The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by daidomon63, 2021-10-26 22:57:34

รวมระเบียบกศ

รวมระเบียบกศ

428

428 417
ขอ้ 70 การสง่ั ลงโทษ ใหส้ งั่ ให้มีผลต้งั แต่วนั หรือระยะเวลาดงั ต่อไปน้ี
(1) การสงั่ ลงโทษภาคทณั ฑ์ ใหส้ ง่ั ใหม้ ีผลตงั้ แต่วันทมี่ ีคาสง่ั
(2) การสงั่ ลงโทษตัดเงนิ เดอื นหรอื ลดเงินเดอื น ใหส้ ัง่ ใหม้ ผี ลตัง้ แต่เดอื นทม่ี ีคาส่งั
(3) การส่ังลงโทษปลดออกหรือไล่ออก ให้สั่งให้มีผลตามระเบียบที่ ก.พ. กาหนดตาม
มาตรา 107 วรรคสอง
ข้อ 71 การส่ังงดโทษตามมาตรา 96 วรรคสาม ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุ
ตามมาตรา 57 ทาเป็นคาสง่ั และให้ระบุไวใ้ นคาสัง่ ดว้ ยวา่ ให้ทาทัณฑ์บนเปน็ หนังสอื หรือวา่ กล่าวตักเตือน
ท้งั น้ี ตามแบบทส่ี านกั งาน ก.พ. กาหนด
ข้อ 72 การสั่งงดโทษตามมาตรา 100 วรรคสอง สาหรับกรณีท่ีข้าราชการพลเรือนสามัญ
ซง่ึ ออกจากราชการไปแล้วแต่มีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทาผดิ วินัยอย่างร้ายแรงอย่กู ่อนตามมาตรา 100
วรรคหน่ึง และผลการสอบสวนพิจารณาปรากฏวา่ ผนู้ ้ันกระทาผิดวินัยอย่างไมร่ ้ายแรง ให้ผูบ้ ังคบั บัญชา
ซ่ึงมอี านาจสั่งบรรจตุ ามมาตรา 57 สง่ั งดโทษ ทั้งน้ี ตามแบบทสี่ านกั งาน ก.พ. กาหนด
ข้อ 73 เมื่อได้มีคาสั่งยุติเร่ือง ลงโทษ หรืองดโทษแล้ว ให้ดาเนินการแจ้งคาส่ังให้
ผู้ถูกลงโทษหรือผู้ถูกกล่าวหาทราบโดยเร็ว และให้ผู้ถูกลงโทษหรือผู้ถูกกล่าวหาลงลายมือชื่อและ
วันท่ีรับทราบไว้เป็นหลักฐานและให้มอบสาเนาคาส่ังให้ผู้ถูกลงโทษหรือผู้ถูกกล่าวหาไว้หนึ่งฉบับด้วย
ถ้าผู้ถูกลงโทษหรือผู้ถูกกล่าวหาไม่ยอมลงลายมือช่ือรับทราบคาส่ัง เมื่อได้ทาบันทึกลงวันท่ีและสถานท่ี
ท่แี จ้งและลงลายมือชื่อผ้แู จ้งพรอ้ มท้งั พยานรูเ้ หน็ ไว้เปน็ หลกั ฐานแลว้ ให้ถอื วันทีแ่ จ้งนั้นเปน็ วันรบั ทราบ
ในกรณีที่ไม่อาจแจง้ ใหท้ ราบตามวรรคหนึ่งได้หรอื มเี หตุจาเปน็ อื่น ใหส้ ่งสาเนาคาส่ังทาง
ไปรษณยี ล์ งทะเบยี นตอบรับไปใหผ้ ู้ถกู ลงโทษหรือผูถ้ ูกกล่าวหา ณ ทอ่ี ย่ขู องผูถ้ ูกลงโทษหรือผถู้ กู กลา่ วหา
ซ่ึงปรากฏตามหลักฐานของทางราชการ ในกรณีเช่นน้ี ให้ถือว่าผู้ถูกลงโทษหรือผู้ถูกกล่าวหาได้รับแจ้ง
เม่ือครบกาหนดเจ็ดวนั นับแตว่ ันส่งสาหรับกรณีสง่ ในประเทศ หรือเม่ือครบสิบห้าวันนับแต่วนั ส่งสาหรับ
กรณสี ่งไปยังต่างประเทศ

หมวด 7
การมคี าสัง่ ใหม่กรณมี ีการเพม่ิ โทษ ลดโทษ งดโทษ หรอื ยกโทษ

ขอ้ 74 ในกรณีท่ีมีการเพ่มิ โทษ ลดโทษ งดโทษ หรือยกโทษ ให้ผู้บงั คบั บญั ชาซ่งึ มีอานาจ
ส่ังบรรจุตามมาตรา 57 มคี าส่ังใหม่ โดยใหส้ ่งั ยกเลิกคาสง่ั ลงโทษเดิม แล้วส่งั ใหม่ให้เป็นไปตามนั้น

คาสั่งใหม่ตามวรรคหน่ึง ให้เป็นไปตามแบบที่สานักงาน ก.พ. กาหนด โดยอย่างน้อย
ให้มสี าระสาคญั ดังตอ่ ไปนี้

(1) อ้างถึงคาสั่งลงโทษเดิมกอ่ นมีการเพิม่ โทษ ลดโทษ งดโทษ หรอื ยกโทษ
(2) อ้างถงึ มติของ อ.ก.พ. กระทรวง หรอื ของ ก.พ. หรือคาวินิจฉยั ของ ก.พ.ค. หรอื ขององคก์ ร
ตามกฎหมายอ่นื ทีใ่ หเ้ พ่ิมโทษ ลดโทษ งดโทษ หรอื ยกโทษ แลว้ แต่กรณี โดยแสดงสาระสาคญั โดยสรปุ ไวด้ ้วย

429 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์

429 418
(3) สงั่ ใหย้ กเลิกคาส่ังลงโทษเดมิ ตาม (1) และมีคาสงั่ ใหม่ใหเ้ ปน็ ไปตาม (2)
(4) ระบวุ ิธีการดาเนนิ การเกย่ี วกับโทษท่ีไดร้ ับไปแล้ว
ข้อ 75 ในกรณีท่ีคาสั่งเดิมเป็นคาส่ังลงโทษไล่ออกหรือปลดออก ถ้ามีการลดโทษเป็น
ปลดออกหรือเพิ่มโทษเป็นไล่ออก จะสั่งให้มีผลใช้บังคับต้ังแต่วันใด ให้เป็นไปตามระเบียบที่ ก.พ. กาหนด
ตามมาตรา 107 วรรคสอง
ข้อ 76 ในกรณีท่ีคาสั่งเดิมเป็นคาส่ังลงโทษไล่ออกหรือปลดออก ถ้ามีการลดโทษ
เพ่ือจะสั่งลงโทษใหม่ในความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง งดโทษ หรือยกโทษ ในคาสั่งใหม่ให้สั่งให้ผู้น้ัน
กลบั เข้ารับราชการและสัง่ ลงโทษใหม่ในความผิดวินยั อย่างไม่ร้ายแรง งดโทษ หรอื ยกโทษ แล้วแต่กรณี
การส่ังให้กลับเข้ารับราชการ ให้สั่งให้ผู้น้ันดารงตาแหน่งตามเดิม หรือตาแหน่งอ่ืน
ในประเภทเดียวกันและระดับเดียวกันหรือในตาแหน่งประเภทและระดับที่ ก.พ. กาหนด ท้ังนี้ ผู้น้ันต้องมี
คุณสมบตั ิตรงตามคุณสมบตั เิ ฉพาะสาหรบั ตาแหนง่ น้นั
ในกรณีที่ไม่อาจส่ังให้ผู้น้ันกลับเข้ารับราชการได้ เพราะเหตุที่ก่อนที่จะมีคาสั่งใหม่น้ัน
ผ้นู ัน้ พ้นจากราชการตามกฎหมายวา่ ดว้ ยบาเหนจ็ บานาญข้าราชการ ตาย หรือออกจากราชการเนื่องจาก
เหตุอ่ืนให้สง่ั งดโทษ หรอื สงั่ ยุตเิ รือ่ ง แล้วแตก่ รณี แล้วใหแ้ สดงเหตุที่ไม่อาจสง่ั ใหก้ ลับเข้ารบั ราชการไวใ้ น
คาส่งั นนั้ ด้วย
ในคาสั่งใหม่ให้ระบุด้วยว่าเงินเดือนระหว่างที่ถกู ไล่ออกหรอื ปลดออกให้เบิกจ่ายให้ผู้น้ัน
ตามกฎหมายหรอื ระเบยี บว่าด้วยการนัน้
ข้อ 77 ในกรณีท่ีคาส่ังลงโทษเดิมเป็นคาส่ังลงโทษในความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง
ถ้ามีการเพ่ิมโทษ ลดโทษ งดโทษ หรือยกโทษ ในคาสั่งใหม่ให้ระบุการดาเนินการเกี่ยวกับโทษท่ีได้รับไปแล้ว
ดงั ต่อไปน้ี
(1) ถ้าเป็นกรณียกโทษ ให้ถือว่าผู้น้ันไม่เคยได้รับโทษทางวินัยมาก่อน และให้ผู้นั้น
กลับคืนสู่สถานะเดิมก่อนมีการลงโทษ ในกรณีที่ได้มีการตัดเงินเดือนหรือลดเงินเดือนผู้นั้นไปเท่าใด
ใหค้ ืนเงนิ ทไ่ี ดต้ ัดหรือลดไวด้ งั กลา่ วให้ผ้นู ั้น
(2) ถ้าเป็นกรณีงดโทษ ในกรณีที่ได้มีการตัดเงินเดือนหรือลดเงินเดือนผู้น้ันไปเท่าใด
ให้คนื เงินทไี่ ด้ตดั หรอื ลดไว้ดงั กล่าวใหผ้ นู้ ้นั
(3) ถ้าเป็นกรณที มี่ ผี ลให้ยงั คงตอ้ งลงโทษผนู้ ้ันอยู่ ไมว่ ่าจะเปน็ การเพิม่ โทษหรือลดโทษกต็ าม
ให้ดาเนนิ การดังน้ี

(ก) ถ้าเป็นการเพ่ิมโทษให้เป็นโทษตัดเงินเดือนหรือลดเงินเดือน ให้คิดคานวณ
จานวนเงินเดือนท่ีจะตัดหรือลดตามอัตราโทษใหม่จากเงินเดือนเดิมในขณะที่มีคาสั่งลงโทษเดิม และ
ให้คืนเงินทไ่ี ดต้ ดั หรือลดไปแล้วนั้นใหผ้ นู้ ั้น

(ข) ถ้าเป็นการเพ่ิมโทษจากโทษตัดเงินเดือนหรือลดเงินเดือนเป็นปลดออกหรือ
ไล่ออกใหค้ นื เงนิ ท่ีไดต้ ดั หรือลดไปแล้วนั้นให้ผูน้ ้ัน

(ค) ถ้าเป็นการลดโทษให้เป็นโทษภาคทัณฑ์ ให้ลงโทษให้เป็นไปตามนั้น ในกรณี
ทีไ่ ด้มกี ารตดั เงนิ เดือนหรือลดเงินเดอื นผู้นัน้ ไปเท่าใด ใหค้ ืนเงนิ ท่ีได้ตัดหรอื ลดไว้ดังกลา่ วให้ผู้น้ัน

430 421
(ง) ถาเปนการลดโทษใหเปนโทษตัดเงินเดือน ใหคิดคํานวณจํานวนเงินท่ีจะ
ตัดตามอตั ราโทษใหมจากเงนิ เดอื นเดมิ ในขณะที่มีคําสง่ั ลงโทษเดิม และใหคนื เงินทีไ่ ดลดไปแลว นั้นใหผูนั้น
(จ) ถาเปนการเพ่ิมหรือลดอัตราโทษของโทษตัดเงินเดือนหรือลดเงินเดือน
ใหคิดคํานวณจํานวนเงินที่จะตัดหรือลดตามอัตราโทษใหมจ ากเงินเดือนเดิมในขณะที่มีคําส่ังลงโทษเดิม
ในกรณีท่ีจํานวนเงินท่ีจะตองตัดหรือลดตามคําสั่งลงโทษใหม ตํ่ากวาจํานวนเงินท่ีไดถูกตัดหรือลด
ตามคําส่งั ลงโทษเดิมใหค นื เงินสว นทไ่ี ดต ัดหรอื ลดไวเกินนั้นใหผ ูนัน้

หมวด 8
การส่ังพักราชการและใหออกจากราชการไวก อน

ขอ 78 เมื่อขาราชการพลเรือนสามัญผใู ดมีกรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรา ยแรง
จนถูกต้ังกรรมการสอบสวน หรือถูกฟองคดีอาญา หรอื ตองหาวากระทําความผิดอาญา เวนแตเปนความผิด
ทไี่ ดก ระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ผบู ังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 จะส่ังให
ผูน ้ันพักราชการเพ่ือรอฟงผลการสอบสวนหรอื พจิ ารณา หรอื ผลแหงคดีไดต อ เมอ่ื มเี หตุอยางหนึ่งอยางใด
ดังตอไปน้ี

(1) ผูน้ันถูกตั้งกรรมการสอบสวน และผูบังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57
พิจารณาเห็นวาถาผูนั้นคงอยใู นหนาทร่ี าชการตอไปอาจเกิดการเสียหายแกราชการ

(2) ผูน้ันถูกฟองคดีอาญา หรือตองหาวากระทําความผิดอาญาในเร่ืองเกี่ยวกับการปฏิบัติ
หรอื ละเวนการปฏิบัติหนา ท่ีราชการโดยทุจริต หรือเกี่ยวกับความประพฤติหรือพฤติการณอันไมนาไววางใจ
โดยพนักงานอัยการมิไดรับเปนทนายแกตางให และผูบังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57
พจิ ารณาเหน็ วา ถาผูน้ันคงอยใู นหนาที่ราชการอาจเกิดการเสียหายแกราชการ

(3) ผูนั้นมีพฤติการณที่แสดงวาถาคงอยูในหนาที่ราชการจะเปนอุปสรรคตอการสอบสวน
พจิ ารณาหรอื จะกอใหเกิดความไมส งบเรียบรอ ยข้ึน

(4) ผูนั้นอยูในระหวางถูกควบคุมหรือขังโดยเปนผูถูกจับในคดีอาญาหรือตองจําคุก
โดยคาํ พพิ ากษาและไดถ ูกควบคุม ขัง หรอื ตอ งจําคกุ เปน เวลาตดิ ตอ กนั เกนิ กวา สิบหาวนั แลว

(5) ผูนั้นถูกต้ังกรรมการสอบสวนและตอมามีคําพิพากษาถึงท่ีสุดวาเปนผูกระทํา
ความผิดอาญาในเรือ่ งทีส่ อบสวนนนั้ หรอื ผนู ้ันถูกตั้งกรรมการสอบสวนภายหลังท่ีมีคาํ พิพากษาถงึ ที่สุดวา
เปนผูกระทําความผิดอาญาในเรื่องท่ีสอบสวนนั้น และผูบังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57
พิจารณาเห็นวาขอเท็จจริงท่ีปรากฏตามคําพิพากษาถึงท่ีสุดนั้น ไดความประจักษชัดอยูแลววา
การกระทําความผดิ อาญาของผูน้ันเปนความผิดวนิ ัยอยางรายแรง

ขอ 79 การสง่ั พักราชการใหส่ังพักตลอดเวลาที่สอบสวนหรือพิจารณา เวนแตผูถูกสั่ง
พักราชการผูใดไดรองทกุ ขตามมาตรา 122 และผูมีอํานาจพิจารณาคํารองทุกขเห็นวาสมควรสั่งใหผูนั้น
กลับเขาปฏิบัติหนาท่ีราชการกอนการสอบสวนหรือพิจารณาเสร็จส้ิน เนื่องจากพฤติการณของผูถูกส่ังพักราชการ
ไมเปนอุปสรรคตอการสอบสวนหรือพิจารณา และไมกอใหเกิดความไมสงบเรียบรอยตอไป หรือ
เน่ืองจากการดําเนินการทางวินัยไดลวงพนหน่ึงปนับแตวันพักราชการแลวยังไมแลวเสร็จและผูถูกสั่งพักราชการ

431 422 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
ไมมีพฤติกรรมดังกลาว ใหผูมีอํานาจส่ังพักราชการสั่งใหผูน้ันกลับเขาปฏิบัติหนาท่ีราชการกอน
การสอบสวนหรอื พิจารณาเสร็จสิน้

ขอ 80 ในกรณีที่ขาราชการพลเรือนสามัญผูใดมีกรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัย
อยางรายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวนหลายสํานวน หรอื ถูกฟองคดีอาญาหรือตองหาวากระทําความผิด
ในคดีอาญาหลายคดีถาจะส่ังพักราชการในสํานวนหรือคดีใดท่ีเขาลักษณะตามขอ 78 ใหสั่งพักราชการ
ในสาํ นวนหรือคดอี ื่นทุกสํานวนหรอื ทกุ คดีท่ีเขาลักษณะตามขอ 78 ดวย

ในกรณีท่ีไดส่ังพักราชการในสํานวนใดหรือคดีใดไวแลว ถาภายหลังปรากฏวาผูถูกส่ังพักนั้น
มีกรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรา ยแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวนในสํานวนอื่น หรอื ถูกฟอง
คดีอาญาหรือตองหาในคดีอาญาในคดีอื่นเพ่ิมขึ้น ก็ใหส่ังพักราชการในสาํ นวนหรือคดีอ่ืนท่ีเพ่ิมขึ้นและ
เขา ลกั ษณะตามขอ 78 น้ันดว ย

ขอ 81 การส่ังพักราชการ ใหสั่งพักต้งั แตว ันออกคําสงั่ เวนแต
(1) ผูซึ่งจะถกู สั่งพักราชการอยูในระหวางถูกควบคุมหรือขังโดยเปนผูถูกจับในคดีอาญา
หรือตองจําคุกโดยคําพิพากษา การสั่งพักราชการในเร่ืองนั้นใหสั่งพักยอนหลังไปถึงวันท่ีถูกควบคุม
ขังหรือตอ งจําคกุ
(2) ในกรณีที่ไดมีการสั่งพักราชการไวแลว ถาจะตองส่ังใหมเพราะคําส่ังเดิมไมชอบ
หรือไมถูกตองใหส่ังพักต้งั แตวันใหพักราชการตามคําส่งั เดิม หรือตามวันท่ีควรตองพักราชการในขณะที่
ออกคาํ สัง่ เดมิ
ขอ 82 คําส่ังพักราชการตองระบุชื่อและตําแหนงของผูถูกสั่งพักราชการ ตลอดจนกรณี
และเหตทุ ีส่ งั่ พกั ราชการ และวันท่ีคาํ ส่ังมผี ลใชบังคบั
เมื่อไดมีคําสงั่ ใหผใู ดพักราชการ ใหแจงคําสั่งใหผนู ั้นทราบ และใหนําขอ 73 มาใชบังคับ
โดยอนโุ ลม
ขอ 83 ในกรณีท่ีขาราชการพลเรือนสามัญผูใดมีเหตุท่ีอาจถูกสั่งพักราชการตามขอ 78
และผูบังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 พิจารณาเห็นวาการสอบสวนหรือพิจารณา หรือ
การดาํ เนนิ คดนี ั้น จะไมแลว เสร็จโดยเรว็ ผูบังคับบัญชาดงั กลา วจะส่ังใหผูนน้ั ออกจากราชการไวกอนกไ็ ด
ในกรณีท่ีไดส่ังพักราชการไวแลว จะพิจารณาตามวรรคหนึ่งและส่ังใหผูถูกส่ังพักราชการนั้น
ออกจากราชการไวกอนแทนการส่งั พักราชการก็ได
ขอ 84 การส่ังใหออกจากราชการไวกอน ใหสั่งใหมีผลต้ังแตวันออกคําส่ัง แตถาเปน
กรณีท่ีไดสั่งใหพักราชการไวก อนแลว ใหสั่งใหออกจากราชการไวกอนตงั้ แตวันสัง่ พักราชการเปนตนไป
หรอื ในกรณที ่ีมเี หตุตามขอ 81 ใหสั่งใหมีผลตั้งแตวนั ทก่ี ําหนดไวใ นขอ 81 นน้ั
ใหนาํ ขอ 79 ขอ 80 และขอ 82 มาใชบ งั คบั แกการส่ังใหออกจากราชการไวก อนโดยอนุโลม

432

432 421
ข้อ 85 การสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ดารงตาแหน่งประเภทบริหารระดับสูง
หรือประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิออกจากราชการไว้ก่อน ให้นาความกราบบังคมทูลเพ่ือมี
พระบรมราชโองการใหพ้ ้นจากตาแหนง่ นับแต่วนั ออกจากราชการไวก้ อ่ น
ข้อ 86 เมื่อได้ส่ังให้ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดพักราชการในกรณีท่ีถูกกล่าวหาว่า
กระทาผดิ วินยั อยา่ งรา้ ยแรงจนถกู ตัง้ กรรมการสอบสวน และปรากฏผลการสอบสวนหรอื พจิ ารณาแลว้ ให้
ดาเนนิ การดังต่อไปนี้
(1) ในกรณที ่ีผู้น้ันกระทาผิดวินยั อย่างรา้ ยแรง ให้ดาเนนิ การตามมาตรา 97
(2) ในกรณีที่ผู้น้ันกระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ให้สั่งให้ผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติหน้าท่ี
ราชการตามข้อ 91 แล้วดาเนินการตามมาตรา 96 แต่หากมีกรณีใดกรณีหน่ึงดังต่อไปน้ี ให้ส่ังงดโทษ
ตามมาตรา 100 วรรคสอง โดยไมต่ อ้ งส่ังให้ผนู้ นั้ กลบั เขา้ ปฏิบตั ิหน้าท่รี าชการ และแสดงกรณกี ระทาผิด
วนิ ัยน้ันไว้ในคาสงั่ ดว้ ย

(ก) ผู้นน้ั ไดพ้ ้นจากราชการตามกฎหมายวา่ ด้วยบาเหนจ็ บานาญขา้ ราชการแล้ว
(ข) ผนู้ ั้นมีกรณีท่ีจะต้องถกู สั่งให้ออกจากราชการ
(ค) ผ้นู น้ั ได้ออกจากราชการด้วยเหตุอนื่ ไปแล้ว โดยมิใชเ่ พราะเหตุตาย
(3) ในกรณีท่ีผู้นั้นมิได้กระทาผิดวินัย ให้สั่งให้ผู้น้ันกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการ
ตามข้อ 91 และสั่งยุติเร่ือง แต่หากมีกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปน้ี ให้สั่งยุติเรื่องโดยไม่ต้องสั่งให้ผู้นั้น
กลับเข้าปฏิบัตหิ น้าทร่ี าชการ และแสดงเหตุที่ไม่สั่งใหผ้ ูน้ ้ันกลับเข้าปฏิบตั หิ น้าที่ราชการไว้ในคาส่งั นน้ั ด้วย
(ก) ผ้นู น้ั ได้พน้ จากราชการตามกฎหมายว่าดว้ ยบาเหนจ็ บานาญข้าราชการแล้ว
(ข) ผ้นู ้ันมกี รณีที่จะตอ้ งถูกสั่งให้ออกจากราชการ
(ค) ผนู้ นั้ ไดอ้ อกจากราชการด้วยเหตอุ ่ืนไปแล้ว โดยมใิ ชเ่ พราะเหตุตาย
(4) ในกรณีท่ีผู้น้ันกระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงหรือมิได้กระทาผิดวินัยแต่มีกรณีอ่ืน
ท่ีผู้นั้นถูกส่ังพักราชการหรอื ถูกสั่งให้ออกจากราชการไวก้ ่อนด้วย ถ้าจะดาเนนิ การตามมาตรา 96 ให้รอ
ฟงั ผลการสอบสวนหรอื พจิ ารณาหรอื ผลแห่งคดีกรณอี ่ืนนั้น โดยยงั ไมต่ ้องสง่ั ใหผ้ นู้ ้นั กลบั เข้าปฏิบัติหน้าที่
ราชการ แต่ถ้าเป็นการส่ังยุติเร่ือง ให้สั่งยุติเร่ืองโดยไม่ต้องส่ังให้ผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการและ
แสดงเหตุทไี่ มส่ ่งั ใหผ้ ู้น้ันกลบั เขา้ ปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ีราชการไวใ้ นคาสง่ั นน้ั ดว้ ย
ข้อ 87 เมื่อได้ส่ังให้ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดออกจากราชการไว้ก่อนในกรณีที่
ถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอยา่ งรา้ ยแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน และปรากฏผลการสอบสวนหรือ
พจิ ารณาแลว้ ใหด้ าเนนิ การดงั ตอ่ ไปนี้
(1) ในกรณที ี่ผู้นน้ั กระทาผดิ วนิ ัยอย่างรา้ ยแรง ใหด้ าเนินการตามมาตรา 97
(2) ในกรณีที่ผู้น้ันกระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง และไม่มีกรณีท่ีจะต้องถูกส่ังให้
ออกจากราชการด้วยเหตุอื่น ให้ส่ังให้ผู้นั้นกลับเข้ารับราชการตามข้อ 91 แล้วดาเนินการตามมาตรา 96
แต่หากมีกรณีใดกรณีหน่ึงดังต่อไปนี้ ให้ส่ังงดโทษตามมาตรา 100 วรรคสอง โดยไม่ต้องส่ังให้ผู้น้ัน
กลับเข้ารับราชการและแสดงกรณีกระทาผดิ วินัยนนั้ ไวใ้ นคาสงั่ ดว้ ย
(ก) ผนู้ ัน้ ตอ้ งพ้นจากราชการตามกฎหมายวา่ ดว้ ยบาเหน็จบานาญข้าราชการ
(ข) ผนู้ ้ันมกี รณที ี่จะตอ้ งถูกส่ังใหอ้ อกจากราชการ

433 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์

433 422
(ค) ผู้นั้นไดอ้ อกจากราชการดว้ ยเหตุอน่ื ไปแลว้ โดยมิใช่เพราะเหตุตาย
(3) ในกรณีท่ีผู้น้ันมิได้กระทาผิดวนิ ัย ให้สั่งให้ผู้น้ันกลับเข้ารับราชการตามขอ้ 91 และ
สั่งยุติเรื่องแต่หากมีกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้ส่ังยุติเร่ืองโดยไม่ต้องสั่งให้ผู้น้ันกลับเข้ารับราชการ
และแสดงเหตุทไี่ มส่ ัง่ ให้ผนู้ ัน้ กลับเข้ารบั ราชการไว้ในคาสัง่ น้ันด้วย
(ก) ผนู้ น้ั ต้องพน้ จากราชการตามกฎหมายวา่ ด้วยบาเหน็จบานาญข้าราชการ
(ข) ผูน้ ั้นมกี รณีทจี่ ะตอ้ งถูกสั่งใหอ้ อกจากราชการ
(ค) ผู้นั้นไดอ้ อกจากราชการดว้ ยเหตอุ ืน่ ไปแล้ว โดยมใิ ชเ่ พราะเหตุตาย
(4) ในกรณีท่ีผู้นั้นกระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงหรือมิได้กระทาผิดวินัย แต่มีกรณีอ่ืน
ท่ีผู้นั้นถูกส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนด้วย ถ้าจะดาเนินการตามมาตรา 96 ให้รอฟังผลการสอบสวน
หรือพิจารณาหรือผลแห่งคดีกรณีอ่ืนนั้น โดยยังไม่ต้องส่ังให้ผู้นั้นกลับเข้ารับราชการ แต่ถ้าเป็นการสั่ง
ยุติเรื่องให้ส่ังยุติเร่ืองโดยไม่ต้องส่ังให้ผู้นั้นกลับเข้ารับราชการ และแสดงเหตุท่ีไม่สั่งให้ผู้นั้นกลับเข้า
รับราชการไว้ในคาสง่ั น้นั ด้วย
(5) ในกรณีท่ีผู้น้ันกระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง แต่มีกรณีที่ผู้น้ันถูกสั่งพักราชการ
ในกรณีอื่นด้วยให้ส่ังให้ผู้นั้นกลับเข้ารับราชการโดยให้แสดงไว้ใน คาส่ังด้วยว่าผู้นั้นยังไม่อาจกลับเข้า
ปฏิบัติหน้าท่ีราชการได้เนื่องจากอยู่ในระหว่างถูกสั่งพักราชการในกรณีอื่น ส่วนการดาเนินการตาม
มาตรา 96 ให้รอฟงั ผลการสอบสวนหรือพจิ ารณาหรอื ผลแห่งคดีกรณอี ่นื นั้น
(6) ในกรณีท่ีผ้นู ัน้ มิไดก้ ระทาผดิ วินยั แต่มีกรณีท่ีผ้นู ัน้ ถกู สง่ั พกั ราชการในกรณอี ่ืนดว้ ยให้
สง่ั ยุติเรือ่ ง และส่ังให้ผนู้ ั้นกลบั เข้ารับราชการโดยใหแ้ สดงไว้ในคาส่ังดว้ ยว่าผู้นัน้ ยงั ไม่อาจกลับเข้าปฏิบัติ
หนา้ ท่รี าชการได้เนื่องจากอยู่ในระหว่างถูกส่งั พกั ราชการในกรณอี ืน่ นน้ั
ข้อ 88 เมื่อได้สง่ั ใหข้ ้าราชการพลเรือนสามัญผ้ใู ดพักราชการในกรณีทถ่ี ูกฟ้องคดอี าญา
หรอื ตอ้ งหาว่ากระทาความผิดอาญา และปรากฏผลแหง่ คดถี งึ ท่สี ดุ แลว้ ให้ดาเนินการดังตอ่ ไปน้ี
(1) ในกรณีที่ผู้นั้นกระทาผิดอาญาจนได้รับโทษจาคุกหรือโทษท่ีหนักกว่าโทษจาคุก
โดยคาพิพากษาถึงท่ีสุด เว้นแต่เป็นโทษสาหรับความผิดที่ได้กระทาโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
ให้ดาเนินการตามมาตรา 97 โดยไมต่ ้องสงั่ ใหผ้ นู้ ้ันกลบั เข้าปฏบิ ัตหิ น้าทีร่ าชการ
(2) ในกรณีทีผ่ นู้ ั้นกระทาผิดอาญาจนได้รับโทษจาคุกโดยคาพิพากษาถึงท่ีสุดในความผิด
ทไี่ ด้กระทาโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษหรือต้องรับโทษจาคุกโดยคาสง่ั ของศาล ให้ดาเนินการตาม
มาตรา 93 หรอื มาตรา 110 (8) แล้วแตก่ รณี โดยไมต่ อ้ งส่ังใหผ้ ู้น้นั กลับเขา้ ปฏบิ ัติหน้าท่ีราชการ
(3) ในกรณที ี่ผนู้ ัน้ กระทาผิดอาญาจนได้รับโทษตาม (1) หรอื (2) แต่ศาลรอการกาหนดโทษ
หรอื ให้รอการลงโทษ หรือไดร้ บั โทษอย่างอ่นื นอกจาก (1) หรือ (2) ให้สง่ั ใหผ้ ้นู ้ันกลับเขา้ ปฏบิ ัตหิ น้าท่รี าชการ
ตามขอ้ 91 และดาเนนิ การทางวินยั ตามกฎ ก.พ. น้ีต่อไป
(4) ในกรณีที่ในคาพิพากษาถึงท่ีสุดมิได้วินิจฉัยว่าผู้น้ันกระทาผิดอาญา หรือมิได้มี
การฟ้องคดีอาญาในกรณีท่ีต้องหาว่ากระทาผิดอาญา ให้ส่ังให้ผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติหน้าท่ีราชการตามข้อ 91
และถา้ การกระทาดงั กลา่ วมีมลู ทีค่ วรกล่าวหาว่ากระทาผดิ วนิ ยั ก็ให้ดาเนนิ การตามกฎ ก.พ. น้ตี ่อไป
ในกรณีท่ีผู้ถูกสั่งพักราชการตาม (3) หรือ (4) ได้พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วย
บาเหนจ็ บานาญขา้ ราชการ หรือมีกรณีที่จะต้องถกู สง่ั ใหอ้ อกจากราชการด้วยเหตุอื่น หรือได้ออกจากราชการ

434

434 423
ด้วยเหตุอื่นไปแล้ว หรือมีกรณีอ่ืนท่ีผู้นั้นถูกสั่งพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน ไม่ต้องส่ังให้
ผนู้ ้ันกลบั เขา้ ปฏิบตั ิหน้าที่ราชการ แต่ให้แสดงเหตทุ ไ่ี มส่ ่งั ใหผ้ ูน้ ั้นกลบั เขา้ ปฏบิ ตั ิหนา้ ทร่ี าชการไว้ด้วย

ข้อ 89 เม่ือได้สั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดออกจากราชการไว้ก่อนในกรณีท่ี
ถูกฟอ้ งคดีอาญา หรือต้องหาวา่ กระทาความผิดอาญา และปรากฏผลแห่งคดถี งึ ทส่ี ุดแล้ว ให้ดาเนนิ การดงั ตอ่ ไปนี้

(1) ในกรณีท่ีผู้นั้นกระทาผิดอาญาจนได้รับโทษจาคุกหรือโทษท่ีหนักกว่าโทษจาคุก
โดยคาพิพากษาถึงที่สุด เว้นแต่เป็นโทษสาหรับความผิดท่ีได้กระทาโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
ให้ดาเนนิ การตามมาตรา 97 โดยไม่ตอ้ งสั่งให้ผ้นู ้ันกลับเข้ารบั ราชการ

(2) ในกรณีทผ่ี ู้นั้นกระทาผิดอาญาจนไดร้ ับโทษจาคุกโดยคาพิพากษาถึงที่สุดในความผิด
ท่ีได้กระทาโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษหรือต้องรับโทษจาคุกโดยคาสั่งของศาล ให้ดาเนินการ
ตามมาตรา 93 หรือมาตรา 110 (8) แล้วแตก่ รณี โดยไม่ต้องส่ังให้ผูน้ ้ันกลบั เข้ารับราชการ

(3) ในกรณีท่ีผู้น้นั กระทาผิดอาญาจนได้รบั โทษตาม (1) หรือ (2) แต่ศาลรอการกาหนดโทษ
หรอื ให้รอการลงโทษ หรอื ได้รับโทษอย่างอน่ื นอกจาก (1) หรือ (2) ให้สั่งให้ผ้นู ั้นกลับเข้ารับราชการตาม
ขอ้ 91 และดาเนินการทางวินยั ตามกฎ ก.พ. น้ีต่อไป

(4) ในกรณีที่ในคาพิพากษาถึงท่ีสุดมิได้วินิจฉัยว่าผู้น้ันกระทาผิดอาญา หรือมิได้มี
การฟ้องคดีอาญาในกรณีท่ีต้องหาว่ากระทาผิดอาญา ให้สั่งให้ผู้นั้นกลับเข้ารับราชการตามข้อ 91 และ
ถ้าการกระทาดังกล่าวมมี ลู ทีค่ วรกล่าวหาวา่ กระทาผดิ วินัยกใ็ หด้ าเนนิ การตามกฎ ก.พ. น้ีต่อไป

ในกรณีท่ีผู้ถูกส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนตาม (3) หรือ (4) มีกรณีอื่นที่ถูกสั่ง
พักราชการด้วยให้ส่ังให้ผู้น้ันกลับเข้ารับราชการโด ยให้แสดงไว้ใน คาส่ังด้วยว่าผู้น้ันยังไม่อาจกลับ
เขา้ ปฏิบตั ิหนา้ ท่ีราชการได้เนื่องจากอยูใ่ นระหว่างถกู ส่ังพกั ราชการในกรณีอื่น แต่ถ้าผู้น้ันไดพ้ น้ จากราชการ
ตามกฎหมายว่าดว้ ยบาเหนจ็ บานาญขา้ ราชการ หรอื มีกรณที ่จี ะตอ้ งถกู ส่งั ใหอ้ อกจากราชการด้วยเหตุอ่ืน
หรือได้ออกจากราชการด้วยเหตุอ่ืนไปแล้ว หรือมีกรณีอ่ืนที่ผู้น้ันถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน
ไม่ต้องสง่ั ให้ผู้นั้นกลับเข้ารับราชการแตใ่ ห้แสดงเหตุทไี่ ม่สง่ั ใหผ้ ู้นนั้ กลับเข้ารับราชการไว้ด้วย

ขอ้ 90 ในกรณีท่ีขา้ ราชการพลเรือนสามัญผใู้ ดมกี รณีที่ถกู ดาเนินการทางวนิ ัย หรือถูก
ฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทาความผิดอาญาที่ไม่เข้าลักษณะตามข้อ 78 และมีกรณีอ่ืนท่ีผู้น้ัน
ถูกสั่งพักราชการหรือถูกส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อน เมื่อปรากฏผลการสอบสวนพิจารณาหรือผลแห่ง
คดีถึงทสี่ ดุ ในเรอื่ งที่มไิ ด้มีคาส่ังพกั ราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน ให้ดาเนินการดังน้ี

(1) ในกรณีที่ผู้น้ันกระทาผิดวนิ ัยอย่างรา้ ยแรง หรือผู้นั้นกระทาผิดอาญาจนได้รบั โทษจาคุก
หรือโทษท่ีหนักกว่าโทษจาคุกโดยคาพิพากษาถึงที่สุดเว้นแต่เป็นโทษจาคุกสาหรับความผิดท่ีได้กระทา
โดยประมาทหรอื ความผดิ ลหุโทษ ใหด้ าเนินการตามมาตรา 97

(2) ในกรณที ผ่ี ู้น้ันกระทาผิดวินัยอยา่ งไม่ร้ายแรง ให้รอการดาเนินการตามมาตรา 96 ไว้กอ่ น
จนกว่าจะปรากฏผลการสอบสวนพจิ ารณาหรอื ผลแหง่ คดถี งึ ท่สี ดุ ในกรณีอน่ื นน้ั จึงดาเนนิ การตามควรแก่กรณตี ่อไป

(3) ในกรณีท่ีสมควรให้ผู้น้ันออกจากราชการตามมาตรา 110 (6) (7) หรือ (8)
ให้ดาเนนิ การใหผ้ ้นู ั้นออกจากราชการได้

(4) ในกรณีท่ผี ู้นน้ั มิได้กระทาผดิ วินัยในเรอ่ื งน้ัน ให้สงั่ ยุตเิ รอื่ ง

435 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์

435 424
ขอ้ 91 ในกรณีท่ีจะต้องส่ังให้ผ้ถู กู สั่งพักราชการผู้ใดกลับเขา้ ปฏิบัติหนา้ ท่ีราชการ หรือ
ตอ้ งส่ังให้ผู้ถูกสั่งใหอ้ อกจากราชการไว้ก่อนผู้ใดกลับเขา้ รับราชการ ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุ
ตามมาตรา 57 ส่ังใหผ้ ู้นั้นกลับเข้าปฏบิ ัตหิ น้าท่ีราชการหรือกลับเข้ารบั ราชการในตาแหน่งตามเดมิ หรือ
ตาแหน่งอื่นในประเภทเดียวกันและระดับเดียวกัน หรือในตาแหน่งประเภทและระดบั ท่ี ก.พ. กาหนด ทั้งน้ี
ผู้น้ันตอ้ งมีคณุ สมบตั ติ รงตามคณุ สมบัติเฉพาะสาหรับตาแหนง่ นน้ั
ในกรณีที่สั่งใหผ้ ู้ถกู สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนกลับเข้ารับราชการในตาแหนง่ ประเภท
บริหารระดับสูงหรือประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ให้ดาเนินการนาความกราบบังคมทูลเพื่อ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตง้ั
ข้อ 92 คาส่งั พกั ราชการ คาส่งั ให้ออกจากราชการไวก้ อ่ น คาสัง่ ให้กลบั เข้าปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ี
ราชการหรอื คาส่ังให้กลับเข้ารับราชการ ใหม้ ีสาระสาคญั ตามแบบที่สานักงาน ก.พ. กาหนด

หมวด 9
การนบั ระยะเวลา

ข้อ 93 การนับระยะเวลาตามกฎ ก.พ. นี้ ถ้ากาหนดเวลาเป็นวัน สัปดาห์ หรือเดือน
มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วย เว้นแต่คณะกรรมการสอบสวนหรือผู้ซ่ึงต้องใช้อานาจ
ตามกฎ ก.พ. นจ้ี ะไดเ้ รม่ิ การในวันน้ัน

ในกรณที ี่คณะกรรมการสอบสวนหรือผู้ซ่ึงต้องใช้อานาจตามกฎ ก.พ. น้ี ต้องกระทาการ
อย่างหน่ึงอย่างใดภายในระยะเวลาที่กาหนด ให้นับวันส้ินสุดของระยะเวลาน้ันรวมเข้าด้วยแม้ว่า
วันสดุ ทา้ ยเป็นวันหยดุ ราชการ

ในกรณีที่บคุ คลอืน่ นอกจากที่กาหนดไว้ในวรรคสองต้องทาการอย่างหนง่ึ อย่างใดภายใน
ระยะเวลาท่กี าหนด ถ้าวันสดุ ท้ายเป็นวนั หยุดราชการ ให้ถอื ว่าระยะเวลานั้นส้ินสดุ ในวันทางานที่ถัดจาก
วนั หยุดนน้ั

หมวด 10
บทเบด็ เตลด็

ข้อ 94 ในกรณีที่มีเหตุผลความจาเป็นเป็นพิเศษที่ไม่อาจนาหลักเกณฑ์ วิธีการ และ
ระยะเวลาท่ีกาหนดในกฎ ก.พ. น้ีมาใช้บังคับได้ การดาเนินการในเร่ืองนั้นจะสมควรดาเนินการประการใด
ใหเ้ ปน็ ไปตามที่ ก.พ. กาหนด

436 427

บทเฉพาะกาล

ขอ 95 ในกรณีที่ไดมีการสั่งใหสอบสวนขาราชการพลเรือนสามัญผูใดโดยถูกตอง
ตามกฎหมาย กฎ ระเบียบหรือหลักเกณฑท่ีใชอยูกอนวันที่กฎ ก.พ. น้ีใชบังคับ และการสอบสวนนั้น
ยังไมแลวเสรจ็ ใหดําเนินการสอบสวนผูนั้นตามกฎหมาย กฎ ระเบียบหรอื หลักเกณฑที่ใชอ ยูในขณะน้ัน
ตอ ไปจนกวาจะแลวเสร็จ สว นการพิจารณาและดําเนนิ การตอไปใหด ําเนินการตามกฎ ก.พ. นี้

ขอ 96 ในกรณีท่ีไดมีการสอบสวนขาราชการพลเรอื นสามัญผูใดโดยถูกตองตามกฎหมาย
กฎ ระเบียบ หรือหลักเกณฑท ี่ใชอยูในขณะนั้นเสร็จไปแลวในวันกอนวันที่กฎ ก.พ. น้ใี ชบังคับ แตยังมิได
มกี ารพิจารณาและดําเนินการตอไปหรือการพิจารณาดําเนินการยังไมแลวเสร็จ ใหการสอบสวนนั้นเปนอันใชได
สวนการพจิ ารณาและดาํ เนนิ การตอ ไปใหดําเนนิ การตามกฎ ก.พ. นี้

ขอ 97 ในกรณีท่ีไดมีการสอบสวนและพิจารณาโดยถูกตองตามกฎหมาย กฎ ระเบยี บ
หรือหลักเกณฑท่ีใชอยูในขณะนั้นเสร็จไปแลวกอนวันท่ีกฎ ก.พ. น้ีใชบังคับ แตยังมิไดดําเนินการ
ใหเปนไปตามผลการพิจารณาดังกลาว ใหการสอบสวนและพิจารณาน้ันเปน อันใชได สว นการดําเนินการ
ตอ ไปใหดําเนินการตามกฎ ก.พ. นี้

ในกรณีที่จะตองสั่งลงโทษตัดเงินเดือนหรือลดข้ันเงินเดือนขาราชการพลเรือนสามัญ
ผูกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรงกอนวันที่กฎ ก.พ. น้ีใชบังคับ แตยังไมไดส่ังลงโทษ ใหส่ังลงโทษ
ตามขอ 67 (2) หรอื (3) แลวแตกรณี

ขอ 98 ในกรณีท่ีไดมีการส่ังพักราชการหรือสั่งใหออกจากราชการไวกอนโดยถูกตอง
ตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือหลักเกณฑที่ใชอยูกอนวันที่กฎ ก.พ. นี้ใชบังคับ และการสอบสวนหรือ
การพิจารณานั้นยังไมเสร็จ ใหการส่ังพักราชการหรือส่ังใหออกจากราชการไวกอนน้ันมีผลตอไป
ตามกฎ ก.พ. น้ี จนกวา จะมีการสั่งการเปน อยางอืน่ ตามกฎ ก.พ. น้ี

ใหไ ว ณ วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556
พงศเ ทพ เทพกาญจนา
รองนายกรัฐมนตรี
ประธาน ก.พ.

437

437 426
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎ ก.พ. ฉบับน้ี คือ โดยท่ีพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. 2551 มาตรา 94 (4) มาตรา 95 มาตรา 96 วรรคส่ี มาตรา 97 วรรคสอง มาตรา 101 วรรคแปด
และมาตรา 105 บัญญัติให้การดาเนินการทางวินัยเป็นไปตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.จึงจาเป็นต้องออก
กฎ ก.พ. นี้

การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์

438

438 427

ที่ นร 1011/ว 3 (สาเนา) สานกั ก.พ.
ถนนตวิ านนท์
จังหวดั นนทบรุ ี 11000

26 กุมภาพนั ธ์ 2557

เร่อื ง แบบตามกฎ ก.พ. ว่าดว้ ยการดาเนนิ การทางวนิ ัย พ.ศ. 2556
เรียน (เวียนกระทรวง กรม จงั หวัด)
ส่ิงทสี่ ่งด้วย แบบทีส่ านักงาน ก.พ. กาหนด (ดว.1 - ดว.6) จานวน 6 ฉบบั

โดยที่กฎ ก.พ. ว่าด้วยการดาเนินการทางวินัย พ.ศ. 2556 หมวด 4 การดาเนินการ
ในกรณีมีมูลที่กล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง ข้อ 19 ข้อ 20 ข้อ 31 ข้อ 40 และข้อ 53
หมวด 6 การส่ังยตุ ิเรอ่ื ง ลงโทษ หรืองดโทษ ข้อ 66 ข้อ 69 ขอ้ 71 และข้อ 72 หมวด 7 การมีคาสั่งใหม่
กรณีมีการเพิ่มโทษ ลดโทษ งดโทษ หรือยกโทษ ข้อ 74 และหมวด 8 การส่ังพักราชการและให้ออก
จากราชการไว้ก่อน ข้อ 92 กาหนดให้แบบคาสั่งและแบบการสอบสวนทางวนิ ัยต้องมีสาระสาคัญตามที่
สานกั งาน ก.พ. กาหนด

สานักงาน ก.พ. จึงได้กาหนดแบบคาส่ังและแบบการสอบสวนทางวินัยตามหมวด 4
การดาเนินการในกรณมี ีมลู ท่คี วรกล่าวหาว่ากระทาผิดวินยั อย่างรา้ ยแรง ข้อ 19 ขอ้ 20 ข้อ 31 ข้อ 40
และข้อ 53 รายละเอยี ดปรากฏตามส่งิ ทส่ี ง่ มาดว้ ย

สาหรับแบบคาสั่งอ่ืน ในระหว่างท่ีสานักงาน ก.พ. ยังมิได้กาหนด ให้นาแบบคาสั่งท่ี
กาหนดไว้ในกฎ ระเบยี บ หรือหลกั เกณฑ์ทอี่ อกตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
มาใชเ้ ท่าที่ไม่ขัดหรอื แยง้ กบั กฎ ก.พ. นี้ โดยแบบคาส่ังดังกล่าวต้องมีสาระสาคัญ ดังนี้

หมวด 6 การส่ังยุติเร่ือง ลงโทษ หรืองดโทษ ต้องมีสาระสาคัญตามข้อ 66 ข้อ 69
ขอ้ 71 หรอื ขอ้ 72

หมวด 7 การมีคาส่ังใหม่กรณีมีการเพิ่มโทษ ลดโทษ งดโทษ หรือยกโทษ ต้องมี
สาระสาคญั ตามข้อ 74

หมวด 8 การสงั่ พกั ราชการและใหอ้ อกจากราชการไวก้ อ่ น ต้องมีสาระสาคญั ตามขอ้ 82
ข้อ 84 หรือข้อ 91

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและถือเป็นหลักในการปฏิบัติต่อไป ทั้งน้ีได้แจ้งให้กรมและ
จงั หวัดทราบแล้ว

ขอแสดงความนบั ถือ
(ลงชอ่ื ) นนทกิ ร กาญจนะจิตรา

(นายนนทิกร กาญจนะจติ รา)
เลขาธกิ าร ก.พ.

439

439 428

แบบทสี่ านกั งาน ก.พ. กาหนด
ตามกฎ ก.พ. วา่ ดว้ ยการดาเนินการทางวนิ ัย พ.ศ. 2556
___________________
แบบ ดว. 1
(ตามข้อ 19)
ครฑุ
คาสัง่ ...................................
ท่.ี .../25..
เรอื่ ง แต่งตงั้ คณะกรรมการสอบสวนทางวนิ ยั อย่างร้ายแรง
ดว้ ย..........(ชอ่ื )…..……เลขประจาตวั ประชาชน……….................ขา้ ราชการพลเรือนสามญั
ตาแหนง่ ประเภท.............................ตาแหน่งในการบรหิ ารงาน (ถา้ ม)ี ……………………..ตาแหนง่ ในสายงาน
...........................ระดบั .......................ส่วนราชการ..........................สังกัดจังหวัด (ถ้ามี)…………………….....
กรม...........................เลขทต่ี าแหนง่ ...............มกี รณีอนั มีมูลทคี่ วรกลา่ วหาวา่ กระทาผดิ วนิ ยั อยา่ งร้ายแรง
ในเร่ือง.........................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
อาศัยอานาจตามมาตรา 93 หรือมาตรา 94 (….) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรอื น พ.ศ. 2551 แล้วแต่กรณี ประกอบกบั ขอ้ 15 หรอื ข้อ 16 ของกฎ ก.พ. วา่ ด้วยการดาเนนิ การ
ทางวินัย พ.ศ. 2556 แล้วแต่กรณี จึงแต่งตง้ั คณะกรรมการสอบสวนเพือ่ สอบสวนผู้ถูกกลา่ วหาในเรื่องดงั กล่าว
ประกอบดว้ ยบคุ คลดงั ต่อไปน้ี
(ชื่อ) เปน็ ประธานกรรมการ
(ชื่อ) เปน็ กรรมการ
ฯลฯ ฯลฯ
(ชอ่ื ) เป็นกรรมการและเลขานุการ
(ช่ือ) เป็นผชู้ ว่ ยเลขานุการ (ถ้ามี)
ให้คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่กาหนดใน
กฎ ก.พ. ว่าด้วยการดาเนินการทางวินัย พ.ศ. 2556 แล้วเสนอสานวนการสอบสวนมาเพื่อพิจารณา
ดาเนินการต่อไป
อน่ึง ถ้าคณะกรรมการสอบสวนเห็นวา่ กรณีมีมูลว่าผู้ถูกกล่าวหากระทาผิดวินัยในเร่ือง
อ่ืนนอกจากท่รี ะบไุ ว้ในคาสงั่ นี้ หรือกรณที ก่ี ารสอบสวนพาดพงิ ไปถึงผู้อ่นื ใหด้ าเนินการตามขอ้ 49 หรือ
ขอ้ 50 ของกฎ ก.พ. วา่ ด้วยการดาเนินการทางวนิ ยั พ.ศ. 2556 แลว้ แต่กรณี การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
ส่งั ณ วันท่ี เดอื น พ.ศ. 25
(ลงช่ือ)
( ชอ่ื ผ้สู งั่ )
(ตาแหนง่ 1)

ให้ระบดุ ้วย 1 ในกรณีเป็นผู้รักษาการแทน/เป็นผู้รับมอบอานาจให้ปฏิบัติราชการแทน/เป็นผู้รักษาราชการในตาแหน่ง

440

440 429

แบบทส่ี านกั งาน ก.พ. กาหนด
ตามกฎ ก.พ. วา่ ดว้ ยการดาเนนิ การทางวนิ ัย พ.ศ. 2556

___________________

แบบ ดว. 2
(ตามขอ้ 20)
ครฑุ
คาส่ัง...................................
ท.่ี .../25..
เรื่อง เปลยี่ นแปลงกรรมการสอบสวน
ตามคาสง่ั ..................................……ที่……/25.. สั่ง ณ วันท.ี่ ..................................แต่งต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนทางวนิ ยั อยา่ งรา้ ยแรง.............(ชื่อ)…………เลขประจาตัวประชาชน.......................
ข้าราชการพลเรือนสามญั ตาแหนง่ ประเภท......................ตาแหน่งในการบริหารงาน (ถา้ มี)…………………..
ตาแหนง่ ในสายงาน..........................ระดบั .......................ส่วนราชการ.........................สงั กัดจงั หวัด (ถ้ามี)
…………………………………กรม.....................................เลขทต่ี าแหนง่ .................. นนั้
บัดน้ี เห็นสมควรเปลี่ยนแปลงกรรมการสอบสวน เป็นดงั นี้

(ช่ือ) เป็นประธานกรรมการ
(ชอ่ื ) เปน็ กรรมการ
ฯลฯ ฯลฯ
(ช่ือ) เป็นกรรมการและเลขานกุ าร
(ชอ่ื ) เปน็ ผ้ชู ว่ ยเลขานกุ าร (ถา้ มี)

สั่ง ณ วันที่ เดือน พ.ศ. 25
(ลงช่อื ) ชื่อผสู้ ั่ง )

( (ตาแหนง่ 1)

ให้ระบดุ ว้ ย 1 ในกรณีเป็นผู้รักษาการแทน/เป็นผู้รับมอบอานาจให้ปฏิบัติราชการแทน/เป็นผู้รกั ษาราชการในตาแหน่ง

441 432

แบบทส่ี ํานักงาน ก.พ. กาํ หนด
ตามกฎ ก.พ. วาดวยการดาํ เนนิ การทางวนิ ยั พ.ศ. 2556

___________________

บนั ทึกถอยคําของพยาน แบบ ดว. 3
(ตามขอ 31)

เร่ือง การสอบสวน.................(ชอ่ื )………………ซง่ึ ถกู กลา วหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง

___________________

สอบสวนท.ี่ ........................................................
วนั ที่...................................
ขาพเจา (ชอื่ ) เลขประจําตัวประชาชน อายุ ป
สัญชาติ..................ศาสนา.....................อาชีพ...........................อยบู านเลขท่ี....................................ตรอก/ซอย
.................................................................ถนน............................แขวง/ตําบล.....................................เขต/อําเภอ
............................................................จังหวัด..............................................................................ขาพเจาไดท ราบ
แลววาขาพเจาเปน พยานในกรณที ่ี..............(สวนราชการ)…………..สัง่ แตง ต้งั คณะกรรมการสอบสวนทางวนิ ัย
อยางรายแรง...................(ช่ือ)…………….ในเรื่อง....................................................................................................
และคณะกรรมการสอบสวนไดแจงใหขาพเจา ทราบวา กรรมการสอบสวนมฐี านะเปนเจาพนักงานตามประมวล
กฎหมายอาญา การใหถ อ ยคําอันเปน เท็จตอ กรรมการสอบสวนอาจเปนความผดิ ตามกฎหมาย
ขา พเจา ขอใหถ อยคําตามสัตยจริงดังตอ ไปนี้

ขาพเจาขอรับรองวา คณะกรรมการสอบสวนมิไดกระทําการใด ๆ ซ่ึงเปนการใหคําม่ัน การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
สัญญา ขูเข็ญ หลอกลวง บังคับ หรือกระทําโดยมิชอบไมวาดวยประการใด เพื่อจูงใจขาพเจาใหถอยคํา และ
กรรมการสอบสวนไดอานใหขาพเจา ฟง/ขา พเจาไดอานบันทึกถอยคําเองแลว ขอรับรองวาเปนบนั ทกึ ถอยคํา
ที่ถูกตอ ง จงึ ลงลายมือชอ่ื ไวตอ หนากรรมการสอบสวน

442

442 431

(ลายมือช่อื ) พยาน
()

(ลายมือช่ือ) ผูบ้ ันทกึ ถอ้ ยคา
()

ข้าพเจ้าขอรบั รองว่า (ชอ่ื ) ได้ใหถ้ อ้ ยคาและลงลายมอื ช่ือตอ่ หน้าข้าพเจา้

(ลายมือชือ่ ) ประธานกรรมการ
()

(ลายมือช่ือ) กรรมการ
()

ฯลฯ

(ลายมือช่ือ) กรรมการ
( ) และเลขานุการ

443 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์

443 432
แบบที่สานกั งาน ก.พ. กาหนด
ตามกฎ ก.พ. วา่ ดว้ ยการดาเนนิ การทางวนิ ัย พ.ศ. 2556

___________________
แบบ ดว. 4
(ตามข้อ 31)

บนั ทึกถอ้ ยคาของผถู้ ูกกลา่ วหา
เรอื่ ง การสอบสวน.................(ช่อื )………………ซง่ึ ถกู กล่าวหาว่ากระทาผดิ วนิ ัยอยา่ งรา้ ยแรง

___________________
สอบสวนท.่ี ........................................................
วันที่...................................

ข้าพเจา้ ................(ช่ือ)……………เลขประจาตัวประชาชน........................................อายุ........ปี
สัญชาติ..................ศาสนา.....................อาชีพ...........................อยู่บ้านเลขท่ี....................................ตรอก/ซอย
.................................................................ถนน............................แขวง/ตาบล.....................................เขต/อาเภอ
............................................................จังหวดั ..............................................................................ข้าพเจา้ ได้ทราบ
แลว้ วา่ ข้าพเจ้าเป็นผถู้ ูกกล่าวหาตามคาส่ัง........................................ท่ี...../25.. ส่ัง ณ วันท่ี...............................
ในเร่ือง.....................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................

ตามที่คณะกรรมการสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุน
ขอ้ กลา่ วหาตามบันทึกลงวันท่ี........................................ใหข้ า้ พเจ้ารบั ทราบแล้วนัน้

ตามข้อกล่าวหาท่ีว่า.........................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................

ข้าพเจ้าขอช้ีแจงว่า...........................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................

444

444 433
ข้าพเจ้าขอรับรองว่า คณะกรรมการสอบสวนมิได้กระทาการใด ๆ ซึ่งเป็นการให้คามั่นสัญญา ขู่เข็ญ
หลอกลวง บงั คับ หรือกระทาโดยมิชอบไมว่ า่ ดว้ ยประการใด เพอ่ื จูงใจข้าพเจ้าใหถ้ อ้ ยคา และกรรมการสอบสวน
ได้อ่านให้ข้าพเจ้าฟัง/ข้าพเจ้าได้อ่านบันทึกถ้อยคาเองแล้ว ขอรับรองว่าเป็นบันทึกถ้อยคาที่ถูกต้อง จึงลง
ลายมอื ชื่อไว้ตอ่ หนา้ กรรมการสอบสวน

(ลายมือชื่อ) ผ้ถู ูกกล่าวหา
()

(ลายมอื ชื่อ) ผ้บู ันทกึ ถ้อยคา
()

ข้าพเจา้ ขอรับรองว่า (ช่อื ) ไดใ้ หถ้ ้อยคาและลงลายมอื ชือ่ ตอ่ หน้าขา้ พเจา้

(ลายมือชอ่ื ) ประธานกรรมการ
()

(ลายมอื ช่ือ) กรรมการ
()

ฯลฯ

(ลายมอื ช่อื ) กรรมการ
( ) และเลขานุการ

445 434

แบบท่ีสาํ นกั งาน ก.พ. กําหนด
ตามกฎ ก.พ. วาดว ยการดาํ เนินการทางวนิ ัย พ.ศ. 2556
___________________
แบบ ดว. 5
(ตามขอ 40)
บันทกึ การแจง ขอกลาวหา
และสรปุ พยานหลกั ฐานท่ีสนับสนนุ ขอกลาวหา ตามขอ 40
เรื่อง การสอบสวน (ช่อื ) ซ่งึ ถกู กลา วหาวากระทาํ ผดิ วนิ ยั อยา งรา ยแรง
___________________
สอบสวนท่ี
วันที่
ตามคาํ สง่ั ท่ี/25 สงั่ ณ วนั ท่ี แ ต ง ตั้ ง
คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอยา งรายแรง (ชือ่ ) คณะกรรมการสอบสวนไดดาํ เนนิ การ
รวบรวมพยานหลักฐานทเี่ กยี่ วขอ งกับเรือ่ งท่กี ลา วหา
นัน้
บัดน้ี คณะกรรมการสอบสวนไดดําเนินการรวบรวมขอเท็จจริง ขอกฎหมาย และ
พยานหลกั ฐานทเี่ ก่ียวของ และไดป ระชุมพิจารณา1 แลว เห็นวาเพียงพอทีจ่ ะรับฟงและดําเนินการตอ ไป
ไดโ ดยมีขอกลา วหาและพยานหลกั ฐานโดยสรุป ดงั นี้
ขอกลาวหา2

สรุปพยานหลกั ฐานที่สนบั สนนุ ขอกลาวหา3

1 การประชุมพิจารณาวินิจฉยั ตามขอ 40 ตองมีกรรมการสอบสวนมาประชมุ ไมนอยกวาสามคนและไมนอย การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
กวา ก่ึงหน่งึ ของกรรมการสอบสวนทัง้ หมด

2 ใหร ะบุขอเท็จจรงิ และพฤตกิ ารณวาผถู ูกกลา วหาไดกระทาํ การใด เมื่อใด อยา งไร เปนความผดิ วนิ ยั กรณีใด
3 การสรุปพยานหลกั ฐานจะระบชุ อ่ื พยานหรือไมร ะบุชอ่ื ก็ได

446

446 435

ในการสอบสวนน้ี ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิที่จะให้ถ้อยคาหรือย่ืนคาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา
เป็นหนังสือและมีสิทธิที่จะแสดงพยานหลักฐานหรือจะอ้างพยานหลักฐานเพ่อื ขอให้เรียกพยานหลกั ฐาน
น้ันมาก็ได้

บันทึกนี้ทาข้ึนสองฉบบั มีข้อความตรงกนั และคณะกรรมการสอบสวนไดล้ งลายมือชอื่ ไว้
เป็นหลกั ฐาน

(ลายมือชอ่ื ) ประธานกรรมการ
()

(ลายมอื ชื่อ) กรรมการ
()

ฯลฯ

(ลายมือชือ่ ) กรรมการ
( ) และเลขานกุ าร

สอบสวนที่ วันท่ี

ข้าพเจ้า (ชอื่ ) ได้รับทราบและลงลายมือชื่อรับทราบข้อกล่าวหาและสรุป
พยานหลักฐานที่สนับสนนุ ข้อกลา่ วหา ตามบันทกึ ลงวันที่ ไว้ เป็ นหลั กฐานต่ อหน้ า
คณะกรรมการสอบสวน และไดร้ ับบนั ทกึ นี้หน่ึงฉบบั ไวแ้ ลว้ ในวันน้ี

(ลายมอื ชื่อ) ผู้ถกู กลา่ วหา
()

(ลายมอื ชื่อ) ประธานกรรมการ
()

(ลายมอื ชอ่ื ) กรรมการ
()

(ลายมือชื่อ) กรรมการ
( ) และเลขานกุ าร

447

447 436

แบบทสี่ านกั งาน ก.พ. กาหนด
ตามกฎ ก.พ. ว่าด้วยการดาเนินการทางวนิ ัย พ.ศ. 2556

แบบ ดว. 6
(ตามข้อ 53)
รายงานการสอบสวน
สอบสวนที่
วนั ท่ี
เรอื่ ง การสอบสวน (ชอื่ ) ซง่ึ ถกู กลา่ วหาวา่ กระทาผิดวนิ ัยอยา่ งรา้ ยแรง
เรียน
ตามคาสงั่ ท่ี /25 สง่ั ณ วันท่ี แตง่ ตั้ง
คณะกรรมการสอบสวนทางวนิ ัยอย่างรา้ ยแรง (ช่อื ) ในเรอ่ื ง
นั้น
ประธานกรรมการได้รับสาเนาคาส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนพร้อมท้ังเอกสาร
หลักฐานท่ีเกีย่ วขอ้ งกบั เรือ่ งทกี่ ลา่ วหาตง้ั แตว่ นั ที่ และไดป้ ระชุม
คณะกรรมการสอบสวนครง้ั แรกเมอื่ วันท่ี
บัดน้ี คณะกรรมการสอบสวนไดด้ าเนนิ การสอบสวนและได้ประชุมพจิ ารณามีความเห็นในเรอ่ื ง
ท่ีสอบสวนน้แี ล้ว จงึ ขอรายงานการสอบสวนโดยมีข้อเทจ็ จรงิ ข้อกฎหมาย และความเห็นดงั ตอ่ ไปน้ี
1. มูลกรณีเรอ่ื งนป้ี รากฏขนึ้ เนือ่ งจาก

2. การสบื สวนหรอื พจิ ารณาในเบ้ืองตน้

3. ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 (....) พิจารณาเห็นว่า กรณีมีมูลที่ การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
ควรกล่าวหาวา่ (ชอ่ื ) กระทาผดิ วนิ ยั อยา่ งรา้ ยแรง จึงมีคาส่งั แต่งตง้ั คณะกรรมการสอบสวน

4. คณะกรรมการสอบสวนได้ประชุมพิจารณาวางแนวทางการสอบสวน และได้ดาเนินการ
รวบรวมข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพยานหลักฐานที่เก่ียวข้อง และได้ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่า
พยานหลกั ฐานเพียงพอที่จะรับฟังไดว้ า่ (ชือ่ ) ผู้ถูกกล่าวหากระทาผิดวินัยอย่าง
รา้ ยแรงในเรื่องน้ี โดยมีข้อเทจ็ จริงในเบ้อื งต้นข้อกล่าวหาและพยานหลักฐานทสี่ นับสนุนข้อกล่าวหา โดย
สรปุ ดังนี้

ขอ้ เท็จจรงิ ได้ความในเบอ้ื งตน้ วา่
ขอ้ กลา่ วหา

448 437

448

พยานหลักฐานทส่ี นับสนนุ ขอ้ กล่าวหา1

5. คณะกรรมการสอบสวนได้เรียก (ชือ่ ) ผู้ถูกกล่าวหามาแจ้งและอธิบาย
ข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาได้
ลงลายมือชอ่ื รบั ทราบและได้รับมอบบันทกึ การแจ้งดังกล่าว ลงวันท่ี ไปจานวนหนงึ่ ฉบบั แลว้ ดว้ ย2

6. (ช่อื ) ผถู้ กู กลา่ วหาได้ชีแ้ จงและนาสืบแกข้ อ้ กล่าวหา ดงั นี้
คาชแ้ี จงแกข้ ้อกล่าวหา

พยานหลักฐานท่ีหกั ลา้ งขอ้ กลา่ วหา

7. คณะกรรมการสอบสวนได้ประชุมพิจารณา3ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และ
พยานหลักฐานต่าง ๆ และมีความเห็น ดังน้ี

ข้อเทจ็ จรงิ เบื้องตน้

ข้อกฎหมายท่เี กีย่ วขอ้ ง

ประเดน็ ทต่ี ้องพจิ ารณา

ความเหน็ ของคณะกรรมการสอบสวน4

5

จึงเรียนมาเพ่ือโปรดพจิ ารณา และพร้อมนไ้ี ดเ้ สนอสานวนการสอบสวนมาด้วยแล้ว

1 ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนไม่สอบสวนพยานใดตามข้อ 35 หรืองดสอบสวนพยานใดตามข้อ 36
ใหร้ ะบพุ ยานทีไ่ ม่สอบสวนหรือพยานหลักฐานทีง่ ดสอบสวนนัน้ พร้อมท้ังเหตุผลไว้ดว้ ย

2 ในกรณีท่ีผู้ถูกกล่าวหาไม่มาพบตามที่คณะกรรมการสอบสวนเรียก ให้ส่งบันทึกตามข้อ 40 จานวน 1
ฉบับทางไปรษณยี ์ลงทะเบยี นตอบรบั ณ ที่อยทู่ ป่ี รากฏตามหลกั ฐานราชการ

3 การประชุมพิจารณาวินจิ ฉยั ตามขอ้ 52 ต้องมกี รรมการสอบสวนมาประชมุ ไม่น้อยกว่าสามคนและไม่น้อย
กว่าก่ึงหนึง่ ของกรรมการสอบสวนท้ังหมด

4 ใหร้ ะบวุ ่าผถู้ ูกกล่าวหาไดก้ ระทาผิดวินยั อย่างไร หรอื ไม่ ถ้าผิด เป็นความผดิ วินัยกรณีใด ตามาตราใดและ
ควรได้รับโทษสถานใด/มีเหตุให้ออกจากราชการ ตามมาตรา 110 (6) หรือมาตรา 110 (7) หรอื ไม่ อย่างไร

5 ในกรณีทกี่ รรมการสอบสวนคนใดมีความเหน็ แยง้ ใหบ้ ันทึกรายละเอียดความเห็นแย้งดว้ ย

449 438
ประธานกรรมการ
449 )
กรรมการ
(ลายมอื ชอ่ื ) )
(
กรรมการ
(ลายมือช่ือ) ) และเลขานุการ
(

ฯลฯ
(ลายมือชอ่ื )
(

การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์

450 439

450

ระเบียบ ก.พ.
ว่าดว้ ยวนั ออกจากราชการของขา้ ราชการพลเรือนสามญั

พ.ศ. 2554

โดยท่ีเป็นการสมควรกาหนดวันออกจากราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญท่ีถูก
ส่ังให้ออก ถูกสง่ั ลงโทษปลดออกหรือไล่ออก

อาศัยอานาจตามความในมาตรา 8 (5) และมาตรา 107 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ก.พ. จงึ ออกระเบียบไว้ดงั ต่อไปน้ี

ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยวันออกจากราชการของข้าราชการ
พลเรอื นสามญั พ.ศ. 2554”

ขอ้ 21 ระเบยี บนี้ให้ใชบ้ งั คบั ต้ังแตว่ ันถัดจากวนั ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเปน็ ตน้ ไป
ข้อ 3 การส่ังให้ออกจากราชการตามมาตรา 59 มาตรา 67 มาตรา 110 หรือ
มาตรา 111 ถ้ามิได้กาหนดไว้เป็นอย่างอ่ืนในระเบียบน้ี ให้สั่งให้ออกจากราชการได้ต้ังแต่วันที่กาหนด
ในคาสง่ั ซ่ึงต้องไมก่ อ่ นวนั ทอี่ อกคาสัง่
ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรต้องส่ังให้ออกจากราชการย้อนหลังไปก่อนวันท่ีออก คาสั่ง
ก็ให้สั่งให้ออกจากราชการย้อนหลังไปถึงวันที่ควรจะต้องออกจากราชการตามกรณีน้ันได้ แต่ท้ังน้ี
การสง่ั ดังกล่าวไมก่ ระทบกระเทือนสิทธโิ ดยชอบธรรมของผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการน้ัน
ข้อ 4 การสั่งให้ออกจากราชการตามมาตรา 110 (8) ให้ส่ังให้ออกจากราชการ
ตั้งแต่วันที่ต้องรับโทษจาคุกโดยคาพิพากษาถึงที่สุด หรือวันที่ต้องรับโทษจาคุกโดยคาส่ังของศาล
แล้วแตก่ รณี
ข้อ 5 การสงั่ ให้ออกจากราชการตามมาตรา 111 วรรคหนึ่ง ให้สงั่ ให้ออกจากราชการ
ตงั้ แต่วันไปรบั ราชการทหารตามกฎหมายวา่ ด้วยการรับราชการทหาร
ข้อ 6 ในกรณีท่ีได้มีการสั่งลงโทษปลดออก หรือไล่ออกจากราชการไปแล้ว ถ้าจะต้อง
เปล่ียนแปลงคาสั่งเป็นให้ออกจากราชการตามมาตรา 59 มาตรา 67 มาตรา 110 หรือมาตรา 111
กใ็ หส้ ั่งใหอ้ อกจากราชการย้อนหลังไปถึงวันทีค่ วรตอ้ งออกจากราชการตามมาตราน้ัน

1 ราชกิจจานเุ บกษา เล่ม 128/ตอนพเิ ศษ 23 ง/หนา้ 6/26 กมุ ภาพันธ์ 2554

451 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์

451 440

ข้อ 7 การส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามมาตรา 101 ให้สั่งให้ออกจากราชการ
ตั้งแต่วันที่กาหนดในคาสั่ง ซึ่งต้องไม่ก่อนวันที่ออกคาส่ัง เว้นแต่เป็นกรณีที่มีการสั่งพักราชการหรือ
เป็นกรณีที่ถูกควบคุม ขัง หรือต้องจาคุก ให้ส่ังให้ออกจากราชการต้ังแต่วันท่ีต้องพักราชการ วันท่ี
ถูกควบคมุ ขังหรือตอ้ งจาคกุ แล้วแต่กรณี

ข้อ 8 การส่ังลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ ถ้ามิได้กาหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ในระเบียบน้ี ให้สั่งปลดออกหรือไล่ออกจากราชการตั้งแต่วันที่กาหนดในคาสั่ง ซ่ึงต้องไม่ก่อนวันท่ี
ออกคาสั่ง

ในกรณีท่ีมีเหตุอันสมควรต้องสั่งปลดออกหรือไล่ออกจากราชการย้อนหลังไปก่อนวันท่ี
ออกคาส่ัง ก็ให้สั่งปลดออกหรือไล่ออกย้อนหลังไปถึงวันที่ควรจะต้องออกจากราชการตามกรณีน้ันได้
แตท่ ้งั นก้ี ารส่ังดังกลา่ วไม่กระทบกระเทือนสิทธโิ ดยชอบธรรมของผ้ถู กู สงั่ ลงโทษนน้ั

ขอ้ 9 ในกรณที ไ่ี ดม้ ีคาส่งั พักราชการหรอื ใหอ้ อกจากราชการไวก้ ่อน ใหส้ ่งั ปลดออกหรอื
ไลอ่ อกจากราชการตงั้ แตว่ ันท่ตี ้องพกั ราชการหรือวนั ท่ตี ้องออกจากราชการไวก้ อ่ น แล้วแตก่ รณี

ข้อ 10 ในกรณีที่กระทาผิดวินัยเพราะเหตุละทิ้งหน้าท่ีราชการติดต่อในคราวเดียวกัน
เป็นเวลาเกินสบิ ห้าวันและไม่กลบั มาปฏิบัตริ าชการอกี ให้ส่ังปลดออกหรือไลอ่ อกจากราชการตั้งแต่วนั ที่
ละทงิ้ หน้าท่รี าชการนั้น

ข้อ 11 ในกรณีที่กระทาความผิดอาญาและได้รับโทษจาคุกตามคาพิพากษาถึงท่ีสุด
ให้จาคุก ให้ส่ังปลดออกหรือไล่ออกต้ังแต่วันท่ีต้องรับโทษจาคุก หรือวันที่ถูกคุมขังติดต่อกันจนถึงวันที่
ต้องรับโทษจาคุก แล้วแต่กรณี แต่ถ้าเป็นกรณีท่ีกระทาความผิดอาญาและได้รับโทษตามคาพิพากษา
ถึงที่สุดหนักกว่าโทษจาคุก ให้สั่งปลดออกหรือไล่ออกตั้งแต่วันท่ีต้องคาพิพากษาถึงที่สุด หรือวันท่ี
ถกู คมุ ขังตดิ ตอ่ กันจนถงึ วนั ทต่ี ้องคาพพิ ากษาถงึ ทสี่ ดุ แลว้ แต่กรณี

ข้อ 12 ในกรณีท่ีได้มีการสั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการไปแล้ว ถ้าจะต้อง
ส่ังเปล่ียนแปลงคาสั่งลงโทษปลดออกเป็นไล่ออก หรือไล่ออกเป็นปลดออก ให้ส่ังให้มีผลย้อนหลังไปถึง
วันที่ออกจากราชการตามคาส่ังเดิม แต่ถ้าจะต้องสั่งเปล่ียนแปลงวันออกจากราชการด้วย ให้สั่งลงโทษ
ยอ้ นหลังไปถงึ วนั ท่คี วรต้องออกจากราชการตามกรณีนนั้

ข้อ 13 ในกรณีที่ได้มีการส่ังให้ออกจากราชการตามมาตรา 59 มาตรา 67 มาตรา 110
หรือมาตรา 111 ไปแล้ว ถ้าจะต้องเปลี่ยนแปลงคาส่ังเป็นลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ
ใหส้ ง่ั ปลดออกหรอื ไล่ออกยอ้ นหลงั ไปถึงวันที่ควรต้องลงโทษปลดออกหรือไลอ่ อกตามกรณีน้นั

ขอ้ 14 ในกรณีที่ผู้ซึง่ จะต้องถูกส่งั ลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ ไดอ้ อกจากราชการ
ไปก่อนแลว้ เพราะถกู สัง่ ลงโทษปลดออกหรือไล่ออก หรือถูกส่ังให้ออกจากราชการในกรณอี ่ืน หรือไดร้ ับ
อนุญาตให้ลาออกจากราชการ ให้สัง่ ปลดออกหรือไล่ออกยอ้ นหลังไปถึงวนั ที่ออกจากราชการไปแล้วนนั้

452

452 441

ข้อ 15 ในกรณีที่ผู้ซึ่งจะต้องถูกส่ังลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ ได้พ้นจาก
ราชการตามกฎหมายว่าด้วยบาเหน็จบานาญขา้ ราชการไปกอ่ นแล้ว ให้สั่งปลดออกหรอื ไล่ออกย้อนหลัง
ไปถึงวันสิ้นปีงบประมาณท่ีผู้น้ันมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ หรือวันท่ีผู้น้ันพ้นจากราชการตามกฎ ก.พ.
ออกตามมาตรา 108 แล้วแต่กรณี

ข้อ 16 ใหเ้ ลขาธิการ ก.พ. รกั ษาการตามระเบยี บนี้
ประกาศ ณ วนั ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554
อภิสทิ ธ์ิ เวชชาชีวะ
นายกรฐั มนตรี
ประธาน ก.พ.

453 442

453

ระเบยี บ ก.พ.
ว่าดว้ ยการรายงานการดาเนนิ การทางวนิ ยั และการสั่งใหอ้ อกจากราชการ

พ.ศ. 2556

อาศัยอานาจตามความในมาตรา 8 (5) ประกอบกับมาตรา 104 มาตรา 8 (7) การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
มาตรา 103 และมาตรา 110 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
อนั เป็นกฎหมายท่มี ีบทบัญญัตบิ างประการเกี่ยวกับการจากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึง่ มาตรา 29
ประกอบกบั มาตรา 31 มาตรา 33 มาตรา 43 และมาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บญั ญัติให้กระทาได้โดยอาศยั อานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ก.พ. จึงออกระเบยี บไว้ ดงั ตอ่ ไปน้ี

ข้อ 1 ระเบียบน้ีเรียกว่า “ระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยการรายงานการดาเนินการทางวินัย
และการส่ังใหอ้ อกจากราชการ พ.ศ. 2556”

ข้อ 21 ระเบียบนีใ้ หใ้ ช้บงั คับตัง้ แต่วนั ถัดจากวนั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา เปน็ ต้นไป
ข้อ 3 การรายงาน อ.ก.พ. กระทรวง หรือรายงาน ก.พ. ตามมาตรา 103 หรือ
มาตรา 110 แล้วแต่กรณี ให้รายงานเป็นหนังสือภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่มีคาส่ัง โดยให้ส่งสาเนา
คาส่ังจานวนสองฉบับ พร้อมท้ังต้นฉบับสานวนการสืบสวนสอบสวนการดาเนินการทางวินัยหรือ
สานวนการพจิ ารณาดาเนนิ การส่ังใหอ้ อกจากราชการไปดว้ ย
ในกรณีท่ีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รายงาน อ.ก.พ. กระทรวง หรือ ก.พ. ให้แจ้งผล
การดาเนนิ การให้ผู้บงั คับบญั ชาซึ่งมีอานาจสัง่ บรรจุตามมาตรา 57 ทราบด้วย
ข้อ 4 การรายงาน ก.พ. ตามมาตรา 104 ให้ผู้แทน ก.พ. ซ่ึงเป็นกรรมการใน
อ.ก.พ. กระทรวง รายงานเป็นหนังสือ สรุปข้อเท็จจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนท่ีเกี่ยวกับ
การดาเนินการท่ีเห็นว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน หรือ
การปฏิบัติท่ีเห็นว่าไม่เหมาะสม พร้อมทั้งความเห็นของตนพร้อมด้วยเหตุผล เสนอต่อเลขาธิการ ก.พ.
ภายในเจ็ดวัน นับแต่วนั ทไ่ี ดม้ กี ารพิจารณากรณดี ังกลา่ ว เพ่อื ประกอบการพจิ ารณาของ ก.พ. ตอ่ ไป และ
ให้ อ.ก.พ. กระทรวงรายงานเป็นหนังสือแจ้งมติ อ.ก.พ. กระทรวง พร้อมส่งเอกสารท่ีเกี่ยวข้อง
ตอ่ ก.พ. โดยเร็ว
ข้อ 5 เพ่ือประโยชน์ในการกากับ ดูแล ตรวจสอบและประเมินผล รวมท้ังรักษา
ความเป็นธรรมและมาตรฐานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลในเร่ืองท่ีเกี่ยวกับวินัยและการสั่งให้
ออกจากราชการ เม่ือผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 ได้ดาเนินการครบทุกข้ันตอน
และได้มีคาส่ังเป็นประการใดแล้ว ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 ส่งสาเนาคาส่ัง

1 ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 130/ตอนพเิ ศษ 182 ง/หนา้ 4/16 ธันวาคม 2556

454

454 443
พร้อมท้ังบันทึกสรุปประวัตแิ ละข้อเท็จจริงซึ่งมีสาระสาคัญ ตามแบบที่สานักงาน ก.พ. กาหนด ให้ ก.พ.
ภายในสบิ ห้าวนั นบั แต่วันท่ไี ด้ดาเนนิ การตามมติ อ.ก.พ. กระทรวง หรือมติ ก.พ.

ข้อ 6 ให้เลขาธิการ ก.พ. รักษาการตามระเบียบนี้

ประกาศ ณ วนั ที่ 28 ตลุ าคม พ.ศ. 2556
พงศ์เทพ เทพกาญจนา
รองนายกรฐั มนตรี
ประธาน ก.พ.

455 444

455

ระเบยี บคณะกรรมการขา้ ราชการศาลยุตธิ รรม
ว่าดว้ ยคณะอนกุ รรมการข้าราชการศาลยตุ ธิ รรมเก่ยี วกบั การดาเนินการ

ทางวนิ ัยและการออกจากราชการ
พ.ศ. 2550

อาศัยอานาจตามความในมาตรา 21 (1) (5) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
ศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 คณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรม โดยได้รับความเห็นชอบจาก
คณะกรรมการบริหารศาลยตุ ิธรรม จงึ ออกระเบียบไว้ ดงั ต่อไปน้ี

ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบคณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรม ว่าด้วย
คณะอนุกรรมการขา้ ราชการศาลยุติธรรมเก่ยี วกบั การดาเนนิ การทางวินัยและการออกจากราชการ พ.ศ. 2550”

ข้อ 21 ระเบียบนีใ้ หใ้ ชบ้ ังคบั ต้ังแตว่ นั ถดั จากวนั ประกาศในราชกิจจานเุ บกษาเป็นตน้ ไป
ขอ้ 3 ให้ประธานกรรมการข้าราชการศาลยตุ ิธรรม เป็นผู้รกั ษาการตามระเบียบน้ี และ
ใหม้ ีอานาจตีความและวนิ จิ ฉัยปัญหาทเี่ กดิ ข้ึนเน่ืองจากการใช้บังคับระเบยี บนี้

หมวด 1
องคป์ ระกอบ
___________
ข้อ 42 ให้มีคณะอนุกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรมเกี่ยวกับการดาเนินการทางวินัย
และการออกจากราชการ (อ.ก.ศ.วนิ ัย) ประกอบด้วย
(1) รองประธานศาลฎีกาหรือประธานแผนกคดีในศาลฎีกาที่ได้รับมอบหมายจาก
ประธานศาลฎีกาเปน็ ประธาน
(2) ข้าราชการตุลาการซง่ึ ดารงตาแหน่งตัง้ แตผ่ บู้ ริหารศาลช้ันต้นข้นึ ไป จานวน 2 คน
(3) ข้าราชการศาลยุติธรรมซ่ึงดารงตาแหน่งประเภทบริหาร ประเภทอานวยการระดับสูง
หรอื ประเภทวชิ าการระดบั เชยี่ วชาญขนึ้ ไป จานวน 2 คน
(4) ผแู้ ทนเลขาธิการสานักงานศาลยตุ ิธรรม จานวน 1 คน
(5) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ด้านการบริหารงานบุคคล ด้านการบริหารและการจัดการ
จากภายนอก จานวน 3 คน

1 ราชกิจจานเุ บกษา เล่ม 124/ตอนที่ 36 ก/หนา้ 22/25 กรกฎาคม 2550
2 ข้อ 4 แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบคณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรม ว่าด้วยคณะอนุกรรมการ
ขา้ ราชการศาลยุตธิ รรมเกยี่ วกบั การดาเนินการทางวินยั และการออกจากราชการ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2559

456

456 445
ท้ังน้ี อนุกรรมการตาม (1) (2) (3) (4) และ (5) ต้องไม่เป็นกรรมการข้าราชการ
ศาลยุติธรรม
ให้หัวหนา้ ผ้รู บั ผิดชอบงานดา้ นวินยั สานัก ก.ศ. เปน็ เลขานกุ ารและใหข้ า้ ราชการศาลยุตธิ รรม
ซ่ึงผู้อานวยการสานกั คณะกรรมการข้าราชการศาลยตุ ธิ รรมมอบหมายเปน็ ผู้ช่วยเลขานุการ

หมวด 2
หลกั เกณฑ์ และการแต่งตั้ง

ขอ้ 53 ให้ ก.ศ. แต่งต้ัง อ.ก.ศ. วินัยตามขอ้ 4 (2) (3) และ (5)
ในการลงมติแต่งตั้ง อ.ก.ศ. วินัย จะต้องได้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่าก่ึงหนึ่งของจานวน
กรรมการ ก.ศ. ทีเ่ ปน็ องคป์ ระชุม
ข้อ 6 ให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งตามข้อ 5 เข้ารับหน้าที่นับแต่วันท่ีประธานกรรมการ
ขา้ ราชการศาลยุติธรรมประกาศรายชอ่ื เปน็ ต้นไป
ข้อ 7 อ.ก.ศ.วินัย ที่ได้รับการแต่งต้ังตามข้อ 5 มีวาระอยู่ในตาแหน่งคราวละสองปี
อ.ก.ศ.วินัย ซ่ึงพ้นจากตาแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งใหม่ได้ แต่จะดารงตาแหน่งเกินสองวาระ
ติดต่อกนั ไม่ได้
ในกรณีท่ี อ.ก.ศ.วินัย พ้นจากตาแหน่งเพราะครบวาระให้คงทาหน้าที่ต่อไปจนกว่า
อ.ก.ศ. วนิ ยั คณะใหมเ่ ข้ารบั หน้าท่ี
ขอ้ 84 นอกจาก อ.ก.ศ. วนิ ยั พ้นจากตาแหน่งตามวาระตามขอ้ 7 ใหพ้ น้ จากตาแหน่งเมอื่
(1) ตาย
(2) ลาออก
(3) กระทาผดิ วนิ ยั นบั แต่วันทีม่ ีคาส่งั ลงโทษทางวนิ ยั
(4) ถูกถอดถอนจากตาแหน่งตามข้อ 9
ขอ้ 9 ให้ ก.ศ. มีอานาจถอดถอน อ.ก.ศ.วินัย ผ้ใู ดผ้หู นึ่งออกจากตาแหน่งไดใ้ นกรณดี ังนี้
(1) มีพฤตกิ ารณ์ไมเ่ หมาะสมในการปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ี อ.ก.ศ.วนิ ยั
(2) ปฏิบัติหน้าท่ีส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจใช้อานาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติ
แหง่ กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ คุณธรรมและจรยิ ธรรม หรือ

3 ข้อ 5 แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบคณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรม ว่าด้วยคณะอนุกรรมการ
ขา้ ราชการศาลยตุ ิธรรมเกี่ยวกับการดาเนินการทางวินัยและการออกจากราชการ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2559

4 ข้อ 8 แก้ไขเพ่ิมเติมโดยระเบียบคณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรม ว่าด้วยคณะอนุกรรมการ
ขา้ ราชการศาลยุตธิ รรมเกย่ี วกับการดาเนนิ การทางวนิ ยั และการออกจากราชการ (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2559

457 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์

457 446
(3) กระทาการอันมีมูลเป็นความผิดวินัย ถกู กล่าวหา หรือกรณีเป็นทสี่ งสัยว่ากระทาผิด
ทางวินยั
ในการพิจารณาถอดถอนตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ที่ถูกพิจารณาถอดถอนมีสิทธิเข้าชี้แจง
ขอ้ เท็จจริงต่อ ก.ศ. และมติ ก.ศ. ท่ีให้ถอดถอนผู้ใดออกจากตาแหน่งอนุกรรมการจะต้องมคี ะแนนเสียง
ไมน่ อ้ ยกวา่ ก่งึ หน่ึงของจานวน ก.ศ. ทเ่ี ปน็ องคป์ ระชุม
ในระหว่างการพจิ ารณาถอดถอนตามวรรคสอง ผ้นู น้ั จะปฏิบัตหิ นา้ ทตี่ ่อไปไมไ่ ด้
ข้อ 10 ในการแต่งต้ัง อ.ก.ศ.วินัย แทนตาแหน่งที่ว่างลงก่อนครบวาระ ให้นาความใน
ขอ้ 5 และข้อ 6 มาใช้บังคับโดยอนุโลมและให้ผู้ซ่ึงได้รับแต่งตั้งอยู่ในตาแหน่งได้เท่ากับวาระท่ีเหลืออยู่
ของผู้ซึง่ ตนแทน
การดารงตาแหนง่ ของ อ.ก.ศ.วนิ ยั ทพ่ี ้นจากตาแหนง่ กอ่ นครบวาระ หรือทด่ี ารงตาแหน่ง
แทนหากมกี าหนดเวลาไม่ถงึ 1 ปี ไม่ใหน้ บั เปน็ วาระการดารงตาแหน่งตามข้อ 7

หมวด 3
อานาจและหนา้ ที่

ข้อ 11 ให้ อ.ก.ศ.วินยั ทาหน้าทีแ่ ทน ก.ศ. ในการดาเนนิ การทางวินยั และการออกจาก
ราชการของข้าราชการศาลยุติธรรมตามระเบียบคณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรม ว่าด้วยการ
บริหารงานบคุ คลของสานักงานศาลยุตธิ รรม พ.ศ. 2544 ท้งั น้ี ไมร่ วมถึงการร้องทุกขแ์ ละการอทุ ธรณ์

ข้อ 12 การประชุม อ.ก.ศ.วินัย ให้นาระเบียบคณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรม
ว่าด้วยการประชุมของคณะกรรมการขา้ ราชการศาลยตุ ธิ รรม พ.ศ. 2543 มาใช้บังคับโดยอนโุ ลม

ขอ้ 13 เม่ือ อ.ก.ศ.วินัย มีมติในเรอื่ งใดแล้ว ให้ประธาน อ.ก.ศ.วนิ ัย รายงานให้ ก.ศ. ทราบ
และให้สานกั งานศาลยตุ ิธรรมดาเนินการออกคาส่ังหรอื ปฏิบัตติ ามมตขิ อง อ.ก.ศ.วินัย เว้นแต่กรณี ก.ศ.
จะมมี ตเิ ป็นอย่างอื่น

ข้อ 14 เบ้ยี ประชมุ หรืออตั ราค่าตอบแทนของ อ.ก.ศ.วินยั ใหเ้ ป็นไปตามท่ี ก.บ.ศ. กาหนด

458 447

458

บทเฉพาะกาล

ข้อ 15 การดาเนินการทางวินัยและการออกจากราชการตามระเบียบคณะกรรมการ
ขา้ ราชการศาลยตุ ิธรรม ว่าด้วยการบริหารงานบคุ คลของสานกั งานศาลยตุ ธิ รรม พ.ศ. 2544 ที่ไดด้ าเนินการ
กอ่ นวนั ทรี่ ะเบียบนีใ้ ชบ้ ังคับ การดาเนินการต่อไปสาหรบั การนั้น ให้เปน็ ไปตามท่ี ก.ศ. กาหนด

ประกาศ ณ วนั ท่ี 29 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2550
(ลงช่ือ) วริ ชั ลม้ิ วิชยั
(นายวริ ัช ลมิ้ วชิ ัย)
รองประธานศาลฎกี า

ประธานกรรมการข้าราชการศาลยตุ ธิ รรม

459

459 448

ท่ี ศย 004/ว 66 (ป) สานักงานศาลยุตธิ รรม
ถนนรัชดาภเิ ษก เขตจตจุ กั ร
กรงุ เทพมหานคร 10900
4 พฤษภาคม 2561

เร่อื ง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดาเนินการควบคุมและเร่งรัดการดาเนินการทางวินัยข้าราชการ
ศาลยุตธิ รรม ลูกจ้าง และพนกั งานราชการศาลยุตธิ รรม

เรียน หัวหนา้ หน่วยงานในสังกดั สานักงานศาลยุติธรรม
ส่ิงทส่ี ง่ มาดว้ ย 1. แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดาเนินการควบคุมและเร่งรัดการดาเนินการทางวินัย

ข้าราชการศาลยุติธรรม ลูกจา้ ง และพนกั งานราชการศาลยตุ ิธรรม
2. แบบตรวจสานวนการพจิ ารณาเรื่องรอ้ งเรียนและการดาเนนิ การทางวนิ ัย
โดยท่ีการดาเนินการทางวินัยเป็นการกระทาทางปกครองอย่างหน่ึงอันเ ป็นผลให้เกิด
การกระทบสิทธิหรือสถานะของผู้ถูกดาเนินการทางวินัย ดังน้ัน เพ่ือให้การดาเนินการในส่วนของ
เจ้าหน้าที่ท่ีมหี น้าที่ตรวจสอบเร่ืองร้องเรียน สานวนการสืบสวน และสานวนการสอบสวน เพ่อื พิจารณา
เสนอความเห็นก่อนมีคาสั่งใด ๆ เป็นไปด้วยความถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรม และป้องกันการผิดพลาด
ในการดาเนินการ และในส่วนของผู้อานวยการสานักศาลยุติธรรมประจาภาค ผู้อานวยการสานัก
อานวยการประจาศาล และผู้อานวยการสานักงานประจาศาล ท่ีได้รับมอบอานาจในการดาเนินการ
สืบสวนข้อเท็จจริงและดาเนินการทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ให้เป็นไปโดยรวดเร็วและถูกต้อง ดังนั้น
สานกั งานศาลยุติธรรมจึงกาหนดแนวทางปฏิบตั เิ ก่ยี วกบั การดาเนนิ การควบคมุ และเร่งรดั การดาเนนิ การ
ทางวินัยข้าราชการศาลยุติธรรม ลูกจ้าง และพนักงานราชการศาลยุติธรรม เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการ
ดาเนนิ การรายละเอียดตามเอกสารสงิ่ ที่สง่ มาดว้ ย โดยใหด้ าวนโ์ หลดได้ท่ี www.ojoc.go.th
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และขอได้โปรดแจ้งให้ข้าราชการศาลยุติธรรม ลูกจ้าง
พนกั งานราชการศาลยตุ ิธรรม ในหนว่ ยงานน้ที ราบและถอื ปฏิบัตติ อ่ ไป

ขอแสดงความนับถือ การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
(ลงชือ่ ) สราวธุ เบญจกุล
(นายสราวธุ เบญจกลุ )
เลขาธกิ ารสานักงานศาลยตุ ธิ รรม

460 451

แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกบั การดําเนินการควบคุมและเรงรัด
การดําเนนิ การทางวนิ ัยขา ราชการศาลยตุ ิธรรม ลูกจาง

และพนกั งานราชการศาลยุติธรรม

1. แนวทางปฏิบตั ิภายใน ใหส าํ นกั คณะกรรมการขาราชการศาลยุติธรรม ถือเปน แนวทางปฏิบัติ ดังน้ี
(1) กรณีท่ีมีการรบั เร่ืองรองเรียนกลาวหาใหตรวจสอบขอเท็จจรงิ เบ้ืองตนใหแลวเสร็จภายใน 7 วัน

และหากจะตองสบื สวนขอ เท็จจริงก็ใหดําเนินการใหแ ลวเสรจ็ ภายใน 30 วัน นับแตวนั ทีไ่ ดรับเรอ่ื ง
(2) กรณีการตรวจ/พิจารณา การดําเนินการทางวินัย ท่ีมีระยะเวลาท่ีกฎหมายกําหนดไวเปน

การเฉพาะแลว ใหเรงรัดใหเสร็จโดยเร็ว โดยใหรายงานผลการดําเนินการทางวินัยใหสํานักงาน
ศาลยุติธรรมทราบภายใน 30 วัน นับแตวันไดรับเร่ือง แตไมเกินระยะเวลาท่ีกฎหมาย ระเบียบฯ
กาํ หนด

(3) กรณีขั้นตอนการตรวจ/พิจารณาการดําเนินการทางวินัยข้ันตอนใดที่กฎหมาย ระเบียบฯ ไมไดก ําหนด
ระยะเวลาไว เชน การสืบสวนขอเท็จจริง การแจงใหแกไขข้ันตอนการดําเนินการการสอบสวนเพ่ิมเติม
เปน ตน ใหพิจารณาดาํ เนินการภายใน 30 วนั นบั แตวนั ท่ีไดร บั เรือ่ ง

(4) จัดใหมีระบบการรายงานและติดตามผล เชน บัญชีคุมสถิติ โปรแกรมจัดเก็บรายงานระบบ
การแจงเตอื นเร่ืองวนิ ัยทคี่ าง โดยกําหนดใหม ีการระบุระยะเวลาแลวเสรจ็ เพ่อื ประโยชนใ นการติดตามดว ย

(5) หากมีการดาํ เนินการลวงเลยระยะเวลาทก่ี ําหนดตามขอ (1) (2) (3) (4) แลวยังไมมีการรายงานผล
มายงั สํานกั งานศาลยตุ ธิ รรม ใหม หี นงั สือตดิ ตามทวงถามและเรง รดั

(6) ระยะเวลาท่ีกําหนดขางตน เวนแตกรณีมีความยุงยากซับซอน หรือมีเหตุจําเปนไมอาจ
ดาํ เนนิ การใหแ ลวเสร็จภายในเวลาได ใหพจิ ารณาเปน รายกรณไี ป
2. แนวทางปฏิบตั ิใหห นว ยงานในสังกดั สํานกั งานศาลยุติธรรม ถอื เปนแนวปฏบิ ตั ิ ดังนี้

(1) กรณีท่ีมีการรับเร่ืองรองเรียนกลาวหาหรือกรณีเปนที่สงสัย ใหตรวจสอบขอเท็จจริงเบ้ืองตน
ใหแ ลว เสรจ็ ภายใน 7 วัน

(2) กรณีการสืบสวนขอเท็จจริง ใหสืบสวนและพิจารณาผลสืบสวนวามีมูลอันควรกลาวหาเพ่ือ
จะดาํ เนินการทางวินยั หรอื อาญาโดยเร็ว ซึง่ จะตองใหแลวเสร็จภายใน 30 วัน นบั แตว นั ท่ีไดรับเรอ่ื ง

(3) กรณีพิจารณาผลการสืบสวนขอเท็จจริง แลวเห็นวามีมูลอันควรกลาวหาวากระทําผิดวินัย
อยางรา ยแรงใหรายงานสาํ นักงานศาลยุติธรรมทันที

(4) กรณีพิจารณาผลการสืบสวนขอเท็จจริง แลวเห็นวามีมูลอันควรกลาวหาวากระทาํ ผิดวินัยอยาง
ไมร า ยแรง ใหเรง รัดใหเ สร็จโดยเร็ว แตไ มเกนิ ระยะเวลาทก่ี ฎหมาย ระเบยี บฯ กาํ หนด

(5) ระยะเวลาท่ีกําหนดขางตน เวนแตกรณีมีความยุงยากซับซอน หรือมีเหตุจําเปนไมอาจ
ดําเนินการใหแลวเสร็จภายในเวลาได ใหขออนุญาตเลขาธิการสํานักงานศาลยุติธรรมพิจารณาอนุญาต
ขยายระยะเวลาเปนรายกรณไี ป
3. ใหม ีการตรวจสํานวนเบอื้ งตน โดยใชแบบการตรวจสาํ นวนเปนแนวทาง ดงั น้ี

(1) แบบการตรวจรายงานกรณีรองเรียนกลาวหาหรอื กรณีเปน ที่สงสยั วากระทําผดิ วินัย (แบบ ต.1)
(2) แบบการตรวจสาํ นวนรายงานการสบื สวนขอเทจ็ จริง (แบบ ต.2)

461

461 450
(3) แบบตรวจสานวนการดาเนินการทางวินัยอยา่ งไม่ร้ายแรง (แบบ ต.3)
(4) แบบตรวจสานวนการดาเนนิ การทางวนิ ัยอย่างรา้ ยแรง (แบบ ต.4)
ทั้งนี้ ในส่วนของแบบตรวจสานวนน้ัน ให้ผู้อานวยการในฐานะผู้ได้รับมอบอานาจในการสืบสวน
ขอ้ เท็จจริงและดาเนินการทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ตรวจก่อนรายงานมายังสานักงานศาลยุติธรรม และ
เม่ือสานักคณะกรรมการข้าราชการศาลยุตธิ รรมได้รับเรื่องแล้ว ให้ตรวจสานวนก่อนเสนอผู้บังคับบัญชา
ตามลาดบั ช้ัน

การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์

462 451

462

(สาเนา)
คาสง่ั สานักงานศาลยุตธิ รรม

ที่ 109/2561
เรือ่ ง มอบอานาจการดาเนนิ การทางวินัย

ด้วยสานักงานศาลยุติธรรมได้พิจารณาเห็นว่า เพื่อให้การบริหารงานบุคคลเก่ียวกับ
การดาเนินการทางวินัยของข้าราชการศาลยุติธรรมตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. 2551 มีความคล่องตัวสนับสนุนให้การบริหารงานบุคคลของสานักศาลยุติธรรมประจาภาค
สานักอานวยการประจาศาล และสานักงานประจาศาลมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับหลักการ
กระจายอานาจในการบริหารราชการของสานักงานประจาศาลยุติธรรม จึงเห็นควรมอบอานาจในการ
ดาเนนิ การทางวินยั ของขา้ ราชการศาลยุตธิ รรมในสานกั ศาลยุตธิ รรมประจาภาค สานกั อานวยการประจา
ศาล และสานักงานประจาศาล

ฉะน้นั อาศยั อานาจตามความในมาตรา 21 (1) (2) แห่งพระราชบัญญัตริ ะเบียบบรหิ าร
ราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 ระเบียบคณะกรรมการขา้ ราชการศาลยตุ ิธรรม ว่าด้วยการบรหิ ารงาน
บคุ คลของสานักงานศาลยตุ ธิ รรม พ.ศ. 2544 ข้อ 3 ระเบียบคณะกรรมการขา้ ราชการศาลยตุ ิธรรมวา่ ดว้ ยการ
รักษาราชการแทนและการปฏิบัตริ าชการแทนในตาแหนง่ ของข้าราชการศาลยตุ ิธรรม พ.ศ. 2544 ข้อ 9 (1)
และข้อ 10 พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 90 วรรคสาม และ
หลักเกณฑ์คณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรม เร่ือง การมอบอานาจในการดาเนินการทางวินัยแก่
ข้าราชการศาลยุติธรรมจึงมอบอานาจให้แก่ ผู้อานวยการสานักศาลยุติธรรมประจาภาค ผู้อานวยการ
สานกั อานวยการประจาศาลและผู้อานวยการสานักงานประจาศาล มีอานาจดังนี้

1. ผอู้ านวยการสานักศาลยุติธรรมประจาภาค ผอู้ านวยการสานกั อานวยการประจาศาล
และผู้อานวยการสานักงานประจาศาล มีอานาจการดาเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการศาลยุติธรรม
ทอ่ี ยู่ในบังคับบัญชา ดังน้ี

(1) การสืบสวนหรือพิจารณาเบื้องต้นตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรอื น พ.ศ. 2551 มาตรา 91 ประกอบกฎ ก.พ. ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง

(2) การดาเนินการทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ได้แก่ การแต่งต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนวินัยอย่างไม่ร้ายแรง การส่ังยุติเร่ือง การสั่งลงโทษหรืองดโทษ ตามพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 92 , 96 ประกอบ กฎ ก.พ. และระเบียบ ก.พ. ท่ีเกย่ี วขอ้ ง

2. ใหก้ ารมอบอานาจมผี ลจนกว่าจะมกี ารยกเลกิ หรอื เพกิ ถอน
3. เมื่อผู้รับมอบอานาจดาเนินการเสร็จสิ้นแล้วให้รายงานผลการดาเนินการต่อ
ผู้พิพากษาซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในราชการของศาลยุติธรรมแห่งน้ัน และต่อเลขาธิการสานักงานศาล
ยุติธรรมโดยเรว็

463

463 452

4. ในกรณีท่ีผู้รับมอบอานาจเห็นว่าเป็นเรื่องสาคัญควรให้เลขาธิการสานักงาน
ศาลยตุ ิธรรมเปน็ ผู้พจิ ารณาสั่งการ ให้ผู้รับมอบอานาจเสนอเลขาธกิ ารสานักงานศาลยุติธรรมเพือ่ พิจารณาเปน็
รายกรณไี ป

อน่ึง สาหรับการดาเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการศาลยุติธรรมท่ีดาเนินการตาม
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ให้ถือตามคาสั่งสานักงานศาลยุติธรรม
ที่ 118/2545 ลงวันท่ี 22 กุมภาพนั ธ์ 2545

ทง้ั นี้ ใหม้ ผี ลตั้งแต่วนั ที่ 1 กุมภาพนั ธ์ 2561 เปน็ ต้นไป

สงั่ ณ วันท่ี 30 มกราคม พ.ศ. 2561
(ลงชอ่ื ) สราวธุ เบญจกุล
(นายสราวธุ เบญจกุล)
เลขาธกิ ารสานกั งานศาลยตุ ิธรรม

การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์

464

465

465 453

13
กำรดำเนินวนิ ยั ลกู จำ้ งและ
พนกั งำนรำชกำรศำลยตุ ธิ รรม

การดำ�เนนิ กแารลทะกาางรวสินก่งยัลเสมุ กรทามิี่ร๕จอรุทยิธธรรณร์มการรอ้ งทกุ ข์

466

466

467 457

(สําเนา)

ที่ ศย 004/ว 130 สํานกั งานศาลยุตธิ รรม
ถนนรชั ดาภิเษก เขตจตจุ กั ร
กรงุ เทพมหานคร10900

27 กุมภาพันธ 2561

เรอ่ื ง มอบอํานาจการดําเนินการทางวินยั แกพ นักงานราชการศาลยุตธิ รรม การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
เรียน หัวหนาหนว ยงานในสังกดั สํานักงานศาลยุติธรรม
สง่ิ ทส่ี งมาดวย สําเนาคําสัง่

ดว ยสํานักงานศาลยตุ ิธรรมพิจารณาแลว เห็นวา เพ่ือใหก ารบริหารงานบุคคลเก่ยี วกับการ
ดําเนินการทางวินัยของพนักงานราชการศาลยุติธรรมมีความคลองตัวสนับสนุนใหการบรหิ ารงานบุคคล
ของสาํ นักศาลยุติธรรมประจําภาค สํานักอํานวยการประจําศาล และสํานักงานประจําศาล มีประสิทธิภาพ
และสอดคลองกับหลักการกระจายอํานาจในการบรหิ ารราชการของสํานักงานศาลยุติธรรม เลขาธิการ
สํานักงานศาลยุติธรรม จึงมอบอํานาจในการดําเนินการทางวินัยแกพนักงานราชการศาลยุติธรรมใหแก
ผูอํานวยการสํานักศาลยุติธรรมประจําภาค ผอู ํานวยการสาํ นกั อํานวยการประจําศาล และผูอํานวยการ
สํานกั งานประจําศาล ดังมีรายละเอียดปรากฏตามเอกสารสิ่งทส่ี งมาดวย

สําหรับหลักการและแนวทางปฏิบัติในการมอบอํานาจการดําเนินการทางวินัยแก
พนักงานราชการศาลยุติธรรม ตามระเบียบคณะกรรมการขาราชการศาลยุติธรรม วาดวยพนักงาน
ราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2550 ดังกลาวน้ัน ใหผูอํานวยการสํานักศาลยุติธรรมประจําภาค
ผอู ํานวยการสาํ นกั อํานวยการประจาํ ศาล และผอู าํ นวยการสาํ นักงานประจําศาล มอี ํานาจดังนี้

1. การสบื สวนขอเทจ็ จริงหรือพิจารณาเบือ้ งตน ตามกฎหมายและระเบียบที่เกีย่ วขอ ง
2. การดําเนินการทางวินัยอยางไมรายแรง และการดําเนินการทางวินัยอยางรายแรง
ไดแก การแตงตงั้ คณะกรรมการสอบสวน การส่งั ยุติเรอื่ ง การสง่ั ลงโทษ แกพนักงานราชการศาลยุติธรรม
ท่ีอยูในบงั คับบัญชา ตามควรแกกรณี
3. สําหรับหลักเกณฑและวิธีการสืบสวนขอเท็จจริง การสอบสวน และวิธีปฏิบัตินอกเหนือ
จากที่กําหนดไวในระเบียบคณะกรรมการขาราชการศาลยุติธรรม วาดวยพนักงานราชการศาลยุติธรรม
พ.ศ. 2550 ขอ 25 ขอ 26 แลว ใหเ ปน ไปตามกฎหมายและระเบยี บ ทีใ่ ชบงั คบั กับขาราชการโดยอนโุ ลม
4. เมื่อผูไดรับมอบอํานาจดําเนินการเสร็จสิ้นแลว ใหรายงานผลการดําเนินการตอ
ผูพิพากษาซงึ่ เปนผูรับผิดชอบในราชการของศาลยุตธิ รรมแหงน้ัน และตอ เลขาธิการสํานักงานศาลยตุ ิธรรม
โดยจัดทําเปนสํานวนการดําเนินการทางวินัยรวมทั้งเอกสารท่ีเก่ียวของกับการพิจารณา (ฉบับจริง)
พรอ มกับสําเนาคําส่ังลงโทษ (ถา มี) ไปดวย ภายใน 5 วันทาํ การ นับแตว ันที่ดาํ เนินการแลวเสรจ็
จงึ เรยี นมาเพอ่ื โปรดทราบ และดาํ เนนิ การตอ ไป

ขอแสดงความนบั ถอื
(ลงชอื่ ) สราวุธ เบญจกุล

(นายสราวุธ เบญจกลุ )
เลขาธิการสํานกั งานศาลยตุ ธิ รรม

468 458

468

(สาํ เนา)
คาํ สั่งสาํ นักงานศาลยุตธิ รรม

ที่ 233/2561
เรอ่ื ง มอบอํานาจในการดําเนินการทางวนิ ัยแกพ นักงานราชการศาลยุตธิ รรม

ดวยสํานักงานศาลยุติธรรมพิจารณาแลวเห็นวา เพื่อใหการบริหารงานบุคคลเก่ียวกับ
การดาํ เนินการทางวินัยของพนักงานราชการศาลยุตธิ รรมมคี วามคลองตัวสนับสนุนใหการบริหารงานบุคคล
ของสํานักศาลยุติธรรมประจําภาค สํานักอาํ นวยการประจําศาล และสํานักงานประจําศาลมีประสิทธิภาพ
และสอดคลองกับหลักการกระจายอํานาจในการบรหิ ารราชการของสํานักงานศาลยุติธรรม จึงเห็นควร
มอบอํานาจในการดําเนินการทางวินัยของพนักงานราชการศาลยุติธรรมในสํานักศาลยุติธรรมประจําภาค
สาํ นกั อํานวยการประจาํ ศาล และสาํ นกั งานประจาํ ศาล

ฉะน้ัน อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 21 (2) แหงพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ
ศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 ระเบียบคณะกรรมการขาราชการศาลยุติธรรม วาดวยการบริหารงานบุคคล
ของสํานักงานศาลยุติธรรม พ.ศ. 2544 ขอ 3 ระเบียบคณะกรรมการขาราชการศาลยุติธรรม
วาดวยการรักษาราชการแทนและการปฏิบัติราชการแทนในตําแหนงของขาราชการศาลยุติธรรม
พ.ศ. 2544 ขอ 9 (1) และขอ 10 และระเบียบคณะกรรมการขาราชการศาลยุตธิ รรม วาดวยพนกั งาน
ราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2550 ขอ 25 ขอ 26 จึงมอบอํานาจดําเนินการทางวินัยแกพนักงาน
ราชการศาลยุติธรรมตามระเบียบดังกลาว ใหแกผอู ํานวยการสํานักศาลยุตธิ รรมประจําภาค ผูอํานวยการ
สํานกั อาํ นวยการประจําศาล และผูอํานวยการสํานกั งานประจาํ ศาล มอี ํานาจดงั นี้

1. การสบื สวนขอเท็จจริงหรือพิจารณาเบ้ืองตนตามกฎหมายและระเบียบทีเ่ กีย่ วของ
2. การดําเนินการทางวินัยอยางไมรายแรง และการดําเนินการทางวินัยอยางรายแรง
ไดแก การแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวน การสั่งยุติเร่ือง การสั่งลงโทษ แกพนักงานราชการศาลยุติธรรม
ท่อี ยใู นบงั คบั บญั ชา ตามควรแกกรณี
3. เมื่อผูไดรับมอบอํานาจดําเนินการเสร็จส้ินแลว ใหรายงานผลการดําเนินการตอ
ผูพิพากษาซ่ึงเปนผูรับผิดชอบในราชการของศาลยุติธรรมแหงน้ัน และรายงานตอเลขาธิการสํานักงาน
ศาลยุติธรรมโดยเรว็
4. ใหก ารมอบอํานาจมผี ลจนกวาจะมกี ารยกเลกิ หรอื เพกิ ถอน
ทงั้ น้ี ใหมีผลตง้ั แตวนั ท่ี 1 มนี าคม 2561 เปน ตน ไป

สั่ง ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ พ.ศ. 2561
(ลงชื่อ) สราวธุ เบญจกุล
(นายสราวุธ เบญจกุล)
เลขาธิการสาํ นักงานศาลยุติธรรม

467

469 454

14
กำรอทุ ธรณ์คำสง่ั ลงโทษทำงวนิ ัย และกำรรอ้ งทกุ ข์

การดำ�เนนิ กแารลทะกาางรวสินก่งยัลเสมุ กรทามิี่ร๕จอรุทยิธธรรณร์มการรอ้ งทกุ ข์



471 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์

471 457
ระเบียบคณะกรรมการข้าราชการศาลยตุ ธิ รรม
วา่ ดว้ ยการอทุ ธรณแ์ ละการพจิ ารณาอุทธรณ์

พ.ศ. 25591
___________
อาศัยอานาจตามความในมาตรา 21 (1) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ
ศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 คณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรม (ก.ศ.) โดยได้รับความเห็นชอบจาก
คณะกรรมการบรหิ ารศาลยตุ ิธรรม (ก.บ.ศ.) จึงออกระเบียบไว้ ดังตอ่ ไปนี้
ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบคณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรม ว่าด้วย
การอุทธรณ์และการพิจารณาอทุ ธรณ์ พ.ศ. 2559”
ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตง้ั แต่วันที่ 1 มิถนุ ายน 2559 เปน็ ตน้ ไป
ขอ้ 3 ให้ประธานกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรมเป็นผู้รักษาการตามระเบียบนี้ และ
ใหม้ ีอานาจตีความและวินจิ ฉัยปญั หาที่เกิดขึน้ เนือ่ งจากการใช้บงั คบั ระเบยี บน้ี
ข้อ 4 การนับระยะเวลาตามระเบียบน้ี สาหรับเวลาเร่ิมต้น ให้นับวันถัดจากวันแรก
แห่งเวลานัน้ เปน็ วันเริ่มนบั ระยะเวลา ส่วนเวลาสนิ้ สุด ถา้ วันสุดท้ายแห่งระยะเวลาตรงกบั วันหยดุ ราชการ
ให้นบั วนั เรม่ิ เปดิ ทาการใหมเ่ ป็นวันสดุ ทา้ ยแห่งระยะเวลา

หมวด 1
การอทุ ธรณ์

ข้อ 5 ข้าราชการศาลยุติธรรมผู้ใดถูกส่ังลงโทษทางวินัยหรือถูกส่ังให้ออกจากราชการ
ให้ผ้นู ัน้ มีสิทธอิ ุทธรณต์ ่อ ก.ศ. ตามหลักเกณฑ์และวิธีการทก่ี าหนดในระเบยี บนี้

ความในวรรคหน่ึง มิให้ใชบ้ งั คับกบั การถกู ส่ังใหอ้ อกจากราชการ ในกรณี ดงั ตอ่ ไปน้ี
(1) เมอ่ื ข้าราชการศาลยตุ ธิ รรมผู้ใดสมัครไปปฏิบตั งิ านใด ๆ ตามความประสงค์ของทางราชการ
(2) เม่ือทางราชการเลิกหรือยุบหน่วยงานหรือตาแหน่งทีข่ ้าราชการศาลยตุ ิธรรมปฏิบัติหน้าที่
หรือดารงอยู่ ท้ังน้ี ไม่ตัดสิทธิในการร้องทุกข์ตามระเบียบคณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรม วา่ ด้วย
การร้องทกุ ขแ์ ละการพิจารณาเรอ่ื งร้องทกุ ข์

1 ราชกจิ จานเุ บกษา เล่ม 133/ตอนที่ 48 ก/หน้า 25/1 มถิ ุนายน 2559

472

472 458
ข้อ 6 การอุทธรณ์ตอ้ งยืน่ ภายในกาหนดระยะเวลา ดังนี้
(1) สามสิบวันนับแต่วันทราบหรือถือว่าทราบคาส่ังท่ีเป็นเหตุแห่งการอุทธรณ์ สาหรับ
ผู้ถกู สงั่ ลงโทษทางวินัยหรอื ถกู สัง่ ให้ออกจากราชการ
(2) เก้าสิบวันนับแต่วันทราบหรือถือว่าทราบคาส่ังที่เป็นเหตุแห่งการอุทธรณ์ หรือ
หน่ึงปีนับแต่วันท่ีผู้ถูกส่ังลงโทษ หรือถูกส่ังให้ออกจากราชการถึงแก่ความตายก่อนทราบคาสั่ง สาหรับ
ทายาทตามข้อ 8
ข้อ 7 เพื่อประโยชน์ในการนับระยะเวลาอุทธรณ์ ให้ถือวันที่ผู้ถูกลงโทษหรือถูกสั่งให้
ออกจากราชการลงลายมือชื่อรับทราบคาสั่งเป็นวนั ทราบคาสงั่ หากผู้ถูกลงโทษหรือถกู ส่ังให้ออกจากราชการ
ไม่ยอมลงลายมือชื่อรับทราบคาสั่ง และมีการแจ้งคาสั่งให้ทราบกับมอบสาเนาคาส่ังให้ผู้ถูกลงโทษหรือ
ถูกส่ังให้ออกจากราชการ แล้วทาบันทึกลงวันเดือนปี เวลา และสถานที่ท่ีแจ้ง และลงลายมือชื่อผู้แจ้ง
พรอ้ มทัง้ พยานรู้เห็นไว้เปน็ หลักฐานแล้ว ให้ถือวนั ท่แี จง้ นัน้ เปน็ วนั ทราบคาส่ัง
ในกรณีที่ไม่อาจแจ้งให้ผู้ถูกลงโทษหรือถูกส่ังให้ออกจากราชการลงลายมือชื่อรับทราบ
คาสั่งลงโทษหรือคาส่ังให้ออกจากราชการได้โดยตรงและได้แจ้งเป็นหนังสือส่งสาเนา คาส่ังลงโทษหรือ
คาส่งั ให้ออกจากราชการโดยทางไปรษณียล์ งทะเบียนตอบรับไปให้ผ้ถู กู ลงโทษหรือผ้ถู กู ส่ังให้ออกจากราชการ
ณ ท่ีอยู่ซ่งึ ปรากฏตามหลักฐานของทางราชการ โดยส่งสาเนาคาสัง่ ไปให้สองฉบับเพอื่ ใหผ้ ู้ถกู ลงโทษหรือ
ถูกสั่งให้ออกจากราชการเก็บไว้หน่ึงฉบับ และให้ลงลายมือช่ือและวันเดือนปีท่ีรับทราบคาสั่งส่งกลับคืนมา
เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานหน่ึงฉบับ ในกรณีเช่นนี้ เม่ือล่วงพ้นสามสิบวันนับแต่วันที่ปรากฏในใบตอบรับทาง
ไปรษณีย์ลงทะเบียนว่าผู้ถูกลงโทษหรือถูกสั่งให้ออกจากราชการได้รับเอกสารดังกล่าวหรือมีผู้รับแทนแล้ว
แม้ยังไม่ได้รับสาเนาคาส่ังฉบับท่ีให้ผู้ถูกลงโทษลงลายมือชื่อและวันเดือนปีที่รับทราบคาสั่งกลับคืนมา
ใหถ้ ือวา่ ผ้ถู ูกลงโทษหรอื ถกู ส่ังให้ออกจากราชการได้ทราบคาสั่งแล้ว
ข้อ 8 การอุทธรณ์คาส่ังลงโทษทางวินัยหรือคาสั่งให้ออกจากราชการ ให้อุทธรณ์ได้
สาหรับตนเองเท่านน้ั จะอทุ ธรณแ์ ทนผอู้ ่ืนหรอื มอบหมายให้ผู้อน่ื อุทธรณ์แทนไม่ได้
ในกรณีที่ผู้ถูกส่ังลงโทษทางวินัยหรือถูกส่ังให้ออกจากราชการถึงแก่ความตายไปก่อนที่
จะใช้สิทธิอุทธรณ์เพ่ือประโยชน์แห่งความยุติธรรมทายาทผู้มีสิทธิรับบาเหน็จตกทอดของผู้นั้นมีสิทธิ
ทจี่ ะอทุ ธรณ์คาสง่ั แทนได้
ในกรณีที่มีทายาทหลายคน ทายาทเป็นผู้ไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
หากทายาทเหล่าน้ันประสงค์จะอุทธรณ์แทนตามวรรคสอง ให้นากฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครองและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยความสามารถมาเทียบเพ่ือการใช้บังคับ
แล้วแตก่ รณี โดยอนโุ ลม
ข้อ 9 ผู้มีสิทธิอุทธรณ์จะมอบหมายให้บุคคลซ่ึงบรรลุนิติภาวะแล้วทาการอุทธรณ์แทน
ไดด้ ว้ ยเหตจุ าเปน็ อยา่ งหนงึ่ อย่างใด ดังต่อไปน้ี
(1) เจบ็ ปว่ ยจนไม่สามารถอทุ ธรณด์ ว้ ยตนเองได้
(2) อยูใ่ นตา่ งประเทศและคาดหมายได้วา่ ไมอ่ าจอทุ ธรณ์ดว้ ยตนเองไดภ้ ายในเวลาท่กี าหนด
(3) มเี หตุจาเปน็ อยา่ งอื่นท่ี ก.ศ. เหน็ สมควร

473 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์

473 459
การมอบหมายตามวรรคหนึ่ง ให้ทาเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้มอบและผู้รับมอบ
ถ้าผู้มอบไม่สามารถลงลายมือช่ือได้ ให้พิมพ์ลายนิ้วมือหรือแกงได โดยมีพยานลงลายมือชื่อรับรอง
อย่างนอ้ ยสองคนและให้มหี ลกั ฐานแสดงตวั ผู้ได้รบั มอบหมายด้วย
ขอ้ 10 การอุทธรณ์ต้องทาเป็นหนังสือถึงประธานกรรมการขา้ ราชการศาลยตุ ิธรรมโดย
ใชถ้ อ้ ยคาสภุ าพและมสี าระสาคญั ดงั ตอ่ ไปนี้
(1) ชอื่ ตาแหน่ง สงั กดั และท่อี ย่สู าหรบั การติดต่อเกยี่ วกับการอุทธรณ์ของผ้อู ุทธรณ์
(2) คาส่งั ท่เี ป็นเหตุแห่งการอทุ ธรณ์ และวันที่รับทราบคาสงั่
(3) ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายท่ีผู้อุทธรณ์ยกขึ้นเป็นข้อคัดค้านคาส่ังที่เป็นเหตุแห่ง
การอุทธรณ์
(4) คาขอของผูอ้ ทุ ธรณ์
(5) ลงลายมอื ช่อื ของผอู้ ุทธรณ์
ในกรณีที่เป็นการอุทธรณ์โดยทายาท หรือผู้ได้รับมอบหมายให้อุทธรณ์แทนตาม
ข้อ 8 วรรคสาม ให้ปรับสาระสาคัญในหนังสืออุทธรณ์ให้เหมาะสมโดยอย่างน้อยต้องมีสาระสาคัญ
ให้สามารถเข้าใจได้ตาม (1) ถึง (5) และในกรณีที่ได้รับมอบหมายให้อุทธรณ์แทนให้ส่งหนังสือ
มอบหมายพรอ้ มกับอุทธรณ์
ในการอุทธรณ์ หากผู้อุทธรณ์ประสงค์จะแถลงการณ์ด้วยวาจาต่อ ก.ศ. ให้แสดง
ความประสงค์ไว้ในหนังสืออุทธรณ์ หรือจะทาเป็นหนังสือถึงประธานกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรม
โดยย่ืนหรือส่งหนังสือขอแถลงการณ์ด้วยวาจาต่อสานักคณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรมภายใน
สามสบิ วันนบั แต่วันยนื่ หรือสง่ หนงั สอื อุทธรณ์
ข้อ 11 การย่ืนอุทธรณ์ตามข้อ 10 วรรคหน่ึง ให้ย่ืนหนังสืออุทธรณ์พร้อมกับ
สาเนารับรองถกู ต้องหนึ่งฉบับต่อสานักงานศาลยุติธรรมหรือสง่ ผ่านผู้บังคับบัญชาก็ได้ และให้สานักงาน
ศาลยุติธรรมหรือผู้บังคับบัญชาดาเนินการจัดส่งอุทธรณ์พร้อมท้ังสานวนการดาเนินการทางวินัยไปยัง
เลขานุการคณะกรรมการข้าราชการศาลยตุ ิธรรมในโอกาสแรกทก่ี ระทาได้
เมื่อเลขานุการคณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรมได้รับอุทธรณ์ให้แจ้งวันรับอุทธรณ์
โดยสง่ ทางไปรษณียล์ งทะเบยี นตอบรับไปใหผ้ ูอ้ ทุ ธรณซ์ ึ่งปรากฏตามหลักฐานของทางราชการ
ในกรณีท่ีมีผู้นาหนังสืออุทธรณ์มายื่นเองให้ผู้รับหนังสือออกใบรับหนังสือประทับตรา
รับหนังสือและลงทะเบียนรับหนังสือไว้เป็นหลักฐานในวันที่รับหนังสือตามระเบียบว่าด้วยงานสารบรรณ
และให้ถือวันท่ีรับหนังสือตามหลักฐานดังกล่าวเป็นวันที่ได้รับอุทธรณ์ ในกรณีที่ผู้อุทธรณ์ส่งหนังสือ
อุทธรณ์ผ่านผู้บังคับบัญชา ให้ถือว่าวันที่ผู้บังคับบัญชารับหนังสือตามระเบียบว่าด้วยงานสารบรรณ
เปน็ วันทีไ่ ดย้ ่นื อุทธรณ์
ในกรณีที่ผู้อุทธรณ์ส่งหนังสืออุทธรณ์ทางไปรษณีย์ ให้ถือวันที่ที่ทาการไปรษณีย์ต้นทาง
ออกใบรับฝากเป็นหลักฐานฝากส่ง หรือวันที่ที่ทาการไปรษณีย์ต้นทางประทับตรารับท่ีซองหนังสือ
เป็นวันส่งหนังสืออุทธรณ์ เมื่อได้ยื่นหรือส่งหนังสืออุทธรณ์ไว้แล้ว ผู้อุทธรณ์จะยื่นหรอื ส่งคาแถลงการณ์
หรือเอกสารหลักฐานเพ่ิมเติมก่อนที่ ก.ศ. เร่ิมพิจารณาอุทธรณ์ก็ได้โดยทาเป็นหนังสือถึงประธาน
กรรมการข้าราชการศาลยุติธรรม โดยยื่นหรอื ส่งตรงต่อเลขานกุ ารคณะกรรมการข้าราชการศาลยุตธิ รรม

474

474 460
หรือสานักงานศาลยุติธรรม ในกรณีท่ีมีการย่ืนหรือส่งต่อสานักงานศาลยุติธรรมให้นาแถลงการณ์หรือ
เอกสารหลกั ฐานเพมิ่ เตมิ สง่ เลขานุการคณะกรรมการข้าราชการศาลยตุ ิธรรม เพอื่ เสนอ ก.ศ. พิจารณาโดยเรว็

ข้อ 12 เพ่ือประโยชน์ในการอุทธรณ์ ผู้จะอุทธรณ์มีสิทธิขอตรวจหรือคัดรายงาน
การสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนหรอื ของผูส้ อบสวนได้ ส่วนการขอตรวจหรอื คัดบนั ทกึ ถ้อยคาบุคคล
พยานหลักฐานอ่ืนหรือเอกสารท่ีเก่ียวข้อง ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้บงั คับบัญชาผู้สั่งลงโทษท่ีจะอนญุ าตหรือไม่
โดยใหพ้ จิ ารณาถึงประโยชนใ์ นการรกั ษาวินยั ของขา้ ราชการ ตลอดจนเหตุผลและความจาเป็น แลว้ แตก่ รณี

หมวด 2
การพจิ ารณาอทุ ธรณ์

ขอ้ 13 อุทธรณท์ ี่ ก.ศ. จะรับไว้พิจารณาได้ตอ้ งเป็นอุทธรณท์ ่ถี กู ตอ้ งในสาระสาคญั ตาม
ขอ้ 10 และยื่นหรือสง่ ภายในกาหนดเวลาตามระเบียบน้ี

ในกรณีที่ ก.ศ. เห็นว่าหนังสืออุทธรณ์ที่ย่ืนไว้ตามวรรคหนึ่งน้ัน อ่านไม่เข้าใจ
มีสาระสาคัญไม่ครบถ้วนถูกต้อง หรือไม่ลงลายมือชื่อและที่อยู่ของผู้อุทธรณ์ ก.ศ. มีอานาจส่ังให้
ผู้อุทธรณแ์ กไ้ ขภายในระยะเวลาทก่ี าหนด ถ้าผูอ้ ุทธรณม์ ไิ ด้ปฏบิ ตั ติ ามกใ็ หม้ ีมติไมร่ ับอทุ ธรณ์

อุทธรณ์ที่ย่ืนเมื่อพ้นระยะเวลาตามข้อ 6 หากกรณีมีเหตุจาเป็นเพ่ือประโยชน์แห่ง
ความยตุ ธิ รรม ก.ศ. มอี านาจรับอทุ ธรณด์ งั กลา่ วไว้พิจารณาได้

ขอ้ 14 การพิจารณาอุทธรณ์ให้ดาเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาหน่ึงร้อยย่ีสิบวัน
นับแต่วันทีเ่ ลขานกุ ารคณะกรรมการขา้ ราชการศาลยตุ ิธรรมไดร้ ับอุทธรณ์ เว้นแต่มเี หตขุ ดั ข้องทที่ าให้การ
พิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว ก็ให้ขยายระยะเวลาได้อีกไม่เกินสองครั้ง โดยแต่ละครั้ง
จะต้องไม่เกนิ หกสิบวนั และใหบ้ ันทึกเหตขุ ดั ขอ้ งให้ปรากฏไว้ดว้ ย

ข้อ 15 ผู้อุทธรณ์มีสิทธิคัดค้านกรรมการผู้พิจารณาอุทธรณ์โดยทาเป็นหนังสือ
แสดงข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุแห่งการคัดค้านย่ืนต่อประธานกรรมการข้าราชการ ศาลยุติธรรมภายใน
ระยะเวลาอทุ ธรณ์ ถา้ กรรมการผ้นู ้นั มเี หตุอยา่ งหนง่ึ อยา่ งใด ดงั ต่อไปนี้

(1) รู้เห็นเหตุการณ์ในการกระทาผิดวินัยท่ีผู้อุทธรณ์ถูกลงโทษหรือการกระทาที่
ผู้อุทธรณ์ถูกสง่ั ใหอ้ อกจากราชการ

(2) มสี ่วนได้เสียในการกระทาผิดวนิ ยั ท่ีผอู้ ุทธรณถ์ กู ลงโทษหรอื การกระทาท่ผี อู้ ทุ ธรณถ์ กู
สงั่ ให้ออกจากราชการ

(3) มสี าเหตโุ กรธเคอื งกบั ผู้อทุ ธรณ์
(4) เปน็ ผกู้ ล่าวหา หรือเป็นหรอื เคยเป็นผู้สั่งลงโทษหรอื ถูกสงั่ ใหอ้ อกจากราชการ
(5) เป็นผ้มู สี ว่ นเกีย่ วข้องกับการดาเนินการทางวนิ ัยหรอื การสงั่ ให้ออกจากราชการ
(6) มีความเกี่ยวพันทางเครือญาติหรือทางการสมรสกับบุคคลตาม (1) (2) (3) หรือ (4)
อนั อาจกอ่ ให้เกิดความไมเ่ ป็นธรรมแก่ผอู้ ทุ ธรณ์

475 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์

475 461
เม่ือประธานกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรมได้รับหนังสือคัดค้าน ให้แจ้งกรรมการ
ผู้ถูกคัดค้านทราบก่อนเริ่มพิจารณาอุทธรณ์เพื่อให้พิจารณาว่าสมควรถอนตัวหรือไม่ กรรมการ
ผู้พิจารณาอุทธรณ์ซ่ึงมีกรณีตามวรรคหน่ึง อาจขอถอนตัวจากการพิจารณาอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาต
จากประธานกรรมการข้าราชการศาลยตุ ิธรรม
กรณีทีก่ รรมการผู้ถกู คัดค้านมไิ ด้ขอถอนตัวให้ท่ีประชุม ก.ศ. พจิ ารณาข้อเท็จจรงิ ท่ีคัดคา้ น
ถ้าท่ีประชุมมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของกรรมการเห็นว่าข้อเท็จจริงน้ันน่าเช่ือถือ
ให้แจ้งกรรมการผู้นั้นทราบ และไม่ให้ร่วมพิจารณาอุทธรณ์เรื่องนั้น เว้นแต่การให้กรรมการผู้น้ัน
ร่วมพิจารณาอุทธรณ์จะเป็นประโยชน์ย่ิงกว่าเพราะจะทาให้ได้ความจริงและเป็นธรรมจะอนุญาตให้
รว่ มพิจารณาอุทธรณ์ดว้ ยกไ็ ด้
การที่กรรมการผู้พิจารณาอุทธรณ์ ผู้ถูกคัดค้านท่ีถูกส่ังไม่ให้ร่วมพิจารณาอุทธรณ์หรือ
ถอนตัวเพราะมีเหตุอันอาจถูกคัดค้านน้ัน ย่อมไม่กระทบถึงการกระทาใด ๆ ท่ีได้กระทาไปแล้ว แม้ว่า
จะไดด้ าเนนิ การหลังจากท่ีได้มกี ารย่ืนคาคดั ค้าน
ข้อ 16 การพิจารณาอุทธรณ์ให้ ก.ศ. พิจารณาจากสานวนการสืบสวนหรือการพิจารณา
ในเบือ้ งต้น และสานวนการสอบสวนหรือสานวนการดาเนินการทางวินยั และให้มีอานาจ ดงั ตอ่ ไปน้ี
(1) ในกรณีจาเป็นและสมควรอาจขอเอกสารหรือหลักฐานท่ีเก่ียวข้องเพ่ิมเติม รวมท้ัง
คาช้แี จงจากสว่ นราชการ รัฐวสิ าหกจิ หน่วยงานอืน่ ของรัฐ หา้ งหุ้นสว่ น บริษทั หรือบคุ คลใดๆ
(2) ขอให้ผ้แู ทนสว่ นราชการ รฐั วิสาหกจิ หนว่ ยงานอน่ื ของรัฐ ห้างห้นุ ส่วน บริษทั ข้าราชการ
หรอื บคุ คลใด ๆ มาใหถ้ อ้ ยคาหรอื ชแี้ จงขอ้ เทจ็ จริงเพ่ือประกอบการพจิ ารณาได้
(3) สั่งให้สานกั งานศาลยุติธรรม หรือหน่วยงานในสังกัดสานกั งานศาลยุตธิ รรมสอบสวนใหม่
หรือสอบสวนเพ่ิมเติม หรือมีคาส่ังให้ข้าราชการศาลยุติธรรม ลูกจ้าง หรือพนักงานราชการศาลยุติธรรม
มาให้ถ้อยคาหรอื สง่ เอกสาร หรอื หลักฐานท่เี ก่ียวขอ้ ง
(4) สัง่ สอบสวนใหมห่ รือสอบสวนเพ่มิ เตมิ
ในกรณีท่ี ก.ศ. เห็นว่าข้อเท็จจริงซ่ึงได้มาจากการแสวงหาเพ่ิมเติมตาม (1) ถึง (4)
อาจกระทบถึงสิทธิของผู้อุทธรณ์ให้เลขานุการคณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรมมีหนังสือแจ้ง
ผู้อุทธรณ์ให้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตน
ภายในระยะเวลาที่ ก.ศ. กาหนด
ระยะเวลาระหว่างการดาเนินการตาม (1) ถึง (4) และวรรคสองจนถึงวันท่ีเลขานุการ
คณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรมได้รับรายงานผลการดาเนินการหรือเอกสาร หรือหลักฐานหรือ
วนั ท่ีได้มกี ารให้ถอ้ ยคา หรอื ช้แี จงขอ้ เท็จจรงิ ต่อ ก.ศ. มิให้นบั เป็นระยะเวลาการพจิ ารณาอทุ ธรณ์ตามข้อ 14
ขอ้ 17 ในกรณที ่ีผอู้ ุทธรณ์ขอแถลงการณ์ด้วยวาจา หาก ก.ศ. พิจารณาเห็นว่าการแถลงการณ์
ดว้ ยวาจาไม่จาเปน็ แก่การพจิ ารณาวินจิ ฉยั อทุ ธรณ์ จะให้งดการแถลงการณด์ ว้ ยวาจากไ็ ด้ ในกรณีทนี่ ดั ให้
ผู้อุทธรณม์ าแถลงการณด์ ว้ ยวาจาต่อที่ประชุม ใหแ้ จ้งใหผ้ ู้บังคบั บญั ชาทสี่ งั่ ลงโทษหรือเพิ่มโทษทราบด้วย
ว่าหากประสงค์จะแถลงแก้ก็ให้มาแถลงหรือมอบหมายเป็นหนังสือให้ข้าราชการที่เก่ียวข้องเป็นผู้แทน
มาแถลงแก้ด้วยวาจาต่อท่ีประชุมครั้งนั้นได้ ท้ังน้ี ให้แจ้งล่วงหน้าตามควรแก่กรณี และเพ่ือประโยชน์ใน

476

476 462
การแถลงแก้ดังกล่าว ให้ผู้บังคับบัญชาท่ีส่ังลงโทษหรือเพิ่มโทษ หรือผู้แทนเข้าฟังคาแถลงการณ์ด้วยวาจา
ของผอู้ ทุ ธรณ์ได้

ข้อ 18 ในกรณีท่ีผู้อุทธรณ์ถึงแก่ความตายก่อนการวินิจฉัยอุทธรณ์ ให้รอการวินิจฉัย
อุทธรณ์น้ันออกไปจนกว่าทายาท ผจู้ ดั การมรดก หรือผูร้ ับสทิ ธิของผูน้ ั้น จะมีคาขอเข้ามาแทนทผ่ี ู้อุทธรณ์นั้น
หรือผู้มีส่วนได้เสียจะมีคาขอเข้ามา โดยมีคาขอเข้ามาเองหรือโดยท่ี ก.ศ. เรียกเข้ามาเน่ืองจากคู่กรณี
ในอุทธรณ์มคี าขอ

คาขอเข้ามาแทนทผ่ี ู้อุทธรณ์ตามวรรคสอง ให้ยื่นคาขอเปน็ หนังสือต่อ ก.ศ. ภายในกาหนด
เกา้ สบิ วัน นับแตว่ นั ที่ผู้อทุ ธรณน์ นั้ ถึงแก่ความตาย ถา้ ไมม่ ีคาขอของบุคคลดังกล่าวภายในกาหนดเวลาดังกลา่ ว
ก.ศ. จะมีคาสั่งจาหน่ายอุทธรณอ์ อกจากสารบบน้ันก็ได้

ขอ้ 19 เมอ่ื ก.ศ. ไดพ้ จิ ารณาอทุ ธรณแ์ ล้วให้มมี ติ ดังนี้
(1) กรณเี ห็นว่าการส่ังลงโทษถกู ตอ้ งและเหมาะสมแก่ความผิดแล้วใหม้ ีมตยิ กอทุ ธรณ์
(2) กรณีเห็นว่าการส่ังลงโทษไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมแก่ความผิดและเห็นว่า
ผู้อุทธรณ์ได้กระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง แต่ควรได้รับโทษหนักข้ึน ให้มีมติให้เพิ่มโทษเป็นสถานโทษ
หรืออตั ราโทษท่หี นกั ข้นึ
(3) กรณีเหน็ ว่าการส่งั ลงโทษไมถ่ ูกตอ้ งหรือไม่เหมาะสมแกค่ วามผดิ และเห็นว่าผู้อุทธรณ์
ไดก้ ระทาผดิ วนิ ัยอยา่ งไม่รา้ ยแรง แตค่ วรไดร้ ับโทษเบาลง ใหม้ มี ติให้ลดโทษเป็นสถานโทษหรอื อัตราโทษทีเ่ บาลง
(4) กรณีเห็นว่าการส่ังลงโทษไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมแก่ความผิดและเห็นว่า
ผูอ้ ทุ ธรณไ์ ดก้ ระทาผิดวนิ ัยอยา่ งไมร่ า้ ยแรง ซงึ่ เป็นการกระทาผิดวนิ ยั เล็กนอ้ ยและมเี หตอุ นั ควรงดโทษ ให้
มมี ตใิ หส้ ่ังงดโทษโดยให้ทาทัณฑ์บนเปน็ หนังสอื หรอื วา่ กลา่ วตกั เตือนกไ็ ด้
(5) กรณีเห็นว่าการส่ังลงโทษไม่ถูกต้อง และเห็นว่าการกระทาของผู้อุทธรณ์ไม่เป็น
ความผดิ วนิ ัยหรือพยานหลกั ฐานยงั ฟังไมไ่ ดว้ า่ ผูอ้ ทุ ธรณ์กระทาผดิ วนิ ัยใหม้ มี ติใหย้ กโทษ
(6) กรณีเห็นว่าการสั่งลงโทษไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมกับความผิดและเห็นว่ากรณี
มีมูลที่ควรกล่าวหาว่าผู้อุทธรณ์กระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้มีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน
ในกรณีที่เห็นว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงกรณีความผิดท่ีปรากฏชัดแจ้งตามท่ีกาหนดในกฎหมาย
ว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนหรือเห็นว่าผู้อุทธรณ์กระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงและได้มีการ
ดาเนนิ การทางวนิ ัยแลว้ ใหม้ มี ติใหเ้ พ่มิ โทษเปน็ ปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ
(7) กรณีเห็นว่าการส่ังลงโทษไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม โดยเห็นว่าผู้อุทธรณ์มีกรณีท่ี
สมควรแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหรือให้ออกจากราชการตามกฎหมายว่าดว้ ยระเบียบข้าราชการพลเรือน
ใหน้ า (6) มาใชบ้ งั คบั โดยอนุโลม
(8) กรณีเห็นว่าการส่ังให้ออกจากราชการได้ดาเนินการถูกต้องตามกฎหมาย และ
เหมาะสมแกก่ รณีแลว้ ใหม้ ีมตใิ หย้ กอทุ ธรณ์
(9) กรณเี ห็นว่าการส่งั ให้ออกจากราชการไดด้ าเนนิ การไม่ถกู ตอ้ งตามกฎหมายให้มมี ตใิ ห้
ยกเลิกคาสงั่ และให้ผู้บังคบั บญั ชาดาเนนิ การเสียใหมใ่ หถ้ ูกตอ้ ง
(10) กรณีเหน็ ว่าการส่งั ให้ออกจากราชการถกู ตอ้ งตามกฎหมายและเหน็ ว่ายงั ไมม่ ีเหตุที่
จะให้ผู้อุทธรณ์ออกจากราชการใหม้ มี ติใหย้ กเลิกคาสงั่ และใหผ้ ้อู ทุ ธรณ์กลับเขา้ รับราชการตอ่ ไป

477 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์

477 463
(11) กรณีเห็นว่าข้อความในคาส่ังลงโทษหรือคาสั่งให้ออกจากราชการไม่ถูกต้องหรือ
ไม่เหมาะสมใหม้ มี ตใิ หแ้ กไ้ ขเปลีย่ นแปลงข้อความใหเ้ ปน็ การถกู ตอ้ งเหมาะสม
(12) กรณีเห็นว่าสมควรดาเนินการโดยประการอ่ืนใด เพ่ือให้มีความถูกต้องตามกฎหมาย
และมีความเป็นธรรม หรือสมควรเยียวยาความเสียหายให้ผู้อุทธรณ์ แม้ผู้อุทธรณ์จะมิได้มีคาขอให้มีมติ
ให้ดาเนินการได้ตามควรแกก่ รณี เพ่ือประโยชนแ์ ห่งความยุติธรรม
การออกจากราชการของผู้อุทธรณ์ไม่เป็นเหตุท่ีจะยุติการพิจารณาอุทธรณ์แต่จะมีมติ
ตาม (2) หรอื (7) มิได้ และถ้าเป็นการออกจากราชการเพราะเหตกุ ารตาย จะมมี ตติ าม (6) มไิ ด้ด้วย
ในกรณีท่ีมผี ถู้ ูกลงโทษทางวนิ ัยในความผิดทไ่ี ด้กระทารว่ มกนั และเป็นความผดิ ในเรื่องเดียวกัน
โดยมพี ฤติการณ์แหง่ การกระทาอยา่ งเดียวกนั เมือ่ ผถู้ กู ลงโทษคนใดคนหน่งึ ใช้สิทธิอทุ ธรณ์คาส่ังลงโทษดังกล่าว
และผลการพิจารณาเป็นคุณแก่ผู้อุทธรณ์แม้ผู้ถูกลงโทษคนอื่น จะไม่ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ หากพฤติการณ์
ของผู้ไม่ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์เป็นเหตุในลักษณะคดี อันเป็นเหตุเดียวกับกรณีของผู้อุทธรณ์แล้วให้มีมติให้
ผ้ทู ่ีไม่ไดใ้ ช้สทิ ธิอุทธรณไ์ ด้รบั การพจิ ารณาการลงโทษให้มีผลในทางท่ีเปน็ คุณเช่นเดยี วกับผู้อุทธรณด์ ว้ ย
เม่ือคณะกรรมการสอบสวนตาม (6) หรือ (7) ได้ดาเนินการสอบสวนพิจารณาเสรจ็ สิ้น
แลว้ ใหส้ ่งเรอื่ งให้ ก.ศ. พิจารณามีมตโิ ดยเร็ว
ข้อ 20 ผู้อุทธรณ์จะขอถอนอุทธรณ์ในเวลาใด ๆ ก่อนท่ี ก.ศ. จะพิจารณาอุทธรณ์
เสร็จส้ินก็ได้โดยทาเป็นหนังสือถึงประธานกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรมยื่นต่อเลขานุการคณะกรรมการ
ข้าราชการศาลยุติธรรม แต่ถ้าผู้อุทธรณ์ถอนอุทธรณ์ด้วยวาจาให้เลขานุการคณะกรรมการข้าราชการ
ศาลยุติธรรมบันทึกไว้และจัดให้ผู้อุทธรณ์ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน เมื่อได้ถอน อุทธรณ์แล้ว
การพิจารณาอทุ ธรณ์ใหเ้ ป็นอันระงับ

หมวด 3
การดาเนนิ การตามมติ ก.ศ.

ข้อ 21 ในกรณที ่ี ก.ศ. มีมติตามข้อ 16 แลว้ ใหเ้ ลขานุการคณะกรรมการขา้ ราชการศาลยุตธิ รรม
แจ้งมติใหส้ านักงานศาลยตุ ิธรรมทราบโดยเร็ว

ให้สานักงานศาลยุติธรรมดาเนินการออกคาสั่งหรือปฏิบัติให้เป็นไปตามมตินั้นภายใน
สามสบิ วันนับแตว่ นั ทไ่ี ดร้ บั แจง้ มตจิ ากเลขานกุ ารคณะกรรมการข้าราชการศาลยตุ ิธรรม และเมือ่ ไดม้ ีการ
ดาเนินการตามมติ ก.ศ. เสร็จสิ้นแล้วให้รายงานผลการดาเนินการและจัดส่งเอกสารหลักฐาน
ท่ีเกีย่ วขอ้ งไปยงั เลขานุการคณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรมโดยเรว็

ขอ้ 22 เมื่อ ก.ศ. ได้มีมติตามข้อ 19 แล้วให้เลขานุการคณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรม
แจ้งมตใิ หผ้ ูม้ ีอานาจสั่งบรรจแุ ละแตง่ ต้งั ทราบโดยเร็ว

ให้ผู้มีอานาจส่ังบรรจุและแต่งตั้งดาเนินการออกคาส่ังหรือปฏิบัติให้เป็นไปตามมติน้ัน
ภายในสามสิบวันนับแต่วันท่ีได้รับแจ้งมติจากเลขานุการคณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรม และเม่ือ


Click to View FlipBook Version