The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แนวข้อสอบเอกวิทยาศาสตร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by maruding.pe, 2021-03-18 04:32:24

แนวข้อสอบเอกวิทยาศาสตร์

แนวข้อสอบเอกวิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 201

แถบสที ี่ 1 2 3 4
แดง เงิน
สี เหลือง ดำ

คา่ ประจำแถบสี 4 0

แทนค่าได้ดังนี้ 40 x = 4,000 400 โอห์ม

ตวั ตา้ นทานนม้ี ีค่าอยู่ระหวา่ ง 3,600 โอห์ม และ 4,000 โอห์ม

50. ตวั ตา้ นทานแปรค่าได้ (Variable Resistor)มีสญั ลักษณใ์ นวงจรน้ี

ประกอบด้วยแถบความต้านทานซึ่งอาจทำดว้ ยแกรไฟ หรอื ลวด สามารถเปลี่ยนค่าความต้านทาน

ได้ด้วยการหมุนหรือเลอ่ื นปุ่มปรบั คา่ เพ่ือเพิม่ หรอื ลดคา่ ความตา้ นทานที่ตอ้ งการ เช่น ป่มุ ควบคุม

ความดงั ของวทิ ยุ

51. ตวั ตา้ นทานแปรค่าทีท่ ำหนา้ ท่ีควบคมุ กระแสไฟฟ้าในวงจร เรียกว่า ตัวควบคุม

กระแส

52. ตวั ควบคุมกระแส เป็นช้นิ สว่ นอเิ ลก็ ทรอนิกส์ และเปน็ ส่วนประกบสำคัญของ

เครือ่ งวัดบางชนิด เชน่ โอหม์ มิเตอร์และเครื่องวดั ปริมาณน้ำมัน เป็นตน้

53. ตัวตา้ นทานไวความรอ้ น (Thermistor)คือ เป็นตัวต้านทานที่มีค่าความต้านทาน

เปล่ยี นแปลงไปตามอุณหภมู ิ มี 2 ชนดิ คือ

1) ตัวตา้ นทานไวความร้อนที่แปรผันตรงกับอุณหภูมิ ถา้ อุณหภมู ิสงู ข้ึนค่าความตา้ นทานก็

จะเพิ่มสูงข้นึ แต่ถ้าอุณหภมู ลิ ดต่ำลง ค่าความตา้ นทานก็จะลดลง เชน่ ตวั ต้านทานในเครอ่ื งเตือน

อัคคีภยั เปน็ ตน้

2) ตัวต้านทานไวความร้อนท่ีแปรผกผันกับอุณหภมู ิ ถา้ อุณหภมู สิ งู ขนึ้ ค่าความตา้ นทานจะ

ลดตำ่ ลง และถา้ อุณหภมู ิลดต่ำลงค่าความต้านทานจะสงู ขน้ึ

54. ตวั ต้านทานไวแสง (Light Dependent Resistor ; LDR)มีสญั ลักษณ์ในวงจร

คอื

เปน็ ตัวตา้ นทานทีเ่ ปลี่ยนค่าความต้านทานเมื่อความเขม้ ของแสงทต่ี กกระทบเปล่ยี นไป ถา้

ไม่มีแสงหรือมีแสงปริมาณน้อย LDR จะมีค่าความตานทานสูง แตถ่ ้าปรมิ าณแสงทต่ี กกระทบ LDR

มีมากค่าความต้านทานจะต่ำ

55. ตัวเก็บประจุ (Capacitor)หรือตวั เก็บอเิ ล็กตรอน มีสญั ลักษณใ์ นวงจรคือ ทำ

หน้าท่ีเก็บประจุไฟฟ้าและคายประจไุ ฟฟ้าใหก้ ับวงจร ประกอบด้วยแผ่นตวั นำ 2 แผ่น เรียกวา่

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

202 คมู่ อื เตรยี มสอบ

แผ่นเพลต และคนั่ ดว้ ยแผน่ อิเล็กทรกิ ซ่งึ เปน็ แนวไฟฟ้าทำหน้าท่ีก้นั กระแสไฟฟ้า โดยท่ีค่าความจุ

ไฟฟา้ มหี นว่ ยเปน็ ฟารัด (F)

การเก็บประจุ คือ การเกบ็ อิเล็กตรอนไว้ที่แผ่นเพลตของตัวเกบ็ ประจุโดยเมื่อนำแบตเตอรี่

กบั ตวั เกบ็ ประจุ อเิ ล็กตรอนจากขว้ั ลบของแบตเตอรี่จะไปออกันท่แี ผน่ เพลตทำให้เกิดประจลุ บข้ึน

และสง่ สนามไฟฟา้ ไปผลักอิเล็กตรอนของแผน่ เพลตตรงขา้ ม ทำใหเ้ หลือประจุบวกมากกวา่ ประจุ

ลบ

การคายประจุ คอื ตวั เกบ็ ประจุที่ถูกประจุแลว้ จะมีอิเล็กตรอนอยู่ทีแ่ ผน่ เพลต ถ้ามีการต่อ

ครบวงจรระหว่างแผ่นเพลตท้ังสองจะมีการคายประจเุ กดิ ข้ึน โดยอเิ ล็กตรอนจากแผ่นเพลตลบจะ

เคล่อื นท่ีไปครบวงจรที่แผ่นเพลตบวก

56. ปัจจัยท่ีมีผลต่อค่าของตัวเก็บประจุ

1) พื้นที่แผ่นเพลต ตวั เก็บประจทุ ่มี ีพ้นื ทแี่ ผ่นเพลตมากจะมีค่าความจุมาก

2) ระยะหา่ งระหว่างแผน่ เพลต แผ่นเพลตที่มรี ะยะห่างกันมากค่าความจกุ ็จะย่งิ ลดลง

3) ชนดิ ของสารท่ีใชท้ ำแผน่ ไดอิเล็กทริก ค่าความจุจะเปล่ียนไปตามชนดิ ของสารท่ีใชท้ ำ

แผน่ ไดอเิ ล็กทริก

57. ตัวเก็บประจุแบบค่าคงที เป็นตวั เก็บประจุที่ไม่มขี ว้ั ไม่ต้องคำนงึ ถงึ ขว้ั เวลาใช้งาน

58. ตัวเกบ็ ประจแุ บบปรับค่าได้ สามารถปรับค่าความจุได้ดว้ ยการหมนุ แกนของตัว

เก็บประจุ ค่าความจจุ ะเปลีย่ นไปตามมุมท่ีหมนุ เช่น ใช้ในวงจรเลือกคลื่นวิทยุ

59. ไดโอด (Diode)มสี ญั ลักษณ์ในวงจรคอื เป็นอุปกรณ์

อเิ ลก็ ทรอนิกส์ท่ยี อมให้กระแสไฟฟ้าเคลื่อนทผ่ี า่ นทางเดยี ว ทำจากสารกงึ่ ตัวนำ 2 ชนิด คอื ชนดิ

P และชนิด N ประกอบด้วย 2 ข้ัว คอื แอโนด (+) ต่ออยู่กบั สารก่ึงตวั นำชนดิ P และข้วั

แคโทด (-) ต่ออยกู่ ับสารกึง่ ตัวนำชนิด N

60. ไดโอดธรรมดา (Normal Diode)ทำหน้าท่ีเปน็ ตัวควบคมุ การเคลือ่ นที่ของ

กระแสไฟฟ้าให้เคล่อื นท่ีไปทางเดียว

61. ไดโอดเปล่งแสง (Light Emitting Diode ; LED)ทำหน้าทเ่ี ปลี่ยนพลงั งานไฟฟา้

เป็นพลังงานแสง สามารถเปล่งแสงออกมาเมื่อไดร้ ับกระแสไฟฟา้ การต่อไดโอดเปล่งแสงในวงจร

ต้องต่อขาให้ถูกต้องกบั ขน้ั ของแบตเตอร่ี กระแสไฟฟ้าจึงจะเคล่ือนที่ครบวงจร

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 203

62. ทรานซสิ เตอร์ (Transistor) ทำหนา้ ที่ในการขยายสญั ญาณไฟฟ้าและควบคุมการ
เคลอ่ื นท่ีของกระแสไฟฟ้าหรือเปน็ สวติ ชเ์ ปดิ -ปดิ วงจร ทำจากสารก่ึงตวั นำ มหี ลายชนดิ แตล่ ะ
ชนิดมีรปู รา่ งลักษณะแตกตา่ งกนั ประกอบดว้ ย 3 ขา คือ ขาเบส (Base ; B) ขาอีมิต
เตอร์(Emitter; E) และขาคอลเล็กเตอร์ (Collector ; C) กระแสไฟฟา้ หรือแรงเคลอ่ื นไฟฟ้าเพียง
เล็กนอ้ ยที่ขาหนงึ่ จะสามารถควบคุมกระแสไฟฟ้าทมี่ ปี ริมาณมากทเ่ี คล่อื นทผ่ี ่านอีก 2 ขาได้

63. ชนดิ ของทรานซสิ เตอร์ มี 2 ชนิด คือ
1) ชนดิ พีเอ็นพี (PNP)ประกอบดว้ ยสารกึง่ ตัวนำชนดิ P (+)2 ช้ัน และชนิด N (-) 1 ชนั้
สงั เกตได้จากรหัสหรอื เบอร์ของทรานซสิ เตอร์จะมีอักษร A และ B ปรากฏอยู่
2) ชนิดเอ็นพเี อน็ (NPN) ประกอบด้วยสารกง่ึ ตัวนำชนดิ N (-) ชนั้ และชนดิ P (+) 1 ชัน้
สงั เกตไดจ้ ากรหัสหรือเบอร์ของทรานซิสเตอร์ จะมอี ักษร C และ D ปรากฏอยู่
64. ประโยชน์ของทรานซิสเตอร์ คอื ใช้เป็นวงจรขยายในเครอ่ื งรบั วิทยุเครือ่ งรับ
โทรทัศน์ เปน็ สวิทตชเ์ ปดิ -ปิด เพ่ือควบคมุ การทำงานของอปุ กรณ์ไฟฟ้า
65. วงจรรวม (Integrated Circuit ; IC)ทำจากสารก่งึ ตัวนำ ประกอบด้วยตวั เก็บประจุ
ทรานซสิ เตอร์ขนาดเลก็ และวงจรอน่ื ๆ อยูบ่ นซิลคิ อนชิปอันเดียวกนั ทำให้มขี นาดเล็กลง ราคาถูก
ใช้กระแสไฟฟ้าน้อย และปฏิบัติงานไดเ้ ร็วขึน้
66. ประโยชน์ของซิลิคอนชิป (Silicon Chip)เช่น ใชส้ ำหรับการบนั ทึกข้อมลู ส่งั งาน
และประมวลผล เช่นบัตรถอนเงินสด บัตรโทรศัพท์ จะมีซลิ คิ อนชิปตดิ อยู่ เมื่อนำบัตรไปใชง้ าน
จะมีการสง่ ถา่ ยข้อมูลบนบัตรกับศนู ยป์ ระมวลผลไป-กลับด้วยความเรว็ สูงเพอ่ื ตรวจสอบสถานะและ
รับคำสง่ั เพื่อดำเนนิ การ เป็นตน้

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

204 ค่มู อื เตรยี มสอบ

ตัวอย่างแนวข้อสอบบทที่ 2

1. บา้ นหลังหน่งึ ต่อสายไฟที่มีความตา่ งศักย์ 6. อปุ กรณ์ไฟฟา้ จะทำงานได้เมื่อวงจรไฟฟ้ามี

220 โวลต์ ขณะทร่ี ีดผา้ ขนาด 600 วตั ต์ และ ลักษณะเปน็ อย่างไร

พดั ลมขนาด 60 วัตต์ บ้านนี้จะมีกระแสไฟฟา้ ก. วงจรลดั

ไหลผ่านกแี่ อมแปร์ ข. วงจรส้นั

ก. 0.33 ข. 0.3 ค. วงจรปดิ

ค. 3ง. 12 ง. วงจรเปิด

2. เดก็ ชายสุรเดช ใชห้ ลอดไฟขนาด 50 วัตต์ 7. ทิศทางการไหลของกระแสไฟฟา้ เป็นอย่างไร

จำนวน 2 หลอด 220 โวลต์ สำหรับอ่านหนงั สือ ก. ออกจากขัว้ - ไปยังข้วั +

ขณะใชง้ านหลอดไฟจะมีความตา้ นทานเท่าใด ข. ออกจากขวั้ + ไปยงั ขั้ว –

ก. 48 โอหม์ ข. 242 โอหม์ ค. ออกจากขว้ั + และขั้ว – สลับกนั

ค. 484 โอห์ม ง. 48.4 โอห์ม ง. ไหลไปในทิศทางเดยี วกัน

3. ไฟฟ้าทใ่ี ชต้ ามบา้ นเปน็ ชนดิ ใด 8. วตั ถใุ ดนำไฟฟา้ ได้ดีท่สี ุด

ก. ไฟฟา้ กระแสตรง ข. ไฟฟา้ ก. เหลก็

กระแสสลับ ข. เงนิ

ค. ไฟฟ้าอัตโนมัติ ง. ถกู ทง้ั ก และ ข ค. ทองแดง

4. ความตา้ นทานและการไหลของกระแสไฟฟ้า ง. อลูมิเนียม์

สัมพันธก์ ันลักษณะใด 9. ขอ้ ใดเป็นวตั ถุท่ไี ม่อาศัยทฤษฎแี ม่เหล็กไฟฟา้

ก. ความตา้ นทานมาก กระแสมาก ก. รถไฟฟ้า

ข. ความต้านทานมาก กระแสนอ้ ย ข. รถยนต์

ค. ความต้านทานน้อย กระแสนอ้ ย ค. รถราง

ง. ไมม่ คี วามสมั พันธ์กนั ง. รถไฟ

5. ข้อใดเป็นอุปกรณใ์ นการต่อเซลล์ไฟฟ้าอย่าง 10. อปุ กรณ์ไฟฟา้ 11 ชนดิ มคี วามตา้ นทานตวั

งา่ ย ละ

ก. หลอดไฟ สายไฟเซลลไ์ ฟฟ้า สวติ ช์ 10 Ω ต่อเขา้ กบั ความตา่ งศกั ย์ 220 V จะมี

ข. หลอดไฟ มอเตอร์ ออดไฟฟา้ กระแสไฟฟ้าไหลในวงจรเท่าใด

ค. สายไฟ สวิตช์ ก. 0.5 A ข. 1 A

ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 205

ง. เซลล์ไฟฟา้ แบตเตอรี่มอเตอรเ์ ซลล์ไฟฟา้ ค. 2 Aง. 4A
เฉลยบทที่ 1 ง
1 ง2 ข3 ข4 ค5
6ข

เฉลยบทท่ี 2
1 ค2 ค3 ข4 ข5ก
6 ค 7 ข 8 ข 9 ข 10 ค

สาระท่ี 6 กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก

บทท่ี 1 บรรยากาศของเรา

1. บรรยากาศ (Atmoshere)หมายถึง อากาศทีอ่ ยรู่ อบตวั เรา และห่อหุม้ โลกต้ังแต่
เหนือพ้นื ดินไปจนถึง 600 กิโลเมตรเหนือผวิ โลก

2. องคป์ ระกอบของบรรยากาศ ประกอบด้วย
1) อากาศแหง้ เป็นองคป์ ระกอบหลกั ของบรรยากาศ ประกอบด้วย แก๊สชนดิ ต่าง ๆ ที่
สำคัญได้แก่ แกส๊ ไนโตรเจน 78.08% ออกซิเจน 20.95% คารบ์ อนไดอกไซค์ 0.03% และแก๊ส
อน่ื ๆ อีก 0.94% เชน่ แก๊สอาร์กอนนีออน เซนอน ครปิ ทอน และไฮโดรเจน เปน็ ต้น
2) ไอน้ำ เกิดจากการระเหยของน้ำทผ่ี ิวโลก การคายน้ำของพืช และการหายใจออกของ
สงิ่ มชี ีวิต ไอน้ำเปน็ ตัวการสำคัญทท่ี ำใหเ้ กดิ ปรากฏการณต์ ่าง ๆ ในบรรยากาศ เช่น เมฆ หมอก
ฝน หมิ ะ น้ำค้าง เป็นตน้
3) อนภุ าคฝุน่ ต่าง ๆ เช่น ผงฝุ่นจากากรระเบิดของภเู ขาไฟ ไฟปา่ การทำเหมืองแร่ การ
เผาไหม้ของเชื้อเพลิง และฝุ่นควันจากโรงงานอุตสาหกรรมเป็นต้น
3. ความสำคัญของบรรยากาศ
1) ใช้ในการหายใจของสง่ิ มชี ีวิตทกุ ชนดิ เปน็ วัตถุดบิ ในการสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพชื
และชว่ ยในการเจริญเตบิ โตของพืช
2) ไอน้ำในบรรยากาศทำให้น้ำเกิดการหมุนเวยี นเปน็ วัฎจกั ร
3) ช่วยปรบั อุณหภูมิของโลกให้เหมาะสมตอ่ การดำรงชีวิตของสิ่งมชี วี ิต

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

206 คมู่ อื เตรยี มสอบ

4) ช่วยปอ้ งกันอันตรายและดูดกลืนรังสีตา่ ง ๆ ท่สี ง่ มาจากดวงอาทิตย์ ไวไ้ ม่ใหส้ อ่ งมายงั
พน้ื โลกมากเกินไป

5) ชว่ ยป้องกันอันตรายจากวัตถุหรอื อนุภาคต่าง ๆจากนอกโลก เช่น ดาวตก อุกกาบาต
เม่อื ผา่ นเข้ามาจะเกิดการเสียดสีกับบรรยากาศทำใหเ้ กิดความรอ้ นสงู แลว้ ลกุ ไหม้จนหมดไปหรอื มี
ขนาดเลก็ ลงก่อนตกถึงผวิ โลก

4. ชน้ั บรรยากาศ แบ่งออกเปน็ 4 ชั้น คอื 1) ชน้ั โทรโพสเฟียร์ 2) ชัน้ สตราโตส
เฟียร์ 3) ชน้ั มโี ซสเฟียร์ 4) ชนั้ เทอรโ์ มสเฟียร์

5. ชั้นโทรโพสเฟยี ร์(Troposphere) เป็นชัน้ ท่ีอยูใ่ กล้กบั ผวิ โลกทสี่ ุดอุณหภมู ิ ของ
อากาศจะลดลงตามความสงู จากพื้นโลก ส่วนบนสดุ ของบรรยากาศช้ันนเี้ รียกวา่ โทรโพพอส มี
อณุ หภูมิค่อนขา้ งคงตัว แหล่งกำเนิดความร้อนของโทรโพสเฟียรค์ อื พืน้ ผวิ โลกทด่ี ดู กลืนรังสคี ล่ืนส้ัน
จากดวงอาทติ ยแ์ ละแผ่รังสอี ินฟราเรดออกมา ทำให้อณุ หภูมิของอากาศลดลงตามความสูงจากพนื้
โลก เป็นชนั้ บรรยากาศทมี่ ีสิ่งมีชวี ิตอาศยั ออยู่ และมีความแปรปรวนของสภาพลมฟา้ อากาศ
เน่อื งจากมปี รมิ าณน้ำในอากาศมาก

6. ช้ันสตราโตสเฟยี ร์ (Stratosphere)อุณหภมู ิจะคงท่ใี นระดบั ล่างและเพ่มิ ขึ้นตาม
ความสูงจากพืน้ โลก เปน็ ช้ันที่ไม่มไี อนำ้ จงึ ไมม่ ีความแปรปรานของอากาศ มีประโยชนใ์ นดา้ นการ
คมนาคมทางอากาศ และมีแกส๊ โอโซน( ) หนาแน่นมากกวา่ ชนั้ อ่ืน แก๊สโอซนมีสมบัตดิ ูดกลนื
รงั สีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทติ ยไ์ ด้ดีทำใหร้ ังสีไมส่ ามารถส่องผ่านลงมายังพน้ื โลกมากเกนิ ไป ส่วน
บนสดุ ของสตราโตสเฟยี ร์ เรียกวา่ สตราโตพอส

7. ช้นั มโี ซสเฟยี ร์ (Mesosphere) อุณหภูมิของอากาศจะคงตวั ในระดบั ลา่ งและจะ
ลดลงตามความสงู อีกครั้งในระดบั ทสี่ ูงข้ึน ตอนบนสุดของช้นั จะมีอุณหภูมติ ่ำถงึ -90 C เนื่องจาก
บรรยากาศช้ันนไ้ี ม่ได้ดูดซบั พลังงานความรอ้ นจากดวงอาทิตย์โดยตรง แตไ่ ดร้ ับการถ่ายโอนความ
ร้อนจากโอโซนไนชน้ั สตราโตสเฟยี ร์ นอกจากนีว้ ัตถุจากนอกโลกท่ีถูกแรงโน้มถว่ งของโลกดงึ ดูดเข้าสู่
บรรยากาศจะถกู เผาไหม้ท่ชี นั้ นดี้ ว้ ย ส่วนบนสดุ ของมโี ซสเฟียร์ เรยี กวา่ มีโซพอส

8. อากาศในช้ันดทรโพสเฟยี ร์ สตราโตสเฟียร์ และมีโซสเฟียร์ มีลกั ษณะเป็นเน้ือ
เดยี วกันเพราะประกอบด้วยส่วนผสมของแกส๊ ตา่ ง ๆ เกือบคงทยี่ กเว้นไอนำ้ และโอโซน ดงั นน้ั จงึ รวม
เรียกบรรยากาศทั้ง 3 ชน้ั น้ีวา่ โฮโมสเฟยี ร์(Homosphere)

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 207

9. ชน้ั เทอร์โมสเฟียร์(Thermosphere)อุณหภูมขิ องอากาศจะเพ่ิมข้นึ ตามความสูงที่

เพม่ิ ข้ึนจนถงึ ประมาณ 1,700 C บรรยากาศเบาบางมากจนถอื ว่าเปน็ จดุ เรมิ่ ต้นของอวกาศ
เน่ืองจากมแี รงดึงดดู ของโลกน้อย และแสงอาทติ ย์ทส่ี อ่ งมายังช้ันนม้ี ีพลังงานมากจนทำใหโ้ มเลกุล
ของแกส๊ ตา่ ง ๆ แตกตวั เปน็ ไอออนและมีประจุไฟฟา้ บรรยากาศชั้นนสี้ ามารถสะท้อนคล่ืนแตกตวั
เป็นไอออนและมีประจุไฟฟา้ บรรยากาศช้ันนสี้ ามารถสะท้อนคลน่ื สั้นของวิทยุกลับมายงั ผวิ โลกไดจ้ ึง
มคี วามสำคญั ในการสื่อสารโทรคมนาคม

10. รังสีจากดวงอาทิตยท์ ีแ่ ผ่มายังโลก รังสีบางส่วนจะมกี ารสะท้อนโดยบรรยากาศ
เมฆ และพ้นื ดลกกลบั สอู่ วกาศ 30 เปอรเ์ ซน็ ต์ รงั สีบางสว่ นจะถูกดดู กลนื โดยบรรยากาศ เมฆ และ
พืน้ ผิวโลก 70 เปอรเ์ ซน็ ต์ ซงึ่ วตั ถุและสิง่ มีชีวติ ต่าง ๆ บนผิวโลก เช่น ต้นไม้ สง่ิ ก่อสร้าง ภูเขา
เป็นต้น จะมีการดดู กลืนรังสีจากดวงอาทติ ย์เชน่ กนั และมีความสามารถในการดูดกลืนไดแ้ ตกต่าง
กันด้วย โดยจะเปลยี่ นรังสีจากดวงอาทิตย์เปน็ พลังงานความรอ้ นและคายกลบั สู่ผวิ โลกอีกครงั้ ทำ
ใหอ้ ุณหภูมิของอากาศเหนือบริเวณน้นั ๆ แตกตา่ งกนั ไปด้วย

11. อณุ หภมู ขิ องอากาศ (Air Temperature)คือ บริเวณทใ่ี ช้บอกความรอ้ นและ
ความเย็นของอากาศ และจะมกี ารแปรเปลีย่ นไปในแตล่ ะชว่ งเวลา

12. ปจั จยั สำคญั ท่ีมีผลต่ออุณหภูมิของอากาศ
1) พลังงานความรอ้ นจากดวงอาทติ ย์ท่พี ้นื โลกบริเวณนัน้ ไดร้ ับทำใหใ้ นเวลากลางวัน
อุณหภมู ิของอากาศจะสงู กว่าในเวลากลางคืน
2) ลกั ษณะของพนื้ ผิวโลกทแ่ี ตกตา่ งกันมผี ลทำให้อณุ หภมู ิของอากาศเหนือบรเิ วณนนั้
แตกตา่ งกนั เชน่ เมอื่ ได้รับความร้อนพืน้ ดนิ จะดดู กลนื ความรอ้ นอย่างรวดเรว็ และมีอุณหภมู ติ ำ่ กวา่
พน้ื น้ำทำให้อุณหภมู ิของอากาศเหนอื บรเิ วณดังกล่าวตา่ งกนั ดว้ ย
3) สภาพแวดลอ้ มที่แตกตา่ งกันมีผลทำให้อณุ หภูมิของอากาศแตกตา่ งกัน เช่น อณุ หภมู ิ
ของอากาศบรเิ วณที่เป็นปา่ มีคา่ ต่ำกกว่าบริเวณทะเลทราย
4) สภาพของบรรยากาศ เชน่ ถา้ ท้องฟา้ มปี ริมาณเมฆแตกตา่ งกันกจ็ ะทำให้อุณหภูมขิ อง
อากาศแตกตา่ งกันดว้ ย
5) การเอียงของแกนโลกจากเส้นต้ังแกกับระนาบการหมุนของโลกรอบดวงอาทิตย์ ทำให้
โลกหันขัน้ โลกเหนือและข้นั โลกเขา้ หาดวงอาทิตย์สลบั กันทำใหแ้ ตล่ ะพืน้ ทีโ่ ลกในรอบ 1 ปไี ด้รบั
พลงั งานความร้อนจากดวงอาทิตย์แตกต่างกัน ขัว้ โลกทหี่ นั เข้าหาดวงอาทิตย์จะรับพลงั งานความ
ร้อนมากกว่าจะเปน็ ฤดรู ้อน สว่ นขว้ั โลกที่หนั ออกจากดวงอาทิตยจ์ ะได้รับพลงั งานน้อยกวา่ จะเป็นฤดู
หนาว

ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

208 คมู่ อื เตรยี มสอบ

13. เครอ่ื งมอื ท่ีใชว้ ัดอุณหภมู ิของอากาศเรียกวา่ เทอร์มอมิเตอร์ และเทอรม์ อมิเตอร์
ที่ใชใ้ นการศึกษาสภาพอากาศ เทอรม์ อมิเตอร์วัดอณุ หภมู ิสูงสุด-ตำ่ สุด (Max-min
Thermtometer) ซึ่งสามารถวดั อุณหภมู สิ ูงสุดและต่ำสดุ ในรอบวนั ได้

14. ความดันอากาศหรือความกดอากาศ (Air Pressure)หมายถึง แรงดันอากาศท่ี
กระทำตอ่ พื้นที่ 1 ตารางหน่วย ความดันเนื่องจากน้ำหนกั อากาศทอ่ี ยู่เหนือผวิ โลก เรยี กวา่
ความดันบรรยากาศ

15. แรงดันอากาศ เปน็ แรงทโ่ี มเลกลุ ของอากาศกระทำกบั พน้ื ผิวของวตั ถุ
16. ค่าความกดอากาศในแตล่ ะแห่งจะไมเ่ ท่ากัน บรเิ วณใกลพ้ ้ืนผิวโลกจะมีความกด
อากาศมากและจะลดลงเม่ือข้ึนไปในทส่ี งู เน่ืองจากเม่ือสูงข้ึนไปอากาศจะเบาบางลงน้ำหนักของ
อากาศกล็ ดลง แรงกดอากาศจงึ ลดลงตามระดับความสูง
17. ความหนาแนน่ ของอากาศ คอื จำนวนโมเลกุลอากาศในหน่ึงหนว่ ยปริมาตร
18. ปจั จัยที่มผี ลต่อความดันอากาศ
1) ความหนาแนน่ ของอากาศ ถ้าจำนวนโมเลกลุ ของอากาศมีมากโอกาสที่โมเลกลุ ของ
อากาศจะชนกบั พ้ืนผิววตั ถุกจ็ ะมมี ากด้วยจงึ ทำให้เกิดแรงบนพน้ื ผิวนัน้ มากและส่งผลให้ความดนั
อากาศสูงด้วย
2) อณุ หภูมิ บรเิ วณที่มอี ุณหภูมสิ งู อากาศจะขยายตัวไดม้ าก ทำให้มีความหนาแน่นของ
อากาศน้อยส่งผลให้มีความกดอากาศตำ่ ส่วนบรเิ วณท่มี ีอุณหภมู ิตำ่ อากาศจะหดตวั ทำใหม้ ีความ
หนาแน่นของอากาศมากส่งผลใหม้ ีความกดอากาศสูง
3) ความชนื้ อากาศชืน้ มไี อน้ำมาก น้ำหนักโมเลกุลของไอนำ้ มีค่าน้อยกว่าของแก๊ส
ออกซเิ จนและไนโตรเจนซงึ่ เป็นสว่ นประกอบทีส่ ำคัญของอากาศ ดังนน้ั อากาศช้ืนจงึ มคี วามกด
อากาศตำ่ กวา่ อากาศแหง้
19. การนำหลักการของความดันอากาศมาใช้ประโยชน์ เช่น การเติมลมยางรถ ลม
หรืออากาศทเี่ ตมิ เข้าไปจะดันใหย้ างรถพองตัวคงรปู อยู่ได้ และสามารถรองรับน้ำหนักของรถได้
การทำเครื่องสูบนำ้ และหลกั การนำไปใชท้ างดา้ นการคมนาคม เช่น เคร่ืองบิน เคร่ืองร่อน
บอลลูน เป็นตน้
20. บารอมิเตอร์ (Barometer)เป็นเครอ่ื งมอื วัดความดนั อากาศ สร้างขึ้นโดยอาศัย
หลักความแตกต่างของความดนั อากาศของ 2 บรเิ วณ

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 209

21. บารอมเิ ตอร์แบบแอนริ อยด์ ประกอบด้วยตลบั โลหะปดผนึกทต่ี ัวอากาศออกไป
บางสว่ นแล้วเชือ่ มตอ่ กับกลไกทแี่ สดงค่าความดนั อากาศ และความดนั อากาศภายนอกเพ่ิมข้ึนจะดนั
ให้ตลับโลหะยบุ ตวั ลงจากปกติ เช่นถ้าความดนั อากาศภายนอกลดลงตลบั ดลหะจะพองตวั ข้นึ
มากกวา่ ปกติ หรือยบุ หรือพองตวั ของตลับโลหะจะสง่ ผลให้เครือ่ งกลไกแสดงคาความดันอากาศ

22. บารอมิเตอรแ์ บบปรอท ประกอบด้วยหลอดแก้วยาวมากกวา่ เป็นเซนติเมตร มี
ปลายปิดข้างหน่ึง บรรจปุ รอทไว้เต็มแลว้ คว่ำลงในอา่ งปรอททำใหป้ รอทในหลอแกว้ ลดลงเล็กนอ้ ย
โดยเคลอ่ื นทล่ี งในอา่ งทำใหด้ ้านปลายปิดของหลอดแกว้ เปน็ สุญญากาศ ความสูงของลำปรอทใน
หลอดแกว้ ปลายปดิ ของหลอดจะแสดงค่าความดันอากาศ ถา้ ความดันอากาศภายนอกสงู จะดัน
ปรอทในอา่ งใหเ้ ข้าไปภายในหลอดแกว้ ลำปรอทกจ็ ะสงู ขน้ึ ถ้าความดนั อากาศภายนอกลดลงปรอท
ภายในหลอดแกว้ กจ็ ะไหลออกมาอยู่ในภาชนะทำใหค้ วามสูงของลำปรอทภายในหลอดแก้วลดลง

23. บารอกราฟ(Barograph)มสี ว่ นประกอบคลา้ ยกับบารอมเิ ตอร์แบบแอนิรอยด์ แต่
แตกตา่ งตรงทกี่ ารแสดงผลจะเป็นกราฟต่อเนื่อง ทำใหส้ ามมารถบันทึกข้อมลู ของความกดอากาศได้
ตอ่ เน่อื งและบอกเวลาไดด้ ้วยการบนั ทึก ทำไดโ้ ดยใช้คานทตี่ อ่ กบั ปากกาซ่ึงจะเลือ่ นขึ้นลงตามการยบุ
หรอื พองของกลอ่ งโลหะ และทำการบันทึกการเปลยี่ นแปลงของความดันอากาศลงบนกระดาษ
กราฟท่ีพันอยูร่ อบกระป๋องและต่อเข้ากบั แกนของมอเตอร์ ซ่ึงกระป๋องจะหมุนอยตู่ ลอดเวลา ทำให้
สามารถบนั ทึกความดันอากาศได้ตลอด 24 ชัว่ โมง

24. อัลตมิ เิ ตอร์ (Altimeter)เป็นเครอ่ื งมอื ท่ีใชว้ ดั ระดบั ความสูงโดยใช้หลักการ
เดยี วกับบารอมิเตอร์แบบแอนริ อยด์ แตด่ ัดแปลงให้สามารถแสดงระดับความสูงได้ ใชส้ ำหรบั วดั
ความสงู ของเคร่ืองบินโดยวดั ในเครอ่ื งบิน หรอื ใชต้ ิดตวั นกั กระโดรม่ เพอ่ื บอกความสงู อาศัย
หลกั การคือเม่ือขึน้ ไปในท่สี ูงจากระดบั นำ้ ทะเล ความกดอากาศจะลดลง 1 มลิ ลเิ มตรของปรอททุก
ๆ ความสงู 11 เมตรจากระดบั นำ้ ทะเล

25. ลม(Wind)คือ อากาศทเี่ คล่ือนทีใ่ นแนวขนานกบพืน้ ผิวโลก เกิดจากความแตก
ตางของความดันอากาศ เนอื่ งจากอากาศร้อนจีความดนั อากาศต่ำ สว่ นอากาศเยน็ จีความดัน
อากาศสูง อากาศจงึ เคลื่อนท่ีจากบริเวณท่ีมีความดนั อากาศสูงปังบรเิ วณท่ีมคี วามดันอากาศตำ่

26. มาตรอัตราเรว็ ลมแบบถ้วย เป็นเครือ่ งมือวัดอตั ราเร็วลม ปรกอบด้วยถ้วยรูปร่าง
คลา้ ยกรวยหรือครง่ึ วงกลม 3-4 ถ้วย ตดิ อยู่กบั แกนย่ี ่ืนออกมาจากแกนกับฐานในแนวดิง่ โดย
จำนวนรอบทถี่ ้วยหมนุ จะสัมพนั ธก์ บั อัตราเรว็ ลม

ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

210 คมู่ อื เตรยี มสอบ

27. ศรลม เป็นเครอ่ื งมอื วัดทิศทางลม มลี กั ษณะเป็นแทง่ โลหะเบาคลา้ ยลูกศร
สามารถหมุนไดร้ อบในแนวราขนานกบั ทิศทางของลม เม่ือลมพดั จะพดั ให้ด้านสว่ นหางที่แบนซึ่งดาน
ลมหนั ไปในทิศตรงข้ามกบั ทศิ ท่ีลมพัดมา ทำให้หัวลกู ศรช้ใี นทศิ ที่ลมพัดมา

28. ระบบลมท้องถ่นิ ลมท้องถ่ินเปน็ ลมทเ่ี กดิ ข้ึนในช่วงวนั ครอบคลุมพนื้ ท่ีไม่กวา้ ง
มากและเกดิ ในเวลาส้นั ๆ ลมท้องถิน่ เกดิ ขนึ้ เน่ืองจากสภาพภมู ศิ าสตร์ ความแตกต่างของวามดัน
อากาศ และความแตกต่างของอุณหภมู ภิ ายในท้องถน่ิ เช่น ลมทะเล-ลมบก ลมภูเขา-ลมหุบเขา

29. การเกิดลมทะเล-ลมบก
1) ลมทะเล (Seabreeze)เกิดขึน้ ในเวลากลางวันเน่อื งจากพ้ืนดนิ ดูดกลืนความร้อนไดเ้ รว็
กว่าพนื้ น้ำทำให้อากาศเหนอื พน้ื ดินร้อนแลมคี วามดันอากาศต่ำอากาศจึงลอยตัวสูงขนึ้ สว่ นอากาศ
เหนือพื้นน้ำซ่ึงมีอณุ หภมู ติ ำ่ กวา่ และมีความดันอากาศสงู จะจมตัวและเคล่ือนเข้าแทนท่ีทำใหเ้ กดิ ลม
พัดจากทะเลเขา้ สชู่ ายฝัง่
2) ลมบก (Land breeze)เกดิ ขน้ึ ในเวลากลางคืนเนื่องจากพ้นื ดินคลายความร้อนได้เรว็
กว่าพนื้ น้ำ อากาศเย็นเหนือพ้ืนดนิ ท่มี ีความร้อนอากาศสูงจะจมตวั ลงและเคลอ่ื นตัวไปแทนท่อี ากาศ
อุ่นเหนอื พน้ื นำ้ ที่มคี วามดนั อากาศตำ่ ทำให้เกิดลมพดั จากฝั่งออกสู่ทะเล
30. การเกดิ ลมหบุ เขา – ลมภูเขา
1) ลมหุบเขา (Valley breeze)เกิดในเวลากลางวนั เน่ืองจากพื้นทบี่ ริเวณไหลเ่ ขาได้รับ
ความร้อนมากกวา่ บริเวณบริเวณพน้ื ทรี่ าบหุบเขาทำให้อากาศรอ้ นบรเิ วณไหลเ่ ขามีความดันอากาศ
ต่ำและลอยสูงขึน้ อากาศเย็นบริเวณหบุ เขาท่ีมีความดันอากาศสูงจึงเคล่อื นตัวเข้าแทนที่ ทำให้เกิดลม
พดั จากเชิงเขาข้ึนส่ลู าดเขา
2) ลมภเู ขา (Mountain breeze)เกิดหลงั จากดวงอาทิตย์ตก เน่อื งจากพืน้ ท่ี ไหล่เขา
สญู เสยี ความรอ้ นทำใหอ้ ากาศเย็นตัวลงอยา่ งรวดเรว็ และจมตวั ไหลลงตามลาดเขา ทำให้เกดิ ลมพดั ลง
ส่หู บุ เขา บางคร้ังกล่มุ อากาศเยน็ เหล่านี้อาจปะทะกบั พ้นื ดินในหุบเขาท่ยี งั มีอุณหภูมสิ งู อยู่จงึ เกิดการ
ควบแนน่ กลายเป็นหยดนำ้ ทำให้เกดิ หมอก
31. ความช้ืนของอากาศ คือ ปริมาณไอน้ำในอากาศทีเ่ กิดจากการระเหยจากแหล่งนำ้
เม่อื ได้รบั พลงั งานความร้อนจากดวงอาทติ ย์ จากการหายใจของสิง่ มีชีวติ และจากการที่พืชคายนำ้
ออกทางปากใบในรูปของไอน้ำ
32. ผลดีผลเสยี ของความชน้ื ของอากาศ

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 211

1) ผลดี ความชนื้ ของอากาศท่พี อเหมาะจะช่วยใหเ้ มล็ดพืชงอก และทำให้ต้นพืช
เจรญิ เตบิ โตไดด้ ี ความชืน้ ตำ่ ทำให้การตากเสอ้ื ผา้ และส่ิงของแห้งเรว็ เพราะน้ำระเหยได้ดี

2) ผลเสีย เช่น ความช้นื ชว่ ยให้เชือ้ ราท่ที ำให้อาหารเนา่ เสยี เจรญิ เติบโตได้ดี ทำให้เหลก็ เป็น
สนมิ ความชืน้ ต่ำทำให้ผวิ หนังแห้งแตกเพราะเหงือ่ ระเหยได้มาก ความชนื้ สูงทำให้เหนยี วตัวและรสู้ ึก
อดึ อดั เพราะเหง่ือระเหยได้นอ้ ย นำ้ จากแหล่งตา่ ง ๆ ระเหยสู่อากาศไดน้ ้อย ผา้ ที่ซักตากไว้จะแห้งช้า
เป็นตน้

33. ปัจจัยท่ีมีผลต่อการระเหยของน้ำ
1) อุณหภมู ิ อุณหภมู ิต่ำน้ำจะระเหยกลายเปน็ ไอได้น้อย อุณหภูมสิ ูงนำ้ จะระเหยกลายเป็น
ไอได้มากขนึ้ และอากาศจะสามารถรับปรมิ าณไอนำ้ ไดม้ ากขึ้นที่อุณหภูมสิ งู
2) ปริมาณไอนำ้ ในอากาศ ถา้ อากาศมีความชนื้ ตำ่ การระเหยก็จะเกิดข้นึ ได้มากและอากาศ
สามารถรับปรมิ าณไอน้ำเพม่ิ เข้าไปไดอ้ ีกมาก ถา้ อากาศมีความชื้นสูงการระเหยกจ็ ะเกิดขึ้นได้น้อย
3) พื้นท่ีผิวของของเหลว ถา้ พนื้ ทผ่ี ิวของของเหลวมีมากการระเหยกจ็ ะเกดิ ขน้ึ ได้ดี
เนื่องจากการระเหยเกดิ ขึ้นที่บริเวณผวิ หนา้ ของของเหลว
34. อากาศอมิ่ ตัว คือ สภาวะท่ีอากาศรบั ไอน้ำไว้เต็มที่แล้ว และไมส่ ามารถรบั เพ่ิมได้
อกี ณ อณุ หภูมิหนึง่ ปริมาณไอนำ้ ท่ีอากาศสามารถรับไวไ้ ด้เตม็ ทีจ่ ะมากหรือนอ้ ยขึน้ อยู่กับอุณหภูมิ
ของอากาศดงั นน้ั อากาศอิ่มตัวจึงมีความช้ืนมากท่ีสุด
35. การบอกปริมาณความชืน้ ในอากาศ มี 2 วิธี คือ 1) ความชนื้ สัมบรู ณ์ 2) ความ
ชอื้ สัมพนั ธ์
36. ความช้ือสัมบูรณ์ คือ ปรมิ าณทบี่ อกถงึ มวลของไอนำ้ ในอากาศขณะใดขณะหนึ่งต่อ
หนึ่งหน่วยปริมาตร หรอื บอกให้ทราบว่ามีไอน้ำอยู่กี่กรัมในอากาศปริมาตร 1 ลกู บาศก์เมตร

37. ความชนื้ สัมพทั ธ์ คือ การเปรยี บเทยี บระหวา่ งมวลของไอนำ้ ทม่ี ีอยจู่ ริงในอากาศ
กบั มวลของไอนำ้ เม่ืออากาศอ่ิมตวั ดว้ ยไอนำ้ ทอี่ ุณหภมู แิ ละปริมาตรเดยี วกนั คา่ ความชื้นสัมพทั ธน์ ยิ ม
แสดงเป็นร้อยละดังน้ี

ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

212 ค่มู อื เตรยี มสอบ

38. คา่ ความช้นื สัมพัทธ์จะบอกให้ทราบวา่ อากาศใกล้อิ่มตวั ด้วยไอนำ้ เพียงใด เชน่
1) อากาศมีความช้ืนสัมพัทธ์ 70% หมายถึง ขณะน้ันอากาศมีปริมาณไอนำ้ อยู่ 70 กรัม และ
สามารถรบั ไอน้ำเพิม่ ได้อีก 30 กรมั
2) ถา้ มวลของไอน้ำทมี่ ีอยู่จริงในอากาศขณะนน้ั เท่ากับมวลของไอน้ำในอากาศอิม่ ตวั ที่
อณุ หภูมิและปริมาตรเดียวกนั อากาศจะมีความชนื้ สมั พัทธ์ 100%เรยี กอุณหภูมิน้วี า่ อณุ หภมู จิ ุด
น้ำคา้ ง ซึ่งไอนำ้ ในอากาศจะเรม่ิ ควบแนน่ กลายเปน็ ละอองน้ำขนาดเล็ก
3) อากาศท่ีทำให้เรารสู้ ึกสบายไม่เหนยี วตัวหรือแหง้ เกนิ ไปมีคา่ ความชน้ื สมั พัทธ์ 60%
4) ถ้าอากาศมีความชน้ื สัมพทั ธ์มาก จะทำให้เหง่ือตวั ระเหยไดม้ าก จงึ ทำใหเ้ หนียวตวั และ
รสู้ กึ อดึ อัด
5) ถ้าอากาศมคี วามช้ืนสมั พทั ธ์ตำ่ จะทำให้เหง่ือตัวระเหยได้มาก จึงทำใหร้ สู้ ึกเย็นและทำให้
ผิวหนังแห้งแตก
39. การวัดความช้ืนในอากาศนิยมวดั เป็นความชื้นสมั พัทธโ์ ดยใช้เครอ่ื งมือที่เรียกวา่ ไฮ
กรอมิเตอร์
40. ไฮกรอมเิ ตอร์แบบกระเปาะเปียกกระเปาะแห้ง หรอื เรียกวา่ ไซครอมเิ ตอร์
(Psychrometer)ประกอบด้วยเทอร์มอมเิ ตอร์ 2 อัน คือ
1) เทอร์มอมเิ ตอร์กระเปาะแหง้ ใชว้ ัดอุณหภมู อิ ากาศธรรมดา
2) เทอร์มอมิเตอร์กระเปาะเปียกท่ีมีผา้ เปียกหุ้มอยแู่ ละชายผ้าอีกด้านหนงึ่ แช่อยใู่ นน้ำ
41. การหาคา่ ความชื้นสัมพัทธ์โดยใช้ไซครอมเิ ตอร์ ใชห้ ลกั การระเหยน้ำจาก
กระเปาะเปยี ก ดังนี้
1) ถ้านำ้ จากกระเปาะเปียกระเหยมากจะดงึ ความร้อนออกมากทำใหอ้ ุณหภมู ิของกระเปาะ
เปยี กต่ำกวา่ กระเปาะแหง้ มาก แสดงวา่ บรรยากาศสามารถรบั ไอน้ำไดม้ าก เม่ือนำไปหาค่าความชนื้
สัมพัทธจ์ ะมีค่าต่ำ
2) ถ้านำ้ จากกระเปาะเปยี กระเหยนอ้ ยจะทำใหอ้ ุณหภูมิกระเปาะเปยี กไมต่ ำ่ กว่ากระเปาะ
แห้งมาก แสดงว่าบรรยากาศสามารถรบั ไอนำ้ ได้นอ้ ยเมอื่ นำไปหาค่าความชนื้ สมั พัทธ์จะมีค่าสูง
42. ไซครอมิเตอรแ์ ต่ละอันจะมีตารางแสดงค่าความชน้ื สมั พัทธไ์ ว้ให้ ซ่งึ มีวิธีการหาค่า
ความชืน้ สัมพัทธจ์ ากตาราง ดงั นี้

ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 213

1) ให้หาผลตา่ งของอุณหภมู ิกระเปาะแหง้ และกระเปาะเปียก เช่น อณุ หภูมิกระเปาะแหง้ มี
ค่า 22 องศาเซลเซยี ส อุณหภูมกิ ระเปาะเปียกมีค่า 14 องศาเซลเซยี ส เมอื่ นำมาหาผลต่างจะมีค่า
เท่ากบั 8 องศาเซลเซียส

2) อ่านค่าความชื้นสัมพัทธ์ท่ีจุดตัดของผลต่างในข้อ 1) กับอุณหภูมิกระเปาะแห้งจากตาราง
ของ
ไซครอมิเตอร์ จากตัวอย่างในข้อ 1) จะอ่านค่าความชืน้ สัมพัทธ์ไดร้ ้อยละ 40

43. ไฮกรอมเิ ตอร์เสน้ ผม ใชว้ ัดความช้นื สมั พทั ธ์ของอากาศโดยอาศัยการยดื หดของเสน้
ผมตามการเปลีย่ นแปลงของความชนื้ สัมพัทธ์ในอากาศถ้าอากาศมีความชื้นมากเสน้ ผมจะยดื ตัวออก
ถ้าอากาศมคี วามชื้นน้อยเส้นผมจะหดตัว ซ่ึงการยืดหดของเสน้ ผมจะตอ่ กับกลไกท่ีจะแสดงเปน็ คา่
ความชื้นสัมพทั ธ์

44. การเกิดเมฆและฝน
1) เมฆ เกิดจากเมื่อน้ำจากแหลง่ ตา่ ง ๆ บนผิวโลกได้รับพลงั งานความร้อนจากดวงอาทิตย์
จะระเหยกลายเป็นไอน้ำลอยข้ึนไปรวมกบั ไอนำ้ ท่เี กิดจากการคายนำ้ ของพชื ในบรรยากาศ เม่อื ไอน้ำ
ลอยขน้ึ ไปจนถงึ ระดบั ที่อณุ หภมู ิตำ่ พอกจ็ ะเกิดการควบแน่นเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ เมื่อละอองน้ำ
เหลา่ นีม้ ารวมตวั กนั จำนวนมากจะกลายเป็นเมฆ
2) ฝน เกดิ จากอนุภาคน้ำหรือเกล็ดน้ำแข็งในเมฆมขี นาดใหญ่ข้นึ และมคี วามหนาแน่นมาก
ขึ้นทำให้อากาศไมส่ ามารถอุ้มนำ้ หรอื นำ้ แข็งในเมฆไว้ได้ นำ้ หรอื นำ้ แขง็ นั้นก็จะตกลงมายังพื้นโลกใน
รปู ตา่ ง ๆ คือ ฝน หมิ ะ หรือลูกเหบ็ ซึง่ เรยี กรวมวา่ นำ้ ฟา้
45. เมฆ (Couds) คอื อนภุ าคน้ำหรือผลึกนำ้ แข็งขนาดเล็กจำนวนมากท่ีลอยอย่ใู น
อากาศและยังไม่ตกลงสู่พื้นโลก เมฆอาจประกอบดว้ ยนำ้ หรือน้ำแข็ง หรอื ประกอบด้วยทัง้ สองอย่าง
46. ประเภทของเมฆจำแนกโดยใช้รปู รา่ งลกั ษณะของเมฆเปน็ เกณฑ์ แบง่ ได้เปน็ 3
ประเภทดังน้ี
1) เมฆคิวมลู สั (Cumulus) คอื เมฆก้อนมรี ูปร่างเป็นก้อนคลา้ ยสำลี หรือดอกกะหลำ่ พบ
ในวันทม่ี ที ้องฟา้ แจ่มใส อากาศแหง้ และแดดจัด
2) เมฆสเตรตัส(Stratus)คือ เมฆแผน่ หรือเมฆชนั้ พาดบนทอ้ งฟ้าอยสู่ ูงจากพื้นดินไม่เกิน
2,500 เมตร เป็นเมฆท่ที ำใหเ้ กิดฝนละออง
3) เมฆซีร์รัส(Cirrus) คือ เมฆทเ่ี ปน็ ร้วิ ๆ คล้ายขนสัตว์ ประกอบด้วยเกล็ดนำ้ แข็ง พบอยู่
ประมาณ 6.5 กโิ ลเมตรจากพ้ืนดนิ

ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

214 ค่มู อื เตรยี มสอบ

47. ประเภทของเมฆจำแนกโดยใช้ระดับความสงู ของฐานกอ้ นเมฆเป็นเกณฑ์ แบ่งได้
เป็น 4 ประเภท คือ 1) เมฆชน้ั สูง 2) เมฆช้ันกลาง 3) เมฆชน้ั ตำ่ 4) เมฆกอ่ ตัวในแนวตั้ง

48. เมฆชัน้ สงู (High Clouds)เกิดขน้ึ ทรี่ ะดบั สูงมากกว่า 6,500 เมตร เปน็ เมฆท่ี
ประกอบด้วยผลึกนำ้ แข็งเกือบทง้ั หมดเพราะอณุ หภูมิท่รี ะดับนีต้ ่ำกวา่ จุดเยือกแข็ง ได้แก่

1) เมฆซรี ์รัส(Cirrus)ลักษณะเปน็ ริว้ บาง ๆ สีขาว รปู ร่างคลา้ ยขนนก เป็นผลกึ น้ำแข็ง เกดิ
ในวนั ท่มี ีอากาศดี ทอ้ งฟา้ เป็นสีฟ้าเขม้

2) เมฆซรี ์โรสเตรตัส(Cirrostratus)ลกั ษณะเป็นแผ่นบาง สีขาว เปน็ ผลกึ น้ำแขง็ ปกคลมุ
ท้องฟ้าเปน็ บริเวณกว้างโปร่งแสงทำใหเ้ กิดดวงอาทิตยท์ รงกลดและดวงจนั ทร์ทรงกลด

3) เมฆซีร์โรควิ มูลสั (Cirrocumulus)ลักษณะคล้ายปุยนุ่น สีขาว เป็นผลึกนำ้ แข็ง เป็นรว้ิ
คล่นื เลก็ ๆ เกิดข้นึ ปกคลุมทอ้ งฟ้าบรเิ วณกว้าง

49. เมฆชน้ั กลาง (Middle Clouds)เกดิ ขน้ึ ทร่ี ะดบั สูง 2,500-6,500 เมตร เมฆ
ประกอบดว้ ยผลึกน้ำแข็งและอนุภาคน้ำเพราะเกิดในระดบั ทไ่ี มส่ งู มาก และมีอุณหภูมไิ ม่ต่ำพอทจี่ ะ
ทำให้กลายเป็นผลกึ น้ำแขง็ ได้แก่

1) เมฆอัลโตสเตรตัส(Altostratus)ลักษณะเป็นแผน่ หนา เรียบ สเี ทา สามารถบงั
แสงอาทติ ย์ไม่ใหล้ อดผ่านได้ เกดิ ขนึ้ ปกคลุมท้องฟ้าเป็นบริเวณกว้างมาก อาจมวี งแสงทรงกลด

2) เมฆอัลโตควิ มูลัส(Altocumulus) ลกั ษณะก้อนกลมใหญ่และแบนสีขาว คลา้ ยปยุ น่นุ
หรอื ฝูงแกะ ลอยเป็นแพ มีชอ่ งวา่ งระหว่างก้อนเลก็ น้อยมีการจัดตวั กันเป็นแถว ๆ หรือคลน่ื อาจมี
แสงทรงกลด

50. เมฆชน้ั ตำ่ (Low Clouds)เกิดขนึ้ ท่ีระดบั 0-2,500 เมตร เมฆประกอบด้วย
อนภุ าคน้ำเกือบทัง้ หมด

1) เมฆสเตรตัส(Stratus)ลักษณะเป็นแผน่ บาง สีเทา สขี าว ลอยสูงเหนือพ้ืนไมม่ ากนัก
เช่น ลอยปกคลมุ ยอดเขา มกั เกดิ ขน้ึ ตอนเชา้ หรอื หลังฝนตก

2) เมฆสเตรโตควิ มลู ัส(Stratocumulus)ลักษณะเป็นก้อนคล้าย ปยุ นุน่ สเี ทา ลอย
ตดิ กนั เปน็ แพ ไม่มีรปู ทรงทช่ี ดั เจน มีช่องวา่ งระหวา่ งก้อนเล็กน้อย เกดิ ข้ึนเวลาท่อี ากาศไมด่ ี

3) เมฆนิมโบสเตรตสั (Nimbostratus)ลักษณะเปน็ แผ่นสีเทา เกดิ เวลาท่ีอากาศมี
เสถยี รภาพ ทำให้เกดิ ฝนตกพรำ ๆ ตอ่ เน่อื งเป็นเวลาไม่นานหรือฝนตก แดดออก

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 215

51. เมฆกอ่ ตัวในแนวตัง้ (Clouds of Vertical Development)เกิดท่ีระดบั สูง
500-20,00 เมตร ไดแ้ ก่

1) เมฆคิวมลู สั (Cumulus)ลกั ษณะเปน็ ก้อนปุกปุยคล้ายดอกกะหล่ำสขี าว เกิดจากอากาศ
ไม่มเี สถยี รภาพ ฐานเมฆเป็นสีเทา เกิดเวลาทม่ี ีอากาศดี ท้องฟา้ เป็นสฟี ้าเขม้

2) เมฆคิวมูโลนิมบสั (Cumulonimbus)พฒั นามาจากเมฆคิวมลู ัสมีขนาดใหญ่มากปก
คลมุ พ้ืนที่ครอบคลมุ ท้ังจงั หวัดทำใหฝ้ นตกหนัก ลมแรงและเกิดพายฝุ นฟ้าคะนอง ถ้ากระแสลมช้ัน
บนพัดแรงจะทำใหย้ อดเมฆรูปดอกกำหลำ่ กลายเปน็ รปู ท่งั ตีเหล็ก ตอ่ ยอดออกมาเป็นเมฆซรี ์โรส
เตรลสั หรือเมฆซรี ์รัส

52. กล่มุ คำทใ่ี ช้อธิบายลกั ษณะของเมฆ มี 5 กล่มุ ดงั นี้
1) ซรี โ์ ร (Cirro)หมายถึง เมฆระดบั สูง ลักษณะเป็นร้ิว ๆ
2) อลั โต (Alto) หมายถึง เมฆระดับกลาง
3) คิวมูลัส(Cumulus) หมายถึง เมฆท่มี ีลกั ษณะเป็นก้อน เป็นแผ่น
4) สเตรตัส(Stratus) หมายถึง เมฆท่มี ีลักษณะเปน็ ชั้น ๆ
5) นิมบสั (Nimbus)หมายถึง เมฆท่ีก่อใหเ้ กดิ ฝน
53. การตรวจวัดเมฆ จะทำการตรวจวัดด้วยสายตาโดยผตู้ รวจหันหนา้ ไปทางทศิ ใดทิศ
หนง่ึ แล้วแบ่งทอ้ งฟ้าด้านทส่ี งั เกตออกเปน็ 5 ส่วน ตรวจดชู นิดและความสงู ของเมฆ จำนวนของเมฆ
หลังจากน้นั หันหลังกลบั และตรวจดเู มฆตามแบบเดิม ดังนน้ั การตรวจชนดิ และจำนวนของเมฆจะแบ่ง
พน้ื ที่ท้องฟา้ ออกเปน็ 10 ส่วน การรายงานชนิดและจำนวนของเมฆจึงรายงานวา่ มีเมฆครอบคลุม
พืน้ ทท่ี ้องฟา้ กส่ี ่วนใน 10 ส่วน
54. น้ำฟา้ (Precipitation)เป็นชอ่ื เรยี กรวมของหยดน้ำและน้ำแข็งท่เี กิดจากการ
ควบแนน่ ของไอน้ำในบรรยากาศ นำ้ ฟ้าจะมขี นาดใหญ่และมนี ำ้ อยูม่ ากจนเอาชนะแรงตา้ นอากาศได้
และตกลงสู่พน้ื โลกไดโ้ ดยไมร่ ะเหยเป็นไอนำ้ ก่อนขณะที่อยู่ไดร้ ะดบั ควบแน่น
55. ชนดิ ของนำ้ ฟา้ ได้แก่
1) ละอองหมอก (Mist) ลักษณะเปน็ หยดนำ้ ขนาด 0.005-0.05 มลิ ลเิ มตร เกดิ จาก
อณุ หภมู ขิ องอากาศลดลงมาก ทำใหไ้ อนำ้ เกดิ การกล่นั ตัวเป็นละอองน้ำขนาดเล็กในบรรยากาศใกล้
ผวิ โลกและอากาศสามารถพยุงใหล้ อยอยู่ได้ พบบนยอดเขาสูง
2) ฝนละออง (Drizzle)ลักษณะเปน็ หยดนำ้ ขนาดเล็กกวา่ 0.5 มลิ ลเิ มตร เกิดจากเมฆส
เตรตัส พบบนยอดเขาสงู และตกตอ่ เนื่องเปน็ เวลานานหลายชว่ั โมง

ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

216 ค่มู อื เตรยี มสอบ

3) ฝน (Rain)ลักษณะเป็นผลกึ น้ำแข็งขนาด 0.5-5 มิลลิเมตร สว่ นใหญเ่ กิดจากเมฆนมิ

โบสเตรตสั และเมฆคิวมูโลนมิ บัส

4) หิมะ (Snow)ลักษณะเป็นผลึกน้ำแข็งขนาด 1-20 มิลลิเมตร เกิดจากอณุ หภมู ิของ

อากาศลดลงต่ำกว่าจุดเยือกแข็งทำใหล้ ะอองน้ำในอากาศกลายเป็นละอองน้ำแข็ง สว่ นใหญจ่ ะเกดิ ใน

ประเทศที่อยู่ในเขตหนาว

5) ลกู เห็บ (Hail)ลกั ษณะเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่กว่า 5 เซนตเิ มตรเกิดจากเมฆฝนฟ้า

คะนอง

56. การวัดปรมิ าณน้ำฝน ใชเ้ ครอ่ื งวดั น้ำฝน ลกั ษณะเปน็ รูปทรงกระบอกขนาด

มาตรฐานเส้นผา่ นศูนย์กลาง 20 เซนติเมตร หรือ 8 นิว้ ซ่ึงนำ้ ฝนจะไหลผ่านปากกระบอกลงไปตาม

ท่อกรวยสขู่ วดแก้วซึ่งเกิดภาชนะรองรบั น้ำฝนไว้ จากนั้นนำนำ้ ฝนที่อยู่ในขวดแก้วเทใส่กระบอกแก้ว

ตวงน้ำฝนเพ่ืออ่านค่า มหี น่วยเป็นมิลลเิ มตรหรอื น้ิว (25.4 มม.= 1นิว้ ) แตเ่ ครื่องวัดบางชนดิ ภายใน

จะมีภาชนะทรงกระบอกสำหรับวดั ปริมาณนำ้ ฝนทีส่ ามารถอา่ นคา่ ปริมาณนำ้ ฝนได้โดยตรง

57. เกณฑ์ปรมิ าณฝน เราสามารถนำปริมาณน้ำฝนท่วี ดั ไดใ้ นระยะเวลา 24 ชว่ั โมง มา

อ่านค่าได้ดงั น้ี

ฝนเลก็ น้อย 0.1 – 10.0 มิลลเิ มตร

ฝนปานกลาง 10.1 – 35.0 มลิ ลิเมตร

ฝนหนัก 35.1 – 90.0 มลิ ลเิ มตร

ฝนหนกั มาก 90.1 มิลลิเมตรขึ้นไป

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 217

ตวั อยา่ งแนวข้อสอบบทท่ี 1 4. การวัดความช้ืนในอากาศนิยมวัดเป็นความช้ืน
1.ส่วนประกอบของอากาศในขอ้ ใดมสี ถานะเป็น สัมพัทธโ์ ดยใช้เครอื่ งมือชนดิ ใด
ของแข็ง ก. แอนนิมอมเิ ตอร์
ข. ไฮโดรมิเตอร์
ก.อาร์กอนข.ออกซิเขน ค. ไฮโกรมิเตอร์
ค.ไฮโดรเจนง.ฝนุ่ ละออง ง.เทอรม์ อมเิ ตอร์
2. .บรรยากาศช้ันท่ีมคี วามแปรปรวนตลอดเวลา 5. ถา้ โลกเราไมม่ ีอากาศห่อหุ้ม อณุ หภูมิในชว่ ง
คอื ข้อใด เวลากลางวันและเวลากลางคืนจะเปน็ อยา่ งไร
ก.เอกโซสเฟียร์ข.โทรโพสเฟยี ร์ ก. อุณหภูมิช่วงกลางวนั สูงมาก ช่วงกลางคืนตำ่
ค.สตราโตสเฟียร์ง.ไอโอโนสเฟียร์ มาก
3. ข้อใดเป็นความสมั พันธ์ระหว่างความดนั ข. อุณหภูมชิ ว่ งกลางวนั และกลางคืนเท่ากัน
อากาศกับความหนาแนน่ อากาศ ค. อุณหภมู ิช่วงกลางวนั ตำ่ มาก ชว่ งกลางคนื สงู
ก.ความดันมาก ความหนาแน่นมาก มาก
ข.ความดนั มาก ความหนาแน่นนอ้ ย ง. อณุ หภมู ชิ ่วงกลางวนั และช่วงกลางคนื คงที่
ค.ความดนั น้อย ความหนาแน่นมาก
ง.ความดันคงท่ี ความหนาแน่นน้อย

6. การเคล่ือนท่ีของอากาศเกิดขึ้นไดเ้ นื่องจาก 12. การเคล่ือนทข่ี องลมมีทิศทางการเคลื่อนที่
สาเหตุใด เปน็ อยา่ งไร
ก. ความแตกต่างของอณุ หภูมิ ก. จากหย่อมความกดอากาศสูงไปสู่หยอ่ มความ
ข. การหมุนรอบดวงอาทติ ย์ กดอากาศต่ำ
ค. ความสูงของระดบั น้ำทะเล ข. จากบรเิ วณความกดอากาศต่ำไปสูห่ ยอ่ มความ
ง. ความแตกต่างของภมู ปิ ระเทศ กดอากาศสูง
7. ข้อใดเป็นหยาดน้ำฟ้าทม่ี สี ถานะต่างจากพวก ค. จากบรเิ วณความกดอากาศตำ่ ไปสู่หย่อมความ
ก. ฝน ข. หมอก กดอากาศต่ำ
ค. นำ้ คา้ งง. หิมะ ง. จากหยอ่ มความกดอากาศสงู ไปส่บู ริเวณความ
กดอากาศสูง

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

218 คมู่ อื เตรยี มสอบ

8. ในชว่ งกลางเดือนพฤษภาคม - กลางเดอื น 13. ข้อใดต่อไปน้ีสามารถตากผ้าได้แห้งเร็วกวา่
ตุลาคมของประเทศไทยเป็นช่วงฤดทู ี่มฝี นตกชุก ข้ออืน่
เนอ่ื งมาจากอิทธพิ ลของลม ชนิดใด ก. บรเิ วณท่ีมอี ากาศชืน้ ไม่มีแสงแดด
ก. ลมสนิ ค้า ข. บรเิ วณท่มี ีท้องฟ้ามดื ครึ้ม ลมพัดเลก็ น้อย
ข. ลมบก - ลมทะเล ค. บรเิ วณทีม่ แี สงแดดจัด ลมพัดแรง
ค. ลมมรสมุ ง. บริเวณท่ีมที อ้ งฟ้าโปรง่ ลมพดั เล็กน้อย
ง. ลมใตฝ้ ุ่น 14. ลมชนดิ ใดมคี วามเรว็ ลมต่ำสุด
9. การทำนายสภาพของบรรยากาศลว่ งหน้าคือ ก. ไต้ฝุ่น
อะไร ข. โซนรอ้ น
ก. การตรวจสอบอากาศ ค. ไซโคลน
ข. การพยากรณ์อากาศ ง. ดเี ปรสชนั
ค. การวดั ทัศนวิสยั 15. แก๊สในข้อใดมีลักษณะไม่มีกล่นิ ไม่มีสี เกิด
ง. การวัดอุณหภูมิของอากาศ จากการเผาไหม้ไม่สมบรู ณ์ของเชอ้ื เพลิงรวมตัว
10. แก๊สโอโซนมปี ระโยชนอ์ ย่างไร กับรา่ งกาย
ก. ชว่ ยลดปรมิ าณสารพิษในอากาศ ก. แกส๊ ซลั เฟอรไ์ ดออกไซด์
ข. ชว่ ยดดู กลนื รังสีอัลตราไวโอเลต ข. แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์
ค. ชว่ ยเพ่ิมปริมาณแกส๊ ออกซิเจน ค. แกส๊ คารบ์ อนมอนอกไซด์
ง. ชว่ ยใหอ้ ากาศสดชน่ื ง. แกส๊ ไนโตรเจนไดออกไซด์
11. รงั สอี ัลตราไวโอเลต มผี ลต่อรา่ งกายมนุษย์ 16. บรรยากาศช้นั ใดท่ีสะท้อนคลื่นวทิ ยุระบบ
อยา่ งไร AM
ก. ทำให้ผวิ หนงั แข็งแรง ก. มโี ซสเฟยี ร์
ข. ผวิ หนังมีสีซดี ลง ข. สตราโตสเฟียร์
ค. ผิวหนงั จะเหี่ยวยน่ ค. ไอโอโนสเฟยี ร์ ง. เอกโซสเฟียร์
ง. เปน็ มะเรง็ ที่ผิวหนัง

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 219

บทท่ี 2 ลมฟ้าอากาศ

1. ลมฟา้ อากาศ คือ สภาวะของอากาศบนพืน้ ทีใ่ ด ๆ ในชว่ งเวลาหนงึ่ ซงึ่ เกิดข้ึนใน
ระยะเวลาสน้ั ๆ เชน่ อณุ หภูมิสงู สุด – ตำ่ สุดในแตล่ ะวนั ปริมาณฝนท่ตี กใน 2 ช่ัวโมง เป็นตน้

2. ภมู อิ ากาศ คอื สภาวะโดยท่ัวไปของลมฟ้าอากาศบนพ้นื ที่ใด ๆ ในชว่ งระยะเวลา
ยาวนาน ซ่ึงพิจารณาจากการตรวจอากาศซำ้ ๆ กนั หลายครงั้ เช่น อุณหภูมสิ งู สดุ – ต่ำสดุ ในรอบ 50
ปี ปริมาณฝนเฉล่ียรายปีจากข้อมูล 10 ปี เป็นต้น

3. พายุฟ้าคะนอง (Thunderstorm)เปน็ พายะทเ่ี กดิ เฉพาะทอ้ งถนิ่ เกิดจากเมฆคิวมู
โลนมิ บสั มฟี ้าแลบ ฟา้ ร้อง ลมกระโชกแรง ฝนตกหนัก และบางคร้ังอาจมลี กู เหบ็ ตกลงมาด้วย เป็น
พายะที่เกดิ ขึ้นในช่วงเวลาอนั ส้นั มนี อ้ ยครั้งท่ีเกดิ ขึ้นนานกวา่ 2 ชวั่ โมง สำหรับประเทศไทยพายุฟ้า
คะนองจะสามารถกอ่ ตวั ได้เกือบตลอดเวลาและในทุกพน้ื ที่เน่อื งจากมีภมู ิอากาศอยใู่ นเขตร้อน
โดยเฉพาะในชว่ งเดอื นมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคมพายุฟา้ คะนองทเ่ี กดิ ขน้ึ จะมคี วามรนุ แรงมากกวา่
ปกติ เรยี กว่า พายุฤดูร้อน

4. สาเหตุการเกิดพายฟุ า้ คะนอง เกดิ จากน้ำจากแหล่งต่าง ๆ บนโลกเม่อื ไดร้ ับความ
รอ้ นจากดวงอาทิตย์จะระเหยกลายเป็นไอและไอควบแนน่ เป็นเมฆ แตใ่ นบางชว่ งของฤดูรอ้ นท่ี
อากาศร้อนมาก น้ำจะระเหยเป็นไอได้มาก อากาศทีร่ อ้ นช้นื นจี้ ะลอยตวั สูงขึ้นอย่างรวดเร็วถึงระดับท่ี
อณุ หภูมิตำ่ จนไอนำ้ ควบแน่นเกิดเปน็ เมฆควิ มูลัส ความร้อนแฝงจากการควบแน่นของไอน้ำจะทำให้
อตั ราการลอยตวั ของกระแสอากาศภายในกอ้ นเมฆเร็วย่งิ ข้ึน ทำใหเ้ มฆควิ มูลัสมีขนาดใหญ่ขน้ึ จน
พัฒนากลายเป็นเมฆควิ มโู ลนิมบสั ซง่ึ เป็นเมฆฝนฟ้าคะนอง เมอื่ กลายเปน็ ฝนจะตกหนกั และมลี ม
กระโชกรนุ แรง

5. ลมกระโชก คือ ปรากฏการณ์ที่เกดิ จากลมเปลยี่ นแปลงความเรว็ อย่างฉบั พลนั โดย
มกี ารเพิ่มข้ึนแล้วลดลงอย่างรวดเร็วภายระยะเวลาส้ัน ๆ

6. ฟา้ แลบ (Lightning)เกดิ จากเกล็ดน้ำแข็งทเ่ี กิดจากพายุฟ้าคะนองมีการเคลื่อนที่
สวนทางกัน ทำใหเ้ กิดการสะสมและแลกเปลยี่ นประจไุ ฟฟ้าภายในก้อนเมฆหรือระหวา่ งก้อนเมฆท่ีอยู่
ตดิ กนั และมคี วามต่างศักยร์ ะหว่างตำแหนง่ ทัง้ สองมากพอ ประจไุ ฟฟา้ ลบจะชักนำใหป้ ระจไุ ฟฟา้
บวกท่อี ยดู่ ้านบนของก้อนเมฆเคลื่อนทเ่ี ขา้ หาประจไุ ฟฟา้ ลบบรเิ วณใตก้ ลุ่มเมฆทำใหเ้ กิดกระแสไฟฟ้า
เคล่อื นทีผ่ า่ น เกิดปรากฎการณ์ฟา้ แลบขนึ้ ในก้อนเมฆหรือระหว่างก้อนเมฆ

7. ฟา้ ผ่า (Thunderbolt)เกดิ จากเกล็ดนำ้ แขง็ ทเ่ี กิดจากพายฟุ ้าคะนองมีการ
เคล่อื นที่สวนทางกัน ทำให้เกิดการสะสมและแลกเปลยี่ นประจุไฟฟ้าแลว้ ประจุไฟฟ้าบวกทอี่ ยู่ใต้

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

220 ค่มู อื เตรยี มสอบ

พื้นผวิ ดนิ เคล่ือนท่ีเขา้ หาประจไุ ฟฟ้าลบบรเิ วณใต้กล่มุ เมฆทำใหเ้ กิดกระแสไฟฟ้าเคลื่อนทผี่ ่านอากาศ
อยา่ งเฉยี บพลันจากเมฆถึงพ้ืนผวิ โลก เกิดปรากฎการณ์ฟ้าผ่าขนึ้

8. ฟา้ รอ้ ง (Thunder)เกดิ จากประกายไฟฟ้าของฟา้ แลบหรือฟา้ ผ่าทำให้อากาศ
บริเวณโดยรอบมีอุณหภมู ิสงู ข้ึนประมาณ 30,000 องศาเซลเซียสและอากาศเกิดการขยายตวั อย่าง
รวดเรว็ ทำให้เกดิ คลื่นเสยี งอยา่ งแรงขึ้น

9. พายุทอร์นาโด (Tornado) หรือพายุลมงวง เกิดจากพายุฟ้าคะนองมีลกั ษณะ
เปน็ ลำเหมอื นวงวช้างย่นื ออกมาจากฐานเมฆ หมุนวนบติ เป็นเกลียว เสน้ ผา่ นศูนย์กลางประมาณ
1,000 ฟตุ มักจะเกิดในทีร่ าบกวา้ งใหญ่ดูดเอาอากาศและเศษวัสดุหมุนวนเปน็ ลำพุ่งข้ึนไปในอากาศ
ทำลายชีวติ มนษุ ย์ สตั ว์ ต้นไม้ และสง่ิ ก่อสรา้ งใหไ้ ด้รับความเสยี หาย

10. การป้องกันและหลีกเลย่ี งภยั อนั ตรายจากพายุฟา้ คะนอง
1) หลบอยู่ในอาคารบ้านเรือนหรอื รถยนต์ที่ปลอดภยั จากนำ้ ท่วม
2) ไม่ควรอยใู่ นทีโ่ ล่งแจ้ง และถา้ จะเปน็ ต้องอยู่จะต้องไมใ่ ห้มีสื่อนำไฟฟา้ ในตวั เรา เชน่ รม่ ท่ี
มยี อดเปน็ โลหะ เคร่ืองประดับโลหะ
3) ตกึ อาคารที่มคี วามสูงมาก ๆ ควรมีสายลอ่ ฟ้าเพื่อนำประจไุ ฟฟ้าจากเมฆลงสู่พื้นดนิ
4) ไมห่ ลบใต้ต้นไมส้ งู ทข่ี ึ้นโดดเดี่ยวในที่โล่ง
5) ไม่ควรใช้อปุ กรณ์ไฟฟ้า เชน่ วิทยุ โทรทัศน์ และงดใช้โทรศัพท์ นอกจากกรณีฉกุ เฉนิ
6) ออกหา่ งจากชายฝ่ังหรือทะเลเมื่อเกิดพายฟุ ้าคะนอง เพราะอาจถูกคล่ืนซัดลงทะเลได้
7) ควรตรวจตราสภาพของอาคารบ้านเรือนให้อยใู่ นสภาพที่แข็งแรงและปลอดภยั อยู่เสมอ
รวมทง้ั ต้นไม้ ปา้ ยโฆษณา เสาไฟฟ้า ซง่ึ อาจทำให้โค่นล้มมาทบั ได้
11. สายลอ่ ฟ้า (Lightning rod) คอื แทง่ โลหะปลายแหลมทำหนา้ ท่ีเปน็ ตัวนำไฟฟา้
ให้อิเล็กตรอนจำนวนมากเคลื่อนทไ่ี ด้ระหวา่ งเมฆกบั พืน้ โลกใชต้ ิดบนหลังคาอาคารสงู ๆ มีสายเช่อื ม
กบั แผ่นทองแดงทฝ่ี ังไว้ใต้ดิน เม่ือเกดิ ฟ้าผ่าประจไุ ฟฟา้ ท่ีถา่ ยเทส่พู ื้นดินจะวิ่งผ่านสายล่อฟ้าขน้ึ สยู่ อด
ปลายแหลมกระจายสลายไปในอากาศ
12. บรเิ วณความดันอากาศสงู คือ บริเวณที่มีความดันอากาศสงู กวา่ บรเิ วณใกล้เคียงท่ี
อยูร่ อบ ๆ ในแผนท่ีอากาศผวิ พน้ื แสดงดว้ ยเสน้ ความดนั อากาศเท่าเป็นวงกลมหรือวงรรี ูปไข่ลอ้ มรอบ
บริเวณท่มี คี วามดนั อากาศสูงมกี ระแสลมพดั ออกจากศูนย์กลางในทิศทางตามเข็มนาฬิกาในซกี โลก

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 221

เหนอื และพดั ในทศิ ทางทวนเขม็ นาฬิกาในซีกโลกใต้ ใช้ตวั อกั ษร H (High) เป็นสญั ลักษณใ์ นแผนท่ี
อากาศ

13. ลกั ษณะอากาศบริเวณความดันอากาศสงู มีลมอ่อน และลมมักสงบในบริเวณใกล้
ศนู ย์กลาง มเี มฆเพียงเล็กน้อย แตอ่ าจมเี มฆมากกับมีฝนได้ตามขอบของบริเวณความดันอากาศสงู ท่ี
อย่ใู กล้กบั แนวปะทะอากาศ

14. บรเิ วณความดันอากาศตำ่ คือ บรเิ วณทม่ี ีความดันอากาศต่ำกวา่ บริเวณใกลเ้ คยี งที่
อยู่รอบ ๆ ในแผนที่อากาศผิวพนื้ แสดงด้วยเส้นความดันอากาศเท่าเปน็ วงกลมหรือวงรรี ูปไข่ลอ้ มรอบ
บรเิ วณทม่ี คี วามดันอากาศต่ำมีกระแสลมพดั เข้าหาศนู ย์กลางในทศิ ทางทวนเข็มนาฬกิ าในซีกโลก
เหนือและพัดในทิศทางตามเข็มนาฬิกาในซีกโลกใต้ ใชอ้ ักษร L (Low) เป็นสัญลักษณใ์ นแผนที่
อากาศ

15. ลักษณะอากาศบริเวณความดนั อากาศต่ำ มีเมฆมากและมฝี นตก
16. ระบบการหมุนเวยี นของลมในซกี โลกเหนอื และซีกโลกใต้
17. พายุหมนุ เขตรอ้ น (Tropical revolving Storm)เกิดจากความดนั อากาศของ 2
บริเวณต่างกนั มาก ทำให้อากาศเคล่ือนทจี่ ากบรเิ วณท่มี ีความดนั อากาศสูงไปยังบริเวณที่มคี วามดัน
อากาศต่ำกว่า และขณะเดียวกันโลกก็หมุนรอบตวั เองด้วยทำให้ทศิ ทางของลมพายใุ นซีกโลกเหนอื
พดั เขา้ หาศนู ยก์ ลางในทิศทวนเขม็ นาฬิกา และมีทิศของลมเขา้ สศู่ นู ย์กลางในทิศตามเข็มนาฬกิ าใน
ซกี โลกใต้ ยิง่ ใกล้ศนู ย์กลางลมจะหมนุ เกือบเป็นวงกลมและมคี วามเร็วสูงที่สุดทบี่ รเิ วณใกลศ้ นู ยก์ ลาง
พายุ ความดันอากาศเลวรา้ ยตามมาดว้ ย เช่น ฝนตกหนกั เกดิ พายุฟ้าคะนอง เกดิ คลื่นสูงใหญใ่ น
ทะเล และนำ้ ข้นึ สงู
18. บรเิ วณท่ีเกิดพายุหมุนเขตร้อน จะสามารถเกดิ ข้ึนไดห้ ลายแหง่ ในโลก และมีชื่อ
เรยี กตา่ งกันไปตามแหลง่ กำเนิด ได้แก่
1) มหาสมุทรแปซิฟิกเหนอื ดา้ นตะวนั ตก เม่ือมีกำลังแรงสูงสดุ เรียกวา่ ไต้ฝุ่น เกดิ มากที่สุด
ในเดอื นกรกฎาคม สงิ หาคม กนั ยายน และตลุ าคม
2) มหาสมุทรแอตแลนตกิ เหนือแถวทะเลแคริบเบยี นและอา่ วเมก็ ซโิ ก เรียกวา่ เฮอรเิ คน
เกดิ มากในเดือนสิงหาคม กนั ยายน และตลุ าคม
3) มหาสมุทรแปซฟิ ิกเหนือฝัง่ ตะวันตกของประเทศเม็กซโิ ก เรยี กว่า เฮอรเิ คน
4) บริเวณมหาสมุทรอินเดียเหนือ อ่าวเบงกอล ทะเลอาระเบีย เรยี กวา่ ไซโคลน
5) มหาสมุทรอินเดยี ใต้ ตะวนั ตกเฉียงเหนือของทวีปออสเตรเลยี เรียกว่า วลิ ลีว่ ลิ ลี่

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

222 คมู่ อื เตรยี มสอบ

19. พายุหมุนเขตร้อนท่ีมอี ิทธพิ ลต่อลมฟา้ อากาศของประเทศไทย สว่ นใหญม่ ี
แหลง่ กำเนิดในมหาสมุทรแปซิฟกิ เหนือด้านตะวันตกและทะเลจีนใต้

20. ความรนุ แรงของพายุ พิจารณาจากความเร็วลมสูงสดุ ทีบ่ ริเวณใกล้ศนู ย์กลางเป็น
เกณฑ์ ซ่ึงในยา่ นมหาสมทุ รแปซฟิ ิกเหนือด้านตะวนั ตกและทะเลจนี ใตม้ ีการแบ่งตามขอ้ ตกลงระหวา่ ง
ประเทศดังน้ี

1) พายุดเี ปรสชันเขตร้อน (Tropical Depression)มคี วามเร็วลมสูงสุดใกล้ศนู ยก์ ลาง
น้อยกวา่ 34 นอต (63 กโิ ลเมตรตอ่ ช่ัวโมง)

2) พายโุ ซนรอ้ น (Tropical Storm)มีความเรว็ ลมสูงสุดใกล้ศูนยก์ ลางอยรู่ ะหวา่ ง 34-64
นอต (63 – 117 กโิ ลเมตรต่อชว่ั โมง)

3) พายุไตฝ้ ุน่ (Typhoon) หรอื เฮอรเิ คน (Hurricane)มคี วามเร็วลมสูงสดุ ใกล้ศนู ยก์ ลาง
64 นอตข้ึนไป (หรือตง้ั แต่ 117 กิโลเมตรตอ่ ชว่ั โมงขนึ้ ไป)

21. ทางเดินพายุหมุนเขตรอ้ นที่เคล่ือนเขา้ ส่ปู ระเทศไทย
1) พายหุ มนุ เขตร้อนที่มีแหลง่ กำเนิดในมหาสมทุ รแปซิฟิกและทะเลจีนใต้เป็นแหลง่ กำเนิด
พายทุ ่เี คล่ือนเข้าสปู่ ระเทศไทยมากทสี่ ุด จะเคล่ือนตวั มาในแนวทิศตะวันตกข้ึนฝ่งั ประเทศเวยี ดนาม
ผ่านลาวหรอื กัมพชู าเข้าส่ปู ระเทศไทยบริเวณแนวพรมแดนดา้ นตะวนั ออก
2) พายหุ มนุ เขตร้อนที่มีแหล่งกำเนิดในอา่ วเบงกอลหรือทะเลอนั ดามนั จะเคล่อื นตวั มาใน
แนวทิศตะวนั ออกผ่านพม่าเข้าส่ปู ระเทศไทยทางด้านตะวันตก พบว่าเกิดขนึ้ เพียงส่วนนอ้ ยเทา่ น้ัน
22. พายหุ มุนเขตรอ้ นท่เี คลือ่ นเข้าส่ปู ระเทศไทยส่วนใหญ่เป็นพายุดีเปรสชัน
เน่ืองจากมีเทือกเขาในประเทศเวียดนามและลาวเป็นกำแพงกน้ั ไวท้ ำให้พายุอ่อนกำลังลงก่อนถึง
ประเทศไทย ส่วนท่ีมีกำลังแรงขนาดพายโุ ซนร้อนหรอื ไต้ฝุ่นมโี อกาสเคลื่อนเข้าสปู่ ระเทศไทยน้อย
23. ผลกระทบเนื่องจากพายุหมุนเขตร้อน จะมที งั้ ประโยชนแ์ ละโทษดงั นี้
1) ประโยชน์ พายุดีเปรสชันทำให้เกิดฝนตกปริมาณมาก ช่วยนำความชมุ่ ชื้นมาสแู่ ผ่นดิน
และเพ่ิมปริมาณนำ้ ใหก้ ับแหลง่ น้ำบนพน้ื โลกทำใหส้ ามารถกักเกบ็ น้ำไวต้ ามแหล่งกกั เก็บน้ำตา่ ง ๆ
เพ่อื ใช้ในช่วงท่ีมฝี นน้อยได้
2) โทษ พายดุ เี ปรสชันทำให้เกิดอุทกภยั และเกดิ โรคระบาดหลังจากเกดิ อทุ กภัย พายุโซน
ร้อนทำใหเ้ กิดวาตภัย และทำใหส้ ่งิ ก่อสร้างทีไ่ มแ่ ขง็ แรงหกั พงั เสียหาย ตน้ ไมล้ ้ม พายุไต้ฝุ่นทำให้

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 223

ต้นไม้ลม้ สิ่งก่อสร้างท่ีไม่แข็งแรงพงั ทลาย ฝนตกหนักทำใหเ้ กิดนำ้ ป่าและแผน่ ดินถลม่ ทะเลมีคลื่นลม
แรง ระดบั นำ้ ทะเลสงู ขน้ึ มากจนท่วมอาคารบ้านเรอื นริมทะเล

24. คล่ืนพายุซัดฝ่งั (storm surge)เปน็ คล่ืนขนาดใหญ่ท่เี กิดจากพายุหมนุ เขตร้อนใน
ทะเลเคลื่อนทเ่ี ข้าสู่ฝงั่ ซง่ึ สามารถทำลายสิ่งก่อสร้างบรเิ วณชายฝ่ังได้

25. การปอ้ งกันอันตรายจากพายุหมนุ เขตรอ้ น เมื่อมีพายหุ มุนเขตร้อนเคลื่อนตวั มายัง
ประเทศไทย ควรติดตามข่าวการพยากรณ์อากาศและประกาศจากกรมอตุ นุ ิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด
และถ้าบริเวณใดได้รบั การแจ้งจากเจ้าหนา้ ท่ีให้อพยพไปอยู่ในทป่ี ลอดภัย ควรปฏิบตั ติ ามคำแนะนำ
ของเจา้ หน้าทอี่ ย่างเคร่งครัด

26. มรสุม (monsoon)มีหลกั การเกิดเหมือนกับการเกิดลมบก-ลมทะเล คือ เกิดจาก
ความแตกตา่ งระหวา่ งอุณหภูมขิ องพน้ื ดินและพน้ื น้ำ แตร่ ะบบการเกดิ ลมมรสมุ จะปกคลุมพน้ื ท่ีกวา้ ง
ใหญ่กวา่ ดังนี้

1) ฤดูหนาว อุณหภมู ิของพ้ืนดินเย็นกวา่ อณุ หภมู ิของนำ้ ในมหาสมุทรอากาศเหนือพื้นนำ้ จึง
มอี ณุ หภูมิสูงกวา่ และมีความดันอากาศตำ่ อากาศจึงลอยตวั ข้ึนสเู่ บอ้ื งบน อากาศเหนือพน้ื ดินซึ่งเยน็
กวา่ และมีความดนั อากาศสูงจะเคล่อื นไปแทนทที่ ำใหเ้ กิดเป็นลมมรสมุ พดั ออกจากพื้นดนิ สูม่ หาสมุทร

2) ฤดูร้อน พ้ืนดนิ ได้รับพลงั งานความรอ้ นจากดวงอาทิตย์มากกวา่ พนื้ นำ้ ทำให้อุณหภมู ิของ
พืน้ ดินร้อนกว่านำ้ ในมหาสมุทรส่งผลให้ความดนั อากาศเหนือพนื้ ดินต่ำกว่าความดันอากาศเหนือ
มหาสมทุ ร เปน็ เหตุให้เกดิ ลมมรสุมพดั ในทิศตรงข้ามกบั ในฤดูหนาว คือลมจะพัดจากมหาสมุทรเข้าสู่
พน้ื ดนิ และพาความชืน้ จากมหาสมุทรเข้าสูแ่ ผน่ ดนิ ทำให้เกิดฝนตก

27. ประเทศไทยอยูภ่ ายใตอ้ ิทธพิ ลของลมมรสุม 2 ชนิด คือ 1)ลมมรสุม
ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื 2) ลมมรสมุ ตะวนั ตกเฉยี งใต้

28. ลมมรสุมตะวันออกเฉยี งเหนือ หรอื มรสุมฤดูหนาว พัดปกคลุมประเทศไทย
ประมาณกลางเดือนตุลาคมจนถงึ กลางเดือนกุมภาพนั ธ์ ซ่ึงตรงกับฤดหู นาวของประเทศไทย

แหล่งกำเนดิ มีแหล่งกำเนดิ จากบรเิ วณความดนั อากาศสงู บนซกี โลกเหนือแถบประเทศ
มองโกเลียและจนี

ผลกระทบ ลมมรสุมจะพดั พาเอามวลอากาศเยน็ และแห้งจากแหล่งกำเนิดเข้ามาปกคลุม
ประเทศไทย ทำให้ท้องฟ้าโปร่ง อากาศหนาวเย็นและแหง้ แล้งทัว่ ไปโดยเฉพาะภาคเหนือและภาค
ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ส่วนภาคใตจ้ ะมฝี นชุก โดยเฉพาะภาคใต้ฝั่งตะวนั ออก เนอื่ งจากมรสุมนี้นำ
ความชมุ่ ช้นื จากอ่าวไทยเข้ามาปกคลุม

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

224 คมู่ อื เตรยี มสอบ

29. ลมมรสุมตะวันตกเฉยี งใต้ หรอื มรสุมฤดรู ้อน พัดปกคลุมประเทศไทยระหวา่ ง
กลางเดอื นพฤษภาคมถงึ กลางเดอื นตุลาคมซ่งึ ตรงกับฤดูฝนประเทศไทย แต่ตรงกับฤดูรอ้ นของ
ประเทศทางซีกโลกเหนอื

แหล่งกำเนดิ มีแหลง่ กำเนิดจากบริเวณความดนั อากาศสูงในซกี โลกใตบ้ ริเวณมหาสมุทรอนิ
เดยี ว ซงึ่ พัดออกจากศูนย์กลางเป็นลมตะวนั ออกเฉียงใต้ และเปล่ยี นเปน็ ลมตะวันตกเฉียงใตเ้ ม่อื พดั
ข้ามเสน้ ศนู ย์สตู ร

ผลกระทบ มรสมุ นีจ้ ะนำมวลอากาศข้นึ จากมหาสมุทรอินเดยี มาสูป่ ระเทศไทย เมื่ออากาศ
ขึ้นปะทะกับชายฝั่งและภูมปิ ระเทศซ่ึงเป็นภเู ขาจะเกดิ การควบแนน่ ทำใหม้ ีเมฆมากและฝนชกุ ท่วั ไป
โดยเฉพาะอย่างย่ิงตามบริเวณชายฝั่งทะเล และเทือกเขาด้านรับลมจะมีฝนมากกวา่ บริเวณอ่นื

30. ลมฟ้าอากาศในภาวะปกติ มีลกั ษณะดังน้ี
1) มหาสมทุ รแปซฟิ ิกแถบเส้นศูนย์สตู รจะมลี มสนิ คา้ ตะวันออกเฉยี งเหนือและลมสินคา้
ตะวนั ออกเฉยี งใต้พดั พาน้ำบริเวณผิวหนา้ ที่มอี ุณหภมู สิ ูงจากการได้รบั พลงั งานความร้อนจากดวง
อาทติ ย์ ลมสนิ ค้านจี้ ะพดั จากชายฝัง่ ตะวนั ออกของหมาสมุทรแปซิฟิก คือ ทางฝัง่ ตะวันตกของทวปี
อเมริกาใตไ้ ปยงั ด้านตะวนั ตกแขงมหาสมุทรแปซิฟกิ คอื ด้านตะวนั ออกของหมเู่ กาะของประเทศ
อินโดนีเซีย
2) การไหลของน้ำทะเลในระดับผิวพน้ื จากบรเิ วณชายฝงั่ ตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้จะทำ
ให้มนี ้ำเย็นจากขว้ั โลกท่ีไหลเลียบชายฝั่งทวปี อเมริกาโดยเฉพาะน้ำเย็นทอ่ี ยูส่ ว่ นล่างซ่ึงมีอุณหภูมติ ่ำ
กวา่ ไหลข้นึ มาแทนทบี่ ริเวณชายฝง่ั ตะวันตกของทวปี อเมริกาใต้จงึ มีอณุ หภมู ิตำ่ ส่งผลใหอ้ ากาศที่อยู่
เหนอื บรเิ วณนี้มีอุณหภมู ติ ำ่ ไมส่ ามารถกอ่ ตัวเป็นเมฆและฝนได้ ดังนน้ั จงึ ชี้สภาพอากาศที่แห้งแล้ง
3) บรเิ วณมหาสมุทรแปซิฟิกดา้ นตะวนั ตกทีม่ ีน้ำอุ่นไหลมาสะสมอยจู่ ะทำให้อากาศบรเิ วณน้ี
มีอุณหภมู ิและความชื้นสงู จงึ ก่อให้เกิดเมฆฝนขนาดใหญจ่ ำนวนมากและทำให้เกดิ ฝนตกมาก
31. การพยากรณอ์ ากาศ คอื การคาดหมายสภาวะอากาศและปรากฏการณ์ทาง
ธรรมชาติที่จะเกดิ ขน้ึ ในชว่ งเวลาใดเวลาหน่งึ ในอนาคต เชน่ ฝนอุณหภูมิ เมฆ หมอก คล่ืนลม พายุ
หมุนเขตร้อน พายุฝนฟ้าคะนอง การเกดิ อุทกภยั ภัยแลง้ เป็นต้น
32. การทจี่ ะพยากรณอ์ ากาศได้ต้องมอี งค์ประกอบ 3 ประการ ดงั น้ี

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 225

1) ความรู้ความเข้าใจในปรากฏการณแ์ ละกระบวนการตา่ ง ๆ ที่เกิดขน้ึ ในบรรยากาศ โดย
วธิ ีการเฝา้ สงั เกตและจดบนั ทึกไว้ ทำให้สามารถอธิบายถงึ สาเหตุของการเกดิ ลกั ษณะอากาศแบบต่าง
ๆ ได้

2) สภาวะอากาศในปัจจบุ นั ใชเ้ ป็นขอ้ มูลเร่ิมตน้ สำหรับการพยากรณอ์ ากาศ ได้จากการตรวจ
อากาศผิวพ้ืน การตรวจอากาศชนั้ บนในระดับความสูงต่าง ๆ และส่งิ สำคัญท่ีจะต้องทำการตรวจเพ่ือ
พยากรณอ์ ากาศ ไดแ้ ก่ อุณหภมู ิ ความกดอากาศ ความชนื้ ลม เมฆ และฝน ซงึ่ การตรวจอากาศผวิ
พ้นื ที่ชว่ ยให้ได้ขอ้ มลู เกี่ยวกับอณุ หภูมิ ความช้นื ความดนั อากาศ ลม เมฆ และฝน โดยปกติจะตรวจ
ทกุ 3 ชวั่ โมง ส่วนการตรวจอากาศช้นั บนจะตรวจทศิ ทางและความเรว็ ลมทุก 6 ชั่วโมง ตรวจ
อณุ หภูมิและความช้นื ทุก 12 ชั่วโมง

3) ความสามารถท่ีจะผสมผสานองค์ประกอบใน 1) และ 2) เข้าดว้ ยกันเพอื่ คาดหมายการ
เปลี่ยนแปลงของบรรยากาศที่จะเกดิ ขึน้ ในอนาคต

33. ประเภทของการพยากรณ์อากาศ แบง่ ออกเป็น 3 ประเภท และช่วงเวลาของการ
พยากรณ์ คอื

1) การพยากรณ์อากาศระยะสัน้ เปน็ การพยากรณ์อากาศในช่วง เวลาเกนิ กวา่ 12 ชั่วโมง
ขน้ึ ไปจนถึง 72 ชว่ั โมง ใชข้ อ้ มูลผลการตรวจอากาศและแผนท่อี ากาศในปัจจุบนั มาวเิ คราะห์

2) การพยากรณอ์ ากาศระยะปานกลาง เปน็ การพยากรณ์อากาศในระยะเวลามากว่า 72
ชัว่ โมง จนถงึ 10 วนั ใช้ขอ้ มูลอตุ นุ ยิ มวทิ ยา ปัจจุบนั รว่ มกับขอ้ มูลจากสถิติภมู ิอากาศในการพยากรณ์

3) การพยากรณอ์ ากาศระยะยาว เป็นการพยากรณ์อากาศในช่วงเวลาระหวา่ ง 10 วัน ถึง
30 วัน ใชข้ อ้ มลู สถิติทางอุตุนิยมวทิ ยาในการพยากรณ์

34. หลกั การพยากรณอ์ ากาศ การทีจ่ ะพยากรณ์อากาศในบริเวณใดบรเิ วณหนึ่งต้องใช้
ขอ้ มูลผลการตรวจอากาศในบรเิ วณนั้นร่วมกับผลการตรวจอากาศในบริเวณทีอ่ ยโู่ ดยรอบดว้ ยเพราะ
ปรากฏการณ์ทเ่ี กิดขนึ้ ในบรรยากาศมีการเคล่ือนท่ีอยตู่ ลอดเวลา สิ่งทเี่ กดิ ข้นึ นอกจากพื้นทก่ี าร
พยากรณ์อาจเคล่ือนตัวมามีผลตอ่ สภาพอากาศในบรเิ วณท่ีจะพยากรณ์ได้ จงึ ตอ้ งมีการแลกเปลี่ยน
ข้อมูลระหว่างสถานตี รวจอากาศในประเทศและระหว่างประเทศ

35. การตรวจอากาศ เพ่อื ใหไ้ ด้ข้อมลู ต่าง ๆ ทางอุตนุ ยิ มวิทยา การตรวจจะเป็นแบบ
ตา่ ง ๆ ดังน้ี

1) การตรวจอากาศบนพ้ืนดนิ ได้จากสถานีตรวจอากาศในทกุ จังหวดั โยงกันเป็นโครงข่าย
สถานแี ต่ละแห่งต้องอยหู่ ่างกันไม่เกิน 150 กิโลเมตร ซึ่งจะตรวจทัศนวิสยั คา่ ความกดอากาศ

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

226 ค่มู อื เตรยี มสอบ

อุณหภูมิของอากาศ ความชน้ื สมั พทั ธ์ ลม ชนิดและปรมิ าณเมฆ และหยาดนำ้ ฟ้า โดยทำการตรวจ
อากาศทุก ๆ 3 ช่วั โมง

2) การตรวจอากาศในทะเล ได้ข้อมูลจากท่นุ ลอยท่ีติดตง้ั ไว้ ทำใหไ้ ด้ข้อมลู คล่นื และ
อุณหภูมนิ ้ำทะเล

3) การตรวจอากาศชั้นบน ใชเ้ ครอื่ งวิทยุหยง่ั อากาศผูกติดกบั บอลลูน เสรมิ กับขอ้ มูลจาก
เครอ่ื งบินพาณิชย์ท่ีบนิ ระหวา่ งประเทศไทละข้อมูลจากดาวเทียมโดยสถานตี รวจอากาศชั้นบนตั้งอยู่
หา่ งกันไม่เกิน 250 กโิ ลเมตร ผลการตรวจจะได้ข้อมลู ทศั นวสิ ัย ทศิ ทางและความเรว็ ลมอุณหภูมิ
และปรมิ าณและชนดิ เมฆ โดยจะทำการตรวจทุก ๆ 6 ช่ัวโมง

4) การตรวจอากาศด้วยเรดาร์ สามารถตรวจไดไ้ กลตามรัศมขี องเรดาร์ เป็นขอ้ มูลเก่ยี วกับ
ฝน ไดแ้ ก่ ชนดิ ความรุนแรง การเคลื่อนตวั และแนวโนม้ ความแรงของกลุม่ ฝน

5) การตรวจอากาศดว้ ยดาวเทียมอตุ นุ ยิ มวิทยา เปน็ ข้อมูลเกีย่ วกบั เมฆชนิดต่าง ๆ ใน
บริเวณห่างไกล ทรุ กันดาร และไมส่ ามารถต้ังสถานตี รวจวัดได้

36. สาเหตุสำคญั ทีท่ ำใหก้ ารพยากรณอ์ ากาศเกิดการผดิ พลาด 3 ประการ คือ
1) ความรคู้ วามเขา้ ใจเก่ยี วกบั ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางอตุ ุนิยมวทิ ยายงั ไมส่ มบรู ณ์
2) บรรยากาศมกี ารเปล่ยี นแปลงอย่ตู ลอดเวลาและมกี ารเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องแต่สถานี
ตรวจอากาศมีจำนวนน้อยและอยหู่ ่างกันมาก รวมทง้ั อาจทำการตรวจเพยี งบางเวลาเทา่ น้ันไม่ได้
ตรวจอยา่ งตอ่ เน่ืองตลอดเวลา
3) ธรรมชาติของกระบวนการทเ่ี กิดขึ้นในบรรยากาศจะมีความละเอียดอ่อนซบั ซ้อนมาก
บางครัง้ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติซง่ึ มขี นาดเล็กหรือเกิดข้ันในระยะสน้ั ๆ และไม่อาจตรวจพบได้
จากการตรวจอากาศอาจทำใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลงของสภาพลมฟ้าอากาศเป็นอย่างมากใน
ระยะเวลาต่อมา และทำให้ผลการพยากรณ์อากาศผดิ พลาดไปได้
37. เอลนโี ญ(EI Nino)เป็นปรากฏการณท์ ่เี กิดจากสภาพลมฟ้าอากาศการเปลี่ยนแปลง
ไปจากสภาวะปกติ คือ
1) ลมสินค้าตะวันออกมีกำลังอ่อนกว่าในสภาวะปกติ ทำให้ลมทพี่ ดั ปกคลมุ บริเวณเสน้ ศูนย์
สูตรทางแปซิฟกิ ตะวันตกเหนือทวปี ออสเตรเลียเปลย่ี นทิศทางจากตะวันออกเปน็ ตะวนั ตก ทำใหเ้ กดิ
คลืน่ ใต้ผิวนำ้ พดั พาเอามวลนำ้ อุน่ ท่ีสะสมอย่บู รเิ วณแปซฟิ ิกตะวันตก ไปแทนทน่ี ้ำเย็น แปซฟิ ิก
ตะวนั ออก

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 227

2) เม่ือมวลนำ้ อุน่ ถูกพัดพาไปถึงแปซิฟิกตะวันออกหรือบริเวณตะวนั ตกของทวปี อเมริกาใต้
ก็จะรวมเข้ากับผิวนำ้ ทำใหผ้ ิวหนา้ นำ้ ทะเลบรเิ วณทอ่ี ุ่นข้ึนกว่าปกตแิ ละนำ้ อุ่นนีจ้ ะคอ่ ย ๆ แผข่ ยาย
พ้ืนทไ่ี ปทางตะวันตกถงึ ตอนล่างของมหาสมทุ ร ส่งผลให้บรเิ วณทม่ี ีการกอ่ ตัวของเมฆและฝนซงึ่ ปกติ
จะอย่ทู างตะวันตกของมหาสมทุ รเปล่ยี นแปลงไปอยทู่ ี่บริเวณตอนกลางและตะวันออกบริเวณ
ดังกล่าวจึงมฝี นตกมากกว่าปกตใิ นขณะทแ่ี ปซิฟิกตะวนั ตกซ่ึงเคยมีฝนมากจะมฝี นน้อยและเกดิ ความ
แห้งแลว้

38. ผลกระทบท่ีเกิดเน่ืองจากปรากฏการณ์เอลนโี ญจะทำให้บริเวณที่เคยมีฝนตกชกุ มี
ปรมิ าณฝนลดลงอยา่ งมากและบรเิ วณทเี่ คยมฝี นนอ้ ยมีปรมิ าณฝนเพิ่มขน้ึ มาก

39. ลานญี า(Lanina)เปน็ ปรากฏการณท์ ี่เกิดจากสภาพลมฟา้ อากาศมีการ
เปล่ียนแปลงไปจากสภาวะปกติและมีลกั ษณะตรงข้ามกับเอลนีโญ คือ

1) ลมสินคา้ ตะวันออกเฉียงใต้ท่ีพัดปกคลมุ เหนือมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนมีกำลงั แรง
มากกวา่ ปกติและพดั พาผิวนำ้ ทะเลที่อุ่นจากตะวันออกไปสะสมอยู่ทางตะวันตกมากย่ิงข้ึน ทำให้
บรเิ วณแปซฟิ ิกตะวนั ตกรวมท้ังบริเวณตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชยี ซึง่ เดมิ มีอณุ หภูมิ
ผวิ นำ้ ทะเลสงู กวา่ ทางตะวนั ออกอยูแ่ ลว้ ยง่ิ มีอุณหภมู สิ งู ขึ้นไปอกี ทำให้อากาศเหนือบรเิ วณนี้มกี าร
ลอยตัวขน้ึ และกล่ันตัวเป็นเมฆและฝนมากกว่าปกติ

2) บริเวณแปซิฟกิ ตะวันออกนอกฝง่ั ประเทศเปรแู ละเอกวาดอรใ์ นทวปี อเมริกาใต้จะมี
กระบวนการไหลขึน้ ของนำ้ เย็นระดบั ล่างไปสูผ่ ิวนำ้ อยา่ งต่อเนื่องและรุ่นแรง อุณหภูมทิ ี่ผิวน้ำทะเลจงึ
ลดลงต่ำกว่าปกติ สง่ ผลใหบ้ ริเวณนีท้ ี่เคยแหง้ แล้งอยู่แล้วเกิดความแห้งแลง้ มากย่ิงขึน้

40. ผลกระทบทเ่ี กิดเน่อื งจากปรากฏการณ์ลานญี า จะทำให้บริเวณทีม่ ปี ริมาณฝน
มากอยู่แล้วมฝี นเพิ่มข้นึ อีก และบริเวณทแ่ี หง้ แล้งจะย่งิ แห้งแล้งยิ่งขนึ้ เช่นกนั

41. สาเหตุทท่ี ำให้อุณหภมู ิบรรยากาศของโลกลดลง เช่น
1) การระเบิดของภเู ขาไฟก่อใหเ้ กดิ ฝุน่ ละอองมากโลกจึงได้รบั พลังงานจากดวงอาทิตย์
นอ้ ยลง
2) การเคลื่อนตวั ของพื้นทวปี
3) องคป์ ระกอบของแกส๊ ในบรรยากาศเปลี่ยนไป
4) สาเหตุทางดาราศาสตร์ เชน่ องศาการเอียงของแกนโลก วงจรของโลกเปน็ วงรมี ากขนึ้
หรอื น้อยลง เป็นตน้
42. สาเหตุที่ทำให้อุณหภมู ิบรรยากาศของโลกสูงขึน้ เช่น
1) การเผาไหมเ้ ช้ือเพลงิ ต่าง ๆ เชน่ น้ำมนั ถา่ นหิน แกส๊ ธรรมชาติ เป็นต้น

ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

228 ค่มู อื เตรยี มสอบ

2) การแผว้ ถางป่า เพ่ือทำการเกษตรหรือทีอ่ ยู่อาศัย
3) การขยายตัวของเมือง
43. ปรากฏการณเ์ รือนกระจกตามธรรมชาติ คือ ปรากฏการณ์ที่ชั้นบรรยากาศของ
โลกทำหน้าทเ่ี หมือนกระจกที่ยอมใหร้ งั สคี ล่นื สน้ั จากดวงอาทิตย์ผ่านลงมายงั ผิวโลกได้ และจะ
ดูดกลืนรังสีคลื่นยาวช่วง
อนิ ฟราเรดท่ีแผ่ออกจากพืน้ ผิวโลกเอาไว้จากน้นั กจ็ ะคายพลงั งานความร้อนให้กระจายอยู่ภายในช้นั
บรรยากาศและพนื้ ผวิ โลก เปรียบเสมือนกระจกทปี่ กคลมุ โลกให้มภี าวะสมดลุ ทางอุณหภมู ิ และ
เหมาะสมต่อการดำรงชวี ติ ของสงิ่ มชี ีวิตบนผวิ โลก
44. ชน้ั บรรยากาศของโลกในภาวะปกติ ประกอบด้วย โอโซน ไอน้ำ และแก๊สชนดิ ต่าง
ๆ ซง่ึ ทำหนา้ ที่กรองรงั สคี ลืน่ ส้นั บางชนดิ ใหผ้ ่านมากกระทบพืน้ ผิวโลก
45. ปรากฏการณเ์ รือนกระจกทเี่ กดิ จากมนุษย์ เกิดจากชัน้ บรรยากาศของโลกมี
ปริมาณแกส๊ บางชนิดมากเกินสมดุลของธรรมชาติ เชน่ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สมีเทน แก๊สคลอ
โรฟลูออโรคารบ์ อน และแก๊สไนตรสั ออกไซด์ เป็นต้น แก๊สเหลา่ นม้ี สี มบัตพิ ิเศษ คือสามารถดดู กลืน
และคายรงั สีคลน่ื ยาวช่วงอินฟราเรดได้ดีมาก ดังนนั้ เม่ือพ้ืนผิวโลกคายรงั สีอนิ ฟราเรดข้ึนสูช่ ้ัน
บรรยากาศ แก๊สจะดูดกลนื รงั สีอนิ ฟราเรดเอาไว้ แล้วคายความร้อนออกมาสะสมอยู่บรเิ วณ
พ้ืนผิวโลกและชัน้ บรรยากาศเพิม่ มากขน้ึ พน้ื ผวิ โลกจึงมอี ุณหภูมิสงู ขึน้ เรียกแกส๊ ทท่ี ำให้เกดิ
ปรากฏการณ์เชน่ น้วี ่า แกส๊ เรือนกระจก (Greenhouse Gases) และเรยี กปรากฏการณ์ทอี่ ากาศ
ผิวโลกอบอ่นุ หรอื ร้อนขึ้นวา่ ปรากฏการณเ์ รอื นกระจก (Greenhouse Effect)
46 แกส๊ เรือนกระจก มีแหลง่ ที่มาดังนี้
1) แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)เป็นแกส๊ ที่ทำให้เกิดพลังงานความร้อนสะสมใน
บรรยากาศของโลกมากทสี่ ุด เกดิ จากธรรมชาตแิ ละการกระทำของมนษุ ย์ เชน่ การเผาไหมข้ อง
เชอ้ื เพลงิ การตัดไม้ทำลายปา่ ซ่งึ การตดั ต้นไมเ้ ปน็ สาเหตสุ ำคัญที่สุด เพราะต้นไม้จะดูดซับแก๊ส
คารบ์ อนไดออกไซด์ไว้ เม่ือพื้นที่ป่าไม้ลดน้อยลงปริมาณแก๊สคารบ์ อนไดออกไซดจ์ งึ ขึ้นไปสะสมอย่ใู น
ชน้ั บรรยากาศได้มากข้ึน
2) แกส๊ มเี ทน ( ) เกิดจากธรรมชาตแิ ละการกระทำของมนุษย์ เช่น แหลง่ นาข้าว การ
ยอ่ ยสลายซากส่งิ มชี วี ิต การเผาไหม้เชอ้ื เพลงิ แก๊สมีแทนทำใหเ้ กดิ ผลกระทบจากปรากฏการณ์เรือน
กระจกมากเป็นอนั ดบั สองรองจากคาร์บอนไดออกไซด์

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 229

3) แก๊สไตรสั ออกไซด์ (N2O) มแี หล่งกำเนดิ จากโรงงานอุตสาหกรรมทใี่ ช้กรดไนตริกใน
กระบวนการผลิต เชน่ อตุ สาหกรรมผลิตเส้นใยในลอน อตุ สาหกรรมเคมี หรืออตุ สาหกรรมพลาสตกิ
เปน็ ต้น

4) แก๊สที่มสี ารประกอบคลอโรฟลอู อโรคารบ์ อน (CFC) มแี หล่งกำเนดิ จากโรงงาน
อุตสาหกรรม และอุปกรณเ์ ครื่องใชต้ า่ ง ๆ เชน่ เคร่ืองปรบั อากาศ ตเู้ ย็น กระป๋องสเปรย์ เปน็ ต้น

47. วิธีการบรรเทาผลกระทบจากปรากฏการณเ์ รือนกระจก
1) ใช้แก๊สธรรมชาตแิ ทนถ่านหินและนำ้ มัน เพอ่ื ลดปรมิ าณแก๊สคาร์บอนไดออกไซดใ์ น
บรรยากาศ
2) ใช้แหลง่ พลงั งานทดแทน เช่น พลงั งานจากแสงอาทติ ย์ ลม และชีวมวล แทนการใช้
เชื้อเพลิง
3) ชว่ ยกันรกั ษาปา่ ทีม่ ีอยู่ ลดการตดั ไม้ทำลายป่า ปลกู ปา่ ทดแทนคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิด
จากการเผาไหม้เชอื้ เพลงิ ในการผลิตกระแสไฟฟ้า
48. มลพิษทางอากาศ มีแหลง่ กำเนดิ จาก 2 แหล่งใหญ่ ๆ คือ
1) ธรรมชาติ เช่น ฝนุ่ ควนั จากไฟปา่ ฝุ่นละอองดิน แกส๊ จากสารของอนิ ทรยี วตั ถุ แก๊สจาก
การขบั ถ่ายและหายใจของส่งิ มชี วี ิต เถ้าถา่ นการระเบิดของภูเขาไฟ
2) การกระทำของมนุษย์ เป็นแหลง่ ที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศมากท่สี ดุ เช่น การผลิตที่
ใช้เครอ่ื งจักรเครอื่ งยนต์ และนำ้ มนั เช้อื เพลิงในอุตสาหกรรมทผ่ี ลติ และใช้สารเคามที ่ีมีพิษ การทำ
เหมืองแร่ การเดินท่อคมนาคมขนส่ง การใช้เช้ือเพลงิ ต่าง ๆ เปน็ ตน้
49. สารท่ที ำให้เกิดมลพษิ ทางอากาศ
1) ฝ่นุ ละออง เขม่าควันแหล่งกำเนิด การระเบดิ ของภเู ขาไฟ การเผาไหม้การกร่อนของ
สารโรงงานอตุ สาหกรรม โรงไฟฟ้า เครอ่ื งยนต์ผลกระทบ ทำให้อากาศขุน่ มวั กัน้ พลังงานจากดวง
อาทติ ย์ ก่อใหเ้ กิดอนั ตรายต่อระบบทางเดินหายใจของสิง่ มีชีวิต
2) คาร์บอนมอนอกไซด์ เป็นแก๊สไม่มีสี ไม่มีกลน่ิ แตเ่ ป็นพิษในแรงต่อมนุษย์แหล่งกำเนิด
ไฟปา่ รถยนต์ เคร่ืองจกั รท่ีใช้น้ำมนั เบนซนิ หรือแก๊สธรรมชาตโิ รงงานอุตสาหกรรมผลกระทบ ทำให้
ปวดศรี ษะ อ่อนเพลยี อาเจียน ตาพร่ามัว ถ้าไดร้ ับในปรมิ าณสูงมากจะทำใหช้ พี จรเต้นอ่อน ระบบ
หายใจลม้ เหลวและถงึ แกค่ วามตายได้
3) ซลั เฟอรไ์ ดออกไซด์ ไมม่ ีสี กล่ินฉุนคลา้ ยกลน่ิ ไม้ขดี ขณะติดไฟมีอำนาจกัดกรอ่ นและเปน็
พิษต่อส่งิ มีชีวิตแหล่งกำเนิด ภูเขาไฟระเบดิ มหาสมทุ ร เคร่ืองจกั ร เคร่ืองยนต์โรงไฟฟ้าทใ่ี ช้เช้ือเพลิง
ประเภทนำ้ มันเตา น้ำมันดีเซล และถา่ นหิน การกลัน่ น้ำมันปิโตรเลยี มผลกระทบ ทำให้เกิดอาการ

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

230 ค่มู อื เตรยี มสอบ

ระคายคอ แสบตา แนน่ หน้าอก เมอ่ื สูดแก๊สนเี้ ข้าไปจะทำให้ชพี จรเต้นถ่ี หายใจเข้าออกน้อยลง ทำ
ให้เกดิ ฝนกรด

4) ไนโตรเจนไดออกไซด์ แหล่งกำเนดิ ฟ้าผา่ การตรงึ ไนโตรเจนของแบคทเี รียในดิน
รถยนต์ เตาเผาอุณหภมู ิผลกระทบ ทำใหน้ ัยน์ตาและปอดเกิดการระคายเคอื ง ทำให้เกิดฝนกรด

5) แกส๊ จากสารประกอบไฮโดรคาร์บอน แหลง่ กำเนิดนำ้ มันรถยนต์ การเผาไหม้ โรงงาน
อตุ สาหกรรม บุหรี่ สเปรยก์ ระป๋องผลกระทบ ก่อใหเ้ กดิ โรคมะเร็ง

50. ฝนกรด (Acid rain) หมายถึง น้ำฝนทีม่ ีคา่ ความเปน็ กรด-เบส (pH value) ตำ่
กวา่ 5.6 กรดในนำ้ ฝนเกิดจากการละลายนำ้ ของแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และไน
ตรกิ ออกไซด์ ที่มอี ยู่ในบรรยากาศ เม่ือฝนตกลงมาจะละลายแก๊สเหลา่ น้ีทำใหน้ ้ำฝนเย็นเป็นกรด
สงู ข้นึ

51. ความเสยี หายที่เกดิ จากฝนกรด
1) ทำใหเ้ กิดดนิ เปร้ยี ว (ดนิ มสี ภาพเปน็ กรด) และดินขาดแร่ธาตทุ ส่ี ำคัญของพชื
2) เปน็ อนั ตรายต่อพืช ทำใหก้ ารเจรญิ เตบิ โรของพชื หยดุ ชะงักและพชื อาจตายได้
3) สร้างความเสยี หายให้การเกษตร เชน่ การเพาะปลูก การเพาะ การประมง การเลีย้ งสัตว์
ในทีโ่ ลง่
4) ทำใหน้ ำ้ ในแหลง่ นำ้ มีสภาพเป็นกรดส่งผลให้สัตว์น้ำและพชื นำ้ ตาย
5) ฝนกรดจะกดั กร่อนทำลายสง่ิ กอ่ สรา้ ง อาคาร หรือโบราณสถาน สรา้ งจากหินปูน หนิ ออ่ น
และโลหะ
52. การควบคมุ และป้องกนั การเกดิ ฝนกรด เปน็ การควบคุมการเกดิ ของสารประกอบ
ซัลเฟอร์และไนโตรเจน สามารถทำไดโ้ ดย
1) เลอื กใชเ้ ช้อื เพลงิ ทมี่ กี ารปนเป้อื นของซัลเฟอร์น้อย
2) ตดิ ตั้งเครื่องกำจดั แก๊สในโรงงานอตุ สาหกรรมเพ่ือลดปริมาณแก๊ส เพิม่ ของแก๊สซลั เฟอร์
ไดออกไซดแ์ ละออกไซด์ของไนโตรเจนออกสู่อากาศ
3) ปรับปรงุ การเผาไหม้ของน้ำมนั เชอ้ื เพลิง เพื่อควบคุมการเกิดสารประกอบออกไซด์ของ
ไนโตรเจนดว้ ยการลดอุณหภมู ิใหต้ ำ่ ลงกว่า 1,500 องศาเซลเซียส
4) ควบคุมปริมาณออกซิเจนทใี่ ช้ในการเผาไหมข้ องน้ำมนั เช้อื เพลิง

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 231

ตัวอย่างแนวข้อสอบบทท่ี 2

1. ลมมคี วามมายตรงกบั ขอ้ ใด 6. สภาพอากาศในขอ้ ใดทส่ี ามารถรับไอน้ำ

ก. อากาศทแ่ี นน่ ่ิง ไว้ไดม้ ากทส่ี ุด

ข. อากาศทร่ี ้อนมากๆ ก. อากาศเปยี ก

ค. อากาศที่เคลอื่ นท่ี ข. อากาศแห้ง

ง. อากาศที่เยน็ มากๆ ค. อากาศชนื้

2. ลมบกเกิดขน้ึ ได้อยา่ งไร ง. อากาศอ่ิม

ก. อากาศเหนอื น้ำพดั เขา้ ฝั่ง 7. ขอ้ ใดคือลมประจำถิน่

ข. อากาศเหนอื พน้ื ดนิ พดั ออก ก. ลมมรสมุ

ทะเล ข. ลมสนิ คา้

ค. อากาศเหนอื เหนือพน้ื น้ำและ ค. ลมบก ลมทะเล

ดินพดั เข้าหากนั ง. ถกู ทุกข้อ

ง. อากาศเหนือพ้นื ทั้งสองไม่พัด 8. แนวความกดอากาศต่ำท่ีทำใหเ้ กดิ ฝน

3. เมฆคืออะไร หรือรอ่ งมรสุมมีลกั ษณะอย่างไร

ก. ละอองนำ้ ก. เปลยี่ นตำแหนง่ ตามการ

ข. หยาดนำ้ ฟา้ เคลอ่ื นที่ของดวงอาทิตย์

ค. เกลด็ น้ำแขง็ ข. เปลยี่ นตำแหนง่ นำหนา้ การ

ง. แม่คะนง้ิ เคล่ือนท่ีของดวงอาทติ ย์

4. พายุหมุนเขตร้อนจะมีกำแรงลมเทา่ ใด ค. ร่องมรสุมจะอยู่คงท่ีไมม่ ีการ

ก. 100 (Km/h) เปลย่ี นตำแหน่ง

ข. 200 (Km/h) ง. ไม่มีข้อถกู

ค. 300 (Km/h) 9. เอลนโี น เป็นปรากฏการณ์ทเี่ กดิ ข้นึ ทุกๆ

ง. 400 (Km/h) กี่ปี

5. ชาวประมงใช้ประโยชนจ์ ากลมชนดิ ใด ก. 2-10 ปี ข. 1-5

ในการออกหาปลาและกลับเข้าฝง่ั ค. 2-15 ปี ง. 1-20 ปี

ก. ลมประจำภูมภิ าค 10. ก๊าช มีเทน มีแหล่งที่มาจากทีใ่ ด

ข. ลมประจำถน่ิ ก. ควันรถยนต์

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

232 คมู่ อื เตรยี มสอบ ข. เผาป่า
ค. การย่อยสลายส่ิงมีชีวิต
ค. ลมประจำเวลา ง. การตัดตน้ ไม้
ง. ลมประจำฤดู

บทที่ 3 ทรัพยากรธรณี

1. ดนิ (Soil) เปน็ ของผสมระหวา่ งสารอินทรีย์ สารอนินทรีย์ นำ้ และ อากาศในดิน

2. ประโยชนข์ องดนิ ดงั น้ี
1) เป็นแหลง่ ผลิตอาหารของส่ิงมีชีวติ
2) ช่วยกักเก็บนำ้
3) เป็นแหล่งที่อยูอ่ าศยั ของสิ่งมีชวี ติ ทุกชนิด
4) เปน็ แหล่งก่อเกิดปัจจัย 4 ทจี่ ำเป็นต่อการดำรงชวี ติ ของมนษุ ย์
3. ส่วนประกอบของดิน ประกอบด้วย 1) อนิ ทรยี วัตถุ 2) อนินทรยี สาร 3) น้ำ 4)
อากาศ
4. อินทรยี วัตถุ เกิดจากซากพชื ซากสตั ว์ เนา่ เปื่อยผุพังทบั ถมปะปนอยู่ในดินโดยมี
จลุ นิ ทรยี ์ช่วยยอ่ ยสลายอินทรียวัตถใุ หม้ ีขนาดเล็กลงกลายเป็นอนุภาคของดนิ
ประโยชน์ ทำใหด้ นิ มีความอุดมสมบรู ณ์ ให้สารอาหารแก่พืช และชว่ ยกักเกบ็ นำ้ ทำใหด้ ินมี
ความชุ่มช้นื
5. ฮวิ มัส (Humus)คือ อนิ ทรียวตั ถุ (ซากสิ่งมชี ีวิต) ที่ถกู ย่อยสลายจนมขี นาดเลก็ แลว้
และอยู่ในสภาพทีเ่ หมาะสม
6. อนนิ ทรยี สาร หรือแร่ธาตุ เกิดจากการสลายตวั ของหนิ และแร่ธาตุทีใ่ ห้กำเนดิ ดิน
ประโยชน์ เปน็ สว่ นประกอบหลกั ของดิน และให้แรธ่ าตทุ จ่ี ำเป็นตอ่ การเจรญิ เติบโตของพืช
7. น้ำในดนิ อย่ใู นชอ่ งวา่ งระหว่างอนุภาคของดินประโยชน์ เปน็ ปจั จยั ทจี่ ำเป็นตอ่ การ
สร้างอาหารและการเจรญิ เตบิ โตของพืช ชว่ ยละลายแร่ธาตทุ อ่ี ยู่ในดนิ ทำให้พชื ดูดซมึ ไปใช้ประโยชน์
ได้ เป็นแหล่งน้ำสำหรับจุลนิ ทรยี ์ในดนิ
8. อากาศในดินจะแทรกตัวอยู่ในช่องวา่ งระหวา่ งอนุภาคของดนิ และมีการถา่ ยเทกบั
อากาศบนดนิ ตลอดเวลา

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 233

ประโยชน์ แกส๊ ออกซเิ จนใช้ในการหายใจของพืชและจลุ นิ ทรียด์ นิ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
เม่ือทำปฏกิ ริ ยิ ากบั น้ำจะเกิดกรดคาร์บอนิกช่วยละลายธาตใุ นดินให้แก่พืช

9. อตั ราส่วนประกอบในดินแต่ละบรเิ วณจะแตกต่างกนั ข้ึนอย่กู บั พน้ื ดนิ และชนิด
ของดิน

10. ส่วนประกอบของดินร่วนประกอบดว้ ย แรธ่ าตุ 45% อากาศ 25%นำ้ 25% อินทรี
วตั ถุ 5%

11. หน้าตดั ขา้ งของดิน คือ ดนิ ที่ทับถมกันเปน็ ชนั้ ๆ ตามแนวดิ่ง
12. ชน้ั ดิน (Soil Horizon)คอื ชั้นในวัสดดุ ินทวี่ างตัวขนานหรือเกือบขนานกบั ผวิ หน้า
ของดิน มี 4 ชัน้ คอื
1) ชั้น O(Organic Horizon)เปน็ ดนิ ชั้นบนสุดพบในพ้นื ท่ปี า่ เทา่ น้นั มฮี วิ มัสปนอยูม่ าก
ดินมีความอุดมสมบูรณ์และมีความชุ่มชืน้ สงู พบรากพชื แผ่กระจายอยูท่ ั่วไป
2) ชน้ั A (A Horizon) เปน็ ช้ันดนิ ตอนบน ประกอบดว้ ยอินทรยี วตั ถทุ สี่ ลายตวั แลว้ ผสม
คลกุ เคลา้ กบั แร่ธาตุในดนิ ดนิ ชนั้ นจ้ี ะมกี ารซึมชะโดยนำ้ จากผิวดินนำพาตะกอนละเอยี ดไหลสดู่ ินช้นั
ลา่ งและมีการซึมชะโดยนำ้ ละลายอนนิ ทรีวัตถุในดินไหลผา่ นไปสู่ช้ันท่ลี กึ ลงไป
3) ชั้น B (B Horizon) ดินในชัน้ นจ้ี ะเปน็ ดินเหนยี ว มเี นื้อแนน่ มีความชืน้ สูง เป็นชน้ั สะสม
ของตะกอนและแร่ ที่มีองคป์ ระกอบของเหลก็ อะลูมิเนียม คารบ์ อเนต และซลิ กิ า เปน็ ต้น ช้นั น้มี ีสี
ของแร่ธาตชุ ัดเจน มีการเปลีย่ นแปลงทางเคมสี งู
4) ชนั้ C (C Horizon)เป็นดินชนั้ ท่ีอยู่ลกึ ที่สดุ ประกอบดว้ ยหนิ ผุและเศษหินทแ่ี ตกหักจาก
หนิ ดานท่ีเกดิ อยใู่ นพืน้ ที่นน้ั มีลักษณะเป็นก้อนเป็นพดื ที่มีลักษณะคล้ายหินเดิม
13. หนิ ดาน เป็นหินตน้ กำเนดิ ดิน ชนั้ หนิ ดานจะอยู่ดา้ นลา่ งของชนั้ ดนิ เปน็ ชน้ั หนิ พน้ื
หรอื หินแขง็
14. การแจงช้ันดนิ ใหแ้ ยกชัน้ ทมี่ ีความแตกตา่ งอยา่ งชดั เจนออกจากกันก่อน แล้วจงึ
ดดู ความแตกต่างย่อย ดงั น้ี
1) ชนั้ O ดูการสลายตวั ของอนิ ทรยี วัตถุ พบเฉพาะในป่าเทา่ นั้น
2) ชน้ั A ส่วนใหญ่จะอยบู่ นสุดมสี คี ลำ้ กว่าดนิ ชั้นล่าง
3) ช้ัน B เปน็ ชัน้ สะสมตะกอนและแร่ มีการสะสมดินเหนียว และแร่ต่างๆ
4) ชน้ั Cมีลกั ษณะเหมือนวตั ถุต้นกำเนิดดิน
15. ปัจจยั ท่ีมีผลต่อความหนาของชัน้ ดนิ 1) ภูมิประเทศ 2) หินดาน 3)
กระบวนการทางธรณีวิทยา 4) ภมู อิ ากาศ

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

234 ค่มู อื เตรยี มสอบ

16. การเกิดดิน ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน คือ 1) การผพุ งั สลายตัว 2) กระบวนการเกิด
ดนิ

17. การผุพังสลายตัว เป็นการเปล่ียนแปลงทัง้ ทางกายภาพและทางเคมี จากอทิ ธิพล
ของความรอ้ น ความชน้ื การแสนำ้ กระแสลม ปฏิกริ ิยาเคมี และสง่ิ มชี ีวติ ตา่ งๆ ทำให้หินและแรธ่ าตุ
สลายตัวมีขนาดเล็กลงและมลี ักษณะเปล่ียนแปลงไปจากเดิม ทับถมรวมกนั กับอินทรียวัตถเุ ป็นวัตถุ
ต้นกำเนดิ ดนิ

18. กระบวนการเกิดดิน เกดิ ต่อเน่ืองจากการผพุ งั สลายตวั ของหินแร่ ทำให้เกดิ การ
พฒั นาของรปู หน้าตัดขา้ งของดินในลักษณะตา่ ง ๆ กัน คือ

1) การไม่แยกชน้ั ดนิ ทำให้หนา้ ตดั ขา้ งของดินมลี กั ษณะสม่ำเสมอไมส่ ามารถแยกชั้นดนิ ได้
2) การแยกชั้นดิน ทำใหห้ นา้ ตัดขา้ งของดินเกิดเปน็ ช้ันๆ ได้ชดั เจน
19. ปจั จัยทคี่ วบคุมการเกดิ ดิน มีทัง้ ปจั จยั กายภาพและ
1) วัตถตุ น้ กำเนดิ ดิน เปน็ ปจั จัยสำคัญและมีอทิ ธิพลต่อสมบัตขิ องดนิ เชน่ องค์ประกอบ
ทางเคมีและแรธ่ าตุในดิน สีดนิ และเนื้อดิน
2) สภาพภูมิอากาศ มผี ลต่อการผุพังสลายตวั ของหินและแรท่ ำให้เกิดดนิ ได้เรว็ ขน้ึ
3) สภาพภมู ิประเทศ มีอิทธพิ ลต่อการเกิดดนิ เช่น อิทธพิ ลต่อการระบายน้ำและปริมาณ
ความชน้ื ในดนิ การพงั ทลายของดนิ เป็นต้น
4) ส่งิ มีชีวิตโดยพืชแตล่ ะชนดิ จะทำให้ดินมลี ักษณะแตกต่างกนั เพราะพชื จะทำให้เกิดการ
หมุนเวียนแรธ่ าตุในดิน และมผี ลตอ่ ปริมาณอนิ ทรียวัตถใุ นดิน สว่ นสตั วท์ อ่ี าศัยอยู่ในดิน เชน่ มด
ไสเ้ ดือนดิน ปลวก และจุลนิ ทรยี ใ์ นดิน จะชว่ ยย่อยสลายซากสง่ิ มีชวี ติ ใหเ้ ปน็ สารอินทรยี ์
5) เวลา การเกิดดินต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะถงึ ข้ันสมบูรณ์
20. เนือ้ ดิน คือ ขนาดคามหยาบความละเอยี ดของอนุภาคอนินทรียท์ ีเ่ ปน็
องค์ประกอบของดิน
21. สิง่ ท่ีกำหนดประเภทของเนอื้ ดิน คอื สัดสว่ นโดยมวลของอนุภาคอนนิ ทรยี ์ 3 กลมุ่
ได้แก่
1) อนุภาคขนาดเมด็ ทราย เปน็ อนภุ าคขนาดใหญ่ มีเหลยี่ มมมุ อนภุ าคไมจ่ ับกนั ไม่ดูดยึด
อาหารและแรธ่ าตุ

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 235

2) อนุภาคขนาดทรายตะกอนหรอื อนภุ าคเม็ดทรายแป้ง เป็นอนุภาคขนาดปานกลาง แผน่
แบน ไมค่ ่อยจับกนั เองและไม่จับอนุภาคอ่นื ไม่คอ่ ยดูดยดึ นำ้ และแรธ่ าตุ อนุภาคกลมุ่ น้ีจะไปอดุ ตัน
ตามชอ่ งวา่ งต่างๆ กีดกันการซมึ นำ้ ลงดิน

3) อนภุ าคขนาดเมด็ ดนิ เหนยี ว เปน็ อนุภาคขนาดเล็กละเอยี ด มกั ดูดจบั รวมกนั เองเปน็ เม็ด
ขนาดใหญ่ มีความเหนียว เม่ือเปียกจะดูดยดึ นำ้ และแร่ธาตุได้

22. เนื้อดนิ ประเภทเน้อื ทรายหรือดนิ ทราย จะมีอนุภาคขนาดเมด็ ทรายมากดินมเี น้ือ
หยาบ

23. เนื้อดินประเภทดนิ เหนียว จะมีอนภุ าคขนาดเมด็ ดินเหนียวมาก
24. เนือ้ ดนิ ประเภทดนิ ร่วน มอี นุภาคที่ไม่แสดงสมบตั ิออกไปทางดนิ ทรายหรือดนิ
เหนียว
25. ชนิดของดนิ จำแนกตามลักษณะของเนื้อดินได้ 3 ประเภท คือ
1) ดินทราย (Sand) คือ ดินทม่ี ีเนอื้ ดินเกาะกนั ไมแ่ น่น หยาบ ระบายนำ้ และอากาศไดด้ ี
มาก อุ้มนำ้ ได้เลก็ น้อย มคี วามสมบูรณ์ตำ่
2) ดินรว่ น (Loam) คือ ดนิ ที่มเี นอ้ื ดินค่อนข้างละเอียด นุ่มมือ ระบายนำ้ และอากาศได้ดี
ปานกลาง มแี รธ่ าตุสะสมอยู่มาก
3) ดินเหนียว (Clay)คือ ดนิ ท่ีมเี นือ้ ดินละเอยี ดที่สดุ มีความเหนยี ว ปนั้ เป็นก้อนได้ อุ้มน้ำ
ได้ดี พงั ทลายได้ยาก มีแร่ธาตุสะสมอยมู่ าก
26. สขี องดนิ บ่งบอกสภาพทางเคมแี ละทางกายภาพของดินได้ เนอื่ งจากดินแต่ละชนิด
จะมสี ีท่เี ปน็ ลกั ษณะเฉพาะตวั ซ่ึงจะมีปริมาณฮิวมัสชนิดของสารประกอบธาตุเหลก็ และปริมาณ
ความชน้ื ในดินเปน็ ตัวกำหนด เช่น ดนิ ทีม่ ีฮิวมสั มากจะมสี ีคลำ้ สารประกอบธาตเุ หล็กทำให้ดนิ มสี เี ทา
หรอื แดงหรือเหลือง
27. ความเป็นกรด-เบส หรือค่า pH เป็นสมบตั ิทางเคมขี องดิน มีผลตอ่ ระดับธาตุ
อาหารและชวี ภาพในดนิ
ดนิ ทมี่ ีค่า pH ต่ำกวา่ 7.0 เรยี กวา่ ดนิ เปน็ กรด
ดนิ ท่ีมีคา่ pH เท่ากบั 7.0 เรียกวา่ ดนิ เป็นกลาง
ดินท่มี คี ่า pH มากกวา่ 7.0 เรยี กวา่ ดนิ เป็นเบส
28. ปญั หาเกย่ี วกับดิน เกดิ จาก
1) ธรรมชาติ เช่น กระแสนำ้ กระแสลม ชะล้างและพัดพาทำให้สภาพพน้ื ผวิ ดนิ
เปล่ยี นแปลง

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

236 คมู่ อื เตรยี มสอบ

2) การกระทำของมนุษย์ เช่นการใส่สารเคมีและสารกำจัดศัตรูพชื ลงในดินมากเกินไปการ
เพาะปลูกพืชเพยี งชนดิ เดียวติดต่อกันเปน็ เวลานาน เปน็ ต้น

29. ดินเปรีย้ ว หมายถึง ดินทม่ี ีสภาพเปน็ กรด มีคา่ pH ต่ำกว่า 7 พบในดินท่ีใช้
เพาะปลูกพชื หรือดินทใ่ี ส่ป๋ยุ วิทยาศาสตรเ์ ป็นเวลานาน

30. สาเหตุท่ที ำให้ดนิ เปรย้ี ว เกิดจาก
1) นำ้ ชะลา้ งแรธ่ าตทุ ่ีเป็นด่างออกจากดนิ ลงส่แู หลง่ น้ำทำให้ดินมสี ภาพเป็นกรด
2) การสลายตัวของอินทรียวัตถุ
3) การใสป่ ๋ยุ วทิ ยาศาสตรบ์ างชนดิ เป็นเวลานานหลายปี
31. การแก้ไขดินเปรีย้ ว มีหลายวิธีขึน้ อยกู่ ับสภาพของดนิ และความเหมาะสม
1) ใช้หลกั การเดยี วกับการทำสารท่ีมสี ภาพเป็นกรดใหม้ ีสภาพเปน็ กลางด้วยการใส่สารท่ีมี
สภาพเป็นด่างลงในดินให้มปี ริมาณเทา่ กบั ความเปน็ กรดทง้ั หมดในดนิ สารทใี่ ช้ เชน่ ปนู ขาวหรอื
ปนู ม์ล
2) ใชน้ ้ำชะล้างความเปน็ กรด โดยปลอ่ ยน้ำให้ทว่ มขังแปลงแล้วระบายออกประมาณ 2-3
คร้ัง
3) ใช้ทง้ั วธิ ีท่ี 1 และ 2 รว่ มกันเป็นวธิ ีท่ีสมบรู ณ์ที่สดุ
32. ดินเคม็ หมายถงึ ดินท่มี เี กลือทล่ี ะลายน้ำไดล้ ะลายอยู่ในปริมาณสงู
3-. ดินเค็มในประเทศไทย แบ่งเปน็ 2 ประเภท คอื
1) ดินเคม็ ชายฝ่งั ทะเล เกิดจากอิทธิพลของน้ำขนึ้ น้ำลง
2) ดนิ เค็มบก เกิดจากน้ำใต้ดินเค็ม ตะกอนน้ำกร่อย หรือน้ำเค็มท่ีทบั ถมมานาน ข้นึ อยกู่ ับ
ลักษณะภูมปิ ระเทศ
34. การแก้ไขปรับปรงุ ดนิ เคม็
1) เตมิ แคลเซยี มซัลเฟตหรอื กำมะถนั ผลลงในดินเพ่ือปรบั สภาพดินใหก้ ลายเปน็ เกลอื
โซเดียมซลั เฟตท่ีนำ้ ชะล้างออกได้งา่ ย
2) การทดน้ำจืดเขา้ ไปละลายเกลอื และชะล้างเกลือท่ีเปน็ สาเหตทุ ำให้ดินเคม็ ออกไปจากดิน
โดยทำซำ้ หลาย ๆ ครงั้
35. ดนิ ขาดความอดุ มสมบูรณ์ หมายถึง ดนิ ท่ีมีปริมาณแร่ธาตุทตี่ อ่ การเจริญเติบโต
ของพชื นอ้ ย ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเตบิ โตของพืช

ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 237

36 สาเหตุทีท่ ำให้ดนิ ขาดความอุดมสมบรู ณ์ เช่น การพงั ทลายของหนา้ ดนิ เนื่องจาก
นำ้ และลม การเพาะปลกู พชื เพยี งชนิดเดียวโดยไม่หมนุ เวยี น การเพาะปลกู และเตรียมดินก่อน
เพาะปลูกไมถ่ ูกวิธี

37. วธิ ปี ้องกนั การพงั ทลายของหนา้ ดิน ทำไดโ้ ดยการปลูกพืชคลุมดิน การปลกู พชื
แบบขน้ั บันไดตามไหลเ่ ขา การปลกู พชื หมนุ เวียน

38. ดนิ ฝาด เปน็ ดนิ ท่ีมีสภาพเปน็ เบสมาก ไมเ่ หมาะกับการเจริญเตบิ โตของพืช เป็น
สภาพของดนิ ทแี่ กไ้ ขปรับปรุงยาก มีความซับซ้อนมาก

39. ดนิ ทรายจัด หมายถงึ ดินท่ีมีเน้อื ดนิ เปน็ ดนิ ทรายหรือดินทรายรว่ น ดินร่วนเปน็ ชนั้
หนามากกวา่ 50 เซนตเิ มตร ดินมคี วามอดุ มสมบูรณ์

40. วิธีแก้ไขดนิ ทรายจดั ทำไดโ้ ดย 1) ปลกู พชื คลมุ ดิน 2) อินทรียค์ วบคูก่ บั ปุ๋ยเคมลี ง
ในดิน

41 ดนิ ต้ืน หมายถึง ดนิ ท่ีมเี นื้อดินน้อยเนือ่ งจากมลี ูกรัง ก้อนกรวด ศลิ า หรือเศษหิน
ปะปนอยู่ในดินตื้นกวา่ 50 เซนติเมตร เปน็ ดินทมี่ ีความอดุ มสมบรู ณต์ ำ่

42. การอนรุ ักษด์ นิ หมายถึง การใชด้ นิ ให้ถกู ต้องตามวิธีการเกษตรรอปยุ๋ ใหม่ และใช้
ใหเ้ กดิ ประโยชนม์ ากทสี่ ดุ

43. วิธีการอนรุ กั ษด์ นิ ทำได้โดย
1) การปลูกพชื หมุนเวียน พืชทีน่ ำมาปลูกต้องมีความต้องการแรธ่ าตแุ ตกต่างกัน
2) การปลูกพืชคลุมดนิ พชื ท่ีนำมาปลูกต้องมีใบหนา รากมากและยาวหย่ังลึก และมี
ประโยชนต์ อ่ ดิน
3) การคลมุ ดนิ วัสดทุ ่ีใชค้ ลมุ ดิน เช่น เศษหญ้า ฟาง ขเ้ี ลอื่ ย มูลสตั ว์ และเศษเหลือของพืช
4) การปลูกพชื แบบขัน้ บันได เปน็ การสรา้ งคัดดนิ หรือแนวหินขวางความลาดเอยี งของ
พื้นที่แลว้ ปลูกพืชบนขั้นบันได
5) การปลูกพืชตามแนวระดับ เปน็ การไถพรวนดนิ ตามแนวระดบั เดียวกันขวางความลาด
เอียงของพ้นื ท่ี แล้วปลูกพชื ตามแนวระดับ
44. หิน (Rocks)เป็นของแขง็ ที่เกิดขึน้ เองตามธรรมชาติเป็นสารผสมทเ่ี กิดจากการเกาะ
ตัวกันแนน่ ของแร่ซึง่ อาจเปน็ แรช่ นดิ เดยี วกันหรือแร่หลายชนดิ หรอื เปน็ สารผสมของแรก่ บั ซากดึกดำ
บรรพ์ หรือของแขง็ อืน่ ๆ
45. หินแต่ละชนิดจะมีสมบตั เิ ฉพาะตัว เรยี กวา่ สมบัติของหิน
46. สมบตั ิของหนิ แบง่ เปน็ 2 ประเภท ดังน้ี

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

238 คมู่ อื เตรยี มสอบ

1) สมบัติทางกายาภพ เปน็ สมบตั ทิ สี่ ามารถสงั เกตเห็นและตรวจสอบไดง้ ่ายด้วยตาเปลา่
หรือใช้แวน่ ขยายสอ่ งดจู ากลักษณะภายนอกของหิน เชน่ ความแขง็ สี เนือ้ หนิ การเรยี งตัวเปน็ ชั้น
การจัดเรยี งตวั ของผลกึ แร่ เป็นตน้

2) สมบัติทางเคมี เป็นสมบตั ิท่ีเกี่ยวข้องกบั โครงสร้างภายในของหนิ สามารถตรวจสอบได้
โดยดกู ารเปล่ยี นแปลงเม่ือเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี เช่น หยดกรดลงบนหนิ หนิ บางชนดิ ทำปฏกิ ริ ิยากับกรด
ไดฟ้ องแก๊ส และทำใหด้ นิ ถูกกัดกรอ่ น

47. ประเภทของหิน จำแนกตามกระบวนการเกิดและส่วนประกอบของเนื้อหนิ ได้ 3
ประเภท คือ 1) หินตะกอน 2) หินอัคนี 3) หินแปร

48. หินตะกอน (Sedimentary Rocks)เกิดจากการสะสมทบั ถมของตะกอนขนาด
ตา่ ง ๆ กนั หรืออาจเกดิ จากการตกตะกอนของสารละลายน้ำทะเล หรือการสะสมทับถมของซาก
ส่งิ มีชวี ติ ในทะเล เชน่ ซากเปลอื กหอย ปะการังในทะเลแล้วแข็งตัวกลายเปน็ หิน หนิ ตะกอนส่วนใหญ่
มลี กั ษณะเปน็ ช้ัน ๆ

49. ตะกอน (Sediment) คือ เศษหนิ ดนิ แร่ และอนิ ทรยี วัตถุทเ่ี กดิ จากกระบวนการ
ผสุ ลายและพงั ทลาย ตะกอนเหล่านี้จะถูกนำ้ ลม หรือธารน้ำแขง็ พามาสะสม

50. กระบวนการท่ีเกี่ยวข้องกับการเกดิ หนิ ตะกอน คอื การกัดกร่อน การผุพัง การพัด
พา การตกตะกอน การทบั ถม การแขง็ ตวั กลายเปน็ ดิน

51. สารที่ช่วยเชอื่ มประสารตะกอนให้เกดิ เป็นหินตะกอน คือ แรธ่ าตุตา่ ง ๆ ที่ละลาย
อยู่ในนำ้ เชน่ แคลเซียมคารบ์ อเนต (น้ำปูน) เหล็ก ออกไซด์ (นำ้ สนมิ เหล็ก) นำ้ ซิลิกา และน้ำโคลน
เป็นตน้

52. การตกตะกอนในแหล่งน้ำนงิ่ ตะกอนท่ีมขี นาดใหญ่จะตกตะกอนก่อนอย่างรวดเรว็
ทบั ถมกนั เป็นช้นั อยู่ดา้ นลา่ งสุดส่วนตะกอนท่ีมีขนาดเล็กจะตกตะกอนทีหลังและสะสมตัวทบั ถมกัน
อย่ชู ั้นบนข้ึนมาตามลำดับ ทำใหเ้ กิดเป็นชัน้ ตะกอนเรียงขนาดจากเม็ดใหญข่ น้ึ ไปหาเม็ดเลก็ โดยมี
ตะกอนของดินละเอยี ดตกตะกอนประสานตามช่องว่างของตะกอนขนาดใหญ่

53. การตกตะกอนในแหล่งนำ้ ไหล ในแหล่งนำ้ ไหลจะเกิดการคลมุ ตะกอนที่มีขนาด
ใกลเ้ คียงกนั ขนาดของตะกอนขนึ้ อย่กู ับระยะทางที่น้ำพัดพาตะกอนมาจากแหลง่ กำเนิดตะกอน ยิ่ง
น้ำพดั พาตะกอนมาไกลจากแหล่งกำเนิดมากตะกอนก็จะย่ิงมขี นาดเล็กลงมาก

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 239

54 หนิ ตะกอนเปน็ หินที่มที รพั ยากรแรอ่ ย่มู าก เปน็ แหล่งทีพ่ บนำ้ มนั แก๊สธรรมชาติ
ถ่านหิน และแรโ่ ลหะบางชนดิ เชน่ เหล็ก แมงกานิส นอกจากน้ยี ังพบซากดึกดำบรรพข์ องสิง่ มีชวี ิต
ด้วย

55. ซากดกึ ดำบรรพ์ (Fossil) คือสว่ นท่เี หลอื ของซากสง่ิ มีชีวิตทถี่ ูกทบั ถมในชนั้ หิน ซ่ึง
อานเปน็ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายสตั ว์ เช่น โครงกระดกู ฟัน เขา เปลอื กหอย และสว่ นของพชื หรอื
เพยี งรอ่ งรอยของส่งิ มีชวี ิตทเี่ หลือไว้ขณะท่ียังมชี ีวติ อยู่ เชน่ รอยเท้า เป็นต้น

56. ประเภทของหนิ ตะกอน จำแนกตามกระบวนการเกดิ และแหล่งวตั ถกุ ำเนดิ ได้ 3
กลุม่ คอื

1) หินตะกอนเนื้อประสม เกิดจากการสะสม ทบั ถมของตะกอนขนาดต่าง ๆ เช่น กรวด
ทราย ดิน ทำใหเ้ กิดเปน็ หนิ ตะกอนชนดิ เม็ด

2) หนิ ตะกอนที่เกดิ จากสารอนิ ทรีย์ เกดิ จากการย่อยสลายและการทบั ถมของซากสงิ่ มีชวี ติ
เช่น ซากปะการงั เปลือกหอย ซ่ึงซากเหล่านีจ้ ะแข็งตวั กลายเป็นหิน

3) หินตะกอนเคมีอนนิ ทรยี ์ เกิดจากการแข็งตัวของสารละลายทม่ี แี รธ่ าตชุ นดิ เดียวกันหรอื
หลายชนิดมาตกตะกอนอยู่รวมกนั เม่ือนำ้ ระเหยออกไปแล้วแร่ธาตเุ หลา่ นก้ี ็จะแข็งตวั กลายเปน็ หนิ

57. หินตะกอนเนือ้ ประสม เปน็ หินตะกอนชนิดเม็ดพบเห็นได้มากทีส่ ุด เชน่
1) หินกรวดเหลี่ยม (Breccia)ลักษณะเนื้อหนิ เนอื้ หยาบ ประกอบด้วยกรวดท่ีมลี ักษณะ
เปน็ รปู เหลยี่ ม สว่ นใหญเ่ ม็ดตะกอนมขี นาดใหญ่กวา่ 2 มิลลเิ มตรข้ึนไป
แหลง่ ทพ่ี บ พบมากบรเิ วณท่รี าบสูงโคราช เชน่ นครราชสีมา ชยั ภูมิ บุรรี ัมย์ กาฬสินธุ์
ประโยชน์ใช้ในอตุ สาหกรรมก่อสรา้ ง เป็นหนิ ประดบั เป็นหินแกะสลกั
2) หนิ กรวดมน (Conglomerate) ลักษณะเนือ้ หิน เนื้อหยาบ ประกอบด้วยกรวดที่มี
ลักษณะมน สว่ นใหญ่เมด็ ตะกอนมขี นาดใหญ่กว่า 2 มลิ ลเิ มตรขน้ึ ไป
แหล่งทพี่ บ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ทุกจังหวัด และภาคใต้บางแหง่ ประโยชน์ใชใ้ น
อตุ สาหกรรมก่อสรา้ ง เห็นหนิ ประดบั เปน็ หนิ แกะสลัก
3) หินทราย (Sandstone) ลักษณะเนอื้ หนิ เน้ือหยาบถึงละเอียด เม็ดตะกอนมีขนาด
0.062-2 มิลลิเมตร ประกอบด้วยเศษหนิ เศษแร่ ทม่ี ลี กั ษณะกลมหรอื เหลย่ี มแหลง่ ท่ีพบ ทร่ี าบสูง
โคราช เช่น นครสมี า ชัยภูมิ กาฬสินธ์ุ ขอนแกน่ บุรรี มั ย์ และภาคใต้ เชน่ สรุ าษฎรธ์ านีประโยชน์
เป็นหนิ ประดบั ใช้ในการก่อสรา้ งและแกะสลกั

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

240 คมู่ อื เตรยี มสอบ

4) หนิ ทรายแปง้ (Siltstone) ลกั ษณะเน้ือหิน เนอ้ื ละเอียด ประกอบด้วยเมด็ ทรายขนาด
เล็กที่เรียกว่าทรายแป้ง เม็ดตะกอนมีขนาดประมาณ 0.003-0.062 มลิ ลเิ มตรแหล่งที่พบ ทรี่ าบสงู
โคราชประโยชนใ์ ช้ทำหินลบั มีดและหินประดับ

5) หนิ โคลน (Mudstone) ลกั ษณะเนอื้ หิน เนื้อละเอยี ดมาก เมด็ ตะกอนมีขนาดน้อยกว่า
0.003 มลิ ลเิ มตร ประกอบดว้ ยดนิ เหนยี วและทราบแป้ง ไม่มีแนวแตกถ่ี และมองเหน็ แถบเปน็ ขั้นไม่
ชดั เจนแหลง่ ที่พบ พบท่วั ไปในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ประโยชน์ ใชใ้ นอตุ สาหกรรมปูนซเี มนต์ เซรา
มกิ

6) หินดานดาน (Shale) ลกั ษณะเนื้อหนิ เน้ือละเอียดมาก เมด็ ตะกอนมีขนาดน้อยกว่า
0.003 มลิ ลิเมตร ประกอบด้วยดนิ เหนียวและทรายแป้ง มีลกั ษณะเป็นชนั้ และมีแนวแตกถี่ ถา้ เนอ้ื หนิ
ประกอบดว้ ยดินเหนยี วชั้นหนาไมม่ ีแนวแตกถ่ี เรยี กวา่ หนิ เคลย์แหล่งท่ีพบ ภูเก็ต สุราษฎรธ์ านี เลย
สงขลา กาญจนบรุ ี สระบุรีประโยชน์ ใชใ้ นอุตสาหกรรมปูซีเมนต์ เซรามิก

58. หินตะกอนที่เกิดจากสารอินทรีย์ เชน่
1) หนิ ปนู (Limestone) ลกั ษณะเนื้อหิน เน้ือแน่น ประกอบด้วยแร่แคลไซต์เปน็ ส่วนใหญ่
แหลง่ ทีพ่ บ ราชบุรี กาญจนบุรี เพชรบูรณ์ สระบรุ ี ลพบรุ ีประโยชน์ ใช้ในงานก่อนสร้าง ทำปนู ซีเมนต์
ปูนขาวใชใ้ นอุตสาหกรรมฟอกหนงั และน้ำตาล
2) หินชอล์ก (Chalk)ลักษณะเน้ือหนิ เน้ือละเอียด มีรูพรุน ประกอบด้วยแคลเซียมอ
คาร์บอเนต ทจี่ บั ตวั กนั ไม่แน่น และแตกหักได้ง่ายประโยชน์ ทำปนู ซเี มนตเ์ กิดหินงอกหินยอ้ ยทำให้
เกิดทัศนยี ภาพทสี่ วยงาม
59. หนิ ตะกอนเคมีอนินทรีย์ บรเิ วณที่พบหนิ กลุ่มนแ้ี ต่เดิมจะเป็นทะเลสาบหรือทะเล
มาก่อน
1) เกลือหิน เกิดจากแร่ท่ตี กตะกอนจากน้ำทะเลในรปู การระเหย ประกอบด้วยแรแ่ ฮไลด์
เม่อื ใช้มือสัมผสั จะรสู้ ึกวา่ มีความช้นื
2) หนิ ปนู เนอื้ ละเอียด เกิดจากซากส่ิงมชี ีวติ ในทะเลทบั ถมกนั หรืออาจเกดิ ในแหล่งนำ้ จืด
60. หินอัคนี (Igneous Rocks) เกดิ จากการเย็นตวั และแขง็ ตัวของหนิ หนดื ที่อยบู่ น
เปลอื กโลกและใตเ้ ปลือกโลก เนอ้ื หินมลี กั ษณะเปน็ ผลกึ เก่ียวประสานกนั บางชนดิ อาจเป็นเนอ้ื แก้ว
หรือมีฟองอากาศ ทุบให้แตกคอ่ นข้างยาก

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 241

61. หนิ หนืด เป็นหนิ หลอมเหลวละลายทม่ี ีอุณหภูมิสูง มีตน้ กำเนิดอยใู่ นส่วนลึกใต้
เปลือกโลก เม่ืออยูภ่ ายในเปลอื กโลกเรยี กว่า แมกมา (Magma)เมื่อเกิดการระเบดิ หรือประทุออกมา
บนผิวเปลือกโลกเนื่องจากการระเบดิ ของภเู ขาไฟ เรยี กว่า ลาวา (Lava)

62. การเกิดหินอัคนี มี 2 วธิ ี ได้แก่
1) เกดิ จากการเยน็ ตัวของแมกมา เรียกวา่ หินอัคนีแทรกซอน เมื่อแมกมาท่ีอยูใ่ ต้เปลอื ก
โลกดันตวั แทรกขึน้ มาตามรอยแตกของชัน้ หนิ และอยู่ในสภาวะท่ีอุณหภมู ลิ ดลง แมกมาจะเกดิ การ
เย็นตวั และแข็งตวั อยา่ งชา้ ๆ ภายใต้เปลือกโลกเกิดเปน็ ผลึกแรข่ นาดใหญ่ กลายเปน็ หนิ ทม่ี ีลกั ษณะ
เนือ้ หยาบ แน่นแข็ง มีแรห่ ลายชนิดเกาะแน่น
2) เกดิ จากการเย็นตัวของลาวา เรยี กวา่ หินอัคนีพหุ รือหินภเู ขาไฟ เมื่อภเู ขาไฟระเบดิ หิน
หนืดจะถกู พ่นหรือพุง่ ขึน้ มาบนพื้นผวิ โลกเรียกวา่ ลาว่าเมื่อลาวาได้รับความเย็นบนพน้ื ผวิ โลกจะเกิด
การแข็งตัวอยา่ งรวดเรว็ เกดิ เป็นหินทีม่ ลี ักษณะเปน็ รพู รนุ และบางสว่ นมีลกั ษณะเน้อื เนียนเป็นแกว้
นอกจากน้ียงั มลี าวาบางส่วนถูกดันตามขึ้นมาแล้วไหลไปตามพนื้ ผิวโลกเกดิ การตกผลึกกลายเป็นหนิ
ลกั ษณะเนื้อแนน่ ละเอยี ดผลึกขนาดเลก็
63. หนิ อคั นีทเี่ กดิ จากการแขง็ ตัวใตเ้ ปลือกโลก เช่น
1) หนิ แกรนิต (Granite) ลักษณะเนื้อหิน เน้ือหยาบถึงหยาบมาก เนื้อหนิ สม่ำเสมอ
ประกอบดว้ ยแร่หลายชนิด ผลกึ แร่เกาะกันแน่นสามารถมองเห็นผลึกแร่ได้ดว้ ยตาเปล่าแหล่งท่พี บ
จนั ทบรุ ี เลย ลำปาง ตาก ภเู ก็ตประโยชน์ ทำหินประดบั ปูพืน้ ผนงั อาคาร เปน็ หินแกะสลัก เป็นหนิ
ตน้ กำเนดิ แร่ดีบุก
2) หนิ แถบโบร(Gabbro)ลักษณะเนื้อหนิ เนื้อหยาบ ผลึกแรม่ ีขนาดใหญ่ มสี เี ขม้ แหลง่ ที่
พบ อุตรดิตถ์ เชียงราย ลำปาง ระยอง นครราชสมี าประโยชน์ ใช้เปน็ หินประดบั
3) หินไดออไรต์(Diorite) ลกั ษณะเนื้อหนิ เนอ้ื หยาบ สว่ นใหญ่ผลึกมขี นาดเดยี วและ
สมำ่ เสมอ มีสีดำ และสที าเข้ม ประกอบดว้ ยแรเ่ ฟลด์สปาร์ และแร่ฮอร์นแบลนด์แหล่งที่พบ สระบรุ ี
เลย เพชรบูรณ์ ลพบุรี นครราชสีมาประโยชน์ ใชใ้ นอตุ สาหกรรมก่อสร้าง เป็นหนิ ประดับ ทำครก
64. หนิ อัคนที ีเ่ กดิ จากการแขง็ ตัวบนพืน้ ผวิ โลก เชน่
1) หนิ พัมมิซ(Pumice) ลักษณะเน้ือหนิ เป็นรูพรุน มีขนาดเลก็ น้ำหนักเบา ลอยน้ำได้
แหล่งท่พี บ พบมากบรเิ วณชายฝง่ั ทะเลประโยชน์ ใชท้ ำวัสดุขัดถู
2) หนิ ไรโอโลต์(Rhyolite)ลกั ษณะเน้ือหนิ เนือ้ ละเอยี ดมาก ประกอบด้วยผลกึ แรห่ ลาย
ชนดิ แรม่ สี อี อ่ น ขาว ชมพู และเทาแหล่งที่พบ สระบุรี ตาก ลพบรุ ี เพชรบรู ณ์ เลย ประโยชน์ ใชใ้ น
อตุ สาหกรรมเซรามกิ และการก่อสร้าง

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

242 ค่มู อื เตรยี มสอบ

3) หนิ บะซอลต์(Basalt) ลักษณะเน้ือหิน เน้ือแน่น ละเอียด มรี ูพรนุ มสี ีคล้ำไมแ่ วววาว
แขง็ และทนทานแหล่งท่ีพบ จนั ทบุรี ตราด กาญจนบุรี บุรีรัมย์ ศรสี ะเกษ ลำปางประโยชน์ ใช้ใน
อุตสาหกรรมกอ่ สร้าง และเป็นหนิ ตน้ กำเนดิ อญั มณี

4) หนิ แอนดไี ซต์(Andesite) ลักษณะเนอ้ื หิน เน้ือละเอียดแนน่ ทึบ ประกอบดว้ ยผลึก
ละเอยี ด กระจดั กระจายอยู่ ผลึกมีสมี ว่ ง เขียว เทาแก่ และดำเขม้ แหล่งทีพ่ บ สระบุรี ตาก เพชรบูรณ์
ประจวบคีรีขันธ์
ประโยชน์ ใชท้ ำถนน ทางรถไฟ ใช้ในการกอ่ สร้าง เปน็ หนิ ประดบั และทำครก

5) หนิ ออบซเิ ดียน(Obsidian) ลกั ษณะเน้ือหนิ เน้ือเปน็ แก้ว สีดำ เรียบ มนั เมอื่ แตก รอย
แตก คมเหมือนแก้วแตกแหล่งทพ่ี บ ยงั ไม่พบในประเทศไทยประโยชน์ สมยั โบราณใช้ทำใบหยก

65. หินแปร (Metamorphic Rocks) คือ หนิ ทเ่ี กิดขึ้นภายในชัน้ เปลอื ก โดย
เปลีย่ นแปลงมาจากหินเดิมซงึ่ อาจเปน็ หนิ อัคนี หินตะกอหรือหนิ ก็ได้การเปลย่ี นแปลงเหลา่ นี้
เกิดขึ้นในสถานะของแขง็ ไมผ่ ่านการหลอมละลาย

66. ปัจจัยสำคญั ท่ีทำใหห้ นิ แปรสภาพ คือ ความรอ้ นและความ นอกจากนยี้ ังมีสาเหตุ
อนื่ อีก เชน่ การเคลอ่ื นไหวของเปลือกโลก การ ของชัน้ หนิ ทอ่ี ยู่ด้านบน และการมีของเหลว
แทรกซึมเขา้ ทำปฏิกริ ิยา กับหนิ ในบรเิ วณนนั้ ๆ ทำใหเ้ นื้อหินเกดิ การเปลี่ยนแปลง

67. สาเหตุสำคัญทท่ี ำให้หินเกิดการแปรสภาพเปน็ หนิ แปร ประการดังนี้
1) การแปรสภาพโดยความร้อน หรอื การแปรสภาพสัมผัส จากหนิ หนืดดนั ตวั แทรกไปใน
รอยแตกของชั้นหิน แล้วกลายเปน็ หินอคั นแี ทรกซอน ความร้อนของหนิ อคั นีแทรกซอนจะทำให้
แรใ่ นหินเดิมเกิดผลึกใหม่ อาจมีผลึกแรช่ นิดใหมห่ รือใหญข่ ้ึนกวา่ เดมิ และ ต่อการแปรเปล่ยี น
เน้อื หินเกิดเป็นหินแปร หินแปรประเภทนจี้ ะเป็นหนิ ไม่มรี ิว้ ขนาน เช่น หินอ่อน หนิ ควอตซ์ไซด์
และหินฮอร์นเฟลส์ เปน็ ตน้
2) การแปรสภาพโดยแรงอัดสงู หรือการแปรสภาพบรเิ วณไพศาลส่วนใหญ่จะเกดิ ขึ้น
บรเิ วณมุตวั ของแผน่ เปลือกโลกและเกิดหนิ อัคนแี ทรกซอนขนาดมวลไฟศาลในช่วงการก่อเกิด
เทือกเขาความดันมหาศาลจะทำใหช้ ้ันหดิ มีการคดโค้ง เกิดรอยแตก การเลือ่ นและบดบี้เป็น
บรเิ วณกว่างทำให้เกิดการแปรสภาพหนิ อย่างซบั ซ้อน หนิ แปรประเภทนีจ้ ะมีลักษณะเป็นรวิ้
ขนาด เช่น หนิ ชนวน หินฟลิ ไลต์ หนิ ชีสต์ หนิ ไนส์ หนิ แอนทราไซด์ เป็นต้น
68. หินแปรที่มลี กั ษณะไม่เปน็ รว้ิ ขนาด ได้แก่

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์

คมู่ อื เตรยี มสอบ 243

1) หินควอตซ์ไซต์(Quartzite) แปรสภาพมาจากหินทรายลักษณะเน้อื หิน เป็นเมด็ แนน่
แข็ง เมื่อแตกจะมรี อยแตกเว้าโค้งแบบหนิ หอย ประกอบดว้ ยแรค่ วอตซ์ เฟลดส์ ปาร์ และไมกา
แหล่งที่พบ เชียงใหม่ ตาก ชลบุรี ราชบุรีประโยชน์ ใช้ทำหินก่อสรา้ ง ใช้รองพนื้ ถนน เป็นกรวด
คอนกรีต ทำหนิ อัดเม็ด และใช้ทำวสั ดุทนไฟ

2) หินอ่อน (Marble)แปรสภาพมาจากหินปูน หนิ โดโลไมตล์ ักษณะเนอ้ื หิน มลี กั ษณะ
ละเอียดถึงหยาบ แวววาว หนิ อ่อนท่ีบริสทุ ธจ์ิ ะมสี ขี าวแหลง่ ทีพ่ บ สระบรุ ี สโุ ขทยั ชยั นาท
เพชรบุรี ประจวบครี ขี นั ธ์ นครนายก และยะลาประโยชน์ ใช้เปน็ วสั ดุก่อสรา้ ง ทำหินประดับ
อาคาร บา้ นเรือน และเป็นหินแกะสลัก

69. หนิ แปรทมี่ ีลกั ษณะเป็นริว้ ขนาด ได้แก่
1) หินชนวน (Slate) แปรสภาพมาจากหินดินดาน หินทัฟฟ์ ลกั ษณะเนื้อหิน เนื้อละเอียด
แน่น เหน็ เปน็ ชั้นชัดเจน ผลึกแรเ่ รียงตัวขนานไปทางเดยี วกัน ผิวหน้าเรียบ แซะเป็นแผน่ ได้งา่ ย
ประกอบด้วยแร่ดิน แรแ่ อลไบต์ และควอตซ์แหล่งที่พบ สระบรุ ี กาญจนบุรี สงขลา นครราชสีมา
ประโยชน์ ใช้ทำหินประดบั มุงหลังคา ทำกระดานชนวน และทำแผน่ ปูพ้นื ทางเดนิ ในสวน
2) หินชสี ต(์ Schist)แปรสภาพมาจากหินดนิ ดาน หินทัฟฟ์ลักษณะเนื้อหนิ เนื้อหยาบ เป็น
แผ่นแรเ่ รียงตวั ขนานกนั ประกอบดว้ ยแร่ไมกา คลอไรต์ ฮอรน์ เบลนด์ ควอตซ์ เฟลดส์ ปาร์ และ
การเ์ นต
3) หินฟิลไลต์(Phyllite)แปรสภาพมาจากหนิ ดนิ ดาน หนิ ทัฟฟล์ ักษณะเนื้อหนิ คลา้ ย
หนิ ชนวน แตเ่ นือ้ หยาบกว่า แร่เป็นชัน้ เรียงขนานกนั รว้ิ รอยขนานจะคดโค้งเป็นลูกคล่นื เลก็ ๆ
ผิวหน้าราบและเป็น ประกอบดว้ ยแร่ไมกาแหล่งท่ีพบ เชียงใหม่ กาญจนบรุ ี สงขลา ราชบรุ ี
ประโยชน์ ใชท้ ำหินประดับ และเป็นวัสดถุ มถนนช่ัวคราวเพราะคยุ ไม่ดี
4) หินไนส์(Gneiss) แปรสภาพมาจากหินทราย หนิ แกรนิตลักษณะเน้ือหนิ เน้ือแนน่ แข็ง
เป็นรวิ้ ขนานถ้าประกอบด้วยแรไ่ บโอโฮอรน์ เบลนดจ์ ะมีสเี ข้ม ถา้ มคี วอตซ์ เฟลด์สปาร์จะมีสจี างแหลง่
ทพี่ บ กาญจนบรุ ี เชียงใหม่ เชียงใหม่ ตากประโยชน์ ใชท้ ำหนิ ประดบั และใช้เป็นหินก่อสร้าง
70. วฏั จกั รหินเป็นการเปล่ียนแปลงหมุนเวียนอย่างต่อเนอ่ื งจาก ประเภทหน่งึ
เปลย่ี นไปเป็นหนิ อีกประเภทหน่งึ ตามกระบวนการเกิดหิน
1) เมอื่ เปลือกโลกมีการเปล่ยี นแปลงจะทำให้หนิ ทุกประเภทบนผิวโลกเกิดการผพุ ังสลายตัว
เป็นเศษหินและตะกอน ตะกอนจะถูกนำ้ ลม ธารนำ้ แข็งพัดพาไปทบั ถมรวมกันในบริเวณแหล่ง้ำ
และทะเลทราย แล้วจับตวั เปน็ หินแขง็ เกิดเป็น หินตะกอนในเปลือกโลก

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

244 คมู่ อื เตรยี มสอบ

2) เม่ือเปลอื กโลกเกิดการเคล่ือนตัวอาจทำใหห้ ินตะกอนถูกตัก กลับข้ึนมาบนพนื้ ผวิ โลก

หรอื อาจจะถูกบีบอัดให้ลึกลงไปในเปลือกโลกความร้อนและแรงบบี อดั สูงใตเ้ ปลือกโลกจะเปลี่ยนหนิ

เหลา่ นั้นใหก้ ลายเป็นหินแปร และหินแปรก็อาจถูกดนั ให้โผล่ข้ึนมาบนพน้ื ดินหรืออาจถูกบีบอัดให้จม

ลกึ ลงไปใตโ้ ลกและเปลย่ี นสภาพเปน็ หินหนืดร้อนเหลว

3) เมื่อหนิ หนดื (แมกมา) ถกู ดนั ขึน้ สพู่ ้นื ผวิ โลกจะเยน็ ตวั เป็นหินแข็ง เรียกว่า หนิ อัคนี

4) เมอ่ื หินตะกอน หินอัคนี และหนิ แปร โผล่พน้ ผวิ ดนิ อีกครงั้ กจ็ ะเกิดการผุพังสลายตัวอีก

เกดิ เปน็ วฏั จักรหมุนเวียนเชน่ น้ีตอ่ เน่อื งกันไป

71. แร่ (Mineral) เป็นธาตุหรอื สารประกอบอนินทรยี ์ท่เี กดิ ข้นึ เองตามธรรมชาติ สว่ น

ใหญ่จะพบในรปู สารประกอบ และมีแรบ่ างชนดิ พบในรูปธาตุแร่แตล่ ะชนดิ จะมสี มบตั เิ ฉพาะตวั แต่

อาจมกี ารเปลย่ี นแปลงไดเ้ ลก็ น้อยในขอบเขตท่ีจำกัด มสี ถานะเปน็ ของแขง็ แร่ที่พบบนเปลือกโลกจะ

เป็นแรท่ ีแ่ ทรกกระจายอยู่ในหิน เรียกว่า แรป่ ระกอบหิน เช่น แร่ควอตซ์ แร่เฟลด์สปาร์ แร่ไมกา แร่

ฮอร์นเบลนด์ เป็นตน้

72. แหล่งแรส่ ำคญั ท่พี บในประเทศไทย

แรโ่ ลหะ

ช่อื แร่ แหล่งทีพ่ บ

ดบี กุ ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ระนอง พงั งาภูเก็ต สรุ าษฎร์ธานี

นครศรธี รรมราช และจังหวดั อืน่ ๆ เชน่ ราชบรุ ี กาญจนบุรี อทุ ัยธานี ตาก เชียงใหม่

เชยี งราย แมฮ่ ่องสอน

เหล็ก เลย ลพบุรี กาญจนบรุ ี

แมงกานสี เลย ลำพูน อุทัยธานี ชลบุรี กาญจนบรุ ี ปตั ตานี

ทง้ สเตนและวุลแฟรม แม่ฮ่องสอน กาญจนบรุ ี นครศรธี รรมราช เชียงราย แพร่

ตะก่ัวและสังกะสี พบรวมอยู่กับแรเ่ งนิ ท่ี กาญจนบรุ ี แพร่ ยะลา ตาก

ช่ือแร่ แรโ่ ลหะ
ทองคำ แหล่งที่พบ

ลำปาง เชยี งราย พะเยา เชียงใหม่ ลำพูน แพร่ เลย อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์
สุโขทัย นครสวรรค์ ลพบรุ ี สระบุรี ฉะเชงิ ทรา ปราจนี บรุ ี ชลบุรี จนั ทบุรี

ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 245

ทองแดง ระยอง กาญจนบรุ ี ราชบรุ ี ประจวบคีรขี นั ธ์ สุราษฏร์ธานี พังงา ภเู กต็
เงิน นราธิวาส

เลย ลำปาง อุตรดติ ถ์
พบเพียงเล็กน้อยรวมอยู่กับตะก่ัว ที่กาญจนบรุ ี

แร่โลหะ

ชื่อแร่ แหล่งทีพ่ บ

ฟลูออไรต์ ลำพนู ราชบุรี เพชรบรุ ี กาญจนบุรี เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง

ยิปซัม พจิ ิตร นครสวรรค์ สุราษฏรธ์ านี ลำปาง อุตรดิตถ์ เลย

ดินมารล์ กาญจนบรุ ี สระบรุ ี ลพบรุ ี

ดนิ ขาว ลำปาง เชยี งใหม่ ปราจีนบุรี ระยอง ชลบรุ ี สุราษฏรธ์ านี

เกลือ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ เช่น สกลนคร มหาสารคาม ขอนแกน่

หินอ่อน สระบุรี

หนิ มคี ่า พลอยสีเหลอื ง สีเขียว สนี ำ้ เงิน พบทจี่ นั ทบุรี, ทบั ทิม เพทาย บุษราคมั พบท่ี

กาญจนบุรี จนั ทบรุ ี ตราด ศรีสะเกษ แพร,่ เพชร พบเลก็ น้อยที่ภเู กต็ พงั งา

ถา่ นหนิ ประเทศไทยมลี กิ ไนด์มากทส่ี ุด พบท่ีลำปาง

73. สมบัติของแร่ แรแ่ ตล่ ะชนิดจะมีลักษณะและสมบัติทางกายภาพแตกต่างกนั

เนอ่ื งจากแร่มีโครงสร้างภายในทีเ่ ป็นระเบยี บ มีสูตรเคมีท่ีแน่นอน หรอื อาจจะเปลยี่ นแหลงได้แต่อยู่

ในวงจำกดั

74. สมบัติทางกายภาพของแร่ สามารถนำมาใชจ้ ัดจำแนกชนิดของแร่ได้เช่น

1) สี เป็นสมบตั เิ ฉพาะตวั ของแรท่ ่สี งั เกตเห็นไดด้ ้วยตาเปลา่ แรส่ ว่ นมากจะมีหลายสีเพราะมี

องค์ประกอบตา่ งกนั และแร่ชนิดเดียวกันอาจจะมีสตี ่างกันกไ็ ด้ ดังนั้นการพจิ ารณาจากสขี องแร่เพยี ง

อยา่ งเดยี วจงึ ไมส่ ามารถที่จะจำแนกชนิดของแร่ไดถ้ ูกตอ้ ง

2) สผี งละเอยี ด แรห่ ลายชนิดจะมีสผี งเฉพาะตัวซึง่ ต่างจากสขี องก้อนแรเ่ พราะสขี องกอ้ นแร่

เป็นสีที่ปรากฏออกมาจากแสงสะท้อน การตรวจสผี งละเอียดของแร่ทำไดโ้ ดยนำก้อนแร่ทตี่ อ้ งการ

ทดสอบไปขดู บนแผ่นกระเบื้องผิวด้าน แล้วสงั เกตสผี งละเอียดทต่ี ิดอยูบ่ นแผน่ กระเบือ้ งนั้น

3) ผลึกหรือแร่ประกอบหนิ แร่แต่ละชนิดจะมีลกั ษณะผลึกแตกต่างกันและมลี ักษณะ

เฉพาะตัวมรี ปู รา่ งเป็นเหล่ยี มเปน็ มุมชัดเจน เชน่ หินแกรนติ มผี ลกึ ทม่ี ีรปู ร่างและสีต่าง ๆ แทรก

กระจายอยทู่ ่วั ไปในเนื้อหิน

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

246 ค่มู อื เตรยี มสอบ

4) ความวาว เป็นสมบตั ิท่ีสงั เกตเหน็ ไดด้ ว้ ยตาเปลา่ เกดิ จากผวิ หน้าของแร่มีการสะท้อน
แสงและหักเหแสง แบ่งออกเปน็ 3 แบบ คือ ความวาว แบบโลหะ แบบอโลหะ และแบบก่งึ โลหะ

5) ความแข็ง เปน็ สมบตั ิในการดา้ นทานการถูกครดู หรอื กัดกร่อนของแร่ โดยแรแ่ ต่ละชนิด
จะมีความแข็งและความทนทานตอ่ การถูกครดู ถูได้ต่างกัน แม่ที่แข็งกวา่ จะทำใหเ้ กิดรอยครูดบนผวิ
แร่ทอ่ี ่อนกว่าเสมอ วัดความแขง็ จะใชเ้ ปรียบเทียบตามระดับความแข็งของมาตราโมส์(Mohs scale)
ทร่ี คู้ า่ ความแขง็ แลว้ โดยจะมคี ่าความแข็งเพิ่มขน้ึ จาก 1-10 เรยี งลำดบั คอื ทลั ก์ ยิปซมั แคลไซต์
ฟลอู อกไดตอ์ ะพาไทดอ์ อร์โทเคลส ควอตซ์ โทแพช คอรนั ดมั เพชร

6) ความเหนียว แต่แต่ละชนิดจะมคี วามเหนยี วแตกตา่ งกัน เชน่ แร่ทองคำ เงิน ทุบหรือรีด
เปน็ แผ่นบาง ๆ ได้ แรท่ องแดงดงึ เปน็ เส้นได้ เป็นตน้

7) การผา่ นของแสง เป็นสมบัติของแร่ทีจ่ ะยอมหรือไม่ยอมให้แสงผา่ น โดยสังเกตจากส่วน
ที่บางของขอบหรือมุมของก้อนแร่ แบง่ ออกเปน็ 3 ชนิด คือ โปร่งใส โปรง่ แสง และทืบแสง

8) ความหนาแน่นสมั พัทธ์ คือ คา่ ความหนาแน่นของสารต่อความหนาแน่นของน้ำ
เน่อื งจากความหนาแนน่ ของสารต่างชนดิ กันมีคา่ ตา่ งกัน ดงั นัน้ ความหนาแนน่ สมั พัทธข์ องสารตา่ ง
ชนิดกันจึงต่างกันดว้ ย

75 ชนิดของแร่ จำแนกโดยใช้ชนิดของแร่ที่ต้องนำมาถลงุ แร่ก่อนใช้ และชนิดของแร่ที่
นำมาใชไ้ ด้โดยตรงเป็นเกณฑ์แบง่ ได้ 2 กลุ่ม คือ แรโ่ ลหะ แร่อโลหะ

75. แร่โลหะ เกิดจากโลหะทำปฏิกิรยิ ากบั ธาตุอโลหะ ดังนั้นก่อนจะนำแรโ่ ลหะมาใช้
ประโยชน์จึงต้องแยกแร่โลหะให้ได้โลหะบรสิ ทุ ธิ์ก่อนเรยี กการถลงุ แร่

76. สินแร่ คอื แรโ่ ลหะท่ยี งั ไมผ่ ่านการถลุงแร่
77. การถลงุ แร่ เป็นกระบวนการแยกเอาโลหะออกจากสนิ แรโ่ ดยใชป้ ฏกิ ิริยาทางเคมี
และความร้อนสงู สนิ แร่ชนดิ หน่ึงอาจมแี ร่โลหะอยู่เพยี งชนดิ เดียวหรอื หลายชนดิ เช่น สนิ แร่ทองแดง
เมอ่ื นำมาถลุงอาจจะไดแ้ รท่ องแดง สังกะสี ตะกว่ั และทองคำ เปน็ ตน้
78. ประโยชน์ของแรโ่ ลหะชนิดต่าง ๆ
ช่ือแร่ ประโยชน์
ดีบุก ทำแผน่ เหล็กชดุ ดีบุก ทำภาชนะบรรจุอาหาร เคลือบโลหะอื่น ทำโลหะผสม เปน็ โลหะ

บัดกรี และเปน็ สว่ นผสมของสีทาบ้าน
พลวง ใช้ทำโลหะผสม เชน่ ผสมกับตะกั่วเพอ่ื ทำแผ่นแบตเตอร่ผี สมกบั ตะกัว่ และดีบุกเพ่ือทำ

ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 247

ตัวพิมพ์ใช้ทำสารกงึ่ ตัวนำ

ทองคำ เป็นสนิ ทรพั ยส์ ำรองใช้แทนเงินตรา ทำเหรียญ ทำเครื่องประดบั และใช้ในวงการทนั ต

แพทย์เครอื่ งมือวทิ ยาศาสตร์

เหล็ก ใชใ้ นอตุ สาหกรรมเหล็กกล้าและเหลก็ แปรรปู ตา่ ง ๆ เปน็ สว่ นผสมในปูนซเี มนต์

คอนกรีตเสริมเหล็ก ใชใ้ นอตุ สาหกรรมก่อสร้าง เคร่ืองมือ เคร่อื งใช้

สังกะสี ใชเ้ คลอื บแผน่ เหลก็ เปน็ เหล็กวิลาส ทำสังกะสมี ุงหลงั คาทำโลหะผสม เช่น ทองเหลือง

ใชท้ ำยา ทำสยี ้อนผา้ และทำน้ำยารักษาเน้ือไม้

ทงั สเตน ใชผ้ สมทำใหเ้ หล็กกลา้ มีความเหนยี วมาก มีคุณภาพเปน็ แมเ่ หลก็ ทีม่ คี ุณภาพสูง

และวลุ ทังสเตนบรสิ ทุ ธใิ ช้ทำหลอดไฟฟ้าและหลอดวิทยุ สารเคมีที่เตรียมขึน้ จากวุลแฟรมใช้

เฟรม ทำสีย้อมผา่ หมึก แกว้ เครื่องเอกซเรย์ และหลอดภาพ

แมงกานสี ใชผ้ สมเหล็กกลา้ ใชใ้ นการถลุงแมกนีเซยี มและอะลมู เิ นียมใช้ในอุตสาหกรรม เช่น ด่าน

ทบั ทมิ สารเคมลี า้ งรปู ทำถ่านไฟฉาย สี ปุ๋ย แก้ว และถว้ ยชาม

เงนิ ใช้ทำภาชนะต่าง ๆ โลหะผสม เครือ่ งประดับ เหรียญ น้ำยาล้างและอัดรูป บัดกรี

ทองแดง ชดุ เงนิ ใช้ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าเพราะเป็นตัวนำไฟฟา้ ทีด่ ีมาก

แทนทาลัม ใช้ในการสร้างเครื่องยนต์ไอพ่นและยานจรวดทำอุปกรณ์ไฟฟา้ อปุ กรณเ์ ครื่อง

คอมพวิ เตอร์ และเคร่ืองใช้อเิ ลก็ ทรอนิกส์

79. แร่อโลหะ เป็นแร่ท่ีมีสารอโลหะเปน็ องคป์ ระกอบเป็นสว่ นใหญ่ สามารถนำแร่มา

ใช้ได้โดยตรงไม่ตอ้ งนำไปถลุงเพอื่ แยกหรอื ทำให้บรสิ ุทธ์ิก่อน

80. ประโยชนข์ องแรอ่ โลหะชนดิ ต่าง ๆ

ช่อื แร่ ประโยชน์

ยิปซัม ทำปูนซีเมนต์ ปูนปลาสเตอร์ แผน่ ยปิ ซัมบอรด์ ชอล์ก กระดาษ ป๋ยุ

ฟลอู อไรด์ ใช้ถลุงเหลก็ กลา้ ทำกรดผลูออริกในอตุ สาหกรรมอะลมู ิเนียม อุตสาหกรรมเคมี

ในการทำเครื่องเคลือบใชท้ ำแก๊สท่ีเปน็ เลนส์กลอ้ งโทรทรรศน์ ผสมยาสฟี นั

ปอ้ งกนั ฟนั ผุ

ดนิ ขาว ใช้ในการทำเคร่ืองป้นั ดินเผา ถว้ ยชาม อฐิ กระเบื้อง กระดาษ ยาง สี

เครอื่ งประดบั ของใช้ตา่ ง ๆ และยา

ใยหนิ ใช้ทำผ้าทนไฟ ผา้ เบรก กระเบอื้ งมุงหลงั คา และวัสดกุ ันความรอ้ น

รตั นชาติ

1) คอรันดัม ใช้ทำเคร่อื งประดับใชใ้ นอตุ สาหกรรมนาฬิกา และการชดั ถู

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์

248 ค่มู อื เตรยี มสอบ

2) เพชร

3) ควอตซ์ ใช้ทำเครอ่ื งประดบั ใช้เป็นหวั เจาะ และทำผงกากเพชร

ใช้ทำเครอ่ื งประดับ อตุ สาหกรรมนาฬิกา และผงขัดตา่ ง ๆ

81. เช้อื เพลิง หมายถงึ สารท่ีเม่ือเกดิ การเผาไหม้แล้วจะให้พลังงานความร้อนออกมา

และสามารถนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ เช้ือเพลิงมธี าตทุ เี่ ป็นองค์ประกอบท่ีสำคัญคือธาตคุ ารบ์ อน (C)

และธาตไุ ฮโดรเจน (H) เมือ่ เช้ือเพลิงถูกเผาไหม้ ธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจนจะทำปฏิกริ ิยากบั แกส๊

ออกซิเจนไดพ้ ลังงานความร้อน น้ำ และแก๊สคารบ์ อนไดออกไซต์

82. ประเภทของเชอื้ เพลิง จำแนกตามแหล่งกำเนิดได้ 2 ประเภท คอื

1) เชื้อเพลิงธรรมชาติ เป็นเชื้อเพลิงทเ่ี กิดขน้ึ เองตามธรรมชาติจากพืช สัตว์ หรอื จากการ

ทบั ถมของซากพืชซากสัตว์เป็นเวลานานหลายปีสามารถนำมาใชป้ ระโยชนโ์ ดยไม่ต้องแปรรปู กอ่ นก็ได้

เช่น ฟนื ถ่าน ถา่ นหิน แก๊สธรรมชาติ หนิ นำ้ มนั ปโิ ตรเลยี ม เป็นต้น

2) เชื้อเพลงิ แปรรปู เป็นเชื้อเพลิงทต่ี ้องผ่านกระบวนการในการผลติ ก่อนจึงจะสามารถ

นำมาใชป้ ระโยชน์ได้

83 ถา่ นหิน (Coal)เป็นเชอ้ื เพลงิ ธรรมชาติทเ่ี กิดจากการสะสมตัวของซากพชื บกตาม

ธรรมชาติในแอ่งตะกอนน้ำต้ืนทมี่ ีพชื ปกคลุมหนาแน่น

84 การเกดิ ถา่ นหิน มลี ำดบั ข้นั ตอนดังน้ี

1) บริเวณทเ่ี ป็นแหลง่ น้ำหรือทช่ี ้นื แฉะจะมีซากพชื สะสมทับถมกนั เป็นจำนวนมาก

2) การเปลี่ยนแปลงของผวิ โลกจะทำใหบ้ ริเวณนี้เกิดการผพุ ังบอ่ ยสลายกลายเป็นตะกอนดนิ

และหินมาทบั ถมซากพืชรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพสิง่ แวดล้อม ทำใหซ้ ากตา่ ง ๆ ทสี่ ะสมอยู่ได้รับ

แรงกดดนั และไดร้ ับความร้อนจากภายในโลก สง่ ผลใหเ้ กิดการเปลย่ี นแปลงทางเคมแี ละทางกายภาพ

ในบรเิ วณน้ี ซากเหล่าน้ีจึงแปรสภาพไปเปน็ พีต

3) เมื่อพีตไดร้ บั แรงกดดนั และความร้อนจากาภายในโลกเป็นเวลานานจะถูกกอัดตวั

กลายเปน็ ถ่ายหิน ซึ่งมลี ักษณะแตกตา่ งกนั ในแตล่ ะแหง่ โดยขน้ึ อยกู่ ับลกั ษณะและชนดิ ของพชื

85. ชนิดของถ่านหนิ จำแนกโดยใชป้ รมิ าณคารบ์ อน ค่าความร้อน นำมาเผา และ

ลำดบั การแปรเปลีย่ นสภาพเป็นเกณฑ์ได้ 4 ชนดิ คือ

1) พตี (Peat) มปี ริมาณคาร์บอน 60%ลกั ษณะ มลี ักษณะที่ยงั เป็นซากพืช เมื่อแห้งจะติดไฟ

ไดด้ ีเหมือนกบั ถ่านไม้ เนอื่ งจากเปน็ ลำดบั แรกของการเกดิ ถ่านหนิ แหลง่ ทพ่ี บ บรเิ วณที่ราบนำ้ ข้ึนถงึ

ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์

ค่มู อื เตรยี มสอบ 249

ปา่ ชายเลน ปา่ พรุ และหนองนำ้ พีตที่เปน็ ช้นั หนามักจะพบในปา่ พรุ เช่น ป่าพรุท่ีสุราษฎร์ธานี
นครศรีธรรมราช และนราธวิ าส

2) ลิกไนต์ (Lignite)มปี รมิ าณคารบ์ อน 55-60%ลักษณะ มีสีเขม้ เนื้อแขง็ มองไม่เหน็
โครงสร้างของซากพืชเพราะเกิดการสลายตวั จนหมด มีความชืน้ ตำ่ ประโยชน์ ใชเ้ ปน็ เชอ้ื เพลงิ ใน
โรงงานไฟฟา้ ใช้บม่ ใบยาแหล่งที่พบ อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง อ.เมอื ง จ.กระบี่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา อ.
เวียงแหง จ.เชียงใหม่ และ อ.เคียนชา จ.สุราษฎรธ์ านี

3) บิทูมนิ สั (Bituminous) มีปริมาณคารบ์ อน 80-90%ลักษณะ เน้ือแน่นแข็ง มสี ดี ำสนิท
เปน็ มนั วาว คุณภาพดี เม่ือเผาไหมแ้ ล้วจะให้คา่ ความรอ้ นสูง และควันมากประโยชน์ เป็นเชอื้ เพลงิ ใน
โรงงานอุตสาหกรรมและโรงงานไฟฟ้าใช้ในการถลุงโลหะแหล่งท่พี บ อ.ล้ี จ.ลำพูด อ.แม่ระมาด จ.
ตาก

4) แอนทราไซต์(Anthracite)มปี ริมาณคาร์บอนมากกวา่ 86% ลักษณะ เน้ือแขง็ สดี ำ
เปน็ มันวาว มีรอยแตกเว้าแบบกน้ หอย ติดไฟยาก เม่ือเผาไหม้จะใหค้ ่าความร้อนสงู ให้เปลวไฟสีนำ้
เงิน ไม่มีควนั เป็นถ่านหินทีม่ ีการแปรสภาพสงู สุดประโยชน์ ใชเ้ ปน็ เชอ้ื เพลงิ ในอตุ สาหกรรมตา่ งๆ
แหลง่ ท่พี บ ส่วนมากพบเซมิแอนทราไซต์ที่ อ.นาดว้ ง จ.เลย และ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู

86. หินนำ้ มัน เปน็ หินตะกอนเนอ้ื ละเอยี ด สีน้ำตาลอ่อนจนถึงเขม้ เกิดจากการแปร
สภาพของซากพชื โดยเฉพาะพวกสาหร่ายและซากสัตว์ทีส่ ะสมอยู่ในหนิ ตะกอนเปน็ เวลานาน จดั เป็น
หนิ ตน้ กำเนดิ ปโิ ตรเลยี มชนดิ หนึ่งที่มีปริมาณสารอนิ ทรียส์ ูงถึงร้อยละ 40 สารประกอบอินทรยี ์ท่ีพบ
ในหินน้ำมนั เรยี กว่าเคอโรเจน เมือ่ ไดร้ บั อณุ หภมู ิสงู ข้ึนจะสลายตัวใหน้ ำ้ มันดบิ แหล่งท่ีพบคือ อ.แม่
สอด จ.ตาก และ อ.ลี้ จ.ลำพูน นำมาเป็นเช้ือเพลิงในการผลติ กระแสไฟฟา้ และถ้านำมาสกัดดว้ ย
ความร้อนจะได้นำ้ มนั หินทค่ี ล้ายกบั น้ำมันดบิ

87. ปิโตรเลียม (Petroleum) คอื สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนซ่งึ ประกอบดว้ ยธาตุ
ไฮโดรเจนและธาตุคารบ์ อน สว่ นใหญ่พบอยู่ในช้นั หินตะกอนทง้ั ในสภาพของแขง็ ของเหลว และแก๊ส

88. ชนดิ ของปโิ ตรเลยี ม
1) น้ำมันดิบ (Crude oil)มีสภาพเป็นของเหลว ของหนดื และของแข็ง มสี นี ำ้ ตาลจนถึงสี
ดำ
2) แก๊สธรรมชาติ (Natural Gas)มสี ภาพเปน็ แกส๊ ณ อุณหภมู แิ ละความดันปกติ
3) แกส๊ ธรรมชาตเิ หลว (Condensate)เมื่ออยู่ใต้ผวิ โลกหรือในแหล่งมสี ภาพเป็นแก๊สแต่
เมอ่ื ขน้ึ สผู่ ิวโลกแล้วกลายเป็นของเหลวมสี ีเหลอื งใสจนถึงสีเหลอื งเข้ม
89. การเกดิ ปิโตรเลยี ม มลี ำดบั ข้ันตอนดงั นี้

ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์

250 ค่มู อื เตรยี มสอบ

1) ในแหล่งน้ำน่ิงจะมซี ากส่ิงมีชวี ติ เนา่ เป่อื ยผพุ งั ทบั ถมรวมกันโดยการพดั พามาของ
กระแสน้ำ เม่ือเวลาผ่านไปเป็นล้าน ๆ ปี ซากส่งิ มชี วี ิตเหลา่ นี้ก็เกดิ การยอ่ ยสลายเปน็ สารอินทรยี ท์ ับ
ถมปะปนกบั เศษหินเศษทรายหนาขึน้ เกดิ เป็นชั้นตะกอน

2) เมอ่ื เปลือกโลกเกิดการเปลยี่ นแปลง ช้นั ตะกอนน้ีจะจมลงเร่อื ย ๆ และดว้ ยอิทธพิ ลของ
นำ้ หนักของชน้ั ตะกอนหนาท่ีทับถมอยูส่ ่วนบนความรอ้ นและความดันภายในโลก รวมท้ังการย่อย
สลายแบบไมใ่ ช้ออกซิเจนของแบคทเี รยี จะมผี ลทำให้เกดิ กระบวนการเปลยี่ นแปลงเนื้อเย่ือของ
สารอนิ ทรียก์ ลายเปน็ ปโิ ตรเลียม

90. แหลง่ ปโิ ตรเลียม คือ บริเวณใต้ช้ันหนิ ทมี่ โี ครงสรา้ งปดิ ก้ันเพ่อื กันไม่ใหป้ ิโตรเลียม
ร่วั ไหลออกไปได้ ซึ่งปโิ ตรเลียมทั้งส่วนที่เป็นของเหลวและแก๊สจะไหลซึมออกจากชน้ั หินตะกอนตน้
กำเนดิ ไปตามรอยเลอื่ น รอยแตกและรูพรนุ ของหนิ ไปสะสมตัวอยใู่ นบริเวณน้ี

91. การสำรวจปิโตรเลียม
ข้นั ที่ 1 การสำรวจทางธรณีวิทยา เพื่อหาลกั ษณะรปู แบบการวางตัวของช้นั หนิ และชนิด
ของหินในบรเิ วณที่สำรวจ
ข้ันที่ 2 การสำรวจทางธรณฟี สิ กิ ส์ ข้อมลู จากขน้ั นี้จะทำใหท้ ราบรปู แบบการวางตัวของช้นั หินใต้ผวิ
โลกและขอบเขตของแอ่งสะสมตะกอนทางธรณวี ทิ ยา โดยทว่ั ไปจะใชว้ ิธกี ารวัดคลนื่ ไหวสะเทอื น และ
หากผลว่ามีแนวโนม้ จึงจะเจาะสำรวจต่อไป
ข้ันท่ี 3 การเจาะสำรวจ เบื้องต้นจะเจาะเพ่ือพสิ จู น์ว่ามีปโิ ตรเลยี มภายในแหลง่ กักเก็บหรอื ไม่ และ
นำตวั อยา่ งหนิ กบั ตัวอยา่ งของไหลในช้ันหินมาตรวจวิเคราะห์ หากพบปิโตรเลยี มก็จะมีการเก็บข้อมูล
อื่น ๆ ต่อไปและเจาะสำรวจเพมิ่ เตมิ
92. แหลง่ ปโิ ตรเลยี มทีส่ ำคญั ในประเทศไทย พบท้งั บนบก 25 แหล่งและในทะเล 29
แหล่ง
1) แหล่งนำ้ มันดิบบนบก ได้แก่ แหล่งสิริกติ ิ์ จ.สุโขทยั จ.พษิ ณโุ ลก จ.กำแพงเพชร ผลติ
เฉล่ยี ได้วนั ละ 22,534 บาร์เรล แหล่งฝาง จ.เชียงใหม่ ผลิตเฉลยี่ ได้วันละ 1,147 บาร์เรล และอีกสี่
แหลง่ ท่ีมีกำลงั ผลิตไม่ถึง 1,000 บารเ์ รลตอ่ วัน ได้แก่ แหลง่ บงึ หญ้า/บงึ ม่วง จ.สุโขทยั แหล่งบงึ หญา้
ตะวนั ตก/หนองสระ จ.สโุ ขทัย แหลง่ อทู่ อง กำแพงแสน/สังฆจาย จ.สุพรรณบุรี และ จ.นครปฐม
แหลง่ วเิ ชยี รบรุ /ี ศรเี ทพ/นาสนุ่น จ.เพชรบรู ณ์

ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์


Click to View FlipBook Version