ค่มู อื เตรยี มสอบ 301
ถ้าเราจะแยกสารควรใชว้ ิธีใด
ก. แยกโดยการกล่ันธรรมดา และสกดั ด้วยตวั ทำละลาย
ข. แยกโดยการกล่ันด้วยไอนำ้ และสกัดด้วยตวั ทำละลาย
ค. แยกโดยการลำดบั สว่ นและสกดั ด้วยตัวทำละลาย
ง. แยกโดยการกลัน่ ดว้ ยไอนำ้ และการกล่นั ลำดบั สว่ น และสกัดดว้ ยตวั ทำละลาย
7. สารที่กำหนดใหต้ ่อไปน้สี ารข้อใดเป็นธาตุ สารประกอบ และสารผสม
ก. อากาศ ไวน์ นำ้ มนั ดิบ ข. ออกซิเจน กรดซัลฟูริก ไวน์
ค. ออกซิเจน ไอโอดีนนำ้ มันดิบ ง. ไอโอดนี อากาศ ไวน์
8. วิธีการใดเหมาะสมทส่ี ุดในการทำให้เหล้ามีเปอรเ์ ซน็ ต์แอลกอฮอล์สูง
ก. การกล่ันดว้ ยไอน้ำ ข. สกัดดว้ ยตัวทำละลายหลายๆคร้งั
ค. เคย่ี วใหน้ ้ำระเหยออกไป ง. กลั่นตามลำดับส่วน
9. สมบัตใิ ดตอ่ ไปนไี้ มเ่ ป็นสมบัติของอโลหะ
ก. ตัดหรอื ขัดเปน็ มันวาว ข. เคาะไมม่ ีเสียงกงั วาน
ค. มไี ด้ท้ัง 3 สถานะ ง. นำความรอ้ นและนำไฟฟ้าได้ดี
10. ขอ้ ใดเป็นสมบตั ขิ องคอลลอย์ทถ่ี ูกตอ้ ง
ก. อนุภาคมีการเคลือ่ นที่แบบบราวน์เนยี น
ข. อนภุ าคคอลลอยด์มีประจุไฟฟ้าอาจเป็นบวกหรือลบก็ได้
ค.อนุภาคโดยท่วั จะไมต่ กตะกอนเพราะมกี ารเคลอื่ นท่ีตลอดเวลา
ง. ถูกมากกว่า 1 ข้อ
11. อมิ ลั ชัน หมายถึง
ก. คอลลอยป์ ระเภทของแขง็ แขวนลอยในของเหลว
ข. คอลลอยป์ ระเภทของเหลว แขวนลอยในของเหลว
ค. คอลลอยป์ ระเภทของแข็ง แขวนลอยในของแขง็
ง. คอลลอย์ปท่มี ีอนภุ าคของแกส๊ แขวนลอยในของเหลวหรอื ของแขง็
12. สารประกอบสามารถแยกออกเป็นองค์ประกอบไดด้ ว้ ยวธิ ใี ดตอ่ ไปน้ี
ก. สกดั ด้วยตวั ทำละลาย ข. การแยกดว้ ยไฟฟ้า
ค. การกลนั่ ดว้ ยไอนำ้ ง. วิธโี ครมาโทกราฟฟี
13. การทดลองต่อไปนข้ี ้อใดควรใช้วิธีการโครมาโทกราฟฟี
ก. ตอ้ งการแยกน้ำมันออกจากน้ำ ข. ตอ้ งการสกดั สีม่วงจากดอกอัญชัน
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
302 ค่มู อื เตรยี มสอบ
ค. ตอ้ งการวเิ คราะห์วา่ สแี ดงจากทอฟฟคี ือสใี ด ง. ตอ้ งการสกดั น้ำมนั หอมระเหยจากดอกมะลิ
14. ขอ้ ใดต่อไปนไ้ี มใ่ ชก่ ารเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี
ก. ผสมสารละลาย NaOHกบั สารละลาย HCl
ข. การบูดของอาหาร
ค. ผลึกไอโอดนี สมี ว่ งในขวดปดิ กลายเป็นไอสีมว่ งแดง แล้วตอ่ มาเห็นเป็นผลึกเลก็ ๆ
ง. การทำอิเลก็ โทรลซิ ิสของสารละลายเกลือ NaCl
15. สารในขอ้ ใดจัดเปน็ สารประกอบทัง้ หมด
ก. ทองแดง เงนิ นาก ข. หินปนู นาก เกลอื แกง
ค. นำ้ กรดน้ำสม้ แกลือแกง ง. น้ำ ทองแดง เงนิ
16. ข้อใดกลา่ วถกู ต้อง
ก. สารละลายทุกชนิดจดั เป็นของเหลวเนือ้ เดยี วกัน
ข. สารบรสิ ทุ ธท์ิ ุกชนดิ จัดเป็นสารเนือ้ เดยี วกัน แต่สารเน้ือเดยี วกันไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งเปน็ สารบรสิ ทุ ธิ์
ค. สารเน้ือเดียวจะต้องเปน็ สารเพยี งชนิดเดียวเทา่ น้ัน
ง. สารละลายบางชนดิ จดั เป็นสารบรสิ ทุ ธิ์
17. ถ้านำธาตุ X ไปผา่ นกระบวนการอย่างหน่ึงซงึ่ มีผลทำใหอ้ ะตอมของธาตุ X เกิดการเปลยี่ นแปลง
ถา้ จะพิจารณาว่า X เป็นธาตใุ หมห่ รอื ไม่ จะพิจารณาจากข้อใด
ก. จำนวนโซโทปของธาตุ X มีจำวนมากข้ึนกว่าเดิม
ข. จำนวนนวิ ตรอนเปลี่ยนไปจากเดิม
ค. จำนวนโปรตรอนเปลีย่ นไปจากเดมิ
ง. มีการเปล่ียนแปลงอิเล็กตรอนในแตล่ ะช้นั พลังงานอย่างเหน็ ได้ชดั
18. ถา้ ไอโซโทปของธาตุชนิดหน่ึงมปี ระจใุ นนิวเคลียสเปน็ 2 เท่าของประจใุ นนิวเคลียสของ
และมเี ลขมวลเปน็ 1.5 เท่าของ ไอโซโทปน้จี ะมีอนภุ าคมูลฐานอย่างละกอ่ี นภุ าค
ก. อเิ ลก็ ตรอน 6 ,โปรตรอน12 และนิวตรอน 6 ข. อิเลก็ ตรอน 2 ,โปรตรอน2
ค. อเิ ลก็ ตรอน 12 ,โปรตรอน12 และนิวตรอน 6 ง. อิเลก็ ตรอน12 ,โปรตรอน12 และ
นวิ ตรอน 18
19. ข้อใดมีจำนวนอเิ ล็กตรอนมากกว่านิวตรอน
ก. ข. ค. ง.
ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 303
20. แสงใดมีพลงั งานสูงทสี่ ุด ง. แสงสขี าว
ก. แสงสีมว่ ง ข. แสงสแี ดง ค. แสงสนี ำ้ เงิน
21. การทดลองใดที่แสดงไดว้ ่านิวเคลียสมีอนุภาคนิวตรอนเปน็ องคป์ ระกอบและมปี ระจเุ ป็น
กลาง
ก. ใชท้ ดลองรงั สีแคโทดสุญญากาศและผา่ นกระแสไฟฟา้ ศกั ยส์ งู ๆ จะปรากฏรังสเี รอื งแสง
ข. ยงิ อนุภาคแอลฟาไปยงั ธาตุต่างๆ
ค. ยิงอนภุ าคแอลฟาผา่ นแผ่นโลหะทองคำบาง
ง. โดยใช้วธิ หี ยดน้ำมนั
22. เลขมวลหมายถงึ
ก. ตัวเลขทแี่ สดงจำนวนนิวตรอน
ข. ตัวเลขที่แสดงจำนวนโปรตรอนหรอื จำนวนอเิ ลก็ ตรอน
ค. ผลรวมของจำนวนโปรตรอนและอเิ ลก็ ตรอน
ง. ผลรวมของจำนวนโปรตรอนและนวิ ตรอน
23. ไอโซโทป หมายถงึ
ก. ธาตตุ ่างชนิดกันมเี ลขมวลเท่ากนั ข. ธาตุต่างชนิดกันมีเลขอะตอมเท่ากัน
ค. ธาตชุ นิดเดียวกนั มีเลขอะตอมต่างกัน ง. ธาตชุ นิดเดยี วกันมเี ลขมวลต่างกนั
34. เลขออกซิเดชนั ของ O ในสารประกอบ KO2มีคา่ เทา่ กบั
ก. - ข. -1 ค. +1 ง. -2
25. สมบตั ิข้อใดท่ีไมเ่ ป็นสมบัติของธาตุทอ่ี ยใู่ นหมู่เดียวกนั
ก. ธาตหุ มเู่ ดยี วกันจะมีขนาดเท่ากัน ข. จำนวนเวเลนซอ์ ิเล็กตรอนเท่ากัน
ค. เกิดปฏกิ ิรยิ าทางเคมคี ล้ายกัน ง. การนำไฟฟ้าเหมือนกนั
26. สารประกอบสองชนดิ ในข้อใดท่ีแรงยึดเหน่ยี วระหว่างโมเลกลุ มคี ่ามากท่ีสุด
ก. HF,CCl4 ข. HCl,SiH4 ค. CH4,PH3 ง. NH3,HF
27. พันธะเดีย่ วหมายถงึ อะไร
ก. พันธะท่ีเกดิ จากการใชอ้ ิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวรว่ มกนั 1 คู่
ข. พนั ธะทีเ่ กิดจากการใชเ้ วเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนร่วมกัน1คู่
ค. พันธะที่เกดิ จากการใชเ้ วเลนซ์อเิ ล็กตรอนร่วมกนั 2คู่
ง. พันธะทีเ่ กิดจากการใชเ้ วเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนร่วมกัน3คู่
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
304 ค่มู อื เตรยี มสอบ
28เหตุใดสารโคเวเลนตจ์ ึงมจี ุดเดอื ดจุดหลอมเหลวตำ่
ก. สารโคเวเลนต์มแี รงยดึ เหนยี่ วระหว่างโมเลกลุ น้อยข. สารโคเวเลนต์มักสลายตวั ไดง้ ่าย
ค. สารโคเวเลนตไ์ ม่มีประจุไฟฟา้ ง. สารโคเวเลนต์มักมโี มเลกุลขนาดเล็ก
29. พันธะเคมหี มายถึงอะไร
ก. การอยรู่ วมกนั ของอะตอม ข. พลังงานท่ที ำให้อะตอมสลายตัว
ค.แรงยึดเหนีย่ วระหวา่ งอะตอม ง. การอยูร่ วมกนั ของโมเลกลุ
30. การทดสอบข้อใดไม่สามารถใช้ในการบอกประเภทของเสน้ ใย
ก. การทนตอ่ ความยบั ยู่ยี่ ข. ความคงทนต่อสารเคมี
ค. ความยดื หยนุ ของเสน้ ใย ง. ความยากง่ายในการเปรอะเปอื้ นของเส้นใย
31. องคป์ ระกอบใดของสบู่และผงซกั ฟอกท่ีไมต่ า่ งกนั
ก. การแตกตัว ข. การท่ีไม่แตกตัว
ค. จำนวนออกซเิ จนอะตอม ง. วัตถดุ บิ ในการสังเคราะห์
32. ขอ้ ใดเป็นหน้าทีข่ องสารประกอบฟอสเฟตในผงซกั ฟอก
ก. ละลายไขมนั ลดแรงตงึ ผวิ ของน้ำ
ข. ทำให้นำ้ แทรกซมึ เข้าไปในเนื้อผา้ ละลายไขมนั
ค. รักษาระดับความเปน็ เบส ลดแรงตึงผิวของน้ำ
ง. ลดความกระด้างของนำ้ ทำให้เป็นเบสพอเหมาะกับการซกั ลา้ ง
33. ถ้านำ้ ทีใ่ ชซ้ ักลา้ งมคี วามกระด้างมาก ควรใชผ้ งซกั ฟอกแบบใด
ก. เพมิ่ ความเป็นเบส
ข. เพิ่มปรมิ าณฟอสเฟต
ค. เพมิ่ ปรมิ าณซลั ฟอเนต
ง. เพิ่มไฮโดรคารบ์ อนของผงซักฟอก
34. ข้อใดไมใ่ ชส่ มบัตขิ องโมเลกลุ สบู่
ก. ส่วนทล่ี ะลายนำ้ ประกอบด้วยคาร์บอนและออกซิเจน
ข. ส่วนทลี่ ะลายในไขมนั ประกอบด้วยคารบ์ อนและไฮโดรเจน
ค. เปน็ สารประกอบของเกลือโซเดียมกบั กรดท่ไี ด้จากน้ำมนั พชื
ง. สว่ นทแ่ี ตกตวั เปน็ ไอออนลบประกอบด้วยไฮโดรเจนและคาร์บอน
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 305
35. ขอ้ ใดไมจ่ ัดเป็นสารโมเลกุล
ก. เซลลูโลส ข. DNA ค. เอนไซม์ ง. เบนซิน
36. โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และกรดนิวคลอี ิก ประกอบด้วยธาตุหลกั เหมือนกันคือข้อใด
ก. คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน
ข. คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน
ค. คาร์บอน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส
ง. คารบ์ อน ไฮโดรเจน ออกซเิ จน กำมะถัน
37. สบไู่ ดจ้ ากการตม้ สารละลายโซเดยี มไฮดรอกไซดก์ ับสารใด
ก. แอกกอฮอล์ ข. คารโ์ บไฮเดรต ค. ไขมัน ง. โปรตีน
38. ทำไมผสู้ ูงอายุจงึ ตอ้ งการโปรตีนนอ้ ยลง
ก. เพราะร่างกายมีภูมิตา้ นทานเพียงพอแลว้
ข. เพราะระบบร่างกายยอ่ ยโปรตีนเสอื่ ม
ค. เพราะไมต่ ้องการสรา้ งเซลลเ์ นอ้ื เยื่อในการเจริญเตบิ โตอีก
ง. เพราะร่างกายมีโปรตีนท่สี ะสมอยู่มากในส่วนต่างๆ
39. สารในขอ้ ใดไม่ได้เกิดจาการรวมตวั ของหน่วยยอ่ ยที่เหมือนกนั จำนวนมากเข้าดว้ ยกัน
ก. เซลลูโลส ข. แป้ง ค. DNA ง. สเตอ
รอยด์
40. การเตมิ H ลงในกรดไขมันไม่อ่ิมตัวเพื่อจดุ ประสงค์ใด
ก. ช่วยป้องกันการเหมน็ หืน ข. ชว่ ยให้แข็งตวั ง่าย
ค. ชว่ ยใหไ้ มแ่ ขง็ ตวั ง. ลดการเกิดคอเลสเทอรอล
41. วธิ กี ารในขอ้ ใดใชต้ รวจสอบสารอาหารประเภทโปรตนี
ก. เตมิ สารละลายคอปเปอร์ (II) ซลั เฟต ในสภาวะทีเ่ ปน็ เบส
ข. เติมสารละลายคอปเปอร์ (II) ซัลเฟต ในสภาวะท่ีเป็นกรด
ค. เติมสารละลายคอปเปอร์ (II) ซัลเฟต ในสภาวะทีเ่ ป็นเบสแลว้ นำไปตม้
ง. เติมสารละลายคอปเปอร์ (II) ซลั เฟต ในสภาวะทเี่ ปน็ กรดแลว้ นำไปตม้
42. ขอ้ ใดถกู ต้อง
ก. ควรกนิ อาหารท่ีมีสารอาหารครบทกุ ประเภทในสัดส่วนทเี่ ท่ากนั
ข. ควรกนิ อาหารท่ีมสี ารอาหารครบทกุ ประเภทในปรมิ าณและสัดส่วนที่เหมาะสม
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
306 ค่มู อื เตรยี มสอบ
ค. ควรเลอื กกินอาหารที่มโี ปรตนี คาร์โบไฮเดรต และไขมนั ในสดั ส่วนที่เทา่ กนั
ง. ควรกินอาหารประเภทผัก ผลไม้ ในสกั สว่ นท่ีมากกว่าโปรตีน คาร์โบไฮเดรตและไขมนั
43. ข้อใดไม่ใชห่ นา้ ทข่ี องไขมัน
ก. ทำใหผ้ ิวช่มุ ชนื่ ข. ชว่ ยในการสร้างวิตามนิ เค
ค. เป็นส่วนประกอบของเยื่อห้มุ เซลล์ ง. เปน็ ฉนวนปอ้ งกนั การสูญเสยี
ความรอ้ น
44. ข้อใดไมใ่ ชห่ นา้ ทข่ี องโปรตีน
ก. ใหพ้ ลงั งาน ข. เปน็ เอมไซม์ ค. รกั ษาสมดลุ นำ้ ง. ลำเลยี ง
สารอาหาร
45. DNA และ RNA เป็นสารชวี โมเลกุลทีป่ ระกอบด้วยหนว่ ยยอ่ ย เรียกว่าอะไร
ก. เปปไทด์ ข. นวิ คลีโอไทด์ ค. กรดนวิ คลอี กิ ง. ไตรกลี
เซอไรด์
46. ในการทดสอบอาหารม้ือหนึ่ง พบว่า
วิธกี ารทดสอบ ผลที่สังเกตได้
ก เตมิ สารละลายไอโอดนี สารละลายสนี ้ำเงนิ
ข เติมสารละลายเบเนดิกต์ สารละลายสีฟ้า ไม่มตี ะกอน
ค เตมิ สารละลาย NaOHและ CuSO4 สารละลายสีม่วง
ง แตะบนกระดาษ โปรง่ แสง
อาหารท่นี ำมาทดสอบ น่าจะเปน็ อาหารชุดใดต่อไปนี้
ก. มันทอด นำ้ อดั ลม ข. สลัดผลไม้ นมเปรย้ี ว
ค. มนั ฝรงั่ บด น้ำผลไม้ ง. ขนมปังทาเนย นมถว่ั เหลอื ง
47. ในการกนิ ขา้ วไก่ทอด จะมจี ุดเรมิ่ ต้นการย่อยสลายสารอาหารทใี่ ดบา้ ง
ก. กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ข. ปาก กระเพาะอาหาร
ค. ปาก ลำไสเ้ ล็ก ง. ปาก กระเพาะอาหาร ลำไสเ้ ล็ก
48. ไฮโดรคาร์บอนส่วนต่างๆท่ไี ดจ้ ากการกล่ันน้ำมนั ดบิ ส่วนใดมจี ุดเดือดสูงทีส่ ดุ
ก. น้ำมนั ดีเซล ข. น้ำมันหลอ่ ลน่ื ค. นำ้ มนั เบนซิน ง. น้ำมันเตา
49. ขอ้ ใดเป็นการเรยี งลำดบั ผลิตภณั ฑ์ที่มีจุดเดือดต่ำ ไปยงั ผลติ ภัณฑ์ที่มีจุดเดือดสูง
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 307
ก. แก๊สปโิ ตรเลยี ม น้ำมนั เบนซนิ นำ้ มนั ก๊าด แนฟทา
ข. นำ้ มันเบนซิน น้ำมันหลอ่ ลื่น น้ำมันก๊าด นำ้ มันเตา
ค. นำ้ มันก๊าด น้ำมันโซลา่ น้ำมันหล่อลน่ื น้ำมันเตา
ง. แนฟทา นำ้ มนั โซล่า นำ้ มนั กา๊ ด น้ำมนั หลอ่ ล่นื
50. สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนในข้อใดเมื่อนำมากลั่นลำดับส่วนจะออกมาหลงั สุด
ก. น้ำมันดเี ซล ข. น้ำมันหล่อลื่น ค. นำ้ มนั เตาใส ง.
นำ้ มันกา๊ ด
51. ข้อใดกล่าวถงึ แก๊สแอลพีจไี ด้ถูกตอ้ ง
ก. เป็นแก๊สผสมระหว่างโพรเพนกบั อเี ทน
ข. ใช้แทนน้ำมันเบนซนิ ไดด้ ี เพราะมเี ลขออกเทนอยูใ่ นช่วง 85 ถงึ 108
ค. ถา้ ลืมปิดแกส๊ ในครัว จะทราบทันท่ีเน่ืองจากแก๊สมีกลน่ิ เหม็น
ง. เปน็ เช้อื เพลิงทส่ี ะอาดเผาไหม้ไดส้ มบรู ณ์มีคาร์บอนมอนอกไซด์และคาร์บอนไดออกไซด์
เกิดขึน้ น้อย
52. เมื่อนำนำ้ มันดิบมากลน่ั ลำดับส่วน สารท่ีกลนั่ ได้ จะมีลำดับตามข้อใด
ก. แกส๊ นำ้ มันเบนซิน นำ้ มันกา๊ ด ข. น้ำมนั ดีเซล น้ำมนั ก๊าด น้ำมันเบนซนิ
ค. น้ำมันกา๊ ด นำ้ มนั เบนซิน น้ำมนั ดีเซล ง. นำ้ มันดีเซล น้ำมันหลอ่ ลืน่ น้ำมนั เตาใส
53. สารท่ีได้จากการกล่ันลำดับสว่ นจะมลี กั ษณะเป็นเชน่ ใด
ก. เป็นของเหลว ไม่มีสี ไม่มกี ล่ิน ข. เป็นของเหลวสีขาว มีกล่นิ คาว
ค. เปน็ ของเหลว ไม่มีสี มกี ลนิ่ บ้าง ง. เป็นของเหลวสขี าว ไม่มีกล่ิน
54. พชื ชนิดใดที่สามารถนำมาใช้ผลติ พลงั งานทดแทนในรูปไบโอดเี ซลได้
ก. มนั สำปะหลงั ข. สบู่ดำ ค. อ้อย ง. ตาล
55. การเปลีย่ นแปลงในข้อใดเปน็ การเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี
ก. น้ำแข็งในแก้วละลาย ข. นำคอปเปอร์(II)ซลั เฟตละลายน้ำได้สนี ำ้ เงิน
ค. กระดาษไหม้ไฟ ง. เติมน้ำลงในนำ้ หวานสแี ดงจางลง
56. ปจั จยั ท่ีมผี ลตอ่ ปฏิกิรยิ าเคมี คือ
ก. ความเขม้ ขน้ ของสารละลาย ความดนั ตัวเร่งปฏกิ ริ ยิ า พันธะโคเวเลนต์
ข. พันธะโคเวเลนต์ อุณหภูมิ ความเข้มขน้ ของสารละลาย ความดนั
ค. อณุ หภูมิ ความเขม้ ขน้ ของสารละลาย พืน้ ทผ่ี วิ ตวั เรง่ ปฏิกิรยิ า
ง. อุณหภูมิ พันธะโคเวเลนต์ พ้ืนทผ่ี วิ ตวั เร่งปฏกิ ริ ิยา
ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
308 ค่มู อื เตรยี มสอบ
57. ข้อใดไม่ถกู ต้องเก่ียวกับตัวเร่งปฏิกริ ิยา
ก. ทำใหไ้ ด้สารใหมเ่ พ่ิมมากข้ึน ข. ทำใหป้ ฏกิ ริ ยิ าเกิดเรว็ ขนึ้ กว่าเดิม
ค. ทำใหข้ ั้นตอนของปฏกิ ริ ิยาเปล่ียนไป ง. ทำปฏิกิริยาเกิดไดง้ า่ ยขึ้น
58. ในการเกบ็ อาหารไวใ้ นที่อุณหภมู ิตำ่ เพื่ออะไร
ก. เพ่อื เพมิ่ การทำงานของเอมไซม์ หรือ แบคทเี รียใหเ้ ร็วขึ้น
ข. เพื่อลดการทำงานของเอมไซม์ หรือแบคทีเรียใหช้ า้ ลง
ค. เพอ่ื ลดการทำงานของเอมไซม์ แต่เพิ่มการทำงานของเอมไซม์
ง. เพื่อเพมิ่ การทำงานของเอมไซม์ แต่ลดการทำงานของแบคทเี รยี
59. pHของฝนกรดมีคา่ เทา่ ใดและเกดิ ผลกระทบอย่างไร
ก. มากกวา่ 7 สิ่งก่อสร้างท่ีทำด้วยโลหะเสียหาย
ข. มากกวา่ 7 ต้นไม้ออกผลชา้
ค. น้อยกว่า 7 ทำใหเ้ กิดหินงอกและหินยอ้ ย
ง. นอ้ ยกว่า 7 สิ่งกอ่ สรา้ งทีท่ ำด้วยหนิ ปนู และหินอ่อนเสยี หาย
60. สารใดเปน็ ตัวการท่ที ำใหเ้ กดิ หินงอกหนิ ยอ้ ยโดยธรรมชาติ
ก. คารบ์ อนมอนอกไซด์ ข. คารบ์ อนไดออกไซด์
ค. สาร CFC ง. สาร CFC และแกส๊ โอโซน
61. ข้อใดกลา่ วถูกต้องเมอื่ มปี ฏกิ ิริยาเคมเี กิดขนึ้
ก. พลังงานถูกดูดเข้าไป ข. พลังงานจะถูกคายออกมา
ค. มที งั้ ใหพ้ ลังงานและดูดพลังงานเขา้ ไป ง. มีการเปลี่ยนแปลงสถานะเกิดขน้ึ
62. ธาตุ X มจี ำนวนอิเล็กตรอนและนิวตรอนเท่ากบั 13 กับ 14 ตามลำดบั ธาตุ X มเี ลข
อะตอมและเลขมวลเทา่ ใด
ก. 14 , 27 ข. 13 , 14 ค. 13 , 27 ง. 27 , 13
63. การเขียนสัญลกั ษณ์นิวเคลียร์ขอ้ ใดถูกต้อง
ก. ข. ค. ง.
64. ถา้ ธาตุ A มเี ลขอะตอมเท่ากบั 80 เลขมวลเท่ากบั 200 ธาตุ A จะมจี ำนวนนวิ ตรอน
เทา่ ใด
ก. 80 ข. 280 ค. 200 ง. 120
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 309
65. แรงยึดเหน่ยี วระหว่างอะตอมสองอะตอมให้อยูร่ วมกัน เรยี กวา่ อะไร
ก. แรงโน้มถ่วง ข. พันธะเคมี ค. พันธะโคเวเลนต์ ง. พนั ธะ
ไอออนนิก
66. ธาตุท่มี กี ารเปลีย่ นแปลงในนิวเคลยี สไม่เสถียร เรยี กวา่
ก. ธาตแุ ทรนซชิ ัน ข. ธาตกุ ่ึงโลหะ ค. แกส๊ เฉอื่ ย ง. ธาตุ
กมั มนั ตรังสี
67. ธาตุ X มคี รง่ึ ชีวติ 4 วนั ท้งิ ไว้ 16 วันจะเหลือกีเ่ ปอรเ์ ซ็นต์
ก. 50 % ข. 25 % ค. 12.5% ง. 6.25%
68. ขอ้ ใดเป็นระบบนเิ วศ
1. กล้วยไมเ้ กาะบนตน้ ไมใ้ หญ่ 2. เหาฉลามอยู่รวมกบั ฉลาม
3. นคิ มอุตสาหกรรม 4. ตเู้ ลยี้ งปลาและพชื นำ้
ก. 1 และ 2 ข. 2 และ 3 ค. 3 และ 4 ง. 1 และ 4
69. สิง่ มีชวี ติ ใดช่วยในการปรับปรงุ คณุ ภาพดนิ โดยไมเ่ ป็นอนั ตรายต่อพชื
ก. รา ข. หอยทาก ค. ไส้เดอื น ง. ไส้เดือน
ฝอย
70. การหมนุ เวียนธาตุคารบ์ อน อาจเสียสมดุลได้จากกระบวนการในข้อใด
ก. การหายใจของสง่ิ มชี วี ติ ข. การใช้พลงั งานฟอสซลิ
ค. การสังเคราะห์แสงของพืช ง. การย่อยสลายอนิ ทรียส์ ารโดยแบคทเี รีย
71. ในการศึกษาคุณภาพน้ำในแมน่ ำ้ แห่งหน่ึง พบว่าคา่ DO วัดเมอื่ 9.30 น. เปน็ 1.0 มลิ ิ
กรัมตอ่ ลิตร และคา่ DO วดั ตอน 15.30 น. เป็น 5 มลิ ิกรัมต่อลติ ร คา่ ที่แตกตา่ งน้ีมีสาเหตุ
มาจากข้อใด
ก. สัตว์น้ำใชอ้ อกซเิ จนมากในเวลาตอนเช้า
ข. แพลงก์ตอนพชื สงั เคราะห์แสงไดด้ ีในช่วง 9.30 น.
ค. สตั ว์น้ำมีการอพยพออกไปหากนิ ท่อี ืน่
ง. แพลงกต์ อนพชื สงั เคราะห์แสงให้ออกซิเจนสะสมเพ่ิมขนึ้
72. หมบู่ ้านแหง่ หน่ึง หลงั คาบ้านและชายคาของบ้านแต่ละหลังผกุ รอ่ น ต้นไมโ้ ตชา้ ความ
เป็นกรด-เบสของดินพบวา่ มคี ่าเปน็ 4 หมูบ่ ้านนต้ี งั้ อยูใ่ กล้โรงงานใด
ก. โรงโมห่ ิน ข. โรงงานกระดาษ ค. โรงงานทำแบตเตอรี่ ง. โรงกล่ันนำ้ มนั
ปิโตรเลยี ม
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
310 ค่มู อื เตรยี มสอบ
73. กำหนดให้ข้อมลู ดงั ตาราง
แหล่งนำ้ ค่า DO (มลิ ิกรัมตอ่ ลติ ร) คา่ BOD 5 วัน (มิลกิ รัมตอ่ ลิตร)
A6 4
B5 3
C4 2
D3 1
จากตารางถ้าค่าตา่ งๆ นอกเหนอื จากที่แสดงในตารางอยู่ในเกณฑ์ทำการประมงได้ แล้วแหง่
นำ้ ใดสามารถทำการประมงได้
ก. A ข. B ค. C ง. D
74. ขอ้ ใดไม่ใช่ผลกระทบของการตดั ไมท้ ำลายปา่
ก. ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง
ข. ความสมบรู ณ์ในระบบนิเวศลดลง
ค. การหมนุ เวยี นของแรธ่ าตตุ ่างๆ ในระบบนเิ วศเพม่ิ มากข้ึน
ง. ปรมิ าณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศเพ่ิมมากขึ้น
75. เมอ่ื นำเน้ือเยื่อของสง่ิ มีชีวิตท่อี าศัยอย่ใู นสระน้ำท่ัวไปมาตรวจหาสารกำจดั แมลงชนิด
หนง่ึ ที่ปนเป้ือนอยู่ในน้ำพบว่า มกี ารสะสมของสารนส้ี ูงสุดในปลาช่อนเสมอ แสดงว่าปลา
ชอ่ นเป็น
ก. ผ้บู รโิ ภคพชื ลำดับแรกของโซอ่ าหาร ข. ผบู้ รโิ ภคทงั้ พืชและสตั ว์
ค. ผบู้ รโิ ภคสตั ว์ลำดบั แรกในโซอ่ าหาร ง. ผู้บริโภคสัตวล์ ำดับสุดทา้ ยของโซ่อาหาร
76. ถ้าต้องการลดการทำลายโอโซนในบรรยากาศ เราควรปฏิบตั ิอยา่ งไร
ก. ลดการตัดไม้ทำลายป่า ข. ลดการใชส้ าร CFC
ค. ลดการใช้น้ำมัน ง. ลดการใชเ้ ชื้อเพลงิ ฟอสซิล
77. กลมุ่ ส่ิงมชี ีวติ ท่ีอยู่ในทีห่ นึ่งๆมคี วามสมั พันธ์ซง่ึ กนั และกันหลายแบบ ส่ิงมชี ีวติ ใดทมี่ ี
ความสัมพันธซ์ ่ึงเทียบไดก้ ับไลเคน
ก. ดอกไมก้ บั แมลง ข. พลูดา่ งเกาะอยูก่ บั ตน้ ไม้
ค. นกทส่ี รา้ งรังบนต้นไม้ ง. เชือ้ ราทขี่ ้นึ บนผลไม้สุก
78. ข้อใดแสดงถงึ องค์ประกอบของระบบนเิ วศ
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 311
ก. ผู้ผลติ + ผบู้ รโิ ภค ข. หว่ งโซ่อาหาร + สายใยอาหาร
ค. กลุ่มสิ่งมชี วี ติ + แหล่งทีอ่ ยู่ ง. ผู้ผลติ + ผู้บรโิ ภค + ผู้ย่อยสลาย
79. วฏั จกั รท่ีมีความสมั พันธก์ ันอย่างมากคือ
ก. วัฏจกั รของคารบ์ อน และวัฏจกั รของนำ้
ข. วัฏจกั รไนโตรเจน และวฏั จกั รของน้ำ
ค. วัฏจกั รแคลเซยี ม และวัฏจักรไนโตรเจน
ง. วัฏจักรของคารบ์ อน และวัฏจักรไนโตรเจน
80. สารใดต่อไปนม้ี กี ารหมุนเวยี นสูบ่ รรยากาศ
ก. คาร์บอน ข. แคลเซียม ค. ไนโตรเจน ง.
คารบ์ อนไดออกไซด์
81. วัฏจักรของสารใดไม่เก่ียวข้องกบั สิง่ มีชวี ติ
ก. ออกซเิ จน ข. ไนโตรเจน ค. คาร์บอน ง. นำ้
82. ความรู้สึกกระหายน้ำ เกี่ยวข้องกับการทำงานข้อใดมากท่สี ุด
ก. ตอ่ มหมวกไต ข. ต่อมใต้สมอง ค. ระดับสารในร่างกาย ง. ถกู
มากกว่า 1 ข้อ
83. สารใดไม่พบในปัสสาวะคนปกติ
ก. โปรตีน ข. ยูเรยี ค. ยรู กิ ง. เกลอื
โซเดียม
84. หลงั จากออกกำลงั กายกลางแดดนานๆ รา่ งกายมีกลไกในการรักษาดุลยภาพของ
อณุ หภมู ิอย่างไร
ก. ลดอตั ราเมแทบอลิซึมและหลอดเลือดขยายตัว
ข. ลดอตั ราเมแทบอลิซึมและหลอดเลือดหดตวั
ค. เพ่ิมอัตราเมแทบอลิซึมและหลอดเลือดขยายตัว
ง. เพม่ิ อัตราเมแทบอลิซึมและหลอดเลอื ดหดตัว
85. ศนู ย์กลางควบคุมอุณหภมู ิในรา่ งกายของคนเราอยทู่ ี่สมองส่วนใด
ก. ซรี เี บลลมั ข. ไฮโพทาลามัส ค. เมดุลลา ง. ออปติ
กโลบ
86. ทำไมในช่วงอากาศหนาวจดั คนเราจงึ มีอาการตวั สัน่
ก. กลา้ มเน้ือลายหดตัว ข. กลา้ มเน้ือเรยี บท่ีโคนเสน้ ขนหดตัว
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
312 ค่มู อื เตรยี มสอบ
ค. อตั ราเมแทบอลิซึมลดต่ำลง ง. ถูกทุกข้อ
87. ในวันทม่ี ีอากาศหนาวปสั สาวะจะถูกสร้างขน้ึ มามาก เน่อื งจาก
ก. ไตทำงานได้ดีขนึ้ ข. ต่อมเหงื่อกำจัดเหงอ่ื ไดน้ ้อย
ค. รา่ งกายใชน้ ำ้ มากขึ้น ง. น้ำในเลอื ดมากกว่าปกติ
88. ก๊าซออกซิเจนจากถุงลมในปอดเขา้ สู่หลอดเลือดฝอยรอบๆถุงลมโดยกระบวนการใด
ก. การแพร่ ข. การออสโมซิส
ค. การลำเลียงแบบฟาซิลิเทต ง. การลำเลยี งแบบใช้พลงั งาน
89. สิง่ มชี ีวิตใดไมส่ ามารถสังเคราะห์โปรตีนได้ดว้ ยตัวเอง
ก. แบคทีเรีย ข. ยีสต์ ค. รา ง. ไวรสั
90. ปรากฏการณใ์ ดทเ่ี กิดกับเซลล์พืชทแ่ี ชใ่ นสารละลายไฮโพโทนิค
ก. เซลลเ์ ตง่ ข. เซลลแ์ ตก ค. เซลล์เหย่ี ว ง. เซลล์เหมือนเดมิ
91. สัตวใ์ นข้อใดที่อุณหภูมิรา่ งกายแปรผันตามอุณหภูมิของสิง่ แวดล้อม
ก. มา้ น้ำ ข. แมวน้ำ ค. นกเป็ดนำ้ ง. พะยนู
92. เม่อื เซลลเ์ ม็ดเลือดขาวนำแบคทเี รยี เขา้ สู่เซลล์แล้วออร์แกเนลใดทำหน้าท่ที ำลาย
แบคทเี รียนน้ั
ก. ไรโบโซม ข. ไรโซโซม ค. ไมโทคอนเดรีย ง. กอลจคิ อมเพลกซ์
93. ขอ้ ใดไมใ่ ช่กลไกการป้องกันเช้อื โรคเขา้ ส่รู ่างกาย
ก. หาวเม่ืองว่ งนอน ข. จามเมื่อมฝี นุ่ ฟุง้
ค. น้ำตาไหลเมื่อฝ่นุ เข้าตา ง. กระพริบตาเมื่อลมพดั ผา่ น
94. วคั ซีนที่หยดป้องกนั โรคโปลโิ อในเดก็ คือสารใด
ก. แอนตบิ อดี ข. แอนตเิ จน ค. เอนไซม์ ง. แอนติไบ
โอตคิ
95. ถ้าตรวจเลอื ดแล้วพบว่าเม็ดเลือดขาวเพ่ิมขึ้นผิดปกติแสดงว่าเป็นโรคใด
ก. เอดส์ ข. ตดิ เชือ้ ค. โลหิตจาง ง. ธาลสั ซี
เมีย
96. แตงโมลกั ษณะผลสเี ขยี ว ขม่ ผลลายได้อย่างสมบรู ณ์ เมื่อผสมพนั ธุ์แตงโมผลลายกบั ผลสี
เขยี วพันธท์ างแลว้ ได้แตงโมจำนวน 100 ผล ในจำนวนน้ีจะมีแตงโมผลลายกผ่ี ล
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 313
ก. 0 ข. 25 ค. 50 ง. 75
97. ในครอบครวั ทมี่ ีลกู 2 คน โอกาสท่ีจะได้ลูกชายท้ัง 2 คน เป็นอตั ราส่วนเทา่ ใด
ก. 1/4 ข. 2/4 ค. 3/4 ง. 1
98. การแบ่งเซลล์แบบไมโทซีสพบไดใ้ นข้อใด
ก. การสร้างอสจุ ขิ องม้า ข. การสรา้ งไข่ของนกกระทา
ค. การสร้างรงั ไข่ของดอกกหุ ลาบ ง. การสรา้ งละอองเรณูของดอกชบา
99. ครอบครัวหนง่ึ มีบตุ ร 4 คน มีหมู่เลอื ดเป็น A,B,ABและ O พอ่ และแม่ควรมีหมู่เลือดตาม
ขอ้ ใด
ก. พอ่ A แม่ B ข. พ่อ O แม่ AB ค. พ่อ B แม่ AB ง. พ่อ AB
แม่ O
100. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของการแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ
ก. ในระยะแรกของการแบง่ มีการลดจำนวนโครโมโซมลงคร่ึงหนึง่
ข. การแบง่ เซลลใ์ นระยะที่สองเหมือนกับการแบง่ ในไมโทซีส
ค. เมอ่ื สิน้ สดุ การแบ่ง มเี ซลล์สืบพนั ธเ์ุ พศเมียเพียงเซลล์เดียว
ง. ในระยะที่สองของการแบง่ เซลลจ์ ะไม่มกี ารจำลองตวั เองใหม่ เพราะเริ่มในระยะท่ี 1 แล้ว
101. สมชายเปน็ ฮโี มฟิเลีย แตง่ งานกบั สมรซ่ึงปกติ ทัง้ คู่ควรตัดสินวางแผนการมีลูกอย่างไร
เพื่อยนี ฮโี มฟิเลยี ถ่ายทอดไปสูล่ ูก
ก. มลี กู 1 คนแลว้ ทำหมัน ข. มแี ต่ลกู ชายอย่ามลี กู สาว
ค. มแี ตล่ กู สาวอย่ามีลูกชาย ง. มลี ูกชาย 1 คนลกู สาว 1 คนแล้วทำหมัน
102. ชายปกติแต่งงานกับหญิงตาปกตทิ ี่มีพ่อตาบอดสี โอกาสของลูกทจ่ี ะเกดิ ขึน้ เปน็ ตาบอด
สีมเี ทา่ ใด
ก. 0 ข. 25 ค. 50 ง. 100
103. กรณใี ดมอี ัตราเสย่ี งตอ่ การมลี ูกกลุ่มอาการดาวน์สูงที่สุด
ก. เมื่อมลี กู คนแรก ข. แม่อายมุ ากกว่า 35 ปี
ค. แม่ทีอ่ ายุต่ำกวา่ 25 ปี ง. เม่ือมลี ูกมาแลว้ 4 คน
104. เพราะเหตุใดจงึ ห้ามแตง่ งานในสายเครือญาติ
ก. เพราะจะทำให้ลูกเกดิ มาเป็นหมนั
ข. เพราะจะทำให้ยนี ด้อยท่ีไม่พึงประสงคเ์ ขา้ คกู่ นั
ค. เพราะเปน็ การทำผดิ จารีตประเพณี
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
314 คมู่ อื เตรยี มสอบ
ง. เพราะจะทำให้ไม่สามารถใหก้ ำเนิดบตุ รได้ เพราะการเข้าคู่กันของยีน
105.คล่ืนนำ้ มีความถี่ 20 เฮริ ตซ์ ความยาวคล่ืน 0.1 เมตร จะมีอัตราเร็วกเ่ี มตรต่อนาที
ก. 2ข. 20 ค. 100 ง. 200
106.รถไฟขบวนหนงึ่ จอดรอหลีกใกลส้ ถานีสามแสน เมือ่ ได้รบั สัญญาณไฟให้เข้าสถานี
คนขับจึงเปิดหวดู มี ความถ่ี 500 เฮริ ตซ์ ความยาวคลน่ื 0.02 เมตร นายสถานไี ด้ยินเสียงหวูดนี้
ภายหลังจากให้สญั ญาณไฟเป็นเวลา 10 วินาที แสดงว่ารถไฟขบวนนี้อย่หู า่ งจากสถานี
ก.5 เมตร ข. 50 เมตร ค. 100 เมตร ง.. 150 เมตร
107. เสียงเคลอื่ นทไ่ี ด้ระยะทาง 3.4 กิโลเมตร ในเวลา 10 วินาที ถ้าเสยี งมคี วามยาวคลื่น
68 เซนตเิ มตร เสียงจะมคี วามถก่ี เี่ ฮริ ตซ์
ก. 200 ข. 340 ค. 500ง..1,000
108.ชายคนหนงึ่ นัง่ ตกปลาอยู่รมิ ตลง่ิ สงั เกตเหน็ ทุ่นของเบ็ดกระเพื่อมขน้ึ ลง 10 คร้งั ใน
เวลา 4นาที ระยะทางระหว่างยอดคลืน่ น้ำเคลอื่ นทดี่ ว้ ยความเรว็ เท่าใด
ก.5 เซนติเมตรต่อวนิ าที ข.8 เซนตเิ มตรตอ่ วินาที
ค. 10 เซนตเิ มตรต่อวินาทงี .. 12 เซนตเิ มตรต่อวนิ าที
109.ลกู เสือสองกลมุ่ เดินทางไปไกลไปตามถนนสายหนึ่ง โดยเดนิ แยกกนั ไปในทศิ ทางตรง
ขา้ ม หลงั จากออกเดินทางแล้ว 1 ชัว่ โมง กลุม่ หนงึ่ ยิงพลุขนึ้ ฟา้ ในแนวดง่ิ อกี กลุ่มหน่ึงจะได้ยินเสียง
พลุหลังจากยงิ แลว้ 12 วนิ าที อัตราเรว็ ของเสียงในอากาศขณะน้ัน 350 เมตรต่อวินาที ถ้าแตล่ ะกลุ่ม
เดนิ ดว้ ยอัตราเร็วเดยี วกันอัตราเรว็ น้เี ป็นก่เี มตรต่อนาที
ก. 21 เมตรตอ่ วินาทีข. 35 เมตรตอ่ วินาที
ค. 42 เมตรตอ่ วินาทงี .. 70 เมตรตอ่ วินาที
110.ในการหาความลึกของท้องทะเล โดยเรือลำหนึง่ ปลอ่ ยคลื่นอัลทราซาวด์ลงไปในนำ้
หลังจากปลอ่ ยคลื่นไปแล้ว 10 วนิ าที กร็ ับสญั ญาณคลืน่ สะท้อนจากกน้ ทะเลได้ จงหาว่าทะเลบรเิ วณ
นั้นลกึ เทา่ ไร กำหนดอัตราเรว็ คลื่นในน้ำทะเลเท่ากับ 1,200 เมตรตอ่ วินาที
ก. 4,000 เมตรข. 5,000 เมตรค. 6,000 เมตรง..ผดิ ทุกข้อ
111.วิทยกุ ระจายเสยี งแห่งหนงึ่ สง่ คลน่ื ความยาว 250 เมตร มีความเร็วคลนื่ เทา่ กับสามแสน
กิโลเมตรตอ่ วนิ าที อยากทราบว่าคลน่ื ทส่ี ่งด้วยความถี่กเี่ มกะไซเกิล
ก. 0.4 MHz ข.0.8 MHz ค.1.2 MHzง..1.6 MHz
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 315
112. ในการหาความลึกของทะเลโดยสง่ คลืน่ ถี่ 4กิโลเฮริ ตซ์ ลงในน้ำทะเล ได้ยนิ เสียง
สะทอ้ นกลับมาภายในเวลา 2 วนิ าที ถ้าความเร็วของคลน่ื เสียงในนำ้ ทะเลเทา่ กบั 1,420 เมตรต่อ
วนิ าที ทะเลมีความลกึ ก่ีเมตร
ก. 1,000 ข. 1,420ค. 2,840 ง. 5,680
113.ชายคนหนึง่ ยิงปนื ไปยงั เปา้ โลหะซง่ึ อยหู่ า่ งออกไป 85 เมตร จงหาวา่ หลังจากยงิ ปืนไป
แลว้ กว่ี นิ าทีจงึ ไดย้ นิ เสยี งลูกปืนกระทบเปา้ กำหนดใหล้ ูกปืนมีอตั ราเรว็ 170 เมตรต่อวินาที และเสยี ง
คลื่นเคลือ่ นท่ีในอากาศดว้ ยอัตราเร็ว 340 เมตรต่อวนิ าที
ก.0.25 วินาทีข. 0.5 วนิ าทีค. 0.75 วินาทีง. 1 วนิ าที
114. นายดุลมองดูภาพเทยี นไขในกระจกเงาระนาบบานหนึง่ เห็นภาพเทยี นไขอยู่ห่างจาก
ตา 30 เซนตเิ มตรอยากทราบว่าเทยี นไขว่างหา่ งจากตานายดลุ ก่เี ซนตเิ มตร วัดในแนวเดียวกบั ท่ีเขา
มองดูภาพเทียนไข
ก. 10ข. 20 ค. 30 ง. 40
115.วางวตั ถุหน้ากระจกนนู เป็นระยะ 10 เซนตเิ มตร แลว้ ไดภ้ าพอยู่หลังกระจกและห่างจาก
กระจก 5 เซนติเมตร จงหาความยาวโฟกัสของกระจกนูนน้ี
ก. 3.33 เซนติเมตร ข. 5.00 เซนตเิ มตรค. 7.5 เซนติเมตรง.10เซนตเิ มตร
116.ถา้ วตั ถุและภาพในกระจกเวา้ มคี วามสูงเท่ากัน เมื่อระยะวัตถเุ ป็น 20.0 เซนตเิ มตร จาก
กระจก จงหาความยาวโฟกัสของกระจกเวา้ นี้
ก. 10 เซนตเิ มตรข. 15 เซนติเมตรค. 20 เซนตเิ มตรง. 40 เซนตเิ มตร
117.วางวตั ถุหนา้ กระจกนูน 12.6 เมตร ทำให้เกดิ ภาพหลังกระจกเปน็ ระยะ 6.00 เมตร จง
หาความยาวโฟกัสของกระจกนูนน้ี
ก. 4.06 เซนติเมตรข. 6.3 เซนตเิ มตรค. 11.45 เซนตเิ มตร ง. 18.6 เซนติเมตร
118. วัตถสุ ูง 2.50เมตร วางอยู่หน้ากระจกโค้ง 8.60 เมตร แลว้ ได้ภาพห่างจากกระจกโคง้
3.75 เมตร จงหาความสงู ของภาพท่ีเกดิ ขนึ้
ก. 0.92 เมตร ข. 1.09 เมตรค. 10.09 เมตรง. 12.92 เมตร
119. เข็มหมุดยาว 10 เซนตเิ มตร วางตามแนวราบ โดยปลายทีอ่ ยหู่ า่ งจากกระจกเว้า 50
เซนตเิ มตร
ถา้ กระจกเว้ามีความยาวโฟกัส 20 เซนตเิ มตร จงหากำลงั ขยายของภาพ
ก. 10.25 เทา่ ข. 0.33 เทา่ ค. 0.67 เทา่ ง. 0.75 เทา่
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
316 คมู่ อื เตรยี มสอบ
120. จะต้องเอาวัตถุวางหา่ งจากกระจกนูนที่มีรศั มีความโค้ง 20 เซนติเมตร ระยะเท่าใด
ภาพท่ีเกิดขน้ึ จงึ มีขนาดเล็กลงเป็น4 เท่า
ก. 30 เซนตเิ มตรข. 50 เซนติเมตรค. 60 เซนติเมตร ง. 100 เซนตเิ มตร
121.เมื่อแสงผา่ นแท่งแก้วปริซมึ จะเกิดการกระจายแสงออกเปน็ แสงสีสเปกตรัม 7 สี แสงสี
ใดทีเ่ บ่ยี งเบนไป จากแนวเดิมมากท่ีสุด
ก. แดง ข. เขียว ค. น้ำเงนิ ง. มว่ ง
122. ถา้ ความสงู ของวตั ถุเป็น 5.00 เซนตเิ มตร วางไว้หา่ งจากเลนสน์ นู 15.0 เซนติเมตร ทำ
ใหเ้ กิดภาพจริงห่างจาดเลนส์ 7.50 เวนตเิ มตร จงหาความยาวโฟกัสของเลนส์ และความสูงของภาพ
ตามลำดับ(หน่อยเปน็ เซนติเมตร)
ก. 3, 10 ข. 5, 2.55 ค. 5, 2.5 ง. 3, 22.5
123. เมอ่ื ว่างวัตถหุ นึ่งหา่ งจากเลนส์นูน 12 เซนติเมตร เกิดภาพขา้ งเดียวกบั วัตถุ ภาพอยู่
ห่างจากเลนส์ 30 เซนติเมตร เลนส์นูนมีความยาวโฟกัสกเ่ี ซนติเมตร
ก. 10 ข. 20 ค. 30 ง. 40
124. เม่ือวา่ งวัตถหุ น้าเลนสน์ ูนอันหนึ่ง เห็นภาพชดั เจนเม่ือระยะภาพนั้นเปน็ 2 เท่าของ
ระยะวตั ถุ ภาพนน้ั มขี นาดก่ีเท่าของวัตถุ
ก. 1 เท่า ข. 2 เทา่ ค. 3 เทา่
ง. 4 เท่า
125. นักเรยี นส่องเลนสน์ ูนดตู ัวหนังสอื เหน็ ตัวหนงั สอื หัวตั้งขยาย 4 เท่า ของตัวหนังสอื
เดิม และหา่ งจากเลนส์ 25 เซนตเิ มตร เลนสม์ คี วามยาวโฟกัสก่ีเซนตเิ มตร
ก. 5 ข. ค. ง. 25 เท่า
126. เมื่อใชแ้ วน่ ขยายสอ่ งดลู ายมือ เห็นมือโตเป็นสองเทา่ ถ้ามืออยหู่ า่ งจากแวน่ 10
เซนติเมตร แว่นขยายน้ี มีความยาวโฟกัสกเี่ ซนติเมตร
ก. 10 ข. 20 ค. 50 ง. 100
127. จะต้องเอาวตั ถหุ า่ งจากเลนสเ์ ว้ามีความยาวโฟกสั 15 เซนตเิ มตร เปน็ ระยะเท่าใด จึง
จะได้ภาพที่มีขนาดเลก็ ลงเปน็ 3 เท่าของวัตถุ
ก. 15 เซนติเมตร ข. 20 เซนตเิ มตร ค. 30 เซนติเมตร ง..60
เซนตเิ มตร
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 317
1 28. วางวตั ถุห่างจากเลนส์เป็นระยะ 30 เซนตเิ มตร เกดิ ภาพเสมอื นหา่ งจากเลนส์ 20
เซนตเิ มตร เลนสน์ ีเ้ ปน็ เลนสอ์ ะไร มีความยาวโฟกสั เทา่ ใด
ก. เลนส์เว้า ความยาวโฟกสั 60 เซนติเมตร ข.เลนส์นูน ความยาวโฟกัส 12
เซนตเิ มตร
ค. เลนส์เว้า ความยาวโฟกัส 30 เซนตเิ มตร ง.. เลนส์นนู ความยาวโฟกัส 6
เซนติเมตร
129. แว่นขยายทใ่ี ห้กำลังขยาย 6 เทา่ ในระยะ 25 เซนตเิ มตร จะมีความยาวโฟกัสกเ่ี วน
ติเมตร
ก. 3.6 ข. 4.2 ค. 5.0ง. 10.0
130. ในการสร้างกลอ้ งโทรทรรศนช์ นดิ หกั เหแสง ซึง่ มีกำลังขยายสูงสดุ 10 เทา่ โดยใช้
เลนสใ์ กลต้ า มคี วามยาวโฟกัส 10 เซนตเิ มตร กล้องโทรทรรศน์ตอ้ งมีความยาวอย่างน้อยทสี่ ุดก่ี
เซนตเิ มตร
ก. 90 ข. 100 ค. 110 ง. 120
131. 1 กรมั ต่อลกู บาศก์เซนติเมตรเทา่ กับกี่กิโลกรัมตอ่ ลูกบาศก์เมตร
ก. 1 kg/ ข. 10 kg/ ค. kg/ ง. kg/
132.ความหนาแนน่ ของน้ำกลั่นในระบบ SI มหี น่อยเปน็
ก. 1 กรัมต่อลูกบาศก์เซนตเิ มตร ข. 1,000 นิวตันตอ่ ลูกบาศกเ์ มตร
ค. 1,000 กิโลกรมั ต่อลูกบาศก์เมตร ง. 1,000 กิโลกรมั ตอ่ ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร
133. ถา่ นก้อนหน่ึงมปี ริมาณ 80 ลูกบาศกเ์ ซนตอเมตร ลอยในนำ้ พบว่าสว่ นทล่ี อยพน้ ผิว
นำ้ 20ลกู บาศก์เซนตเิ มตรความถ่วงจำเพาะของถ่านก้อนน้ีมคี า่ เท่าใด
ก. 0.25 ข. 0.40 ค. 0.75ง. 0.80
134. แท่งไมส้ เ่ี หล่ยี มลกู บาศก์ยาวดา้ นละ 10 เซนติเมตร มีความหนาแน่น 0.6 กรัมต่อ
ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตรถ้านำไปลอยในภาชนะท่ีมนี ้ำเกลืออยู่เต็มพอดี น้ำเกลือจะลน้ ออกไปกล่ี กู บาศก์
เซนติเมตร ความหนาแน่นของน้ำเกลอื เทา่ กับ 1.2 กรัม ตอ่ ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร
ก. 40 ข. 50 ค.500 ง.
600
135. เรือสินค้าจอดอยู่ทท่ี ่าน้ำ ปรมิ าตรสว่ นท่ีลอยพ้น 3.75 ลกุ บาศกเ์ ซนติเมตร ถ้า
บรรทกุ ข้าวสารกระสอบละ 100 กโิ ลกรมั จะบรรจุไดอ้ ย่างมากก่ีกระสอบ
ก. 30 กระสอบ ข. 37 กระสอบค. 38กระสอบ ง. 39กระสอบ
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
318 คมู่ อื เตรยี มสอบ
136. นายดำหนัก 50กิโลกรมั แบกกระจาดใส่มะม่วงหนกั 20 กโิ ลกรัม เดินขึ้น
สะพานลอยหน้าโรงเรยี นเตรียมอดุ มศกึ ษา บนั ไดมีความยาว 15 เมตร สะพาน 5 เมตร ถนนกว้าง
50 เมตร ในการขา้ มสะพานลอยน้ี นายดำทำงานได้ก่นี ิวตนั เมตร กำหนด 1 กโิ ลกรมั เท่ากบั 10นิว
ตนั
ก.350 ข. 700 ค. 3,500ง.4,200
137. ชายคนหน่ึงหาบของ 2อย่างด้วยคานยาว 2 เมตร ของช้นิ หน่ึงมีมวล 30กิโลกรัม อีก
ชิ้นหนึ่งจะมีมวลเท่าใด ถา้ เขาหาบห่างจากมวลน้อย 120 เวนตเิ มตร
ก. 10 กิโลเมตร ข. 15 กิโลเมตร ค. 20 กิโลเมตรง. 25 กิโลเมตร
138. ด.ญ.หนักนอ้ ย 30 กโิ ลเมตร เลน่ ไมก้ ระดานหกกบั พีใ่ หญ่หนกั 50 กิโลกรมั ถ้า ด.ญ.
น้อยและพีใ่ หญ่นั่งอยปู่ ลายกระดานหกท้ัง 2 ขา้ ง ยาวข้างละ 2.50 เมตร ด.ญ. น้อยจะต้องไปชวน
เพื่อนหนัก 25 กิโลกรัม มาน่ังหา่ งจาก ด.ญ.น้อยเทา่ ใด จงึ จะเลน่ ไม้กระดานได้อย่างสนุกสนาน
ก. 2.00 เมตรข. 1.25 เมตร ค. 0.75 ง. 0.50เมตร
139.ชายคนหนง่ึ ใช้มือถือกล่องหนัก 8 นิวตนั ไว้ ความยาวของแขนชว่ งฝา่ มือถึงข้อศอก
เท่ากับ 40 เซนตเิ มตร ถา้ แขนวางตัวในแนวระดับกลา้ มเน้ือสว่ นท่ีอยู่ระหว่างข้อศอกและมืออยหุ่ ่าง
จากข้อศอกเท่ากบั 5 เซนตเิ มตร จะตอ้ งออกแรงกี่นิวตัน
ก. 8 ข. 40 ค.56
ง.64
140. แรงในข้อใดทำงานไดด้ ีท่ีสดุ
ก. แบกลังหนัก 500นิวตนั เนนิ สงู 4 เมตร
ข. แรง 400 นิวตนั ผลักรถยนตใ์ หเ้ คลอ่ื นทไี่ ปบนพ้นื ถนนราบ เปน็ ระยะทาง 5 เมตร
ค.แบกกระสอบขา้ วสารหนกั 1,000นิวตันเดนิ ไปบนสะพานราบ เป็นระยะทาง 10 เมตร
ง.รถเครนยกของใช้ยกของใช้กำลงั 400 วัตต์ ยกทังนำ้ มนั หนกั 800นิวตนั ขึน้ ในแนวดิง่
นาน 10 วินาที
141.แรงเสยี ดทาน สงู สุดระหวา่ งแทง่ ไม้กบั พน้ื โตะ๊ เป็น 18นวิ ตัน ถา้ ออกแรงดึงแทง่ ไมต้ าม
แนวราบขนานกับพ้นื โต๊ะด้วยแรง 12นวิ ตนั อยากทราบว่าแรงเสียดทานมีค่าเท่าใด
ก. 0 N ข. 6 N ค. 12 N ง. 15 N
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 319
142. รถยนตแ์ ลน่ ไปตามถนน ตรงไปทางทิศตะวนั ออกเปน็ ระยะทาง 60 เซนตเิ มตร แลว้
เล้ยี วข้ึนไปทางทิศเหนือเปน็ ระยะทาง 100กโิ ลเมตร และย้อนกลบั ทางเดิมเป็นระยะทาง 20
กิโลเมตร
ใช้เวลาในการเคลอื่ นที่ทง้ั หมด 2 ชั่วโมง 30 นาที ความเร็วเฉลี่ยมีค่าเท่าใดในหน่วยกิโลเมตรตอ่
ช่วั โมง
ก. 40 ข. 47 ค. 56 ง. 72
143. ลกู บอล 0.2 กโิ ลกรมั ตกจากทส่ี งู 5 เมตร เหนือพนื้ ดิน ขณะเคลือ่ นทีล่ งได้ 1.25
เมตร จะมีพลงั งานจลน์เทา่ ใด(กำหนดความเรง่ เนื่องจากสนามโนม้ ถ่วง 10 เมตรต่อ )
ก. 1.25 จูล ข.2.5จูลค. 7.5จลู ง. 10.0 จลู
144.เครนยกของมกี ำลงั 400 วตั ต์ ยกถังน้ำมวล 80 กิโลกรมั ข้ึนไปในแนวดง่ิ ใช้เวลา 10
นาที จะยกถงั นำ้ ข้ึนสูงเทา่ ใด(ความเรง่ เนอื่ งจากแรงโน้มถ่วงของโลก 10 เมตรต่อ )
ก. 5 เซนติเมตร ข. 5 เมตร ค. 50 เซนตเิ มตร ง. 50 เมตร
145. ใช้รอกเดีย่ วตายตัว ขนาดเลก็ นำ้ หนักเบา เข้าช่วยยกวัตถหุ นกั 80 นิวตนั ขึ้นสูงจาก
พืน้ 3 เมตร ใน 10 วินาที ในการน้ตี ้องใช้กำลัง 30 วัตต์ จงหาประสิทธภิ าพของรอกเทา่ ใด
ก. 37.5% ข.75% ค. 80%ง.100%
146. บนยอดดอยแมส่ ะลองในจงั หวัดเชียงราย นาย ก วดั ความดันบรรยากาศได้ 540
มิลลเิ มตร
ของปรอท ยอดดอยแหง่ นัน้ สูงเท่าใด ค. 2,420 เมตร ง.4,400
ก. 220 เมตร ข.2,200เมตร
147. นักกระโดดรม่ ด่ิงพสุธาขณะลอยต่ำลงอยู่ในอากาศทีต่ ำแหนง่ หนงึ่ อา่ นความดัน
บรรยากาศจากเครื่องทวี่ ดั ข้อมอื ของเขาได้ 560 มลิ ลิเมตรปรอท ขณะเขาอยู่สงู จากระดับนำ้ ทะเลกี่
เมตร
ก.560 ข.2,200 ค. 5,400 ง. 6,160
148. ผา่ นกระแสไฟฟ้าลง ในลวดนโิ ครมซึ่งจมุ่ อยู่ในแคลอรมิ เิ ตอรม์ นี ้ำประจุอยู่ 100
ลกู บาศก์เซนตเิ มตร อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซยี ส ปรากฏวา่ นำ้ ร้อนข้นึ เปน็ 35 องศาเซลเซยี ส
พลงั งานไฟฟา้ จะเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานความร้อนเท่าใด
ก. 210จูล ข. 500 จูล ค. 1,090จุล ง. 2,100 จูล
149. อณุ หภูมิ 15 เท่ากบั ก่ีเควิล
ก. 300 K ข. 288 K ค. 173 K ง. 98 K
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
320 คมู่ อื เตรยี มสอบ
150. วดั ค่าความชน้ื สัมพันธ์ได้ 60% และอุณหภูมิในขณะนั้นสามารถมีไอนำ้ อิ่มตัวได้ 80
กรมั ต่อลูกบาศกเ์ มตร ถามวา่ ในขณะนน้ั มีไอน้ำอยู่เทา่ ใด
ก. 4.8 g/m3 ข. 48 g/m3 ค. 4.8 % ง. 48%
151. จุดนำ้ คา้ งคือ
ก. อุณหภูมิขณะที่นำ้ คา้ งกลายเป็นไอน้ำ ข. อณุ หภูมิที่ไอน้ำกลั่นตัวเป็นหยดนำ้
ค. อุณหภูมทิ ี่ 0 ง. อุณหภมู ิท่ี 32
152. ความต้านทาน 40 โอห์ม และ R โอห์ม ต่อกนั แบบอนกุ รม ถ้าความตา่ งศักย์ระหว่าง
ปลายของความต้านทานทง้ั สองทต่ี ่ออนุกรมนีเ้ ป็น 120 โวลต์ จงหาคา่ ความต้านทาน R
ถา้ กระแสไฟฟ้าทไี่ หลผ่านความต้านทาน 40 โอห์ม มีค่า 2 แอมแปร์
ก. 20 โอหม์ ข. 30 โอหม์ ค. 45 โอหม์ ง. 50 โอหม์
153. หลอดไฟฟ้าหลอดหนึ่งเขียนวา่ 60W 12V หลอดไฟหลอดน้ตี อ้ งใช้กระแสเทา่ ไร
ก. 0.5 A ข. 1.5 A ค. 2.5 A ง. 5 A
154. ถา้ นำหลอดไฟขนาด 110V 60Wไปใชก้ บั ไฟบ้านทีม่ ีความต่างศักย์ 220 V จะ
เกดิ ผลอยา่ งไร
ก. ฟิวสข์ าด ข. ไสห้ ลอดขาด ค. ใหค้ วามสวา่ งน้อย ง. เปลืองไฟ
มาก
155. บา้ นหลงั หน่ึงใชเ้ คร่อื งใช้ไฟฟ้าพร้อมกัน 3 อย่างคอื เตารดี ขนาด 1,000วัตต์220
โวลต์ เครอ่ื งปรับอากาศนาด 5 แอมแปร์ 220 โวลต์ และตู้เยน็ ขนาด 750 วตั ต์ 220 โวลต์
ในเวลา6 ช่วั โมง จะเสยี คา่ ไฟฟา้ กบ่ี าท(ยนู ิตละ 3 บาท)
ก. 30 บาท ข. 51.30 บาท ค. 59.50 บาท ง. 67.42
บาท
156. บกิ แบงเปน็ ทฤษฎีอธิบายส่งิ ใด
ก. การระเบิดทำให้พลงั งานส่วนหนงึ่ เปลี่ยนเปน็ เน้ือสาร
ข. มวี วิ ัฒนาการต่อเนื่องจนเกิดเป็นกาแล็กชี
ค. การเกิดระบบสุรยิ ะ
ง. ถกู ทกุ ขอ้
157. ทฤษฎใี ดที่ใชอ้ ธิบายการเกดิ เอกภพ
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 321
ก. ทฤษฎีบกิ แบง ข. ทฤษฎสี ภาวะคงที่ ค. ทฤษฎหี ดตวั ง. ทฤษฎี
ขยายตวั
158. ควารก์ เกิดการรวมตวั กันไปเป็นสง่ิ ใด
ก. โปรตอนและนิวตรอน ข. โปรตอนและอิเลก็ ตรอน
ค. โปรตอนและโฟตอน ง. อเิ ลก็ ตรอนและนิวทรโิ น
159. กาแลก็ ซีทางชา้ งเผือกมีรูปร่างแบบใด
ก. รูปรา่ งไมแ่ น่นอน ข. รปู ร่างแบบกงั หนั มีแกน หรือบาร์สไปรลั
ค. รปู รา่ งแบบกงั หัน หรือสไปรัล ง. รปู รา่ งแบบกลมรี หรือรูปไข่
160. ธาตอุ ะไรมีมากท่สี ุดในเอกภพ
ก. ออกซิเจน ข. ไฮโดรเจน ค. ฮีเลยี ม ง.
ไนโตรเจน
เฉลยรวมโจทย์วิทยาศาสตร์ชดุ ที่ 1
1 ข 2 ก 3 ก 4 ง 5 ค 6 ข 7 ข 8 ก 9 ข 10 ง
11 ข 12 ข 13 ค 14 ค 15 ค 16 ข 17 ค 18 ค 19 ง 20 ก
21 ค 22 ง 23 ง 24 ก 25 ก 26 ก 27 ข 28 ก 29 ค 30 ก
31 ก 32 ก 33 ข 34 ง 35 ง 36 ก 37 ค 38 ค 39 ง 40 ข
41 ก 42 ข 43 ข 44 ง 45 ข 46 ง 47 ก 48 ง 49 ค 50 ค
51 ค 52 ก 53 ก 54 ข 55 ค 56 ค 57 ก 58 ข 59 ง 60 ข
61 ค 62 ค 63 ค 64 ง 65 ข 66 ง 67 ง 68 ค 69 ง 70 ข
71 ง 72 ง 73 ก 74 ค 75 ง 76 ข 77 ก 78 ค 79 ก 80 ข
81 ง 82 ข 83 ก 84 ก 85 ข 86 ก 87 ข 88 ก 89 ง 90 ก
91 ก 92 ข 93 ก 94 ข 95 ข 96 ค 97 ก 98 ค 99 ก 10 ข
0
10 ข 10 ข 10 ข 10 ข 10 ก 10 ค 10 ค 10 ก 10 ข 11 ค
1234567890
11 ค 11 ข 11 ค 11 ก 11 ง 11 ก 11 ค 11 ข 11 ค 12 ก
1234567890
12 ง 12 ค 12 ข 12 ข 12 ค 12 ข 12 ค 12 ก 12 ค 13 ค
1234567890
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
322 ค่มู อื เตรยี มสอบ
13 ง 13 ค 13 ค 13 ค 13 ข 13 ค 13 ค 13 ง 13 ง 14 ง
ข
1234567890 ข
14 ค 14 ง 14 ค 14 ข 14 ค 14 ค 14 ข 14 ง 14 ข 15
1234567890
15 ข 15 ก 15 ง 15 ข 15 ข 15 ก 15 ก 15 ก 15 ค 16
1234567890
รวมโจทย์วิทยาศาสตรท์ อ่ี อกบอ่ ย ชุดที่ 2
1) ขอ้ ใดไม่ใช่เกณฑ์ในการจัดหมวดหมู่ของส่ิงมชี วี ติ
ก. โครงสร้าง ข. การเจริญเตบิ โตของตัวอ่อน
ค. ปริมาณของสิ่งมีชวี ิต ง. กระบวนการทางสรรี ะวิทยา
2) วธิ ีการดที ีส่ ุดในการศึกษาการจำแนกสง่ิ มชี วี ิตคือ
ก. จำลักษณะสำคญั เด่นชดั ของสิง่ มชี ีวติ
ข. รแู้ ละเข้าใจรายละเอยี ดโรงสรา้ งของสิง่ มีชวี ิต
ค. รชู้ อ่ื สามญั และชอื่ วิทยาศาสตรข์ องส่ิงมชี วี ติ กลุ่มต่างๆ
ง. ศกึ ษาเปรียบเทยี บลักษณะสำคัญระหวา่ งสงิ่ มีชีวติ กลุ่มต่างๆ
3) ลกั ษณะใดสำคญั ท่สี ดุ ทจี่ ัดวา่ เปน็ นก
ก. มฟี นั ปลายปกี มนี ิว้ ข. ขามีเกลด็ เท้ามีนิ้วและเลบ็
ค. มีปีกใช้บินหรือร่อนได้ ง. มขี นเป็นแผง
4) โครงสร้างค่ใู ดของร่างกายสงิ่ มีชีวิตต่างชนิดกนั ทเ่ี ปน็ โฮโมโลกัสกัน
ก. ปีกค้างคาวกบั ครีบฉลาม ข. ขาคู่หนา้ ของสนุ ขั กับขาหน้าของตั๊กแตนตำข้าว
ค. แขนคนกับครบี ของปลาพยนู ง. ปกี ผเี สื้อกลางคนื กบั ปีกนกกระจอกเทศ
5) หลกั สำคญั ในการจดั หมวดหมู่ของสิ่งมชี วี ิตในปัจจบุ ันคือ ส่งิ มีชีวิตทจี่ ะจัดอยใู่ นกลุ่มเดยี วกนั ต้อง
ก. มีรูปรา่ งคลา้ ยกัน ข. มีโครงสร้างเหมอื นกนั
ค. มีความสมั พันธ์กันทางววิ ัฒนาการ ง. มีจำนวนโครโมโซมเท่ากัน
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 323
6) ดาวิกาแบ่งสิ่งมชี ีวติ พวก แมว เป็ด นกพริ าบ กบ กระต่าย ปลาฉลาม ปลาตะเพียน คางคก
จิง้ เหลน งู สนุ ัข ปลาจาระเม็ด ได้ 3 กลุ่มคือ
กลุ่มท่ี 1 แมว กบ สนุ ขั กระต่าย คางคก จง้ิ เหลนกลมุ่ ที่ 2 เป็ด นกพริ าบ
กล่มุ ที่ 3 ปลาฉลาม ปลาคะเพยี น ปลาจาระเมด็
เขาใช้เกณฑ์ข้อใดในการจัดจำพวก
ก. สตั วบ์ ก , บินได้ , สตั วน์ ำ้ ข. 4 ขา, 2 ขา, 2 ปีก, ไม่มีขา
ค. มีระยางค์ 2 คู่, 1 ค,ู่ ไมม่ ีรยางค์ ง. ขนแบบ hair, ขนแบบ feather, มเี กลด็
7) ถา้ กำหนดให้
A =ไฟลมั B= จนี สั C = คลาส
D=แฟมิล่ี E=อาณาจักร F=ดิวชิ น่ั
G=ออร์เดอรH์ =สปีชสี ์I= ซบั สปีซีส์
ขอ้ ใดเรียงลำดบั ขัน้ หมวดหมู่ จากลำดบั ใหญไ่ ปยอ่ ยถูกต้อง
ก. E -----> A -----> D -----> C -----> G
ข. C -----> G -----> D -----> B-----> H
ค. F -----> X -----> G -----> D -----> B
ง. A-----> C-----> D -----> G -----> H
8) จากข้อกำหนดในข้อ 7 ลำดบั ข้ันการจัดหมวดหมใู่ ด อยใู่ นลำดบั ขน้ั เดียวกัน
ก. H กับ I ข.A กบั F ค. E กับ F ง. D กบั G
9) ถา้ ยงุ จากราชบรุ ีและเลย รูปรา่ งคล้ายกนั และมีจำนวนโครโมโซม 4 ค่เู ทา่ กัน ยุง 2 แห่งนผ้ี สม
ในห้องปฏิบัตกิ ารไดล้ กู F1 ซ่ึงไม่สามารถผสมพันธ์ุต่อได้ แสดงวา่ ยงุ 2 พวกนี้
ก. เป็นสปีชีส์เดียวกัน ข. ต่างเช้ือชาตกิ นั ค. ตา่ งซบั สปชี ีสก์ ัน ง. ต่างสปชี ีส์กัน
10) ขอ้ ใดถือเปน็ เกณฑส์ ำคัญในการจดั สิ่งมชี วี ิตวา่ เปน็ สปีชีส์เดยี วกันได้
ก. ดลู กั ษณะคลา้ ยกบั โครงสรา้ ง ข. ผสมแล้วได้ลูก
ค. มลี ูกแล้วลูกจะเป็นหมันหรือไม่ ง. ลูกทไ่ี ดพ้ ิการหรือไม่
11) ขอ้ ใดไม่ใชส่ าเหตุที่ทำให้สัตว์ดำรงสปชี ีสไ์ ว้ได้
ก. การกินอาหารที่แตกตา่ งกัน
ข. ฤดูกาลในการผสมพนั ธ์ทุ ่ีต่างกัน
ค. สรีระของอวัยวะสืบพันธ์ทุ ี่แตกต่างกัน
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
324 ค่มู อื เตรยี มสอบ
ง. เสยี งรอ้ งของสตั วผ์ ู้ทเ่ี รียกตัวเมยี เขา้ ผสมพนั ธทุ์ ่ีแตกตา่ งกัน
12) ข้อใดมีแบบแผนการเรียงตัวของโครงกระดกู ไม่เหมือนกันท้งั 3 ชนิด
ก. ขาหน้าของหมีโคอาสา ปกี ของคา้ งคาว แขนคน ข. ปกี ของค้างคาว ปกี ตกั๊ แตน ปกี ของ
นก
ค. ปีกไก่ ขาหนา้ กบ ปกี นก ง. ครบี ปลาพยนู มอื ของลิง ปกี ของ
ค้างคาว
13) ข้อใดไม่ทำให้เกดิ สปซี สี ์ใหม่
ก. นำ้ ท่วมแยกหนูอยคู่ นละเกาะ ตา่ งฝา่ ยพฒั นาจนเม่อื กลับมาผสมพันธ์ุกันจะได้ลูกเปน็ หมัน
ข. ภเู ขาสงู กัน้ นกอยูค่ นละฟาก ตา่ งฝา่ ยตา่ งหากนิ พัฒนาจนมพี ฤติกรรมการสบื พนั ธแ์ุ ตกตา่ งกัน
ค. ยุงทรี่ อดชีวิตจากการจำกัดดว้ ยดีดีที ตอ่ มาพัฒนาจนสามารถตา้ นทานดีดีทีได้
ง. ภเู ขาไฟระเบิด แยกนอกออกเปน็ สองกล่มุ แล้วพัฒนาจนมรี ปู รา่ งและขนาดแตกตา่ งกันจนไม่
สามารถผสมพนั ธ์กุ ันได้
14) ขอ้ ใดไม่ใชล่ ักษณะของลุกท่ีเกดิ จากการผสมขา้ มสปชี ีส์
ก. ลูกตายก่อนคลอด
ข. ลกู เจริญเตบิ โตดีแตเ่ ป็นหมัน
ค. ลกู อ่อนแอ และตายก่อนถงึ วัยเจรญิ พันธ์ุ
ง. ลกู ผสมพันธต์ุ อ่ ไปได้ แตล่ ูกรนุ่ ตอ่ ๆ มาอ่อนแอลงเรื่อยๆ
15) สิง่ มชี วี ติ ทส่ี ามารถจัดรวมเปน็ พวกเดียวกับสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงนิ จะตอ้ งมลี กั ษณะใดเป็น
สำคญั
A.มีคลอโรฟิลล์ B.เคลอ่ื นที่ไม่ได้
C.มีลกั ษณะเปน็ เซลล์เดยี ว D.ขอบเขตของนิวเคลยี สไม่ชดั เจน
ก. A และ B ข. B และ C ค. C และ D ง. ก และ ง
16) ปจั จยั เรม่ิ แรกขอ้ ใดที่ทำให้นกฟินสม์ ีววิ ฒั นาการไปเป็นนกฟนิ สส์ ปีชีสต์ า่ งๆ
ก. การผ่าเหลา่ การคัดเลอื กโดยธรรมชาติ ข. ชนดิ ของอาหาร การคดั เลือกโดยธรรมชาติ
ค. สภาพภูมิศาสตร์ พฤติกรรมารผสมพนั ธ์ุ ง. สภาพภมู ิศาสตร์ การปรับตัวให้เขา้ กบั
สงิ่ แวดล้อม
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 325
17) ขอ้ ใดไมเ่ ปน็ กลไกของสง่ิ มีชวี ิตในการดำรงความเป็นสปชี สี ์เอาไว้
ก. ซีโบรสไม่สามารถแพร่พนั ธุต์ อ่ ไปได้
ข. ปูกา้ มดาบชูก้ามใหญส่ สี ดเพอื่ ชักจูงตัวเมียใหม้ าผสมพันธุ์
ค. ลกู ทีไ่ ด้จากหมีโคล่าเผือก มสี ีขาวท้งั ตัวและมีตาสชี มพู
ง. ห่งิ หอ้ ยมจี ังหวะของแสงท่ีกะพริบต่างกัน เพ่ือบอกว่าเป็นเพศเมยี หรอื ผู้
18) ข้อใดไมใ่ ชก่ ารปรบั ตัวเพื่อความอย่รู อด
ก. การลอกคราบของปู ข. การได้อาหารของกาฝาก
ค. การลดรูปใบของกระบองเพชร ง. การสรา้ งทุ่นลอยนำ้ ของผักกระเฉด
19) หลักฐานในข้อใดแสดงว่าเตา่ และนกมาจากบรรพบรุ ุษเดียวกัน
กายวิภาคเปรยี บเทยี บซากดึกดำบรรพ์
ก. ซากดึกดำบรรพ์ ร่องรอยของอวยั วะท่ีไม่ใชง้ าน
ข. การเจริญของเอ็มบรโิ อในช่วงแรก รอ่ งรอยของอวยั วะท่ีไม่ใช้งาน
ค. การเจรญิ ของเอ็มบริโอในช่วงแรก กายวิภาคเปรียบเทียบ
ง. การเจริญของเอ็มบรโิ อในช่วงแรก กายวิภาคเปรยี บเทียบ
20) พฤติกรรมการเกย้ี วพาราสขี องห่ิงห้อยโดยใช้จงั หวะการกระพริบของแสง เป็นกลไกลชนิดใด
ก. กลไกการเกดิ สปซี ีส์ใหม่ ข. กลไกการดำรงของสปซี สี ์
ค. กลไกการรวมกนั ของสปซี ีส์ ง. กลไกการแบง่ แยกพ้นื ทีข่ องสปีซสี ์
21) หลกั เกณฑส์ ำคัญในการพิจารณาและจัดส่งิ มีชวี ิตเข้าไวใ้ นอาณาจักรพืชคือ
ก. ผนังเซลล์ประกอบด้วยเซลลโู ลส ข. มีเน้ือเยอื่ และระยะเอมบรโิ อ
ค. คลอโรฟิลล์อยู่ในเมด็ คลอโรพลาสต์ ง. ถกู หมดทุกข้อ
22) ข้อใดถือวา่ ไม่ใชส่ าเหตุท่ีทำใหเ้ กิดความหลากหลายทางชีวภาพ
ก. การสบื พันธแ์ุ บบอาศัยเพศ ข. การเกิดมวิ เตชนั ของยีน
ค. การเกิดความแปรผนั ทางพันธกุ รรม ง. การมปี ระชากรส่งิ มชี วี ติ ชนิดหนึง่ จำนวนมาก
23) ข้อใดใชเ้ ป็นเกณฑ์ในการพจิ ารณาคุณค่าของความหลากหลายทางชีวภาพ
ก. ประโยชน์, คณุ คา่ ที่มีต่อมนษุ ย์ ข. ความชุกชุมของส่ิงมีชีวิตนั้นๆ
ค. ส่งิ มชี วี ติ สามารถดำรงชวี ิตอยา่ งปกตสิ ุข ง. การบรโิ ภคเป็นอาหารและราคาขายเปน็ สิ้น
ค้า
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
326 คมู่ อื เตรยี มสอบ
24) ความหลากหลายทางชีวภาพ หมายถงึ ข้อใด
ก. การมีชวี ติ หลากหลายชนิด ณ บริเวณใดบรเิ วณหนง่ึ
ข. การมสี ง่ิ มชี ีวิตใดชนดิ หน่ึงจำนวนมาก ณ บริเวณนนั้
ค. การมสี ภาพแวดล้อมทางชีวภาพแตกตา่ งกนั
ง. ระบบนเิ วศความอุดมสมบูรณด์ ้วยพืชพรรณ
25) ขอ้ ใดไม่ใชป่ ัญหาความหลากหลายทางชีวภาพ
ก. ปัญหามลพษิ ของส่ิงแวดล้อมต่อสิ่งมชี ีวติ ข. ปญั หาการใชส้ อยทรัพยากรมากเกนิ ไป
ค. ปัญหาการสญู เสยี ถนิ่ ท่ีอยู่อาศัยของพืช, สตั ว์ ง. ปญั หาสิง่ มีชีวิตทั่วโลกกำลังเพ่มิ จำนวนอย่าง
รวดเร็ว
26) บุคคลทีช่ อบตัดตน้ ไมแ้ ละทำลายปา่ ซ่ึงนับวา่ เปน็ ผทู้ ี่ทำให้สมดลุ ธรรมชาตใิ นกล่มุ สิ่งมีชีวิตนัน้
สุดเสยี ไปเปน็ บุคคลเชน่ ใด
ก. ขาดความรู้ ข. เหน็ แกต่ ัว ค. ไมร่ ับผดิ ชอบ ง. ไมเ่ ขา้ ใจปัญหาท่ี
จะเกิดข้ึน
27) การระบาด ของตั๊กแตนปาทังกา้ ในสภาวะปัจจุบัน เปน็ ผลมาจากการโค่นถา่ งป่าเพอ่ื ทำการ
เพาะปลูก ขอ้ ใดต่อไปนี้ถกู ต้องท่ที ำใหก้ ารระบาดของตกั๊ แตนรนุ แรงมากขน้ึ
ก. ความเขม้ แข็งแสงเพียงพอ ข. อาหารเหมาะสมกว่า
ค. แพรพ่ ันธ์ุได้อยา่ งรวดเร็ว ง. ถูกหมดทุกข้อ
28) สมดลุ ธรรมชาติ (Balance of nature) หมายถงึ ข้อใดต่อไปนี้
ก. การที่กลุม่ ส่งิ มชี ีวิตต่างพ่ึงพาอาศัยซ่ึงกนั และกัน
ข. การมปี จั จยั ทางกายภาพเหมาะสมกบั สิ่งมีชีวิตในถิน่ ทีอ่ ยู่นั้นๆ
ค. การได้ประโยชนแ์ ละเสียประโยชน์ในสิ่งชวี ติ เป็นไปอย่างสมดลุ
ง. จำนวนหรอื ปริมาณของกลุ่มส่ิงมีชีวติ ท่มี ีอยู่ในธรรมชาติอย่างพอเหมาะ
29) ความหลากหลายทางชวี ภาพ (Biodiversity) หมายถึงข้อใดท่ถี ูกตอ้ งทส่ี ุด
ก. บรเิ วณนน้ั มีนกจำนวนมาก ข. บรเิ วณนัน้ มปี ลาอยู่มากมาย
ค. บรเิ วณนนั้ มีกุ้ง , หอย จำนวนมาก ง. บริเวณนนั้ มกี ุง้ , หอย, ปู, ปลา จำนวนมาก
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 327
30) สาหร่ายสเี ขยี ว มอส และลเิ วอรเ์ วิรต์ ตา่ งก็ไม่มีราก ลำตน้ และใบแทจ้ ริง แตม่ อสและลเิ วอร์
เวริ ์ต ถกู จัดเป็นพชื เพราะ
ก. มีหลายเซลล์ ข. มีคลอโรพลาสต์ ค. มีระยะเอม็ บริโอ ง. มกี ารสืบพันธ์แุ บบ
สลบั
31) ส่ิงมชี ีวิตท่จี ัดไว้ในอาณาจกั รพืช (Kingdom Plantae) ควรมีลกั ษณะดังขอ้ ใด
ก. มคี ลอโรพลาสต์และประกอบด้วยเซลลห์ ลายเซลล์
ข. มคี ลอโรพลาสต์ 1 เม็ด มเี นอื้ เย่ือและระยะเอม็ บรโิ อ
ค. มคี ลอโรพลาสต์>1 เม็ด มเี นอ้ื เย่อื และระยะเอ็มบริโอ
ง. เซลลม์ ีเยื่อห้มุ นวิ เคลยี ส ประกอบดว้ ยเซลล์หลายเซลล์
32) สิ่งมชี ีวติ ใดทำหน้าท่ีเปน็ ตวั กลางในการถ่ายทอดพลงั งาน
ก. งู ข. นก ค. เพลีย้ ง. ผลนอ้ ยหนา่
33) ลักษณะสำคัญของสิง่ มชี ีวติ ในอาณาจักรดังกล่าวคอื
ก. เซลล์ขาดเย่อื หมุ้ เซลล์ ข. เซลล์ขาดเยอื่ หมุ้ นิวเคลียส
ค. เซลลข์ าดผนังเซลล์ ง. เซลลข์ าดออร์แกเนลล์ภายใน
34) ข้อใดไม่ใชล่ ักษณะของลูกที่เกิดจากการผสมขา้ มสปีชีส์
ก. ลูกตายก่อนคลอด ข. ลกู เจรญิ เตบิ โตดีแต่เปน็ หมัน
ค. ลูกอ่อนแอและตายกอ่ นถงึ วัยเจรญิ พันธุ์ ง. ลกู ผสมพนั ธุต์ อ่ ไปได้ แต่ร่นุ ลูกออ่ นแอลง
เร่อื ยๆ
35) แบคทีเรยี และสาหร่ายสเี ขยี วแกมน้ำเงิน มลี ักษณะคลา้ ยกนั คอื
ก. ไม่มรี ะยะเอม็ บริโอ ข. ไมม่ ีเย่ือหุ้มนวิ เคลียส
ค. ถกู ท้ัง 2 ข้อ ง. ไมถ่ กู ทง้ั 2 ข้อ
36) พชื ชนิด หนึง่ มลี ักษณะลำตน้ แบบเลอ้ื ยไมม่ หี ูใบ ใบเป็นแบบเดย่ี ว เสน้ ใบเป็นแบบร่างแห ออก
ดอกเป็นดอกเดี่ยว กลีบดอกมี 5 กลีบ รังไข่อยใู่ ต้กลีบดอก นักเรียนจะจำแนกพชื น้โี ดยใชค้ ยี ์
สำหรับพืชนดิ ใด
ก.ไมน้ ้ำ ข. พชื บก ค. พชื ใบเลี้ยงเด่ยี ว ง. พืชใบ
เลย้ี งคู่
37) พืชทเ่ี รมิ่ มีราก ลำต้น และใบที่แท้จริง มรี ะบบท่อลำเลยี งแตย่ ังไม่มดี อกเมล็ด คือ
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
328 ค่มู อื เตรยี มสอบ
ก. มอส สาหร่าย ข. ปรง เฟริ ์น ค. จอกหหู นู ง. แหน สน
ฉตั ร
38) ประภาเรียม หรือตู้เลยี้ งปลาแบบปิดสนิท และสิ่งมีชีวิตตา่ งๆ ใน๖ได้แก่ ปลา หอย กุ้ง โปรโต
ซวั และพืชนำ้ สามารถดำรงชวี ติ อยไู่ ดเ้ ปน็ เวลานานนบั เดือน เพราะ
ก. สิ่งมชี วี ติ ไม่เจรญิ เติบโต ข. ส่ิงมีชีวติ ไม่รบกวนซง่ึ กันและกัน
ค. ไมม่ จี ุลนิ ทรียเ์ ขา้ ไปรบกวน ง. การไดแ้ ละใช้พลงั งานอยู่ในสภาพสมดลุ
39) ถ้าส่งิ มชี ีวิตพวกผ้ผู ลิตตายหมดจะเกิดอะไรขึ้นกบั ระบบนเิ วศ
ก. ไม่มีอินทรีย์สารสำหรบั สิ่งมชี วี ิต
ข. สงิ่ มีชีวิตที่สรา้ งอาหารเองไม่ได้จะตายทันที
ค. สิ่งมีชีวติ จำพวกสรา้ งอาหารเองไมไ่ ดจ้ ะอยู่ไดต้ ามปกติ
ง. สิ่งมีชวี ิตจำพวกสร้างอาหารเองไมไ่ ด้จะมชี วี ิตอยู่ระยะหนงึ่
40) การทตี่ ั๊กแตนปาทงั กา้ ระบาดจำนวนมาก และฝงู ตั๊กแตนนเ้ี มื่ออพยพผา่ นไปในที่มีต้นไม้สเี ขยี ว
ก็จะกนิ จนราบเรียบ ทงั นีเ้ ป็นผลจาก
ก. การปรบั ตวั ของแมลง ข. การคดั เลอื กตามธรรมชาติ
ค. การเสยี สมดลุ ธรรมชาติ ง. การเปลยี่ นแปลงโครงสร้างพืช
41) สงิ่ มีชีวติ ในข้อใด เรยี งลำดบั ตามววิ ฒั นาการได้ถูกต้อง
ก. เห็ด ----->แบคทีเรยี ----->อะมบี า
ข. สาหร่ายสเี ขยี ว ----->สาหร่ายสเี ขียวแกมน้ำเงิน ----->มอส
ค. หนอนตัวแบน ----->ฟองนำ้ ----->ดาวทะเล
ง. สาหรา่ ย ----->สนสองใบ ----->พืชใบเลีย้ งคู่
42) สารประกอบใดทีห่ มุ้ สารพนั ธกุ รรมของไวรสั
ก. ฟอสโฟลพิ ิด ข. นิวคลีโอไทด์ ค. คาร์บอนไฮเดรต ง. โปรตีน
43) แมลงค่ใู ดต่อไปนี้มีรปู แบบการกนิ อาหารเหมือนกนั
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 329
ก. แมลงวนั ยุง ข. ยุง เพลยี้ ออ่ น ค. เพลย้ี อ่อน ตั๊กแตน ง. ตั๊กแตน
ง. H2 N5
แมลงวนั
ง.A และ D
44) ไวรัสทที่ ำให้เกิดโรคไข้หวัดนกเปน็ สายพันธ์ุใด
ง. นำ้ ตาลเพนโทส
ก. H5 N1 ข. H5 N2 ค. H1 N5 ง. 123 และ 4
45) โครงสร้างเซลลส์ ิง่ มีชีวติ 4 ชนดิ ในน้ำเปน็ ดังนี้
ชนิดส่งิ มีชีวติ ผนังเซลล์ โครงสร้าง นวิ เคลียส
แวคิวโอ คลอโรฟิลล์
A √- √ -
B -√ - √
C -√ √ √
D √- - -
สิ่งมชี วี ิตในขอ้ ใดจัดอยู่ในอาณาจักรมอเนอรา
ก. A และ B ข. B และ C ค. C และ D
46) ใดไม่ใช่ลกั ษณะเฉพาะของไวรสั HIV
ก. ทำลายเซลลเ์ มด็ เลอื ดทกุ ชนดิ
ข. กลายพันธ์ุไดง้ ่าย
ค. ถ่ายทอดไดท้ างเพศสมั พนั ธ์ หรอื รับเลือดจากผ้ตู ดิ เช้ือ
ง. เพ่ิมจำนวนโดยใช้วัตถดุ ิบจากเซลล์ท่ถี ูกทำลาย
47) สิ่งมชี ีวติ ในข้อใดต่อไปน้ี เรียงตามลำดบั วิวฒั นาการได้อย่างถูกต้อง
ก. อะมีบา ----->สาหร่ายสีเขยี วแกมน้ำเงิน ----->หนอนตวั แบน
ข. แบคทเี รยี ----->ราเมอื ก ----->เหด็
ค. ไสเ้ ดือนดิน ----->แมลง ----->หอย
ง. โพรทสิ ต์ ----->ยสี ต์ ----->สาหร่ายสีเขียวแกมนำ้ เงนิ
48) ข้อใดไม่เป็นองค์ประกอบของดีเอน็ เอ
ก. กรดอะมิโน ข. ไนโตรเจน ค. หมู่ฟอสเฟต
49) ไวรัสเพิม่ จำนวนได้ในสภาวะใด
1.ในเซลล์สัตว์ 2.ในเซลลพ์ ชื
3. ในอาหารสงั เคราะห์ 4. ในซากส่งิ มชี วี ิต
ก. 1 และ 2 ข. 3 และ 4 ค. 12 และ 3
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
330 ค่มู อื เตรยี มสอบ
50) สารปรกอบใดท่หี ่อห้มุ สารพันธุกรรมของไวรัสโดยตรง
ก. ฟอสโฟลพิ ิด ข. นวิ คลีโอไทด์ ค. คาร์โบไฮเดรต ง. โปรตีน
51) สง่ิ มชี วี ิตในข้อใดต่อไปน้ี เรียงลำดับวิวัฒนาการไดถ้ ูกตอ้ ง
ก. เหด็ ----->แบคทเี รยี ----->อะมบี า
ข. สาหร่ายสีเขยี ว ----->สาหรา่ ยสเี ขียวแกมน้ำเงนิ ----->มอส
ค. หนอนตัวแบน ----->ฟองน้ำ ----->ดาวทะเล
ง. สาหร่ายสีนำ้ ตาล ----->สนสองใบ----->พืชใบเล้ียงคู่
52) ไมส้ นเหมาะในการใช้ปลูกปา่ เนือ่ งจาก
ก. มีสาหรา่ ยสีเขียวแกมน้ำเงินอยูด่ ว้ ย ทำให้เจรญิ เติบโตได้รวดเรว็
ข. มีสาหรา่ ยสเี ขียวอยู่ด้วย ทำให้เจริญเติบโตได้รวดเรว็
ค. มรี าไมคอไรซาเจรญิ อยดู่ ว้ ย ทำให้เจรญิ เติบโตได้อยา่ งรวดเรว็
ง. มแี บคทีเรยี ไรโซเบยี มอยู่ด้วย ทำใหเ้ จรญิ เติบโตได้รวดเรว็
53) ม้าและลาจัดไวต้ ่างสปีชีสก์ นั เนอ่ื งจาก
ก. ผสมพนั ธ์กุ นั ไม่ได้ ข. ผสมพนั ธ์ุกันได้แต่ไม่ได้ลูก
ค. ผสมพนั ธ์กุ นั ไดแ้ ละได้ลูกท่ีเปน็ หมัน ง. ผสมพันธ์ุกนั ไดแ้ ละได้ลูกทีไ่ ม่เป็นหมัน
54) อาณาจกั รมอนอรา เป็นอาณาจักรทปี่ ระกอบด้วย
ก. พวกสาหรา่ ยท้งั หลาย ข. พวกโพรโทซัวและเหด็ รา
ค. พวกสาหร่ายโพรโทรซัว แบคทีเรีย และรา ง. พวกแบคทเี รียและสาหรา่ ยสสีเขยี วแกมนำ้
เงิน
55) ซากดึกดำบรรพ์ของ Archeopteryxทำใหท้ ราบว่า
ก. สตั ว์เล้ียงลูกดว้ ยนม มวี วิ ฒั นาการมาจากสัตว์ปกี ข. สัตวป์ กี มีววิ ัฒนาการมากจาก
สัตวเ์ ลอื้ ยคลาน
ค. สัตว์เล้ือยคลานมวี ิวัฒนาการจากสตั ว์ครง่ึ บกคร่ึงน้ำ ง. สตั วค์ ร่ึงบกครง่ึ น้ำมวี วิ ัฒนาการจาก
ปลา
56) ข้อใดท่ีทำให้สงิ่ มีชีวติ 2 สปซี ีส์อาศยั อยปู่ ะปนกนั โดยไมท่ ำให้เกดิ สปีซีส์ใหม่
1. แหล่งอาหารแตกต่างกนั 2. รูปรา่ งแตกตา่ งกนั
3. ฤดกู าลและเวลาผสมพนั ธแ์ุ ตกต่ากนั 4. พฤตกิ รรมการเก้ยี วพาราสแี ตกต่างกนั
ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 331
ก.1,2,3 ข.2,3,4 ค.3,4,1 ง.4,1,2
57) ชาวบ้านทอี่ าศยั อยตู่ ามป่าชายเลนได้หนั มามีอาชีพเล้ียงกุง้ บริเวณชายฝั่งทะเล จะส่งผลอย่างไร
บ้าง
ก. ชาวบา้ นมีอาชีพ แบะรายได้ ข. จำนวนสตั วท์ ะเลมมี ากขึ้น จากการเพาะเลย้ี ง
ค. ปรมิ าณแพลงตอนทอ่ี าศัยตามหมด ง. จำนวนสตั ว์ทะเลนอ้ ยลง เพราะไมม่ ีแหล่งอนบุ าล
สัตวน์ ้ำ
58) ถา้ พอ่ มหี ม่เู ลือด AB แมม่ ีหมเู่ ลือด O ลกู ทีเ่ กิดจะมหี มเู่ ลือดอะไรบ้าง
ก. A,B,ABและ Oข. A,Bและ O ค. A และ B ง.A,Bเท่านน้ั
59) ขอ้ ใดไม่ใชล่ กั ษณะของสายววิ ฒั นาการท่ีเกิดขึ้นจริง
ก. แมลงปีก ----->นก ข. สตั ว์เลอ้ื ยคลาน ----->นก
ค. สตั วเ์ ลือ้ ยคาน----->สัตว์เลย้ี งลกู ด้วยนม ง. สตั ว์เซลลเ์ ดยี ว ----->สัตว์เล้ยี งลกู ด้วยนม
60) ใบของตน้ กระบอกเพชร ลดรปู เปน็ หนามเพ่อื ลดการคายน้ำ กรณีนี้อธบิ ายไดว้ ่าอยา่ งไร
1. การคดั เลอื กโดยธรรมชาติ 2. การเกิดสปีชีสใ์ หม่
3.การปรบั ตวั ทางพันธกุ รรม 4.การปรบั ตัวเพอื่ ความอยูร่ อด
ก. 1 และ 2 ข. 2 และ 3 ค. 3 และ 4 ง. 4 และ 1
61) การทดลองผสมพันธ์รุ ะหวา่ งผักกาดขาวกับกะหลำ่ ปลี พบว่าสามารถให้ลกู เป็นหมนั ผลการ
ทดลองนี้ แสดงหลกั ฐานวิวัฒนาการหรือไม่ อย่างไร
ก. ไม่แสดงหลกั ฐานววิ ฒั นาการ เน่ืองจากการผสมระหว่างผกั กาดขาวกบั กะหล่ำปลีให้ลกู ผสมเป็น
หมัน
ข. แสดงหลักฐานววิ ัฒนาการการเจริญของเอ็มบรโิ อของลูกผสม ผักกาดขาวกบั กะหลำ่ ปลีอยตู่ า่ งสปี
ชีส์ แตม่ บี รรพบุรุษรว่ มกนั
ค. แสดงหลักฐานวิวฒั นาการทางพันธศุ าสตร์ ผักกาดขาวกับกะหลำ่ ปลีอยตู่ ่างสปีชีส์ แต่มบี รรพ
บุรุษร่วมกัน
ง. แสดงหลกั ฐานววิ ฒั นาการทางพันธศุ าสตร์ ผกั กาดขาวกบั กะหลำ่ ปลอี ยู่ในสปชี ีสเ์ ดียวกัน แต่มี
บรรพบรุ ุษร่วมกนั
62) แม่หมูตวั หน่งึ คลอดลูกออกมา 10 ตัว ตามแนวความคิดของชารล์ สด์ าร์วิน ลกู หมูทั้ง 10 ตวั
จะมลี กั ษณะเหมือนกนั หรอื แตกตา่ งกนั อยา่ งไร
ก. ลักษณะต่างๆ ทุกลักษณะเหมือนกนั ข. ลักษณะต่างๆ ทุกลักษณะเหมือนแม่
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
332 คมู่ อื เตรยี มสอบ
ค. ลักษณะตา่ งๆ ทุกลกั ษณะแตกต่างกัน ง. ลักษณะบางลกั ษณะเหมือนกนั และบางลักษณะ
แตกต่างกัน
63) ข้อความต่อไปนี้ขอ้ ใดผดิ
ก. ไวรสั เปน็ สงิ่ มชี ีวิตและเปน็ สาเหตทุ ำใหเ้ กดิ โรคหวดั กบั คน
ข. ไวรสั สามารถแบง่ เซลล์เจริญเตบิ โตเพม่ิ ปริมาณได้มากข้ึนเมอื่ อยเู่ ป็นอิสระ
ค. ไวรสั สามารถผลิตหนว่ ยทเี่ หมือนคนเองได้โดยอาศัยสารอนิ ทรีย์จากสิ่งมชี ีวิต
ง. ไวรัสเป็นส่ิงมชี วี ิต แตไ่ มส่ ามารถแสดงคณุ สมบัตขิ องตนเองเมื่ออยู่เป็นอิสระ
64) อะไรเปน็ ตัวกำหนดทิศทางความแตกต่างทางพันธกุ รรม
ก. พอ่ และแม่ ข. การมีลักษณะเหมือนกนั
ค. การคดั เลือกตามธรรมชาติ ง. การผสมพนั ธ์กุ ันตามธรรมชาติ
65) ขอ้ ใดไมเ่ ป็นสาเหตุของการเกิดววิ ฒั นาการ
ก. การผา่ เหลา่ ข. การอพยพของประชากร
ค. การผสมพันธุ์แบบไม่เป็นอิสระ ง. การถา่ ยทอดยนี อยู่ในสภาพสมดุล
66)
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 333
A ในภาพอยู่ในฐานะอะไรในสายในอาหาร
ก. ผ้ยู ่อยสลาย ผบู้ ริโภคอันดับ 1 ข. ผบู้ ริโภคพืช ผบู้ ริโภคอนั ดัน 2
ค. ผบู้ ริโภคอนั ดบั 1 ผบู้ รโิ ภคอนั ดับ 2 ง. ผูบ้ ริโภคพชื ผู้บรโิ ภคอันดบั 1
67) พ่อเป็นสัตว์ลกู ผสมทเี่ ป็นหมนั เกดิ จากการผสมระหว่างม้ากบั ลา ม้ากับลามคี วามสัมพนั ธกุ์ ัน
อย่า
ก. ม้ากับลาเปน็ สตั วส์ ปีชีสเ์ ดยี วกัน เพราะผสมพนั ธ์ุกนั ได้
ข. มา้ กบั ลาเป็นสตั วส์ ปชี ีสเ์ ดียวกัน เพราะมีลักษณะคลา้ ยคลงึ กนั
ค. มา้ กับลาเป็นสตั ว์ต่างสปชี ีส์กนั เพราะมขี นาดต่างกัน
ง. ม้ากบั ลาเป็นสัตว์ต่างสปีชสี ์กนั เพราะพ่อไมส่ ามารถสืบพนั ธ์ุและขยายพนั ธต์ุ ่อไปได้
68) นายแดงได้ นำสัตว์มาผสมกัน 1 คู่ หลงั จากผสมกันหลายครัง้ เขาสรปุ วา่ สตั วค์ นู่ ้ตี ่างสปชี ีสก์ นั
ขอ้ มูลข้อใดนา่ จะสนบั สนุนความคดิ ของเขา ได้
ก. ผสมคร้ังแรกลูกในท้องแท้งเม่ืออายเุ พยี ง 2 สปั ดาห์
ข. ผสมครง้ั ทส่ี องในขณะทีร่ ่างกายสมบรู ณเ์ ต็มท่ี แต่ไม่พบการตงั้ ครรภ์
ค. ผสมคร้ังทสี่ ามได้ลกู เพศผู้ซึง่ เม่อื โตเต็มวัยไม่สร้างสปิรม์
ง. ผสมครัง้ ท่ีสไ่ี ด้ลกู เพศผู้และแม่ตายหลงั คลอด
69) ข้อใดเป็นการเรยี งลำดับสาเหตกุ ารเกิดโรคมะเรง็ ผิวหนังได้ถูกต้อง
1. โอโซนถกู ทำลายโดยอนุมูลคลอไรด์
2. อัตรารไวโอเลตผ่านข้ันสตราโตสเฟยี ร์ได้มากขึน้
3.อตั ราไวโอเลตทำลาย CFC และปล่อยอนมุ ลคลอด์
ก.1,2,3 ข.2,3,1 ค.3,1,2 ง. 3,2,1
70) ตามแผนผงั แสดงวิวฒั นาการลำดับววิ ฒั นาการของพืชตามลำดับขา้ งลา่ งน้ี เฟิรน์ ควรอยูใ่ นช่วง
ใด
ก. ก ข. ข ค. ค ง. ง
71) ในกล่มุ ส่ิงมชี ีวิตทป่ี ระกอบดว้ ย กหุ ลาบ เพล้ีย แมลงเต่าทอง เหด็ รา นก งู ผูร้ ับการ
ถ่ายทอดพลงั งานเคมีเปน็ ลำดับแรกของโซ่อาหารคือข้อใด
ก. นก ข. เห็ด ค. เพลยี้ ง. กุหลาบ
72) ตัวอย่างกลุ่มใดท่แี สดงลำดับของววิ ัฒนาการได้ถูกต้อง
1. แบคทีเรยี ปลาดาว ไก่ แมว
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
334 คมู่ อื เตรยี มสอบ
2. แบคทเี รีย แมงป่อง ปลากะเบน ก้ิงก่า
3. แบคทเี รยี ฟองน้ำ ปลาวาฬ กบ
4. แบคทีเรีย กุง้ ปลาหมึก จระเข้
ก. 12 ข. 23 ค. 34 ง. 14
73) ถา้ การสูญ พันธข์ุ องไดโนเสาร์มีสาเหตุจากลูกอุกาบาตขนาดใหญ่พุง่ ชนโลก ทำให้เกิดฝุน่ หนา
ทึบ ฟุง้ กระจายไปทั่วทั้งโลกเป็นเวลานานหลายปี ทา่ นคิดวา่ ไดโนเสาร์ชนดิ ใดน่าจะเสยี ชวี ิตก่อน
เน่อื งขากขาดอาหาร
ก. ไดโนเสารท์ ี่กินไข่เปน็ อาหาร ข. ไดโนเสารท์ ก่ี ินพชื เปน็ อาหาร
ค. ไดโนเสาร์ทีก่ นิ สตั วเ์ ปน็ อาหาร ง. ไดโนเสารท์ ่ีกินพชื และสัตวเ์ ป็นอาหาร
74) ขอ้ ใดไมใ่ ช่ห่วงโซอ่ าหารทที่ ำให้สารตะกัว่ ซ่งึ ปนเปื้อนอยู่ในนำ้ เข้าสู่รา่ งกายของคน
ก. หญ้า ---->ววั คน ข. ปลาเล็ก ---->ปลาใหญ่ ---->คน
ค. ข้าวโพด ---->หนู ---->นก ---->คน ง. เพล้ยี ---->ข้าวโพด นก ---->คน
75) พชื จำพวกมอสได้ช่ือวา่ เป็นพชื ทีม่ วี วิ ฒั นาการน้อยที่สุด ลักษณะเดน่ ทีย่ นื ยันความเชือ่ นี้
สามารถสังเกตได้จากลักษณะใด
ก. การออกดอก-ผล ข. การสรา้ งสปอร์
ค. การมีท่อลำเลยี ง ง. การมขี อ้ – ปล้องของลำต้น
76) ข้อใดต่อไปนี้ถกู ต้องที่สดุ
ก. สภาวะเรือนกระจกจะทำให้รงั สีอุลตราไวโอเลตในบรรยากาศเพ่ิมขน้ึ
ข. กา๊ ซซัลเฟอรไ์ ดออกไซดท์ ำใหเ้ กดิ ฝนกรด
ค. สาร CFC จะทำลายโอโซนในชนั้ สตราโตสเฟียร์ทำให้โลกร้อนขนึ้
ง. คารบ์ อนไดออกไซด์ในชนั้ บรรยากาศจะเป็นเกราะกำบังรังสอี ุลตราไวโอเลต
77) โรคอีสุก อีใสเกิดจากไวรสั ชนิดหนง่ึ คนท่เี คยเป็นอสี ุกอใี สแลว้ จะมีความต้านทานต่อโรคได้
แตบ่ างคนกลับเป็นข้ึนมาใหม่อีกคร้ังไดเ้ พราะเหตุใด
ก. ไวรัสทท่ี ำใหเ้ กดิ โรคอสี ุกอใี สกลับฟ้นื ตวั ขึน้ มาใหม่
ข. ได้รับเชอ้ื ไวรสั ปชี ีสใ์ หมท่ ่รี ่างกายไมม่ ภี ูมิค้มุ กนั ตอ่ ตา้ นได้
ค. ภูมิค้มุ กนั ที่ได้รบั จากไวรสั สปชี ีสเ์ ดมิ เสอื่ มไป
ง. ภมู คิ ุ้มกันเดิมทเ่ี คยมีอยูเ่ ป็นเวลานานเปลี่ยนไปเปน็ สารใหมต่ ามธรรมชาติของมัน
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 335
78) ในขวด อาหารท่เี ลีย้ งแมลงหว่ี มที ้ังแมลงหวี่ปกี ยาวตรงและปีกกะดก เม่ือเลือกเอาแมลงหวี่ที่
มีลักษณะปีกกะดกออกมาผสมกันหลายๆรุ่น จนในทส่ี ุดได้แมลงหวี่ปีกะดกหมดทกุ ตวั ผลท่ีไดน้ ี้
เป็นไปตามหลักการขอ้ ใด
ก. การคดั เลอื กยนี ข. การคัดเลือกคามแปรผัน
ค. ววิ ฒั นาการ ง. มวิ เตชนั
79) ในการศึกษาเอ็มบรโิ อของสตั ว์ 5 ชนิด คำถามใดไม่สามารถตอบได้จากการศึกษาครง้ั น้ี
ก. เป็นสตั วท์ ี่มีกระดูกสนั หลังหรือไม่
ข. มสี ายววิ ฒั นาการใกล้ เคยี งกันหรอื ไม่
ค. ระยะเวลาของพฒั นาการของเอ็มบริโอของสตั ว์ตา่ งกนั หรือไม่
ง. เอ็มบริโอของสตั ว์เหลา่ นใ้ี นระยะที่ 1 มรี ูปรา่ งคล้ายกันหรือไม่
80) นายมีชัย ผสมพนั ธุน์ ก 2 ชนดิ ชนิดแรกมปี ากแหลม น้วิ เทา้ ไมม่ ีพงั ผืด ขนมนั ชนดิ ท่สี อง ปาก
เบน นิว้ เทา้ มีพังผืด ขนหยาบ เมอื่ ลกู ผสมฟักออกมาจากไข่ นายมชี ัยนำไปเล้ียงในคลองหนา้ บ้าน
ลกู ผสมลักษณะเช่นใดท่ีมโี อกาสรอดชวี ติ ได้ มากทส่ี ุด
ก. ปากแหลม ขนมัน นิว้ เท้ามพี ังผืด ข. ปากแหลม ขนหยาบ นว้ิ เท้ามพี ังผืด
ค. ปากเบน ขนหยาบ นวิ้ เท้ามพี งั ผืด ง. ปากเบน ขนมนั น้ิวเท้ามีพงั ผนื
เฉลยรวมโจทยว์ ิทยาศาสตร์ชุดที่ 2
1 ค 2 ง 3 ข 4 ค 5 ข 6 ข 7 ข 8 ก 9 ค 10 ก
11 ก 12 ข 13 ค 14 ง 15 ค 16 ค 17 ค 18 ก 19 ง 20 ข
21 ง 22 ง 23 ก 24 ก 25 ง 26 ข 27 ง 28 ง 29 ง 30 ค
31 ค 32 ง 33 ข 34 ง 35 ค 36 ง 37 ค 38 ง 39 ง 40 ค
41 ง 42 ง 43 ข 44 ก 45 ง 46 ก 47 ข 48 ก 49 ก 50 ง
51 ง 52 ค 53 ค 54 ง 55 ข 56 ข 57 ง 58 ค 59 ง 60 ง
61 ค 62 ง 63 ข 64 ค 65 ง 66 ง 67 ง 68 ค 69 ค 70 ค
71 ค 72 ก 73 ข 74 ง 75 ค 76 ข 77 ค 78 ก 79 ก 80 ก
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
336 ค่มู อื เตรยี มสอบ
สาระท่ี 2 ชีวิตกับสิ่งแวดลอ้ ม
บทที่ 1 ระบบนเิ วศ
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 337
1. ส่ิงแวดล้อม (Environment)หมายถึง ทุก ๆ ส่งิ ที่อยู่รอบตวั เรา ประกอบด้วย
สิง่ มีชวี ิตและส่งิ ไม่มชี ีวติ เชน่ ต้นไม้ สตั ว์ มนุษย์ อากาศ ดิน หิน ความช้นื แสงแดด อณุ หภูมิ เปน็ ต้น
2. กลุ่มส่ิงมชี ีวิต (Community) หมายถึง ส่ิงมชี วี ิตหลาย ๆ ชนิดทอี่ าศัยอยรู่ ่วมกัน
ในบรเิ วณใดบรเิ วณหนึง่ และมีความสมั พนั ธ์กนั
3. แหล่งท่ีอยู่ (Habitat) หมายถึง สถานทหี่ รือบริเวณทส่ี งิ่ มชี ีวติ อาศัยอยู่
4. ระบบนิเวศ (Ecosystem)หมายถงึ ระบบทีป่ ระกอบด้วยกลุ่มสิ่งมีชวี ติ ทีม่ ี
ความสัมพันธ์กนั และมีความสัมพันธ์กับสง่ิ ไม่มชี ีวติ ในส่งิ แวดลอ้ มนัน้ ๆ โดยมีการถ่ายทอดพลงั งาน
และการหมนุ เวยี นสารเกิดข้นึ ดว้ ย
5. ประเภทของระบบนิเวศ แบง่ โดยใชแ้ หล่งทีอ่ ยอู่ าศยั เปน็ เกณฑ์ได้ 2 ประเภท คือ
1) ระบบนเิ วศบนบก หมายถึง ลกั ษณะของระบบนเิ วศท่ีกลมุ่ สิง่ มชี วี ติ ภายในระบบอาศัย
อยู่บนพน้ื ดนิ เช่น ระบบนิเวศปา่ ไม้ ระบบนิเวศทงุ่ หญ้า ระบบนิเวศทะเลทราย เปน็ ตน้
2) ระบบนเิ วศในนำ้ หมายถงึ ลักษณะของระบบนเิ วศที่กลมุ่ สิ่งมีชีวิตภายในระบบนเิ วศ
อาศัยอยใู่ นแหล่งน้ำตา่ ง ๆ เช่น ระบบนิเวศในบ่อนำ้ ระบบนเิ วศในแม่น้ำ ระบบนิเวศในมหาสมทุ ร
เป็นตน้
6. องค์ประกอบของระบบนเิ วศ ที่สำคัญมี 2 สว่ น คือ
1) องค์ประกอบท่มี ีชวี ิต ไดแ้ ก่ สง่ิ มีชีวติ ทกุ ชนดิ จัดเปน็ ปัจจยั ทางชีวภาพ เช่น พชื สัตว์
มนุษย์ จลุ ินทรยี ์
2) องคป์ ระกอบท่ไี ม่มีชีวติ ประกอบด้วยสงิ่ ไม่มีชีวิต มอี ทิ ธิพลต่อการดำรงชวี ิตและการ
กระจายของสง่ิ มชี วี ติ แบ่งเปน็ ปัจจัยทางกายภาพและปัจจัยทางเคมี เช่น อากาศ ดิน หนิ แรธ่ าตุ แสง
ความชืน้ ความเปน็ กรด-เบสของดนิ
7. การดำรงชวี ติ ของสิ่งมีชวี ิต ส่งิ มีชวี ติ แตล่ ะชนดิ ในบริเวณหน่งึ ๆ จะมี
ความสมั พันธก์ ับองคป์ ระกอบทมี่ ีชวี ิตและไม่มีชีวติ
8. บทบาทของสง่ิ มีชีวิตในระบบนิเวศ มี 3 ชนดิ คอื ผู้ผลิต ผ้บู รโิ ภคและผยู้ ่อยสลาย
สารอินทรยี ์
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
338 คมู่ อื เตรยี มสอบ
9. ผผู้ ลติ (Producer)หมายถึง ส่ิงมชี วี ติ ท่สี ามารถสร้างอาหารได้เองโดยวธิ กี าร
สงั เคราะหด์ ้วยแสง ไดแ้ ก่ พืชท่มี ีสีเขยี ว สาหร่าย รวมท้งั สงิ่ มชี วี ิตเซลล์เดียวทมี่ คี ลอโรฟิลล์
10. ผู้บรโิ ภค (Consumer)หมายถึง สงิ่ มชี ีวิตท่ไี มส่ ามารถสรา้ งอาหารไดเ้ องต้องอาศัย
อาหารจากแหลง่ อ่นื ในการดำรงชวี ิต ไดแ้ ก่ สัตวแ์ ละมนุษย์ผู้บรโิ ภคแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1) สิ่งมีชวี ติ กนิ พืช (Herbivores)เป็นส่ิงมีชีวิตที่กนิ พชื เป็นอาหารเพยี งอย่างเดยี วจดั เป็น
ผบู้ ริโภคอนั ดบั แรกที่ไดร้ ับการถ่ายทอดพลังงานจากพชื โดยตรง ได้แก่ แมลงตา่ ง ๆ กระต่าย แพะ
แกะ หนู ววั ควาย เปน็ ตน้
2) สิ่งมีชวี ติ กินสัตว์ (Carnivores)เปน็ สงิ่ มชี ีวิตท่ีกนิ สตั วด์ ้วยกันเองเป็นอาหารโดยไม่กิน
พชื เลย ไดร้ บั การถ่ายทอดพลังงานจากพืชโดยต้องกินสัตวท์ ี่กินพืชอีกต่อหนงึ่ ได้แก่ งู จระเข้ เสือ
สงิ โต เหย่ียว นกอนิ ทรีย์ เปน็ ต้น
3) สิ่งมีชีวิตกนิ พืชและสัตว์ (Omnivores หรือ Top Carnivores)เปน็ สงิ่ มีชวี ิตท่ีกนิ ทง้ั
พืชและสตั วเ์ ป็นอาหาร ได้รับการถา่ ยทอดพลังงานจากพชื หรอื จากสัตว์กินพืช ไดแ้ ก่ ไก่ เปด็ นก
สุนัข แมว รวมทั้งมนษุ ย์
4) สัตว์กนิ ซาก (Scavengers)เป็นสงิ่ มีชวี ิตที่กนิ ซากพืชซากสตั ว์ท่เี น่าเปื่อยผุพงั เป็น
อาหาร ได้แก่ ไส้เดือนดนิ มด กง้ิ กือ นกแรง้
11. ผยู้ อ่ ยสลายสารอนิ ทรีย์ (Decomposer)หมายถึง สิง่ มชี วี ิตท่ีไม่สามารถสรา้ ง
อาหารไดเ้ อง แต่จะไดร้ บั อาหารโดยการผลติ เอนไซมอ์ อกมาชว่ ยย่อยซากของสิ่งมีชวี ติ อ่ืน ของเสีย
หรือกากอาหารให้กลายเปน็ สารที่มีขนาดโมเลกุลเล็กลง แล้วดดู ซึมสารอาหารท่ีได้นน้ั ไปใช้ประโยชน์
และส่วนท่เี หลอื จากการดูดซึมจะปล่อยออกสรู่ ะบบนเิ วศ สิง่ มชี ีวติ ชนดิ นไี้ ดแ้ ก่
1) แบคทีเรีย เป็นสิง่ มีชวี ิตเลก็ ๆ ทไี่ ม่จัดเป็นพชื หรอื สัตวเ์ พราะไมส่ ามารถสร้างอาหารได้
เอง มีขนาดเลก็ ไมส่ ามารถมองเห็นได้ดว้ ยตาเปลา่ พบอยู่ทวั่ ไปทุกหนแหง่ แบคทีเรยี ไดร้ บั อาหารจาก
การยอ่ ยสลายซากส่งิ มีชวี ติ ให้มขี นาดเลก็ ลงแลว้ จงึ ดูดซมึ ไปใช้ประโยชน์
2) เห็ด รา ไม่จัดเปน็ พืชเพราะไม่มคี ลอโรฟลิ ล์ และไม่สามารถสร้างอาหารไดเ้ อง มีการ
ดำรงชีวิตเหมือนแบคทเี รียคือ สามารถเจรญิ เติบโตบนส่ิงมีชวี ิตอ่นื ที่ตายแลว้ และย่อยสลายซาก
สงิ่ มีชวี ิตน้ันให้มโี มเลกุลเลก็ ลงแล้วดดู ซึมไปเป็นอาหาร
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 339
12. บทบาทของผู้ย่อยสลายสารอนิ ทรยี ์ ทำหนา้ ที่เชื่อมโยงหน่วยสงิ่ มชี วี ิตกบั
สง่ิ ไมม่ ชี วี ิต ทำใหส้ ารอาหารหมุนเวียนเป็นวัฏจกั รได้ โดยเม่ือส่งิ มชี ีวิตตายลง จะถูกผูย้ ่อยสลาย
สารอินทรียย์ ่อยสลายใหเ้ น่าเปอื่ ยกลายเปน็ สารท่จี ำเป็นต่อการเจริญเตบิ โตของพชื นอกจากนี้ยังมี
ประโยชน์ตอ่ มนุษย์ เชน่ เห็ดหลายชนิดนำมารบั ประทานได้ ราบางชนดิ ผลติ สารทมี่ ีฤทธิ์เป็นยาได้
13. ถ้าโลกไมม่ ผี ยู้ ่อยสลายสารอินทรีย์ ขยะและซากสิง่ มีชีวติ จะไม่มีการเน่าเปอื่ ย แต่
อานผุพงั สึกกร่อนไปโดยตวั กระทำอ่นื ๆ เช่น ลม น้ำ ความร้อน หรืออาจเปล่ียนสภาพไปเป็นซากดึก
ดำบรรพซ์ ่ึงต้องใช้เวลานานมาก ทำใหเ้ กดิ การสะสมสารอินทรียใ์ นสิ่งแวดลอ้ มเพิม่ ขึ้น และไม่มกี าร
หมุนเวยี นคาร์บอนในระบบนิเวศโดยคารบ์ อนจะถูกสะสมอยู่ในสภาพสารอินทรยี ์ ปริมาณแกส๊
คาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศลดลง ทำให้การสังเคราะห์ด้วยแสงของผูผ้ ลติ ลดลง นอกจากน้ี
ปรมิ าณแก๊สออกซิเจนและน้ำซ่ึงเปน็ ผลผลิตจากการสงั เคราะห์ด้วยแสงกจ็ ะลดลงดว้ ย ผลที่ตามมา
คือสง่ิ มีชีวิตขาดออกซิเจน บรรยากาศขาดความชมุ่ ชื้น ดนิ ก็จะขาดแรธ่ าตุและเสื่อมสภาพลงไปเรื่อย
ๆ เนอื่ งจากพืชมีการดดู ซึมแร่ธาตทุ ่ีอยู่ในดนิ ไปใช้ตลอดเวลา
14. ผลู้ า่ หมายถึง สัตวท์ ่ีกนิ สัตว์อ่ืนเป็นอาหาร
15. เหย่ือ หมายถึง สัตวท์ ถ่ี ูกสัตวอ์ ืน่ กนิ เป็นอาหาร
16. สถานะของสัตว์ สัตว์บางชนิดอาจมีสถานะเปน็ ทง้ั ผูล้ า่ และบางคร้ังอาจมสี ถานะ
เปน็ เหยอื่ ของสตั วช์ นดิ อ่ืนอกี ทอดหนงึ่ เชน่ แมลงเมา่ เปน็ เหยื่อของกบทีเ่ ป็นผู้ล่าจบั กนิ เปน็ อาหาร
และขณะเดียวกันกบก็อาจกลายเป็นเหย่อื ของงูซง่ึ เปน็ ผลู้ า่ อีกทอดหน่งึ ได้
17. โดยทัว่ ไปผู้ลา่ มกั จะมขี นาดของร่างกายใหญก่ ว่าเหย่ือและมคี วามแขง็ แรง
มากกวา่ เหย่ือ แต่ก็มีสัตวบ์ างชนิดท่ีมสี ถานะเป็นผูล้ ่าแตม่ ขี นาดของร่างกายเล็กกว่าเหย่ือมาก ซ่ึงใน
การลา่ แตล่ ะครั้งผ้ลู ่าเหล่านจ้ี ะต้องมีการรวมกลุ่มกันหลาย ๆ ตวั หรือต้องมีเขี้ยวเล็บทแ่ี หลมคม เชน่
ปลาปริ นั ยา มด หมาปา่ เปน็ ต้น
18. ความสมั พันธร์ ะหว่างผผู้ ลิตผู้บริโภคและผูย้ ่อยสลายสารอนิ ทรีย์ มีลักษณะ
ดังนคี้ อื ผ้ผู ลิตสามารถสร้างอาหารได้เองโดยการเปลี่ยนพลังงานแสงจากดวงอาทิตย์ เปน็ พลังงาน
เคมสี ะสมไว้ในโมเลกลุ สารอาหารเพอ่ื ใช้ในการดำรงชวี ิตและการเจริญเติบโต เม่ือผ้บู รโิ ภคกนิ ผ้ผู ลิต
เป็นอาหารจะได้รบั พลงั งานถ่ายทอดมาจากผู้ผลติ และถ่ายทอดพลังงานต่อไปสผู่ บู้ ริโภคลำดับถดั ไป
ในโซ่อาหาร โดยพลังงานทีผ่ บู้ รโิ ภคลำดบั ถัดไปไดร้ ับจะน้อยลงตามลำดบั และพลงั งานจากผผู้ ลิต
และผูบ้ ริโภคจะถ่ายทอดไปยังผยู้ ่อยสลายสารอนิ ทรยี ์ เม่ือผู้ผลิตและผบู้ ริโภคตายลง ผยู้ อ่ ยสลาย
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
340 คมู่ อื เตรยี มสอบ
สารอนิ ทรีย์จะย่อยสลายซากสงิ่ มีชีวิต ทำใหส้ ารอนิ ทรยี ์ในซากสง่ิ มชี วี ิตเปลย่ี นเป็นสารอนินทรยี ์ คอื
แร่ธาตตุ ่าง ๆ กลบั คืนสสู่ ิ่งแวดล้อม ซงึ่ ผูผ้ ลติ สามารถนำไปใชใ้ นการสรา้ งอาหารตอ่ ไปได้อกี
19. ความสัมพนั ธข์ องกลุ่มส่ิงมชี ีวติ ในแง่ที่เปน็ อาหาร แบ่งได้ 2 ประเภทคือ โซ่
อาหารและสายใยอาหาร
20. โซ่อาหาร (Food Chain)หมายถงึ การกนิ ต่อกนั เปน็ ทอด ๆ ของส่งิ มชี วี ติ และมี
การถา่ ยทอดพลังงานจากส่ิงมีชีวิตชนิดหนึง่ ไปยังสิ่งมีชีวิตอีกชนดิ หนง่ึ ตามลำดับขนั้ ของการกนิ และ
ส่วนหนงึ่ ของพลังงานจะกลบั คนื สู่สิ่งแวดล้อมในรปู พลงั งานความร้อน
21. การเขยี นโซ่อาหาร จะใชล้ กู ศรแสดงถึงการถา่ ยทอดพลังงาน และหัวลกู ศรช้ีไปยัง
สง่ิ มีชวี ิตท่ีไดร้ ับการถา่ ยทอดพลังงานมา เช่น
ตน้ ขา้ ว ตัก๊ แตน นกกระจอก เหยีย่ ว
22. ถา้ ส่งิ มีชีวติ ชนิดใดชนิดหน่ึงในหว่ งโซ่อาหารลดจำนวนลงหรือถกู ทำลายให้หมด
ไปอยา่ งรวดเร็วจะเกิดผลกระทบต่อสงิ่ มีชีวติ ชนิดอื่น ๆ คือ สิ่งมีชีวติ ที่เปน็ อาหารของส่งิ มชี วี ิตชนดิ
น้นั จะเพ่ิมปรมิ าณข้นึ อย่างรวดเรว็ และส่ิงมีชีวติ ที่เปน็ อาหารของส่ิงมีชีวติ ชนิดน้นั จะเพิม่ ปริมาณข้นึ
อยา่ งรวดเรว็ และสง่ิ มีชีวิตที่กินส่ิงมีชวี ิตชนิดนัน้ เป็นอาหารจะลดปริมาณลง เชน่ ถา้ กบลดจำนวนลง
มากจะสง่ ผลให้แมลงซ่ึงเป็นอาหารของกบมีจำนวน
เพม่ิ มากขน้ึ ทำใหอ้ าหารของแมลงลดน้อยลงดว้ ย และงทู ีก่ ินกบเปน็ อาหารมจี ำนวนลดลง
23. ประเภทของโซ่อาหาร แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ โซ่อาหารแบบผู้ล่าโซอ่ าหารแบบ
ปรสติ โซ่อาหารแบบซากอินทรยี ์ โซ่อาหารแบบผสม
24. โซอ่ าหารแบบผลู้ ่า เร่ิมต้นจากผู้ผลิตคอื พืช ผ้บู ริโภคทเี่ ปน็ ผูล้ ่า และเหยือ่ พบใน
ชุมชนมหาสมุทรหรอื ชมุ ชนป่า เชน่
สาหรา่ ย ไรนำ้ ปลา นกกระสา
ดอกไม้ แมลง กบ งู เหยีย่ ว
25. โซ่อาหารแบบปรสติ เร่ิมจากผู้ถกู อาศยั ถา่ ยทอดพลังงานไปยังปรสติ ในลำดบั ต่าง ๆ
เชน่
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 341
ควาย เหบ็ แบคทีเรยี
สุนัข หมัด แบคทีเรีย
26. โซ่อาหารแบบซากอนิ ทรยี ์ เริม่ จากพลงั งานที่สะสมในซากอนิ ทรยี ถ์ ูกถา่ ยทอดไป
ยงั ส่ิงมีชีวติ ทีก่ ินซาก และเมอ่ื สงิ่ มชี วี ติ กินซากถูกสัตวอ์ น่ื กนิ พลงั งานกจ็ ะถูกถา่ ยทอดไปตามลำดบั
หรอื อาจเร่มิ จากซากสิ่งมีชวี ติ ถกู ย่อยสลายโดยผู้ยอ่ ยสลายสารอนิ ทรีย์ แลว้ ผยู้ อ่ ยสลายสารอินทรีย์
ถูกผู้บรโิ ภคกินเปน็ อาหาร พบได้ในระบบนิเวศของป่าและพืชทอี่ ย่ใู นดิน เช่น
ซากกระต่าย นกแร้ง เสือ
ซากพชื ซากสัตว์ แบคทีเรีย แมลง นก
27. โซอ่ าหารแบบผสม ประกอบด้วยโซอ่ าหารหลาย ๆ แบบผสมกันอยใู่ นสายเดียวกนั
ซง่ึ ในแตล่ ะโซ่อาหารอาจมที ้ังแบบผลู้ ่าและแบบปรสิต เชน่
หญ้า ควาย เหลือบ นกเลก็ นกเหยยี่ ว
28. สายใยอาหาร (Food Web)หมายถึง ความสัมพันธ์ระหวา่ งโซ่อาหารหลาย ๆ โซ่
ท่ีเชอ่ื มโยงและสัมพันธก์ นั สิง่ มชี วี ิตทีเ่ ปน็ ส่วนของโซอ่ าหารหน่ึงอานเปน็ ส่วนของอีกหลาย ๆ โซ่
อาหาร ทำให้เกิดการถ่ายทอดพลังงานที่ซบั ซ้อน เช่น
เหย่ียว
งู นกกระจอก สนุ ัขบ้าน
กบ ตก๊ั แตน แมงมมุ
หนูนา
ตน้ ข้าว
29. สิง่ มีชีวติ มีความสมั พนั ธซ์ ึ่งกันและกันในเชงิ การเปน็ อาหาร โดยในธรรมชาติสว่ น
ใหญ่ เปน็ ความสัมพนั ธ์กนั แบบสายใยอาหารซ่ึงมคี วามซับซ้อนกว่าโซอ่ าหาร
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
342 คมู่ อื เตรยี มสอบ
30. ระบบนเิ วศท่สี มดุล เปน็ ระบบนเิ วศทม่ี ีจำนวนผผู้ ลิต ผู้บริโภค และผ้ยู อ่ ยสลาย
สารอนิ ทรยี ใ์ นจำนวนท่เี หมาะสม และมีสายใยอาหารที่มคี วามซบั ซ้อน ประกอบด้วยสิง่ มีชีวิตมาก
ชนดิ และส่งิ มีชวี ิตแตล่ ะชนดิ กนิ อาหารไดห้ ลายชนิด
31. ระบบนิเวศที่ประกอบดว้ ยสง่ิ มชี วี ิตน้อยชนดิ สายใยอาหารจะไม่ซบั ซ้อน จึง
รักษาสมดุลไดย้ าก เมื่อจำนวนสิ่งมชี วี ติ บางชนดิ เปล่ียนแปลงสงิ่ มชี วี ิตทเ่ี กี่ยวขอ้ งเองจึงมีแนวโนม้ ที่
จะไดร้ บั ผลกระทบอยา่ งรนุ แรงจนถึงขน้ึ สูญพันธ์ไุ ปจากระบบนิเวศนั้นได้
32. การถา่ ยทอดพลังงานในรูปสารอาหารจากผูผ้ ลติ ไปยงั ผบู้ ริโภคลำดับตา่ ง ๆ โดย
การกินต่อกนั เป็นทอด ๆ ในทกุ ๆ จุดทีม่ ีการถ่ายทอดพลังงานจะมีการสูญเสยี พลังงานสะสมไป 80-
90% เน่ืองจากผบู้ ริโภคแตล่ ะชนิดไมส่ ามารถกนิ พชื หรือสัตว์ทเี่ ป็นอาหารไดห้ มดทุกส่วนและบางคร้ัง
อาหารท่ีกินเขา้ ไปร่างกายก็ไม่สามารถย่อยไดท้ ุกชนดิ นอกจากน้ียังมีพลังงานส่วนหนึ่งถูกถา่ ยโอน
ไปส่สู ิ่งแวดลอ้ ม ในรูปพลงั งานความร้อนอีกด้วย ดังนั้นจึงมีพลังงานเพียง 10-20% เทา่ นั้นท่ี
สามารถถา่ ยทอดไปใช้ประโยชนไ์ ด้
33. การถ่ายทอดพลงั งานในโซ่อาหาร โซอ่ าหารยิ่งสนั้ เท่าไรหรอื ย่ิงใกล้ผูผ้ ลติ เท่าไรก็
จะยงิ่ มีพลงั งานเหลอื อยมู่ าเท่านนั้
34. กลมุ่ สิ่งมชี ีวิตชนิดต่าง ๆ ท่ีอาศยั อยใู่ นแหลง่ ท่ีอยูเ่ ดยี วกนั ในระยะเวลาหนง่ึ จะมี
ความสัมพันธก์ นั หลายรปู แบบ มที ้งั ความสมั พันธร์ ะหว่างส่ิงมีชวี ติ ชนิดเดยี วกัน และความสัมพันธ์
ระหว่างส่งิ มีชีวติ ต่างชนิดกัน
35. ความสัมพันธ์แบบภาวะอิงอาศัย (Commensalism)ใช้สัญลักษณ์+ 0 เป็น
ความสัมพนั ธ์ของสิง่ มชี วี ิตท่ีอยรู่ ่วมกนั โดยฝา่ ยหนง่ึ ไดร้ ับประโยชน์ส่วนอีกฝา่ ยไม่ได้และไมเ่ สีย
ประโยชน์ และหากแยกกนั อยูต่ ่างฝา่ ยกย็ งั สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ
36. สง่ิ มีชีวติ ที่มีความสัมพันธ์กันแบบภาวะอิงอาศัย เช่น
1) ปลาฉลามกับเหาฉลาม โดยเหาฉลามจะเกาะปลาฉลามไปตามท่ตี ่าง ๆ เพอื่ กนิ เศษ
อาหารจากปลาฉลามส่วนปลาฉลามไม่เสยี ประโยชนแ์ ตก่ ็ไมไ่ ดป้ ระโยชน์
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 343
2) พลูด่างหรือกล้วยไม้กับต้นไมใ้ หญ่ พลูดา่ งและกล้วยไม้จะอาศัยอย่บู นตน้ ไม้โดยเกาะท่ี
บรเิ วณเปลือกไม้ดดู ซมึ นำ้ และแรธ่ าตจุ ากเปลือก แตไ่ ม่ไดช้ อนไชรากเข้าไปในเนื้อไม้ ส่วนตน้ ไม้ใหญ่ก้
ไมเ่ สียประโยชนอ์ นั ใด
37. ความสมั พนั ธ์แบบภาวะปรสิต (Parasitism)ใช้สัญลักษณ์ + - เป็นความสมั พนั ธ์
ของสิง่ มีชวี ิตทีอ่ ย่รู ่วมกันโดยท่ีฝ่ายหน่ึงไดร้ ับประโยชน์ แตอ่ ีกฝา่ ยเสยี ประโยชน์ ฝา่ ยท่ไี ด้ประโยชน์
คือ ผู้อาศยั หรอื ปรสิต และฝา่ ยที่เสียประโยชน์คือ ผูใ้ ห้อาศัยหรอื ผูถ้ กู อาศัย ความสมั พนั ธ์แบบน้ี
แบง่ เปน็ 2 แบบ คือ
1) ปรสิตภายใน เปน็ ปรสิตที่อาศยั อยู่ภายในรา่ งกายของผู้ถกู อาศยั เชน่ พยาธิต่าง ๆ โดย
พยาธจิ ะอาศยั อยใู่ นร่างกายของมนุษย์หรอื สัตว์ คอยดดู กินอาหารทีย่ ่อยแลว้ ทำให้มนุษย์และสตั ว์
ไดร้ ับอาหารไม่เพียงพอ และอาจกอ่ ให้เกดิ โรคได้ดว้ ย
2) ปรสติ ภายนอก เปน็ ปรสติ ที่อาศัยอยภู่ ายนอกรา่ งกายของผ้ถู กู อาศัยบางชนิดอาจเกาะ
อยู่กบั ผู้ถูกอาศยั ตลอดเวลา เช่น เหา เหบ็ หมัด กาฝาก และบางชนิดอาจเกาะกินเพยี งชั่วคราว
เทา่ นั้น เช่น ยุง เหลือบ ปลิง ทาก ดูดเลือด
38. ความสัมพันธแ์ บบการไดป้ ระโยชน์รว่ มกนั (Protocooperation)ใชส้ ญั ลกั ษณ์
+ + เปน็ ความสัมพนั ธท์ ี่ส่งิ มชี ีวติ ทง้ั สองฝ่ายตา่ งได้ประโยชนด์ ้วยกันทัง้ คู่ ส่ิงมีชวี ิตท้งั สองสามารถ
แยกกนั อยไู่ ด้โดยไมม่ ีฝ่ายใดได้รบั ความเสยี หาย
39. สิ่งมีชวี ติ ที่มคี วามสัมพนั ธ์แบบการได้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น
1) ผ้ึงกบั ดอกไม้ ผ้งึ จะดูดน้ำหวานจากดอกไมเ้ ป็นอาหารส่วนดอกไมอ้ าศัยแมลงชว่ ยถ่าย
ละอองเรณใู ห้
2) ควายกบั นกเอี้ยง นกเอ้ยี งไดเ้ ห็บและแมลงท่ีอยู่บนตัวควายเป็นอาหาร ควายได้
ประโยชน์เพราะนกเอ้ยี งช่วยกำจดั ปรสิต
3) ดอกไมท้ ะเลกับปลาการต์ ูน ปลาการต์ ูนจะอาศัยดอกไม้ทะเลเป็นท่ีหลบซ่อนภยั จากศัตรู
สว่ นดอกไมท้ ะเลจะได้อาหารชนิ้ เล็กชิน้ นอ้ ยทเ่ี หลอื จากปลาการ์ตนู เปน็ อาหาร
40. ความสมั พันธ์แบบภาวะพึ่งพากัน (Mutualism)ใชส้ ญั ลักษณ์ + + เปน็ การอยู่
ร่วมกันของสง่ิ มชี ีวติ แบบไดป้ ระโยชน์ร่วมกนั ทั้งสองฝา่ ย การเจริญหรือการอยู่รอดของส่ิงมีชีวิตทั้ง
สองจะข้ึนแก่กันแลกนั ขาดชนดิ ใดชนิดหน่ึงไม่ได้ และสง่ิ มีชวี ติ ทง้ั สองจะต้องอยู่รว่ มกันตลอดเวลา
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
344 คมู่ อื เตรยี มสอบ
41. สิ่งมีชีวิตที่มคี วามสัมพันธแ์ บบภาวะพึ่งพากนั เช่น
1) รากบั สาหรา่ ย หรอื เรยี กว่าไลเคน ราช่วยดดู ซับความชื้นได้อาหารและท่ีอยู่อาศยั จาก
สาหร่าย ส่วนสาหรา่ ยสามารถสังเคราะห์ด้วยแสงเพ่ือสร้างอาหารมาใช้ในการดำรงชีวติ ได้โดยไดร้ ับ
ความช้นื และแก๊สคารบ์ อนไดออกไซดจ์ ากรา
2) แบคทีเรียไรโซเบยี มในปมรากพชื ตระกูลถ่วั แบคทเี รียไดท้ ี่อยู่อาศัยและสามารถเปลย่ี น
ไนโตรเจนในอากาศใหเ้ ป็นสารประกอบไนโตรเจนทเ่ี ปน็ ประโยชนต์ ่อท้งั แบคทเี รียและถวั่
3) โปรโตซวั (trichonympha) ในลำไส้ปลวกโปรโตซัวสามารถย่อยเน้ือไมซ้ ่งึ เป็นสารพวก
เซลลูโลสได้ ทำให้ปลวกกินเน้ือไม้เปน็ อาหารได้ สว่ นโปรโตซวั ได้อาหารจากการย่อยนัน้ และไดท้ ี่อยู่
อาศัย
42. ความสมั พนั ธ์แบบภาวะมกี ารแข่งขนั้ (Compettition)ใช้สญั ลักษณ์ - - เป็น
ความสัมพันธข์ องสิ่งมชี ีวติ ท่ีอย่บู นรปู แบบของการแข่งขนั เพอ่ื แย่งชงิ สิ่งทตี่ ้องการเหมือนกนั พบได้ท้ัง
ในสิง่ มีชวี ิตชนิดเดียวกัน และสงิ่ มีชวี ติ ต่างชนิดกัน การอย่รู ว่ มกนั แบบน้ถี ือว่าเสียประโยชน์ด้วยกนั ทงั้
สองฝ่าย
1) ผักตบชวาทขี่ นึ้ อยอู่ ย่างหนาแน่นในบริเวณเดยี วกนั จะแยง่ ที่อยู่อาศัยกัน
2) เสือกับสิงโต เป็นสตั วก์ ินเน้ือทง้ั คู่ จะแย่งอาณาเขตและอาหารประเภทเนื้อสตั วก์ นั
44. ความสมั พนั ธ์แบบการลา่ เหย่อื (Predation)ใชส้ ญั ลกั ษณ์ + - เป็นความสมั พนั ธ์
ของสง่ิ มีชวี ติ ในลักษณะของการลา่ เหยื่อ ผ้ลู า่ เปน็ ฝา่ ยไดป้ ระโยชน์ สว่ นเหยื่อหรือผ้ถู กู ลา่ เสีย
ประโยชน์
45. สิ่งมีชวี ิตท่ีมคี วามสัมพันธ์แบบการลา่ เหย่อื เช่น
1) เสือกับวัว เสอื ไดป้ ระโยชนโ์ ดยลา่ วัวจบั กนิ เป็นอาหร สว่ นวัวกลายเป็นอาหารของเสือจงึ
เสียประโยชน์
2) นกอินทรียก์ บั ปลาทะเล นกอนิ ทรีกินปลาเป็นอาหารจึงไดป้ ระโยชน์
46. ความสมั พันธแ์ บบการได้ประโยชน์ร่วมกันและความสัมพนั ธแ์ บบภาวะพ่งึ พากัน
เหมอื นกนั ตรงทสี่ ่ิงมชี วี ติ เหลา่ นนั้ ตา่ งไดป้ ระโยชนด์ ้วยกันทั้งสองฝา่ ย และแตกต่างกันตรงที่
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 345
ความสัมพันธแ์ บบการได้ประโยชน์ร่วมกัน เป็นความสัมพันธ์ของส่งิ มชี ีวิตสองชนดิ โดยไม่จำเปน็ ต้อง
อยูร่ ่วมกันตลอดเวลา ส่วนความสมั พนั ธ์แบบภาวะพง่ึ พากันเปน็ ความสมั พนั ธ์ของสิ่งมีชวี ติ สองชนดิ ท่ี
ตอ้ งอยู่รว่ มกันตลอดเวลาไมส่ ามารถแยกจากกนั ได้ ถา้ แยกจากกนั สิ่งมีชวี ิตแต่ละชนดิ นนั้ จะไม่
สามารถดำรงชวี ติ อยู่ได้
47. ความสมั พันธแ์ บบตา่ ง ๆ ของสงิ่ มีชีวติ ในระบบนิเวศมีความสำคญั ตอ่ ระบบ
นิเวศ คือ ทำใหส้ ่ิงมีชวี ติ อย่รู ่วมกันในระบบนิเวศไดแ้ ละทำใหร้ ะบบนิเวศมีความสมดุล นั่นคอื ผูผ้ ลิต
ผู้บรโิ ภค และผู้ยอ่ ยสลายสารอินทรยี ใ์ นระบบนิเวศมีจำนวนเหมาะสม
48. วฏั จักรของสาร หมายถงึ การหมนุ เวียนของสารที่มอี ยู่ในธรรมชาติกบั ส่งิ มชี ีวติ
โดยสารจากธรรมชาติจะเข้าสู่ส่งิ มีชวี ติ และสารจากสงิ่ มีชีวิตกลับคืนสูธ่ รรมชาติ และสามารถนำกลับ
เขา้ สู่สิ่งมชี ีวติ ใหม่ได้อีก
49. วัฏจกั รของสารแตกต่างจากการถ่ายทอดพลังงาน คือ วัฏจักรของสารมีการ
หมนุ เวยี นสารเป็นวฏั จกั รคอื มีการเปลีย่ นแปลงของสารต่อเน่ืองกันเปน็ วงจร สว่ นการถ่ายทอด
พลังงานมีการถา่ ยทอดพลังงานไปทางเดยี วไมม่ ีการหมุนเวียนเป็นวฏั จกั ร และแต่ละลำดับขน้ั น้นั มี
พลงั งานบางส่วนสูญเสียไปในรปู ของพลังงานความรอ้ น
50. นำ้ เป็นสิง่ จำเปน็ ตอ่ สง่ิ มีชวี ิตทุกชนิดบนโลกเปน็ ตวั กลางของกระบวนการต่าง ๆ ใน
สิง่ มชี วี ติ เปน็ แหล่งท่ีอยู่อาศัยและแหล่งอาหารของสตั วน์ ้ำจำเป็นต่อกจิ กรรมตา่ ง ๆ ในชีวติ ประจำวนั
ของมนุษย์
51. วฏั จักรของนำ้ เกิดจากนำ้ จากแหล่งตา่ ง ๆ เช่น ทะเล แม่น้ำ น้ำจากการคายนำ้
ของพืช และน้ำจากการหายใจของสงิ่ มีชวี ติ ระเหยกลายเป็นไอออกสบู่ รรยากาศ เม่ือไอนำ้ ลอยตวั
สงู ขึ้นและมีความชื้นมากข้นึ จะรวมตัวกันเป็นเมฆแล้วตกลงมาเปน็ ฝนกลบั คืนสู่พ้ืนโลก น้ำส่วนใหญ่
จะไหลลงสู่แหลง่ น้ำต่าง ๆ และมีบางส่วนซึมลงสู่ใตด้ นิ พืชสามารถดดู ซึมมาใชใ้ นการสงั เคราะหด์ ้วย
แสงได้ สำหรับสตั วไ์ ด้รบั นำ้ โดยตรงจากแหล่งน้ำและจากการกนิ พชื เป็นอาหาร นำ้ จากแหล่งนำ้ และ
ส่งิ มีชวี ติ จะกลับเขา้ สู่บรรยากาศในรปู ของไอนำ้ อีก ไดแ้ ก่ การคายน้ำ เกดิ เปน็ วงจรซ้ำ ๆ อยูเ่ ชน่ นี้
เร่ือย ๆ
52. วัฏจกั รของนำ้ เกย่ี วข้องกบั กระบวนการทางกายภาพ ไดแ้ ก่ การระเหย การ
ควบแนน่ การตกของหยาดน้ำฟา้ และกระบวนการท่เี กดิ ขึ้นในส่งิ มีชีวติ ได้แก่ การคายน้ำ การ
หายใจ การขับถ่าย
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
346 คมู่ อื เตรยี มสอบ
53. ถ้าไมม่ ีวัฏจกั รนำ้ น้ำอาจหมดสน้ิ ไปจากโลก สิง่ มีชวี ิตจะตายหมดเพราะน้ำเปน็
สง่ิ จำเปน็ ในกระบวนการตา่ ง ๆ เพอ่ื การดำรงชวี ิตของสิ่งมชี ีวติ ทกุ ชนดิ
54. คารบ์ อน มีแหลง่ สะสมที่สำคัญอยูใ่ นบรรยากาศซ่ึงมีอยปู่ ระมาณ 0.03% ในสภาพ
ของแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ คาร์บอนเป็นองคป์ ระกอบสำคัญอยา่ งหนึ่งของสารอนิ ทรีย์ในส่ิงมชี ีวติ
พืชใช้แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ในบรรยากาศในกระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง มนุษย์และสัตวไ์ ดร้ ับ
สารอาหารท่มี ีคารบ์ อนเป็นองค์ประกอบโดยการกนิ อาหารและมีการถา่ ยทอดไปตามโซ่อาหาร ผยู้ อ่ ย
สลายสารอินทรยี ์ไดร้ ับสารท่ีมีคาร์บอนจากการดูดซึมสารอินทรยี ์ที่ยอ่ ยสลายแล้ว
55. คารบ์ อนในบรรยากาศ ได้มาจากการหายใจของพชื สตั ว์ มนุษย์ และผู้ยอ่ ยสลาย
สารอนิ ทรีย์ นอกจากน้ยี ังไดม้ าจากการเผาไหมข้ องเชื้อเพลงตา่ ง ๆ จากยานพาหนะและจากโรงงาน
อุตสาหกรรม
56. วัฏจกั รคาร์บอน เกดิ จากพืชใชแ้ กส๊ คารบ์ อนไดออกไซดใ์ นบรรยากาศในการสร้าง
อาหารที่มีคารบ์ อนเปน็ องค์ประกอบโดยกระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสง เมื่อมกี ารกินต่อกันเป็นทอด
ๆ ในโซอ่ าหาร จงึ มีการถ่ายทอดคาร์บอนไปยังสตั ว์ และมนุษย์ ท้งั พชื สัตว์ และมนุษยใ์ ช้พลังงาน
จากการเผาผลาญอาหารในการดำรงชีวิตและการเจริญเติบโต การเผาผลาญอาหารมีแก๊ส
คารบ์ อนไดออกไซด์เกิดขนึ้ ซึ่งจะถกู ปล่อยออกสบู่ รรยากาศ และเม่ือสิง่ มชี วี ติ ตายลงจะถกู ผูย้ ่อย
สลายสารอินทรีย์เปลย่ี นสารประกอบอินทรีย์ส่วนใหญ่ท่มี ีอยูใ่ นซากใหเ้ ปน็ แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์
กลบั สบู่ รรยากาศอีกคร้ัง จากนัน้ พชื จะนำแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดก์ ลบั สบู่ รรยากาศอกี ครัง้ จากน้นั
พชื จะนำแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์มาใชใ้ นกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงอีก เกิดเป็นวงจรซ้ำ ๆ
เชน่ นอี้ ีก
57. กจิ กรรมของมนุษย์ที่ส่งผลใหม้ ีปริมาณแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดใ์ นบรรยากาศ
เพม่ิ มากขึ้น ได้แก่การเผาไหม้เชอื้ เพลิงในการหงุ ต้มอาหารการเผาไหม้ของเชือ้ เพลิงจากยานพาหนะ
และโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ การตัดต้นไม้ทำลายปา่ การเผาป่า เมื่อปริมาณแกส๊
คาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศเพิม่ มากขึ้นจะสง่ ผลให้อุณหภมู โิ ดยเฉล่ยี ของโลกสูงขึน้
58. ภาวะโลกรอ้ นหรือภาวะท่ีอุณหภูมิของโลกสงู ขึ้น เกดิ จากในบรรยากาศมีปริมาณ
แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์เพม่ิ มากขนึ้ จากปกติ ซึง่ เกดิ จากกิจกรรมของมนุษย์ เม่ือพลงั งานความร้อน
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 347
จากการแผร่ งั สีของดวงอาทิตยส์ ่องผ่านบรรยากาศมายังผิวโลก ชน้ั บรรยากาศจงึ ดดู พลังงานไว้มาก
ขน้ึ และคายความร้อนกลับสูบ่ รรยากาศมากขน้ึ ส่งผลให้อุณหภมู ิของโลกสงู ขน้ึ ด้วย
59. การทอี่ ณุ หภูมิของโลกสงู ขึ้นจะส่งผลกระทบต่อส่ิงมีชีวิตและโลกทำใหห้ มิ ะและ
น้ำแข็งบริเวณขวั้ โลกหลอมละลายมากขึ้น ส่งผลใหร้ ะดับนำ้ ทะเลสงู ขน้ึ พ้ืนทที่ ่ีอยใู่ นระดับตำ่ จะเกิด
น้ำท่วม พื้นท่ีการเกษตร แหล่งขยายพนั ธสุ์ ัตวน์ ำ้ ตามชายฝ่งั จะถกู ทำลาย ภาวะความแหง้ แล้งของ
โลกจะทวคี วามรุนแรงมากข้ึน นอกจากนีย้ ังทำให้อากาศแปรปรวน ปริมาณฝนหรือหิมะที่ตกในเขต
ภมู ิศาสตรต์ า่ ง ๆ ของโลกจะเปลย่ี นไป ทำใหม้ ผี ลกระทบต่อการดำรงชวี ติ ของสิง่ มชี วี ิตในแตล่ ะ
บริเวณดว้ ย
60. การแกป้ ัญหาวะโลกร้อน ทำได้โดย ลดอตั ราการใชเ้ ชอ้ื เพลงิ ที่กอ่ ใหเ้ กดิ แก๊ส
คารบ์ อนไดออกไซด์ รณรงค์ให้ประชาชนชว่ ยกันปลกู ต้นไม้เพ่ิมมากขน้ึ เพราะต้นไมจ้ ะดูดแกส๊
คาร์บอนไดออกไซด์มาใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสงเป็นการช่วยลดปรมิ าณแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์
ในบรรยากาศลง สนบั สนนุ ให้ใชพ้ ลงั งานจากแหลง่ อน่ื ๆ ทดแทนพลงั งานจากเช้ือเพลงิ ฟอสซลิ เช่น
พลงั งานจากแสงอาทิตย์ น้ำ และลม เปน็ ต้น
61. ไนโตรเจนพบในบรรยากาศประมาณ 78% มปี ระโยชนช์ ว่ ยทำใหบ้ รรยากาศเจอื
จางเหมาะสำหรบั การหายใจของสงิ่ มีชีวติ เปน็ ธาตสุ ำคัญท่ีพชื ต้องการในปริมาณมาก ส่วนสตั วจ์ ะ
ไดร้ บั โดยการถา่ ยทอดมาตามโซ่อาหาร
62. วฏั จักรไนโตรเจน เกิดจากแบคทีเรียไรโซเบียมในปมรากพชื ตระกูลถั่ว ตรึง
ไนโตรเจนในอากาศและในดินมาแล้วเปลี่ยนไนโตรเจนใหเ้ ป็นสารประกอบไนโตรเจน ได้แก่ ไนเตรต
และเกลือแอมโมเนยี ท่ีมสี มบัตลิ ะลายน้ำได้ จากนน้ั พชื จะดูดซึมสารประกอบไนโตรเจนนี้เพ่อื นำมา
สังเคราะห์เป็นโปรตนี นอกจากน้ีส่ิงมชี วี ิตในนำ้ เช่น สาหรา่ ยสีเขียมแกมน้ำเงิน และแอนาบีนาที่อยู่
รว่ มกบั แหนแดงก็สามารถตรึงโตรเจนจากอากาศและเปลยี่ นให้เป็นสารประกอบไนโตรเจนท่มี ี
ประโยชนต์ ่อพชื ไดเ้ ช่นกัน
63. ฟอสฟอรัส เป็นแร่ธาตุที่มีความจำเปน็ ตอ่ การเจริญเติบโตของสง่ิ มชี ีวติ และการ
ผลผลิตของพืช
64. วฏั จกั รฟอสฟอรัส เกิดจากฟอสฟอรัสทอ่ี ยู่ในลกั ษณะของหนิ ถูกกดั กรอ่ นโดยนำ้
และลม ปะปนอยใู่ นดินแลว้ ถูกน้ำชะล้างให้อยใู่ นรูปทลี่ ะลายน้ำได้ พชื สามารถนำไปใชแ้ ละถา่ ยทอด
ไปตามโซ่อาหารได้ เมอ่ื สิง่ มชี วี ติ ตายลงก็จะถูกแบคทเี รียย่อยสลายใหก้ ลายเปน็ ฟอสเฟตท่ลี ะลายน้ำ
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
348 คมู่ อื เตรยี มสอบ
ไดแ้ ละถูกชะล้างพดั พาลงสู่ทะเล มหาสมุทร ปะปนอยู่ในดินตะกอน ถูกสงิ่ มีชวี ติ เล็ก ๆ ในนำ้ นำมาใช้
แลว้ ถ่ายทอดไปตามโซ่อาหาร
65. วฏั จักรกำมะถัน เกดิ จากกำมะถนั ในซากส่งิ มชี วี ิตบางส่วนทีถ่ กู สะสมและตรึงไวใ้ น
ถ่านหนิ และนำ้ มันปโิ ตรเลยี ม เม่อื มีการนำมาใชเ้ ป็นเช้ือเพลงิ โดยการเผาไหมจ้ ะไดแ้ ก๊สซัลเฟอร์ได
ออกไซด์ออกมาสะสมอยู่ในบรรยากาศเม่ือมีฝนตกจะชะล้างซัลเฟอร์ไดออกไซดใ์ นบรรยากาศ เกดิ
เป็นฝนกรดตกลงสู่พ้ืนดนิ อีกครั้ง
66. ภาวะสมดลุ คอื ระบบนเิ วศที่มกี ารเปลยี่ นแปลงขององคป์ ระกอบและ
ความสัมพนั ธข์ องสงิ่ มชี ีวิตกับสง่ิ ไมม่ ีชีวิตเป็นไปอย่างเหมาะสม ถา้ มสี ิ่งรบกวนท่ีทำใหป้ ริมาณ
สัดสว่ น และการกระจายของผผู้ ลิต ผบู้ รโิ ภคและผู้ยอ่ ยสลายสารอนิ ทรยี ์เปลี่ยนแปลงไม่มาก ระบบ
นเิ วศก็จะปรบั ตวั สสู่ มดุลไดอ้ ีก แต่ถ้ามกี ารรบกวนรุนแรงเกนิ กวา่ ท่จี ะปรับตัว เช่น ไฟไหมป้ ่าเปน็
บริเวณกว้าง พืชและสัตวล์ ม้ ตายจำนวนมาก ระบบนเิ วศนั้นกจ็ ะถูกทำลาย
67. ชีวภาค คอื ระบบท่ีรวมความสัมพันธร์ ะหว่างส่งิ มีชีวติ ทุกชนดิ บนโลกและระหวา่ ง
สง่ิ มชี ีวิตกับสารตา่ ง ๆ ทห่ี มุนเวียน ตลอดจนพลงั งานท่ีถ่ายทอดในระบบนเิ วศ
68. ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity)หมายถึง ความหลากหลายของ
สง่ิ มีชีวิตท่ีดำรงชีวติ อยูใ่ นแหล่งทีอ่ ยู่เดียวกันหรือแตกต่างกันแบ่งเปน็ 3 ระดับ ได้แก่ ความ
หลากหลายของระบบนิเวศ ความหลายกหลายของชนดิ สง่ิ มชี วี ติ และความหลากหลายทาง
พนั ธกุ รรม ซง่ึ ทั้งสามระดบั มคี วามสมั พนั ธก์ นั และไมส่ ามารถแยกออกจากกันได้ การเปล่ียนแปลงท่ี
ระดับใดระดับหน่ึงจะสง่ ผลตอ่ การเปล่ียนแปลงระดับอ่ืนด้วย
69. ความหลากหลายของชนดิ สิ่งมีชีวติ หมายถึง ความหลากหลายของชนิดสง่ิ มชี ีวิต
ทมี่ อี ยู่ในพนื้ ทหี่ นึ่ง แบง่ เป็น 2 ประเภท คือ
1) ความมากชนิด หมายถึง จำนวนชนดิ ของสิ่งมชี ีวติ ต่อหนว่ ยพนื้ ท่ี เช่น ป่าดิบช้นื จะมี
ความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวติ มากกวา่ ป่าเต็งรัง
2) ความสมำ่ เสมอของชนดิ หมายถงึ สดั ส่วนของสงิ่ มีชีวิตชนดิ ตา่ ง ๆ ทม่ี อี ยู่ในพ้นื ทนี่ นั้
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 349
70. ความหลากหลายทางพันธุกรรม หมายถึง ความหลากหลายของยีน (Gene) ที่มี
อย่ใู นสิง่ มีชวี ิตแต่ละชนิด ซงึ่ ยีนจะควบคมุ การแสดงออกของลกั ษณะตา่ ง ๆ ของสง่ิ มชี วี ติ ทำให้มี
ลักษณะแตกต่างกนั ไป
71. ความหลากหลายของระบบนเิ วศ มี 3 ประเภท คือ
1) ความหลากหลายของถน่ิ กำเนดิ ตามธรรมชาติ ทีใ่ ดมีถ่ินกำเนดิ ตามธรรมชาติ
หลากหลายทนี่ นั่ กจ็ ะมีชนดิ สิง่ มีชีวิตหลากหลายด้วย
2) ความหลากหลายของการทดแทน ในป่าจะมีการเกดิ ทดแทนกนั ของพชื กระบวนการ
ทดแทนจะก่อใหเ้ กิดความหลากหลายขงสงิ่ มีชวี ติ
3) ความหลากหลายของภูมิประเทศ ในพนื้ ท่ีเขตร้อนจะมีความหลากหลายของภมู ิ
ประเทศมากกวา่ พืน้ ทเี่ ขตหนาว
72. ประโยชน์ของความหลากหลายทางชีวภาพ
1) ประโยชนท์ างตรง เป็นแหลง่ ท่ีมรของปัจจัยพนื้ ฐานทสี่ ำคัญในการดำรงชวี ิตของมนุษย์
เช่น ส่วนตา่ ง ๆ ของตน้ ไมน้ ำมาทำที่อยอู่ าศัยพืชและสตั ว์นำมาประกอบอาหารทำเคร่ืองนมุ่ ห่ม
สง่ิ ของเคร่อื งใชเ้ ช้อื เพลิงและพชื บางชนิดเปน็ สมนุ ไพรสามารถนำมาสกดั เปน็ ยารกั ษาโรคได้
2) ประโยชนท์ างอ้อม เช่น เปน็ แหลง่ ทีอ่ ยู่อาศยั และเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ป่าซง่ึ สตั ว์ก็
เป็นอาหารของมนุษยอ์ ีกต่อหน่ึง และทำให้ระบบนิเวศมคี วามสมดุล
73. การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพให้ยัง่ ยนื มวี ธิ ีปฏบิ ัติ คือ รว่ มกันอนรุ ักษ์
ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมไว้ โดยช่วยกนั อนรุ ักษพ์ ันธ์ุพืชและสัตว์ท่ีหายากหรือใกล้สญู พนั ธ์ุ
ไว้ และรว่ มกันต่อต้านการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ธรรมชาติท่ที ำลายระบบนิเวศทมี่ ีความหลากหลาย
ของชนิดส่งิ มชี วี ิตมาก
74. ประชากร (Population)หมายถงึ กลุ่มสง่ิ มชี วี ิตชนดิ เดียวกนั ทีอ่ าศัยอย่รู ว่ มกนั ใน
บริเวณเดยี วกนั ในชว่ งเวลาใดเวลาหน่ึง การกล่าวถงึ ประชากรจะต้องระบุชนิดสง่ิ มีชีวิต แหลง่ ทอ่ี ยู่
และช่วงเวลาใหช้ ดั เจน ดังนี้
ประชากร = ส่งิ มีชวี ติ ชนิดเดียวกัน + สถานท่ี + เวลา
75. ความหนาแนน่ ของประชากร คือ สดั สว่ นระหว่างจำนวนประชากรท้ังหมดที่อาศัย
อยใู่ นบรเิ วณหน่ึงกบั พน้ื ท่หี รอื ปรมิ าตรท่ปี ระชากรเหลา่ นน้ั อาศยั อยู่
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
350 ค่มู อื เตรยี มสอบ
76. หน่วยของความหนาแนน่
1) ใช้หน่วยพืน้ ทถี่ ้าประชากรอย่บู นพ้ืนดินหรือผิวนำ้ เชน่ ประชากรแมว สนุ ขั ตน้ มะมว่ ง
ผกั ตบชวา จอก แหน
2) ใช้หนว่ ยปรมิ าตรถา้ ประชากรอยใู่ นนำ้ เชน่ ประชากรปลา หอย กุ้ง
77. การหาความหนาแนน่ ของประชากร ทำได้ 2 วิธี คอื 1) การหาความหนาแน่นท่ี
แท้จรงิ 2) การหาความหนาแนน่ สมั พัทธ์
78. การหาความหนาแนน่ ท่ีแทจ้ รงิ ของประชากร ทำไดโ้ ดย
1) การนบั จำนวนประชากรท้งั หมด เป็นการหาความหนาแน่นของประชากรที่มีอย่ทู ง้ั หมด
ในพ้นื ทีใ่ ดพ้นื ทหี่ นง่ึ ท่มี ีขนาดไม่กวา้ งนัก
2) การสุ่มตวั อยา่ ง เปน็ การหาความหนาแนน่ ของประชากรในพ้ืนทใ่ี ดพ้นื ที่หนึง่ โดยเก็บ
ตวั อยา่ งมาแบบสุ่มแลว้ นบั จำนวนตวั อย่างทัง้ หมดซ่งึ มีจำนวนเพยี งเลก็ นอ้ ยจากประชากรทงั้ หมดท่ีมี
จำนวนมาก ๆ อยู่ในพืน้ ทนี่ ั้นจากน้นั นำมาคำนวณหาความหนาแน่นของประชากรทัง้ หมด
79. การเก็บตวั อย่างแบบสุ่ม ทนี่ ิยมใช้มี 2 วิธี คอื
1) การใช้กรอบนบั ประชากร นิยมใชเ้ ก็บตวั อยา่ งประชากรท่ไี มเ่ คลอื่ นท่ีหรือเคลื่อนทชี่ า้ ทำ
ไดโ้ ดยการสมุ่ วางกรอบนับประชากรทม่ี ลี ักษณะเป็นรูปสีเ่ หลย่ี มจัตุรสั ลงบนพื้นท่ีท่ีกำหนดไวห้ ลาย ๆ
จดุ และนับจนวนประชากรสิ่งมีชีวติ ทตี่ อ้ งการศึกษาท่ีอยู่ในกรอบ แล้วนำมาหาคา่ เฉลีย่ จำนวน
ประชากรต่อพน้ื ที่ ดงั นี้
2) การทำเคร่อื งหมายติดปล่อยไปแล้วจับมาใหม่นยิ มใช้กับสัตว์โดยสุ่มจับตัวอย่างสัตว์มา
ติดเครื่องหมายไว้ แล้วปลอ่ ยกลับไปยังแหลง่ ที่อยู่อาศัย ท้ิงไวส้ กั ระยะแลว้ ส่มุ จับสตั ว์กลบั มาอีกครงั้
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์