The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แนวข้อสอบเอกวิทยาศาสตร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by maruding.pe, 2021-03-18 04:32:24

แนวข้อสอบเอกวิทยาศาสตร์

แนวข้อสอบเอกวิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 501

โบราณในลักษณะน้ำซับตะกอนทีถ่ ูกพัดพามากบั นำ้ ลม และคลืน่ จากทะเล ส่วนหนง่ึ จะสะสมตวั อยู่
บรเิ วณชายฝง่ั ทะเล ทำให้เกิดเปน็ พ้นื ท่ีชายฝงั่ ทะเลหลายรูปแบบ เชน่ เกิดเป็นหาดทราย ทะเลสาบ
น้ำเคม็ และท่รี าบน้ำขึน้ ถึงปา่ ชายเลน

119. น้ำใต้ดนิ เกิดจากนำ้ ผิวดินซมึ ผา่ นดินช้ันตา่ ง ๆ ลงไปถึงชน้ั ดินหรือช้ันหนิ ท่นี ำ้ ซึม
ผ่านไมไ่ ด้ แล้วไปสะสมอยู่ในช่องวา่ งของเนือ้ ดินหรือหิน

120. ประเภทของน้ำใต้ดนิ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1) นำ้ ในดินหรอื นำ้ ใต้ดนิ ชั้นบน พบในชนั้ ดินตน้ื ๆ น้ำจะขังตัวอยเู่ หนือชั้นหินหรอื อยู่
ระหวา่ งชนั้ ดนิ ท่เี น้อื แนน่ นำ้ ซึมผา่ นได้เลก็ น้อยอยูไ่ มล่ ึก จากผิวดนิ มากนัก เรียกน้ำท่ซี ึมอยใู่ นดนิ นี้วา่
น้ำในดนิ และเรยี กระดับน้ำตอนบนสดุ วา่ ระดับน้ำในดิน แหล่งนำ้ ชนดิ นี้จะมีปรมิ าณนำ้ มากในฤดฝู น
และจะมีปริมาณน้ำลดน้อยลงในฤดูแลง้ มีสารแขวนลอยปะปนอยู่
2) นำ้ บาดาล เปน็ นำ้ ส่วนที่เหลอื จากทีน่ ำ้ ในดินดดู ซบั ไว้ โดยน้ำจะไหลซึมตอ่ ไปอกี ในระดับ
ทีล่ กึ ลงไปจากน้ำในดนิ ซึมผา่ นช้ันดนิ และชน้ั หินต่าง ๆ ไปขังตัวอยใู่ นชอ่ งวา่ งของชน้ั ดนิ หรอื ชั้นหนิ ที่
ไมย่ อมใหน้ ้ำผ่านไปได้อีก ทำให้ช้ันหินนั้นอ่มิ ตัวดว้ ยนำ้ เรียกนำ้ นวี้ ่า น้ำบาดาล และเรียกระดับนำ้
ตอนบนสุดว่า ระดับนำ้ ใต้ดนิ
121. ช้นั หินอ้มุ นำ้ คือ ช้ันหนิ หรอื ช้นั ตะกอนท่ีสามารถกักเกบ็ น้ำบาดาลไว้ได้ เช่น ชัน้
หนิ ทราย ชนั้ ตะกอนทราย ช้ันกรด
122. น้ำพุ เกดิ จากการไหลถ่ายเทของน้ำบาดาลเนื่องจากแรงโนม้ ถ่วงของโลกมีทศิ
ทางการไหลตามแนวเอียงเทของระดับนำ้ ใตด้ ิน ถ้าแนวระดับน้ำใต้ดินไหลตัดผ่านสงู กว่าระดบั ของผวิ
ดนิ อีกบรเิ วณหน่ึง น้ำบาดาลจะไหลออกมาสู่พ้นื ดินโดยตรงทำใหเ้ กิดนำ้ พุได้
123. น้ำในบรรยากาศ เป็นนำ้ ท่ีพบไดท้ งั้ 3 สถานะ คือ สถานะของแขง็ เชน่ ลูกเหบ็
หมิ ะ สถานะของเหลว เชน่ นำ้ ฝน นำ้ คา้ ง และสถานะแก๊ส เชน่ เมฆ หมอก เปน็ ต้น
124. นำ้ เปน็ ตวั ทำละลายทดี่ ีสามารถละลายสารตา่ ง ๆ ได้ และมีพลงั งานท่สี ามารถกดั
กรอ่ นดนิ หินให้เปล่ียนรูปร่างไปจากเดมิ ได้ ดงั นนั้ น้ำจงึ เป็นตวั การสำคญั ท่ีทำให้พ้ืนผิวโลกหรอื ได้พืน้
โลกเกิดการเปล่ียนแปลง และการเปลี่ยนแปลงบางอย่างยังกอ่ ใหเ้ กดิ ทัศนยี ภาพทส่ี วยงานขน้ึ ด้วย
125. การใชป้ ระโยชนจ์ ากแหลง่ น้ำ
1) การเกษตรกรรม ใชน้ ้ำสำหรบั รดพชื ผักในสวน
2) การประมง ใช้แหล่งนำ้ เป็นแหล่งหาปลา
3) การคมนาคม ใชส้ ำหรับสัญจรไปในที่ต่าง ๆ และขนสง่ สินค้า
4) การผลิตไฟฟ้า โดยใชพ้ ลงั งานจากน้ำ

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

502 ค่มู อื เตรยี มสอบ

5) การอปุ โภคใชด้ มื่ และใช้ในครัวเรือน
6) การอุตสาหกรรม ใช้ในกระบวนการผลติ ตา่ ง ๆ
126. การอนรุ กั ษแ์ หล่งนำ้
1) ใชน้ ้ำอย่างประหยดั โดยไม่เปดิ ก๊อกนำ้ ท้งิ ไว้ขณะทนี่ ้ำไม่ไหล ขณะแปรงฟนั อาบน้ำ ไม่
ควรเปิดก๊อกนำ้ หรือฝักบัวทงิ้ เอาไว้ นำน้ำจากการลา้ งจานหรือถูพืน้ ไปรดต้นไม้
2) ไม่ทิ้งขยะลงในแหล่งนำ้
3) ใช้น้ำบาดาลเท่าท่ีจำเป็น
4) บำบัดนำ้ เสยี ก่อนปลอ่ ยลงสู่แหลง่ น้ำ
127. ธรณีพิบตั ภิ ยั จากนำ้
1) การทรดุ ตัวของแผ่นดิน เกดิ จากการสบู น้ำบาดาลขน้ึ มาใชเ้ ป็นปรมิ าณมากจนเกดิ กว่า
น้ำจะไหลเข้าแทนที่ชอ่ งวา่ งระหวา่ งตะกอนในชน้ั หินอมุ้ นำ้ ไดท้ ันซึง่ จะเกิดมากท่ีสดุ ตรงบริเวณ
ศูนย์กลางท่ีมีการสบู น้ำบาดาลข้ึนมาใช้ ทำให้ชนั้ ดนิ ค่อย ๆ ยบุ ตัวลงทลี ะน้อย ส่งผลให้สิง่ กอ่ สร้างที่
อยู่บนพนื้ ท่นี ัน้ ทรดุ ตวั และแตกรา้ ว
2) หลุมยบุ เกิดจากการเปล่ียนแปลงของระดับน้ำใต้ดิน ทำใหโ้ พรงหรอื ถ้ำที่อยใู่ ต้ดินทรุด
ตวั ลง แลว้ เพดานโพรงท่ีมีความบางไม่สามารถคงตัวอยู่ได้ยุบตัวลงตามทำใหเ้ กดิ หลมุ ลกึ มเี ส้นผา่ น
ศนู ย์กลาง 1-200 เมตร ความลกึ ตั้งแต่ 1 เมตร ถึงมากกวา่ 200 เมตร
3) แผ่นดนิ ถลม่ เกิดจากฝนตกหนกั มากจนดนิ และชน้ั หนิ ไม่สามารถอมุ้ น้ำปริมาณมหาศาล
ไดอ้ ีก พื้นดนิ จึงเลื่อนไถลลงตามความชันของชน้ั หินซงึ่ บางแหง่ อาจถล่มลงไปขวางทางน้ำไหลเปน็
สาเหตุให้เกดิ นำ้ ทว่ มตามมาได้
4) การกัดเซาะชายฝ่ัง อาจเกิดเน่ืองจากระดบั น้ำทะเลท่ีเพม่ิ สูงขน้ึ หรืออาจเกดิ จากการ
ทรดุ ตัวของแผ่นดิน หรอื กิจกรรมตา่ ง ๆ ของมนุษย์ทำให้เกิดการสูญเสยี พ้ืนที่ และทรัพยากรชายฝง่ั
เกดิ ความเสยี หาย

ตวั อย่างแนวข้อสอบบทที่ 3

2. ดนิ ทีอ่ ุม้ น้ำได้ดีทีส่ ดุ คือดินอะไร 5. ขอ้ ใดถูกต้องเก่ียวกับกระบวนการทาง

ก. ดินทราย ค. ดินรว่ น ธรณีวทิ ยาทที่ ำให้เกิดวฏั จักรของหนิ

ข. ดนิ เหนียว ง. ดนิ ลูกรัง ก. การหลอมละลาย การผุพัง

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 503

2. พชื ชนิดใดท่ีเหมาะสำหรับปลกู เปน็ พืช ข. การผพุ ัง การแปรสภาพ
หมุนเวยี น ค. การหลอมเหลว การกดั เซาะและการผุพัง
ก. ถ่วั เหลือง ง. การหลอมเหลว การผุพังและการกัดเซาะ
ข. มันสำปะหลัง การแปรสภาพ
ค. โหระพา 6.ขอ้ ใดกลา่ วถูกต้องเกย่ี วกบั “ แร่”
ง. เผอื ก ก .ธาตุหรือสารประกอบอินทรยี ์
3. อนิ ทรยี วตั ถุ หมายถึงอะไร ข. ธาตหุ รอื สารประกอบอนินทรยี ์
ก. หนิ ท่ีผุพงั ค.มสี ถานะเปน็ ของแข็ง มีโครงสรา้ งเป็นผลึก
ข. แร่ธาตทุ ี่ฝงั ตัวอยูใ่ นหนิ ง. ถูกทั้งข้อ ข. และ ค.
ค. ซากพืชซากสตั วท์ ่ีเน่าเป่ือยผพุ งั 7.ข้อใดไม่ใชช่ นดิ ของหนิ อัคนี
ง. อากาศทแ่ี ทรกอยูร่ ะหวา่ งชอ่ งของเม็ดดิน ก. หนิ แกรนิต
4.ขอ้ ใดกล่าวถูกต้อง ข. หนิ ดินดาน
ก. หนิ เกดิ จากการทบั ถมกนั ของซากพชื ซากสตั ว์ ค. หินบะซอลล์
ข. หินเกิดจากการรวมตัวกันของแร่ชนิดเดยี วกนั ง. หินพมั มซิ
หรอื หลายชนดิ
ค. หนิ เกิดจากการรวมตัวกันของกรวดและทราย
ง. ถกู ทกุ ขอ้

8. “ หนิ ออ่ น ” เป็นหินที่แปรสภาพมาจากหิน 14. การแกป้ ัญหาดนิ เค็มทำไดโ้ ดยวธิ ใี ด
ชนดิ ใด ก. เติมไนโตรเจนข. เติมดนิ แดง
ก. หินปนู ค. เติมกำมะถันง. มีข้อถูกมากกวา่ 1 ข้อ
ข. หนิ ดินดาน 15.ความละเอียดของเน้ือหินเกดิ จากอะไร
ค. หินแกรนิต ก. แร่ในหิน
ง. หินทราย ข. อุณหภูมิของหนิ
9.หินชนิดใดลอยนำ้ ได้ ค. เวลาในการเย็นตวั
ก. หินแกรนติ ง. ความลกึ ของหินหลอมเหลว
ข. หนิ ดินดาน 16. แร่ชนดิ ใดทสี่ ามารถนำมาใช้ไดเ้ ลย โดยไม่
ค. หนิ บะซอลล์ ต้องผ่านกระบวนการถลงุ
ง. หินพมั มิซ ก. เหลก็ ข. ดีบุก

ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

504 ค่มู อื เตรยี มสอบ

10. แรช่ นิดใดท่ีนำมาหลอมเป็นอะลมู ิเนียม ค. ควอตซง์ . สังกะสี
ก. แร่บอกไซต์
ข. แรด่ บี ุก 17. ข้อใดไม่ใช่สมบัติทางฟิสิกส์ของแร่
ค. แรต่ ะกว่ั
ง. แรส่ ังกะสี ก.สเี ปลวไฟ, แสงเรอื ง
11.น้ำมนั ปิโตรเลยี มมักพบในหินชนดิ ใด
ก. หนิ แปร ข.รปู ผลึก, ความวาว
ข. หินอคั นี
ค. หนิ ตะกอน ค.สี, สผี ง
ง. ถูกทุกขอ้
12. ดินที่ประสบปัญหาเป็นกรด แก้ไขไดโ้ ดยเติม ง.ความแข็ง, ความถ่วงจำเพาะ
สารใดลงไป
ก. ทราย 18. ในแหล่งกักเก็บปิโตรเลยี มทม่ี ีท้ังน้ำมันดบิ
ข. ปยุ๋ เคมี
ค. ปุย๋ คอก กา๊ ซธรรมชาติและน้ำ เราจะพบวา่ มกี ารแยกช้นั
ง. ดนิ มารล์
13.รูพรนุ ในหนิ เกิดจากอะไร กนั อย่างไร เรียงลำดับจากบนลงล่าง ?
ก. ซากแมลง
ข. การจดั ตวั ของแร่ ก. ก๊าซ น้ำ นำ้ มันข. กา๊ ซ นำ้ มัน นำ้
ค. การสลายตัวของหนิ
ง. ฟองก๊าซในหนิ หลอมเหลว ค. นำ้ มนั กา๊ ซ นำ้ ง. น้ำมัน น้ำ ก๊าซ

บทที่ 4โลกของเรา 19. กา๊ ซโซฮอลหรอื เบนโซฮอล์เป็นของเหลว

ผสมระหวา่ งสารใด

ก. เมทานอลกบั นำ้ มันดเี ซล

ข. เมทานอลกบั น้ำมนั เบนซนิ

ค. เอทานอลกบั น้ำมนั เบนซิน

ง. เอทานอลกับนำ้ มันดีเซล

20. น้ำในขอ้ ใดมีปริมาณมากท่ีสดุ ในโลก

ก. น้ำเค็ม ข. น้ำจืด

ค. น้ำในอากาศ ง. นำ้ ใตด้ ิน

1. โลก เปน็ ดาวเคราะห์เพยี งดวงเดียวในระบบสุรยิ ะทม่ี สี ภาวะแวดลอ้ มเหมาะสมให้
สง่ิ มชี ีวิตอาศัยอยู่ได้ เพราะโลกโคจรอยู่ในระยะไกลจากดวงอาทติ ย์ในระยะทางทีเ่ หมาะสม
นอกจากนโ้ี ลกยงั มีดิน หนิ แร่ และนำ้ อยเู่ ปน็ ปริมาณมาก และมชี น้ั บรรยากาศชว่ ยหอ่ หุ้มโลกและ
กรองรังสีท่ีแผ่มาจากดวงอาทิตยซ์ งึ่ เป็นอันตรายต่อส่ิงมชี วี ิตเอาไว้

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 505

2. ส่วนประกอบของโลก แบ่งได้ 3 ส่วน คือ 1) เปลอื กโลก 2) เน้ือโลก 3) แก่นโลก
3. เปลอื กโลก (Crust)เป็นสว่ นท่ีอยู่ชัน้ นอกสดุ ของโลก มีความหนาอุณหภมู ิ ความ
ดัน และความหนาแนน่ น้อยที่สุดเมอื่ เทยี บกบั โครงสร้างชั้นอ่นื ๆ มีทั้งส่วนทเี่ ปน็ แผ่นดนิ และน้ำท่ี
มองเห็นอยภู่ ายนอก กับสว่ นที่เปน็ หนิ แข็งฝังลึกลงไปใต้ผิวนำ้ เปลือกโลกมีความหนาประมาณ 5-35
กโิ ลเมตร
4. เปลือกโลกแบง่ ออกเปน็ 2 แบบ คือ
1) เปลือกโลกทวีป มีความหนาเฉลีย่ 35 กิโลเมตร เป็นเปลอื กโลกสว่ นทเี่ ป็นพื้นทวีปและ
ไหล่ทวปี
2) เปลือกโลกมหาสมทุ ร มีความหนาเฉล่ีย 5 กิโลเมตร เป็นเปลอื กโลกท่ีอยู่ใต้มหาสมทุ ร
ต่าง ๆ
5. ชน้ั เนอื้ โลก (Mantle)เปน็ ส่วนของเนื้อโลกท่อี ยู่ถัดลงไปจากเปลอื กโลกมคี วาม
หนาประมาณ 2,885 กโิ ลเมตร
6. ช้นั เน้อื โลกแบ่งเป็น 2 ช้นั คือ
1) เน้อื โลกตอนบน มีความหนาประมาณ 665-695 กโิ ลเมตร มสี ถานะเปน็ ของแขง็ เนื้อโลก
ที่ระดับความลึกจากผิวโลกประมาณ 100-350 กโิ ลเมตร มสี ารเร่ิมตน้ ท่จี ะหลอมเหลวเปน็ หิน
หลอมเหลวท่เี รียกวา่ แมกมา
2) เนอื้ โลกตอนล่าง มคี วามหนาประมาณ 2,190-2,220 กิโลเมตรมีสถานะเป็นของแข็ง
7. แก่นโลก (Core)เป็นส่วนช้ันในสุดของโลก มีความหนาแน่นมากมีท้ังส่วนทเ่ี ป็น
ของแขง็ และสว่ นท่ีรอ้ นจนหลอมเป็นของเหลว ประกอบดว้ ยธาตุเหลก็ และนิกเกิลเป็นส่วนใหญ่ มี
ความหนาจนถึงจดุ ศนู ยก์ ลางของโลกประมาณ 3,486 กิโลเมตร
8. แก่นโลกแบ่งออกเป็น 2 ชนั้ คือ
1) แกน่ โลกชนั้ นอก (Outer Core)มีความหนาประมาณ 2,270 กิโลเมตร อยู่ในระดับ
ความลกึ จากผวิ โลกประมาณระหว่าง 2,885-5,155 กโิ ลเมตร ชัน้ น้ปี ระกอบดว้ ยของเหลวร้อนที่
เคล่อื นที่หมุนวนซ่ึงสง่ ผลให้เกิดสนามแมเ่ หลก็ ขน้ึ มคี วามหนาแนน่ สมั พทั ธป์ ระมาณ 12.0
2) แกน่ โลกชั้นใน (Inner Core)มีความหนาประมาณ 1,216 กโิ ลเมตร อยู่ในระดบั ความ
ลึกประมาณ 5,155 กิโลเมตรจนถึงกลางโลก เปน็ ชั้นของแข็งเน่ืองจากมีความดนั มหาศาลกดทับ
ประกอบด้วยธาตเุ หล็กและนิกเกิล มีความหนาแน่นสัมพทั ธ์มากกวา่ 17.0
9. ระบบโลกประกอบด้วย 4 ระบบใหญ่ ๆได้แก่ 1) ธรณภี าค 2) บรรยากาศ 3)
อุทกภาค 4) ชวี ภาค

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

506 ค่มู อื เตรยี มสอบ

10. ธรณภี าค (Lithosphere)เป็นส่วนเปลอื กโลกท่ีประกอบกันขึ้นมาจากของแข็ง เช่น ดิน หนิ
และธาตตุ ่าง ๆ

11. อากาศภาค (Atmosphere)หรอื บรรยากาศ เป็นส่วนทีเ่ กี่ยวกบั ชนั้ บรรยากาศท่ี
หุ้มห่อโลก ประกอบด้วยแกส๊ ตา่ ง ๆ ทชี่ ว่ ยใหส้ ิ่งมชี วี ติ อาศยั อยู่ได้บนพ้ืนผวิ โลก อากาศภาคชว่ ยใน
การป้องกนั ไมใ่ ห้รังสีอลั ตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ซ่ึงเป็นอันตรายต่อสิง่ มชี ีวติ ผ่านเขา้ มาถึง
พื้นผวิ โลกและยังช่วยเป็นฉนวนกันความร้อนทีห่ ่อหุ้มโลกโดยป้องกันไม่ให้ได้รบั ความจากดวงอาทติ ย์
สูงเกินไป และป้องกนั ไม่ให้สูญเสียความร้อนกลับข้ึนไปในอากาศทำใหโ้ ลกอบอุ่น

12. อุทกภาค (Hydrosphere) เป็นส่วนทีเ่ กย่ี วกบั น้ำบนผิวโลก เชน่ แมน่ ำ้ ลำธาร
คลอง บงึ ทะเลสาบ ทะเล และมหาสมทุ ร

13. ชีวภาค (Biosphere)เปน็ สว่ นทีเ่ กย่ี วกับสงิ่ มีชวี ติ ท้งั พชื สัตว์ และมนุษย์ แบง่
ออกเป็น 3 ส่วน 1) เหนอื พืน้ โลกสูงจากระดับนำ้ ทะเลปานกลางประมาณ 9,000 เมตร 2) บนพนื้
โลก 3) ใตพ้ ้ืนโลกตำ่ จากระดับนำ้ ทะเลปานกลางประมาณ 11,000 เมตร ถือเปน็ ขอบเขตของระบบ
นิเวศโลกทส่ี งิ่ มชี วี ิตทงั้ หมดสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้

14. ระบบโลกทั้ง 4 ระบบ มีความสมั พนั ธซ์ ่งึ กนั และกัน ถ้าระบบโลกระบบใดระบบ
หนงึ่ เสยี สมดลุ ไป จะสง่ ผลกระทบต่อระบบอนื่ ๆ เช่น ผวิ โลกท่อี ย่ใู นระบบธรณภี าค เป็นแหล่งท่ีอยู่
ของสง่ิ มีชวิ ติ ในระบบชีวภาคถ้าปราศจากผวิ โลกก็จะไม่มีสว่ นรองรับแหลง่ นำ้ ตา่ ง ๆ ในระบบอุทก
ภาคทจ่ี ำเปน็ ต่อการดำรงชวี ติ ของส่งิ มชี วี ิตทุกชนิด และวฏั จกั รน้ำยงั ตอ้ งอาศัยระบบบรรยากาศ
เพอ่ื ใหว้ ัฏจกั รหมนุ เวียนได้ครบ นอกจากนัน้ แก๊สบางชนดิ ท่ีจำเปน็ สำหรบั ส่ิงมชี วี ิตกอ็ ยู่ในระบบ
บรรยากาศ ซง่ึ มีพืชเปน็ ผผู้ ลิตแกส๊ ท่ีสำคัญออกสูบ่ รรยากาศ หากไม่มีพชื ระบบบรรยากาศก็จะเสีย
สมดลุ และเกดิ ปัญหาสิง่ แวดล้อมตามมาได้

15. สาเหตทุ ที่ ำให้เปลือกโลกเกดิ การเปลย่ี นแปลง มี 2 ประการ คือ 1) การกระทำ
ของมนุษย์ 2) การกระทำของธรรมชาติ

16. การเปล่ยี นแปลงของเปลือกโลกท่เี กดิ จากมนุษย์ เช่น
1) การสรา้ งส่งิ ก่อสรา้ งขนาดใหญ่ เชน่ เขอื่ น ถนน สะพาน อาคาร โรงงาน เปน็ ต้น
2) การระเบดิ ภเู ขา การทำเหมืองแร่ การขุดเจาะเชือ้ เพลิง การขุด เจาะบ่อบาดาล
3) การตัดไมท้ ำลายปา่
4) การทดลองระเบิดปรมาณูและการสร้างโรงไฟฟา้ นวิ เคลียร์

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 507

17. การเปลีย่ นแปลงของเปลือกโลกท่ีเกดิ จากธรรมชาติ เช่น
1) การเคล่ือนที่ของแผน่ เปลือกโลกเน่อื งจากหนิ หนืดในบริเวณต่าง ๆ ของโลกมีทิศ
ทางการไหลที่แตกต่างกนั จึงทำใหเ้ ปลือกโลกบางแผน่ แยกออกจากกัน และบางแผน่ อาจเคลอ่ื นที่เข้า
ชนกนั
2) การแทรกตวั ของหินหนืดตามรอยแยกของแผน่ เปลือกโลก
18. ผลกระทบทีเ่ กดิ ขนึ้ จากการเคล่อื นที่ของแผ่นเปลือกโลก คอื ทำใหเ้ กดิ
แผ่นดนิ ไหว และเกิดภเู ขาไฟระเบดิ
19. ภูมิลักษณะหรือธรณสี ณั ฐาน คอื ลกั ษณะของโลกทีม่ รี ูปพรรณสัณฐานทีแ่ ตกตา่ ง
กนั เช่น ภเู ขา ทรี่ าบ ถำ้ เปน็ ต้น
20. การผพุ งั อยกู่ ับท่ี เป็นกระบวนการท่ีทำใหห้ ินผุพงั สลายตวั ลงเปน็ เศษหินขนาด
ต่าง ๆ กนั แบง่ เป็น 2 ประเภท คือ
1) การผพุ ังทางกายภาพ เป็นการเปล่ียนแปลงขนาดและรูปร่างของหนิ เฉพาะภายนอก
ขึน้ อยู่กับปัจจัยหลายอยา่ ง เช่น ประเภทและชนิดของหนิ ลักษณะโครงสรา้ งทางธรณีวทิ ยา การ
กระทำจากธรรมชาติหรอื สงิ่ มีชวี ติ และการเปล่ยี นแปลงของอุณหภมู ิอากาศ ตัวอยา่ งเชน่ รากไม้ ที่
ชอนไชไปตามรอยแตกของหิน การระเบดิ ภเู ขา เป็นตน้
2) การผพุ ังทางเคมี เกิดจากปฏกิ ริ ยิ าตา่ ง ๆ ในธรรมชาติ เชน่ น้ำฝน ท่ีมีสมบัติเปน็ กรด
คาร์บอนิกจะทำปฏกิ ริ ิยากบั สารประกอบแคลเซยี มคารบ์ อเนตในหนิ ทำใหห้ นิ กร่อนและเว้าแหวง่
หรอื ขรุขระ
21. การกร่อน เปน็ กระบวนการธรรมชาติทเี่ ศษหนิ ดิน ถูกพัดพาไปจากเดมิ เน่ืองจาก
แรงนำ้ แรงลม แรงโนม้ ถว่ งของโลก และธารนำ้ แขง็
22. ทางน้ำโค้งตวัด (Meander)เป็นลักษณะลำน้ำท่ีคดโค้งไปมาไม่เป็นเส้นตรง พบ
ในบรเิ วณท่ธี ารนำ้ ไหลผ่านไปในพื้นท่ีค่อนขา้ งราบ การกัดเซาะในทางลึกมีน้อยกวา่ ในทางข้าง
กระแสน้ำทไี่ หลมาปะทะตลงิ่ ด้านข้างหน่งึ จะค่อย ๆ กัดเซาะตลงิ่ ดา้ นน้ันให้พังทลายไปทีละน้อย ๆ
ในขณะเดยี วกันตลง่ิ ด้านทีอ่ ยู่ตรงข้ามจะเกดิ การทบั ถมงอกออกมานาน ๆ เข้าทางน้ำจงึ โคง้ มากขน้ึ
บางครง้ั กโ็ ค้งตวัดจนเกือบจะประชิดกนั
23. ทะเลสาบรปู แอก (Oxbow Lake)คอื บงึ หรือทะเลสาบรูปโคง้ คลา้ ยแอก เกดิ
จากการท่ีทางนำ้ โคง้ ตวัดเปลยี่ นเสน้ ทางจากการไหลตามแนวโค้งเดมิ เปน็ ตดั ตรง ทำให้ลำน้ำโค้งเดมิ
ถกู ตัดขาดเปน็ ทะเลสาบรูปแอก เช่น แมน่ ้ำเจ้าพระยาในช่วงที่ไหลผา่ นท่ีราบลมุ่ ภาคกลางตอนลา่ ง

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

508 คมู่ อื เตรยี มสอบ

24. คดั ดนิ ธรรมชาติ (Natural Levee)คือ ลกั ษณะการสะสมตะกอนของแม่น้ำท่ี
ไหลผ่านพ้ืนแมน่ ้ำทีก่ ว้างและราบ คันดนิ ธรรมชาติจะอยู่ขนาดกันท้ังสองฟากฝ่ังลำนำ้ เกิดจากนำ้ ที่
ทว่ มล้นฝงั่ อยูเ่ ปน็ เวลานานและทว่ มหลายครั้ง เมอ่ื ธารนำ้ ไหลท่วมสองฟากฝัง่ ความเรว็ ของธารน้ำก็
จะลดลงเกดิ ตะกอนตกทบั ถมกนั เปน็ แนวยาวรมิ ลำนำ้

25. ดินดอนสามเหล่ยี มปากแม่น้ำ (Delta)สว่ นใหญพ่ บบรเิ วณปากแมน่ ำ้ ทเ่ี ช่ือมต่อ
กับมหาสมทุ รเกิดจากการท่ีทางน้ำไหลมาถงึ แหล่งนำ้ ที่เกือบนิง่ เช่น หนองน้ำ มหาสมทุ ร ความเรว็
ของทางนำ้ จะลดลงอยา่ งรวดเรว็ ทำให้ตะกอนที่ถูกน้ำพดั พามาทบั ถมกันเกดิ เป็นดินดอนสามเหลย่ี ม
ข้นึ

26. ลำน้ำแตกสาขา (Distributary)เกิดขึ้นบริเวณสามเหล่ยี มปากแมน่ ้ำเมื่อ
สามเหล่ียมปากแม่น้ำใหญ่ขน้ึ ความลาดชนั ของแม่น้ำกจ็ ะลดลงอย่างต่อเน่ือง ทำให้ลำนำ้ ถูกปิดก้นั
ดว้ ยตะกอนท่ีมาจากสายนำ้ ที่ไหลชา้ นนั้ เม่ือแมน่ ้ำถูกปดิ ก้ันน้ำกต็ ้องระบายออกสู่มหาสมทุ รดว้ ยวิธี
อนื่ ลำนำ้ จึงแตกสาขาออกเป็นลำนำ้ ย่อย ๆ หลายสาร แลว้ แบ่งเอานำ้ และตะกอนไปจากลำน้ำสาย
หลกั นน้ั

27. เนินตะกอนนำ้ พารูปพดั (Alluvia fan)เกิดจากนำ้ พดั พาตะกอนมาหามหุบเขา
ด้วยความเรว็ สูง เม่ือไหลงสู่ที่ราบความเรว็ ของน้ำจะลดลงทำให้ตะกอนตกทับแผอ่ อกไปในบริเวณที่
ราบเชิงเขามีลักษณะคล้ายพัดที่กางออก

28. เนินตะกอนน้ำพารูปกรวย (Alluvial Cone)มีลกั ษณะการเกดิ คล้ายเนิน
ตะกอนนำ้ พารูปพัดแต่ตะกอนทต่ี กทับถมมีการสะสมตวั พูดสูงขนึ้ เป็นรปู กรวย

29. เนนิ ทราย (Sand dune)เป็นพนื้ ท่ีที่มลี กั ษณะนูนขนึ้ เปน็ โคกเตี้ย ๆ เกิดจาก
ลมพดั พาทรายมากองรวมกัน สามารถเปลี่ยนตำแหน่งไดโ้ ดยอาศัยลมเป็นตัวกลางในการพัดพา
ทศิ ทางของเนินทรายจะอยู่ในแนวเดียวกันกับทิศทางการพัดพาของลม ดา้ นข้างของเนนิ ด้านต้นลม
จะมลี ักษณะลาดสว่ นดา้ นท่ีอยูป่ ลายลมจะมลี ักษณะชนั

30. ภูเขายอดราบ เปน็ ลกั ษณะเฉพาะของภูเขาโดด การสึกกรอ่ นของหนิ โดยปัจจยั
ต่าง ๆ ตามธรรมชาตทิ ำให้ไหล่เขาชนั ข้ึนไปตามความสงู แต่ยอดเขามลี กั ษณะแบบราบคล้ายโต๊ะ เช่น
ภกู ระดึง ภูหลวง ภกู มุ้ ขา้ ว เป็นต้น

31. ถำ้ หนิ ปูน เกิดจากคาร์บอนิกในน้ำฝนละลายแร่แคลไซตท์ ี่อยู่ในหนิ ปนู ทีม่ รี อย
แตกแยก เมอ่ื เกดิ บ่อย ๆ เปน็ เวลานาน รอยแตกนั้นกจ็ ะยบุ ตวั ลงเป็นหลมุ ยบุ หรือชอ่ งโพรงและนำ้ ก็

ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 509

จะกดั กร่อนละลายหินปูนไปทีละน้อยจนกลายเป็นโพรงโตและเปน็ ถำ้ ในทีส่ ดุ ภายในถำ้ นี้มกั มหี ินงอก
หินย้อยเกดิ ขึน้ ด้วย

32. หินงอกหินย้อย เกิดจากนำ้ ซึมผา่ นเพดานถำ้ หนิ ปูนเม่ือนำ้ ระเหยไปจะทำให้แร่
แคลไซต์ตกผลึกในลักษณะยอดพุง่ ลงมาจากเพดาน เรยี กวา่ หนิ ย้อย ในขณะเดยี วกันถา้ น้ำแร่หยดลง
พืน้ แลว้ นำ้ ระเหยไปผลกึ แรแ่ คลไซตจ์ ะพอกตวั ขึน้ จากพน้ื เรียกว่า หนิ งอก หนิ งอกและหินย้อยนน้ี าน
เข้าอาจบรรจบกนั กลายเป็นรูปเสารองชน้ั เพดานถ้ำ เรยี กว่า เสาหิน

33. ซุ้มหิน เกดิ ในบริเวณพ้ืนที่ชายฝง่ั ทะเล เนอื่ งจากมีการเกิดน้ำข้ึนนำ้ ลงทกุ วนั
และคลนื่ น้ำซดั จากทะเลจะทำใหเ้ กดิ การกดั กร่อนหินที่ยนื่ ออกไปในทะเลจนกลายเป็นโพรง เมื่อเกิด
นาน ๆ เขา้ โพรงนัน้ จะทะลุถึงกันเกิดเป็นช่องหนิ เรียกวา่ ซุ้มหนิ ถา้ มีน้ำไหลผ่านได้จะเรียกว่า
สะพานหินธรรมชาติ

ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

510 คมู่ อื เตรยี มสอบ

สาระท่ี 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ

บทที่ 1 ปฏิสัมพันธ์ในระบบสุรยิ ะ
1) ระบบสุริยะ (Solar System) คือ ระบบท่ีประกอบด้วยดวงอาทติ ยเ์ ปน็ ศูนย์กลาง

มีบริวารโคจรอยโู่ ดยรอบ ได้แก่ ดาวเคราะหต์ ่าง ๆ ดวงจนั ทร์ บริวารของดาวเคราะห์แต่ละดวง ดาว
เคราะหน์ ้อย ดาวหาง อุกกาบาต ตลอดจนกลุ่มฝ่นุ และแกส๊ ซ่ึงเคล่อื นที่อยู่ในวงโคจรภายใตอ้ ทิ ธิพล
แรงดงึ ดดู จากดวงอาทติ ย์

2) โลก (The Earth)เปน็ ดาวเคราะหด์ วงเดียวในระบบสุรยิ ะทมี่ สี ่งิ มชี ีวติ อาศัยอยู่
ประกอบด้วยสว่ นท่เี ป็นพน้ื ดิน พืน้ นำ้ และบรรยากาศซ่ึงเปน็ ปัจจัยท่ีสำคญั ในการดำรงชีวติ ของ
มนุษย์

3) การเคลือ่ นทีข่ องโลก มี 2 ลักษณะทส่ี ำคัญ คือ1) หมนุ รอบตัวเองรอบละ 1 วัน ทำ
ให้เกดิ วนั 2) โคจรรอบดวงอาทติ ย์รอบละ 1 ปี ทำใหเ้ กิดปี

4) ลักษณะการหมนุ รอบตัวเองของโลก จะหมุนจากทศิ ตะวันตกไปทางทิศตะวนั ออก
หรือหมุนจากทางประเทศพม่ามาทางประเทศไทย

5) ปรากฏการณ์ทีเ่ กิดจากการหมนุ รอบตัวเองของโลก เชน่ เกดิ ทศิ กลางวันกลางคนื
การขน้ึ ตกของดวงอาทติ ย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวตา่ ง ๆ เปน็ ตน้

6) การขน้ึ ตกของดวงอาทิตย์ เกดิ จากการที่โลกหมนุ รอบตัวเองจากทิศตะวนั ตกไป
ทศิ ตะวันออกรอบละ 1 วนั ทำใหค้ นบนโลกมองเห็นดวงอาทติ ย์เคลอื่ นทีป่ รากฏจากทศิ ตะวันออกไป
ทางทศิ ตะวันตกและกลบั มาท่ีเก่าในเวลา 1 วัน

7) ขอบฟา้ คอื บริเวณรอบต่อระหวา่ งท้องฟ้า และพ้ืนดินหรือพน้ื น้ำ

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 511

8) การเกดิ ทศิ และการเกดิ กลางวนั กลางคืน ศกึ ษาจากรูปภาพต่อไปนี้ สมมติให้ผู้
สังเกตยนื อยูต่ ำแหน่งเดิมบนเสน้ ศนู ย์สูตรโลก และหนั หนา้ ไปทางขั้วโลกเหนอื

ตำแหน่ง 1 (เวลา 06.00 น.) จะเห็นดวงอาทิตยข์ น้ึ ทข่ี อบฟ้าทางทิศตะวันออก ดงั น้ันทิศตรง
ข้ามกับทิศตะวันออกคอื ทิศตะวันตก

ตำแหนง่ ที่ 2 (เวลา 12.00 น.) จากตำแหน่งท่ี 1 เมื่อโลกหมนุ ไปอีก 6 ช่วั โมง จะพาผสู้ ังเกต
ไปอยู่ที่ตำแหน่งท่ี 2 ทำใหม้ องเหน็ ดวงอาทิตย์ปรากฏอยูเ่ หนือศีรษะ

ตำแหน่งที่ 3 (เวลา 18.00 น.) จากตำแหน่งท่ี 2 เม่ือโลกหมุนไปอีก 6 ชว่ั โมง จะพาผ้สู งั เกต
ไปอยตู่ ำแหนง่ ที่ 3ทำให้มองเหน็ ดวงอาทิตย์ทขี่ อบฟ้าทศิ ตะวันตก เรยี กว่า ดวงอาทติ ย์ตก

ตำแหน่งท่ี 4 (เวลา 24.00 น.) จากตำแหนง่ ที่ 3 เมื่อโลกหมนุ ต่อไปอีก 6 ชั่วโมงซ่งึ เร่มิ เปน็
เวลากลางคนื ผู้สังเกตจะไปอยูต่ ำแหนง่ ท่ี 4 และมองไมเ่ ห็นดวงอาทติ ย์ แลว้ หลงั จากน้นั อกี 6 ช่ัวโมง
โลกกจ็ ะหมุนกลับไปยงั ตำแหนง่ ท่ี 1 อีกครัง้

สรปุ ได้วา่
1) ทิศอยู่ติดกับโลกเช่นเดยี วกับคนบนโลก กอ็ ยู่ในตำแหนง่ เดมิ บนโลกเพียงแต่โลกมกี าร
หมนุ รอบตัวเองจากทิศตะวนั ตกไปยงั ทิศตะวนั ออก
2) การหมนุ รอบตัวเองของโลกทำใหเ้ กดิ กลางวนั กลางคืน โลกด้านทไ่ี ดร้ บั แสงอาทติ ย์เป็น
เวลากลางวัน สว่ นด้านท่ีไม่ได้รับแสงอาทิตย์เป็นเวลากลางคนื
9. แกนโลก (Axis)คือ แกนสมมตทิ ่ีผา่ นขัว้ โลกเหนอื ข้วั โลกใต้ และจดุ ศนู ยก์ ลางของ
โลก โดยโลกจะหมนุ รอบแกนน้เี อียงทำมมุ ประมาณ 23.5 องศา กบั แนวต้งั ฉากกบั ระนาบวงโคจร
ของโลกรอบดวงอาทิตย์
10. ทรงกลมฟ้า เปน็ ทรงกลมสมมตทิ ่คี รอบโลกอยู่ เมอ่ื ขยายขอบเขตของโลกไปใน
อวกาศ

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

512 คมู่ อื เตรยี มสอบ

11. การโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ จะทำให้คนบนโลกมองเหน็ ดวงอาทติ ยเ์ คลอ่ื นท่ี
ปรากฏไปทางทศิ ตะวนั ออกผ่านกลุ่มดาวต่าง ๆ และกลบั มาทเ่ี ก่าในเวลา 1 ปี ซง่ึ ในแต่ละวนั ท่ีโลก
หมุนรอบตวั เองครอบ 1 รอบโลก จะเคลื่อนท่ีไปได้ประมาณ 1 องศาด้วย หรอื ใน 1 วัน ดวงอาทติ ย์
จะเคลอื่ นทปี่ รากฏไปทางทศิ ตะวนั ออกประมาณ 1 องศา ดงั นนั้ ในเวลา 1 ปี ดวงอาทิตยจ์ ะเคล่อื นที่
ปรากฏไป 360 องศา

12. สรุ ยิ วิถี (Ecliptic) คือ เสน้ ทางโคจรปรากฏของดวงอาทติ ย์ ผา่ นกลุ่มดาวซึง่
ปรากฏเปน็ ฉากหลังไปและยอ้ นกลบั มาครบรอบในเวลา 1 ปี

13. ระนาบสรุ ิยวิถี (Ecliptic Plane)คือ ระนาบทเ่ี กิดจากวงโคจรของโลก รอบดวง
อาทติ ย์ หรือหมายถึง พื้นราบทีม่ ีดวงอาทิตยแ์ ละโลกอยู่บนพื้นราบเดียวกัน

14. แกนโลกเอยี งจากแนวต้งั ฉากกับระนาบสรุ ยิ วิถีเป็นมุมประมาณ 23.5 องศา ผล
จากการเอียงของแกนโลกจะทำใหเ้ กดิ

1) เกดิ ฤดกู าลบนโลก เนือ่ งจากสว่ นต่าง ๆ ของโลกได้รับแสงจากดวงอาทิตย์แตกตา่ งกนั
ขวั้ โลกเหนอื หันเขา้ หาดวงอาทิตย์ในเดือนมิถุนายนทำให้ซีกโลกเหนอื เป็นชว่ งฤดรู ้อนและขวั้ โลก
เหนอื หันออกจากดวงอาทิตยใ์ นเดอื นธนั วาคมทำใหซ้ กี โลกเหนอื เปน็ ชว่ งฤดหู นาว ขณะที่เดอื น
มนี าคม และเดือนกนั ยายนจะหนั ด้านเขา้ หาดวงอาทติ ย์

2) คนบนโลกเหน็ ดวงอาทติ ย์ขึ้นไมต่ รงจุดเดมิ ทกุ วัน
3) เกิดกลางวนั กลางคืนยาวไม่เท่ากนั ตลอดท้ังปี

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 513

15. การขนึ้ ตกของดวงอาทิตย์ จะมีการเปล่ียนแปลงแบบเปน็ วัฏจกั ร คือในรอบ 1 ปี
ดวงอาทิตย์จะปรากฏขนึ้ และตกที่ตำแหน่งเดมิ ใน 4 วันดังน้ี

1) วนั ที่ 21 มนี าคม ดวงอาทติ ย์ขน้ึ ตรงจดุ ทิศตะวันออกและตกตรงจดุ ทศิ ตำวันตกพอดี
กลางวันยาวกวา่ กลางคืนทั่วโลก เสน้ ทางขนึ้ -ตกของดวงอาทิตย์ในวันน้ี เรยี กว่า เส้นศูนย์สตู รฟา้

2) วันท่ี 21 มิถนุ ายน ดวงอาทติ ยข์ นึ้ ทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางเหนอื 23.5 องศา และ
ตกทางทศิ ตะวนั ตกเฉยี งไปทางเหนือ 23.5 องศา เป็นวันที่กลางวันยาวทีส่ ดุ ดวงอาทติ ยจ์ ะขึ้นเรว็
และตกช้า

3) วนั ท่ี 23 กันยายน ดวงอาทิตย์ขน้ึ ตรงจุดทศิ ตะวนั ออกและตกตรงจุดทิศตะวันตกพอดี
กลางวนั ยาวกวา่ กลางคืน

4) วนั ที่ 22 ธันวาคม ดวงอาทิตยข์ ึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางใต้ 23.5 องศา และตก
ทางทิศตะวันตกเฉียงไปทางใต้ 23.5 องศา ดวงอาทิตยข์ ึ้นช้าและตกเร็ว กลางวนั สั้นกวา่ กลางคนื

16. ดวงอาทติ ย์ (The Sun)เปน็ ก้อนแก๊สรอ้ นขนาดใหญ่ ซง่ึ มีลักษณะพิเศษคอื แก๊สไม่
กระจายออกไปตามสมบตั ิของแก๊สทั่วไปแต่คงรูปร่างเปน็ ดวงอาทิตย์อยไู่ ด้ เน่ืองจากแก๊สเหล่านนั้ อยู่
ภายใตส้ ภาวะทแ่ี รงดนั เท่ากบั แรงโนม้ ถ่วง โดยแรงดนั พุ่งออกจากจุดศนู ย์กลางและแรงโน้มถว่ งพงุ่
เข้าสู่จุดศนู ย์กลางของดวงอาทติ ย์

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

514 ค่มู อื เตรยี มสอบ

17. พลังงานจากดวงอาทิตย์ เกิดจาก ปฏกิ ิรยิ าเทอร์มอนิวเคลยี รฟ์ ิวชัน
(Thermonuclearfusion)ซ่งึ เกิดจากการหลอมนวิ เคลียสของไฮโดรเจนด้วยความร้อนให้เป็น
นิวเคลยี สของฮเี ลยี มพร้อมกบั เกิดพลงั งานมหาศาลจากปฏกิ ิริยา ดังสมการ

4H He + พลังงานมหาศาล
18. ดวงจันทร์ (The Moon) เป็นบริวารของโลก มีขนาดเล็กและมมี วลนอ้ ยกวา่ โลก
มากทำใหด้ วงจันทรม์ ีแรงโนม้ ถว่ งนอ้ ยกว่าโลกประมาณ 6 เท่า และมบี รรยากาศทเ่ี บาบางมากจน
เรียกได้ว่าไม่มบี รรยากาศ อณุ หภูมพิ นื้ ผิวดวงจันทรด์ า้ นรับแสงอาทติ ยด์ ้านที่ไม่ไดร้ ับแสงอาทิตย์จงึ
แตกต่างกนั มาก
19. การเคล่ือนท่ีของดวงจันทร์ ดวงจนั ทรโ์ คจรรอบโลกใชเ้ วลาประมาณ 29.5 วัน
และหมุนรอบตวั เองใช้เวลา 27.32 ชัว่ โมง ซง่ึ ใกล้เคียงกบั การหมนุ รอบตัวเองของโลก ดงั น้ันจงึ ทำให้
คนบนโลกเห็นผวิ พ้นื ของดวงจันทร์เพยี งด้านเดยี วเสมอ นักดาราศาสตร์เรยี กด้านนขี้ องดวงจนั ทร์วา่
ด้านใกลโ้ ลก สว่ นอกี ด้านหน่ึงเรียกว่า ดา้ นไกลโลก
20. ปรากฏการณ์ท่เี กิดจากความสัมพันธ์ระหวา่ งโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทติ ย์
เชน่
1) ปรากฏการณท์ เ่ี กิดขนึ้ เน่ืองจากการเปลยี่ นตำแหนง่ ของดวงจนั ทร์ รอบโลก เชน่ ข้างขึ้น
ขา้ งแรม สุรยิ ปุ ราคา จันทรุปราคา เปน็ ต้น
2) ปรากฏการณท์ เ่ี กดิ เน่อื งจากอิทธิพลแรงโนม้ ถ่วงของดวงจันทรแ์ ละดวงอาทติ ย์ที่มตี ่อโลก
เช่น น้ำขึน้ นำ้ ลง เปน็ ตน้
21. ปรากฏการณข์ า้ งข้ึนข้างแรม (Phase of the Moon)เกดิ จากการทดี่ วงจนั ทร์
โคจรรอบโลก และได้รับแสงจากดวงอาทติ ยแ์ ล้วสะท้อนแสงน้ันมายังโลกในรอบ 1 เดือนทกุ ๆ วนั
จึงทำใหค้ นบนโลกเห็นส่วนสวา่ งของดวงจนั ทร์แตกต่างกันดังน้ี

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 515

(หมายเหตุ : เวลา ณ ตำแหนง่ ต่าง ๆ ของดวงจนั ทรใ์ นรปู ภาพเป็นเวลาทด่ี วงจันทร์อยใู่ น
ตำแหนง่ สงู สุดบนท้องฟ้า)

1) วันแรม 15 ค่ำ หรอื วนั แรม 14 ค่ำ หรอื เรยี กว่า จันทร์ดบั ดวงจันทรม์ ืดท้งั ดวง เกิด
จากดวงจันทร์โคจรมาอย่รู ะหว่างโลกกบั ดวงอาทิตยท์ ำให้ไม่สามารถสะท้อนแสงมายังโลกได้

2) วนั ขึน้ 3 ค่ำ ดวงจนั ทร์มลี ักษณะเปน็ เสี้ยวสวา่ งเพิ่มข้นึ เกดิ จากดวงจันทร์เคล่อื นไป
ทางตรงขา้ มกับดวงอาทิตย์ทำใหด้ วงจันทรส์ ะท้อนแสงมายงั โลกเฉพาะฝั่งทรี่ บั แสงจากดวงอาทติ ย์
หรอื ซีกตะวันตก

3) วนั ขึน้ 8 คำ่ ดวงจันทรจ์ ะสวา่ งครึง่ ดวงมอื ครึ่งดวงโดยจะสวา่ งทางซีกตะวนั ตก
4) วนั ข้นึ 12 ค่ำ ด้านสวา่ งจะเพ่ิมขึ้นทางซกี ตะวนั ตก เน่ืองจากดวงจนั ทร์เคล่ือนไปทางตรง
ขา้ มกบั ดวงอาทิตยท์ ำให้สะท้อนแสงมายังโลกมากขนึ้
5) วันข้ึน 5 คำ่ หรือเรยี กวา่ จันทรเ์ พ็ญ ดวงจันทรส์ ว่างเต็มดวงเปน็ รปู วงกลม เนอ่ื งจาก
ดวงจันทรเ์ คลอ่ื นไปอยฝู่ ัง่ ตรงขา้ มกบั ดวงอาทิตยเ์ ปน็ รปู วงกลม เนอ่ื งจากดวงจันทร์เคล่อื นไปอยฝู่ ่ัง
ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ทำใหส้ ามารถสะท้อนแสงมายงั โลกได้มากทีส่ ุด
6) วนั แรม 3 ค่ำ ดวงจันทรม์ ีความสวา่ งลดลง
7) วนั แรม 8 ค่ำ ดวงจนั ทรจ์ ะสวา่ งครึ่งดวงมดื คร่ึงดวงโดยจะสว่างทางซีกตะวันออก
เนอื่ งจากดวงจนั ทร์โคจรไปทางตะวันออกเขา้ หาดวงอาทติ ย์
8) วนั แรม 12 ค่ำ ดวงจันทร์มีความสวา่ งลดลงเร่อื ย ๆ จนมลี ักษณะเปน็ เสยี้ ว และเมือ่ ดวง
จนั ทรโ์ คจรตอ่ ไปกจ็ ะคอ่ ย ๆ สวา่ งลดลงจนมืดกลบั มาอยูท่ ่ีตำแหนง่ เดิมอีกครง้ั ซ่ึงจะใชเ้ วลาทง้ั หมด
1 เดือน
22. การมองเหน็ ส่วนสวา่ งของดวงจันทร์
1) วนั ข้างข้ึน ดวงจนั ทรจ์ ะหันดา้ นเว้าแหว่งไปทางดา้ นทิศตะวันออกและหันดา้ นสวา่ งไป
ทางทิศตะวนั ตก ด้านสวา่ งจะเพิม่ ข้ึนทางซีกตะวันตก

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

516 คมู่ อื เตรยี มสอบ

2) วันขา้ งแรม ดวงจันทรจ์ ะหันด้านเว้าแหว่งไปทางดา้ นทิศตะวนั ตกและหันด้านสวา่ งไป
ทางทิศตะวนั ออก

23. นำ้ ขึ้นนำ้ ลง (Tide)เกิดจากแรงดึงดดู ของดวงจันทรแ์ ละดวงอาทติ ย์ทีก่ ระทำต่อนำ้
บนโลกแตด่ วงจันทรอ์ ยใู่ กลโ้ ลกมากกว่าจงึ มแี รงดึงดูดมากกวา่ ทำใหพ้ น้ื นำ้ บนโลกถูกแรงดึงดดู ของ
ดวงจนั ทร์ให้ไหลมารวมกันทางด้านใกลด้ วงจนั ทร์ พ้นื ผิวน้ำบริเวณนจี้ ึงนนู ขนึ้ เปน็ ปรากฏการณ์ นำ้
ขึน้ แต่น้ำบนโลกดา้ นไกลจากดวงจนั ทร์เกิดการนูนออกมาด้วยเน่ืองจากแรงเฉ่อื ย จึงเกิดนำ้ ขึ้นดว้ ย
ขณะเดยี วกันอีกสองบริเวณบนโลกท่อี ยู่ในแนวต้งั ฉากกบั เส้นท่ลี ากระหวา่ งดวงจันทรแ์ ละตำแหนง่ ท่ี
น้ำข้ึนทั้งสอง ผ่านจดุ ศนู ยก์ ลางของโลก ก็จะเกดิ ปรากฏการณ์ นำ้ ลง ด้วย

1) วันขน้ึ 15 คำ่ และวนั แรม 14 คำ่ หรือแรม 15 ค่ำ ดวงอาทิตย์ โลก และดวงจนั ทรจ์ ะ
โคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน แรงโน้มถว่ งของดวงอาทิตย์จงึ ไปเสรมิ แรงโน้มถ่วงจาดวงจนั ทร์ ทำให้
ระดบั นำ้ ทะเลบนโลก มกี ารเปลยี่ นแปลงมาก คือ น้ำขน้ึ สงู มากและนำ้ ลงตำ่ มาก เรยี กว่า วนั นำ้ เป็น
(Spring tide)

2) วนั ข้นึ 8 คำ่ และแรม 8 คำ่ ดวงอาทติ ย์ โลก และดวงจันทร์ โคจรมาอยู่ในแนวตงั้ ฉาก
กนั แรงโน้มถว่ งของดวงอาทิตย์จึงไปหักลา้ งแรงโน้มถ่วงจากดวงอาทติ ย์ ทำใหร้ ะดับน้ำทะเลมกี าร
เปลยี่ นแปลงนอ้ ย เรยี กว่า วันน้ำตาย (Neap tide)

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 517

24. แรงไทดัล เปน็ แรงโนม้ ถ่วงที่กระทำระหวา่ งดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ ซงึ่ มคี า่
ไมเ่ ท่ากันในแตล่ ะตำแหนง่ บนพ้ืนผิวโลก

25. อุปราคา ปรากฏการณ์ที่เกดิ จากโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทติ ย์โคจรมาอย่ใู นแนว
เดียวกัน

1) สรุ ิยปุ ราคา ปรากฏการณ์ทผี่ สู้ งั เกตบนโลกมองเห็นดวงอาทติ ย์มืดทัง้ ดวงหรือบางส่วน
เน่ืองจากการเรียงตัวในแนวเสน้ ตรงของดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และโลก ตามลำดบั ดวงจันทรจ์ ึงบัง
แสงอาทติ ย์แล้วเงาของดวงจันทร์ตกลงบนโลก คนสมยั โบราณเรียกว่า ราหูอมดวงอาทิตย์ มี 3 แบบ
ได้แก่ สรุ ิยุปราคาเต็มดวง เกิดขน้ึ เม่ือผู้สังเกตอยใู่ นเงามืด จะมองเหน็ ดวงจันทร์บังดวงอาทติ ย์ได้มดิ
ดวง สุริยุปราคาบางส่วน เกดิ ข้ึนเมือ่ ผสู้ งั เกตอยใู่ นเขตเงามัว จะมองเห็นดวงอาทติ ยส์ วา่ งเป็นเสย้ี ว
และสรุ ยิ ปุ ราคาวงแหวน เกิดเนอ่ื งจากวงโคจรของดวงจนั ทรเ์ ป็นรูปวงรี บางครัง้ อยู่ห่างจากโลกมาก
จนเงามดื ของดวงจันทร์ทอดยาวไม่ถึงโลก ดวงจันทรจ์ งึ ปรากฏเล็กกวา่ ดวงอาทติ ย์ ผู้สงั เกตจงึ
มองเหน็ ดวงอาทิตยเ์ ป็นรูปวงแหวนปรากฏการณส์ ุรยิ ปุ ราคาจะเกิดนานประมาณ 3 ช่ัวโมง แตช่ ่วงที่
เป็นแบบเตม็ ดวงจะเกดิ ข้นึ เพียง 2-5 นาทเี ท่าน้นั

2) จันทรุปราคา ปรากฏการณท์ ่ีผ้สู ังเกตบนโลกมองเหน็ ดวงจนั ทรม์ ดื ท้ังดวงหรือบางสว่ น
เนือ่ งจากการเรยี งตัวในแนวเส้นตรงของดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ ตามลำดบั โลกจงึ บงั
แสงอาทิตย์ท่สี อ่ งไปยังดวงจันทรท์ ำให้เงาของโลกตกลงบนดวงจนั ทร์ คนสมยั โบราณเรยี กว่า ราหอู ม
จนั ทร์ มี 3 แบบ ได้แก่ จันทรุปราคาเต็มดวง เกิดขน้ึ เม่อื ดวงจนั ทร์เขา้ ไปอยู่ในเขตเงามดื ของโลก
จันทรุปราคาบางสว่ น เกิดขึน้ เมือ่ บางส่วนของดวงจันทรเ์ คลือ่ นทีเ่ ขา้ ไปในเขตเงามดื และ
จันทรปุ ราคาเงามัว เกดิ ขึน้ เม่ือดวงจันทรเ์ คล่ือนที่เข้าไปในเขตเงามวั

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

518 ค่มู อื เตรยี มสอบ

26. ดาว แบ่งไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คือ
1) ดาวฤกษ์ คือ ดาวทมี่ ีความร้อนและแสงสว่างในตวั เองมองเหน็ เปน็ แสงกะพริบจำนวน
มาก มีโครงสร้างเป็นก้อนแก๊สร้อนขนาดใหญ่ ภายในเกดิ ปฏิกริ ยิ าเทอร์มอนิวเคลียรซ์ ง่ึ ให้พลังงาน
ความร้อนและแสงสวา่ งจำนวนมหาศาลออกมาสามารถจดั ไดเ้ ปน็ กลมุ่ ๆ แลมองเหน็ แตล่ ะกลมุ่ อยู่
ประจำทีเ่ น่ืองจากว่าดาวอยหู่ ่างจากโลกเปน็ ระยะทางมหาศาล ตำแหน่งของดาวจึงดูเหมือนไมม่ ีการ
เปลย่ี นแปลง ท้งั ทจี่ ริงแล้วมีการเคลื่อนที่
2) ดาวเคราะห์ คือ ดาวที่อยู่โดด ๆ ไม่มแี สงสวา่ งในตวั เอง แตส่ ามารถรบั และสะท้อนแสง
จากดาวฤกษไ์ ด้ ทำให้เราสามารถมองเหน็ ดาวเคราะหแ์ ละดูคลา้ ยกบั วา่ มแี สงสว่างในตัวเองใน
ลักษณะเป็นแสงนวลน่งิ ปัจจุบันมีดาวเคราะห์ทเ่ี รารจู้ ักเพยี งไมก่ ด่ี วง และทุกดวงล้วนอยู่ในระบบ
สุรยิ ะเดียวกนั กบั โลก
27. ระบบสุริยะ ประกอบดว้ ยดวงอาทติ ยเ์ ปน็ ศูนยก์ ลางของระบบ และมดี าวเคราะห์
ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง อุกกาบาต ซงึ่ ถกู แรงโน้มถว่ งของดวงอาทิตยด์ ึงดูดใหโ้ คจรรอบดวงอาทติ ย์
และตดิ ตามการเคลอ่ื นที่ของดวงอาทิตย์ไปในอวกาศ
28. ดาวเคราะหใ์ นระบบสุริยะ มี 8 ดวง เรียงตามลำดับจาดวงท่ีอยูใ่ กล้ดวงอาทติ ย์
มากทส่ี ุด คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์โลก ดาวองั คาร ดาวพฤหสั บดี ดาวเสาร์ ดาวยเู รนัส และดาวเนปจูน
ดาวเคราะหท์ ุกดวงจะโคจรรอบดวงอาทติ ย์เปน็ วงรีในทศิ ทางทวนเข็มนาฬกิ า และเกือบอยใู่ นระนาบ
เดยี วกันทง้ั หมด
29. สหพันธ์ดาราศาสตรส์ ากล จัดประชมุ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2549 มีมติ
กำหนดนิยามใหมข่ องดาวเคราะห์ทำใหด้ าวพลูโต ถกู เปลีย่ นสถานะจากดาวเคราะห์เปน็ ดาว
เคราะหแ์ คระ เนื่องจากดาวพลูโตไม่สามารถควบคุมแรงดึงดูดและวงโคจรของสิ่งต่าง ๆ ท่อยนู่ อก

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 519

ระบบสุริยะได้ และเน่ืองจากวงโคจรของดาวพลโู ตมคี วามรีมาก มบี างชว่ งทร่ี ะนาบเอยี งทำมุมกบั
สรุ ยิ ะวถิ ถี ึง 17 องศา จากนยิ ามดงั กลา่ วจึงทำให้ระบบสรุ ยิ ะมดี าวเคราะหเ์ หลือเพียง 8 ดวง

30. ประเภทของวตั ถุบนท้องฟ้า สหพันธ์ดาราศาสตร์สากลแบ่งวตั ถบุ นท้องฟ้า
ออกเป็น 3 ประเภท คือ

1) ดาวเคราะห์ (Planet) เป็นวัตถบุ นทอ้ งฟา้ ที่ (1) โคจรรอบดวงอาทติ ย์ (2) มมี วลมาก
พอท่ีจะมีแรงโนม้ ถว่ งดึงดดู ตัวเองให้อยใู่ นสภาวะสมดลุ อุทกสถิตหรอื รปู รา่ งใกล้เคียงกบั ทรงกลม (3)
มวี งโคจรท่ีชัดเจนและสอดคล้องกับดาวเคราะห์ขา้ งเคียง

2) ดาวเคราะหแ์ คระ (Dwarf Planet) เป็นวัตถุท้องฟา้ ที่ (1) โคจรรอบดวงอาทิตย์ (2)
มมี วลมากพอทจี่ ะมีแรงโน้มถ่วงดงึ ดูดตวั เองให้อยูใ่ นสภาวะสมดลุ อทุ กสถติ หรือรปู รา่ งใกลเ้ คียงกบั
ทรงกลม (3) มีวงโคจรที่ไมช่ ดั เจนและสอดคล้องกบั ดาวเคราะหข์ า้ งเคียง(4) ไม่ใชด่ วงจันทรบ์ รวิ าร

31. ประเภทของดาวเคราะห์ นกั วทิ ยาศาสตร์แบง่ ดาวเคราะหโ์ ดยใช้ระยะห่างจากดาว
เคราะหถ์ ึงดวงอาทติ ยเ์ ปน็ เกณฑ์ได้ 2 ประเภท คือ

1) ดาวเคราะห์ช้ันใน (Inner Planets) เปน็ ดาวเคราะห์ท่อี ย่ใู กลด้ วงอาทติ ยม์ ากกวา่ แถบ
ดาวเคราะหน์ ้อย มี 4 ดวง ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศกุ ร์ โลก และดาวองั คาร

2) ดาวเคราะห์ชน้ั นอก (Outer Planets)เปน็ ดาวเคราะหท์ ีอ่ ย่ไู กลจากดวงอาทติ ย์
มากกวา่ แถบดาวเคราะห์น้อยมี 4 ดวง ไดแ้ ก่ ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน

32. ข้อแตกต่างระหวา่ งดาวเคราะหช์ ้นั ในและดาวเคราะห์ชน้ั นอก
1) ดาวเคราะห์ช้ันใน เปน็ ดาวเคราะห์ทีม่ ีองคป์ ระกอบเปน็ หนิ และโลหะท้งั หมดซง่ึ มี
ลกั ษณะเชน่ เดียวกบั โลก
2) ดาวเคราะห์ชัน้ นอก มีองคป์ ระกอบส่วนใหญเ่ ปน็ ธาตทุ ่ีเบา ได้แก่ ไฮโดรเจนและฮเี ลียม
ซง่ึ เป็นแกส๊ ในสภาวะแบบโลก
33. ประเภทของดาวเคราะห์ แบ่งโดยใชข้ นาดวงโคจรเมอื่ เทยี บกับวงโคจรของโลกเปน็
เกณฑ์ มี 2 ประเภท คือ
1) ดาวเคราะห์วงใน (Inferior planet)ไดแ้ ก่ ดาวพุธกบั ดาวศุกร์

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

520 ค่มู อื เตรยี มสอบ

2) ดาวเคราะห์วงนอก (Superior planet)ได้แก่ ดาวองั คาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาว
ยูเรนสั และดาวเนปจนู

34. ดาวเคราะหน์ อ้ ย (Asteroid หรือ Minor Planet)เปน็ วัตถจุ ำพวกหินหรือโลหะ
ทีโ่ คจรรอบดวงอาทติ ย์ แต่มีขนาดเลก็ เกินกวา่ จะเปน็ ดาวเคราะห์ แถบดาวเคราะหน์ ้อย (Asteroid
Belt) พบอยรู่ ะหวา่ งวงโคจรของดาวอังคารและดาวพฤหัสบดี ปจั จบุ นั มีดาวเคราะหน์ ้อยถูกพบแลว้
มากกวา่ 450,000 ดวง และมีช่อื เปน็ ตัวเลขแลว้ มากกว่า 200,000 ดวง

35. กำเนดิ ของดาวเคราะห์น้อย นักดาราศาสตร์สนั นษิ ฐานว่า
1) ดาวเคราะหน์ ้อยเป็นซากเหลอื จากการก่อเกดิ ของระบบสุริยะในอดีต
2) เกิดจากดาวเคราะหด์ วงใดดวงหนง่ึ ถกู ชนแตกกระจายเป็นชิน้ เล็ก ช้ินนอ้ ย แต่เมือ่
คำนวณมวลรวมของดาวเคราะหน์ ้อยทั้งหมดเขา้ ด้วยกนั เป็นกอ้ นเดียวพบว่าวตั ถนุ ้ันมขี นาดเลก็ กวา่
ครง่ึ หน่งึ ของดวงจนั ทรเ์ ท่านัน้ และมีทฤษฎหี นงึ่ อธิบายวา่ ดาวเคราะหน์ ้อยไม่สามารถรวมตวั กนั เปน็
ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ได้ เน่ืองจากถูกรบกวนโดยแรงโนม้ ถ่วงอนั มหาศาลของดาวพฤหสั บดี
36. ดาวตก (Meteor)หรือผีพงุ่ ไต้ เกดิ จากสะเกด็ ดาวทเี่ ปน็ วัตถแุ ขง็ จำพวกหินหรือ
เหลก็ ทมี่ ีขนาดเลก็ ลอยอยใู่ นอวกาศถูกแรงดึงดูดของโลกดูดเขา้ มาในชนั้ บรรยากาศทำให้ร้อนจดั แล้ว
ลกุ ไหม้สวา่ งกลายเป็นไอสลายไปจนหมด เห็นเป็นแสงวาบเพยี งชั่วขณะบนท้องฟ้า
37. อุกกาบาต (Meteorite) เกิดจากสะเก็ดดาวขนาดใหญ่ ซึ่งสว่ นใหญ่มาจากดาว
เคราะหน์ ้อยถูกแรงดงึ ดูดของโลกดูดเข้ามาในช้ันบรรยากาศโลกเสียดสกี ับชน้ั บรรยากาศแลว้ ลกุ ไหม้
ไม่หมดเหลือเป็นเศษตกลงสู่พื้นโลกมขี นาดเล็กใหญ่แตกตา่ งกันต้ังแต่นำ้ หนักเพียงไม่ก่กี รัมจนถึงก้อน
หน่งึ หลายตัน อกุ กาบาตขนาดใหญ่ทีต่ กลงสู่พ้ืนโลกจะทำให้พน้ื ผวิ โลกปรากฏเป็นหลมุ หรอื แอ่ง โดย
มีเสน้ ผ่านศนู ย์กลางของหลมุ หรือแอ่งใหญ่ประมาณ 20 เท่าของขนาดอกุ กาบาตจริง
38. ประเภทของอุกกาบาต แบ่งตามลกั ษณะเน้ือในเปน็ 3 ชนิด คอื
1) ชนิดหนิ พบบนโลกประมาณ 92%
2) ชนิดเหล็ก พบบนโลกประมาณ 5.7%
3) ชนิดหนิ ปนเหลก็ พบเพยี งเลก็ น้อย
39. อุกกาบาตทต่ี กในประเทศไทย
1) ลูกอกุ กาบาตนครปฐม ตกทต่ี ำบลดอนยายหอม เม่ือวนั ท่ี 21 ธนั วาคม พ.ศ. 2466 แตก
เปน็ 2 ก้อนใหญ่ นำ้ หนักรวม 32 กโิ ลกรัม เป็นชนดิ หิน ตงั้ แสดงอยูท่ ี่ท้องฟา้ จำลองกรุงเทพฯ

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 521

2) ลูกอกุ กาบาตรเชียงคาน ตกท่ีอำเภอเชยี งคาน จงั หวัดเลย เม่อื วันที่ 17 พฤศจิกายน
พ.ศ. 2524 เป็นอุกกาบาตชนิดหิน สนั นิษฐานว่าน่าจะเปน็ วตั ถจุ ากกระแสธารอุกกาบาตทีเ่ ปน็ ซาก
เหลือจากดาวหางเทมเพล (Tempel) ทีโ่ ลกโคจรตดั ผา่ นธารอกุ กาบาตในช่วงนน้ั

40. หลุมอกุ กาบาตแบริงเจอร์ รัฐแอรโิ ซนา สหรฐั อเมริกา ปากของหลมุ มีลกั ษณะ
เกอื บกลม มเี สน้ ผา่ นศนู ย์กลาง 1,200 เมตร ลกึ 180 เมตร สันนษิ ฐานวา่ เกิดจากดวงเคราะหน์ อ้ ย
หรือดาวหางโคจรมาชนโลกเมื่อประมาณ 50,000 ปมี าแล้ว

41. ดาวหาง (Comet) ประกอบดว้ ยฝุน่ ผง ก้อนนำ้ แข็ง และแก๊สแข็งตวั โคจรรอบดวง
อาทิตย์เปน็ วงรีขณะท่ีอยไู่ กลจากดวงอาทติ ยจ์ ะไม่มหี างและไม่มแี สงสวา่ ง แตเ่ มอื่ โคจรเข้าใกล้ดวง
อาทิตย์พลังงานจากดวงอาทติ ย์ทง้ั ในรูปความร้อน แสงสว่าง และลมสรุ ยิ ะจะทำใหน้ ้ำแข็งกลายเปน็
ไอ ดาวหาง จะขยายใหญ่และสว่างขึ้น เพราะสะท้อนแสงอาทติ ย์ และพลงั งานดังกลา่ วจะผลกั ดนั ให้
หางพงุ่ ในทศิ ทางตรงข้ามกบั ดวงอาทติ ย์ ส่วนของหางจะมที ้ังฝุ่น แก๊ส และโมเลกุลที่เป็นประจุไฟฟา้
42. ลมสุริยะ คอื อนุภาคมีประจทุ ่ีถูกปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์ สว่ นใหญ่ประกอบด้วยโปรตอน
และอเิ ล็กตรอน

43. ฝนดาวตก (Meteor Shower)เกดิ จากการทดี่ าวหางโคจรเขา้ ใกล้ดวงอาทติ ย์
ความร้อนจากดวงอาทติ ยจ์ ะทำใหน้ ้ำแข็งรอบนอกระเหดิ ออกปล่อยซากเศษช้นิ ส่วนเลก็ ๆ กระจาย
เปน็ ธารอกุ กาบาตเคลื่อนท่ีไปตามเสน้ ทางโคจรของดาวหาง เมื่อโลกเคลื่อนทีผ่ ่านธารอุกกาบาต
เหล่านจี้ งึ ดดู เศษหินและเศษโลหะเหลา่ นน้ั ให้วิง่ เขา้ มาในเขตบรรยากาศโลกดว้ ยความเร็วสูงเสยี ดสี
กับชน้ั บรรยากาศทำให้เกดิ ความร้อยเผาไหมเ้ ศษวัตถุนนั้ เกิดเป็นลูกไฟสวา่ งสวยงามจำนวนมาก

44. พายุฝนดาวตก เกดิ จากการที่โลกเคล่อื นที่ผ่านกลมุ่ ซากอุกกาบาตจำนวนมากทำ
ให้เกดิ ปรากฏการณฝ์ นดาวตกหนาแน่นมากเปน็ พเิ ศษ

45. พ.ศ. 159-221 อริสโตเตลิ (Aristotle) นกั ปราชญ์ชาวกรกี เสนอรปู แบบจักรวาลที่
มีโลกเปน็ ศูนย์กลาง มดี วงอาทติ ย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์อ่ืน ๆ โคจรรอบโลก

46. พ.ศ. 2016-2086 นิโคลสั โคเพอรน์ ิคัส(Nicolaus Copernicus)นกั ดาราศาสตร์
ชาวโปแลนดไ์ ด้เสนอแนวคิดเกี่ยวกบั ระบบสุริยะวา่ ดวงอาทติ ย์เปน็ ศูนย์กลางของระบบสุริยะ

47. พ.ศ. 2089-2114 ทโิ ค บราห์(Tycho Brahe) นักดาราศาสตรช์ าวเดนมาร์ก
เสนอแนวคดิ เกี่ยวกบั ระบบสรุ ิยะว่าดาวเคราะห์ทกุ ดวงโคจรรอบดวงอาทติ ย์ และดวงอาทิตย์โคจร
รอบโลกโดยโลกอยู่กบั ที่

48. พ.ศ. 2114-2173 โยฮันเนสเคปเลอร์(Johannes Kepler)นักดาราศาสตร์ชาว
เยอรมนั เสนอแนวคดิ เกย่ี วกบั ระบบสุริยะว่า บรวิ ารของดวงอาทติ ย์โคจรรอบดวงอาทิตย์อยา่ งมี

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

522 คมู่ อื เตรยี มสอบ

กฎเกณฑ์ แตเ่ คปเลอร์ไม่สามารถอธบิ ายได้ว่าเหตุใดบริวารของดวงอาทิตยจ์ ึงยงั คงโคจรอยูร่ อบดวง
อาทติ ย์โดยไม่หลดุ ออกจากวงโคจร และเคปเลอร์ตั้งกฎการโคจรของดาวเคราะหด์ วงอาทิตยเ์ รียกวา่
กฎเคปเลอร์ มี 3 ข้อ ดังนี้

1) กฎแห่งวงรี วงโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวงอาทิตย์เปน็ วงรี โดยมีดวงอาทติ ย์อยทู่ ่ีจุด
โฟกสั จุดหนงึ่

2) กฎแห่งการกวาดพื้นท่ี ในเวลาทเี่ ท่ากนั ดาวเคราะห์จะมีพ้นื ทเี่ สน้ รัศมีจากดวงอาทติย์ถงึ
ดาวเคราะห์กวาดไปเท่ากนั

3) กฎแหง่ คาบ คาบในการโคจรรอบดวงอาทตยิ ์กำลังสองแปรผนั ตรงกบั ระยะครึง่ แกนเอก
ของวงโคจรกำลังสาม

49. พ.ศ. 2107-2185 กาลิเลโอ กาลเิ ลอี (Galileo Galilei) นักดาราศาสตร์ชาวอติ าลี
สนับสนุนแนวคดิ ของโคเพอร์นิคัสทก่ี ลา่ ววา่ ดวงอาทตยิ ์เปน็ ศนู ย์กลางของระบบ โดยมีโลกและดาว
เคราะห์อื่น ๆ โคจรรอบดวงอาทติ ย์

50. พ.ศ. 2185-2270 เชอร์ ไอแซกนวิ ตัน (Sir Isaac Newton) นักดาราศาสตรช์ าว
องั กฤษค้นพบวา่ การทบ่ี ริวารของดวงอาทิตยส์ ามารถโคจรรอบดวงอาทิตยไ์ ด้ก็เพราะแรงดึงดดู
ระหวา่ งมวลที่เรยี กว่า แรงโน้มถว่ ง ขนาดของแรงโน้มถว่ งข้ึนอยู่กบั มวลและระยะห่างระหวา่ งมวล
และมีทิศของแรงเข้าหาศูนย์กลางมวล

51. การโคจรของดาวตา่ ง ๆ ในระบบสรุ ยิ ะดาวตา่ ง ๆ ในระบบสรุ ยิ ะ ดาวบริวารทุก
ดวงที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ หรือบริวารของดาวเคราะหจ์ ะมีความเร็วพอเหมาะเฉพาะท่ีมีทศิ ทางใน
แนวเส้นสมั ผสั ของวงโคจร โดยมแี รงโน้มถว่ งทำหน้าเปน็ แรงสศู่ ูนย์กลางทำให้ดาวบริวารอย่ใู นวง
โคจรได้ ปรากฏการณท์ ตี่ ่างฝ่ายต่างส่งแรงดึงดดู ซง่ึ กันและกนั เรียกวา่ ปฏสิ ัมพนั ธร์ ะหว่างดวงดาวใน
ระบบสุริยะ

52. ตวั อย่างของปฏิสมั พนั ธ์ เช่น การเกดิ ปรากฎการณน์ ้ำขนึ้ น้ำลง การโคจรของดวง
จนั ทรแ์ ละดาวเทยี มรอบโลก เปน็ ตน้

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 523

บทท่ี 2 ดวงดาวบนท้องฟ้า

1. การบอกทิศบนโลก สงั เกตจากการข้นึ และตกของดวงอาทิตย์ เนอ่ื งจากโลก
หมนุ รอบตัวเองในทิศทางเดยี วกบั การโคจรรอบดวงอาทิตย์ทิศทางที่โลกหมุนไปนั้นเปน็ ทิศ
ตะวันออก สว่ นที่อยู่ตรงข้ามของการหมนุ ของตัวเองจงึ เป็น ทศิ ตะวันตก การหมุนรอบตัวเองของ
โลกจงึ ทำใหเ้ กิดทศิ เนื่องจากโลกมกี ารหมนุ รอบตัวเองตลอดเวลาทิศจงึ ติดไปกบั โลกอยู่ตลอดเวลา

2. การกำหนดทศิ แบ่งออกเป็น4 ทศิ หลกั คือ เม่ือหันหน้าไปทางทิศเหนือแล้วกาง
แขนออกด้านหลังจะเป็นทิศใต้ แขนขวาจะชีไ้ ปทางทิศตะวนั ออก และชนซา้ ยจะชไี้ ปทางทิศ
ตะวนั ตก

3. เส้นศนู ยส์ ูตรฟ้า (Celestial Equator) เปน็ เสน้ ท่ีผา่ นจุดทศิ ตะวันออกไปทิศ
ตะวันตก ตง้ั ฉากกบั แกนหมุนของโลก และเปน็ แนวเดยี วกับเสน้ ศูนยส์ ตู รโลก (Earth Equator)
แนวการเคลอ่ื นทีข่ องดาวก็จะขนานไปกบั เส้นนดี้ ้วย

4. เส้นสุริยวถิ ี (Ecliptic)เปน็ เส้นแนวการเคลื่อนท่ีของดวงอาทิตย์ผ่านท้องฟา้ เกิด
จากระนาบการโคจรของโลกรอบดวงอาทติ ย์ เปน็ แนวเดียวกับเส้นทางโคจรของดาวเคราะหร์ วมทง้ั
ดวงจนั ทรด์ ้วย ซงึ่ อาจจะสรุปหรอื ต่ำกว่าเส้นสรุ ยิ วิถี

5. เส้นขอบฟา้ (Horizon)คือ แนวระดับสายตาเป็นเส้นวงกลมลอ้ รอบตัวใน
แนวราบ หรอื แนวบรรจบของทรงกลมทอ้ งฟา้ ส่วนบนกับท้องฟ้าสว่ นล่าง

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

524 คมู่ อื เตรยี มสอบ

6. จดุ เหนอื ศรี ษะ หรอื จดุ จอมฟ้า (Zenith)คอื จุดสงู ท่ีสดุ บนฟา้ จะอยู่ตรงศรี ษะ
พอดี จุดเหนือศีรษะจะทำมุมกับผู้สงั เกตและขอบฟ้าทุก ๆ ด้านเปน็ มมุ ฉาก หรอื 90 องศาพอดี
ส่วนจุดทีต่ รงข้าม 180 องศา เรยี กว่า จุดเนเดอร์ (Nadir)

7. เส้นเมริเดยี น (Meridian)คือ แนวเสน้ ทล่ี ากจากจุดทศิ เหนอื ไปจดุ ทศิ ใตผ้ ่านจดุ
เหนือศรี ษะพอดี ส่วนเสน้ ทีไ่ ม่ไดผ้ ่านจุดเหนือศรี ษะเรียกว่า เสน้ วงกลมชั่วโมง

8. ข้ันฟา้ เหนอื (North Celestial Poles)เป็นแนวข้ัวเหนอื ของทรงกลมท้องฟ้า ซ่ึง
จะชไ้ี ปทางดาวเหนอพอดี ส่วนจุดตรงกันข้าม 180 องศาเรยี กวา่ ขว้ั ฟา้ ใต้ (South Celestal
Poles)

9. ละติจดู เป็นพิกัดทใ่ี ชบ้ อกตำแหนง่ บนโลกในแนวทิศเหนือใต้มคี ่าเป็น0 องศา ท่ี
เสน้ ศนู ยส์ ูตร และสูงสดุ 90 องศาที่ขวั้ โลก โดยจะมคี ำวา่ องศาเหนือและองศาใตต้ ่อท้าย

10. ลองจิจดู เป็นพกิ ดั ที่ใช้บอกตำแหน่งบนโลกในแนวทิศตะวันออกตะวนั ตก มีค่า
เป็น 0 องศา ที่เส้น ไพร์มเมอริเดยี น ซึง่ ลากผา่ นหอดูดาว เมอื งกรีนิช ประเทศอังกฤษ ไปทาง
ตะวันออกถึง + 180 องศา และไปทางตะวันตกถึง –180 องศา

11. การบอกตำแหน่งของวตั ถบุ นฟ้าอย่างง่าย จะใชร้ ะบบเสน้ ขอบฟา้ บอกตำแหนง่
ดว้ ยค่ามมุ 2 ชนิด คอื

1) มุมทิศ (Azimuth) เปน็ มุมในแนวราบวนขนานกับเสน้ ขอบฟ้า โดยนับทางทิศเหนือใน
ทศิ ทางตามเข็มนาฬกิ าไปยงั ทิศตะวนั ออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก และกลบั มาทิศเหนอื อีกคร้งั หนึง่ มี
คา่ ระหวา่ ง 0-360 องศา

2) มมุ เงย (Altitude) เป็นมุมในแนวตั้งหรือมุมท่ีมองข้ึนจากขอบฟา้ โดยนับจากเส้นขอบ
ฟา้ ขน้ึ ไปสู่จดุ เหนอื ศีรษะ มคี า่ ระหว่าง 0-90 องศา

12. การวัดระยะบนทอ้ งฟา้ นยิ มวัดเป็นระยะเชงิ มมุ (Angular distance) การวัด
ระยะเชงิ มุมถ้าต้องการทราบคา่ ทีล่ ะเอียดและมีความแมน่ ยำจะตอ้ งใชอ้ ปุ กรณท์ ่ีมคี วามซับซอ้ นมาก
ในการวดั แต่ถ้าต้องการวัดค่าโดยประมาณสามารถวดั ระยะเชงิ มมุ ได้โดยใช้เพียงมือและนิ้วของเรา
วดั เทียบกบั มมุ บนท้องฟา้ ซ่งึ สามารถวัดมมุ ไดด้ งั นี้

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 525

13. มุมหา่ ง เป็นระยะเชิงมุมระหวา่ งดวงอาทติ ย์กบั ดาวเคราะห์ หรือดวงจันทร์ จาก
มุมมองของผ้สู งั เกตบนโลก

14. แผนทดี่ าว เป็นอุปกรณ์อยา่ งงา่ ยท่ชี ่วยในการวางแผนและสังเกตการณ์ทอ้ งฟ้า
สามารถใชบ้ อกตำแหน่งของดวงดาวหรอื กลุม่ ดาวตา่ ง ๆ บนท้องฟ้าในช่วงวันเวลาที่สนใจได้

15. กลมุ่ ดาว (Constellation)คือ อาณาเขตแคบ ๆ ของทอ้ งฟา้ ทีด่ าวฤกษ์ปรากฏ
เรียงรายอยเู่ ปน็ กลมุ่ สามารถเชื่อมต่อกันเปน็ รปู ร่างตา่ ง ๆ ตามแต่จนิ ตนาการในอวกาศสามมติ ิ
ส่วนใหญ่ดาวฤกษ์ในกลมุ่ ดาวเดียวกันทเ่ี หน็ อยู่ใกล้กนั บนทรงกลมท้องฟา้ ไม่ได้มีความเกี่ยวขอ้ งกัน
และอยูห่ า่ งไกลกนั มากในอวกาศ

16. นกั ดาราศาสตรแ์ บ่งทรงกลมท้องฟ้าออกเปน็ 88 กลุ่ม เพอื่ ใหส้ ะดวกแกก่ าร
สงั เกต โดยใชเ้ สน้ ขนานกบั เส้นศนู ย์สูตรฟ้า และเสน้ ขนานกันเส้นลองจจิ ดู เป็นเกณฑ์ ดงั นน้ั ใน
ท้องฟา้ จงึ มีกลุ่มดาวทั้งหมด 88 กลุ่ม

17. กลมุ่ ดาวจระเข้ (Ursa Major)ชาวกรีกโบราณเรียกวา่ กลุ่มดาวหมใี หญ่ (Great
Bear หรือ Big Dipper) หรือชาวจีนเรยี ก กลมุ่ ดาวกระบวยใหญ่ เปน็ กลุ่มดาวฤกษท์ ่ีประจำอยบู่ น
ท้องฟ้าทางทิศเหนือสามารถสงั เกตได้ง่ายด้วยตาเปล่าในชา่ งฤดหู นาวชว่ งหัวคำ่ จะเหน็ กลุ่มดาวจระเข้
ขนึ้ ทางทิศตะวันออกเฉยี งเหนอื เม่ือข้นึ สูงสดุ จะอยู่สงู จากขอบฟา้ ทิศเหนือ ประมาณ 45 องศาใน
เวลาเทีย่ งคืน และตกลับขอบฟ้าทางทศิ ตะวนั ตกเฉียงเหนือในเวลาจวนสวา่ ง

ลักษณะ ประกอบด้วยดาวฤกษ์อย่างนอ้ ย 7 ดวง ขณะท่ีดาวจระเขก้ ำลังขึ้นจากขอบฟ้า
ดา้ นทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนอื จะมองเหน็ สว่ นลำตัวของจระเขห้ รือลำตวั ของหมีกอ่ น คือดาวดวงที่
1,2,3 และ 4 แลว้ จงึ เหน็ สว่ นหาง คือ ดาวดวงที่ 5,6 และ 7

การใช้กลุ่มดาวจระเข้หาตำแหน่งของดาวเหนือ ใหล้ ากเส้นตรงจากดาวดวงที่ 2 ไปยัง

ดาวดวงที่ 1 แลว้ ลากเลยตอ่ ไปอีกประมาณ 5 เท่า ของระยะระหวา่ งดาวดวงที่ 1 และ 2 จะพบ

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

526 ค่มู อื เตรยี มสอบ

ดาวเหนอื เสมอซึ่งเปน็ ดาวดวงท่สี วา่ งท่สี ุดในกลมุ่ ดาวหมเี ลก็ ดังน้ันจึงใชก้ ลุม่ ดาวจระเข้หาทิศเหนือ
ได้

18. กลุม่ ดาวค้างคาว (Cassiopeia)นักปราชญ์กรีดโบราณจนิ ตนาการเป็นกลุ่มดาว
ราชนิ แี คสสโิ อเปยี ในเทพนิยายกรกี เป็นกลุม่ ดาวฤกษ์ในซีกฟา้ เหนือจะขึ้นไปสูงสุดกลางทอ้ งฟ้า
ประมาณเท่ียงคืนของกลางเดือนตุลาคม

ลกั ษณะ ประกอบด้วยดาวฤกษ์ 5 ดวงเรียงเปน็ รปู ตวั M หรือ W ควำ่ กลุ่มดาวค้างคาว
จะอยู่ในทิศตรงข้ามกบั กลุม่ ดาวจระเขเ้ สมอโดยมีดาวเหนืออย่ตู รงกลาง ดงั น้ันขณะทเ่ี ราสงั เกตเห็น
กล่มุ ดาวค้างคาวกำลังข้ึนทางด้านทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ กลุ่มดาวจระเข้กก็ ำลังจะตกลับขอบฟ้า
ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนอื ดว้ ย และขณะท่ีเราสังเกตเห็นกล่มุ ดาวจระเขก้ ำลงั ขึ้นดา้ นขอบฟ้าทิศ
ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ กล่มุ ดาวคา้ งคาวก็กำลงั จะตกลบั ขอบฟา้ ดา้ นทิศตะวันตกเฉียงเหนือโดยมดี าว
เหนอื อยู่ตรงกลาง ดังนน้ั เราจึงใช้กล่มุ ดาวค้างคาวหาทศิ เหนือไดเ้ ช่นเดียวกัน

การใชก้ ลุ่มดาวคา้ งคาวหาตำแหนง่ ของดาวเหนือ ใหล้ ากเสน้ ตรง 2 เสน้ จากดาวดวงที่
1 ไป 2 และจากดาวดวงท่ี 5 1ไป 4 เพอื่ ใหต้ ดั กับทีจ่ ดุ จดุ หนึง่ จากนนั้ ลากเส้นตรงอีกเสน้ จาก
จุดตัดกนั ผา่ นดาวดวงที่ 3 ต่อเลยออกไปประมาณ 30 หรอื 3 กำมอื กจ็ ะพบดาวเหนือซ่งึ เป็นดวง
ท่ีสว่างทสี่ ุดในกลมุ่ ดาวหมีเลก็ หรือจะใชว้ ิธีลากเส้นตรงสมมติแบง่ มุมระหว่างดาวดวงท่ี 1 และ 3
โดยลากลงมาประมาณ 6 เท่าของระยะระหวา่ งดาวดวงที่ 1 และ 2 ก็ได้เช่นกัน

19. กล่มุ ดาวเตา่ (Orion)ชาวกรีกโบราณจนิ ตนาการเปน็ กลุ่มดาวนายพราน กลมุ่
ดาวเตา๋ สามารถเหน็ ได้นานหลายเดอื นโดยเฉพาะฤดหู นาวกลุม่ ดาวนจ้ี ะขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟา้
ประมาณเทีย่ งคืนของกลางเดือนธนั วาคมและมเี ส้นทางขน้ึ ตกในแนวทิศตะวันออก- ตะวันตกเสมอ
เน่อื งจากเปน็ กลุ่มดาวท่ีตั้งอยู่บนเสน้ ศูนย์สูตรฟา้

ลักษณะ ประกอบดว้ ยดาวฤกษ์ 7 ดวง โดยมดี าว 4 ดวงเรยี งกัน เป็นรูปส่เี หลี่ยม
ลอ้ มรอบดาวฤกษอ์ ีก 3 ดวงที่เรยี งกนั เป็นเสน้ ตรง คนไทยจินตนาการเป็นรูปเตา่ โดยดาว 4 ดวง ที่
เรยี งกันเปน็ รปู ส่ีเหลยี่ มเปน็ ตำแหน่งขาเตา่ 4 ขา และที่ตรงกลางลำตวั มีอยู่ 3 ดวง เรียงกนั
จินตนาการเป็นคนั ไถเรยี กว่า ดาวไถ โดยระหวา่ ง 2 ขาหน้าจะพบดาวดวงเลก็ ๆ หนึ่งดวงเปน็ สว่ น
หัวของเตา่ ชาวกรกี โบราณจนิ ตนาการเป็นรูปนายพรานโดยดาว 2 ดวงบน เปน็ ไหล่ 2 ขา้ ง สว่ นดาว
3 ดวง ทีเ่ รียงกันตรงกลางเป็นเขม็ ขัดนายพราน และ 2 ดวงล่างเป็นขา

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 527

การใชก้ ลุ่มดาวเต่าหาตำแหน่งของดาวเหนือ กลมุ่ ดาวเตา่ จะหนั หัวเขา้ หาดาวเหนือเสมอ
ดงั นนั้ จงึ หาทิศเหนือจากดาวกลุ่มนีไ้ ด้

20. กล่มุ ดาวจักรราศี (Zodiac)หมายถงึ กลุ่มดาวฤกษ์ที่ปรากฏอยู่ในแนวทางเดิน
ของดวงอาทิตย์ (เส้นสุรยิ วถิ ี) เมอ่ื มองจากโลกจะเหน็ กลุ่มดาวเหลา่ นีป้ รากฏอยเู่ บื้องหลงั แตกตา่ งกนั
ไปตามช่วงระยะเวลาของเดือนคนในสมยั โบราณจงึ จินตนาการรูปร่างของกลุ่มดาวเป็นส่ิงตา่ ง ๆ

21. กลมุ่ ดาวจักรราศี มจี ำนวน 12 กลมุ่ แตล่ ะกลุ่มห่างกันประมาณ 30 องศา
ได้แก่ กลุ่มดาวมนี (ปลา) เมษ(แกะ) พฤษภ(วัว) มิถนุ (คนคู)่ กรกฎ(ปู) สงิ ห์(สงิ โต) กนั ย์
(หญิงพรหมจารีย์) ตลุ (คนั ชั่ง) พฤศจิก(แมงปอ่ ง) ธน(ู คนยิงธนู) มกร(แพะทะเล) และกุมภ์(คน
แบกหม้อนำ้ )

22. การเคลื่อนทข่ี องดวงอาทิตย์ ไม่ใชก่ ารเคลื่อนที่แทจ้ ริงแต่มีการเคล่ือนท่ปี รากฏ
เนอื่ งจากโลกโคจรรอบดวงอาทติ ย์จากทิศตะวันตก ทางทิศตะวนั ออก คนบนโลกจึงสังเกตเห็นดวง
อาทติ ยเ์ คล่ือนท่ีผ่านกลุ่มดาวจกั รราศจี ากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก เช่นเดียวกัน โดยรอบ 1 ปี
ดวงอาทิตยจ์ ะเคลื่อนจากทศิ ตะวันตกไปทิศตะวันออกครบรอบมมุ 360 องศา แสดงวา่

1) ใน 1 วัน ดวงอาทิตยจ์ ะเคลอื่ นท่ปี รากฏไปเปน็ ระยะทางโดยประมาณ1 องศา

2) ใน 1 เดอื น ดวงอาทิตยจ์ ะเคล่อื นทป่ี รากฏไปเป็นระยะทางโดยประมาณ30 องศา
และเคลื่อนทผี่ ่านกลมุ่ ดาวจักรราศี 1 กลุม่

3) ใน 1 ปี ดวงอาทติ ย์จะเคล่ือนท่ีปรากฏไปเปน็ ระยะทางเชงิ มมุ โดยประมาณ360 องศา
และเคล่ือนที่ผ่านกลมุ่ ดาวจกั รราศี 12 กลมุ่

(หน้า 354) นะ

23. เมื่อดวงอาทิตยป์ รากฏอยู่ในกลุม่ ดาวใดคนบนโลกจะมองโดยกลุม่ ดาวนั้นในช่วง
นัน้ เพราะดวงอาทติ ย์และกลุ่มดาวนั้นข้ึนตกกันจึงเหลือกลุ่มดาวจักรราศีอย่างมาก 11 กลุ่มทีจ่ ะมี
โอกาสเหน็ ได้ใน 1 ปี เชน่ เดอื นกุมภาพันธ์ ในเวลาหวั คำ่ กล่มุ ดาวกมุ ภ์จะอยตู่ ่ำกว่าขอบฟ้า ทาง
ตะวนั ตกพรอ้ มดวงอาทิตย์ กลุม่ ดาวทอี่ ย่สู งู สุดคือกลุ่มดาวหางเม่ือเวลาเท่ยี งคนื กลุ่มดาวพฤษภจะ
ตกลบั ขอบฟา้ กลุ่มดาวพฤษภ (พฤศจิก) ข้นึ ทางตะวนั ออก และเม่ือเวลาจนสวา่ งกลมุ่ ดาวแมงป่อง
จะขนึ้ ไปสงู สดุ ในขณะที่กลุม่ ดาวมกรอยู่ทางตะวนั ออก และกลมุ่ ดาวกันต์อยู่ทางตะวันตก ใน
เดอื นกุมภาพนั ธก์ ลมุ่ ดาวจักรราศแี ตล่ ะกลมุ่ จงึ เหน็ อยบู่ นท้องฟ้ายาวนานแตกต่างกัน โดยกลมุ่ ทีเ่ ห็น

ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

528 ค่มู อื เตรยี มสอบ

นานทส่ี ุดคอื กลุ่มดาวสิงหท์ ี่อยู่ตรงขา้ มกบั กลุ่มดาวกุมภ์ เพราะกล่มุ ดาวสงิ ห์ขนึ้ ทางตะวันออกใน
เวลาหัวค่ำ อยู่สงู สุดบนทอ้ งฟา้ เวลาเทยี่ งคืน และอยู่ทีข่ อบฟ้าตะวนั ตกใน เวลาจวนสวา่ ง

จากภาพเดือนกมุ ภาพนั ธ์ คนบนโลกจะเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏอยู่ในกล่มุ ดาวกมุ ภ์ และเมื่อโลก
โคจรตอ่ ไปอกี หนง่ึ เดือนจะเห็นดวงอาทติ ยเ์ คลอ่ื นท่ีปรากฏผา่ นเข้าสกู่ ลมุ่ ดาวมีน ซ่ึงจะตรงกับเดอื น
มีนาคม ถ้าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 ปี ดวงอาทิตย์ก็จะมาปรากฏอยู่ในกลมุ่ ดาวกมุ ภ์อีกครง้ั

24. เอกภพ หรอื จักรวาล (Universe) เปน็ บริเวณท่กี ว้างใหญ่ไพศาลไม่มีขอบเขตที่
สน้ิ สุด เป็นท่ีรวมของกาแลก็ ซี และสรรพส่งิ ตา่ ง ๆ ท้ังทมี่ นษุ ยร์ ู้จักและไม่รจู้ ัก รวมทัง้ ที่วา่ งซึง่ เป็น
บรเิ วณส่วนใหญข่ องเอกภพ นกั ดาราศาสตร์ประมาณว่าเอกภพประกอบด้วยกาแลก็ ซปี ระมาณแสน
ลา้ นกาแล็กซี แตล่ ะกาแล็กซีอย่หู า่ งกันมากและมีการเคล่ือนที่ห่างออกจากกัน

25. ทฤษฎีอธิบายกำเนิดหรอื ความเปน็ มาของเอกภพ มีทฤษฎีที่ไดร้ บั การยอมรับ2
ทฤษฎี คือ 1) ทฤษฎกี ารระเบดิ ใหญห่ รอื บิกแบง2) ทฤษฎสี ภาวะคงท่ี

26. ทฤษฎีการระเบิดใหญ่หรือบิกแบง (Big Bang Theory) ต้งั ขึ้นโดยจอรจ์ กามอฟ
(George Gamov) ราล์ฟอลั เฟอร์ (Ralph Alpher) และโรเบริ ์ดเฮอร์แมน (Robert Herman) เมือ่
ปี พ.ศ.2483 เปน็ ทฤษฎีที่ได้รับความเช่ือถือมากทสี่ ดุ สรุปความไดว้ า่

1) เอกภพมกี ำเนดิ มาจากการระเบดิ ใหญภ่ ายใต้สภาวะอุณหภมู ทิ ี่สูงยิง่ ทำให้พลังงาน
เปลย่ี นสสารเปน็ ครั้งแรกแลว้ ขยายตัวอย่างรวดเรว็ ในขณะเดียวกนั อณุ หภูมิกล็ ดลงอยา่ งรวดเร็วดว้ ย

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 529

2) เมือ่ อณุ หภมู ิของเอกภพลดลงถงึ ระดับท่ีอเิ ล็กตรอนเคล่ือนตัวลงพอทีโ่ ปรตอนและ
นวิ เคลียสของฮเี ลียมจะดึงอิเล็กตรอนไว้ได้จึงเกิดเปน็ อะตอมของธาตุไฮโดรเจนและฮเี ลียม ซงึ่ เป็น
สสารเบ้ืองตน้ ท่เี กิดเป็นดาวฤกษ์ กาแล็กซี และวัตถุท้องฟ้าอืน่ ๆ ซง่ึ เปน็ องคป์ ระกอบของเอกภพ
ปจั จบุ ัน

27. หลักฐานสำคัญท่ีทำใหท้ ฤษฎบี กิ แบงไดร้ ับความเชื่อถือมากกว่าคือ

1) หลักฐานการขยายตวั ของเอกภพ เปน็ ผลท่ีเกดิ จากการระเบดิ ครงั้ ยิ่งใหญ่และอำนาจ
การระเบดิ ยังคงมีอยู่ แรงระเบดิ ยงั ส่งผลผลกั ดันใหส้ ิง่ ตา่ ง ๆ ในเอกภพว่งิ หนีออกจากกนั ดงั ทีก่ ำลัง
เป็นอยู่

2) คน้ พบควอซาร์ (Quasar) ซงึ่ เป็นวตั ถคุ ล้ายดาว มีขนาดเลก็ เมื่อเทียบกับกาแลก็ ซีแต่มี
พลงั งานมากกวา่ กาแลก็ ซี เชอื่ กนั วา่ ควอซาร์ อยูแ่ ถบขอบนอกของเอกภพและควอซาร์ทถี่ ูกค้นพบ
แลว้ กำลังเคล่อื นที่หนีออกไปจากโลกด้วยความเรว็ สูงมาก

3) การค้นพบคล่นื รงั สคี วามร้อนท่ีมีอุณหภูมิ 3เคลวิน กระจายอยู่ทวั่ ไปในเอกภพ ซึง่ เป็น
หลกั ฐานทีส่ ำคญั ทสี่ ุด รังสคี วามร้อนนีเ้ ป็นพลงั งานความรอ้ นทีเ่ หลอื มากจากการระเบิดครงั้ ย่ิงใหญ่
หรอื บกิ แบง

28. ทฤษฎสี ภาวะคงที่ (Steady State Theory) ตง้ั ข้นึ โดยเฟรด ฮอยล์ (Fread
Hoyle) เฮอรแ์ มน บอนได (Hermann Bondi) และโทมัสโกลด์ (Thomas Gold) เมื่อปี พ.ศ. 2491
สรุปความไดว้ า่

1) เอกภพไม่มีจดุ กำเนดิ และจะไม่มวี าระสุดท้าย

2) เอกภพมสี ภาพดังทเ่ี ปน็ อยใู่ นปจั จบุ นั มานานแล้วและจะมีสภาพเชน่ น้ตี ลอดไป ปี พ.ศ.
2508 เฟรด ฮอยล์ ไดป้ ระกาศลม้ เลิกทฤษฎสี ภาวะคงท่ีซ่งึ ตนเองได้ร่วมต้งั ข้นึ

29. ทฤษฎีจุดกำเนดิ ระบบสุริยะของลาพลาส (Piere Simon Laplace) สรุปความ
ไดว้ า่ มวลของกลุ่มแกส๊ ฝุน่ หมอก ควนั ซ่งึ มีขนาดใหญ่และร้อนจดั มากรวมกลุม่ กันแล้ว
หมนุ รอบตวั เองช้า ๆ แรงดงึ ดูดระหวา่ งมวลทำให้การหมนุ รอบตัวเองของกลมุ่ แกส๊ มีความเรว็ เพ่มิ ข้นึ
และมวลสว่ นใหญจ่ ะยุบตวั ลง เมอื่ ความเรว็ เพ่ิมขึน้ มวลบางสว่ นก็จะค่อย ๆ หลุดออกในลกั ษณะเปน็
วงแหวนของกลุ่มแกส๊ เดิม และเมือ่ กลุ่มแกส๊ เดมิ หดตัวอกี กจ็ ะมีวงแหวนของกลมุ่ แก๊สอีกวงหน่งึ
แยกตัวออกไปจากจุดศูนยก์ ลางในระยะทางสนั้ กวา่ วงแหวนแรกเปน็ เช่นนี้ไปเร่ือย ๆ

ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

530 คมู่ อื เตรยี มสอบ

30. การแลก็ ซี (Galaxy)คือ ระบบขนาดใหญ่ของดาวฤกษ์ รวมท้งั ดาวเคราะห์ ดาว
หาง อกุ กาบาด ฝนุ่ ผง และแกส๊ ในอวกาศ วัตถุตา่ ง ๆ เหล่าน้รี วมตัวกนั เปน็ ระบบอยู่ไดด้ ว้ ยสมดลุ
ของแรงโนม้ ถ่วง และทำให้วัตถเุ หลา่ นมี้ ีการเคล่ือนทีเ่ ปน็ วงกลมรอบศนู ย์กลางของกาแลก็ ซี

31. ประเภทของกาแล็กซี จำแนกตามลักษณะรูปรา่ งได้4 ประเภท คือ
1) กาแลก็ ซกี ลมรี (Elliptical Galaxies) มีรูปร่างแบบกลมรี โดยกาแลก็ ซีอาจกลมมาก
บางกาแล็กซีอาจรีมาก
2) กาแล็กซีกน้ หอย (Spiral Galaxies) มแี ขนโคง้ เหมอื นลายก้นหอยหรอื กังหนั เด็กเล่น
ตวั อย่างกาแลก็ ซแี บบนคี้ ือกาแลก็ ซที างชา้ งเผือกซ่งึ ระบบสุรยิ ะเป็นส่วนหน่ึงของกาแล็กซีนี้
3) กาแลก็ ซกี น้ หอยคาน (Barred Spiral Galaxies) มลี กั ษณะคลา้ ยคลงึ กบั กาแล็กซีกน้
หอย แต่ตรงกลางมีลกั ษณะเปน็ คานและมแี ขนคลา้ ยแบบของกาแลก็ ซีกน้ หอยตอ่ ออกมาจากปลาย
คานทง้ั สอง
4) กาแล็กซไี ร้รปู ร่าง (Irregular Galaxies) มีรูปรา่ งลกั ษณะแตกตา่ งกันไปจากท้ังสามชนดิ
ทกี่ ลา่ วมาแล้ว
32. กาแลก็ ซที างช้างเผือก (Milky Way Galaxies)หมายถึง กาแล็กซีท่ปี รากฏเปน็
ทางขาวเรอื งมีลกั ษณะเปน็ แถบพาดไปบนท้องฟ้าจากท้องฟ้าทางทิศตะวนั ตกเฉยี งใตไ้ ปทางทิศ
ตะวันออกเฉยี งเหนือ คนในสมัยโบราณจึงจินตนาการเรยี กชือ่ ต่าง ๆ กนั ไป เช่น ชาวยุโรปเรียก
ทางนำ้ นม ชาวอินเดยี เรียกแม่คงคาสวรรค์ ชาวไทยเรยี กทางช้างเผือก
33. กาแล็กซที างชา้ งเผือก ประกอบดว้ ยดาวจำนวนมากประมาณ 200,000 ลา้ น
ดวง มมี วลรวมทัง้ อาณาจกั รประมาณ 750,000-1,000,000 เท่าของมวลดวงอาทิตย์เส้นผา่ น
ศูนย์กลางกาแล็กซีทางช้างเผือกมีคา่ ประมาณ 100,000 ปีแสง บริเวณศนู ยก์ ลางกาแล็กซมี ีความ
หนาประมาณ 12,000 ปีแสง ระบบสุริยะอย่หู ่างจากใจกลางกาแล็กซปี ระมาณ 30,000 ปแี สง
ระบบสุริยะและดาวฤกษท์ ี่เราสังเกตเหน็ บนท้องฟ้าทงั้ หมดกอ็ ยใู่ นกาแล็กซีทางชา้ งเผือกทัง้ ส้นิ
ดาวฤกษ์เหล่านีเ้ คล่ือนทีร่ อบจดุ ศนู ยก์ ลางกาแล็กซีดว้ ยความเรว็ ประมาณ 300 กโิ ลเมตรต่อวินาที

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 531

34. กาแล็กซซี ีแอนโดรเมดา (Andromeda)อยใู่ นกลุ่มดาวแอนโดรเมดา เป็น
กาแลก็ ซีทสี่ ามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแตไ่ มช่ ัดเจน จะปรากฏเป็นฝ้ามัว ๆ แผ่เปน็ วงกวา้ ง มี
เสน้ ผา่ นศนู ย์กลาง 3 เท่าของดวงจันทร์ เมอื่ ขน้ึ มาสูงสดุ ในทอ้ งฟ้าเดือนธนั วาคมจะมมี ุมเงยจาก
ขอบฟา้ ทิศเหนอื 63 มุมทิศ 0

บทที่ 3 เทคโนโลยอี วกาศ

1. อวกาศ คอื บริเวณที่อยูน่ อกบรรยากาศของโลกออกไปเปน็ เส้นว่างเปล่าอนั กว้าง
ใหญ่ไพศาล ไม่มีแรงโนม้ ถว่ ง

2. เทคโนโลยอี วกาศ หมายถึง การนำความรู้ เคร่ืองมือ และระเบียบ วิธกี ารทาง
วทิ ยาศาสตร์มาประยกุ ต์และปรับใช้เพื่อการศึกษาหาความร้เู ก่ยี วกับอวกาศ และเพื่อนำมาใช้
ประโยชนต์ ่อมวลมนษุ ยชาติ

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

532 คมู่ อื เตรยี มสอบ

3. ประโยชนข์ องเทคโนโลยอี วกาศ ชว่ ยใหช้ วี ิตมนุษย์เกดิ ความสะดวกสบาย และ
ปลอดภัยข้นึ ทั้งในดา้ นการส่ือสาร การขนสง่ การประกอบอาชพี และการดำเนินชีวติ ประจำวัน
เปน็ ตน้

4. กลอ้ งโทรทรรศน์ (Telescope)คอื อปุ กรณ์ที่ใชข้ ยายภาพวัตถุท้องฟ้าให้มีขนาด
ใหญ่ขึ้นโดยอาศยั หลักการรวมแสง เพอ่ื ใหส้ ามารถมองเห็นวตั ถทุ ้องฟา้ ท่ีไมส่ ามารถมองเห็นไดด้ ว้ ย
ตาเปล่า หรือทำให้มองเหน็ ได้ชดั ขน้ึ มีขนาดใหญข่ ้นึ

5. หลักการทำงานของกล้องโทรทรรศน์ คอื รวมแสงจากพ้ืนทที่ ้ังหมดของหน้า
กลอ้ ง เพ่ือนำมาสรา้ งภาพที่สวา่ งมากขนึ้ จึงทำหน้าท่ีเสมือนช่วยเพม่ิ พนื้ ที่รับแสงของรูม่านตาใหม้ ี
ขนาดใหญ่ข้นึ

6. ประเภทของกล้องโทรทรรศน์ แบ่งตามหลักการสร้างภาพไดเ้ ป็นชนิดใหญ่ ๆ คือ

1) กล้องโทรทรรศนช์ นดิ แสง แบ่งเปน็ 2 ประเภท คือ กลอ้ งโทรทรรศนห์ ักเหแสง มี
เลนสเ์ ปน็ องค์ประกอบหลกั และกล้องโทรทรรศนส์ ะท้องแสงมกี ระจกเป็นองคป์ ระกอบหลกั

2) กล้องโทรทรรศนว์ ิทยุ เป็นระบบเครื่องรับคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้า เช่น ชว่ งคลืน่ วทิ ยุ
คลืน่ รังสีเอกซ์ คลืน่ รังสีอฟิ ราเรด แตเ่ นือ่ งจากกลอ้ งโทรทรรศน์คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้าชนดิ ทร่ี บั ช่วง
คลื่นวิทยุจงึ เรยี กว่ากล้องโทรทรรศนว์ ิทยุ

7. กล้องโทรทรรศนห์ ักเหแสง (Refractor Telescope)เป็นกลอ้ งโทรทรรศนท์ ่ใี ช้
เลนสใ์ นการรวมแสง มขี นาดเล็ก ประกอบด้วยเลนส์นนู 2 อันที่มีความยาวโฟกัสไมเ่ ท่ากัน ดังนี้

1) เลนสใ์ กล้วัตถุ เปน็ เลนสน์ นู มคี วามยาวโฟกัสมากกว่าเลนสน์ ูนใกลต้ า ทำหนา้ ท่รี ับแสง
จากวตั ถุและทำให้เกดิ ภาพจริงหวั กลบั กบั วตั ถุทหี่ นา้ เลนสใ์ กลต้ า

2) เลนสใ์ กล้ตา ทำหน้าที่ขยายภาพจรงิ หวั กลับนัน้ ให้เป็นภาพเสมอื นมองเหน็ ได้โดยไม่ตอ้ ง
ใชฉ้ ากรับ ดังน้ันภาพทีเ่ ห็นจากกล้องโทรทรรศน์จงึ เป็นภาพเสมือนขนาดขยายใหญ่มากหวั กลับ
เนือ่ งจากภาพเสมือนที่เห็นเป็นภาพขยายของภาพจริงจึงมีหวั ในทศิ ตามภาพจริงซึง่ มหี ัวกลบั กบั วัตถุ
(ถา้ ต้องการใหม้ องเหน็ ภาพหัวตง้ั ก็ทำไดโ้ ดยใสเ่ ลนส์นูนอกี อนั หนึ่งไว้ข้างหน้าเลนส์ใกลต้ าเพื่อทำ
หน้าท่ีกลับภาพให้ต้งั ข้นึ )

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 533

ข้อดี คือ เหมาะสำหรับใช้สำรวจพ้ืนผิวดวงจนั ทร์และดาวเคราะห์

ข้อเสีย คือ ไม่เหมาะกับงานสำรวจวตั ถุท้องฟ้าท่มี ีความสวา่ งนอ้ ย เช่น เนบิวลาและ
กาแล็กซี เนื่องจากต้องใชก้ ำลงั รวมแสงสูง เลนส์ขนาดใหญ่ที่มคี วามยาวโฟกสั ส้นั จะสร้างยากและมี
ราคาแพงมาก นอกจากน้แี ล้ว มขี นาดใหญ่จะทำให้ลำกล้องยาว มนี ้ำหนกั มาก ไม่สะดวกต่อการ
ใช้ และทำให้เนื้อเลนส์มคี ณุ ภาพดไี ดย้ าก

8. กล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสง (Reflector Telescope)มีสว่ นประกอบทีส่ ำคัญ
คือ ประกอบดว้ ย

1) กระจกเว้า ทำหน้าทีร่ บั แสงจากวตั ถทุ ำใหเ้ กิดภาพหน้ากระจกเงาราบ

2) กระจกเงาราบ ทำหนา้ ท่ีรบั ภาพทเ่ี กิดจากกระจกเว้าเพอ่ื สะท้อนภาพไปยังเลนสใ์ กล้ตา
ช่วยใหเ้ หน็ ภาพไดส้ ะดวกขนึ้

3) เลนส์ใกลต้ า เป็นเลนส์นนู จะทำหน้าท่ีขยายภาพใหม้ ขี นาดใหญข่ นึ้

ขอ้ ดี คือ ใชส้ ำรวจวัตถุทอ้ งฟ้าท่ีอยู่ไกลจากโลกมาก ๆ และไม่สว่างให้ดีกว่ากล้อง
โทรทรรศนห์ ักเหแสง เชน่ กระจกุ ดาว เนบวิ ลา และกาแลก็ ซี ทค่ี ่อนข้างจาง

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

534 คมู่ อื เตรยี มสอบ

ขอ้ เสยี คือ กระจกเงาราบภายในกล้องจะลดพน้ื ทรี่ ับแสงจงึ ตอ้ งสรา้ งกล้องให้มี
ขนาดใหญ่

9. กลอ้ งโทรทรรศนว์ ทิ ยุ (Radio Telescope) ใช้ศึกษาวัตถบุ นท้องฟ้าทใ่ี ห้คล่ืน
แมเ่ หล็กไฟฟา้ ในชว่ งคล่ืนวทิ ยุ เช่น ดวงจนั ทร์ ดวงอาทติ ย์ เปน็ ต้น

ส่วนประกอบทส่ี ำคัญ ได้แก่
1) ส่วนรบั สญั ญาณ คอื เสาอากาศมีลักษณะรูปร่างแตกต่างกันท่ีนิยมเป็นเสาอากาศแบบ
จานก้นลึกเหมือนกระจกเว้า มีตวั รบั สัญญาณอยู่ทจ่ี ดุ โฟกัสของจาน
2) ส่วนขยายสญั ญาณ
3) ส่วนแสดงหรือส่วนบันทึกสัญญาณ
หลกั การทำงาน เมื่อกลอ้ งโทรทรรศน์วทิ ยรุ ับสัญญาณวิทยุจากวตั ถทุ ้องฟ้าได้ สัญญาณนี้
จะถูกป้อนเข้าตวั เคร่ืองรับสญั ญาณ จากนน้ั สัญญาณก็จะถูกแปลงหรอื แปรเป็นภาพ กราฟ รหสั
หรือขอ้ มูลเพื่อเก็บบนั ทกึ ไวศ้ ึกษาต่อไป การทำงานของกลอ้ งโทรทรรศน์วิทยรุ ่นุ ใหม่จะอาศยั
คอมพวิ เตอร์ควบคมุ การทำงานและวิเคราะห์ข้อมลู ตลอดจนการแปลงสัญญาณเปน็ ภาพหรอื ข้อมลู
ในรูปแบบทต่ี ้องการ

10. กลอ้ งโทรทรรศนอ์ วกาศฮบั เบลิ เป็นกลอ้ งโทรทรรศนส์ ะท้อนแสงท่ีสง่ ข้ึนไปใน
อวกาศ สามารถสง่ ข้อมูลหรือจำภาพเปน็ คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ กลบั มายังโลก ซ่งึ คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟา้ จะ
ถูกเปลี่ยนเปน็ ภาพทีส่ ถานีรบั สัญญาณภาพพน้ื ดิน

ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 535

11. กลอ้ งโทรทรรศนอ์ วกาศจนั ทรา เป็นกล้องทถี่ ูกสง่ ขึน้ ไปในอวกาศทำงานในชว่ ง
ความยาวคลื่นรังสเี อกซ์ มีวงโคจรรูปวงรี นักดาราศาสตรใ์ ช้ศึกษาดาวนิวตรอน หลุมดำ และ
ซูเปอร์โนวา

12. ดาวเทยี ม (Satellite)เป็นห้องทดลองทบี่ รรจุอุปกรณเ์ อาไว้แล้วส่งขึน้ ไปโคจรรอบ
โลกเพ่ือประโยชน์ในดา้ นต่าง ๆ เช่น ดาวเทียมอตุ นุ ิยมวทิ ยา ทำหน้าทีต่ รวจความแปรปรวนของลม
ฟ้าอากาศ ดาวเทยี มสื่อสารทำหนา้ ทีเ่ ป็นสถานคี ลน่ื วิทยสุ ื่อสาร ดาวเทยี มสำรวจ
ทรพั ยากรธรรมชาตเิ ปน็ สถานีเคลือ่ นท่สี ำรวจดูพืน้ ผิวและการเปล่ียนแปลงต่าง ๆ ท่เี กิดบนพ้นื ผวิ โลก
เป็นตน้

13. หลกั การทำงานของดาวเทียม ดาวเทยี มทุกระบบจะมีเครอ่ื งส่งวิทยโุ ดยเฉพาะ
ดาวเทยี มอตุ นุ ิยมวิทยาและดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาตจิ ะตดิ ต้ังกลอ้ งถ่ายภาพดว้ ย ขอ้ มลู
จากดาวเทยี มจะถูกส่งออกมารในรปู สญั ญาคลื่นวทิ ยแุ ละสัญญาณวทิ ยโุ ทรภาพมายงั พื้นโลกซงึ่ มี
สถานีวทิ ยุสญั ญาณโดยเฉพาะ และมเี ครื่องมือแปรความหมายคลนื่ วทิ ยุออกมาเป็นตวั เลข ภาพถา่ ย
กราฟ แสดงข้อมูลต่าง ๆ ซึง่ สามารถอ่านหรือนำมาวิเคราะห์ตอ่ ไปได้

14. การส่งดาวเทยี มขึ้นไปโคจรรอบโลก ดาวเทยี มถูกสง่ ขน้ึ ไปจากโลกโดยจรวดหรือ
ยานขนสง่ อวกาศ ดาวเทยี มสามารถโคจรรอบโลกไดโ้ ดยอาศยั หลกั การเดียวกับทด่ี วงจนั ทรโ์ คจร
รอบโลก คอื ทรี่ ะดับความสงู จากผิวโลกระดับหนึ่ง และมีแรงโนม้ ถ่วงของโลกดึงดดู ดาวเทยี มเป็น
แรงศนู ย์กลาง

15. วงโคจรดาวเทียม แบง่ ตามระดบั ความสงู จากพนื้ โลกเป็น3 ระดับ คือ

1) วงโคจรระดบั ต่ำ คือ ระดับวงโคจรของดาวเทียมที่อยู่หา่ งจากผิวโลกประมาณ 800-
1,500 กโิ ลเมตร การใชว้ งโคจรตำ่ ภาพถา่ ยจึงครอบคลุมพื้นที่เปน็ บริเวณแคบ ตอ้ งใชด้ าวเทยี ม
จำนวนมากจงึ จะสรา้ งโครงข่ายให้ครอบคลมุ พ้ืนทไี่ ด้ท่วั โลก เหมาะสำหรับการถ่ายภาพรายละเอียด
สงู ติดตามสงั เกตการณ์อยา่ งใกลช้ ิด

2) วงโคจรระดบั กลาง คือ ระดับวงโคจรของดาวเทียมที่อย่หู า่ งจากผิวโลกประมาณ
9,900-19,800 กโิ ลเมตร สามารรถถา่ ยภาพและสง่ สัญญาณวทิ ยุได้ครอบคลมุ พื้นท่ไี ด้กวา้ ง แตก่ ็
ยงั ต้องใชด้ าวเทียมหลายดวงทำงานร่วมกนั จงึ จะไดค้ รอบคลมุ ท่ัวโลกสว่ นมากเป็นดาวเทียมนำรอ่ ง
เช่น เครอื ข่าวดาวเทียม GPS ท่ีประกอบด้วยดาวเทียม 24 ดวง

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

536 คมู่ อื เตรยี มสอบ

3) วงโคจรคา้ งฟา้ คือ ระดับวงโคจรของดาวเทยี มท่ีอยู่สงู จากผิวโลกประมาณ 35,000
กโิ ลเมตร มเี ส้นทางโคจรอยู่ในแนวเส้นศูนยส์ ตู ร เปน็ วงโคจรที่ดาวเทยี มใชเ้ วลาในการโคจรรอบโลก
เท่ากบั เวลาทีโ่ ลกหมุนรอบตัวเอง คือ ใชเ้ วลาในการโคจรรอบละ 24 ชวั่ โมง ดาวเทยี มจงึ เคลอื่ นที่
ไปพร้อม ๆ กบั โลกและเมื่อเปรียบเทยี บกับตำแหน่งบนโลกจึงเหน็ ดาวเทียมไม่เคลื่อนที่ สถานีติดตอ่
กับดาวเทียมบนโลกจึงเล็กเสาอากาศไปในทิศทางเดิมตลอดเวลาทำให้สะดวกในการใช้งานในวงโคจร
ค้างฟ้าดาวเทียมสามารถสง่ สัญญาณครอบคลุมพน้ื ท่ีการติดตอ่ ประมาณ 1/3 ของผวิ โลก และถา้ จะ
ใหค้ รอบคลมุ พ้นื ท่ีทั่วโลกจะต้องใชด้ าวเทียมในวงโคจรน้อี ย่างน้อย 3 ดวง

16. ดาวเทียมไทยคม มีท้ังหมด5 ดวง อยู่ในวงโคจรค้างฟ้า หา่ งจากผิวโลกประมาณ
36,000 กิโลเมตร ทำให้ดาวเทยี มเคล่ือนทรี่ อบโลกเท่ากบั เวลาที่โลกหมนุ รอบตัวเองครบ 1 รอบ
ส่งผลใหต้ ำแหน่งของดาวเทียมอยูค่ งท่ตี ลอดเวลาเหมอื นไม่เคลื่อนที่

ประโยชน์ เปน็ ดาวเทียมส่ือสารเพราะจาน สายอากาศ และดาวเทยี มจะหนั หนา้ เข้าหา
โลกตลอดเวลา ทำให้สามารถสง่ สัญญาณติดต่อส่ือสาร ระหวา่ งโลกกบั ดาวเทยี มได้อย่างตอ่ เน่ือง
และมีประสทิ ธภิ าพ

17. ดาวเทยี มธอี อส เปน็ ดาวเทียมสำรวจข้อมลู ระยะไกล โดยความรว่ มมอื ระหว่าง
รฐั บาลไทยและรัฐบาลฝรงั่ เศส นบั เปน็ ดาวเทียมสำรวจทรพั ยากรดวงแรกของไทยและเอเชีย
ตะวนั ออกเฉียงใต้

ประโยชน์ เพือ่ ใชส้ ำรวจทรัพยากรธรรมชาตขิ องประเทศไทย ใชท้ ำแผนที่ในภารกิจที่
รบั ผิดชอบ เชน่ การสำรวจหาแหลง่ ชุมชน

18. ยานอวกาศ เป็นยานพาหนะที่สรา้ งข้นึ เพื่อใช้สำรวจอวกาศ มีวัตถปุ ระสงค์ในการ
ใชแ้ ตกตา่ งกนั ไปตามความต้องการแบ่งเปน็ 2 ประเภท คือ 1) ยานอวกาศที่ไมม่ ีมนุษยข์ ับคมุ 2)
ยานอวกาศท่มี ีมนุษย์ขับคุม

19. หลักการทำงานของยานอวกาศ ยานอวกาศจะมีเครอ่ื งส่งวิทยอุ ่ืนสง่ ข้อมูลออกมา
เป็นสญั ญาณคลืน่ วิทยุ บนพื้นโลกมสี ถานีสำหรับรบั สญั ญาณนัน้ โดยเฉพาะ โดยใช้เครื่องมือสำหรบั
แปลความหมายคลน่ื วทิ ยอุ อกมาเปน็ ตัวเลข ภาพถ่าย และกราฟแสดงขอ้ มูล ขณะปฏิบตั งิ านใน

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 537

อวกาศ ยานอวกาศใชพ้ ลังงานจากแสงอาทิตยโ์ ดยใช้เซลล์สรุ ยิ ะเปล่ยี นพลังงานแสงอาทิตยเ์ ปน็
พลังงานไฟฟ้า

20. ยานอวกาศที่ไม่มีมนุษย์ขับคุม ส่วนใหญส่ ำรวจดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ ดาว
เคราะห์ และหว้ งอวกาศระหวา่ งดาวเคราะห์ เช่น

โครงการเรนเจอร์ (สหรัฐอเมริกา) สำรวจดวงจันทร์และถ่ายรปู พน้ื ผวิ ดวงจันทร์ ศกึ ษาการ
พงุ่ ชนของยานอวกาศบนผิวดวงจนั ทร์

โครงการเซอรเ์ วเยอร์ (สหรฐั อเมรกิ า) เปน็ ยานอวกาศลำแรกท่ีลงบนดวงจันทร์ได้โดยไม่มี
มนษุ ย์ไปด้วย ศึกษาการลงจอดบนผวิ ดวงจนั ทร์

โครงการมารีเนอร์2 (สหรฐั อเมริกา) สำรวจดาวศุกร์ เก่ยี วกบั อณุ หภมู ิ สนามแมเ่ หลก็
และบรรยากาศ

โครงการมารีเนอร์4 (สหรฐั อเมรกิ า) สำรวจดาวองั คาร ถา่ ยภาพดาวองั คาร อณุ หภูมิ และ
บรรยากาศ

โครงการไวกิ้ง1 และไวกง้ิ 2 (สหรฐั อเมรกิ า) สำรวจดาวอังคารเกีย่ วกบั สง่ิ มชี วี ติ และ
บรรยากาศ อุณหภมู ิ ส่วนประกอบของพื้นผวิ ความส่ังสะเทอื น และสนามแม่เหล็ก

โครงการกาลิเลโอ (สหรัฐอเมรกิ า) สำรวจดาวพฤหสั บดี

21. ยานอวกาศที่มีมนุษย์ขับคุม เป็นยานทีม่ ีมนุษยค์ วบคมุ ข้ึนไปกับยานเพ่ือเก็บ
ขอ้ มลู ทำการทดลอง หรอื ลงสำรวจดาว มีหลายโครงการ เช่น

โครงการเจมินี (สหรฐั อเมริกา) นำมนุษยข์ น้ึ ไปดำรงชวี ิตในอวกาศฝึกการเช่อื มต่อกบั ยาน
ลำอน่ื ๆ ปรบั ปรงุ การนำยานลงสพู่ ื้นท่ีและหาผลกระทบที่เกิดจากสภาวะไรน้ ำ้ หนกั โครงการนยี้ ุตลิ ง
แลว้

โครงการอะพอลโล (สหรฐั อเมริกา) นำมนุษย์ไปสำรวจดวงจันทร์ยานอะพอลโล11 เปน็ ยาน
อวกาศลำแรกทีล่ งบนพนื้ ผวิ ดวงจันทร์ไดส้ ำเรจ็ โดยมีมนษุ ย์ขบั คมุ

22. ยานขนสง่ อวกาศ หรือกระสวยอวกาศ (Space Shuttle)เปน็ ยานพาหนะที่ใช้
ในการพาอุปกรณ์สำรวจอวกาศออกไปนอกโลก เชน่ นำดาวเทียมและยานอวกาศขึ้นไปปลอ่ ยใน
อวกาศโดยมีนักบินอวกาศข้นึ ไปด้วย

23. ส่วนประกอบของยานขนส่งอวกาศ

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

538 คมู่ อื เตรยี มสอบ

1) ตัวยานโคจร หรือยานขนสง่ อวกาศ ลกั ษณะเหมือนเครอื่ งบนิ มเี ครื่องยนต์จรวด 3
เครื่องติดอยู่ที่สว่ นทา้ ย และมีระบบจรวดขับเคลื่อนในวงโคจรขนาดเล็กติดอยรู่ อบตวั ยาน 44
เครอ่ื ง ทำหนา้ ทีค่ วบคุมวิถโี คจร และท่าบนิ ของยาน สามารถนำกลบั มาใชใ้ หม่ไดห้ ลายคร้งั ยาน
ขนสง่ อวกาศแบง่ เปน็ 3 ตอน คือ 1) ห้องนักบนิ เป็นท่ีทำงานของนักบนิ อวกาศ 2) หอ้ ง
ค้นคว้าวิจัยทางวทิ ยาศาสตร์ เปน็ หอ้ งทดลองค้นควา้ อเนกประสงค์ 3) ห้องควบคุมสัมภาระ ใช้
บรรจดุ าวเทยี มหรอื สัมภาระอ่ืนๆ ภายในมแี ขนกลสำหรบั จับดาวเทยี มหรือสมั ภาระไปปล่อยใน
อวกาศ และสามารถย่นื แขนออกไปจบั ดาวเทียมทีช่ ำรดุ ในอวกาศเข้ามาซ่อมแซมในยานได้

2) ถงั เช้ือเพลิงภายนอก คือ ส่วนท่ียานขนส่งเกาะอยู่มีท่ออะลมู เิ นยี มและเหล็กกลา้ เพ่ือ
ป้อนเช้อื เพลิงเหลวเข้าไปในห้องเผาไหมข้ องเชอ้ื เพลิงหลกั 3 เครอ่ื งของยานขนส่ง สว่ นนจี้ ะเสียดสี
กบั ช้ันบรรยากาศจนไหมห้ มด

3) จรวดขบั ดันเช้อื เพลงิ แขง็ คอื ส่วนทีต่ ดิ ขนาบกนั กบั ถงั เช้ือเพลงิ ภายนอกมี 2 ลำใช้เปน็
พลังงานในการสง่ ยานขนสง่ อวกาศขน้ึ จากฐานจรวดใช้เช้อื เพลงิ หมดแลว้ จะแยกตัวออกและตกลงสู่
พื้นนำ้ จรวดส่วนนี้สามารถนำกลบั มาใชง้ านได้อีกหลายคร้ัง

24. ข้นั ตอนการบินของยานขนส่งอวกาศ
1) ใช้จรวดขบั ดนั เชอ้ื เพลงิ แข็ง 2 เครอื่ งเปน็ พลงั งานในการสง่ จรวดขนส่งอวกาศขน้ึ จาก
ฐาน
2) เมื่อจรวดขบั ดันใช้เชอื้ เพลิงหมดแลว้ จะแยกตวั ออกและตกลงสูพ่ ืน้ นำ้ โดยใชร้ ่มชชู ีพ
จรวดขับดนั น้จี ะถูกนำกลับไปยังฐานส่งจรวดเดิม และซ่อมแซมแกไ้ ขไวใ้ ชอ้ ีกในโอกาสต่อไป

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 539

3) ยานขนสง่ จะเคลอื่ นทส่ี ูงข้ึนตอ่ ไปโดยใชเ้ ชื้อเพลงิ เหลวท่ีบรรจุในถงั เช้อื เพลงิ ภายนอก
ให้กบั เครื่องยนตจ์ รวด 3 เครื่อง

4) ถงั เช้อื เพลงิ ภายนอกจะหลุดออกก่อนทย่ี านขนสง่ จะไปถึงวงโคจรรอบโลก และถูกเผา
ไหม้ในใชใ้ นบรรยากาศไม่มีการนำกลบั มาใช้งานอกี

5) ยานขนสง่ โคจรตอ่ ไปในวงโคจรรอบโลกแล้วปล่อยดาวเทียมหรอื สัมภาระอืน่ ๆ จากน้ัน
ยานขนสง่ จะกลับลงสู่พ้นื โลกในแนวราบเหมอื นกบั เครื่องร่อนซงึ่ ไม่มแี รงขบั เคลอ่ื นใด ๆ นอกจากแรง
โนม้ ถ่วงของโลก

25. สถานอี วกาศนานาชาติ (International Space Station; ISS)เป็นฐาน
ปฏบิ ัตกิ ารวจิ ัยในอวกาศและเตรยี มพร้อมท่ีจะไปสำรวจดวงจนั ทร์และอวกาศไกลออกไป ถกู
ประกอบขน้ึ ในวงโคจรของโลก เป็นโครงการรว่ มกนั ระหว่างหนว่ ยงานดา้ นอวกาศ 5 หน่วยงาน 16
ประเทศ ไดแ้ ก่ องค์การนาซา (สหรัฐอเมรกิ า) (รสั เซยี ) (ญี่ปนุ่ ) (แคนาดา) (สหภาพยุโรป) สถานี
อวกาศนานาชาติโคจรรอบโลกประมาณ 16 รอบตอ่ วนั ที่ระดับความสงู เฉลีย่ 370 กิโลเมตรจาก
พ้ืนดิน ปจั จบุ ันมคี วามกวา้ ง 109 เมตร ยาว 73 เมตร

ปฏบิ ตั กิ ารทางวิทยาศาสตร์

1) การศึกษาพฒั นาการของสงิ่ มชี ีวติ ภายใต้สภาวะไรแ้ รงโน้มถว่ งความแตกตา่ งระหวา่ งการ
ใช้ชีวิตในอวกาศ สถานีอวกาศ และบนโลก

2) การศึกษาชั้นบรรยากาศ และทรัพยากรธรรมชาตบิ นโลก

3) การศึกษาดา้ นอวกาศ เพ่ือใหม้ ีความเข้าใจเกี่ยวกบั อวกาศมากย่ิงข้นึ

4) การทำการทดลองทฤษฎีทางฟสิ ิกสใ์ นสภาพไร้แรงโน้มถ่วงซึ่งอาจนำมาถึงการคน้ พบ
ทฤษฎีใหม่ๆ ทจ่ี ะเปน็ พ้นื ฐานในการไขปริศนาความลบั ด้านอวกาศในอนาคต

5) การคน้ ควา้ วิจยั และพัฒนาดา้ นวิศวกรรมและเทคโนโลยที ่ีใช้ในกจิ การดา้ นอวกาศ การ
ขนส่ง โครงสรา้ ง กลไก และพลังงาน

6) การค้นควา้ วิจัยและพัฒนาเพ่ือหาเทคโนโลยีที่ได้สำหรับการติดต่อคณุ ภาพของการผลิต
เชงิ อุตสาหกรรมบนโลก

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

540 ค่มู อื เตรยี มสอบ

26. สภาพไรน้ ำ้ หนกั (Welghtlessness)คือ สภาพที่วัตถุไม่มีแรงกระทำต่อ
สิ่งแวดล้อม หรือสภาพท่ีเหมือนกับว่ามีมแี รงดงึ ดดู ของโลกกระทำต่อวตั ถุจึงดูเหมือนวา่ วัตถไุ ม่มี
นำ้ หนกั

27. สภาพไร้น้ำหนกั ในขณะท่ยี านอวกาศโคจรรอบโลก เกิดจากแรงโนม้ ถว่ งของโลกที่
ดึงดดู ยานสมดลุ กบั แรงหนศี นู ยก์ ลางท่ยี านอวกาศจะออกจากโลก

28. ปัญหาท่ีนักบนิ อวกาศต้องเผชญิ ในอวกาศ คือ
1) ปญั หาสภาพไร้น้ำหนกั ทำให้กลา้ มเนื้ออ่อนเปลี้ย จึงตอ้ งออกกำลังกายอย่าง
สม่ำเสมอเพือ่ ช่วยให้กลา้ มเน้ือแข็งแรงและชว่ ยใหก้ ารสบู ฉีดเลอื ดทำงานเช่นเดยี วกับเมื่ออยูบ่ นโลก
2) สภาพความดันและอณุ หภมู ิ ที่ระดับความสูงจากพน้ื ผิวโลกมากความดันอากาศจะต่ำ
มาก อาจทำให้หลอดเลือดแตกถึงแกค่ วามตายได้ดงั นัน้ นักบินอวกาศจึงต้องสวมชุดอวกาศเพื่อปรบั
ความดันและอุณหภูมิของร่างกายใหพ้ อเหมาะ หรอื ปรับความดนั อากาศภายในยานให้เสมอื นกบั บน
พ้ืนโลก
3) รังสตี า่ ง ๆ จากดวงอาทิตย์ นกั บนิ อวกาศต้องสวมชดุ อวกาศซ่ึงป้องกนั อนั ตรายเม่ือ
อยนู่ อกยาน
4) อากาศทีใ่ ชห้ ายใจ ขณะปฏิบัติงานอยนู่ อกยานอวกาศ มนษุ ย์อวกาศจะต้องนำถงั
ออกซเิ จนท่ีบรรจุออกซเิ จนเหลวติดตวั ไปดว้ ยเสมอ
5) อาหาร ในยุคตน้ ๆ อาหารของนักบนิ อวกาศจะบรรจุอยู่ในหลอดอะลมู เิ นยี มลกั ษณะ
คลา้ ยหลอดยาสีฟัน ต่อมาพัฒนาข้นึ โดยบรรจใุ นถุงพลาสตกิ ใสดว้ ยระบบสุญญากาศ ปัจจุบัน
อาหารสำเรจ็ รูปธรรมดาแปรรูปใหม้ ีน้ำหนักน้อยท่ีสุดและมีสารอาหารครบถว้ น การกินอาหารตอ้ ง
บงั คบั ให้อาหารอยู่ในภาชนะและวางถาดอาหารบนแถบแม่เหลก็ เสมอ
6) การอาบนำ้ นกั บนิ อวกาศจะอาบน้ำอาทิตยล์ ะครั้งโดยใชฝ้ กั บวั ละอองนำ้ จะเกาะตัว
นกั บนิ เปน็ เมด็ และไมห่ ยดลงพ้นื ซง่ึ จะต้องใชร้ ะบบสุญญากาศน้ำออกจนหมด

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 541

7) การขับถา่ ย มนุษย์อวกาศต้องออกแรงเบ่งมากกวา่ ปกตเิ พราะไม่มีแรงโน้มถ่วงจากโลก
ชว่ ยมีถุงรองรับอจุ จาระติดกบั ทวาร และมีถงุ ปัสสาวะแยกกนั ของเสยี เหลา่ น้ีต้องนำกลบั มาศกึ ษาที่
โลกดว้ ย

8) การนอน นอนในถุงนอนโดยยดึ ไว้กบั ที่และมีระบบปรบั ความดนั ถุงนอนดา้ นสมั ผสั กบั
หลงั ให้เสมือนนอนบนท่ีนอน

9. การตงั้ สมมติฐาน เป็นการตง้ั คำอธบิ ายหรอื คำตอบของปัญหาไว้ล่วงหนา้ เพอ่ื เป็น
แนวทางในการทดสอบหรือหาขอ้ มลู ต่อไป ถ้าทดสอบวา่ เป็นจริง สมมตุ ฐิ านนน้ั ก็เปน็ ท่ียอมรับ ถา้
ทดสอบแล้วพบวา่ ไม่เปน็ จริงกต็ อ้ งยกเลิก แลว้ ต้งั สมมุติฐานขนึ้ ใหมเ่ พอ่ื ทดสอบกนั ต่อไป

10. การทดลอง เป็นการพิสจู น์สมมุตฐิ านท่ีตั้งไว้ การทดลองเปน็ กระบวนการวางแผน
การออกแบบวธิ ีการทำงานทดลอง ตลอดจนการทำการทดลองเพ่ือหาข้อมูลมาพสิ ูจนห์ รือมา
ตรวจสอบสมมตุ ฐิ านทีต่ ้ังหรืออธบิ ายไวแ้ ล้ววา่ ถกู ต้องหรือไม่

11. การทดลองท่ีเท่ยี งตรง (Fair Test)การศึกษาผลของสงิ่ ใดสิ่งหน่งึ ในการหาความรู้ทาง
วิทยาศาสตร์ ผูท้ ดลองต้องทำอย่างเท่ียงตรง ไม่เอนเอยี งไปด้านใดด้านหนงึ่ โดยตอ้ งควบคมุ ตัว
แปรเพ่ือใหเ้ กิดความม่นั ใจว่าเรากำลังศึกษาเฉพาะสิ่งนน้ั ๆ หรอื ตัวแปรน้ัน ๆ โดยไม่ใหต้ ัวแปรอ่ืนๆ
หรือองค์ประกอบอืน่ ๆ เขา้ มามสี ว่ นทำใหเ้ กดิ ผลที่ไขว้เขวได้ ตัวแปรในการทดลองมี 2 ประเภท
คอื ตวั แปรท่ตี ้องควบคุมให้คงที่ (ตวั แปรที่ไมต่ ้องการศกึ ษา) และตวั แปรท่ีต้องเปลยี่ นแปลง (ตัวแปร
ท่ีต้องการศึกษา)

12. การบันทกึ ขอ้ มลู เม่ือลงมอื ปฏิบัติการทดลองผทู้ ดลองจะต้องบันทึกข้อมูลทุกคร้ัง
หา้ มใชว้ ิธจี ำโดยเดด็ ขาด เพราะจะทำให้สูญเสียข้อมลู ทีส่ ำคญั ไป หรอื เม่อื มีข้อมลู มาก ๆ ก็จะจำได้
ไม่หมด นอกจากนแ้ี ลว้ การบันทกึ ข้อมูลต้องทำใหเ้ ปน็ ระเบียบ สะดวกแก่การศึกษาและแปล
ความหมายต่อไป

13. การนำเสนอข้อมลู (Data) เม่ือได้ข้อมลู จากการทดลองแล้ว ข้นั ตอนต่อมาคือการ
นำเสนอข้อมูล เพ่ือใหเ้ ราสามารถแปลความหมายและเพ่ือสือ่ สารข้อมูลใหผ้ ู้อ่ืนเขา้ ใจได้งา่ ยดว้ ย
กรณที ม่ี ีข้อมลู ไม่มากและไม่ซับซ้อนกส็ ามารถรายงานด้วยการบอกเล่า การบรรยาย แต่ในกรณที ่ีมี
ข้อมลู มากและซบั ซ้อนก็ต้องเสนอให้อ่านเข้าใจง่ายและแปลความหมายได้รวดเรว็ เช่น การใชต้ าราง
กราฟ แผนภมู ิ เป็นตน้

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

542 คมู่ อื เตรยี มสอบ

14. การสรุปผล เปน็ การนำข้อมูลท่ีไดจ้ ากผลการทดลอง มาทำการวิเคราะห์และแปล
ความหมายและสรุปผลออกมาว่าเปน็ จริงตามสมมตุ ิฐานท่ตี ั้งไวห้ รอื ไม่

16. เครอ่ื งมือและอปุ กรณ์วิทยาศาสตร์ ในการสังเกตของนักวิทยาศาสตร์จำเปน็ ต้องอาศยั เคร่ืองมือ
และอปุ กรณ์ทั้งนเี้ พ่ือชว่ ยขยายขอบเขต จำกดั ของประสาทสมั ผัส และช่วยใหห้ าข้อมูลท่ีใกล้เคยี ง
กับความเปน็ จรงิ เชื่อถือได้ และมคี วามผิดพลาดน้อยที่สดุ

15. เครื่องมือวัดที่ใช้ในชีวติ ประจำวันและงานตา่ ง ๆ ได้แก่ เครอื่ งวดั ระยะทาง (ไม้
บรรทดั ไมเ้ มตร ตลับเมตร) เครอ่ื งวดั ปริมาตร (ช้อนตวง ถว้ ยตวง ) เคร่อื งวัดอุณหภูมิ (เทอร์มอ
มเิ ตอร์) เครื่องจับเวลา (นาฬิกา) เครื่องช่ังนำ้ หนัก เคร่ืองช่วยในการมองเห็น (แว่นตา แวน่ ขยาย
กล้องส่องทางไกล กล้องจลุ ทรรศน์ กล้องโทรทรรศน์) เคร่ืองชว่ ยในการได้ยิน (สเต็ทโทสโคป
เครอ่ื งขยายเสยี ง)

16. หน่วยในการวัดปริมาณตา่ ง ๆ ในการใชเ้ ครื่องมือวดั ปริมาณของส่งิ ต่าง ๆ จำเปน็ ตอ้ ง
ใชห้ นว่ ยกำกับการวัดทเ่ี ปน็ มาตรฐานตรงกนั เพ่ือสะดวกในการเปรยี บเทียบหรือทำความเข้าใจ
ระบบหน่วยท่เี รารู้จักและนิยมใช้ มอี ยู่ 3 ระบบ คอื

1) ระบบเมตริก เป็นระบบหน่วยของประเทศฝร่ังเศส

2) ระบบอังกฤษ เปน็ ระบบหนว่ ยของประเทศอังกฤษ

3) ระบบหน่วยระหว่างชาติหรือระบบหน่วยเอสไอ เปน็ ระบบหน่วยท่พี ัฒนามาจากระบบ
เมตริก ปจั จุบันระบบหนว่ ยนี้ถือเปน็ ระบบหนว่ ยสากลเป็นมาตรฐานทใ่ี ชก้ นั ท่วั โลกในการวัดทาง
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

17. ตารางเปรยี บเทียบหน่วยของการวัดตามระบบเอสไอและระบบเมตริก

ปรมิ าณส่งิ ต่าง ๆ ระบบเอส ชอื่ หน่วย ความสัมพันธ์
ไอ ระบบเมตริก

ความ เมตร (m) เซนติเมตร (cm) 1 m = 100 cm
ยาว

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ กิโลกรัม กรัม (g) 543
(kg)
มวล วนิ าที (S) 1 kg = 1,000 g
วนิ าที (s) องศาเซลเซียส
เวลา ( สมการ
อณุ หภู เคลวนิ ตาราง K = 273 + (
มิ (K) เซนตเิ มตร 1 = 10,000
พื้นท่ี
ตาราง ลกู บาศก์ 1=
ปริมาต เมตร เซนตเิ มตร 1,000,000
ร (

ลูกบาศก์
เมตร(

ความ กโิ ลกรัม กรมั ตอ่ ลูกบาศก์ 1 kg/ =
(g/
หนาแน่ ตอ่ เซนติเมตร

น ลกู บาศก์ (g/

เมตร

(kg/

18. เคร่อื งมือวทิ ยาศาสตรท์ ี่ใชช้ ่วยและขยายขอบเขตของประสาทสัมผัส

- แวน่ ขยาย (Magnifying glass) คอื เครือ่ งมอื ทใ่ี ชส้ ่องมองดสู ิ่งเลก็ ๆ ทีย่ ังพอมองเห็นได้
ดว้ ยตาเปล่า

- กล้องจุลทรรศน์ (Microscope) คือ เคร่ืองมอื ท่ใี ชส้ อ่ งมองดูส่ิงท่ีอยู่ใกล้ ๆ และมีขนาด
เลก็ มาก ปกตมิ องด้วยตาเปล่าไมเ่ ห็น

- กล้องโทรทรรศน์ (Telescope) คือเคร่ืองมือท่ีใชส้ อ่ งมองดูสิง่ ทีอ่ ยู่ไกลมาก ๆ ใหเ้ ข้าใกล้
และมขี นาดโตข้นึ เลก็ น้อย

- เครื่องชว่ ยการไดย้ นิ (Hearing aid) คือ เครือ่ งมือช่วยการได้ยินเสยี งท่ีคนหูตงึ ใช้

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

544 คมู่ อื เตรยี มสอบ

- เคร่อื งฟงั เสยี งหรือสเตก็ โทสโคป (Stethoscope) เครอ่ื งมือที่แพทย์ใชช้ ่วยฟงั เสียงการ
ทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายให้ชดั เจนย่งิ ข้ึนเพื่อการตรวจวินจิ ฉยั โรคของผปู้ ่วย

- เทอร์มอมเิ ตอร์ (Thermometer) คือ เคร่อื งมือทใี่ ช้วัดอุณหภมู ิ หรือระดบั ของความ
รอ้ นในวตั ถุ

19. ความรวู้ ิทยาศาสตร์เปลย่ี นแปลงได้ ความรู้ที่นักวิทยาศาสตรเ์ คยค้นพบไดแ้ ลว้
สามารถเปล่ยี นแปลงไดเ้ มื่อนักวิทยาศาสตรม์ ีเหตมุ ผี ลอย่างอนื่ มีเครื่องมือและอปุ กรณท์ ี่มี
ประสิทธภิ าพและความแมน่ ยำมากยงิ่ ข้ึน มีกระบวนการในการหาความรทู้ เ่ี ปล่ยี นแปลงไป และมี
ข้อมูลหรือหลกั ฐานใหม่ ๆ เพ่ิมเติมข้ึนมา

20. ผลกระทบจากวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่ได้หยบิ ยน่ื
ใหเ้ ฉพาะผลประโยชนด์ ้านบวกเสมอไป แตย่ ังส่งผลกระทบต่อสขุ ภาพและสิง่ แวดล้อมของมนุษย์
ด้วย

ตวั อยา่ งแนวข้อสอบ

1) ระบบสุริยะเกดิ จากอะไร

ก. ดาวฤกษ์ ข. กาแล็กซี ค. เนบิวลา ง. หลมุ ดำ

2) การเกิดของระบบสุริยะจากเนบวิ ลา มวลสารส่วนมากจะกลายเป็นสว่ นใด

ก. โลก ข. ดาวเคราะห์ ค. ดวงอาทิตย์ ง. กาแล็กซี

3) ขอ้ ใดจัดเป็นดาวเคราะหห์ ินทั้งหมด

ก. อังคาร พฤหัส เสาร์ ยูเรนสั ข. พธุ ศุกร์ โลก องั คาร

ค. พุธ ศุกร์ องั คาร พฤหัส ง. พฤหัส ศกุ ร์ ยเู รนสั เนปจนู

4) ดาวเคราะห์น้อยอยู่ระหว่างวงโคจรของดาวเคราะห์ใด

ก. พุธ และ ศุกร์ ข. โลก และ อังคาร ค. อังคาร และ พฤหัส ง. พฤหัส และ เสาร์

5) ข้อใดไมจ่ ดั เปน็ ดาวเคราะหแ์ กส๊

ก. ดาวพลโู ต ข. ดาวเสาร์ ค. ดาวยเู รนสั ง. ดาวพฤหัสบดี

6) เศษท่ีเหลือจากดาวเคราะห์ยักษ์จะเปน็ ส่ิงใด

ก. อุกกาบาต ข.ดาวตก ค. ดาวหาง ง. ดาวประหลาด

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 545

7) โลกได้รับพลงั งานจากดวงอาทติ ยใ์ นรูปของสิ่งใด

ก. แสงและความร้อน

ข. อนุภาคและแสง

ค. ความรอ้ นและพายุแม่เหล็ก

ง. คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าและอนุภาคที่มีประจุไฟฟา้

8) ถ้าโลกไม่มีบรรยากาศห่อหุ้ม สิ่งมชี ีวติ จะได้รบั อันตรายมากท่สี ุดจากชนิดของพลงั งานท่ดี วง

อาทติ ย์ สง่ มายังโลก คือ

ก. แสงธรรมดา ข. รังสีเอก็ ซ์ ค. รังสอี ลั ตาไวโอเลต ง. อนภุ าคท่ีมีประจุ

ไฟฟ้า

9) อนุภาคโปตอนและอเิ ล็กตรอนที่หลดุ ออกจากดวงอาทิตยม์ าสู่โลก ทำให้เกดิ สงิ่ ใด

ก. คล่ืนแมเ่ หล็ก ข. คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ ค. ลมสุรยิ ะ ง. แสงเหนือ-แสงใต้

10) แสงเหนือแสงใต้เกดิ จากอะไร

ก. อนุภาคของลมสรุ ิยะชนกบั สนามแมเ่ หล็กโลก

ข. อนภุ าคของลมสรุ ยิ ะชนกับอะตอมของแกส๊ ในบรรยากาศของโลก

ค. รังสีอลั ตาไวโอเลตทแ่ี ผจ่ ากดวงอาทติ ยช์ นกับสนามแมเ่ หล็กโลก

ง. รงั สีอัลตาไวโอเลตกับอะตอมของแกส๊ ในบรรยากาศของโลก

11) ดาวเคราะหด์ วงใดท่ีมกี ารเปลี่ยนตำแหนง่ ค่อนข้างเร็วจนไมม่ โี อกาสเหน็ การเคลื่อนทีต่ ามแนว

ตะวันออก – ตะวันตกได้ตามปกติ

ก. ดาวพธุ ข. ดาวเสาร์ ค. ดาวองั คาร ง. ดาวพฤหัสบดี

12) เมื่อมกี ารปลดปลอ่ ยพลังงานและอานุภาคจากดวงอาทิตย์ขอ้ ใดมีผลต่อโลกทหี่ ลัง

ก. พายแุ มเ่ หล็ก ข. รงั สคี อสมิค ค. แสงธรรมดา ง. รังสี

อัลตราไวโอเลต

13) ข้อใดถูกต้อง

ก. อกุ กาบาตรจากอวกาศที่เข้าสู่โลกนนั้ เกิดจากเศษเหลือของดาวหางทโี่ คจรเฉียดผ่านมาเทา่ นน้ั

ข. เอกภพ คือ ระบบรวมของกาแลก็ ซีทอี่ ยู่ในทางช้างเผือก

ค. หางของดาวหางชีอ้ อกจากดวงอาทิตย์เสมอเน่ืองจากลมสรุ ยิ ะ

ง. ดาวหางมแี สงในตัวเองเช่นเดียวกับดาวฤกษ์

14) ข้อใดเป็นผลกระทบของพายสุ ุรยิ ะท่ีมตี ่อโลก

A.ลมสรุ ิยะ B.แสงเหนอื -แสงใต้

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

546 ค่มู อื เตรยี มสอบ

C.การส่อื สารโดยวทิ ยุคล่นื สน้ั ตดิ ขดั D.เกดิ ความร้อนจำนวนมาก

ก. A และ B ข. B และ C ค. C และ D ง.A และ D

15) สภาวะเอ้ืออำนวยตอ่ สง่ิ มีชวี ิตใหอ้ าศยั อยู่บนดาวเคราะหน์ ้นั ได้ ควรเป็นอยา่ งไร

ก. ไม่ร้อนมาก และไม่หนาวเย็นเกินไป ข. ได้รบั พลังงานจากดวงอาทิตย์พอเหมาะ

ค. มนี ้ำในการดำรงชวี ิต ง. ถกู หมดทุกข้อ

16) ปรากฏการณ์ท่ีดาวเคราะหแ์ ละดวงอาทิตย์ตา่ งส่งแรงโนม้ ถว่ ง ซงึ่ กันและกนั ปรากฏการณน์ ้ี

เรียกวา่ อะ

ก. แรงโน้มถว่ งสัมพันธก์ นั ในระบบสรุ ยิ ะ ข. แรงโน้มถ่วงสัมพนั ธ์กนั ในระบบสุริยะ

ค. ปฏสิ ัมพนั ธ์ระหว่างดวงดาวในระบบสุริยะ ง. ปฏิสัมพทั ธ์ระหว่างดวงดาวในระบบสรุ ิยะ

17) เพราะเหตใุ ดคนบนโลกจึงเห็นดาวศกุ รส์ วา่ งกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่น

A. อย่ใู กลด้ วงอาทิตย์ B. อยู่ใกล้โลก C. สะทอ้ นแสงไดด้ ี

ก.A, B ข.B, C ค.A, C ง.A, B, C

18) ดาวเทยี มประเภทใดโคจรอยู่ลึกทสี่ ดุ

ก. ดาวเทียมอุตนุ ิยมวิทยา ข. ดาวเทยี มสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ

ค. ดาวเทยี มสำรวจอวกาศและดาวเคราะห์ ง. ดาวเทยี มส่อื สาร

19) ชายคนหนึง่ หนัก 60 กิโลกรัม บนโลก บนดวงจนั ทร์ชายคนน้ีหนกั กี่กิโลกรัม

ก. 10 กโิ ลกรัม ข. 20 กิโลกรมั ค. 30 กโิ ลกรัม ง. 40 กโิ ลกรัม

20) ส่งิ ใดทีเ่ คล่ือนท่ดี ว้ ยแรงกิริยา

ก. เรือยนต์ ข. มอเตอร์ไซต์ ค. จรวด ง. เครื่องบินไอพน่

21) แรงโน้มถ่วงของโลกทีม่ ีต่อวัตถจุ ะเปลยี่ นไปตาม

ก. น้ำหนกั ข. มวลสาร ค. ความหนานแนน่ ง. ความเร็ว

22) ข้อมูลจากดาวเทยี มจะถูกจัดสง่ มาในรปู ใด

ก. สัญญาณคลน่ื วิทยุ และภาพถ่าย ข. สญั ญาณคลน่ื วทิ ยุ และกราฟ

ค. สัญญาณคลน่ื วิทยุ และวทิ ยุโทรภาพ ง. สัญญาณวทิ ยุโทรภาพ และกราฟ

23) เมื่อวตั ถุอยู่ในสภาพไรน้ ้ำหนักวัตถุนน้ั จะมีสภาพเช่นไร

ก. มวลของวัตถุจะมคี ่าตำ่ สุด ข. วัตถุเคลื่อนทด่ี ้วยความเร็วสูงสุด

ค. วัตถุเคลื่อนทดี่ ว้ ยอตั ราเรง่ คงท่ี ง. วตั ถุนน้ั มนี ้ำหนกั เท่ากบั ศนู ย์

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 547

24) ดาวเทยี ม A โคจรทคี่ วามสูง 500 กม. จากพื้นโลก ดาวเทยี ม B โคจรที่ระยะความสูง 100 กม.

จากพน้ื โลกดาวเทยี มดวงใดมีความเรว็ ในการโคจรมากกวา่ กัน

ก. ดาวเทียม A ข. ดาวเทยี ม B ค. เท่ากนั ง. ขอ้ มลู ไมเ่ พยี งพอบอกไมไ่ ด้

25) ดาวเทยี มเฉพาะกจิ บางดวงท่โี คจรอยรู่ อบโลกสามารถสำรวจทรัพยากรธรรมชาตบิ นพื้นโลก

อยากทราบว่าคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าย่านใดทด่ี าวเทยี มตรวจจับแมน่ ำ้ และป่าไมไ้ ด้

ก. คลนื่ วทิ ยุ ข. รงั สีเอ็กซ์ ค. ไมโครเวฟ ง. รังสีอนิ ฟราเรด

26) ดาวเทยี มสื่อสารจะโคจรอยูใ่ นบรรยากาศชั้นใด

ก. สตราโตสเฟยี ร์ ข. เมโสสเฟยี ร์ ค. ไอโอโนสเฟียร์ ง. เอกโซสเฟียร์

27) ดาวเทียมโคจรอยู่รอบโลกได้ เพราะเหตุใด

ก. แรงโน้มถว่ งของโลก ข. ความเร็วโคจรรอบโลกของดาวเทยี ม

ค. ความเร่งของการขบั ดนั เช้ือเพลงิ ง. ถกู ทงั้ กและ ค

28) หลุมดำ หมายถึงอะไร

ก. บริเวณในอวกาศทีม่ ีแรงโน้มถ่วงสูง

ข. บริเวณท่ไี มม่ ีแสงสวา่ งเน่อื งจากไม่ไดร้ ับแสงจากดวงอาทิตย์

ค. บรเิ วณทเ่ี ป็นหลมุ เนื่องจากการกระแทกของอุกกาบาต

ง. ข้อ กและข้อ ขถูก

29) การระเบิดอย่างรุนแรงของดาวฤกษม์ วลมากก่อนจะดับสลายเรียกวา่ อะไร

ก. เนบิวลาดาวเคราะห์ ข. ซูเปอรโ์ นวา

ค. กลุ่มก้อนแกส๊ ยักษ์ ง. การระเบดิ ครงั้ ใหญ่

30) ปฏกิ ิริยานิวเคลียรฟ์ ชิ ชนั จะเกดิ ขึ้นไดเ้ มอ่ื ใด

ก. นิวตรอนชนกับนวิ เคลยี สของธาตหุ นกั ข. การรวมตัวของธาตุเบา

ค. การรวมตวั ของธาตหุ นัก ง. รงั สีแกมมาชนกบั นิวเคลยี สของธาตเุ บา

เฉลยตัวอย่างแนวข้อสอบ

1 ค2 ค3 ข4 ค5 ก

6 ค 7 ก 8 ค 9 ค 10 ข

11 ก 12 ก 13 ค 14 ข 15 ข

16 ค 17 ง 18 ค 19 ก 20 ข

21 ข 22 ก 23 ง 24 ข 25 ก 26 ค 27 ข 28 ก 29 ข 30 ก

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

548 ค่มู อื เตรยี มสอบ

รวมโจทย์วทิ ยาศาสตร์เร่อื งทีอ่ อกบ่อยชุดที่ 1

5. สารในขอ้ ใดตอ่ ไปน้ที ่สี ามารถแยกได้โดยวิธีกล่ันด้วยไอน้ำไดง้ า่ ยท่สี ุด

สาร A ไมล่ ะลายนำ้ มีจดุ เดอื ดสงู สาร B มกี ล่ินหอมละเหยงา่ ย

สาร C ระเหยง่าย ไมล่ ะลายน้ำ สาร D ละลายในเฮกเซน มจี ุดเดอื ด

ปานกลาง

ข. สาร A และ B ข. สาร C ค. สาร C และD ง. สาร D

ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 549

6. นำของเหลวเนื้อเดียว X มาระเหยแหง้ พบว่ามขี องแข็ง Y เหลอื อยู่ ของแขง็ นส้ี ามารถทำ
ปฏกิ ริ ยิ ากบั สารละลาย NaHCO3และได้นำสาร Y ไปแยกใชโ้ ครมาโทกราฟฟีแบบกระดาษ
พบวา่ มอี งค์ประกอบเพียงสารเดยี ว จากขอ้ มลู ข้างต้นขอ้ ใดกล่าวผดิ
จ. ถา้ นำ Y มาหาจุดหลอมเหลวพบวา่ มชี ่วงการหลอมเหลวกวา้ งกวา่
ฉ. X สามารถแยกจาก Y ได้โดยการกล่ัน
ช. X เปน็ สารละลายท่ีมี Y เป็นสารบริสุทธผ์ิ สมอยู่
ซ. Y มีสมบัตเิ ป็นกรด

7. เมือ่ นำของผสมท่ีประกอบดว้ ยสาร A ,B และ C มาแยกโดยใช้โครมาโทกราฟีกระดาษและ
ตวั ทำละลายที่เหมาะสมได้ผลดังนี้
สาร ระยะที่สารเคลือ่ นที่ (cm) ระยะท่ีตัวทำละลายเคล่ือนที่ได้(cm)

A9 10

B7 10

C5 10

ขอ้ ใดสรุปไดถ้ ูกต้อง

จ. สาร A ถูกดดู ซับได้ดที ี่สดุ สาร C ดดู ซับได้น้อยที่สุด

ฉ. สาร B ถูกดูดซบั ไดด้ ปี านกลาง สาร C ละลายในตัวทำละลายไดด้ ที ส่ี ุด

ช. สาร A ถูกดูดซบั ไดน้ ้อยทสี่ ดุ สาร C ถูกดูดซบั ได้ดีท่สี ุด

ซ. สาร A และ B ละลายในตัวทำละลายได้ดีท่ีสดุ สาร C ละลายในตัวทำละลายได้ปาน

กลาง

8. สารละลายทีเ่ กดิ จากธาตหุ มู่1กบั น้ำมีสมบตั ิอยา่ งไร

ก. เป็นกลาง ข. เปน็ ไดท้ ้ังกรดและเบสค. เปน็ กรด ง. เปน็ เบส

5. ถา้ A , B และC เปน็ สารโคเวเลนต์ 3 ชนดิ โดยท้ัง 3 ชนิดมีสถานะเปน็ ของเหลวโมเลกลุ ของ

สารA และB มีขัว้ สว่ นโมเลกุลของสารC ไม่มีข้วั สารใดสามารถละลายน้ำได้

ก. สารC ข. สารA และC ค. สารA เเละB ง. สารB และC

8. ของเหลว A ,B และ C ผสทกันอยู่โดยมีสมบตั ิดังตาราง

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

550 ค่มู อื เตรยี มสอบ

จุเดอื ด (องศา) การละลายในน้ำ

สาร A 68 ไม่ละลาย

สาร B 78 ละลาย

สาร C 70 ละลาย

ถา้ เราจะแยกสารควรใช้วธิ ใี ด

จ. แยกโดยการกล่นั ธรรมดา และสกดั ดว้ ยตัวทำละลาย

ฉ. แยกโดยการกล่นั ดว้ ยไอน้ำ และสกัดด้วยตวั ทำละลาย

ช. แยกโดยการลำดบั สว่ นและสกัดดว้ ยตวั ทำละลาย

ซ. แยกโดยการกลั่นดว้ ยไอนำ้ และการกล่ันลำดับส่วน และสกดั ดว้ ยตวั ทำละลาย

9. สารทีก่ ำหนดให้ต่อไปน้ีสารข้อใดเปน็ ธาตุ สารประกอบ และสารผสม

ข. อากาศ ไวน์ น้ำมนั ดบิ ข. ออกซิเจน กรดซลั ฟูริก ไวน์

ค. ออกซิเจน ไอโอดีนน้ำมันดิบ ง. ไอโอดนี อากาศ ไวน์

8. วธิ ีการใดเหมาะสมท่สี ุดในการทำให้เหล้ามีเปอรเ์ ซ็นต์แอลกอฮอลส์ ูง

ก. การกลั่นดว้ ยไอน้ำ ข. สกดั ด้วยตวั ทำละลายหลายๆครง้ั

ค. เคี่ยวใหน้ ำ้ ระเหยออกไป ง. กลัน่ ตามลำดบั สว่ น

9. สมบัติใดตอ่ ไปนี้ไม่เปน็ สมบตั ขิ องอโลหะ

ก. ตดั หรือขดั เปน็ มันวาว ข. เคาะไม่มีเสยี งกงั วาน

ค. มไี ด้ทง้ั 3 สถานะ ง. นำความรอ้ นและนำไฟฟ้าไดด้ ี

10. ขอ้ ใดเปน็ สมบัตขิ องคอลลอยท์ ี่ถูกต้อง

ก. อนุภาคมกี ารเคล่ือนที่แบบบราวน์เนยี น

ข. อนุภาคคอลลอยด์มปี ระจไุ ฟฟา้ อาจเป็นบวกหรือลบก็ได้

ค.อนุภาคโดยท่วั จะไม่ตกตะกอนเพราะมีการเคล่อื นท่ีตลอดเวลา

ง. ถกู มากกวา่ 1 ข้อ

11. อมิ ัลชัน หมายถงึ

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์


Click to View FlipBook Version