ งประเทศได้

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

88 ค่มู อื เตรยี มสอบ

5) ใช้ปรบั ปรงุ พนั ธ์ุพืชได้

ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 89

ตวั อย่างแนวข้อสอบบทท่ี 5

1. ลักษณะตามข้อใดข้ึนอยกู่ ับอทิ ธพิ ลของสิ่งแวดลอ้ ม

ก. ตาช้ันเดยี ว ข. การมลี ักย้มิ

ค. ลกั ษณะหางขอดของแมว ง. ปรมิ าณการใหน้ ้ำนมของวัว

2. จากการศึกษาพบว่าลักษณะบางอย่างสามารถถูกถา่ ยทอดทางไซโทพลาซึมได้ลกั ษณะที่

ถ่ายทอดทางไซโทพลาซึมน้ีทำให้ลกู มีลักษณะเหมือนใคร

ก. ทง้ั พ่อและแม่ ข. อาจเหมือนพ่อหรอื แม่อยา่ งใดอย่างหน่งึ

ค. แม่ ง. พอ่

3. ข้อความใดไม่ถกู ต้อง เก่ียวกบั ความแปรผันทางพันธกุ รรม

ก. เกดิ จากการสบื พันธุแ์ บบอาศัยเพศได้มากกว่าการสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศ

ข. เกิดข้ึนได้ทงั้ จากการรวมกลุ่มของยีนและมวิ เทชนั

ค. มีประโยชน์ต่อส่งิ มชี ีวติ ทงั้ แบบอาศยั เพศและแบบไมอ่ าศัยเพศ

ง. เกิดขน้ึ เพ่ือให้ได้ลกั ษณะท่เี หมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ มท่ีสิ่งมีชวี ติ จะตอ้ งเผชญิ ในอนาคต

4. การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรมสามารถพบไดท้ ีใ่ ด

ก. นิวเคลียส ข. นวิ เคลียส และไซโทพลาซึม

ค. ไซโทพลาซึม ง. เซลล์สบื พันธ์ุ

5. ข้อใดเป็นลักษณะทางพันธุกรรม?

ก. แผลเป็น ข. ความอ้วน

ค. ลกั ษณะสีผิว เสน้ ผม ง. การรอ้ งเพลง

6. โรคทางพันธกุ รรมใดตอ่ ไปนี้เป็นโรคท่ีเกดิ จากความผดิ พลาดของโครโมโซมเพศ ?

ก. อาการดาวน์ ข. อาการคริดูซา่ ต์

ค. อาการเทอรเ์ นอร์ ง. ก และ ข ถูก

7. ยีนมีหนา้ ทอ่ี ยา่ งไร?

ก. ควบคมุ ลักษณะทางพันธกุ รรม ข. ควบคุมการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม

ค. แสดงลักษณะทางพันธกุ รรม ง. ถกู ทกุ ขอ้

8. โครโมโซมมีองคป์ ระกอบเปน็ สารประเภทใด

ก. ไขมันและโปรตนี ข. กรดนิวคลีอิกและไขมัน

ค. กรดนวิ คลีอกิ และโปรตนี ง. กรดนิวคลีอิก ไขมนั และโปรตนี

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

90 คมู่ อื เตรยี มสอบ

9. ข้อใดกล่าวถกู ต้องเก่ียวกับเทคนคิ พันธวุ ศิ วกรรม

ก. เปน็ การนำยีนของส่งิ มีชวี ติ ชนดิ เดยี วกันมาต่อกนั

ข. เปน็ การนำยนี ของส่งิ มชี วี ติ ต่างชนดิ มาต่อกนั

ค. เป็นการตดั ยีนที่ไมด่ ีท้ิงไป

ง. เป็นการเพม่ิ จำนวนยีนให้มีมากข้ึนตามทีต่ ้องการ

10. โรคกลมุ่ ใดเกิดจากความผดิ ปกติของออโทโซม

ก. ตาบอดสี ข. ดาวนซ์ ินโดรม

ค.ไคลนเ์ ฟลเตอรซ์ นิ โดรม ง. เทอร์เนอร์ซินโดรม

เฉลยบทที่ 1

1 ง2 ก3 ค4 ค5 ง

6 ค 7 ก 8 ข 9 ค 10 ค

11 ค 12 ง 13 ง 14 ง 15 ข

16 ค 17 ข 18 ง 19 ก 20 ข

เฉลยบทท่ี 2

1 ค2 ค3 ข4 ง5 ค

6 ง 7 ค 8 ง 9 ค 10 ง

11 ข 12 ค 13 ข 14 ข 15 ก

16 ค 17 ง 18 ง 19 ก 20 ค

21 ง 22 ค 23 ข 24 ค 25 ข

26 ก

เฉลยบทท่ี 3

1 ก2 ข3 ข4 ค5 ข

6 ก 7 ข 8 ค 9 ง 10 ค

11 ข 12 ก 13 ข 14 ง 15 ก

16 ข 17 ก 18 ง 19 ค 20 ค

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 91

เฉลยบทที่ 5
1 ง2ค3ค4ข5 ค
6 ค 7 ง 8 ค 9 ข 10 ข

สาระท่ี 2 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม

บทที่ 1 ระบบนเิ วศ

1. สิ่งแวดล้อม (Environment)หมายถึง ทกุ ๆ สิง่ ที่อยรู่ อบตวั เรา ประกอบด้วยสงิ่ มชี ีวติ และ
ส่ิงไม่มชี วี ิต เช่น ตน้ ไม้ สตั ว์ มนุษย์ อากาศ ดนิ หิน ความชื้น แสงแดด อุณหภูมิ เปน็ ต้น
2. กลมุ่ สิง่ มชี ีวิต (Community) หมายถึง สิง่ มชี ีวิตหลาย ๆ ชนดิ ท่อี าศัยอยู่รว่ มกันในบรเิ วณใด
บริเวณหนึ่งและมีความสัมพนั ธก์ ัน
3. แหล่งท่ีอยู่ (Habitat) หมายถึง สถานท่หี รือบริเวณท่สี ่ิงมชี วี ิตอาศยั อยู่
4. ระบบนเิ วศ (Ecosystem)หมายถึง ระบบท่ีประกอบด้วยกลมุ่ สิง่ มชี วี ิตทีม่ ีความสัมพนั ธก์ นั และมี
ความสมั พนั ธก์ ับส่งิ ไม่มชี ีวติ ในสงิ่ แวดล้อมนั้น ๆ โดยมกี ารถา่ ยทอดพลังงานและการหมุนเวยี นสาร
เกดิ ข้นึ ด้วย
5. ประเภทของระบบนิเวศ แบง่ โดยใชแ้ หลง่ ทอ่ี ยู่อาศัยเป็นเกณฑ์ได้ 2 ประเภท คอื

1) ระบบนิเวศบนบก หมายถึง ลกั ษณะของระบบนิเวศท่ีกลุ่มส่งิ มีชีวิตภายในระบบอาศัย
อยูบ่ นพ้นื ดนิ เชน่ ระบบนิเวศป่าไม้ ระบบนเิ วศทุ่งหญ้า ระบบนิเวศทะเลทราย เป็นต้น

2) ระบบนเิ วศในนำ้ หมายถึง ลกั ษณะของระบบนเิ วศที่กลมุ่ สิง่ มชี ีวิตภายในระบบนิเวศ
อาศัยอยใู่ นแหล่งน้ำตา่ ง ๆ เชน่ ระบบนิเวศในบ่อน้ำ ระบบนเิ วศในแมน่ ำ้ ระบบนเิ วศในมหาสมทุ ร
เปน็ ตน้
6. องคป์ ระกอบของระบบนิเวศ ทสี่ ำคัญมี 2 ส่วน คือ

1) องคป์ ระกอบที่มีชีวติ ไดแ้ ก่ สงิ่ มีชวี ิตทกุ ชนิด จดั เปน็ ปัจจัยทางชีวภาพ เชน่ พืช สตั ว์
มนุษย์ จลุ นิ ทรีย์

2) องค์ประกอบที่ไม่มีชีวติ ประกอบด้วยสิ่งไม่มชี วี ิต มีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตและการ
กระจายของสิ่งมชี วี ิตแบง่ เปน็ ปัจจยั ทางกายภาพและปจั จยั ทางเคมี เช่น อากาศ ดนิ หนิ แรธ่ าตุ แสง
ความช้นื ความเป็นกรด-เบสของดนิ

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

92 ค่มู อื เตรยี มสอบ

7. การดำรงชีวิตของสิ่งมชี ีวิต ส่งิ มีชีวิตแตล่ ะชนดิ ในบริเวณหน่ึง ๆ จะมีความสัมพันธก์ ับ
องคป์ ระกอบที่มีชวี ติ และไมม่ ีชีวิต
8. บทบาทของสิ่งมีชวี ิตในระบบนเิ วศ มี 3 ชนิด คอื ผูผ้ ลิต ผู้บริโภคและผยู้ ่อยสลายสารอนิ ทรยี ์
9. ผ้ผู ลิต (Producer)หมายถึง สงิ่ มีชีวติ ท่สี ามารถสร้างอาหารได้เองโดยวิธกี ารสังเคราะห์ด้วยแสง
ไดแ้ ก่ พืชที่มีสีเขียว สาหร่าย รวมทัง้ ส่ิงมีชีวติ เซลล์เดียวทม่ี ีคลอโรฟลิ ล์
10. ผู้บริโภค (Consumer)หมายถงึ สิง่ มชี ีวติ ที่ไมส่ ามารถสรา้ งอาหารไดเ้ องต้องอาศัยอาหารจาก
แหล่งอ่ืนในการดำรงชวี ติ ได้แก่ สตั วแ์ ละมนุษย์ผ้บู รโิ ภคแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ

1) สิ่งมีชวี ติ กินพืช (Herbivores)เปน็ สิง่ มชี วี ติ ท่ีกินพชื เป็นอาหารเพยี งอย่างเดียวจัดเป็น
ผู้บริโภคอนั ดับแรกที่ได้รบั การถ่ายทอดพลังงานจากพชื โดยตรง ได้แก่ แมลงต่าง ๆ กระต่าย แพะ
แกะ หนู วัว ควาย เปน็ ต้น

2) ส่ิงมีชวี ิตกินสตั ว์ (Carnivores)เป็นสิง่ มชี วี ิตท่ีกินสตั วด์ ว้ ยกนั เองเป็นอาหารโดยไม่กนิ
พืชเลย ได้รบั การถ่ายทอดพลังงานจากพชื โดยตอ้ งกนิ สตั วท์ กี่ ินพชื อีกต่อหน่งึ ได้แก่ งู จระเข้ เสอื
สิงโต เหยย่ี ว นกอนิ ทรยี ์ เปน็ ต้น

3) สิ่งมีชีวิตกนิ พืชและสตั ว์ (Omnivores หรือ Top Carnivores)เป็นสง่ิ มชี ีวิตทีก่ นิ ทั้ง
พชื และสัตวเ์ ป็นอาหาร ได้รบั การถ่ายทอดพลังงานจากพชื หรือจากสตั ว์กนิ พืช ได้แก่ ไก่ เป็ด นก
สุนขั แมว รวมท้ังมนษุ ย์

4) สตั ว์กนิ ซาก (Scavengers)เป็นสิ่งมีชวี ติ ที่กินซากพืชซากสัตวท์ เี่ น่าเปือ่ ยผพุ งั เป็น
อาหาร ไดแ้ ก่ ไส้เดือนดิน มด กิ้งกือ นกแร้ง
11. ผู้ยอ่ ยสลายสารอินทรีย์ (Decomposer)หมายถงึ สงิ่ มชี ีวิตท่ีไมส่ ามารถสร้างอาหารไดเ้ อง แต่
จะไดร้ ับอาหารโดยการผลติ เอนไซม์ออกมาชว่ ยย่อยซากของสง่ิ มชี ีวิตอืน่ ของเสยี หรอื กากอาหารให้
กลายเปน็ สารท่มี ีขนาดโมเลกุลเลก็ ลง แลว้ ดดู ซึมสารอาหารทไี่ ด้น้ันไปใชป้ ระโยชนแ์ ละส่วนท่ีเหลอื
จากการดดู ซมึ จะปลอ่ ยออกส่รู ะบบนิเวศ สิ่งมีชวี ติ ชนดิ น้ีได้แก่

1) แบคทเี รีย เป็นส่ิงมชี วี ิตเล็ก ๆ ทไ่ี มจ่ ัดเป็นพชื หรือสัตว์เพราะไมส่ ามารถสร้างอาหารได้
เอง มขี นาดเล็กไม่สามารถมองเหน็ ไดด้ ้วยตาเปลา่ พบอยู่ท่ัวไปทกุ หนแห่ง แบคทเี รียไดร้ บั อาหารจาก
การย่อยสลายซากสง่ิ มีชีวิตให้มขี นาดเล็กลงแลว้ จึงดูดซมึ ไปใชป้ ระโยชน์

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 93

2) เหด็ รา ไมจ่ ดั เป็นพืชเพราะไม่มคี ลอโรฟลิ ล์ และไมส่ ามารถสรา้ งอาหารได้เอง มกี าร
ดำรงชวี ติ เหมอื นแบคทีเรียคือ สามารถเจริญเตบิ โตบนสิง่ มีชีวติ อื่นทต่ี ายแลว้ และย่อยสลายซาก
สง่ิ มชี ีวติ นั้นใหม้ ีโมเลกุลเล็กลงแล้วดดู ซึมไปเป็นอาหาร
12. บทบาทของผู้ย่อยสลายสารอนิ ทรยี ์ ทำหนา้ ทเี่ ชื่อมโยงหนว่ ยสิง่ มีชีวติ กบั สง่ิ ไม่มีชวี ติ ทำให้
สารอาหารหมนุ เวยี นเป็นวัฏจักรได้ โดยเม่ือสิ่งมชี วี ติ ตายลง จะถูกผยู้ ่อยสลายสารอินทรยี ์ย่อยสลาย
ให้เน่าเปอื่ ยกลายเปน็ สารทจ่ี ำเป็นตอ่ การเจริญเติบโตของพืช นอกจากนย้ี งั มปี ระโยชน์ตอ่ มนุษย์ เชน่
เห็ดหลายชนิดนำมารับประทานได้ ราบางชนิดผลติ สารทีม่ ีฤทธิเ์ ปน็ ยาได้
13.ถา้ โลกไม่มีผู้ย่อยสลายสารอินทรยี ์ ขยะและซากสง่ิ มชี ีวติ จะไม่มีการเน่าเปอื่ ย แต่อานผพุ ังสกึ
กรอ่ นไปโดยตัวกระทำอน่ื ๆ เชน่ ลม น้ำ ความรอ้ น หรอื อาจเปล่ยี นสภาพไปเป็นซากดึกดำบรรพ์ซ่ึง
ตอ้ งใชเ้ วลานานมาก ทำใหเ้ กิดการสะสมสารอินทรยี ใ์ นสง่ิ แวดล้อมเพ่ิมข้ึน และไม่มีการหมุนเวยี น
คารบ์ อนในระบบนเิ วศโดยคาร์บอนจะถูกสะสมอยู่ในสภาพสารอนิ ทรีย์ ปรมิ าณแกส๊
คาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศลดลง ทำให้การสงั เคราะห์ด้วยแสงของผู้ผลิตลดลง นอกจากน้ี
ปรมิ าณแก๊สออกซเิ จนและน้ำซงึ่ เปน็ ผลผลติ จากการสงั เคราะห์ด้วยแสงกจ็ ะลดลงดว้ ย ผลท่ีตามมา
คือส่ิงมชี วี ติ ขาดออกซเิ จน บรรยากาศขาดความชุม่ ชนื้ ดินก็จะขาดแร่ธาตุและเส่ือมสภาพลงไปเร่อื ย
ๆ เนื่องจากพืชมีการดดู ซึมแร่ธาตทุ ีอ่ ยู่ในดินไปใชต้ ลอดเวลา
14. ผลู้ า่ หมายถงึ สัตวท์ ่ีกนิ สัตวอ์ นื่ เปน็ อาหาร
15. เหย่ือ หมายถึง สตั ว์ที่ถกู สตั ว์อื่นกินเป็นอาหาร
16. สถานะของสัตว์ สัตว์บางชนดิ อาจมสี ถานะเปน็ ท้ังผ้ลู า่ และบางคร้ังอาจมีสถานะเปน็ เหยื่อของ
สตั วช์ นดิ อน่ื อกี ทอดหนง่ึ เช่น แมลงเม่าเปน็ เหย่ือของกบทีเ่ ป็นผ้ลู ่าจับกินเป็นอาหาร และ
ขณะเดียวกันกบกอ็ าจกลายเป็นเหย่ือของงูซง่ึ เป็นผ้ลู ่าอีกทอดหน่ึงได้
17. โดยทั่วไปผู้ลา่ มักจะมขี นาดของรา่ งกายใหญก่ วา่ เหยื่อและมีความแข็งแรงมากกว่าเหยอ่ื แต่
ก็มสี ตั วบ์ างชนิดทีม่ ีสถานะเป็นผลู้ า่ แตม่ ีขนาดของรา่ งกายเล็กกว่าเหย่อื มาก ซ่ึงในการล่าแต่ละครั้งผู้
ลา่ เหลา่ นจี้ ะต้องมกี ารรวมกลุ่มกนั หลาย ๆ ตวั หรอื ต้องมเี ข้ียวเล็บท่แี หลมคม เชน่ ปลาปริ นั ยา มด
หมาปา่ เป็นตน้
18. ความสัมพันธ์ระหวา่ งผู้ผลิตผู้บริโภคและผยู้ ่อยสลายสารอนิ ทรีย์ มลี ักษณะดังนี้คือ ผ้ผู ลติ
สามารถสรา้ งอาหารไดเ้ องโดยการเปลีย่ นพลังงานแสงจากดวงอาทติ ย์ เปน็ พลังงานเคมีสะสมไว้ใน
โมเลกลุ สารอาหารเพื่อใช้ในการดำรงชวี ติ และการเจรญิ เติบโต เมอื่ ผูบ้ รโิ ภคกินผ้ผู ลติ เปน็ อาหารจะ
ได้รบั พลังงานถา่ ยทอดมาจากผู้ผลติ และถ่ายทอดพลังงานต่อไปสูผ่ ู้บริโภคลำดับถดั ไปในโซอ่ าหาร
โดยพลงั งานทผี่ ู้บริโภคลำดับถัดไปไดร้ บั จะน้อยลงตามลำดับ และพลังงานจากผ้ผู ลติ และผู้บรโิ ภคจะ

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

94 คมู่ อื เตรยี มสอบ

ถา่ ยทอดไปยังผู้ย่อยสลายสารอนิ ทรีย์ เมื่อผูผ้ ลิตและผู้บรโิ ภคตายลง ผยู้ ่อยสลายสารอนิ ทรยี จ์ ะย่อย
สลายซากสิ่งมชี ีวติ ทำใหส้ ารอินทรีย์ในซากสิง่ มชี วี ิตเปลย่ี นเปน็ สารอนินทรีย์ คือแร่ธาตุต่าง ๆ
กลบั คนื สู่สิง่ แวดลอ้ ม ซ่ึงผูผ้ ลิตสามารถนำไปใช้ในการสรา้ งอาหารต่อไปได้อีก
19. ความสัมพนั ธ์ของกลุ่มสิ่งมีชีวิตในแงท่ ี่เปน็ อาหาร แบง่ ได้ 2 ประเภทคือ โซ่อาหารและสายใย
อาหาร
20. โซ่อาหาร (Food Chain)หมายถงึ การกนิ ต่อกันเป็นทอด ๆ ของส่ิงมชี วี ติ และมกี ารถา่ ยทอด
พลังงานจากสิง่ มีชวี ติ ชนดิ หนงึ่ ไปยงั ส่ิงมชี ีวิตอีกชนิดหน่ึงตามลำดับข้ันของการกนิ และสว่ นหนึ่งของ
พลังงานจะกลับคนื สู่สงิ่ แวดล้อมในรูปพลังงานความรอ้ น
21. การเขียนโซ่อาหาร จะใช้ลูกศรแสดงถงึ การถา่ ยทอดพลังงาน และหวั ลูกศรช้ไี ปยังส่งิ มชี ีวิตท่ี
ไดร้ ับการถา่ ยทอดพลงั งานมา เช่น

ต้นข้าว ต๊กั แตน  นกกระจอก  เหยีย่ ว
22. ถ้าสิง่ มีชีวิตชนิดใดชนดิ หนง่ึ ในห่วงโซอ่ าหารลดจำนวนลงหรือถกู ทำลายให้หมดไปอย่าง
รวดเรว็ จะเกิดผลกระทบต่อส่งิ มีชีวิตชนิดอื่น ๆ คือ สงิ่ มีชีวติ ทเ่ี ปน็ อาหารของสงิ่ มีชีวติ ชนดิ นั้นจะ
เพ่ิมปริมาณข้ึนอยา่ งรวดเรว็ และสิง่ มีชีวิตท่ีเปน็ อาหารของสง่ิ มีชีวติ ชนดิ นั้นจะเพิ่มปริมาณข้ึนอยา่ ง
รวดเรว็ และส่งิ มชี ีวติ ทกี่ ินส่งิ มีชวี ิตชนิดน้ันเป็นอาหารจะลดปริมาณลง เช่น ถ้ากบลดจำนวนลงมาก
จะสง่ ผลใหแ้ มลงซง่ึ เป็นอาหารของกบมีจำนวนเพ่ิมมากข้ึน ทำใหอ้ าหารของแมลงลดน้อยลงดว้ ย
และงูท่ีกนิ กบเป็นอาหารมีจำนวนลดลง
23. ประเภทของโซ่อาหาร แบง่ เปน็ 4 ประเภท คือ โซอ่ าหารแบบผู้ลา่ โซ่อาหารแบบปรสติ โซ่
อาหารแบบซากอินทรยี ์ โซอ่ าหารแบบผสม
24. โซ่อาหารแบบผลู้ า่ เริม่ ต้นจากผู้ผลติ คอื พชื ผ้บู รโิ ภคท่เี ป็นผู้ล่า และเหย่อื พบในชมุ ชน
มหาสมุทรหรือชุมชนป่า เช่น

สาหร่าย ไรน้ำ  ปลา  นกกระสา
ดอกไม้ แมลง  กบ  งู เหยีย่ ว
25. โซ่อาหารแบบปรสติ เร่ิมจากผถู้ ูกอาศยั ถา่ ยทอดพลงั งานไปยงั ปรสติ ในลำดบั ต่าง ๆ เช่น
ควาย  เหบ็  แบคทีเรีย
สนุ ัข  หมัด  แบคทเี รีย

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 95

26. โซ่อาหารแบบซากอินทรยี ์ เริ่มจากพลังงานที่สะสมในซากอนิ ทรยี ถ์ ูกถ่ายทอดไปยังส่ิงมีชวี ติ ที่
กินซาก และเมื่อส่ิงมีชวี ติ กินซากถูกสตั ว์อนื่ กินพลังงานกจ็ ะถูกถา่ ยทอดไปตามลำดับ หรืออาจเร่ิม
จากซากสิ่งมชี ีวติ ถูกย่อยสลายโดยผ้ยู อ่ ยสลายสารอนิ ทรีย์ แล้วผยู้ อ่ ยสลายสารอนิ ทรยี ์ถูกผูบ้ รโิ ภคกนิ
เปน็ อาหาร พบได้ในระบบนิเวศของป่าและพืชทอี่ ยู่ในดิน เช่น

ซากกระต่าย  นกแร้ง  เสอื
ซากพชื ซากสตั ว์  แบคทีเรยี  แมลง  นก
27. โซอ่ าหารแบบผสม ประกอบดว้ ยโซ่อาหารหลาย ๆ แบบผสมกนั อยใู่ นสายเดียวกนั ซึ่งในแต่ละ
โซอ่ าหารอาจมีท้ังแบบผลู้ า่ และแบบปรสิต เชน่
หญ้า  ควาย  เหลอื บ  นกเล็ก  นกเหยย่ี ว
28. สายใยอาหาร (Food Web)หมายถงึ ความสัมพันธ์ระหวา่ งโซ่อาหารหลาย ๆ โซ่ทีเ่ ชือ่ มโยง
และสมั พนั ธ์กนั สิ่งมชี วี ิตที่เป็นส่วนของโซ่อาหารหน่ึงอานเป็นส่วนของอีกหลาย ๆ โซ่อาหาร ทำให้
เกิดการถ่ายทอดพลังงานที่ซับซอ้ น เชน่

เหยยี่ ว

งู นกกระจอก สนุ ขั บ้าน

กบ ต๊ักแตน แมงมุม

หนนู า
ตน้ ข้าว

29. สงิ่ มชี ีวติ มคี วามสัมพนั ธ์ซ่งึ กนั และกนั ในเชิงการเปน็ อาหาร โดยในธรรมชาติสว่ นใหญ่ เป็น
ความสมั พันธก์ ันแบบสายใยอาหารซงึ่ มีความซับซ้อนกว่าโซ่อาหาร
30. ระบบนเิ วศทสี่ มดุล เป็นระบบนเิ วศท่ีมจี ำนวนผู้ผลิต ผบู้ รโิ ภค และผูย้ ่อยสลายสารอินทรียใ์ น
จำนวนท่ีเหมาะสม และมีสายใยอาหารท่ีมีความซับซอ้ น ประกอบดว้ ยสิ่งมชี วี ิตมากชนดิ และ
สิง่ มชี ีวิตแต่ละชนิดกินอาหารได้หลายชนิด
31. ระบบนิเวศที่ประกอบด้วยส่ิงมีชีวิตนอ้ ยชนิด สายใยอาหารจะไม่ซับซ้อน จงึ รักษาสมดุลได้
ยาก เมือ่ จำนวนสง่ิ มชี วี ิตบางชนดิ เปลย่ี นแปลงสง่ิ มชี ีวติ ท่ีเกีย่ วข้องเองจึงมีแนวโนม้ ท่จี ะได้รบั
ผลกระทบอยา่ งรุนแรงจนถงึ ข้ึนสญู พันธุ์ไปจากระบบนิเวศนั้นได้

ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

96 ค่มู อื เตรยี มสอบ

32. การถ่ายทอดพลังงานในรูปสารอาหารจากผู้ผลติ ไปยังผ้บู ริโภคลำดบั ตา่ ง ๆ โดยการกินตอ่
กนั เปน็ ทอด ๆ ในทุก ๆ จดุ ท่ีมกี ารถ่ายทอดพลังงานจะมีการสูญเสยี พลังงานสะสมไป 80-90%
เนื่องจากผบู้ รโิ ภคแต่ละชนดิ ไมส่ ามารถกินพชื หรือสัตว์ท่เี ป็นอาหารได้หมดทุกส่วนและบางครง้ั
อาหารที่กินเขา้ ไปรา่ งกายก็ไม่สามารถย่อยได้ทุกชนดิ นอกจากนยี้ ังมีพลงั งานส่วนหนึ่งถูกถา่ ยโอน
ไปสู่สิง่ แวดล้อม ในรปู พลงั งานความร้อนอกี ด้วย ดังนน้ั จึงมีพลังงานเพยี ง 10-20% เท่าน้ันท่ี
สามารถถ่ายทอดไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้
33. การถ่ายทอดพลังงานในโซอ่ าหาร โซ่อาหารย่ิงส้ันเท่าไรหรอื ยิ่งใกลผ้ ผู้ ลติ เทา่ ไรกจ็ ะยง่ิ มี
พลงั งานเหลืออยมู่ าเท่าน้ัน
34. กลุ่มสิง่ มีชีวติ ชนิดต่าง ๆ ท่ีอาศัยอยู่ในแหล่งทอ่ี ย่เู ดียวกันในระยะเวลาหนงึ่ จะมคี วามสัมพนั ธ์
กันหลายรปู แบบ มที ้ังความสัมพันธ์ระหวา่ งส่ิงมีชวี ติ ชนิดเดยี วกนั และความสัมพนั ธร์ ะหว่าง
สงิ่ มีชีวิตตา่ งชนิดกนั
35. ความสัมพันธแ์ บบภาวะอิงอาศัย (Commensalism)ใช้สัญลักษณ์+ 0 เป็นความสัมพนั ธ์ของ
ส่ิงมีชีวติ ทอี่ ยู่ร่วมกันโดยฝ่ายหนึง่ ไดร้ ับประโยชน์ส่วนอกี ฝ่ายไมไ่ ดแ้ ละไมเ่ สียประโยชน์ และหาก
แยกกันอย่ตู า่ งฝา่ ยก็ยงั สามารถดำรงชวี ิตไดต้ ามปกติ
36. สง่ิ มชี ีวิตท่ีมีความสมั พันธ์กนั แบบภาวะอิงอาศยั เชน่

1) ปลาฉลามกับเหาฉลาม โดยเหาฉลามจะเกาะปลาฉลามไปตามทตี่ า่ ง ๆ เพอ่ื กินเศษ
อาหารจากปลาฉลามส่วนปลาฉลามไมเ่ สียประโยชนแ์ ตก่ ็ไมไ่ ด้ประโยชน์

2) พลูดา่ งหรือกลว้ ยไมก้ ับต้นไม้ใหญ่ พลดู า่ งและกล้วยไม้จะอาศยั อยูบ่ นต้นไมโ้ ดยเกาะที่
บริเวณเปลอื กไมด้ ดู ซึมนำ้ และแร่ธาตจุ ากเปลือก แตไ่ ม่ไดช้ อนไชรากเขา้ ไปในเน้ือไม้ สว่ นตน้ ไมใ้ หญ่ก้
ไม่เสยี ประโยชนอ์ นั ใด
37. ความสัมพนั ธ์แบบภาวะปรสติ (Parasitism)ใช้สัญลักษณ์ + - เป็นความสัมพนั ธข์ องส่งิ มชี ีวติ
ทีอ่ ยู่รว่ มกันโดยที่ฝา่ ยหน่ึงได้รับประโยชน์ แต่อกี ฝา่ ยเสียประโยชน์ ฝา่ ยทีไ่ ดป้ ระโยชนค์ ือ ผูอ้ าศยั
หรือปรสติ และฝา่ ยท่ีเสยี ประโยชนค์ ือ ผใู้ ห้อาศัยหรือผู้ถูกอาศยั ความสัมพนั ธแ์ บบน้ีแบ่งเปน็ 2
แบบ คือ

1) ปรสติ ภายใน เป็นปรสิตที่อาศัยอย่ภู ายในรา่ งกายของผู้ถูกอาศัย เช่น พยาธิต่าง ๆ โดย
พยาธิจะอาศยั อยู่ในรา่ งกายของมนุษย์หรือสตั ว์ คอยดูดกินอาหารทย่ี ่อยแลว้ ทำใหม้ นุษย์และสัตว์
ได้รบั อาหารไมเ่ พยี งพอ และอาจกอ่ ให้เกดิ โรคไดด้ ้วย

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 97

2) ปรสิตภายนอก เป็นปรสติ ทอี่ าศัยอยภู่ ายนอกร่างกายของผู้ถกู อาศัยบางชนิดอาจเกาะ
อยกู่ บั ผ้ถู ูกอาศัยตลอดเวลา เช่น เหา เหบ็ หมัด กาฝาก และบางชนิดอาจเกาะกินเพียงชั่วคราว
เทา่ น้ัน เชน่ ยุง เหลือบ ปลิง ทาก ดูดเลือด
38. ความสัมพันธแ์ บบการได้ประโยชนร์ ่วมกัน (Protocooperation)ใช้สัญลกั ษณ์ + + เปน็
ความสมั พันธ์ทส่ี ง่ิ มีชวี ิตท้งั สองฝา่ ยตา่ งได้ประโยชนด์ ว้ ยกันท้ังคู่ สิ่งมชี วี ติ ท้งั สองสามารถแยกกนั อยู่
ไดโ้ ดยไม่มีฝ่ายใดได้รบั ความเสยี หาย
39.สิง่ มีชีวิตท่ีมคี วามสมั พนั ธ์แบบการไดป้ ระโยชน์รว่ มกัน เชน่

1) ผ้ึงกับดอกไม้ ผึ้งจะดดู นำ้ หวานจากดอกไม้เปน็ อาหารส่วนดอกไมอ้ าศยั แมลงช่วยถ่าย
ละอองเรณูให้

2) ควายกบั นกเอี้ยง นกเอี้ยงไดเ้ ห็บและแมลงที่อย่บู นตัวควายเปน็ อาหาร ควายได้
ประโยชน์เพราะนกเอย้ี งชว่ ยกำจัดปรสติ

3) ดอกไมท้ ะเลกับปลาการ์ตนู ปลาการ์ตนู จะอาศัยดอกไม้ทะเลเป็นท่หี ลบซ่อนภัยจากศัตรู
ส่วนดอกไมท้ ะเลจะไดอ้ าหารช้นิ เล็กช้นิ นอ้ ยที่เหลือจากปลาการ์ตนู เปน็ อาหาร
40. ความสัมพนั ธแ์ บบภาวะพง่ึ พากัน (Mutualism)ใช้สญั ลักษณ์ + + เป็นการอยู่ร่วมกันของ
ส่ิงมีชวี ติ แบบได้ประโยชนร์ ่วมกันท้ังสองฝา่ ย การเจรญิ หรือการอยรู่ อดของสิง่ มีชวี ิตท้ังสองจะข้นึ แก่
กนั แลกัน ขาดชนดิ ใดชนดิ หนึ่งไม่ได้ และส่ิงมีชีวติ ทัง้ สองจะต้องอยรู่ ่วมกนั ตลอดเวลา
41. สิง่ มชี ีวติ ท่ีมคี วามสัมพันธแ์ บบภาวะพึ่งพากัน เช่น

1) รากบั สาหร่าย หรอื เรียกวา่ ไลเคน ราชว่ ยดูดซับความชื้นได้อาหารและที่อยู่อาศัยจาก
สาหร่าย ส่วนสาหรา่ ยสามารถสงั เคราะห์ดว้ ยแสงเพื่อสร้างอาหารมาใช้ในการดำรงชวี ิตได้โดยได้รับ
ความชื้นและแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดจ์ ากรา

2) แบคทีเรยี ไรโซเบยี มในปมรากพืชตระกูลถ่ัว แบคทีเรียได้ที่อยู่อาศยั และสามารถเปลยี่ น
ไนโตรเจนในอากาศให้เป็นสารประกอบไนโตรเจนทีเ่ ปน็ ประโยชน์ตอ่ ทัง้ แบคทีเรียและถ่วั

3) โปรโตซัว(trichonympha) ในลำไส้ปลวกโปรโตซัวสามารถย่อยเน้ือไมซ้ ง่ึ เป็นสารพวก
เซลลโู ลสได้ ทำให้ปลวกกนิ เนื้อไม้เป็นอาหารได้ สว่ นโปรโตซัวได้อาหารจากการย่อยนน้ั และได้ที่อยู่
อาศยั
42. ความสมั พนั ธ์แบบภาวะมกี ารแขง่ ขัน้ (Compettition)ใช้สัญลักษณ์ - - เปน็ ความสมั พนั ธ์
ของสง่ิ มีชีวติ ทอี่ ยบู่ นรูปแบบของการแข่งขันเพื่อแยง่ ชิงสิ่งท่ีต้องการเหมือนกัน พบได้ท้ังในสิง่ มีชวี ิต
ชนดิ เดียวกัน และสิ่งมีชวี ติ ต่างชนิดกัน การอย่รู ่วมกนั แบบนี้ถือว่าเสียประโยชนด์ ้วยกนั ท้ังสองฝ่าย

1) ผักตบชวาท่ขี ึ้นอยู่อยา่ งหนาแน่นในบรเิ วณเดียวกนั จะแยง่ ที่อยู่อาศยั กนั

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

98 คมู่ อื เตรยี มสอบ

2) เสือกับสิงโต เป็นสัตว์กนิ เน้ือทง้ั คู่ จะแยง่ อาณาเขตและอาหารประเภทเน้ือสัตวก์ ัน
44. ความสัมพนั ธแ์ บบการลา่ เหย่อื (Predation)ใช้สญั ลักษณ์ + - เป็นความสมั พันธข์ องส่งิ มีชวี ิต
ในลกั ษณะของการล่าเหย่ือ ผู้ลา่ เป็นฝ่ายไดป้ ระโยชน์ สว่ นเหย่อื หรอื ผู้ถูกลา่ เสยี ประโยชน์
45. สง่ิ มชี ีวติ ที่มคี วามสมั พนั ธ์แบบการลา่ เหยือ่ เชน่

1) เสือกับวัว เสอื ได้ประโยชนโ์ ดยลา่ ววั จบั กนิ เปน็ อาหร สว่ นวัวกลายเปน็ อาหารของเสอื จึง
เสยี ประโยชน์

2) นกอินทรยี ์กบั ปลาทะเล นกอนิ ทรีกินปลาเป็นอาหารจึงไดป้ ระโยชน์
46. ความสัมพันธ์แบบการได้ประโยชนร์ ่วมกันและความสมั พนั ธแ์ บบภาวะพ่งึ พากัน เหมอื นกัน
ตรงทส่ี ่งิ มีชีวติ เหล่าน้นั ตา่ งได้ประโยชนด์ ้วยกันท้งั สองฝา่ ย และแตกต่างกันตรงที่ความสมั พนั ธ์แบบ
การได้ประโยชน์ร่วมกนั เปน็ ความสมั พนั ธ์ของสิง่ มชี วี ิตสองชนิดโดยไม่จำเปน็ ต้องอยู่รว่ มกัน
ตลอดเวลา สว่ นความสัมพนั ธ์แบบภาวะพึง่ พากันเปน็ ความสัมพันธข์ องสิง่ มชี ีวิตสองชนิดที่ตอ้ งอยู่
รว่ มกันตลอดเวลาไม่สามารถแยกจากกนั ได้ ถ้าแยกจากกนั สง่ิ มชี ีวิตแตล่ ะชนดิ นัน้ จะไม่สามารถ
ดำรงชวี ิตอยู่ได้
47. ความสัมพันธ์แบบต่าง ๆ ของสิง่ มีชีวิตในระบบนิเวศมีความสำคัญต่อระบบนเิ วศ คือ ทำให้
สง่ิ มีชีวิตอยรู่ ว่ มกันในระบบนิเวศไดแ้ ละทำใหร้ ะบบนเิ วศมีความสมดลุ น่นั คือ ผู้ผลติ ผ้บู รโิ ภค และผู้
ยอ่ ยสลายสารอินทรยี ใ์ นระบบนเิ วศมีจำนวนเหมาะสม
48. วัฏจักรของสาร หมายถึง การหมุนเวยี นของสารที่มีอยู่ในธรรมชาติกับสงิ่ มีชวี ิต โดยสารจาก
ธรรมชาตจิ ะเขา้ สสู่ ง่ิ มชี วี ติ และสารจากสิง่ มีชวี ิตกลบั คืนส่ธู รรมชาติ และสามารถนำกลบั เข้าสู่
ส่ิงมชี วี ติ ใหมไ่ ด้อีก
49. วัฏจกั รของสารแตกต่างจากการถ่ายทอดพลงั งาน คือ วัฏจกั รของสารมีการหมุนเวยี นสาร
เป็นวัฏจักรคือมีการเปล่ยี นแปลงของสารต่อเน่ืองกนั เป็นวงจร สว่ นการถ่ายทอดพลงั งานมีการ
ถา่ ยทอดพลังงานไปทางเดยี วไมม่ ีการหมนุ เวียนเป็นวฏั จักร และแตล่ ะลำดบั ขนั้ น้ันมีพลังงานบางสว่ น
สูญเสยี ไปในรปู ของพลงั งานความร้อน
50. นำ้ เป็นสิง่ จำเปน็ ต่อส่ิงมีชีวิตทุกชนดิ บนโลกเปน็ ตวั กลางของกระบวนการตา่ ง ๆ ในสิ่งมีชีวติ เปน็
แหล่งทอี่ ยู่อาศยั และแหลง่ อาหารของสตั วน์ ำ้ จำเป็นต่อกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวติ ประจำวนั ของมนุษย์
51. วัฏจักรของน้ำ เกดิ จากน้ำจากแหล่งต่าง ๆ เช่น ทะเล แมน่ ำ้ นำ้ จากการคายนำ้ ของพืช และนำ้
จากการหายใจของสิ่งมีชวี ิตระเหยกลายเปน็ ไอออกสู่บรรยากาศ เมื่อไอนำ้ ลอยตวั สูงขนึ้ และมี

ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 99

ความช้ืนมากขน้ึ จะรวมตัวกันเปน็ เมฆแลว้ ตกลงมาเป็นฝนกลับคนื สพู่ น้ื โลก นำ้ ส่วนใหญ่จะไหลลงสู่
แหล่งนำ้ ต่าง ๆ และมีบางส่วนซึมลงสู่ใตด้ นิ พชื สามารถดดู ซึมมาใชใ้ นการสังเคราะหด์ ้วยแสงได้
สำหรบั สตั ว์ได้รบั นำ้ โดยตรงจากแหลง่ นำ้ และจากการกินพืชเปน็ อาหาร น้ำจากแหล่งนำ้ และส่ิงมีชีวิต
จะกลบั เข้าสู่บรรยากาศในรปู ของไอน้ำอีก ไดแ้ ก่ การคายน้ำ เกิดเป็นวงจรซ้ำ ๆ อยเู่ ชน่ น้ีเรือ่ ย ๆ
52. วัฏจกั รของน้ำ เก่ียวข้องกับกระบวนการทางกายภาพ ไดแ้ ก่ การระเหย การควบแน่น การตก
ของหยาดน้ำฟา้ และกระบวนการท่ีเกิดขน้ึ ในสิง่ มีชวี ิต ได้แก่ การคายน้ำ การหายใจ การขับถ่าย
53. ถ้าไม่มีวฏั จกั รนำ้ น้ำอาจหมดส้ินไปจากโลก ส่งิ มชี ีวิตจะตายหมดเพราะนำ้ เป็นสงิ่ จำเปน็ ใน
กระบวนการต่าง ๆ เพ่ือการดำรงชีวติ ของส่งิ มชี ีวติ ทุกชนิด
54. คาร์บอน มแี หล่งสะสมที่สำคัญอย่ใู นบรรยากาศซึง่ มีอยปู่ ระมาณ 0.03% ในสภาพของแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหน่งึ ของสารอินทรยี ์ในส่ิงมีชวี ิต พืชใช้
แก๊สคารบ์ อนไดออกไซดใ์ นบรรยากาศในกระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสง มนุษย์และสตั ว์ไดร้ ับ
สารอาหารทีม่ ีคารบ์ อนเปน็ องค์ประกอบโดยการกินอาหารและมีการถ่ายทอดไปตามโซ่อาหาร ผยู้ ่อย
สลายสารอินทรยี ์ไดร้ บั สารที่มีคารบ์ อนจากการดูดซึมสารอินทรยี ์ทย่ี ่อยสลายแล้ว
55. คารบ์ อนในบรรยากาศ ได้มาจากการหายใจของพชื สัตว์ มนษุ ย์ และผ้ยู ่อยสลายสารอนิ ทรีย์
นอกจากนี้ยงั ได้มาจากการเผาไหมข้ องเช้ือเพลงตา่ ง ๆ จากยานพาหนะและจากโรงงานอุตสาหกรรม
56. วฏั จกั รคารบ์ อน เกิดจากพชื ใชแ้ ก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ในบรรยากาศในการสร้างอาหารท่ีมี
คาร์บอนเป็นองคป์ ระกอบโดยกระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสง เม่อื มีการกนิ ตอ่ กันเปน็ ทอด ๆ ในโซ่
อาหาร จึงมกี ารถ่ายทอดคาร์บอนไปยงั สัตว์ และมนษุ ย์ ท้ังพชื สตั ว์ และมนุษย์ใชพ้ ลงั งานจากการ
เผาผลาญอาหารในการดำรงชีวิตและการเจริญเติบโต การเผาผลาญอาหารมแี กส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์
เกดิ ข้ึนซ่ึงจะถูกปลอ่ ยออกสบู่ รรยากาศ และเม่ือสง่ิ มชี ีวติ ตายลงจะถูกผูย้ ่อยสลายสารอนิ ทรีย์เปลี่ยน
สารประกอบอินทรยี ์ส่วนใหญ่ทีม่ ีอยู่ในซากใหเ้ ป็นแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์กลบั สบู่ รรยากาศอกี ครัง้
จากนั้นพชื จะนำแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์กลบั สู่บรรยากาศอีกครัง้ จากน้ันพืชจะนำแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์มาใชใ้ นกระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงอกี เกดิ เปน็ วงจรซำ้ ๆ เช่นนี้อีก
57. กิจกรรมของมนุษยท์ ี่ส่งผลให้มีปรมิ าณแก๊สคารบ์ อนไดออกไซดใ์ นบรรยากาศเพ่ิมมากข้ึน
ไดแ้ ก่การเผาไหม้เช้ือเพลงิ ในการหุงตม้ อาหารการเผาไหม้ของเช้ือเพลิงจากยานพาหนะและโรงงาน
อตุ สาหกรรมต่าง ๆ การตดั ต้นไม้ทำลายป่า การเผาป่า เมื่อปริมาณแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ใน
บรรยากาศเพมิ่ มากข้นึ จะส่งผลใหอ้ ุณหภูมิโดยเฉล่ยี ของโลกสงู ขึ้น
58. ภาวะโลกร้อนหรอื ภาวะทอ่ี ณุ หภูมิของโลกสูงขน้ึ เกดิ จากในบรรยากาศมีปริมาณแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซดเ์ พม่ิ มากขึ้นจากปกติ ซึ่งเกิดจากกิจกรรมของมนษุ ย์ เม่ือพลงั งานความร้อนจาก

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

100 ค่มู อื เตรยี มสอบ

การแผร่ งั สีของดวงอาทิตย์สอ่ งผา่ นบรรยากาศมายงั ผวิ โลก ชน้ั บรรยากาศจงึ ดูดพลงั งานไวม้ ากขน้ึ
และคายความร้อนกลับสู่บรรยากาศมากข้นึ ส่งผลให้อณุ หภมู ขิ องโลกสงู ข้ึนด้วย
59. การที่อณุ หภูมิของโลกสูงขน้ึ จะสง่ ผลกระทบตอ่ สงิ่ มีชวี ติ และโลกทำใหห้ ิมะและน้ำแข็งบริเวณ
ขั้วโลกหลอมละลายมากขนึ้ ส่งผลใหร้ ะดับน้ำทะเลสูงขนึ้ พื้นทีท่ ่ีอยู่ในระดบั ต่ำจะเกิดน้ำทว่ ม พ้ืนที่
การเกษตร แหล่งขยายพนั ธ์สุ ตั ว์น้ำตามชายฝ่ังจะถูกทำลาย ภาวะความแหง้ แล้งของโลกจะทวคี วาม
รุนแรงมากขึ้น นอกจากนยี้ ังทำให้อากาศแปรปรวน ปริมาณฝนหรือหมิ ะท่ีตกในเขตภมู ิศาสตร์ตา่ ง ๆ
ของโลกจะเปลี่ยนไป ทำให้มีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของส่งิ มชี ีวิตในแต่ละบริเวณด้วย
60. การแก้ปญั หาวะโลกร้อน ทำได้โดย ลดอตั ราการใชเ้ ชือ้ เพลงิ ที่ก่อใหเ้ กิดแกส๊
คาร์บอนไดออกไซด์ รณรงคใ์ ห้ประชาชนช่วยกนั ปลกู ตน้ ไม้เพมิ่ มากข้นึ เพราะตน้ ไมจ้ ะดูดแกส๊
คารบ์ อนไดออกไซด์มาใช้ในการสงั เคราะห์ด้วยแสงเปน็ การช่วยลดปริมาณแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์
ในบรรยากาศลง สนับสนนุ ให้ใชพ้ ลงั งานจากแหล่งอ่ืน ๆ ทดแทนพลงั งานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น
พลงั งานจากแสงอาทติ ย์ นำ้ และลม เปน็ ต้น
61. ไนโตรเจนพบในบรรยากาศประมาณ 78% มปี ระโยชนช์ ่วยทำใหบ้ รรยากาศเจือจางเหมาะ
สำหรับการหายใจของส่ิงมีชีวิต เปน็ ธาตุสำคัญที่พืชตอ้ งการในปริมาณมาก ส่วนสตั วจ์ ะได้รบั โดยการ
ถ่ายทอดมาตามโซอ่ าหาร
62. วฏั จักรไนโตรเจน เกดิ จากแบคทีเรยี ไรโซเบียมในปมรากพืชตระกูลถ่ัว ตรงึ ไนโตรเจนในอากาศ
และในดินมาแล้วเปลย่ี นไนโตรเจนใหเ้ ปน็ สารประกอบไนโตรเจน ไดแ้ ก่ ไนเตรตและเกลือแอมโมเนีย
ที่มสี มบัตลิ ะลายน้ำได้ จากนั้นพืชจะดดู ซึมสารประกอบไนโตรเจนน้ีเพอื่ นำมาสงั เคราะห์เปน็ โปรตีน
นอกจากนส้ี ิ่งมีชีวิตในนำ้ เช่น สาหรา่ ยสีเขยี มแกมน้ำเงิน และแอนาบีนาที่อยรู่ ว่ มกับแหนแดงก็
สามารถตรงึ โตรเจนจากอากาศและเปลยี่ นให้เป็นสารประกอบไนโตรเจนท่ีมีประโยชนต์ ่อพืชได้
เชน่ กัน
63. ฟอสฟอรัส เป็นแร่ธาตุท่ีมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของสิง่ มีชีวิตและการผลผลิตของพชื
64. วัฏจักรฟอสฟอรัส เกดิ จากฟอสฟอรัสท่ีอยใู่ นลักษณะของหนิ ถูกกัดกร่อนโดยนำ้ และลม ปะปน
อยู่ในดนิ แลว้ ถูกน้ำชะล้างให้อยูใ่ นรูปทล่ี ะลายนำ้ ได้ พชื สามารถนำไปใช้และถา่ ยทอดไปตามโซ่
อาหารได้ เมอ่ื สิ่งมชี วี ิตตายลงก็จะถูกแบคทีเรียย่อยสลายให้กลายเปน็ ฟอสเฟตทล่ี ะลายน้ำได้และถกู
ชะล้างพัดพาลงสทู่ ะเล มหาสมุทร ปะปนอย่ใู นดินตะกอน ถกู ส่งิ มีชีวิตเลก็ ๆ ในนำ้ นำมาใชแ้ ลว้
ถา่ ยทอดไปตามโซอ่ าหาร

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์


Click to View FlipBook Version