คมู่ อื เตรยี มสอบ 451
4. ชน้ั บรรยากาศ แบง่ ออกเป็น 4 ช้นั คือ 1) ชัน้ โทรโพสเฟียร์ 2) ชั้นสตราโตส
เฟียร์ 3) ชั้นมโี ซสเฟยี ร์ 4) ชนั้ เทอร์โมสเฟียร์
5. ชน้ั โทรโพสเฟยี ร์(Troposphere) เปน็ ชัน้ ที่อยู่ใกล้กับผวิ โลกที่สดุ อุณหภมู ิ ของ
อากาศจะลดลงตามความสูงจากพืน้ โลก ส่วนบนสุดของบรรยากาศชนั้ นีเ้ รยี กวา่ โทรโพพอส มี
อุณหภูมิค่อนขา้ งคงตวั แหล่งกำเนิดความร้อนของโทรโพสเฟียรค์ ือ พืน้ ผิวโลกทีด่ ูดกลืนรังสคี ล่นื สน้ั
จากดวงอาทิตยแ์ ละแผ่รงั สอี ินฟราเรดออกมา ทำให้อุณหภูมขิ องอากาศลดลงตามความสูงจากพ้ืน
โลก เป็นชั้นบรรยากาศที่มีส่งิ มชี ีวติ อาศัยออยู่ และมีความแปรปรวนของสภาพลมฟ้าอากาศ
เน่ืองจากมปี ริมาณน้ำในอากาศมาก
6. ชนั้ สตราโตสเฟียร์ (Stratosphere)อุณหภมู ิจะคงทใ่ี นระดับล่างและเพิม่ ขน้ึ ตาม
ความสงู จากพื้นโลก เป็นช้นั ทีไ่ ม่มไี อน้ำจึงไมม่ ีความแปรปรานของอากาศ มีประโยชนใ์ นดา้ นการ
คมนาคมทางอากาศ และมีแก๊สโอโซน( ) หนาแนน่ มากกวา่ ชนั้ อ่นื แก๊สโอซนมีสมบัตดิ ูดกลืน
รังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ได้ดีทำให้รังสีไมส่ ามารถสอ่ งผา่ นลงมายังพ้นื โลกมากเกนิ ไป ส่วน
บนสดุ ของสตราโตสเฟียร์ เรียกวา่ สตราโตพอส
7. ช้นั มีโซสเฟียร์ (Mesosphere) อุณหภูมขิ องอากาศจะคงตัวในระดับล่างและจะ
ลดลงตามความสูงอกี คร้ังในระดบั ที่สูงขึน้ ตอนบนสุดของช้นั จะมอี ุณหภมู ติ ่ำถึง -90 C เน่ืองจาก
บรรยากาศช้ันน้ไี ม่ได้ดูดซบั พลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์โดยตรง แต่ไดร้ บั การถ่ายโอนความ
ร้อนจากโอโซนไนชัน้ สตราโตสเฟียร์ นอกจากนี้วัตถจุ ากนอกโลกที่ถูกแรงโน้มถ่วงของโลกดึงดูดเข้าสู่
บรรยากาศจะถูกเผาไหม้ทช่ี นั้ น้ดี ว้ ย สว่ นบนสดุ ของมีโซสเฟยี ร์ เรียกวา่ มีโซพอส
8. อากาศในชั้นดทรโพสเฟยี ร์ สตราโตสเฟียร์ และมีโซสเฟียร์ มลี กั ษณะเป็นเนอ้ื
เดยี วกนั เพราะประกอบดว้ ยส่วนผสมของแกส๊ ต่าง ๆ เกือบคงทย่ี กเวน้ ไอน้ำและโอโซน ดังนนั้ จึงรวม
เรยี กบรรยากาศทัง้ 3 ช้ันนี้วา่ โฮโมสเฟียร์(Homosphere)
9. ชนั้ เทอร์โมสเฟียร์(Thermosphere)อุณหภูมขิ องอากาศจะเพิ่มขนึ้ ตามความสูงที่
เพม่ิ ขน้ึ จนถงึ ประมาณ 1,700 C บรรยากาศเบาบางมากจนถอื วา่ เปน็ จุดเรม่ิ ต้นของอวกาศ
เนือ่ งจากมีแรงดงึ ดดู ของโลกนอ้ ย และแสงอาทติ ย์ท่ีสอ่ งมายังช้นั นีม้ พี ลงั งานมากจนทำใหโ้ มเลกุล
ของแก๊สตา่ ง ๆ แตกตวั เป็นไอออนและมีประจุไฟฟา้ บรรยากาศช้นั นี้สามารถสะท้อนคลื่นแตกตัว
เปน็ ไอออนและมปี ระจุไฟฟ้า บรรยากาศชั้นน้สี ามารถสะท้อนคลื่นส้ันของวทิ ยกุ ลับมายังผวิ โลกไดจ้ งึ
มคี วามสำคัญในการสื่อสารโทรคมนาคม
10. รังสจี ากดวงอาทิตย์ท่แี ผม่ ายังโลก รังสบี างส่วนจะมีการสะท้อนโดยบรรยากาศ
เมฆ และพืน้ ดลกกลบั ส่อู วกาศ 30 เปอร์เซน็ ต์ รังสบี างส่วนจะถูกดดู กลืนโดยบรรยากาศ เมฆ และ
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
452 ค่มู อื เตรยี มสอบ
พื้นผวิ โลก 70 เปอรเ์ ซน็ ต์ ซึ่งวตั ถุและสงิ่ มีชีวิตตา่ ง ๆ บนผิวโลก เชน่ ตน้ ไม้ สงิ่ ก่อสรา้ ง ภเู ขา
เป็นต้น จะมีการดูดกลืนรงั สีจากดวงอาทติ ย์เช่นกัน และมคี วามสามารถในการดดู กลนื ได้แตกตา่ ง
กนั ด้วย โดยจะเปลีย่ นรงั สีจากดวงอาทติ ยเ์ ปน็ พลงั งานความรอ้ นและคายกลบั สผู่ วิ โลกอีกครัง้ ทำ
ให้อุณหภูมิของอากาศเหนือบรเิ วณนัน้ ๆ แตกตา่ งกนั ไปด้วย
11. อุณหภมู ขิ องอากาศ (Air Temperature)คือ บริเวณที่ใช้บอกความร้อนและ
ความเยน็ ของอากาศ และจะมีการแปรเปลยี่ นไปในแต่ละช่วงเวลา
12. ปจั จยั สำคญั ที่มผี ลต่ออุณหภูมขิ องอากาศ
1) พลงั งานความรอ้ นจากดวงอาทติ ย์ท่ีพื้นโลกบรเิ วณนนั้ ได้รบั ทำให้ในเวลากลางวัน
อณุ หภมู ขิ องอากาศจะสูงกวา่ ในเวลากลางคืน
2) ลกั ษณะของพืน้ ผวิ โลกทแี่ ตกตา่ งกันมีผลทำให้อุณหภูมิของอากาศเหนือบรเิ วณนั้น
แตกต่างกนั เชน่ เมอื่ ได้รบั ความร้อนพ้นื ดนิ จะดูดกลนื ความร้อนอย่างรวดเรว็ และมีอุณหภมู ติ ่ำกว่า
พน้ื นำ้ ทำให้อุณหภมู ิของอากาศเหนือบริเวณดงั กล่าวต่างกันดว้ ย
3) สภาพแวดล้อมท่แี ตกต่างกันมผี ลทำให้อณุ หภมู ิของอากาศแตกต่างกนั เชน่ อณุ หภูมิ
ของอากาศบริเวณท่ีเปน็ ปา่ มีค่าตำ่ กกวา่ บรเิ วณทะเลทราย
4) สภาพของบรรยากาศ เช่น ถา้ ท้องฟา้ มปี ริมาณเมฆแตกต่างกนั ก็จะทำให้อณุ หภูมขิ อง
อากาศแตกตา่ งกนั ดว้ ย
5) การเอียงของแกนโลกจากเสน้ ตง้ั แกกับระนาบการหมุนของโลกรอบดวงอาทติ ย์ ทำให้
โลกหนั ขน้ั โลกเหนอื และขนั้ โลกเข้าหาดวงอาทติ ยส์ ลบั กันทำให้แตล่ ะพ้ืนที่โลกในรอบ 1 ปีไดร้ ับ
พลงั งานความร้อนจากดวงอาทติ ยแ์ ตกต่างกัน ขวั้ โลกทีห่ นั เขา้ หาดวงอาทิตย์จะรบั พลงั งานความ
รอ้ นมากกวา่ จะเปน็ ฤดรู ้อน สว่ นข้วั โลกที่หนั ออกจากดวงอาทติ ยจ์ ะได้รับพลงั งานน้อยกวา่ จะเปน็ ฤดู
หนาว
13. เครอ่ื งมือท่ีใชว้ ัดอณุ หภมู ิของอากาศเรียกว่า เทอร์มอมเิ ตอร์ และเทอรม์ อมิเตอร์
ที่ใช้ในการศึกษาสภาพอากาศ เทอร์มอมเิ ตอร์วัดอุณหภูมสิ ูงสดุ -ตำ่ สุด (Max-min
Thermtometer) ซ่ึงสามารถวัดอุณหภมู ิสูงสุดและต่ำสดุ ในรอบวันได้
14. ความดันอากาศหรอื ความกดอากาศ (Air Pressure)หมายถึง แรงดนั อากาศท่ี
กระทำตอ่ พืน้ ที่ 1 ตารางหน่วย ความดนั เนื่องจากน้ำหนักอากาศท่ีอยู่เหนือผิวโลก เรยี กว่า
ความดนั บรรยากาศ
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 453
15. แรงดันอากาศ เป็นแรงทโี่ มเลกลุ ของอากาศกระทำกบั พ้ืนผวิ ของวตั ถุ
16. คา่ ความกดอากาศในแตล่ ะแหง่ จะไมเ่ ทา่ กัน บรเิ วณใกล้พืน้ ผวิ โลกจะมีความกด
อากาศมากและจะลดลงเมื่อขึ้นไปในท่สี งู เน่ืองจากเม่ือสูงขึ้นไปอากาศจะเบาบางลงน้ำหนกั ของ
อากาศก็ลดลง แรงกดอากาศจึงลดลงตามระดับความสงู
17. ความหนาแน่นของอากาศ คอื จำนวนโมเลกุลอากาศในหน่ึงหน่วยปริมาตร
18. ปัจจัยท่ีมผี ลต่อความดันอากาศ
1) ความหนาแนน่ ของอากาศ ถ้าจำนวนโมเลกุลของอากาศมมี ากโอกาสท่ีโมเลกุลของ
อากาศจะชนกับพนื้ ผวิ วตั ถกุ ็จะมมี ากดว้ ยจงึ ทำใหเ้ กดิ แรงบนพืน้ ผิวนั้นมากและสง่ ผลให้ความดัน
อากาศสูงดว้ ย
2) อณุ หภูมิ บรเิ วณท่ีมอี ุณหภูมิสงู อากาศจะขยายตัวได้มาก ทำให้มีความหนาแนน่ ของ
อากาศนอ้ ยสง่ ผลให้มีความกดอากาศตำ่ สว่ นบรเิ วณทม่ี ีอุณหภมู ิตำ่ อากาศจะหดตัวทำให้มคี วาม
หนาแนน่ ของอากาศมากสง่ ผลใหม้ คี วามกดอากาศสูง
3) ความชืน้ อากาศชน้ื มไี อน้ำมาก น้ำหนกั โมเลกุลของไอน้ำมีค่าน้อยกวา่ ของแกส๊
ออกซเิ จนและไนโตรเจนซ่งึ เป็นสว่ นประกอบทีส่ ำคญั ของอากาศ ดงั นน้ั อากาศช้นื จึงมคี วามกด
อากาศตำ่ กว่าอากาศแหง้
19. การนำหลกั การของความดันอากาศมาใช้ประโยชน์ เชน่ การเติมลมยางรถ ลม
หรืออากาศทีเ่ ติมเข้าไปจะดันใหย้ างรถพองตวั คงรปู อยู่ได้ และสามารถรองรบั น้ำหนักของรถได้
การทำเคร่ืองสูบนำ้ และหลักการนำไปใชท้ างดา้ นการคมนาคม เชน่ เคร่อื งบิน เคร่ืองร่อน
บอลลูน เปน็ ต้น
20. บารอมเิ ตอร์ (Barometer)เป็นเครอ่ื งมือวดั ความดันอากาศ สรา้ งข้ึนโดยอาศัย
หลกั ความแตกต่างของความดนั อากาศของ 2 บรเิ วณ
21. บารอมิเตอร์แบบแอนริ อยด์ ประกอบด้วยตลบั โลหะปดผนึกที่ตวั อากาศออกไป
บางส่วนแล้วเชอ่ื มต่อกับกลไกท่ีแสดงค่าความดันอากาศ และความดนั อากาศภายนอกเพ่ิมขน้ึ จะดนั
ให้ตลบั โลหะยบุ ตัวลงจากปกติ เชน่ ถ้าความดนั อากาศภายนอกลดลงตลบั ดลหะจะพองตวั ขนึ้
มากกว่าปกติ หรือยบุ หรอื พองตัวของตลับโลหะจะสง่ ผลให้เครื่องกลไกแสดงคาความดันอากาศ
22. บารอมิเตอรแ์ บบปรอท ประกอบด้วยหลอดแก้วยาวมากกวา่ เป็นเซนตเิ มตร มี
ปลายปิดข้างหนง่ึ บรรจุปรอทไว้เต็มแลว้ คว่ำลงในอ่างปรอททำใหป้ รอทในหลอแก้วลดลงเลก็ น้อย
โดยเคลอื่ นทลี่ งในอา่ งทำให้ดา้ นปลายปดิ ของหลอดแก้วเปน็ สญุ ญากาศ ความสงู ของลำปรอทใน
หลอดแก้ว ปลายปดิ ของหลอดจะแสดงค่าความดันอากาศ ถา้ ความดนั อากาศภายนอกสงู จะดนั
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
454 คมู่ อื เตรยี มสอบ
ปรอทในอา่ งให้เข้าไปภายในหลอดแกว้ ลำปรอทกจ็ ะสูงขน้ึ ถา้ ความดนั อากาศภายนอกลดลงปรอท
ภายในหลอดแกว้ กจ็ ะไหลออกมาอยู่ในภาชนะทำใหค้ วามสูงของลำปรอทภายในหลอดแก้วลดลง
23. บารอกราฟ(Barograph)มีส่วนประกอบคล้ายกับบารอมิเตอร์แบบแอนริ อยด์ แต่
แตกตา่ งตรงท่กี ารแสดงผลจะเป็นกราฟต่อเน่ือง ทำใหส้ ามมารถบันทึกข้อมลู ของความกดอากาศได้
ตอ่ เน่ืองและบอกเวลาได้ดว้ ยการบันทกึ ทำได้โดยใช้คานทตี่ อ่ กบั ปากกาซึง่ จะเลื่อนข้นึ ลงตามการยบุ
หรอื พองของกล่องโลหะ และทำการบันทกึ การเปล่ยี นแปลงของความดันอากาศลงบนกระดาษ
กราฟท่ีพนั อย่รู อบกระป๋องและต่อเขา้ กับแกนของมอเตอร์ ซึ่งกระป๋องจะหมนุ อยู่ตลอดเวลา ทำให้
สามารถบันทึกความดนั อากาศไดต้ ลอด 24 ช่ัวโมง
24. อลั ติมเิ ตอร์ (Altimeter)เป็นเคร่อื งมอื ที่ใช้วัดระดับความสูงโดยใชห้ ลักการ
เดยี วกบั บารอมิเตอร์แบบแอนิรอยด์ แตด่ ดั แปลงให้สามารถแสดงระดับความสงู ได้ ใช้สำหรบั วัด
ความสูงของเคร่ืองบินโดยวดั ในเคร่อื งบิน หรือใชต้ ดิ ตัวนักกระโดรม่ เพอ่ื บอกความสูง อาศัย
หลักการคือเม่ือข้ึนไปในท่สี งู จากระดับนำ้ ทะเล ความกดอากาศจะลดลง 1 มลิ ลิเมตรของปรอททุก
ๆ ความสงู 11 เมตรจากระดบั น้ำทะเล
25. ลม(Wind)คือ อากาศท่เี คล่ือนทใี่ นแนวขนานกบพน้ื ผวิ โลก เกดิ จากความแตก
ตางของความดนั อากาศ เนือ่ งจากอากาศร้อนจีความดนั อากาศต่ำ ส่วนอากาศเย็นจีความดนั
อากาศสูง อากาศจงึ เคล่อื นที่จากบริเวณที่มีความดันอากาศสูงปังบรเิ วณที่มีความดนั อากาศต่ำ
26. มาตรอัตราเร็วลมแบบถว้ ย เปน็ เครือ่ งมอื วดั อัตราเรว็ ลม ปรกอบด้วยถว้ ยรูปร่าง
คล้ายกรวยหรอื คร่งึ วงกลม 3-4 ถ้วย ติดอยกู่ ับแกนี่ย่ืนออกมาจากแกนกบั ฐานในแนวดิง่ โดย
จำนวนรอบที่ถ้วยหมนุ จะสมั พันธ์กบั อัตราเร็วลม
27. ศรลม เปน็ เคร่ืองมือวัดทิศทางลม มลี ักษณะเป็นแท่งโลหะเบาคลา้ ยลกู ศร
สามารถหมนุ ไดร้ อบในแนวราขนานกับทิศทางของลม เมอ่ื ลมพดั จะพดั ใหด้ ้านส่วนหางท่ีแบนซง่ึ ดาน
ลมหนั ไปในทิศตรงข้ามกับทศิ ที่ลมพัดมา ทำให้หัวลกู ศรช้ใี นทศิ ที่ลมพัดมา
28. ระบบลมท้องถน่ิ ลมท้องถิน่ เป็นลมทีเ่ กิดขึ้นในชว่ งวัน ครอบคลุมพ้นื ท่ีไม่กวา้ ง
มากและเกดิ ในเวลาสน้ั ๆ ลมท้องถน่ิ เกิดขึ้นเน่ืองจากสภาพภมู ศิ าสตร์ ความแตกต่างของวามดัน
อากาศ และความแตกตา่ งของอุณหภูมิภายในท้องถ่นิ เช่น ลมทะเล-ลมบก ลมภูเขา-ลมหุบเขา
29. การเกิดลมทะเล-ลมบก
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 455
1) ลมทะเล (Seabreeze)เกิดขึ้นในเวลากลางวันเน่ืองจากพ้นื ดินดดู กลืนความร้อนไดเ้ ร็ว
กว่าพนื้ นำ้ ทำใหอ้ ากาศเหนอื พน้ื ดนิ ร้อนแลมคี วามดนั อากาศต่ำอากาศจึงลอยตัวสงู ข้ึน สว่ นอากาศ
เหนือพนื้ น้ำซง่ึ มีอุณหภูมติ ำ่ กว่าและมีความดันอากาศสงู จะจมตวั และเคลื่อนเขา้ แทนท่ีทำให้เกดิ ลม
พัดจากทะเลเข้าสู่ชายฝ่ัง
2) ลมบก (Land breeze)เกิดข้ึนในเวลากลางคนื เนื่องจากพืน้ ดินคลายความร้อนไดเ้ ร็ว
กว่าพืน้ นำ้ อากาศเย็นเหนือพ้ืนดินทีม่ คี วามร้อนอากาศสูงจะจมตวั ลงและเคลอื่ นตวั ไปแทนท่อี ากาศ
อนุ่ เหนือพ้นื น้ำท่ีมคี วามดันอากาศตำ่ ทำให้เกดิ ลมพดั จากฝั่งออกสู่ทะเล
30. การเกิดลมหบุ เขา – ลมภูเขา
1) ลมหุบเขา (Valley breeze)เกดิ ในเวลากลางวนั เนื่องจากพื้นท่ีบรเิ วณไหล่เขาได้รับ
ความร้อนมากกวา่ บรเิ วณบรเิ วณพน้ื ที่ราบหุบเขาทำใหอ้ ากาศรอ้ นบรเิ วณไหลเ่ ขามีความดันอากาศ
ตำ่ และลอยสงู ข้ึน อากาศเย็นบริเวณหุบเขาท่มี ีความดนั อากาศสูงจึงเคล่อื นตัวเข้าแทนที่ ทำใหเ้ กดิ ลม
พดั จากเชงิ เขาขนึ้ สลู่ าดเขา
2) ลมภูเขา (Mountain breeze)เกิดหลงั จากดวงอาทติ ยต์ ก เนอื่ งจากพน้ื ที่ ไหลเ่ ขา
สูญเสียความร้อนทำให้อากาศเยน็ ตวั ลงอยา่ งรวดเร็วและจมตวั ไหลลงตามลาดเขา ทำใหเ้ กดิ ลมพัดลง
สูห่ ุบเขา บางคร้ังกล่มุ อากาศเยน็ เหล่านอี้ าจปะทะกับพ้ืนดินในหุบเขาทยี่ ังมีอุณหภูมิสูงอยู่จงึ เกดิ การ
ควบแนน่ กลายเปน็ หยดน้ำทำใหเ้ กิดหมอก
31. ความชื้นของอากาศ คอื ปริมาณไอนำ้ ในอากาศท่ีเกิดจากการระเหยจากแหลง่ น้ำ
เม่อื ไดร้ บั พลงั งานความร้อนจากดวงอาทติ ย์ จากการหายใจของส่งิ มชี วี ิต และจากการที่พืชคายนำ้
ออกทางปากใบในรูปของไอน้ำ
32. ผลดีผลเสยี ของความช้ืนของอากาศ
1) ผลดี ความชืน้ ของอากาศที่พอเหมาะจะช่วยให้เมล็ดพชื งอก และทำให้ต้นพืช
เจรญิ เตบิ โตไดด้ ี ความช้ืนตำ่ ทำใหก้ ารตากเสื้อผ้าและส่ิงของแห้งเร็วเพราะนำ้ ระเหยได้ดี
2) ผลเสีย เช่น ความชื้นชว่ ยให้เช้อื ราทีท่ ำให้อาหารเนา่ เสียเจริญเติบโตไดด้ ี ทำใหเ้ หลก็ เป็น
สนมิ ความช้ืนต่ำทำให้ผวิ หนงั แห้งแตกเพราะเหง่ือระเหยได้มาก ความช้ืนสงู ทำให้เหนยี วตัวและร้สู กึ
อึดอัดเพราะเหง่ือระเหยไดน้ อ้ ย นำ้ จากแหล่งต่าง ๆ ระเหยส่อู ากาศไดน้ ้อย ผ้าท่ซี ักตากไว้จะแหง้ ชา้
เป็นตน้
33. ปจั จยั ท่ีมผี ลต่อการระเหยของนำ้
1) อุณหภมู ิ อุณหภูมติ ำ่ น้ำจะระเหยกลายเปน็ ไอไดน้ ้อย อุณหภมู ิสูงน้ำจะระเหยกลายเป็น
ไอได้มากขน้ึ และอากาศจะสามารถรบั ปริมาณไอนำ้ ไดม้ ากขึ้นท่อี ุณหภมู สิ ูง
ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
456 ค่มู อื เตรยี มสอบ
2) ปริมาณไอน้ำในอากาศ ถ้าอากาศมีความช้นื ต่ำการระเหยก็จะเกิดขึ้นได้มากและอากาศ
สามารถรบั ปรมิ าณไอนำ้ เพ่ิมเข้าไปได้อีกมาก ถา้ อากาศมีความชืน้ สูงการระเหยกจ็ ะเกิดขึ้นไดน้ ้อย
3) พ้นื ท่ีผิวของของเหลว ถ้าพ้นื ที่ผวิ ของของเหลวมีมากการระเหยก็จะเกิดขึน้ ได้ดี
เนอ่ื งจากการระเหยเกิดขึน้ ท่ีบริเวณผวิ หน้าของของเหลว
34. อากาศอิ่มตัว คือ สภาวะทีอ่ ากาศรบั ไอนำ้ ไวเ้ ตม็ ที่แล้ว และไมส่ ามารถรบั เพ่ิมได้
อกี ณ อุณหภมู ิหนึง่ ปริมาณไอนำ้ ที่อากาศสามารถรบั ไว้ได้เต็มทจี่ ะมากหรือนอ้ ยขึ้นอยู่กับอณุ หภมู ิ
ของอากาศดงั นัน้ อากาศอิ่มตัวจงึ มีความช้ืนมากทส่ี ุด
35. การบอกปริมาณความชนื้ ในอากาศ มี 2 วธิ ี คือ 1) ความชื้นสัมบูรณ์ 2) ความ
ช้ือสมั พันธ์
36. ความช้ือสมั บรู ณ์ คือ ปริมาณที่บอกถึงมวลของไอน้ำในอากาศขณะใดขณะหน่ึงต่อ
หนง่ึ หนว่ ยปรมิ าตร หรอื บอกใหท้ ราบวา่ มีไอน้ำอยู่กก่ี รัมในอากาศปรมิ าตร 1 ลกู บาศกเ์ มตร
37. ความชน้ื สัมพทั ธ์ คอื การเปรียบเทียบระหวา่ งมวลของไอนำ้ ท่ีมีอยูจ่ รงิ ในอากาศ
กบั มวลของไอนำ้ เม่ืออากาศอิ่มตัวด้วยไอน้ำทีอ่ ุณหภมู แิ ละปริมาตรเดยี วกนั ค่าความชื้นสัมพทั ธน์ ยิ ม
แสดงเป็นรอ้ ยละดงั นี้
38. คา่ ความช้นื สมั พัทธจ์ ะบอกให้ทราบวา่ อากาศใกล้อิ่มตัวด้วยไอนำ้ เพียงใด เช่น
1) อากาศมีความช้นื สมั พัทธ์ 70% หมายถงึ ขณะน้ันอากาศมีปรมิ าณไอน้ำอยู่ 70 กรมั และ
สามารถรบั ไอนำ้ เพิ่มไดอ้ ีก 30 กรมั
2) ถ้ามวลของไอน้ำท่มี ีอยจู่ รงิ ในอากาศขณะนน้ั เท่ากับมวลของไอนำ้ ในอากาศอิ่มตวั ท่ี
อุณหภมู ิและปรมิ าตรเดยี วกนั อากาศจะมีความชนื้ สัมพัทธ์ 100%เรียกอุณหภูมินว้ี า่ อุณหภมู ิจดุ
นำ้ ค้าง ซ่งึ ไอนำ้ ในอากาศจะเริ่มควบแนน่ กลายเปน็ ละอองนำ้ ขนาดเลก็
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 457
3) อากาศที่ทำให้เรารู้สึกสบายไมเ่ หนยี วตวั หรือแห้งเกินไปมีค่าความช้ืนสัมพัทธ์ 60%
4) ถ้าอากาศมคี วามชนื้ สัมพทั ธ์มาก จะทำให้เหงอื่ ตัวระเหยไดม้ าก จงึ ทำใหเ้ หนียวตวั และ
รสู้ ึกอดึ อดั
5) ถา้ อากาศมคี วามชน้ื สมั พัทธต์ ำ่ จะทำให้เหงื่อตวั ระเหยไดม้ าก จึงทำให้ร้สู ึกเยน็ และทำให้
ผิวหนงั แหง้ แตก
39. การวัดความชน้ื ในอากาศนยิ มวัดเป็นความชน้ื สมั พทั ธ์โดยใช้เครอื่ งมอื ที่เรียกวา่ ไฮ
กรอมิเตอร์
40. ไฮกรอมเิ ตอรแ์ บบกระเปาะเปยี กกระเปาะแห้ง หรือเรยี กว่าไซครอมเิ ตอร์
(Psychrometer)ประกอบด้วยเทอรม์ อมิเตอร์ 2 อนั คือ
1) เทอร์มอมเิ ตอร์กระเปาะแห้งใชว้ ดั อุณหภูมิอากาศธรรมดา
2) เทอร์มอมิเตอร์กระเปาะเปียกที่มผี า้ เปียกห้มุ อยูแ่ ละชายผา้ อกี ดา้ นหนง่ึ แช่อยู่ในนำ้
41. การหาค่าความชื้นสัมพัทธ์โดยใช้ไซครอมเิ ตอร์ ใชห้ ลกั การระเหยนำ้ จาก
กระเปาะเปียก ดังนี้
1) ถา้ น้ำจากกระเปาะเปยี กระเหยมากจะดึงความร้อนออกมากทำใหอ้ ุณหภูมขิ องกระเปาะ
เปียกต่ำกวา่ กระเปาะแหง้ มาก แสดงว่าบรรยากาศสามารถรบั ไอน้ำได้มาก เม่ือนำไปหาค่าความชืน้
สัมพทั ธ์จะมคี ่าตำ่
2) ถา้ นำ้ จากกระเปาะเปยี กระเหยน้อยจะทำใหอ้ ุณหภูมิกระเปาะเปียกไมต่ ำ่ กว่ากระเปาะ
แห้งมาก แสดงวา่ บรรยากาศสามารถรับไอน้ำได้นอ้ ยเมื่อนำไปหาคา่ ความชน้ื สมั พัทธ์จะมคี ่าสงู
42. ไซครอมิเตอร์แต่ละอนั จะมีตารางแสดงคา่ ความช้ืนสัมพัทธไ์ วใ้ ห้ ซึง่ มีวธิ ีการหาคา่
ความชน้ื สัมพัทธจ์ ากตาราง ดังนี้
1) ให้หาผลตา่ งของอณุ หภมู ิกระเปาะแหง้ และกระเปาะเปียก เช่น อุณหภมู กิ ระเปาะแหง้ มี
ค่า 22 องศาเซลเซยี ส อณุ หภูมกิ ระเปาะเปยี กมีคา่ 14 องศาเซลเซยี ส เมอื่ นำมาหาผลตา่ งจะมคี ่า
เท่ากบั 8 องศาเซลเซียส
2) อ่านค่าความชนื้ สมั พทั ธท์ ่ีจุดตดั ของผลต่างในข้อ 1) กบั อุณหภูมกิ ระเปาะแห้งจากตาราง
ของ
ไซครอมิเตอร์ จากตัวอย่างในขอ้ 1) จะอา่ นค่าความช้ืนสมั พทั ธไ์ ด้ร้อยละ 40
43. ไฮกรอมเิ ตอรเ์ สน้ ผม ใช้วัดความชืน้ สมั พทั ธข์ องอากาศโดยอาศยั การยดื หดของเสน้
ผมตามการเปลี่ยนแปลงของความชนื้ สัมพัทธใ์ นอากาศถา้ อากาศมีความชน้ื มากเส้นผมจะยดื ตวั ออก
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
458 ค่มู อื เตรยี มสอบ
ถ้าอากาศมคี วามช้นื น้อยเสน้ ผมจะหดตวั ซ่ึงการยดื หดของเสน้ ผมจะต่อกับกลไกทีจ่ ะแสดงเป็นค่า
ความชน้ื สมั พทั ธ์
44. การเกดิ เมฆและฝน
1) เมฆ เกิดจากเมื่อนำ้ จากแหล่งต่าง ๆ บนผิวโลกได้รับพลังงานความรอ้ นจากดวงอาทิตย์
จะระเหยกลายเป็นไอนำ้ ลอยขึ้นไปรวมกบั ไอนำ้ ท่ีเกดิ จากการคายนำ้ ของพืชในบรรยากาศ เมื่อไอน้ำ
ลอยขนึ้ ไปจนถงึ ระดับที่อณุ หภมู ิต่ำพอก็จะเกิดการควบแน่นเปน็ ละอองนำ้ เลก็ ๆ เมื่อละอองน้ำ
เหลา่ น้ีมารวมตัวกนั จำนวนมากจะกลายเป็นเมฆ
2) ฝน เกิดจากอนภุ าคน้ำหรือเกล็ดนำ้ แข็งในเมฆมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีความหนาแน่นมาก
ขนึ้ ทำให้อากาศไม่สามารถอมุ้ นำ้ หรอื นำ้ แข็งในเมฆไว้ได้ น้ำหรอื น้ำแขง็ น้นั ก็จะตกลงมายังพนื้ โลกใน
รปู ตา่ ง ๆ คือ ฝน หมิ ะ หรอื ลูกเห็บ ซง่ึ เรียกรวมวา่ นำ้ ฟ้า
45. เมฆ (Couds) คือ อนุภาคนำ้ หรอื ผลกึ นำ้ แข็งขนาดเล็กจำนวนมากท่ลี อยอยใู่ น
อากาศและยังไมต่ กลงสู่พน้ื โลก เมฆอาจประกอบดว้ ยนำ้ หรือน้ำแข็ง หรอื ประกอบดว้ ยทง้ั สองอย่าง
46. ประเภทของเมฆจำแนกโดยใช้รูปร่างลกั ษณะของเมฆเป็นเกณฑ์ แบง่ ได้เปน็ 3
ประเภทดงั นี้
1) เมฆคิวมูลสั (Cumulus) คือ เมฆก้อนมีรปู ร่างเปน็ ก้อนคลา้ ยสำลี หรอื ดอกกะหลำ่ พบ
ในวนั ทมี่ ีท้องฟา้ แจม่ ใส อากาศแห้ง และแดดจัด
2) เมฆสเตรตัส(Stratus)คือ เมฆแผน่ หรือเมฆชน้ั พาดบนท้องฟ้าอยสู่ งู จากพนื้ ดนิ ไม่เกิน
2,500 เมตร เป็นเมฆที่ทำใหเ้ กดิ ฝนละออง
3) เมฆซรี ร์ ัส(Cirrus) คือ เมฆทเ่ี ปน็ ร้ิว ๆ คล้ายขนสตั ว์ ประกอบดว้ ยเกล็ดนำ้ แข็ง พบอยู่
ประมาณ 6.5 กโิ ลเมตรจากพ้ืนดิน
47. ประเภทของเมฆจำแนกโดยใช้ระดับความสงู ของฐานกอ้ นเมฆเปน็ เกณฑ์ แบ่งได้
เปน็ 4 ประเภท คือ 1) เมฆช้ันสงู 2) เมฆชนั้ กลาง 3) เมฆชั้นตำ่ 4) เมฆก่อตัวในแนวตั้ง
48. เมฆชนั้ สงู (High Clouds)เกดิ ข้นึ ที่ระดบั สูงมากกว่า 6,500 เมตร เปน็ เมฆท่ี
ประกอบด้วยผลกึ น้ำแข็งเกือบทงั้ หมดเพราะอณุ หภูมิท่รี ะดับนต้ี ำ่ กว่า จุดเยอื กแข็ง ได้แก่
1) เมฆซรี ร์ สั (Cirrus)ลักษณะเปน็ ริ้วบาง ๆ สีขาว รปู รา่ งคล้ายขนนก เปน็ ผลกึ นำ้ แขง็ เกิด
ในวนั ท่มี ีอากาศดี ทอ้ งฟา้ เปน็ สีฟา้ เขม้
ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 459
2) เมฆซรี ์โรสเตรตัส(Cirrostratus)ลกั ษณะเป็นแผน่ บาง สขี าว เปน็ ผลกึ นำ้ แขง็ ปกคลุม
ทอ้ งฟ้าเป็นบริเวณกว้างโปรง่ แสงทำให้เกิดดวงอาทิตย์ทรงกลดและดวงจันทร์ทรงกลด
3) เมฆซีรโ์ รคิวมลู ัส(Cirrocumulus)ลกั ษณะคล้ายปยุ นุ่น สีขาว เป็นผลกึ น้ำแข็ง เปน็ รว้ิ
คล่ืนเลก็ ๆ เกดิ ข้นึ ปกคลุมทอ้ งฟ้าบริเวณกว้าง
49. เมฆชน้ั กลาง (Middle Clouds)เกดิ ข้ึนท่ีระดบั สูง 2,500-6,500 เมตร เมฆ
ประกอบดว้ ยผลกึ น้ำแข็งและอนุภาคน้ำเพราะเกดิ ในระดบั ทีไ่ มส่ งู มาก และมีอณุ หภมู ไิ ม่ตำ่ พอทจี่ ะ
ทำให้กลายเป็นผลกึ นำ้ แขง็ ได้แก่
1) เมฆอัลโตสเตรตสั (Altostratus)ลักษณะเปน็ แผ่นหนา เรยี บ สีเทา สามารถบงั
แสงอาทิตย์ไม่ใหล้ อดผ่านได้ เกิดขึน้ ปกคลุมท้องฟา้ เปน็ บรเิ วณกวา้ งมาก อาจมีวงแสงทรงกลด
2) เมฆอัลโตคิวมลู ัส(Altocumulus) ลักษณะก้อนกลมใหญ่และแบนสขี าว คล้ายปุยนุ่น
หรอื ฝงู แกะ ลอยเป็นแพ มชี อ่ งว่างระหวา่ งก้อนเล็กน้อยมีการจัดตวั กันเปน็ แถว ๆ หรอื คลนื่ อาจมี
แสงทรงกลด
50. เมฆช้ันตำ่ (Low Clouds)เกิดขนึ้ ทีร่ ะดบั 0-2,500 เมตร เมฆประกอบดว้ ย
อนุภาคน้ำเกือบท้ังหมด
1) เมฆสเตรตัส(Stratus)ลกั ษณะเป็นแผ่นบาง สเี ทา สีขาว ลอยสงู เหนอื พื้นไมม่ ากนกั
เชน่ ลอยปกคลุมยอดเขา มกั เกิดขน้ึ ตอนเชา้ หรอื หลังฝนตก
2) เมฆสเตรโตควิ มูลัส(Stratocumulus)ลักษณะเป็นก้อนคล้าย ปยุ นนุ่ สเี ทา ลอย
ตดิ กนั เปน็ แพ ไม่มีรูปทรงทชี่ ดั เจน มชี ่องว่างระหวา่ งก้อนเลก็ น้อย เกดิ ข้ึนเวลาทีอ่ ากาศไม่ดี
3) เมฆนมิ โบสเตรตสั (Nimbostratus)ลักษณะเป็นแผ่นสีเทา เกิดเวลาที่อากาศมี
เสถยี รภาพ ทำให้เกิดฝนตกพรำ ๆ ต่อเนื่องเป็นเวลาไมน่ านหรือฝนตก แดดออก
51. เมฆก่อตัวในแนวต้งั (Clouds of Vertical Development)เกิดที่ระดบั สูง
500-20,00 เมตร ไดแ้ ก่
1) เมฆควิ มลู ัส(Cumulus)ลักษณะเป็นก้อนปุกปยุ คลา้ ยดอกกะหล่ำสขี าว เกิดจากอากาศ
ไม่มเี สถียรภาพ ฐานเมฆเปน็ สีเทา เกิดเวลาที่มีอากาศดี ท้องฟ้าเปน็ สฟี ้าเข้ม
2) เมฆควิ มูโลนิมบสั (Cumulonimbus)พฒั นามาจากเมฆคิวมูลสั มขี นาดใหญ่มากปก
คลุมพ้ืนท่ีครอบคลุมทั้งจังหวัดทำให้ฝนตกหนัก ลมแรงและเกดิ พายุฝนฟ้าคะนอง ถ้ากระแสลมชนั้
บนพัดแรงจะทำใหย้ อดเมฆรูปดอกกำหลำ่ กลายเปน็ รปู ทง่ั ตเี หล็ก ตอ่ ยอดออกมาเปน็ เมฆซีรโ์ รส
เตรลสั หรือเมฆซรี ร์ ัส
52. กลุ่มคำทีใ่ ช้อธบิ ายลักษณะของเมฆ มี 5 กลมุ่ ดงั นี้
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
460 คมู่ อื เตรยี มสอบ
1) ซรี โ์ ร (Cirro)หมายถงึ เมฆระดบั สงู ลักษณะเป็นร้วิ ๆ
2) อัลโต (Alto) หมายถึง เมฆระดับกลาง
3) ควิ มูลสั (Cumulus) หมายถงึ เมฆท่มี ีลักษณะเป็นก้อน เป็นแผน่
4) สเตรตัส(Stratus) หมายถงึ เมฆท่ีมีลกั ษณะเป็นชน้ั ๆ
5) นิมบัส (Nimbus)หมายถึง เมฆท่ีก่อใหเ้ กดิ ฝน
53. การตรวจวดั เมฆ จะทำการตรวจวดั ด้วยสายตาโดยผตู้ รวจหนั หนา้ ไปทางทศิ ใดทิศ
หน่ึง แลว้ แบ่งท้องฟ้าดา้ นทีส่ งั เกตออกเป็น 5 ส่วน ตรวจดูชนดิ และความสูงของเมฆ จำนวนของเมฆ
หลงั จากนั้นหนั หลงั กลับและตรวจดูเมฆตามแบบเดมิ ดังนั้นการตรวจชนิดและจำนวนของเมฆจะแบ่ง
พน้ื ทท่ี ้องฟา้ ออกเปน็ 10 ส่วน การรายงานชนดิ และจำนวนของเมฆจงึ รายงานวา่ มเี มฆครอบคลมุ
พื้นท่ีท้องฟา้ กส่ี ่วนใน 10 ส่วน
54. น้ำฟา้ (Precipitation)เปน็ ชอ่ื เรียกรวมของหยดน้ำและน้ำแข็งท่ีเกดิ จากการ
ควบแน่นของไอน้ำในบรรยากาศ นำ้ ฟา้ จะมีขนาดใหญแ่ ละมนี ำ้ อยมู่ ากจนเอาชนะแรงต้านอากาศได้
และตกลงสู่พื้นโลกได้โดยไม่ระเหยเป็นไอนำ้ ก่อนขณะทอี่ ยู่ได้ระดบั ควบแน่น
55. ชนิดของน้ำฟา้ ได้แก่
1) ละอองหมอก (Mist) ลักษณะเปน็ หยดน้ำขนาด 0.005-0.05 มลิ ลเิ มตร เกิดจาก
อณุ หภูมิของอากาศลดลงมาก ทำใหไ้ อนำ้ เกิดการกลั่นตัวเป็นละอองนำ้ ขนาดเล็กในบรรยากาศใกล้
ผิวโลกและอากาศสามารถพยุงให้ลอยอยู่ได้ พบบนยอดเขาสงู
2) ฝนละออง (Drizzle)ลักษณะเปน็ หยดนำ้ ขนาดเล็กกวา่ 0.5 มลิ ลเิ มตร เกิดจากเมฆส
เตรตสั พบบนยอดเขาสงู และตกต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายชัว่ โมง
3) ฝน (Rain)ลักษณะเปน็ ผลึกน้ำแข็งขนาด 0.5-5 มิลลเิ มตร ส่วนใหญเ่ กดิ จากเมฆนิม
โบสเตรตสั และเมฆควิ มูโลนิมบัส
4) หิมะ (Snow)ลักษณะเป็นผลกึ น้ำแข็งขนาด 1-20 มิลลิเมตร เกดิ จากอณุ หภมู ิของ
อากาศลดลงต่ำกว่าจดุ เยือกแขง็ ทำใหล้ ะอองน้ำในอากาศกลายเป็นละอองนำ้ แข็ง ส่วนใหญ่จะเกดิ ใน
ประเทศทีอ่ ยู่ในเขตหนาว
5) ลูกเหบ็ (Hail)ลกั ษณะเป็นก้อนนำ้ แขง็ ขนาดใหญ่กวา่ 5 เซนติเมตรเกิดจากเมฆฝนฟ้า
คะนอง
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 461
56. การวดั ปริมาณนำ้ ฝน ใชเ้ คร่ืองวัดน้ำฝน ลกั ษณะเป็นรูปทรงกระบอกขนาด
มาตรฐานเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 20 เซนตเิ มตร หรือ 8 น้ิว ซ่ึงน้ำฝนจะไหลผา่ นปากกระบอกลงไปตาม
ท่อกรวยสูข่ วดแกว้ ซ่ึงเกิดภาชนะรองรบั นำ้ ฝนไว้ จากน้นั นำนำ้ ฝนท่ีอยู่ในขวดแกว้ เทใส่กระบอกแกว้
ตวงนำ้ ฝนเพอื่ อา่ นค่า มหี นว่ ยเป็นมิลลิเมตรหรือนิ้ว (25.4 มม.= 1นว้ิ ) แต่เครอ่ื งวดั บางชนิด ภายใน
จะมีภาชนะทรงกระบอกสำหรับวัดปรมิ าณน้ำฝนที่สามารถอ่านค่าปริมาณน้ำฝนไดโ้ ดยตรง
57. เกณฑป์ ริมาณฝน เราสามารถนำปรมิ าณน้ำฝนทีว่ ดั ไดใ้ นระยะเวลา 24 ชว่ั โมง มา
อ่านค่าได้ดังน้ี
ฝนเลก็ น้อย 0.1 – 10.0 มิลลิเมตร
ฝนปานกลาง 10.1 – 35.0 มลิ ลิเมตร
ฝนหนกั 35.1 – 90.0 มลิ ลิเมตร
ฝนหนักมาก 90.1 มลิ ลเิ มตรขนึ้ ไป
ตัวอย่างแนวข้อสอบบทที่ 1
1.สว่ นประกอบของอากาศในข้อใดมีสถานะเป็น 4. การวดั ความชน้ื ในอากาศนิยมวัดเปน็ ความชน้ื
ของแข็ง สมั พทั ธโ์ ดยใช้เคร่อื งมือชนิดใด
ก.อาร์กอนข.ออกซเิ ขน ก. แอนนิมอมิเตอร์
ค.ไฮโดรเจนง.ฝุ่นละออง ข. ไฮโดรมิเตอร์
2. .บรรยากาศชั้นทีม่ คี วามแปรปรวนตลอดเวลา ค. ไฮโกรมเิ ตอร์
คอื ข้อใด ง.เทอรม์ อมเิ ตอร์
ก.เอกโซสเฟยี ร์ข.โทรโพสเฟยี ร์ 5. ถ้าโลกเราไม่มีอากาศห่อหุ้ม อุณหภูมิในชว่ ง
ค.สตราโตสเฟยี รง์ .ไอโอโนสเฟยี ร์ เวลากลางวนั และเวลากลางคืนจะเปน็ อยา่ งไร
3. ขอ้ ใดเป็นความสัมพันธร์ ะหวา่ งความดัน ก. อุณหภูมิชว่ งกลางวันสูงมาก ชว่ งกลางคนื ต่ำ
อากาศกบั ความหนาแน่นอากาศ มาก
ก.ความดนั มาก ความหนาแน่นมาก ข. อุณหภมู ชิ ว่ งกลางวนั และกลางคืนเท่ากนั
ข.ความดนั มาก ความหนาแน่นน้อย ค. อณุ หภมู ิชว่ งกลางวันต่ำมาก ช่วงกลางคืนสงู
ค.ความดนั น้อย ความหนาแน่นมาก มาก
ง.ความดันคงที่ ความหนาแน่นนอ้ ย ง. อุณหภูมิชว่ งกลางวันและช่วงกลางคืนคงที่
6. การเคลื่อนที่ของอากาศเกิดขน้ึ ไดเ้ นื่องจาก 12. การเคล่ือนทข่ี องลมมีทศิ ทางการเคลื่อนที่
สาเหตใุ ด เป็นอย่างไร
ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
462 คมู่ อื เตรยี มสอบ
ก. ความแตกต่างของอุณหภูมิ ก. จากหย่อมความกดอากาศสูงไปสู่หย่อมความ
ข. การหมุนรอบดวงอาทติ ย์ กดอากาศต่ำ
ค. ความสงู ของระดับน้ำทะเล ข. จากบริเวณความกดอากาศต่ำไปสู่หยอ่ มความ
ง. ความแตกตา่ งของภูมปิ ระเทศ กดอากาศสงู
7. ข้อใดเป็นหยาดน้ำฟา้ ท่มี ีสถานะต่างจากพวก ค. จากบรเิ วณความกดอากาศต่ำไปสหู่ ย่อมความ
ก. ฝน ข. หมอก กดอากาศต่ำ
ค. น้ำคา้ งง. หมิ ะ ง. จากหยอ่ มความกดอากาศสูงไปสู่บรเิ วณความ
8. ในชว่ งกลางเดือนพฤษภาคม - กลางเดอื น กดอากาศสูง
ตลุ าคมของประเทศไทยเป็นช่วงฤดูท่มี ีฝนตกชุก 13. ข้อใดต่อไปน้ีสามารถตากผ้าไดแ้ ห้งเรว็ กว่า
เนื่องมาจากอิทธิพลของลม ชนิดใด ข้ออนื่
ก. ลมสินค้า ก. บริเวณท่ีมีอากาศช้ืน ไม่มแี สงแดด
ข. ลมบก - ลมทะเล ข. บรเิ วณท่ีมที ้องฟ้ามดื คร้ึม ลมพดั เล็กน้อย
ค. ลมมรสุม ค. บริเวณทมี่ แี สงแดดจัด ลมพัดแรง
ง. ลมใตฝ้ ุน่ ง. บรเิ วณทม่ี ที ้องฟ้าโปร่ง ลมพดั เลก็ น้อย
9. การทำนายสภาพของบรรยากาศล่วงหนา้ คือ 14. ลมชนดิ ใดมคี วามเรว็ ลมต่ำสดุ
อะไร ก. ไตฝ้ ุน่
ก. การตรวจสอบอากาศ ข. โซนรอ้ น
ข. การพยากรณ์อากาศ ค. ไซโคลน
ค. การวดั ทศั นวสิ ัย ง. ดเี ปรสชัน
ง. การวดั อณุ หภูมิของอากาศ 15. แกส๊ ในข้อใดมลี กั ษณะไม่มีกลิ่น ไม่มีสี เกิด
10. แก๊สโอโซนมปี ระโยชน์อย่างไร จากการเผาไหมไ้ มส่ มบรู ณ์ของเชื้อเพลงิ รวมตวั
ก. ชว่ ยลดปริมาณสารพิษในอากาศ กับรา่ งกาย
ข. ชว่ ยดูดกลนื รังสอี ัลตราไวโอเลต ก. แก๊สซลั เฟอรไ์ ดออกไซด์
ค. ช่วยเพมิ่ ปริมาณแกส๊ ออกซิเจน ข. แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์
ง. ชว่ ยใหอ้ ากาศสดชืน่ ค. แกส๊ คาร์บอนมอนอกไซด์
11. รังสีอลั ตราไวโอเลต มผี ลตอ่ ร่างกายมนษุ ย์ ง. แกส๊ ไนโตรเจนไดออกไซด์
อยา่ งไร 16. บรรยากาศช้ันใดท่ีสะท้อนคลื่นวทิ ยุระบบ
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 463
ก. ทำให้ผิวหนังแข็งแรง AM
ข. ผวิ หนงั มีสีซดี ลง ก. มีโซสเฟยี ร์
ค. ผวิ หนงั จะเห่ยี วยน่ ข. สตราโตสเฟียร์
ง. เปน็ มะเรง็ ที่ผิวหนงั ค. ไอโอโนสเฟียร์
ง. เอกโซสเฟียร์
บทท่ี 2 ลมฟา้ อากาศ
1. ลมฟ้าอากาศ คือ สภาวะของอากาศบนพนื้ ที่ใด ๆ ในชว่ งเวลาหนึ่งซ่ึงเกดิ ขึ้นใน
ระยะเวลาส้ัน ๆ เช่น อุณหภูมิสูงสุด – ต่ำสดุ ในแต่ละวนั ปริมาณฝนที่ตกใน 2 ชว่ั โมง เปน็ ตน้
2. ภมู อิ ากาศ คือ สภาวะโดยทัว่ ไปของลมฟ้าอากาศบนพื้นที่ใด ๆ ในชว่ งระยะเวลา
ยาวนาน ซ่ึงพิจารณาจากการตรวจอากาศซ้ำ ๆ กันหลายครงั้ เช่น อณุ หภูมสิ ูงสุด – ต่ำสดุ ในรอบ 50
ปี ปริมาณฝนเฉลย่ี รายปจี ากขอ้ มูล 10 ปี เปน็ ต้น
3. พายฟุ า้ คะนอง (Thunderstorm)เปน็ พายะที่เกิดเฉพาะทอ้ งถน่ิ เกดิ จากเมฆควิ มู
โลนมิ บัส มฟี า้ แลบ ฟา้ ร้อง ลมกระโชกแรง ฝนตกหนกั และบางครั้งอาจมลี กู เห็บตกลงมาด้วย เปน็
พายะทเ่ี กดิ ข้นึ ในช่วงเวลาอนั สนั้ มีน้อยคร้ังท่ีเกดิ ขึน้ นานกวา่ 2 ช่ัวโมง สำหรบั ประเทศไทยพายุฟ้า
คะนองจะสามารถกอ่ ตัวได้เกือบตลอดเวลาและในทุกพื้นท่ีเนื่องจากมีภมู ิอากาศอยูใ่ นเขตรอ้ น
โดยเฉพาะในช่วงเดอื นมนี าคมถงึ เดือนพฤษภาคมพายุฟ้าคะนองท่เี กิดข้ึนจะมคี วามรนุ แรงมากกว่า
ปกติ เรียกวา่ พายุฤดูรอ้ น
4. สาเหตุการเกดิ พายฟุ ้าคะนอง เกดิ จากน้ำจากแหล่งต่าง ๆ บนโลกเมอื่ ได้รับความ
ร้อนจากดวงอาทติ ยจ์ ะระเหยกลายเป็นไอและไอควบแนน่ เป็นเมฆ แต่ในบางช่วงของฤดูร้อนท่ี
อากาศรอ้ นมาก นำ้ จะระเหยเป็นไอได้มาก อากาศทรี่ อ้ นชืน้ น้จี ะลอยตวั สงู ขึน้ อยา่ งรวดเร็วถงึ ระดบั ที่
อณุ หภูมิตำ่ จนไอนำ้ ควบแนน่ เกิดเปน็ เมฆควิ มลู สั ความรอ้ นแฝงจากการควบแนน่ ของไอน้ำจะทำให้
อัตราการลอยตัวของกระแสอากาศภายในกอ้ นเมฆเรว็ ยิง่ ข้ึน ทำให้เมฆคิวมูลัสมขี นาดใหญ่ขึน้ จน
พัฒนากลายเป็นเมฆควิ มูโลนิมบัสซง่ึ เป็นเมฆฝนฟา้ คะนอง เม่อื กลายเปน็ ฝนจะตกหนกั และมีลม
กระโชกรนุ แรง
5. ลมกระโชก คือ ปรากฏการณ์ท่ีเกดิ จากลมเปลี่ยนแปลงความเรว็ อยา่ งฉบั พลันโดย
มกี ารเพ่มิ ขึ้นแลว้ ลดลงอย่างรวดเร็วภายระยะเวลาสัน้ ๆ
6. ฟา้ แลบ (Lightning)เกดิ จากเกล็ดนำ้ แขง็ ทเี่ กิดจากพายุฟ้าคะนองมีการเคลื่อนที่
สวนทางกนั ทำให้เกิดการสะสมและแลกเปลย่ี นประจุไฟฟ้าภายในกอ้ นเมฆหรือระหว่างกอ้ นเมฆท่ีอยู่
ติดกัน และมคี วามต่างศักย์ระหวา่ งตำแหน่งท้งั สองมากพอ ประจุไฟฟ้าลบจะชกั นำใหป้ ระจไุ ฟฟา้
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
464 คมู่ อื เตรยี มสอบ
บวกท่อี ย่ดู ้านบนของก้อนเมฆเคลอ่ื นทเี่ ข้าหาประจุไฟฟ้าลบบริเวณใต้กลุ่มเมฆทำใหเ้ กดิ กระแสไฟฟา้
เคล่ือนท่ีผา่ น เกิดปรากฎการณ์ฟ้าแลบขึน้ ในก้อนเมฆหรือระหวา่ งก้อนเมฆ
7. ฟ้าผา่ (Thunderbolt)เกิดจากเกล็ดน้ำแขง็ ที่เกดิ จากพายุฟ้าคะนองมกี าร
เคลือ่ นที่สวนทางกนั ทำใหเ้ กิดการสะสมและแลกเปลยี่ นประจุไฟฟ้าแลว้ ประจุไฟฟ้าบวกท่ีอยู่ใต้
พนื้ ผิวดินเคลอ่ื นที่เขา้ หาประจุไฟฟ้าลบบรเิ วณใต้กลมุ่ เมฆทำใหเ้ กิดกระแสไฟฟ้าเคลอื่ นท่ผี า่ นอากาศ
อย่างเฉียบพลันจากเมฆถงึ พืน้ ผิวโลก เกิดปรากฎการณ์ฟา้ ผ่าขนึ้
8. ฟ้าร้อง (Thunder)เกิดจากประกายไฟฟ้าของฟา้ แลบหรือฟา้ ผ่าทำให้อากาศ
บริเวณโดยรอบมอี ุณหภมู ิสงู ขึ้นประมาณ 30,000 องศาเซลเซียสและอากาศเกิดการขยายตวั อย่าง
รวดเร็ว ทำใหเ้ กดิ คล่ืนเสียงอยา่ งแรงขน้ึ
9. พายุทอรน์ าโด (Tornado) หรอื พายุลมงวง เกิดจากพายุฟา้ คะนองมลี ักษณะ
เปน็ ลำเหมอื นวงวช้างยืน่ ออกมาจากฐานเมฆ หมนุ วนบิตเป็นเกลียว เสน้ ผ่านศนู ย์กลางประมาณ
1,000 ฟตุ มักจะเกดิ ในท่ีราบกวา้ งใหญด่ ูดเอาอากาศและเศษวัสดหุ มนุ วนเป็นลำพุ่งข้ึนไปในอากาศ
ทำลายชวี ิตมนษุ ย์ สตั ว์ ตน้ ไม้ และสิ่งก่อสรา้ งให้ไดร้ บั ความเสียหาย
10. การป้องกนั และหลกี เล่ยี งภัยอนั ตรายจากพายุฟา้ คะนอง
1) หลบอย่ใู นอาคารบ้านเรอื นหรอื รถยนต์ท่ปี ลอดภัยจากน้ำทว่ ม
2) ไม่ควรอยใู่ นทีโ่ ลง่ แจ้ง และถ้าจะเป็นต้องอยู่จะต้องไมใ่ ห้มีส่อื นำไฟฟ้าในตวั เรา เชน่ ร่มที่
มยี อดเป็นโลหะ เคร่ืองประดับโลหะ
3) ตึกอาคารทีม่ คี วามสงู มาก ๆ ควรมีสายลอ่ ฟ้าเพื่อนำประจุไฟฟ้าจากเมฆลงสู่พ้นื ดิน
4) ไม่หลบใต้ต้นไมส้ ูงทขี่ น้ึ โดดเดี่ยวในทโี่ ลง่
5) ไม่ควรใชอ้ ุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น วิทยุ โทรทัศน์ และงดใช้โทรศัพท์ นอกจากกรณีฉกุ เฉนิ
6) ออกห่างจากชายฝง่ั หรอื ทะเลเม่ือเกิดพายฟุ ้าคะนอง เพราะอาจถูกคลน่ื ซดั ลงทะเลได้
7) ควรตรวจตราสภาพของอาคารบา้ นเรอื นให้อยใู่ นสภาพท่ีแข็งแรงและปลอดภยั อยูเ่ สมอ
รวมทงั้ ต้นไม้ ป้ายโฆษณา เสาไฟฟ้า ซงึ่ อาจทำให้โคน่ ล้มมาทับได้
11. สายลอ่ ฟ้า (Lightning rod) คอื แท่งโลหะปลายแหลมทำหน้าทเ่ี ปน็ ตัวนำไฟฟา้
ใหอ้ เิ ล็กตรอนจำนวนมากเคล่ือนท่ไี ด้ระหวา่ งเมฆกบั พ้ืนโลกใช้ตดิ บนหลังคาอาคารสูง ๆ มีสายเช่อื ม
กับแผ่นทองแดงทฝี่ งั ไวใ้ ต้ดิน เม่ือเกดิ ฟา้ ผ่าประจไุ ฟฟ้าที่ถ่ายเทส่พู ้นื ดนิ จะวิ่งผา่ นสายล่อฟ้าขึ้นสู่ยอด
ปลายแหลมกระจายสลายไปในอากาศ
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 465
12. บริเวณความดันอากาศสงู คือ บริเวณทีม่ ีความดันอากาศสูงกว่าบรเิ วณใกล้เคยี งท่ี
อย่รู อบ ๆ ในแผนทอ่ี ากาศผิวพื้นแสดงด้วยเส้นความดนั อากาศเท่าเปน็ วงกลมหรือวงรรี ูปไขล่ อ้ มรอบ
บรเิ วณที่มคี วามดันอากาศสูงมกี ระแสลมพดั ออกจากศูนยก์ ลางในทิศทางตามเขม็ นาฬิกาในซีกโลก
เหนือและพัดในทิศทางทวนเข็มนาฬิกาในซีกโลกใต้ ใช้ตวั อักษร H (High) เปน็ สญั ลักษณใ์ นแผนที่
อากาศ
13. ลักษณะอากาศบริเวณความดันอากาศสูง มีลมอ่อน และลมมักสงบในบรเิ วณใกล้
ศนู ยก์ ลาง มเี มฆเพียงเลก็ น้อย แตอ่ าจมเี มฆมากกับมฝี นไดต้ ามขอบของบรเิ วณความดันอากาศสงู ท่ี
อยู่ใกล้กบั แนวปะทะอากาศ
14. บรเิ วณความดันอากาศต่ำ คือ บริเวณที่มีความดันอากาศตำ่ กวา่ บรเิ วณใกล้เคยี งท่ี
อยรู่ อบ ๆ ในแผนทอ่ี ากาศผวิ พ้ืนแสดงด้วยเสน้ ความดนั อากาศเท่าเป็นวงกลมหรือวงรรี ูปไขล่ อ้ มรอบ
บริเวณที่มคี วามดนั อากาศต่ำมกี ระแสลมพัดเขา้ หาศูนย์กลางในทศิ ทางทวนเข็มนาฬกิ าในซกี โลก
เหนือและพดั ในทศิ ทางตามเข็มนาฬิกาในซีกโลกใต้ ใช้อักษร L (Low) เปน็ สญั ลักษณใ์ นแผนท่ี
อากาศ
15. ลักษณะอากาศบริเวณความดนั อากาศต่ำ มีเมฆมากและมฝี นตก
16. ระบบการหมุนเวียนของลมในซกี โลกเหนือและซีกโลกใต้
17. พายหุ มุนเขตรอ้ น (Tropical revolving Storm)เกดิ จากความดนั อากาศของ 2
บรเิ วณตา่ งกนั มาก ทำใหอ้ ากาศเคล่อื นท่จี ากบริเวณทม่ี ีความดันอากาศสงู ไปยังบรเิ วณท่ีมีความดนั
อากาศต่ำกว่า และขณะเดยี วกนั โลกกห็ มุนรอบตัวเองด้วยทำใหท้ ศิ ทางของลมพายใุ นซีกโลกเหนือ
พัดเขา้ หาศนู ย์กลางในทศิ ทวนเขม็ นาฬิกา และมที ิศของลมเขา้ สู่ศูนย์กลางในทิศตามเข็มนาฬกิ าใน
ซกี โลกใต้ ยง่ิ ใกล้ศนู ย์กลางลมจะหมนุ เกือบเปน็ วงกลมและมคี วามเรว็ สูงที่สุดทบ่ี รเิ วณใกลศ้ นู ยก์ ลาง
พายุ ความดนั อากาศเลวร้ายตามมาดว้ ย เชน่ ฝนตกหนัก เกิดพายุฟ้าคะนอง เกิดคล่นื สูงใหญใ่ น
ทะเล และนำ้ ขน้ึ สูง
18. บริเวณท่ีเกิดพายุหมนุ เขตรอ้ น จะสามารถเกิดข้ึนได้หลายแห่งในโลก และมชี ื่อ
เรยี กตา่ งกันไปตามแหล่งกำเนิด ได้แก่
1) มหาสมทุ รแปซิฟิกเหนือด้านตะวนั ตก เมื่อมีกำลังแรงสงู สุด เรยี กวา่ ไต้ฝนุ่ เกิดมากท่ีสุด
ในเดอื นกรกฎาคม สิงหาคม กันยายน และตุลาคม
2) มหาสมทุ รแอตแลนติกเหนือแถวทะเลแคริบเบียนและอา่ วเมก็ ซิโก เรียกวา่ เฮอริเคน
เกิดมากในเดือนสิงหาคม กันยายน และตลุ าคม
3) มหาสมทุ รแปซิฟิกเหนอื ฝัง่ ตะวันตกของประเทศเม็กซิโก เรยี กวา่ เฮอรเิ คน
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
466 คมู่ อื เตรยี มสอบ
4) บริเวณมหาสมทุ รอินเดยี เหนือ อ่าวเบงกอล ทะเลอาระเบีย เรียกว่า ไซโคลน
5) มหาสมทุ รอนิ เดยี ใต้ ตะวนั ตกเฉียงเหนือของทวปี ออสเตรเลยี เรียกว่า วลิ ล่วี ิลล่ี
19. พายุหมนุ เขตรอ้ นท่ีมีอิทธพิ ลต่อลมฟ้าอากาศของประเทศไทย ส่วนใหญม่ ี
แหลง่ กำเนดิ ในมหาสมุทรแปซิฟกิ เหนือด้านตะวันตกและทะเลจนี ใต้
20. ความรนุ แรงของพายุ พจิ ารณาจากความเรว็ ลมสงู สุดท่ีบริเวณใกล้ศนู ย์กลางเป็น
เกณฑ์ ซ่ึงในย่านมหาสมุทรแปซฟิ กิ เหนือดา้ นตะวนั ตกและทะเลจนี ใตม้ ีการแบ่งตามขอ้ ตกลงระหว่าง
ประเทศดงั นี้
1) พายดุ ีเปรสชันเขตร้อน (Tropical Depression)มคี วามเรว็ ลมสงู สดุ ใกล้ศูนยก์ ลาง
น้อยกวา่ 34 นอต (63 กโิ ลเมตรตอ่ ชั่วโมง)
2) พายโุ ซนรอ้ น (Tropical Storm)มีความเร็วลมสงู สดุ ใกล้ศูนยก์ ลางอย่รู ะหว่าง 34-64
นอต (63 – 117 กโิ ลเมตรต่อชั่วโมง)
3) พายไุ ตฝ้ ุน่ (Typhoon) หรอื เฮอริเคน (Hurricane)มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนยก์ ลาง
64 นอตขึ้นไป (หรือตัง้ แต่ 117 กิโลเมตรต่อชวั่ โมงขึน้ ไป)
21. ทางเดินพายหุ มุนเขตร้อนที่เคลอื่ นเข้าสู่ประเทศไทย
1) พายุหมุนเขตร้อนทม่ี ีแหล่งกำเนดิ ในมหาสมทุ รแปซิฟิกและทะเลจนี ใต้เปน็ แหลง่ กำเนิด
พายทุ ี่เคล่ือนเข้าสูป่ ระเทศไทยมากทส่ี ุด จะเคลอ่ื นตัวมาในแนวทศิ ตะวนั ตกข้นึ ฝ่ังประเทศเวียดนาม
ผา่ นลาวหรือกัมพชู าเข้าสู่ประเทศไทยบริเวณแนวพรมแดนดา้ นตะวนั ออก
2) พายุหมนุ เขตร้อนทีม่ ีแหลง่ กำเนดิ ในอา่ วเบงกอลหรือทะเลอนั ดามนั จะเคล่ือนตวั มาใน
แนวทศิ ตะวนั ออกผ่านพมา่ เข้าส่ปู ระเทศไทยทางดา้ นตะวันตก พบวา่ เกิดข้นึ เพียงสว่ นนอ้ ยเทา่ นั้น
22. พายุหมุนเขตรอ้ นทีเ่ คลอื่ นเข้าสปู่ ระเทศไทยส่วนใหญ่เปน็ พายุดเี ปรสชัน
เน่ืองจากมเี ทือกเขาในประเทศเวยี ดนามและลาวเป็นกำแพงกัน้ ไวท้ ำใหพ้ ายุอ่อนกำลังลงกอ่ นถึง
ประเทศไทย ส่วนท่ีมีกำลังแรงขนาดพายุโซนร้อนหรือไตฝ้ ุ่นมโี อกาสเคล่ือนเขา้ สู่ประเทศไทยน้อย
23. ผลกระทบเน่อื งจากพายุหมุนเขตรอ้ น จะมีทั้งประโยชน์และโทษดงั นี้
1) ประโยชน์ พายุดีเปรสชันทำให้เกิดฝนตกปรมิ าณมาก ชว่ ยนำความชมุ่ ชนื้ มาสู่แผน่ ดนิ
และเพิ่มปริมาณน้ำใหก้ บั แหลง่ นำ้ บนพนื้ โลกทำให้สามารถกักเกบ็ น้ำไวต้ ามแหล่งกกั เกบ็ น้ำต่าง ๆ
เพื่อใชใ้ นชว่ งทม่ี ีฝนนอ้ ยได้
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 467
2) โทษ พายดุ เี ปรสชนั ทำใหเ้ กิดอุทกภยั และเกดิ โรคระบาดหลังจากเกดิ อุทกภยั พายโุ ซน
ร้อนทำใหเ้ กดิ วาตภัย และทำให้สิ่งก่อสรา้ งที่ไม่แขง็ แรงหักพังเสียหาย ต้นไมล้ ้ม พายุไตฝ้ ุ่นทำให้
ตน้ ไม้ลม้ สง่ิ ก่อสร้างที่ไม่แขง็ แรงพังทลาย ฝนตกหนกั ทำให้เกิดน้ำปา่ และแผน่ ดนิ ถล่ม ทะเลมีคล่ืนลม
แรง ระดบั น้ำทะเลสูงขึน้ มากจนทว่ มอาคารบา้ นเรือนริมทะเล
24. คล่ืนพายุซัดฝ่งั (storm surge)เปน็ คล่ืนขนาดใหญ่ทีเ่ กดิ จากพายหุ มุนเขตร้อนใน
ทะเลเคลื่อนท่เี ข้าส่ฝู ัง่ ซง่ึ สามารถทำลายสิ่งก่อสรา้ งบรเิ วณชายฝ่ังได้
25. การป้องกนั อนั ตรายจากพายุหมนุ เขตรอ้ น เมื่อมีพายหุ มนุ เขตรอ้ นเคลือ่ นตัวมายัง
ประเทศไทย ควรติดตามข่าวการพยากรณ์อากาศและประกาศจากกรมอุตุนยิ มวทิ ยาอย่างใกลช้ ิด
และถา้ บริเวณใดไดร้ ับการแจ้งจากเจ้าหน้าท่ีใหอ้ พยพไปอยู่ในทป่ี ลอดภยั ควรปฏิบตั ติ ามคำแนะนำ
ของเจา้ หน้าทีอ่ ย่างเครง่ ครัด
26. มรสุม (monsoon)มีหลกั การเกิดเหมือนกับการเกดิ ลมบก-ลมทะเล คือ เกดิ จาก
ความแตกตา่ งระหวา่ งอณุ หภูมิของพื้นดนิ และพนื้ น้ำ แตร่ ะบบการเกดิ ลมมรสุมจะปกคลุมพืน้ ที่กว้าง
ใหญ่กวา่ ดังนี้
1) ฤดูหนาว อุณหภูมิของพื้นดินเยน็ กว่าอณุ หภมู ิของน้ำในมหาสมุทรอากาศเหนอื พ้นื น้ำจึง
มอี ณุ หภูมสิ ูงกว่าและมคี วามดันอากาศตำ่ อากาศจึงลอยตัวขึ้นสเู่ บื้องบน อากาศเหนือพื้นดินซ่ึงเยน็
กว่าและมีความดนั อากาศสงู จะเคลอ่ื นไปแทนที่ทำให้เกิดเป็นลมมรสมุ พดั ออกจากพน้ื ดินสมู่ หาสมุทร
2) ฤดรู ้อน พื้นดินได้รับพลงั งานความรอ้ นจากดวงอาทติ ย์มากกวา่ พ้ืนนำ้ ทำให้อุณหภมู ิของ
พนื้ ดนิ ร้อนกวา่ น้ำในมหาสมุทรสง่ ผลใหค้ วามดันอากาศเหนือพน้ื ดนิ ต่ำกว่าความดันอากาศเหนอื
มหาสมุทร เปน็ เหตุใหเ้ กิดลมมรสุมพัดในทศิ ตรงขา้ มกบั ในฤดหู นาว คือลมจะพัดจากมหาสมทุ รเข้าสู่
พ้ืนดินและพาความชน้ื จากมหาสมุทรเข้าสแู่ ผ่นดินทำใหเ้ กิดฝนตก
27. ประเทศไทยอย่ภู ายใตอ้ ิทธิพลของลมมรสุม 2 ชนิด คอื 1)ลมมรสุม
ตะวันออกเฉยี งเหนอื 2) ลมมรสมุ ตะวันตกเฉยี งใต้
28. ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนอื หรือมรสุมฤดหู นาว พัดปกคลมุ ประเทศไทย
ประมาณกลางเดือนตลุ าคมจนถึงกลางเดือนกุมภาพนั ธ์ ซง่ึ ตรงกับฤดูหนาวของประเทศไทย
แหลง่ กำเนดิ มีแหล่งกำเนิดจากบรเิ วณความดันอากาศสูงบนซกี โลกเหนอื แถบประเทศ
มองโกเลยี และจนี
ผลกระทบ ลมมรสุมจะพดั พาเอามวลอากาศเย็นและแห้งจากแหลง่ กำเนิดเขา้ มาปกคลุม
ประเทศไทย ทำให้ท้องฟ้าโปรง่ อากาศหนาวเยน็ และแห้งแลง้ ทัว่ ไปโดยเฉพาะภาคเหนือและภาค
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
468 คมู่ อื เตรยี มสอบ
ตะวันออกเฉียงเหนือ สว่ นภาคใตจ้ ะมีฝนชกุ โดยเฉพาะภาคใต้ฝัง่ ตะวันออก เนื่องจากมรสมุ นนี้ ำ
ความช่มุ ชื้นจากอ่าวไทยเข้ามาปกคลุม
29. ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ หรอื มรสุมฤดูร้อน พัดปกคลุมประเทศไทยระหว่าง
กลางเดือนพฤษภาคมถงึ กลางเดือนตลุ าคมซ่ึงตรงกบั ฤดูฝนประเทศไทย แต่ตรงกบั ฤดูรอ้ นของ
ประเทศทางซีกโลกเหนอื
แหล่งกำเนดิ มีแหลง่ กำเนดิ จากบริเวณความดนั อากาศสงู ในซีกโลกใตบ้ รเิ วณมหาสมุทรอนิ
เดียว ซ่งึ พัดออกจากศูนย์กลางเป็นลมตะวันออกเฉียงใต้ และเปล่ยี นเป็นลมตะวนั ตกเฉยี งใต้เม่ือพดั
ขา้ มเสน้ ศูนย์สตู ร
ผลกระทบ มรสมุ นี้จะนำมวลอากาศขึ้นจากมหาสมุทรอินเดยี มาสปู่ ระเทศไทย เมื่ออากาศ
ข้ึนปะทะกับชายฝงั่ และภูมิประเทศซ่งึ เปน็ ภูเขาจะเกดิ การควบแนน่ ทำใหม้ ีเมฆมากและฝนชุกทวั่ ไป
โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงตามบริเวณชายฝง่ั ทะเล และเทือกเขาด้านรับลมจะมีฝนมากกวา่ บรเิ วณอื่น
30. ลมฟา้ อากาศในภาวะปกติ มีลกั ษณะดังนี้
1) มหาสมุทรแปซฟิ ิกแถบเสน้ ศูนย์สตู รจะมีลมสินค้าตะวันออกเฉียงเหนอื และลมสินคา้
ตะวนั ออกเฉยี งใต้พัดพานำ้ บริเวณผวิ หน้าท่ีมีอณุ หภูมสิ ูงจากการไดร้ ับพลังงานความร้อนจากดวง
อาทติ ย์ ลมสนิ ค้านีจ้ ะพัดจากชายฝง่ั ตะวันออกของหมาสมุทรแปซฟิ ิก คือ ทางฝ่งั ตะวันตกของทวีป
อเมริกาใตไ้ ปยงั ด้านตะวนั ตกแขงมหาสมุทรแปซิฟกิ คอื ด้านตะวนั ออกของหมเู่ กาะของประเทศ
อินโดนีเซยี
2) การไหลของน้ำทะเลในระดับผวิ พื้นจากบริเวณชายฝงั่ ตะวันตกของทวีปอเมริกาใตจ้ ะทำ
ใหม้ ีน้ำเยน็ จากขวั้ โลกทไ่ี หลเลียบชายฝง่ั ทวีปอเมรกิ าโดยเฉพาะนำ้ เยน็ ท่อี ยสู่ ว่ นลา่ งซ่งึ มอี ุณหภูมิตำ่
กว่าไหลข้ึนมาแทนท่บี ริเวณชายฝ่ังตะวนั ตกของทวปี อเมริกาใต้จงึ มีอุณหภูมิตำ่ ส่งผลให้อากาศที่อยู่
เหนอื บรเิ วณนม้ี ีอณุ หภูมติ ำ่ ไมส่ ามารถกอ่ ตวั เป็นเมฆและฝนได้ ดงั นน้ั จึงชีส้ ภาพอากาศท่ีแหง้ แลง้
3) บรเิ วณมหาสมทุ รแปซิฟกิ ด้านตะวนั ตกท่ีมีนำ้ อ่นุ ไหลมาสะสมอยู่จะทำให้อากาศบริเวณน้ี
มีอณุ หภูมิและความชน้ื สงู จงึ ก่อใหเ้ กิดเมฆฝนขนาดใหญจ่ ำนวนมากและทำใหเ้ กิดฝนตกมาก
31. การพยากรณอ์ ากาศ คอื การคาดหมายสภาวะอากาศและปรากฏการณ์ทาง
ธรรมชาตทิ ีจ่ ะเกดิ ขึ้นในชว่ งเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต เชน่ ฝนอุณหภมู ิ เมฆ หมอก คลน่ื ลม พายุ
หมนุ เขตร้อน พายุฝนฟ้าคะนอง การเกิดอุทกภัย ภัยแลง้ เปน็ ต้น
32. การทจ่ี ะพยากรณ์อากาศไดต้ ้องมีองค์ประกอบ 3 ประการ ดังนี้
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 469
1) ความร้คู วามเขา้ ใจในปรากฏการณแ์ ละกระบวนการต่าง ๆ ทเี่ กดิ ขน้ึ ในบรรยากาศ โดย
วธิ กี ารเฝา้ สังเกตและจดบันทึกไว้ ทำให้สามารถอธบิ ายถงึ สาเหตขุ องการเกิดลกั ษณะอากาศแบบต่าง
ๆ ได้
2) สภาวะอากาศในปัจจบุ นั ใช้เปน็ ขอ้ มลู เร่ิมต้นสำหรบั การพยากรณอ์ ากาศ ไดจ้ ากการตรวจ
อากาศผวิ พ้นื การตรวจอากาศชั้นบนในระดับความสงู ตา่ ง ๆ และส่ิงสำคญั ทจ่ี ะต้องทำการตรวจเพ่ือ
พยากรณ์อากาศ ได้แก่ อุณหภมู ิ ความกดอากาศ ความชน้ื ลม เมฆ และฝน ซ่งึ การตรวจอากาศผิว
พ้ืนท่ีชว่ ยใหไ้ ด้ขอ้ มูลเก่ียวกบั อณุ หภูมิ ความชน้ื ความดันอากาศ ลม เมฆ และฝน โดยปกติจะตรวจ
ทกุ 3 ชั่วโมง ส่วนการตรวจอากาศช้นั บนจะตรวจทศิ ทางและความเร็วลมทุก 6 ชวั่ โมง ตรวจ
อณุ หภมู ิและความชน้ื ทุก 12 ชั่วโมง
3) ความสามารถท่จี ะผสมผสานองค์ประกอบใน 1) และ 2) เขา้ ดว้ ยกนั เพื่อคาดหมายการ
เปลีย่ นแปลงของบรรยากาศที่จะเกดิ ขน้ึ ในอนาคต
33. ประเภทของการพยากรณ์อากาศ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท และชว่ งเวลาของการ
พยากรณ์ คือ
1) การพยากรณ์อากาศระยะสน้ั เป็นการพยากรณ์อากาศในช่วง เวลาเกินกว่า 12 ชัว่ โมง
ขน้ึ ไปจนถึง 72 ชัว่ โมง ใชข้ อ้ มลู ผลการตรวจอากาศและแผนท่อี ากาศในปัจจุบันมาวเิ คราะห์
2) การพยากรณ์อากาศระยะปานกลาง เปน็ การพยากรณ์อากาศในระยะเวลามากวา่ 72
ชัว่ โมง จนถงึ 10 วนั ใชข้ ้อมูลอตุ ุนยิ มวิทยา ปัจจุบนั รว่ มกับขอ้ มูลจากสถติ ภิ มู ิอากาศในการพยากรณ์
3) การพยากรณ์อากาศระยะยาว เป็นการพยากรณอ์ ากาศในชว่ งเวลาระหว่าง 10 วนั ถงึ
30 วัน ใชข้ ้อมูลสถติ ิทางอุตนุ ิยมวทิ ยาในการพยากรณ์
34. หลกั การพยากรณอ์ ากาศ การท่ีจะพยากรณ์อากาศในบรเิ วณใดบริเวณหนง่ึ ต้องใช้
ขอ้ มูลผลการตรวจอากาศในบริเวณน้ันร่วมกับผลการตรวจอากาศในบริเวณท่อี ย่โู ดยรอบด้วยเพราะ
ปรากฏการณ์ทเี่ กิดขน้ึ ในบรรยากาศมีการเคล่ือนที่อยู่ตลอดเวลา สิง่ ทเ่ี กิดขน้ึ นอกจากพ้ืนที่การ
พยากรณอ์ าจเคลื่อนตัวมามผี ลต่อสภาพอากาศในบริเวณท่ีจะพยากรณ์ได้ จึงต้องมกี ารแลกเปลยี่ น
ข้อมลู ระหวา่ งสถานตี รวจอากาศในประเทศและระหวา่ งประเทศ
35. การตรวจอากาศ เพ่อื ให้ได้ข้อมูลต่าง ๆ ทางอุตนุ ิยมวทิ ยา การตรวจจะเปน็ แบบ
ตา่ ง ๆ ดงั น้ี
1) การตรวจอากาศบนพ้ืนดิน ได้จากสถานีตรวจอากาศในทกุ จงั หวดั โยงกันเป็นโครงข่าย
สถานแี ตล่ ะแห่งต้องอยู่หา่ งกันไมเ่ กนิ 150 กโิ ลเมตร ซ่งึ จะตรวจทศั นวสิ ัย ค่าความกดอากาศ
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
470 ค่มู อื เตรยี มสอบ
อุณหภูมิของอากาศ ความชน้ื สมั พัทธ์ ลม ชนดิ และปรมิ าณเมฆ และหยาดนำ้ ฟา้ โดยทำการตรวจ
อากาศทุก ๆ 3 ช่วั โมง
2) การตรวจอากาศในทะเล ได้ข้อมูลจากท่นุ ลอยท่ีตดิ ตงั้ ไว้ ทำใหไ้ ดข้ ้อมลู คล่นื และ
อณุ หภูมนิ ้ำทะเล
3) การตรวจอากาศชั้นบน ใชเ้ ครื่องวทิ ยุหยง่ั อากาศผกู ติดกบั บอลลูน เสรมิ กับข้อมูลจาก
เครอื่ งบินพาณิชย์ท่ีบินระหวา่ งประเทศไทละข้อมลู จากดาวเทียมโดยสถานตี รวจอากาศช้ันบนตั้งอยู่
ห่างกันไม่เกิน 250 กิโลเมตร ผลการตรวจจะไดข้ ้อมูลทศั นวิสยั ทิศทางและความเรว็ ลมอุณหภูมิ
และปรมิ าณและชนดิ เมฆ โดยจะทำการตรวจทุก ๆ 6 ช่ัวโมง
4) การตรวจอากาศด้วยเรดาร์ สามารถตรวจไดไ้ กลตามรัศมขี องเรดาร์ เป็นข้อมูลเก่ยี วกับ
ฝน ไดแ้ ก่ ชนดิ ความรุนแรง การเคล่ือนตัว และแนวโนม้ ความแรงของกลุม่ ฝน
5) การตรวจอากาศดว้ ยดาวเทียมอตุ นุ ยิ มวิทยา เปน็ ข้อมูลเก่ียวกบั เมฆชนิดต่าง ๆ ใน
บริเวณห่างไกล ทรุ กันดาร และไมส่ ามารถตั้งสถานตี รวจวัดได้
36. สาเหตุสำคญั ทีท่ ำให้การพยากรณ์อากาศเกิดการผดิ พลาด 3 ประการ คือ
1) ความร้คู วามเขา้ ใจเก่ยี วกับปรากฏการณต์ ่าง ๆ ทางอตุ นุ ิยมวิทยายังไมส่ มบรู ณ์
2) บรรยากาศมกี ารเปล่ยี นแปลงอยู่ตลอดเวลาและมีการเปลี่ยนแปลงอยา่ งต่อเนื่องแต่สถานี
ตรวจอากาศมีจำนวนน้อยและอยหู่ ่างกันมาก รวมทง้ั อาจทำการตรวจเพยี งบางเวลาเทา่ นัน้ ไมไ่ ด้
ตรวจอยา่ งตอ่ เน่ืองตลอดเวลา
3) ธรรมชาตขิ องกระบวนการทีเ่ กิดขนึ้ ในบรรยากาศจะมีความละเอยี ดอ่อนซบั ซ้อนมาก
บางครัง้ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตซิ ่งึ มีขนาดเลก็ หรือเกิดข้ันในระยะส้ัน ๆ และไม่อาจตรวจพบได้
จากการตรวจอากาศอาจทำใหเ้ กิดการเปลยี่ นแปลงของสภาพลมฟ้าอากาศเป็นอย่างมากใน
ระยะเวลาต่อมา และทำให้ผลการพยากรณ์อากาศผิดพลาดไปได้
37. เอลนโี ญ(EI Nino)เปน็ ปรากฏการณท์ ่เี กิดจากสภาพลมฟ้าอากาศการเปลี่ยนแปลง
ไปจากสภาวะปกติ คือ
1) ลมสินคา้ ตะวันออกมีกำลังอ่อนกว่าในสภาวะปกติ ทำให้ลมทพี่ ดั ปกคลมุ บริเวณเสน้ ศูนย์
สูตรทางแปซิฟกิ ตะวนั ตกเหนือทวปี ออสเตรเลยี เปลย่ี นทิศทางจากตะวันออกเปน็ ตะวนั ตก ทำใหเ้ กดิ
คลืน่ ใต้ผิวนำ้ พดั พาเอามวลนำ้ อุน่ ท่ีสะสมอยู่บริเวณแปซฟิ ิกตะวันตก ไปแทนท่นี ้ำเยน็ แปซิฟกิ
ตะวนั ออก
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 471
2) เม่ือมวลนำ้ อุน่ ถูกพัดพาไปถึงแปซิฟิกตะวันออกหรือบริเวณตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้
ก็จะรวมเข้ากับผิวนำ้ ทำใหผ้ ิวหนา้ นำ้ ทะเลบรเิ วณทอ่ี ุ่นข้ึนกว่าปกตแิ ละน้ำอุ่นนีจ้ ะค่อย ๆ แผ่ขยาย
พ้ืนทไ่ี ปทางตะวันตกถงึ ตอนล่างของมหาสมทุ ร สง่ ผลให้บริเวณท่ีมกี ารกอ่ ตัวของเมฆและฝนซง่ึ ปกติ
จะอย่ทู างตะวันตกของมหาสมทุ รเปล่ยี นแปลงไปอยทู่ ี่บริเวณตอนกลางและตะวนั ออกบริเวณ
ดังกล่าวจึงมฝี นตกมากกว่าปกตใิ นขณะทแ่ี ปซิฟิกตะวนั ตกซ่ึงเคยมฝี นมากจะมีฝนน้อยและเกิดความ
แห้งแลว้
38. ผลกระทบท่ีเกิดเน่ืองจากปรากฏการณ์เอลนโี ญจะทำให้บรเิ วณทเ่ี คยมฝี นตกชุกมี
ปรมิ าณฝนลดลงอยา่ งมากและบรเิ วณทเี่ คยมีฝนนอ้ ยมีปริมาณฝนเพ่มิ ข้นึ มาก
39. ลานญี า(Lanina)เปน็ ปรากฏการณท์ ี่เกิดจากสภาพลมฟ้าอากาศมีการ
เปล่ียนแปลงไปจากสภาวะปกติและมีลกั ษณะตรงขา้ มกับเอลนโี ญ คอื
1) ลมสินคา้ ตะวันออกเฉียงใต้ท่ีพัดปกคลุมเหนือมหาสมุทรแปซฟิ ิกเขตร้อนมีกำลงั แรง
มากกวา่ ปกติและพดั พาผิวนำ้ ทะเลที่อุ่นจากตะวันออกไปสะสมอยู่ทางตะวนั ตกมากยิ่งข้ึน ทำให้
บริเวณแปซฟิ ิกตะวนั ตกรวมท้ังบริเวณตะวันออกและตะวันออกเฉยี งใตข้ องเอเชีย ซงึ่ เดิมมีอุณหภูมิ
ผวิ นำ้ ทะเลสงู กวา่ ทางตะวนั ออกอยแู่ ลว้ ยิง่ มีอณุ หภูมสิ ูงขนึ้ ไปอกี ทำให้อากาศเหนือบรเิ วณนี้มกี าร
ลอยตัวขน้ึ และกล่ันตัวเป็นเมฆและฝนมากกว่าปกติ
2) บริเวณแปซิฟกิ ตะวนั ออกนอกฝง่ั ประเทศเปรูและเอกวาดอรใ์ นทวีปอเมริกาใต้จะมี
กระบวนการไหลขึน้ ของนำ้ เย็นระดบั ล่างไปสผู่ ิวน้ำอยา่ งต่อเนอ่ื งและรนุ่ แรง อุณหภูมทิ ่ผี ิวนำ้ ทะเลจงึ
ลดลงต่ำกว่าปกติ สง่ ผลใหบ้ รเิ วณนีท้ ี่เคยแหง้ แล้งอยู่แล้วเกิดความแห้งแล้งมากยิ่งขน้ึ
40. ผลกระทบทเ่ี กิดเน่อื งจากปรากฏการณ์ลานญี า จะทำให้บริเวณที่มีปรมิ าณฝน
มากอยู่แล้วมฝี นเพิ่มข้นึ อีก และบริเวณทแ่ี หง้ แล้งจะย่งิ แหง้ แล้งย่ิงข้นึ เชน่ กนั
41. สาเหตุทท่ี ำให้อุณหภมู ิบรรยากาศของโลกลดลง เชน่
1) การระเบิดของภเู ขาไฟก่อใหเ้ กดิ ฝุน่ ละอองมากโลกจึงได้รับพลงั งานจากดวงอาทติ ย์
น้อยลง
2) การเคลื่อนตวั ของพื้นทวปี
3) องคป์ ระกอบของแกส๊ ในบรรยากาศเปลีย่ นไป
4) สาเหตุทางดาราศาสตร์ เชน่ องศาการเอียงของแกนโลก วงจรของโลกเปน็ วงรมี ากขึน้
หรอื น้อยลง เป็นตน้
42. สาเหตุที่ทำให้อุณหภมู ิบรรยากาศของโลกสงู ขึ้น เช่น
1) การเผาไหมเ้ ช้ือเพลิงต่าง ๆ เชน่ น้ำมนั ถา่ นหิน แกส๊ ธรรมชาติ เปน็ ต้น
ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
472 คมู่ อื เตรยี มสอบ
2) การแผว้ ถางป่า เพ่ือทำการเกษตรหรือทอี่ ยู่อาศัย
3) การขยายตวั ของเมือง
43. ปรากฏการณเ์ รอื นกระจกตามธรรมชาติ คือ ปรากฏการณ์ท่ีช้ันบรรยากาศของ
โลกทำหนา้ ทีเ่ หมือนกระจกที่ยอมให้รังสคี ล่นื สน้ั จากดวงอาทติ ยผ์ ่านลงมายงั ผวิ โลกได้ และจะ
ดูดกลืนรังสีคลนื่ ยาวชว่ ง
อินฟราเรดท่ีแผ่ออกจากพ้ืนผิวโลกเอาไวจ้ ากนน้ั ก็จะคายพลงั งานความรอ้ นให้กระจายอยภู่ ายในชนั้
บรรยากาศและพนื้ ผวิ โลก เปรียบเสมอื นกระจกท่ีปกคลมุ โลกใหม้ ภี าวะสมดุลทางอุณหภูมิ และ
เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสงิ่ มชี ีวิตบนผวิ โลก
44. ชั้นบรรยากาศของโลกในภาวะปกติ ประกอบดว้ ย โอโซน ไอน้ำ และแก๊สชนดิ ตา่ ง
ๆ ซ่ึงทำหน้าท่ีกรองรังสคี ลื่นส้ันบางชนิดใหผ้ ่านมากกระทบพ้ืนผวิ โลก
45. ปรากฏการณเ์ รือนกระจกทเ่ี กิดจากมนษุ ย์ เกิดจากชั้นบรรยากาศของโลกมี
ปริมาณแกส๊ บางชนดิ มากเกนิ สมดุลของธรรมชาติ เช่นแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ แกส๊ มีเทน แกส๊ คลอ
โรฟลอู อโรคารบ์ อน และแก๊สไนตรสั ออกไซด์ เปน็ ตน้ แก๊สเหล่านี้มีสมบัตพิ เิ ศษ คือสามารถดูดกลนื
และคายรังสีคล่ืนยาวช่วงอินฟราเรดได้ดมี าก ดังนั้นเม่ือพื้นผวิ โลกคายรังสอี นิ ฟราเรดขึ้นสชู่ ัน้
บรรยากาศ แกส๊ จะดดู กลนื รังสอี ินฟราเรดเอาไว้ แล้วคายความร้อนออกมาสะสมอยู่บรเิ วณ
พื้นผวิ โลกและชน้ั บรรยากาศเพ่มิ มากข้นึ พ้ืนผิวโลกจึงมีอุณหภมู ิสูงข้ึน เรยี กแกส๊ ทที่ ำใหเ้ กิด
ปรากฏการณ์เชน่ นี้วา่ แก๊สเรือนกระจก (Greenhouse Gases) และเรียกปรากฏการณ์ท่อี ากาศ
ผวิ โลกอบอุ่นหรอื ร้อนขึน้ ว่าปรากฏการณเ์ รือนกระจก (Greenhouse Effect)
46 แกส๊ เรือนกระจก มแี หลง่ ทีม่ าดังนี้
1) แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2)เป็นแกส๊ ที่ทำให้เกิดพลังงานความร้อนสะสมใน
บรรยากาศของโลกมากท่ีสุด เกดิ จากธรรมชาตแิ ละการกระทำของมนษุ ย์ เช่น การเผาไหม้ของ
เชือ้ เพลิง การตัดไม้ทำลายปา่ ซ่งึ การตัดต้นไมเ้ ป็นสาเหตุสำคญั ที่สุด เพราะตน้ ไมจ้ ะดูดซับแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ไว้ เม่อื พื้นที่ปา่ ไมล้ ดน้อยลงปรมิ าณแก๊สคาร์บอนไดออกไซดจ์ ึงขน้ึ ไปสะสมอย่ใู น
ชนั้ บรรยากาศได้มากขึน้
2) แก๊สมีเทน ( ) เกิดจากธรรมชาตแิ ละการกระทำของมนุษย์ เชน่ แหล่งนาขา้ ว การ
ยอ่ ยสลายซากส่งิ มีชวี ติ การเผาไหมเ้ ชือ้ เพลงิ แก๊สมีแทนทำใหเ้ กิดผลกระทบจากปรากฏการณ์เรือน
กระจกมากเปน็ อนั ดบั สองรองจากคารบ์ อนไดออกไซด์
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 473
3) แก๊สไตรสั ออกไซด์ (N2O) มีแหลง่ กำเนิดจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ใชก้ รดไนตริกใน
กระบวนการผลติ เช่น อุตสาหกรรมผลิตเสน้ ใยในลอน อุตสาหกรรมเคมี หรืออุตสาหกรรมพลาสตกิ
เป็นต้น
4) แกส๊ ที่มีสารประกอบคลอโรฟลอู อโรคาร์บอน (CFC) มแี หลง่ กำเนดิ จากโรงงาน
อตุ สาหกรรม และอุปกรณ์เครื่องใชต้ ่าง ๆ เชน่ เคร่ืองปรับอากาศ ตู้เยน็ กระป๋องสเปรย์ เปน็ ต้น
47. วิธกี ารบรรเทาผลกระทบจากปรากฏการณเ์ รือนกระจก
1) ใช้แกส๊ ธรรมชาติแทนถ่านหนิ และนำ้ มนั เพือ่ ลดปริมาณแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ใน
บรรยากาศ
2) ใช้แหลง่ พลังงานทดแทน เช่น พลงั งานจากแสงอาทิตย์ ลม และชีวมวล แทนการใช้
เชอ้ื เพลิง
3) ช่วยกนั รักษาปา่ ทม่ี ีอยู่ ลดการตัดไม้ทำลายปา่ ปลูกป่าทดแทนคาร์บอนไดออกไซดท์ ี่เกิด
จากการเผาไหมเ้ ชอื้ เพลงิ ในการผลติ กระแสไฟฟา้
48. มลพิษทางอากาศ มแี หล่งกำเนดิ จาก 2 แหลง่ ใหญ่ ๆ คือ
1) ธรรมชาติ เช่น ฝุ่นควันจากไฟปา่ ฝุ่นละอองดิน แก๊สจากสารของอินทรยี วตั ถุ แกส๊ จาก
การขับถ่ายและหายใจของสง่ิ มีชีวติ เถา้ ถ่านการระเบิดของภเู ขาไฟ
2) การกระทำของมนุษย์ เป็นแหลง่ ที่ก่อใหเ้ กิดมลพิษทางอากาศมากท่สี ุด เช่น การผลิตที่
ใช้เครอ่ื งจักรเครอื่ งยนต์ และน้ำมันเชื้อเพลิงในอุตสาหกรรมท่ผี ลิตและใชส้ ารเคามีท่ีมีพิษ การทำ
เหมอื งแร่ การเดนิ ท่อคมนาคมขนสง่ การใชเ้ ชอ้ื เพลิงต่าง ๆ เปน็ ตน้
49. สารทท่ี ำให้เกิดมลพิษทางอากาศ
1) ฝุน่ ละออง เขม่าควนั แหล่งกำเนิด การระเบดิ ของภเู ขาไฟ การเผาไหม้การกร่อนของ
สารโรงงานอตุ สาหกรรม โรงไฟฟา้ เครื่องยนต์ผลกระทบ ทำใหอ้ ากาศข่นุ มัว กัน้ พลังงานจากดวง
อาทติ ย์ ก่อให้เกดิ อนั ตรายต่อระบบทางเดินหายใจของสิ่งมีชีวิต
2) คาร์บอนมอนอกไซด์ เป็นแก๊สไม่มสี ี ไม่มีกลิน่ แต่เปน็ พิษในแรงต่อมนุษย์แหลง่ กำเนิด
ไฟปา่ รถยนต์ เคร่ืองจักรท่ีใช้นำ้ มันเบนซนิ หรือแกส๊ ธรรมชาติโรงงานอุตสาหกรรมผลกระทบ ทำให้
ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย อาเจียน ตาพรา่ มัว ถ้าไดร้ ับในปริมาณสงู มากจะทำให้ชพี จรเตน้ อ่อน ระบบ
หายใจลม้ เหลวและถงึ แก่ความตายได้
3) ซัลเฟอรไ์ ดออกไซด์ ไม่มีสี กล่ินฉุนคล้ายกล่ินไม้ขีดขณะตดิ ไฟมอี ำนาจกัดกร่อนและเปน็
พิษต่อสิ่งมีชีวิตแหล่งกำเนิด ภูเขาไฟระเบดิ มหาสมุทร เครือ่ งจกั ร เครื่องยนต์โรงไฟฟา้ ท่ใี ชเ้ ชอื้ เพลิง
ประเภทน้ำมันเตา น้ำมันดเี ซล และถ่านหิน การกลน่ั น้ำมนั ปโิ ตรเลยี มผลกระทบ ทำให้เกิดอาการ
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
474 ค่มู อื เตรยี มสอบ
ระคายคอ แสบตา แนน่ หนา้ อก เมอื่ สูดแก๊สนเ้ี ข้าไปจะทำให้ชพี จรเต้นถ่ี หายใจเข้าออกน้อยลง ทำ
ให้เกดิ ฝนกรด
4) ไนโตรเจนไดออกไซด์ แหล่งกำเนดิ ฟา้ ผ่า การตรึงไนโตรเจนของแบคทเี รียในดิน
รถยนต์ เตาเผาอุณหภูมิผลกระทบ ทำใหน้ ัยนต์ าและปอดเกิดการระคายเคอื ง ทำให้เกิดฝนกรด
5) แก๊สจากสารประกอบไฮโดรคารบ์ อน แหล่งกำเนดิ นำ้ มันรถยนต์ การเผาไหม้ โรงงาน
อตุ สาหกรรม บหุ ร่ี สเปรย์กระปอ๋ งผลกระทบ กอ่ ใหเ้ กดิ โรคมะเร็ง
50. ฝนกรด (Acid rain) หมายถึง นำ้ ฝนทมี่ ีคา่ ความเปน็ กรด-เบส (pH value) ตำ่
กวา่ 5.6 กรดในน้ำฝนเกดิ จากการละลายนำ้ ของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และไน
ตรกิ ออกไซด์ ท่ีมอี ยู่ในบรรยากาศ เม่ือฝนตกลงมาจะละลายแกส๊ เหลา่ น้ีทำใหน้ ้ำฝนเย็นเป็นกรด
สงู ข้นึ
51. ความเสยี หายทเี่ กดิ จากฝนกรด
1) ทำให้เกดิ ดินเปรยี้ ว (ดินมสี ภาพเปน็ กรด) และดินขาดแร่ธาตทุ สี่ ำคญั ของพชื
2) เปน็ อันตรายตอ่ พชื ทำให้การเจรญิ เตบิ โรของพชื หยดุ ชะงักและพืชอาจตายได้
3) สรา้ งความเสยี หายให้การเกษตร เชน่ การเพาะปลูก การเพาะ การประมง การเลี้ยงสัตว์
ในทีโ่ ลง่
4) ทำให้นำ้ ในแหลง่ น้ำมสี ภาพเป็นกรดสง่ ผลให้สตั ว์นำ้ และพชื นำ้ ตาย
5) ฝนกรดจะกัดกร่อนทำลายสิง่ ก่อสรา้ ง อาคาร หรอื โบราณสถาน สร้างจากหินปูน หนิ ออ่ น
และโลหะ
52. การควบคมุ และป้องกนั การเกดิ ฝนกรด เปน็ การควบคุมการเกดิ ของสารประกอบ
ซัลเฟอร์และไนโตรเจน สามารถทำได้โดย
1) เลือกใช้เชอื้ เพลงิ ทมี่ กี ารปนเปื้อนของซลั เฟอรน์ ้อย
2) ตดิ ตัง้ เคร่ืองกำจัดแก๊สในโรงงานอุตสาหกรรมเพอ่ื ลดปรมิ าณแกส๊ เพมิ่ ของแก๊สซัลเฟอร์
ไดออกไซด์และออกไซด์ของไนโตรเจนออกสู่อากาศ
3) ปรับปรงุ การเผาไหมข้ องน้ำมันเช้อื เพลงิ เพื่อควบคุมการเกิดสารประกอบออกไซด์ของ
ไนโตรเจนดว้ ยการลดอุณหภมู ใิ ห้ต่ำลงกว่า 1,500 องศาเซลเซยี ส
4) ควบคมุ ปริมาณออกซิเจนทีใ่ ช้ในการเผาไหมข้ องนำ้ มันเช้อื เพลิง
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 475
ตัวอย่างแนวข้อสอบบทที่ 2
10. ลมมคี วามมายตรงกับขอ้ ใด 15. สภาพอากาศในขอ้ ใดทสี่ ามารถรบั ไอน้ำ
จ. อากาศทแ่ี นน่ ิ่ง ไว้ไดม้ ากทส่ี ุด
ฉ. อากาศทรี่ ้อนมากๆ จ. อากาศเปยี ก
ช. อากาศท่ีเคลื่อนที่ ฉ. อากาศแห้ง
ซ. อากาศท่เี ยน็ มากๆ ช. อากาศชนื้
11. ลมบกเกดิ ขน้ึ ได้อย่างไร ซ. อากาศอ่ิม
จ. อากาศเหนือน้ำพดั เขา้ ฝัง่ 16. ข้อใดคือลมประจำถิน่
ฉ. อากาศเหนือพนื้ ดนิ พัดออก จ. ลมมรสมุ
ทะเล ฉ. ลมสินค้า
ช. อากาศเหนือเหนือพ้ืนน้ำและ ช. ลมบก ลมทะเล
ดนิ พดั เข้าหากนั ซ. ถกู ทุกข้อ
ซ. อากาศเหนือพืน้ ท้ังสองไม่พัด 17. แนวความกดอากาศตำ่ ที่ทำใหเ้ กิดฝน
12. เมฆคืออะไร หรอื รอ่ งมรสุมมลี ักษณะอย่างไร
จ. ละอองนำ้ จ. เปล่ียนตำแหนง่ ตามการ
ฉ. หยาดนำ้ ฟ้า เคลอ่ื นที่ของดวงอาทติ ย์
ช. เกล็ดน้ำแขง็ ฉ. เปลีย่ นตำแหนง่ นำหนา้ การ
ซ. แม่คะนิ้ง เคล่อื นที่ของดวงอาทติ ย์
13. พายหุ มนุ เขตรอ้ นจะมีกำแรงลมเทา่ ใด ช. รอ่ งมรสมุ จะอยู่คงท่ีไมม่ ีการ
จ. 100 (Km/h) เปล่ียนตำแหน่ง
ฉ. 200 (Km/h) ซ. ไมม่ ีขอ้ ถูก
ช. 300 (Km/h) 18. เอลนโี น เป็นปรากฏการณ์ท่เี กิดขน้ึ ทุกๆ
ซ. 400 (Km/h) ก่ปี ี
14. ชาวประมงใช้ประโยชน์จากลมชนดิ ใด ข. 2-10 ปี ข. 1-5
ในการออกหาปลาและกลบั เข้าฝั่ง ค. 2-15 ปี ง. 1-20 ปี
จ. ลมประจำภูมิภาค 10. กา๊ ช มีเทน มีแหลง่ ท่ีมาจากทีใ่ ด
ฉ. ลมประจำถน่ิ ก. ควนั รถยนต์
ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
476 ค่มู อื เตรยี มสอบ ข. เผาปา่
ค. การย่อยสลายสิ่งมีชวี ิต
ช. ลมประจำเวลา ง. การตดั ตน้ ไม้
ซ. ลมประจำฤดู
บทที่ 3 ทรพั ยากรธรณี
1. ดิน (Soil) เป็นของผสมระหวา่ งสารอนิ ทรีย์ สารอนนิ ทรยี ์ น้ำ และ อากาศในดิน
2. ประโยชน์ของดนิ ดงั น้ี
1) เป็นแหล่งผลิตอาหารของสิ่งมีชวี ิต
2) ช่วยกักเกบ็ น้ำ
3) เปน็ แหล่งที่อย่อู าศัยของสิ่งมีชวี ติ ทุกชนดิ
4) เป็นแหล่งก่อเกิดปจั จัย 4 ท่จี ำเป็นตอ่ การดำรงชีวิตของมนุษย์
3. สว่ นประกอบของดนิ ประกอบด้วย 1) อนิ ทรียวัตถุ 2) อนินทรียสาร 3) น้ำ 4)
อากาศ
4. อินทรยี วตั ถุ เกิดจากซากพชื ซากสัตว์ เน่าเป่ือยผุพงั ทับถมปะปนอยู่ในดินโดยมี
จุลินทรียช์ ่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุให้มขี นาดเล็กลงกลายเป็นอนภุ าคของดิน
ประโยชน์ ทำใหด้ นิ มคี วามอุดมสมบรู ณ์ ให้สารอาหารแก่พืช และช่วยกกั เก็บนำ้ ทำใหด้ นิ มี
ความชุ่มชน้ื
5. ฮวิ มัส (Humus)คือ อนิ ทรยี วตั ถุ (ซากสิ่งมีชวี ิต) ท่ีถกู ย่อยสลายจนมขี นาดเลก็ แลว้
และอยู่ในสภาพทเ่ี หมาะสม
6. อนนิ ทรยี สาร หรือแร่ธาตุ เกดิ จากการสลายตัวของหินและแร่ธาตุที่ให้กำเนดิ ดนิ
ประโยชน์ เป็นสว่ นประกอบหลกั ของดนิ และให้แร่ธาตทุ จี่ ำเป็นต่อการเจรญิ เติบโตของพืช
7. น้ำในดนิ อยใู่ นช่องวา่ งระหวา่ งอนภุ าคของดินประโยชน์ เปน็ ปจั จัยที่จำเปน็ ต่อการ
สรา้ งอาหารและการเจริญเตบิ โตของพืช ช่วยละลายแร่ธาตุที่อยใู่ นดนิ ทำให้พืชดูดซึมไปใช้ประโยชน์
ได้ เปน็ แหล่งน้ำสำหรับจลุ ินทรีย์ในดนิ
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 477
8. อากาศในดนิ จะแทรกตวั อยู่ในช่องว่างระหว่างอนุภาคของดินและมีการถ่ายเทกับ
อากาศบนดนิ ตลอดเวลา
ประโยชน์ แก๊สออกซิเจนใชใ้ นการหายใจของพืชและจลุ ินทรีย์ดนิ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
เมอื่ ทำปฏิกิรยิ ากบั นำ้ จะเกิดกรดคาร์บอนิกชว่ ยละลายธาตุในดนิ ให้แก่พืช
9. อตั ราส่วนประกอบในดินแตล่ ะบริเวณจะแตกต่างกนั ข้ึนอย่กู ับพ้นื ดนิ และชนดิ
ของดิน
10. สว่ นประกอบของดินร่วนประกอบด้วย แร่ธาตุ 45% อากาศ 25%นำ้ 25% อินทรี
วตั ถุ 5%
11. หนา้ ตดั ขา้ งของดิน คือ ดนิ ท่ีทับถมกันเปน็ ชนั้ ๆ ตามแนวดิ่ง
12. ชน้ั ดิน (Soil Horizon)คอื ช้ันในวัสดดุ ินทว่ี างตัวขนานหรือเกือบขนานกบั ผิวหนา้
ของดนิ มี 4 ช้ัน คือ
2) ชั้น O(Organic Horizon)เป็นดินชั้นบนสุดพบในพืน้ ทปี่ ่าเท่าน้นั มฮี ิวมสั ปนอยู่มาก
ดนิ มีความอุดมสมบรู ณแ์ ละมีความชมุ่ ช้ืนสงู พบรากพชื แผ่กระจายอย่ทู ่ัวไป
2) ชน้ั A (A Horizon) เป็นชั้นดนิ ตอนบน ประกอบด้วยอินทรียวตั ถุที่สลายตัวแลว้ ผสม
คลกุ เคล้ากับแรธ่ าตใุ นดิน ดินช้ันนีจ้ ะมกี ารซึมชะโดยน้ำจากผิวดินนำพาตะกอนละเอียดไหลสดู่ นิ ช้ัน
ลา่ งและมีการซึมชะโดยนำ้ ละลายอนนิ ทรีวตั ถุในดนิ ไหลผา่ นไปสู่ชน้ั ท่ีลึกลงไป
3) ชนั้ B (B Horizon) ดนิ ในชน้ั นี้จะเปน็ ดินเหนียว มีเน้ือแนน่ มีความชืน้ สูง เป็นชน้ั สะสม
ของตะกอนและแร่ ท่ีมีองค์ประกอบของเหลก็ อะลูมิเนยี ม คาร์บอเนต และซิลิกา เป็นต้น ชนั้ นมี้ สี ี
ของแรธ่ าตุชัดเจน มีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีสงู
4) ชน้ั C (C Horizon)เปน็ ดินช้นั ทอ่ี ยู่ลกึ ทส่ี ุด ประกอบด้วยหนิ ผุและเศษหนิ ที่แตกหักจาก
หนิ ดานทีเ่ กิดอยู่ในพ้นื ที่นั้น มลี กั ษณะเปน็ กอ้ นเป็นพดื ที่มีลักษณะคล้ายหินเดิม
13. หนิ ดาน เปน็ หนิ ตน้ กำเนดิ ดิน ชั้นหนิ ดานจะอยู่ด้านล่างของชั้นดิน เปน็ ช้นั หินพ้นื
หรือหินแขง็
14. การแจงชัน้ ดนิ ให้แยกชน้ั ท่ีมีความแตกต่างอยา่ งชดั เจนออกจากกันก่อน แลว้ จงึ
ดดู ความแตกตา่ งย่อย ดังนี้
1) ชัน้ O ดูการสลายตัวของอนิ ทรียวตั ถุ พบเฉพาะในปา่ เท่านน้ั
2) ช้ัน A ส่วนใหญจ่ ะอยูบ่ นสุดมีสคี ลำ้ กว่าดินชั้นล่าง
3) ช้นั B เปน็ ชัน้ สะสมตะกอนและแร่ มีการสะสมดินเหนียว และแร่ต่างๆ
4) ชน้ั Cมลี กั ษณะเหมือนวัตถตุ ้นกำเนดิ ดิน
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
478 คมู่ อื เตรยี มสอบ
15. ปัจจยั ท่ีมผี ลต่อความหนาของชัน้ ดิน 1) ภูมิประเทศ 2) หินดาน 3)
กระบวนการทางธรณวี ทิ ยา 4) ภมู ิอากาศ
16. การเกดิ ดิน ประกอบด้วย 2 ข้นั ตอน คือ 1) การผพุ ังสลายตัว 2) กระบวนการเกดิ
ดนิ
17. การผุพังสลายตัว เป็นการเปลี่ยนแปลงทงั้ ทางกายภาพและทางเคมี จากอิทธิพล
ของความร้อน ความช้ืน การแสน้ำ กระแสลม ปฏิกิริยาเคมี และสงิ่ มชี ีวิตต่างๆ ทำใหห้ ินและแร่ธาตุ
สลายตัวมขี นาดเล็กลงและมีลักษณะเปลีย่ นแปลงไปจากเดิม ทับถมรวมกันกบั อนิ ทรยี วัตถเุ ปน็ วัตถุ
ตน้ กำเนิดดิน
18. กระบวนการเกิดดนิ เกิดต่อเน่ืองจากการผุพังสลายตัวของหนิ แร่ ทำใหเ้ กดิ การ
พฒั นาของรูปหน้าตดั ข้างของดินในลกั ษณะต่าง ๆ กนั คือ
1) การไม่แยกชนั้ ดิน ทำให้หน้าตัดขา้ งของดินมีลกั ษณะสม่ำเสมอไมส่ ามารถแยกชนั้ ดินได้
2) การแยกชัน้ ดิน ทำให้หนา้ ตัดข้างของดนิ เกดิ เปน็ ชน้ั ๆ ไดช้ ดั เจน
19. ปัจจัยทคี่ วบคมุ การเกิดดิน มที ้งั ปัจจยั กายภาพและ
1) วัตถตุ น้ กำเนดิ ดนิ เปน็ ปจั จยั สำคญั และมีอทิ ธิพลต่อสมบตั ขิ องดนิ เชน่ องค์ประกอบ
ทางเคมีและแร่ธาตุในดนิ สีดนิ และเนือ้ ดิน
2) สภาพภูมิอากาศ มผี ลต่อการผพุ งั สลายตัวของหินและแร่ทำใหเ้ กิดดนิ ไดเ้ รว็ ขน้ึ
3) สภาพภมู ิประเทศ มีอิทธิพลต่อการเกดิ ดิน เชน่ อิทธพิ ลตอ่ การระบายนำ้ และปริมาณ
ความชนื้ ในดินการพงั ทลายของดนิ เป็นตน้
4) สิ่งมีชีวิตโดยพืชแต่ละชนิดจะทำให้ดนิ มลี กั ษณะแตกต่างกันเพราะพชื จะทำใหเ้ กดิ การ
หมนุ เวยี นแรธ่ าตุในดนิ และมีผลตอ่ ปริมาณอินทรยี วตั ถุในดิน ส่วนสตั ว์ที่อาศยั อย่ใู นดนิ เช่น มด
ไสเ้ ดือนดนิ ปลวก และจุลนิ ทรีย์ในดิน จะช่วยย่อยสลายซากสงิ่ มชี วี ิตให้เป็นสารอินทรีย์
5) เวลา การเกิดดินต้องใชร้ ะยะเวลานานกว่าจะถึงขั้นสมบูรณ์
20. เนือ้ ดิน คือ ขนาดคามหยาบความละเอียดของอนุภาคอนินทรีย์ท่เี ป็น
องคป์ ระกอบของดิน
21. ส่งิ ทีก่ ำหนดประเภทของเนอื้ ดนิ คอื สดั สว่ นโดยมวลของอนุภาคอนินทรีย์ 3 กล่มุ
ได้แก่
ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 479
1) อนุภาคขนาดเม็ดทราย เป็นอนภุ าคขนาดใหญ่ มเี หลย่ี มมุม อนภุ าคไม่จับกัน ไมด่ ูดยึด
อาหารและแร่ธาตุ
2) อนภุ าคขนาดทรายตะกอนหรืออนภุ าคเมด็ ทรายแปง้ เป็นอนภุ าคขนาดปานกลาง แผ่น
แบน ไมค่ ่อยจับกนั เองและไม่จับอนภุ าคอ่นื ไม่คอ่ ยดูดยึดน้ำและแร่ธาตุ อนภุ าคกลุ่มนจี้ ะไปอุดตัน
ตามช่องวา่ งตา่ งๆ กดี กนั การซมึ น้ำลงดนิ
3) อนุภาคขนาดเมด็ ดินเหนยี ว เปน็ อนภุ าคขนาดเลก็ ละเอยี ด มกั ดูดจับรวมกันเองเป็นเม็ด
ขนาดใหญ่ มีความเหนยี ว เมื่อเปยี กจะดดู ยดึ น้ำและแร่ธาตุได้
22. เนอ้ื ดินประเภทเนอื้ ทรายหรือดนิ ทราย จะมีอนุภาคขนาดเม็ดทรายมากดินมีเน้ือ
หยาบ
23. เนอื้ ดนิ ประเภทดินเหนียว จะมีอนุภาคขนาดเมด็ ดนิ เหนยี วมาก
24. เน้ือดนิ ประเภทดินร่วน มีอนุภาคท่ไี ม่แสดงสมบตั ิออกไปทางดนิ ทรายหรอื ดนิ
เหนียว
25. ชนดิ ของดิน จำแนกตามลักษณะของเนื้อดนิ ได้ 3 ประเภท คอื
1) ดนิ ทราย (Sand) คือ ดินทม่ี เี นอื้ ดินเกาะกันไม่แน่น หยาบ ระบายนำ้ และอากาศไดด้ ี
มาก อุ้มน้ำได้เล็กนอ้ ย มคี วามสมบูรณต์ ำ่
2) ดนิ ร่วน (Loam) คือ ดนิ ท่มี ีเนื้อดินค่อนขา้ งละเอยี ด นุ่มมอื ระบายนำ้ และอากาศได้ดี
ปานกลาง มีแรธ่ าตุสะสมอยู่มาก
3) ดนิ เหนยี ว (Clay)คือ ดนิ ท่ีมีเนอ้ื ดนิ ละเอียดท่ีสุด มีความเหนยี ว ปั้นเป็นก้อนได้ อุ้มน้ำ
ไดด้ ี พงั ทลายได้ยาก มแี ร่ธาตุสะสมอยู่มาก
26. สขี องดนิ บ่งบอกสภาพทางเคมีและทางกายภาพของดนิ ได้ เนอื่ งจากดินแตล่ ะชนิด
จะมสี ที เี่ ป็นลักษณะเฉพาะตัว ซง่ึ จะมปี ริมาณฮวิ มัสชนดิ ของสารประกอบธาตเุ หลก็ และปรมิ าณ
ความช้นื ในดนิ เปน็ ตัวกำหนด เชน่ ดินทม่ี ฮี ิวมัสมากจะมีสีคล้ำ สารประกอบธาตุเหล็กทำใหด้ ินมสี เี ทา
หรอื แดงหรือเหลือง
27. ความเปน็ กรด-เบส หรือค่า pH เปน็ สมบัตทิ างเคมีของดนิ มผี ลต่อระดบั ธาตุ
อาหารและชีวภาพในดนิ
ดินท่ีมคี ่า pH ตำ่ กวา่ 7.0 เรียกวา่ ดนิ เปน็ กรด
ดินทมี่ ีคา่ pH เท่ากับ 7.0 เรยี กว่า ดนิ เปน็ กลาง
ดินทม่ี ีค่า pH มากกว่า 7.0 เรยี กว่า ดนิ เปน็ เบส
28. ปัญหาเกีย่ วกับดิน เกิดจาก
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
480 ค่มู อื เตรยี มสอบ
1) ธรรมชาติ เช่น กระแสนำ้ กระแสลม ชะล้างและพดั พาทำให้สภาพพน้ื ผวิ ดนิ
เปลี่ยนแปลง
2) การกระทำของมนุษย์ เช่นการใสส่ ารเคมีและสารกำจัดศัตรพู ชื ลงในดินมากเกนิ ไปการ
เพาะปลูกพืชเพียงชนิดเดียวติดต่อกันเป็นเวลานาน เป็นต้น
29. ดินเปรยี้ ว หมายถึง ดนิ ท่มี ีสภาพเปน็ กรด มีค่า pH ตำ่ กวา่ 7 พบในดินที่ใช้
เพาะปลูกพืชหรอื ดินที่ใสป่ ุ๋ยวิทยาศาสตร์เป็นเวลานาน
30. สาเหตทุ ท่ี ำใหด้ ินเปรีย้ ว เกดิ จาก
1) นำ้ ชะล้างแรธ่ าตทุ ี่เปน็ ดา่ งออกจากดินลงสู่แหลง่ น้ำทำใหด้ นิ มีสภาพเปน็ กรด
2) การสลายตัวของอินทรียวัตถุ
3) การใสป่ ๋ยุ วิทยาศาสตร์บางชนดิ เปน็ เวลานานหลายปี
31. การแกไ้ ขดินเปรีย้ ว มีหลายวิธีข้ึนอย่กู บั สภาพของดินและความเหมาะสม
1) ใชห้ ลกั การเดยี วกับการทำสารทีม่ ีสภาพเป็นกรดให้มสี ภาพเปน็ กลางดว้ ยการใส่สารที่มี
สภาพเป็นดา่ งลงในดนิ ใหม้ ปี ริมาณเทา่ กบั ความเป็นกรดทง้ั หมดในดิน สารที่ใช้ เช่น ปูนขาวหรือ
ปูนม์ล
2) ใชน้ ำ้ ชะล้างความเปน็ กรด โดยปลอ่ ยน้ำให้ทว่ มขังแปลงแลว้ ระบายออกประมาณ 2-3
ครั้ง
3) ใชท้ ัง้ วิธที ่ี 1 และ 2 ร่วมกันเปน็ วธิ ที ่สี มบรู ณท์ ่ีสดุ
32. ดินเคม็ หมายถงึ ดนิ ทม่ี ีเกลอื ทลี่ ะลายนำ้ ไดล้ ะลายอยู่ในปริมาณสูง
3-. ดินเค็มในประเทศไทย แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1) ดินเค็มชายฝ่งั ทะเล เกดิ จากอิทธิพลของน้ำขน้ึ น้ำลง
2) ดินเค็มบก เกดิ จากน้ำใตด้ ินเค็ม ตะกอนน้ำกร่อย หรอื น้ำเคม็ ที่ทบั ถมมานาน ขึน้ อยู่กับ
ลักษณะภมู ปิ ระเทศ
34. การแก้ไขปรับปรุงดินเคม็
1) เตมิ แคลเซยี มซัลเฟตหรอื กำมะถันผลลงในดินเพ่ือปรับสภาพดนิ ให้กลายเป็นเกลือ
โซเดียมซลั เฟตที่น้ำชะล้างออกได้งา่ ย
2) การทดน้ำจดื เขา้ ไปละลายเกลอื และชะลา้ งเกลือทเ่ี ป็นสาเหตทุ ำใหด้ นิ เคม็ ออกไปจากดิน
โดยทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 481
35. ดินขาดความอุดมสมบรู ณ์ หมายถึง ดนิ ที่มปี ริมาณแร่ธาตุที่ตอ่ การเจริญเตบิ โต
ของพชื นอ้ ย ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเตบิ โตของพืช
36 สาเหตุท่ที ำให้ดนิ ขาดความอุดมสมบูรณ์ เช่น การพังทลายของหน้าดินเนื่องจาก
น้ำและลม การเพาะปลูกพชื เพียงชนิดเดียวโดยไมห่ มนุ เวียน การเพาะปลูกและเตรยี มดินก่อน
เพาะปลูกไมถ่ กู วธิ ี
37. วธิ ปี ้องกนั การพงั ทลายของหนา้ ดิน ทำได้โดยการปลูกพืชคลมุ ดิน การปลกู พชื
แบบข้นั บันไดตามไหล่เขา การปลูกพืชหมนุ เวยี น
38. ดินฝาด เป็นดนิ ที่มีสภาพเปน็ เบสมาก ไม่เหมาะกับการเจริญเตบิ โตของพืช เปน็
สภาพของดนิ ทแ่ี กไ้ ขปรับปรงุ ยาก มีความซับซอ้ นมาก
39. ดินทรายจดั หมายถึง ดินที่มีเนือ้ ดินเป็นดินทรายหรือดนิ ทรายร่วน ดินร่วนเปน็ ชน้ั
หนามากกวา่ 50 เซนตเิ มตร ดินมีความอุดมสมบูรณ์
40. วธิ แี ก้ไขดินทรายจัด ทำได้โดย 1) ปลกู พชื คลุมดิน 2) อนิ ทรยี ์ควบคูก่ ับปุ๋ยเคมลี ง
ในดนิ
41 ดนิ ตืน้ หมายถึง ดนิ ท่ีมีเนื้อดินน้อยเน่อื งจากมีลูกรัง ก้อนกรวด ศลิ า หรือเศษหิน
ปะปนอยู่ในดินต้ืนกว่า 50 เซนติเมตร เป็นดินทม่ี ีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ
42. การอนรุ กั ษ์ดิน หมายถึง การใชด้ นิ ให้ถกู ต้องตามวิธีการเกษตรรอปยุ๋ ใหม่ และใช้
ให้เกิดประโยชนม์ ากที่สดุ
43. วธิ กี ารอนุรกั ษด์ นิ ทำไดโ้ ดย
1) การปลูกพชื หมุนเวียน พืชท่ีนำมาปลูกต้องมีความต้องการแร่ธาตุแตกต่างกนั
2) การปลูกพชื คลุมดนิ พชื ท่ีนำมาปลูกต้องมีใบหนา รากมากและยาวหย่ังลึก และมี
ประโยชน์ต่อดนิ
3) การคลุมดนิ วัสดทุ ี่ใชค้ ลุมดนิ เชน่ เศษหญา้ ฟาง ขีเ้ ลอ่ื ย มลู สัตว์ และเศษเหลอื ของพืช
4) การปลูกพชื แบบข้ันบนั ได เป็นการสรา้ งคัดดินหรือแนวหนิ ขวางความลาดเอียงของ
พืน้ ทแ่ี ลว้ ปลกู พืชบนข้ันบนั ได
5) การปลูกพชื ตามแนวระดับ เป็นการไถพรวนดินตามแนวระดับเดียวกันขวางความลาด
เอียงของพืน้ ที่ แล้วปลูกพืชตามแนวระดับ
44. หิน (Rocks)เปน็ ของแขง็ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเป็นสารผสมที่เกิดจากการเกาะ
ตวั กนั แน่นของแรซ่ ึ่งอาจเป็นแรช่ นดิ เดยี วกนั หรอื แรห่ ลายชนิด หรือเป็นสารผสมของแรก่ บั ซากดึกดำ
บรรพ์ หรือของแข็งอืน่ ๆ
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
482 ค่มู อื เตรยี มสอบ
45. หินแตล่ ะชนดิ จะมีสมบตั ิเฉพาะตัว เรยี กวา่ สมบัติของหนิ
46. สมบัติของหิน แบง่ เปน็ 2 ประเภท ดังนี้
1) สมบัติทางกายาภพ เป็นสมบตั ิที่สามารถสงั เกตเหน็ และตรวจสอบได้งา่ ยดว้ ยตาเปล่า
หรอื ใชแ้ วน่ ขยายส่องดจู ากลกั ษณะภายนอกของหิน เช่น ความแขง็ สี เนอ้ื หิน การเรียงตัวเป็นชนั้
การจดั เรยี งตวั ของผลึกแร่ เป็นตน้
2) สมบัติทางเคมี เปน็ สมบัติทเี่ กี่ยวข้องกบั โครงสรา้ งภายในของหินสามารถตรวจสอบได้
โดยดกู ารเปลีย่ นแปลงเม่ือเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี เชน่ หยดกรดลงบนหิน หินบางชนดิ ทำปฏิกิรยิ ากับกรด
ได้ฟองแก๊ส และทำใหด้ ินถูกกัดกรอ่ น
47. ประเภทของหนิ จำแนกตามกระบวนการเกดิ และส่วนประกอบของเนื้อหนิ ได้ 3
ประเภท คอื 1) หินตะกอน 2) หินอัคนี 3) หนิ แปร
48. หนิ ตะกอน (Sedimentary Rocks)เกดิ จากการสะสมทบั ถมของตะกอนขนาด
ต่าง ๆ กนั หรอื อาจเกดิ จากการตกตะกอนของสารละลายน้ำทะเล หรอื การสะสมทบั ถมของซาก
สิ่งมีชีวติ ในทะเล เช่น ซากเปลือกหอย ปะการังในทะเลแล้วแขง็ ตัวกลายเป็นหิน หินตะกอนส่วนใหญ่
มลี ักษณะเป็นช้นั ๆ
49. ตะกอน (Sediment) คือ เศษหิน ดิน แร่ และอินทรยี วตั ถุที่เกิดจากกระบวนการ
ผุสลายและพงั ทลาย ตะกอนเหลา่ นจ้ี ะถกู น้ำ ลม หรือธารนำ้ แข็งพามาสะสม
50. กระบวนการท่ีเกี่ยวข้องกับการเกดิ หนิ ตะกอน คือ การกดั กร่อน การผุพงั การพัด
พา การตกตะกอน การทับถม การแข็งตวั กลายเปน็ ดนิ
51. สารทช่ี ว่ ยเชอื่ มประสารตะกอนใหเ้ กดิ เปน็ หินตะกอน คือ แรธ่ าตุตา่ ง ๆ ทีล่ ะลาย
อยู่ในน้ำ เช่น แคลเซยี มคาร์บอเนต (นำ้ ปนู ) เหล็ก ออกไซด์ (นำ้ สนมิ เหลก็ ) นำ้ ซลิ ิกา และน้ำโคลน
เป็นต้น
52. การตกตะกอนในแหลง่ น้ำน่งิ ตะกอนที่มีขนาดใหญ่จะตกตะกอนก่อนอยา่ งรวดเรว็
ทับถมกันเป็นชั้นอยู่ด้านล่างสุดส่วนตะกอนท่มี ีขนาดเล็กจะตกตะกอนทหี ลงั และสะสมตวั ทบั ถมกัน
อยชู่ ั้นบนขึน้ มาตามลำดบั ทำใหเ้ กิดเปน็ ชัน้ ตะกอนเรยี งขนาดจากเมด็ ใหญ่ขนึ้ ไปหาเม็ดเลก็ โดยมี
ตะกอนของดินละเอยี ดตกตะกอนประสานตามช่องว่างของตะกอนขนาดใหญ่
ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 483
53. การตกตะกอนในแหล่งน้ำไหล ในแหลง่ น้ำไหลจะเกิดการคลมุ ตะกอนท่ีมขี นาด
ใกล้เคียงกัน ขนาดของตะกอนขนึ้ อยกู่ ับระยะทางท่ีนำ้ พัดพาตะกอนมาจากแหล่งกำเนิดตะกอน ยิ่ง
นำ้ พัดพาตะกอนมาไกลจากแหลง่ กำเนดิ มากตะกอนก็จะยงิ่ มีขนาดเล็กลงมาก
54 หนิ ตะกอนเป็นหนิ ที่มที รพั ยากรแรอ่ ยมู่ าก เป็นแหล่งทพ่ี บน้ำมันแกส๊ ธรรมชาติ
ถา่ นหิน และแรโ่ ลหะบางชนดิ เช่น เหล็ก แมงกานสิ นอกจากนี้ยังพบซากดึกดำบรรพ์ของส่งิ มีชีวิต
ดว้ ย
55. ซากดึกดำบรรพ์ (Fossil) คือส่วนทเ่ี หลอื ของซากส่งิ มีชีวิตท่ถี ูกทับถมในชนั้ หิน ซึ่ง
อานเปน็ ส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกายสัตว์ เชน่ โครงกระดูก ฟนั เขา เปลือกหอย และส่วนของพชื หรือ
เพียงรอ่ งรอยของสง่ิ มชี วี ติ ทเี่ หลอื ไวข้ ณะทย่ี ังมีชีวติ อยู่ เชน่ รอยเท้า เปน็ ต้น
56. ประเภทของหินตะกอน จำแนกตามกระบวนการเกดิ และแหลง่ วัตถกุ ำเนดิ ได้ 3
กลุม่ คือ
1) หินตะกอนเนอ้ื ประสม เกิดจากการสะสม ทบั ถมของตะกอนขนาดตา่ ง ๆ เช่น กรวด
ทราย ดนิ ทำให้เกิดเป็นหินตะกอนชนดิ เม็ด
2) หนิ ตะกอนท่เี กดิ จากสารอินทรยี ์ เกดิ จากการย่อยสลายและการทับถมของซากส่ิงมีชวี ติ
เชน่ ซากปะการัง เปลอื กหอย ซึ่งซากเหลา่ น้ีจะแขง็ ตวั กลายเปน็ หนิ
3) หินตะกอนเคมีอนินทรยี ์ เกดิ จากการแข็งตัวของสารละลายท่ีมีแร่ธาตุชนิดเดยี วกันหรือ
หลายชนิดมาตกตะกอนอยรู่ วมกนั เมื่อน้ำระเหยออกไปแล้วแร่ธาตเุ หลา่ นกี้ ็จะแข็งตัวกลายเป็นหิน
57. หนิ ตะกอนเนอื้ ประสม เปน็ หินตะกอนชนดิ เม็ดพบเห็นไดม้ ากทีส่ ดุ เชน่
1) หินกรวดเหล่ียม (Breccia)ลกั ษณะเน้ือหิน เนอ้ื หยาบ ประกอบดว้ ยกรวดทมี่ ีลักษณะ
เปน็ รูปเหล่ียม สว่ นใหญ่เม็ดตะกอนมขี นาดใหญ่กว่า 2 มลิ ลเิ มตรข้ึนไป
แหล่งทพ่ี บ พบมากบริเวณท่ีราบสูงโคราช เชน่ นครราชสมี า ชยั ภมู ิ บุรีรมั ย์ กาฬสนิ ธุ์
ประโยชน์ใชใ้ นอุตสาหกรรมก่อสรา้ ง เป็นหินประดบั เปน็ หินแกะสลกั
2) หินกรวดมน (Conglomerate) ลักษณะเน้อื หิน เน้ือหยาบ ประกอบดว้ ยกรวดที่มี
ลกั ษณะมน สว่ นใหญเ่ ม็ดตะกอนมีขนาดใหญ่กวา่ 2 มลิ ลิเมตรขึน้ ไป
แหล่งท่พี บ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทุกจังหวดั และภาคใตบ้ างแหง่ ประโยชน์ใช้ใน
อุตสาหกรรมก่อสร้าง เห็นหินประดับ เป็นหินแกะสลกั
3) หินทราย (Sandstone) ลกั ษณะเนอื้ หนิ เนื้อหยาบถึงละเอยี ด เม็ดตะกอนมขี นาด
0.062-2 มิลลิเมตร ประกอบดว้ ยเศษหิน เศษแร่ ท่มี ลี กั ษณะกลมหรอื เหล่ยี มแหล่งท่พี บ ที่ราบสูง
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
484 ค่มู อื เตรยี มสอบ
โคราช เชน่ นครสมี า ชัยภมู ิ กาฬสนิ ธ์ุ ขอนแกน่ บรุ ีรัมย์ และภาคใต้ เช่น สรุ าษฎรธ์ านีประโยชน์
เปน็ หนิ ประดับ ใชใ้ นการก่อสร้างและแกะสลัก
4) หินทรายแป้ง (Siltstone) ลกั ษณะเน้ือหนิ เน้อื ละเอียด ประกอบดว้ ยเม็ดทรายขนาด
เลก็ ทเี่ รยี กวา่ ทรายแปง้ เม็ดตะกอนมีขนาดประมาณ 0.003-0.062 มลิ ลิเมตรแหลง่ ท่ีพบ ทรี่ าบสูง
โคราชประโยชนใ์ ช้ทำหินลบั มดี และหนิ ประดับ
5) หนิ โคลน (Mudstone) ลักษณะเน้อื หนิ เน้ือละเอียดมาก เมด็ ตะกอนมีขนาดน้อยกวา่
0.003 มลิ ลิเมตร ประกอบดว้ ยดนิ เหนียวและทราบแป้ง ไม่มแี นวแตกถี่ และมองเหน็ แถบเปน็ ข้ันไม่
ชดั เจนแหลง่ ทพี่ บ พบทัว่ ไปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือประโยชน์ ใชใ้ นอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ เซรา
มิก
6) หนิ ดานดาน (Shale) ลกั ษณะเนื้อหนิ เนื้อละเอียดมาก เมด็ ตะกอนมีขนาดน้อยกว่า
0.003 มิลลิเมตร ประกอบดว้ ยดนิ เหนียวและทรายแปง้ มลี กั ษณะเปน็ ชน้ั และมีแนวแตกถ่ี ถ้าเน้อื หิน
ประกอบดว้ ยดนิ เหนียวชน้ั หนาไมม่ ีแนวแตกถ่ี เรียกวา่ หินเคลย์แหล่งที่พบ ภเู ก็ต สรุ าษฎรธ์ านี เลย
สงขลา กาญจนบรุ ี สระบุรีประโยชน์ ใช้ในอตุ สาหกรรมปซู ีเมนต์ เซรามกิ
58. หนิ ตะกอนท่ีเกดิ จากสารอนิ ทรีย์ เช่น
1) หินปนู (Limestone) ลกั ษณะเน้ือหิน เน้ือแน่น ประกอบด้วยแร่แคลไซต์เป็นส่วนใหญ่
แหลง่ ท่พี บ ราชบรุ ี กาญจนบุรี เพชรบรู ณ์ สระบุรี ลพบุรีประโยชน์ ใชใ้ นงานก่อนสรา้ ง ทำปูนซเี มนต์
ปูนขาวใชใ้ นอตุ สาหกรรมฟอกหนงั และน้ำตาล
2) หนิ ชอล์ก (Chalk)ลักษณะเน้ือหนิ เนื้อละเอยี ด มรี ูพรุน ประกอบดว้ ยแคลเซยี มอ
คารบ์ อเนต ทจี่ บั ตวั กันไม่แน่น และแตกหักได้งา่ ยประโยชน์ ทำปูนซเี มนตเ์ กิดหินงอกหินย้อยทำให้
เกิดทศั นยี ภาพท่สี วยงาม
59. หนิ ตะกอนเคมีอนินทรีย์ บรเิ วณทพี่ บหินกลุ่มนี้แตเ่ ดิมจะเป็นทะเลสาบหรือทะเล
มาก่อน
1) เกลือหิน เกิดจากแร่ทต่ี กตะกอนจากนำ้ ทะเลในรปู การระเหย ประกอบด้วยแร่แฮไลด์
เมือ่ ใช้มือสมั ผสั จะรสู้ ึกว่ามคี วามชนื้
2) หินปูน เนอ้ื ละเอียด เกิดจากซากส่ิงมีชีวติ ในทะเลทับถมกนั หรอื อาจเกดิ ในแหลง่ น้ำจืด
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 485
60. หินอัคนี (Igneous Rocks) เกดิ จากการเยน็ ตวั และแขง็ ตัวของหินหนืดท่ีอย่บู น
เปลอื กโลกและใต้เปลือกโลก เน้ือหนิ มีลกั ษณะเป็นผลกึ เกยี่ วประสานกนั บางชนดิ อาจเป็นเน้ือแกว้
หรอื มีฟองอากาศ ทุบให้แตกคอ่ นข้างยาก
61. หนิ หนืด เป็นหินหลอมเหลวละลายทม่ี ีอุณหภูมิสงู มตี ้นกำเนดิ อย่ใู นสว่ นลึกใต้
เปลอื กโลก เม่ืออยภู่ ายในเปลอื กโลกเรียกว่า แมกมา (Magma)เมอ่ื เกิดการระเบดิ หรือประทุออกมา
บนผิวเปลือกโลกเน่ืองจากการระเบดิ ของภูเขาไฟ เรียกวา่ ลาวา (Lava)
62. การเกดิ หนิ อัคนี มี 2 วิธี ไดแ้ ก่
1) เกดิ จากการเยน็ ตวั ของแมกมา เรียกว่า หินอคั นีแทรกซอน เมื่อแมกมาท่ีอย่ใู ต้เปลอื ก
โลกดนั ตัวแทรกขึน้ มาตามรอยแตกของชัน้ หนิ และอยูใ่ นสภาวะท่ีอุณหภมู ิลดลง แมกมาจะเกดิ การ
เย็นตวั และแข็งตัวอย่างช้า ๆ ภายใตเ้ ปลือกโลกเกดิ เปน็ ผลึกแร่ขนาดใหญ่ กลายเปน็ หนิ ที่มีลักษณะ
เนือ้ หยาบ แน่นแข็ง มีแร่หลายชนดิ เกาะแน่น
2) เกิดจากการเยน็ ตวั ของลาวา เรยี กวา่ หนิ อัคนีพุหรือหินภูเขาไฟ เมอื่ ภูเขาไฟระเบิดหนิ
หนดื จะถกู พน่ หรือพุ่งขึน้ มาบนพ้นื ผิวโลกเรียกว่าลาวา่ เมื่อลาวาไดร้ ับความเยน็ บนพืน้ ผวิ โลกจะเกดิ
การแขง็ ตัวอยา่ งรวดเรว็ เกิดเปน็ หนิ ทม่ี ลี ักษณะเปน็ รพู รนุ และบางสว่ นมลี กั ษณะเน้อื เนียนเปน็ แกว้
นอกจากน้ียงั มลี าวาบางสว่ นถูกดนั ตามขน้ึ มาแลว้ ไหลไปตามพื้นผิวโลกเกดิ การตกผลึกกลายเป็นหิน
ลกั ษณะเนอ้ื แน่นละเอียดผลกึ ขนาดเลก็
63. หินอัคนีท่เี กดิ จากการแขง็ ตัวใตเ้ ปลอื กโลก เชน่
1) หินแกรนิต (Granite) ลักษณะเนอื้ หิน เนื้อหยาบถึงหยาบมาก เน้ือหินสมำ่ เสมอ
ประกอบด้วยแร่หลายชนดิ ผลกึ แรเ่ กาะกันแนน่ สามารถมองเห็นผลึกแรไ่ ดด้ ว้ ยตาเปลา่ แหลง่ ทพ่ี บ
จันทบุรี เลย ลำปาง ตาก ภูเก็ตประโยชน์ ทำหินประดบั ปูพน้ื ผนังอาคาร เป็นหินแกะสลกั เป็นหิน
ต้นกำเนดิ แร่ดีบุก
2) หินแถบโบร(Gabbro)ลักษณะเน้ือหนิ เนื้อหยาบ ผลึกแรม่ ขี นาดใหญ่ มสี เี ข้มแหล่งท่ี
พบ อตุ รดิตถ์ เชียงราย ลำปาง ระยอง นครราชสมี าประโยชน์ ใชเ้ ปน็ หินประดบั
3) หินไดออไรต์(Diorite) ลกั ษณะเนื้อหิน เนือ้ หยาบ สว่ นใหญผ่ ลกึ มขี นาดเดียวและ
สม่ำเสมอ มสี ดี ำ และสที าเขม้ ประกอบดว้ ยแรเ่ ฟลด์สปาร์ และแร่ฮอรน์ แบลนด์แหล่งทพี่ บ สระบุรี
เลย เพชรบูรณ์ ลพบุรี นครราชสมี าประโยชน์ ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสรา้ ง เป็นหนิ ประดับ ทำครก
64. หนิ อัคนีที่เกิดจากการแข็งตวั บนพ้นื ผวิ โลก เช่น
1) หินพัมมิซ(Pumice) ลกั ษณะเนื้อหนิ เป็นรูพรุน มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ลอยน้ำได้
แหลง่ ที่พบ พบมากบรเิ วณชายฝงั่ ทะเลประโยชน์ ใช้ทำวัสดุขัดถู
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
486 ค่มู อื เตรยี มสอบ
2) หินไรโอโลต์(Rhyolite)ลักษณะเนื้อหิน เน้ือละเอยี ดมาก ประกอบดว้ ยผลึกแร่หลาย
ชนดิ แร่มสี อี ่อน ขาว ชมพู และเทาแหล่งที่พบ สระบรุ ี ตาก ลพบรุ ี เพชรบูรณ์ เลย ประโยชน์ ใชใ้ น
อตุ สาหกรรมเซรามิกและการกอ่ สรา้ ง
3) หินบะซอลต์(Basalt) ลักษณะเน้ือหิน เน้ือแนน่ ละเอียด มีรูพรุน มสี ีคลำ้ ไม่แวววาว
แขง็ และทนทานแหล่งที่พบ จันทบุรี ตราด กาญจนบรุ ี บรุ รี ัมย์ ศรสี ะเกษ ลำปางประโยชน์ ใช้ใน
อตุ สาหกรรมก่อสร้าง และเป็นหนิ ตน้ กำเนดิ อญั มณี
4) หนิ แอนดไี ซต์(Andesite) ลักษณะเนื้อหิน เน้ือละเอยี ดแน่นทบึ ประกอบดว้ ยผลกึ
ละเอียด กระจัดกระจายอยู่ ผลกึ มีสีมว่ ง เขยี ว เทาแก่ และดำเขม้ แหลง่ ท่พี บ สระบรุ ี ตาก เพชรบูรณ์
ประจวบครี ีขนั ธ์
ประโยชน์ ใช้ทำถนน ทางรถไฟ ใช้ในการกอ่ สรา้ ง เป็นหินประดบั และทำครก
5) หนิ ออบซเิ ดียน(Obsidian) ลกั ษณะเน้ือหนิ เน้ือเปน็ แกว้ สีดำ เรยี บ มนั เมอื่ แตก รอย
แตก คมเหมือนแก้วแตกแหล่งทพ่ี บ ยงั ไม่พบในประเทศไทยประโยชน์ สมยั โบราณใชท้ ำใบหยก
65. หนิ แปร (Metamorphic Rocks) คือ หนิ ทเี่ กิดขึน้ ภายในช้นั เปลือก โดย
เปลย่ี นแปลงมาจากหินเดิมซ่งึ อาจเป็นหินอัคนี หนิ ตะกอหรือหนิ ก็ได้การเปล่ยี นแปลงเหลา่ น้ี
เกิดข้ึนในสถานะของแข็งไม่ผ่านการหลอมละลาย
66. ปจั จัยสำคญั ที่ทำให้หนิ แปรสภาพ คอื ความร้อนและความ นอกจากน้ยี งั มีสาเหตุ
อ่ืนอีก เชน่ การเคล่ือนไหวของเปลือกโลก การ ของช้นั หินทอ่ี ย่ดู า้ นบน และการมีของเหลว
แทรกซึมเขา้ ทำปฏกิ ิรยิ า กับหนิ ในบริเวณน้นั ๆ ทำให้เน้ือหนิ เกดิ การเปล่ียนแปลง
67. สาเหตุสำคัญท่ีทำให้หนิ เกดิ การแปรสภาพเปน็ หินแปร ประการดงั นี้
1) การแปรสภาพโดยความร้อน หรือการแปรสภาพสัมผัส จากหินหนดื ดันตวั แทรกไปใน
รอยแตกของชั้นหนิ แล้วกลายเป็นหินอคั นีแทรกซอน ความร้อนของหนิ อัคนีแทรกซอนจะทำให้
แร่ในหินเดิมเกิดผลึกใหม่ อาจมผี ลกึ แร่ชนดิ ใหมห่ รอื ใหญข่ ้ึนกวา่ เดิม และ ต่อการแปรเปลีย่ น
เนื้อหินเกิดเป็นหนิ แปร หนิ แปรประเภทน้ีจะเปน็ หินไม่มีรว้ิ ขนาน เช่น หนิ อ่อน หนิ ควอตซ์ไซด์
และหินฮอรน์ เฟลส์ เป็นตน้
2) การแปรสภาพโดยแรงอัดสงู หรือการแปรสภาพบรเิ วณไพศาลสว่ นใหญจ่ ะเกิดข้ึน
บริเวณมุตัวของแผ่นเปลือกโลกและเกดิ หินอัคนีแทรกซอนขนาดมวลไฟศาลในชว่ งการก่อเกิด
เทือกเขาความดนั มหาศาลจะทำให้ช้ันหิดมกี ารคดโคง้ เกิดรอยแตก การเล่ือนและบดบีเ้ ปน็
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 487
บริเวณกว่างทำใหเ้ กิดการแปรสภาพหินอย่างซบั ซอ้ น หนิ แปรประเภทน้ีจะมลี ักษณะเปน็ รว้ิ
ขนาด เชน่ หนิ ชนวน หินฟิลไลต์ หนิ ชีสต์ หนิ ไนส์ หินแอนทราไซด์ เป็นต้น
68. หินแปรท่ีมลี กั ษณะไมเ่ ป็นร้ิวขนาด ได้แก่
1) หินควอตซไ์ ซต์(Quartzite) แปรสภาพมาจากหนิ ทรายลักษณะเนอ้ื หิน เปน็ เมด็ แน่น
แขง็ เมื่อแตกจะมีรอยแตกเว้าโค้งแบบหินหอย ประกอบด้วยแรค่ วอตซ์ เฟลดส์ ปาร์ และไมกา
แหล่งที่พบ เชยี งใหม่ ตาก ชลบุรี ราชบรุ ีประโยชน์ ใชท้ ำหินกอ่ สร้าง ใชร้ องพน้ื ถนน เป็นกรวด
คอนกรีต ทำหนิ อัดเม็ด และใชท้ ำวัสดุทนไฟ
2) หินอ่อน (Marble)แปรสภาพมาจากหนิ ปูน หนิ โดโลไมตล์ กั ษณะเนอ้ื หิน มีลกั ษณะ
ละเอยี ดถึงหยาบ แวววาว หินออ่ นที่บรสิ ทุ ธ์ิจะมีสีขาวแหลง่ ทพ่ี บ สระบรุ ี สุโขทยั ชัยนาท
เพชรบรุ ี ประจวบคีรขี นั ธ์ นครนายก และยะลาประโยชน์ ใช้เปน็ วสั ดกุ ่อสรา้ ง ทำหินประดับ
อาคาร บา้ นเรือน และเป็นหินแกะสลกั
69. หนิ แปรที่มลี ักษณะเป็นรว้ิ ขนาด ไดแ้ ก่
1) หินชนวน (Slate) แปรสภาพมาจากหินดินดาน หนิ ทัฟฟ์ ลกั ษณะเน้ือหิน เนื้อละเอียด
แน่น เห็นเปน็ ช้ันชดั เจน ผลึกแร่เรยี งตัวขนานไปทางเดยี วกัน ผิวหนา้ เรียบ แซะเปน็ แผน่ ได้งา่ ย
ประกอบด้วยแร่ดนิ แรแ่ อลไบต์ และควอตซ์แหล่งท่ีพบ สระบุรี กาญจนบุรี สงขลา นครราชสีมา
ประโยชน์ ใชท้ ำหนิ ประดับ มุงหลงั คา ทำกระดานชนวน และทำแผน่ ปูพ้ืนทางเดนิ ในสวน
2) หินชสี ต(์ Schist)แปรสภาพมาจากหนิ ดนิ ดาน หินทัฟฟ์ลักษณะเนอื้ หนิ เน้ือหยาบ เป็น
แผ่นแร่เรยี งตวั ขนานกนั ประกอบด้วยแร่ไมกา คลอไรต์ ฮอร์นเบลนด์ ควอตซ์ เฟลดส์ ปาร์ และ
การเ์ นต
3) หินฟิลไลต์(Phyllite)แปรสภาพมาจากหนิ ดนิ ดาน หินทฟั ฟ์ลักษณะเนื้อหิน คล้าย
หนิ ชนวน แต่เน้ือหยาบกวา่ แรเ่ ปน็ ชนั้ เรยี งขนานกัน ริว้ รอยขนานจะคดโคง้ เปน็ ลกู คลื่นเลก็ ๆ
ผวิ หนา้ ราบและเป็น ประกอบดว้ ยแร่ไมกาแหล่งท่ีพบ เชียงใหม่ กาญจนบรุ ี สงขลา ราชบรุ ี
ประโยชน์ ใชท้ ำหินประดบั และเปน็ วสั ดุถมถนนชวั่ คราวเพราะคุยไมด่ ี
4) หนิ ไนส์(Gneiss) แปรสภาพมาจากหินทราย หินแกรนิตลกั ษณะเนอ้ื หนิ เน้ือแน่นแข็ง
เป็นรวิ้ ขนานถา้ ประกอบด้วยแร่ไบโอโฮอร์นเบลนดจ์ ะมสี ีเข้ม ถา้ มคี วอตซ์ เฟลดส์ ปาร์จะมีสจี างแหล่ง
ท่ีพบ กาญจนบรุ ี เชยี งใหม่ เชยี งใหม่ ตากประโยชน์ ใชท้ ำหนิ ประดบั และใชเ้ ป็นหินก่อสร้าง
70. วัฏจกั รหินเป็นการเปล่ยี นแปลงหมนุ เวียนอย่างต่อเนอ่ื งจาก ประเภทหนึ่ง
เปลยี่ นไปเปน็ หนิ อีกประเภทหนง่ึ ตามกระบวนการเกดิ หนิ
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
488 คมู่ อื เตรยี มสอบ
1) เมือ่ เปลอื กโลกมกี ารเปลย่ี นแปลงจะทำใหห้ นิ ทกุ ประเภทบนผิวโลกเกดิ การผพุ ังสลายตัว
เปน็ เศษหินและตะกอน ตะกอนจะถูกน้ำ ลม ธารนำ้ แข็งพัดพาไปทบั ถมรวมกนั ในบริเวณแหล่งำ้
และทะเลทราย แลว้ จบั ตวั เป็นหินแขง็ เกดิ เปน็ หินตะกอนในเปลอื กโลก
2) เมอ่ื เปลือกโลกเกดิ การเคลื่อนตวั อาจทำให้หินตะกอนถูกตัก กลับข้นึ มาบนพน้ื ผวิ โลก
หรอื อาจจะถูกบีบอัดใหล้ กึ ลงไปในเปลอื กโลกความร้อนและแรงบีบอัดสงู ใต้เปลือกโลกจะเปลี่ยนหนิ
เหลา่ นั้นใหก้ ลายเปน็ หนิ แปร และหนิ แปรก็อาจถูกดันใหโ้ ผล่ขึน้ มาบนพน้ื ดินหรืออาจถูกบบี อัดใหจ้ ม
ลกึ ลงไปใต้โลกและเปลีย่ นสภาพเป็นหินหนืดร้อนเหลว
3) เมอื่ หนิ หนืด (แมกมา) ถูกดนั ขนึ้ สพู่ ้ืนผวิ โลกจะเย็นตวั เป็นหนิ แข็ง เรยี กว่า หินอคั นี
4) เม่อื หินตะกอน หินอัคนี และหินแปร โผล่พ้นผิวดินอีกครั้งก็จะเกดิ การผุพังสลายตัวอีก
เกิดเปน็ วฏั จกั รหมนุ เวยี นเช่นน้ีตอ่ เน่อื งกันไป
71. แร่ (Mineral) เป็นธาตุหรอื สารประกอบอนินทรีย์ทีเ่ กิดขึน้ เองตามธรรมชาติ ส่วน
ใหญจ่ ะพบในรูปสารประกอบ และมแี ร่บางชนดิ พบในรปู ธาตุแรแ่ ตล่ ะชนิดจะมสี มบัติเฉพาะตวั แต่
อาจมีการเปลย่ี นแปลงไดเ้ ลก็ น้อยในขอบเขตทจี่ ำกัด มสี ถานะเปน็ ของแขง็ แรท่ ่ีพบบนเปลือกโลกจะ
เป็นแรท่ แี่ ทรกกระจายอยู่ในหิน เรยี กวา่ แรป่ ระกอบหิน เช่น แร่ควอตซ์ แรเ่ ฟลดส์ ปาร์ แรไ่ มกา แร่
ฮอรน์ เบลนด์ เปน็ ตน้
72. แหลง่ แร่สำคัญที่พบในประเทศไทย
แร่โลหะ
ชือ่ แร่ แหล่งที่พบ
ดบี กุ ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ระนอง พังงาภเู ก็ต สรุ าษฎร์ธานี
นครศรีธรรมราช และจังหวัดอืน่ ๆ เชน่ ราชบรุ ี กาญจนบุรี อทุ ัยธานี ตาก เชยี งใหม่
เชยี งราย แมฮ่ ่องสอน
เหลก็ เลย ลพบุรี กาญจนบุรี
แมงกานีส เลย ลำพนู อุทัยธานี ชลบรุ ี กาญจนบุรี ปตั ตานี
ทง้ สเตนและวุลแฟรม แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี นครศรีธรรมราช เชยี งราย แพร่
ตะกั่วและสังกะสี พบรวมอยู่กับแรเ่ งนิ ท่ี กาญจนบรุ ี แพร่ ยะลา ตาก
แร่โลหะ
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 489
ช่ือแร่ แหล่งท่พี บ
ทองคำ ลำปาง เชียงราย พะเยา เชียงใหม่ ลำพูน แพร่ เลย อตุ รดิตถ์ เพชรบูรณ์
สโุ ขทัย นครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี ฉะเชิงทรา ปราจนี บรุ ี ชลบุรี จันทบุรี
ทองแดง ระยอง กาญจนบรุ ี ราชบุรี ประจวบครี ขี ันธ์ สรุ าษฏรธ์ านี พังงา ภเู ก็ต
เงนิ
นราธวิ าส
เลย ลำปาง อตุ รดติ ถ์
พบเพียงเลก็ นอ้ ยรวมอยู่กบั ตะกั่ว ท่ีกาญจนบุรี
แรโ่ ลหะ
ชอ่ื แร่ แหล่งทพี่ บ
ฟลอู อไรต์ ลำพนู ราชบุรี เพชรบุรี กาญจนบุรี เชยี งใหม่ แมฮ่ ่องสอน ลำปาง
ยปิ ซัม พิจติ ร นครสวรรค์ สรุ าษฏร์ธานี ลำปาง อุตรดิตถ์ เลย
ดินมารล์ กาญจนบรุ ี สระบรุ ี ลพบรุ ี
ดินขาว ลำปาง เชยี งใหม่ ปราจนี บุรี ระยอง ชลบุรี สุราษฏรธ์ านี
เกลือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื เช่น สกลนคร มหาสารคาม ขอนแกน่
หินอ่อน สระบรุ ี
หนิ มคี า่ พลอยสีเหลือง สเี ขยี ว สนี ้ำเงนิ พบทจี่ นั ทบรุ ี, ทบั ทิม เพทาย บษุ ราคัม พบท่ี
กาญจนบุรี จันทบุรี ตราด ศรีสะเกษ แพร,่ เพชร พบเล็กน้อยท่ภี เู ก็ต พงั งา
ถา่ นหนิ ประเทศไทยมลี กิ ไนดม์ ากที่สุด พบทล่ี ำปาง
73. สมบตั ิของแร่ แร่แต่ละชนิดจะมีลักษณะและสมบตั ิทางกายภาพแตกต่างกัน
เน่อื งจากแร่มโี ครงสรา้ งภายในทเ่ี ป็นระเบยี บ มีสตู รเคมีท่ีแน่นอน หรอื อาจจะเปลี่ยนแหลงไดแ้ ต่อยู่
ในวงจำกัด
74. สมบัติทางกายภาพของแร่ สามารถนำมาใช้จัดจำแนกชนดิ ของแร่ไดเ้ ชน่
1) สี เปน็ สมบตั ิเฉพาะตัวของแร่ท่สี งั เกตเหน็ ได้ดว้ ยตาเปลา่ แรส่ ว่ นมากจะมหี ลายสีเพราะมี
องคป์ ระกอบต่างกนั และแร่ชนดิ เดยี วกันอาจจะมีสีตา่ งกันก็ได้ ดงั น้นั การพจิ ารณาจากสีของแร่เพียง
อยา่ งเดยี วจึงไม่สามารถทจ่ี ะจำแนกชนิดของแร่ไดถ้ ูกต้อง
2) สีผงละเอียด แรห่ ลายชนิดจะมสี ีผงเฉพาะตวั ซึ่งตา่ งจากสีของก้อนแรเ่ พราะสขี องกอ้ นแร่
เป็นสีทป่ี รากฏออกมาจากแสงสะท้อน การตรวจสีผงละเอียดของแร่ทำได้โดยนำก้อนแร่ที่ตอ้ งการ
ทดสอบไปขดู บนแผ่นกระเบ้ืองผวิ ดา้ น แลว้ สังเกตสีผงละเอียดท่ีตดิ อยู่บนแผน่ กระเบอ้ื งน้ัน
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
490 คมู่ อื เตรยี มสอบ
3) ผลึกหรือแร่ประกอบหิน แร่แต่ละชนิดจะมลี ักษณะผลึกแตกต่างกันและมีลักษณะ
เฉพาะตวั มรี ปู ร่างเป็นเหลี่ยมเปน็ มมุ ชัดเจน เชน่ หนิ แกรนิตมีผลึกทม่ี รี ูปร่างและสีตา่ ง ๆ แทรก
กระจายอยูท่ ั่วไปในเนือ้ หิน
4) ความวาว เปน็ สมบตั ิที่สงั เกตเหน็ ได้ด้วยตาเปลา่ เกดิ จากผวิ หน้าของแร่มกี ารสะท้อน
แสงและหกั เหแสง แบ่งออกเปน็ 3 แบบ คอื ความวาว แบบโลหะ แบบอโลหะ และแบบกง่ึ โลหะ
5) ความแข็ง เปน็ สมบตั ิในการด้านทานการถกู ครดู หรอื กัดกรอ่ นของแร่ โดยแร่แต่ละชนดิ
จะมคี วามแขง็ และความทนทานต่อการถกู ครดู ถูไดต้ ่างกนั แม่ท่แี ข็งกวา่ จะทำใหเ้ กิดรอยครดู บนผิว
แร่ท่อี ่อนกว่าเสมอ วัดความแข็งจะใชเ้ ปรยี บเทยี บตามระดับความแข็งของมาตราโมส์(Mohs scale)
ที่รคู้ ่าความแขง็ แล้วโดยจะมคี ่าความแข็งเพ่ิมขน้ึ จาก 1-10 เรยี งลำดับ คอื ทัลก์ ยปิ ซมั แคลไซต์
ฟลอู อกไดตอ์ ะพาไทดอ์ อรโ์ ทเคลส ควอตซ์ โทแพช คอรนั ดัม เพชร
6) ความเหนียว แต่แตล่ ะชนิดจะมีความเหนยี วแตกตา่ งกัน เชน่ แร่ทองคำ เงิน ทุบหรอื รีด
เปน็ แผ่นบาง ๆ ได้ แรท่ องแดงดึงเป็นเสน้ ได้ เปน็ ต้น
7) การผา่ นของแสง เปน็ สมบตั ขิ องแรท่ ่ีจะยอมหรือไมย่ อมใหแ้ สงผา่ น โดยสังเกตจากสว่ น
ทบ่ี างของขอบหรือมุมของกอ้ นแร่ แบง่ ออกเป็น 3 ชนดิ คือ โปรง่ ใส โปร่งแสง และทบื แสง
8) ความหนาแน่นสมั พัทธ์ คือ ค่าความหนาแนน่ ของสารต่อความหนาแน่นของน้ำ
เนือ่ งจากความหนาแนน่ ของสารต่างชนิดกันมีคา่ ต่างกนั ดงั นั้นความหนาแนน่ สมั พทั ธ์ของสารต่าง
ชนิดกันจงึ ต่างกนั ดว้ ย
75 ชนิดของแร่ จำแนกโดยใชช้ นดิ ของแรท่ ่ีต้องนำมาถลงุ แร่ก่อนใช้ และชนิดของแรท่ ่ี
นำมาใช้ไดโ้ ดยตรงเป็นเกณฑ์แบ่งได้ 2 กลุม่ คือ แรโ่ ลหะ แรอ่ โลหะ
75. แร่โลหะ เกดิ จากโลหะทำปฏิกริ ยิ ากบั ธาตุอโลหะ ดังนัน้ ก่อนจะนำแรโ่ ลหะมาใช้
ประโยชนจ์ ึงตอ้ งแยกแรโ่ ลหะให้ได้โลหะบริสทุ ธก์ิ ่อนเรยี กการถลุงแร่
76. สินแร่ คอื แร่โลหะท่ียังไมผ่ า่ นการถลุงแร่
77. การถลุงแร่ เปน็ กระบวนการแยกเอาโลหะออกจากสินแรโ่ ดยใช้ปฏิกริ ิยาทางเคมี
และความร้อนสงู สนิ แรช่ นดิ หน่ึงอาจมีแรโ่ ลหะอยูเ่ พียงชนิดเดียวหรอื หลายชนดิ เช่น สนิ แรท่ องแดง
เมือ่ นำมาถลงุ อาจจะไดแ้ ร่ทองแดง สังกะสี ตะกว่ั และทองคำ เป็นตน้
78. ประโยชน์ของแร่โลหะชนิดต่าง ๆ
ชอ่ื แร่ ประโยชน์
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 491
ดีบุก ทำแผน่ เหลก็ ชดุ ดีบกุ ทำภาชนะบรรจุอาหาร เคลือบโลหะอื่น ทำโลหะผสม เป็นโลหะ
บดั กรี และเป็นส่วนผสมของสีทาบ้าน
พลวง ใชท้ ำโลหะผสม เช่น ผสมกบั ตะก่วั เพอ่ื ทำแผ่นแบตเตอร่ีผสมกับตะกวั่ และดบี ุกเพ่อื ทำ
ตวั พิมพ์ใชท้ ำสารก่ึงตวั นำ
ทองคำ เป็นสนิ ทรพั ย์สำรองใช้แทนเงินตรา ทำเหรียญ ทำเคร่ืองประดับและใช้ในวงการทนั ต
แพทยเ์ ครอ่ื งมอื วิทยาศาสตร์
เหลก็ ใช้ในอตุ สาหกรรมเหลก็ กลา้ และเหล็กแปรรูปตา่ ง ๆ เป็นสว่ นผสมในปนู ซีเมนต์
คอนกรีตเสรมิ เหลก็ ใชใ้ นอตุ สาหกรรมก่อสร้าง เคร่ืองมือ เครอ่ื งใช้
สังกะสี ใชเ้ คลือบแผน่ เหลก็ เปน็ เหล็กวิลาส ทำสังกะสีมุงหลงั คาทำโลหะผสม เช่น ทองเหลือง
ใช้ทำยา ทำสยี อ้ นผา้ และทำนำ้ ยารกั ษาเน้ือไม้
ทังสเตน ใช้ผสมทำให้เหลก็ กลา้ มีความเหนยี วมาก มีคุณภาพเป็นแมเ่ หลก็ ท่ีมีคุณภาพสูง
และวุล ทงั สเตนบรสิ ุทธใิ ช้ทำหลอดไฟฟ้าและหลอดวิทยุ สารเคมีที่เตรียมขึน้ จากวลุ แฟรมใช้
เฟรม ทำสยี อ้ มผ่า หมึก แกว้ เครื่องเอกซเรย์ และหลอดภาพ
แมงกานสี ใช้ผสมเหลก็ กลา้ ใชใ้ นการถลุงแมกนเี ซยี มและอะลูมิเนียมใช้ในอุตสาหกรรม เช่น ดา่ น
ทบั ทิม สารเคมลี ้างรปู ทำถ่านไฟฉาย สี ปุ๋ย แก้ว และถว้ ยชาม
เงนิ ใช้ทำภาชนะตา่ ง ๆ โลหะผสม เครอื่ งประดับ เหรียญ นำ้ ยาล้างและอัดรูป บดั กรี
ทองแดง ชดุ เงนิ ใช้ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าเพราะเปน็ ตวั นำไฟฟ้าทดี่ ีมาก
แทนทาลมั ใชใ้ นการสร้างเคร่ืองยนต์ไอพ่นและยานจรวดทำอปุ กรณ์ไฟฟ้า อปุ กรณเ์ คร่ือง
คอมพิวเตอร์ และเคร่ืองใช้อเิ ล็กทรอนิกส์
79. แรอ่ โลหะ เปน็ แรท่ ีม่ ีสารอโลหะเปน็ องคป์ ระกอบเป็นส่วนใหญ่ สามารถนำแรม่ า
ใชไ้ ด้โดยตรงไม่ตอ้ งนำไปถลุงเพ่อื แยกหรือทำใหบ้ ริสุทธิก์ ่อน
80. ประโยชนข์ องแรอ่ โลหะชนดิ ตา่ ง ๆ
ชือ่ แร่ ประโยชน์
ยปิ ซัม ทำปูนซเี มนต์ ปนู ปลาสเตอร์ แผ่นยิปซัมบอร์ด ชอล์ก กระดาษ ปุ๋ย
ฟลูออไรด์ ใชถ้ ลุงเหล็กกลา้ ทำกรดผลอู อรกิ ในอุตสาหกรรมอะลมู เิ นยี ม อุตสาหกรรมเคมี
ในการทำเครือ่ งเคลือบใชท้ ำแก๊สท่ีเป็นเลนส์กลอ้ งโทรทรรศน์ ผสมยาสฟี นั
ปอ้ งกันฟันผุ
ดินขาว ใช้ในการทำเคร่อื งปนั้ ดินเผา ถว้ ยชาม อิฐ กระเบื้อง กระดาษ ยาง สี
เครื่องประดบั ของใช้ต่าง ๆ และยา
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
492 ค่มู อื เตรยี มสอบ
ใยหนิ ใชท้ ำผา้ ทนไฟ ผ้าเบรก กระเบ้อื งมุงหลังคา และวัสดุกนั ความร้อน
รัตนชาติ
1) คอรันดัม ใชท้ ำเครือ่ งประดับใชใ้ นอุตสาหกรรมนาฬิกา และการชัดถู
2) เพชร
3) ควอตซ์ ใชท้ ำเคร่ืองประดบั ใชเ้ ป็นหัวเจาะ และทำผงกากเพชร
ใช้ทำเคร่ืองประดับ อตุ สาหกรรมนาฬกิ า และผงขัดต่าง ๆ
81. เช้ือเพลิง หมายถงึ สารท่ีเมื่อเกิดการเผาไหมแ้ ล้วจะใหพ้ ลงั งานความร้อนออกมา
และสามารถนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ เช้ือเพลงิ มธี าตทุ ่ีเป็นองค์ประกอบท่ีสำคัญคือธาตคุ ารบ์ อน (C)
และธาตไุ ฮโดรเจน (H) เม่อื เชือ้ เพลงิ ถูกเผาไหม้ ธาตคุ าร์บอนและไฮโดรเจนจะทำปฏกิ ิริยากบั แกส๊
ออกซิเจนไดพ้ ลังงานความร้อน นำ้ และแก๊สคารบ์ อนไดออกไซต์
82. ประเภทของเชอ้ื เพลิง จำแนกตามแหล่งกำเนิดได้ 2 ประเภท คอื
1) เชื้อเพลงิ ธรรมชาติ เปน็ เชื้อเพลงิ ทเ่ี กิดขน้ึ เองตามธรรมชาติจากพืช สตั ว์ หรอื จากการ
ทับถมของซากพชื ซากสตั ว์เป็นเวลานานหลายปสี ามารถนำมาใช้ประโยชน์โดยไม่ต้องแปรรปู ก่อนก็ได้
เชน่ ฟนื ถ่าน ถา่ นหนิ แก๊สธรรมชาติ หินนำ้ มัน ปิโตรเลยี ม เปน็ ต้น
2) เชื้อเพลิงแปรรูป เปน็ เชื้อเพลงิ ท่ีต้องผ่านกระบวนการในการผลิตกอ่ นจึงจะสามารถ
นำมาใช้ประโยชน์ได้
83 ถา่ นหนิ (Coal)เปน็ เชอื้ เพลิงธรรมชาตทิ เ่ี กดิ จากการสะสมตวั ของซากพืชบกตาม
ธรรมชาติในแอง่ ตะกอนน้ำตื้นท่ีมพี ชื ปกคลุมหนาแนน่
84 การเกิดถ่านหิน มีลำดับขัน้ ตอนดังน้ี
1) บรเิ วณท่ีเปน็ แหลง่ น้ำหรือทีช่ นื้ แฉะจะมีซากพชื สะสมทับถมกนั เป็นจำนวนมาก
2) การเปลีย่ นแปลงของผวิ โลกจะทำให้บรเิ วณนีเ้ กิดการผุพังบ่อยสลายกลายเป็นตะกอนดิน
และหนิ มาทบั ถมซากพืชรวมทั้งการเปล่ยี นแปลงสภาพสิ่งแวดล้อม ทำใหซ้ ากต่าง ๆ ทส่ี ะสมอยู่ไดร้ ับ
แรงกดดันและไดร้ บั ความร้อนจากภายในโลก สง่ ผลใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงทางเคมีและทางกายภาพ
ในบริเวณนี้ ซากเหลา่ น้ีจึงแปรสภาพไปเป็นพีต
3) เมือ่ พีตไดร้ บั แรงกดดันและความร้อนจากาภายในโลกเปน็ เวลานานจะถกู กอัดตัว
กลายเป็นถา่ ยหิน ซึ่งมีลักษณะแตกตา่ งกนั ในแต่ละแหง่ โดยขึน้ อยู่กับลกั ษณะและชนิดของพืช
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 493
85. ชนดิ ของถ่านหิน จำแนกโดยใชป้ ริมาณคารบ์ อน คา่ ความร้อน นำมาเผา และ
ลำดบั การแปรเปลยี่ นสภาพเป็นเกณฑ์ได้ 4 ชนิด คือ
1) พีต(Peat) มีปริมาณคาร์บอน 60%ลกั ษณะ มลี ักษณะท่ยี งั เป็นซากพชื เม่ือแห้งจะติดไฟ
ได้ดเี หมือนกบั ถ่านไม้ เนือ่ งจากเปน็ ลำดับแรกของการเกดิ ถ่านหนิ แหลง่ ท่พี บ บรเิ วณทร่ี าบนำ้ ข้ึนถงึ
ปา่ ชายเลน ปา่ พรุ และหนองนำ้ พีตที่เปน็ ช้นั หนามักจะพบในป่าพรุ เช่น ป่าพรุทีส่ รุ าษฎร์ธานี
นครศรธี รรมราช และนราธิวาส
2) ลิกไนต์ (Lignite)มีปรมิ าณคาร์บอน 55-60%ลักษณะ มีสีเข้ม เน้ือแข็ง มองไม่เหน็
โครงสร้างของซากพชื เพราะเกิดการสลายตัวจนหมด มีความชื้นตำ่ ประโยชน์ ใช้เปน็ เชื้อเพลงิ ใน
โรงงานไฟฟ้า ใช้บม่ ใบยาแหล่งทีพ่ บ อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง อ.เมอื ง จ.กระบ่ี อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา อ.
เวียงแหง จ.เชียงใหม่ และ อ.เคยี นชา จ.สรุ าษฎร์ธานี
3) บิทูมินสั (Bituminous) มีปรมิ าณคารบ์ อน 80-90%ลักษณะ เน้ือแนน่ แข็ง มีสดี ำสนทิ
เป็นมันวาว คุณภาพดี เม่ือเผาไหมแ้ ล้วจะให้คา่ ความร้อนสูง และควนั มากประโยชน์ เปน็ เชอื้ เพลงิ ใน
โรงงานอตุ สาหกรรมและโรงงานไฟฟา้ ใช้ในการถลุงโลหะแหล่งทพ่ี บ อ.ลี้ จ.ลำพดู อ.แม่ระมาด จ.
ตาก
4) แอนทราไซต์(Anthracite)มปี ริมาณคาร์บอนมากกวา่ 86% ลกั ษณะ เนื้อแขง็ สดี ำ
เปน็ มนั วาว มีรอยแตกเวา้ แบบก้นหอย ตดิ ไฟยาก เม่ือเผาไหม้จะใหค้ ่าความร้อนสงู ใหเ้ ปลวไฟสนี ้ำ
เงิน ไมม่ ีควัน เปน็ ถา่ นหินที่มีการแปรสภาพสูงสดุ ประโยชน์ ใชเ้ ป็นเช้อื เพลิงในอุตสาหกรรมต่างๆ
แหล่งท่พี บ สว่ นมากพบเซมแิ อนทราไซต์ท่ี อ.นาดว้ ง จ.เลย และ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู
86. หินน้ำมนั เป็นหนิ ตะกอนเนอ้ื ละเอยี ด สนี ำ้ ตาลออ่ นจนถึงเข้ม เกดิ จากการแปร
สภาพของซากพืชโดยเฉพาะพวกสาหร่ายและซากสัตว์ท่สี ะสมอยู่ในหนิ ตะกอนเป็นเวลานาน จัดเป็น
หนิ ต้นกำเนิดปโิ ตรเลียมชนดิ หนึ่งท่ีมปี ริมาณสารอินทรยี ์สูงถึงร้อยละ 40 สารประกอบอินทรยี ท์ ี่พบ
ในหินนำ้ มนั เรยี กว่าเคอโรเจน เม่อื ไดร้ บั อณุ หภูมิสูงขนึ้ จะสลายตัวให้นำ้ มันดิบแหลง่ ที่พบคอื อ.แม่
สอด จ.ตาก และ อ.ล้ี จ.ลำพูน นำมาเป็นเชือ้ เพลิงในการผลติ กระแสไฟฟ้า และถา้ นำมาสกดั ด้วย
ความรอ้ นจะได้น้ำมนั หนิ ที่คล้ายกับน้ำมนั ดบิ
87. ปโิ ตรเลียม (Petroleum) คือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอนซ่ึงประกอบดว้ ยธาตุ
ไฮโดรเจนและธาตุคาร์บอน ส่วนใหญ่พบอยู่ในชั้นหนิ ตะกอนท้ังในสภาพของแข็ง ของเหลว และแก๊ส
88. ชนิดของปิโตรเลียม
1) นำ้ มันดบิ (Crude oil)มีสภาพเป็นของเหลว ของหนืด และของแข็ง มีสีนำ้ ตาลจนถึงสี
ดำ
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
494 คมู่ อื เตรยี มสอบ
2) แก๊สธรรมชาติ (Natural Gas)มสี ภาพเป็นแกส๊ ณ อุณหภูมแิ ละความดันปกติ
3) แกส๊ ธรรมชาตเิ หลว (Condensate)เม่ืออยู่ใตผ้ วิ โลกหรือในแหลง่ มีสภาพเป็นแก๊สแต่
เม่ือขนึ้ สูผ่ วิ โลกแล้วกลายเปน็ ของเหลวมีสีเหลอื งใสจนถึงสเี หลอื งเขม้
89. การเกดิ ปิโตรเลียม มีลำดับข้ันตอนดังน้ี
1) ในแหล่งนำ้ น่ิงจะมีซากสงิ่ มีชวี ิตเนา่ เปอื่ ยผพุ งั ทับถมรวมกันโดยการพัดพามาของ
กระแสน้ำ เม่ือเวลาผ่านไปเป็นลา้ น ๆ ปี ซากสงิ่ มชี ีวติ เหลา่ น้กี เ็ กิดการย่อยสลายเป็นสารอินทรยี ์ทบั
ถมปะปนกบั เศษหินเศษทรายหนาข้ึนเกิดเปน็ ชน้ั ตะกอน
2) เมื่อเปลือกโลกเกดิ การเปลี่ยนแปลง ช้นั ตะกอนน้ีจะจมลงเรอ่ื ย ๆ และด้วยอิทธิพลของ
นำ้ หนกั ของชน้ั ตะกอนหนาท่ีทบั ถมอยู่ส่วนบนความร้อนและความดันภายในโลก รวมท้ังการยอ่ ย
สลายแบบไม่ใช้ออกซเิ จนของแบคทีเรียจะมผี ลทำใหเ้ กิดกระบวนการเปล่ยี นแปลงเน้ือเย่ือของ
สารอินทรีย์กลายเปน็ ปโิ ตรเลียม
90. แหล่งปิโตรเลยี ม คือ บรเิ วณใต้ชนั้ หนิ ท่มี ีโครงสรา้ งปิดกน้ั เพอ่ื กันไมใ่ ห้ปโิ ตรเลยี ม
รว่ั ไหลออกไปได้ ซง่ึ ปโิ ตรเลียมท้งั ส่วนท่เี ปน็ ของเหลวและแกส๊ จะไหลซึมออกจากช้นั หินตะกอนตน้
กำเนิดไปตามรอยเลื่อน รอยแตกและรูพรนุ ของหิน ไปสะสมตัวอยูใ่ นบรเิ วณน้ี
91. การสำรวจปโิ ตรเลียม
ขน้ั ท่ี 1 การสำรวจทางธรณีวทิ ยา เพ่ือหาลักษณะรปู แบบการวางตวั ของชน้ั หนิ และชนิด
ของหินในบริเวณทีส่ ำรวจ
ขน้ั ที่ 2 การสำรวจทางธรณีฟิสกิ ส์ ข้อมูลจากข้ันนจ้ี ะทำให้ทราบรปู แบบการวางตัวของชนั้ หนิ ใต้ผวิ
โลกและขอบเขตของแอ่งสะสมตะกอนทางธรณีวิทยา โดยทว่ั ไปจะใชว้ ธิ ีการวดั คล่ืนไหวสะเทอื น และ
หากผลว่ามแี นวโน้มจึงจะเจาะสำรวจตอ่ ไป
ขน้ั ที่ 3 การเจาะสำรวจ เบ้ืองตน้ จะเจาะเพ่ือพิสจู นว์ า่ มปี โิ ตรเลยี มภายในแหลง่ กักเก็บหรือไม่ และ
นำตัวอยา่ งหินกบั ตวั อยา่ งของไหลในช้นั หินมาตรวจวิเคราะห์ หากพบปิโตรเลยี มก็จะมีการเก็บข้อมูล
อ่นื ๆ ตอ่ ไปและเจาะสำรวจเพิ่มเตมิ
92. แหลง่ ปิโตรเลียมทส่ี ำคญั ในประเทศไทย พบทงั้ บนบก 25 แหลง่ และในทะเล 29
แหลง่
1) แหล่งนำ้ มันดิบบนบก ได้แก่ แหลง่ สริ กิ ิติ์ จ.สโุ ขทยั จ.พษิ ณุโลก จ.กำแพงเพชร ผลติ
เฉล่ยี ไดว้ ันละ 22,534 บาร์เรล แหลง่ ฝาง จ.เชยี งใหม่ ผลติ เฉลย่ี ได้วันละ 1,147 บารเ์ รล และอีกสี่
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 495
แหลง่ ทีม่ ีกำลังผลติ ไม่ถึง 1,000 บาร์เรลตอ่ วนั ไดแ้ ก่ แหลง่ บงึ หญ้า/บงึ ม่วง จ.สโุ ขทยั แหล่งบึงหญ้า
ตะวนั ตก/หนองสระ จ.สุโขทัย แหลง่ อู่ทอง กำแพงแสน/สงั ฆจาย จ.สุพรรณบรุ ี และ จ.นครปฐม
แหล่งวเิ ชียรบรุ /ี ศรีเทพ/นาสนนุ่ จ.เพชรบูรณ์
2) แหล่งแก๊สธรรมชาติบนบก ได้แก่ แหลง่ สินภฮู่ ่อม จ.อุดรธานี และ จ.ขอนแกน่ ผลติ
เฉลี่ยได้วนั ละ 72 ลา้ นลูกบาศก์ฟุต และได้แกส๊ ธรรมชาตเิ หลว 384 บารเ์ รลตอ่ วัน แหล่งสิริกิติ์ จ.
สุโขทัย จ.พษิ ณโุ ลก จ.กำแพงเพชร ผลติ เฉลย่ี ไดว้ นั ละ 63 ลา้ นลกู บาศก์ฟุตและได้แกส๊ แอลพีจี 265
ตันตอ่ วัน
3) แหล่งน้ำมนั ดิบในอ่าวไทย ได้แก่ กลุ่มแหลง่ ทานตะวนั ผลติ เฉลี่ยวันละ 50,082
บาร์เรล กลมุ่ แหล่งเอราวัณ ผลติ เฉลีย่ วนั ละ 39,703 บาร์เรล แหลง่ จสั มนิ / บานเย็นผลิตเฉล่ียวันละ
19,041 บารเ์ รล แหลง่ สงขลาผลติ เฉลย่ี วนั ละ 6,726 บาร์เรล แหลง่ บวั หลวง ผลติ เฉล่ียวนั ละ 6,221
บาร์เรล
4) แหล่งแกส๊ ธรรมชาติในอ่าวไทย ได้แก่ กลุ่มแหล่งเอราวณั ผลิตเฉล่ยี ไดว้ นั ละ 843 ล้าน
ลกู บาศก์ฟตุ แหลง่ อาทติ ย์ ผลติ เฉลยี่ ไดว้ นั ละ 546 ล้านลูกบาศก์ฟุต แหลง่ บงกช ผลิตเฉลี่ยไดว้ นั ละ
528 ลา้ นลกู บาศก์ฟตุ แหล่งไพลนิ ผลติ เฉลี่ยไดว้ นั ละ 464 ล้านลกู บาศก์ฟตุ กลุม่ แหล่งทานตะวัน
ผลิตเฉลี่ยไดว้ นั ละ 198 ล้านลูกบาศก์ฟตุ
5) แหล่งแก๊สธรรมชาตเิ หลวในอ่าวไทย ได้แก่ แหล่งไพลิน ผลิตเฉลย่ี ไดว้ ันละ 22,722
บารเ์ นล แหลง่ เอราวณั ผลติ เฉล่ียไดว้ ันละ 22,343 บารเ์ รล แหล่งอาทิตย์ ผลิตเฉลีย่ ได้วนั ละ 19,533
บารเ์ รล แหลง่ บงกชผลติ เฉลี่ยไดว้ ันละ 17,283 บารเ์ รล
93. เทคโนโลยถี า่ นหนิ สะอาด เป็นวิธกี ารลดมลภาวะจากการเผาถา่ นหินเนอ่ื งจาก
กระบวนการแปรสภาพของถ่านหินจะมกี ำมะถนั ในรูปแกส๊ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ มแี ก๊สไนโตรเจน
ออกไซด์ และฝุ่นขนาดเล็กเกิดขนึ้ ซึง่ มหี ลายวิธี ได้แก่
1) ก่อนนำไปเผา ควรเลือกใช้ถ่านหนิ ทีม่ ปี รมิ าณกำมะถันต่ำลา้ งถ่านหนิ เพอ่ื ลดปริมาณ
ซลั เฟอร์
2) ระหว่างการเผา เลือกใช้เตาเผาไหมท้ ่ีมปี ระสิทธภิ าพสูงจะช่วยลดแก๊สไนโตรเจน
ออกไซด์ ใสห่ นิ ปนู หรอื ปูนขาวพร้อมถ่านหินเพื่อลดแก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์
3) หลงั การเผา ใช้ระบบกำจัดแกส๊ ไนโตรเจนออกไซด์ ติดตั้งเคร่ืองกำจัดฝุ่นขนาดเลก็ ใช้
ระบบกำจัดแก๊สซลั เฟอร์ไดออกไซด์ โดยฉดี ผงปนู ขาวหรอื น้ำปนู ขาวไปผสมกับแกส๊ ที่เกดิ จากการเผา
ไหม้ ซงึ่ วิธนี ที้ ำใหเ้ กดิ ยิปซมั เป็นผลพลอยได้อีกด้วย
94. กระบวนการในโรงแยกแก๊สธรรมชาติ มี 2 กระบวนการหลกั ดังนี้
ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
496 ค่มู อื เตรยี มสอบ
1) กระบวนการแยกสารท่ไี ม่ใช่สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ได้แก่ การกำจัดปรอท แก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ และกำจัดความชื้น เพราะส่งิ เหลา่ นที้ ำให้อุปกรณ์ของโรง
แยกแกส๊ เสียหายและเป็นอันตรายกบั สงิ่ มชี วี ิต
2) กระบวนการแยกสารประกอบไฮโดรคารบ์ อน เปน็ กระบวนการที่ใชห้ ลักการกล่ันลำดบั
ส่วนในหอกล่ัน มี 2 กระบวนการยอ่ ย คือ
หน่วยแยกแกส๊ เหลวรวม แก๊สธรรมชาติท่ีไมม่ คี ารบ์ อนไดออกไซดแ์ ละน้ำ จะสง่ เข้า
อปุ กรณ์เพ่ิมความดนั ให้กลายเป็นของเหลว และสง่ ต่อไปเพ่ือแยกแก๊สมเี ทนออก
หนว่ ยแยกผลิตภัณฑ์ แกส๊ ธรรมชาตเิ หลวรวมทแี่ ยกแก๊สมีเทนออกไปแล้ว จะถูกส่งไปหอ
แยกแกส๊ อเี ทน และแกส๊ โพรเพน ตามลำดบั
95. ผลิตภัณฑจ์ ากแก๊สธรรมชาติ
1) แก๊สมีเทน ใช้เป็นเช้อื เพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม เป็น
เช้อื เพลิงรถยนต์ทเ่ี รยี กว่า NGV
2) แกส๊ อเี ทนและแก๊สโพรเพน เป็นวัตถุดบิ ในอุตสาหกรรมปโิ ตรเคมีเพื่อผลิตเม็ดและเส้น
ใยพลาสติก
3) แก๊สโพรเพนและแก๊สบิวเทน เมือ่ ผสมแก๊สสองชนดิ นจี้ ะได้แก๊สหงุ ตม้ หรือทเี่ รยี กว่า
LPG
4) แก๊สโซลีนธรรมชาติเหลว ใช้ในโรงกล่ันนำ้ มนั ดบิ ใชท้ ำตวั ทำละลายในอตุ สาหกรรม
5) คาร์บอนไดออกไซด์ ใชผ้ ลิตนำ้ แขง็ แห้งใช้ผลิตเครอ่ื งดื่มอัดแก๊ส
96 กระบวนการในโรงกล่ันน้ำมันดิบ ประกอบดว้ ยกระบวนการสำคญั ดังน้ี
1) การแยก เปน็ การแยกสว่ นประกอบทางกายภาพของน้ำมันดิบ
โดยการกล่นั ลำดับสว่ นเพอื่ ให้ไดน้ ้ำมนั สำเร็จรปู ชนิดตา่ ง ๆ ตามชว่ งจดุ เดอื ดโดยผลิตภัณฑท์ ีม่ จี ดุ
เดือดสงู สดุ จะกล่ันตวั ที่ช้นั ลา่ งสดุ อุณหภมู ภิ ายในหอกลั่นจะไม่เกนิ 370 องศาเซลเซยี ส และ
ผลิตภณั ฑ์ทีไ่ ด้ เรยี กวา่ ผลิตภณั ฑก์ ล่นั ตรง
2). การเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมี สว่ นมากจะทำกับผลิตภัณฑก์ ลั่นตรวจท่ีมีจำนวนอะตอม
ของคารบ์ อนมาก เพอื่ ให้ได้ผลติ ภณั ฑใ์ หม่ตามท่ีตลาดต้องการ เชน่ เปลี่ยนกากน้ำมันให้เป็นนำ้ มนั
เบนซลิ หรอื ดีเซล และสามารถเปลย่ี นโครงสรา้ งให้ผลิตภณั ฑม์ ีสมบัติดีขึน้ ตามาตรฐานได้
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 497
3) การปรบั ปรุงคุณภาพ เปน็ การกำจัดสง่ิ เจือปนออกจากผลติ ภณั ฑ์ 2 วิธี คือใช้
กระบวนการเปล่ียนแปลงทางกายภาพและทางเคมี
4) การผสม เป็นข้ันตอนสดุ ท้าย โดยผลติ ภณั ฑ์ที่ผา่ นกระบวนการตา่ ง ๆ มาเติมสารบาง
ชนิดตามสดั ส่วนท่เี หมาะสม เพือ่ ให้ไดผ้ ลิตภณั ฑส์ ำเรจ็ รปู ท่ีมีสมบตั ิตามมาตรฐานท่ีประกาศโดยกรม
ธรุ กิจพลงั งาน
97. ผลติ ภัณฑ์จากน้ำมันดิบ
1) แกส๊ ปโิ ตรเลยี มเหลวหรือแกส๊ หงุ ต้ม ใชเ้ ป็นเช้อื เพลงิ ในครัวเรือน
2) นำ้ มนั เบนซลิ ใช้เปน็ เช้อื เพลิงเครื่องยนต์แกส๊ โซลีน
3) นำ้ มนั เช้ือเพลิงเคร่อื งบนิ ใบพัด หรือนำ้ มันเบนซินอากาศอาจใช้กับเคร่ืองยนตใ์ น
เครอื่ งบนิ ระบบลูกสูบ สว่ นใหญเ่ ป็นเคร่ืองบินเลก็ หรอื เคร่อื งบนิ ฝึกบนิ
4) น้ำมันกา๊ ด ใชเ้ ป็นสารเคลือบผวิ โลหะของชิน้ สว่ นเคร่ืองยนตเ์ พ่ือลดการเสยี ดสีและการ
สกึ หรอ
5) นำ้ มนั เช้ือเพลงิ เคร่ืองบน ใชเ้ ปน็ เช้อื เพลิงเครอื่ งบน
6) นำ้ มนั ดีเซล ใช้เปน็ เช้ือเพลิงเครอ่ื งยนตด์ ีเซล
7) น้ำมนั เตา ใชเ้ ป็นเช้ือเพลงิ ในอุตสาหกรรม
8) น้ำมันหล่อล่นื ใชเ้ ปน็ สารเคลือบผวิ โลหะของชิ้นสว่ นเครือ่ งยนตเ์ พอื่ ลดการเสยี ดสีและ
การสกึ หรอ
9) ยางมะตอย ใช้ทำผิวหนา้ ถนน ทางเท้า ทางว่ิงเครื่องบน ลานจอดรถ
10) สารตง้ั ต้นในอุตสาหกรรมปโิ ตรเคมี เปน็ สารประเภทแนฟทาใช้ผลิตเมด็ พลาสติก ใช้
เป็นสารตัง้ ต้นในอุตสาหกรรมปโิ ตรเคมี
98. ปริมาณสำรองปิโตรเลียม เป็นคา่ ประมาณปรมิ าณนำ้ มนั ดิบและแก๊สธรรมชาตทิ ี่มี
อยใู่ นแหล่งกกั เก็บซึ่งสามารถจะผลิตขึ้นมาได้ภายใต้ภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และ
นโยบายของแตล่ ะประเทศ
99. ปรมิ าณสำรองปโิ ตรเลยี มที่พิสจู น์แลว้ เป็นปรมิ าณสำรองปิโตรเลยี มทจ่ี ะสามารถ
ผลิตไดจ้ ากแหล่งกักเก็บที่คน้ พบแล้ว โดยประเมนิ ได้อยา่ งมนั่ ใจในระดับหน่งึ จากขอ้ มูลทาง
ธรณีวทิ ยาและวิศวกรรม
100. โครงสร้างราคานำ้ มัน ราคาน้ำมนั เชอ้ื เพลิงทก่ี ำหนด ณ สถานีบริการกำหนดขึ้นมา
จาก 3 สว่ นใหญ่ ๆ คอื
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
498 คมู่ อื เตรยี มสอบ
1) ค่าตน้ ทุนนำ้ มัน ร้อยละ 55-60 เปน็ ค่าตน้ ทนุ นำ้ มันดบิ ทซ่ี ื้อจากโรงกลั่นหรอื นำเขา้ จาก
ตา่ งประเทศ
2) ภาษีและกองทุน รอ้ ยละ 30-35
ภาษี รฐั บาลเปน็ ผู้กำหนดและเรยี กเก็บภาษีจากผคู้ ้านำ้ มัน ได้แก่ ภาษีสรรพสามิต
ภาษมี ลู ค่าเพ่มิ และภาษเี ทศบาล
กองทนุ เปน็ เงนิ ท่ีเรียกเก็บจากผคู้ ้านำ้ มัน เพ่อื เข้ากองทุนนำ้ มันเชื้อเพลิงและกองทนุ
ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3) ค่าการตลาด ร้อยละ 10 เป็นคา่ ใช้จ่ายในการดำเนนิ ธรุ กจิ ของบริษทั ผปู้ ระกอบการ
101. กองทุนน้ำมันเช้ือเพลงิ เปน็ กลไกของรฐั ในการป้องกนั ภาวะการขาดแคลนนำ้ มนั
เชอ้ื เพลงิ และใช้ในการรกั ษาระดับราคาขายปลกี นำ้ มันเชือ้ เพลงิ และใช้ในการรกั ษาระดบั ราคาขาย
ปลีกนำ้ มนั เชื้อเพลิงของประเทศ จากกรณที ่รี าคาในตลาดโลกสงู ขึน้ เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อ
เศรษฐกิจและความเดือดร้อนของประชาชนใหน้ อ้ ยท่สี ุด
102. นำ้ มนั แกส๊ โซฮอล์ไดจ้ ากการผสมนำ้ มันเบนซินกบั เอทานอล โดยเอทานอลสามารถ
ผลิตได้จากพชื เชน่ อ้อย มันสำปะหลัง ธญั พืชต่าง ๆ และกากน้ำตาลซึ่งประเทศไทยผลิตเอทานอล
จากกากนำ้ ตาลและมันสำปะหลงั แกส๊ โซฮอล์ทก่ี ระทรวงพลงั งานอนุญาตให้ผลติ มี 3 ชนิด คอื
1) นำ้ มันแก๊สโซฮอล์E10 มสี ่วนผสมของเอทานอลไมเ่ กนิ ร้อยละ 10 และไมต่ ่ำกวา่ รอ้ ยละ 9
กับนำ้ มันเบนซินพ้ืนฐานรอ้ ยละ 90 โดยปริมาตร แบ่งเปน็ น้ำมนั แกส๊ โซฮอล์ 91 และนำ้ มันแกส๊
โซฮอล์ 95
2) น้ำมันแก๊สโซฮอล์E20 มีส่วนผสมของเอทานอลไม่เกนิ ร้อยละ 20 และไม่ต่ำกว่ารอ้ ยละ
19 กับน้ำมนั เบนซนิ พ้ืนฐานร้อยละ 80 โดยปริมาตร
103. ไบโอดีเซล เปน็ ผลิตภณั ฑท์ ่ีได้จากการนำนำ้ มนั พชื หรือไขมันสตั ว์มาผ่าน
กระบวนการทางเคมี เพ่ือให้ไดส้ ารท่มี ีสมบัตใิ กลเ้ คียงกับน้ำมันดีเซลหมนุ เร็วและสามารถนำไปใช้กบั
เครอ่ื งยนตด์ ีเซลได้ มี 2 ประเภท คอื
1) ไบโอดีเซลสำหรับเครอื่ งยนต์การเกษตร หรอื เรียกว่า ไบโอดเี ซลชมุ ชน ใช้เป็นเชื้อเพลิงได้
โดยไม่ตอ้ งผสมกบั นำ้ มนั ดเี ซล
2) ไอโอดเี ซลประเภทเมทิลเอสเทอรข์ องกรดไขมนั มคี ุณภาพสงู ใกล้เคยี งนำ้ มนั ดีเซลมาก
ตอ้ งผสมกบั น้ำมันดีเซลเมอ่ื นำไปใชก้ บั เครอื่ งยนตด์ ีเซลรอบสูง
ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 499
104. กระบวนการผลิตไบโอดีเซล มี 2 กระบวนการ ดังน้ี
1) ปฏิกริ ิยาทางเคมรี ะหว่างน้ำมนั พืชกบั แอลกอฮอล์ อาจใช้เบสหรอื กรดเปน็ สารเรง่
ปฏกิ ิรยิ าหรือจะทำโดยใช้อณุ หภมู แิ ละความดันสงู ก็ได้
2) ขัน้ แรกเปล่ียนนำ้ มันพืชหรอื ไขมันสัตว์ใหเ้ ป็นกรดไขมนั ชน้ั ที่สองนำกรดไขมนั มาทำ
ปฏกิ ริ ิยากบั แอลกฮอล์โดยใช้กรดเปน็ สารเร่งปฏิกริ ยิ า
105. วตั ถดุ ิบทใี่ ช้ผลิตไบโอดเี ซล ในประเทศไทยจะใช้นำ้ มนั ปาล์ม น้ำมนั มะพร้าว
น้ำมนั ถัว่ เหลือง น้ำมันเมลด็ ดอกทานตะวัน และน้ำมันเมล็ดสบู่ดำ สว่ นประเทศในแถบยุโรปส่วน
ใหญจ่ ะใชน้ ำ้ มนั เมลด็ เรพ นอกจากนั้นยังนำน้ำมันพชื และน้ำมนั สัตว์ทีใ่ ช้แลว้ มาเป็นวตั ถุดิบไดด้ ้วย
106. เช้ือเพลงิ ไฮโดรเจน เช้ือเพลิงจากธาตุไฮโดรเจนซึ่งไดร้ บั ความสนใจในการใช้เป็น
พลงั งานทดแทน เนื่องจากมีน้ำหนักเบา เปน็ แกส๊ ท่สี ภาวะบรรยากาศไม่เปน็ พษิ ไมม่ ีสี ไม่มีกลิน่ มี
ความหนาแน่นต่ำกวา่ อากาศมากมีจุดเดือดและจดุ เยือกแข็งตำ่ เม่ือเผาไหม้จะให้พลังงานสูงกวา่
เช้อื เพลิงชนดิ อนื่ ๆ ที่สำคัญคือ ผลพลอยได้จากการเผาไหม้เปน็ นำ้ ดงั นน้ั จึงเป็นพลังงานสะอาด
หากนำมาใชจ้ ะอยู่ในรูปแบบเซลล์เช้ือเพลงิ
107. เครื่องยนต์ไฮบริด หรือเครื่องยนต์ลูกผสม รถท่เี ปน็ เคร่ืองยนตไ์ ฮบรดิ จะใช้
เครอ่ื งยนต์และมอเตอรไ์ ฟฟ้าในการทำงานของระบบ โดยพลังงานท่สี ูญเสยี ของเคร่ืองยนต์ขณะเบรก
จะถูกนำมาผลติ พลงั งานไฟฟ้านอกจากนพ้ี ลังงานจากเครอ่ื งยนต์ท่ีเกินความต้องการจะถูกนำไปผลิต
พลังงานไฟฟ้าดว้ ย
108. ระบบรถไฟฟา้ ขนส่งมวลชน เปน็ ระบบขนสง่ มวลชนขนาดใหญท่ คี่ มุ้ ค่าต่อการ
ลงทนุ ปจั จุบนั ประเทศทไยมใี ห้บริการดังน้ี
1) รถไฟฟ้าบีทเี อส เป็นรถไฟลอยฟ้า สายแรกของประเทศไทย ขบั เคลือ่ นโดยใช้มอเตอร์
ไฟฟ้าวิง่ บนรางคู่ยกระดบั
2) รถไฟฟ้ามหานคร หรือรถไฟฟ้า MRT เป็นโครงการใตด้ ิน ตลอดสายใชอ้ ุโมงค์ 2 อุโมงค์
ขนานกนั และเดนิ รถทางเดียว
3) รถไฟฟ้าเชอ่ื มท่าอากาศยานสวุ รรณภมู ิ เป็นรถไฟลอยฟ้ารบั -สง่ ผโู้ ดยสารภายในเมอื ง
เพอ่ื ไปท่าอากาศยาน
109. แหลง่ น้ำบนโลก พ้ืนผิวโลกประกอบด้วยพืน้ น้ำ 3 ส่วนและมพี ้ืนดนิ อยูเ่ พียง 1 ส่วน
เท่าน้ัน หรือมีนำ้ อยปู่ ระมาณ 3 ใน 4 สว่ นของพ้นื โลกทั้งหมด (ประมาณ 72%ของพนื้ โลกท้ังหมด)
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
500 ค่มู อื เตรยี มสอบ
110. ปริมาณน้ำบนพ้นื ผิวโลก เป็นนำ้ เค็มอยใู่ นทะเลและมหาสมทุ รประมาณ 97%
และเปน็ นำ้ จืดประมาณ 3% โดยน้ำจืดจะอยู่ในรปู ของน้ำแข็งทางซีกโลกเหนือและใต้ประมาณ 87%
เป็นน้ำจดื ใต้ดินประมาณ 12% และเปน็ น้ำจืดท่ีแช่ขังอยู่ตามแหลง่ นำ้ ตา่ ง ๆ บนผิวโลกประมาณ 1%
111. แหล่งน้ำธรรมชาติ เปน็ แหลง่ กกั เก็บน้ำท่เี กดิ ขึน้ ได้เองตามธรรมชาติ พบอย่ทู ว่ั ไป
ท้งั บนผวิ ดนิ ใต้ดิน และในบรรยากาศ
112. ประเภทของแหล่งนำ้ ธรรมชาติ แบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ 1) น้ำ ผิวดิน 2) น้ำใต้
ดนิ 3) นำ้ ในบรรยากาศ
113. นำ้ บนดนิ หรอื น้ำผิวดิน เกิดจากนำ้ ในบรรยากาศกลัน่ ตัวเปน็ ฝนตกลงบนพนื้ โลก
การละลายของหมิ ะ และการไหลซึมออกมาจากนำ้ ใตด้ นิ แล้วไหลไปรวมกนั เกิดเปน็ แหล่งน้ำ เชน่
แมน่ ้ำ ลำธาร น้ำตก คลอง บึง ทะเล และมหาสมุทร เป็นต้น
114. ธารน้ำ (Stream)เกิดจากการรับนำ้ จากนำ้ ไหลผา่ นและน้ำบาดาลทเ่ี กดิ จากน้ำฝน
และการละลายของหมิ ะ แลว้ ไหลลงส่ทู ่ตี ำ่ กวา่ โดยอาศยั แรงโน้มถ่วงของโลก ทำให้เกิดการกัดกร่อน
ไปตามทางที่ไหลผา่ นและทำใหเ้ กดิ ลักษณะภูมิประเทศตา่ ง ๆ ข้นึ
115. ปจั จัยท่ีทำให้ธารนำ้ ไหลด้วยความเร็วท่ีต่างกนั มี 3 ประการ คือ
1) ความลาดชนั ของพนื้ ท่ี
2) ลักษณะของลำน้ำ เช่น รปู รา่ ง ขนาด และความขรุขระของลำนำ้ เปน็ ต้น
3) อัตราการไหลของนำ้
116. แม่นำ้ (River)สว่ นมากเกดิ จากการไหลมารวมกนั ของทางนำ้ เลก็ ๆ บนพ้ืนท่ี
ระดับสงู เชน่ บริเวณภูเขา หรืออาจเกดิ จากแหล่งนำ้ ซับ น้ำพุ ทะเลสาบ รวมทัง้ จากการละลายของ
ธารนำ้ แขง็ กลายเป็นน้ำไหลมารวมกนั เกดิ เปน็ ทางน้ำขน้ึ การเกดิ ทางน้ำเป็นรอ่ งน้ำขน้ึ อยู่กับความ
ลาดเอียงของพน้ื ที่ ชนิดของหินท่ีทางน้ำไหลผ่าน ความเร็วของนำ้ และปริมาณน้ำในแต่ละฤดกู าล
117. ทะเลและมหาสมุทร เปน็ แหลง่ น้ำเคม็ ขนาดใหญ่ท่สี ามารถกักเก็บนำ้ ไวไ้ ด้ปรมิ าณ
มาก ความเค็มในทะเลเกิดจาก 1) การผุพังของหนิ บนแผ่นดินถกู น้ำพัดพาสารละลายท่ีมีเกลอื ผสม
อยไู่ หลผา่ นพ้ืนท่ชี ายฝงั่ ลงสู่ทะเล 2) สารละลายเกลือจากใตพ้ ้ืนผิวโลกซึง่ จะไหลผา่ นขนึ้ มาตามรอย
แตกของพน้ื โลก และตกตะกอนทบั ถมกนั อยู่ในท้องทะเล
118. ชายฝง่ั ทะเล เป็นพ้นื ที่รอยต่อระหวา่ งทะเลกบั แผน่ ดนิ บริเวณน้จี งึ มที งั้ น้ำจดื และ
น้ำเคม็ โดยนำ้ จืดจะถูกกักเก็บอยู่ในชัน้ หินอมุ้ น้ำใต้หาดทรายหรืออาจจะถูกกักเก็บอยูใ่ นช้ันหาดทราย
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์