คมู่ อื เตรยี มสอบ 401
1) ธาตตุ ่าง ๆ ประกอบดว้ ยอะตอม ซึ่งเป็นหนว่ ยย่อยทส่ี ดุ อะตอมชนดิ หน่งึ จะแปลงเป็น
อะตอมชนดิ อ่ืนไม่ได้ และในปฏิกิริยาใด ๆ อะตอมจะไม่มีการสญู หาย หรือทำให้เกิดข้ึนใหมไ่ ด้
2) ธาตชุ นิดเดียวกนั จะมีอะตอมเหมือนกนั ธาตตุ า่ งชนดิ กันจะมอี ะตอมแตกตา่ งกัน
3) สารประกอบเกิดจากการจัดเรียงตวั ด้วยอะตอมของธาตตุ ั้งแต่ 2 ชนดิ ข้ึนไป
72. พ.ศ. 2399-2483 เซอร์โจเซฟ จอรห์นทอมสัน (Sir Joseph John
Thomson)นกั วิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษคน้ พบอนภุ าคอเิ ล็กตรอน ทำให้ทราบว่าอะตอมมี
อเิ ล็กตรอนเป็นองคป์ ระกอบ และเสนอแบบจำลองโครงสร้างอะตอม ดงั นี้
1) อะตอมมีลกั ษณะเป็นทรงกลมประกอบด้วยอนภุ าคโปรตอนซึง่ มีประจบุ วก และ
อิเลก็ ตรอนซง่ึ มปี ระจุลบกระจายอยู่ทัว่ ไปอย่างสม่ำเสมอ
2) อะตอมท่ีมสี ภาพเป็นกลางทางไฟฟ้ามจี ำนวนประจุบวกเทา่ กับประจุลบ
73. พ.ศ. 2414-2480 ลอร์ดเอรเ์ นสต์ รทั เทอร์ฟอรด์ (Lord Ernest Rutherford)
นกั วทิ ยาศาสตร์ชาวนวิ ซแี ลนด์ ทดลองยิงอนุภาคแอลฟาไปยงั แผ่นทองคำบาง และเสนอ
แบบจำลองโครงสร้างอะตอมดังนี้
1) อะตอมประกอบด้วยนวิ เคลยี สทม่ี ีขนาดเลก็ มาก มีมวลมากและมโี ปรตอนทีม่ ปี ระจบุ วก
รวมอยบู่ รเิ วณศูนย์กลางของอะตอม
2) อเิ ลก็ ตรอนมีประจุลบหรือมีมวลน้อยวงิ่ วนอยรู่ อบนวิ เคลียสเป็นบรเิ วณกวา้ ง
3) อิเลก็ ตรอนและโปรตอนในนวิ เคลียสอาจรวมกนั เป็นอนภุ าคท่มี ีสภาพเป็นกลางทาง
ไฟฟา้ เรยี กวา่ นวิ ตรอน
74. พ.ศ. 2428-2505 นวิ สโ์ บร์ (Niels Bohr)นกั วิทยาศาสตรช์ าวเดนมารก์ เสนอ
แบบจำลองโครงสรา้ งอะตอมของไฮโดรเจนวา่ อิเลก็ ตรอนสามารถว่ิงวนรอบนิวเคลียส โดยมี
ความเร่งได้โดยไม่แผ่คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้าและเสนอแบบจำลองโครงสร้างอะตอม สรปุ ได้ดงั นี้
1) อะตอมประกอบดว้ ยนิวเคลยี สและอิเลก็ ตรอน
2) อิเลก็ ตรอนจะเคล่ือนทร่ี อบนิวเคลยี สเปน็ วง ๆ หรือเปน็ ชัน้ ๆ ในแตล่ ะชัน้ จะมรี ะดับ
พลงั งานท่ีมคี ่าเฉพาะค่าหนึ่ง และมีระหลายระดับพลงั งานคล้ายกบั วงโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวง
อาทิตย์ ระดับพลงั งานของอเิ ลก็ ตรอนท่ีอยู่ใกล้นวิ เคลยี สมากทสี่ ุดจะมีพลงั งานต่ำสดุ
75. พ.ศ. 2468-ปัจจบุ นั โครงสร้างอะตอมแบบกลุ่มหมอก นกั วิทยาศาสตร์ค้นพบวา่
ภายในอะตอมประกอบดว้ ยอนุภาคทสี่ ำคญั 3 ชนิด คือ อิเลก็ ตรอน โปรตอน และนิวตรอน
เรยี กวา่ อนุภาคท้ัง 3 ชนิดนีว้ า่ อนภุ าคมลู ฐานของอะตอม และพบวา่ นวิ เคลยี สประกอบด้วย
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
402 คมู่ อื เตรยี มสอบ
โปรตอนและนิวตรอนซง่ึ นวิ เคลยี สของอะตอมมีประจเุ ปน็ บวกและถือวา่ มวลทั้งหมดของอะตอมอยทู่ ี่
นวิ เคลียสน้ัน
1) นิวตรอนเปน็ อนุภาคที่เป็นกลาง (ไม่มปี ระจุ)
2) อิเลก็ ตรอนเป็นอนุภาคที่มีประจุและมีมวลน้อยมากเม่ือเทียบกบอะตอมอเิ ลก็ ตรอนมี
ขนาดเล็กมาก เคลื่อนท่อี ย่างรวดเร็วตลอดเวลาไปทว่ั ทงั้ อะตอม
3) โปรตอนเป็นอนุภาคทม่ี ปี ระจุบวกและมีมวลใกลเ้ คียงกับนิวตรอน
76. โครงสรา้ งอะตอมแบบกล่มุ หมอก สรปุ วา่ อะตอมประกอบด้วยกลุ่มหมอกของ
อิเลก็ ตรอนเคลอ่ื นทร่ี อบนิวเคลียสมลี ักษณะเป็นทรงกลมโดยมที ิศทางการเคลอื่ นที่ไม่แน่นอน ทำให้
โอกาสทีจ่ ะพบเล็กตรอนในบรเิ วณตา่ ง ๆ ของอะตอมมีได้ไม่เท่ากัน บริเวณที่อยู่ใกลน้ ิวเคลยี สจะมี
โอกาสพบอิเล็กตรอนมากกวา่ บริเวณทอี่ ย่หู ่างออกไป บริเวณกลุม่ หมอกทบึ แสดงวา่ โอกาสทจ่ี ะพบ
อเิ ล็กตรอนมมี ากและบริเวณที่กล่มุ หมอกจางแสดงว่าโอกาสทจ่ี ะพบอเิ ลก็ ตรอนมนี ้อย
77. เอ. เฮนรี่ เบก็ เคอเรล (A. Henri Becquerel)นักฟิสกิ ส์ชาวฝร่ังเศสเป็นผ้คู น้ พบ
กมั มนั ตภาพรงั สีเป็นครง้ั แรก โดยสังเกตพบวา่ สารประกอบยูเรเนียมมีกัมมันตภาพรงั สีแผ่ออกมา
78. ปแี อร์ (Pierre) และมารี คูรี (Marie Curie)นักฟสิ ิกส์ชาวโปแลนด์และชาว
ฝรั่งเศส ศกึ ษาการแผร่ ังสีของธาตตุ อ่ จากเบ็กเคอเรลพบว่าธาตเุ รเดียม ทอเรยี ม และพอโลเนียมมี
การแผ่รงั สีได้เหมอื นกบั ยเู รเนียม
79. ธาตกุ มั มันตรงั สี คือ ธาตทุ ่ีสามารถสลายตัวปลอ่ ยรังสอี อกมาจากภายในได้
เรียกรงั สนี ว้ี า่ กัมมันตภาพรังสี
80. ธาตุกัมมนั ตรงั สีจำแนกตามลักษณะการเกดิ ได้ 2ประเภท คือ
1)เกดิ จากธรรมชาติ โดยเกดิ มาพร้อมกบั การเกิดของโลก เช่น ยเู รเนยี ม -235 คาร์บอน-
14
2) เกิดจากการประดิษฐ์ขึ้นของมนุษย์ เชน่ โคบอลต์-60 ไอโอดีน-131 นวิ ตรอน-3
81. รงั สี คอื อนุภาคหรอื คล่นื ทป่ี ลดปล่อยออกมาจากอะตอมของธาตกุ ัมมนั ตรงั สมี ี 3
ชนดิ คอื
1) รงั สแี อลฟา (a-rays) เป็นอนภุ าคทีม่ ีประจุไฟฟา้ บวก มอี ำนาจผ่านทะลุตำ่ ท่ีสุด
2) รงั สีบีตา (B-rays) เป็นอนุภาคท่มี ีประจุไฟฟา้ ลบ มีอำนาจในการผา่ นทะลุสงู กวา่ รงั สี
แอลฟา
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 403
3) รังสีแกมมา (y-rays) เป็นรังสที ี่ไมม่ ีประจุไฟฟา้ มีสภาพเปน็ กลางทางไฟฟา้ มีอำนาจ
ในการผ่านทะลสุ ูงทสี่ ดุ
82. ประโยชนข์ องธาตุกมั มนั ตรงั สี
1) ทางการเกษตร ใช้รังสีแกมมาเพ่ือปรับปรงุ พันธ์ุพชื ตรวจหาชนดิ ของป๋ยุ ที่พชื ต้องการ
กำจดั แมลงโดยการทำให้แมลงเป็นหมนั อาบรังสเี พื่อเกบ็ ถนอมอาหาร
2) ทางการแพทย์ ใช้ไอโอดีน-131 ตรวจและรกั ษามะเร็งท่ีต่อมไทรอยด์ แทลเลยี ม-201
ตรวจสอบการทำงานของกลา้ มเนื้อหัวใจ ฟอสฟอรสั -32 รกั ษามะเร็งเม็ดเลือดขาว
3) ทางการทหาร ใช้เรเดยี ม ยเู รเนยี ม ทำอาวธุ นวิ เคลยี รใ์ ช้ยเู รเนียมเปน็ เช้อื เพลงิ ในเรอื รบ
เรือดำนำ้
4) ทางอุตสาหกรรม ใช้ธาตุกมั มนั ตรังสเี พอื่ ตรวจหารอยรั่วของท่อแกส๊ ใต้พ้นื ดนิ วดั ความ
หนาแน่นของวัตถุทีเ่ ปน็ แผน่ บาง ตรวจสอบควันไฟเพื่อปอ้ งกันไฟไหม้
5) ทางโบราณคดี ใชค้ ารบ์ อน-14 ตรวจหาอายวุ ัตถโุ บราณโดยสามารถตรวจหาอายุวตั ถุ
โบราณได้จนถงึ ประมาณ 30,000 ปี
83. อนั ตรายจากกมั มันตรังสี
1) อันตรายต่อชวี ติ โดยตรง ถ้าได้รบั รงั สแี กมมาโดยตรงเป็นจำนวนมากจะทำให้เสียชีวติ ได้
2) อันตรายต่อเนอื้ เยือ่ สมองและอวยั วะสบื พันธ์ุ รังสแี กมมาอาจทำให้เกดิ การกลายพันธุ์
ซ่งึ อาจดีขน้ึ หรอื เลวลงก็ได้
3) อนั ตรายแบบสะสม ถา้ เซลล์ไดร้ ับรังสีนอ้ ย ๆ เป็นเวลานานอาจกลายเป็นเซลลม์ ะเร็งได้
84. การป้องกันอันตรายท่ีเกดิ จากกมั มนั ตภาพรงั สี
1) สถานท่แี ละวตั ถทุ ่ีเป็นแหลง่ กำเนดิ กัมมนั ตภาพรังสีจะต้องตดิ สัญลกั ษณ์เตอื นภัย
เกี่ยวกบั กัมมันตภาพรังสีที่มีลักษณะเป็นรูปใบพัดสามแฉก
2) ผูท้ ี่ทำงานเก่ียวกับกัมมนั ตภาพรังสีต้องสวมชุดและถงุ มือท่ีผลิตจากเสน้ ใยตะก่วั เพื่อ
ป้องกนั รงั สี
3) สถานทที่ ่ีกัมมนั ตภาพรังสจี ะต้องมีเคร่ืองมือวัดปรมิ าณรงั สี เช่น เครอ่ื งไกเกอร์เคานเ์ ตอร์
หรอื หลักฟิลม์
ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
404 ค่มู อื เตรยี มสอบ
ตัวอย่างแนวข้อสอบบทท่ี 4
1. สารเนื้อเดยี วประกอบดว้ ยสารที่สอง 5. กระบวนการใด ไมถ่ ูกต้องเก่ียวกับการระเหย
ชนิดท่ีมจี ุดเดือนต่างกัน จะสามารถแยกสาร ก.ตอ้ งใช้พลังงาน
ออกจากกนั ดว้ ยวิธีใด ข.เกดิ กบั สารบางชนดิ เท่านน้ั
ก.การกลั่นข.การกรอง ค.เปน็ การเปลยี่ นสถานะโดยทอ่ี ุณหภมู ยิ ังคงท่ี
ค.การระเหย ง.การทำให้ตกตะกอน ง.การเปลยี่ นสถานะจากของเหลวกลายเป็นไอ
2. การแยกสารเน้ือผสมที่สามารถแยกไดโ้ ดยใช้ 6. การแยกสว่ นประกอบของสารเนอื้ เดียวท่มี ี
อำนาจแมเ่ หล็กคือข้อใด ส่วนประกอบเปน็ ของแข็งละลายในของเหลว
ก.สารนั้นตอ้ งมีองค์ประกอบทีม่ สี ดี ำ ควรใช้วิธีใด
ข.สารนน้ั ตอ้ งมสี ถานะเปน็ ของแข็งเท่าน้ัน ก.การกรองข.การระเหยแหง้
ค.สารน้นั ตอ้ งมีองค์ประกอบท่ีมนี ้ำหนักมาก ค.การทำให้ตกตะกอนง.วิธีโครมาโทกราฟี
ง.สารน้นั ต้องมีองค์ประกอบของสารแมเ่ หล็ก 7 สารละลายท่ีไม่สามารถใชว้ ธิ ีการแยกโดยการ
3. การระเหิดของสารคือข้อใด ระเหยได้คอื ข้อใด
ก.สารเปลย่ี นสถานะจากของเหลวกลายเปน็ ไอ ก.สารละลายน้ำตาล
ข.การเปล่ยี นสถานะของสารจากก๊าซกลายเป็น ข.สารละลายเกลอื แกง
ของเหลว ค.สารละลายแอลกอฮอล์
ค.การเปล่ยี นสถานะของสารจากของแข็ง ง.สารละลายแคลเซียมคลอไรด์
กลายเป็นไอ 8 การแยกสารบริสทุ ธ์ิด้วยวธิ ีโครมาโทกราฟี
ง.การเปลีย่ นสถานะจากของแข็งเปน็ ของเหลว อาศัยหลกั การในเร่ืองใด
และก๊าซตามลำดับ ก.ความแตกต่างของการดดู ซับ
4. ขอ้ ใดไม่ใชค่ วามผดิ พลาดในการแยก ข.ความแตกต่างของสารในการละลาย
สารละลายด้วยวธิ โี ครมาโทกราฟี ค.ความแตกตา่ งของสารท่ีใชเ้ ป็นตวั ทำละลาย
ก.การใชน้ ้ำเปน็ ตวั ทำละลาย ง.ความแตกต่างของการละลายและการดูดซับ
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 405
ข.การหยดสารละลายเปน็ จุดใหญ่เกนิ ไป
ค.ความอ่ิมตัวของระบบของตัวทำละลาย
ง.สารละลายทีใ่ ชท้ ดสอบมีความเข้มข้นเกนิ ไป
9. ข้อใดไมใ่ ชค่ ุณสมบตั ิของสารทนี่ ำมาแยกโดย 14. รังสใี ด มีอำนาจทะลุทะลวง สงู ท่ีสดุ
วธี ีโครมาโทรกราฟี ก. รงั สแี อลฟา
ก.สารต้องสามารถละลายได้ไมเ่ ทา่ กนั ข. รังสเี บต้า
ข.มีสมบตั กิ ารดูดซับต่างกัน ค. รังสีแกมมา
ค.สารทีล่ ะลายได้น้อยจะดดู ซับน้อยเคล่ือนท่ีชา้ ง. ถกู ทุกขอ้
ง.สารที่ละลายมาก ดดู ซับน้อย เคล่ือนทเี่ ร็ว 15. รังสใี ด มปี ระจุไฟฟ้า มากท่สี ุด
10. ขอ้ ใดคือสมบตั ขิ องการแยกสารแบบตกผลึก ก. รงั สแี อลฟา
ก.ใช้กับสารที่ไมส่ ามารถละลายได้ ข. รังสีเบต้า
ข.สารละลายเม่ือเพ่มิ อณุ หภูมิจะละลายได้นอ้ ยลง ค. รังสีแกมมา
และแยกตวั เปน็ ผลึก ง. ถูกทุกขอ้
ค.สารละลายอ่มิ ตัวเม่ือเพมิ่ อุณหภูมิจะแยกตัว 16. ข้อใดเป็นประโยชน์ของธาตุ Co-60
เป็นผลกึ ก. ทำลายเซลลม์ ะเร็ง
ง.สารละลายอมิ่ ตวั เม่ือลดอุณหภูมจิ ะแยกตวั เป็น ข. ตรวจวิเคราะห์ กระดูก ตบั ไต
ผลึก ค. ดูภาพสมอง
11. ข้อดงั ต่อไปน้ไี ม่ใชส่ มบัติของ ธาตโุ ลหะ ง. รกั ษามะเรง็ ท่ตี ่อมไทรอยด์
ก. มีสถานะเปน็ ของแขง็ ทง้ั หมด 17. รังสแี อลฟาประกอบด้วย
ข. นำไฟฟา้ ก. 2 โปรตอน
ค. นำความรอ้ น ข. 2 โปรตอน กบั 2 นวิ ตรอน
ง. จุดหลอมเหลวและจดุ เดือดสูง ค. 2 โปรตอน กับ 2 อิเล็กตรอน
12. ข้อใดต่อไปน้ีไม่เปน็ สมบตั ิของ ธาตกุ ่ึงโลหะ ง. 4 โปรตอน
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
406 ค่มู อื เตรยี มสอบ
18. มีธาตไุ อโอดนี 131 ซ่ึงมีคร่งึ ชีวิต 8 วนั อยู่
ก. เปราะเหมือนอโลหะ จำนวน 1 กรัม จะใชเ้ วลานานเทา่ ใดจงึ จะเหลือ
ข. ทอ่ี ุณหภมู หิ ้องนำไฟฟ้าได้ดี แตเ่ ม่ืออณุ หภูมิสงู ธาตุ ดังกลา่ วเพยี ง 0.125 กรัม
จะนำไฟฟ้าได้ไมด่ ี ก. 16 วันข. 24 วัน
ค. มันวาวเหมือนโลหะ ค. 32 วันง. 64 วนั
ง. เป็นธาตทุ ีม่ สี มบัติกีง่ กลางระหว่าง โลหะ กับ 19. รงั สชี นดิ ใดท่ีนยิ มใช้ในการอาบรงั สีผลไม้
อโลหะ ก. รังสีแอลฟา
13. ข้อใดคือ ธาตุ ท้งั หมด ข. รงั สีบตี า
ก. ไอโอดนี ฟอสฟอรสั น้ำ ค. รงั สแี กมมา
ข. เหลก็ คารบ์ อนไดออกไซด์ อะลูมเิ นยี ม ง. ถกู ทุกข้อ
ค. โบรอน นำ้ ตาลทราย ทอง
ง. ทองแดง เหล็ก คารบ์ อน
บทที่ 5 ปฏกิ ิริยาเคมี
1. ปฏกิ ริ ิยาเคมี คือ การเปลย่ี นแปลงของสารแล้วได้สารใหม่ทม่ี ีสมบตั ิเปลย่ี นไปจาก
เดมิ ซงึ่ จะมีการเปล่ยี นแปลงพลงั งานด้วย
2. ปฏกิ ริ ิยาเคมีจะเกดิ ข้ึนไดจ้ ะตอ้ งมีสาร ตั้งแต่ 2 ชนดิ เขา้ ทำปฏกิ ิรยิ ากนั เรียกสาร
ทีท่ ำปฏกิ ิรยิ าน้ีว่า สารตัง้ ตน้ หรือตวั ทำปฏกิ ิรยิ า (Reactant) เมอื่ เกิดปฏกิ ิรยิ าเคมีจะมีสารชนดิ ใหม่
เกิดขน้ึ เรียกสารท่เี กดิ ข้นึ ใหม่วา่ สารผลติ ภณั ฑ์ (Product)
3. การเปล่ียนแปลงที่สามารถสังเกตได้เม่ือเกิดปฏิกิริยาเคมี เช่น เกดิ ตะกอน มีฟอง
แก๊ส เกิดความร้อน หรอื สีของสารละลายมีการเปล่ยี นแปลงซึง่ อาจมีปรากฏการณ์อย่างใดอย่าง
หนงึ่ หรอื หลายปรากฏการณเ์ กิดพร้อมกนั ก็ได้
4. ปฏิกริ ยิ าเคมีทีพ่ บในชีวติ ประจำวัน เชน่ การเผาไหมข้ องเชอ้ื เพลงิ การสุกของ
ผลไม้ การทำไวน์ การเนา่ บูดของอาหาร การเกิดสนิมเหล็ก การทำขนมอบ การย่อยอาหาร
และกายหายใจ เป็นตน้
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 407
5. สมการเคมีคือ ประโยคสญั ลักษณ์ท่ีแทนปฏกิ ริ ยิ าเคมีทแี่ สดงสารตง้ั ต้นและสาร
ผลติ ภัณฑใ์ หม่โดยใชล้ ูกศรระหว่างสารตงั้ ต้นกบั สารผลติ ภัณฑ์ เช่น
กรด + เบส เกลือ + นำ้
สารตงั้ ตน้ สารผลิตภณั ฑ์
6. การเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมรี ะหวา่ งโลหะกบั ออกซเิ จน โลหะเม่อื รวมตัวกนั ออกซิเจนจะ
ได้ออกไซด์ของโลหะ เชน่
เหลก็ + ออกซิเจน เหล็กออกไซด์
(4Fe) (3O2) (2Fe2O3)
แม็กนีเซียม+ ออกซิเจน แมกนีเซียมออกไซด์
(2Mg) (O2) (2MnO2)
7. การเกิดปฏกิ ิรยิ าระหว่างโลหะกับนำ้ จะไดผ้ ลิตภัณฑ์คอื แก๊สไฮโดรเจนกบั โลหะ
ดรอกไซด์ เช่น
แม็กนีเซียม+ น้ำ แมกนีเซยี มออกไซด์ + ไฮโดรเจน
(Mg) (2H2O) (Mg(OH2) (H2)
โพแทสเซียม+นำ้ โพแทสเซยี มไฮโดรอกไซด์ +
ไฮโดรเจน
(2K) (2H2O) (2KOH) (H2)
8. การเกิดปฏิกิรยิ าระหว่างโลหะกับกรด จะไดผ้ ลิตภณั ฑค์ ือ แกส๊ ไฮโดรเจนและมี
ผลทำใหโ้ ลหะผกุ รอ่ น เช่น
แมก็ นีเซียม+ กรดไฮโดรคลอริก แมกนีเซียมออกไซด์ + ไฮโดรเจน
(Mg) (2HCI) (MnCl2) (H2)
สงั กะสี + กรดไฮโดรคลอริก สังกะสคี ลอไรด์+ ไฮโดรเจน
(Zn) (2HCI) (ZnCl2) (H2)
9. การเกดิ ปฏิกริ ิยาระหวา่ งกรดกับคารบ์ อเนต จะไดผ้ ลิตภัณฑ์ คือ แกส๊
คารบ์ อนไดออกไซด์ เกลือ และนำ้ เช่น
กรดไฮโดรคลอริก + แคลเซียมคาร์บอเนต
(2HCI) (CaC
แคลเซยี มคลอไรด์+ น้ำ + คารบ์ อนไดออกไซด์
(CaC (CO2)
ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
408 คมู่ อื เตรยี มสอบ
โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต + กรดไฮโดรคลอรกิ
(NaHC (HCI)
คารบ์ อนไดออกไซด์ + นำ้ + โซเดยี มคลอไรด์
(Na )
10. การเกดิ ปฏกิ ิริยาระหวา่ งกรดกับเบส จะไดผ้ ลิตภณั ฑ์คือเกลือกับน้ำ เช่น
กรดไฮโดรคลอริก + โซเดียมไฮดรอกไซด์ โซเดียมคลอไรด์ + นำ้
(2HCI)(Na )(Na )
11. อัตราการเกิดปฏิกิรยิ าเคมีมีทง้ั ท่ีเกิดขึน้ อย่างรวดเร็วทันทีทนั ใด เช่น การเผาไหม้
ของเช้ือเพลงิ การระเบดิ ของดนิ ปนื เปน็ ตน้ และอัตราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมที ีเ่ กดิ ขึ้นอย่างชา้ ๆ
เชน่ การเกิดสนิมเหลก็ การเนา่ บูดของอาหาร เปน็ ต้น
12. กฎทรงมวลของสาร กล่าววา่ ในปฏกิ ริ ิยาเคมีใด ๆ มวลของสารทั้งหมดก่อนทำ
ปฏกิ ริ ยิ าเคมเี ท่ากับมวลของสารทงั้ หมดหลงั ทำปฏกิ ริ ิยาเคมี
13. ปฏิกิริยาคายความรอ้ น เป็นปฏกิ ริ ิยาทเ่ี ม่ือสิ้นสุดปฏกิ ิริยาระบบจะคนื พลังงาน
ความรอ้ นให้กับสิ่งแวดลอ้ มมากกวา่ พลงั งานความร้อนที่ระบบไดร้ ับจากสง่ิ แวดล้อม เพื่อให้ระบบมี
พลงั งานเทา่ เดิม ผลคอื อุณหภูมิของสงิ่ แวดล้อมจะสูงขนึ้ เชน่ ปฏกิ ริ ิยาการเผ่าไหมข้ องเช้ือเพลงิ
เปน็ ต้น
14. ปฏกิ ริ ยิ าดดู ความร้อน เป็นปฏิกิรยิ าท่รี ะบบไดร้ บั พลงั งานความรอ้ นจากส่งิ แวดล้อม
มากกว่าพลังงานความรอ้ นทรี่ ะบบใหค้ นื แกส่ ง่ิ แวดล้อมเม่ือสน้ิ สดุ ปฏกิ ริ ิยา ผลคืออณุ หภมู ิของสิง่ แวดลอ้ มจะต่ำลง
เช่น ปฏกิ ริ ยิ าเผาสลายหินปูนเพ่ือให้ได้ปูนขาว เปน็ ต้น
15. ปัจจัยท่ีมีผลต่ออัตราการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี
1) ธรรมชาตขิ องสารตัง้ ตน้ สารแต่ละชนดิ มสี มบัตแิ ตกต่างกนั จึงทำใหเ้ กดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี
ด้วยอตั ราท่ีแตกต่างกัน
2) ความเข้มขน้ ของสารต้งั ต้น สารท่มี คี วามเข้มขนสูงจะเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมีไดเ้ ร็วกวา่ สารท่มี ี
ความเข้มข้นตำ่
3) พ้ืนท่ีผวิ ของสารทเี่ ข้าทำปฏิกิริยา การเพิ่มพืน้ ทผ่ี วิ สัมผัสของสารให้มากขนึ้ จะทำใหส้ าร
สามารถเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมไี ด้เร็วขนึ้
4) อณุ หภมู ิ การเพิ่มอณุ หภูมจิ ะมผี ลทำใหป้ ฏิกิรยิ าเคมเี กิดได้เร็วขนึ้
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 409
5) ตัวเรง่ ปฏิกิริยา คือ สารเคมีหรือโลหะที่เพิ่มเข้าไปในปฏกิ ริ ิยาแล้วทำให้ปฏิกริ ยิ านัน้ เกดิ
ได้เร็วขึ้น โดยทีต่ วั เรง่ ปฏิกิรยิ าที่เพ่ิมเขา้ ไปนน้ั ยงั คงมีปรมิ าณและสมบตั ิทางเคมีเหมือนเดิมหลัง
ปฏิกริ ิยาส้ินสุดลง
16. สารท่ีมีคาร์บอนเปน็ องคป์ ระกอบ เช่น ฟืน ถ่านไม้ แก๊สมเี ทน แอกอฮอล์
แก๊สโซฮอล์ เมือ่ รวมตัวกบั ออกซิเจนโดยมีความร้อนเปน็ ตัวเรง่ ปฏิกิรยิ า จะเกิดการเผาไหมไ้ ดแ้ ก๊ส
คารบ์ อนไดออกไซด์และพลังงานความรอ้ น
17. ปฏิกริ ยิ าการเผาไหม้ แบง่ เป็น2 ประเภท คอื
1) .ปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหม้สมบูรณ์ เมื่อเกิดการเผาไหมจ้ ะได้แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ น้ำ
และพลงั งาน
2) .ปฏกิ ิริยาการเผาไหม้ไมส่ มบูรณ์ เม่ือเกิดการเผาไหมจ้ ะได้แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์
เขมา่ ควัน น้ำ และพลังงาน เนื่องจากขณะเกดิ การเผาไหมม้ ปี ริมาณแก๊สออกซเิ จนในบรรยากาศ
ท่เี ขา้ ทำปฏิกิริยาไมเ่ พียงพอจึงทำใหเ้ กิดเขม่าควัน
18. การเผาไหม้เชอ้ื เพลิงในสภาพทีม่ ีออกซิเจนไม่เพียงพอ จะทำให้เกดิ เขม่าควนั ซง่ึ
มีผลทำใหท้ ัศนวสิ ยั ลดลงเกิดกล่ินเหม็นสงิ่ ก่อสร้างสกปรกถ้าสิส่งิ มีชวี ิตหายใจเข้าไปจะทำให้เกดิ
อาการระคายเคืองตอ่ ระบบทางเดนิ หายใจ จับกบั เนื้อเย่ือในปอดทำใหป้ อดเสียหายความยนื หยนุ่
และแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์จะเขา้ ไปรวมกบั เฮโมโกลบนิ ในเม็ดเลอื ดแดงทำให้ไมส่ ามารถนำ
ออกซเิ จนไปเลย้ี งรา่ งกายไดเ้ พียงพออาจทำใหเ้ ปน็ อันตรายถึงชวี ิตได้
19. เช้อื เพลงิ ฟอสซลิ เกิดจากการยอ่ ยสลายของสิ่งมีชวี ิตที่ทับถมกันอยใู่ ต้พ้นื ดินหรือ
ใตพ้ ภิ พ ภายใต้ส่งิ แวดล้อมที่เหมาะสม ซึ่งใช้เวลาหลายลา้ นปี เชื้อเพลิงฟอสซลิ ทร่ี ูจ้ ักกันท่วั ไป
ไดแ้ ก่
1) น้ำมัน มีองค์ประกอบของสารไฮโดรคาร์บอน เมื่อสบู เขา้ มาแลว้ จะต้องเข้าโรงกลนั่ และ
ผ่านกระบวนการผลติ แยกส่วนออกเป็นน้ำมันชนดิ ตา่ ง ๆ ก่อนนำมาใช้ เชน่ นำ้ มันดเี ซล
น้ำมันก๊าด เปน็ ต้น ข้อดีของการนำมาผลินไฟฟา้ คือ ขนสง่ ง่าย หาซอื้ ได้ง่าย ประชาชนยอมรับ
แต่กม็ ีขอ้ จำกัด คือ ราคาไม่คงทขี่ ึน้ กบั ราคาน้ำมนั ของตลาดโลก ทำใหเ้ กดิ แก๊สเรอื นกระจก และ
ไฟฟา้ ท่ผี ลิตได้มีตน้ ทนุ ต่อหน่วยสูง
2) ถา่ นหนิ เปน็ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ท่ีมีสถานะของแขง็ ซ่ึงประเทศไทยมเี ป็น
จำนวนมาก ข้อดีของการนำมาผลติ ไฟฟา้ คือ มตี น้ ทุนต่ำแตก่ ็มีขอ้ จำกดั ทำใหเ้ กิดฝนกรดและ
ภาวะโลกร้อน และประชาชนไม่ค่อยยอมรับ
ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
410 คมู่ อื เตรยี มสอบ
3) แกส๊ ธรรมชาติ ประกอบดว้ ยแก๊สมีเทนเปน็ หลกั เป็นเช้อื เพลงิ สะอาดมกี ารเผาไหม้
สมบรู ณ์ สามารถนำไปใชผ้ ลติ ไฟฟา้ ได้โดยตรง หรือนำมาแยกในโรงแยกแกส๊ เพ่ือใชป้ ระโยชนด์ ้าน
อืน่ ๆ เช่น เป็นเชอ้ื เพลิงรถยนต์ แต่กม็ ีข้อจำกัดทร่ี าคาผกู ตดิ กับราคาน้ำมนั ทผ่ี นั แปรตลอดเวลา
20. พลงั งานทดแทน หมายถึง พลงั งานที่ใช้ทดแทนน้ำมนั ทีจ่ ัดเป็นพลังงานหลกั
แบง่ เป็น 2 ประเภท คือ
1) พลงั งานทางเลือก คอื พลังงานท่ีได้จากแหล่งฟอสซิลอ่ืน ทไี่ ม่ใชน่ ้ำมนั ได้แก่ ถา่ นหนิ
แก๊สธรรมชาติ นวิ เคลยี ร์ เป็นต้น
2) พลังงานหมนุ เวยี น คือ พลงั งานท่ีได้จากแหล่งทส่ี ามารถผลติ หรอื ก่อเกดิ พลังงานน้ัน
ขึ้นมาเอง เชน่ พลังงานแสงอาทติ ย์ พลังงานชีวมวล พลังงานความร้อนใต้พภิ พ เปน็ ตน้
1. ขอ้ ใดต่อไปน้ี เปน็ ข้อความทไ่ี ม่ถกู ต้อง 4. การหายใจทำให้มอี ุณหภูมิตำ่ กว่าการลกุ ไหม้
ก. ในการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมีโมเลกลุ ของสารตั้ง ในอากาศเพราะ
ตน้ ต้องชนกันให้ถูกทศิ ทาง ก. การหายใจและการลุกไหมใ้ ชส้ ารต้งั ตน้
ข. โมเลกุลทจ่ี ะมาชนกันแลว้ เกิดปฏิกริ ิยาคือ ต่างกนั
โมเลกลุ ท่ีมพี ลังงานตำ่ ๆ ข. การหายใจและการลุกไหมเ้ ป็นขบวนการ
ค. ปฏิกิริยาที่มีพลังงานกระตุน้ ต่ำจะมี เคมีที่แตกต่างกัน
อตั ราเรว็ สงู กว่าปฏิกริ ยิ าที่มพี ลังงานกระต้นุ สูง ค. การหายใจเป็นขบวนการเผาไหมส้ ารอยา่ ง
ง.พลงั งานกระตนุ้ เป็นคา่ เฉพาะของปฏกิ ริ ยิ า ช้าๆและเกดิ ได้ไมส่ มบูรณ์
หนง่ึ ๆ ง. การหายใจใหพ้ ลังงานจากพันธะเคมีไม่พร้อม
2. ข้อใดเป็นเหตผุ ลท่ีอธิบายว่า "เม่ือเพิ่มความ กันในทนั ที
เข้มขน้ ของสารตั้งตน้ อัตราการเกดิ ปฏิกิรยิ า 5. การสลายกลโู คสในเซลล์จะเกดิ ขึ้นได้ต้อง
เพ่ิมขึ้น " แก้ปัญหาในเร่ืองใดบา้ ง
ก. จำนวนอนุภาคของสารตง้ั ต้นเพิม่ มากข้ึน ก. พลังงานกระตุ้น
เปน็ การลดพลงั งานกระตนุ้ ข. การเก็บพลังงานท่ีเกดิ จากปฏิกิริยา
ข. จำนวนอนุภาคของสารตง้ั ต้นเพิม่ มากข้ึน ค. ขั้นตอนในการเกดิ ปฏิกริ ิยา
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 411
เป็นการบงั คับใหอ้ นุภาคชนกันทุกทิศทาง ง. ทั้ง ก ข และ ค
ค. จำนวนอนภุ าคของสารตั้งต้นเพิ่มมากข้ึน 6. พลงั งานกระตุ้นทำใหอ้ นภุ าคของสารทเี่ ข้าทำ
เป็นการเพิ่มพน้ื ทผ่ี ิวของสารต้ังต้น ปฏิกริ ิยามีการเปล่ียนแปลงตามข้อใด
ง. จำนวนอนุภาคของสารตั้งต้นเพม่ิ มากขึน้ ก. เคลอื่ นทเ่ี ร็วและชนกันมากขน้ึ
โอกาสท่ีอนุภาคจะชนกันมีมากขน้ึ ทำใหอ้ นภุ าคที่ ข. ตำแหน่งท่ีไวต่อการเปลี่ยนแปลงมโี อกาส
มีพลังงานสูงมีจำนวนมากขึน้ ถกู ชนมากขึน้
3. ขบวนการหายใจของสง่ิ มีชวี ิตและขบวนการ ค. แรงชนกนั สงู พอทจ่ี ะทำใหเ้ กดิ การ
สนั ดาปมีส่วนท่เี หมือนกันคือ เปล่ยี นแปลง
ก. ตอ้ งใชอ้ อกซิเจนเสมอ ง. ถกู ทกุ ข้อ
ข. ต้องการเอนไซม์เสมอ 7. กระบวนการท่ีทำให้พลงั งานเคมใี นอาหารถูก
ค. ให้พลังงานออกมาเสมอ เปลย่ี นเป็นพลงั งานรงั สีที่ให้ความร้อนและความ
ง. ใหค้ ารบ์ อนไดออกไซดอ์ อกมาเสมอ อบอ่นุ แก่รา่ งกายคือ
ก. กระบวนการแปรสภาพอาหาร
ข. กระบวนการสลายสารอาหาร
ค. กระบวนการสงั เคราะห์อาหาร
ง. กระบวนการลำเลียงอาหาร
เฉลยบทท่ี 1
1 ก2 ง3 ง4 ค5 ก
6 ข 7 ข 8 ง 9 ข 10 ข
11 ข 12 ค 13 ค 14 ค 15 ข
16 ง 17 ก
เฉลยบทท่ี 2
1 ก2 ข3 ค4 ค5 ค
6 ข7 ข
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
412 ค่มู อื เตรยี มสอบ
เฉลยบทท่ี 3
1 ง2ข3ก4ก5ข
6 ค 7 ง 8 ค 9 ง 10 ก
เฉลยบทท่ี 4
1 ก2 ง3 ค4 ก5ค
6 ข 7 ค 8 ง 9 ค 10 ง
11 ก 12 ข 13 ง 14 ค 15 ก
16 ก 17 ข 18 ค 19 ก
เฉลยบทท่ี 5
1 ข2 ง3 ค4 ง5ง
6 ง7ข
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 413
สาระที่ 4 แรงและการเคล่อื นที่
บทที่ 1 การเคล่อื นที่
1. การเคลื่อนท่ี หมายถงึ การทีว่ ตั ถุยา้ ยตำแหน่งจากท่เี ดิมไปอยูท่ ตี่ ำแหน่งใหม่
2. การเคล่อื นที่ของวตั ถุ เช่น การแตะลูกบอลหรือโยนลกู บอลจะทำให้ลูกบอล
เคลอื่ นท่ีไปยงั บรเิ วณเปา้ หมายทีต่ ้องการ การแกวง่ ชิงช้า การขบั รถ การแข่งขนั กีฬา การยงิ ธนู
การหมนุ ของพัดลม กจ็ ะมีการเคลอื่ นที่ของคนยายพาหนะ และวตั ถตุ ่าง ๆ นอกจากนถ้ี ้าหากเรา
สังเกตบนท้องฟ้าจะพลว่าดวงดาวและวตั ถุในท้องฟ้าจะมกี ารเคล่ือนทต่ี ลอดเวลาทำให้เราไดพ้ บ
ปรากฏการณ์ธรรมชาตหิ ลายอยา่ ง
3. การเคล่ือนที่ของวัตถุ แบ่งออกเปน็ 1) การเคล่อื นที่ในแนวตรง 2) การเคลื่อนท่ี
ในแนวโค้ง
4. การเคล่อื นที่ในแนวตรง เปน็ การเคลื่อนท่ขี องวตั ถุในแนวเดิม อาจเคลื่อนที่ในทิศ
เดิมหรอื ทิศตรงกันข้ามโดยอาจมแี รงกระทำต่อวตั ถุหรือไม่ก็ได้ ถา้ มีแรงกระทำ ทิศของแรงที่กระทำ
จะอยใู่ นแนวเดียวกบั แนวการเคล่ือนท่ีของวัตถเุ สมอ เชน่ การว่งิ 100 เมตรในลวู่ ่ิง การเคลอ่ื นท่ี
ของรถยนตท์ ่วี ง่ิ บนทางตรง การหล่นของผลไมส้ ุกขากต้น เป็นต้น
5. การเคล่ือนท่ใี นแนวโค้ง เปน็ การเคลอื่ นที่ในสองแนวพร้อมกันคือในแนวราบและ
แนวดงิ่ มีหลายลกั ษณะดังน้ี 1) การเคลื่อนทแ่ี บบโพรเจกไทล์2) การเคล่ือนท่ีแบบวงกลม 3)
การเคลอื่ นท่แี บบฮาร์มอนิกอยา่ งง่าย
6. การเคลอ่ื นทแ่ี บบโพรเจกไทล์ เปน็ การเคลอ่ื นทีข่ องวตั ถุท่ีมีความเรว็ ในสองแนว
พร้อมกนั คือ ในแนวราบและแนวดง่ิ ในแนวราบความเรว็ คงตัว ในแนวดง่ิ ความเรว็ ไม่คงตวั จะมี
ความเร่ง เพราะมีแรงดึงดดู ของโลกกระทำต่อวตั ถุ วตั ถุจะเคล่ือนทีต่ ามแนวของความเร็วลัพธ์ทำให้
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
414 คมู่ อื เตรยี มสอบ
เคลอ่ื นที่เปน็ วถิ ีโค้ง แรงทก่ี ระทำวตั ถุจะมที ิศคงตัวตลอดเวลาโดยทำมมุ ใด ๆ กับทิศของความเร็ว
เชน่ การขว้างหรือยงิ วตั ถุไปในอากาศในแนวที่เองไปจากแนวด่ิง
7. แรงทเี่ กย่ี วข้องกบั การเคลือ่ นท่ีแบบโพรเจกไทล์ มี 2 แรง คือ
1) แรงโนม้ ถ่วงของโลก เปน็ แรงท่ดี งึ ดูดวัตถุใหต้ กลงสู่พืน้ โลกในแนวด่งิ ทำใหว้ ัตถุมี
ความเร็วในแนวดิ่ง
2) แรงผลักหรอื แรงดนั วตั ถุ เป็นแรงท่ีทำใหว้ ตั ถุเคลื่อนท่ใี นแนวราบและมีความเรว็ ตาม
แนวราบ
8. การเคลื่อนที่แบบวงกลม เป็นการเคลือ่ นท่ขี องวตั ถเุ ป็นแนววงกลมรอบจุดจดุ หนง่ึ
โดยมรี ัศมคี งที่ และมีแรงกระทำในทศิ เขา้ สูศ่ ูนย์กลาง เชน่ การแกวง่ วตั ถุเป็นวงกลมแนวราบใน
อากาศ การเคลื่อนท่ีของชิงช้าสวรรค์เปน็ วงกลมในแนวด่งิ การเลีย้ งโคง้ ของรถยนตบ์ นทางโค้งใน
แนวราบเป็นต้น
9. การเคลอ่ื นท่แี บบฮาร์มอนิกอยา่ งงา่ ย เปน็ การเคล่อื นที่ของวตั ถทุ เ่ี คลอื่ นที่กลับไป
กลบั มาซ้ำรอยเดิม โดยมีแอมพลิจดู คงที เชน่ การเคล่ือนที่ของวตั ถตุ ิดสปรงิ การเคลือ่ นท่ีของ
ลูกตมุ้ นาฬิกา การแกว่งชิงชา้ เปน็ ตน้
10. การบอกตำแหน่งของวัตถทุ ่ีอยู่น่งิ ทำได้หลายวธิ โี ดยแตล่ ะวธิ ีต้องเทยี บกับ
จุดอา้ งองิ วา่ วัตถนุ ้ันอยู่ท่ีใด วตั ถุอยู่หา่ งจากจดุ อ้างองิ เป็นระยะเท่าใด และอยู่ทางทศิ ของจุดอา้ งองิ
11. จดุ อา้ งอิง ควรเป็นจุดที่อยู่นิ่ง อยูใ่ กลก้ บั วตั ถุ และสามารถสงั เกตเห็นไดช้ ัดเจน
จดุ อา้ งองิ อาจเป็นส่ิงทมี่ ีอยู่ในธรรมชาติ เชน่ ต้นไม้ แม่น้ำ หรอื เปน็ ส่ิงทม่ี นุษย์สรา้ งขึ้น เชน่
ถนน สะพาน อาคาร อนสุ าวรีย์ เป็นตน้
12. วัตถทุ กี่ ำลังเคล่ือนท่จี ะเคลื่อนทเ่ี รว็ หรอื ช้า พิจารณาจากระยะทางทเ่ี คลอ่ื นท่ีได้
หรอื การกระทำทไี่ ด้หรือการกระจดั ที่ไดเ้ ทยี บกับเวลาท่ีใชใ้ นการเคลอ่ื นท่ี
13. การบอกตำแหน่งของวัตถุที่มกี ารเคลอ่ื นทห่ี รือมีการเปล่ียนตำแหน่ง การบอก
ตำแหน่งใหม่ของวตั ถุโดยเทียบกับตำแหน่งเดิมจะทำไดโ้ ดยการหาระยะทางและการกระจัด
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 415
14. ระยะทาง (Distance)คอื ความยาวตามเส้นทางทวี่ ตั ถุเคล่ือนทีไ่ ปได้ทงั้ หมด มี
หน่วยเปน็ เมตรหรอื กิโลเมตร เช่น นักกฬี าวิ่งได้ระยะทาง 5 กิโลเมตร การบอกระยะทางเป็นการ
บอกเฉพาะขนาดของปรมิ าณไม่ต้องระบุทิศทาง ปรมิ าณท่ีมีแต่ขนาดอยา่ งเดยี วเรียกวา่ ปรมิ าณส
เกลาร์
15. การกระจดั (Displacement)คือ ความยาวตามเสน้ ตรงทเ่ี ช่อื มโยงระหวา่ ง
จดุ เริม่ ตน้ และจุดสดุ ทา้ ยของการเคลื่อนท่ี มหี นว่ ยเป็นเมตรหรือกิโลเมตร ปรมิ าณการกระจดั
จำเป็นต้องบอกขนาดและทิศทาง โดยระบจุ ดุ เรม่ิ ต้นและจุดสุดท้าย ปริมาณท่ีตอ้ งระบุท้ังขนาดและ
ทิศทางเรยี กว่า ปรมิ าณเวกเตอร์
16. การกระจัดมีคา่ เท่ากับระยะทาง เมอ่ื วัตถเุ คล่อื นที่เปน็ เสน้ ตรงไปทางเดยี วตลอด
โดยไมเ่ ปลีย่ นทศิ ทาง
17. การกระจัดมีค่านอ้ ยกวา่ ระยะทาง เม่ือการเคลื่อนท่ีของวัตถุมีการเปล่ยี นทิศทาง
18. การกระจัดมคี า่ เท่ากบั ศูนย์ เมื่อการเคลือ่ นทข่ี องวตั ถุกลบั มายงั จดุ เร่ิมตน้
19. การเขียนปรมิ าณการกระจดั จะใชเ้ สน้ ตรงที่มหี ัวลูกศรกำกับไวโ้ ดยความยาวของ
เส้นตรง แทนขนาดของการกระจัด และหัวลูกศรแทนทศิ ทางของการกระจัด เชน่ การเดนิ จากจุด
A ไปยงั จุด B เขยี นแสดงการกระจดั คือลูกศรจาก A ไป B เส้นตรง AB ยาว 2 หน่วย ถา้ กำหนดให้
1 หน่วย แทนระยะทาง 100 เมตร ขนาดของการกระจัดจาก A ถึง B จะเท่ากบั 200 เมตร
20. ปริมาณสเกลาร์ คือ ปริมาณทม่ี แี ต่ขนาดเพยี งอยา่ งเดยี วไม่มีทิศทาง เช่น
ระยะทางท่ีไมร่ ะบทุ ศิ ทาง ความยาว พื้นที่ ปรมิ าตร มวล เวลา อุณหภูมิ แทนปรมิ าณสเกลาร์
ด้วยตัวเลขโดดๆ เชน่ ขบั รถไดร้ ะยะทาง 300 กโิ ลเมตร เปน็ ต้น
21. การเขยี นสญั ลกั ษณแ์ ทนปริมาณเวกเตอร์ ทำไดห้ ลายแบบ เช่น ใชส้ ญั ลกั ษณ์
ลูกศรโดยท่หี วั ลูกศรแทนทศิ ทางและความยาวแทนขนาดของเวกเตอร์
23. อัตราเรว็ ( Speed)คือ อตั ราสว่ นระหว่างระยะทางกบั เวลาทใี่ ช้ในการเคลื่อนที่
เป็นปรมิ าณสเกลาร์ มีหนว่ ยเป็นเมตรต่อวินาที หรือกิโลเมตรตอ่ ชว่ั โมง เขียนความสมั พันธไ์ ดด้ ังนี้
อัตราความเร็ว =
ตวั อย่างเชน่
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
416 ค่มู อื เตรยี มสอบ
วัฒนาขับรถจากท่ีบ้านตรงไปทางทิศตะวนั ออกถึงแยกสญั ญาณไฟจราจรไดร้ ะยะทาง 15 กิโลเมตร
และเลย้ี วไปทางทศิ ใต้ ขับตรงไปอีกจนถึงโรงเรยี นได้ระยะทาง 20 กโิ ลเมตร ใชเ้ วลาทั้งส้ิน 30
นาที วฒั นาขับรถดว้ ยอัตราความเร็วเท่าใด
แนวคดิ
จากนยิ ามของอตั ราความเร็ว =
ดังนัน้ อัตราเร็ว =
= 70 km/hr
นัน่ คือ วฒั นาขับรถด้วยอตั ราเร็ว 70 กิโลเมตรตอ่ ช่วั โมง
24. อัตราเรว็ เฉล่ยี (Average Speed)คอื อัตราสว่ นของระยะทางต่อเวลาใน
ขณะน้นั ทั้งระยะทางและเวลาเป็นปริมาณสเกลาร์ ดงั นั้นอัตราเร็วเฉล่ียจงึ เปน็ ปรมิ าณสเกลาร์ มี
หน่วยเป็นเมตรต่อวนิ าที หรือกิโลเมตรต่อช่วั โมง
25. ความเรว็ (Velocity) คือ อัตราสว่ นระหวา่ งการกระจดั กับเวลาทใ่ี ช้ในการ
เคล่อื นที่ เป็นปริมาณเวกเตอร์ มที ั้งขนาดและทิศทาง มหี นว่ ยเปน็ เมตรต่อวนิ าที หรือกิโลเมตรตอ่
ชว่ั โมง เขียนความสัมพันธไ์ ด้ดงั น้ี
ความเร็ว =
ตัวอย่างเชน่
พรทิพย์ซอ้ มว่ิงบนสนาม โดยว่ิงจากจุดเรม่ิ ตน้ A ตรงไปทางทิศเหนือถงึ จดุ B ไดร้ ะยะทาง 150
เมตร และเลยี้ วขวาไปทางงทิศตะวนั ออก วิ่งตรงไปอีกจนถงึ จุด C ได้ระยะทาง 200 เมตร ถ้าทุก
ๆ ระยะทาง 1 เมตร พรทพิ ย์ใช้เวลาว่งิ 1/5 วนิ าที พรทพิ ย์วง่ิ จากจุด A ถงึ C ดว้ ยความเรว็ เทา่ ใด
แนวคิด
โจทยก์ ำหนดให้ ระยะทางท่ีพรทิพย์วิ่งได้ = 150 + 200 = 350 เมตร ในเวลา 1/5 วนิ าที พรทิพย์
วิง่ ได้ระยะทาง 1 เมตร แสดงว่าพรทพิ ย์ว่ิงจากจุด A ไปถึงจดุ C ใช้เวลารวมทง้ั สนิ้
350 x (1/5) = 70นาที B 200 ม. C N
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 417
A การกระจดั
จากทฤษฎบี ทพีทาโกรัส =+
=+
= 62,500
AC = 250 m
จากนิยามของความเร็ว =
=
= 3.57 m/s
นน่ั คือ พรทิพย์วิง่ ดว้ ยความเร็ว 3.57 เมตรตอ่ วินาที ทศิ จาก A ไป C
26. ความเร็วเฉลี่ย (Average Velocity)คือ อัตราสว่ นของการกระจัดกับเวลาใน
ขณะนัน้ เนื่องจากการกระจดั เปน็ ปริมาณเวกเตอร์ ดงั นัน้ ความเร็วเฉล่ยี จึงเปน็ ปรมิ าณเวกเตอร์ดว้ ย
มหี น่วยเปน็ เมตรต่อวินาทหี รือ กโิ ลเมตรตอ่ ช่วั โมง
27. ความเร็วมคี ่าเทา่ กบั อัตราเรว็ เมือ่ วัตถุเคล่อื นท่ีในแนวเส้นตรงไม่มีการเปลี่ยน
ทิศทาง
28. การทจ่ี ะรู้ว่าขณะนี้ความเร็วของยานพาหนะท่ขี บั มีค่าเท่าใดต้องดจู าก มาตรวดั
อตั ราเรว็ ของยานพาหนะที่บอกอัตราเรว็ ของยานพาหนะในหน่วยระยะทางตอ่ เวลา
29. การหาความยาวดา้ นใดด้านหนงึ่ ของรปู สามเหลี่ยมมมุ ฉาก สามารถหาไดห้ ลาย
วิธี เชน่
1) การวดั ใช้วธิ ีสรา้ งรูปสามเหลย่ี มมมุ ฉากตามทกี่ ำหนดไว้ แลว้ วัดความยาวของดา้ นที่
ต้องการ
2) การคำนวณ ใช้ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งด้านทั้งสามของสามเหล่ียมมุมฉากตามทฤษฎบี ทพี
ทาโกรสั ดงั น้ี
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
418 คมู่ อื เตรยี มสอบ กำหนดให้ A,B คือ ความยาวของด้านประกอบมุมฉาก
C คือ ความยาวของด้านตรงขา้ มมุมฉาก
AC จะได้ความสัมพันธ์ คอื + =
B
ตวั อย่างแนวข้อสอบบทที่ 1
1. วตั ถหุ นัก 2 กิโลกรัม วางบนพ้ืนราบ ทีม่ ี 3. เมอ่ื รถวง่ิ ไปขา้ งหน้า แรงเสียดทานของถนน
คา่ แรงเสียดทาน 2นวิ ตัน เมื่อออกแรงดึงตาม จะมีทิศทางใด
แนวราบ วัตถเุ รมิ่ เคลื่อนทีพ่ อดี จงหา ก. ทิศทางตรงขา้ มกบั รถวิ่ง
สมั ประสิทธิ์ของแรงเสยี ดทาน (1 กิโลกรมั = 10 ข. ทิศทางเดียวกับรถว่งิ
นิวดัน) ค. ทศิ ทางไม่แน่นอน
ง. พ้ืนถนนมแี รงเสยี ดทานทุกทิศทาง
ก. 0.1ข. 1 4. ระยะกระจัด หมายถึง
ก. ระยะทางทง้ั หมดของการเคลอ่ื นท่ี
ค. 10ง. 40 ข. อัตราสว่ นระหว่างระยะทางกับเวลา
ค. อตั ราส่วนของระยะทางท้ังหมดกับเวลาและ
2. ข้อใดเป็นปริมาณสเกลาร์ทั้งหมด แรงเสยี ดทาน
ง. ความยาวของเสน้ ตรงสมมติท่ลี ากจาก
ก. เวลา ระยะทาง ความเร่ง จดุ เริ่มต้นไปยังจดุ สนิ้ สดุ
ข. มวล ระยะทาง อตั ราเรว็
ค. ระยะทาง เวลา ความเรว็
ง. ถูกมากกว่า 1 ข้อ
5. ขอ้ ใดไม่ใชก่ ารเคลอ่ื นท่ีในแนวโค้ง 9. การเคลือ่ นทใ่ี นข้อใดท่ีทำใหก้ ารกระจดั มีค่า
ก. การเคลื่อนท่ีแบบโพรเจกไทล์ เป็นศูนย์
ข.การเคล่ือนท่แี บบวงกลม
ก. การเคลื่อนท่ีของลมพายผุ า่ นเสน้ ศูนย์
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 419
ค.การเคล่อื นทแี่ บบฮารม์ อนิกอยา่ งง่าย สูตร
ง. ถูกทกุ ข้อ ข. การเคลื่อนท่ขี องบัง้ ไฟพญานาค
6. ขอ้ ใดไม่ใช่ความหมายของแรง ค. การโยนกอ้ นหินขึน้ ไปในอากาศและตกกลับสู่
ก. อำนาจอยา่ งหนึ่งท่ีทำให้วตั ถมุ ีความเร่ง จุดเดมิ
ข. เป็นปรมิ าณทม่ี ที ้ังขนาด และ ทศิ ทาง
ค.ทำให้วัตถุเปลี่ยนทิศทางการเคลอื่ นท่ี หรือ ง. การหล่นของลูกมะพร้าวลงสู่พน้ื ดิน
เปลย่ี นรูปร่าง
ง.สิง่ ทีท่ ำให้วัตถุมวล 1 กิโลกรัม เคลือ่ นทีด่ ว้ ย 10. รถยนตค์ ันหนึ่งวงิ่ ดว้ ยอัตราเรว็ คงตัว 20
ความเรว็ 1 เมตร/วินาที m/s จะใช้เวลานานเทา่ ใดจึงจะเคลื่อนท่ีได้
7. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ผลท่เี กิดจากการกระทำของแรง ระยะทาง
ก. มะม่วงหลน่ จากต้น
ข. รถยนตม์ คี วามเร็วคงท่ี 500 m
ค. รถยนตม์ ีความเร็วลดลง
ง. สมพงษ์ถูกมีดบาดมือ ก. 20 s ข. 25 s
8. การเคลือ่ นที่ในข้อใดเปน็ การเคล่ือนท่ีแบบมี
คาบ ค. 30 s ง. 40 s
ก. เดินจากบ้านไปโรงเรียนเสน้ ทางเดิมทุก 11. รถยนต์คันหน่งึ เคล่ือนที่ไปตามถนนตรงด้วย
วนั
ข. การเคล่อื นท่ีของลกู ตุ้มนาฬิกา อัตราเรว็ 40 เมตร/วินาทหี ลงั จากนัน้ 1
นาที
ค. การเคลอื่ นท่ีของรถไฟ
ง. การเคลือ่ นทขี่ องลกู ปงิ ปอง รถยนต์ มคี วามเรว็ เปน็ 160 เมตร/วินาที จง
หา
ความเร่ง
ก. มคี วามเร่งเพิ่มขึน้ 2 m/s2
ข. มีความเรง่ ลดลง 2 m/s2
ค.มีความเร่งเพม่ิ ข้ึน 120 m/s2
ง.มคี วามเรง่ ลดลง 120 m/s2
12. รปู สามเหล่ียมมมุ ฉากดงั รูป
X จงหาคา่ X มคี ่าเท่าใด
3 ก. 2
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
420 ค่มู อื เตรยี มสอบ 4 ข. 3
ค. 4
บทที่ 2 แรงในชีวิตประจำวัน ง. 5
1. แรงมีผลตอ่ วัตถใุ นลักษณะต่าง ๆแรงทำให้วตั ถุที่อยูน่ ิง่ เคลือ่ นที่ได้แรงทำใหว้ ตั ถุ
เคลือ่ นที่หยุดน่งิ ได้ หรือทำใหว้ ัตถุเปล่ียนแปลงรปู รา่ งได้
2. เม่ือมแี รงกระทำต่อวตั ถแุ ล้วทำให้วัตถเุ คลอ่ื นท่ี หรือทำใหว้ ตั ถเุ ปลย่ี นแปลง
รปู รา่ ง เช่น การใช้เทา้ แตะลูกบอลใหเ้ คลอื่ นท่ี การใช้มอื กดดนิ เหนยี วให้เกดิ การเปลีย่ นแปลง
รูปร่าง การกระทำเหลา่ น้ีถือวา่ เปน็ การแกแรงกระทำตอ่ วตั ถุ
3. แรง (Forces) คือ สิ่งทีไ่ ม่มีตวั ตน ไม่สามารถมองเหน็ ได้แต่สามารถรับรู้ได้จาผล
การกระทำของแรง แรงทก่ี ระทำต่อวัตถุเป็นปริมาณที่มีท้งั ขนาดและทิศทาง ดงั นั้นแรงจงึ เป็น
ปริมาณเวกเตอร์
4. ผลของแรงต่อการเปลี่ยนแปลงของวตั ถุ เช่น แรงทำใหว้ ัตถมุ ีการเปลย่ี นแปลง
อัตราเรว็ เปล่ียนแปลงทศิ ทางการเคลื่อนท่ี เปลย่ี นแปลงรูปรา่ งของวัตถุ
5. แรงทำใหว้ ัตถเุ ปลี่ยนแปลงอัตราเรว็ เช่น
การใชเ้ ท้าแตะลกู ฟุตบอลที่อยนู่ งิ่ ทำให้ลูกฟตุ บอลเปลี่ยนแปลงอตั ราเรว็ จากอตั ราเร็ว
เท่ากบั ศูนยจ์ นมีอัตราเรว็ ทีส่ ามารถเคลื่อนท่ีได้ เรยี กว่า แรงทำใหว้ ัตถุเคล่ือนทจี่ ากสภาพนิ่ง
การโยนลูกบอล ถ้า A โยนลกู บอลให้ B แลว้ B ใช้มอื ทั้งสองข้างจบั ลกู บอลทก่ี ำลัง
เคลอ่ื นเข้าหาตวั มือท้ังสองขา้ งจะตอ้ งออกแรงกระทำต่อลกู บอลในทิศตรงข้ามกับการเคลื่อนท่ที ำให้
ลกู บอลหยุด เรยี กว่า แรงทำใหว้ ัตถุเปลี่ยนแปลงอัตราเร็วจากการเคล่ือนท่จี นหยดุ นิ่ง ถ้าลูกบอล
เคลอ่ื นที่เขา้ หา B แลว้ B ใช้มือทงั้ สองออกแรงผลักลูกบอลในทิศทางเดยี วกบั ทลี่ ูกบอลเคลื่อนทีจ่ ะ
ทำให้อัตราเรว็ ของลูกบอลเพิ่มขน้ึ และเคลื่อนที่ในทิศทางเดยี วกบั แรงที่มือกระทำกับลูกบอลเรียกว่า
แรงทำใหว้ ัตถุมอี ตั ราเรว็ เพิ่มข้ึน
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 421
6. แรงทำใหว้ ัตถุเปลี่ยนแปลงทิศทางการเคลือ่ นท่ี เช่น การแข่งขนั วอลเลยบ์ อล
นกั กีฬาจะใช้มือเสริ ์ฟหรือตบลูกบอลให้ขา้ มไปฝง่ั ตรงขา้ มทำใหท้ ิศทางของลกู บอลเปลีย่ นแปลงไป
เรียกว่า แรงทำใหท้ ิศทางการเคล่ือนที่ของวัตถเุ ปลยี่ นแปลงไป
7. แรงทำให้วัตถเุ ปล่ียนแปลงขนาดหรอื รูปรา่ ง เชน่ การออกแรงท่มี ือนวด คลงึ
และกดดนิ เหนยี ว แรงเหลา่ น้ีจะทำให้ดินเหนยี วมีการเปลีย่ นแปลงขนาดและรูปรา่ งกลายเปน็ โอ่ง
การกระทำเช่นนี้เรยี กวา่ แรงทำใหว้ ตั ถเุ ปลีย่ นแปลงขนาดและรูปร่าง
8. แรงมีขนาด ขนาดของแรงจะมคี ่ามากเมือ่ อกแรงผลกั หรือดึงวตั ถุหนกั และจะมี
คา่ น้อยเมอ่ื ออกแรงผลกั หรือดึงวัตถเุ บา
9. หนว่ ยของแรงคือนิวตนั (N) แรง 1 นวิ ตนั หมายถงึ ขนาดแรงทสี่ ามารถทำให้
มวล 1 กิโลกรมั เคลอ่ื นท่ีไปตามแนวแรงน้นั ดว้ ยความเรว็ ทเ่ี ปลย่ี นไปใน 1 วินาที เปน็ 1 เมตรต่อ
วนิ าที
10. การรวมแรงทเี่ ปน็ ปริมาณเวกเตอร์ จะรวมท้งั ขนาดและทิศทางทำไดโ้ ดยการ
เขยี นเวกเตอร์แทนแรง ให้ความยาวเวกเตอรเ์ ปน็ สดั ส่วนกับขนาดของแรง
1) การรวมแรงย่อยท่ีมีทิศเดียวกัน แรงลพั ธจ์ ะมีค่าเท่ากับผลบวกของแรงย่อยทั้งหมด
2) การรวมแรงย่อยที่ทิศทางตรงขา้ ม แรงลัพธจ์ ะมีค่าเทา่ กับผลต่างของแรงย่อยและมีทศิ
ไปทางแรงมาก
3) การรวมแรงย่อยทีม่ ีทิศตั้งฉากกนั แรงลพั ธจ์ ะมีค่าเท่ากับเสน้ ทแยงมมุ ของส่เี หลี่ยมดา้ น
ขนานทล่ี ากจากหางของทงั้ สองเวกเตอร์
4) การรวมแรงย่อยหลายแรง แรงลพั ธห์ าไดจ้ ากการเขียนรูปเวกเตอรแ์ ทนแรงด้วยวธิ หี าง
ต่อหวั เขยี นเวกเตอร์ของแรงลพั ธโ์ ดยลากเส้นตรงจากหางเวกเตอร์แรกไปยงั หวั ของเวกเตอร์สดุ ทา้ ย
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
422 ค่มู อื เตรยี มสอบ
11. ประโยชนข์ องการรวมแรงในชีวิตประจำวนั เช่น การก่อสรา้ งช่วยป้องกนั ปญั หา
การทรดุ ตวั การเคลื่อนยา้ ยสง่ิ ของช่วยผอ่ นแรงได้ การกระโดร่มชว่ ยใหผ้ กู้ ระโดรม่ ถึงพ้นื ได้อย่าง
ปลอดภยั การลดความเร็วของรถยนต์ เปน็ ตน้
12. ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ กับวัตถุเม่ือแรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถเุ ท่ากับศนู ย์วตั ถุจะคงสภาพอยู่
นิง่ หรอื เคลื่อนท่ีด้วยความเรว็ คงตวั สอดคล้องกับกฎการเคลื่อนทขี่ ้อท่ี1ของนิวตนั ท่วี า่ “เม่ือแรงลัพธ์
กระทำตอ่ วตั ถเุ ป็นศูนย์แลว้ วตั ถุทอ่ี ยนู่ ิ่งก็ยงั คงอยู่น่งิ หรือวัตถุที่เคลื่อนที่ดว้ ยความเร็วคงตวั กย็ ังคง
เคลื่อนที่ดว้ ยความเรว็ คงตวั ”
ตวั อย่างแนวข้อสอบบทท่ี 2
2. ในการเคล่ือนทีแ่ นวตรงของวัตถุ ถา้ 3. วัตถใุ นขอ้ ใดมแี รงลัพธเ์ ป็นศนู ย์กระทำ
ระยะทางเคลื่อนที่ไปโดยแปรผนั ตรงกับเวลา ก. รถยนต์ทกี่ ำลงั แลน่ บนถนนดว้ ยความเร็ว
เราสรุปได้วา่ ลดลง
จ. แรงลัพธ์ท่ีกระทำต่อวตั ถุเป็นศูนย์ จ. ลฟิ ต์ทกี่ ำลงั เคลอื่ นท่ลี งด้วยความเร่งคง
ฉ. แรงลพั ธ์ท่กี ระทำต่อวตั ถุมีคา่ คงที่ ตวั
ช. แรงลัพธ์ที่กระทำมที ศิ ตรงข้ามกบั การ ฉ. ลงิ ทีก่ ระปีนขน้ึ ต้นมะพรา้ วดว้ ยความเร็ว
เคลอื่ นที่ เพ่มิ ขึน้
ซ. แรงลัพธ์จะเปน็ สดั ส่วนโดยตรงกบั เวลา ช. วัตถุที่กำลงั เคลือ่ นท่เี ป็นวงกลมด้วย
2. ใบไม้ทตี กลงส่พู ื้นมีความเร่งน้อยกว่า g ใน ความเรว็ คงท่ี
บรเิ วณน้ันเราจะใชก้ ฎการเคล่ือนทข่ี องนวิ ตันข้อ 5. ถ้าแรงลพั ธท์ ี่กระทำต่อวตั ถเุ ป็นศูนย์ วตั ถจุ ะ
ใดอธบิ าย อยู่ในสถานะใด
จ. กฎข้อ 1 ก. เคล่ือนที่ด้วยความเรว็ คงท่ีข. หยดุ น่ิง
ฉ. กฎข้อ 2 ง. เคลือ่ นท่ีดว้ ยความเรง่ คงท่ีง. ข้อ 1และ 2
ช. กฎข้อที่ 3 5. ในการเคลือ่ นที่แนวตรงของวัตถุ ถา้ ระยะทาง
ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 423
ซ. กฎข้อท่ี 1 และ 2 เคลอ่ื นท่ีไปโดยแปรผันตรงกบั เวลาเราสรปุ ไดว้ ่า
ก. แรงลพั ธ์ที่กระทำต่อวตั ถุเป็นศนู ย์
ข. แรงลัพธ์ท่กี ระทำต่อวัตถมุ ีคา่ คงที่
ค. แรงลัพธ์ท่กี ระทำมีทศิ ตรงขา้ มกับการ
เคล่อื นท่ี
ง. แรงลพั ธ์จะเป็นสัดสว่ นโดยตรงกบั เวลา
บทท่ี 3 แรงและการเคล่อื นท่ี
1. แรงลัพธ์ คอื ผลรวมของแรงหลายแรงทีก่ ระทำต่อวัตถุในเวลาเดียวกัน ถา้ มีค่า
เป็นศนู ย์ วตั ถุจะคงสภาพหยุดน่ิงหรอื เคล่ือนทด่ี ้วยความเร็วคงตวั แต่ถ้าไม่เท่ากบั ศูนยจ์ ะทำให้วตั ถุ
เคลือ่ นทด่ี ้วยความเรง่
2. เครอ่ื งเคาะสัญญาณเวลา (Ticker-tapes timer) เป็นอุปกรณ์วดั ความเรว็ ของ
วตั ถุทเ่ี คลอ่ื นท่ีในช่วงเวลานัน้ ๆ โดยเครอ่ื งจะบนั ทกึ ตำแหน่งเวลาและตำแหน่งของวัตถุที่สมั พนั ธก์ นั
เม่ือนำเคร่อื งเคาะสัญญาณเวลามาต่อกบั หม้อแปลงโวลต์ต่ำทำใหเ้ คร่ืองเคาะสญั ญาณเวลาทำงาน
แผ่นเหล็กสปรงิ จะสง่ั ทำใหโ้ ลหะปลายแหลมที่ปลายคันเคาะ เคาะลงไปบนแปน้ ที่รองรับเปน็
จังหวะด้วยความถี่ของไฟฟ้ากระแสสลบั ท่ีใช้ คือ 50 ครง้ั ต่อวินาที
3. ความเร่ง (Acceleration)หมายถึง การเคล่ือนที่ด้วยความเรว็ ท่เี ปลี่ยนไปในเวลา
1 วนิ าที มหี นว่ ยเป็นเมตรต่อ (m/s2)ความเร่งของวัตถุอาจามคี า่ เปลย่ี นแปลงเรื่อย ๆ ขณะ
เคล่อื นที่ความเร่งท่หี าได้จงึ เป็นความเรง่ เฉล่ยี และหาได้จาก
ความเร่งเฉลย่ี =
4. วัตถทุ ่เี คล่อื นที่ด้วยเรง่ เป็นศนู ย์ คือ วัตถทุ เี คล่ือนท่ดี ว้ ยความเร็วคงท่ีไมม่ ีการ
เปลี่ยนแปลงท้งั ขนาดและทิศทาง จงึ กล่าวได้ว่าวัตถุเคลอ่ื นทใ่ี นแนวเส้นตรงด้วยอัตราเรว็ คงที่
5. วัตถุเคล่อื นที่ด้วยความเรง่ เป็นบวก คือวัตถุเคลื่อนท่ีโดยมีความเรว็ เพิ่มขน้ึ อยา่ ง
สมำ่ เสมอและทิศทางของความเร็วไม่เปลี่ยนแปลง จึงกล่าวได้วา่ วตั ถเุ คล่อื นท่ีในแนวเส้นตรงดว้ ย
อตั ราเรว็ เพ่มิ ข้นึ อยา่ งสมำ่ เสมอ
6. วัตถเุ คลื่อนที่ด้วยความเรว่ เพิ่มขนึ้ อยา่ งสมำ่ เสมอ คอื การกระทำต่อวตั ถุโดยมี
ความเรว็ เพมิ่ ขนึ้ ไม่คงที่มากกวา่ ความเรว็ ทีเ่ พิม่ ข้นึ อย่างสม่ำเสมอ และทศิ ทางไม่มีการเปลยี่ นแปลง
จึงกล่าวได้ว่าวัตถเุ คล่ือนทใี่ นแนวเสน้ ตรงด้วยอัตราเรว็ เพิม่ ขน้ึ ในอตั ราไม่คงท่ีมากกว่าท่ีเพิ่มขึน้ อย่าง
สม่ำเสมอ
ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
424 ค่มู อื เตรยี มสอบ
7. ความเร่งเนือ่ งจากแรงโนม้ ถ่วงของโลก ( Acceleration due to gravity ; g)
มคี ่า 9.80665 เมตรต่อ ทีผ่ วิ โลก มที ศิ พงุ่ เขา้ สู่จดุ ศนู ยก์ ลางของโลกเสมอ
8. การตกอยา่ งอิสระ คือ การเคลอ่ื นที่ของวัตถุลงสู่พ้นื ในแนวด่งิ ซงึ่ มแี รงโนม้ ถ่วง
ของโลกมากระทำเพียงแรงเดียว โดยไมม่ ีแรงตา้ นของอากาศวัตถทุ ่ีตกอยา่ งอิสระจะมีความเร่งใน
ขณะที่ตกลงมา ความเร่งในการตกอยา่ งอิสระของวตั ถทุ ุกชนิดจะมีค่าเทา่ กนั โดยไม่ขน้ึ กับมวลของ
วตั ถุ
9. แรงโนม้ ถ่วงของโลก คอื แรงทเี่ กดิ จากมวลของโลกกระทำตอ่ มวลของวตั ถุและ
ดึงดูดวัตถุในทิศเขา้ สู่ศูนยก์ ลางโลก แรงน้ีจะกระทำต่อวตั ถุอยตู่ ลอดเวลา แรงดึงดูดระหว่างมวล
ของวัตถุใด ๆ กับมวลของโลกจะมากหรือน้อยขนึ้ กับมวลของโลกและมวลของวตั ถุ แตเ่ น่ืองจากมวล
ของโลกมีคา่ คงตวั คา่ ของแรงดึงดดู จะมากหรือน้อยจึงขน้ึ กบั มวลของวัตถุนัน้ ดงั นน้ั จึงกลา่ วได้ว่า
แรงดดู ท่ีโลกกระทำตอ่ วตั ถุขึ้นอยู่กับมวลของวัตถุ
10. อิทธพิ ลของแรงโน้มถ่วงต่อการดำเนินชีวติ ประจำวนั เชน่ ทำใหว้ ตั ถตุ ่าง ๆ ไม่
ลอยออกไปนอกโลก ทำให้น้ำไหลจากทส่ี ูงลงส่ทู ่ีต่ำจึงใช้พลังงานของน้ำไปผลติ กระแสไฟฟ้าได้ เปน็
ตน้
11. นำ้ หนักของวัตถุ คือ แรงโน้มถว่ งของโลกทกี่ ระทำต่อมวลของวัตถุเกดิ จากแรง
ดงึ ดดู ของโลกกระทำต่อวตั ถใุ นทศิ เข้าสู่ศูนยก์ ลางของโลก วตั ถทุ ม่ี มี วลมากแรงดงึ ดดู ของโลกท่ี
กระทำต่อวัตถจุ ะมีคา่ มากสง่ ผลให้วัตถนุ น้ั มีนำ้ หนกั มากดว้ ย และถ้าวตั ถมุ ีมวลนอ้ งแรงดึงดดู ของ
โลกท่กี ระทำต่อวตั ถุก็จะมคี ่าน้อย สง่ ผลให้วัตถุน้นั มีนำ้ หนักน้อยด้วย
12. มวล (Mass; m)คือ ปรมิ าณเน้อื ของสารในวัตถุ มเี ฉพาะขนาดไมม่ ีทิศทาง มี
คา่ คงที่ไมจ้ ะเปล่ยี นสถานท่ีหรอื ท่ีตั้ง มีหน่วงเป็นกโิ ลกรัม
13. น้ำหนักของวัตถุ (Weight; W)คือ แรงโน้มถ่วงของโลกท่ีกระทำต่อวตั ถุหรือแรง
ท่ีโลกดงึ ดดู วตั ถุนนั้ มที ้ังขนาดและทิศทาง มีคา่ ไม่คงทีเ่ ปลย่ี นแปลงไดต้ ามสถานท่มี หี น่วยเปน็ นวิ
ตนั ซึ่งมีความสัมพนั ธ์กบั มวลของวตั ถุ
14. น้ำหนักของวตั ถชุ ิ้นหน่งึ ๆ เมื่อช่ังบนโลกและบนดวงจนั ทร์จะมีคา่ ไม่เทา่ กนั โดย
เมือ่ ชั่งน้ำหนักของวัตถบุ นดวงจันทรจ์ ะมคี ่านอ้ ยกว่าน้ำหนักของวัตถุบนโลก เนื่องจากดวงจนั ทรม์ ี
มวลน้อยกวา่ โลกจึงมีแรงดงึ ดูดวัตถุน้อยกวา่ ท่ีโลกดึงดดู
ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 425
15. มวล 1 กโิ ลกรัมถูกโลกดึงดูดดว้ ยแรงขนาดประมาณ9.8 นวิ ตัน ดังนน้ั ถา้ ชง่ั
นำ้ หนักของวตั ถแุ ละอ่านค่าจากเครื่องชั่งได้ 10 กโิ ลกรมั แสดงวา่ โลกดงึ ดูดวตั ถุดว้ ยแรงขนาด
ประมาณ 98 นวิ ตนั
16. แรงสู่ศนู ย์กลาง คือ แรงทกี่ ระทำต่อวตั ถุท่เี คล่ือนท่ใี นแนววงกลมและมีทิศเข้าสู่
ศูนยก์ ลางของแนววงกลม
17. ความเรง่ สูศ่ ูนย์กลาง คือ ความเรง่ ของวตั ถุ ณ ตำแหนง่ ใด ๆ บนสว่ นโค้งรูป
วงกลม และมีทิศทางเขา้ สู่ศูนยก์ ลางของวงกลม
18. กฎการเคล่อื นที่ของนิวตนั
กฎข้อท่หี นึ่ง วตั ถคุ งสภาพอย่นู งิ่ หรอื สภาพเคลื่อนที่อย่างสม่ำเสมอในแนวเส้นตรง นอกจากจะมี
แรงลัพธซ์ ง่ึ มีคา่ ไมเ่ ปน็ ศนู ย์มากระทำ
กฎข้อท่สี อง เมือ่ มแี รงลัพธซ์ ่ึงมขี นาดไม่เปน็ ศูนยม์ ากระทำต่อวัตถุจะทำใหว้ ัตถเุ กิดความเร่งใน
ทิศทางเดยี วกับแรงลัพธ์ และขนาดของความเรง่ จะแปรผันตรงกบั ขนาดของแรงลัพธ์และแปรผกผนั
กับมวลของวตั ถุ
กฎขอ้ ทสี่ าม ทุกแรงกิรยิ าจะต้องมีแรงปฏกิ ริ ิยาที่มขี นาดเทา่ กันและมีทิศทางตรงข้ามเสมอ
19. แรงกริ ยิ า คือ แรงทีว่ ตั ถหุ นึ่งกระทำต่ออกี วัตถุหน่งึ
20. แรงปฏกิ ิริยา คอื แรงท่ีกระทำตอบของวัตถุต่อแรงกริ ิยา
21. แรงคู่กริ ิยา-ปฏกิ ิรยิ า คือ แรงทีก่ ระทำและแรงท่ีโต้ตอบ ซึ่งมีขนาดเท่ากัน
เกดิ ขึน้ พร้อมกัน แตม่ ีทิศทางตรงข้ามกนั และเกดิ บนวตั ถุคนละกอ้ นท่ีสัมผัสหรอื ไมส่ ัมผสั กันกไ็ ด้
22. แรงพยุง คือ แรงลัพธท์ ่ีของเหลวกระทำต่อวัตถทุ จ่ี มอยู่ในของเหลวทำใหเ้ มอ่ื ชั่ง
วตั ถใุ นของเหลว จะมนี ำ้ หนักนอ้ ยกวา่ ชง่ั ในอากาศ ซึง่ มีขนาดเท่ากบั นำ้ หนักของเหลวทีถ่ กู วัตถุ
แทนที่
= pVg
เมอื่ = แรงพยงุ มีหนว่ ยเปน็ นวิ ตัน
P = ความหนาน่านของของเหลว มหี น่วยเปน็ กโิ ลกรัมต่อลกู บาศก์เมตร
V = ปรมิ าตรของเหลวท่ีถูกแทนที่ มหี นว่ ยเปน็ ลูกบาศก์เมตร
g = ความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถว่ งของโลก มีหน่วยเปน็ เมตร ตอ่
หรอื แรงพยงุ = นำ้ หนกั วตั ถุที่ชั่งในอากาศ-น้ำหนักวัตถุทีช่ ั่งในของเหลว
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
426 คมู่ อื เตรยี มสอบ
23. อารค์ ิมีดสี นักปราชญ์ชาวกรีดผู้ค้นพลธรรมชาติของแรงพยุง และเสนอหลักการ
เกี่ยวกับการลอยและการจมของวัตถุวา่ “วตั ถุที่จมในของเหลงหมดทง้ั ก้อนหรือจมเพยี งบางส่วนจะ
ถูกแรงพยงุ กระทำ และแรงพยุงจะเท่ากบั น้ำหนักของของเหลวทถ่ี ูกวัตถนุ ้นั แทนที่”
24. แรงเสียดทาน หมายถึง แรงทเี่ กิดขน้ึ ระหวา่ งผวิ สัมผัสของวัตถุสองชิน้ เป็นแรงท่ี
พยายามต้านไม่ใหผ้ วิ สัมผสั ท้ังสองขยบั เคลือ่ นท่ีจากกัน แรงเสียดทานมีทิศทางสวนกับการเคลื่อนทที่ ่ี
ผวิ สัมผสั หรืออาจกล่าวว่า แรงเสียดทานมที ศิ ทางตรงข้ามกบั แรงทก่ี ระทำ
25. การเกิดแรงเสียดทาน เกดิ ข้ึนเมือ่ ผิวสัมผสั ของวัตถุสองชนดิ มีการเสยี ดสีกนั
26. ชนดิ ของแรงเสียดทาน แบง่ ได้2 ชนิด คือ แรงเสียดทานสถิตและแรงเสียดทาน
จลน์
27. แรงเสียดทานสถิต ( )เป็นแรงเสียดทานทเี่ กดิ ขึน้ ขณะที่วตั ถุยังไมเ่ คลอื่ นท่หี รือ
เรม่ิ จะเคลื่อนที่
1) ขณะที่วัตถุหยดุ น่งิ ถ้าค่อย ๆ ออกแรงดงึ วตั ถจุ ะยังไม่ขยบั ในตอนแรงก ขณะนี้แรง
เสียดทานที่ผิวสมั ผสั มขี นาดเทา่ กบั แรงดึง แต่มีทิศทางตรงกนั ข้ามเรียกแรงนีว้ า่ แรงเสียดทานสถิต
ขณะวัตถหุ ยุดนิง่ แรงเสียดทานสถติ = แรงดึง
2) ถา้ ออกแรงเพ่ิมขนึ้ จนวตั ถุเรมิ่ จะเคลื่อนท่ี แรงเสยี ดทานทีก่ ระทำต่อวตั ถยุ งั คงเท่ากับ
แรงดึง และแรงเสียดทานขณะนี้ เปน็ แรงเสียดทานสถิตสงู สดุ ขณะวตั ถเุ รมิ่ จะเคลอื่ นท่ี
แรงเสยี ดทานสถติ สงู สุด = แรงดึง
28. แรงเสยี ดทานสถติ มีหลายคา่ ข้นึ อยกู่ ับแรงดงึ และจะมคี ่ามากทีส่ ุดเมื่อออกแรง
ดึงจนวตั ถุเรมิ่ เคล่ือนที่ สามารถคำนวณหาแรงเสียดทานสถิตสูงสดุ ไดจ้ าก
เม่ือ = แรงเสยี ดทานสถติ สูสุด มีหนว่ ยเปน็ นวิ ตัน (N)
= สัมประสทิ ธขิ์ องความเสียดทานสถิต ไม่มหี น่วย
N = แรงปฏิกิรยิ าในแนวตั้งฉากกับสัมผัส มีหน่วยเปน็ นวิ ตัน (N)
ตัวอยา่ งเชน่
กองหนงั สือหนกั 80 นวิ ตนั วางอยู่บนโต๊ะ ซึง่ มสี ัมประสิทธิข์ องความเสียดทานสถิตเท่ากับ 0.2
อยากทราบว่าจะต้องออกแรงผลกั กองหนังสือในแนวขนานกับโต๊ะอย่างนอ้ ยก่ีนวิ ตัน กองหนังสือจึง
จะเคลอื่ นท่ี
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 427
แนวคิด ขณะวัตถเุ รมิ่ จะเคลื่อนทแี่ รงผลกั มีค่าเทา่ กบั แรงเสียดทานสถติ สูงสุด
เม่อื = 0.2 , N = 80 N จะได้
= 0.2 x 80
= 16 N
ดังน้ัน จะต้องออกแรงผลักอย่างนอ้ ย 16 นวิ ตนั
29. แรงเสียดทานจลน์ ( ) เปน็ แรงเสยี ดทานท่กี ระทำต่อวัตถุในขณะทวี่ ัตถกุ ำลงั
เคลือ่ นที่ เมื่อวตั ถุเคลอื่ นที่แล้วขนาดของแรงเสยี ดทานจลนจ์ ะนอ้ ยกวา่ แรงเสยี ดทานสถิตสูงสดุ
สามารถคำนวณหาแรงเสียดทานจลนไ์ ดจ้ าก
29. แรงเสยี ดทานจลน์
เมื่อ = แรงเสียดทานจลน์ มหี น่วยเป็นนิวตัน (N)
= สัมประสิทธิข์ องความเสยี ดทานจลน์ ไม่มหี น่วย
N = แรงปฏกิ ริ ยิ าในแนวตงั้ แกกบั ผิวสัมผสั มหี นว่ ยเปน็ นวิ ตนั (N)
ตวั อยา่ งเช่น
ดึงกล่องหนัก 150 นิวตัน ใหไ้ ถลไปตามพ้นื ราบ จะมีแรงเสียดทานกระทำต่อกล่องเท่าใด ถ้า
กล่องกับพนื้ มสี มั ประสทิ ธ์ิของความเสยี ดทานสถติ เทา่ กบั 1.2 และมสี มั ประสทิ ธคิ์ วามเสียดทานจลน์
เทา่ กับ 0.8
แนวคดิ แรงเสยี ดทานท่กี ระทำตอ่ วตั ถุขณะที่วัตถุเคล่ือนท่ี คือ แรงเสียดทานจลน์ ดังน้ันจึง
เลอื กใช้สัมประสิทธ์ขิ องความเสียดทานจลน์ แทนค่าเพือ่ หาแรงเสยี ดทานขณะทก่ี ล่องไถล
จาก
เมอื่ = 0.8, N = 150 N จะได้
= 0.8x150
= 120 N
มีแรงเสียดทานกระทำต่อกล่องเท่ากับ 120 นวิ ตนั
30. การเคล่อื นทข่ี องวัตถบุ นพ้นื ผิวใด ๆ จะเกีย่ วข้องกับแรงเสยี ดทานเสมอ
เน่อื งจากผวิ ของวตั ถุทุกชนดิ ไมว่ าจะเปน็ ของแข็ง ของเหลวหรือแกส๊ จะมแี รงเสยี ดทาน ซง่ึ ผวิ ของ
วัตถบุ างชนดิ อาจมีแรงเสียดทานน้อยบางชนดิ อาจมแี รงเสียดทานมาก
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
428 คมู่ อื เตรยี มสอบ
31. ปัจจัยท่ีมีผลต่อขนาดของแรงเสียดทาน
1) ลกั ษณะผิวสมั ผัส ถ้าผวิ ท่สี ัมผัสเป็นผวิ หยาบหรอื ขรุขระ แรงเสียดทานจะมีค่ามาก แต่
ถา้ เปน็ ผวิ เกล้ยี งหรือเรยี บลนื่ แรงเสยี ดทานจะมีค่าน้อย
2) มวลของวตั ถุ วัตถุท่มี มี วลมากแรงเสียดทานจะมีคา่ มาก แต่ถา้ วัตถุมีมวลนอ้ ยแรงเสียด
ทานก็จะมขี นาดลดลงน้อยดว้ ย สังเกตได้จากวตั ถุท่ีมีมวลมากจะเคลือ่ นที่ได้ยากกวา่ วัตถุท่มี มี วล
นอ้ ย และวตั ถเุ คลอื่ นท่ีท่มี มี วลมากกจ็ ะหยุดการเคลอ่ื นท่ไี ด้ยากกวา่ วตั ถุเคลอ่ื นท่ีท่มี มี วลนอ้ ยด้วย
32. ขอ้ เสียของแรงเสียดทาน
1) ทำใหว้ ัตถทุ ี่อยนู่ ิง่ เคลือ่ นท่ีได้ยาก
2) ทำให้วตั ถุที่กำลงั เคลอ่ื นท่ีเคล่ือนที่ไดช้ ้าลง
3) เปน็ สาเหตทุ ำใหว้ ตั ถุเกิดการสกึ หรอ เชน่ พ้ืนรองเทา้ กับยางรถยนต์ จะมีดอกยางเพ่ือ
ทำใหเ้ กาะถนนได้ดี แต่แรงเสยี ดทานท่ีพน้ื ถนนกระทำต่อพน้ื รองเท้าและยางรถทำให้ดอกยางสึก
พืน้ รองเท้าอาจจะทะลหุ รือดอกยางล้อรถหมดไปทำให้รถเกาะถนนได้ไม่ดี
33. ข้อดขี องแรงเสียดทาน เช่น การทำงานเราเดินไดโ้ ดยไม่ลื่นลม้ ทำให้ล้อรถวง่ิ ได้
โดยไมล่ ่ืน หากกไมม่ ีแรงเสียดทานคนเราก็จะไมส่ ามารถอาศยั อยู่ในชีวติ ประจำวันได้เพราะทุกสงิ่ ทุก
อยา่ งจะล่ืนไปหมด
34. การลดแรงเสียดทาน ทำได้ดงั น้ี
1) ทำให้ผิววตั ถเุ รยี บ ลน่ื
2) ใช้สารหลอ่ ล่ืนบริเวณผวิ สมั ผสั เช่น น้ำ น้ำมันหล่อล่นื จาระบี เปน็ ตน้
3) ใชอ้ ุปกรณ์ต่าง ๆ บรเิ วณผวิ สัมผัส เชน่ ใช้ตลบั ลกู ปนื เพอื่ ลดแรงเสียดทานระหวา่ งลอ้
กบั เพลา เปน็ ต้น
4) กรลดแรงกดระหวา่ งผวิ สมั ผสั เชน่ ลดมวลของวัตถทุ ่ตี ้องการเคลื่อนย้ายให้นอ้ ยลง
เป็นต้น
35. การเพมิ่ แรงเสียดทาน มวี ิธกี ารคือทำใหผ้ ิววตั ถขุ รุขระ ไม่เรยี บ เช่น การทำ
ดอกยางให้ล้อรถและพน้ื รองเทา้ เปน็ ต้น
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 429
36. กิจกรรมทต่ี ้องการใหล้ ดแรงเสยี ดทาน เช่น การเล่นกระดานล่ืน การเปิด-ปิด
หนา้ ตา่ ง การทำงานของลกู สูบในเคร่อื งยนต์ เปน็ ตน้
37. กจิ กรรมทีต่ ้องการให้เพิ่มแรงเสียดทาน เช่น การเดนิ การสซี อ การเปิดจุก
เกลียว การจับปากกา การถือกระเปา๋ เปน็ ต้น
38. คาน (Lever)เปน็ เคร่ืองกลชนิดหน่งึ มลี ักษณะเป็นแทง่ ยาวสมำ่ เสมอสามารถหมนุ
ไดร้ อบจดุ จดุ หนึ่งซึ่งเรยี กวา่ (Fulcrum) คานส่วนมากช่วยผ่อนแรงไดโ้ ดยสามารถใช้ยกวัตถหุ นกั ๆ
ด้วยแรงเพียงเล็กน้อยได้
39. ส่วนประกอบของคาน
1) จุดหมุน (Fulcrum; F) คอื ตำแหนง่ บนคาน ซ่ึงคานจะหมนุ ได้รอบจุดจดุ น้ี
2) น้ำหนัก (Weight; W) หรือแรงต้านทาน (Resistance) คอื น้ำหนกั หรือแรงที่กระทำ
กับคานในแนวด่งิ มีผลทำให้คานเคลื่อนที่ได้
3) แรงพยายาม (Effort;E) คือ แรงที่ให้แก่เครื่องกลเพื่อใหเ้ ครอื่ งกลทำงาน
4) คือ ระยะต้ังฉากจากนำ้ หนกั ถึงจุดหมุน
5) คือ ระยะตง้ั ฉากจากแรงพยายามถึงจดุ หมุน
40. ประเภทของคาน แบ่งได้3 อนั ดบั ดงั นี้
1) คานอันดับหน่งึ คอื คานท่ีมีจดุ หมุนอยรู่ ะหวา่ งแรงพยายามกบั แรงตา้ นทาน คาน
อันดับน้จี ะผ่องแรงได้มากเม่ือจุดหมนุ อย่ใู กลแ้ รงต้านทาน (W) และอยู่ห่างจากแรงพยายาม (E)
เชน่ กรรไกร ค้านถอนตะปู เสียมขุดดิน เป็นต้น
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
430 คมู่ อื เตรยี มสอบ
2) คานอันดับสอง คือ คานท่มี ีจดุ หมนุ อย่รู ะหวา่ งแรงพยายามกบั จุดหมุน แรงต้านทาน
(W) จะอยใู่ กลม้ ากกว่าแรงพยายาม (E) คานอนั ดับน้จี ะผ่อนแรงได้ เช่น รถขนดนิ เครือ่ งตัด
กระดาษท่เี ปดิ ขวด เปน็ ต้น
3) คานอนั ดับสาม คือ คานทีม่ แี รงพยายามอยูร่ ะหวา่ ง แรงต้านทาน (W) กบั จดุ หมุน จะ
แรงพยายาม (E) จะอย่ใู กลจ้ ุดหมนุ มากกวา่ แรงต้านทาน(W) คานอนั ดับนไ้ี มค่ ่อยผ่อนแรงมากนัก
แต่ชว่ ยให้เกดิ ความสะดวก เชน่ ตะเกยี บ คีมคีบน้ำแข็ง ไม้กวาดด้ามยาว เป็นตน้
41. การทำงานของคานจะทำให้เกิดโมเมนตข์ องแรง คือ เมอื่ ทำงานโดยใช้คานจะมี
โมเมนต์ของแรงเกิดขนึ้
42. โมเมนต์ของแรง (Moment of Force)หรือโมเมนต์ (M) หมายถึงปรมิ าณที่แสดง
แนวโนม้ ของแรงทจี่ ะหมุนวตั ถุท่ีถูกแรงน้ันกระทำ มคี ่าเท่ากบั ผลคณู ระหว่างขนาดของแรงกบั
ระยะทางจากจุดหมุนไปต้ังฉากกบั แนวแรง เขยี นความสมั พันธ์ได้ดงั น้ี
โมเมนต์ (นวิ ตนั เมตร) = ขนาดของแรง xระยะทางจากจุดหมุนไป
ตงั้ ฉากกบั แนวแรง
หรอื M = F xl
43. ประเภทของโมเมนตข์ องแรง แบ่งตามทิศการหมุนไดด้ ังนี้
1) โมเมนตข์ องแรงทวนเข็มนาฬกิ า คือ เกิดแรงพยายามที่ทำใหค้ านหมนุ รอบจดุ หมนุ ในทิศ
ทวนเขม็ นาฬิกา
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 431
2) โมเมนต์ของแรงตามเข็มนาฬกิ า คือ เกิดแรงพยายามที่ทำให้คานหมนุ รอบจุดหมนุ ในทิศ
ตามเขม็ นาฬิกา
44. ภาวะสมดุลของคาน คือ ภาวะท่ีคานขนานกบั พืน้ หรอื คานสมดลุ ในแนวระดบั
และเม่ือมแี รงหลายแรงกระทำตอ่ คานและคานสมดลุ อยู่ในแนวระดับ ผลรวมของโมเมนต์ของแรง
ทวนเขม็ นาฬิกาจะเท่ากบั ผลรวมของโมเมนตข์ องแรงตามเข็มนาฬกิ า
โมเมนตข์ องแรงทวนเข็มนาฬิกา = โมเมนตข์ องแรงตามเข็มนาฬิกา
25 X 0.30 = 50X 0.15
7.5 N.m = 7.5 N.m
45. หลักการคำนวณเก่ียวกับคาน
1) เมอ่ื คานอยใู่ นภาวะสมดลุ โมเมนตข์ องแรงทวนเขม็ นาฬิกาจะเทา่ กบั โมเมนต์ของแรงตาม
เขม็ นาฬิกา
2) ถา้ โจทยไ์ มบ่ อกน้ำหนกั ของคานไม่ต้องนำมาคิด แตถ่ ้าโจทย์ใหห้ าน้ำหนักของคาน ถ้าเป็น
คานยาวสมำ่ เสมอน้ำหนกั ของคานจะตกลงบริเวณก่ึงกลางคานพอดี
3) ทงั้ โมเมนต์ของแรงทวนเข็มนาฬิกาและโมเมนต์ของแรงตามเขม็ นาฬิกา ถา้ มีโมเมนต์ของ
แรงทวนเข็มนาฬิกา ถา้ มโี มเมนต์ย่อยจะต้องหาผลรวมของโมเมนต์ยอ่ ยแต่ละชนิด
4) ถ้าแนวแรงท่ีกระทำผ่านจุดหมนุ พอดีโมเมนต์ของแรงจะมีคา่ เทา่ กับศนู ย์
ตัวอย่างเชน่
คานขนาดสมำ่ เสมอยาว 100 เซนติเมตร หนกั 3 นวิ ตนั แขวนวตั ถุ ขนาดต่าง ๆ ไวด้ งั ภาพ ต้อง
แขวนวัตถุ W หนักเท่าใดจึงจะทำให้คานสมดุล
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
432 คมู่ อื เตรยี มสอบ
แนวคิด คานสมำ่ เสมอ นำ้ หนักของคานจะตกบรเิ วณกึ่งกลางคานพอดี เม่ือคานอย่ใู นภาวะสมดุล
โมเมนต์ของแรงทวนเขม็ นาฬิกา = โมเมนต์ของแรงตามเขม็ นาฬกิ า
7x0.30 = (3 x 0.10) + (W x 0.60)
21 = 0.3 + 0.6W
0.6W = 2.1 – 0.3
W = 3N
จะต้องแขวนวตั ถุ W หนัก 3 นวิ ตัน จึงจะทำใหค้ านสมดุล
ตวั อย่างแนวข้อสอบบทที่ 3
2. ตอ้ งการลากรถบรรทกุ มวล 5 ตัน ขนึ้ เนิน 4. ขอ้ ใดกลา่ วไม่ถูกต้อง
ตามแนวลาดยาว100 เมตร ถ้าออกกแรงดึง ก. โมเมนตมั ของวตั ถุมคี า่ คงท่เี สมอ
P ดว้ ยแรง 1 กโิ ลนวิ ตนั จะลากขน้ึ ได้สูงสดุ
เท่าใด ข. จุดศูนยถ์ ว่ งของวัตถเุ ป็นจดุ คงที่ และอยู่
ภายในเนื้อวัตถุ
ข. 2.04 เมตรข. 3.2 เมตร
ค. ลวดตัวนำถ้ามีพนื้ ทหี่ นา้ ตัดมากข้ึนจะนำ
ค. 4.4 เมตร ง. 5 เมตร
ไฟฟ้าไดด้ ีขึน้
2. ในการชนทุกชนิดปริมาณใดตอ่ ไปน้ีทไ่ี ม่ ง. ขอ้ ก และ ข
เปลีย่ นแปลง
5. รถยนต์มวล 1 ตนั แล่นบนถนน ถ้าอตั ราเรว็
ก. พลงั งานจลน์ ข. พลงั งานศักย์ เพ่ิมข้ึนเปน็ 2 เท่า โมเมนตัมและพลงั งานจลน์
ค. แรง ง. โมเมนตมั ของรถยนต์คันนี้จะเป็นอย่างไร
3. วตั ถุ A วางอยูบ่ นโตะ๊ ถ้าจะทำใหเ้ คลื่อนท่ี ก. โมเมนตัมเพ่ิมเปน็ 2 เท่า พลังงานจลนเ์ พ่ิม 2
ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 433
ตอ้ งใชแ้ รง 2 นิวตนั ในแนวขนานกบั พนื้ โต๊ะ ถา้ เทา่
นำวตั ถุ B ซงึ่ หนกั 30 นิวตัน มาวางไว้บนโตะ๊ ข. โมเมนตมั เพ่ิมเปน็ 2 เท่า พลงั งานจลนเ์ พ่ิม 4
ในขณะน้จี ะมีแรงเสยี ดทานเท่าใดทีก่ ระทำกบั เท่า
วัตถุ B
ค. โมเมนตัมเพ่ิมเป็น 4 เท่า พลังงานจลน์เพ่ิม 4
ก. 2 นิวตนั ข. 3 นวิ ตัน เท่า
ค. 6 นวิ ตัน ง. 30 นิวตนั ง. โมเมนตัมคงเดิม พลงั งานจลนเ์ พม่ิ 2 เท่า
เฉลยบทที่ 1
1 ข2 ข3ก4ง5 ง
6 ง 7 ข 8 ข 9 ค 10 ข
11 ข 12 ง
เฉลยบทที่ 2
1 ก2ข3ข4ก5ก
เฉลยบทที่ 3
1 ก2ข3ค4ง5ข
สาระท่ี 5 งานและพลังงาน
บทที่ 1 งานและพลงั งาน
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
434 คมู่ อื เตรยี มสอบ
1. งาน (work done)คอื ผลของการออกแรงกระทำต่อวัตถุแล้วทำให้วตั ถเุ คล่ือนท่ี
ได้ระยะทางไปตมแนวแรงท่ีมากระทำ แตถ่ า้ ออกแรงกระทำต่อวัตถุไมเ่ คลื่อนทแี่ สดงงา่ ไม่มงี าน
เกดิ ข้ึน
2. การหาขนาดของงาน หาได้จาก
งาน (จูล) = แรง (นวิ ตัน) x ระยะทางท่วี ัตถเุ คลอ่ื นท่ใี นแนวเดียวกบั แรง
(เมตร
หรอื W = F x s
ตัวอย่างเชน่
ดนยั ออกแรง 20 นวิ ตัน ลากกระสอบทรายใหเ้ คล่ือนทีไ่ ด้ระยะทาง 5 เมตร งานท่ีเขาทำได้เป็นกี่
จลู
แนวคิด จากความสัมพันธ์
งาน = แรง x ระยะทางทว่ี ัตถเุ คลอ่ื นทใ่ี นแนวเดยี วกับแรง
= 20 x 5
= 100 J
ดนัยทำงานได้ 100 จูล
3. กำลัง (Power) คือ อัตราการทำงาน หืองานทเ่ี กิดขน้ึ ในหนงึ่ หน่วยเวลา เขยี น
เป็นความสัมพนั ธ์ไดด้ งั นี้
หรอื P =
ตวั อย่างเชน่
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 435
ทวิ าและนธิ อิ อกแรงผลักกล่องหนัก 200 นิวตัน ให้เคลอ่ื นท่ีไดร้ ะยะทาง 10 เมตร ทวิ าใชเ้ วลา
2 นาที นิธิใช้เวลา 3 นาที ท้ังสองคนมกี ำลงั เทา่ ใด และใครใช้กำลังในการผลกั กล่องมากกว่า
แนวคดิ กล่องหนกั 200 นิวตัน ดงั นัน้ จะตอ้ งออกแรงผลกั กล่องอยา่ งน้อย 200 นวิ ตัน
ทิวาและนธิ ิทำงานได้ = 200 x 10 2,000 J
จากความสัมพนั ธ์
กำลังของทวิ า
16.66 W
กำลังของนธิ ิ
11.11 W
แสดงวา่ ทิวาใช้กำลงั ในการผลกั กลอ่ งมากกว่านธิ ิ
4. พลงั งาน คือ ความสามารถในการทำงานทป่ี รากฏอยใู่ นรูปตา่ ง ๆ ของพลังงาน
วตั ถุหรือระบบใด ๆ ที่สามารถทำงานได้แสดงว่ามีพลงั งาน พลังงานไม่สามารถถูกทำลายหรือสรา้ ง
ขน้ึ ใหม่ได้ แต่พลงั งานสามารถเปลี่ยนจากรปู แบบหน่ึงไปเปน็ อีกรปู แบบหนง่ึ ได้
5. พลังงานกล (Mechanical Energy)เปน็ พลงั งานที่เก่ียวข้องกบั แรงและการ
เคล่อื นที่
6. ผลรวมของพลังงานศักย์และพลังงานจลนเ์ รียกวา่ พลังงานกล
7. พลังงานจลน์ (Kinetic Energy)หมายถึง พลังงานที่เก่ียวข้องกับความเร็วของ
วัตถทุ ่กี ำลงั เคลอื่ นที่ เชน่ คนเดนิ รถกำลงั แล่น น้ำหล เปน็ ต้น
8. ปจั จัยท่ีมผี ลต่อพลังงานจลน์ คือ
1) ความเรว็ ของวตั ถุ ถ้าวตั ถุมีมวลเทา่ กบั วัตถทุ ี่เคลื่อนที่ด้วยความเรว็ สงู จะมีพลงั งานจลน์
มากกว่าวัตถุทเ่ี คลื่อนท่ีดว้ ยความเรว็ ช้า
2) มวลของวตั ถุ ถ้าวตั ถุเคล่ือนทีด่ ้วยความเรว็ เท่ากนั วัตถุท่ีมีขนาดมกกว่าจะมีพลงั งานจลน์
มากกวา่
ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
436 ค่มู อื เตรยี มสอบ
เขยี นความสัมพนั ธ์ไดด้ ังนี้
เมอ่ื = พลงั งานจลนข์ องวัตถุ มหี น่วยเป็นจูล (J)
m = มวลของวัตถุ มีหน่วยเปน็ กโิ ลกรมั (kg)
v = อัตราเร็วของวัตถุ มีหนว่ ยเปน็ เมตรตอ่ วินที (m/g)
ตัวอยา่ งเช่น
วตั ถุทม่ี ีมวล 10 กโิ ลกรมั เคล่ือนทีต่ ามแนวราบดว้ ยอตั ราเร็ว 20 เมตร ต่อวินาที
แนวคิด หาค่าพลงั งานจลน์ไดจ้ าก
=
= 2,000 J
9. การใช้ประโยชน์จากพลังงานจลน์ เชน่ พลังงานจลน์ของนำ้ จากเขื่อนไหลไป
กระทบกงั หันน้ำใหห้ มุนชว่ ยในการผลิตกระแสไฟฟ้า การตกของลูกตุ้มเหลก็ ที่ตดิ ตง้ั อยู่กบั ปั้นจ่นั
ช่วยในการตอกเสาเข็มของโครงสร้างอาคาร เป็นต้น
10. พลงั งานศกั ย์ (Potential Energy)หมายถงึ พลงั งานท่ีมีอยู่ในวัตถเุ นื่องจาก
ตำแหน่งหรือสภาพของวัตถุ
11. พลังงานศักย์โนม้ ถ่วง (Gravitational Potential Energy) หมายถึงหลังงานท่ี
สะสมในวัตถุที่อย่ทู ต่ี ำแหน่งท่ีมคี วามสงู จากตำแหน่งอ้างอิงการ ก็จะพจิ ารณาว่าวตั ถุอยู่ทรี่ ะดบั
ความสงู เทา่ ใดตอ้ งกำหนดว่าจะวัดความสูงจากระดับใด เชน่ หนังสือท่วี างอบู่ นโตะ๊ จะมพี ลังงาน
ศักย์โนม้ ถ่วงเม่ือเทียบกับพนื้ หอ้ งเพราะมีความสูงจากพ้ืนห้อง แตห่ นังสือจะไมม่ ีพลังงานศักย์โน้ม
ถว่ งเมอื่ เทียบกับผวิ บนของโต๊ะ เพราะหนงั สือวางอยู่บนโต๊ะ
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 437
12. ปัจจัยที่มีผลต่อพลังงานศักย์โน้มถ่วง คือ
1) มวลของวัตถุ วตั ถทุ ่ีมีมวลมากจะมพี ลังงานศกั ยโ์ นม้ ถ่วงมากกวา่ วัตถุที่มมี วลนอ้ ย
2) ความสงู ของวตั ถุจากระดับอ้างองิ วัตถทุ ่มี ีความสงู จากระดับอา้ งอิงมากจะมีพลังงาน
ศกั ย์โนม้ ถ่วงมาก
เขียนความสมั พันธ์ไดด้ ังน้ี
เมอ่ื = พลงั งานศักยโ์ น้มถว่ ง มหี น่วยเปน็ จูล (J)
m = มวลของวัตถุ มีหน่วยเป็นกิโลกรัม (kg)
g = ความเรง่ เนื่องจากแรงโนม้ ถว่ งของโลก มหี น่วยเป็นเมตรตอ่ (
h = ความสงู ท่ีวดั จากระดบั อ้างอิง มีหน่วยเป็นเมตร (m)
ตำแหนง่ ------------------ลกู บอลท่ีมพี ลังงานศักยโ์ น้มถว่ งไมม่ พี ลงั งานจลน์
------------------ลกู บอลมพี ลังงานศักยโ์ น้มถ่วงลดลง พลังงานจลนเ์ พ่มิ ข้ึน
ตำแหน่งกระทบพื้น ----------------ลกู บอลไมม่ ีพลังงานศักย์โนม้ ถว่ งพลงั งานจลน์มากทส่ี ุด
จากกฎการอนรุ ักษพ์ ลังงานจะได้วา่ พลงั งานศักยโ์ นม้ ถว่ งทีต่ ำแหน่งปล่อยเท่ากบั พลงั งานจลนข์ อง
วัตถทุ ีต่ ำแหนง่ กระทบพนื้
ตวั อย่างแนวข้อสอบบทท่ี 1
2. วัตถมุ วล 2 กโิ ลกรมั 4. วตั ถุชนิดหนึ่งมีมวล 40 นวิ ตัน ห้ิวขนึ้ บนตกึ
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
438 ค่มู อื เตรยี มสอบ
อยู่สงู จากพนื้ 20 เมตรปล่อยให้ตกอสิ ระ ถา้ สงู 20 เมตร จงหาว่าวัตถนุ จ้ี ะมีพลังงานศักย์
จุด B, C และD อย่สู ูงจากพน้ื 15,10และ 0 เทา่ ใด(g=10N/Kg)
ตามลำดับ พลงั งานรวมของวัตถทุ ่ีจดุ C มคี ่า ก. 80 ข. 800
กจี่ ูล(g = 10 m/s2) ค. 8,000 ง. 80,000
ข. 100 ข. 5. พลงั งานจลน์ของวตั ถจุ ะมากหรือน้อยข้ึนอยู่
200 กับสิง่ ใดบา้ ง
ค. 300 ง. 400 ก. มวลของวตั ถุ
2. รถยนต์คันหนึ่งมีมวล 1,500 กิโลกรมั เคลื่อนที่ ข. ความเร็วของวตั ถุ
ดว้ ยความเรว็ 20 เมตร/วนิ าที จงหาพลงั งานจลน์ ค. แรงโน้มถ่วงของโลก
ก. 3 MJ ข. 0.3 MJ ง. ก และ ข ถกู
ค. 3,000 J ง. 30,000 J 6. นา้ กอ้ งออกแรงผลักตู้ 500 นวิ ตัน ได้
3. จงหาขนาดของแรงท่ีใชใ้ นการหยดุ ลูกกระสนุ ระยะทาง 2 เมตร ใช้เวลา 50 วนิ าที นา้ ก้องจะ
ปืนซึ่งมมี วล 15 กร้ม มคี วามเร็ว 400 เมตร/ ใช้กำลงั เท่าใด
วนิ าที ในระยะทาง 20 เมตร ก. 20 ข. 2.5
ก. 4,000 N ข. 6,000 N ค. 30 ง. 50
ค. 8,000 N ง. 10,000 N
บทที่ 2 พลงั งานไฟฟ้า
1. พลงั งานไฟฟา้ เป็นพลงั งานชนิดหนง่ึ ทส่ี ามารถแปลงเปน็ พลงั งานอ่นื ได้ เช่น
แปลงเป็นพลังงานแสงจากหลอดไฟ พลังงานความร้อนจากเตารดี พลงั งานกลจากการหมนุ ของ
มอเตอรร์ ถยนต์ เปน็ ต้น
2. การคดิ ค่าพลงั งานไฟฟา้ จะคิดจากปริมาณพลงั งานไฟฟ้ารวมท่ใี ช้ในแตล่ ะเดอื น และอา่ น
ค่าพลังงานไฟฟา้ ไดจ้ ากเครอื่ งวัดท่เี รยี กวา่ มาตรกโิ ลวตั ต์ช่ัวโมง
3. ความตา่ งศักย์ (Potential Difference)คือ ความแตกตา่ งของพลงั งานไฟฟา้ ระหวา่ งจดุ
สองจุดซงึ่ ทำใหเ้ กิดกระแสไฟฟา้ ขึ้น โดยกระแสไฟฟา้ จะเคล่ือนทจี่ ากจุดท่ีมรี ะดับพลังงานไฟฟ้าสงู
ไปยังจดุ ท่ีมรี ะดบั พลังงานไฟฟ้าต่ำกว่า และจะหยดุ เคลือ่ นทเ่ี ม่ือศกั ย์ไฟฟา้ ท้ังสองจุดเท่ากนั
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 439
4. เครือ่ งมอื ทใี่ ช้วดั ความต่างศักย์ คือ โวลตม์ เิ ตอร์ (Voltmeter) เขยี นแทนด้วย
สญั ลกั ษณ์
ทำไดโ้ ดยนำโวลต์มิเตอร์มาต่อคร่อมจุด 2 จดุ ใด ๆ หรอื คร่อมอุปกรณ์ทีต่ ้องการ
วัดความต่างศักย์ โดยตอ่ แบบขนาดเข้ากับอุปกรณ์ไฟฟ้า ซงึ่ กระแสไฟฟา้ จะเคลื่อนทเ่ี ข้าสโู่ วลต์
มเิ ตอร์ทางด้านบวก และแกจากโวลต์มเิ ตอร์ทางด้านลบ
5. การตอ่ โวลต์มเิ ตอร์ ต้องคำนงึ ถึงความต่างศักยส์ งู สดุ ระหวา่ งขั้วของแหลง่ กำเนดิ
พลังงาน ซึง่ จะตอ้ งไมเ่ กดิ ค่าความตา่ งศักย์สูงสดุ ที่โวลต์มิเตอรจ์ ะรบั ได้ และต้องต่อโวลต์มเิ ตอรใ์ ห้
ถกู ต้องตามข้ัวของแบตเตอรี่ และแหล่งกำเนดิ
6. กระแสไฟฟา้ (Electrical Current)เกดิ ได้หลายวิธี เชน่ เกดิ จากการไหลของ
อเิ ล็กตรอนจากจุดที่มีระดับของพลังงานไฟฟ้าตา่ งกนั 2 จดุ และเกิดจากการเหนี่ยวนำของวัตถุ
เป็นตน้
7. ประเภทของกระแสไฟฟ้า แบ่งออกเป็น 2 ชนดิ คือ
1) ไฟฟ้ากระแสตรง (Direct Current ; DC)เป็นกระแสไฟฟา้ ทเี่ คลือ่ นที่ในทิศทาง
เดียวกัน โดยกระแสไฟฟ้าจะเคลื่อนท่ีจากจดุ ที่มศี กั ย์ไฟฟ้าสูงกวา่ ยังจุดทมี่ ีศกั ย์ไฟฟ้าต่ำกว่า หรอื
จากข้ัวบวกผ่านวงจรไปยังข้ัวลบทางเดียวตลอดเวลา
2) ไฟฟา้ กระแสสลบั (Alternating Current ; AC)เปน็ กระแสไฟฟา้ ที่เคลอ่ื นท่กี ลับทิศ
ไปมา โดยกระแสไฟฟ้าจะเคลือ่ นที่จากขัว้ บวกไปยังขัว้ ลบและเคลื่อนท่ีจากขวั้ ลบไปยงั ข้ัวบวก
สลบั กนั
8 การวดั กระแสไฟฟ้า คือ การวดั ปริมาณประจุไฟฟ้าทเ่ี คล่ือนท่ผี ่านพ้นื ทที่ ่ีกำหนด
ในเวลา 1 วนิ าที กระแสไฟฟา้ มหี น่วยเปน็ แอมแปร์ (Ampere : A)
9. เคร่อื งมอื ท่ใี ช้วดั กระแสไฟฟ้า คือ แอมมิเตอร์ (Ampere ) เขยี นแทนด้วย
สัญลกั ษณ์
การต่อแอมมิเตอรจ์ ะต้องต่อแบบอนกุ รมเขา้ กับวงจร และต่อดา้ นบวกของ
แอมมเิ ตอร์เข้ากบั ขนั้ บวกของเซลลไ์ ฟฟา้ ตอ่ ด้านลบของแอมมิเตอร์เข้ากับขว้ั ลบของเซลล์ไฟฟา้ ถ้า
ต่อกลบั ด้านจะไมส่ ามารถอ่านค่าได้
10. การต่อแอมิเตอร์เขา้ ในวงจร ตอ้ งตรวจสอบก่อนวา่ ปริมาณกระแสไฟฟ้าจาก
แหล่งกำเนดิ ที่จะวดั ดว้ ยแอมมิเตอรน์ ้นั จะต้องไม่เกิดขีดจำกดั สงู สดุ ทแี่ อมมิเตอร์จะรบั ได้ และไม่ต่อ
แอมมิเตอรเ์ ข้ากับแหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้าโดยตรง
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
440 ค่มู อื เตรยี มสอบ
11. ความต้านทาน (Resistance)เปน็ สมบตั เิ ฉพาะตวั ของสารแต่ละชนิดท่สี ามารถ
ต้านทานหรอื ขัดขวางการเคล่ือนทข่ี องกระแสไฟฟ้าท่ผี า่ นสารน้นั ๆ
12. หนว่ ยวดั ความตา้ นทาน คือ โอห์ม (Ω)
13. ตวั นำไฟฟ้าทีด่ ี คอื ตัวนำไฟฟ้าทีย่ อมใหก้ ระแสไฟฟา้ เคลือ่ นทผ่ี า่ นไปไดม้ ากหรอื
มคี วามต้านทานน้อย
14. ตัวนำไฟฟ้าทีไ่ ม่ดี คือ ตัวนำไฟฟา้ ท่ยี อมใหก้ ระแสไฟฟา้ เคล่อื นที่ผา่ นได้น้อยหรือ
มคี วามตา้ นทานมาก
15. ปัจจยั ที่มผี ลต่อความต้านทาน
1) ชนดิ ของลวดตัวนำ โดยโลหะจะมคี วามตา้ นทานตำ่ สว่ นอโลหะจะมีความต้านทาน
สงู
2) อณุ หภมู ิของลวดตัวนำ ตวั นำไฟฟา้ พวกโลหะเมื่ออุณหภูมิสงู ขน้ึ จะมีความตา้ นทาน
มากขนึ้ เมื่ออณุ หภูมิต่ำลงจะมีความตา้ นทานลดลง
3) พื้นทห่ี นา้ ตดั ของลวดตวั นำ ความตา้ นทานจะแปรผกผันกบั ขนาดของพ้นื ที่หนา้ ตัด
ของลวดตัวนำ โดยลวดตวั นำชนดิ เดียวกนั และยาวเทา่ กนั ลวดตัวนำทีม่ ีพน้ื ท่หี น้าตัดขนาดใหญ่จะ
มคี วามต้านทานนอ้ ยกว่าลวดตวั นำทีม่ ีพืน้ ท่ีหน้าตัดขนาดเลก็
4) ความยาวของลวดตวั นำ ความต้านทานจะแปรผนั ตรงกบั ความยาวของลวดตวั นำ
โดยลวดตัวนำชนิดเดยี วกนั และมีพื้นทหี่ นา้ ตัดเท่ากนั ลวดตวั นำทีย่ าวจะมีความต้านทานมากกว่าลวด
ตัวนำทสี่ ั้น
16. เกออรเ์ ก ซโี มน โอหม์ (George Simon Ohm) นกั ฟิสกิ ส์ชาวเยอรมันเปน็ ผู้
คน้ พบความสมั พันธ์ระหวา่ งกระแสไฟฟา้ ที่เคลื่อนทีผ่ า่ นลวดตวั นำและความต่างศักยร์ ะหวา่ งปลาย
ทัง้ สองของลวดตวั นำ และตั้งเป็นกฎขึน้ เรียกว่า กฎของโอห์ม
17. กฎของโอหม์ กลา่ วว่า กระแสไฟฟ้าทีผ่ ่านลวดตวั นำจะแปรผันตรงกับความต่าง
ศักยร์ ะหวา่ งปลายทงั้ สอง เมื่ออุณหภูมิของลวดตัวนำคงตัวน่นั คืออตั ราส่วนระหวา่ งความต่างศกั ย์
กับกระแสไฟฟ้าจะมีค่าคงตวั ซึ่งเทา่ กบั ค่าความต้านทานของตวั นำ เขียนความสัมพนั ธ์ไดด้ ังน้ี
VI
จะได้ ค่าคงตัว R
หรอื V = IR
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 441
เมือ่ V = ความตา่ งศักย์ มหี นว่ ยเปน็ โวลต์ (V)
I = กระแสไฟฟ้า มหี น่วยเป็นแอมแปร์ (A)
R = ค่าความต้านทาน มีหน่วยเปน็ โอห์ม (Ω)
18. วงจรไฟฟ้าเบอ้ื งตน้ ประกอบด้วย แหล่งจ่ายไฟฟ้า สายสง่ พลงั งานไฟฟา้ หรอื
สายไฟ และเคร่อื งใช้ไฟฟา้
19. การตอ่ หลอดไฟฟา้ คอื การต่อตัวตา้ นทานเขา้ ในวงจรไฟฟ้า เพราะในหลอดไฟฟ้า
จะมีไส้หลอดท่ที ำดว้ ยตัวนำไฟฟ้า มีลักษณะเปน็ ลวดเส้นเล็ก ๆ และมีความต้านทานอยู่ภายในคา่
หนง่ึ อาจเรยี กว่าลวดตา้ นทาน
20. การตอ่ ตัวตา้ นทาน มี 3 แบบ คอื การต่อตัวต้านทานแบบอนุกรม การต่อตัว
ตา้ นทานแบขนาด และการต่อตวั ต้านทานแบบผสม
21. การต่อตวั ต้านทานแบบอนกุ รมคอื การต่อตวั ต้านทานแบบเรียงลำดับกนั ไปโดย
นำปลายของตวั ตา้ นทานหรอื หลอดไฟแต่ละดวงมาต่อเรยี งกนั เปน็ แถว
ผลของการตอ่ หลอดไฟแบบอนุกรม
1) ความต้านทานรวมท้ังวงจรจะเทา่ กับผลบวกของความต้านทานของหลอดไฟแต่ละดวง
2) กระแสไฟฟา้ ที่เคล่อื นทใ่ี นวงจรจะมีค่าเดยี ว คือ กระแสไฟฟา้ ทีเ่ คลื่อนทผ่ี ่านหลอดไฟแต่
ละดวงจะเทา่ กันหมด และเท่ากบั กระแสรวมในวงจรดว้ ย
3) ความต่างศกั ย์รวมของทงั้ วงจรจะเท่ากับผลบวกของความตา่ งศักย์ระหว่างปลายท้งั สอง
ของหลอดไฟแตล่ ะดวง
4) ถ้าหลอดไฟดวงใดดวงหนึ่งไสห้ ลอดขาดจะทำใหก้ ระแสไฟฟ้าเคลื่อนทไ่ี ม่ครบวงจร ทำให้
หลอดไฟดวงอ่นื ๆ ดับด้วย
22. การตอ่ ตัวต้านทานแบบขนาน คอื การนำปลายขา้ งหนึ่งของตวั ต้านทานหรอื
หลอดไฟมารวมกันท่ีจุดจดุ หนึ่ง และนำปลายอีกข้างหน่ึงไปรวมกนั ที่อีกจุดหนึง่
ผลของการต่อหลอดไฟแบบขนาน
1) ความต้อนทานรวมของวงจรจะนอ้ ยกว่าความตา้ นทานของหลอดไฟแตล่ ะดวง โดยท่ีสว่ น
กลับของความต้านรวมจะเท่ากับผลบวกของสว่ นกลบั ของความตา้ นทานแตล่ ะตัว
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
442 คมู่ อื เตรยี มสอบ
2) กระแสไฟฟา้ รวมของวงจรจะเท่ากับผลบวกของกระแสไฟฟ้าทผี่ า่ นหลอดไฟแตล่ ะดวง
3) ความต่างศักยร์ ะหว่างปลายทง้ั สองของหลอดไฟทุกดวงจะเท่ากันหมด และเท่ากับความ
ตา่ งศกั ย์รวมขงวงจร
4) ถ้าหลดไฟดวงใดดวงหน่ึงไสห้ ลอดขา หลอดไฟดวงอื่น ๆ จะยังคงว่างอยู่ เพราะ
กระแสไฟฟา้ จะไมผ่ ่านเฉพาะหลอดไฟดวงท่ีขาด แต่ยังสามารถเคลอื่ นที่ผา่ นหลอดไฟดวงอ่นื ๆ ได้
23. การตอ่ ตัวต้านทานแบบผสม เปน็ การตวั ตา้ นทานทั้งแบบอนุกรมและแบบขนาน
ในวงจรเดียวกัน
24. การตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบอนกุ รมหลอดไฟจะสวา่ งนอ้ ยกวา่ ต่อหลอดไฟฟ้าแบบ
ขนาน เพราะการต่อแบบอนุกรมจะทำใหค้ วามต้อนทานรวมในวงจรมีคา่ มากกวา่ การต่อแบบขนาน
กระแสไฟฟา้ จงึ เคล่ือนท่ีผ่านไดน้ ้อย
25. การตอ่ หลอดไฟฟา้ และอุปกรณไ์ ฟฟ้าภายในบา้ นควรต่อแบบขนาน จงึ จะทำให้
มคี วามตา้ นทานรวมน้อย และมีกระแสไฟฟ้าเพยี งพอสำหรับหลอดไฟแต่ละดวง
26. ไฟฟา้ ลดั วงจร คือการท่ลี วดตัวนำไฟฟ้ามาแตะกันทำให้กระแสไฟฟา้ เคลอื่ นที่ผา่ น
บรเิ วณนัน้ มากเกินไปจนเกิดความร้อนขน้ึ ภายในวงจรอาจทำใหเ้ กิดไฟไหมไ้ ด้
27. เครอื่ งใชไ้ ฟฟ้าทใี่ ช้กระแสฟ้ามากตอ้ งใช้สายไฟฟา้ ขนาดใหญ่ เพราะสายไฟฟา้ ท่ี
มีพืน้ ทห่ี นา้ ตัดมากความตา้ นทานของสายไฟฟ้าจะน้อย ทนกระแสไฟฟ้าที่มีค่าสูง ๆ ได้
28. ความสัมพนั ธร์ ะหว่างความต้านทานของลวดตัวนำความยาวและพน้ื ท่ีหนา้ ตัด
R =P
เม่อื R = ความต้านทานของลวด มหี น่วยเปน็ โอหม์ (Ω)
£ = ความยาวของลวด มีหน่วยเปน็ เมตร (m)
A = พนื้ ท่ีหนา้ ตดั ของลวด มีหนว่ ยเป็นตารางเมตร (
P = สภาพตา้ นทานจำเพาะ เป็นค่าคงตัวเฉพาะของสารทอี่ ณุ หภูมหิ นึง่ ๆ มีหนว่ ยเปน็
โอหม์ เมตร ( Ωm)
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 443
29. ฉนวนไฟฟ้า เปน็ วสั ดุที่มีสมบัติกน้ั หรอื ขวางการเคลือ่ นท่ีของกระแสไฟฟา้ เช่น
ยาง ไฟเบอร์ พลาสติก เป็นต้น สามารถปอ้ งกนั ตวั นำไฟฟา้ จากความร้อนหรือของเหลวท่ีกดั กร่อน
ตัวนำ ฉนวนไฟฟ้าต้องมคี วามต้านทานสงู ไม่ดูดความชืน้ ในอากาศและกันนำ้ ได้ดี ทนี่ ิยมใชง้ าน
ไดแ้ ก่
1) ฉนวนยาง ใช้หมุ้ ตวั นำไฟฟ้าและสายเคเบิล ทำจากยางพารา 20-40 เปอรเ์ ซ็นต์ ผสม
กับแรธ่ าตุอีกหลายชนิด
2) พลาสติก PVCมีสมบัตบิ ิดงอไดแ้ ต่ไม่ดีเท่ากบั ยาง ไม่ทำปฏกิ ริ ยิ ากบั นำ้ มนั ออกซเิ จน
กรดและดา่ ง และทนอณุ หภูมสิ งู ได้
30. กำลงั ไฟฟ้า หมายถึง พลังงานไฟฟ้าท่ีนำไปใชง้ านในเวลา 1 นาที มหี น่วยเปน็
จูลต่อวินาที หรือวัตต์ เขยี นความสมั พนั ธ์ไดด้ ังน้ี
หรือ P
31. คา่ ไฟฟ้า สำหรับการหาค่าพลังงานไฟฟา้ ทใ่ี ชห้ อื ค่าไฟฟา้ จะมีหนว่ ยเปน็ กโิ ลวัตต์
ช่ัวโมง (kWh) หรอื หน่วย (unit) ประกอบดว้ ยสามส่วนคือ คา่ พลงั งานไฟฟา้ = คา่ ไฟฟา้ ฐาน + คา่
ไฟฟ้าผันแปร + ภาษีมลู คา่ เพิ่ม
คา่ ไฟฟ้าฐาน คิดจากพลงั งานไฟฟา้ ที่ใช้ 1 เดอื น คูณกับคา่ ไฟฟา้ ต่อหนว่ ย
คา่ ไฟฟา้ ผนั แปร เปน็ คา่ ใชจ้ า่ ยท่กี ารไฟฟา้ ไมส่ ามารถควบคมุ ได้ เช่น ราคาเชอื้ เพลิง ซงึ่
เป็นตวั เลขจากคณะรัฐมนตรี คณู กับจำนวนหนว่ ยของพลงั งานไฟฟา้ ที่ใช้ 1 เดอื น
ภาษีมูลคา่ เพิม่ เปน็ ภาระตามกฎหมายของผขู้ อรบั บริการ ซงึ่ เท่ากับเปอรเ์ ซ็นต์
32. สายไฟฟา้ เปน็ อปุ กรณ์ทใ่ี ช้ส่งพลงั งานไฟฟ้าจากที่หนึ่งไปยังอีกทีห่ นึ่งโดย
กระแสไฟฟ้าจะเปน็ ตัวนำพลังงานไฟฟ้าผ่านไปจนถึงเครอ่ื งใช้ไฟฟ้าสายไฟทำด้วยลวดตวั นำซ่งึ เป็น
โลหะมคี วามต้านทานไฟฟา้ ต่ำ หุ้มด้วยฉนวนไฟฟ้าเพ่ือป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่ว
33. ไฟฟ้าที่ใชใ้ นบา้ น เปน็ ไฟฟ้าท่มี คี วามตา่ งศักย์ 220 โวลต์
34. สายไฟฟา้ ทใ่ี ชส้ ่งพลังงานไฟฟ้าเข้าบา้ น จะใชส้ ายไฟฟา้ 2 สายตอ่ กันต้องตาม
ขว้ั เขา้ ทีแ่ ผงควบคุมไฟฟา้ คือ
1) สายกลาง หรอื สาย NZneutral) มศี ักยไ์ ฟฟา้ เป็นศนู ย์เมือ่ เทียบกบั พน้ื ดิน
2) สายมศี ักย์ หรือสายมีไฟ หรือสาย L(live) มศี ักยไ์ ฟฟ้าไม่เปน็ ศนู ยเ์ มื่อเทยี บกบั พน้ื ดิน
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
444 คมู่ อื เตรยี มสอบ
35. แผงควบคุมไฟฟ้า เป็นท่ีควบคมุ การจ่ายพลงั งานไฟฟา้ ทง้ั หมดในบา้ น
ประกอบดว้ ยอปุ กรณ์ท่ีใชต้ ัวตัดวงจรไฟฟ้าในรปู ตา่ ง ๆ เชน่ สวิตช์อัตโนมัติ ตดั ไฟรวมของวงจร
36. ไขควงตรวจสอบไฟฟ้า เป็นไขควงทม่ี หี ลอดนีออนสำหรบั ไฟสญั ญาณแสง ถา้ นำ
ปลายไขควบแตะกบั สาย L แลว้ ใช้นิว้ มือสมั ผัสกับปลายบนสดุ ของไขควงตรวจสอบไฟฟ้าหลอด
นอี อนจะเปลง่ แสง แต่ถ้าเปน็ สาย N จะไม่มีแสงจากหลอดนอี อน
37. ฟิวส์ เป็นอปุ กรณ์ใช้ตดั วงจรไฟฟ้าเม่ือมีกระแสไฟฟา้ ไหลผ่านมากเกนิ ไป หรือเมื่อ
เกดิ ไฟฟ้าช็อตจะช่วยตัดวงจรไฟฟา้
38. ประเภทของฟิวส์
1) ฟวิ สเ์ ส้น ใชก้ ับสะพานไฟของแผงไฟรวม
2) ฟิวสก์ ระเบ้ือง ใช้ท่ีแผงไฟรวมในบา้ น
3) ฟวิ สแ์ ผ่น ใช้ในวงจรไฟฟ้ารวมของอาคารใหญ่ ๆ
4) ฟวิ ส์หลอด ใช้ใส่ในวงจรไฟฟ้าของอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ
39. สะพานไฟหรอื คัตเอาต์ เปน็ อุปกรณ์สำหรบั ตัดหรือต่อวงจรไฟฟา้ ชว่ ยใหเ้ ดความ
สะดวกและปลอดภัยในการซ่อมแซมหรอื ติดตง้ั อุปกรณ์ไฟฟา้
40. สวิตช์ เปน็ อุปกรณ์สำหรับตัดหรือต่อวงจรไฟฟ้าในสว่ นท่ีตอ้ งการ
41. ประเภทของสวิตช์
1) สวิตชธ์ รรมดา เป็นสวิตชท์ ี่ตอ่ ไว้ควบคุมวงจรไฟฟา้ ส่วนใดสว่ นหนึ่ง
2) สวติ ช์สองทาง เป็นสวติ ชต์ ดั ตอ่ วงจรไฟฟ้าสามารถใชบ้ งั คับการเดนิ ทางของกระแสไฟฟา้
ได้
2 ทาง
3) สวติ ช์อตั โนมัติ สามารถตัดต่อวงจรไฟฟา้ ได้ดว้ ยตัวเองเมื่อมีกระแสไฟฟา้ ไหลเกนิ ใช้
ตอ่ กับสายไฟใหญ่ที่ต่อเขา้ บา้ นหรอื อุปกรณไ์ ฟฟา้ ท่ใี ช้กระแสไฟมาก
42. สวิตชค์ วามร้อน (Thermostat) ประกอบด้วยโลหะ 2 ชนิดประกบกัน เม่อื
ไดร้ ับความร้อนจะขยายตวั ต่างกนั ทำใหเ้ กิดการโก่งงอ ทำใหว้ งจรไฟฟ้าเปดิ ปิดได้ สวติ ชค์ วามรอ้ นมี
อยู่ในอุปกรณ์ไฟฟา้ หลายอย่าง เช่นไฟฟา้ เตารดี หม้อหงุ ข้าวไฟฟา้ เครื่องปงิ้ ขนมปัง
เครือ่ งปรบั อากาศ เปน็ ตน้
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 445
43. เตา้ รับ มีไวส้ ำหรบั นำเต้าเสียบหรอื ปลั๊กเสียบเขา้ กับเต้ารับทำให้กระแสไฟฟ้าไหล
ครบวงจร
44. เตา้ เสียบและปล๊ัก เปน็ อปุ กรณ์ที่ใช้ตอ่ กับวงจรภายในบา้ น อุปกรณ์ไฟฟา้ จะมี
สายไฟต่อกับปลั๊กไฟฟ้าและต่อใช้ค่กู ับเตา้ เสียบ
45. สายดนิ ของเครื่องใช้ไฟฟ้า คือ สายไฟที่ปลายสายข้างหนงึ่ ต่อจากโครงภายนอก
ของเครอ่ื งใช้ไฟฟ้าเพื่อใหม้ ศี ักย์ไฟฟา้ เปน็ ศนู ย์เท่ากับพนื้ ดินและสายอีกข้างหนึ่งฝังลงดิน สายไฟฟ้า
ทเี่ ปน็ สายดนิ จะมีสเี ขยี วหรือสีเขยี วสลบั เหลือง สายดนิ เป็นตวั นำกระแสไฟฟ้าท่ีเช่ือมต่อกับอปุ กรณ์
ไฟฟา้ ลงคนื ชว่ งป้องกนั การเกิดอันตราย
46. อุปกรณ์อเิ ล็กทรอนกิ ส์ เป็นอปุ กรณ์ท่ที ำหน้าท่คี วบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้า
ในวงจรไฟฟ้า
47. ตัวต้านทาน (Resistor)ทำหน้าทีจ่ ำกัดปรมิ าณกระแสไฟฟ้าในวงจรหรือในสว่ น
ของวงจร การต่อตัวตา้ นทานเขา้ ในวงจรไม่ตอ้ งคำนงึ ถึงข้วั หรือปลายของตวั ตา้ นทาน
48. ตวั ต้านทานคงท่ี (Fixed Resistor)มีสญั ลักษณ์ในวงจรคือ เปน็ ตวั
ต้านทานทม่ี ีค่าความตา้ นทานไมเ่ ปลยี่ นแปลง สามารถอา่ นคา่ ความตา้ นทานไดจ้ ากแถบสีที่คาด
รอบตัวต้านทาน มหี นว่ ยวัดเป็นโอหม์ (Ω)
49. แถบสีทคี่ าดบนตัวตา้ นทาน มคี วามหมายดังน้ี
1) แถบสที ่ี 1 บอกเลขตัวแรก
2) แถบสีที่ 2 บอกเลขตวั ท่ี 2
3) แถบสีท่ี 3 บอกเลขยกกำลังท่ตี ้องนำไปคูณกับเลขสองตัวแรก
4) แถบสีท่ี 4 บอกความคลายเคล่ือนของค่าความตา้ นทานท่ีอ่านได้ จาก3 แถบแรก
โดยบอกเป็นร้อยละ
ตวั อย่างเชน่
ตวั ต้านทานตวั หนึ่งมแี ถบสคี าดไวด้ งั น้ี สเี หลือง สดี ำ สแี ดง และสีเงิน อ่านค่าความต้านทานได้
ดังน้ี
แถบสีที่ 1234
สี เหลอื ง ดำ แดง เงิน
คา่ ประจำแถบสี 4 0
แทนคา่ ได้ดังน้ี 40 x = 4,000 400 โอห์ม
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
446 ค่มู อื เตรยี มสอบ
ตวั ต้านทานนมี้ ีคา่ อยู่ระหวา่ ง 3,600 โอห์ม และ 4,000 โอหม์
50. ตัวต้านทานแปรคา่ ได้ (Variable Resistor)มสี ญั ลกั ษณ์ในวงจรนี้
ประกอบด้วยแถบความต้านทานซ่งึ อาจทำดว้ ยแกรไฟ หรอื ลวด สามารถเปลย่ี นค่าความตา้ นทาน
ได้ด้วยการหมุนหรือเล่อื นปุ่มปรับค่าเพ่ือเพม่ิ หรือลดคา่ ความต้านทานที่ต้องการ เชน่ ปุ่มควบคมุ
ความดังของวิทยุ
51. ตวั ตา้ นทานแปรคา่ ทีท่ ำหนา้ ท่ีควบคุมกระแสไฟฟา้ ในวงจร เรียกวา่ ตัวควบคมุ
กระแส
52. ตวั ควบคุมกระแส เป็นช้นิ สว่ นอเิ ลก็ ทรอนิกส์ และเป็นส่วนประกบสำคญั ของ
เคร่อื งวัดบางชนดิ เช่น โอห์มมเิ ตอรแ์ ละเคร่ืองวดั ปริมาณน้ำมัน เปน็ ต้น
53. ตัวตา้ นทานไวความรอ้ น (Thermistor) คือ เป็นตัวต้านทานทม่ี ีคา่ ความ
ต้านทานเปลีย่ นแปลงไปตามอุณหภูมิ มี 2 ชนดิ คือ
1) ตวั ตา้ นทานไวความรอ้ นท่ีแปรผนั ตรงกบั อุณหภมู ิ ถ้าอุณหภมู สิ งู ข้ึนค่าความต้านทานก็
จะเพ่ิมสูงขึน้ แต่ถา้ อุณหภูมิลดตำ่ ลง ค่าความต้านทานกจ็ ะลดลง เช่น ตัวตา้ นทานในเคร่อื งเตือน
อคั คีภยั เปน็ ต้น
2) ตวั ตา้ นทานไวความร้อนที่แปรผกผันกบั อุณหภมู ิ ถ้าอุณหภมู ิสงู ขนึ้ คา่ ความต้านทานจะ
ลดต่ำลง และถา้ อุณหภมู ิลดต่ำลงคา่ ความต้านทานจะสงู ข้นึ
54. ตัวต้านทานไวแสง (Light Dependent Resistor ; LDR) มสี ัญลักษณ์ในวงจร
คอื
เปน็ ตัวตา้ นทานท่ีเปลย่ี นคา่ ความตา้ นทานเมื่อความเข้มของแสงที่ตกกระทบ
เปลี่ยนไป ถา้ ไมม่ ีแสงหรือมีแสงปรมิ าณน้อย LDR จะมีคา่ ความตานทานสูง แต่ถ้าปริมาณแสงทต่ี ก
กระทบ LDR มีมากคา่ ความต้านทานจะต่ำ
55. ตวั เกบ็ ประจุ (Capacitor) หรือตัวเกบ็ อิเล็กตรอน มีสญั ลักษณ์ในวงจรคือ
ทำหน้าที่เกบ็ ประจุไฟฟ้าและคายประจุไฟฟ้าให้กับวงจร ประกอบดว้ ยแผ่นตวั นำ 2 แผน่ เรยี กวา่
แผน่ เพลต และคั่นดว้ ยแผน่ อิเล็กทริกซึง่ เป็นแนวไฟฟ้าทำหน้าทกี่ ั้นกระแสไฟฟ้า โดยทคี่ ่าความจุ
ไฟฟ้ามีหนว่ ยเปน็ ฟารดั (F)
การเก็บประจุ คือ การเกบ็ อิเลก็ ตรอนไวท้ ีแ่ ผ่นเพลตของตัวเกบ็ ประจโุ ดยเม่ือนำแบตเตอร่ี
กบั ตวั เกบ็ ประจุ อิเล็กตรอนจากขว้ั ลบของแบตเตอรจ่ี ะไปออกันท่ีแผน่ เพลตทำใหเ้ กิดประจุลบขน้ึ
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 447
และสง่ สนามไฟฟา้ ไปผลักอเิ ล็กตรอนของแผน่ เพลตตรงขา้ ม ทำให้เหลอื ประจบุ วกมากกวา่ ประจุ
ลบ
การคายประจุ คือ ตวั เก็บประจทุ ถี่ ูกประจุแลว้ จะมีอิเลก็ ตรอนอยู่ทีแ่ ผ่นเพลต ถ้ามกี ารตอ่
ครบวงจรระหว่างแผน่ เพลตท้ังสองจะมกี ารคายประจเุ กดิ ขึ้น โดยอเิ ล็กตรอนจากแผน่ เพลตลบจะ
เคลอื่ นท่ีไปครบวงจรท่ีแผ่นเพลตบวก
56. ปจั จัยท่ีมผี ลต่อค่าของตวั เก็บประจุ
1) พื้นท่ีแผ่นเพลต ตัวเกบ็ ประจุท่ีมีพ้ืนทแี่ ผ่นเพลตมากจะมีค่าความจุมาก
2) ระยะหา่ งระหว่างแผน่ เพลต แผ่นเพลตที่มรี ะยะห่างกันมากคา่ ความจกุ ็จะยงิ่ ลดลง
3) ชนิดของสารท่ีใชท้ ำแผน่ ไดอิเลก็ ทริก ค่าความจุจะเปลี่ยนไปตามชนดิ ของสารที่ใชท้ ำ
แผ่น ไดอิเล็กทริก
57. ตัวเกบ็ ประจแุ บบค่าคงที เป็นตวั เกบ็ ประจทุ ี่ไม่มีขว้ั ไม่ต้องคำนึงถงึ ขวั้ เวลาใชง้ าน
58. ตวั เกบ็ ประจุแบบปรบั คา่ ได้ สามารถปรบั คา่ ความจุไดด้ ว้ ยการหมุนแกนของตัว
เกบ็ ประจุ คา่ ความจจุ ะเปลยี่ นไปตามมมุ ทหี่ มนุ เช่น ใช้ในวงจรเลือกคลน่ื วิทยุ
59. ไดโอด (Diode)มสี ญั ลักษณ์ในวงจรคอื เปน็ อุปกรณ์
อเิ ลก็ ทรอนิกสท์ ย่ี อมให้กระแสไฟฟา้ เคลื่อนทีผ่ ่านทางเดียว ทำจากสารกง่ึ ตัวนำ 2 ชนดิ คอื ชนดิ
P และชนดิ N ประกอบดว้ ย 2 ขวั้ คอื แอโนด (+) ตอ่ อยู่กับสารกงึ่ ตัวนำชนิด P และขว้ั
แคโทด (-) ต่ออยกู่ ับสารกึ่งตัวนำชนิด N
60. ไดโอดธรรมดา (Normal Diode)ทำหนา้ ที่เปน็ ตัวควบคมุ การเคลือ่ นท่ขี อง
กระแสไฟฟ้าใหเ้ คลอ่ื นที่ไปทางเดยี ว
61. ไดโอดเปลง่ แสง (Light Emitting Diode ; LED)ทำหนา้ ทีเ่ ปลย่ี นพลงั งานไฟฟา้
เป็นพลงั งานแสง สามารถเปลง่ แสงออกมาเม่ือได้รับกระแสไฟฟา้ การต่อไดโอดเปลง่ แสงในวงจร
ตอ้ งต่อขาให้ถูกต้องกับข้ันของแบตเตอรี่ กระแสไฟฟ้าจงึ จะเคลอ่ื นท่ีครบวงจร
62. ทรานซิสเตอร์ (Transistor) ทำหน้าท่ใี นการขยายสญั ญาณไฟฟ้าและควบคุมการ
เคลือ่ นท่ีของกระแสไฟฟ้าหรือเปน็ สวิตชเ์ ปดิ -ปดิ วงจร ทำจากสารก่ึงตัวนำ มหี ลายชนิด แตล่ ะ
ชนิดมีรูปรา่ งลักษณะแตกตา่ งกันประกอบด้วย 3 ขา คือ ขาเบส (Base ; B) ขาอมี ิต
เตอร์(Emitter; E) และขาคอลเลก็ เตอร์ (Collector ; C) กระแสไฟฟา้ หรือแรงเคลอ่ื นไฟฟา้ เพยี ง
เลก็ น้อยที่ขาหนึ่งจะสามารถควบคมุ กระแสไฟฟา้ ท่ีมีปริมาณมากที่เคล่อื นท่ีผา่ นอีก 2 ขาได้
63. ชนิดของทรานซสิ เตอร์ มี 2 ชนดิ คือ
ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
448 ค่มู อื เตรยี มสอบ
1) ชนดิ พเี อน็ พี (PNP)ประกอบด้วยสารกึง่ ตวั นำชนิด P (+)2 ชัน้ และชนดิ N (-) 1 ชนั้
สังเกตไดจ้ ากรหสั หรอื เบอร์ของทรานซสิ เตอร์จะมีอักษร A และ B ปรากฏอยู่
2) ชนิดเอน็ พีเอ็น (NPN) ประกอบดว้ ยสารกง่ึ ตัวนำชนดิ N (-) ชัน้ และชนดิ P (+) 1 ชั้น
สังเกตไดจ้ ากรหสั หรือเบอร์ของทรานซิสเตอร์ จะมีอักษร C และ D ปรากฏอยู่
64. ประโยชน์ของทรานซิสเตอร์ คอื ใชเ้ ป็นวงจรขยายในเครื่องรับวิทยุเครื่องรบั
โทรทศั น์ เป็นสวทิ ตชเ์ ปดิ -ปิด เพอื่ ควบคมุ การทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้า
65. วงจรรวม (Integrated Circuit ; IC)ทำจากสารกึ่งตวั นำ ประกอบด้วยตวั เก็บ
ประจุ ทรานซสิ เตอรข์ นาดเล็ก และวงจรอนื่ ๆ อย่บู นซิลิคอนชปิ อนั เดยี วกัน ทำให้มขี นาดเลก็ ลง
ราคาถูก ใช้กระแสไฟฟา้ น้อย และปฏิบตั ิงานไดเ้ ร็วขึ้น
66. ประโยชนข์ องซิลคิ อนชิป (Silicon Chip)เชน่ ใชส้ ำหรบั การบันทึกข้อมูล
สง่ั งาน และประมวลผล เช่นบตั รถอนเงินสด บตั รโทรศัพท์ จะมซี ลิ ิคอนชปิ ตดิ อยู่ เมือ่ นำบัตร
ไปใช้งานจะมกี ารสง่ ถ่ายข้อมูลบนบตั รกับศนู ยป์ ระมวลผลไป-กลับด้วยความเร็วสูงเพื่อตรวจสอบ
สถานะและรับคำสงั่ เพอื่ ดำเนินการ เป็นต้น
ตัวอย่างแนวข้อสอบบทที่ 2
2. บ้านหลังหนึ่ง ตอ่ สายไฟที่มคี วามตา่ งศกั ย์ 6. อปุ กรณ์ไฟฟ้าจะทำงานไดเ้ ม่อื วงจรไฟฟ้ามี
220 โวลต์ ขณะท่รี ดี ผา้ ขนาด 600 วัตต์ และ ลักษณะเปน็ อย่างไร
พัดลมขนาด 60 วตั ต์ บา้ นนีจ้ ะมีกระแสไฟฟา้ ก. วงจรลดั
ไหลผ่านกี่แอมแปร์ ข. วงจรสั้น
ก. 0.33 ข. 0.3 ค. วงจรปดิ
ค. 3 ง. 12 ง. วงจรเปิด
2. เดก็ ชายสุรเดช ใช้หลอดไฟขนาด 50 วตั ต์ 7. ทิศทางการไหลของกระแสไฟฟา้ เปน็ อย่างไร
จำนวน 2 หลอด 220 โวลต์ สำหรับอ่านหนงั สอื ก. ออกจากขั้ว - ไปยงั ข้วั +
ขณะใชง้ านหลอดไฟจะมีความต้านทานเท่าใด ข. ออกจากขวั้ + ไปยงั ขว้ั –
ก. 48 โอห์ม ข. 242 โอห์ม ค. ออกจากขัว้ + และข้ัว – สลบั กนั
ค. 484 โอหม์ ง. 48.4 โอห์ม ง. ไหลไปในทิศทางเดยี วกนั
3. ไฟฟ้าทใี่ ช้ตามบ้านเปน็ ชนดิ ใด 8. วตั ถุใดนำไฟฟ้าได้ดที ส่ี ดุ
ก. ไฟฟ้ากระแสตรง ข. ไฟฟ้า ก. เหล็ก
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 449
กระแสสลับ ข. เงนิ
ค. ไฟฟา้ อตั โนมัติ ง. ถกู ท้ัง ก และ ข ค. ทองแดง
4. ความตา้ นทานและการไหลของกระแสไฟฟา้ ง. อลมู เิ นียม์
สัมพนั ธ์กนั ลักษณะใด 9. ข้อใดเปน็ วัตถุทไ่ี ม่อาศัยทฤษฎีแม่เหลก็ ไฟฟา้
ก. ความต้านทานมาก กระแสมาก ก. รถไฟฟ้า
ข. ความตา้ นทานมาก กระแสนอ้ ย ข. รถยนต์
ค. ความตา้ นทานน้อย กระแสน้อย ค. รถราง
ง. ไมม่ คี วามสัมพนั ธก์ ัน ง. รถไฟ
5. ข้อใดเปน็ อุปกรณ์ในการต่อเซลล์ไฟฟา้ อย่าง 10. อปุ กรณ์ไฟฟา้ 11 ชนดิ มีความตา้ นทานตวั
ง่าย ละ
ก. หลอดไฟ สายไฟเซลล์ไฟฟ้า สวติ ช์ 10 Ω ตอ่ เขา้ กับความต่างศักย์ 220 V จะมี
ข. หลอดไฟ มอเตอร์ ออดไฟฟา้ กระแสไฟฟ้าไหลในวงจรเท่าใด
ค. สายไฟ สวติ ช์ ก. 0.5 A ข. 1 A
ง. เซลล์ไฟฟ้า แบตเตอรี่มอเตอรเ์ ซลลไ์ ฟฟ้า ค. 2 A ง. 4 A
เฉลยบทท่ี 1
1 ง2 ข3 ข4 ค5ง
6ข
เฉลยบทท่ี 2
1 ค2 ค3 ข4 ข5ก
6 ค 7 ข 8 ข 9 ข 10 ค
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
450 คมู่ อื เตรยี มสอบ
สาระที่ 6 กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก
บทที่ 1 บรรยากาศของเรา
1. บรรยากาศ (Atmoshere)หมายถึง อากาศทอี่ ยูร่ อบตัวเรา และห่อหุ้มโลกตง้ั แต่
เหนือพืน้ ดนิ ไปจนถึง 600 กโิ ลเมตรเหนอื ผิวโลก
2. องคป์ ระกอบของบรรยากาศ ประกอบดว้ ย
1) อากาศแหง้ เป็นองคป์ ระกอบหลักของบรรยากาศ ประกอบดว้ ย แก๊สชนดิ ตา่ ง ๆ ท่ี
สำคัญได้แก่ แก๊สไนโตรเจน 78.08% ออกซิเจน 20.95% คารบ์ อนไดอกไซค์ 0.03% และแก๊ส
อืน่ ๆ อีก 0.94% เช่น แก๊สอาร์กอนนีออน เซนอน ครปิ ทอน และไฮโดรเจน เป็นต้น
2) ไอน้ำ เกดิ จากการระเหยของนำ้ ทผ่ี ิวโลก การคายน้ำของพชื และการหายใจออกของ
สิง่ มีชีวิต ไอน้ำเปน็ ตวั การสำคญั ทท่ี ำให้เกิดปรากฏการณต์ ่าง ๆ ในบรรยากาศ เชน่ เมฆ หมอก
ฝน หิมะ นำ้ คา้ ง เปน็ ต้น
3) อนภุ าคฝนุ่ ต่าง ๆ เชน่ ผงฝุ่นจากากรระเบิดของภเู ขาไฟ ไฟปา่ การทำเหมืองแร่ การ
เผาไหม้ของเชอ้ื เพลงิ และฝ่นุ ควันจากโรงงานอตุ สาหกรรมเปน็ ตน้
3. ความสำคญั ของบรรยากาศ
1) ใชใ้ นการหายใจของสิ่งมีชวี ติ ทกุ ชนดิ เป็นวตั ถดุ บิ ในการสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพชื
และช่วยในการเจริญเตบิ โตของพชื
2) ไอน้ำในบรรยากาศทำให้น้ำเกิดการหมนุ เวยี นเป็นวฎั จกั ร
3) ช่วยปรับอณุ หภมู ิของโลกใหเ้ หมาะสมต่อการดำรงชวี ิตของส่งิ มชี วี ติ
4) ชว่ ยป้องกันอันตรายและดูดกลนื รังสีต่าง ๆ ท่ีส่งมาจากดวงอาทติ ย์ ไว้ไม่ให้ส่องมายัง
พ้นื โลกมากเกินไป
5) ช่วยปอ้ งกันอันตรายจากวัตถุหรืออนุภาคต่าง ๆจากนอกโลก เชน่ ดาวตก อกุ กาบาต
เมอ่ื ผ่านเข้ามาจะเกดิ การเสยี ดสกี ับบรรยากาศทำให้เกิดความรอ้ นสูงแล้วลุกไหม้จนหมดไปหรอื มี
ขนาดเล็กลงก่อนตกถึงผวิ โลก
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์