คมู่ อื เตรยี มสอบ 101
65. วฏั จกั รกำมะถนั เกิดจากกำมะถันในซากสง่ิ มีชีวติ บางส่วนที่ถกู สะสมและตรึงไวใ้ นถา่ นหินและ
น้ำมนั ปิโตรเลยี ม เมอื่ มีการนำมาใช้เปน็ เชอื้ เพลงิ โดยการเผาไหม้จะไดแ้ ก๊สซลั เฟอรไ์ ดออกไซดอ์ อกมา
สะสมอย่ใู นบรรยากาศเม่ือมฝี นตกจะชะลา้ งซัลเฟอรไ์ ดออกไซดใ์ นบรรยากาศ เกิดเปน็ ฝนกรดตกลงสู่
พ้นื ดินอีกครั้ง
66. ภาวะสมดุล คือ ระบบนิเวศทม่ี กี ารเปลี่ยนแปลงขององคป์ ระกอบและความสัมพนั ธ์ของ
สง่ิ มชี ีวิตกบั สง่ิ ไม่มีชวี ติ เป็นไปอยา่ งเหมาะสม ถ้ามสี ิง่ รบกวนทที่ ำให้ปรมิ าณ สัดส่วน และการ
กระจายของผผู้ ลติ ผบู้ รโิ ภคและผู้ย่อยสลายสารอนิ ทรียเ์ ปลี่ยนแปลงไม่มาก ระบบนเิ วศก็จะปรับตวั สู่
สมดลุ ได้อีก แตถ่ ้ามีการรบกวนรุนแรงเกินกวา่ ทจ่ี ะปรับตวั เช่น ไฟไหม้ปา่ เปน็ บรเิ วณกวา้ ง พชื และ
สัตว์ลม้ ตายจำนวนมาก ระบบนิเวศนั้นกจ็ ะถกู ทำลาย
67. ชีวภาค คือระบบทรี่ วมความสัมพนั ธ์ระหว่างส่งิ มชี วี ติ ทุกชนดิ บนโลกและระหว่างส่ิงมีชวี ิตกบั
สารต่าง ๆ ที่หมุนเวียน ตลอดจนพลงั งานที่ถา่ ยทอดในระบบนิเวศ
68. ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity)หมายถึง ความหลากหลายของส่งิ มีชวี ติ ที่
ดำรงชวี ิตอย่ใู นแหลง่ ที่อยเู่ ดียวกนั หรอื แตกตา่ งกันแบ่งเปน็ 3 ระดับ ได้แก่ ความหลากหลายของ
ระบบนเิ วศ ความหลายกหลายของชนิดสง่ิ มชี ีวติ และความหลากหลายทางพันธกุ รรม ซึ่งทัง้ สาม
ระดับมีความสมั พนั ธ์กนั และไมส่ ามารถแยกออกจากกนั ได้ การเปลี่ยนแปลงท่ีระดับใดระดับหนึง่ จะ
สง่ ผลตอ่ การเปลี่ยนแปลงระดับอืน่ ด้วย
69. ความหลากหลายของชนิดสิ่งมชี ีวิต หมายถึง ความหลากหลายของชนิดสิง่ มีชวี ติ ทมี่ อี ยใู่ นพื้นที่
หนง่ึ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1) ความมากชนิด หมายถงึ จำนวนชนิดของส่งิ มชี วี ิตต่อหน่วยพ้นื ที่ เชน่ ป่าดิบชน้ื จะมี
ความหลากหลายของชนิดสง่ิ มีชวี ติ มากกวา่ ป่าเต็งรงั
2) ความสมำ่ เสมอของชนิด หมายถงึ สัดส่วนของส่งิ มีชวี ติ ชนดิ ตา่ ง ๆ ท่ีมอี ยู่ในพืน้ ทนี่ ้ัน
70. ความหลากหลายทางพันธุกรรม หมายถงึ ความหลากหลายของยนี (Gene) ทีม่ ีอย่ใู นสงิ่ มีชีวิต
แตล่ ะชนิด ซ่งึ ยีนจะควบคุมการแสดงออกของลักษณะต่าง ๆ ของส่ิงมชี ีวติ ทำให้มีลักษณะแตกต่าง
กันไป
71. ความหลากหลายของระบบนเิ วศ มี 3 ประเภท คือ
1) ความหลากหลายของถ่นิ กำเนดิ ตามธรรมชาติ ที่ใดมถี ่ินกำเนิดตามธรรมชาติ
หลากหลายท่ีนัน่ ก็จะมชี นิดสิ่งมีชวี ติ หลากหลายดว้ ย
2) ความหลากหลายของการทดแทน ในป่าจะมีการเกดิ ทดแทนกนั ของพืช กระบวนการ
ทดแทนจะก่อให้เกิดความหลากหลายขงส่ิงมชี ีวิต
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
102 คมู่ อื เตรยี มสอบ
3) ความหลากหลายของภูมิประเทศ ในพื้นท่ีเขตร้อนจะมีความหลากหลายของภมู ิ
ประเทศมากกวา่ พนื้ ที่เขตหนาว
72. ประโยชน์ของความหลากหลายทางชวี ภาพ
1) ประโยชนท์ างตรง เปน็ แหลง่ ที่มรของปัจจัยพืน้ ฐานที่สำคัญในการดำรงชีวติ ของมนุษย์
เชน่ ส่วนต่าง ๆ ของตน้ ไม้นำมาทำที่อยู่อาศัยพชื และสัตว์นำมาประกอบอาหารทำเคร่ืองนมุ่ ห่ม
ส่งิ ของเครอ่ื งใชเ้ ช้ือเพลงิ และพืชบางชนิดเปน็ สมนุ ไพรสามารถนำมาสกดั เป็นยารกั ษาโรคได้
2) ประโยชน์ทางออ้ ม เชน่ เปน็ แหล่งท่ีอยู่อาศยั และเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ป่าซึ่งสัตว์ก็
เป็นอาหารของมนุษยอ์ ีกต่อหนึ่ง และทำให้ระบบนิเวศมคี วามสมดุล
73. การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพให้ยั่งยืน มีวิธปี ฏบิ ตั ิ คอื รว่ มกันอนรุ ักษ์
ทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ มไว้ โดยชว่ ยกนั อนรุ ักษพ์ ันธพุ์ ืชและสตั วท์ ห่ี ายากหรือใกลส้ ูญพนั ธ์ุ
ไว้ และรว่ มกันต่อตา้ นการใช้ประโยชน์จากพ้นื ท่ธี รรมชาติทีท่ ำลายระบบนิเวศท่ีมีความหลากหลาย
ของชนดิ ส่ิงมีชวี ติ มาก
74. ประชากร (Population)หมายถงึ กล่มุ สิง่ มชี วี ติ ชนิดเดียวกนั ที่อาศัยอยู่รว่ มกนั ในบรเิ วณ
เดยี วกนั ในช่วงเวลาใดเวลาหนงึ่ การกลา่ วถึงประชากรจะต้องระบุชนดิ ส่งิ มชี ีวิต แหลง่ ทอี่ ยู่ และ
ช่วงเวลาใหช้ ัดเจน ดงั นี้
ประชากร = สิ่งมีชวี ิตชนิดเดยี วกัน + สถานที่ + เวลา
75. ความหนาแนน่ ของประชากร คอื สัดสว่ นระหวา่ งจำนวนประชากรทัง้ หมดที่อาศยั อยใู่ นบรเิ วณ
หน่ึงกับพน้ื ท่หี รือปริมาตรท่ปี ระชากรเหล่านนั้ อาศัยอยู่
76.หนว่ ยของความหนาแนน่
1) ใช้หนว่ ยพนื้ ทีถ่ ้าประชากรอยูบ่ นพ้ืนดนิ หรือผวิ นำ้ เช่น ประชากรแมว สนุ ขั ต้นมะมว่ ง
ผกั ตบชวา จอก แหน
2) ใช้หนว่ ยปรมิ าตรถา้ ประชากรอยู่ในน้ำ เช่น ประชากรปลา หอย กุง้
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 103
77. การหาความหนาแนน่ ของประชากร ทำได้ 2 วิธี คอื 1) การหาความหนาแน่นที่แท้จริง 2)
การหาความหนาแนน่ สัมพัทธ์
78. การหาความหนาแนน่ ท่แี ท้จรงิ ของประชากร ทำไดโ้ ดย
1) การนบั จำนวนประชากรทง้ั หมด เป็นการหาความหนาแนน่ ของประชากรทีม่ ีอยทู่ ัง้ หมด
ในพื้นทใี่ ดพ้ืนที่หนง่ึ ทม่ี ีขนาดไม่กว้างนกั
2) การสุ่มตัวอยา่ ง เปน็ การหาความหนาแน่นของประชากรในพนื้ ทใี่ ดพนื้ ที่หนงึ่ โดยเกบ็
ตัวอยา่ งมาแบบสมุ่ แล้วนบั จำนวนตวั อย่างทงั้ หมดซึง่ มีจำนวนเพยี งเลก็ น้อยจากประชากรทั้งหมดที่มี
จำนวนมาก ๆ อยูใ่ นพน้ื ที่นน้ั จากนัน้ นำมาคำนวณหาความหนาแนน่ ของประชากรท้งั หมด
79. การเกบ็ ตวั อย่างแบบสุ่ม ที่นิยมใช้มี 2 วิธี คือ
1) การใช้กรอบนบั ประชากร นิยมใช้เก็บตวั อย่างประชากรที่ไมเ่ คล่ือนทีห่ รือเคล่ือนทีช่ า้ ทำ
ไดโ้ ดยการสุ่มวางกรอบนับประชากรทีม่ ีลักษณะเปน็ รปู สเ่ี หลย่ี มจัตรุ ัสลงบนพน้ื ทีท่ ่ีกำหนดไว้หลาย ๆ
จดุ และนับจนวนประชากรสิง่ มีชวี ิตทต่ี อ้ งการศึกษาท่ีอยใู่ นกรอบ แล้วนำมาหาคา่ เฉล่ยี จำนวน
ประชากรต่อพน้ื ท่ี ดงั น้ี
2) การทำเครื่องหมายติดปล่อยไปแล้วจับมาใหม่นิยมใช้กับสัตว์โดยสมุ่ จับตวั อย่างสตั วม์ า
ติดเครอื่ งหมายไว้ แลว้ ปลอ่ ยกลบั ไปยงั แหล่งทอี่ ยู่อาศยั ทิง้ ไวส้ ักระยะแล้วสมุ่ จบั สตั ว์กลับมาอีกครงั้
ซึ่งคร้งั น้จี ะมีท้ังสัตวท์ ่ตี ิดเคร่ืองหมายสตั ว์ทจ่ี ับได้ใหม่ จากนั้นนำมาคำนวณหาจำนวนประชากรจาก
สูตร
80. การหาความหนาแน่นสัมพทั ธข์ องประชากรใชใ้ นเชิงเปรยี บเทยี บมีหลายวิธี เช่น ทำ
เครื่องหมายติด นับจำนวนร่องรอยท่สี ตั วท์ ำไว้ ใช้กบั ดกั จบั หรือดูจากปริมาณอาหารท่สี ัตวก์ นิ เปน็
ตน้
81. ขนาดของประชากร หมายถึง จำนวนของประชากรท้ังหมดท่ีอาศัยอย่ใู นพืน้ ท่ีที่กำหนด เช่น
จำนวนต้นกุหลาบในพ้นื ที่ 1 ไร่ มี 200 ต้น
82. ปจั จัยท่กี ำหนดความหนาแน่นของประชากร มี 4 ประการ คือ
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
104 ค่มู อื เตรยี มสอบ
1) การเกดิ เปน็ การเพมิ่ จำนวนสมาชกิ ใหม่ทำให้มจี ำนวนประชากรเพ่ิมขึน้ เช่น การแตก
หนอ่ ของไฮดรา การงอกใหม่ของดาวทะเล การคลอดของมนุษย์ การงอกจากเมล็ดของพืช เปน็ ตน้
2) การตาย เป็นการลดจำนวนสมาชกิ ของประชากรทำใหจ้ ำนวนประชากรลดลง
3) การอพยพเข้า เป็นการเคลอื่ นย้ายของประชากรเข้ามาอยใู่ นแหล่งท่ีอย่ใู หมใ่ นที่ไดที่หน่ึง
โดยไมย่ ้ายออกไปทำใหม้ ีจำนวนประชากรเพิ่มขน้ึ
4) การอพยพออก เปน็ การเคล่อื นยา้ ยของประชากรออกจากแหลง่ ท่ีอยู่เดมิ โดยไม่กลบั มา
อกี ทำใหจ้ ำนวนประชากรในแหลง่ ท่อี ยู่นัน้ ลดลง
83. สง่ิ แวดล้อมที่มีผลต่อความหนาแน่นของประชากร
1) ส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ เช่น แสงแดด นำ้ อากาศ อุณหภมู ิ เปน็ ต้น
2) สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ เช่น สตั ว์ พชื และมนุษยท์ อี่ าศัยอยูใ่ นแหล่งที่อย่นู ัน้
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 105
ตัวอย่างแนวข้อสอบ บทท่ี 1
1. ขอ้ ใดกล่าวถูกต้องเกย่ี วกับระบบนเิ วศ
ก. ระบบนิเวศแต่ละระบบมคี วามซับซ้อนทค่ี ล้ายคลึงกนั
ข. ระบบนิเวศแต่ละระบบไม่ได้มีความเกยี่ วข้องสัมพนั ธก์ นั
ค. ระบบนเิ วศเมื่อเขา้ สู่สภาวะสมดุลแลว้ จะไมม่ ีการเปล่ียนแปลง
ง. ระบบนิเวศจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอยา่ งค่อยเป็นค่อยไป
2. ขอ้ ใดไม่จดั เป็นระบบนิเวศ
ก. บ่อนำ้ ที่มสี ง่ิ มชี ีวิตอยเู่ ตม็ ข. อทุ ยานแห่งชาติและปา่ สงวน
ค. สนามกีฬาในโรงพละ ง. สนามหญ้าและสระนำ้ หน้าโรงเรียน
3. ปลวกมคี วามสำคัญต่อระบบนเิ วศ คือ
ก. ผูผ้ ลติ ข. ผ้บู ริโภค
ค. ผยู้ ่อยสลาย ง. เป็นทงั้ ผ้ผู ลิตและผูบ้ ริโภค
4. ข้อใดที่ไมถ่ ูกต้องเกีย่ วกบั การถา่ ยทอดพลังงาน
ก. ผู้ผลติ เป็นตวั เรม่ิ ของหว่ งโซอ่ าหารทุกชนิด
ข. ในระบบนเิ วศใดท่ีมีสายใยอาหารซบั ซ้อนมากแสดงว่าระบบนิเวศน้นั มีความสมดลุ
ค. จุลนิ ทรีย์มีบทบาทในการย่อยสลายสารอนิ ทรีย์ แต่ไม่ได้มสี ว่ นในการถ่ายทอดพลังงาน
ง. ห่วงโซ่อาหารทม่ี ีจำนวนส่ิงมชี วี ิตยิ่งมาก ส่งิ มชี ีวิตทา้ ยๆห่วงโซ่อาหารย่ิงได้รบั พลงั งานน้อยลง
5. สิง่ มชี ีวิตชนดิ ใดที่มคี วามสำคญั ตอ่ ระบบนิเวศมากทีส่ ุด
ก. หนู ข. หญ้า
ค. ก้งิ กือ ง. กระต่าย
6. หว่ งโซอ่ าหารเกี่ยวขอ้ งกับเรื่องใดมากที่สุด
ก. การมีระดับของส่งิ มชี ีวติ
ข. ความสมั พันธร์ ะหว่างกนั
ค. การถา่ ยทอดพลงั งานต่อกันไป
ง. ความเกีย่ วข้องของระดับชวี ติ
7. ระบบนเิ วศจะดำรงอยู่ได้นานทส่ี ุดในสภาวะใด
ก. มีเฉพาะผู้ผลติ เทา่ นน้ั
ข. มีเฉพาะผู้บริโภคเทา่ นนั้
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
106 ค่มู อื เตรยี มสอบ
ค. มีทง้ั ผูผ้ ลติ และผูบ้ รโิ ภค อยู่รว่ มกัน
ง. มีผผู้ ลติ ผู้บริโภคและผยู้ ่อยอินทรยี ์สารอยู่ด้วย
8. ในสนามหญ้าแหง่ หนึ่งมตี ั๊กแตน กบ งู หนู อาศยั อยใู่ นบริเวณเดยี วกนั ควรมีความสมั พันธก์ ัน
ในรปู ใด
ก. ต๊ักแตน หนู กบ งู ข. งู หนู กบ ต๊ักแตน
ค. หญ้า ตั๊กแตน กบ งู ง. หญา้ ตกั๊ แตน งู กบ
9. สงิ่ ท่ีขาดไมไ่ ด้ในวฎั จกั รไนโตรเจน คือ
ก. คาร์บอน ข. สาหรา่ ย
ค. พชื ตระกูลถัว่ ง. แบคทเี รียท่ตี ึงไนโตรเจน
10. สตั ว์ไดร้ บั สารประกอบไนโตรเจนโดยวิธใี ด
ก. กนิ พชื ข. กนิ สตั ว์
ค. การหายใจ ง. กนิ สงิ่ เน่าเปือ่ ย
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 107
บทที่ 2 มนุษย์กับสง่ิ แวดลอ้ ม
1. ทรพั ยากรธรรมชาติ (Natural Resources)หมายถงึ สิง่ ทเี่ กิดขน้ึ เองตามธรรมชาติและมี
ประโยชนต์ ่อมนษุ ย์
2. ประเภทของทรพั ยากรธรรมชาติ
1) ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ไมห่ มดสิ้น เชน่ อากาศ น้ำ ดิน แสง อาทิตย์ เปน็ ต้น
2) ทรพั ยากรธรรมชาติท่ใี ช้แล้วเกิดทดแทนไดห้ รือรักษาให้คงอยู่ได้ เช่น ป่าไม้ สัตวป์ ่า
3) ทรัพยากรธรรมชาติทีใ่ ชแ้ ล้วหมดไป เช่น แร่ธาตุ นำ้ มันดบิ แก๊ส ธรรมชาติ เปน็ ตน้
3. สาเหตุท่ีทำให้ทรพั ยากรธรรมชาติถกู ทำลาย
1) การเพิ่มของจำนวนของประชากร
2) การขยายตัวทางเศรษฐกิจ
3) ความเจริญกา้ วหนา้ ทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
4) การใช้ทรัพยากรอย่างไม่ถูกตอ้ ง
5) ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตแิ ละภัยธรรมชาติ
4. ปา่ ไมเ้ ปน็ พนื้ ท่ีหรืออาณาบรเิ วณท่ีปกคลุมดว้ ยต้นไมห้ ลากหลายชนิดและสตั วป์ า่ รวมทั้ง
ส่งิ ไม่มชี วี ติ เช่น ดิน หนิ นำ้ เป็นตน้ ซึ่งสิง่ เหลา่ นม้ี คี วามเกี่ยวข้องสัมพันธ์กนั
5. ประโยชนข์ องปา่ ไม้
1) ชว่ ยให้เกดิ วฏั จกั รต่าง ๆ ในระบบนเิ วศ เชน่ วัฏจักรน้ำ ออกซิเจน คาร์บอน เปน็ ต้น
2) ชว่ ยในการอนรุ ักษ์ดนิ และนำ้
3) ช่วยปรับสภาพบรรยากาศ
4) เปน็ แหลก่ ำเนดิ ของตน้ นำ้ ลำธาร
5) เป็นแหล่งกำเนิดปจั จยั สท่ี ่ีจำเป็นตอ่ การดำรงชวี ติ ของมนุษย์
6) เป็นแหลง่ ที่อยูอ่ าศยั แหลง่ อาหาร แหลง่ เพาะพันธุ์ และเปน็ ทหี่ ลบภยั ของสัตว์ปา่
7) เปน็ แหล่งพลังงาน
8) เป็นสถานท่ีพกั ผ่อนหย่อนใจของมนุษย์
9) ปอ้ งกันความรนุ แรงของลมพายแุ ละน้ำท่วม
6. สตั ว์ป่า หมายถงึ สตั ว์และไข่ของสัตวท์ ุกชนดิ ที่เกดิ และดำรงชีวิตอยู่ในปา่ ตามธรรมชาติ
7. ประเภทของสัตว์ป่า
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
108 ค่มู อื เตรยี มสอบ
1) สัตว์ป่าสงวน หมายถึง สตั วป์ า่ ทห่ี ายาก หา้ มล่าโดยเด็ดขาด มี 15 ชนิด เชน่ แรด กระซู่
กรูปี เลยี งผา พะยูน เปน็ ตน้
2) สตั ว์ปา่ คุ้มครอง หมายถึง สตั ว์ป่าทตี่ ามหลกั กฎหมายไมอ่ นญุ าตให้ลา่ เวน้ แต่จะกระทำ
โดยทางราชการเพ่ือการศกึ ษาวจิ ัย การเพาะพนั ธุ์ เชน่ กระจง เปน็ ต้น
3) สตั ว์ป่านอกประเภท หมายถงึ สัตวป์ า่ ท่ไี ม่สงวนและไม่ค้มุ ครอง เช่น หนู หมูปา่
นกกระจบิ นกกระจอก กบ เขียด เปน็ ต้น
8. สาเหตุท่ีทำใหจ้ ำนวนสัตว์ป่าลดลง
1) การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ
2) การตดั ไม้ทำลายปา่ ซึ่งเปน็ ทอี่ ยู่อาศยั ของสตั วป์ ่า
3) การล่าของมนุษย์
4) วถิ กี ารดำรงชีวติ และการขยายพันธุ์ของสัตวป์ ่า
9. ประโยชนข์ องนำ้
1) ใชใ้ นการอปุ โภคบรโิ ภคของมนุษย์
2) เปน็ แหลง่ อาหารของมนุษย์
3) เป็นแหล่งท่ีอยู่อาศัยของสัตว์นำ้ และพชื น้ำ
4) การเกษตร เช่น ใช้น้ำในการปลูกพืช เลย้ี งสตั ว์
5) การอตุ สาหกรรม ใชน้ ้ำในกระบวนการผลติ เชน่ การล้างวัตถดุ บิ ลา้ งเคร่ืองจักร เปน็ ต้น
6) การคมนาคมขนสง่
7) เปน็ แหลง่ พลังงานในการผลติ กระแสไฟฟ้า
8) เปน็ สถานที่พกั ผ่อนหยอ่ นใจ
10. มลพิษส่งิ แวดล้อม หมายถึง ส่งิ แวดล้อมท่ีทำใหเ้ กดิ ผลไมด่ ี หรอื สิง่ แวดล้อมท่ีมีอนั ตรายต่อ
สขุ ภาพทางรา่ งกายจติ ใจและสังคมของสงิ่ มีชีวติ
11. มลพษิ ทางน้ำ (Water Pollution)หมายถึง นำ้ ทมี่ ีคุณภาพไม่ดหี รือมีสมบตั ิเปลีย่ นแปลงไป
จากปกตเิ นื่องจากมีสง่ิ แปลกปลอมเจือปน
12. สาเหตุท่ีทำใหเ้ กดิ มลพษิ ทางนำ้
1) การปล่อยน้ำทิ้งจากชมุ ชนลงสูแ่ หล่งนำ้
2) โรงงานอุตสาหกรรมปล่อยนำ้ เสยี ลงแหล่งน้ำ
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 109
3) น้ำทงิ้ จากพ้นื ทก่ี ารเกษตร การปลูกพืช เล้ยี งสัตว์
4) นำ้ ท้งิ จากโรงงานผลติ กระแสไฟฟ้า
13. มลพษิ ทางอากาศ (air pollution)หมายถงึ การมสี ิ่งเจอื ปนในอากาศทำให้เกิดอากาศเสีย
กอ่ ให้เกิดผลกระทบในทางลบตอ่ สงิ่ มชี วี ติ
14. สาเหตทุ ่ีทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ
1) จากธรรมชาติ เชน่ ภูเขาไฟระเบดิ พายุ แผน่ ดินไหว ไฟไหมป้ ่า เปน็ ตน้
2) จากการกระทำของมนษุ ย์ เช่น การเผาไหม้เชือ้ เพลิง การฉีดพน่ สารปราบศัตรูพชื
15. มลพษิ ทางดิน (soil pollution)หมายถึง ภาวะท่ดี ินเส่อื มคุณภาพลงทำให้เกดิ ผลเสยี ต่อการ
เจรญิ เตบิ โตของสิ่งมีชวี ติ
16. สาเหตุที่ทำใหเ้ กดิ มลพษิ ทางดิน
1) การเกษตรกรรม มกี ารใชส้ ารเคมแี ละสารปราบศตั รูพชื มากเกินไป
2) การฝงั กลบขยะทีย่ ่อยสลายยากในดิน
3) โรงงานอุตสาหกรรมปล่อยสารเคมีและสง่ิ มพี ิษลงดิน
4) การค้นคว้าทดลองทางวิทยาศาสตร์ และโรงปฏกิ รณ์ปรมาณมู ีการปลอ่ ยสารเคมแี ละสาร
กัมมนั ตรังสลี งดนิ
17. มลพษิ ทางเสียง (noise pollution)หมายถึง สภาวะท่ีทำใหเ้ กดิ เสยี งดงั เกินไปจนก่อให้เกิด
ความรำคาญและอนั ตรายต่อระบบการได้ยนิ ของมนุษยแ์ ละสตั ว์
18. สาเหตุท่ีทำให้เกดิ มลพิษทางเสยี ง
1) ยานพาหนะตา่ ง ๆ
2) สถานประกอบการที่เปิดเครือ่ งเสยี งดงั ๆ หรือใช้เครือ่ งจักรในการทำงาน
3) แหล่งชุมชนทมี่ คี วามพลกุ พลา่ น เชน่ ตลาดสด
4) บริเวณทีม่ ีการก่อสร้าง
19. การอนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ หมายถงึ การนำทรัพยากรธรรมชาตมิ าใช้อย่างฉลาด ประหยดั
และใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนม์ ากท่ีสดุ
20. วธิ ีการอนรุ กั ษท์ รัพยากรธรรมชาติ ข้ึนอยู่กบั ปญั หาที่เกิดขึน้ และสมบัตขิ องทรัพยากรธรรมชาติ
ซึ่งมีแนวทางดังนี้
1) การถนอมและรกั ษา
2) การบรู ณะฟืน้ ฟู
3) การลดปริมาณของเสียโดยนำของที่ใชแ้ ลว้ มาเวียนใชใ้ หม่
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
110 คมู่ อื เตรยี มสอบ
4) นำวสั ดุชนิดอืน่ มาใช้ทดแทนทรัพยากรธรรมชาติท่ใี ชแ้ ล้วหมดไป
5) สำรวจหาทรพั ยากรธรรมชาตแิ หลง่ ใหม่อยูเ่ สมอ
21. แนวทางการใช้ทรพั ยากรธรรมชาติ 3Rเปน็ แนวทางการอนรุ ักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติทไี่ ดร้ บั การ
ยอมรบั อยา่ งแพรห่ ลายในแถบเอเชยี
22. Reduceหมายถึง การลดการใชเ้ ป็นการลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ไมจ่ ำเป็นหรือลดปรมิ าณ
การใช้ลง รวมถึงการซอ่ มแซมส่ิงของเคร่ืองใชด้ ้วย
23. Reuseหมายถงึ การใช้ซ้ำ เป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาตินน้ั จนกระทัง่ หมดสภาพการใช้งาน
24. Recycleหมายถึง การนำกลบั มาใช้ใหม่ โดยเป็นการนำทรพั ยากรธรรมชาตนิ ้ันไปแปรสภาพ
กอ่ นการนำมาใชใ้ หม่
25. เศรษฐกิจพอเพียง หมายถงึ ปรัชญาทพ่ี ระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวทรงชีแ้ นะแนวทางการ
ดำเนนิ ชีวิตและการปฏบิ ัตแิ ก่ประชาชน โดยยึดหลกั ทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคำนึงถงึ
ความพอประมาณความมเี หตุผล และการสร้างภมู คิ ุ้มกันทดี่ ีในตัว
26. ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง มีหลักพิจารณา 5 ส่วน ดังนี้
1) กรอบแนวคิด ใชแ้ นวทางการดำรงอยูแ่ ละปฏบิ ตั ิตนในทางทีค่ วรจะเป็นโดยมพี ้ืนฐาน
จากวิถชี ีวิตดัง้ เดมิ ของสังคมไทย และมองโลกเชิงระบบท่มี ีการเปลย่ี นแปลงตลอดเวลา ม่งุ เน้นการ
รอดจากวิกฤตเพอ่ื ความมัน่ คงและยัง่ ยืน
2) คุณลักษณะ สามารถนำมาปฏิบตั ิไดใ้ นทุกระดบั เนน้ ทางสายกลางและการพฒั นาอยา่ ง
เปน็ ขนั้ ตอน
3) คำนิยาม ประกอบดว้ ย
ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี
ความมีเหตผุ ล หมายถงึ การตัดสินใจเกีย่ วกับระดับความพอเพียงตอ้ งเปน็ ไปอย่างมี
เหตผุ ล
การมีภมู คิ มุ้ กนั ทด่ี ใี นตวั หมายถงึ การเตรยี มตัวใหพ้ ร้อมรบั ผลกระทบและการ
เปลย่ี นแปลงตา่ ง
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 111
4) เง่ือนไข การตดั สนิ ใจและดำเนินกิจกรรมตา่ ง ๆ ต้องอาศัยทั้งความรอบรู้ ความรอบคอบ และ
ความมีคุณธรรม
5) แนวทางปฏิบตั ิ / ผลท่ีคาดวา่ จะได้รบั จากการประยุกตใ์ ชป้ รชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง พร้อม
รับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกดา้ น
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
112 คมู่ อื เตรยี มสอบ
ตัวอยา่ งแนวข้อสอบบทที่ 2
1. สัตว์ป่าสงวนหมายถึง
ก. สัตวป์ า่ ทกุ ชนิดท่ีต้องการสงวนไว้ ข. สัตว์ป่าหายาก
ค. สตั วป์ ่าตามท่กี ฎกระทรวงกำหนด ง. สัตวป์ ่าค้มุ ครอง
2. ข้อใดไม่ได้เปน็ สตั ว์ปา่ สงวน
ก. แมวลายหนิ อ่อน พะยนู ข. กระซู่ สมเสรจ็
ค. กระทงิ ชะนี ง. นกกระเรียนควายป่า
3. แหล่งพลงั งานปฐมภูมิ หมายถึงพลงั งานอะไร
ก. พลังงานชีวภาพ ข. พลังงานหมนุ เวียน
ค. พลงั งานความร้อน ง. พลังงานแสงอาทติ ย์
4. พลังงานหมนุ เวียนมขี ้อดีกวา่ พลังงานสน้ิ เปลืองอย่างไร
ก. การเกิดผลกระทบต่อมนุษยน์ อ้ ยกว่า ข. การเกิดมลภาวะต่อสิง่ แวดลอ้ มนอ้ ยกว่า
ค. การเกดิ มลพษิ ต่อส่ิงแวดล้อมน้อยกวา่ ง. การเกดิ ผลดตี ่อภาคอตุ สาหกรรมมากกว่า
5. ประเทศไทยมแี หล่งพลังงานที่ค้นพบมมี ากทส่ี ดุ คอื แหลง่ พลังงานใด
ก. พลังงานนำ้ มัน ข. พลงั งานถา่ นหนิ
ค. พลงั งานชีวมวล ง. พลังงานแสงอาทติ ย์
6. ระบบนเิ วศทีใ่ หญ่ทสี่ ุดเรยี กวา่ อะไร
ก. ระบบนเิ วศขนาดใหญ่ ข. ระบบนเิ วศขนาดเล็ก
ค. โลกของสิ่งมีชวี ติ ง. โลกของส่งิ แวดลอ้ ม
7. ผู้บรโิ ภคทตุ ยิ ภูมิ เปน็ ผู้บริโภคประเภทใด
ก. สง่ิ มีชวี ิตที่กนิ พชื เปน็ อาหารอย่างเดียว
ข. เป็นพวกท่ีกินทง้ั พืชทัง้ สัตว์เปน็ อาหาร
ค. เป็นพวกที่กินเน้อื สตั วด์ ว้ ยกันเป็นอาหารอย่างเดียว
ง. เปน็ พวกท่บี รโิ ภคซากพืชซากสัตวเ์ ป็นอาหาร
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 113
8. สมชาย ใชค้ วามรู้ซ่อมวิทยเุ ก่าให้กลบั มาใชง้ านไดเ้ หมือนเดิมเป็นการกระทำในข้อใด
ก. Reduce ข. Reuse
ค. Recycle ง. ถูกมากกว่า 1 ข้อ
9. ผู้อำนวยการโรงเรียนแหง่ หน่งึ มนี โยบายให้ครูใช้กระดาษครบท้ังสองหน้าจดั วา่ เปน็ การปฏบิ ัติ
ตามข้อใด
ก. Reduce ข. Reuse
ค. Recycle ง. ถกู มากกว่า 1 ข้อ
10. การหาค่าปริมาณออกซเิ จนท่จี ุลนิ ทรีย์ใช้ยอ่ ยสลายสารอนิ ทรยี ์ต่างๆในน้ำเสีย (BOD) วิธีนี้
เปน็ วิธีทางดา้ นใด
ก. ทางเคมี ข. ทางกายภาพ
ค. ทางชีวภาพ ง. ทางชีววิทยา
11. ไนโตรเจนมคี วามสำคญั ในการสังเคราะห์สารใด
ก. ฟอสฟอรสั ข. โพแทสเซยี ม
ค. ฮีเล่ียม ง. โปรตีน
12. มลพษิ ทางดนิ หมายถึงอะไร
ก. ดินทเี่ ส่ือมคุณภาพ หรือมีคุณสมบตั ิเปลีย่ นแปลงไปจากสภาพเดิม
ข. ดินทส่ี ามารถเพาะปลกุ และได้ผลผลติ ทีด่ ี
ค. ดินท่มี ีคณุ ภาพ และไม่มีการเปล่ียนแปลง
ง. ดนิ ทมี่ ีคณุ ภาพดี และมกี ารเปลยี่ นแปลงไป
13. พ้ืนทใ่ี ดเสี่ยงต่อการเกดิ ภาวะดินเค็ม
ก.นาข้าว ข.ไรข่ า้ วโพด
ค.พื้นทน่ี ้ำท่วมขัง ง. พนื้ ที่ทำนากุ้งกลุ าดำ
14. ชายฝ่ังทะเลด้านใด คงสภาพความอดุ มสมบรู ณ์ของพ้ืนที่ป่าชายเลนไวไ้ ดม้ ากท่ีสุด
ก. ชายฝ่ังอ่าวไทยของภาคกลาง
ข. ชายฝง่ั อ่าวไทยของภาคตะวันออก
ค. ชายฝั่งภาคใต้ ดา้ นทะเลอันดามนั
ง. ชายฝัง่ ภาคใต้ ดา้ นอ่าวไทย
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
114 คมู่ อื เตรยี มสอบ
15. นำ้ ที่มีอุณหภมู ิสงู เกนิ ไปมีผลเสียต่อสัตว์และพืชน้ำอยา่ งไร
ก. มปี ริมาณแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์มากข้ึน
ข. มีปริมาณออกซเิ จนในน้ำลดลง
ค. อัตราการหายใจของพชื และสตั วล์ ดลง
ง. ถกู ทุกขอ้
เฉลยบทท่ี 1
1 ง2 ค3 ข4 ง5 ข
6 ง 7 ง 8 ค 9 ง 10 ก
เฉลยบทท่ี 2
1 ข2 ค3 ง 4 ค5 ค
6 ค 7 ค 8 ก 9 ข 10 ง
11 ง 12 ก 13 ง 14 ค 15 ข
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 115
สาระท่ี 3 สารและสมบัตขิ องสาร
บทที่ 1 สารรอบตัว
1. สสาร (Matter)หมายถึง ส่ิงท่ีมีตัวตน มีรูปรา่ ง มีมวล มีนำ้ หนกั ต้องการทอ่ี ยู่ และสามารถสมั ผสั
จับตอ้ งได้ เชน่ ดินสอ ปากกา น้ำ ดิน อากาศ เป็นตน้
2. สาร (Substance)เป็นสว่ นหนึง่ ของสสารโดยสารเป็นสสารท่ีมลี กั ษณะเฉพาะ สารบางชนดิ เป็น
สารบรสิ ุทธิ์ เช่น ทองคำ สังกะสี เงิน ทองแด ออกซิเจน และสารบางชนดิ เปน็ สารประกอบ เชน่ นำ้
แอลกอฮอล์ เกลือแกง นำ้ ตาลทราย คารบ์ อนไดออกไซด์
3. สมบตั ขิ องสาร หมายถงึ ลักษณะเฉพาะตวั ของสารแตล่ ะชนิด แบง่ เป็น 2 ประเภท คือ
1) สมบัติทางกายภาพ หมายถึง สมบตั ทิ ่สี ามารถสงั เกตเห็นและตรวจสอบได้งา่ ยจาก
ลักษณะภานอก เช่น กลิน่ รส สี สถานะ การละลาย การนำความรอ้ น ความหนาแน่น เป็นต้น
2) สมบตั ิทางเคมี หมายถึง สมบตั ทิ ตี่ รวจสอบได้โดยดกู ารเปลย่ี นแปลงเมื่อเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี
ขึ้น สมบัตทิ างเคมีจะเกี่ยวข้องกับโครงสรา้ งภายใจของสาร เช่น การเผาไหม้ การผพุ ัง การเกดิ สนิม
การระเบิด เป็นตน้
4. การเปล่ยี นแปลงสมบตั ทิ างกายภาพของสาร จะไม่มีการเปลย่ี นแปลงองค์ประกอบของสาร ไม่มี
สารใหม่เกดิ ขนึ้ ส่วนใหญ่เป็นการเปลย่ี นแปลงทางดา้ นลกั ษณะภายนอกเทา่ นน้ั เช่น การเปลีย่ น
สถานการณ์เปลย่ี นอุณหภูมิ การสึกกรอ่ น เป็นตน้
5. การเปลย่ี นแปลงทางเคมีหรอื การเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี จะต้องมสี ารใหมเ่ กิดขึ้นเสมอ มีการ
เปลยี่ นแปลงองคป์ ระกอบภายในของสาร และสมบตั ิทางกายภาพของสารจะเปลยี่ นไปด้วย สารใหม่
ทเี่ กดิ ขนึ้ จากการเปลยี่ นแปลงทางเคมีจะมีสมบตั ิแตกตา่ งไปจากสารเดิม เชน่ การเกิดสนมิ เหล็ก การ
เน่าบูดของอาหาร การเผาไหม้ของสารตา่ ง ๆ การสุกของผลไม้ เปน็ ตน้
6. สารรอบตวั หมายถึง ส่ิงท่ีอยรู่ อบ ๆ ตวั เรา ทง้ั สงิ่ ทเ่ี กดิ จากธรรมชาตโิ ดยตรง จากการดัดแปลง
จากธรรมชาติโดยมนุษย์ รวมทง้ั ส่ิงทม่ี นุษย์สรา้ งขนึ้ มาเอง
7. การจดั กลมุ่ สาร ทำได้หลายวิธีขนึ้ อย่กู บั สมบตั ิของสารท่ีนำมาใช้เป็นเกณฑ์ เช่น จดั กลุ่มตาม
สถานะของสาร จดั กลุ่มตามลักษณะเนื้อสารจัดกลุม่ ตามขนาดของอนุภาค
8. การจดั กลุ่มสารตามสถานะของสาร จดั ได้ 3 กลมุ่ คือ
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
116 ค่มู อื เตรยี มสอบ
1) ของแข็ง อนุภาคของสารจะอยู่ชิดกันมาก มีแรงยืดเหน่ียวระหว่างอนภุ าคของสารมาก
สารมรี ูปรา่ งแนน่ อนและมีปริมาตรคงท่ี เช่น หนังสือ ปากกา ยางลบ เกลือแกง นำ้ ตาลทราย
2) ของเหลว อนภุ าคของสารอยใู่ กล้กัน มีแรงยดื เหนีย่ วระหว่างอนุภาคค่อนขา้ งมาก สารมี
รปู ร่างไม่แน่นอนแปรเปลีย่ นได้ตามภาชนะที่บรรจุ มปี ริมาตรคงที่ เชน่ น้ำ ปรอท แอลกอฮอล์
3) แก๊ส อนาคตของสารอย่หู ่างกันมาก มแี รงยดื เหน่ียวระหว่างอนภุ าคนอ้ ย สารมีรูปรา่ ง
และปรมิ าตรไม่คงที่แปรเปลี่ยนได้ตามภาชนะทบี่ รรจุ เช่น แก๊ส ไอน้ำ
9. พลังงานจลน์ เป็นพลงั งานท่เี กยี่ วข้องกับการเคลื่อนทีข่ องวัตถุหรอื อนุภาค เม่ือพจิ ารณาตาม
สถานะของสารพบวา่ อนภุ าคของแขง็ มีพลงั งานจลนเ์ น่ืองจากการสน่ั ของอนุภาคเท่านน้ั อนภุ าค
ของเหลวมีพลงั งานจลน์เน่อื งจากการส่นั และการเคล่อื นที่เปลย่ี นตำแหนง่ และอนภุ าคของแก๊สมี
พลังงานจลน์เนอ่ื งจากการสน่ั และการเคลอ่ื นท่ีเหมือนของเหลวแตม่ ากกว่า
10. ความรอ้ น เป็นพลงั งานรูปหนงึ่ ซึง่ อาจไดจ้ ากการแปลงรูปของพลงั งานเคามีท่ีสะสมในวัตถุ เมอ่ื
วตั ถุไดร้ บั พลงั งานความร้อนจะทำให้อะตอมและโมเลกลุ ของวัตถเุ กดิ การสัน่ สะเทือนซงึ่ ผลของความ
รอ้ นทำใหว้ ัตถเุ กดิ การเปล่ยี นแปลง เช่น มีอุณหภมู ิสูงขึน้ มีการเปล่ยี นแปลงสถานะ และ
เกิดปฏิกริ ิยาเคมี เปน็ ตน้
11. แหลง่ กำเนดิ ความรอ้ น เช่น ดวงอาทติ ย์ การเผาไหมเ้ ช้อื เพลิง เปน็ ต้น
12. อุณหภมู ิ คือ ปริมาณทบี่ อกระดบั ความร้อนของวตั ถุ
13. เทอรม์ อมเิ ตอร์ (Thermometer)คือ เครื่องมือทใี่ ช้วัดระดบั ความร้อนหรอื อุณหภูมขิ องวตั ถุ
โดยใช้หลกั การขยายตัวของของเหลวเม่อื ได้รบั ความรอ้ น แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
1) เทอรม์ อมิเตอรธ์ รรมดา นยิ มใชใ้ นห้องปฏิบตั ิการทางวิทยาศาสตร์มชี ว่ งอุณหภมู ิทวี่ ดั ได้
คอื 0-100 องศาเซลเซียส
2) เทอร์มอมิเตอรว์ ัดไข้ ใช้วัดอุณหภมู ิร่างกายของคนไข้ มขี ดี บอกอุณหภมู ริ ะหวา่ ง 35-
42 องศาเซลเซียส และมขี ดี แบ่งชว่ งระหว่างองศาเซลเซียสอย่างละเอยี ด
14. หน่วยท่ีใชว้ ดั อณุ หภูมิ ท่ีนยิ มใช้กนั อยา่ งแพรห่ ลาย คือ องศาเซลเซยี ส )องศาฟาเรนไฮด์(
และเคลวิน(K)
15. ความสมั พนั ธข์ องอณุ หภูมิองศาเซลเซียสและองศาฟาเรนไฮด์ โดยกำหนดวา่ อุณหภูมทิ เ่ี ป็นจุด
เยือกแขง็ ของน้ำบริสุทธ์คิ ือ 0 องศาเซลเซยี ส หรอื 32 องศาฟาเรนไฮด์ และอุณหภมู ิทเ่ี ป็นจุดเดอื ด
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 117
ของนำ้ บริสทุ ธ์ิคือ 100 องศาเซลเซียส หรอื 212 องศาฟาเรนไฮด์ จะไดว้ ่า 100 ช่องสเกลของ
อณุ หภูมิในหนว่ ยองศาเซลเซียสจะเทา่ กับ 180 ชอ่ งสเกลของอุณหภูมใิ นหนว่ ยองศาฟาเรนไฮด์
เมือ่ C = อณุ หภูมิในหนว่ ยองศาเซลเซยี ส
F = อุณหภมู ิในหน่วยองศาฟาเรนไฮด์
จาก 100 ช่องสเกลองศาเซลเซยี ส = 180 ชอ่ งสเกลองศาฟาเรนไฮด์
ดังนั้น
นน่ั คือ =
เช่น อุณหภูมริ า่ งกาย 37 องศาเซลเซยี ส มีคา่ เท่ากับ 98.6 องศาฟาเรนไฮด์
16. ความสมั พันธข์ องอณุ หภมู อิ งศาเซลเซียสและเคลวิน คือ
T = t + 273
เมอ่ื T = อณุ หภมู ิในหน่วยเคลวนิ
T = อณุ หภมู ใิ นหน่วยองศาเซลเซยี ส
เชน่ อณุ หภูมริ ่างกาย 37 องศาเซลเซยี ส มีค่าเท่ากบั 310 เคลวนิ
17. หนว่ ยวัดพลังงานความร้อน คือ จลู (J)หรือแคลอรี(cal) ซึ่ง 1 แคลอรี่มีคา่ ประมาณ 4.2 จูล
18. 1 แคลอรี หมายถึง ปริมาณความร้อนทีท่ ำให้นำ้ 1 กรัม มอี ณุ หภมู ิเพ่มิ ข้ึน 1 องศาเซลเซียส
19. ถ้าสารที่มอี ุณหภูมิตา่ งกันสมั ผสั กันจะเกิดการถา่ ยโอนพลังงานความร้อนจนกระทง่ั อุณหภูมิ
ของสารท้ังสองเทา่ กนั เรยี กว่าสารท้ังสองอยู่ในภาวะสมดลุ ความร้อน ( Thermal Equilibrium)
20. กฎการอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน (Law of Conservation of Energy)กลา่ ววา่ พลังงานรวมของวัตถุ
จะไมเ่ ปลี่ยนแปลง คือจะไมส่ ูญหายหรอื ถูกสร้างข้นึ ใหม่
21. การเปล่ียนแปลงของสารแบง่ เป็น 2 ประเภท คือ
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
118 ค่มู อื เตรยี มสอบ
1) การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เปน็ การเปลย่ี นแปลงลักษณะภายนอกของสาร ไมม่ ีการ
เปลย่ี นแปลงองค์ประกอบของสาร และไม่มสี ารใหม่เกดิ ขนึ้ เช่น การละลาย การเปล่ยี นสถานะของ
สาร การเปลี่ยนอณุ หภมู ิ
2) การเปลี่ยนแปลงทางเคมี หรือการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี เปน็ การเปลย่ี นองค์ประกอบภายใน
ของสาร ทำให้เกดิ สารใหมท่ ่ีมีสมบัตแิ ตกต่างจากสารเดิม เชน่ การหมกั แอลกอฮอล์ การเผาไหม้ของ
สาร
22. สถานะของสาร สารมี 3 สถานะ คือ ของแขง็ ของเหลว และแกส๊
23. ของแข็ง (Solid)สารในสถานะของแข็งมีอนภุ าคเรียงอยูช่ ิดกนั มากการจัดเรียงอนภุ าคอยูใ่ น
ตำแหน่งทีแ่ น่นอนและเรียงตัวอยา่ งเป็นระเบียบทำให้มีแรงยดึ เหน่ยี วระหว่างอนุภาคของสาร
มากกวา่ ของเหลวและแก๊สมรี ูปร่างแนน่ อนไม่ขึ้นอยู่กบั ภาชนะที่บรรจุ และมปี รมิ าตรคงที่
24. ของเหลว (Liquid)สารในสถานะของเหลวมีการจัดเรียงอนภุ าคไมเ่ ป็นระเบียบ มีที่ว่างระหว่าง
อนุภาคเล็กน้อย ทำให้ของเหลวมีแรงยึดเหนยี่ วระหว่างอนุภาคน้อยกวา่ ของแข็ง อนุภาคของ
ของเหลวมีอสิ ระในการเคล่ือนทีไ่ ด้มากกวา่ ของแข็ง แต่ไม่แยกจากกัน ของเหลวจงึ ไหลได้ รปู ร่างของ
ของเหลวสามารถเปล่ียนแปลงได้ตามภาชนะท่บี รรจุและมีปริมาตรคงท่ี
25.แกส๊ (Gas)สารในสถานะแกส๊ จะมีอนุภาคอยู่หา่ งกนั มากเมอ่ื เทยี บกบั ของแข็งและของเหลวทำให้
แก๊สมีแรงยึดเหน่ยี วระหว่างอนภุ าคน้อยมากจนถือไดว้ า่ ไม่มีแรงกระทำต่อกนั มรี ูปร่างเปล่ยี นแปลง
ไดต้ ามภาชนะที่บรรจุ
26. การเปลยี่ นสถานะของสาร เป็นการเปล่ียนแปลงทางกายภาพ หลงั เกิดการเปลีย่ นแปลงจะไม่มี
สารใหมเ่ กิดขึ้นแต่สถานะของสารจะเปลี่ยนไป
27. สารจะสามารถเปลย่ี นสถานะไดเ้ มือ่ ไดร้ ับความรอ้ นหรอื คายความรอ้ น จนกระท่ังอยใู่ นภาวะ
ที่เหมาะสม
28. การเปลี่ยนสถานะของสารจากของแขง็ เปน็ ของเหลว เรียกวา่ การหลอมเหลว เกดิ ข้นึ เมื่อ
อนภุ าคของของแขง็ ได้รบั ความร้อนทำให้อนุภาคมีพลงั งานสูงขึน้ จึงเกดิ การสัน่ สะเทือนได้แรงขน้ึ และ
ถ่ายเทพลงั งานให้แก่กันจนถงึ ภาวะหนงึ่ อนุภาคจึงมพี ลังงานสูงพอทีจ่ ะเคล่อื นท่ีออกห่างจากกนั และ
มีแรงยดึ เหนย่ี วระหว่างอนุภาคตำ่ ลง สารจงึ เปล่ยี นสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว
29. จุดหลอมเหลว (Melting Point)คอื จดุ ทส่ี ารเปล่ียนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว จุด
หลอมเหลวมีคา่ เท่ากับจุดเยือกแข็ง เพียงแตจ่ ุดเยอื กแข็งใช้เรียกเมอ่ื สารเปลย่ี นสถานะจากของเหลว
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 119
เป็นของแข็ง เช่น น้ำมีจุดหลอมเหลวเทา่ กับ 0 องศาเซลเซียส หมายความว่า นำ้ แข็งซ่ึงเป็นสถานะ
ของแข็งของนำ้ จะกลายสถานะเป็นของเหลวเมอื่ อุณหภูมิมากกวา่ 0 องศาเซลเซียส และน้ำกม็ ีจดุ
เยอื กแขง็ ที่ 0 องศาเซลเซียส หมายความว่า นำ้ สถานะของเหลวจะกลายสถานะเปน็ ของแข็งเมื่อ
อุณหภมู ิลดลงต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส
30. ความรอ้ นแฝงของการหลอมเหลว คือ ความร้อนที่ทำให้สารเปล่ียนสถานะจากของแข็งเปน็
ของเหลวโดยอุณหภมู ิไมเ่ ปล่ียนแปลง เชน่ ความร้อนแฝงของการหลอมเหลวของนำ้ แข็งมคี ่าเท่ากบั
80 แคลอรตี ่อกรัม
31. การเปลย่ี นสถานะของสารจากของเหลวเปน็ แก๊ส เรียกวา่ การเดอื ด หรือการกลายเป็นไอ
เกดิ ขึ้นเม่ืออนุภาคของของเหลวไดร้ บั ความรอ้ นเพ่มิ ข้ึนทำใหอ้ นุภาคมีพลังงานมากขน้ึ อนุภาคจึง
สามารถเคล่ือนออกห่างจากกันไดม้ ากข้ึนอกี จนไมม่ ีแรงยดึ เหนี่ยวต่อกนั อนุภาคของของเหลว จงึ ฟุ้ง
กระจากออกไปกลายเป็นแก๊ส
32. จุดเดือด หมายถึง จุดท่สี ารเปล่ยี นสถานะจากของเหลวเปน็ แกส๊ เปน็ จุดเดียวกันกบั จดุ ควบแน่น
จุดเดอื นของนำ้ บริสทุ ธคิ์ ือ 100 องศาเซลเซยี สหมายความวา่ น้ำทส่ี ถานะของเหลวจะกลายเป็นไอน้ำ
(สถานะแก๊สของนำ้ เมอ่ื อณุ หภมู มิ ากวา่ 100 องศาเซลเซยี ส
33. ความรอ้ นแฝงของการกลายเป็นไอ คอื ความร้อนท่ีทำให้สารเปล่ียนสถานะจากของเหลวเปน็
แก๊สโดยอุณหภมู ิไมเ่ ปล่ียนแปลง เช่น ความรอ้ นแฝงของการกลายเป็นไอของน้ำเดือดมีค่าเท่ากบั
540 แคลอรตี ่อกรัม
34. การเปล่ียนสถานะของสารจากแกส๊ เป็นของเหลว เรียกว่า การควบแน่น เกิดเนอื่ งจากสารใน
สถานะแกส๊ มอี ุณหภมู ิลดลงทำใหแ้ กส๊ กลนั่ ตวั กลายเป็นของเหลว
35. จดุ ควบแน่น คอื จดุ ทสี่ ารเปล่ยี นสถานะจากแก๊สเปน็ ของเหลวจดุ ควบแน่นมีค่าเท่ากับจดุ เดอื ด
36. การเปล่ยี นสถานะของสารจากของเหลวเปน้ ของแขง็ เรียกว่า การแข็งตัว เกิดข้ึนเมือ่ ลด
อณุ หภูมขิ องของเหลวใหเ้ ย็นลงจนถงึ อุณหภมู ิหนง่ึ ของของเหลวจะกลายเป็นของแข็ง เช่น การนำน้ำ
ท่มี ีสถานะเป็นของเหลวไปแช่ไวใ้ นชอ่ งเยือกแขง็ ในตู้เย็นจะทำให้น้ำกลายเป็นน้ำแขง็
37. จดุ เยือกแข็ง คือ จดุ ทีส่ ารเปล่ียนสถานะจากของเหลวเป็นของแขง็ จุดเยือกแข็งมคี ่าเทา่ กบั จุด
หลอมเหลว
38. ผลของพลงั งานความร้อนตอ่ การเปล่ียนแปลงของวัตถุ เชน่ ความรอ้ นทำให้วัตถุมีอณุ หภมู ิ
สูงขน้ึ มกี ารขยายตวั เกิดปฏิกริ ิยาเคมีทำให้ได้สารใหมเ่ กดิ ขน้ึ และทำให้วัตถุเปลย่ี นแปลงสถานะ
เป็นต้น
39. การเปลีย่ นสถานะของนำ้ แบ่งได้ 2 ประเภท คือ
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
120 ค่มู อื เตรยี มสอบ
1) การเปลี่ยนสถานะระหวา่ งของแขง็ กบั ของเหลว
2) การเปล่ียนสถานะระหว่างของเหลวกบั แกส๊
40. การเปลี่ยนสถานะระหว่างของแข็งกับของเหลว
1) นำ้ แขง็ อณุ หภมู ิ 0 เม่อื ได้รับพลังงานความร้อนจากสิง่ แวดลอ้ มจะเปลี่ยนสถานเปน็
ของเหลวทีอณุ หภมู ิ 0 ขณะท่ีนำ้ แข็งเปล่ยี นสถานะเปน็ น้ำเหลว อณุ หภมู ขิ องน้ำแข็งและนำ้ เหลวจะ
ไมเ่ ปลยี่ นแปลง
2) นำ้ อุณหภมู ิ 0 เม่ือ คายพลงั งานความร้อนออกมาจะเปลี่ยนสถานะเป็นน้ำแขง็ ที่
อุณหภมู ิ 0 ขณะท่นี ำ้ เปลย่ี นสถานะเป็นน้ำแขง็ อณุ หภูมิของนำ้ และนำ้ แข็งจะไมเ่ ปล่ยี นแปลง
41. ความรอ้ นแฝงของการหลอมเหลวของนำ้ แข็ง คอื พลังงานความร้อนที่ใชใ้ นการเปลีย่ นสถานะ
จากน้ำแข็งเปน็ นำ้ เหลว ซ่งึ ในขณะท่ีนำ้ แขง็ เปล่ยี นสถานะเปน็ นำ้ เหลวอณุ หภูมจิ ะคงที่
42. ความร้อนแฝงจำเพาะของการหลอมเหลวของน้ำแข็ง คอื พลงั งานความรอ้ นท่ที ำให้น้ำแขง็
มวล 1 กรม เปลย่ี นสถานะเป็นนำ้ เหลวโดยอณุ หภูมไิ ม่เปล่ียนแปลง
43. ความร้อนแฝงของการแขง็ ตวั ของนำ้ คือ พลังงานความร้อนท่ีของเหลวคายออกมาเพ่ือเปลยี่ น
สถานะไปเป็นของแข็งโดยอุณหภูมไิ ม่เปลี่ยนแปลง
44. ความร้อนแฝงของการหลอมเหลวของสารใดจะมีคา่ เท่ากับความร้อนแฝงของการแขง็ ตัวของ
สารน้ัน
45. ความร้อนแฝงจำเพาะของการหลอมเหลวของนำ้ แขง็ และความร้อนแฝงจำเพาะของการแข็งตัว
ของน้ำมคี า่ เทา่ กัน คือ มีค่าประมาณ 80 แคลอรตี อ่ กรมั
46. การเปลีย่ นสถานะระหว่างของเหลวกับแก๊ส
1) น้ำเดือดทีอ่ ุณหภูมิ 100 เม่ือได้รบั พลังงานความร้อนจากสิง่ แวดลอ้ มจะเปลย่ี นสถานะ
เปน็ ไอน้ำอุณหภมู ิ 100 ขณะที่นำ้ เปลี่ยนสถานะเป็นไอน้ำ อุณหภมู ิของนำ้ และไอน้ำจะไม่
เปล่ียนแปลง
2) ไอน้ำอุณหภูมิ 100 เม่ือคายพลงั งานความร้อนออกมาเปลยี่ นสถานะเปน็ น้ำเดือดที่
อุณหภูมิ 100 ขณะที่ไอน้ำเปล่ียนสถานะเปน็ นำ้ เดือด อณุ หภูมขิ องไอนำ้ และน้ำเดอื ดจะไม่
เปลย่ี นแปลง
47.ความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอของน้ำเดอื ด คอื พลงั งานความร้อนท่ีทำให้นำ้ เดือดเปลย่ี น
สถานะเปน็ ไอนำ้ โดยอณุ หภูมิไม่เปลย่ี นแลง
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 121
48. ความร้อนแฝงจำเพาะของการกลายเป็นไอของนำ้ เดือด คอื พลังงานความร้อนทที่ ำให้นำ้ เดอื ด
มวล 1 กรัม เปลี่ยนสถานะเป็นไอน้ำโดยอุณหภูมิไมเ่ ปล่ยี นแปลง
49.ความรอ้ นแฝงของการกลั่นตัว คอื พลังงานความร้อนที่ไอน้ำคายออกมาเพ่ือเปลีย่ นสถานะเป็น
นำ้ โดยไม่มกี ารเปล่ยี นแปลงอณุ หภูมิ
50. ความรอ้ นแฝงของการกลายเปน็ ไอของสารใดจะมีค่าเท่ากบั ความร้อนแฝงของการกล่นั ตวั ของ
สารนนั้
51. ความร้อนแฝงจำเพาะของการกลายเป็นไอของน้ำเดือดและความรอ้ นแฝงจำเพาะของการ
กลน่ั ตัวของน้ำมีคา่ เท่ากนั คือ มีค่าประมาณ 540 แคลอรีต่อกรมั
52. นำ้ บรสิ ุทธ์จิ ะเดือนท่ีอณุ หภมู ิ 100 ท่คี วามดนั ปกติ 1 บรรยากาศ คือ ความดนั ทรี่ ะดบั นำ้ ทะเล
แต่ถา้ ความดนั อากาศเปลยี่ นไปอณุ หภูมิของจุดเดือดของน้ำก็จะเปลย่ี นไปด้วย โดยถา้ ความดัน
อากาศต่ำลงนำ้ จะเดือดที่อุณหภมู ิของจุดเดือดของน้ำก็จะเปลย่ี นไปด้วย โดยถ้าความดันอากาศต่ำลง
น้ำจะเดอื ดท่ีอณุ หภูมติ ำ่ กว่า 100
53. การคำนวณหาปรมิ าณความรอ้ นท่ีทำให้สารมีอุณหภูมิเปลย่ี นไปหาได้จากสมการ
Q = mst
เมื่อ Q = ปริมาณความร้อน มีหน่วยเปน็ แคลอรี หรอื จลู
m = มวลของสาร มีหนว่ ยเปน็ กรัม หรือกิโลกรมั
s = ความจคุ วามรอ้ นจำเพาะของสาร มีหนว่ ยเปน็ แคลอรีต่อกรัมต่อองศาเซลเซียส
t= อุณหภูมขิ องสารท่เี ปล่ียนไปจากเดิม มหี น่วยเปน็ องศาเซลเซยี ส
ตัวอยา่ งเช่นพลงั งานความร้อนทที่ ำให้นำ้ มวล 50 กรัม อุณหภมู ิ 25 กลายเป็นน้ำเดือดอุณหภมู ิ
100
แนวคิด หาปรมิ าณความรอ้ นทที่ ำให้สารมีอุณหภมู เิ ปลย่ี นไปจาก
Q = mst
= 50 X 1 X ( 100 – 25)
= 3,750 แคลอรี
นำ้ 50 กรัม จะมีอุณหภมู เิ พิ่มขึ้น 75 เม่ือรบั ความร้อน 3,750 แคลอรี
54. ความจคุ วามร้อนของสาร คือ พลงั งานความร้อนท่ที ำใหส้ ารมอี ณุ หภมู ิเปลี่ยนไปจากเดมิ 1
55. ความจุความร้อนจำเพาะของสาร คอื พลังงานความร้อนทท่ี ำให้สารมวล 1 กรัม มีอุณหภูมิ
เปลีย่ นไป 1
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
122 คมู่ อื เตรยี มสอบ
56. ความจุความร้อนจำเพาะของน้ำ มีค่า 1 แคลอรีต่อกรัมตอ่ องศาเซลเซียส หมายความวา่
พลังงานความร้อน 1 แคลอรีทำใหน้ ้ำมวล 1 กรมั มีอุณหภูมิเพม่ิ ขนึ้ หรอื ลดลง 1
57. การคำนวณหาปรมิ าณความรอ้ นท่ีทำให้สารเปลี่ยนสถานะ หาได้จากสมการ
Q = mL
เมอ่ื Q = ปริมาณความรอ้ น มีหนว่ ยเปน็ แคลอรี หรือจลู
m = มวลของสาร มีหน่วยเปน็ กรมั หรอื กโิ ลกรัม
L = ความร้อนแฝงจำเพาะของสาร มหี นว่ ยเป็นแคลอรีตอ่ กรมั
ตวั อยา่ งเชน่
พลงั งานความร้อนท่ีทำใหน้ ำ้ เดือดมวล 50 กรัม อุณหภูมิ 100 กลายเป็นไอน้ำเดอื ดอณุ หภูมิ 100
แนวคดิ หาปรมิ าณความร้อนทีท่ ำใหส้ ารเปลีย่ นสถานะจาก
Q = mL
= 50 X 540
= 27,000 แคลอรี
น้ำ 50 กรมั ใชพ้ ลังงานความร้อนในการเปลี่ยนสถานะ 27,000 แคลอรี
58. อิทธิพลของความรอ้ นต่อการขยายตัวและหดตัวของวัตถุ
1) เม่ือวัตถไุ ด้รบั ความร้อนอุณหภูมิและพลังงานจลน์ของโมเลกุลของวัตถจุ ะเพม่ิ ขึน้ ทำให้
โมเลกลุ สั่นมากขนึ้ และเคลื่อนท่ีเร็วขนึ้ ทำให้วัตถมุ ีขนาดใหญ่ข้นึ เรยี กว่า วัตถุเกดิ การขยายตวั
2) เมือ่ วตั ถคุ ายความรอ้ นออกมา โมเลกลุ ของวตั ถจุ ะสั่นน้อยลงและเคล่ือนทชี่ ้าลงทำให้วตั ถุ
มขี นาดเลก็ ลง เรยี กว่า วตั ถเุ กิดการหดตวั
59. การขยายตวั และหดตัวของโลหะ โลหะทกุ ชนดิ เมื่อได้รบั ความรอ้ นจะขยายตวั และเมอื่ คาย
ความรอ้ นจะหดตวั โดยอาจจะขยายตัวตามความยาว ตามปรมิ าตร หรือตามพน้ื ที่
60. สัมประสิทธ์ิการขยายตวั คือ อัตราส่วนระหว่างขนาดของวัตถุท่เี ปลี่ยนแปลงกบั ขนาดเดิมของ
วตั ถุตอ่ อณุ หภูมทิ ี่เปลีย่ นแปลง เชน่ สมั ประสิทธ์ิการขยายตัวตามเส้นของเหล็กกล้าเท่ากับ
หมายความวา่ ถ้าอณุ หภมู เิ พ่ิมข้ึน 1 ลวดเหลก็ ท่ียาว 12,000,000 เมตร จะยืดยาวออก 1 เมตร
ถา้ อุณหภูมเิ พม่ิ ขน้ึ 20 ลวดเหลก็ จะยดื ออก 20 เมตร
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 123
61. การระเหดิ (Sublimation)หมายถงึ ปรากฏการณท์ ่ีสามารถเปลยี่ นสถานะจากของแข็ง
กลายเป็นแก๊สได้โดยไมผ่ ่านสถานะของเหลวก่อน เกิดเนื่องจากอนภุ าคของของแข็งอยู่ใกล้กันมากทำ
ใหม้ ีโอกาสกระทบกนั ได้เม่ือสารได้รับความร้อนจึงมีการถา่ ยเทพลงั งานให้แก่กนั อนภุ าคที่ผวิ หน้า
ของของแขง็ จึงเปลยี่ นสถานะกลายเป็นแก๊ส
62. การระเหดิ จะเกิดไดเ้ ฉพาะสารบางชนิดเท่านน้ั เช่น การบูร พมิ เสน ลกู เหม็น (แนฟทาลีน)
ไอโอดนี และน้ำแข็งแหง้ เปน็ ตน้ ปรากฏการณ์ท่แี สดงว่าสารเกิดการระเหิดได้ เช่น เม่อื วางสาร
เหลา่ น้ีในสถานะของแขง็ ไว้ในท่โี ลง่ ระยะเวลาหน่ึง สารจะมีขนาดเล็กลงและหมดไปในทสี่ ุด
63. การนำความรเู้ ร่ืองการเปล่ียนสถานะของสารไปใช้ประโยชน์ เช่น
1) การทำไอศกรีม เป็นการเปล่ียนสถานะส่วนผสมของไอศกรีมที่มสี ถานะเปน้ ของเหลวให้
กลายเป็นของแข็ง โดยการดึงความร้อนออกจากของเหลวเหลา่ นั้น
2) การตกแตง่ เวทีการแสดงหรอื ละคร ใชก้ ารเปล่ยี นสถานะของนำ้ แขง็ แหง้ ทม่ี สี ถานะเป็น
ของแขง็ ให้กลายเปน็ แกส๊ แล้วทำให้บรเิ วณนนั้ มีอุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเรว็ ไอนำ้ ในอากาศทมี่ ี
สถานะเป็นแก๊สจงึ เกดิ การควบแนน่ เปน็ ละอองน้ำเล็ก ๆ ทำให้มีลักษณะเหมอื นหมอกควันเมอื่ ใช้ไฟสี
ส่องก็จะไดห้ มอกควันสีสวยงามเกิดขน้ึ
3) เครอื่ งทำความเย็น เช่น ตเู้ ย็น เครอื่ งปรับอากาศ อาศยั หลักการเปลย่ี นสถานะของแก๊ส
บางชนดิ ใหเ้ ปน็ ของเหลวโดยใชเ้ ครอ่ื งอัดอากาศ (Compressor) จากนั้นผา่ นสารทเี่ ปน็ ของเหลวไป
ยงั สว่ นต่าง ๆ ท่ีต้องการลดอุณหภูมิ สารน้ีจะดงึ ความร้อนจากบรเิ วณโดยรอบเพือ่ ทำให้สาร
เปลย่ี นเป็นแกส๊ ไหลกลับไปยงั เครื่องอดั อากาศอีกรง้ั ทำให้บริเวณท่ตี อ้ งการทำให้เยน็ มีอณุ หภูมลิ ดลง
ได้
4) การนำลกู เหมน็ หรอื การบูรท่ีมสี ถานะเป็นของแข็งใสใ่ นตู้เสอื้ ผา้ ใหร้ ะเหิดกลายเปน็ แก๊ส
เพือ่ ป้องกนั แมลง
64. การละลายของสาร เป็นการเปลยี่ นแปลงทางกายภาพทำให้สารละลายท่ีไดย้ งั คงมีสมบัติของ
สารเดิมท่เี ปน็ สว่ นประกอบอยู่ โดยขึน้ อยูก่ บั ปรมิ าณของสารทเี่ ปน็ สว่ นประกอบน้นั เชน่ นำ้ เกลือก็
จะมีสมบตั ิของน้ำและเกลอื ด้วย
65. การละลาย เกิดจากสารต้งั แต่ 2 ชนิดขึ้นไปมาผสมเป็นเน้ือเดียวกนั โดยไมเ่ กิดปฏิกิรยิ าเคมี
66. การละลายของสารจะเกี่ยวข้องกับพลังงาน ซึ่งการละลายมี 2 ขั้นตอน คือ
1) อนภุ าคของของแข็งแยกตัวออกเป็นอนภุ าคเล็ก ๆ ของแขง็ ประกอบดว้ ยอนุภาคจำนวน
มากมายอยรู่ วมกนั โดยมีแรงยึดเหน่ยี วระหว่างกัน การแยกอนุภาคของของแข็งออกจากกันเป็น
อนภุ าคเลก็ ๆ จะต้องใช้พลังงานหรือดูดพลังงานจากสง่ิ แวดลอ้ ม
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
124 ค่มู อื เตรยี มสอบ
2) อนภุ าคเล็ก ๆ ของของแข็งรวมตวั กบั อนภุ าคของของเหลว เม่อื ของแขง็ แยกตวั ออกเป็น
อนุภาคเลก็ ๆ แลว้ อนุภาคเหล่านจ้ี ะกระจายแทรกตัวอยูร่ ะหว่างอนภุ าคของของเหลว ทำให้อนุภาค
เลก็ ๆ ของของแข็งสร้างแรงยึดเหนี่ยวกับอนุภาคของของเหลว และการสร้างแรงยดึ เหน่ียวจะเกิด
การคายพลงั งาน
67. การถ่ายโอนพลงั งานความรอ้ น พลังงานความร้อนจะถ่ายโอนจากทีท่ ม่ี ีอุณหภมู ิต่ำกว่าและหยุด
ถา่ ยโอนเม่ืออุณหภูมเิ ท่ากนั
68. วธิ ีการถ่ายโอนพลงั งานความรอ้ น พลงั งานความร้อนสามารถถ่ายโอนไปยังวัตถุตา่ ง ๆ ไดโ้ ดย
การพาความรอ้ น การนำความร้อน และการแผ่รังสี
69. การพาความร้อน (Convection) เป็นการถ่ายโอนพลังงานความรอ้ นโดยอาศัยการเคล่อื นที่
ของตวั กลางทเี่ ป็นของไหลเป็นตัวพาไปและโมเลกุลของสารที่เป็นตวั กลางเคล่ือนที่ไปด้วยไดแ้ ก่
โมเลกลุ ของของเหลวและแก๊ส เข่น การพาความร้อนของน้ำในเครอื่ งทำน้ำอนุ่ การพาความร้อนของ
สารพรอี อนในเครื่องทำความเยน็ เปน็ ต้น
70. วธิ ีการพาความรอ้ น เกดิ จากโมเลกลุ ของของเหลวและแก๊สไดร้ ับพลังงานความรอ้ น โมเลกุลจะ
สน่ั และอยหู่ ่างกันมากขึ้น ทำใหค้ วามหนาแน่นของของเหลวและแกส๊ ลดลง โมเลกุลที่ไดร้ ับความร้อน
น้จี งึ ลอยตัวขน้ึ และพาความร้อนไปดว้ ย โมเลกลุ ที่อย่ขู า้ งเคียงจะเคลื่อนท่เี ข้ามาแทนที่
71. การนำความร้อน (Conduction) เป็นการถา่ ยโอนพลงั งานความรอ้ นผา่ นตวั กลางโดยท่ี
โมเลกุลของตัวกลางไม่ได้เคล่ือนทไ่ี ปด้วย เชน่ การทอดปลา ความร้อนจากเปลวไฟจะถา่ ยโอนผ่าน
กระทะมายังปลาทำให้ปลาสุก เป็นต้น
72. วิธีการนำความรอ้ น เกดิ จากความร้อนถา่ ยโอนผ่านตวั กลางที่เปน็ ของแขง็ ในลักษณะท่โี มเลกุล
ของตัวกลางท่ีอย่ใู กลแ้ หลง่ กำเนดิ ความร้อนจะร้อนกอ่ นโมเลกลุ ท่อี ยู่ไกลออกไป โมเลกุลของตวั กลาง
ซึง่ เคลือ่ นท่ีไม่ได้เมอื่ ได้รับความร้อนจะส่นั มากข้นึ จงึ ชนกับโมเลกุลท่อี ยูต่ ดิ กันและทำใหโ้ มเลกุลทอี่ ยู่
ตดิ กันสั่นมากขึ้นไปดว้ ย โมเลกุลแหลา่ นจ้ี ะสัน่ ต่อเนอ่ื งกนั ไปจึงทำให้ความร้อนถูกถา่ ยโอนตอ่ เนื่องกนั
โดยการส่ันของโมเลกุล
73. ตัวนำความรอ้ น คือ วตั ถุทไ่ี ม่สามารถนำความรอ้ นได้หรือไมย่ อมใหค้ วามร้อนผา่ น เช่น ยาง
กระเบ้ือง แก้ว พลาสตกิ ไม้ เป็นต้น
75. การแผร่ งั สีความรอ้ น (Radiation)เปน็ การถา่ ยโอนพลงั งานความร้อนโดยไม่อาศยั ตัวกลางใน
การถ่ายโอน เชน่ การแผร่ งั สีความรอ้ นของดวงอาทิตย์
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 125
76.วธิ ีการแผ่รงั สีความร้อน เกิดจากวตั ถุทีม่ ีอุณหภูมสิ งู แผ่รงั สคี วามรอ้ นออกมาในรูปคลื่น
แมเ่ หล็กไฟฟา้ ไปยังวัตถุทเ่ี ย็นกวา่
77. การจัดกลุ่มสารตามลักษณะเนอ้ื สาร จดั ได้ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คอื
1) สารเนื้อเดยี ว มองเหน็ เป็นเน้ือเดยี ว อาจมเี นื้อสารเพียงอยา่ งเดยี วหรอืมากกว่าหนง่ึ
อย่าง มสี มบัตเิ หมอื นกันทุกส่วน เชน่ อากาศ ทองคำ น้ำเกลือ
2) สารเนือ้ ผสม มเี น้ือสารมากกวา่ หน่ึงอย่างผสมกันอยู่ สามารถมองเห็นความแตกตา่ งของ
องค์ประกอบของเน้ือสารได้ เชน่ ดิน นำ้ โคลน น้ำเลอื ด
78. สารเน้อื เดยี ว พบไดท้ ้งั 3 สถานะ คือ ของแข็ง ของเหลว และแกส๊ แบ่งเปน็ 2 ชนดิ คือ
1) สารบรสิ ุทธิ์ หมายถึง สารเน้อื เดียวทม่ี ีองค์ประกอบของสารเพียงชนิดเดียว สมบัตขิ อง
สารบริสุทธิจ์ ะคงทแี่ ละเปน็ สมบัตเิ ฉพาะตวั สารบริสทุ ธ์แิ บ่งเป็น 2 ชนิด คือ ธาตแุ ละสารประกอบ
เชน่ ทองคำ ทองแดง แกส๊ ออกซิเจน แก๊สไฮโดรเจน เปน็ ต้น
2) สารละลาย หมายถึง สารเน้ือเดียวที่เกดิ จาสารบริสทุ ธ์ิที่เปน็ ธาตหุ รอื สารประกอบตั้งแต่
สองชนดิ ขึ้นไปมารวมกนั โดยมอี ตั ราส่วนของการผสมไม่คงที่ และแสดงสมบัตติ ามอัตราสว่ นของสาร
ทผี่ สมกนั เชน่ นำ้ เกลือ น้ำเช่ือม ทองเหลือง อากาศ เปน็ ต้น
79. สารเนื้อผสม เปน็ สารทม่ี ีเน้อื สารมากกว่าหน่ึงอยา่ งผสมกนั อย่สู ามารถมองเหน็ ความแตกต่าง
ขององคป์ ระกอบเน้ือสารได้ มีลักษณะหรือสมบตั ทิ ้งั ก้อนของสารไม่เหมือนกนั เมื่อนำแตล่ ะส่วนของ
สารไปทดสอบจะแสดงสมบตั ิแตกตา่ งกัน พบสารเนื้อผสมได้ 2 สถานะ คือ ของแข็งและของเหลว
80. การจดั กลุ่มสารตามขนาดของอนภุ าค จัดได้ 3 กล่มุ คอื สารแขวนลอย คอลลอยด์ และ
สารละลาย
81. สารแขวนลอย (Suspension)เป็นสารผสมทีม่ ลี กั ษณะขุ่น มองเหน็ อนภุ าคของของแข็งที่
ผสมอย่ไู ดช้ ดั เจน เนอ่ื งจากอนภุ าคมขี นาดใหญ่ประกอบด้วยอนุภาคของแข็งขนาดใหญ่กว่า
เซนติเมตร กระจายอยู่ในตวั กลางทเ่ ป็นของเหลวเม่ือนำมากรองอนุภาคไมส่ ามารถลอดผ่านกระดาษ
กรองและเซลโลเฟนได้ ตัวอย่างแขวนลอย เชน่ น้ำโคลน ดนิ เหนยี ว อย่างหยาบและดินทรายใน
นำ้ เป็นต้น
82. คอลลอยด์ (Colloid)เป็นสารผสมท่ีมลี กั ษณะขุ่น มองเห็นอนุภาคทแี่ พรก่ ระจายอยู่ไมช่ ัดเจน
อนภุ าคของของแขง็ ในคอลลอยดม์ ีขนาดเลก็ กวา่ สารแขวนลอย แต่มีขนาดใหญก่ ว่าสารละลาย โดย
อนภุ าคมีขนาด เซนติเมตร เมอื่ นำมากรอง อนภุ าคสามารถผ่านกระดาษกรองได้ แต่
ไม่สามารถผ่านเซลโลเฟนได้ เช่น นมสด น้ำกะทิ น้ำสบู่ นำ้ แปง้ สกุ เปน็ ต้น
83. คอลลอยด์ แบ่งตามชนิดของสารทน่ี ำมาผสมกนั ได้ ดงั น้ี
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
126 ค่มู อื เตรยี มสอบ
1) เจล (Gel) หมายถึง คอลลอยดท์ ี่มีลักษณะเป็นของแข็ง เกดิ จากของเหลวแขวนลอย
อยูใ่ นของแข็ง เช่น วนุ้ แขง็ เจลลาติน เนยแขง็ เป็นต้น
2) ซอลล์(Sols) หมายถึง คอลลอยด์ที่เปน็ ของเหลว เกดิ จากของแข็งแพร่กระจายอยู่ใน
ของเหลว เช่น สีทาบ้าน นำ้ หมกึ เป็นต้น
3) แอโรซอล (Aerosol) หมายถงึ คอยลอยด์ที่มสี ถานะเปน็ แกส๊ ฝุ่นละอองในอากาศ
เปน็ ตน้
4) อิมลั ซัน (Emulsin) หมายถงึ คอยลอยดท์ ี่เกิดจากสาร 2 ชนิด ที่ไม่ละลายในกัน
และกนั โดยมีของเหลวชนิดหนง่ึ กระจายตวั แทรกอยใู่ นของเหลวอกี ชนิดหนงึ่ และมีอิมัลซิไฟเออร์
(Emulsifier) ทำหน้าท่ีเป็นตัวประสารให้สาร 2 ชนิด รวมตัวกนั อยู่ได้ เชน่ นมสด ครีม เปน็ ตน้
5) โฟมของเหลว หมายถึง คอลลอยด์ทม่ี ีอนุภาคแกส๊ แขวนลอยอยูใ่ นของแข็ง เช่น ฟอง
สบู่ ฟองผงซักฟอก เป็นต้น
6) โฟมของแขง็ หมายถึง คอลลอยดท์ ี่มอี นภุ าคแกส๊ แขวนลอยอยูใ่ นของแข็ง เช่น
ฟองน้ำ
84. ตัวอิมลั ชนั เชน่ น้ำนมสด เกิดจากการรวมกนั ของไขมนั โปรตนี และนำ้ โดยมีไขมันสตั ว์
กระจายอย่ใู นน้ำที่เป็นตัวกลาง (ปกติไขมนั สตั วจ์ ะไม่ละลายในนำ้ ) และมโี ปรตนี ชว่ ยทำให้ไขมันและ
น้ำรวมตัวกนั ได้ เรยี ก ไขมัน นำ้ และโปรตีน ทร่ี วมตวั เป็นเนอ้ื เดยี วกันวา่ อิมลั ชนั ส่วนโปรตีนที่
ช่วยทำให้ไขมนั และน้ำรวมตวั กนั ได้ เรียกว่า อิมลั ซไิ ฟเออร์
85. คอลลอยด์ชนิดต่าง ๆ ทีพ่ บในชีวิตประจำ
ตัวอย่างคอลลอยด์ สถานนะของตัวกลาง สถานนะของสารในตวั กลาง
เนยแข็ง วุ้นแข็ง ของแขง็ ของเหลว
น้ำหมึก สที าบาน ของเหลว ของแข็ง
กาวลาเทก็ ซ์ นำ้ สลดั ของเหลว ของเหลว
ฝนุ่ ละอองในอากาศ แก๊ส ของแข็ง
โฟม ของแข็ง แก๊ส
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 127
86. สารละลาย (Solution) สารละลายในสถานะของเหลวจะไม่สามารถแยกสารทีผ่ สมกันอยู่ได้
ดว้ ยวธิ กี ารกรองและใชเ้ ซลโลเฟน เพราะอนภุ าคมขี นาดเล็กกว่า ซ่ึงมขี นาดเลก็ กวา่ รขู อง
กระดาษกรองและเซลโลเฟน
87. สรุปสมบัตขิ องสารแขวนลอย คอลลอยด์ และสารละลายได้ดังนี้
สมบัติ สารละลาย คอลลอยด์ สารแขวนลอย
1) ลกั ษณะของสาร ใส ขุ่น ทบึ แสง ข่นุ ทบึ แสง
ไมต่ กตะกอน หรอื โปร่งแสง เกดิ การตกตะกอน
ไม่ตกตะกอน
2) ขนาดของอนุภาค < cm cm cm
3) การกรอง อนุภาคผ่านทัง้ อนุภาคผ่านท้งั กระดาษ อนภุ าคไมผ่ า่ นทง้ั
กระดาษ กรองไม่ผ่านเซลโลเฟน กระดาษกรองและเซล
กรองและเซลโลเฟน โลเฟน
4) ปรากฎการณ์ ไมเ่ กิด เกดิ ไม่เกิด
ทินดอลล์
88. ประโยชนข์ องความรู้เกีย่ วกบั การตรวจสอบขนาดของเน้อื สาร เชน่ การใช้แผ่นกรองอากาศ
ในเครอื่ งปรบั อากาศเพ่ือกำจัดฝุ่นละอองออกจากอากาศ การกรองกากมะพรา้ วออกจากน้ำกะทิ
โดยใชก้ ระชอนกรองทำให้ได้น้ำกะทิ เปน็ ตน้
89. ความร้เู ก่ียวกบั การจัดกลุ่มสารรอบตวั สามารถนำไปใช้ประโยชนไ์ ด้ เชน่ การจัดสงิ่ ของ
เครอ่ื งใช้ หรือหนังสือต่าง ๆ ให้เปน็ ระเบียบเรยี บร้อยตามลกั ษณะการใชง้ าน ทำให้หยิบใช้ได้
สะดวก ถกู ต้อง และไมเ่ กิดการสูญหาย
90. ปรากฏการณ์ทนิ ดอลล์ (Tyndall Effect) หมายถึง ปรากฏการณ์ที่มองเหน็ ลำแสงใน
คอลลอยด์ เกิดเน่ืองจากผา่ นแสงเขา้ ไปในคอลลอยดแ์ ล้วแสงจะไปกระทบกับอนภุ าคของคอลลอยด์
ทำใหเ้ กิดการสะท้อนของแสงในทกุ ทิศทุกทาง เรยี กว่า เกดิ การกระเจิงแสง ทำใหม้ องเห็นแสง
ผา่ นคอลลอยด์ได้
91. ตัวอย่างปรากฏการณ์ทินดอลลใ์ นชีวิตประจำวัน เช่น การเหน็ ลำแสงในหอ้ งทมี่ ฝี ุ่นละออง
การเหน็ ลำแสงของไฟฉาย เปน็ ต้น
92. การแยกส่ิงเจอื ปนออกจากนำ้ สามารถทำไดห้ ลายวิธดี งั นี้
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
128 ค่มู อื เตรยี มสอบ
1) การทำให้ตกตะกอน เป็นวธิ ีการแยกสารแขวนลอยออกจากนำ้ โดยการเติมสาร
บางอยา่ งลงไปในน้ำ เช่น สารส้ม แล้วสารส้มจะทำใหส้ ารแขวนลอยรวมตวั กนั ทำใหม้ นี ้ำหนัก
เพ่ิมขน้ึ และเกดิ การตกตะกอนแยกออกจากน้ำ
2) การกรอง เป็นวิธกี ารแยกสารทไ่ี ม่ละลายน้ำ เชน่ สารแขวนลอย หรือของแขง็ ออก
จากนำ้ โดยใช้ภาชนะกรองท่ีมีรูขนาดเล็กกว่าขนาดอนุภาค ของสารแขวนลอย เชน่ กระดาษกรอง
หรอื เซลโลเฟน
3) การกล่ัน เปน็ วธิ ีการทำน้ำใหส้ ะอาดที่สุด แต่มีค่าใช้จา่ ยสูง
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 129
ตัวอย่างแนวข้อสอบ บทที่ 1
1. เราสามารถใช้สมบัติของสารเป็นเกณฑ์จำแนกชนดิ ของสารไดก้ ีล่ ักษณะ
ก. 2 ลักษณะ ข. 3 ลักษณะ
ค. 4 ลกั ษณะ ง. 5 ลกั ษณะ
2. การจำแนกสารจากลกั ษณะเนอ้ื สารเป็นเกณฑ์สามารถแบ่งสารออกเป็น 2 ประเภทคอื
ก. สารเนื้อเดียว และ สารบริสุทธิ์ ข. สารบริสทุ ธ์ิ และ สารเนอื้ ผสม
ค. สารเนอ้ื ผสม และ สารละลาย ง. สารเนื้อเดียว และ สารเน้อื ผสม
3. ขอ้ ใดต่อไปน้ีไมใ่ ช่สารเน้อื เดยี ว
ก. นำ้ ข. คอลลอยด์
ค. สารละลาย ง. สารแขวนลอย
4. สารใดบา้ งทเ่ี ปลี่ยนสกี ระดาษลติ มัสจากสแี ดงเปน็ สนี ำ้ เงิน
ก. นำ้ มะนาว นำ้ ส้มสายชู นำ้ อัดลม ข. น้ำสม้ สายชู ยาสฟี นั ผงซกั ฟอก
ค. ผงซกั ฟอก ยาสีฟนั เลือด ง. น้ำอดั ลม น้ำบรสิ ุทธิ์ เลอื ด
5. เกลือแกง 50 กรัม ละลายในน้ำ 200 กรัม มคี วามเข้มข้นรอ้ ยละเท่าไรโดยมวล
ก. ร้อยละ 20 โดยมวล ข. ร้อยละ 25 โดยมวล
ค. รอ้ ยละ 50 โดยมวล ง. ร้อยละ 75 โดยมวล
6. ขอ้ ใดอธิบายความหมายของอุณหภูมิได้ถูกต้อง
ก. ระดบั ความเย็นทป่ี รากฏในวตั ถุนน้ั ๆ
ข. ระดบั ความร้อนท่ปี รากฏในวัตถุนัน้ ๆ
ค. ปริมาณอากาศร้อนท่ีอยู่ในวัตถนุ ้นั ๆ
ง. ปริมาณอากาศเย็นท่ีอยู่ในวัตถนุ ้นั ๆ
7.ข้อใดอธิบายความหมายของจดุ เดือดไดถ้ กู ต้อง
ก. อณุ หภมู ขิ องไอน้ำขณะทสี่ ารนนั้ หลอมเหลว
ข. อณุ หภูมขิ องนำ้ ท่ีเปลยี่ นสถานะจากของเหลวกลายเป็นไอ
ค. อุณหภูมขิ องนำ้ ที่เปลย่ี นสถานะจากของแขง็ กลายเป็นของเหลว
ง. อุณหภมู ิของไอน้ำขณะท่ีน้ำกำลงั เดอื ดภายใต้ความดันบรรยากาศ
8.ขอ้ ใดคือหน่วยของอณุ หภมู ิที่มีใชก้ นั ในปจั จบุ ันนี้
ก. เซลเซยี ส - เคลวนิ - โรเมอร์
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
130 คมู่ อื เตรยี มสอบ
ข. ฟาเรนไฮต์ - เคลวิน - เซลเซียส
ค. โรเมอร์ - เซลเซียส - ฟาเรนไฮต์
ง. ถกู ทกุ ข้อ
9. นำ้ ทอี่ ย่ใู นอณุ หภมู ิ 150 องศาฟาเรนไฮต์, 150 องศาเคลวิน และ 150 องศาโรเมอรจ์ ะมี
สถานะของน้ำเปน็ อยา่ งไรตามลำดบั
ก. ของแข็ง, ของเหลว, ก๊าซ ข. ของเหลว, ของแขง็ , กา๊ ซ
ค. ก๊าซ, ก๊าซ, กา๊ ซ ง. ของเหลว, ของเหลว, ของเหลว
10.ณเดชไปเทย่ี วกบั ครอบครัวทอี่ อสเตรเลียแล้วมาบอกมารโิ อว่าทนี่ ่นั หนาวมากอุณหภมู ิ 283
องศาเคลวิน แตม่ าริโอบอกว่าทอี่ ติ าลีหนาวกวา่ เพราะอณุ หภมู เิ พยี ง 5 องศาเซลเซียส ถามวา่ ท่ี
ไหนหนาวกว่ากนั และต่างกันกอี่ งศาเซลเซียส
ก. ออสเตรเลยี หนาวกว่า อุณหภูมิต่างกนั 5 ข. อติ าลหี นาวกว่า อุณหภูมติ ่างกัน 5
ค. ออสเตรเลียหนาวกว่า อุณหภมู ติ า่ งกนั 10 ง. อิตาลีหนาวกวา่ อุณหภูมิต่างกัน 10
11. ข้อใดตรงกบั คำกล่าวที่ว่า "พลงั งานความร้อนจะมีการถ่ายโอนจากแหล่งพลงั งานสงู ไปยัง
แหล่งพลังงานตำ่ "
ก. น้ำแขง็ ท่วี างในห้องจะคายความร้อนออก ข. น้ำบนเตาไฟจะดูดความรอ้ น
ค. น้ำในช่องแชแ่ ข็งจะดดู ความรอ้ น ง. ไม่มีข้อใดผิด
12. ส่ิงแรกของการเปลยี่ นแปลงของสสารเมือ่ ได้รับความร้อน คอื ข้อใด
ก. สสารเปลย่ี นสถานะ ข. สสารขยายตวั
ค. อุณหภูมขิ องสสารเปลีย่ นแปลง ง. ขนาดเพมิ่ ข้ึน
13. เราร้สู ึกเยน็ เม่ือนำแอลกอฮอลม์ าถผู ิว เนอื่ งมาจากสาเหตุใด
ก. แอลกอฮอล์พาความร้อนเรว็
ข. แอลกอฮอล์นำความร้อนได้ดี
ค. แอลกอฮอล์ระเหยเร็วและดงึ ความร้อนทผ่ี ิวออกไปด้วย
ง. เกิดปฏกิ ริ ิยาระหวา่ งแอลกอฮอล์กับผิวหนงั ทำใหเ้ กดิ ความเยน็
14. น้ำแข็ง 100 กรัมเปลี่ยนสถานะเป็นไอนำ้ เดอื ดตอ้ งใช้พลงั งานความรอ้ นกี่แคลลอรต่ี อ่ กรมั
(ความร้อนแฝงของการหลอมเหลวเท่ากับ 80แคลลอรตี ่อกรมั , ความจุความรอ้ นจำเพาะของน้ำ
เท่ากับ 1 cal/g.Kและความรอ้ นแฝงของการกลายเปน็ ไอน้ำเทา่ กบั 540แคลลอรตี ่อกรัม)
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 131
ก. 540แคลลอรีตอ่ กรัม ข. 620แคลลอรีต่อกรมั
ค. 720แคลลอรีต่อกรมั ง. 840 แคลลอรีต่อกรัม
15.ตอ้ งใช้พลังงานเท่าไร เพื่อให้น้ำแขง็ มวล 500 กรมั กลายเป็นน้ำจนหมด (ความร้อนแฝงของ
การหลอมเหลวของน้ำแข็ง = 80 cal/g)
ก. 580 kcal ข. 40 kcal
ค. 420 kcal ง. 40 cal
16. พลังงานความร้อน 2,000 J สามารถทำใหน้ ำ้ ท่ีมีอณุ หภูมิ 80 องศาเซลเซียส มวลกก่ี รัม
กลายเป็นน้ำเดอื ดที่มีอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส (ค่าความจคุ วามรอ้ นของน้ำ = 4 J/g.K)
ก. 10 กรัม ข. 15 กรัม
ค. 20 กรมั ง. 25 กรมั
17.ตอ้ งใช้นำ้ มันกลี่ ิตร เพ่ือใชใ้ นการทำใหน้ ำ้ มวล 500 กรมั อณุ หภูมิ 30 องศาเซลเซียส เดือดที่
100 องศาเซลเซียส (ความจุความร้อนจำเพาะของนำ้ เทา่ กับ 1 cal/g.Kน้ำมัน 1 ลิตรมีพลังงาน
10,000 cal)
ก. ใชน้ ำ้ มัน 3.5 ลิตร ข. ใชน้ ำ้ มัน 4.5 ลติ ร
ค. ใช้น้ำมัน 5.5 ลติ ร ง. ใชน้ ำ้ มนั 6.5 ลติ ร
ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
132 คมู่ อื เตรยี มสอบ
บทที่ 2 สารละลาย
1. สารละลาย เป็นของผสมที่เปน็ สารเนื้อเดยี ว มอี งค์ประกอบของสารต้งั แต่ 2 ชนิดข้นึ ไป (มี
ขนาดอนภุ าคน้อยกว่า cm) ส่วนท่ีมปี ริมาณมากเรียกวา่ ตัวทำลาย สว่ นทมี่ ปี รมิ าณน้อย
เรียกว่าตวั ละลาย พบได้ท้ังสองสถานะของแข็ง ของเหลว และแกส๊
2. สารละลาย มสี มบตั ิดงั น้ี
1) เปน็ สารท่มี องเห็นเปน็ เน้ือเดยี ว มสี มบัติเหมือนกันทุกสว่ น
2) ประกอบด้วยตัวทำลาย (Solvent) และตวั ละลาย (Solute)
3) สารละลายเป็นการเปลยี่ นแปลงทางกายภาพของสาร โดยตวั ทำละลายและตวั ละลาย
ไมไ่ ด้ทำปฏกิ ริ ิยากนั
4) สามารถแยกตัวทำละลายและตัวละลายออกจากนั ไดโ้ ดยวธิ ที างภายภาพอยา่ งง่าย ๆ
เช่น การระเหย การตกผลึก เปน็ ตน้
5) สารละลายมีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวไม่คงท่ี
6) สารละลายมีได้ท้ัง 3 สถานะ คือ ของแขง็ เชน่ นาก (ทองแดงกับทองคำ) ของเหลว
เช่น นำ้ เกลือ (เกลือละลายในนำ้ ) และแก๊ส เช่น อากาศ (ออกซิเจน ไนโตรเจน) เป็นต้น
3. ถ้าสารสองชนดิ ที่ผสมกนั มสี ถานะต่างกนั สารที่มสี ถานะเดยี วกบั สารละลายจะเปน็ ตัวทำ
ละลาย สว่ นสารท่ีมสี ถานะต่างกับสารละลายจะเปน็ ตวั ละลาย เชน่ น้ำเกลือมีสถานะเปน็
ของเหลว ประกอบดว้ ย เกลือและนำ้ เกลือมสี ถานะเป็นของแข็งต่างจากสถานะของสารละลาย
ดังนีเ้ กลอื จึงเปน็ ตวั ละลาย และน้ำเปน็ ตัวทำละลาย เพราะมีสถานะเดยี วกบั สารละลาย
4. ถ้าสารละลายมีสถานะเดียวกนั กบั ตัวทำละลายและตัวละลาย สารที่มีปริมาณมากกวา่ จะเปน็
ตวั ทำละลาย ส่วนสารทีม่ ปี รมิ าณน้อยกวา่ จะเปน็ ตัวละลาย เช่น ทองเหลือง ประกอบด้วย
ทองแดง 60% และสังกะสี 40% ทองแดงมปี ริมาณมากกว่าสงั กะสี ดงั นนั้ ทองแดงเปน็ ตัวทำ
ละลาย ส่วนสังกะสีเป็นตวั ถูกละลาย
5. สารละลายในสถานะของเหลวโดยทั่วไป จะมนี ้ำเป็นตัวทำละลายเสมอ เชน่ นำ้ หวาน
นำ้ เกลือ เป็นต้น
6. สารละลายบางชนิดจะระบตุ ัวทำละลายได้ เช่นสารละลายไอโอดนี ไนเฮกเซน
ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 133
แสดงว่าเฮกเซนเป็นตวั ทำละลาย และไอโอดีนเป็นตัวละลาย
7. การระเหยแห้ง เปน็ วิธีการแยกสารโดยใชค้ วามร้อน ในกรณีที่ตัวละลายเป็นของแข็งละลายใน
ตวั ทำละลายทีเ่ ปน็ ของเหลว เหมาะกับตัวละลายท่เี ปน็ ของแขง็ ระเหยยาก ซึ่งเม่ือให้ความรอ้ นจน
ตัวทำละลายระเหยกลายเป็นไอหมด จะเหลือตวั ละลายของแข็งทง้ิ ไว้
8. การละลายได้ หมายถึง การที่สารมากกวา่ สองชนิดสามารถรวมเป็นเน้ือเดยี วกนั ได้
9. ความสามารถในการละลายของตวั ละลายในตวั ทำละลายใด ๆ มเี กณฑไ์ ดด้ งั น้ี
1) ละลายได้ดี หมายถงึ ตวั ละลายละลายได้มากกวา่ 1 กรัมในน้ำ 100 กรมั
2) ละลายได้เล็กนอ้ ย หมายถงึ ตัวละลายละลายได้มากกว่า 0.1 กรมั ในนำ้ 100 กรัม
แต่ไมเ่ กนิ 1 กรมั
3) ไม่ละลาย หมายถงึ ตวั ละลายละลายได้น้อยกวา่ 0.1 กรัม ในน้ำ 100 กรัม หรอื ไม่
ละลายเลย
10. ปัจจัยที่มีผลต่อการละลายของสาร
1) ชนดิ ของตัวละลายและตัวทำละลาย โดยตัวละลายชนิดเดยี วกนั จะละลายในตัวทำ
ละลายต่างชนิดกนั ไดต้ า่ งกนั และตวั ละลายตา่ งชนิดกันจะละลายในตัวทำละลายชนดิ เดียวกนั ได้
ต่างกนั
2) อตั ราสว่ นระหวา่ งปรมิ าณของตัวละลายและตวั ทำละลาย ถ้าใช้ตัวทำละลายนอ้ ยตัว
ละลายจะละลายได้น้อย ถ้าใช้ตวั ทำละลายมากตวั ละลายจะละลายไดม้ าก
3) อณุ หภูมิ โดยทว่ั ไปการละลายของสารจะเพิ่มข้ึนเม่ืออุณหภมู สิ งู ขน้ึ
4) ความดนั ความดนั จะมีผลต่อตัวละลายทเ่ี ปน็ แก๊สซ่งึ ทีค่ วามดนั สูงแกส๊ จะสามารถ
ละลายได้ดีขนึ้
11. การเตรียมสารละลายจากสารบรสิ ุทธิ์ ทำไดโ้ ดยนำสารบรสิ ทุ ธิ์ตามปรมิ าณที่ตอ้ งการมา
ละลายในตัวทำละลายปริมาณเลก็ น้อย แล้วปรับปรมิ าตรของสารละลายใหไ้ ด้ตามท่ตี ้องการ โดยใช้
อปุ กรณ์วดั ปริมาตร เช่น ขวดวัดปริมาตร กระบอกตวง เป็นต้น
12. การเตรียมสารละลายจากสารละลายเข้มข้น ทำได้โดยนำสารละลายเข้มข้นท่มี ีอยแู่ ล้วมาเติม
ตวั ทำละลายเพื่อทำใหส้ ารละลายเจือจางลง
13. ความรูเ้ กีย่ วกบั การเตรยี มสรละลายมปี ระโยชน์ในชีวติ ประจำวัน คือ
1) ใชใ้ นการเลอื กซ้ือเคร่ืองประดับพวกทองคำ ต้องเลือกทม่ี ีโลหะอ่ืนผสมอยู่บ้าง จงึ จะทำ
ให้เคร่ืองประดบั คงรูปอยู่ได้
2) ทองคำแท่งต้องเลือกซอื้ ทองคำบรสิ ุทธ์ิ
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
134 ค่มู อื เตรยี มสอบ
3) แอลกฮอลเ์ ช็ดแผล เตรียมจากเอทานอล 70%
4) นำ้ ผลไม้กระป๋อง ต้องเลือกซื้อกระป๋องท่มี ีปรมิ าณน้ำผลไม้มาก ๆ หรอื มีน้ำผลไม้
100%
14. ความเขม้ ข้นของสารละลาย หมายถงึ ค่าท่ีแสดงปริมาณของตัวละลายท่ีมีอยู่ในปริมาณของ
ตัวทำละลายจำนวนหนง่ึ หรอื ปริมาณของตวั ละลายที่มีอยู่ในปรมิ าณของสารละลายจำนวนหนึ่ง
15.ความเข้มข้นของสารละลายนยิ มบอกเปน็ ร้อยละหรือส่วนใน 100 สว่ น (pph) เป็นการบอกให้
ทราบว่ามตี ัวละลายอยู่ก่หี นว่ ยในสารละลาย 100 หนว่ ย เชน่ ร้อยละโดยมวลต่อมวล รอ้ ยละโดย
มวลต่อปรมิ าตรและรอ้ ยละโดยปริมาตรตอ่ ปริมาตร
16. ร้อยละโดยมวลตอ่ มวล ใชบ้ อกความเข้มขน้ ของสารละลายท่ีเกิดจากสารทเ่ี ปน็ ของแข็งละลาย
อย่ใู นตวั ทำละลายทีเ่ ป็นของแข็ง เช่น เหรยี ญบาทประกอบดว้ ยทองแดงร้อยละ 75 และนกิ เกิลร้อย
ละ 25 หมายความว่าในเหรียญบาทหนกั 100 กรัม มีทองแดง 75 กรมั ผสมอยู่กับนิกเกิล 25 กรมั
17. รอ้ ยละโดยมวลต่อปรมิ าตร ใชบ้ อกความเขม้ ข้นของสารละลายที่เกิดจากสารทเี่ ป็นของแขง็
ละลายอยู่ในตวั ทำละลายท่เี ป็นของเหลว เช่น สารละลายโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนตเข้มข้นร้อยละ
20 โดยมวลตอ่ ปริมาตร หมายความว่า สารละลายโพแทสเซียมเปอรแ์ มงกาเนต 100 ลูกบาศก์
เซนติเมตร มโี พแทสเซยี มเปอร์แมงกาเนตละลายอยู่ 20 กรัม
18.รอ้ ยละโดยปรมิ าตรต่อปริมาตร ใช้บอกความเข้มข้นของสารละลายทเี่ กดิ จากสารที่เป็นของเหลว
ละลายอยู่ในตัวทำลายทเี่ ป็นของเหลว และแกส๊ ละลายในแก๊ส เช่น สารละลายเอทานอลเข้มข้นร้อย
ละ 10 โดยปรมิ าตรต่อปริมาตร หมายความวา่ ในสารละลาย 100 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตรมีเอทานนอล
อยู่ 10 ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร
19. สารละลายที่มคี วามเขม้ ข้นนอ้ ย ๆ หรอื สารละลายท่ีมีตวั ละลายอยูน่ ้อยนยิ มบอกความเข้มข้น
เปน็ สว่ นในพนั ส่วน (ppt) ส่วนในลา้ นสว่ น (ppm) และส่วนในพันลา้ นส่วน (ppb)
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 135
20. สว่ นในพันส่วน(ppt) หมายถงึ ในสารละลาย 1,000 ส่วน มตี วั ละลายอยู่ 1 ส่วน เชน่ นำ้ ที่ใช้
เล้ียงปลาในบอ่ มีปริมาณเกลือ 0.5 ppt หมายความว่า ในน้ำ 1,000 สว่ น มเี กลอื ละลายอยู่ 0.5 สว่ น
21. ประเภทของการละลาย การละลายของสารจะมีการเปลยี่ นแปลงพลังงานซ่ึงมีอยู่ 2 แบบ คอื
การละลายประเภทคายความร้นและการละลายประเภทดดู ความรอ้ น
22. การละลายประเภทคายความร้อน คือ การท่ีสารเกดิ การละลายแล้วพลงั งานขณะทีต่ ัวละลาย
แยกตัวเปน็ อนุภาคเลก็ ๆ มีค่าน้อยกว่าพลังงานขณะทตี่ ัวละลายยึดเหนยี่ วกบั ตัวทำละลาย การ
ละลายประเภทนี้จะมกี ารปล่อยพลงั งานออกมาทำสารละลายมอี ุณหภูมิสูงขึ้น
23. ตวั อยา่ งการละลายประเภทคายความร้อน เช่น การเติมแคลเซยี มคลอไรด์ โซเดียมไฮดรอกไซด์
และจุนสสี ะตลุ งในนำ้ แลว้ ทำใหส้ ารละลายมีอุณหภูมสิ งู ขนึ้ (สารละลายแคลเซยี มคลอไรด์ เกิดจาก
การละลายแคลเซยี มคลอไรด์ในน้ำ เมื่อใชม้ ือจับขา้ งภาชนะท่บี รรจุสารละลายจะพบว่าภาชนะน้นั
ร้อนขน้ึ การท่ีภาชนะรอ้ นเนื่องจากมีการปล่อยพลงั งานความรอ้ นออกมาขณะเกดิ การละลาย
24. การละลายประเภทดูดความร้อน คือ การท่สี ารเกิดการละลายแลว้ พลังงานขณะท่ีตัวละลาย
แยกตัวเป็นอนภุ าคเล็ก ๆ มีค่ามากกวา่ พลงั งานขณะท่ีตัวละลายยึดเหนย่ี วกบั ตัวทำละลาย การ
ละลายประเภทน้ีจะมีการดูดพลงั งาน สารละลายจงึ มีอณุ หภูมิตำ่ ลง
25. ตัวอยา่ งการละลายประเภทดูดความร้อน เช่น การเติมแอมโมเนียมไนเตรต โซเดียมไนเตรต
โซเดยี มคลอไรด์ และแอมโมเนยี มคลอไรดล์ งในแมน่ ำ้ แลว้ ทำให้สารละลายมีอุณหภูมิลดลง
26. ปจั จัยท่ีมผี ลต่อการละลายของสาร
1) ชนดิ ของสารที่เป็นตวั ละลายและตัวทำละลาย โดยสารต่างชนดิ กันจะละลายในตวั ทำ
ละลายชนิดเดียวกนั ได้ไม่เท่ากนั
2) อตั ราส่วนระหว่างปริมาณของตวั ละลายและตวั ทำละลายท่ใี ช้ ถ้าใช้ตวั ทำละลายมาก ตวั
ละลายจะละลายไดม้ าก ถ้าใช้ตัวทำละลายนอ้ ย ตวั ละลายจะละลายได้น้อย
3) อณุ หภมู ิ โดยทัว่ ไปการละลายของสารจะเพิ่มขน้ึ เม่ืออุณหภูมิสูงขน้ึ ยกเว้นตัวละลายท่ี
เป็นแก๊สจะละลายไดน้ ้อยลงเม่ืออณุ หภูมสิ งู ข้นึ และสารแต่ละชนิดจะละลายได้ดีท่ีอณุ หภมู ติ า่ งกนั
4) ความดนั บรรยากาศ มีผลต่อตวั ละลายท่ีมีสถานะเป็นแก๊สโดยทค่ี วามดนั สงู ความสามารถ
ในการละลายของแกส๊ จะดีข้ึน
27. การศึกษาการเปลีย่ นแปลงของสารในปฏิกิริยาเคมี จะตอ้ งกำหนดขอบเขตของการศกึ ษาซ่ึงมี
องค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วน คอื
1) ระบบ (System)หมายถงึ ส่วนที่อยู่ภายในขอบเขตของการศกึ ษาซึ่งรวมทงั้ ก่อนการ
เปลย่ี นแปลงและหลังการเปลี่ยนแปลง
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
136 คมู่ อื เตรยี มสอบ
2) ส่ิงแวดล้อม (Surrounding)หมายถงึ ส่วนทอ่ี ยนู่ อกขอบเขตของการศึกษา หรือสว่ นท่ี
ไมเ่ กี่ยวข้องกบั การเปลี่ยนแปลงในสง่ิ ทีท่ ำการศึกษา เช่น ภาชนะ อุปกรณ์ หรอื เคร่ืองมือทใ่ี ช้สำหรับ
ชัง่ ตวง วดั เป็นต้น
28. การกำหนดว่าระบบจะประกอบด้วยสิ่งใดขน้ึ อยูก่ บั จุดมงุ่ หมายของการศึกษา บางกรณีอาจ
จดั ให้ภาชนะหรอื อากาศภายในภาชนะเปน็ สว่ นหนง่ึ ของระบบด้วยก็ได้ถ้าสิง่ เหล่านน้ั มผี ลตอ่ การ
เปลย่ี นแปลงสมบตั ิของสาร เรียกปัจจยั ท่มี ีผลต่อสมบตั ขิ องระบบว่า ภาวะของระบบ
29. ระบบแบ่งเปน็ 2 ประเภท คือ
1) ระบบเปดิ หมายถึง ระบบทม่ี กี ารถา่ ยเทมวลสารระหว่างสิง่ แวดลอ้ มโดยเมื่อเกิดการ
เปล่ียนแปลงแลว้ มวลของสารในระบบเปลี่ยนแปลงไป
2) ระบบปดิ หมายถึง ระบบที่ไม่มกี ารถ่ายเทมวลสารกบั สิ่งแวดลอ้ มโดยเม่ือเกดิ การ
เปลยี่ นแปลงแลว้ มวลของสารคงที่
30. การพจิ ารณาระบบว่าเป็นระบบเปิดหรือระบบปดิ ต้องพจิ ารณาท่มี วลของสารเปน็ หลักว่ามีการ
เปล่ยี นแปลงหรือไม่ ถา้ หากสารทำปฏกิ ิรยิ ากันแลว้ ไม่มีแก๊สเกดิ ขึ้นและทำการทดลองในภาชนะเปดิ
ก็จดั วา่ เป็นระบบปิด
31. สภาพละลายได้ หมายถงึ ปรมิ าณสูงสดุ ของตัวละลายในสารละลายอิม่ ตัว ณ อณุ หภูมินนั้
32. ประโยชนข์ องหลักการเกีย่ วกับการละลายของสาร สามารถนำไปใชใ้ นการแยกสารที่ผสมกัน
และอยู่ในรูปสารละลายออกจากกันได้ เช่น แยกสารที่ละลายไดน้ ้อยลงทีอ่ ุณหภูมติ ่ำออกจาก
สารละลายโดยอุณหภูมิของสารละลายลงจะทำใหต้ ัวละลายส่วนหนึ่งแยกตวั ออกมา
33. การแยกสารโดยใชห้ ลกั การการละลายของสาร เชน่ สารผสมระหว่างโพแทสเซยี มไนเตรตและ
โซเดียมไนเตรต ถ้าตอ้ งการแยกสารผสมนีอ้ อกจากกันก็ทำได้โดยนำของผสมไปละลายในนำ้ ท่ี
อณุ หภมู ิ 60 องศาเซลเซียส สารทงั้ สองชนิดจะละลายไดห้ มด แต่เมอ่ื ลดอณุ หภมู ลิ งจนถงึ 20 องศา
เซลเซยี ส จะพบว่ามีโพแทสเซียมไนเตรตสว่ นหนงึ่ แยกตวั ออกมา
34. ประเภทของสารละลาย จำแนกตามความเข้มขน้ ของสารละลายได้ 2 ประเภท คือ
1) สารละลายเข้มข้น หมายถึง สารละลายท่ีมีปรมิ าณตวั ละลายอยมู่ ากเม่อื เทียบกับปรมิ าณ
ของตัวทำละลาย
2) สารละลายเจอื จาง หมายถึง สารละลายทีม่ ปี รมิ าณตัวละลายอยนู่ อ้ ยเมือ่ เทยี บกับ
ปริมาณของตวั ทำละลาย
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 137
35. สารละลายอ่ิมตัว หมายถงึ สารละลายทีม่ ีตวั ละลายละลายอยมู่ ากท่สี ุด ณ อณุ หภมู ิน้นั ในหน่งึ
หน่วยปริมาตรของตวั ทำละลาย และถา้ เพ่มิ ตวั ละลายเข้าไปอีกเพยี งเล็กน้อยก็จะไม่สามารถละลาย
ไดอ้ ีกเว้นแต่จะมีการเพิม่ อุณหภูมิ
36. สารละลายไม่อิม่ ตัว หมายถงึ สารละลายที่มีตวั ละลายละลายอยูน่ ้อยกวา่ ท่ีควรจะละลายไดใ้ น
หน่ึงหน่วยปริมาตรของตวั ทำละลาย และถ้าเพิม่ ตวั ละลายเข้าไปอีกกจ็ ะสามารถละลายได้อีก
37. การตกผลึก เปน็ กระบวนการท่ีตัวละลายทเี่ ป็นสารบริสทุ ธ์แิ ยกตวั ออกจากสารละลายอม่ิ ตัวใน
รปู ของของแขง็ ทเี่ รยี กว่า ผลกึ โดยการทำใหส้ ารละลายอ่ิมตัวที่อณุ หภมู สิ งู แลว้ ปลอ่ ยให้สารละลาย
เย็นตัวลง ตวั ละลายกจ็ ะตกผลึกออกมา
38. ผลกึ คอื สารบรสิ ทุ ธิ์ท่ปี ระกอบด้วยสารเพยี งชนดิ เดยี ว เปน็ ของแข็งรูปร่างเฉพาะ เป็นรปู ทรง
เรขาคณติ มเี หล่ียม มมี ุม และมีผิวหน้าเรียบ ผลกึ ของสารต่างชนิดกันจะมีรูปร่างแตกต่างกนั เช่น
1) ผลกึ เกลือแกง มีรูปรา่ งเป็นพรี ะมิดฐานสเี่ หล่ียม 2 รปู ประกับกนั ขนุ่ ขาว
2) ผลึกสารสม้ มีรปู ร่างเปน็ พีระมิดฐานสเ่ี หลีย่ ม 2 รปู ประกบั กนั ใส แวววาว
3) ผลึกนำ้ ตาลทราย มรี ปู รา่ งเปน็ ส่เี หลีย่ มลูกบาศก์ ใส แวววาว
39. กระบวนการเกิดผลกึ ท่ีเกดิ ข้นึ ในธรรมชาติ เช่น การเกิดผลึกแร่ในหินอัคนี การเกดิ ผลึกเกลอื ใน
นาเกลอื
40. ประโยชนจ์ ากผลกึ
1) ผลึกนำ้ ตาลทราย ใชใ้ นครวั เรือน อตุ สาหกรรมอาหาร เปน็ ต้น
2) ผลกึ เกลือแกง ใช้ในครวั เรอื น อตุ สาหกรรมเคมี เป็นตน้
3) ผลึกสารส้ม ใชต้ กตะกอนน้ำประปา อตุ สาหกรรมเส้นใย เป็นตน้
4) ผลกึ ซิลิคอน ใชท้ ำโซลารเ์ ซลล์ อปุ กรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
5) ผลกึ เพชร ใช้ทำเคร่ืองมือในการตดั วสั ดุ
6) ผลึกควอตซ์ ใชท้ ำส่วนประกอบในนาฬิกา
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
138 ค่มู อื เตรยี มสอบ
ตัวอยา่ งแนวข้อสอบบทท่ี 2
1. ขอ้ ใดกล่าวไม่ถูกต้องเก่ียวกบั สารละลาย
ก. มอี ัตราของสารผสมคงท่ี
ข.เป็นสารทีม่ องเห็นเปน็ เนือ้ เดียวกนั
ค.เปน็ การรวมกันของสารตั้งแต่ 2 ชนิดข้นึ ไป
ง.สามารถแยกส่วนประกอบได้โดยวธิ ีทางกายภาพ
2.สารชนิดใดท่สี ามารถทำละลายไดใ้ นตวั ทำละลายต่างจากข้ออน่ื
ก. เกลือแกง ข. น้ำมนั พชื
ค. นำ้ ตาลทราย ง. สผี สมอาหาร
3. ขอ้ ใดจัดเป็นสารละลาย
ก. อากาศ ข. ทองคำ
ค. น้ำส้มสายชู ง. ซอส
4. ขอ้ ใดกลา่ วถกู ต้องเกยี่ วกับสารละลายท่ีมสี ่วนประกอบ 2 ชนดิ สถานะต่างกนั ผสมกัน
ก. สารท่ีมีปรมิ ารมากว่าจะเป็นตัวทำละลาย
ข. สารทีม่ ปี ระมาณน้อยกวา่ เปน็ ตัวทำละลาย
ค. สารท่มี สี ถานะเดียวกับสารละลายจะเป็นตวั ทำละลาย
ง. สารท่ีมสี ถานะต่างกับสารละลายจะเป็นตัวทำละลาย
5. วิธีทดสอบคอลลอยดท์ ีเ่ ป็นของเหลวทสี่ ะดวกและดที ่ีสดุ คือขอ้ ใด
ก. ดูดว้ ยตาเปล่า ข. เติมสารสม้ แล้วดูการตกตะกอน
ค. ฉายลำแสงผา่ นแลว้ ดูการกระเจงิ แสง ง. กรองอนุภาคสารดว้ ยกระดาษกรองและเซลโลเฟน
6. นำ้ อดั ลมเปน็ สารละลายที่เกิดจากข้อใด
ก. ของเหลวละลายในแกส๊ ข. แก๊สละลายในของเหลว
ค. ของแข็งละลายในของเหลว ง. ของเหลวละลายในของเหลว
7. เมือ่ ใส่สาร ก ลงไปในสาร ข แลว้ เขย่าทิ้งไว้สกั คร่ปู รากฎวา่ สาร ข หายไป ดังนนั้ สาร ก คอื
ก. ตัวถกู ละลาย ข. ตัวทำละลาย
ค. สารละลาย ง. ตัวหลอมละลาย
ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 139
บทท่ี 3 สารละลายกรดและเบส
1.สารละลายจำแนกโดยอาศยั สมบัตกิ ารเปลี่ยนสขี องกระดาษลิตมสั เป็นเกณฑ์ได้ 3 ประเภท คือ
1) สารท่ีมสี มบัติเป็นกรด จะเปลยี่ นสกี ระดาษลิตมสั สีน้ำเงินเป็นสแี ดง
2) สารทมี่ ีสมบัตเิ ปน็ เบส จะเปลีย่ นสกี ระดาษลิตมสั สแี ดงเป็นสนี ้ำเงนิ
3) สารทม่ี ีสมบัตเิ ป็นกลาง ไม่เปลยี่ นสีของกระดาษลิตมัสท้ังสองสี
2. กรด (Acid) หมายถงึ สารประกอบที่มีธาตุไฮโดรเจนเปน็ องค์ประกอบเม่ือละลายน้ำจะแตกตัวให้
ไฮโดรเจนไอออน ออกมา
3. กรดอ่อน หมายถงึ สารทลี่ ะลายน้ำแลว้ แตกตัวให้ไฮโดรเนียมไอออนน้อย เชน่ กรดแอซตี ิก กรดซิ
ตรกิ กรดไฮโดรซัลฟวิ รกิ เปน็ ตน้
4. กรดแก่ หมายถงึ สารทล่ี ะลายน้ำแลว้ แตกตัวใหไ้ ฮโดรเนียมไอออนมากหรอื แตกตัวได้หมด 100%
เชน่ กรดไฮโดรคลอริก กรดซัลฟวิ รกิ เป็นตน้
5. สมบัติทั่วไปของสารละลายกรด
1) มีรสเปรีย้ ว
2) เปลีย่ นสีกระดาษลิตมสั จากสีน้ำเงินเปน็ สีแดง
3) ไมเ่ ปลย่ี นสีของสารละลายฟนี อล์ฟทาลนี
4) นำไฟฟา้ ได้
5) ทำปฏิกริ ยิ ากบั โลหะและสารประกอบคาร์บอเนตไดฟ้ องแกส๊ และมคี วามร้อนเกิดข้ึน และ
ทำให้โลหะและสารประกอบคารบ์ อเนตผุกร่อน
6. กรดทำปฏิกิรยิ ากับโลหะทุกชนิดไดแ้ กส๊ ไฮโดรเจน และทำใหโ้ ลหะผุกรอ่ น
7. โลหะทองคำไมท่ ำปฏิกริ ยิ ากับกรดธรรมดา แตจ่ ะทำปฏกิ ริ ิยากับกรดกดั ทอง (กรดไนตรกิ เข้มข้น
1 ส่วน ผสมกับกรดไฮโดรคลอรกิ เข้มข้น 3 ส่วน) ดงั ปฏิกริ ิยา
Zn + 2HCI +
8. กรดทำปฏกิ ริ ิยากับเกล็ดหินปนู หรอื สารประกอบคาร์บอเนต จะไดแ้ กส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ดงั
ปฏกิ ิริยา
+ ++
9. ภาชนะทีเ่ ก็บสารละลายกรดควรทำจากวสั ดทุ ไี่ ม่ทำปฏิกริ ยิ ากับกรด เชน่ แก้ว พลาสติกพวกพอ
ลเิ อทิลีน เปน็ ตน้
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
140 คมู่ อื เตรยี มสอบ
10. สารละลายกรด จำแนกตามแหลง่ ท่มี าได้ 2 ประเภท คือ
1) กรดอินทรยี ์ ได้จากพืชหรือจากการสงั เคราะหข์ ้นึ มา เชน่ กรดแอซีตกิ กรดซิตริก
2) กรดอนินทรยี ์ ได้จากธาตุ เช่น กรดไฮโดรคลอริก กรดซัลฟิวริก ไซด์ไอออน
11. เบส (Base)หมายถึง สารประกอบท่ีละลายน้ำแล้วแตกตวั ให้ไฮดรอกไซดไ์ อออน
12. เบสออ่ น หมายถงึ สารที่ละลายนำ้ แลว้ แตกตัวให้ไฮดรอกไซด์ไอออนได้น้อย เช่น แอมโมเนีย
13. เบสแก่ หมายถึง สารทีล่ ะลายน้ำแล้วแตกตวั ให้ไฮดรอกไซด์ไออนไดม้ ากหรือ 100% เช่น
โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์
14. สมบัตทิ ั่วไปของสารละลายเบส
1) มรี สฝาด ล่ืนมอื คลา้ ยสบู่
2) เปลย่ี นสกี ระดาษลิตมัสสีแดงเป็นสีน้ำเงิน
3) เปลี่ยนสีสารละลายฟีนอล์ฟทาลีนจากไม่มีสีเปน็ สชี มพเู ข้ม
4) นำไฟฟ้าได้
5) ไม่ทำปฏิกริ ยิ ากับโลหะ ยกเวน้ อะลมู ิเนียมและสงั กะสี
6) ทำปฏกิ ิริยากบั เกลือแอมโมเนยี ได้แกส๊ แอมโมเนยี นำ้ และเกลือ
7) รวมกับกรดไดเ้ กลือกบั น้ำ หรอื เกลืออย่างเดยี ว
15. โลหะบางชนิดสามารถทำปฏิกริ ยิ ากบั สารละลายเบสแลว้ ไดแ้ ก๊สไฮโดรเจน เชน่ อะลูมิเนียม
ดงั ปฏกิ ิรยิ า
++ +
16. การระบุความเป็นกรด – เบสของสารละลาย ระบุเป็นค่า pHซงึ่ มีความสมั พนั ธ์กบั ความเข้มข้น
ของไฮโดรเจนที่แตกตวั มาจากสารละลายกรด
17. สารละลายโดยทั่วไปคา่ pH จะอย่ใู นชว่ ง 0-14
1) สารละลายท่ีมี pH ตำ่ กวา่ 7 มสี มบัติเป็นกรด
2) สารละลายทม่ี ีค่า pH มากกวา่ 7 มีสมบัติเป็นเบส
3) สารละลายท่ีมีคา่ pH เท่ากบั 7 มีสมบตั เิ ปน็ กลาง
18. ความสัมพนั ธ์ระหว่างความเข้มข้นของสารละลายกับปรมิ าณความเข้มข้นของไฮโดรเนยี ม
ไอออน และค่า pH
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 141
1) สารละลายกรดทมี่ คี วามเข้มขน้ มาก จะมีความเข้มขน้ ของไฮโดรเนยี มไอออนมาก ค่า pH
น้อย
2) สารละลายเบสทม่ี ีความเข้มขน้ มาก จะมีความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออนนอ้ ย คา่ pH
สูง
19. การวัดคา่ ความเปน็ กรด – เบสของสารละลาย วัดได้โดยใชอ้ ินดิเคเตอร์สำหรบั กรด-เบส และ
ใชม้ าตรความเป็นกรดและเบสหรือเครอ่ื งพีเอชมเิ ตอร์ (pH meter)
20. อนิ ดเิ คเตอร์(Indicator) เป็นสารอนิ ทรยี ป์ ระเภทหน่ึงเม่ืออยใู่ นสารละลายที่มีความเป็นกรด-
เบสตา่ งกนั สขี องอนิ ดิเคเตอร์จะเปลี่ยนไปได้ และมีผลทำให้สขี องสารละลายเปลย่ี นไปด้วย
21. อินดิเคเตอร์มีหลายชนดิ เชน่ เมทิลออเรนจเ์ มทลิ เรด ลติ มัส บรอมไทมอลบลูฟีนอลเรดฟีนอล์ฟ
ทาลนี เป็นตน้
22. อนิ ดิเคเตอรแ์ ตล่ ะชนิดจะเปลย่ี นสที ่ี pHช่วงใดชว่ งหน่งึ เท่านน้ั และอินดิเคเตอร์แต่ละชนิดจะ
เปลี่ยนสีท่ี pH ต่าง ๆ กนั การใช้อินดเิ คเตอรเ์ พียงชนิดเดียวตรวจสอบความเปน็ กรด-เบสของ
สารละลายจงึ บอกค่าได้เปน็ ช่วงของ pH เทา่ นั้น
23. การใชอ้ นิ ดเิ คเตอรบ์ อกค่า pH ของสารละลาย ทำได้โดยสังเกตสีท่เี กิดขนึ้ เม่ือเติมอินดิเคเตอร์
ลงในสารละลาย แลว้ เปรยี บเทยี บกบั สหี รือชว่ งเปลยี่ นสีท่ีเป็นมาตรฐาน
24.ยูนิเวอรซ์ ัลอินดเิ คเตอร์(Universal Indicator)เป็นอินดิเคเตอรท์ เ่ี ตรยี มไดจ้ ากการนำเอาอนิ ดิ
เคเตอรห์ ลาย ๆ ชนดิ ท่ีไม่ทำปฏกิ ริ ยิ ากันมาผสมกันในอัตราส่วนที่เหมาะสม ยนู เิ วอรซ์ ลั อินดิเคเตอร์มี
ท้งั ในรปู สารละลายและกระดาษ เม่ือนำมาวดั คา่ pH โดยเทียบสที ่เี ปล่ียนกับสีมาตรฐาน ค่า pH ของ
สารละลายท่วี ดั ไดจ้ ะมีชว่ งที่แคบขนึ้
25. พีเอชมิเตอร์ (pH Meter)เปน็ เคร่อื งมือที่ใช้วัดคา่ pH ของสารละลายโดยบอกคา่ pH เปน็ ตวั
เลขทหี่ น้าปัด คา่ ที่ไดจ้ ึงมีความละเอียดและใกลเ้ คยี งความจรงิ มากทีส่ ุด
26. ความกว้างของช่วง pHมีความสัมพันธ์กบั ชนิดของสาร เชน่ นำ้ ปสั สาวะมชี ่วงกวา้ งของ pH
ตั้งแต่ 5.5 – 7.0 ซ่ึงอาจมีสาเหตมุ าจากอาหารหรอื ยาที่กนิ เช่น กนิ อาหารทีม่ สี ภาพเป็นกรด (น้ำส้ม
นำ้ อัดลม น้ำมะนาว กาแฟ) หรือยาแกป้ วดพวกแอสไพริน วิตามินซี กจ็ ะทำให้ปัสสาวะมี pH เป็น
กรดได้ แต่ถา้ กินอาหารทเ่ี ป็นเบส (ไข่แดง ผกั กระถิน สะตอ) กจ็ ะทำใหป้ ัสสาวะเป็นเบสได้
27. การเตมิ สารละลายท่ีมีสมบตั ิตรงกนั ข้ามจะทำให้ความเป็นกรด-เบสของสารละลาย
เปลีย่ นแปลง ถา้ สารละลายท่เี ตรยี มไว้มีความเขม้ ขน้ แนน่ อน การผสมสารละลายกรดและสารละลาย
เบสทม่ี คี วามเขม้ ข้นเทา่ กันและมปี รมิ าตรเทา่ กันจะไดส้ ารละลายทีเ่ ปน็ กลางพอดี
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
142 ค่มู อื เตรยี มสอบ
28.ยาลดกรดทุกชนิดมีสมบัตเิ ป็นเบส ทำให้ลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหารได้ และยาลดกรดท่ี
ดีจะตอ้ งทำให้ pH ของสารละลายเปน็ กลาง
29. สารทำความสะอาดสว่ นใหญม่ ีสมบัตเิ ป็นเบส แต่มี pH ไมเ่ กิน 8
30. สารทำความสะอาดส่วนใหญ่มสี ารลดความตึงผิวประเภทแอนไอออนกิ (Anioic Surfactant)
ซงึ่ พบในแชมพูและครีมล้างหน้า ส่วนสารทำความสะอาดในสบูจ่ ะเปน็ โซเดยี มสเตยี เรต(Sodium
Stearate)
31. ฝนกรด มคี ่า pH นอ้ ยกว่า 5.6 เกดิ จากนำ้ ฝนรวมตวั กบั แกส๊ บางชนิดในอากาศ เช่น แกส๊
คารบ์ อนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ทำให้เกดิ สารละลายทมี่ ีสมบตั ิเป็นกรด สว่ นใหญเ่ กิดขนึ้ ใน
เขตอตุ สาหกรรมที่มโี รงงานปลอ่ ยแกส๊ เหล่าน้ีออกสู่บรรยากาศ
32. ผลกระทบของฝนกรดต่อสภาพแวดล้อม คือ ฝนกรดจะกัดกร่อนสิง่ ก่อสร้างทีท่ ำจากหนิ อ่อน
หินปูน หรอื โลหะชนิดต่าง ๆ ทำให้เกิดการสึกกรอ่ น ผุเรว็ กวา่ ที่ควร ทำลายสารคลอโรฟิลล์ท่ีอยใู่ น
ใบไม้ ถ้าฝนกรดสะสมในแหล่งน้ำมาก ๆ จะทำให้สตั วน์ ำ้ ตาย และถา้ สะสมอย่ใู นดนิ จะทำใหด้ ินมี
สมบตั ิเป็นกรดไม่เหมาะต่อการเจรญิ ของพชื
33. วิธีปฐมพยาบาลเบื้องตน้ เม่ือสารเคมีถูกผิวหนัง คอื ให้ล้างบริเวณน้ันดว้ ยนำ้ มาก ๆ ทันที โดย
ใหน้ ้ำไหลผา่ นอย่างนอ้ ย 20 นาที
1) ถ้าสารเปน็ กรดให้ล้างตามดว้ ยเบสอ่อน เชน่ สารละลายโซเดยี มไฮโดรเจนคารบ์ อเนต
เข้มข้น 10% แลว้ ทาดว้ ยครีมแมกนีเซียกลเี ซอรอล(Magnesia Glyceral paste)
2) ถา้ สารเป็นเบสใหล้ า้ งตามด้วยสารละลายกรดอ่อน เช่น ละลายกรดแอซีติก เข้มขน้ 10%
แลว้ ทาด้วยครมี แมกนีเซียกลีเซอรอล
34. ถา้ กรดหรอื เบสเข้าตา ใหร้ ีบล้างตาด้วยนำ้ ปรมิ าณมาก ๆ ทนั ที และกลอกตาในน้ำประมาณ
30 นาที
35. ถ้ากรดหรือเบสเขา้ ปากใหบ้ ว้ นทิ้งทนั ทแี ล้วใชน้ ำ้ บ้วนปากหลาย ๆ ครั้ง
36. ถ้ากลนื กรดหรือเบส ใหด้ ่ืมน้ำตามเข้าไปมาก ๆ แลว้ จึงดื่มสารทีท่ ำให้สะเทนิ แต่อยา่ ใชส้ ารที่ทำ
ใหอ้ าเจยี น ดังนี้
1) ถ้าสารเป็นกรด ใหด้ ืม่ นมผสมแมกนเี ซยี มไฮดรอกไซด์
2) ถ้าสารเป็นเบส ให้ด่มื น้ำมะนาว
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 143
37. เคร่ืองหมายอนั ตราย เป็นเครื่องหมายทแ่ี สดงความเป็นอันตรายของสารเคมี เป็นระบบ
มาตรฐานทกี่ ำหนดโดยองค์การสหประชาชาติ เพอ่ื ให้ทัว่ โลกจัดกลุม่ สารเคมี โดยคำนึงถงึ อันตราย
ด้านกายภาพ ดา้ นสุขภาพและด้านสิ่งแวดลอ้ ม
ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
144 คมู่ อื เตรยี มสอบ
ตวั อย่างแนวข้อสอบบทท่ี 3
1. สารในขอ้ ใดมีสมบตั คิ วามเป็นกรด-เบสแตกต่างจากข้ออ่นื
ก.แอซีติก ข.ซัลฟิวริก
ค.ไฮโดรคลอริก ง. โซเดียมไฮดรอกไซด์
2.สารละลายใดมีความเปน็ กรดมากที่สดุ
ก. สารละลายกรดไฮโดรคลอริกเขม้ ขน้ 10-5โมล/ลิตร
ข. สารละลายกรดไฮโดรเนียมไอออน 10-2โมล/ลติ ร
ค. สารละลาย pH 3
ง. สารละลาย pH 4
3. ข้อใดต่อไปนี้เป็นสมบัติของกรด
ก. มรี สเปรี้ยว
ข. ทำปฏิกิรยิ ากับหินปนู เกดิ ก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์
ค. ทำปฏกิ ริ ยิ ากบั โลหะเกดิ ก๊าซไฮโดรเจน
ง. ถกู ทุกขอ้
4. เมอื่ หยดสารละลายชนิดหน่งึ ปรากฏว่าเปล่ียนสีกระดาษลิตมสั จากสีนำเงนิ เปน็ สแี ดง
สารละลายมีสมบัตอิ ยา่ งไร
ก. กรด ข. เบส
ค. กลาง ง. ขอ้ มูลไม่เพียงพอ
5. การทำปฏิกิริยาของเบสกันสารใดทเ่ี กิดสารคล้ายสบู่
ก. เบสกบั แอมโมเนยี มไนเตรต ข. เบสกบั นำ้ มันพืชหรือไขมนั สตั ว์
ค. เบสกับกรดเกลือ ง. เบสกบั ช้นิ อะลมู ิเนยี ม
6. ถา้ สารชนิดหน่งึ มสี มบตั เิ ปน็ กลาง จะมคี า่ pH เท่าไร
ก. น้อยกว่า7 ข. มากกวา่ 7
ค. เทา่ กับ 7 ง. ระหวา่ ง 5-6
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 145
7. ระดับความเปน็ กรดเพมิ่ ข้ึนค่าpHจะมีคา่ เพมิ่ ข้ึนดว้ ย
ก.ใช่ เนื่องจากระดบั ความเป็นกรดแปรผันตรงกนั กบั ค่าpH
ข.ใช่ เนื่องจากระดบั ความเป็นกรดแปรผกผนั ตรงกนั กับค่าpH
ค.ไม่ใช่ เนอ่ื งจากระดบั ความเปน็ กรดกบั คา่ pH คงที่
ง.ไม่ใช่ เนื่องจากระดับความเปน็ กรดแปรผกผันตรงกันกบั ค่าpH
8. เมื่อนำผงซักฟอกมาละลายมาละลายในนำ้ แลว้ นำไปทดสอบด้วยกระดาษลิตมสั จะได้ผล
เหมือนกบั การทดสอบสารใด
ก. เกลือแกง ข. นำ้ เชื่อม
ค. น้ำปนู ใส ง. น้ำอดั ลม
9. ขอ้ ใดคือผลิตภัณฑท์ ี่ไดจ้ ากการผสมระหวา่ งกรดกับโลหะ
ก. โลหะ ข. กรดแก่
ค. เกลอื ง. เกลอื แก๊ส น้ำ
10. เมื่อเกิดปฏิกริ ยิ าการสะเทนิ ระหว่างกรดกบั เบสจะเกิดสารในข้อใด
ก. เกลอื กบั แกส๊
ข. เกลือ กบั นำ้
ค. เบสกบั น้ำ
ง. แก๊ส
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
146 ค่มู อื เตรยี มสอบ
บทที่ 4 การจำแนกสาร
1. การแยกสารผสมออกจากกนั เพื่อใหส้ ารบริสทุ ธ์ิมหี ลายวิธขี ้นึ อยู่กบั สมบตั เิ ฉพาะตัวของสาร และ
ชนิดของสารทผ่ี สมกนั
2. การแยกสารเน้อื ผสม สามารถแยกออกจากกนั ได้ง่าย ๆ โดยวิธที างกายภาพ สารทแ่ี ยกไดจ้ ะมี
สมบัติเหมือนเดิม การแยกสารโดยวิธีน้ี เช่น การกรอง การใช้อำนาจแม่เหล็ก การใช้มือหยบิ ออก
การรอ่ นดว้ ยตะแกรง การใชก้ รวยแยก และการระเหดิ เปน็ ตน้
3. การแยกสารเนือ้ เดยี ว ทำไดโ้ ดยวธิ กี ารระเหยแหง้ การสกดั ดว้ ยตัวทำละลาย การกล่ัน และโคร
มาโทกราฟี
4. การกรอง เป็นวิธกี ารแยกสารทม่ี ีขนาดอนภุ าคไมเ่ ท่ากันออกจากกันหรอื แยกสารเน้ือผสมท่ไี ม่
ละลายในนำ้ อออกจากน้ำหรือของเหลว เช่น การกรองกากมะพรา้ วออกจากนำ้ กะทิ การกรองสาร
แขวนลอยออกจากน้ำเปน็ ตน้ การกรองสารจะต้องเลือกวัสดสุ ำหรบั กรองใหเ้ หมาะสม วสั ดกุ รอง
เชน่ สำลี กระดาษกรอง ผ้าขาวบาง เปน็ ตน้
5. การใชม้ อื หยิบหรือวิธเี ข่ีย เป็นวธิ กี ารแยกของผสมทีเ่ ป็นของแขง็ และมีขนาดโตมองเห็นได้ชัดเจน
ออกจากกัน เชน่ การหยบิ เมลด็ ข้าวเปลอื กออกจากข้าวสาร
6. การใช้อำนาจแม่เหลก็ เป็นวิธกี ารใช้สมบัตคิ วามเปน็ แม่เหล็กแยกสารท่ีถกู แม่เหล็กดูดไดอ้ อกจาก
สารท่ีไมถ่ ูกแม่เหลก็ ดดู เช่น ใชแ้ ม่เหล็กแยกผงตะไบเหลก็ ออกจากทราย
7. การใชก้ รวยแยก เป็นวธิ ีการแยกของเหลวสองชนิดที่ไม่ละลายซงึ่ กนั และกนั ออกจากกนั และ
ของเหลวจะแยกกนั เปน็ ชนั้ เช่น นำ้ มนั กบั นำ้ เป็นต้น
8. การระเหดิ เป็นวธิ กี ารแยกสารท่รี ะเหดิ ได้ออกจากสารท่ีไมร่ ะเหิด สารท่ีเกดิ การระเหิดได้ เช่น ลูก
เหมน็ (เนพทาลนี ) การบรู พเิ สน ไอโอดีน เปน็ ต้น
9. การร่อน เปน็ วธิ กี ารแยกสารทเ่ี ป็นของแข็งและมีขนาดต่างกนั ออกจากกัน เช่น ทรายทมี่ เี มด็ เล็ก
และเม็ดใหญ่ผสมกนั การร่อนจะต้องเลือกอปุ กรณท์ ี่ใช้ในการรอ่ นทีม่ ีขนาดรเู ลก็ พอเหมาะกับขนาด
ของสารผสม เชน่ ตะแกรง
10. การละลายน้ำ เป็นวธิ กี ารแยกสารทไ่ี ม่ละลายน้ำออกจากสารท่ีละลายนำ้ เชน่ ทรายปนกับเกลือ
แกง
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 147
11. การตกตะกอน เป็นวธิ ีการแยกสารที่เปน็ ของเหลวมีลกั ษณะขุ่น และมีของแขง็ แขวนลอยอยูใ่ น
ของเหลวออก เชน่ น้ำคลอง น้ำอบไทย เมือ่ ตัง้ ทิง้ ไว้น่ิง ๆ ประมาณ 1-2 ชว่ั โมง จะเหน็ ของแข็ง
ตกตะกอนอยใู่ นกน้ ภาชนะและของเหลวมลี กั ษณะใส
12. การระเหยแห้ง เป็นวธิ กี ารแยกสารผสมท่เี ปน็ สานเนื้อเดียวซึ่งมขี องแข็งละลายอย่ใู นของเหลว
ออกจากกนั โดยการใชค้ วามร้อนทำให้ของเหลวระเหยกลายเป็นไอจนเหลือของแข็งตกค้างอยู่ เช่น
การทำนาเกลอื จากนำ้ ทะเล เป็นต้น
13. การสกดั ด้วยตัวทำละลาย เปน็ วิธกี ารแยกสารที่อาศัยหลักการเก่ียวกับการละลายของสารซงึ่
สารแตล่ ะชนดิ จะละลายได้ในตัวทำละลายตา่ งกันสารบางชนดิ มีจดุ เดือดตำ่ ระเหยกลายเปน็ ไอได้
งา่ ยและไมล่ ะลายน้ำ จึงใช้ไอน้ำร้อนชว่ ยในการแยกสารได้
14. ตวั ทำละลาย ควรมีสมบัติดงั นี้
1) สามารถละลายสารท่ตี อ้ งการสกดั ได้
2) ไมล่ ะลายสารอนื่ ๆ ท่ีไมต่ ้องการสกดั
3) ไม่ทำปฏกิ ิรยิ ากบั สารท่ีต้องการสกดั
4) สามารถแยกออกจากสารที่ต้องการสกดั ได้งา่ ย
5) ไม่เป็นพิษและมรี าคาถูก
15. หลักการสกัดสาร คือ เลือกตวั ทำละลายให้เหมาะสมกับสารทตี่ อ้ งการแยก เติมตวั ทำละลายลง
ในสารทีต่ อ้ งการสกัด แล้วเขย่าแรง ๆ หรอื นำไปตม้ เพอ่ื ให้สารทต่ี ้องการจะสกดั ละลายในตัวทำ
ละลายท่เี ลือกไว้ สารท่ีสกัดได้นนั้ ยงั เป็นสารละลายอยู่ ถ้าต้องการทำใหบ้ รสิ ุทธ์ิควรจะนำสารท่ีไดไ้ ป
แยกตวั ทำละลายออกกอ่ น อาจจะนำไประเหย หรอื นำไปกลนั่ ต่อไป เชน่ การสกดั น้ำขงิ จากขงิ การ
สกดั คลอโรฟิลลข์ องใบไม้
16. ปัจจบุ ันนยิ มสกัดสารจากพชื เพ่อื ใชเ้ ป็นเครื่องดม่ื โดยใชน้ ้ำเปน็ ตวั ทำละลายออกมา เชน่ นำ้
ใบเตย นำ้ ขงิ นอกจากนยี้ งั มีการใชเ้ ฮกเซนในการสกดั นำ้ มนั ออกจากสว่ นต่าง ๆ ของพชื เชน่ น้ำมนั
ปาลม์ นำ้ มนั ขา้ วโพด น้ำมนั ถ่ัวเหลือง เปน็ ตน้
17. ชนิดและปริมาณสารท่ีสกัดได้ ขึน้ อยกู่ บั ชนดิ ปริมาณ และสว่ นตา่ ง ๆ ของพืชที่นำมาใช้
รวมท้งั ชนิดและปริมาณของตัวทำละลาย
18. การสกดั สารโดยใช้เครอ่ื งสำเรจ็ ซอกหเ์ ลต (Soxhlet Extraction Apparatus) เป็นวิธกี าร
สกดั สารทีใ่ ชต้ วั ทำละลายในปรมิ าณนอ้ ย เน่ืองจากตัวทำละลายท่ใี ช้สกัดสารแลว้ จะถูกทำใหร้ ะเหย
และควบแนน่ กลยั มาใช้สกัดสารไดอ้ ีกเปน็ ลักษณะหมนุ เวียน
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
148 ค่มู อื เตรยี มสอบ
19. หลักการของเคร่อื งสำเร็จซอกหเ์ ลต คือ ตัวทำละลายทีใ่ ส่ลงไปในเคร่ืองมอื จะหมุนเวียนผ่าน
สารทต่ี อ้ งการสกดั หลาย ๆ ครง้ั จนกระทัง่ สารทตี่ อ้ งการสกดั ออกมามีปริมาณเข้มขน้ มากพอ สว่ นตวั
ทำละลายทใ่ี ชส้ กัดแล้วน้ันจะถูกทำใหร้ ะเหยแล้วควบแน่นกลับมาใช้ได้อกี
20. การสกดั โดยการกลนั่ ด้วยไอนำ้ เปน็ การสกัดสารโดยอาศัยไอนำ้ ใหท้ ำหน้าทีเ่ ปน็ ตวั ทำละลาย
สารทตี่ อ้ งการจะแยกออกมาใชแ้ ยกสารท่รี ะเหยง่าย ไมล่ ะลายนำ้ และไม่ทำปฏกิ ิรยิ ากบั น้ำ สว่ นใหญ่
การกลั่นดว้ ยไอน้ำมักจะใช้สกดั สารอินทรียอ์ อกจากสว่ นต่าง ๆ ของพชื ทอี่ ยู่ตามธรรมชาติ เชน่ การ
แยกสารหอมระเหยออกจากผิวมะกรูด การสกัดแยกน้ำมันหอมระเหยจากใบกระเพรา การแยก
น้ำมันหอมระเหยจากดอกกุหลาบเปน็ ต้น
21. หลักการสกดั สารโดยการกล่ันด้วยไอน้ำ คือ ให้ความร้อนแกน่ ้ำจนน้ำระเหยกลายเปน็ ไอไอน้ำ
จะผ่านไปยังสารที่ต้องการแยกและสกัดสารท่ตี ้องการแยก ซ่งึ เป็นสารที่ระเหยง่ายออกมา เม่ือไอของ
นำ้ กบั นำ้ มันหอมระเหยผ่านเคร่ืองควบแนน่ จะกลั่นตวั กลายเป็นของเหลวสองช้ันไมร่ วมตวั กันเป็น
เนอ้ื เดียว จากน้นั จงึ แยกสารท่ีสกัดได้และน้ำออกจากกันด้วยวธิ ีการท่ีเหมาะสมต่อไป
22. การกลั่น (Distillation)เป็นวิธีการแยกสารผสมเนอ้ื เดียวทเี่ ป็นของเหลวที่ประกอบดว้ ยสารต่าง
ชนิดออกจากกนั โดยอาศยั หลกั การคือทำใหข้ องเหลวเดือดกลายเป็นไอ แลว้ ทำให้ไอนำ้ ควบแนน่
กลายเปน็ ของเหลวของเหลวท่มี จี ุดเดือดตำ่ กว่าจะเดือนกลายเปน็ ไอและแยกตวั อออกมาก่อน
ของเหลวที่มีจดุ เดอื ดสูง
23. การกลั่นแบบธรรมดา เป็นวธิ กี ารแยกสารองค์ประกอบออกจากสารละลาย โดยตัวละลายและ
ตัวทำละลายจะต้องมจี ุดเดือดท่ีแตกตา่ งกนั มากประมาณ 80 องศาเซลเซยี ส เช่น น้ำเกลอื น้ำเชอื่ ม
น้ำผสมเอทิลอีเทอร์ เปน็ ต้น
24. การแยกนำ้ ออกจากนำ้ เกลอื ทำไดโ้ ดยให้ความร้อนแก่นำ้ เกลือ น้ำมีจุดเดือดเพียง 100 องศา
เซลเซยี ส จะเดอื ดกลายเปน็ ไอน้ำออกมาก่อนเมื่อไอนำ้ ผ่านเคร่อื งควบแนน่ ก็จะควบแน่นกลั่นตัว
กลายเป็นนำ้ บรสิ ุทธ์แิ ยกตัวออกมา และจะเหลือเพียงเกลือทีม่ ีจดุ เดือนสงู ถึง 1,413 องศาเซลเซียส
อยูใ่ นขวดกลนั่
25. การกลั่นลำดบั ส่วน คือ กระบวนการแยกสารท่ีมจี ุดเดือดแตกตา่ งกันนอ้ ยกวา่ 80 องศา
เซลเซียส ออกจากกนั เป็นส่วน ๆ โดยการกลน่ั ซ้ำหลาย ๆ คร้ัง สารทม่ี ีจุดเดือดสูงจะควบแน่นกอ่ น
และสารทม่ี จี ุดเดือดต่ำจะควบแน่นหลังตามลำดบั พวกทมี่ ีจุดเดอื ดต่ำที่สุดจะควบแนน่ ในตอนบนสด
ของลำกระบอกลำดับส่วน
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 149
26. หลักการของการกลน่ั ลำดับสว่ น คือ ใหค้ วามร้อนแก่ของเหลวใหร้ ะเหยกลายเปน็ ไอทัง้ หมด
เมือ่ ของเหลวกลายเป็นไอ ไอจะผ่านลำกระบอกลำดบั สว่ น (Fractionating Column) ซึ่งภายในมี
ลกั ษณะเป็นชน้ั ๆ หรือบรรจุ ลูกแกว้ เพื่อเพ่ิมพ้ืนทีผ่ วิ สมั ผัสกับไอ สารทีม่ ีจุดเดือดสูงจะควบแนน่ ตก
ลงมาก่อน สว่ นสารทม่ี ีจดุ เดอื ดตำ่ จะควบแนน่ ภายหลงั
27. การแยกเอทานอลออกจากน้ำ โดยการกล่ันลำดับส่วนทำได้โดยให้ความร้อนจนถงึ อุณหภูมหิ น่ึง
ซงึ่ เปน็ จดุ เดือดของเอทานอลกจ็ ะเดือดกลายเป็นไอ ขณะเดียวกนั นำ้ ซ่ึงมจี ดุ เดือดใกลเ้ คียงกบั เอทา
นอลกจ็ ะเดือดกลายเปน็ ไอลอยขึน้ ไปยังลำกระบอกลำดับส่วน แลว้ ไอของน้ำท่ีมจี ุดเดือดสงู กวา่ จะ
ควบแน่นในลำกระบอกลำดับส่วนเป็นของเหลวตกลงสูข่ วดกลัน่ ใหมส่ ว่ นไอของเอทานอลท่มี จี ดุ เดือด
ตำ่ กว่าจะลอยขึน้ ขา้ งบนผา่ นลำกระบอกลำดับสว่ นเขา้ ส่เู ครอ่ื งควบแน่น กลั่นตัวเปน็ ของเหลวแยก
ออกมา
28. การกลัน่ นำ้ มันดิบ ใช้หลักการกลน่ั ลำดบั สว่ นโดยใช้ความร้อนสงู ประมาณ 300-500 องศา
เซลเซียส ทำใหส้ ารผสมสว่ นใหญก่ ลายเป็นไอปนอยู่ในหอกลั่น จากน้ันจึงคอ่ ยลดอณุ หภูมลิ งให้ไอ
สารทม่ี จี ุดเดอื ดต่างกนั เหล่านัน้ ควบแนน่ เป็นของเหลวตามลำดับ ซ่ึงอุณหภมู ิสงู จะควบแน่นออกมา
ก่อน
29. โครมาโทกราฟี(Chromatography) เปน็ วธิ ีการแยกสารท่ผี สมกนั อยู่ในปรมิ าณน้อยออกจาก
กนั หรือใช้วิเคราะหส์ าร เป็นแถบเส้นสีหรอื แถบสีโดยอาศัยสมบตั ิ 2 ประการ คือ
1) สารตา่ งชนิดกนั มีความสามารถในการละลายในตวั ทำละลายได้ตา่ งกัน
2) สารต่างชนิดกนั มีความสามารถในการถกู ดูดซบั ด้วยตวั ดดู ซับได้ตา่ งกนั
30. ตัวกลางในวิธีโครมาโทกราฟี มี 2 ชนดิ คือ
1) ตวั กลางท่ีเคลอ่ื นที่ จะทำหนา้ ทีช่ ะเอาสารผสมออกจากตัวกลางทไ่ี ม่เคล่อื นท่ีให้เคล่ือนที่
ไปด้วย สารท่ใี ช้เปน็ ตวั กลางที่เคลื่อนที่ได้แก่ พวกตวั ทำละลาย เช่น ปิโตรเลียมอีเทอร์ เฮกเซน
คลอโรฟอร์ม เบนซีน เป็นตน้
2) ตวั กลางที่ไมเ่ คลื่อนที่ จะทำหนา้ ทด่ี ดู ซบั สารผสมด้วยแรงไฟฟา้ สถติ สารที่ใชท้ ำตวั กลางท่ี
ไม่เคล่ือนทจี่ ึงมีลักษณะเปน็ ผงละเอียดมีพนื้ ทผี่ ิวมาก เช่น อะลมู ินา ( ซลิ กิ าเจล (
หรืออาจจะใชว้ ัสดทุ ่ีสามารถดูดซบั ไดด้ ี เช่น แท่งชอลก์ กระดาษกรอง กระดาษซบั กระดาษสา
31. หลกั การของโครมาโทกราฟี คอื
1) สารท่ีแยกออกมาจากสารผสมได้ก่อนจะมีความสามารถละลายได้ดใี นตวั ทำละลายท่ีใช้
แตถ่ กู ดูดซับดว้ ยตัวดูดซับได้น้อยจงึ สามารถเคล่ือนทีไ่ ปได้ไกล
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
150 คมู่ อื เตรยี มสอบ
2) สารทแ่ี ยกออกมาจากสารผสมได้ทีหลงั จะมีความสามารถในการละลายในตวั ทำละลายท่ี
ใชไ้ ด้น้อย แต่ถูกดูดซบั ด้วยตวั ดดู ซับได้มากจงึ สามารถเคลอ่ื นท่ไี ปได้ไม่ไกล
3) ถ้าสารทแี่ ยกออกมามหี ลายสมี องเห็นเป็นช่วง ๆ หลายชว่ งแสดงว่าสารท่ีใช้ในการทดลอง
มอี งคป์ ระกอบอย่างน้อยเท่ากับส่งิ ที่แยกไดห้ รอื มากกวา่
4) ถา้ สารท่ีแยกออกมามสี เี ดียวจะยงั สรุปไม่ไดว้ า่ สารที่ใช้ในการทดลองนัน้ เปน็ สารบรสิ ทุ ธ์ิ
หรือมอี งคป์ ระกอบเพยี งหนึง่ ชนดิ เน่ืองจากอาจจะมีสารอืน่ ปนอยดู่ ว้ ยแต่สารน้นั แยกโดยวธิ ีนี้ไมไ่ ด้
หรืออาจใชต้ ัวทำละลายไม่เหมาะสมในการแยก
32. การเลือกตัวทำละลายและตวั ดดู ซบั
1) ตัวทำละลายและสารท่ีต้องการแยกจะต้องมีการละลายไมเ่ ท่ากัน
2) ควรเลอื กตัวดูดซบั ทม่ี ีการดูดซบั สารได้ไมเ่ ท่ากนั
3) ถ้าต้องการแยกสารท่ีผสมกันหลายชนิด อาจต้องใชต้ วั ทำละลายหลายชนดิ หรือใช้ตัวทำ
ละลายผสม
33. โครมาโทกราฟกี ระดาษ (Paper Chromatography)ใชก้ ระดาษโครมาโทกราฟี เชน่
กระดาษกรองหรือกระดาษซับเป็นตวั ดดู ซบั โดยตดั ให้เปน็ แผ่นส่ีเหล่ยี มผืนผา้ จากน้นั หยด
สารละลายทต่ี อ้ งการแยกลงบนดา้ นหน่งึ ของกระดาษหา่ งจากปลายประมาณ 1.5 เซนตเิ มตร รอจน
สารแห้ง แลว้ นำกระดาษน้ีจุม่ ลงในขวดแก้วทรงสงู ซึ่งบรรจุตัวทำละลายไว้ตวั ทำละลายจะซมึ ผา่ น
สารตวั อยา่ งทแ่ี ตะไวบ้ นกระดาษโครมาโทกราฟแี ละจะละลายสารตัวอย่างพร้อมกับพาสารเหลา่ นนั้
เคลือ่ นท่ีไปข้างบนดว้ ยแต่เนื่องจากสารแต่ละชนิดละลายในตวั ทำละลายได้ไมเ่ ทา่ กัน และถูกดูดซับ
ดว้ ยกระดาษโคมาโทกราฟีไดไ้ มเ่ ท่ากนั การเคล่ือนท่ีไปพร้อมกบั ตัวทำละลายจงึ ไม่เท่ากัน ดงั น้ัน
ตำแหน่งของสารทส่ี ปี รากฏอยู่บนกระดาษจึงไมเ่ ทา่ กัน
34. วธิ แี ยกสารสีที่ปรากฏบนกระดาษโครมาโทกราฟีออกมา ทำได้โดย
1) ตดั กระดาษโครมาโทกราฟีที่มีสารสีแต่ละสว่ นออกจากกัน
2) นำส่วนที่ตดั น้ันไปแช่ในตวั ทำละลายท่ีเหมาะสม เช่น น้ำ แอลกอฮอล์ จนกระทั่งสารสี
ละลายออกมาจากกระดาษจนหมด
3) นำสารละลายที่ได้น้ันไประเหยแหง้ หรือกลน่ั เพอ่ื แยกตัวทำละลายออกจากสารก็จะได้สาร
สีทเ่ี ปน็ ของแขง็ เหลืออยู่
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์