คมู่ อื เตรยี มสอบ 251
2) แหล่งแก๊สธรรมชาตบิ นบก ได้แก่ แหล่งสินภฮู่ ่อม จ.อุดรธานี และ จ.ขอนแกน่ ผลติ
เฉลีย่ ได้วนั ละ 72 ลา้ นลูกบาศก์ฟุต และได้แก๊สธรรมชาติเหลว 384 บาร์เรลต่อวนั แหล่งสริ ิกติ ์ิ จ.
สุโขทัย จ.พิษณโุ ลก จ.กำแพงเพชร ผลิตเฉลยี่ ไดว้ ันละ 63 ลา้ นลกู บาศก์ฟุตและได้แกส๊ แอลพีจี 265
ตนั ต่อวนั
3) แหล่งน้ำมนั ดิบในอ่าวไทย ได้แก่ กลุ่มแหล่งทานตะวนั ผลติ เฉลีย่ วันละ 50,082
บาร์เรล กลุ่มแหลง่ เอราวัณ ผลิตเฉลย่ี วนั ละ 39,703 บาร์เรล แหลง่ จสั มิน / บานเย็นผลติ เฉล่ยี วันละ
19,041 บาร์เรล แหลง่ สงขลาผลติ เฉล่ยี วันละ 6,726 บารเ์ รล แหลง่ บวั หลวง ผลติ เฉลี่ยวนั ละ 6,221
บาร์เรล
4) แหล่งแก๊สธรรมชาติในอา่ วไทย ได้แก่ กลุ่มแหลง่ เอราวณั ผลิตเฉล่ียได้วันละ 843 ลา้ น
ลกู บาศก์ฟตุ แหลง่ อาทิตย์ ผลติ เฉล่ียได้วนั ละ 546 ล้านลกู บาศก์ฟตุ แหลง่ บงกช ผลิตเฉล่ยี ไดว้ นั ละ
528 ลา้ นลกู บาศก์ฟตุ แหลง่ ไพลนิ ผลิตเฉล่ียได้วันละ 464 ลา้ นลูกบาศก์ฟตุ กลุ่มแหล่งทานตะวัน
ผลติ เฉล่ียไดว้ ันละ 198 ล้านลูกบาศกฟ์ ุต
5) แหล่งแก๊สธรรมชาติเหลวในอา่ วไทย ได้แก่ แหล่งไพลิน ผลิตเฉล่ยี ไดว้ ันละ 22,722
บาร์เนล แหลง่ เอราวณั ผลิตเฉลย่ี ได้วนั ละ 22,343 บารเ์ รล แหลง่ อาทติ ย์ ผลิตเฉล่ียไดว้ นั ละ 19,533
บารเ์ รล แหลง่ บงกชผลิตเฉลย่ี ได้วันละ 17,283 บารเ์ รล
93. เทคโนโลยีถ่านหินสะอาด เปน็ วิธีการลดมลภาวะจากการเผาถ่านหินเนอื่ งจาก
กระบวนการแปรสภาพของถ่านหนิ จะมกี ำมะถนั ในรปู แกส๊ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ มแี ก๊สไนโตรเจน
ออกไซด์ และฝุน่ ขนาดเลก็ เกิดขึ้น ซง่ึ มีหลายวธิ ี ไดแ้ ก่
1) ก่อนนำไปเผา ควรเลอื กใช้ถ่านหินที่มีปรมิ าณกำมะถนั ต่ำลา้ งถ่านหินเพื่อลดปริมาณ
ซัลเฟอร์
2) ระหว่างการเผา เลอื กใช้เตาเผาไหม้ท่ีมีประสิทธิภาพสงู จะชว่ ยลดแก๊สไนโตรเจน
ออกไซด์ ใส่หนิ ปูนหรอื ปูนขาวพรอ้ มถ่านหนิ เพื่อลดแกส๊ ซลั เฟอร์ไดออกไซด์
3) หลังการเผา ใชร้ ะบบกำจัดแกส๊ ไนโตรเจนออกไซด์ ติดตัง้ เครอื่ งกำจดั ฝนุ่ ขนาดเล็ก ใช้
ระบบกำจดั แกส๊ ซลั เฟอร์ไดออกไซด์ โดยฉีดผงปนู ขาวหรอื น้ำปูนขาวไปผสมกับแกส๊ ทีเ่ กิดจากการเผา
ไหม้ ซ่งึ วิธีนีท้ ำให้เกดิ ยิปซมั เป็นผลพลอยได้อกี ดว้ ย
94. กระบวนการในโรงแยกแกส๊ ธรรมชาติ มี 2 กระบวนการหลัก ดงั น้ี
1) กระบวนการแยกสารท่ีไม่ใช่สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ได้แก่ การกำจัดปรอท แก๊ส
คารบ์ อนไดออกไซด์ แกส๊ ไฮโดรเจนซลั ไฟด์ และกำจัดความชนื้ เพราะสง่ิ เหล่านท้ี ำใหอ้ ุปกรณข์ องโรง
แยกแกส๊ เสียหายและเปน็ อันตรายกับสิ่งมชี ีวิต
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
252 ค่มู อื เตรยี มสอบ
2) กระบวนการแยกสารประกอบไฮโดรคาร์บอน เป็นกระบวนการทใ่ี ชห้ ลกั การกลั่นลำดบั
สว่ นในหอกลน่ั มี 2 กระบวนการยอ่ ย คือ
หนว่ ยแยกแกส๊ เหลวรวม แก๊สธรรมชาติทีไ่ มม่ คี ารบ์ อนไดออกไซด์และน้ำ จะสง่ เข้า
อปุ กรณ์เพิ่มความดันให้กลายเปน็ ของเหลว และส่งต่อไปเพื่อแยกแก๊สมีเทนออก
หน่วยแยกผลติ ภณั ฑ์ แกส๊ ธรรมชาติเหลวรวมทีแ่ ยกแกส๊ มีเทนออกไปแล้ว จะถูกสง่ ไปหอ
แยกแกส๊ อเี ทน และแก๊สโพรเพน ตามลำดับ
95. ผลิตภณั ฑจ์ ากแก๊สธรรมชาติ
1) แก๊สมีเทน ใช้เป็นเช้ือเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม เปน็
เช้ือเพลิงรถยนต์ที่เรยี กว่า NGV
2) แก๊สอเี ทนและแกส๊ โพรเพน เป็นวัตถดุ บิ ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเพื่อผลิตเมด็ และเส้น
ใยพลาสติก
3) แก๊สโพรเพนและแก๊สบิวเทน เม่อื ผสมแกส๊ สองชนิดนี้จะได้แก๊สหงุ ต้ม หรือทีเ่ รียกวา่
LPG
4) แกส๊ โซลนี ธรรมชาติเหลว ใช้ในโรงกลน่ั นำ้ มันดบิ ใช้ทำตัวทำละลายในอตุ สาหกรรม
5) คารบ์ อนไดออกไซด์ ใช้ผลิตนำ้ แขง็ แหง้ ใช้ผลติ เครือ่ งดื่มอัดแก๊ส
96 กระบวนการในโรงกลัน่ นำ้ มนั ดบิ ประกอบด้วยกระบวนการสำคัญดงั นี้
1) การแยก เป็นการแยกสว่ นประกอบทางกายภาพของนำ้ มนั ดิบ
โดยการกล่ันลำดับส่วนเพอ่ื ให้ได้น้ำมันสำเรจ็ รูปชนิดตา่ ง ๆ ตามช่วงจุดเดอื ดโดยผลติ ภณั ฑ์ทม่ี จี ุด
เดือดสงู สุดจะกลัน่ ตัวทชี่ ัน้ ล่างสุด อณุ หภมู ภิ ายในหอกลั่นจะไม่เกิน 370 องศาเซลเซยี ส และ
ผลิตภัณฑ์ที่ได้ เรียกว่า ผลิตภณั ฑก์ ล่ันตรง
2). การเปล่ียนโครงสร้างทางเคมี สว่ นมากจะทำกบั ผลติ ภัณฑ์กลัน่ ตรวจที่มจี ำนวนอะตอม
ของคารบ์ อนมาก เพ่อื ให้ไดผ้ ลติ ภัณฑ์ใหม่ตามท่ีตลาดต้องการ เช่น เปล่ยี นกากน้ำมันให้เป็นน้ำมัน
เบนซลิ หรือดีเซล และสามารถเปลีย่ นโครงสรา้ งให้ผลิตภณั ฑม์ สี มบตั ดิ ีขึน้ ตามาตรฐานได้
3) การปรบั ปรงุ คุณภาพ เป็นการกำจดั สง่ิ เจือปนออกจากผลิตภณั ฑ์ 2 วธิ ี คือใช้
กระบวนการเปลย่ี นแปลงทางกายภาพและทางเคมี
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 253
4) การผสม เป็นขนั้ ตอนสดุ ท้าย โดยผลิตภณั ฑ์ท่ีผ่านกระบวนการตา่ ง ๆ มาเติมสารบาง
ชนดิ ตามสดั สว่ นทีเ่ หมาะสม เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑส์ ำเรจ็ รูปที่มสี มบัตติ ามมาตรฐานท่ปี ระกาศโดยกรม
ธรุ กิจพลังงาน
97. ผลิตภณั ฑจ์ ากนำ้ มันดิบ
1) แก๊สปิโตรเลยี มเหลวหรือแก๊สหุงตม้ ใช้เป็นเช้อื เพลิงในครัวเรอื น
2) น้ำมนั เบนซิลใชเ้ ป็นเช้อื เพลิงเครื่องยนต์แกส๊ โซลีน
3) นำ้ มันเชื้อเพลิงเครื่องบินใบพดั หรือน้ำมันเบนซนิ อากาศอาจใช้กบั เคร่ืองยนต์ใน
เคร่อื งบินระบบลูกสูบ สว่ นใหญ่เปน็ เครอื่ งบินเล็กหรือเครื่องบนิ ฝึกบิน
4) นำ้ มันก๊าด ใช้เป็นสารเคลือบผิวโลหะของชนิ้ ส่วนเคร่ืองยนตเ์ พอื่ ลดการเสียดสแี ละการ
สึกหรอ
5) น้ำมันเช้ือเพลงิ เครือ่ งบน ใช้เป็นเชื้อเพลงิ เครื่องบน
6) น้ำมนั ดีเซล ใชเ้ ป็นเช้ือเพลิงเครอื่ งยนต์ดีเซล
7) นำ้ มันเตา ใช้เป็นเชอื้ เพลิงในอตุ สาหกรรม
8) น้ำมันหล่อลื่น ใช้เป็นสารเคลือบผวิ โลหะของชน้ิ สว่ นเครอื่ งยนต์เพื่อลดการเสยี ดสแี ละ
การสึกหรอ
9) ยางมะตอย ใช้ทำผวิ หนา้ ถนน ทางเท้า ทางวิง่ เครื่องบน ลานจอดรถ
10) สารต้ังต้นในอตุ สาหกรรมปิโตรเคมี เปน็ สารประเภทแนฟทาใช้ผลติ เมด็ พลาสติก ใช้
เปน็ สารต้งั ต้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
98. ปรมิ าณสำรองปิโตรเลยี ม เป็นคา่ ประมาณปริมาณน้ำมันดิบและแก๊สธรรมชาตทิ ่ีมี
อยใู่ นแหล่งกกั เกบ็ ซ่ึงสามารถจะผลติ ขึน้ มาไดภ้ ายใตภ้ าวการณ์ทางเศรษฐกจิ เทคโนโลยี และ
นโยบายของแตล่ ะประเทศ
99. ปรมิ าณสำรองปโิ ตรเลียมที่พิสจู น์แล้ว เปน็ ปริมาณสำรองปิโตรเลียมทจ่ี ะสามารถ
ผลิตไดจ้ ากแหลง่ กกั เกบ็ ทค่ี น้ พบแลว้ โดยประเมินได้อย่างมัน่ ใจในระดับหนึง่ จากขอ้ มลู ทาง
ธรณวี ทิ ยาและวิศวกรรม
100. โครงสร้างราคานำ้ มนั ราคาน้ำมนั เช้อื เพลิงท่กี ำหนด ณ สถานีบริการกำหนดข้ึนมา
จาก 3 ส่วนใหญ่ ๆ คอื
1) ค่าตน้ ทุนนำ้ มนั รอ้ ยละ 55-60 เป็นคา่ ตน้ ทนุ นำ้ มนั ดบิ ที่ซอื้ จากโรงกลั่นหรอื นำเข้าจาก
ตา่ งประเทศ
2) ภาษีและกองทนุ ร้อยละ 30-35
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
254 คมู่ อื เตรยี มสอบ
ภาษี รฐั บาลเป็นผูก้ ำหนดและเรยี กเก็บภาษจี ากผู้ค้าน้ำมัน ได้แก่ ภาษีสรรพสามติ
ภาษีมูลคา่ เพมิ่ และภาษีเทศบาล
กองทนุ เป็นเงินท่ีเรียกเก็บจากผ้คู า้ นำ้ มนั เพ่อื เข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทนุ
ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3) คา่ การตลาด ร้อยละ 10 เป็นคา่ ใช้จ่ายในการดำเนินธรุ กจิ ของบรษิ ัทผปู้ ระกอบการ
101. กองทุนน้ำมนั เช้ือเพลงิ เปน็ กลไกของรัฐในการป้องกันภาวะการขาดแคลนนำ้ มนั
เชอ้ื เพลงิ และใชใ้ นการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันเช้อื เพลงิ และใช้ในการรกั ษาระดับราคาขาย
ปลีกนำ้ มนั เช้อื เพลงิ ของประเทศ จากกรณที รี่ าคาในตลาดโลกสงู ข้ึน เพ่ือให้เกิดผลกระทบต่อ
เศรษฐกิจและความเดือดร้อนของประชาชนใหน้ ้อยทีส่ ุด
102. น้ำมนั แก๊สโซฮอล์ไดจ้ ากการผสมน้ำมนั เบนซนิ กับเอทานอล โดยเอทานอลสามารถ
ผลติ ไดจ้ ากพืช เชน่ ออ้ ย มนั สำปะหลัง ธัญพชื ตา่ ง ๆ และกากน้ำตาลซ่ึงประเทศไทยผลิตเอทานอล
จากกากน้ำตาลและมนั สำปะหลังแก๊สโซฮอล์ทีก่ ระทรวงพลงั งานอนุญาตใหผ้ ลิตมี 3 ชนดิ คือ
1) นำ้ มันแก๊สโซฮอล์E10 มีส่วนผสมของเอทานอลไม่เกนิ ร้อยละ 10 และไม่ต่ำกวา่ รอ้ ยละ 9
กบั น้ำมันเบนซินพนื้ ฐานร้อยละ 90 โดยปริมาตร แบง่ เปน็ น้ำมนั แก๊สโซฮอล์ 91 และน้ำมันแกส๊
โซฮอล์ 95
2) นำ้ มนั แก๊สโซฮอล์E20 มสี ว่ นผสมของเอทานอลไม่เกนิ ร้อยละ 20 และไม่ต่ำกว่ารอ้ ยละ
19 กบั นำ้ มันเบนซินพน้ื ฐานร้อยละ 80 โดยปรมิ าตร
103. ไบโอดีเซล เป็นผลิตภัณฑท์ ่ีได้จากการนำน้ำมนั พชื หรือไขมันสตั ว์มาผ่าน
กระบวนการทางเคมี เพ่ือให้ไดส้ ารที่มสี มบัติใกล้เคียงกับนำ้ มันดีเซลหมนุ เรว็ และสามารถนำไปใชก้ บั
เครอ่ื งยนต์ดีเซลได้ มี 2 ประเภท คือ
1) ไบโอดเี ซลสำหรับเครื่องยนตก์ ารเกษตร หรอื เรียกวา่ ไบโอดีเซลชุมชน ใช้เป็นเช้ือเพลิงได้
โดยไม่ตอ้ งผสมกับน้ำมนั ดีเซล
2) ไอโอดีเซลประเภทเมทลิ เอสเทอรข์ องกรดไขมนั มคี ุณภาพสูงใกล้เคยี งนำ้ มันดีเซลมาก
ตอ้ งผสมกบั น้ำมันดเี ซลเมอื่ นำไปใชก้ ับเครอื่ งยนต์ดีเซลรอบสงู
104. กระบวนการผลติ ไบโอดเี ซล มี 2 กระบวนการ ดังน้ี
1) ปฏกิ ริ ยิ าทางเคมีระหว่างน้ำมันพืชกบั แอลกอฮอล์ อาจใชเ้ บสหรือกรดเป็นสารเร่ง
ปฏกิ ริ ิยาหรอื จะทำโดยใชอ้ ุณหภมู แิ ละความดันสงู กไ็ ด้
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 255
2) ข้นั แรกเปลยี่ นนำ้ มนั พชื หรอื ไขมันสัตว์ให้เปน็ กรดไขมัน ช้นั ท่ีสองนำกรดไขมนั มาทำ
ปฏกิ ิรยิ ากบั แอลกฮอลโ์ ดยใช้กรดเป็นสารเรง่ ปฏกิ ริ ิยา
105. วตั ถดุ ิบทใ่ี ช้ผลติ ไบโอดเี ซล ในประเทศไทยจะใชน้ ำ้ มนั ปาล์ม น้ำมันมะพร้าว
นำ้ มันถ่วั เหลอื ง นำ้ มนั เมล็ดดอกทานตะวนั และน้ำมนั เมล็ดสบู่ดำ ส่วนประเทศในแถบยุโรปสว่ น
ใหญจ่ ะใชน้ ำ้ มนั เมล็ดเรพ นอกจากน้ันยังนำน้ำมันพชื และน้ำมนั สตั ว์ทใ่ี ช้แลว้ มาเปน็ วัตถดุ ิบไดด้ ้วย
106. เชื้อเพลิงไฮโดรเจน เช้อื เพลงิ จากธาตไุ ฮโดรเจนซึง่ ไดร้ บั ความสนใจในการใชเ้ ปน็
พลังงานทดแทน เนื่องจากมนี ้ำหนักเบา เปน็ แกส๊ ท่ีสภาวะบรรยากาศไมเ่ ป็นพิษ ไม่มีสี ไม่มกี ลน่ิ มี
ความหนาแน่นต่ำกว่าอากาศมากมจี ดุ เดอื ดและจดุ เยือกแข็งต่ำ เมอื่ เผาไหม้จะใหพ้ ลงั งานสงู กวา่
เช้อื เพลิงชนดิ อื่น ๆ ทีส่ ำคญั คือ ผลพลอยได้จากการเผาไหม้เปน็ น้ำ ดังน้ันจึงเปน็ พลงั งานสะอาด
หากนำมาใช้จะอยู่ในรูปแบบเซลลเ์ ช้อื เพลิง
107. เครื่องยนต์ไฮบริด หรอื เครื่องยนต์ลกู ผสม รถทเ่ี ปน็ เครื่องยนตไ์ ฮบริดจะใช้
เครอื่ งยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าในการทำงานของระบบ โดยพลงั งานทส่ี ูญเสียของเครอ่ื งยนตข์ ณะเบรก
จะถูกนำมาผลติ พลงั งานไฟฟ้านอกจากน้ีพลังงานจากเครื่องยนต์ท่เี กินความต้องการจะถูกนำไปผลิต
พลงั งานไฟฟา้ ด้วย
108. ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน เปน็ ระบบขนสง่ มวลชนขนาดใหญ่ท่ีคุ้มคา่ ต่อการ
ลงทุน ปัจจบุ นั ประเทศทไยมีใหบ้ ริการดังนี้
1) รถไฟฟ้าบีทเี อส เป็นรถไฟลอยฟา้ สายแรกของประเทศไทย ขับเคล่ือนโดยใช้มอเตอร์
ไฟฟ้าว่ิงบนรางคู่ยกระดับ
2) รถไฟฟ้ามหานคร หรือรถไฟฟา้ MRT เปน็ โครงการใตด้ ิน ตลอดสายใชอ้ ุโมงค์ 2 อุโมงค์
ขนานกนั และเดนิ รถทางเดียว
3) รถไฟฟ้าเช่ือมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นรถไฟลอยฟ้ารับ-สง่ ผูโ้ ดยสารภายในเมอื ง
เพ่ือไปทา่ อากาศยาน
109. แหล่งนำ้ บนโลก พ้นื ผวิ โลกประกอบด้วยพ้ืนน้ำ 3 ส่วนและมพี ้ืนดนิ อยู่เพียง 1 สว่ น
เทา่ นั้น หรือมนี ำ้ อยปู่ ระมาณ 3 ใน 4 สว่ นของพ้ืนโลกท้ังหมด (ประมาณ 72%ของพื้นโลกท้งั หมด)
110. ปริมาณนำ้ บนพน้ื ผวิ โลก เป็นนำ้ เค็มอยู่ในทะเลและมหาสมุทรประมาณ 97%
และเป็นน้ำจดื ประมาณ 3% โดยนำ้ จดื จะอยู่ในรูปของนำ้ แขง็ ทางซีกโลกเหนอื และใต้ประมาณ 87%
เปน็ นำ้ จืดใตด้ นิ ประมาณ 12% และเปน็ นำ้ จดื ที่แช่ขังอยตู่ ามแหลง่ น้ำต่าง ๆ บนผิวโลกประมาณ 1%
111. แหล่งนำ้ ธรรมชาติ เปน็ แหล่งกักเก็บน้ำทเี่ กิดขึน้ ได้เองตามธรรมชาติ พบอยู่ทั่วไป
ท้งั บนผวิ ดิน ใตด้ นิ และในบรรยากาศ
ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
256 ค่มู อื เตรยี มสอบ
112. ประเภทของแหลง่ นำ้ ธรรมชาติ แบง่ ไดเ้ ปน็ 3 ประเภท คือ 1) นำ้ ผิวดนิ 2) น้ำใต้
ดิน 3) น้ำในบรรยากาศ
113. น้ำบนดินหรือน้ำผิวดนิ เกิดจากน้ำในบรรยากาศกลัน่ ตวั เป็นฝนตกลงบนพ้นื โลก
การละลายของหมิ ะ และการไหลซึมออกมาจากนำ้ ใตด้ นิ แล้วไหลไปรวมกันเกิดเปน็ แหล่งน้ำ เชน่
แม่นำ้ ลำธาร นำ้ ตก คลอง บึง ทะเล และมหาสมทุ ร เปน็ ต้น
114. ธารน้ำ (Stream)เกิดจากการรับน้ำจากน้ำไหลผ่านและน้ำบาดาลท่เี กดิ จากนำ้ ฝน
และการละลายของหิมะ แล้วไหลลงสทู่ ีต่ ่ำกว่าโดยอาศยั แรงโนม้ ถ่วงของโลก ทำใหเ้ กดิ การกดั กร่อน
ไปตามทางที่ไหลผ่านและทำให้เกดิ ลักษณะภมู ปิ ระเทศตา่ ง ๆ ขนึ้
115. ปัจจัยที่ทำใหธ้ ารน้ำไหลด้วยความเรว็ ทต่ี า่ งกนั มี 3 ประการ คอื
1) ความลาดชันของพื้นท่ี
2) ลักษณะของลำนำ้ เช่น รปู รา่ ง ขนาด และความขรุขระของลำน้ำ เปน็ ตน้
3) อตั ราการไหลของน้ำ
116. แมน่ ำ้ (River)สว่ นมากเกดิ จากการไหลมารวมกันของทางน้ำเลก็ ๆ บนพืน้ ที่
ระดบั สูง เชน่ บรเิ วณภเู ขา หรืออาจเกดิ จากแหล่งน้ำซบั น้ำพุ ทะเลสาบ รวมทั้งจากการละลายของ
ธารน้ำแข็งกลายเป็นนำ้ ไหลมารวมกนั เกดิ เปน็ ทางนำ้ ขนึ้ การเกิดทางน้ำเปน็ รอ่ งน้ำขึน้ อย่กู ับความ
ลาดเอียงของพื้นท่ี ชนิดของหินทท่ี างนำ้ ไหลผา่ น ความเรว็ ของน้ำ และปรมิ าณนำ้ ในแต่ละฤดกู าล
117. ทะเลและมหาสมุทร เปน็ แหลง่ นำ้ เคม็ ขนาดใหญ่ทส่ี ามารถกกั เก็บนำ้ ไว้ได้ปรมิ าณ
มาก ความเคม็ ในทะเลเกดิ จาก 1) การผุพังของหนิ บนแผ่นดินถูกน้ำพัดพาสารละลายท่ีมีเกลือผสม
อยไู่ หลผา่ นพน้ื ที่ชายฝั่งลงสูท่ ะเล 2) สารละลายเกลือจากใตพ้ ืน้ ผิวโลกซึ่งจะไหลผ่านขน้ึ มาตามรอย
แตกของพ้นื โลก และตกตะกอนทับถมกันอยใู่ นท้องทะเล
118. ชายฝั่งทะเล เปน็ พน้ื ทรี่ อยต่อระหว่างทะเลกบั แผน่ ดนิ บริเวณนจ้ี งึ มีทง้ั น้ำจืดและ
นำ้ เค็มโดยนำ้ จดื จะถกู กักเก็บอยู่ในชัน้ หินอุ้มน้ำใต้หาดทรายหรอื อาจจะถูกกักเกบ็ อย่ใู นช้ันหาดทราย
โบราณในลักษณะนำ้ ซับตะกอนทีถ่ ูกพัดพามากบั น้ำ ลม และคลน่ื จากทะเล สว่ นหนงึ่ จะสะสมตวั อยู่
บรเิ วณชายฝ่งั ทะเล ทำให้เกิดเปน็ พื้นท่ชี ายฝ่ังทะเลหลายรูปแบบ เช่น เกดิ เปน็ หาดทราย ทะเลสาบ
นำ้ เคม็ และทร่ี าบนำ้ ขึ้นถงึ ป่าชายเลน
119. นำ้ ใตด้ ิน เกดิ จากนำ้ ผิวดนิ ซึมผ่านดินชนั้ ตา่ ง ๆ ลงไปถงึ ช้นั ดินหรอื ชั้นหินที่นำ้ ซมึ
ผา่ นไม่ได้ แลว้ ไปสะสมอยู่ในช่องว่างของเนื้อดินหรอื หนิ
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 257
120. ประเภทของน้ำใต้ดนิ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1) น้ำในดนิ หรือนำ้ ใต้ดินชั้นบน พบในชัน้ ดินตื้น ๆ น้ำจะขงั ตัวอย่เู หนือช้ันหนิ หรืออยู่
ระหว่างชน้ั ดินท่ีเน้อื แน่นนำ้ ซึมผา่ นได้เลก็ น้อยอย่ไู มล่ ึก จากผวิ ดินมากนัก เรยี กน้ำทีซ่ ึมอยู่ในดนิ นว้ี า่
นำ้ ในดิน และเรียกระดับน้ำตอนบนสดุ วา่ ระดบั น้ำในดิน แหล่งนำ้ ชนดิ นจี้ ะมีปริมาณนำ้ มากในฤดฝู น
และจะมีปริมาณน้ำลดน้อยลงในฤดูแลง้ มีสารแขวนลอยปะปนอยู่
2) นำ้ บาดาล เป็นน้ำส่วนท่เี หลอื จากท่ีน้ำในดนิ ดดู ซบั ไว้ โดยน้ำจะไหลซึมตอ่ ไปอีกในระดบั
ทลี่ ึกลงไปจากน้ำในดนิ ซึมผา่ นชัน้ ดินและช้ันหินตา่ ง ๆ ไปขังตวั อยใู่ นช่องว่างของชน้ั ดินหรอื ชนั้ หนิ ที่
ไมย่ อมให้น้ำผา่ นไปได้อกี ทำใหช้ ั้นหินนนั้ อิ่มตัวดว้ ยนำ้ เรยี กน้ำนีว้ า่ นำ้ บาดาล และเรียกระดับน้ำ
ตอนบนสดุ วา่ ระดบั น้ำใต้ดิน
121. ชั้นหินอมุ้ นำ้ คือ ช้ันหนิ หรอื ชน้ั ตะกอนทีส่ ามารถกักเก็บน้ำบาดาลไว้ได้ เชน่ ช้ัน
หนิ ทราย ช้นั ตะกอนทราย ชั้นกรด
122. นำ้ พุ เกิดจากการไหลถ่ายเทของนำ้ บาดาลเน่ืองจากแรงโน้มถว่ งของโลกมีทิศ
ทางการไหลตามแนวเอียงเทของระดับน้ำใต้ดนิ ถ้าแนวระดับน้ำใต้ดินไหลตัดผา่ นสงู กว่าระดบั ของผิว
ดนิ อกี บริเวณหนึ่ง น้ำบาดาลจะไหลออกมาสู่พื้นดินโดยตรงทำให้เกิดนำ้ พุได้
123. น้ำในบรรยากาศ เป็นน้ำท่ีพบไดท้ ้ัง 3 สถานะ คือ สถานะของแขง็ เชน่ ลกู เห็บ
หมิ ะ สถานะของเหลว เช่น นำ้ ฝน นำ้ ค้าง และสถานะแก๊ส เช่น เมฆ หมอก เป็นต้น
124. น้ำ เป็นตวั ทำละลายท่ดี สี ามารถละลายสารตา่ ง ๆ ได้ และมพี ลังงานทีส่ ามารถกัด
กร่อนดินหินให้เปลีย่ นรปู ร่างไปจากเดิมได้ ดังนนั้ น้ำจึงเปน็ ตวั การสำคญั ที่ทำให้พ้ืนผิวโลกหรือไดพ้ ื้น
โลกเกดิ การเปลยี่ นแปลง และการเปลยี่ นแปลงบางอย่างยังกอ่ ให้เกดิ ทัศนยี ภาพทีส่ วยงานข้นึ ดว้ ย
125. การใชป้ ระโยชนจ์ ากแหลง่ น้ำ
1) การเกษตรกรรม ใชน้ ำ้ สำหรับรดพชื ผกั ในสวน
2) การประมง ใชแ้ หลง่ นำ้ เป็นแหลง่ หาปลา
3) การคมนาคม ใชส้ ำหรับสญั จรไปในทต่ี ่าง ๆ และขนสง่ สินค้า
4) การผลิตไฟฟ้า โดยใช้พลังงานจากน้ำ
5) การอุปโภคใช้ด่มื และใช้ในครวั เรือน
6) การอุตสาหกรรม ใชใ้ นกระบวนการผลิตตา่ ง ๆ
126. การอนรุ ักษ์แหล่งน้ำ
1) ใชน้ ้ำอย่างประหยดั โดยไม่เปิดก๊อกนำ้ ทงิ้ ไวข้ ณะท่ีน้ำไม่ไหล ขณะแปรงฟนั อาบน้ำ ไม่
ควรเปิดก๊อกนำ้ หรือฝักบัวท้ิงเอาไว้ นำนำ้ จากการล้างจานหรอื ถูพนื้ ไปรดตน้ ไม้
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
258 ค่มู อื เตรยี มสอบ
2) ไม่ทิ้งขยะลงในแหลง่ นำ้
3) ใช้น้ำบาดาลเทา่ ท่ีจำเปน็
4) บำบัดน้ำเสยี ก่อนปลอ่ ยลงสแู่ หล่งน้ำ
127. ธรณพี ิบตั ิภยั จากน้ำ
1) การทรดุ ตัวของแผ่นดนิ เกดิ จากการสบู นำ้ บาดาลข้นึ มาใช้เปน็ ปรมิ าณมากจนเกิดกว่า
น้ำจะไหลเข้าแทนทชี่ ่องว่างระหว่างตะกอนในช้นั หินอมุ้ น้ำได้ทนั ซงึ่ จะเกิดมากทีส่ ดุ ตรงบริเวณ
ศนู ย์กลางที่มีการสบู น้ำบาดาลขึน้ มาใช้ ทำใหช้ ัน้ ดินค่อย ๆ ยบุ ตัวลงทลี ะน้อย ส่งผลใหส้ งิ่ ก่อสรา้ งท่ี
อยู่บนพืน้ ที่น้นั ทรุดตัวและแตกร้าว
2) หลุมยุบ เกิดจากการเปลยี่ นแปลงของระดับน้ำใตด้ ิน ทำใหโ้ พรงหรือถ้ำท่ีอยูใ่ ต้ดินทรดุ
ตัวลง แลว้ เพดานโพรงทมี่ ีความบางไมส่ ามารถคงตัวอยู่ได้ยุบตัวลงตามทำให้เกดิ หลมุ ลกึ มีเส้นผ่าน
ศูนย์กลาง 1-200 เมตร ความลึกตัง้ แต่ 1 เมตร ถงึ มากกวา่ 200 เมตร
3) แผน่ ดนิ ถลม่ เกดิ จากฝนตกหนักมากจนดินและช้นั หนิ ไม่สามารถอุม้ น้ำปริมาณมหาศาล
ไดอ้ ีก พนื้ ดินจงึ เลื่อนไถลลงตามความชนั ของช้ันหนิ ซึ่งบางแหง่ อาจถล่มลงไปขวางทางน้ำไหลเป็น
สาเหตใุ หเ้ กิดน้ำท่วมตามมาได้
4) การกดั เซาะชายฝั่ง อาจเกดิ เนอ่ื งจากระดับน้ำทะเลท่เี พม่ิ สูงขึ้นหรืออาจเกดิ จากการ
ทรดุ ตวั ของแผ่นดิน หรือกิจกรรมตา่ ง ๆ ของมนษุ ย์ทำให้เกิดการสญู เสียพื้นที่ และทรัพยากรชายฝั่ง
เกดิ ความเสยี หาย
ตวั อยา่ งแนวข้อสอบบทท่ี 3
1. ดนิ ทอี่ มุ้ น้ำได้ดีทส่ี ดุ คือดนิ อะไร 5. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับกระบวนการทาง
ก. ดนิ ทราย ค. ดินร่วน ธรณวี ทิ ยาทท่ี ำให้เกดิ วฏั จกั รของหิน
ข. ดนิ เหนยี ว ง. ดนิ ลกู รงั ก. การหลอมละลาย การผุพัง
2. พชื ชนดิ ใดท่ีเหมาะสำหรับปลูกเปน็ พชื ข. การผุพงั การแปรสภาพ
หมุนเวยี น ค. การหลอมเหลว การกัดเซาะและการผุพัง
ก. ถวั่ เหลือง ง. การหลอมเหลว การผุพงั และการกัดเซาะ
ข. มนั สำปะหลงั การแปรสภาพ
ค. โหระพา 6.ข้อใดกล่าวถูกต้องเก่ียวกับ “ แร่”
ง. เผือก ก .ธาตหุ รือสารประกอบอนิ ทรีย์
ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 259
3. อนิ ทรยี วตั ถุ หมายถึงอะไร ข. ธาตหุ รือสารประกอบอนนิ ทรีย์
ก. หนิ ท่ผี ุพัง ค.มีสถานะเปน็ ของแข็ง มีโครงสร้างเปน็ ผลกึ
ข. แรธ่ าตทุ ฝ่ี งั ตัวอยใู่ นหิน ง. ถูกทงั้ ข้อ ข. และ ค.
ค. ซากพืชซากสัตว์ท่ีเนา่ เป่ือยผุพงั 7.ขอ้ ใดไม่ใช่ชนิดของหินอัคนี
ง. อากาศท่ีแทรกอยู่ระหวา่ งชอ่ งของเม็ดดิน ก. หินแกรนติ
4.ขอ้ ใดกลา่ วถูกต้อง ข. หินดนิ ดาน
ก. หินเกดิ จากการทับถมกนั ของซากพชื ซากสตั ว์ ค. หนิ บะซอลล์
ข. หนิ เกดิ จากการรวมตัวกันของแร่ชนิดเดียวกัน ง. หินพัมมิซ
หรือหลายชนดิ
ค. หนิ เกดิ จากการรวมตัวกันของกรวดและทราย
ง. ถกู ทุกข้อ
8. “ หินอ่อน ” เป็นหนิ ท่ีแปรสภาพมาจากหนิ 14. การแกป้ ญั หาดินเค็มทำได้โดยวิธใี ด
ชนดิ ใด ก. เตมิ ไนโตรเจนข. เติมดนิ แดง
ก. หนิ ปนู ค. เตมิ กำมะถันง. มีข้อถูกมากกว่า 1 ข้อ
ข. หินดินดาน 15.ความละเอยี ดของเน้ือหินเกดิ จากอะไร
ค. หินแกรนิต ก. แรใ่ นหิน
ง. หินทราย ข. อณุ หภูมขิ องหิน
9.หนิ ชนิดใดลอยน้ำได้ ค. เวลาในการเยน็ ตัว
ก. หนิ แกรนติ ง. ความลกึ ของหนิ หลอมเหลว
ข. หนิ ดนิ ดาน 16. แรช่ นดิ ใดที่สามารถนำมาใชไ้ ด้เลย โดยไม่
ค. หินบะซอลล์ ต้องผ่านกระบวนการถลุง
ง. หนิ พัมมิซ ก. เหล็กข. ดบี ุก
10. แร่ชนิดใดทนี่ ำมาหลอมเป็นอะลูมเิ นียม ค. ควอตซ์ง. สังกะสี
ก. แร่บอกไซต์ 17. ข้อใดไมใ่ ช่สมบัติทางฟสิ ิกส์ของแร่
ข. แร่ดบี ุก ก.สเี ปลวไฟ, แสงเรือง
ค. แร่ตะก่วั
ง. แรส่ ังกะสี ข.รูปผลึก, ความวาว
11.น้ำมันปโิ ตรเลียมมักพบในหินชนดิ ใด ค.สี, สผี ง
ง.ความแขง็ , ความถ่วงจำเพาะ
ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
260 คมู่ อื เตรยี มสอบ
ก. หนิ แปร 18. ในแหล่งกักเกบ็ ปิโตรเลยี มที่มีทั้งน้ำมันดบิ
ข. หินอัคนี
ค. หนิ ตะกอน กา๊ ซธรรมชาตแิ ละนำ้ เราจะพบว่ามกี ารแยกชั้น
ง. ถกู ทกุ ข้อ
12. ดนิ ท่ปี ระสบปัญหาเป็นกรด แก้ไขไดโ้ ดยเติม กันอย่างไร เรยี งลำดับจากบนลงลา่ ง ?
สารใดลงไป
ก. ทราย ก. กา๊ ซ น้ำ นำ้ มนั ข. ก๊าซ นำ้ มนั น้ำ
ข. ปยุ๋ เคมี
ค. ป๋ยุ คอก ค. นำ้ มนั กา๊ ซ น้ำง. นำ้ มนั น้ำ ก๊าซ
ง. ดินมารล์
13.รูพรุนในหินเกิดจากอะไร 19. กา๊ ซโซฮอลหรอื เบนโซฮอลเ์ ปน็ ของเหลว
ก. ซากแมลง
ข. การจัดตวั ของแร่ ผสมระหว่างสารใด
ค. การสลายตัวของหิน
ง. ฟองก๊าซในหนิ หลอมเหลว ก. เมทานอลกับน้ำมนั ดีเซล
ข. เมทานอลกบั น้ำมันเบนซนิ
ค. เอทานอลกับนำ้ มนั เบนซิน
ง. เอทานอลกบั น้ำมนั ดีเซล
20. น้ำในข้อใดมปี รมิ าณมากที่สดุ ในโลก
ก. นำ้ เคม็ ข. นำ้ จืด
ค. น้ำในอากาศ ง. นำ้ ใตด้ ิน
บทที่ 4โลกของเรา
1. โลก เปน็ ดาวเคราะห์เพยี งดวงเดยี วในระบบสรุ ยิ ะทม่ี ีสภาวะแวดลอ้ มเหมาะสมให้
สง่ิ มีชวี ติ อาศยั อยูไ่ ด้ เพราะโลกโคจรอยู่ในระยะไกลจากดวงอาทติ ยใ์ นระยะทางทเ่ี หมาะสม
นอกจากนโี้ ลกยงั มีดนิ หิน แร่ และน้ำอยู่เป็นปริมาณมาก และมชี น้ั บรรยากาศชว่ ยหอ่ หุ้มโลกและ
กรองรงั สที ี่แผม่ าจากดวงอาทิตย์ซึง่ เป็นอนั ตรายตอ่ ส่ิงมชี ีวิตเอาไว้
2. สว่ นประกอบของโลก แบ่งได้ 3 ส่วน คอื 1) เปลอื กโลก 2) เนือ้ โลก 3) แกน่ โลก
3. เปลือกโลก (Crust)เปน็ สว่ นที่อยู่ช้นั นอกสดุ ของโลก มีความหนาอุณหภมู ิ ความ
ดัน และความหนาแนน่ น้อยที่สดุ เมือ่ เทยี บกบั โครงสร้างชัน้ อืน่ ๆ มที ้งั ส่วนทเี่ ปน็ แผ่นดินและน้ำท่ี
มองเหน็ อยู่ภายนอก กับส่วนทเ่ี ป็นหนิ แข็งฝังลึกลงไปใตผ้ ิวนำ้ เปลอื กโลกมีความหนาประมาณ 5-35
กิโลเมตร
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 261
4. เปลือกโลกแบ่งออกเปน็ 2 แบบ คอื
1) เปลือกโลกทวปี มีความหนาเฉลี่ย 35 กิโลเมตร เป็นเปลอื กโลกสว่ นท่ีเปน็ พน้ื ทวปี และ
ไหลท่ วีป
2) เปลือกโลกมหาสมุทร มคี วามหนาเฉลยี่ 5 กโิ ลเมตร เป็นเปลือกโลกท่ีอย่ใู ต้มหาสมุทร
ตา่ ง ๆ
5. ช้นั เนื้อโลก (Mantle)เป็นส่วนของเน้ือโลกท่อี ยู่ถัดลงไปจากเปลอื กโลกมีความ
หนาประมาณ 2,885 กโิ ลเมตร
6. ชนั้ เนอ้ื โลกแบง่ เปน็ 2 ช้นั คือ
1) เนื้อโลกตอนบน มคี วามหนาประมาณ 665-695 กิโลเมตร มสี ถานะเป็นของแขง็ เน้ือโลก
ทรี่ ะดับความลึกจากผวิ โลกประมาณ 100-350 กิโลเมตร มสี ารเริ่มตน้ ท่ีจะหลอมเหลวเป็นหนิ
หลอมเหลวที่เรียกว่าแมกมา
2) เนื้อโลกตอนลา่ ง มีความหนาประมาณ 2,190-2,220 กิโลเมตรมีสถานะเป็นของแข็ง
7. แก่นโลก (Core)เปน็ สว่ นชน้ั ในสุดของโลก มีความหนาแน่นมากมีทัง้ ส่วนทีเ่ ป็น
ของแข็งและสว่ นที่ร้อนจนหลอมเปน็ ของเหลว ประกอบดว้ ยธาตุเหลก็ และนิกเกิลเป็นสว่ นใหญ่ มี
ความหนาจนถึงจดุ ศนู ยก์ ลางของโลกประมาณ 3,486 กิโลเมตร
8. แกน่ โลกแบ่งออกเปน็ 2 ช้นั คอื
1) แก่นโลกชนั้ นอก (Outer Core)มีความหนาประมาณ 2,270 กิโลเมตร อยู่ในระดบั
ความลึกจากผวิ โลกประมาณระหวา่ ง 2,885-5,155 กิโลเมตร ชน้ั น้ปี ระกอบดว้ ยของเหลวร้อนที่
เคลือ่ นทห่ี มนุ วนซ่ึงสง่ ผลใหเ้ กิดสนามแม่เหล็กข้ึน มคี วามหนาแน่นสมั พัทธ์ประมาณ 12.0
2) แกน่ โลกชัน้ ใน (Inner Core)มีความหนาประมาณ 1,216 กโิ ลเมตร อยู่ในระดบั ความ
ลึกประมาณ 5,155 กโิ ลเมตรจนถึงกลางโลก เปน็ ชน้ั ของแข็งเนือ่ งจากมีความดันมหาศาลกดทบั
ประกอบด้วยธาตุเหล็กและนิกเกิล มีความหนาแน่นสัมพทั ธม์ ากกว่า 17.0
9. ระบบโลกประกอบด้วย 4 ระบบใหญ่ ๆได้แก่ 1) ธรณภี าค 2) บรรยากาศ 3)
อทุ กภาค 4) ชวี ภาค
10. ธรณีภาค (Lithosphere)เป็นสว่ นเปลือกโลกทีป่ ระกอบกันข้ึนมาจากของแข็ง เช่น ดิน หิน
และธาตตุ า่ ง ๆ
11. อากาศภาค (Atmosphere)หรือบรรยากาศ เปน็ สว่ นท่ีเกี่ยวกบั ชัน้ บรรยากาศท่ี
หุม้ หอ่ โลก ประกอบด้วยแก๊สตา่ ง ๆ ทีช่ ว่ ยให้สงิ่ มชี ีวิตอาศยั อยไู่ ดบ้ นพน้ื ผิวโลก อากาศภาคชว่ ยใน
การปอ้ งกนั ไม่ใหร้ งั สีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตยซ์ ่งึ เปน็ อนั ตรายต่อส่งิ มีชีวติ ผ่านเข้ามาถึง
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
262 ค่มู อื เตรยี มสอบ
พนื้ ผวิ โลกและยงั ชว่ ยเปน็ ฉนวนกันความร้อนทหี่ ่อหุ้มโลกโดยปอ้ งกันไม่ให้ไดร้ บั ความจากดวงอาทติ ย์
สงู เกินไป และปอ้ งกนั ไม่ใหส้ ูญเสียความร้อนกลบั ขึ้นไปในอากาศทำใหโ้ ลกอบอุ่น
12. อทุ กภาค (Hydrosphere) เปน็ สว่ นท่เี กี่ยวกับน้ำบนผวิ โลก เชน่ แม่นำ้ ลำธาร
คลอง บึง ทะเลสาบ ทะเล และมหาสมทุ ร
13. ชวี ภาค (Biosphere)เป็นส่วนที่เกีย่ วกับสิง่ มีชวี ติ ทง้ั พชื สัตว์ และมนุษย์ แบ่ง
ออกเปน็ 3 สว่ น 1) เหนือพ้ืนโลกสงู จากระดับนำ้ ทะเลปานกลางประมาณ 9,000 เมตร 2) บนพ้ืน
โลก 3) ใต้พน้ื โลกตำ่ จากระดับนำ้ ทะเลปานกลางประมาณ 11,000 เมตร ถือเป็นขอบเขตของระบบ
นิเวศโลกทีส่ ิง่ มชี ีวิตทง้ั หมดสามารถดำรงชีวติ อยู่ได้
14. ระบบโลกทั้ง 4 ระบบ มีความสัมพันธ์ซงึ่ กนั และกนั ถา้ ระบบโลกระบบใดระบบ
หนึง่ เสียสมดุลไป จะส่งผลกระทบต่อระบบอืน่ ๆ เชน่ ผวิ โลกทีอ่ ยใู่ นระบบธรณีภาค เป็นแหลง่ ทอ่ี ยู่
ของส่งิ มีชิวติ ในระบบชีวภาคถ้าปราศจากผวิ โลกก็จะไม่มสี ่วนรองรบั แหลง่ นำ้ ตา่ ง ๆ ในระบบอทุ ก
ภาคท่จี ำเป็นต่อการดำรงชวี ติ ของสิง่ มชี ีวติ ทกุ ชนดิ และวัฏจักรนำ้ ยังต้องอาศัยระบบบรรยากาศ
เพ่อื ใหว้ ัฏจกั รหมนุ เวยี นได้ครบ นอกจากนน้ั แก๊สบางชนิดที่จำเป็นสำหรบั สิ่งมชี ีวติ กอ็ ย่ใู นระบบ
บรรยากาศ ซึ่งมพี ชื เป็นผผู้ ลิตแกส๊ ท่สี ำคญั ออกสู่บรรยากาศ หากไม่มีพืชระบบบรรยากาศก็จะเสีย
สมดลุ และเกดิ ปัญหาสง่ิ แวดล้อมตามมาได้
15. สาเหตุทีท่ ำให้เปลือกโลกเกดิ การเปลีย่ นแปลง มี 2 ประการ คอื 1) การกระทำ
ของมนุษย์ 2) การกระทำของธรรมชาติ
16. การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกทเ่ี กิดจากมนุษย์ เช่น
1) การสร้างสิง่ ก่อสร้างขนาดใหญ่ เชน่ เขอื่ น ถนน สะพาน อาคาร โรงงาน เป็นต้น
2) การระเบิดภูเขา การทำเหมืองแร่ การขุดเจาะเชือ้ เพลิง การขุด เจาะบ่อบาดาล
3) การตัดไม้ทำลายป่า
4) การทดลองระเบดิ ปรมาณูและการสรา้ งโรงไฟฟา้ นิวเคลียร์
17. การเปลยี่ นแปลงของเปลือกโลกทเี่ กิดจากธรรมชาติ เชน่
1) การเคลื่อนท่ีของแผน่ เปลือกโลกเน่อื งจากหินหนดื ในบรเิ วณต่าง ๆ ของโลกมีทิศ
ทางการไหลที่แตกตา่ งกนั จงึ ทำใหเ้ ปลือกโลกบางแผ่นแยกออกจากกนั และบางแผ่นอาจเคลื่อนท่ีเข้า
ชนกัน
2) การแทรกตัวของหินหนืดตามรอยแยกของแผ่นเปลือกโลก
ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 263
18. ผลกระทบท่ีเกดิ ข้นึ จากการเคลือ่ นทขี่ องแผน่ เปลอื กโลก คือ ทำให้เกดิ
แผ่นดินไหว และเกิดภเู ขาไฟระเบดิ
19. ภมู ิลกั ษณะหรือธรณสี ณั ฐาน คือ ลักษณะของโลกที่มีรปู พรรณสณั ฐานทีแ่ ตกตา่ ง
กัน เช่น ภูเขา ท่รี าบ ถำ้ เป็นต้น
20. การผพุ งั อยู่กับที่ เป็นกระบวนการท่ที ำให้หนิ ผุพังสลายตัวลงเป็นเศษหนิ ขนาด
ต่าง ๆ กนั แบ่งเปน็ 2 ประเภท คือ
1) การผุพังทางกายภาพ เปน็ การเปล่ียนแปลงขนาดและรูปร่างของหนิ เฉพาะภายนอก
ขน้ึ อยกู่ ับปจั จยั หลายอยา่ ง เช่น ประเภทและชนดิ ของหิน ลักษณะโครงสรา้ งทางธรณวี ทิ ยา การ
กระทำจากธรรมชาติหรอื ส่งิ มีชวี ิต และการเปลยี่ นแปลงของอุณหภมู ิอากาศ ตัวอย่างเชน่ รากไม้ ที่
ชอนไชไปตามรอยแตกของหิน การระเบดิ ภูเขา เป็นต้น
2) การผุพังทางเคมี เกดิ จากปฏกิ ริ ิยาตา่ ง ๆ ในธรรมชาติ เช่น นำ้ ฝน ท่มี สี มบัติเปน็ กรด
คารบ์ อนิกจะทำปฏกิ ิริยากบั สารประกอบแคลเซยี มคาร์บอเนตในหนิ ทำใหห้ ินกร่อนและเวา้ แหวง่
หรอื ขรุขระ
21. การกร่อน เปน็ กระบวนการธรรมชาติท่ีเศษหนิ ดนิ ถูกพดั พาไปจากเดิมเน่ืองจาก
แรงนำ้ แรงลม แรงโน้มถว่ งของโลก และธารน้ำแข็ง
22. ทางนำ้ โค้งตวัด (Meander)เปน็ ลกั ษณะลำน้ำท่ีคดโคง้ ไปมาไม่เป็นเสน้ ตรง พบ
ในบริเวณที่ธารน้ำไหลผ่านไปในพนื้ ที่ค่อนข้างราบ การกัดเซาะในทางลกึ มีน้อยกว่าในทางขา้ ง
กระแสนำ้ ทไ่ี หลมาปะทะตลิ่งด้านข้างหนึง่ จะค่อย ๆ กดั เซาะตลิง่ ดา้ นน้นั ให้พงั ทลายไปทีละนอ้ ย ๆ
ในขณะเดยี วกันตลง่ิ ดา้ นทอ่ี ยู่ตรงขา้ มจะเกดิ การทับถมงอกออกมานาน ๆ เขา้ ทางน้ำจงึ โคง้ มากข้ึน
บางครงั้ กโ็ ค้งตวัดจนเกือบจะประชิดกนั
23. ทะเลสาบรูปแอก (Oxbow Lake)คอื บงึ หรือทะเลสาบรูปโคง้ คล้ายแอก เกิด
จากการท่ีทางนำ้ โคง้ ตวัดเปลี่ยนเส้นทางจากการไหลตามแนวโคง้ เดมิ เปน็ ตัดตรง ทำใหล้ ำนำ้ โคง้ เดิม
ถกู ตัดขาดเป็นทะเลสาบรูปแอก เช่น แมน่ ำ้ เจ้าพระยาในช่วงทีไ่ หลผ่านทร่ี าบลมุ่ ภาคกลางตอนล่าง
24. คัดดินธรรมชาติ (Natural Levee)คือ ลักษณะการสะสมตะกอนของแม่น้ำท่ี
ไหลผา่ นพ้ืนแม่น้ำท่ีกว้างและราบ คนั ดินธรรมชาติจะอยู่ขนาดกนั ท้ังสองฟากฝั่งลำนำ้ เกิดจากน้ำที่
ท่วมล้นฝง่ั อยู่เปน็ เวลานานและท่วมหลายคร้ัง เมอื่ ธารนำ้ ไหลท่วมสองฟากฝงั่ ความเร็วของธารน้ำก็
จะลดลงเกดิ ตะกอนตกทับถมกนั เป็นแนวยาวรมิ ลำน้ำ
25. ดินดอนสามเหลี่ยมปากแมน่ ้ำ (Delta)ส่วนใหญพ่ บบรเิ วณปากแมน่ ้ำทเ่ี ชื่อมต่อ
กบั มหาสมุทรเกดิ จากการที่ทางน้ำไหลมาถึงแหล่งน้ำทเ่ี กือบน่งิ เชน่ หนองน้ำ มหาสมุทร ความเรว็
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
264 คมู่ อื เตรยี มสอบ
ของทางน้ำจะลดลงอย่างรวดเร็วทำใหต้ ะกอนที่ถกู นำ้ พดั พามาทบั ถมกันเกิดเป็นดนิ ดอนสามเหลยี่ ม
ข้ึน
26. ลำน้ำแตกสาขา (Distributary)เกิดขน้ึ บริเวณสามเหลีย่ มปากแม่น้ำเมื่อ
สามเหลยี่ มปากแมน่ ำ้ ใหญ่ข้ึนความลาดชนั ของแม่น้ำกจ็ ะลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลำน้ำถกู ปิดกนั้
ด้วยตะกอนทม่ี าจากสายน้ำที่ไหลชา้ นน้ั เมอ่ื แมน่ ำ้ ถูกปดิ ก้ันน้ำก็ต้องระบายออกส่มู หาสมุทรดว้ ยวิธี
อ่ืน ลำนำ้ จงึ แตกสาขาออกเป็นลำน้ำยอ่ ย ๆ หลายสาร แล้วแบ่งเอานำ้ และตะกอนไปจากลำนำ้ สาย
หลกั นั้น
27. เนนิ ตะกอนนำ้ พารปู พดั (Alluvia fan)เกดิ จากน้ำพัดพาตะกอนมาหามหบุ เขา
ด้วยความเร็วสูง เม่อื ไหลงสู่ท่ีราบความเรว็ ของน้ำจะลดลงทำให้ตะกอนตกทับแผ่ออกไปในบรเิ วณท่ี
ราบเชิงเขามลี กั ษณะคลา้ ยพดั ท่ีกางออก
28. เนินตะกอนน้ำพารูปกรวย (Alluvial Cone)มลี ักษณะการเกิดคล้ายเนนิ
ตะกอนน้ำพารปู พดั แตต่ ะกอนทีต่ กทับถมมีการสะสมตัวพูดสงู ขึน้ เป็นรปู กรวย
29. เนนิ ทราย (Sand dune)เป็นพืน้ ทที่ ่ีมีลกั ษณะนูนขน้ึ เป็นโคกเต้ีย ๆ เกิดจาก
ลมพัดพาทรายมากองรวมกัน สามารถเปลย่ี นตำแหนง่ ได้โดยอาศัยลมเป็นตัวกลางในการพัดพา
ทศิ ทางของเนินทรายจะอยู่ในแนวเดียวกันกับทิศทางการพัดพาของลม ดา้ นขา้ งของเนนิ ดา้ นต้นลม
จะมลี กั ษณะลาดสว่ นดา้ นทอ่ี ยู่ปลายลมจะมีลักษณะชนั
30. ภูเขายอดราบ เป็นลกั ษณะเฉพาะของภเู ขาโดด การสกึ กร่อนของหินโดยปัจจยั
ต่าง ๆ ตามธรรมชาติทำให้ไหล่เขาชันขนึ้ ไปตามความสูงแต่ยอดเขามีลักษณะแบบราบคล้ายโต๊ะ เชน่
ภกู ระดงึ ภูหลวง ภกู ุ้มขา้ ว เป็นต้น
31. ถ้ำหนิ ปูน เกดิ จากคาร์บอนิกในนำ้ ฝนละลายแร่แคลไซตท์ ี่อยใู่ นหินปูนท่ีมรี อย
แตกแยก เมอ่ื เกิดบ่อย ๆ เป็นเวลานาน รอยแตกนัน้ กจ็ ะยุบตวั ลงเป็นหลุมยบุ หรอื ช่องโพรงและน้ำก็
จะกดั กร่อนละลายหนิ ปูนไปทีละน้อยจนกลายเป็นโพรงโตและเป็นถ้ำในที่สดุ ภายในถ้ำนี้มักมีหินงอก
หนิ ยอ้ ยเกิดขึ้นดว้ ย
32. หนิ งอกหินยอ้ ย เกดิ จากน้ำซึมผ่านเพดานถำ้ หนิ ปนู เมื่อน้ำระเหยไปจะทำให้แร่
แคลไซต์ตกผลกึ ในลักษณะยอดพุ่งลงมาจากเพดาน เรียกวา่ หินยอ้ ย ในขณะเดยี วกนั ถา้ น้ำแรห่ ยดลง
พน้ื แลว้ นำ้ ระเหยไปผลึกแรแ่ คลไซตจ์ ะพอกตัวข้นึ จากพื้น เรียกวา่ หนิ งอก หนิ งอกและหินยอ้ ยนน้ี าน
เข้าอาจบรรจบกนั กลายเปน็ รูปเสารองชนั้ เพดานถำ้ เรยี กว่า เสาหิน
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 265
33. ซมุ้ หนิ เกดิ ในบรเิ วณพื้นที่ชายฝั่งทะเล เน่ืองจากมีการเกิดน้ำขนึ้ น้ำลงทกุ วัน
และคลื่นน้ำซดั จากทะเลจะทำให้เกดิ การกัดกร่อนหนิ ทย่ี น่ื ออกไปในทะเลจนกลายเป็นโพรง เม่ือเกดิ
นาน ๆ เข้าโพรงน้ันจะทะลุถึงกนั เกิดเป็นช่องหินเรียกวา่ ซุ้มหิน ถ้ามีน้ำไหลผ่านไดจ้ ะเรียกว่า
สะพานหินธรรมชาติ
สาระท่ี 7 ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ
บทที่ 1 ปฏสิ ัมพันธ์ในระบบสรุ ยิ ะ
1) ระบบสรุ ิยะ (Solar System) คือ ระบบที่ประกอบดว้ ยดวงอาทิตย์เป็นศนู ย์กลาง
มบี ริวารโคจรอยโู่ ดยรอบ ได้แก่ ดาวเคราะห์ต่าง ๆ ดวงจนั ทร์ บริวารของดาวเคราะหแ์ ต่ละดวง ดาว
เคราะห์น้อย ดาวหาง อุกกาบาต ตลอดจนกลุ่มฝนุ่ และแกส๊ ซ่ึงเคลอ่ื นท่อี ยู่ในวงโคจรภายใตอ้ ทิ ธิพล
แรงดงึ ดูดจากดวงอาทติ ย์
2) โลก (The Earth)เปน็ ดาวเคราะหด์ วงเดยี วในระบบสุรยิ ะที่มสี งิ่ มชี ีวิตอาศยั อยู่
ประกอบดว้ ยส่วนทเ่ี ปน็ พนื้ ดิน พ้ืนนำ้ และบรรยากาศซึ่งเปน็ ปจั จยั ทส่ี ำคญั ในการดำรงชวี ิตของ
มนษุ ย์
3) การเคล่ือนที่ของโลก มี 2 ลักษณะทสี่ ำคัญ คือ1) หมุนรอบตวั เองรอบละ 1 วัน ทำ
ใหเ้ กดิ วัน2) โคจรรอบดวงอาทติ ยร์ อบละ 1 ปี ทำใหเ้ กิดปี
4) ลักษณะการหมนุ รอบตัวเองของโลก จะหมุนจากทศิ ตะวันตกไปทางทิศตะวนั ออก
หรอื หมุนจากทางประเทศพม่ามาทางประเทศไทย
5) ปรากฏการณ์ท่ีเกดิ จากการหมนุ รอบตัวเองของโลก เช่น เกิดทศิ กลางวันกลางคืน
การขน้ึ ตกของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวต่าง ๆ เป็นตน้
6) การข้ึนตกของดวงอาทิตย์ เกดิ จากการที่โลกหมุนรอบตัวเองจากทิศตะวันตกไป
ทศิ ตะวันออกรอบละ 1 วนั ทำให้คนบนโลกมองเห็นดวงอาทติ ยเ์ คล่ือนท่ปี รากฏจากทศิ ตะวันออกไป
ทางทศิ ตะวนั ตกและกลบั มาท่ีเกา่ ในเวลา 1 วนั
7) ขอบฟ้า คือ บริเวณรอบต่อระหวา่ งท้องฟ้า และพนื้ ดินหรือพนื้ นำ้
8) การเกดิ ทิศและการเกิดกลางวันกลางคนื ศกึ ษาจากรูปภาพต่อไปน้ี สมมติใหผ้ ู้
สงั เกตยนื อยู่ตำแหน่งเดิมบนเส้นศูนยส์ ูตรโลก และหันหน้าไปทางขั้วโลกเหนอื
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
266 คมู่ อื เตรยี มสอบ
ตำแหน่ง 1 (เวลา 06.00 น.) จะเหน็ ดวงอาทิตย์ขึ้นที่ขอบฟ้าทางทิศตะวันออก ดังนั้นทิศตรง
ข้ามกบั ทิศตะวนั ออกคือทศิ ตะวันตก
ตำแหนง่ ท่ี 2 (เวลา 12.00 น.) จากตำแหนง่ ที่ 1 เม่ือโลกหมุนไปอกี 6 ชัว่ โมง จะพาผสู้ งั เกต
ไปอยู่ท่ตี ำแหน่งท่ี 2 ทำใหม้ องเห็นดวงอาทติ ย์ปรากฏอยเู่ หนือศีรษะ
ตำแหนง่ ท่ี 3 (เวลา 18.00 น.) จากตำแหนง่ ที่ 2 เม่ือโลกหมุนไปอีก 6 ช่ัวโมง จะพาผสู้ งั เกต
ไปอย่ตู ำแหนง่ ท่ี 3ทำให้มองเห็นดวงอาทติ ย์ที่ขอบฟา้ ทศิ ตะวันตก เรยี กว่า ดวงอาทติ ยต์ ก
ตำแหนง่ ที่ 4 (เวลา 24.00 น.) จากตำแหน่งท่ี 3 เมื่อโลกหมนุ ตอ่ ไปอีก 6 ชวั่ โมงซึง่ เรม่ิ เปน็
เวลากลางคนื ผู้สังเกตจะไปอยู่ตำแหนง่ ที่ 4 และมองไม่เห็นดวงอาทติ ย์ แลว้ หลังจากนน้ั อีก 6 ชัว่ โมง
โลกกจ็ ะหมนุ กลับไปยังตำแหน่งท่ี 1 อกี คร้ัง
สรปุ ไดว้ ่า
1) ทิศอย่ตู ิดกับโลกเช่นเดียวกับคนบนโลก ก็อยู่ในตำแหนง่ เดิมบนโลกเพียงแตโ่ ลกมกี าร
หมุนรอบตัวเองจากทิศตะวันตกไปยังทศิ ตะวันออก
2) การหมนุ รอบตวั เองของโลกทำใหเ้ กดิ กลางวนั กลางคืน โลกด้านที่ได้รับแสงอาทติ ย์เป็น
เวลากลางวัน สว่ นด้านท่ีไม่ได้รับแสงอาทติ ย์เปน็ เวลากลางคืน
9. แกนโลก (Axis)คือ แกนสมมติทผี่ ่านขว้ั โลกเหนอื ขว้ั โลกใต้ และจุดศนู ย์กลางของ
โลก โดยโลกจะหมุนรอบแกนน้ีเอยี งทำมุมประมาณ 23.5 องศา กบั แนวต้ังฉากกับระนาบวงโคจร
ของโลกรอบดวงอาทิตย์
10. ทรงกลมฟ้า เป็นทรงกลมสมมตทิ คี่ รอบโลกอยู่ เม่ือขยายขอบเขตของโลกไปใน
อวกาศ
ภาค ข (วชิ าความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 267
11. การโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ จะทำให้คนบนโลกมองเห็นดวงอาทิตยเ์ คลื่อนท่ี
ปรากฏไปทางทศิ ตะวันออกผ่านกลุ่มดาวต่าง ๆ และกลับมาท่เี ก่าในเวลา 1 ปี ซ่ึงในแต่ละวันทโ่ี ลก
หมนุ รอบตวั เองครอบ 1 รอบโลก จะเคล่อื นท่ีไปไดป้ ระมาณ 1 องศาด้วย หรือใน 1 วัน ดวงอาทติ ย์
จะเคลื่อนทีป่ รากฏไปทางทิศตะวนั ออกประมาณ 1 องศา ดังน้นั ในเวลา 1 ปี ดวงอาทิตยจ์ ะเคลอ่ื นท่ี
ปรากฏไป 360 องศา
12. สรุ ิยวถิ ี (Ecliptic) คือ เสน้ ทางโคจรปรากฏของดวงอาทติ ย์ ผ่านกลุ่มดาวซ่ึง
ปรากฏเปน็ ฉากหลงั ไปและยอ้ นกลับมาครบรอบในเวลา 1 ปี
13. ระนาบสุรยิ วถิ ี (Ecliptic Plane)คือ ระนาบทเ่ี กิดจากวงโคจรของโลก รอบดวง
อาทิตย์ หรอื หมายถึง พืน้ ราบที่มดี วงอาทติ ยแ์ ละโลกอยบู่ นพื้นราบเดียวกัน
14. แกนโลกเอียงจากแนวตั้งฉากกบั ระนาบสรุ ิยวิถีเป็นมุมประมาณ 23.5 องศา ผล
จากการเอียงของแกนโลกจะทำให้เกิด
1) เกิดฤดกู าลบนโลก เนื่องจากสว่ นตา่ ง ๆ ของโลกได้รบั แสงจากดวงอาทติ ย์แตกตา่ งกนั
ข้ัวโลกเหนอื หนั เข้าหาดวงอาทติ ยใ์ นเดือนมิถุนายนทำใหซ้ ีกโลกเหนอื เป็นชว่ งฤดูร้อนและข้ัวโลก
เหนอื หนั ออกจากดวงอาทติ ยใ์ นเดือนธันวาคมทำให้ซกี โลกเหนือเปน็ ช่วงฤดูหนาว ขณะท่ีเดอื น
มนี าคม และเดือนกันยายนจะหันด้านเข้าหาดวงอาทิตย์
2) คนบนโลกเห็นดวงอาทติ ย์ข้นึ ไม่ตรงจดุ เดมิ ทุกวนั
3) เกิดกลางวันกลางคืนยาวไมเ่ ทา่ กันตลอดท้ังปี
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
268 ค่มู อื เตรยี มสอบ
15. การข้นึ ตกของดวงอาทิตย์ จะมกี ารเปล่ียนแปลงแบบเปน็ วฏั จักร คือในรอบ 1 ปี
ดวงอาทติ ยจ์ ะปรากฏข้ึนและตกท่ตี ำแหน่งเดมิ ใน 4 วนั ดังน้ี
1) วันท่ี 21 มนี าคม ดวงอาทติ ยข์ ้นึ ตรงจดุ ทิศตะวันออกและตกตรงจดุ ทิศตำวนั ตกพอดี
กลางวนั ยาวกว่ากลางคนื ทั่วโลก เสน้ ทางขึ้น-ตกของดวงอาทติ ย์ในวันน้ี เรยี กว่า เสน้ ศูนย์สตู รฟา้
2) วันที่ 21 มิถุนายน ดวงอาทติ ย์ขึ้นทางทศิ ตะวันออกเฉยี งไปทางเหนือ 23.5 องศา และ
ตกทางทศิ ตะวันตกเฉยี งไปทางเหนอื 23.5 องศา เปน็ วนั ที่กลางวนั ยาวท่ีสดุ ดวงอาทติ ยจ์ ะขนึ้ เร็ว
และตกชา้
3) วนั ท่ี 23 กนั ยายน ดวงอาทิตย์ขึน้ ตรงจดุ ทิศตะวันออกและตกตรงจุดทิศตะวนั ตกพอดี
กลางวันยาวกว่ากลางคืน
4) วันที่ 22 ธันวาคม ดวงอาทิตย์ขึน้ ทางทศิ ตะวันออกเฉยี งไปทางใต้ 23.5 องศา และตก
ทางทศิ ตะวนั ตกเฉยี งไปทางใต้ 23.5 องศา ดวงอาทิตย์ขนึ้ ช้าและตกเร็ว กลางวันสน้ั กว่ากลางคืน
16. ดวงอาทิตย์ (The Sun)เป็นกอ้ นแกส๊ ร้อนขนาดใหญ่ ซงึ่ มีลักษณะพิเศษคอื แก๊สไม่
กระจายออกไปตามสมบัติของแกส๊ ท่ัวไปแตค่ งรูปรา่ งเปน็ ดวงอาทิตย์อยไู่ ด้ เนื่องจากแก๊สเหลา่ นน้ั อยู่
ภายใต้สภาวะทแ่ี รงดนั เท่ากับแรงโน้มถว่ ง โดยแรงดันพุ่งออกจากจดุ ศนู ย์กลางและแรงโน้มถ่วงพุ่ง
เข้าสจู่ ดุ ศนู ยก์ ลางของดวงอาทติ ย์
17. พลังงานจากดวงอาทิตย์ เกิดจาก ปฏิกริ ิยาเทอร์มอนิวเคลยี ร์ฟิวชนั
(Thermonuclearfusion)ซึ่งเกดิ จากการหลอมนวิ เคลียสของไฮโดรเจนดว้ ยความร้อนใหเ้ ป็น
นิวเคลยี สของฮเี ลียมพร้อมกบั เกิดพลังงานมหาศาลจากปฏกิ ิรยิ า ดงั สมการ
4H He + พลงั งานมหาศาล
18. ดวงจนั ทร์ (The Moon) เป็นบริวารของโลก มขี นาดเลก็ และมีมวลนอ้ ยกว่าโลก
มากทำใหด้ วงจนั ทร์มแี รงโนม้ ถ่วงนอ้ ยกวา่ โลกประมาณ 6 เทา่ และมบี รรยากาศทเ่ี บาบางมากจน
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 269
เรียกไดว้ า่ ไมม่ ีบรรยากาศ อุณหภูมพิ น้ื ผวิ ดวงจนั ทร์ด้านรับแสงอาทติ ยด์ า้ นทไ่ี มไ่ ดร้ บั แสงอาทิตย์จึง
แตกต่างกนั มาก
19. การเคลื่อนท่ีของดวงจันทร์ ดวงจนั ทรโ์ คจรรอบโลกใช้เวลาประมาณ 29.5 วัน
และหมุนรอบตวั เองใชเ้ วลา 27.32 ช่ัวโมง ซ่ึงใกลเ้ คยี งกบั การหมุนรอบตัวเองของโลก ดังนนั้ จึงทำให้
คนบนโลกเห็นผวิ พ้นื ของดวงจันทร์เพยี งด้านเดยี วเสมอ นักดาราศาสตร์เรียกดา้ นนขี้ องดวงจันทรว์ า่
ด้านใกล้โลก ส่วนอกี ดา้ นหนึง่ เรยี กว่า ด้านไกลโลก
20. ปรากฏการณท์ ี่เกิดจากความสมั พนั ธ์ระหว่างโลก ดวงจนั ทร์ และดวงอาทติ ย์
เช่น
1) ปรากฏการณ์ทเ่ี กิดขึ้นเน่ืองจากการเปลี่ยนตำแหนง่ ของดวงจนั ทร์ รอบโลก เชน่ ขา้ งขนึ้
ข้างแรม สรุ ิยุปราคา จันทรปุ ราคา เปน็ ต้น
2) ปรากฏการณท์ เี่ กดิ เนอ่ื งจากอิทธิพลแรงโนม้ ถ่วงของดวงจันทรแ์ ละดวงอาทิตย์ที่มีต่อโลก
เชน่ นำ้ ขน้ึ นำ้ ลง เปน็ ตน้
21. ปรากฏการณ์ขา้ งขึ้นข้างแรม (Phase of the Moon)เกดิ จากการทด่ี วงจันทร์
โคจรรอบโลก และไดร้ บั แสงจากดวงอาทติ ยแ์ ล้วสะท้อนแสงนัน้ มายงั โลกในรอบ 1 เดอื นทุก ๆ วัน
จงึ ทำใหค้ นบนโลกเห็นสว่ นสวา่ งของดวงจันทรแ์ ตกตา่ งกนั ดังนี้
(หมายเหตุ : เวลา ณ ตำแหนง่ ต่าง ๆ ของดวงจันทรใ์ นรูปภาพเปน็ เวลาทีด่ วงจันทร์อย่ใู น
ตำแหน่งสูงสดุ บนท้องฟ้า)
1) วันแรม 15 คำ่ หรอื วันแรม 14 ค่ำ หรือเรยี กว่า จันทรด์ ับ ดวงจันทร์มดื ทงั้ ดวง เกิด
จากดวงจันทร์โคจรมาอยรู่ ะหวา่ งโลกกับดวงอาทติ ย์ทำให้ไม่สามารถสะท้อนแสงมายังโลกได้
2) วนั ขึ้น 3 คำ่ ดวงจนั ทรม์ ีลักษณะเป็นเส้ียวสวา่ งเพิม่ ข้ึน เกิดจากดวงจันทร์เคล่อื นไป
ทางตรงข้ามกบั ดวงอาทิตย์ทำให้ดวงจันทรส์ ะท้อนแสงมายงั โลกเฉพาะฝงั่ ที่รับแสงจากดวงอาทิตย์
หรือซีกตะวันตก
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
270 ค่มู อื เตรยี มสอบ
3) วันขึ้น 8 ค่ำ ดวงจันทร์จะสวา่ งคร่ึงดวงมือครง่ึ ดวงโดยจะสวา่ งทางซีกตะวนั ตก
4) วนั ขึ้น 12 ค่ำ ดา้ นสวา่ งจะเพ่ิมข้ึนทางซกี ตะวนั ตก เนื่องจากดวงจนั ทรเ์ คล่ือนไปทางตรง
ขา้ มกบั ดวงอาทิตยท์ ำใหส้ ะท้อนแสงมายังโลกมากข้ึน
5) วนั ข้ึน 5 ค่ำ หรอื เรยี กว่า จันทรเ์ พญ็ ดวงจนั ทร์สว่างเต็มดวงเป็นรปู วงกลม เนือ่ งจาก
ดวงจนั ทรเ์ คล่ือนไปอยู่ฝง่ั ตรงข้ามกบั ดวงอาทิตยเ์ ป็นรปู วงกลม เนอื่ งจากดวงจันทรเ์ คลื่อนไปอยูฝ่ ง่ั
ตรงขา้ มกบั ดวงอาทิตยท์ ำใหส้ ามารถสะท้อนแสงมายังโลกได้มากทสี่ ุด
6) วันแรม 3 ค่ำ ดวงจนั ทรม์ ีความสว่างลดลง
7) วนั แรม 8 คำ่ ดวงจันทรจ์ ะสว่างครง่ึ ดวงมืดคร่ึงดวงโดยจะสว่างทางซีกตะวันออก
เนอื่ งจากดวงจนั ทรโ์ คจรไปทางตะวนั ออกเข้าหาดวงอาทิตย์
8) วันแรม 12 ค่ำ ดวงจนั ทรม์ คี วามสวา่ งลดลงเรือ่ ย ๆ จนมีลักษณะเป็นเสี้ยว และเม่ือดวง
จันทร์โคจรตอ่ ไปกจ็ ะคอ่ ย ๆ สวา่ งลดลงจนมืดกลบั มาอย่ทู ่ีตำแหน่งเดมิ อกี ครัง้ ซ่งึ จะใชเ้ วลาท้งั หมด
1 เดือน
22. การมองเหน็ ส่วนสว่างของดวงจันทร์
1) วนั ขา้ งขึน้ ดวงจันทร์จะหันด้านเว้าแหวง่ ไปทางด้านทิศตะวนั ออกและหนั ดา้ นสวา่ งไป
ทางทิศตะวนั ตก ด้านสว่างจะเพ่ิมขึน้ ทางซีกตะวันตก
2) วนั ข้างแรม ดวงจันทร์จะหนั ดา้ นเวา้ แหว่งไปทางด้านทิศตะวันตกและหนั ด้านสวา่ งไป
ทางทิศตะวันออก
23. นำ้ ข้ึนน้ำลง (Tide)เกดิ จากแรงดึงดดู ของดวงจนั ทรแ์ ละดวงอาทติ ย์ทกี่ ระทำต่อนำ้
บนโลกแตด่ วงจนั ทร์อยใู่ กล้โลกมากกวา่ จงึ มแี รงดงึ ดดู มากกวา่ ทำใหพ้ ้ืนน้ำบนโลกถูกแรงดึงดูดของ
ดวงจนั ทร์ใหไ้ หลมารวมกนั ทางดา้ นใกลด้ วงจนั ทร์ พื้นผวิ นำ้ บรเิ วณนจี้ ึงนนู ข้นึ เป็นปรากฏการณ์ นำ้
ขึ้น แตน่ ำ้ บนโลกด้านไกลจากดวงจันทร์เกดิ การนูนออกมาด้วยเน่ืองจากแรงเฉอื่ ย จึงเกิดน้ำขน้ึ ดว้ ย
ขณะเดยี วกันอีกสองบรเิ วณบนโลกทีอ่ ยูใ่ นแนวต้งั ฉากกบั เส้นที่ลากระหวา่ งดวงจันทรแ์ ละตำแหนง่ ท่ี
นำ้ ขน้ึ ท้ังสอง ผา่ นจุดศูนย์กลางของโลก กจ็ ะเกดิ ปรากฏการณ์ นำ้ ลง ด้วย
1) วันข้นึ 15 ค่ำ และวันแรม 14 ค่ำ หรือแรม 15 คำ่ ดวงอาทติ ย์ โลก และดวงจันทรจ์ ะ
โคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน แรงโนม้ ถ่วงของดวงอาทติ ย์จงึ ไปเสรมิ แรงโนม้ ถ่วงจาดวงจันทร์ ทำให้
ระดับนำ้ ทะเลบนโลก มีการเปลีย่ นแปลงมาก คือ นำ้ ข้นึ สูงมากและนำ้ ลงต่ำมาก เรียกวา่ วนั น้ำเป็น
(Spring tide)
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 271
2) วันขน้ึ 8 ค่ำ และแรม 8 ค่ำ ดวงอาทติ ย์ โลก และดวงจันทร์ โคจรมาอยใู่ นแนวตงั้ ฉาก
กนั แรงโนม้ ถว่ งของดวงอาทิตย์จึงไปหักลา้ งแรงโน้มถ่วงจากดวงอาทติ ย์ ทำใหร้ ะดบั นำ้ ทะเลมีการ
เปลยี่ นแปลงนอ้ ย เรยี กวา่ วนั น้ำตาย (Neap tide)
24. แรงไทดลั เปน็ แรงโน้มถ่วงท่ีกระทำระหว่างดวงอาทติ ย์ โลก และดวงจันทร์ ซ่ึงมีคา่
ไม่เทา่ กนั ในแต่ละตำแหนง่ บนพน้ื ผิวโลก
25. อปุ ราคา ปรากฏการณ์ที่เกิดจากโลก ดวงจนั ทร์ และดวงอาทิตยโ์ คจรมาอยู่ในแนว
เดยี วกนั
1) สุริยุปราคา ปรากฏการณ์ทผี่ ู้สงั เกตบนโลกมองเห็นดวงอาทิตย์มดื ท้ังดวงหรือบางส่วน
เนอ่ื งจากการเรียงตัวในแนวเส้นตรงของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก ตามลำดบั ดวงจนั ทร์จงึ บัง
แสงอาทิตย์แล้วเงาของดวงจันทร์ตกลงบนโลก คนสมัยโบราณเรยี กวา่ ราหูอมดวงอาทติ ย์ มี 3 แบบ
ไดแ้ ก่ สรุ ิยปุ ราคาเต็มดวง เกิดขน้ึ เม่ือผสู้ งั เกตอย่ใู นเงามืด จะมองเห็นดวงจันทร์บงั ดวงอาทิตย์ได้มิด
ดวง สุรยิ ุปราคาบางสว่ น เกิดขนึ้ เมอื่ ผูส้ งั เกตอยูใ่ นเขตเงามัว จะมองเห็นดวงอาทติ ย์สว่างเปน็ เสี้ยว
และสรุ ยิ ุปราคาวงแหวน เกิดเนื่องจากวงโคจรของดวงจันทรเ์ ป็นรูปวงรี บางคร้ังอยหู่ ่างจากโลกมาก
จนเงามดื ของดวงจันทร์ทอดยาวไม่ถงึ โลก ดวงจันทร์จึงปรากฏเล็กกว่าดวงอาทิตย์ ผู้สังเกตจึง
มองเห็นดวงอาทิตย์เป็นรปู วงแหวนปรากฏการณ์สุรยิ ปุ ราคาจะเกิดนานประมาณ 3 ชั่วโมง แต่ชว่ งที่
เป็นแบบเต็มดวงจะเกดิ ขน้ึ เพียง 2-5 นาทเี ทา่ น้ัน
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
272 ค่มู อื เตรยี มสอบ
2) จนั ทรุปราคา ปรากฏการณท์ ีผ่ ู้สังเกตบนโลกมองเห็นดวงจนั ทรม์ ืดท้ังดวงหรือบางส่วน
เนือ่ งจากการเรยี งตวั ในแนวเส้นตรงของดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ ตามลำดบั โลกจึงบัง
แสงอาทติ ย์ทส่ี ่องไปยังดวงจนั ทรท์ ำใหเ้ งาของโลกตกลงบนดวงจนั ทร์ คนสมยั โบราณเรียกว่า ราหอู ม
จันทร์ มี 3 แบบ ได้แก่ จนั ทรุปราคาเตม็ ดวง เกดิ ขึ้นเมื่อดวงจนั ทร์เข้าไปอยู่ในเขตเงามดื ของโลก
จนั ทรปุ ราคาบางสว่ น เกิดขึ้นเม่ือบางสว่ นของดวงจันทรเ์ คล่อื นทเ่ี ขา้ ไปในเขตเงามืด และ
จันทรปุ ราคาเงามวั เกดิ ขน้ึ เม่ือดวงจันทรเ์ คล่ือนท่ีเขา้ ไปในเขตเงามวั
26. ดาว แบง่ ไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ
1) ดาวฤกษ์ คือ ดาวท่ีมีความรอ้ นและแสงสว่างในตวั เองมองเห็นเปน็ แสงกะพริบจำนวน
มาก มีโครงสรา้ งเปน็ ก้อนแก๊สรอ้ นขนาดใหญ่ ภายในเกิดปฏิกิริยาเทอร์มอนวิ เคลียรซ์ ึ่งให้พลังงาน
ความรอ้ นและแสงสว่างจำนวนมหาศาลออกมาสามารถจัดได้เปน็ กล่มุ ๆ แลมองเห็นแตล่ ะกลุ่มอยู่
ประจำที่เนื่องจากว่าดาวอยหู่ ่างจากโลกเป็นระยะทางมหาศาล ตำแหนง่ ของดาวจึงดเู หมอื นไมม่ ีการ
เปลย่ี นแปลง ทั้งทีจ่ รงิ แล้วมีการเคล่ือนท่ี
2) ดาวเคราะห์ คอื ดาวที่อยู่โดด ๆ ไมม่ แี สงสว่างในตัวเอง แต่สามารถรับและสะท้อนแสง
จากดาวฤกษ์ได้ ทำใหเ้ ราสามารถมองเห็นดาวเคราะห์และดคู ล้ายกบั ว่ามีแสงสว่างในตวั เองใน
ลกั ษณะเปน็ แสงนวลนงิ่ ปัจจุบันมีดาวเคราะห์ทเี่ ราร้จู ักเพียงไม่กี่ดวง และทุกดวงล้วนอยู่ในระบบ
สรุ ิยะเดยี วกนั กับโลก
27. ระบบสุรยิ ะ ประกอบด้วยดวงอาทิตยเ์ ปน็ ศูนย์กลางของระบบ และมีดาวเคราะห์
ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง อุกกาบาต ซ่งึ ถกู แรงโนม้ ถ่วงของดวงอาทติ ย์ดึงดดู ให้โคจรรอบดวงอาทติ ย์
และติดตามการเคลื่อนท่ีของดวงอาทิตย์ไปในอวกาศ
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 273
28. ดาวเคราะหใ์ นระบบสุรยิ ะ มี 8 ดวง เรียงตามลำดบั จาดวงท่อี ยูใ่ กล้ดวงอาทติ ย์
มากทส่ี ุด คือ ดาวพธุ ดาวศุกร์โลก ดาวองั คาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยเู รนัส และดาวเนปจนู
ดาวเคราะหท์ ุกดวงจะโคจรรอบดวงอาทิตยเ์ ปน็ วงรีในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา และเกือบอย่ใู นระนาบ
เดยี วกันท้ังหมด
29. สหพนั ธด์ าราศาสตรส์ ากล จดั ประชุมเม่ือวนั ท่ี 24 สงิ หาคม พ.ศ. 2549 มีมติ
กำหนดนยิ ามใหมข่ องดาวเคราะห์ทำใหด้ าวพลูโต ถกู เปลีย่ นสถานะจากดาวเคราะหเ์ ป็นดาว
เคราะห์แคระ เน่อื งจากดาวพลโู ตไม่สามารถควบคุมแรงดงึ ดดู และวงโคจรของสง่ิ ตา่ ง ๆ ท่อยู่นอก
ระบบสรุ ยิ ะได้ และเนื่องจากวงโคจรของดาวพลโู ตมคี วามรีมาก มบี างช่วงทร่ี ะนาบเอียงทำมุมกับ
สรุ ยิ ะวิถถี งึ 17 องศา จากนยิ ามดังกล่าวจงึ ทำใหร้ ะบบสุริยะมดี าวเคราะหเ์ หลอื เพียง 8 ดวง
30. ประเภทของวตั ถุบนทอ้ งฟ้า สหพนั ธด์ าราศาสตรส์ ากลแบ่งวัตถุบนท้องฟ้า
ออกเป็น 3 ประเภท คอื
1) ดาวเคราะห์ (Planet) เป็นวัตถบุ นท้องฟา้ ท่ี (1) โคจรรอบดวงอาทิตย์ (2) มมี วลมาก
พอทจ่ี ะมีแรงโนม้ ถว่ งดงึ ดดู ตัวเองให้อยใู่ นสภาวะสมดุลอทุ กสถติ หรอื รูปรา่ งใกลเ้ คยี งกบั ทรงกลม (3)
มีวงโคจรท่ชี ัดเจนและสอดคล้องกบั ดาวเคราะห์ข้างเคยี ง
2) ดาวเคราะหแ์ คระ (Dwarf Planet) เปน็ วัตถุทอ้ งฟา้ ท่ี (1) โคจรรอบดวงอาทิตย์ (2)
มมี วลมากพอทจ่ี ะมแี รงโน้มถ่วงดึงดูดตัวเองให้อยใู่ นสภาวะสมดลุ อทุ กสถติ หรือรูปรา่ งใกลเ้ คยี งกบั
ทรงกลม (3) มีวงโคจรท่ีไม่ชัดเจนและสอดคล้องกบั ดาวเคราะห์ข้างเคียง(4) ไม่ใช่ดวงจันทร์บริวาร
31. ประเภทของดาวเคราะห์ นักวิทยาศาสตรแ์ บง่ ดาวเคราะหโ์ ดยใชร้ ะยะห่างจากดาว
เคราะหถ์ ึงดวงอาทิตย์เปน็ เกณฑไ์ ด้ 2 ประเภท คือ
1) ดาวเคราะห์ชั้นใน (Inner Planets) เปน็ ดาวเคราะห์ที่อยูใ่ กล้ดวงอาทิตยม์ ากกว่าแถบ
ดาวเคราะหน์ ้อย มี 4 ดวง ได้แก่ ดาวพธุ ดาวศุกร์ โลก และดาวองั คาร
2) ดาวเคราะห์ชั้นนอก (Outer Planets)เปน็ ดาวเคราะห์ทีอ่ ยูไ่ กลจากดวงอาทติ ย์
มากกวา่ แถบดาวเคราะห์น้อยมี 4 ดวง ได้แก่ ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจนู
32. ขอ้ แตกต่างระหวา่ งดาวเคราะหช์ น้ั ในและดาวเคราะหช์ นั้ นอก
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
274 คมู่ อื เตรยี มสอบ
1) ดาวเคราะห์ช้นั ใน เป็นดาวเคราะห์ที่มีองค์ประกอบเปน็ หินและโลหะทั้งหมดซง่ึ มี
ลักษณะเช่นเดียวกบั โลก
2) ดาวเคราะห์ชน้ั นอก มีองค์ประกอบสว่ นใหญเ่ ปน็ ธาตุที่เบา ได้แก่ ไฮโดรเจนและฮเี ลียม
ซ่ึงเป็นแก๊สในสภาวะแบบโลก
33. ประเภทของดาวเคราะห์ แบ่งโดยใช้ขนาดวงโคจรเมื่อเทียบกับวงโคจรของโลกเป็น
เกณฑ์ มี 2 ประเภท คือ
1) ดาวเคราะห์วงใน (Inferior planet)ไดแ้ ก่ ดาวพุธกับดาวศกุ ร์
2) ดาวเคราะห์วงนอก (Superior planet)ได้แก่ ดาวองั คาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาว
ยเู รนสั และดาวเนปจูน
34. ดาวเคราะห์นอ้ ย (Asteroid หรือ Minor Planet)เป็นวัตถจุ ำพวกหนิ หรือโลหะ
ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ แต่มขี นาดเลก็ เกินกว่าจะเปน็ ดาวเคราะห์ แถบดาวเคราะหน์ ้อย (Asteroid
Belt) พบอย่รู ะหว่างวงโคจรของดาวอังคารและดาวพฤหัสบดี ปัจจุบนั มีดาวเคราะหน์ ้อยถูกพบแลว้
มากกว่า 450,000 ดวง และมีชอื่ เปน็ ตัวเลขแลว้ มากกวา่ 200,000 ดวง
35. กำเนิดของดาวเคราะห์นอ้ ย นกั ดาราศาสตร์สันนิษฐานว่า
1) ดาวเคราะห์น้อยเปน็ ซากเหลอื จากการก่อเกดิ ของระบบสรุ ยิ ะในอดตี
2) เกิดจากดาวเคราะหด์ วงใดดวงหนง่ึ ถกู ชนแตกกระจายเป็นช้นิ เล็ก ชนิ้ น้อย แต่เม่ือ
คำนวณมวลรวมของดาวเคราะหน์ อ้ ยท้ังหมดเขา้ ด้วยกันเป็นกอ้ นเดียวพบวา่ วตั ถุนัน้ มขี นาดเลก็ กว่า
ครง่ึ หน่งึ ของดวงจันทร์เทา่ นั้น และมที ฤษฎีหน่งึ อธบิ ายวา่ ดาวเคราะหน์ ้อยไม่สามารถรวมตวั กันเป็น
ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ได้ เนือ่ งจากถูกรบกวนโดยแรงโน้มถ่วงอันมหาศาลของดาวพฤหสั บดี
36. ดาวตก (Meteor)หรอื ผีพุ่งไต้ เกิดจากสะเก็ดดาวทีเ่ ปน็ วัตถุแขง็ จำพวกหินหรือ
เหล็กทีม่ ขี นาดเลก็ ลอยอยู่ในอวกาศถูกแรงดึงดูดของโลกดดู เขา้ มาในช้ันบรรยากาศทำให้ร้อนจัดแลว้
ลุกไหม้สว่างกลายเป็นไอสลายไปจนหมด เหน็ เป็นแสงวาบเพยี งชั่วขณะบนท้องฟ้า
37. อุกกาบาต (Meteorite) เกิดจากสะเกด็ ดาวขนาดใหญ่ ซึ่งส่วนใหญม่ าจากดาว
เคราะห์น้อยถูกแรงดงึ ดูดของโลกดูดเขา้ มาในชน้ั บรรยากาศโลกเสยี ดสกี ับชัน้ บรรยากาศแล้วลกุ ไหม้
ไมห่ มดเหลือเป็นเศษตกลงสู่พื้นโลกมีขนาดเลก็ ใหญ่แตกต่างกนั ตัง้ แตน่ ้ำหนักเพียงไมก่ ี่กรัมจนถงึ ก้อน
หน่งึ หลายตนั อุกกาบาตขนาดใหญท่ ต่ี กลงสู่พื้นโลกจะทำให้พ้ืนผวิ โลกปรากฏเป็นหลมุ หรือแอ่ง โดย
มีเสน้ ผา่ นศูนย์กลางของหลุมหรือแอ่งใหญ่ประมาณ 20 เท่าของขนาดอุกกาบาตจริง
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 275
38. ประเภทของอกุ กาบาต แบ่งตามลกั ษณะเน้ือในเป็น 3 ชนิด คือ
1) ชนิดหนิ พบบนโลกประมาณ 92%
2) ชนดิ เหล็ก พบบนโลกประมาณ 5.7%
3) ชนิดหนิ ปนเหลก็ พบเพยี งเล็กน้อย
39. อุกกาบาตท่ตี กในประเทศไทย
1) ลกู อกุ กาบาตนครปฐม ตกท่ีตำบลดอนยายหอม เม่ือวนั ท่ี 21 ธนั วาคม พ.ศ. 2466 แตก
เป็น 2 ก้อนใหญ่ นำ้ หนักรวม 32 กโิ ลกรมั เป็นชนิดหนิ ตัง้ แสดงอย่ทู ่ีท้องฟา้ จำลองกรุงเทพฯ
2) ลูกอกุ กาบาตรเชียงคาน ตกท่ีอำเภอเชยี งคาน จงั หวัดเลย เม่อื วันท่ี 17 พฤศจิกายน
พ.ศ. 2524 เปน็ อกุ กาบาตชนิดหิน สนั นิษฐานว่านา่ จะเป็นวัตถจุ ากกระแสธารอุกกาบาตทเี่ ปน็ ซาก
เหลือจากดาวหางเทมเพล (Tempel) ที่โลกโคจรตดั ผ่านธารอุกกาบาตในชว่ งนนั้
40. หลุมอุกกาบาตแบริงเจอร์ รัฐแอริโซนา สหรฐั อเมรกิ า ปากของหลุมมลี กั ษณะ
เกือบกลม มเี สน้ ผา่ นศนู ย์กลาง 1,200 เมตร ลกึ 180 เมตร สันนษิ ฐานว่าเกดิ จากดวงเคราะห์น้อย
หรอื ดาวหางโคจรมาชนโลกเม่ือประมาณ 50,000 ปมี าแลว้
41. ดาวหาง (Comet) ประกอบดว้ ยฝุน่ ผง กอ้ นนำ้ แข็ง และแกส๊ แขง็ ตัวโคจรรอบดวง
อาทติ ย์เปน็ วงรีขณะที่อยู่ไกลจากดวงอาทติ ยจ์ ะไม่มีหางและไม่มแี สงสว่าง แตเ่ มอื่ โคจรเข้าใกลด้ วง
อาทิตย์พลังงานจากดวงอาทิตย์ท้ังในรูปความร้อน แสงสวา่ ง และลมสรุ ยิ ะจะทำให้น้ำแข็งกลายเปน็
ไอ ดาวหาง จะขยายใหญ่และสว่างขน้ึ เพราะสะท้อนแสงอาทิตย์ และพลงั งานดังกล่าวจะผลกั ดนั ให้
หางพุ่งในทิศทางตรงข้ามกบั ดวงอาทติ ย์ ส่วนของหางจะมีท้ังฝนุ่ แก๊ส และโมเลกลุ ทเ่ี ป็นประจุไฟฟา้
42. ลมสุรยิ ะ คอื อนภุ าคมีประจทุ ี่ถูกปลอ่ ยออกมาจากดวงอาทิตย์ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยโปรตอน
และอเิ ล็กตรอน
43. ฝนดาวตก (Meteor Shower)เกดิ จากการทด่ี าวหางโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์
ความรอ้ นจากดวงอาทิตย์จะทำใหน้ ำ้ แข็งรอบนอกระเหดิ ออกปล่อยซากเศษชนิ้ สว่ นเลก็ ๆ กระจาย
เป็นธารอุกกาบาตเคล่ือนที่ไปตามเส้นทางโคจรของดาวหาง เม่อื โลกเคล่ือนทผี่ า่ นธารอุกกาบาต
เหลา่ นจ้ี ึงดูดเศษหนิ และเศษโลหะเหล่านั้นให้วิ่งเข้ามาในเขตบรรยากาศโลกดว้ ยความเรว็ สงู เสียดสี
กบั ช้ันบรรยากาศทำใหเ้ กดิ ความร้อยเผาไหม้เศษวตั ถนุ ั้นเกิดเป็นลูกไฟสวา่ งสวยงามจำนวนมาก
44. พายุฝนดาวตก เกดิ จากการท่ีโลกเคล่ือนทผ่ี ่านกลมุ่ ซากอุกกาบาตจำนวนมากทำ
ให้เกิดปรากฏการณฝ์ นดาวตกหนาแน่นมากเป็นพิเศษ
45. พ.ศ. 159-221 อรสิ โตเตลิ (Aristotle) นกั ปราชญช์ าวกรีกเสนอรูปแบบจกั รวาลที่
มโี ลกเป็นศูนย์กลาง มดี วงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะหอ์ ่นื ๆ โคจรรอบโลก
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
276 คมู่ อื เตรยี มสอบ
46. พ.ศ. 2016-2086 นิโคลัส โคเพอรน์ คิ สั (Nicolaus Copernicus)นักดาราศาสตร์
ชาวโปแลนด์ไดเ้ สนอแนวคดิ เกยี่ วกับระบบสุรยิ ะว่าดวงอาทิตย์เปน็ ศูนยก์ ลางของระบบสรุ ิยะ
47. พ.ศ. 2089-2114 ทโิ ค บราห์(Tycho Brahe) นักดาราศาสตร์ชาวเดนมาร์ก
เสนอแนวคิดเก่ียวกบั ระบบสรุ ิยะว่าดาวเคราะห์ทุกดวงโคจรรอบดวงอาทติ ย์ และดวงอาทิตยโ์ คจร
รอบโลกโดยโลกอยูก่ บั ที่
48. พ.ศ. 2114-2173 โยฮันเนสเคปเลอร์(Johannes Kepler)นกั ดาราศาสตรช์ าว
เยอรมันเสนอแนวคดิ เกยี่ วกับระบบสรุ ยิ ะว่า บริวารของดวงอาทิตย์โคจรรอบดวงอาทติ ย์อย่างมี
กฎเกณฑ์ แต่เคปเลอรไ์ ม่สามารถอธิบายไดว้ า่ เหตุใดบริวารของดวงอาทิตย์จึงยงั คงโคจรอยู่รอบดวง
อาทติ ย์โดยไมห่ ลดุ ออกจากวงโคจร และเคปเลอร์ตั้งกฎการโคจรของดาวเคราะหด์ วงอาทิตย์เรียกว่า
กฎเคปเลอร์ มี 3 ข้อ ดังน้ี
1) กฎแห่งวงรี วงโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวงอาทิตยเ์ ป็นวงรี โดยมดี วงอาทิตย์อยทู่ ี่จุด
โฟกัสจุดหน่ึง
2) กฎแห่งการกวาดพื้นท่ี ในเวลาทเ่ี ท่ากันดาวเคราะหจ์ ะมีพนื้ ทีเ่ สน้ รศั มีจากดวงอาทติย์ถึง
ดาวเคราะห์กวาดไปเท่ากนั
3) กฎแหง่ คาบ คาบในการโคจรรอบดวงอาทตยิ ์กำลังสองแปรผันตรงกบั ระยะครงึ่ แกนเอก
ของวงโคจรกำลังสาม
49. พ.ศ. 2107-2185 กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei) นกั ดาราศาสตร์ชาวอิตาลี
สนับสนุนแนวคดิ ของโคเพอร์นิคสั ท่กี ลา่ ววา่ ดวงอาทตยิ ์เป็นศนู ยก์ ลางของระบบ โดยมโี ลกและดาว
เคราะห์อืน่ ๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์
50. พ.ศ. 2185-2270 เชอร์ ไอแซกนิวตนั (Sir Isaac Newton) นกั ดาราศาสตร์ชาว
อังกฤษค้นพบวา่ การทบี่ รวิ ารของดวงอาทิตยส์ ามารถโคจรรอบดวงอาทติ ย์ได้กเ็ พราะแรงดงึ ดูด
ระหวา่ งมวลที่เรียกวา่ แรงโน้มถ่วง ขนาดของแรงโน้มถ่วงข้ึนอย่กู ับมวลและระยะหา่ งระหวา่ งมวล
และมที ิศของแรงเข้าหาศนู ย์กลางมวล
51. การโคจรของดาวต่าง ๆ ในระบบสุรยิ ะดาวต่าง ๆ ในระบบสุริยะ ดาวบรวิ ารทกุ
ดวงทโ่ี คจรรอบดวงอาทิตย์ หรอื บรวิ ารของดาวเคราะห์จะมีความเรว็ พอเหมาะเฉพาะทม่ี ีทศิ ทางใน
แนวเส้นสมั ผัสของวงโคจร โดยมแี รงโน้มถ่วงทำหน้าเป็นแรงสู่ศนู ย์กลางทำให้ดาวบรวิ ารอยใู่ นวง
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 277
โคจรได้ ปรากฏการณ์ท่ตี า่ งฝ่ายตา่ งสง่ แรงดงึ ดดู ซง่ึ กนั และกัน เรียกว่า ปฏสิ มั พันธร์ ะหว่างดวงดาวใน
ระบบสุรยิ ะ
52. ตัวอย่างของปฏสิ มั พนั ธ์ เชน่ การเกิดปรากฎการณ์น้ำขนึ้ น้ำลง การโคจรของดวง
จันทรแ์ ละดาวเทียมรอบโลก เปน็ ตน้
บทท่ี 2 ดวงดาวบนท้องฟ้า
1. การบอกทิศบนโลก สังเกตจากการขน้ึ และตกของดวงอาทิตย์ เนือ่ งจากโลก
หมนุ รอบตวั เองในทิศทางเดียวกับการโคจรรอบดวงอาทิตย์ทศิ ทางท่โี ลกหมนุ ไปนน้ั เป็น ทศิ
ตะวนั ออก สว่ นท่อี ยู่ตรงขา้ มของการหมนุ ของตวั เองจงึ เป็น ทศิ ตะวนั ตก การหมุนรอบตัวเองของ
โลกจงึ ทำใหเ้ กดิ ทิศ เนื่องจากโลกมกี ารหมนุ รอบตวั เองตลอดเวลาทิศจึงติดไปกับโลกอยู่ตลอดเวลา
2. การกำหนดทิศ แบง่ ออกเป็น4 ทิศหลัก คอื เมื่อหันหนา้ ไปทางทศิ เหนือแล้วกาง
แขนออกด้านหลงั จะเป็นทศิ ใต้ แขนขวาจะชไี้ ปทางทิศตะวันออก และชนซ้ายจะชีไ้ ปทางทศิ
ตะวนั ตก
3. เสน้ ศูนยส์ ูตรฟา้ (Celestial Equator) เปน็ เส้นทผี่ ่านจุดทศิ ตะวันออกไปทิศ
ตะวนั ตก ตัง้ ฉากกับแกนหมุนของโลก และเป็นแนวเดียวกับเส้นศนู ย์สตู รโลก (Earth Equator)
แนวการเคล่ือนท่ขี องดาวก็จะขนานไปกบั เสน้ น้ีดว้ ย
4. เส้นสรุ ยิ วถิ ี (Ecliptic)เปน็ เส้นแนวการเคลอื่ นท่ีของดวงอาทิตย์ผ่านทอ้ งฟา้ เกิด
จากระนาบการโคจรของโลกรอบดวงอาทติ ย์ เปน็ แนวเดียวกับเส้นทางโคจรของดาวเคราะหร์ วมทงั้
ดวงจนั ทร์ด้วย ซ่งึ อาจจะสรุปหรือต่ำกว่าเสน้ สุริยวถิ ี
5. เส้นขอบฟา้ (Horizon)คือ แนวระดบั สายตาเป็นเส้นวงกลมลอ้ รอบตวั ใน
แนวราบ หรอื แนวบรรจบของทรงกลมทอ้ งฟ้าส่วนบนกบั ท้องฟ้าสว่ นล่าง
6. จุดเหนือศีรษะ หรอื จดุ จอมฟ้า (Zenith)คอื จดุ สงู ทสี่ ดุ บนฟ้าจะอยตู่ รงศีรษะ
พอดี จดุ เหนือศรี ษะจะทำมุมกบั ผู้สังเกตและขอบฟ้าทกุ ๆ ดา้ นเป็นมมุ ฉาก หรือ 90 องศาพอดี
สว่ นจดุ ทีต่ รงขา้ ม 180 องศา เรียกว่า จดุ เนเดอร์ (Nadir)
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
278 ค่มู อื เตรยี มสอบ
7. เส้นเมริเดียน (Meridian)คือ แนวเส้นทีล่ ากจากจดุ ทิศเหนอื ไปจดุ ทิศใตผ้ ่านจุด
เหนือศีรษะพอดี ส่วนเสน้ ท่ีไมไ่ ดผ้ า่ นจดุ เหนือศีรษะเรยี กว่า เสน้ วงกลมชั่วโมง
8. ขัน้ ฟ้าเหนือ (North Celestial Poles)เปน็ แนวขั้วเหนือของทรงกลมท้องฟา้ ซงึ่
จะชไ้ี ปทางดาวเหนอพอดี สว่ นจุดตรงกันข้าม 180 องศาเรยี กว่า ขั้วฟ้าใต้ (South Celestal
Poles)
9. ละติจูด เปน็ พิกัดทใ่ี ชบ้ อกตำแหนง่ บนโลกในแนวทศิ เหนือใตม้ คี ่าเปน็ 0 องศา ท่ี
เสน้ ศูนย์สูตร และสูงสุด 90 องศาทขี่ ้ัวโลก โดยจะมคี ำวา่ องศาเหนือและองศาใต้ต่อท้าย
10. ลองจจิ ดู เปน็ พกิ ัดที่ใชบ้ อกตำแหน่งบนโลกในแนวทิศตะวันออกตะวนั ตก มคี ่า
เปน็ 0 องศา ทีเ่ สน้ ไพร์มเมอริเดยี น ซ่ึงลากผา่ นหอดดู าว เมืองกรนี ิช ประเทศอังกฤษ ไปทาง
ตะวันออกถึง + 180 องศา และไปทางตะวนั ตกถึง –180 องศา
11. การบอกตำแหนง่ ของวัตถุบนฟา้ อย่างงา่ ย จะใชร้ ะบบเส้นขอบฟา้ บอกตำแหน่ง
ด้วยค่ามมุ 2 ชนิด คือ
1) มุมทิศ (Azimuth) เป็นมุมในแนวราบวนขนานกับเสน้ ขอบฟ้า โดยนับทางทิศเหนอื ใน
ทศิ ทางตามเข็มนาฬิกาไปยังทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก และกลับมาทิศเหนอื อีกครัง้ หน่งึ มี
คา่ ระหวา่ ง 0-360 องศา
2) มมุ เงย (Altitude) เปน็ มุมในแนวต้ังหรอื มุมที่มองขน้ึ จากขอบฟา้ โดยนับจากเส้นขอบ
ฟา้ ขนึ้ ไปสู่จุดเหนือศีรษะ มีคา่ ระหวา่ ง 0-90 องศา
12. การวดั ระยะบนทอ้ งฟ้า นยิ มวดั เป็นระยะเชิงมมุ (Angular distance) การวัด
ระยะเชงิ มุมถา้ ต้องการทราบค่าที่ละเอียดและมีความแม่นยำจะต้องใช้อุปกรณท์ ่ีมคี วามซับซ้อนมาก
ในการวัด แตถ่ ้าต้องการวัดค่าโดยประมาณสามารถวัดระยะเชงิ มมุ ได้โดยใชเ้ พยี งมอื และนิว้ ของเรา
วัดเทยี บกบั มมุ บนท้องฟา้ ซ่งึ สามารถวัดมมุ ได้ดงั น้ี
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 279
13. มมุ ห่าง เป็นระยะเชงิ มมุ ระหวา่ งดวงอาทติ ย์กบั ดาวเคราะห์ หรอื ดวงจนั ทร์ จาก
มมุ มองของผสู้ งั เกตบนโลก
14. แผนที่ดาว เปน็ อปุ กรณ์อยา่ งงา่ ยทีช่ ่วยในการวางแผนและสังเกตการณ์ทอ้ งฟา้
สามารถใชบ้ อกตำแหน่งของดวงดาวหรอื กลมุ่ ดาวตา่ ง ๆ บนท้องฟ้าในชว่ งวันเวลาท่สี นใจได้
15. กลุม่ ดาว (Constellation)คือ อาณาเขตแคบ ๆ ของทอ้ งฟ้าทด่ี าวฤกษ์ปรากฏ
เรยี งรายอยเู่ ป็นกลุ่ม สามารถเช่อื มต่อกนั เปน็ รูปร่างต่าง ๆ ตามแต่จนิ ตนาการในอวกาศสามมิติ
สว่ นใหญด่ าวฤกษ์ในกลมุ่ ดาวเดียวกันท่เี หน็ อยู่ใกล้กันบนทรงกลมท้องฟ้า ไม่ไดม้ ีความเก่ียวข้องกัน
และอยหู่ า่ งไกลกันมากในอวกาศ
16. นักดาราศาสตร์แบ่งทรงกลมทอ้ งฟ้าออกเป็น 88 กลุ่ม เพ่อื ให้สะดวกแก่การ
สังเกต โดยใชเ้ ส้นขนานกบั เส้นศูนยส์ ตู รฟา้ และเส้นขนานกนั เส้นลองจจิ ดู เป็นเกณฑ์ ดงั น้ันใน
ทอ้ งฟา้ จึงมีกลุม่ ดาวท้งั หมด 88 กลุ่ม
17. กลมุ่ ดาวจระเข้ (Ursa Major)ชาวกรกี โบราณเรียกวา่ กลุ่มดาวหมใี หญ่ (Great
Bear หรือ Big Dipper) หรอื ชาวจนี เรียก กลุ่มดาวกระบวยใหญ่ เปน็ กลมุ่ ดาวฤกษ์ที่ประจำอยบู่ น
ท้องฟ้าทางทิศเหนือสามารถสังเกตไดง้ า่ ยด้วยตาเปลา่ ในชา่ งฤดูหนาวชว่ งหวั ค่ำจะเห็นกลุ่มดาวจระเข้
ขึ้นทางทิศตะวนั ออกเฉยี งเหนอื เมื่อขึ้นสงู สุดจะอยสู่ ูงจากขอบฟ้าทิศเหนือ ประมาณ 45 องศาใน
เวลาเทยี่ งคืน และตกลับขอบฟ้าทางทศิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนือในเวลาจวนสวา่ ง
ลกั ษณะ ประกอบดว้ ยดาวฤกษ์อย่างน้อย 7 ดวง ขณะท่ีดาวจระเขก้ ำลังขน้ึ จากขอบฟ้า
ดา้ นทิศตะวนั ออกเฉียงเหนือจะมองเหน็ สว่ นลำตวั ของจระเขห้ รือลำตัวของหมีกอ่ น คือดาวดวงที่
1,2,3 และ 4 แลว้ จงึ เห็นสว่ นหาง คอื ดาวดวงท่ี 5,6 และ 7
การใชก้ ลุ่มดาวจระเข้หาตำแหน่งของดาวเหนือ ใหล้ ากเสน้ ตรงจากดาวดวงท่ี 2 ไปยัง
ดาวดวงท่ี 1 แลว้ ลากเลยต่อไปอีกประมาณ 5 เทา่ ของระยะระหว่างดาวดวงที่ 1 และ 2 จะพบ
ดาวเหนือเสมอซึง่ เปน็ ดาวดวงที่สว่างทสี่ ุดในกล่มุ ดาวหมีเล็ก ดังน้ันจงึ ใชก้ ลมุ่ ดาวจระเข้หาทศิ เหนอื
ได้
18. กลุ่มดาวคา้ งคาว (Cassiopeia)นกั ปราชญก์ รดี โบราณจนิ ตนาการเป็นกลุ่มดาว
ราชินแี คสสิโอเปยี ในเทพนิยายกรีก เปน็ กลมุ่ ดาวฤกษใ์ นซีกฟา้ เหนือจะข้นึ ไปสงู สุดกลางทอ้ งฟ้า
ประมาณเทย่ี งคืนของกลางเดือนตุลาคม
ลักษณะ ประกอบด้วยดาวฤกษ์ 5 ดวงเรียงเป็นรูปตัว M หรอื W ควำ่ กลุ่มดาวค้างคาว
จะอยใู่ นทิศตรงขา้ มกบั กลมุ่ ดาวจระเขเ้ สมอโดยมดี าวเหนืออย่ตู รงกลาง ดงั นน้ั ขณะทีเ่ ราสังเกตเห็น
กล่มุ ดาวคา้ งคาวกำลงั ข้นึ ทางด้านทิศตะวันออกเฉยี งเหนือ กลมุ่ ดาวจระเข้ก็กำลังจะตกลบั ขอบฟ้า
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
280 ค่มู อื เตรยี มสอบ
ด้านทิศตะวนั ตกเฉียงเหนอื ดว้ ย และขณะทเี่ ราสงั เกตเหน็ กลมุ่ ดาวจระเข้กำลงั ขึ้นดา้ นขอบฟา้ ทิศ
ตะวันออกเฉยี งเหนือ กลมุ่ ดาวค้างคาวก็กำลังจะตกลับขอบฟ้าด้านทิศตะวันตกเฉยี งเหนือโดยมีดาว
เหนอื อยู่ตรงกลาง ดงั นน้ั เราจงึ ใช้กลมุ่ ดาวคา้ งคาวหาทศิ เหนือไดเ้ ช่นเดยี วกนั
การใชก้ ลุม่ ดาวค้างคาวหาตำแหนง่ ของดาวเหนอื ใหล้ ากเส้นตรง 2 เส้น จากดาวดวงท่ี
1 ไป 2 และจากดาวดวงที่ 5 1ไป 4 เพ่ือให้ตัดกับทจี่ ดุ จุดหน่งึ จากนั้นลากเสน้ ตรงอีกเสน้ จาก
จดุ ตดั กนั ผา่ นดาวดวงท่ี 3 ต่อเลยออกไปประมาณ 30 หรือ 3 กำมือ กจ็ ะพบดาวเหนือซึ่งเป็นดวง
ทสี่ วา่ งที่สุดในกลุม่ ดาวหมเี ลก็ หรือจะใช้วิธีลากเส้นตรงสมมติแบ่งมุมระหว่างดาวดวงท่ี 1 และ 3
โดยลากลงมาประมาณ 6 เท่าของระยะระหวา่ งดาวดวงที่ 1 และ 2 ก็ไดเ้ ชน่ กัน
19. กลมุ่ ดาวเต่า (Orion)ชาวกรีกโบราณจินตนาการเปน็ กลมุ่ ดาวนายพราน กลุ่ม
ดาวเต๋าสามารถเห็นไดน้ านหลายเดือนโดยเฉพาะฤดูหนาวกลุม่ ดาวน้จี ะข้ึนไปสูงสดุ กลางทอ้ งฟ้า
ประมาณเท่ียงคืนของกลางเดือนธันวาคมและมเี สน้ ทางข้นึ ตกในแนวทิศตะวนั ออก- ตะวันตกเสมอ
เนื่องจากเปน็ กล่มุ ดาวท่ีตงั้ อยู่บนเส้นศนู ย์สูตรฟ้า
ลกั ษณะ ประกอบดว้ ยดาวฤกษ์ 7 ดวง โดยมดี าว 4 ดวงเรียงกนั เปน็ รปู สเี่ หลีย่ ม
ล้อมรอบดาวฤกษอ์ ีก 3 ดวงที่เรยี งกนั เปน็ เส้นตรง คนไทยจนิ ตนาการเป็นรปู เต่าโดยดาว 4 ดวง ที่
เรียงกันเป็นรูปสเี่ หลี่ยมเป็นตำแหนง่ ขาเตา่ 4 ขา และท่ีตรงกลางลำตวั มีอยู่ 3 ดวง เรียงกัน
จินตนาการเปน็ คันไถเรยี กวา่ ดาวไถ โดยระหวา่ ง 2 ขาหน้าจะพบดาวดวงเลก็ ๆ หนึ่งดวงเปน็ สว่ น
หวั ของเตา่ ชาวกรีกโบราณจนิ ตนาการเป็นรปู นายพรานโดยดาว 2 ดวงบน เป็นไหล่ 2 ข้าง สว่ นดาว
3 ดวง ทเ่ี รียงกันตรงกลางเป็นเข็มขดั นายพราน และ 2 ดวงล่างเป็นขา
การใช้กลุ่มดาวเต่าหาตำแหนง่ ของดาวเหนือ กลุ่มดาวเตา่ จะหันหัวเข้าหาดาวเหนือเสมอ
ดงั น้นั จงึ หาทศิ เหนือจากดาวกลุม่ นีไ้ ด้
20. กลุ่มดาวจกั รราศี (Zodiac)หมายถึง กลมุ่ ดาวฤกษ์ท่ีปรากฏอยใู่ นแนวทางเดิน
ของดวงอาทติ ย์ (เสน้ สุริยวถิ ี) เมื่อมองจากโลกจะเห็นกลุ่มดาวเหล่านีป้ รากฏอย่เู บื้องหลังแตกต่างกัน
ไปตามชว่ งระยะเวลาของเดือนคนในสมยั โบราณจึงจนิ ตนาการรูปร่างของกลุ่มดาวเปน็ สิ่งต่าง ๆ
21. กลุม่ ดาวจกั รราศี มจี ำนวน 12 กลุม่ แตล่ ะกลุม่ ห่างกนั ประมาณ 30 องศา
ได้แก่ กลุ่มดาวมนี (ปลา) เมษ(แกะ) พฤษภ(ววั ) มถิ นุ (คนค)ู่ กรกฎ(ปู) สิงห์(สิงโต) กันย์
(หญิงพรหมจารีย์) ตลุ (คันช่ัง) พฤศจิก(แมงป่อง) ธนู(คนยงิ ธน)ู มกร(แพะทะเล) และกมุ ภ(์ คน
แบกหม้อน้ำ)
ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 281
22. การเคลอ่ื นทีข่ องดวงอาทติ ย์ ไมใ่ ชก่ ารเคล่ือนทีแ่ ท้จริงแต่มีการเคล่ือนทป่ี รากฏ
เนอื่ งจากโลกโคจรรอบดวงอาทิตยจ์ ากทิศตะวนั ตก ทางทิศตะวันออก คนบนโลกจงึ สังเกตเห็นดวง
อาทิตย์เคลอ่ื นท่ผี า่ นกลุ่มดาวจักรราศีจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก เช่นเดียวกัน โดยรอบ 1 ปี
ดวงอาทติ ย์จะเคล่ือนจากทศิ ตะวนั ตกไปทศิ ตะวันออกครบรอบมมุ 360 องศา แสดงว่า
1) ใน 1 วัน ดวงอาทติ ยจ์ ะเคลือ่ นทปี่ รากฏไปเปน็ ระยะทางโดยประมาณ1 องศา
2) ใน 1 เดอื น ดวงอาทติ ย์จะเคลือ่ นทป่ี รากฏไปเป็นระยะทางโดยประมาณ30 องศา
และเคลื่อนท่ผี า่ นกล่มุ ดาวจักรราศี 1 กลุ่ม
3) ใน 1 ปี ดวงอาทิตย์จะเคลอื่ นท่ีปรากฏไปเปน็ ระยะทางเชงิ มุมโดยประมาณ360 องศา
และเคลื่อนทผ่ี ่านกลมุ่ ดาวจักรราศี 12 กลุ่ม
(หนา้ 354) นะ
23. เมอื่ ดวงอาทติ ยป์ รากฏอยใู่ นกลุ่มดาวใดคนบนโลกจะมองโดยกลุ่มดาวนน้ั ในชว่ ง
นน้ั เพราะดวงอาทิตยแ์ ละกลุ่มดาวน้ันขน้ึ ตกกนั จงึ เหลอื กลุ่มดาวจกั รราศีอยา่ งมาก 11 กลุ่มทจี่ ะมี
โอกาสเหน็ ได้ใน 1 ปี เชน่ เดอื นกุมภาพันธ์ ในเวลาหวั ค่ำกลุ่มดาวกมุ ภจ์ ะอยตู่ ่ำกว่าขอบฟา้ ทาง
ตะวนั ตกพร้อมดวงอาทิตย์ กลมุ่ ดาวทอ่ี ยสู่ ูงสดุ คือกลุ่มดาวหางเมอ่ื เวลาเท่ยี งคืนกลุ่มดาวพฤษภจะ
ตกลบั ขอบฟา้ กลุ่มดาวพฤษภ (พฤศจิก) ข้ึนทางตะวนั ออก และเม่ือเวลาจนสวา่ งกล่มุ ดาวแมงปอ่ ง
จะขน้ึ ไปสูงสุด ในขณะท่ีกลุ่มดาวมกรอยู่ทางตะวันออก และกลุ่มดาวกันตอ์ ยู่ทางตะวนั ตก ใน
เดือนกุมภาพันธ์กลุม่ ดาวจักรราศแี ตล่ ะกลมุ่ จึงเหน็ อยู่บนท้องฟ้ายาวนานแตกต่างกนั โดยกล่มุ ทีเ่ ห็น
นานที่สดุ คอื กลุ่มดาวสิงหท์ ่ีอยู่ตรงข้ามกับกลุ่มดาวกุมภ์ เพราะกล่มุ ดาวสิงหข์ ้นึ ทางตะวันออกใน
เวลาหัวค่ำ อยู่สูงสดุ บนท้องฟ้าเวลาเที่ยงคืน และอยู่ท่ขี อบฟ้าตะวนั ตกใน เวลาจวนสวา่ ง
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
282 ค่มู อื เตรยี มสอบ
จากภาพเดือนกุมภาพันธ์ คนบนโลกจะเห็นดวงอาทติ ยป์ รากฏอย่ใู นกลุ่มดาวกมุ ภ์ และเม่ือโลก
โคจรตอ่ ไปอีกหนงึ่ เดือนจะเห็นดวงอาทิตย์เคลือ่ นท่ีปรากฏผา่ นเข้าสู่กลมุ่ ดาวมนี ซ่ึงจะตรงกบั เดอื น
มนี าคม ถา้ โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 ปี ดวงอาทิตย์ก็จะมาปรากฏอยู่ในกลมุ่ ดาวกุมภอ์ ีกครง้ั
24. เอกภพ หรือจักรวาล (Universe) เปน็ บริเวณทกี่ วา้ งใหญ่ไพศาลไม่มีขอบเขตท่ี
สน้ิ สดุ เป็นทร่ี วมของกาแลก็ ซี และสรรพส่ิงตา่ ง ๆ ท้ังที่มนษุ ยร์ จู้ กั และไมร่ ูจ้ ัก รวมท้งั ท่ีวา่ งซึง่ เป็น
บริเวณสว่ นใหญข่ องเอกภพ นักดาราศาสตรป์ ระมาณว่าเอกภพประกอบดว้ ยกาแลก็ ซปี ระมาณแสน
ลา้ นกาแล็กซี แตล่ ะกาแลก็ ซีอย่หู า่ งกันมากและมีการเคลื่อนท่หี า่ งออกจากกนั
25. ทฤษฎีอธบิ ายกำเนดิ หรอื ความเปน็ มาของเอกภพ มีทฤษฎีทไ่ี ดร้ บั การยอมรบั 2
ทฤษฎี คือ 1) ทฤษฎีการระเบดิ ใหญห่ รอื บิกแบง2) ทฤษฎีสภาวะคงท่ี
26. ทฤษฎีการระเบิดใหญห่ รือบกิ แบง (Big Bang Theory) ตัง้ ขนึ้ โดยจอร์จ กามอฟ
(George Gamov) ราล์ฟอัลเฟอร์ (Ralph Alpher) และโรเบิรด์ เฮอร์แมน (Robert Herman) เมอื่
ปี พ.ศ.2483 เป็นทฤษฎที ่ีได้รับความเช่อื ถือมากท่ีสุด สรปุ ความได้วา่
1) เอกภพมกี ำเนิดมาจากการระเบดิ ใหญ่ภายใต้สภาวะอุณหภมู ิท่สี ูงยิ่งทำใหพ้ ลังงาน
เปล่ยี นสสารเป็นครง้ั แรกแลว้ ขยายตวั อย่างรวดเร็วในขณะเดยี วกนั อุณหภูมิก็ลดลงอย่างรวดเรว็ ด้วย
2) เมื่ออณุ หภมู ิของเอกภพลดลงถึงระดับทอ่ี ิเล็กตรอนเคลื่อนตัวลงพอท่ีโปรตอนและ
นิวเคลียสของฮเี ลียมจะดึงอเิ ล็กตรอนไวไ้ ด้จงึ เกดิ เปน็ อะตอมของธาตไุ ฮโดรเจนและฮีเลยี ม ซ่งึ เป็น
สสารเบือ้ งต้นทเ่ี กดิ เปน็ ดาวฤกษ์ กาแลก็ ซี และวัตถทุ ้องฟ้าอื่น ๆ ซง่ึ เปน็ องค์ประกอบของเอกภพ
ปัจจุบัน
27. หลักฐานสำคัญท่ีทำใหท้ ฤษฎบี ิกแบงได้รบั ความเช่ือถอื มากกว่าคอื
1) หลักฐานการขยายตวั ของเอกภพ เปน็ ผลทเี่ กดิ จากการระเบิดคร้งั ยิ่งใหญ่และอำนาจ
การระเบดิ ยังคงมีอยู่ แรงระเบิดยังส่งผลผลกั ดนั ใหส้ งิ่ ต่าง ๆ ในเอกภพวิ่งหนีออกจากกันดังที่กำลงั
เปน็ อยู่
2) ค้นพบควอซาร์ (Quasar) ซง่ึ เปน็ วัตถคุ ลา้ ยดาว มีขนาดเล็กเม่ือเทยี บกบั กาแล็กซีแต่มี
พลังงานมากกวา่ กาแล็กซี เช่ือกนั ว่าควอซาร์ อยแู่ ถบขอบนอกของเอกภพและควอซาร์ที่ถูกคน้ พบ
แลว้ กำลังเคลือ่ นทหี่ นอี อกไปจากโลกด้วยความเร็วสูงมาก
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 283
3) การคน้ พบคลืน่ รังสีความร้อนท่มี ีอณุ หภูมิ 3เคลวิน กระจายอยทู่ ั่วไปในเอกภพ ซ่งึ เป็น
หลักฐานทสี่ ำคัญทสี่ ุด รงั สีความร้อนนี้เป็นพลังงานความรอ้ นทเ่ี หลือมากจากการระเบิดครงั้ ยิ่งใหญ่
หรอื บิกแบง
28. ทฤษฎีสภาวะคงท่ี (Steady State Theory) ต้งั ข้ึนโดยเฟรด ฮอยล์ (Fread
Hoyle) เฮอร์แมน บอนได (Hermann Bondi) และโทมสั โกลด์ (Thomas Gold) เมอื่ ปี พ.ศ. 2491
สรปุ ความไดว้ า่
1) เอกภพไม่มีจดุ กำเนิดและจะไม่มีวาระสุดท้าย
2) เอกภพมีสภาพดังทเี่ ป็นอย่ใู นปัจจบุ นั มานานแล้วและจะมีสภาพเชน่ นี้ตลอดไป ปี พ.ศ.
2508 เฟรด ฮอยล์ ไดป้ ระกาศล้มเลิกทฤษฎีสภาวะคงที่ซึ่งตนเองได้รว่ มตั้งขึน้
29. ทฤษฎจี ุดกำเนิดระบบสุริยะของลาพลาส (Piere Simon Laplace) สรปุ ความ
ได้ว่า มวลของกลุ่มแกส๊ ฝนุ่ หมอก ควนั ซงึ่ มีขนาดใหญ่และร้อนจัดมากรวมกลมุ่ กนั แล้ว
หมนุ รอบตัวเองชา้ ๆ แรงดึงดูดระหวา่ งมวลทำให้การหมนุ รอบตวั เองของกล่มุ แก๊สมีความเร็วเพิ่มข้นึ
และมวลสว่ นใหญจ่ ะยุบตัวลง เม่อื ความเรว็ เพ่ิมขนึ้ มวลบางสว่ นกจ็ ะค่อย ๆ หลุดออกในลกั ษณะเปน็
วงแหวนของกลุ่มแกส๊ เดิม และเมอื่ กลมุ่ แก๊สเดมิ หดตัวอกี กจ็ ะมีวงแหวนของกลมุ่ แกส๊ อีกวงหน่ึง
แยกตัวออกไปจากจดุ ศนู ย์กลางในระยะทางสนั้ กว่าวงแหวนแรกเป็นเช่นนไี้ ปเร่ือย ๆ
30. การแล็กซี (Galaxy)คือ ระบบขนาดใหญ่ของดาวฤกษ์ รวมทัง้ ดาวเคราะห์ ดาว
หาง อุกกาบาด ฝุ่นผง และแกส๊ ในอวกาศ วตั ถตุ ่าง ๆ เหล่าน้รี วมตวั กนั เปน็ ระบบอยู่ได้ดว้ ยสมดลุ
ของแรงโน้มถว่ ง และทำใหว้ ตั ถเุ หล่านม้ี ีการเคลอ่ื นทเ่ี ป็นวงกลมรอบศนู ย์กลางของกาแล็กซี
31. ประเภทของกาแล็กซี จำแนกตามลักษณะรูปรา่ งได้4 ประเภท คอื
1) กาแล็กซีกลมรี (Elliptical Galaxies) มรี ปู รา่ งแบบกลมรี โดยกาแล็กซอี าจกลมมาก
บางกาแล็กซีอาจรีมาก
2) กาแล็กซีก้นหอย (Spiral Galaxies) มแี ขนโค้งเหมือนลายก้นหอยหรือกังหันเด็กเล่น
ตัวอย่างกาแล็กซแี บบนี้คือกาแล็กซที างชา้ งเผือกซึ่งระบบสุรยิ ะเปน็ สว่ นหนงึ่ ของกาแล็กซีน้ี
3) กาแลก็ ซีก้นหอยคาน (Barred Spiral Galaxies) มลี กั ษณะคล้ายคลึงกบั กาแลก็ ซีกน้
หอย แตต่ รงกลางมลี ักษณะเป็นคานและมแี ขนคล้ายแบบของกาแลก็ ซกี น้ หอยตอ่ ออกมาจากปลาย
คานท้งั สอง
4) กาแล็กซีไรร้ ูปร่าง (Irregular Galaxies) มรี ูปร่างลักษณะแตกต่างกันไปจากท้ังสามชนิด
ทกี่ ล่าวมาแลว้
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
284 คมู่ อื เตรยี มสอบ
32. กาแล็กซีทางชา้ งเผอื ก (Milky Way Galaxies)หมายถึง กาแล็กซีที่ปรากฏเป็น
ทางขาวเรอื งมลี ักษณะเป็นแถบพาดไปบนท้องฟ้าจากท้องฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงใตไ้ ปทางทิศ
ตะวันออกเฉียงเหนอื คนในสมยั โบราณจงึ จินตนาการเรียกชอื่ ต่าง ๆ กันไป เช่น ชาวยุโรปเรยี ก
ทางนำ้ นม ชาวอินเดยี เรยี กแมค่ งคาสวรรค์ ชาวไทยเรียกทางชา้ งเผอื ก
33. กาแล็กซีทางชา้ งเผือก ประกอบดว้ ยดาวจำนวนมากประมาณ 200,000 ลา้ น
ดวง มมี วลรวมทง้ั อาณาจักรประมาณ 750,000-1,000,000 เท่าของมวลดวงอาทติ ยเ์ ส้นผ่าน
ศูนย์กลางกาแล็กซีทางช้างเผือกมีคา่ ประมาณ 100,000 ปีแสง บรเิ วณศูนย์กลางกาแล็กซีมคี วาม
หนาประมาณ 12,000 ปีแสง ระบบสุรยิ ะอยูห่ ่างจากใจกลางกาแลก็ ซปี ระมาณ 30,000 ปแี สง
ระบบสรุ ยิ ะและดาวฤกษท์ ีเ่ ราสงั เกตเห็นบนท้องฟ้าทงั้ หมดก็อยูใ่ นกาแล็กซที างช้างเผือกท้งั ส้นิ
ดาวฤกษ์เหล่านีเ้ คล่ือนที่รอบจุดศูนย์กลางกาแล็กซีดว้ ยความเรว็ ประมาณ 300 กโิ ลเมตรตอ่ วินาที
34. กาแลก็ ซซี แี อนโดรเมดา (Andromeda)อย่ใู นกลมุ่ ดาวแอนโดรเมดา เป็น
กาแล็กซีท่ีสามารถมองเหน็ ได้ดว้ ยตาเปลา่ แตไ่ มช่ ัดเจน จะปรากฏเปน็ ฝ้ามัว ๆ แผเ่ ปน็ วงกวา้ ง มี
เส้นผา่ นศูนยก์ ลาง 3 เทา่ ของดวงจันทร์ เม่ือขน้ึ มาสูงสดุ ในท้องฟา้ เดือนธนั วาคมจะมมี ุมเงยจาก
ขอบฟ้าทิศเหนือ 63 มมุ ทศิ 0
บทที่ 3 เทคโนโลยีอวกาศ
1. อวกาศ คือ บรเิ วณที่อย่นู อกบรรยากาศของโลกออกไปเป็นเสน้ วา่ งเปล่าอนั กว้าง
ใหญไ่ พศาล ไม่มแี รงโน้มถว่ ง
2. เทคโนโลยีอวกาศ หมายถงึ การนำความรู้ เคร่ืองมือ และระเบียบ วิธีการทาง
วทิ ยาศาสตรม์ าประยกุ ต์และปรับใชเ้ พ่อื การศึกษาหาความร้เู กีย่ วกับอวกาศ และเพ่ือนำมาใช้
ประโยชนต์ อ่ มวลมนุษยชาติ
3. ประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ ชว่ ยใหช้ วี ติ มนุษย์เกดิ ความสะดวกสบาย และ
ปลอดภัยขน้ึ ทงั้ ในด้านการส่ือสาร การขนสง่ การประกอบอาชพี และการดำเนินชวี ิตประจำวัน
เปน็ ต้น
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 285
4. กล้องโทรทรรศน์ (Telescope)คอื อุปกรณ์ทใ่ี ช้ขยายภาพวัตถทุ ้องฟา้ ใหม้ ีขนาด
ใหญ่ขึน้ โดยอาศยั หลักการรวมแสง เพื่อใหส้ ามารถมองเห็นวตั ถุทอ้ งฟ้าท่ีไม่สามารถมองเห็นไดด้ ้วย
ตาเปลา่ หรือทำใหม้ องเหน็ ได้ชัดขึ้นมีขนาดใหญข่ ึ้น
5. หลักการทำงานของกล้องโทรทรรศน์ คอื รวมแสงจากพ้ืนท่ีท้งั หมดของหน้า
กล้อง เพื่อนำมาสรา้ งภาพท่ีสวา่ งมากข้นึ จึงทำหนา้ ท่ีเสมือนชว่ ยเพิม่ พืน้ ท่ีรบั แสงของรูมา่ นตาใหม้ ี
ขนาดใหญ่ข้นึ
6. ประเภทของกล้องโทรทรรศน์ แบ่งตามหลักการสรา้ งภาพได้เปน็ ชนดิ ใหญ่ ๆ คอื
1) กลอ้ งโทรทรรศน์ชนดิ แสง แบ่งเป็น2 ประเภท คือ กลอ้ งโทรทรรศนห์ ักเหแสง มี
เลนส์เปน็ องคป์ ระกอบหลัก และกล้องโทรทรรศนส์ ะท้องแสงมีกระจกเปน็ องค์ประกอบหลกั
2) กล้องโทรทรรศน์วทิ ยุ เป็นระบบเคร่ืองรบั คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้า เชน่ ชว่ งคลื่นวิทยุ
คล่ืนรังสเี อกซ์ คลื่นรังสีอิฟราเรด แต่เนือ่ งจากกลอ้ งโทรทรรศนค์ ลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้าชนิดที่รับชว่ ง
คลน่ื วทิ ยจุ ึงเรียกว่ากล้องโทรทรรศน์วทิ ยุ
7. กลอ้ งโทรทรรศน์หักเหแสง (Refractor Telescope)เป็นกลอ้ งโทรทรรศน์ทีใ่ ช้
เลนสใ์ นการรวมแสง มขี นาดเล็ก ประกอบด้วยเลนส์นูน 2 อนั ทีม่ ีความยาวโฟกสั ไม่เท่ากัน ดังน้ี
1) เลนสใ์ กล้วัตถุ เป็นเลนส์นนู มคี วามยาวโฟกัสมากกว่าเลนส์นนู ใกลต้ า ทำหน้าที่รับแสง
จากวัตถุและทำให้เกิดภาพจริงหวั กลบั กบั วตั ถทุ ่หี นา้ เลนสใ์ กลต้ า
2) เลนส์ใกล้ตา ทำหนา้ ท่ีขยายภาพจริงหวั กลับนน้ั ใหเ้ ปน็ ภาพเสมือนมองเหน็ ไดโ้ ดยไม่ต้อง
ใช้ฉากรบั ดงั นั้นภาพที่เห็นจากกล้องโทรทรรศนจ์ งึ เป็นภาพเสมอื นขนาดขยายใหญ่มากหวั กลบั
เนื่องจากภาพเสมือนท่ีเหน็ เป็นภาพขยายของภาพจริงจึงมีหัวในทิศตามภาพจรงิ ซึ่งมหี วั กลบั กบั วัตถุ
(ถ้าต้องการให้มองเห็นภาพหัวตงั้ ก็ทำไดโ้ ดยใส่เลนส์นนู อกี อนั หน่ึงไวข้ า้ งหนา้ เลนส์ใกล้ตาเพ่อื ทำ
หนา้ ทีก่ ลบั ภาพให้ต้ังข้ึน)
ขอ้ ดี คือ เหมาะสำหรับใชส้ ำรวจพื้นผิวดวงจันทรแ์ ละดาวเคราะห์
ขอ้ เสยี คอื ไมเ่ หมาะกับงานสำรวจวัตถทุ ้องฟ้าทม่ี ีความสว่างน้อย เช่น เนบิวลาและ
กาแลก็ ซี เน่ืองจากต้องใชก้ ำลงั รวมแสงสงู เลนส์ขนาดใหญ่ทมี่ ีความยาวโฟกัสสน้ั จะสร้างยากและมี
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
286 คมู่ อื เตรยี มสอบ
ราคาแพงมาก นอกจากนแ้ี ล้ว มขี นาดใหญ่จะทำใหล้ ำกล้องยาว มนี ำ้ หนกั มาก ไมส่ ะดวกต่อการ
ใช้ และทำให้เน้ือเลนส์มคี ณุ ภาพดไี ดย้ าก
8. กลอ้ งโทรทรรศน์สะท้อนแสง (Reflector Telescope)มีสว่ นประกอบท่สี ำคัญ
คือ ประกอบด้วย
1) กระจกเว้า ทำหน้าท่ีรบั แสงจากวัตถทุ ำใหเ้ กิดภาพหนา้ กระจกเงาราบ
2) กระจกเงาราบ ทำหนา้ ท่ีรับภาพที่เกิดจากกระจกเว้าเพอื่ สะท้อนภาพไปยงั เลนส์ใกลต้ า
ชว่ ยใหเ้ ห็นภาพได้สะดวกขนึ้
3) เลนสใ์ กล้ตา เปน็ เลนสน์ ูนจะทำหน้าท่ีขยายภาพใหม้ ขี นาดใหญ่ขนึ้
ขอ้ ดี คือ ใช้สำรวจวัตถุท้องฟา้ ที่อยไู่ กลจากโลกมาก ๆ และไม่สวา่ งใหด้ ีกว่ากล้อง
โทรทรรศนห์ กั เหแสง เช่น กระจกุ ดาว เนบวิ ลา และกาแลก็ ซี ทคี่ ่อนขา้ งจาง
ขอ้ เสยี คือ กระจกเงาราบภายในกลอ้ งจะลดพนื้ ทีร่ บั แสงจงึ ต้องสร้างกล้องใหม้ ี
ขนาดใหญ่
9. กลอ้ งโทรทรรศนว์ ิทยุ (Radio Telescope) ใช้ศึกษาวัตถุบนท้องฟ้าทีใ่ หค้ ลื่น
แมเ่ หล็กไฟฟ้าในชว่ งคลืน่ วทิ ยุ เช่น ดวงจันทร์ ดวงอาทติ ย์ เปน็ ตน้
ส่วนประกอบท่ีสำคัญ ได้แก่
1) ส่วนรบั สัญญาณ คอื เสาอากาศมีลกั ษณะรปู รา่ งแตกต่างกนั ทีน่ ิยมเป็นเสาอากาศแบบ
จานก้นลึกเหมือนกระจกเวา้ มตี วั รบั สัญญาณอย่ทู ่ีจุดโฟกสั ของจาน
2) สว่ นขยายสัญญาณ
3) สว่ นแสดงหรอื สว่ นบันทึกสัญญาณ
ภาค ข (วิชาความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 287
หลกั การทำงาน เม่ือกล้องโทรทรรศนว์ ิทยรุ บั สญั ญาณวทิ ยุจากวตั ถทุ ้องฟ้าได้ สัญญาณน้ี
จะถูกป้อนเขา้ ตัวเครื่องรับสัญญาณ จากนั้นสัญญาณกจ็ ะถูกแปลงหรอื แปรเป็นภาพ กราฟ รหัส
หรอื ขอ้ มลู เพ่ือเก็บบนั ทึกไว้ศึกษาต่อไป การทำงานของกลอ้ งโทรทรรศนว์ ทิ ยุรนุ่ ใหมจ่ ะอาศัย
คอมพิวเตอร์ควบคมุ การทำงานและวิเคราะห์ขอ้ มลู ตลอดจนการแปลงสัญญาณเป็นภาพหรอื ข้อมูล
ในรปู แบบทตี่ ้องการ
10. กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮบั เบลิ เป็นกล้องโทรทรรศนส์ ะท้อนแสงทสี่ ง่ ขึน้ ไปใน
อวกาศ สามารถสง่ ข้อมลู หรือจำภาพเป็นคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้ากลับมายงั โลก ซง่ึ คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้าจะ
ถกู เปลย่ี นเป็นภาพทสี่ ถานรี ับสัญญาณภาพพืน้ ดนิ
11. กล้องโทรทรรศนอ์ วกาศจนั ทรา เป็นกล้องท่ีถูกสง่ ขึ้นไปในอวกาศทำงานในชว่ ง
ความยาวคลื่นรังสีเอกซ์ มีวงโคจรรูปวงรี นักดาราศาสตรใ์ ช้ศกึ ษาดาวนิวตรอน หลมุ ดำ และ
ซูเปอรโ์ นวา
12. ดาวเทียม (Satellite)เปน็ ห้องทดลองท่บี รรจุอปุ กรณ์เอาไวแ้ ล้วสง่ ขนึ้ ไปโคจรรอบ
โลกเพ่ือประโยชน์ในดา้ นต่าง ๆ เชน่ ดาวเทียมอุตนุ ิยมวิทยา ทำหนา้ ท่ีตรวจความแปรปรวนของลม
ฟ้าอากาศ ดาวเทียมสอ่ื สารทำหนา้ ทเี่ ป็นสถานคี ลนื่ วิทยุส่ือสาร ดาวเทียมสำรวจ
ทรัพยากรธรรมชาตเิ ปน็ สถานีเคลอ่ื นทส่ี ำรวจดพู ืน้ ผิวและการเปลีย่ นแปลงต่าง ๆ ท่ีเกดิ บนพืน้ ผิวโลก
เป็นตน้
13. หลักการทำงานของดาวเทียม ดาวเทยี มทุกระบบจะมีเครือ่ งสง่ วิทยุโดยเฉพาะ
ดาวเทยี มอุตุนยิ มวิทยาและดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติจะติดตั้งกล้องถ่ายภาพด้วย ขอ้ มูล
จากดาวเทยี มจะถูกส่งออกมารในรูปสญั ญาคลืน่ วิทยุและสัญญาณวิทยุโทรภาพมายงั พืน้ โลกซึ่งมี
สถานีวิทยสุ ัญญาณโดยเฉพาะ และมีเคร่ืองมือแปรความหมายคลื่นวิทยุออกมาเปน็ ตวั เลข ภาพถา่ ย
กราฟ แสดงขอ้ มลู ต่าง ๆ ซง่ึ สามารถอา่ นหรือนำมาวิเคราะหต์ ่อไปได้
14. การสง่ ดาวเทยี มข้นึ ไปโคจรรอบโลก ดาวเทียมถูกสง่ ขน้ึ ไปจากโลกโดยจรวดหรอื
ยานขนส่งอวกาศ ดาวเทียมสามารถโคจรรอบโลกได้โดยอาศัยหลกั การเดียวกับทดี่ วงจนั ทรโ์ คจร
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
288 คมู่ อื เตรยี มสอบ
รอบโลก คอื ที่ระดบั ความสงู จากผิวโลกระดบั หน่ึง และมีแรงโนม้ ถ่วงของโลกดงึ ดูดดาวเทียมเป็น
แรงศูนย์กลาง
15. วงโคจรดาวเทียม แบง่ ตามระดับความสงู จากพ้นื โลกเปน็ 3 ระดับ คือ
1) วงโคจรระดบั ต่ำ คือ ระดับวงโคจรของดาวเทยี มที่อยู่ห่างจากผวิ โลกประมาณ 800-
1,500 กิโลเมตร การใช้วงโคจรตำ่ ภาพถ่ายจึงครอบคลมุ พืน้ ที่เปน็ บริเวณแคบ ต้องใชด้ าวเทยี ม
จำนวนมากจึงจะสรา้ งโครงข่ายใหค้ รอบคลมุ พื้นทไี่ ด้ท่ัวโลก เหมาะสำหรบั การถา่ ยภาพรายละเอียด
สงู ติดตามสังเกตการณ์อย่างใกลช้ ดิ
2) วงโคจรระดบั กลาง คือ ระดับวงโคจรของดาวเทียมท่ีอยหู่ ่างจากผวิ โลกประมาณ
9,900-19,800 กโิ ลเมตร สามารรถถา่ ยภาพและสง่ สัญญาณวิทยุได้ครอบคลมุ พื้นทไี่ ด้กว้าง แต่ก็
ยังตอ้ งใช้ดาวเทยี มหลายดวงทำงานรว่ มกนั จึงจะได้ครอบคลุมทว่ั โลกส่วนมากเปน็ ดาวเทียมนำรอ่ ง
เช่น เครือข่าวดาวเทยี ม GPS ทีป่ ระกอบดว้ ยดาวเทยี ม 24 ดวง
3) วงโคจรคา้ งฟา้ คือ ระดับวงโคจรของดาวเทียมท่ีอย่สู ูงจากผิวโลกประมาณ 35,000
กโิ ลเมตร มีเส้นทางโคจรอยู่ในแนวเส้นศนู ยส์ ตู ร เปน็ วงโคจรทดี่ าวเทยี มใชเ้ วลาในการโคจรรอบโลก
เทา่ กับเวลาที่โลกหมนุ รอบตวั เอง คอื ใช้เวลาในการโคจรรอบละ 24 ช่วั โมง ดาวเทียมจึงเคล่ือนท่ี
ไปพร้อม ๆ กบั โลกและเมื่อเปรยี บเทียบกับตำแหน่งบนโลกจึงเหน็ ดาวเทียมไมเ่ คล่ือนที่ สถานีติดตอ่
กบั ดาวเทียมบนโลกจงึ เล็กเสาอากาศไปในทิศทางเดิมตลอดเวลาทำให้สะดวกในการใชง้ านในวงโคจร
คา้ งฟา้ ดาวเทยี มสามารถส่งสัญญาณครอบคลุมพนื้ ที่การติดตอ่ ประมาณ 1/3 ของผวิ โลก และถา้ จะ
ให้ครอบคลุมพนื้ ที่ทว่ั โลกจะต้องใช้ดาวเทียมในวงโคจรนีอ้ ย่างน้อย 3 ดวง
16. ดาวเทียมไทยคม มที ้งั หมด5 ดวง อยใู่ นวงโคจรค้างฟา้ หา่ งจากผวิ โลกประมาณ
36,000 กิโลเมตร ทำให้ดาวเทียมเคล่ือนที่รอบโลกเทา่ กบั เวลาท่ีโลกหมุนรอบตัวเองครบ 1 รอบ
ส่งผลใหต้ ำแหนง่ ของดาวเทยี มอยู่คงทต่ี ลอดเวลาเหมือนไม่เคล่อื นที่
ประโยชน์ เปน็ ดาวเทียมส่ือสารเพราะจาน สายอากาศ และดาวเทียมจะหันหน้าเข้าหา
โลกตลอดเวลา ทำใหส้ ามารถส่งสญั ญาณตดิ ตอ่ ส่ือสาร ระหวา่ งโลกกับดาวเทยี มได้อย่างต่อเนื่อง
และมีประสิทธิภาพ
17. ดาวเทียมธอี อส เปน็ ดาวเทียมสำรวจข้อมูลระยะไกล โดยความร่วมมอื ระหว่าง
รัฐบาลไทยและรฐั บาลฝรั่งเศส นับเป็นดาวเทยี มสำรวจทรัพยากรดวงแรกของไทยและเอเชีย
ตะวนั ออกเฉยี งใต้
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 289
ประโยชน์ เพือ่ ใช้สำรวจทรพั ยากรธรรมชาติของประเทศไทย ใชท้ ำแผนที่ในภารกจิ ท่ี
รับผิดชอบ เชน่ การสำรวจหาแหล่งชมุ ชน
18. ยานอวกาศ เป็นยานพาหนะทส่ี รา้ งขึน้ เพื่อใชส้ ำรวจอวกาศ มวี ตั ถุประสงค์ในการ
ใชแ้ ตกตา่ งกนั ไปตามความต้องการแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1) ยานอวกาศทีไ่ ม่มีมนษุ ย์ขับคุม 2)
ยานอวกาศทีม่ มี นุษยข์ บั คมุ
19. หลักการทำงานของยานอวกาศ ยานอวกาศจะมีเครือ่ งสง่ วิทยอุ ่นื สง่ ข้อมูลออกมา
เปน็ สญั ญาณคล่ืนวทิ ยุ บนพื้นโลกมสี ถานสี ำหรับรับสญั ญาณน้ันโดยเฉพาะ โดยใชเ้ ครื่องมือสำหรบั
แปลความหมายคล่ืนวทิ ยอุ อกมาเป็นตัวเลข ภาพถา่ ย และกราฟแสดงขอ้ มลู ขณะปฏิบัติงานใน
อวกาศ ยานอวกาศใชพ้ ลงั งานจากแสงอาทิตยโ์ ดยใช้เซลล์สรุ ิยะเปลย่ี นพลงั งานแสงอาทิตย์เป็น
พลังงานไฟฟา้
20. ยานอวกาศที่ไม่มีมนุษย์ขบั คุม ส่วนใหญส่ ำรวจดวงอาทติ ย์ ดวงจันทร์ ดาว
เคราะห์ และห้วงอวกาศระหวา่ งดาวเคราะห์ เชน่
โครงการเรนเจอร์ (สหรัฐอเมริกา) สำรวจดวงจนั ทร์และถ่ายรูปพ้ืนผิวดวงจันทร์ ศกึ ษาการ
พงุ่ ชนของยานอวกาศบนผิวดวงจันทร์
โครงการเซอร์เวเยอร์ (สหรัฐอเมรกิ า) เปน็ ยานอวกาศลำแรกที่ลงบนดวงจันทร์ไดโ้ ดยไม่มี
มนษุ ย์ไปดว้ ย ศึกษาการลงจอดบนผิวดวงจันทร์
โครงการมารเี นอร์2 (สหรฐั อเมรกิ า) สำรวจดาวศกุ ร์ เก่ยี วกับ อณุ หภมู ิ สนามแม่เหลก็
และบรรยากาศ
โครงการมารีเนอร์4 (สหรฐั อเมรกิ า) สำรวจดาวองั คาร ถ่ายภาพดาวอังคาร อณุ หภมู ิ และ
บรรยากาศ
โครงการไวกิ้ง1 และไวก้งิ 2 (สหรฐั อเมรกิ า) สำรวจดาวองั คารเก่ียวกับสิ่งมีชวี ิต และ
บรรยากาศ อุณหภมู ิ สว่ นประกอบของพ้ืนผวิ ความสงั่ สะเทอื น และสนามแม่เหล็ก
โครงการกาลเิ ลโอ (สหรัฐอเมรกิ า) สำรวจดาวพฤหสั บดี
21. ยานอวกาศท่ีมมี นุษย์ขับคมุ เป็นยานทีม่ มี นุษยค์ วบคมุ ข้นึ ไปกบั ยานเพื่อเก็บ
ขอ้ มลู ทำการทดลอง หรือลงสำรวจดาว มหี ลายโครงการ เชน่
โครงการเจมินี (สหรฐั อเมริกา) นำมนุษยข์ ึน้ ไปดำรงชีวิตในอวกาศฝึกการเชอื่ มต่อกบั ยาน
ลำอ่ืน ๆ ปรบั ปรงุ การนำยานลงสู่พืน้ ทีแ่ ละหาผลกระทบที่เกดิ จากสภาวะไรน้ ำ้ หนกั โครงการนย้ี ตุ ลิ ง
แลว้
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
290 ค่มู อื เตรยี มสอบ
โครงการอะพอลโล (สหรัฐอเมรกิ า) นำมนุษยไ์ ปสำรวจดวงจันทร์ยานอะพอลโล11 เป็นยาน
อวกาศลำแรกทีล่ งบนพน้ื ผิวดวงจันทร์ได้สำเร็จโดยมมี นษุ ย์ขบั คมุ
22. ยานขนสง่ อวกาศ หรือกระสวยอวกาศ (Space Shuttle)เปน็ ยานพาหนะทใี่ ช้
ในการพาอุปกรณส์ ำรวจอวกาศออกไปนอกโลก เช่น นำดาวเทียมและยานอวกาศขนึ้ ไปปลอ่ ยใน
อวกาศโดยมนี ักบินอวกาศขึ้นไปดว้ ย
23. ส่วนประกอบของยานขนส่งอวกาศ
1) ตวั ยานโคจร หรอื ยานขนสง่ อวกาศ ลกั ษณะเหมือนเครอ่ื งบนิ มเี คร่ืองยนตจ์ รวด 3
เครือ่ งติดอยทู่ ส่ี ว่ นทา้ ย และมรี ะบบจรวดขบั เคลื่อนในวงโคจรขนาดเล็กติดอยรู่ อบตัวยาน 44
เคร่ือง ทำหนา้ ทีค่ วบคุมวถิ โี คจร และท่าบินของยาน สามารถนำกลับมาใชใ้ หม่ได้หลายครง้ั ยาน
ขนส่งอวกาศแบ่งเป็น 3 ตอน คือ 1) ห้องนกั บิน เป็นที่ทำงานของนักบินอวกาศ 2) หอ้ ง
คน้ ควา้ วิจยั ทางวิทยาศาสตร์ เปน็ หอ้ งทดลองคน้ ควา้ อเนกประสงค์ 3) ห้องควบคมุ สัมภาระ ใช้
บรรจุดาวเทียมหรือสัมภาระอ่ืนๆ ภายในมีแขนกลสำหรับจับดาวเทียมหรือสัมภาระไปปล่อยใน
อวกาศ และสามารถยืน่ แขนออกไปจับดาวเทียมที่ชำรดุ ในอวกาศเข้ามาซ่อมแซมในยานได้
2) ถงั เช้ือเพลงิ ภายนอก คอื สว่ นท่ยี านขนสง่ เกาะอยูม่ ีท่ออะลมู ิเนยี มและเหลก็ กล้าเพ่ือ
ปอ้ นเช้ือเพลิงเหลวเขา้ ไปในห้องเผาไหม้ของเช้ือเพลงิ หลกั 3 เครอ่ื งของยานขนส่ง สว่ นนจี้ ะเสยี ดสี
กบั ช้ันบรรยากาศจนไหมห้ มด
3) จรวดขบั ดนั เชื้อเพลงิ แข็ง คอื ส่วนทต่ี ดิ ขนาบกนั กับถังเชื้อเพลงิ ภายนอกมี 2 ลำใชเ้ ปน็
พลังงานในการสง่ ยานขนส่งอวกาศข้นึ จากฐานจรวดใชเ้ ชอื้ เพลงิ หมดแลว้ จะแยกตวั ออกและตกลงสู่
พื้นนำ้ จรวดส่วนน้ีสามารถนำกลบั มาใชง้ านได้อกี หลายคร้ัง
24. ข้นั ตอนการบนิ ของยานขนส่งอวกาศ
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 291
1) ใชจ้ รวดขับดันเชือ้ เพลงิ แข็ง 2 เครื่องเปน็ พลังงานในการสง่ จรวดขนส่งอวกาศข้นึ จาก
ฐาน
2) เมือ่ จรวดขบั ดันใชเ้ ช้อื เพลิงหมดแล้วจะแยกตวั ออกและตกลงส่พู น้ื นำ้ โดยใช้รม่ ชชู ีพ
จรวดขับดนั นี้จะถูกนำกลับไปยังฐานส่งจรวดเดิม และซ่อมแซมแก้ไขไวใ้ ช้อีกในโอกาสตอ่ ไป
3) ยานขนสง่ จะเคลื่อนทส่ี ูงขึ้นต่อไปโดยใชเ้ ชอ้ื เพลงิ เหลวท่ีบรรจใุ นถงั เชือ้ เพลิงภายนอก
ให้กบั เคร่ืองยนตจ์ รวด 3 เครื่อง
4) ถงั เชือ้ เพลงิ ภายนอกจะหลุดออกก่อนที่ยานขนส่งจะไปถงึ วงโคจรรอบโลก และถูกเผา
ไหมใ้ นใชใ้ นบรรยากาศไม่มกี ารนำกลบั มาใชง้ านอีก
5) ยานขนส่งโคจรต่อไปในวงโคจรรอบโลกแล้วปล่อยดาวเทยี มหรอื สมั ภาระอื่นๆ จากนั้น
ยานขนส่งจะกลบั ลงสูพ่ ้ืนโลกในแนวราบเหมือนกบั เครื่องรอ่ นซง่ึ ไม่มีแรงขับเคลื่อนใด ๆ นอกจากแรง
โน้มถว่ งของโลก
25. สถานอี วกาศนานาชาติ (International Space Station; ISS)เป็นฐาน
ปฏบิ ัตกิ ารวิจยั ในอวกาศและเตรียมพร้อมท่ีจะไปสำรวจดวงจันทรแ์ ละอวกาศไกลออกไป ถูก
ประกอบข้ึนในวงโคจรของโลก เป็นโครงการร่วมกันระหว่างหน่วยงานด้านอวกาศ 5 หนว่ ยงาน 16
ประเทศ ได้แก่ องค์การนาซา (สหรัฐอเมริกา) (รัสเซีย) (ญ่ีปนุ่ ) (แคนาดา) (สหภาพยโุ รป) สถานี
อวกาศนานาชาตโิ คจรรอบโลกประมาณ 16 รอบตอ่ วันทรี่ ะดบั ความสูงเฉลี่ย 370 กิโลเมตรจาก
พนื้ ดิน ปจั จบุ ันมคี วามกวา้ ง 109 เมตร ยาว 73 เมตร
ปฏิบตั กิ ารทางวทิ ยาศาสตร์
1) การศึกษาพฒั นาการของส่งิ มชี ีวติ ภายใตส้ ภาวะไรแ้ รงโนม้ ถว่ งความแตกตา่ งระหว่างการ
ใช้ชีวติ ในอวกาศ สถานีอวกาศ และบนโลก
2) การศึกษาชน้ั บรรยากาศ และทรัพยากรธรรมชาตบิ นโลก
3) การศึกษาดา้ นอวกาศ เพื่อใหม้ ีความเขา้ ใจเกย่ี วกบั อวกาศมากยิ่งขน้ึ
4) การทำการทดลองทฤษฎีทางฟิสิกสใ์ นสภาพไร้แรงโน้มถ่วงซ่ึงอาจนำมาถึงการคน้ พบ
ทฤษฎใี หม่ๆ ทีจ่ ะเป็นพื้นฐานในการไขปริศนาความลับด้านอวกาศในอนาคต
5) การค้นคว้าวิจัยและพฒั นาดา้ นวศิ วกรรมและเทคโนโลยที ่ีใชใ้ นกิจการดา้ นอวกาศ การ
ขนสง่ โครงสรา้ ง กลไก และพลังงาน
6) การค้นคว้าวิจัยและพัฒนาเพ่อื หาเทคโนโลยีท่ไี ด้สำหรับการติดต่อคุณภาพของการผลิต
เชิงอุตสาหกรรมบนโลก
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
292 คมู่ อื เตรยี มสอบ
26. สภาพไรน้ ำ้ หนัก (Welghtlessness)คือ สภาพทว่ี ตั ถไุ ม่มีแรงกระทำต่อ
ส่ิงแวดล้อม หรือสภาพท่ีเหมือนกบั วา่ มีมแี รงดงึ ดูดของโลกกระทำต่อวตั ถจุ ึงดูเหมือนว่าวตั ถุไม่มี
นำ้ หนกั
27. สภาพไรน้ ำ้ หนกั ในขณะทยี่ านอวกาศโคจรรอบโลก เกดิ จากแรงโนม้ ถ่วงของโลกท่ี
ดึงดูดยานสมดลุ กบั แรงหนศี ูนย์กลางทยี่ านอวกาศจะออกจากโลก
28. ปญั หาท่ีนักบนิ อวกาศต้องเผชิญในอวกาศ คือ
1) ปัญหาสภาพไร้นำ้ หนัก ทำให้กลา้ มเนื้อออ่ นเปล้ีย จงึ ต้องออกกำลังกายอย่าง
สม่ำเสมอเพอื่ ชว่ ยให้กลา้ มเน้ือแขง็ แรงและชว่ ยให้การสูบฉีดเลอื ดทำงานเช่นเดียวกับเมื่ออย่บู นโลก
2) สภาพความดันและอุณหภมู ิ ทร่ี ะดับความสงู จากพ้ืนผิวโลกมากความดันอากาศจะต่ำ
มาก อาจทำให้หลอดเลือดแตกถงึ แก่ความตายได้ดงั นัน้ นักบินอวกาศจงึ ต้องสวมชดุ อวกาศเพอ่ื ปรับ
ความดนั และอณุ หภูมิของรา่ งกายใหพ้ อเหมาะ หรือปรบั ความดันอากาศภายในยานให้เสมอื นกบั บน
พน้ื โลก
3) รงั สตี ่าง ๆ จากดวงอาทิตย์ นกั บินอวกาศต้องสวมชุดอวกาศซ่ึงปอ้ งกันอนั ตรายเมื่อ
อยนู่ อกยาน
4) อากาศทใี่ ช้หายใจ ขณะปฏิบัติงานอยู่นอกยานอวกาศ มนษุ ย์อวกาศจะต้องนำถงั
ออกซเิ จนทบ่ี รรจุออกซเิ จนเหลวติดตวั ไปดว้ ยเสมอ
5) อาหาร ในยุคตน้ ๆ อาหารของนักบนิ อวกาศจะบรรจุอยู่ในหลอดอะลูมเิ นียมลกั ษณะ
คล้ายหลอดยาสีฟนั ต่อมาพัฒนาขึ้นโดยบรรจใุ นถงุ พลาสตกิ ใสด้วยระบบสุญญากาศ ปัจจุบนั
อาหารสำเร็จรปู ธรรมดาแปรรูปใหม้ นี ำ้ หนกั น้อยท่ีสดุ และมีสารอาหารครบถว้ น การกนิ อาหารต้อง
บังคบั ให้อาหารอยู่ในภาชนะและวางถาดอาหารบนแถบแม่เหลก็ เสมอ
6) การอาบนำ้ นกั บนิ อวกาศจะอาบนำ้ อาทติ ย์ละครัง้ โดยใชฝ้ ักบวั ละอองน้ำจะเกาะตัว
นกั บินเป็นเมด็ และไม่หยดลงพื้น ซึ่งจะต้องใช้ระบบสุญญากาศน้ำออกจนหมด
7) การขับถ่าย มนุษย์อวกาศต้องออกแรงเบง่ มากกวา่ ปกตเิ พราะไม่มีแรงโนม้ ถว่ งจากโลก
ช่วยมถี ุงรองรับอจุ จาระตดิ กับทวาร และมถี งุ ปัสสาวะแยกกนั ของเสียเหลา่ นตี้ ้องนำกลบั มาศึกษาที่
โลกด้วย
8) การนอน นอนในถุงนอนโดยยดึ ไวก้ ับที่และมีระบบปรับความดันถงุ นอนด้านสมั ผัสกับ
หลังให้เสมอื นนอนบนท่นี อน
ภาค ข (วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 293
9. การตั้งสมมติฐาน เป็นการตงั้ คำอธบิ ายหรือคำตอบของปัญหาไว้ล่วงหนา้ เพอ่ื เปน็
แนวทางในการทดสอบหรือหาขอ้ มูลต่อไป ถา้ ทดสอบวา่ เปน็ จรงิ สมมุติฐานนั้นกเ็ ปน็ ที่ยอมรบั ถ้า
ทดสอบแล้วพบวา่ ไมเ่ ป็นจริงกต็ ้องยกเลกิ แลว้ ตั้งสมมุติฐานขนึ้ ใหม่เพ่อื ทดสอบกันตอ่ ไป
10. การทดลอง เปน็ การพิสจู น์สมมตุ ิฐานทต่ี ง้ั ไว้ การทดลองเป็นกระบวนการวางแผน
การออกแบบวิธกี ารทำงานทดลอง ตลอดจนการทำการทดลองเพื่อหาข้อมลู มาพิสูจนห์ รอื มา
ตรวจสอบสมมตุ ิฐานท่ีตัง้ หรืออธบิ ายไว้แลว้ วา่ ถูกต้องหรือไม่
11. การทดลองท่เี ทยี่ งตรง (Fair Test)การศึกษาผลของสงิ่ ใดสิ่งหน่ึงในการหาความรู้ทาง
วิทยาศาสตร์ ผทู้ ดลองต้องทำอย่างเท่ียงตรง ไม่เอนเอียงไปดา้ นใดดา้ นหนง่ึ โดยต้องควบคมุ ตัว
แปรเพื่อใหเ้ กดิ ความมน่ั ใจว่าเรากำลังศึกษาเฉพาะส่ิงนัน้ ๆ หรือตวั แปรนัน้ ๆ โดยไม่ให้ตัวแปรอ่นื ๆ
หรือองคป์ ระกอบอน่ื ๆ เขา้ มามสี ว่ นทำใหเ้ กดิ ผลที่ไขวเ้ ขวได้ ตวั แปรในการทดลองมี 2 ประเภท
คือ ตัวแปรที่ต้องควบคมุ ให้คงที่ (ตัวแปรท่ไี ม่ต้องการศึกษา) และตวั แปรทต่ี ้องเปลี่ยนแปลง (ตัวแปร
ท่ีต้องการศึกษา)
12. การบนั ทกึ ข้อมลู เม่ือลงมอื ปฏิบตั ิการทดลองผู้ทดลองจะต้องบันทึกข้อมูลทุกครงั้
ห้ามใช้วธิ ีจำโดยเดด็ ขาด เพราะจะทำใหส้ ูญเสยี ข้อมลู ท่ีสำคัญไป หรือเม่ือมขี ้อมลู มาก ๆ กจ็ ะจำได้
ไม่หมด นอกจากน้ีแล้ว การบันทึกข้อมลู ต้องทำให้เป็นระเบยี บ สะดวกแก่การศึกษาและแปล
ความหมายต่อไป
13. การนำเสนอข้อมูล (Data) เม่ือได้ขอ้ มูลจากการทดลองแล้ว ข้ันตอนต่อมาคือการ
นำเสนอข้อมลู เพื่อใหเ้ ราสามารถแปลความหมายและเพื่อสื่อสารข้อมลู ให้ผู้อื่นเข้าใจได้งา่ ยด้วย
กรณีทมี่ ีขอ้ มูลไมม่ ากและไม่ซับซอ้ นกส็ ามารถรายงานด้วยการบอกเลา่ การบรรยาย แต่ในกรณีทม่ี ี
ข้อมลู มากและซบั ซ้อนก็ต้องเสนอใหอ้ ่านเขา้ ใจง่ายและแปลความหมายไดร้ วดเรว็ เช่น การใช้ตาราง
กราฟ แผนภูมิ เป็นต้น
14. การสรปุ ผล เปน็ การนำขอ้ มลู ที่ได้จากผลการทดลอง มาทำการวเิ คราะห์และแปล
ความหมายและสรปุ ผลออกมาว่าเป็นจริงตามสมมุตฐิ านทีต่ ้ังไว้หรอื ไม่
16. เครอื่ งมือและอปุ กรณว์ ทิ ยาศาสตร์ ในการสงั เกตของนกั วทิ ยาศาสตรจ์ ำเป็นต้องอาศยั เคร่อื งมือ
และอปุ กรณท์ ั้งน้เี พื่อชว่ ยขยายขอบเขต จำกดั ของประสาทสมั ผัส และช่วยให้หาข้อมลู ท่ีใกลเ้ คยี ง
กับความเป็นจรงิ เช่ือถือได้ และมีความผดิ พลาดน้อยท่สี ดุ
15. เครื่องมอื วดั ทใี่ ช้ในชีวิตประจำวนั และงานต่าง ๆ ได้แก่ เคร่อื งวัดระยะทาง (ไม้
บรรทัด ไมเ้ มตร ตลับเมตร) เคร่ืองวัดปริมาตร (ช้อนตวง ถ้วยตวง ) เคร่อื งวัดอุณหภมู ิ (เทอร์มอ
มิเตอร)์ เครื่องจับเวลา (นาฬิกา) เคร่ืองชงั่ นำ้ หนัก เคร่ืองชว่ ยในการมองเห็น (แว่นตา แวน่ ขยาย
ภาค ข (วิชาความร้คู วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
294 คมู่ อื เตรยี มสอบ
กล้องส่องทางไกล กล้องจุลทรรศน์ กล้องโทรทรรศน์) เคร่ืองช่วยในการได้ยิน (สเตท็ โทสโคป
เครื่องขยายเสยี ง)
16. หน่วยในการวัดปริมาณต่าง ๆ ในการใชเ้ ครื่องมือวัดปริมาณของสงิ่ ตา่ ง ๆ จำเปน็ ตอ้ ง
ใชห้ น่วยกำกับการวัดที่เปน็ มาตรฐานตรงกัน เพื่อสะดวกในการเปรียบเทยี บหรือทำความเข้าใจ
ระบบหน่วยทเี่ รารูจ้ ักและนิยมใช้ มอี ยู่ 3 ระบบ คือ
1) ระบบเมตริก เป็นระบบหนว่ ยของประเทศฝร่ังเศส
2) ระบบอังกฤษ เป็นระบบหน่วยของประเทศองั กฤษ
3) ระบบหนว่ ยระหวา่ งชาติหรือระบบหน่วยเอสไอ เปน็ ระบบหนว่ ยทพ่ี ัฒนามาจากระบบ
เมตรกิ ปัจจบุ ันระบบหน่วยน้ีถือเปน็ ระบบหนว่ ยสากลเป็นมาตรฐานทใี่ ชก้ นั ทัว่ โลกในการวดั ทาง
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
17. ตารางเปรยี บเทียบหนว่ ยของการวดั ตามระบบเอสไอและระบบเมตรกิ
ช่อื หน่วย
ปรมิ าณส่งิ ตา่ ง ๆ ระบบเอส ระบบเมตริก ความสัมพนั ธ์
ไอ
ความ เมตร (m) เซนตเิ มตร (cm) 1 m = 100 cm
ยาว
มวล กิโลกรมั กรัม (g) 1 kg = 1,000 g
(kg)
เวลา วนิ าที (s) วนิ าที (S)
อณุ หภู เคลวิน องศาเซลเซยี ส สมการ
มิ (K) ( K = 273 + (
พ้นื ที่ ตาราง ตาราง 1 = 10,000
เมตร เซนติเมตร
(
ปรมิ าต ลกู บาศก์ ลกู บาศก์ 1=
ร เมตร( เซนตเิ มตร 1,000,000
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วิทยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ กิโลกรัม กรมั ต่อลูกบาศก์ 295
ตอ่ เซนตเิ มตร
ความ ลกู บาศก์ (g/ 1 kg/ =
หนาแน่ เมตร (g/
น (kg/
18. เคร่ืองมอื วทิ ยาศาสตรท์ ใ่ี ช้ชว่ ยและขยายขอบเขตของประสาทสัมผัส
- แว่นขยาย (Magnifying glass) คือ เคร่ืองมอื ท่ใี ชส้ อ่ งมองดูส่งิ เลก็ ๆ ท่ียังพอมองเหน็ ได้
ดว้ ยตาเปลา่
- กลอ้ งจุลทรรศน์ (Microscope) คือ เครือ่ งมอื ทใี่ ชส้ ่องมองดสู ิ่งท่ีอยใู่ กล้ ๆ และมีขนาด
เลก็ มาก ปกติมองด้วยตาเปล่าไมเ่ ห็น
- กลอ้ งโทรทรรศน์ (Telescope) คือเครื่องมือท่ีใชส้ ่องมองดสู ง่ิ ที่อยู่ไกลมาก ๆ ให้เขา้ ใกล้
และมขี นาดโตขนึ้ เล็กน้อย
- เคร่ืองช่วยการไดย้ ิน (Hearing aid) คือ เคร่ืองมือช่วยการได้ยนิ เสยี งที่คนหูตึงใช้
- เครอ่ื งฟังเสียงหรือสเต็กโทสโคป (Stethoscope) เครอ่ื งมอื ที่แพทย์ใชช้ ว่ ยฟังเสียงการ
ทำงานของอวยั วะตา่ ง ๆ ในร่างกายให้ชดั เจนยิง่ ขนึ้ เพื่อการตรวจวินิจฉัยโรคของผู้ป่วย
- เทอร์มอมิเตอร์ (Thermometer) คือ เครอื่ งมือท่ีใช้วดั อุณหภมู ิ หรอื ระดับของความ
ร้อนในวัตถุ
19. ความรวู้ ิทยาศาสตร์เปลยี่ นแปลงได้ ความร้ทู ี่นักวทิ ยาศาสตร์เคยค้นพบได้แล้ว
สามารถเปลย่ี นแปลงไดเ้ มื่อนักวทิ ยาศาสตร์มีเหตมุ ีผลอยา่ งอื่น มีเคร่ืองมือและอุปกรณท์ ี่มี
ประสทิ ธภิ าพและความแมน่ ยำมากยิง่ ข้ึน มีกระบวนการในการหาความรูท้ เ่ี ปลี่ยนแปลงไป และมี
ข้อมูลหรือหลกั ฐานใหม่ ๆ เพิ่มเติมข้นึ มา
20. ผลกระทบจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่ไดห้ ยิบยื่น
ใหเ้ ฉพาะผลประโยชน์ด้านบวกเสมอไป แตย่ ังสง่ ผลกระทบต่อสุขภาพและสิง่ แวดล้อมของมนษุ ย์
ด้วย
ตัวอย่างแนวข้อสอบ
1) ระบบสุริยะเกดิ จากอะไร
ก. ดาวฤกษ์ ข. กาแล็กซี ค. เนบวิ ลา ง. หลมุ ดำ
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์
296 คมู่ อื เตรยี มสอบ
2) การเกิดของระบบสรุ ยิ ะจากเนบวิ ลา มวลสารสว่ นมากจะกลายเปน็ สว่ นใด
ก. โลก ข. ดาวเคราะห์ ค. ดวงอาทติ ย์ ง. กาแลก็ ซี
3) ขอ้ ใดจัดเป็นดาวเคราะหห์ ินท้งั หมด
ก. องั คาร พฤหัส เสาร์ ยเู รนสั ข. พธุ ศกุ ร์ โลก องั คาร
ค. พุธ ศุกร์ องั คาร พฤหัส ง. พฤหัส ศุกร์ ยูเรนัส เนปจนู
4) ดาวเคราะห์น้อยอยรู่ ะหว่างวงโคจรของดาวเคราะห์ใด
ก. พธุ และ ศกุ ร์ ข. โลก และ องั คาร ค. องั คาร และ พฤหัส ง. พฤหสั และ เสาร์
5) ข้อใดไมจ่ ัดเปน็ ดาวเคราะหแ์ กส๊
ก. ดาวพลูโต ข. ดาวเสาร์ ค. ดาวยเู รนสั ง. ดาวพฤหสั บดี
6) เศษทีเ่ หลอื จากดาวเคราะห์ยักษ์จะเปน็ ส่ิงใด
ก. อุกกาบาต ข.ดาวตก ค. ดาวหาง ง. ดาวประหลาด
7) โลกไดร้ ับพลงั งานจากดวงอาทิตยใ์ นรูปของสงิ่ ใด
ก. แสงและความร้อน
ข. อนุภาคและแสง
ค. ความร้อนและพายุแมเ่ หล็ก
ง. คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้าและอนุภาคท่มี ีประจุไฟฟา้
8) ถ้าโลกไม่มบี รรยากาศห่อหุ้ม สงิ่ มีชีวิตจะได้รบั อนั ตรายมากที่สุดจากชนดิ ของพลงั งานท่ีดวง
อาทติ ย์ สง่ มายังโลก คอื
ก. แสงธรรมดา ข. รงั สีเอ็กซ์ ค. รงั สอี ัลตาไวโอเลต ง. อนุภาคท่มี ปี ระจุ
ไฟฟ้า
9) อนุภาคโปตอนและอิเลก็ ตรอนท่ีหลดุ ออกจากดวงอาทติ ย์มาสูโ่ ลก ทำให้เกิดส่งิ ใด
ก. คลืน่ แม่เหลก็ ข. คลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ ค. ลมสรุ ิยะ ง. แสงเหนือ-แสงใต้
10) แสงเหนือแสงใตเ้ กดิ จากอะไร
ก. อนุภาคของลมสุริยะชนกบั สนามแม่เหล็กโลก
ข. อนภุ าคของลมสุรยิ ะชนกับอะตอมของแกส๊ ในบรรยากาศของโลก
ค. รงั สอี ลั ตาไวโอเลตท่ีแผจ่ ากดวงอาทิตยช์ นกบั สนามแม่เหล็กโลก
ง. รงั สอี ัลตาไวโอเลตกบั อะตอมของแกส๊ ในบรรยากาศของโลก
ภาค ข (วชิ าความรูค้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื เตรยี มสอบ 297
11) ดาวเคราะหด์ วงใดที่มกี ารเปล่ียนตำแหนง่ ค่อนข้างเรว็ จนไม่มโี อกาสเหน็ การเคลือ่ นที่ตามแนว
ตะวันออก – ตะวันตกได้ตามปกติ
ก. ดาวพธุ ข. ดาวเสาร์ ค. ดาวองั คาร ง. ดาวพฤหสั บดี
12) เมื่อมีการปลดปล่อยพลงั งานและอานุภาคจากดวงอาทิตยข์ ้อใดมีผลต่อโลกที่หลัง
ก. พายุแมเ่ หล็ก ข. รังสคี อสมคิ ค. แสงธรรมดา ง. รังสี
อัลตราไวโอเลต
13) ข้อใดถูกต้อง
ก. อุกกาบาตรจากอวกาศที่เข้าส่โู ลกนัน้ เกิดจากเศษเหลอื ของดาวหางทีโ่ คจรเฉยี ดผา่ นมาเทา่ นนั้
ข. เอกภพ คือ ระบบรวมของกาแล็กซีท่ีอยู่ในทางช้างเผือก
ค. หางของดาวหางชอ้ี อกจากดวงอาทิตย์เสมอเน่ืองจากลมสุรยิ ะ
ง. ดาวหางมีแสงในตวั เองเชน่ เดยี วกบั ดาวฤกษ์
14) ข้อใดเปน็ ผลกระทบของพายสุ รุ ยิ ะที่มตี ่อโลก
A.ลมสรุ ยิ ะ B.แสงเหนอื -แสงใต้
C.การสอ่ื สารโดยวทิ ยุคลืน่ ส้ันตดิ ขดั D.เกดิ ความร้อนจำนวนมาก
ก. A และ B ข. B และ C ค. C และ D ง.A และ D
15) สภาวะเอื้ออำนวยต่อสงิ่ มีชีวติ ให้อาศยั อยู่บนดาวเคราะห์นนั้ ได้ ควรเปน็ อยา่ งไร
ก. ไมร่ อ้ นมาก และไมห่ นาวเยน็ เกนิ ไป ข. ได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์พอเหมาะ
ค. มีน้ำในการดำรงชีวติ ง. ถกู หมดทุกข้อ
16) ปรากฏการณท์ ่ดี าวเคราะห์และดวงอาทิตยต์ า่ งส่งแรงโน้มถว่ ง ซึง่ กนั และกันปรากฏการณน์ ี้
เรียกวา่ อะ
ก. แรงโน้มถ่วงสัมพันธ์กันในระบบสุรยิ ะ ข. แรงโนม้ ถว่ งสมั พันธก์ ันในระบบสุริยะ
ค. ปฏิสมั พนั ธร์ ะหว่างดวงดาวในระบบสุริยะ ง. ปฏิสมั พัทธ์ระหวา่ งดวงดาวในระบบสรุ ิยะ
17) เพราะเหตใุ ดคนบนโลกจึงเหน็ ดาวศกุ รส์ ว่างกวา่ ดาวเคราะห์ดวงอื่น
A. อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ B. อยใู่ กลโ้ ลก C. สะทอ้ นแสงได้ดี
ก.A, B ข.B, C ค.A, C ง.A, B, C
18) ดาวเทียมประเภทใดโคจรอยลู่ กึ ทีส่ ุด
ก. ดาวเทยี มอตุ ุนยิ มวิทยา ข. ดาวเทยี มสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ
ค. ดาวเทยี มสำรวจอวกาศและดาวเคราะห์ ง. ดาวเทยี มสอื่ สาร
19) ชายคนหนง่ึ หนกั 60 กโิ ลกรัม บนโลก บนดวงจนั ทรช์ ายคนน้ีหนักกี่กโิ ลกรัม
ภาค ข (วิชาความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วิชาเอก วิทยาศาสตร์
298 ค่มู อื เตรยี มสอบ
ก. 10 กโิ ลกรมั ข. 20 กิโลกรัม ค. 30 กโิ ลกรมั ง. 40 กโิ ลกรมั
20) สิ่งใดทีเ่ คลื่อนทีด่ ้วยแรงกิรยิ า
ก. เรอื ยนต์ ข. มอเตอร์ไซต์ ค. จรวด ง. เคร่ืองบนิ ไอพน่
21) แรงโนม้ ถว่ งของโลกท่ีมตี ่อวตั ถุจะเปลี่ยนไปตาม
ก. น้ำหนัก ข. มวลสาร ค. ความหนานแน่น ง. ความเรว็
22) ข้อมูลจากดาวเทยี มจะถูกจัดส่งมาในรปู ใด
ก. สัญญาณคลื่นวิทยุ และภาพถ่าย ข. สญั ญาณคลนื่ วิทยุ และกราฟ
ค. สญั ญาณคลน่ื วทิ ยุ และวิทยโุ ทรภาพ ง. สญั ญาณวิทยุโทรภาพ และกราฟ
23) เมื่อวัตถุอยู่ในสภาพไรน้ ้ำหนักวตั ถนุ น้ั จะมสี ภาพเช่นไร
ก. มวลของวัตถจุ ะมีค่าต่ำสุด ข. วัตถเุ คลอ่ื นทีด่ ว้ ยความเร็วสงู สุด
ค. วตั ถเุ คล่อื นทด่ี ้วยอตั ราเรง่ คงที่ ง. วัตถนุ ั้นมีน้ำหนักเท่ากับศูนย์
24) ดาวเทยี ม A โคจรท่ีความสงู 500 กม. จากพื้นโลก ดาวเทยี ม B โคจรทร่ี ะยะความสงู 100 กม.
จากพืน้ โลกดาวเทียมดวงใดมีความเร็วในการโคจรมากกว่ากัน
ก. ดาวเทียม A ข. ดาวเทียม B ค. เท่ากัน ง. ข้อมลู ไม่เพียงพอบอกไม่ได้
25) ดาวเทยี มเฉพาะกิจบางดวงท่โี คจรอยูร่ อบโลกสามารถสำรวจทรพั ยากรธรรมชาตบิ นพ้นื โลก
อยากทราบวา่ คล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ ย่านใดทด่ี าวเทยี มตรวจจบั แมน่ ้ำและป่าไมไ้ ด้
ก. คลื่นวิทยุ ข. รังสเี อก็ ซ์ ค. ไมโครเวฟ ง. รงั สอี นิ ฟราเรด
26) ดาวเทียมส่ือสารจะโคจรอยใู่ นบรรยากาศช้ันใด
ก. สตราโตสเฟยี ร์ ข. เมโสสเฟียร์ ค. ไอโอโนสเฟยี ร์ ง. เอกโซสเฟยี ร์
27) ดาวเทยี มโคจรอยูร่ อบโลกได้ เพราะเหตุใด
ก. แรงโนม้ ถ่วงของโลก ข. ความเรว็ โคจรรอบโลกของดาวเทยี ม
ค. ความเรง่ ของการขับดนั เชื้อเพลิง ง. ถกู ท้ัง กและ ค
28) หลมุ ดำ หมายถึงอะไร
ก. บริเวณในอวกาศที่มีแรงโนม้ ถว่ งสงู
ข. บรเิ วณทีไ่ มม่ ีแสงสวา่ งเนอ่ื งจากไม่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์
ค. บรเิ วณทเ่ี ป็นหลมุ เน่อื งจากการกระแทกของอุกกาบาต
ง. ข้อ กและข้อ ขถูก
ภาค ข (วชิ าความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
คมู่ อื เตรยี มสอบ 299
29) การระเบดิ อยา่ งรนุ แรงของดาวฤกษม์ วลมากก่อนจะดับสลายเรียกว่าอะไร
ก. เนบิวลาดาวเคราะห์ ข. ซเู ปอร์โนวา
ค. กลมุ่ ก้อนแก๊สยักษ์ ง. การระเบิดคร้งั ใหญ่
30) ปฏกิ ริ ิยานวิ เคลียรฟ์ ชิ ชัน จะเกิดขึ้นไดเ้ มอ่ื ใด
ก. นวิ ตรอนชนกบั นิวเคลยี สของธาตหุ นกั ข. การรวมตวั ของธาตุเบา
ค. การรวมตัวของธาตุหนัก ง. รังสีแกมมาชนกบั นวิ เคลยี สของธาตุเบา
เฉลยตวั อย่างแนวข้อสอบ
1 ค2 ค3 ข4 ค5 ก
6 ค 7 ก 8 ค 9 ค 10 ข
11 ก 12 ก 13 ค 14 ข 15 ข
16 ค 17 ง 18 ค 19 ก 20 ข
21 ข 22 ก 23 ง 24 ข 25 ก 26 ค 27 ข 28 ก 29 ข 30 ก
รวมโจทย์วทิ ยาศาสตร์เรอื่ งทอี่ อกบ่อยชดุ ท่ี 1
1. สารในข้อใดตอ่ ไปนที้ ี่สามารถแยกไดโ้ ดยวธิ ีกลน่ั ด้วยไอนำ้ ไดง้ ่ายทส่ี ุด
สาร A ไม่ละลายน้ำมีจุดเดือดสงู สาร B มีกล่ินหอมละเหยง่าย
สาร C ระเหยง่าย ไมล่ ะลายน้ำ สาร D ละลายในเฮกเซน มจี ุดเดือด
ปานกลาง
ก. สาร A และ B ข. สาร C ค. สาร C และD ง. สาร D
2. นำของเหลวเนื้อเดียว X มาระเหยแหง้ พบว่ามีของแขง็ Y เหลืออยู่ ของแข็งนส้ี ามารถทำ
ปฏิกิริยากบั สารละลาย NaHCO3และไดน้ ำสาร Y ไปแยกใช้โครมาโทกราฟฟแี บบกระดาษ
พบว่ามีองคป์ ระกอบเพยี งสารเดียว จากข้อมลู ขา้ งต้นข้อใดกล่าวผิด
ก. ถ้านำ Y มาหาจดุ หลอมเหลวพบวา่ มีชว่ งการหลอมเหลวกวา้ งกวา่
ข. X สามารถแยกจาก Y ได้โดยการกลั่น
ค. X เปน็ สารละลายทีม่ ี Y เป็นสารบริสุทธ์ผิ สมอยู่
ง. Y มีสมบตั เิ ปน็ กรด
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหน่ง) วชิ าเอก วทิ ยาศาสตร์
300 คมู่ อื เตรยี มสอบ
3. เมอ่ื นำของผสมทปี่ ระกอบด้วยสาร A ,B และ C มาแยกโดยใช้โครมาโทกราฟีกระดาษและ
ตัวทำละลายทีเ่ หมาะสมได้ผลดงั นี้
สาร ระยะท่ีสารเคล่อื นท่ี (cm) ระยะท่ีตวั ทำละลายเคล่อื นท่ีได้(cm)
A9 10
B7 10
C5 10
ข้อใดสรุปไดถ้ ูกต้อง
ก. สาร A ถกู ดดู ซบั ได้ดีทสี่ ุด สาร C ดดู ซับได้น้อยท่ีสดุ
ข. สาร B ถกู ดดู ซับไดด้ ปี านกลาง สาร C ละลายในตัวทำละลายได้ดีท่สี ดุ
ค. สาร A ถกู ดูดซับได้น้อยที่สดุ สาร C ถกู ดดู ซบั ได้ดีท่สี ุด
ง. สาร A และ B ละลายในตัวทำละลายได้ดีทส่ี ุด สาร C ละลายในตวั ทำละลายไดป้ าน
กลาง
4. สารละลายทเี่ กดิ จากธาตหุ มู่1กับนำ้ มีสมบตั ิอย่างไร
ก. เปน็ กลาง ข. เป็นไดท้ ั้งกรดและเบสค. เปน็ กรด ง. เปน็ เบส
5. ถา้ A , B และC เป็นสารโคเวเลนต์ 3 ชนดิ โดยท้งั 3 ชนิดมสี ถานะเปน็ ของเหลวโมเลกุลของ
สารA และB มีขว้ั สว่ นโมเลกุลของสารC ไมม่ ีข้ัวสารใดสามารถละลายน้ำได้
ก. สารC ข. สารA และC ค. สารA เเละB ง. สารB และC
6. ของเหลว A ,B และ C ผสทกันอย่โู ดยมสี มบัติดังตาราง
จุเดือด (องศา) การละลายในน้ำ
สาร A 68 ไม่ละลาย
สาร B 78 ละลาย
สาร C 70 ละลาย
ภาค ข (วชิ าความรคู้ วามสามารถเฉพาะตำแหนง่ ) วิชาเอก วทิ ยาศาสตร์