378 367
378
หมวด 3
การสรรหา การบรรจุ และการแตง่ ตัง้
มาตรา 52 การสรรหาเพื่อให้ได้บุคคลมาบรรจุเขา้ รับราชการเป็นข้าราชการพลเรอื นสามญั
และแต่งต้ังให้ดารงตาแหน่ง ต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรมและคานึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมของ
บุคคลดังกล่าว ตลอดจนประโยชน์ของทางราชการ ทงั้ น้ี ตามทก่ี าหนดในหมวดน้ี
มาตรา 53 การบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญเพ่ือแต่งตั้ง
ให้ดารงตาแหน่งใด ให้บรรจุและแต่งตั้งจากผู้สอบแข่งขันได้ในตาแหน่งนั้น โดยบรรจุและแต่งตั้ง
ตามลาดบั ทีใ่ นบัญชีผูส้ อบแขง่ ขนั ได้
การสอบแข่งขัน การข้นึ บัญชีผู้สอบแข่งขันได้ และรายละเอยี ดเกี่ยวกับการสอบแข่งขัน
ให้เปน็ ไปตามหลกั เกณฑ์ วธิ กี าร และเงอื่ นไขท่ี ก.พ. กาหนด
ความในวรรคหน่ึงไม่ใช้บังคับกับการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการตามมาตรา 55 มาตรา 56
มาตรา 63 มาตรา 64 และมาตรา 65
มาตรา 54 ผู้สมัครสอบแข่งขันในตาแหน่งใด ต้องมีคุณสมบัติทั่วไปและไม่มีลักษณะ
ต้องห้าม หรือได้รับการยกเว้นในกรณีที่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 36 และต้องมีคุณสมบัติเฉพาะ
สาหรบั ตาแหน่งหรือไดร้ บั อนุมัตจิ าก ก.พ. ตามมาตรา 62 ดว้ ย
สาหรับผู้มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 36 ข. (1) ให้มีสิทธิสมัครสอบแข่งขันได้แต่จะ
มีสิทธิได้รับบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญท่ีสอบแข่งขันได้ต่อเมื่อพ้นจากการเป็นผู้ดารงตาแหน่ง
ทางการเมืองแล้ว
มาตรา 55 ในกรณีที่มีเหตุพิเศษ ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57
อาจคัดเลือกบรรจุบุคคลเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งโดยไม่ต้องดาเนินการสอบแข่งขัน
ตามมาตรา 53 ก็ได้ ทง้ั น้ี ตามหลักเกณฑ์ วิธกี าร และเงอื่ นไขท่ี ก.พ. กาหนด
มาตรา 56 กระทรวงหรือกรมใดมีเหตุผลและความจาเป็นอย่างย่ิง จะบรรจุบุคคลท่ีมี
ความรู้ความสามารถ และความชานาญงานสูง เข้ารับราชการและแต่งต้ังให้ดารงตาแหน่งประเภท
วิชาการ ระดับชานาญการ ชานาญการพิเศษ เชี่ยวชาญ หรือทรงคุณวุฒิ หรือตาแหน่งประเภททั่วไป
ระดับทักษะพิเศษก็ได้ ท้งั นี้ ตามหลกั เกณฑ์ วธิ กี าร และเงอื่ นไขที่ ก.พ. กาหนด
มาตรา 57การบรรจบุ ุคคลเข้ารับราชการเป็นขา้ ราชการพลเรือนสามญั และการแต่งตั้งให้
ดารงตาแหน่งตามมาตรา 53 มาตรา 55 มาตรา 56 มาตรา 63 มาตรา 64 มาตรา 65 และมาตรา 66
ให้ผู้มอี านาจดังตอ่ ไปน้ี เปน็ ผูส้ ง่ั บรรจแุ ละแต่งตง้ั
(1) การบรรจุและแต่งต้ังให้ดารงตาแหน่งประเภทบริหารระดับสูงตาแหน่งหัวหน้า
ส่วนราชการระดับกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการระดับกรมที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือรับผิดชอบ
379 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
379 368
การปฏิบัติราชการข้ึนตรงต่อนายกรัฐมนตรีหรือต่อรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดนาเสนอ
คณะรฐั มนตรีเพ่อื พิจารณาอนุมัติ เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้รฐั มนตรเี จ้าสังกัดเปน็ ผู้ส่ังบรรจุ
และให้นายกรัฐมนตรีนาความกราบบังคมทูลเพอื่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แตง่ ตง้ั
(2) การบรรจุและแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งประเภทบริหารระดับสูงตาแหน่งรองหัวหน้า
ส่วนราชการระดับกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม รองหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมที่อยู่ใน
บังคบั บัญชาหรอื รับผดิ ชอบการปฏิบัติราชการขน้ึ ตรงตอ่ นายกรัฐมนตรหี รอื ตอ่ รฐั มนตรี แล้วแตก่ รณี หรือ
ตาแหน่งอื่นที่ ก.พ. กาหนดเป็นตาแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ให้ปลัดกระทรวงผู้บังคับบัญชา หรือ
หั ว ห น้ า ส่ ว น ร าช ก าร ร ะ ดั บ ก ร ม ที่ อ ยู่ ใน บั งคั บ บั ญ ช า ห รื อ รั บ ผิ ด ช อ บ ก า รป ฏิ บั ติ รา ช ก า ร ขึ้ น ต ร ง
ต่อนายกรัฐมนตรีหรือต่อรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี เสนอรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพ่ือนาเสนอคณะรัฐมนตรี
พิจารณาอนุมัติ เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้ปลัดกระทรวงผู้บังคับบัญชา หรือหัวหน้า
ส่วนราชการระดับกรมดังกล่าวเป็นผู้สั่งบรรจุ และให้นายกรัฐมนตรีนาความกราบบังคมทูลเพื่อ
ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ แต่งต้ัง
(3) การบรรจุและแต่งต้ังให้ดารงตาแหน่งประเภทบริหารระดับต้น ให้ปลัดกระทรวง
ผู้บังคับบัญชา หรือหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมที่อยู่ในบงั คบั บัญชาหรือรับผิดชอบการปฏิบตั ิราชการ
ข้ึนตรงตอ่ นายกรฐั มนตรีหรือตอ่ รัฐมนตรี แลว้ แต่กรณี เปน็ ผู้มีอานาจสั่งบรรจแุ ละแต่งตงั้
(4) การบรรจุและแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งประเภทอานวยการ ประเภทวิชาการ
ระดบั ปฏบิ ัติการ ชานาญการ ชานาญการพิเศษ และเช่ียวชาญ และประเภททวั่ ไปในสานักงานรัฐมนตรี
ให้รฐั มนตรีเจา้ สังกัดเปน็ ผมู้ ีอานาจส่งั บรรจุและแตง่ ต้งั
(5) การบรรจุและแต่งต้ังให้ดารงตาแหน่งประเภทอานวยการระดับสูง ให้ปลัดกระทรวง
ผบู้ ังคับบัญชา หรือหัวหน้าสว่ นราชการระดับกรมที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือรับผิดชอบการปฏิบตั ิราชการ
ขึ้นตรงตอ่ นายกรัฐมนตรหี รอื ตอ่ รัฐมนตรี แลว้ แต่กรณี เป็นผ้มู อี านาจสง่ั บรรจแุ ละแตง่ ตงั้
(6) การบรรจุและแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งประเภทอานวยการระดับต้น ให้อธิบดี
ผู้บังคับบัญชาเป็นผู้มีอานาจส่ังบรรจุและแต่งต้ังเมื่อได้รับความเห็นชอบจากปลัดกระทรวง ส่วนการบรรจุ
และแต่งตัง้ ให้ดารงตาแหน่งประเภทอานวยการระดับต้นในส่วนราชการระดับกรมท่ีหัวหน้าส่วนราชการ
อยใู่ นบังคับบัญชาหรือรับผดิ ชอบการปฏิบัตริ าชการขน้ึ ตรงตอ่ นายกรฐั มนตรี หรือต่อรัฐมนตรี แลว้ แตก่ รณี
ใหอ้ ธิบดีผู้บังคับบญั ชา เปน็ ผมู้ ีอานาจสงั่ บรรจแุ ละแต่งตง้ั
(7) การบรรจุและแต่งต้ังใหด้ ารงตาแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคณุ วฒุ ิ ใหร้ ฐั มนตรี
เจ้าสังกัดนาเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้รัฐมนตรี
เจ้าสงั กดั เป็นผ้สู ั่งบรรจุ และให้นายกรฐั มนตรนี าความกราบบงั คมทูลเพ่อื ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ แตง่ ตั้ง
(8) การบรรจแุ ละแต่งตั้งใหด้ ารงตาแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ให้ปลัดกระทรวง
หรือหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมท่ีอยู่ในบังคับบัญชาหรือรับผิดชอบการปฏิบัติราชการขึ้นตรงต่อ
นายกรัฐมนตรหี รือตอ่ รฐั มนตรี แลว้ แต่กรณี เปน็ ผู้มีอานาจส่งั บรรจแุ ละแต่งตง้ั
(9) การบรรจุและแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งประเภทวิชาการระดับชานาญการพิเศษ
และตาแหนง่ ประเภทท่วั ไประดับทักษะพเิ ศษ ใหอ้ ธิบดีผู้บังคับบัญชา เป็นผูม้ ีอานาจส่ังบรรจแุ ละแต่งต้ัง
เม่ือได้รับความเห็นชอบจากปลัดกระทรวง ส่วนการบรรจุและแต่งต้ังให้ดารงตาแหน่งประเภทวิชาการ
ระดับชานาญการพิเศษ และตาแหน่งประเภทท่ัวไประดับทักษะพิเศษในส่วนราชการระดับกรม
380 369
ทห่ี ัวหนาสวนราชการอยูในบังคับบัญชาหรือรับผิดชอบการปฏิบัติราชการขึ้นตรงตอนายกรัฐมนตรีหรือ
ตอ รฐั มนตรี แลวแตก รณี ใหอ ธบิ ดผี ูบ งั คบั บัญชา เปนผูมอี ํานาจสงั่ บรรจแุ ละแตงตัง้
(10) การบรรจุและแตงตั้งใหดํารงตําแหนงประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัตกิ าร ชํานาญการ
ตําแหนงประเภทท่ัวไประดับปฏิบัติงาน ชํานาญงาน และอาวุโส ใหอธิบดีผูบังคับบัญชา หรือผูซ่ึง
ไดรับมอบหมายจากอธบิ ดผี ูบังคับบัญชา เปน ผมู อี ํานาจสงั่ บรรจแุ ละแตงตง้ั
(11) การบรรจุและแตงตั้งตามมาตรา 53 และการยายตามมาตรา 63 ใหดํารงตําแหนง
ตาม (9) ซ่ึงไมใชตําแหนงประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษ และตําแหนงตาม (10) ในราชการบริหาร
สว นภมู ภิ าค ใหผวู า ราชการจงั หวดั ผูบงั คับบัญชา เปน ผมู อี าํ นาจสง่ั บรรจแุ ละแตง ตั้ง
ในการเสนอเพ่ือแตงตั้งขาราชการพลเรือนสามัญใหดํารงตําแหนง ใหรายงานความสมควร
พรอ มทงั้ เหตผุ ล ตามหลกั เกณฑแ ละวิธกี ารท่ี ก.พ. กาํ หนดไปดวย
มาตรา 58 ขาราชการพลเรือนสามัญผูดํารงตําแหนงประเภทบริหารผูใดปฏิบัติหนาที่
เดียวติดตอกันเปนเวลาครบส่ีป ใหผูบังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 ดําเนินการใหมี
การสับเปลยี่ นหนาที่ ยาย หรือโอนไปปฏิบัติหนาที่อื่น เวนแตมีความจําเปนเพ่ือประโยชนของทางราชการ
จะขออนุมัติคณะรัฐมนตรใี หคงอยูปฏบิ ตั ิหนาทเี่ ดิมตอไปเปนเวลาไมเกินสองปก็ได ท้ังน้ี ตามหลักเกณฑ
และวธิ กี ารที่ ก.พ. กําหนด
ความในวรรคหน่ึงไมใหใชบังคับแกผูดํารงตําแหนงที่ ก.พ. กําหนดวาเปนตําแหนง
ที่มลี ักษณะงานเฉพาะอยา ง
มาตรา 59 ผูไดรับบรรจุและแตงต้ังตามมาตรา 53 วรรคหนึ่ง หรือมาตรา 55
ใหทดลองปฏิบัติหนาท่ีราชการและใหไดรับการพัฒนาเพื่อใหรูระเบียบแบบแผนของทางราชการ
และเปนขาราชการที่ดีตามทกี่ ําหนดในกฎ ก.พ.
ผูทดลองปฏิบัติหนาท่ีราชการตามวรรคหน่ึงผูใดมีผลการประเมินทดลองปฏิบัติ
หนาท่ีราชการตามท่ีกําหนดในกฎ ก.พ. ไมต่ํากวามาตรฐานที่กําหนด ใหผูบังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจ
ส่ังบรรจุตามมาตรา 57 ส่ังใหผูนั้นรับราชการตอไป ถาผูนั้นมีผลการประเมินทดลองปฏิบัติ
หนาที่ราชการตํ่ากวามาตรฐานที่กําหนด ก็ใหสั่งใหผูน้ันออกจากราชการไดไมวาจะครบกําหนด
เวลาทดลองปฏิบัติหนาท่รี าชการแลวหรอื ไมกต็ าม
ผูใดถูกสั่งใหออกจากราชการตามวรรคสอง ใหถือเสมือนวาผูนั้นไมเคยเปน
ขาราชการพลเรือนสามัญ แตท้ังน้ี ไมกระทบกระเทือนถึงการใดที่ผูนั้นไดปฏิบัติหนาที่ราชการ หรือ
การรับเงินเดือนหรือผลประโยชนอื่นใดท่ีไดรับหรือมีสิทธิจะไดรับจากทางราชการในระหวางผูนั้นอยู
ระหวางทดลองปฏิบัติหนา ท่รี าชการ
ผู อ ยู ใน ร ะ ห ว างท ด ล อ งป ฏิ บั ติ ห น าท่ี รา ช ก ารผู ใด มี ก รณี อั น มี มู ลที่ ค วรก ล าว ห า ว า
กระทําผิดวินัย ใหผูบังคับบัญชาดาํ เนินการทางวินัยตามท่ีบัญญัติไวในหมวด 7 การดําเนินการทางวินัย และ
ถาผนู ้นั มกี รณที ่จี ะตอ งออกจากราชการตามวรรคสอง กใ็ หผ ูบ ังคบั บญั ชาดาํ เนินการตามวรรคสองไปกอ น
ความในวรรคหน่ึง วรรคสอง และวรรคสามใหใชบังคับกับขาราชการหรือพนักงาน
สว นทอ งถิ่น ซงึ่ โอนมาตามมาตรา 64 ในระหวา งทยี่ งั ทดลองปฏิบัติหนา ท่ีราชการดว ยโดยอนุโลม
381 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
381 370
มาตรา 60 ข้าราชการพลเรือนสามัญซ่ึงอยู่ในระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการผู้ใด
ถูกส่ังให้ออกจากราชการตามมาตรา 111 และต่อมาปรากฏว่าผู้น้ันมีกรณีท่ีจะต้องถูกสั่งให้ออก
จากราชการตามมาตรา 59 หรือตามมาตราอื่น ก็ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57
หรือผู้มีอานาจตามมาตราอื่นน้ัน แล้วแต่กรณี มีอานาจเปล่ียนแปลงคาส่ัง เป็นให้ออกจากราชการ
ตามมาตรา 59 หรือตามมาตราอ่ืนนัน้ ได้
มาตรา 61 การแต่งต้ังข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดารงตาแหน่งในสายงาน
ท่ีไมม่ ีกาหนดไว้ในมาตรฐานกาหนดตาแหน่ง จะกระทามไิ ด้
มาตรา 62 ผู้ได้รับแต่งต้ังให้ดารงตาแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญตาแหน่งใด
ต้องมคี ณุ สมบัตติ รงตามคณุ สมบตั เิ ฉพาะสาหรบั ตาแหน่งน้นั ตามมาตรฐานกาหนดตาแหน่ง
ในกรณที ่ีมเี หตผุ ลและความจาเปน็ ก.พ. อาจอนมุ ตั ใิ หแ้ ต่งตั้งขา้ ราชการพลเรอื นสามญั ที่
มีคุณสมบัตติ า่ งไปจากคณุ สมบัตเิ ฉพาะสาหรบั ตาแหน่งตามมาตรฐานกาหนดตาแหน่งก็ได้
ในกรณที ่ี ก.พ. กาหนดใหป้ ริญญา ประกาศนียบตั รวชิ าชพี หรือคุณวุฒใิ ดเปน็ คุณสมบัตเิ ฉพาะ
สาหรบั ตาแหนง่ ใหห้ มายถงึ ปริญญา ประกาศนียบตั รวิชาชีพหรือคุณวฒุ ิที่ ก.พ. รับรอง
มาตรา 63 การย้าย การโอน หรือการเล่ือนข้าราชการพลเรือนสามัญไปแต่งตั้งให้
ดารงตาแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญในหรือต่างกระทรวงหรือกรม แล้วแต่กรณี ให้เป็นไปตามที่
กาหนดในกฎ ก.พ.
การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญ จากกระทรวงหรือกรมหน่ึง ไปแต่งต้ังให้
ดารงตาแหน่งขา้ ราชการพลเรือนสามัญในต่างประเทศสังกัดอีกกระทรวงหรือกรมหนง่ึ เป็นการช่ัวคราว
ตามระยะเวลาท่กี าหนด ให้กระทาได้ตามหลกั เกณฑแ์ ละวิธีการที่ ก.พ. กาหนด
การย้ายหรือการโอน ข้าราชการพลเรือน สามัญ ไป แต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งในระดับ
ทตี่ า่ กวา่ เดมิ จะกระทามไิ ด้ เวน้ แตจ่ ะไดร้ บั ความยนิ ยอมจากข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นน้ั
ก า ร บ ร ร จุ ข้ า ร า ช ก า ร พ ล เรื อ น ส า มั ญ ท่ี ไ ด้ อ อ ก จ า ก ร า ช ก า ร ไป เน่ื อ ง จ า ก ถู ก สั่ ง ให้
ออกจากราชการเพื่อไปรับราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร หรอื ได้รับอนุมัติจาก
คณะรัฐมนตรีให้ไปปฏิบัติงานใด ๆ ซึ่งให้นับเวลาระหว่างน้ันสาหรับการคานวณบาเหน็จบานาญ
เหมือนเต็มเวลาราชการหรือออกจากราชการไปท่ีมิใช่เป็นการออกจากราชการในระหว่างทดลอง
ปฏิบัติหน้าท่ีราชการกลับเข้ารับราชการในกระทรวงหรือกรม ตลอดจนจะส่ังบรรจุและแต่งต้ั งให้
ดารงตาแหน่งประเภทใด สายงานใด ระดับใด และให้ไดร้ ับเงินเดือนเท่าใด ให้กระทาได้ตามหลักเกณฑ์
และวธิ ีการที่ ก.พ. กาหนด
เพื่อประโยชน์ในการนับเวลาราชการตามพระราชบัญญัตินี้และตามกฎหมายว่าด้วย
บาเหน็จบานาญข้าราชการ ข้าราชการพลเรือนสามัญที่ได้ออกจากราชการไป เน่ือ งจากถูกส่ังให้
ออกจากราชการเพ่ือไปรับราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร หรือได้รับอนุมัติ
จากคณะรัฐมนตรีให้ไปปฏิบัติงานใด ๆ ซึ่งให้นับเวลาระหว่างนั้นสาหรับการคานวณบาเหน็จบานาญ
เหมือนเต็มเวลาราชการ เม่ือได้รับบรรจุกลับเข้ารับราชการให้มีสิทธินับวันรับราชการก่อนถูกส่ังให้
ออกจากราชการรวมกับวันรับราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร หรือวันท่ี
382
382 371
ได้ปฏิบัติงานใด ๆ ตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี และวันรับราชการเมื่อได้รับบรรจุ
กลับเข้ารับราชการเป็นเวลาราชการติดต่อกันเสมือนว่าผู้น้ันมิได้เคยถูกส่ังให้ออกจากราชการ สาหรับ
ผู้ซ่ึงออกจากราชการไปท่ีมิใช่เป็นการออกจากราชการในระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าท่ีราชการซ่ึงได้รับ
บรรจุกลับเข้ารับราชการตามวรรคส่ี ให้มีสิทธินับเวลาราชการก่อนออกจากราชการเพ่ือประโยชน์
ในการนบั เวลาราชการตามพระราชบญั ญตั นิ ี้
มาตรา 64 การโอนพนักงานส่วนท้องถิ่น การโอนข้าราชการท่ีไมใ่ ช่ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตามพระราชบัญญัติน้ีและไม่ใช่ข้าราชการการเมือง และการโอนเจ้าหน้าท่ีของหน่วยงานอ่ืนของรัฐ
ท่ี ก.พ. กาหนด มาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ตลอดจนจะแต่งต้ังให้ดารงตาแหน่งประเภทใด
สายงานใด ระดบั ใด และให้ไดร้ ับเงินเดือนเทา่ ใด ให้กระทาได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ี ก.พ. กาหนด
เพ่ือประโยชน์ในการนับเวลาราชการ ให้ถือเวลาราชการหรือเวลาทางานของผู้ที่โอนมา
รับราชการตามวรรคหน่ึง เปน็ เวลาราชการของขา้ ราชการพลเรือนสามัญตามพระราชบญั ญัตินด้ี ว้ ย
มาตรา 65 พนักงานสว่ นทอ้ งถิ่นซ่ึงไมใ่ ช่ออกจากงานในระหว่างทดลองปฏิบัตงิ านหรือ
ข้าราชการท่ีไม่ใช่ข้าราชการพลเรือนสามัญตามพระราชบัญญัติน้ี และไม่ใช่ข้าราชการการเมือง
ข้าราชการวิสามัญ หรือข้าราชการซ่ึงออกจากราชการในระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าท่ีราชการ
ผใู้ ด ออกจากงานหรือออกจากราชการไปแล้ว ถา้ สมัครเข้ารับราชการเปน็ ข้าราชการพลเรือนสามัญและ
ทางราชการต้องการจะรับผู้น้ันเข้ารับราชการให้ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57
พจิ ารณาโดยคานงึ ถึงประโยชน์ท่ีทางราชการจะไดร้ บั ท้งั นี้ จะบรรจแุ ละแตง่ ตง้ั ให้ดารงตาแหน่งประเภทใด
สายงานใด ระดับใด และให้ไดร้ บั เงินเดือนเทา่ ใดใหเ้ ป็นไปตามหลกั เกณฑ์และวธิ ีการท่ี ก.พ. กาหนด
เพื่อประโยชนใ์ นการนับเวลาราชการ ใหถ้ อื เวลาราชการหรอื เวลาทางานของผ้เู ข้ารับราชการ
ตามวรรคหนึ่งในขณะที่เป็นข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่นนั้นเป็นเวลาราชการของข้าราชการ
พลเรอื นสามัญตามพระราชบญั ญัติน้ดี ว้ ย
มาตรา 66 ข้าราชการพลเรอื นสามัญผ้ใู ดไดร้ บั แต่งตงั้ ใหด้ ารงตาแหน่งตามมาตรา 62 แล้ว
หากภายหลังปรากฏว่าเป็นผมู้ คี ณุ สมบตั ไิ มต่ รงตามคณุ สมบัตเิ ฉพาะสาหรบั ตาแหนง่ น้นั ให้ผบู้ งั คบั บัญชา
ซ่ึงมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 แต่งต้ังผู้นั้นให้กลับไปดารงตาแหน่งตามเดิมหรือตาแหน่งอื่น
ในประเภทเดียวกันและระดับเดียวกันโดยพลัน แต่ท้ังน้ี ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดท่ีผู้นั้น
ได้ปฏิบตั ิไปตามอานาจและหนา้ ที่ และการรบั เงินเดือนหรอื ผลประโยชน์อน่ื ใดทีไ่ ด้รับหรือมสี ทิ ธจิ ะไดร้ ับ
อยู่ก่อนได้รับคาสั่งให้กลับไปดารงตาแหน่งตามเดิมหรือตาแหน่งอ่ืนในประเภทเดียวกันและระดับ
เดยี วกัน
การรบั เงินเดือน สทิ ธแิ ละประโยชน์ของผูท้ ี่ได้รบั แตง่ ตงั้ ใหก้ ลบั ไปดารงตาแหนง่ ตามเดิม
หรือตาแหน่งอ่ืนในประเภทเดียวกันและระดับเดียวกันตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และ
วิธีการท่ี ก.พ. กาหนด
ในกรณีท่ีไม่สามารถแต่งต้ังให้กลับไปดารงตาแหน่งตามเดิมหรือตาแหน่งอื่นในประเภท
เดียวกนั และระดบั เดียวกนั ตามวรรคหนึ่งได้ ไมว่ ่าด้วยเหตใุ ดให้ ก.พ. พิจารณาเปน็ การเฉพาะราย
383 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
383 372
มาตรา 67 ผู้ได้รับบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญและแต่งต้ัง
ให้ดารงตาแหน่งใดตามมาตรา 53 วรรคหน่ึง มาตรา 55 มาตรา 56 มาตรา 63 มาตรา 64 และ
มาตรา 65 หากภายหลังปรากฏว่าขาดคุณสมบัติทั่วไปหรือมีลักษณะต้องห้ามโดยไม่ได้รับการยกเว้น
ตามมาตรา 36 หรือขาดคุณสมบัติเฉพาะสาหรับตาแหน่งนั้นโดยไม่ได้รับอนุมัติจาก ก.พ.
ตามมาตรา 62 อยู่ก่อนก็ดี มีกรณีต้องหาอยู่ก่อนและภายหลังเป็นผู้ขาดคุณสมบัติเน่ืองจากกรณี
ตอ้ งหานั้นก็ดี ให้ผบู้ ังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 ส่ังให้ผู้น้ันออกจากราชการโดยพลัน
แตท่ ้ังน้ี ไมก่ ระทบกระเทือนถึงการใดที่ผนู้ นั้ ได้ปฏบิ ัติไปตามอานาจและหนา้ ท่ี และการรับเงนิ เดือนหรือ
ผลประโยชน์อื่นใดที่ได้รับหรือมีสิทธิจะได้รับจากทางราชการก่อนมี คาสั่งให้ออกนั้นและ
ถา้ การเขา้ รับราชการเป็นไปโดยสุจรติ แล้วให้ถอื ว่าเป็นการสง่ั ใหอ้ อกเพ่ือรับบาเหนจ็ บานาญเหตุทดแทน
ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยบาเหนจ็ บานาญข้าราชการ
มาตรา 68 ในกรณีท่ีตาแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญว่างลง หรือผู้ดารงตาแหน่ง
ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ราชการได้ และเป็นกรณีท่ีมิได้บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหาร
ราชการแผ่นดิน ให้ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 มีอานาจสั่งให้ข้าราชการพลเรือน
ทเี่ หน็ สมควรรักษาการในตาแหน่งนัน้ ได้
ผู้รักษาการในตาแหน่งตามวรรคหน่ึง ให้มีอานาจหน้าท่ีตามตาแหน่งที่รักษาการนั้น
ในกรณที มี่ กี ฎหมายอืน่ กฎ ระเบียบ ขอ้ บงั คบั มติของคณะรฐั มนตรี มตคิ ณะกรรมการตามกฎหมายหรอื
คาสั่งผู้บังคับบัญชา แต่งต้ังให้ผู้ดารงตาแหน่งนั้น ๆ เป็นกรรมการ หรือให้มีอานาจหน้าท่ีอย่างใด
ก็ให้ผู้รักษาการในตาแหน่งทาหน้าที่กรรมการ หรือมีอานาจหน้าที่อย่างนั้นในระหว่างที่รักษาการ
ในตาแหน่ง แลว้ แต่กรณี
มาตรา 69 ในกรณีที่มีเหตุผลความจาเป็น ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจส่ังบรรจุ
ตามมาตรา 57 มีอานาจสั่งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ประจาส่วนราชการเป็นการชั่วคราวโดยให้
พน้ จากตาแหนง่ หนา้ ทเี่ ดิมไดต้ ามทีก่ าหนดในกฎ ก.พ.
การให้ได้รับเงินเดือน การแต่งต้ัง การเลื่อนเงินเดือน การดาเนินการทางวินัย และการออก
จากราชการของขา้ ราชการพลเรือนสามัญตามวรรคหน่งึ ให้เป็นไปตามท่ีกาหนดในกฎ ก.พ.
มาตรา 70 ในกรณีที่มีเหตุผลความจาเป็น ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุ
ตามมาตรา 57 มีอานาจส่ังให้ข้าราชการพลเรือนสามัญพ้นจากตาแหน่งหน้าท่ีและขาดจาก
อัตราเงินเดือนในตาแหน่งเดิมโดยให้รับเงินเดือนในอัตรากาลังทดแทนโดยมีระยะเวลาตามที่ ก.พ.
กาหนดได้ ท้งั น้ี ให้เปน็ ไปตามหลักเกณฑแ์ ละวิธีการท่กี าหนดในกฎ ก.พ.
การให้พ้นจากตาแหน่ง การให้ได้รับเงินเดือน การแต่งต้ัง การเล่ือนเงินเดือน
การดาเนินการทางวนิ ัย และการออกจากราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไป
ตามท่กี าหนดในกฎ ก.พ.
ในกรณีท่ีหมดความจาเป็นหรือครบกาหนดระยะเวลาการใหร้ ับเงินเดอื นในอตั รากาลังทดแทน
ให้ผู้บังคับบัญ ชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 สั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้น้ัน
384
384 373
พ้นจากการรับเงินเดือนในอัตรากาลังทดแทนและแต่งต้ังให้ดารงตาแหน่งตามเดิมหรือตาแหน่งอ่ืน
ในประเภทเดียวกันและระดบั เดยี วกนั
มาตรา 71 ในกรณีท่ีศาลปกครองมีคาพิพากษาถึงที่สุดส่ังให้เพิกถอนคาส่ังแต่งตั้ง
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้เป็นหน้าท่ีของ ก.พ. โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการสั่งการ
ตามสมควรเพอ่ื เยียวยาและแกไ้ ขหรอื ดาเนินการตามท่ีเหน็ สมควรได้
หมวด 4
การเพ่มิ พูนประสิทธิภาพและ
เสรมิ สรา้ งแรงจงู ใจในการปฏบิ ัติราชการ
มาตรา 72 ให้ส่วนราชการมีหน้าที่ดาเนินการให้มีการเพิ่มพูนประสิทธิภาพและ
เสริมสร้างแรงจูงใจแก่ข้าราชการพลเรือนสามัญ เพ่ือให้ข้าราชการพลเรือนสามัญมีคุณภาพ คุณธรรม
จริยธรรม คุณภาพชีวิต มีขวัญและกาลังใจในการปฏิบัติราชการให้เกิดผลสัมฤทธ์ิต่อภารกิจของรัฐ
ทง้ั นี้ ตามหลกั เกณฑแ์ ละวิธกี ารที่ ก.พ. กาหนด
ในกรณีที่เห็นสมควร และเพื่อการประหยัด สานักงาน ก.พ. จะจัดให้มีการเพิ่มพูน
ประสิทธิภาพและเสรมิ สรา้ งแรงจงู ใจแทนส่วนราชการตามวรรคหนึง่ กไ็ ด้
มาตรา 73 ผู้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติตนต่อผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอย่างมีคุณธรรมและ
เทย่ี งธรรมและเสรมิ สร้างแรงจูงใจใหผ้ ู้อยใู่ ต้บงั คับบญั ชาดารงตนเป็นข้าราชการทีด่ ี
มาตรา 74 ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดประพฤติตนอยู่ในจรรยาและระเบียบวินัย
และปฏิบัติราชการอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณา
เลื่อนเงินเดือนให้ตามควรแก่กรณีตามท่ีกาหนดในกฎ ก.พ. และจะให้บาเหน็จความชอบอย่างอ่ืน
ซึ่งอาจเปน็ คาชมเชย เครือ่ งเชดิ ชูเกยี รติ หรือรางวัลด้วยก็ได้
มาตรา 75 การให้ข้าราชการพลเรือนสามัญไปศึกษาเพ่ิมเติม ฝึกอบรม ดูงาน หรือ
ปฏิบัติการวจิ ยั ในประเทศหรือต่างประเทศ ใหเ้ ป็นไปตามหลกั เกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขที่ ก.พ. กาหนด
มาตรา 76 ให้ผู้บังคับบัญชามีหน้าท่ีประเมินผลการปฏิบัติราชการของผู้อยู่ใต้บังคับ
บัญชาเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาแต่งตั้ง และเล่ือนเงินเดือน ทั้งน้ี ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ.
กาหนด
ผลการประเมินตามวรรคหนึ่งให้นาไปใช้เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาและเพิ่มพูน
ประสทิ ธภิ าพการปฏิบตั ริ าชการด้วย
385 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
385 374
มาตรา 77 ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดถึงแก่ความตายเน่ืองจากการปฏิบัติหน้าที่
ราชการ ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาเล่ือนเงินเดือนให้ผู้นั้นเป็นกรณีพิเศษเพ่ือประโยชน์ในการคานวณ
บาเหน็จบานาญหรอื ให้ได้รับสิทธปิ ระโยชน์อ่นื ตามระเบียบทีค่ ณะรัฐมนตรกี าหนด
หมวด 5
การรกั ษาจรรยาข้าราชการ
มาตรา 78 ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องรักษาจรรยาข้าราชการตามท่ีส่วนราชการ
กาหนดไว้โดยมุ่งประสงค์ให้เป็นข้าราชการท่ีดี มีเกียรติและศักด์ิศรีความเป็นข้าราชการ โดยเฉพาะ
ในเรือ่ งดงั ต่อไปนี้
(1) การยึดม่นั และยนื หยดั ทาในส่งิ ท่ีถูกตอ้ ง
(2) ความซ่ือสตั ย์สุจรติ และความรับผดิ ชอบ
(3) การปฏบิ ตั หิ นา้ ทีด่ ว้ ยความโปรง่ ใสและสามารถตรวจสอบได้
(4) การปฏบิ ตั ิหน้าท่โี ดยไมเ่ ลือกปฏบิ ตั ิอยา่ งไมเ่ ป็นธรรม
(5) การมุ่งผลสมั ฤทธขิ์ องงาน
ให้ส่วนราชการกาหนดข้อบังคับว่าด้วยจรรยาข้าราชการเพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะ
ของงานในสว่ นราชการนน้ั ตามหลักวิชาและจรรยาวชิ าชพี
ในการกาหนดข้อบังคับว่าด้วยจรรยาข้าราชการตามวรรคสอง ให้จัดให้มีการรับฟัง
ความคดิ เหน็ ของขา้ ราชการและประกาศใหป้ ระชาชนทราบดว้ ย
มาตรา 79 ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดไม่ปฏิบัติตามจรรยาข้าราชการอันมิใช่
เปน็ ความผิดวนิ ัย ให้ผบู้ ังคับบญั ชาตกั เตอื น นาไปประกอบการพิจารณาแต่งตั้งเลอื่ นเงินเดอื น หรอื สัง่ ให้
ขา้ ราชการผูน้ ั้นไดร้ บั การพฒั นา
หมวด 6
วินัยและการรกั ษาวนิ ัย
มาตรา 80 ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องรักษาวินัยโดยกระทาการหรือไม่กระทาการ
ตามท่บี ญั ญัติไวใ้ นหมวดนโี้ ดยเคร่งครดั อยเู่ สมอ
ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ปฏิบัติราชการในต่างประเทศนอกจากต้องรักษาวินัยตามที่
บญั ญตั ไิ วใ้ นหมวดนแ้ี ล้ว ต้องรักษาวนิ ยั โดยกระทาการหรือไมก่ ระทาการตามท่ีกาหนดในกฎ ก.พ. ดว้ ย
มาตรา 81 ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริยท์ รงเปน็ ประมขุ ดว้ ยความบรสิ ทุ ธ์ใิ จ
386
386 375
มาตรา 82 ขา้ ราชการพลเรือนสามัญตอ้ งกระทาการอันเป็นข้อปฏบิ ตั ิดังตอ่ ไปนี้
(1) ตอ้ งปฏิบตั หิ น้าที่ราชการด้วยความซ่ือสัตย์ สุจริต และเท่ยี งธรรม
(2) ต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ
มตขิ องคณะรฐั มนตรี นโยบายของรฐั บาล และปฏบิ ตั ิตามระเบยี บแบบแผนของทางราชการ
(3) ต้องปฏิบัติหน้าท่ีราชการให้เกิดผลดีหรือความก้าวหน้าแก่ราชการด้วยความต้ังใจ
อตุ สาหะ เอาใจใส่ และรักษาประโยชน์ของทางราชการ
(4) ต้องปฏบิ ัตติ ามคาสงั่ ของผูบ้ ังคับบญั ชาซง่ึ สง่ั ในหน้าท่รี าชการ โดยชอบดว้ ยกฎหมาย
และระเบียบของทางราชการ โดยไม่ขัดขืนหรือหลีกเล่ียง แต่ถ้าเห็นว่าการปฏิบัติตามคาส่ังนั้นจะทาให้
เสยี หายแก่ราชการ หรือจะเป็นการไม่รักษาประโยชน์ของทางราชการจะต้องเสนอความเหน็ เปน็ หนังสอื ทันที
เพ่ือให้ผู้บังคับบัญชาทบทวนคาส่ังนั้น และเม่ือได้เสนอความเห็นแล้ว ถ้าผู้บังคับบัญชายืนยันให้ปฏิบัติ
ตามคาสัง่ เดมิ ผู้อยใู่ ต้บังคับบญั ชาตอ้ งปฏิบตั ติ าม
(5) ตอ้ งอทุ ิศเวลาของตนให้แกร่ าชการ จะละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าทร่ี าชการมไิ ด้
(6) ต้องรักษาความลับของทางราชการ
(7) ต้องสุภาพเรียบร้อย รักษาความสามัคคีและต้องช่วยเหลือกันในการปฏิบัติราชการ
ระหว่างขา้ ราชการดว้ ยกนั และผูร้ ว่ มปฏบิ ตั ริ าชการ
(8) ต้องต้อนรับ ให้ความสะดวก ให้ความเป็นธรรม และให้การสงเคราะห์แก่ประชาชน
ผตู้ ิดตอ่ ราชการเกีย่ วกับหนา้ ท่ขี องตน
(9) ต้องวางตนเป็นกลางทางการเมืองในการปฏิบัติหน้าท่ีราชการและในการปฏิบัติการอื่น
ท่ีเกี่ยวข้องกับประชาชน กับจะต้องปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการว่าด้วยมารยาททางการเมือง
ของข้าราชการดว้ ย
(10) ต้องรักษาชื่อเสียงของตน และรักษาเกียรติศักด์ิของตาแหน่งหน้าท่ีราชการ
ของตนมิให้เส่อื มเสีย
(11) กระทาการอนื่ ใดตามทีก่ าหนดในกฎ ก.พ.
มาตรา 83 ขา้ ราชการพลเรอื นสามัญต้องไม่กระทาการใดอันเปน็ ข้อหา้ ม ดงั ต่อไปน้ี
(1) ต้องไม่รายงานเท็จต่อผู้บังคับบญั ชา การรายงานโดยปกปิดข้อความซงึ่ ควรต้องแจ้ง
ถอื วา่ เปน็ การรายงานเท็จด้วย
(2) ต้องไม่ปฏิบัติราชการอันเป็นการกระทาการข้ามผู้บังคับบัญชาเหนือตน เว้นแต่
ผบู้ ังคับบัญชาเหนอื ตนขน้ึ ไปเปน็ ผู้สง่ั ให้กระทาหรือไดร้ ับอนุญาตเป็นพเิ ศษช่วั ครงั้ คราว
(3) ตอ้ งไมอ่ าศัยหรือยอมใหผ้ ู้อ่ืนอาศัยตาแหนง่ หน้าทร่ี าชการของตนหาประโยชน์ใหแ้ ก่
ตนเองหรือผอู้ นื่
(4) ตอ้ งไมป่ ระมาทเลินเล่อในหนา้ ทรี่ าชการ
(5) ต้องไม่กระทาการหรือยอมให้ผู้อ่ืนกระทาการหาผลประโยชน์อันอาจทาให้
เสยี ความเทีย่ งธรรมหรอื เส่ือมเสียเกยี รตศิ ักด์ขิ องตาแหนง่ หน้าทรี่ าชการของตน
(6) ต้องไม่เปน็ กรรมการผู้จดั การ หรอื ผู้จัดการ หรือดารงตาแหน่งอ่นื ใดทมี่ ลี ักษณะงาน
คล้ายคลึงกนั น้ันในห้างหุน้ ส่วนหรอื บรษิ ทั
(7) ต้องไม่กระทาการอยา่ งใดทเ่ี ป็นการกลนั่ แกล้ง กดขี่ หรอื ข่มเหงกันในการปฏิบตั ิราชการ
387 376 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
(8) ตอ งไมก ระทําการอันเปนการลวงละเมดิ หรอื คกุ คามทางเพศตามที่กําหนดในกฎ ก.พ.
(9) ตอ งไมดูหมิ่น เหยยี ดหยาม กดขี่ หรอื ขมเหงประชาชนผูติดตอราชการ
(10) ไมกระทําการอื่นใดตามท่กี าํ หนดในกฎ ก.พ.
มาตรา 84 ขาราชการพลเรือนสามัญผูใ ดไมปฏิบัติตามขอปฏิบัติตามมาตรา 81 และ
มาตรา 82 หรอื ฝาฝน ขอหามตามมาตรา 83 ผนู น้ั เปนผูกระทําผดิ วินยั
มาตรา 85 การกระทําผดิ วินยั ในลกั ษณะดงั ตอ ไปน้ี เปนความผดิ วินัยอยา งรายแรง
(1) ปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบเพ่ือใหเกิดความเสียหาย
อยางรายแรงแกผหู นง่ึ ผูใด หรอื ปฏบิ ตั ิหรอื ละเวน การปฏิบัตหิ นาท่ีราชการโดยทุจรติ
(2) ละทิ้งหรือทอดทิ้งหนาที่ราชการโดยไมมีเหตุผลอันสมควรเปนเหตุใหเสียหาย
แกร าชการอยา งรายแรง
(3) ละทิ้งหนาที่ราชการติดตอในคราวเดียวกันเปนเวลาเกินสบิ หาวันโดยไมมเี หตุอันสมควร
หรอื โดยมีพฤติการณอันแสดงถึงความจงใจไมป ฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ
(4) กระทาํ การอันไดช อื่ วาเปนผูประพฤติชว่ั อยางรา ยแรง
(5) ดหู มิน่ เหยียดหยาม กดขี่ ขมเหง หรือทาํ รา ยประชาชนผูติดตอราชการอยางรา ยแรง
(6) กระทําความผิดอาญาจนไดรับโทษจําคกุ หรือโทษที่หนักกวาโทษจําคุกโดยคําพิพากษา
ถึงที่สุดใหจําคุกหรือใหรับโทษท่ีหนักกวาโทษจําคุก เวนแตเปนโทษสําหรับความผิดท่ีไดกระทําโดย
ประมาทหรือความผดิ ลหโุ ทษ
(7) ละเวนการกระทําหรือกระทําการใด ๆ อันเปนการไมปฏิบัติตามมาตรา 82 หรือ
ฝาฝน ขอหา มตามมาตรา 83 อันเปนเหตใุ หเ สียหายแกราชการอยางรายแรง
(8) ละเวน การกระทําหรือกระทําการใด ๆ อันเปนการไมปฏิบัติตามมาตรา 80 วรรคสองและ
มาตรา 82 (11) หรือฝา ฝนขอ หา มตามมาตรา 83 (10) ทีม่ ีกฎ ก.พ. กําหนดใหเปนความผดิ วนิ ยั อยา งรายแรง
มาตรา 86 กฎ ก.พ. ตามมาตรา 80 วรรคสอง มาตรา 82 (11) มาตรา 83 (8)
และ (10) และมาตรา 85 (8) ใหใ ชส าํ หรบั การกระทําที่เกิดข้ึนภายหลังจากที่กฎ ก.พ. ดังกลาวใชบ งั คบั
มาตรา 87 ใหผูบังคบั บัญชามีหนาท่ีเสรมิ สรา งและพัฒนาใหผูอยูใตบังคับบัญชามีวินัย
และปองกันมิใหผ อู ยใู ตบังคับบัญชากระทําผิดวินยั ทัง้ นี้ ตามหลักเกณฑแ ละวธิ ีการที่ ก.พ. กําหนด
มาตรา 88 ขาราชการพลเรือนสามญั ผูใดกระทําผิดวินัย จะตองไดรับโทษทางวินัย เวนแต
มีเหตุอันควรงดโทษตามท่ีบัญญตั ไิ วใ นหมวด 7 การดาํ เนนิ การทางวินยั
โทษทางวินยั มี 5 สถาน ดังตอ ไปนี้
(1) ภาคทัณฑ
(2) ตัดเงินเดอื น
(3) ลดเงนิ เดือน
(4) ปลดออก
388
388 377
(5) ไล่ออก
มาตรา 89 การลงโทษข้าราชการพลเรือนสามัญให้ทาเป็นคาส่ัง ผู้ส่ังลงโทษ
ต้องสั่งลงโทษให้เหมาะสมกับความผิดและต้องเป็นไปด้วยความยุติธรรมแล ะโดยปราศจากอคติ
โดยในคาสัง่ ลงโทษให้แสดงว่าผถู้ ูกลงโทษกระทาผดิ วินยั ในกรณใี ดและตามมาตราใด
หมวด 7
การดาเนนิ การทางวนิ ัย
มาตรา 90 เมื่อมีการกล่าวหาหรือมีกรณีเป็นท่ีสงสัยว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใด
กระทาผดิ วนิ ัย ให้ผู้บงั คบั บัญชามีหนา้ ท่ีตอ้ งรายงานให้ผู้บงั คับบัญชาซ่งึ มอี านาจสงั่ บรรจุตามมาตรา 57
ทราบโดยเร็ว และให้ผู้บังคบั บญั ชาซง่ึ มีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 ดาเนินการตามพระราชบัญญัตินี้
โดยเรว็ ด้วยความยตุ ธิ รรมและโดยปราศจากอคติ
ผู้บังคับบัญชาหรือผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 ผู้ใดละเลย
ไมป่ ฏิบตั ิหนา้ ทต่ี ามวรรคหนึ่ง หรือปฏิบัตหิ นา้ ที่โดยไม่สุจรติ ให้ถอื วา่ ผู้นนั้ กระทาผิดวินัย
อานาจหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 ตามหมวดน้ี
ผบู้ ังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 จะมอบหมายให้ผู้บังคับบัญชาระดับต่าลงไปปฏิบัติแทน
ตามหลกั เกณฑ์ที่ ก.พ. กาหนดกไ็ ด้
มาตรา 91 เม่อื ได้รบั รายงานตามมาตรา 90 หรอื ความดังกลา่ วปรากฏต่อผู้บังคับบัญชา
ซ่งึ มีอานาจส่ังบรรจตุ ามมาตรา 57 ให้ผู้บังคับบัญชาซ่งึ มีอานาจส่ังบรรจตุ ามมาตรา 57 รีบดาเนินการ
หรือสั่งให้ดาเนินการสืบสวนหรือพิจารณาในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าผู้น้ันกระทาผิดวินัย
หรือไม่ ถา้ เห็นว่ากรณีไม่มีมลู ทค่ี วรกล่าวหาวา่ กระทาผดิ วินัยก็ใหย้ ุติเรือ่ งได้
ในกรณีท่ีเห็นว่ามีมูลท่ีควรกล่าวหาว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาผิดวินัย
โดยมีพยานหลกั ฐานในเบอื้ งต้นอยแู่ ล้ว ให้ดาเนนิ การตอ่ ไปตามมาตรา 92 หรือมาตรา 93 แลว้ แต่กรณี
มาตรา 92 ในกรณีท่ีผลการสืบสวนหรือพิจารณาตามมาตรา 91 ปรากฏว่ากรณีมีมูล
ถ้าความผิดนั้นมิใช่เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง และได้แจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐาน
ให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ พร้อมท้ังรับฟังคาชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหาแล้วผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุ
ตามมาตรา 57 เห็นว่าผู้ถกู กล่าวหาได้กระทาผิดตามขอ้ กล่าวหา ใหผ้ ู้บังคบั บัญชาสั่งลงโทษตามควรแก่กรณี
โดยไม่ตัง้ คณะกรรมการสอบสวนก็ได้
ในกรณีตามวรรคหนึ่ง ถ้าผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 เห็นว่า
ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กระทาผดิ ตามข้อกลา่ วหา ใหผ้ ู้บงั คบั บัญชาดงั กล่าวส่งั ยุตเิ รอ่ื ง
389 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
389 378
มาตรา 93 ในกรณีท่ีผลการสืบสวนหรือพิจารณาตามมาตรา 91 ปรากฏว่ากรณีมีมูล
อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 แต่งต้ัง
คณะกรรมการสอบสวน ในการสอบสวนต้องแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ
พร้อมทั้งรับฟังคาชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหา เม่ือคณะกรรมการสอบสวนดาเนินการเสร็จ ให้รายงานผล
การสอบสวนและความเหน็ ตอ่ ผบู้ งั คบั บัญชาซง่ึ มีอานาจสัง่ บรรจตุ ามมาตรา 57
ถา้ ผูบ้ งั คับบัญชาซงึ่ มอี านาจสงั่ บรรจตุ ามมาตรา 57 เห็นวา่ ผ้ถู กู กล่าวหาไมไ่ ด้กระทาผิด
ตามข้อกล่าวหา ให้สั่งยุติเร่ือง แต่ถ้าเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทาผิดตามข้อกล่าวหา ให้ดาเนินการต่อไป
ตามมาตรา 96 หรอื มาตรา 97 แล้วแต่กรณี
มาตรา 94 การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนสาหรับกรณที ี่ขา้ ราชการพลเรือนสามัญ
ตาแหน่งตา่ งกัน หรอื ตา่ งกรมหรือตา่ งกระทรวงกันถกู กลา่ วหาวา่ กระทาผดิ วนิ ัยรว่ มกันใหด้ าเนนิ การ ดังต่อไปนี้
(1) สาหรับข้าราชการพลเรือนสามัญในกรมเดียวกัน ที่อธิบดีหรือปลัดกระทรวง
ถกู กล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยร่วมกับผู้อยู่ใต้บังคับบญั ชา ให้ปลัดกระทรวงหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
แล้วแตก่ รณี เปน็ ผูส้ ัง่ แตง่ ตง้ั คณะกรรมการสอบสวน
(2) สาหรับข้าราชการพลเรือนสามัญต่างกรมในกระทรวงเดียวกันถูกกล่าวหาว่า
กระทาผิดวินัยร่วมกัน ให้ปลัดกระทรวงเป็นผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน เว้นแต่เป็นกรณีท่ี
ปลัดกระทรวงถูกกลา่ วหารว่ มด้วย ใหร้ ัฐมนตรีวา่ การกระทรวงเป็นผูส้ งั่ แต่งต้งั คณะกรรมการสอบสวน
(3) สาหรับข้าราชการพลเรือนสามญั ต่างกระทรวงกันถูกกล่าวหาว่ากระทาผดิ วนิ ัยรว่ มกัน
ให้ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 ร่วมกันแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน เว้นแต่
เป็นกรณีที่มีผู้ถูกกล่าวหาดารงตาแหน่งประเภทบริหารระดับสูงร่วมด้วย ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้สั่งแต่งตั้ง
คณะกรรมการสอบสวน
(4) สาหรับกรณอี ่นื ให้เป็นไปตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.
มาตรา 95 หลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาเกี่ยวกับการดาเนินการทางวินัย
ให้เปน็ ไปตามท่ีกาหนดในกฎ ก.พ.
ในกรณีท่ีเป็นความผิดที่ปรากฏชัดแจ้งตามท่ีกาหนดในกฎ ก.พ. จะดาเนินการทางวินัย
โดยไม่ตอ้ งสอบสวนก็ได้
มาตรา 96 ขา้ ราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาผิดวินัยอย่างไมร่ ้ายแรง ให้ผูบ้ ังคับบัญชา
ซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 สั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือนหรือลดเงินเดือนตามควรแก่กรณี
ให้เหมาะสมกบั ความผิด
ในกรณีมีเหตุอันควรลดหย่อน จะนามาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ แต่สาหรับ
การลงโทษภาคทัณฑใ์ ห้ใช้เฉพาะกรณกี ระทาผิดวนิ ัยเลก็ น้อย
ในกรณีกระทาผิดวินัยเล็กน้อยและมีเหตุอันควรงดโทษ จะงดโทษให้โดยให้ทาทัณฑ์บน
เป็นหนังสอื หรอื วา่ กล่าวตกั เตือนกไ็ ด้
การลงโทษตามมาตราน้ี ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 จะมีอานาจ
สงั่ ลงโทษผอู้ ยใู่ ตบ้ ังคบั บญั ชาในสถานโทษและอตั ราโทษใดได้เพียงใด ใหเ้ ป็นไปตามทกี่ าหนดในกฎ ก.พ.
390
390 379
มาตรา 97 ภายใต้บังคับวรรคสอง ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาผิดวินัย
อย่างร้ายแรง ให้ลงโทษปลดออกหรือไล่ออกตามความร้ายแรงแห่งกรณี ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อน
จะนามาประกอบการพจิ ารณาลดโทษกไ็ ด้ แตห่ ้ามมิใหล้ ดโทษลงต่ากว่าปลดออก
ในกรณที ่คี ณะกรรมการสอบสวนหรอื ผสู้ ่งั แตง่ ตัง้ คณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 93
วรรคหน่ึง หรือผู้มอี านาจตามมาตรา 94 เห็นว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ใหผ้ ้บู งั คับบัญชาซ่ึงมีอานาจสง่ั บรรจุตามมาตรา 57 ส่งเรอื่ งให้ อ.ก.พ. จังหวัด อ.ก.พ. กรม หรอื อ.ก.พ.
กระทรวง ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาสังกัดอยู่ แล้วแต่กรณี พิจารณาเมื่อ อ.ก.พ. ดังกล่าวมีมติเป็นประการใด
ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 สั่งหรือปฏิบัติให้เป็นไปตามน้ัน ทั้งน้ี ตามหลักเกณฑ์
และวิธกี ารทก่ี าหนดในกฎ ก.พ.
ในกรณีท่ีผู้บังคับบญั ชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 ไม่ใช้อานาจตามมาตรา 93
วรรคหนึ่ง มาตรา 94 หรือมาตรานี้ ให้ผู้บังคับบัญชาตามมาตรา 57 ระดับเหนือข้ึนไปมีอานาจ
ดาเนินการตามมาตรา 93 วรรคหนง่ึ มาตรา 94 หรอื มาตรานี้ได้
ผูใ้ ดถูกลงโทษปลดออก ใหม้ สี ทิ ธิได้รับบาเหน็จบานาญเสมือนว่าผูน้ ้ันลาออกจากราชการ
มาตรา 98 ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดให้ข้อมูลต่อผู้บังคับบัญชาหรือให้ถ้อยคา
ในฐานะพยานต่อผู้มีหน้าท่ีสืบสวนสอบสวนหรือตรวจสอบตามกฎหมายหรือระเบียบของทางราชการ
อันเป็นประโยชน์และเป็นผลดียิ่งต่อทางราชการ ผู้บังคับบัญชาอาจพิจารณาให้บาเหน็จความชอบ
เป็นกรณีพเิ ศษได้
ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดอยู่ในฐานะท่ีอาจจะถูกกล่าวหาว่าร่วมกระทาผิดวินัยกับ
ขา้ ราชการอ่ืน ให้ขอ้ มลู ต่อผู้บังคับบญั ชา หรือให้ถ้อยคาต่อบุคคลหรือคณะบุคคลตามความในวรรคหน่ึง
เกยี่ วกับการกระทาผิดวนิ ัยที่ไดก้ ระทามา จนเป็นเหตใุ ห้มีการสอบสวนพจิ ารณาทางวินัยแก่ผู้เป็นตน้ เหตุ
แห่งการกระทาผิด ผู้บังคับบัญชาอาจใช้ดุลพินิจกันผู้น้ันไว้เป็นพยานหรือพิจารณาลดโทษทางวินัย
ตามควรแก่กรณีได้
ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดให้ข้อมูลหรือให้ถ้อยคาในฐานะพยานตามวรรคหน่ึงหรือ
วรรคสองอันเป็นเทจ็ ใหถ้ ือว่าผนู้ ัน้ กระทาผดิ วนิ ยั
หลักเกณฑ์และวิธีการการให้บาเหน็จความชอบ การกันเป็นพยาน การลดโทษ และ
การให้ความคุ้มครองพยาน ใหเ้ ป็นไปตามท่กี าหนดในกฎ ก.พ.
กฎ ก.พ. ว่าด้วยการคุ้มครองพยานตามวรรคส่ี จะกาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่
สานักงาน ก.พ. หรือผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 จะดาเนินการย้าย โอน หรือ
ดาเนินการอ่ืนใดโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมหรือเห็นชอบจากผู้บังคับบัญชาของข้าราชการผู้น้ัน
และไมต่ อ้ งปฏิบัติตามขน้ั ตอนหรือกระบวนการตามท่ีบญั ญัติไวใ้ นพระราชบัญญัตินีก้ ไ็ ด้
391 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
391 380
มาตรา 99 ให้กรรมการสอบสวนตามมาตรา 93 วรรคหน่ึง เป็นเจ้าพนักงาน
ตามประมวลกฎหมายอาญาและให้มีอานาจเช่นเดียวกับพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญาเพียงเท่าท่ีเก่ียวกับอานาจและหน้าท่ีของกรรมการสอบสวนและโดยเฉพาะ
ให้มีอานาจดังต่อไปนี้ดว้ ยคอื
(1) เรียกให้กระทรวง กรม ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ หรือห้างหุ้นส่วน
บริษัท ชี้แจงข้อเท็จจริง ส่งเอกสารและหลักฐานท่ีเก่ียวข้อง ส่งผู้แทนหรือบุคคลในสังกัดมาช้ีแจงหรือ
ให้ถอ้ ยคาเกย่ี วกับเรอื่ งทส่ี อบสวน
(2) เรียกผู้ถูกกล่าวหาหรือบุคคลใด ๆ มาชี้แจงหรือให้ถ้อยคา หรือให้ส่งเอกสารและ
หลกั ฐานเกี่ยวกับเรือ่ งที่สอบสวน
มาตรา 1003 ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดซ่ึงออกจากราชการอันมิใช่เพราะเหตุตาย
มีกรณีถูกกล่าวหาเป็นหนงั สือก่อนออกจากราชการว่า ขณะรับราชการได้กระทาการใด อนั เป็นความผิด
วินัยอย่างร้ายแรง ถ้าเป็นการกล่าวหาต่อผู้บังคับบัญชาของผู้นั้นหรือต่อผู้มีหน้าที่สืบสวนสอบสวนหรือ
ตรวจสอบตามกฎหมายหรือระเบียบของทางราชการ หรือเป็นการกล่าวหาของผู้บังคับบัญชาของผู้นั้น
หรือมีกรณีถูกฟ้องคดีอาญาหรือต้องหาคดีอาญาก่อนออกจากราชการว่า ในขณะรับราชการได้กระทา
ความผิดอาญาอันมิใช่เป็นความผิดที่ได้กระทาโดยประมาทท่ีไม่เกี่ยวกับราชการหรือความผิดลหุโทษ
ผู้มีอานาจดาเนนิ การทางวนิ ัยมอี านาจดาเนินการสืบสวนหรือพิจารณาดาเนินการทางวนิ ัย และสง่ั ลงโทษ
ตามที่บัญญัติไว้ในหมวดต่อไปได้เสมือนว่าผู้น้ันยังมิได้ออกจากราชการ แต่ต้องสั่งลงโทษภายในสามปี
นบั แตว่ นั ทีผ่ ูน้ น้ั ออกจากราชการ
กรณีตามวรรคหน่ึง ถ้าเป็นการกล่าวหา หรือฟ้องคดีอาญาหรือต้องหาคดีอาญา
หลงั จากที่ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดออกจากราชการแล้ว ให้ผู้มีอานาจดาเนินการทางวินัยมีอานาจ
ดาเนินการสืบสวนหรือพิจารณา ดาเนินการทางวินัย และส่ังลงโทษตามท่ีบัญญัติไว้ในหมวดนี้ต่อไปได้
เสมือนว่าผู้น้ันยังมิได้ออกจากราชการ โดยต้องเริ่มดาเนินการสอบสวนภายในหนึ่งปีนับแต่วันท่ีผู้นั้น
ออกจากราชการและต้องสั่งลงโทษภายในสามปีนับแต่วันท่ีผู้นั้นออกจากราชการ สาหรับกรณีท่ีเป็น
ความผิดที่ปรากฏชัดแจ้งตามมาตรา 95 วรรคสอง จะต้องส่ังลงโทษภายในสามปีนับแต่วันท่ีผู้นั้น
ออกจากราชการ
ในกรณที ศ่ี าลปกครองมคี าพิพากษาถึงท่ีสดุ ใหเ้ พกิ ถอนคาสั่งลงโทษ หรอื องคก์ รพิจารณา
อุทธรณ์คาสั่งลงโทษทางวินัยหรือองค์กรตรวจสอบรายงานการดาเนินการทางวินัยมีคาวินิจฉัยถึงที่สุด
หรือมมี ติใหเ้ พกิ ถอนคาส่ังลงโทษตามวรรคหนง่ึ หรอื วรรคสอง เพราะเหตุกระบวนการดาเนนิ การทางวนิ ัย
ไมช่ อบด้วยกฎหมาย ใหผ้ ูม้ อี านาจดาเนนิ การทางวินัยดาเนินการทางวินัยให้แลว้ เสร็จภายในสองปีนบั แต่
วันท่มี คี าพิพากษาถึงที่สดุ หรือมีคาวินจิ ฉัยถงึ ที่สดุ หรือมมี ติ แลว้ แตก่ รณี
การดาเนินการทางวินัยตามวรรคหน่ึง วรรคสอง และวรรคสาม ถ้าผลการสอบสวน
พิจารณาปรากฏวา่ ผนู้ ัน้ กระทาผิดวนิ ยั อย่างไมร่ า้ ยแรงกใ็ หง้ ดโทษ
ความในมาตรานี้มิให้ใช้บังคับแก่ข้าราชการพลเรือนสามัญซ่ึงถูกส่ังให้ออกจากราชการ
ไวก้ ่อนตามมาตรา 101
3 มาตรา 100 แกไ้ ขเพมิ่ เติมโดยพระราชบัญญัตริ ะเบียบขา้ ราชการพลเรือน (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2562
381
392
มาตรา 100/14 ในกรณีที่คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ
หรือคณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐมีมติชี้มูลความผิดขาราชการพลเรือน
สามัญผูใดซึ่งออกจากราชการแลว การดาํ เนินการทางวินัยและส่ังลงโทษแกขาราชการพลเรือนสามัญ
ผูน้ันใหเปน ไปตามหลักเกณฑและเง่ือนไขท่ีกําหนดไวในกฎหมายประกอบรฐั ธรรมนูญวาดวยการปอ งกัน
และปราบปรามการทุจริตหรือกฎหมายวาดวยมาตรการของฝายบรหิ ารในการปองกันและปราบปราม
การทจุ ริต แลว แตกรณี
การดําเนินการทางวินัยตามวรรคหน่ึง หากปรากฏวา ผูน้ันกระทาํ ผิดวินยั อยา งไมร ายแรง
ก็ใหงดโทษ
มาตรา 101 ขาราชการพลเรือนสามัญผูใดมีกรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยาง
รายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือถูกฟองคดีอาญา หรือตองหาวากระทําความผิดอาญา เวนแต
เปนความผิดท่ีไดกระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ผูบงั คับบัญชาซึ่งมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา
57 มีอํานาจสั่งพักราชการหรือส่ังใหออกจากราชการไวกอนเพื่อรอฟงผลการสอบสวนหรือพิจารณา
หรอื ผลแหงคดไี ด
ถาภายหลังปรากฏผลการสอบสวนหรือพิจารณาวาผูนั้นมิไดกระทําผิดหรือกระทําผิด
ไมถึงกับจะถูกลงโทษปลดออกหรือไลออก และไมมีกรณีท่ีจะตองออกจากราชการดวยเหตุอื่น
ก็ใหผูมีอํานาจดงั กลา วส่งั ใหผูน้ันกลับเขาปฏบิ ัติราชการหรอื กลับเขารบั ราชการในตําแหนงตามเดิมหรือ
ตําแหนงอื่นในประเภทเดียวกันและระดับเดียวกันหรือในตําแหนงประเภทและระดับที่ ก.พ. กําหนด
ทง้ั นี้ ผูน้นั ตอ งมีคณุ สมบัตติ รงตามคณุ สมบตั ิเฉพาะสาํ หรบั ตําแหนงน้ัน
เม่ือไดมีการส่งั ใหขาราชการพลเรือนสามัญผูใดพักราชการหรือออกจากราชการไวกอน
แลวภายหลังปรากฏวาผูน้ันมีกรณีถูกกลา วหาวากระทาํ ผิดวินัยอยางรายแรงในกรณีอื่นอีกผูบังคับบัญชา
ซ่ึงมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 มีอํานาจดําเนินการสืบสวนหรือพจิ ารณา และแตง ตั้งคณะกรรมการ
สอบสวนตามมาตรา 93 ตลอดจนดําเนนิ การทางวินยั ตามที่บัญญตั ไิ วในหมวดน้ีตอ ไปได
ในกรณีที่สั่งใหผูถูกสั่งใหออกจากราชการไวกอนกลับเขารับราชการ หรือส่ังใหผูถูกส่ัง
ใหออกจากราชการไวกอนออกจากราชการดวยเหตุอ่ืนท่ีมิใชเปนการลงโทษเพราะกระทําผิดวินัย
อยางรายแรงก็ใหผูน้ันมีสถานภาพเปนขาราชการพลเรือนสามัญตลอดระยะเวลาระหวางที่ถูกสั่งใหออกจาก
ราชการไวกอ นเสมอื นวาผนู ั้นเปน ผูถ กู สั่งพักราชการ
เงินเดือน เงินอ่ืนที่จายเปนรายเดือน และเงินชวยเหลืออยางอื่น และการจายเงินดังกลาว
ของผูถูกสั่งพักราชการ และผูถูกส่ังใหออกจากราชการไวกอน ใหเปนไปตามกฎหมายหรือระเบียบ
วาดว ยการนั้น
การส่ังพักราชการใหสั่งพักตลอดเวลาที่สอบสวนหรือพิจารณา เวน แตผ ูถูกส่ังพักราชการ
ผูใดไดรองทุกขตามมาตรา 122 และผูมีอํานาจพิจารณาคํารองทุกขเห็นวาสมควรสั่งใหผูน้ันกลับเขา
ปฏบิ ัติหนาทีร่ าชการกอ นการสอบสวนหรือพิจารณาเสร็จส้ินเนื่องจากพฤติการณของผูถูกส่ังพักราชการ
ไมเปนอุปสรรคตอการสอบสวนหรือพิจารณา และไมกอใหเกิดความไมสงบเรียบรอยตอไป หรือ
4 มาตรา 100/1 แกไ ขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน (ฉบับท่ี 3) พ.ศ.2562
393 382 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
เน่ืองจากการดําเนินการทางวินัยไดลวงพนหนึ่งปนับแตวันพักราชการแลวยังไมแลวเสร็จและผูถูกสั่ง
พักราชการไมมีพฤติกรรมดังกลาว ใหผูมีอํานาจสั่งพักราชการส่ังใหผูน้ันกลับเขาปฏิบัติหนาที่ราชการ
กอนการสอบสวนหรอื พจิ ารณาเสร็จส้ิน
ใหนําความในวรรคหกมาใชบ ังคับกับกรณีถูกสงั่ ใหออกจากราชการไวกอนดว ย
หลักเกณฑและวิธีการเก่ียวกับการสั่งพักราชการ การสั่งใหออกจากราชการไวกอนระยะเวลา
ใหพักราชการและใหออกจากราชการไวกอน การใหกลับเขาปฏิบัติราชการหรือกลบั เขารับราชการและ
การดาํ เนินการเพื่อใหเปนไปตามผลการสอบสวนหรอื พจิ ารณาใหเปนไปตามท่ีกําหนดในกฎ ก.พ.
มาตรา 102 การลงโทษขาราชการพลเรือนสามัญในสวนราชการที่มีกฎหมายวาดวย
วินัยขาราชการโดยเฉพาะ ในกรณีเปนความผิดวินัยอยางไมรายแรงตามพระราชบัญญัตินี้จะลงโทษ
ตามพระราชบัญญัตินีห้ รือลงทัณฑหรือลงโทษตามกฎหมายวาดวยวินัยขาราชการนั้นอยางใดอยางหนึ่ง
ตามควรแกกรณีและพฤติการณก็ได แตถาเปนกรณีกระทําผิดวินัยอยางรายแรงตามพระราชบัญญัตินี้
ไมวาจะไดลงทัณฑหรือลงโทษตามกฎหมายดังกลาวแลวหรือไม ใหผูบังคับบัญชาพิจารณาดําเนินการ
ตามที่กําหนดไวในพระราชบญั ญตั นิ ้ี
มาตรา 103 เม่ือผูบังคับบัญชาไดสั่งลงโทษตามพระราชบัญญัตินี้หรือลงทัณฑตาม
กฎหมายวาดว ยวินัยขาราชการโดยเฉพาะ หรือสั่งยตุ ิเรือ่ ง หรืองดโทษแลว ใหรายงาน อ.ก.พ. กระทรวง
ซึ่งผูถูกดําเนินการทางวินัยสังกัดอยูเพื่อพิจารณา เวนแตเปนกรณีดําเนินการทางวินัยกับขาราชการ
ตางกระทรวงกัน หรือกรณีดําเนินการทางวินัยตามมติ อ.ก.พ. กระทรวง ตามมาตรา 97 วรรคสอง
ใหรายงาน ก.พ. ทัง้ นี้ ตามระเบยี บท่ี ก.พ. กําหนด
ในกรณีท่ี อ.ก.พ. กระทรวงหรือ ก.พ. เห็นวาการดําเนินการทางวินัยเปนการไมถกู ตอง
หรือไมเหมาะสม หากมีมตเิ ปนประการใด ใหผูบังคบั บัญชาส่ังหรือปฏิบตั ิใหเปนไปตามท่ี อ.ก.พ. กระทรวง
หรอื ก.พ. มมี ติ
ในกรณตี ามวรรคสองและในการดําเนินการตามมาตรา 104 ให ก.พ. มีอาํ นาจสอบสวน
ใหมห รอื สอบสวนเพ่ิมเตมิ ไดตามหลักเกณฑแ ละวิธกี ารที่ ก.พ. กําหนดตามมาตรา 95
มาตรา 104 ในการดําเนินการของ อ.ก.พ. กระทรวงตามมาตรา 97 วรรคสอง หรือ
มาตรา 103 วรรคสอง หากผูแทน ก.พ. ซ่ึงเปนกรรมการใน อ.ก.พ. กระทรวงดังกลาวเห็นวา
การดําเนินการของผูบังคับบัญชาหรือมติ อ.ก.พ. กระทรวง เปนการไมปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้หรือ
ปฏิบัติไมเหมาะสม ใหรายงาน ก.พ. เพื่อพิจารณาดําเนินการตามควรแกกรณีตอไป และเม่ือ ก.พ.
มีมติเปนประการใด ใหผูบังคับบัญชาสั่งหรือปฏิบัติใหเปนไปตามที่ ก.พ. มีมติ ท้ังน้ี เวนแตผูถูกลงโทษ
ไดอุทธรณคําส่ังลงโทษของผูบังคับบัญชาตอ ก.พ.ค. ในกรณีเชนน้ีให ก.พ. แจงมติตอ ก.พ.ค.
เพอ่ื ประกอบการพิจารณาวนิ ิจฉยั อุทธรณ
มาตรา 105 เมื่อมีกรณีเพิ่มโทษ ลดโทษ งดโทษ หรือยกโทษ ใหผูสั่งมีคําสั่งใหม และ
ในคาํ สง่ั ดังกลาวใหส ่ังยกเลิกคําสั่งลงโทษเดิม พรอ มท้งั ระบุวธิ ีการดําเนินการเก่ียวกับโทษทีไ่ ดรบั ไปแลว
ทั้งน้ี ตามทกี่ าํ หนดในกฎ ก.พ.
383
394
มาตรา 106 ขาราชการพลเรอื นสามัญซ่ึงโอนมาตามมาตรา 64 ผูใดมกี รณีกระทําผิดวินัย
อยูกอนวันโอนมาบรรจุ ใหผูบังคับบัญชาของขาราชการพลเรือนสามัญผูน้ันดําเนินการทางวินัย
ตามหมวดน้ีโดยอนุโลม แตถาเปนเรื่องที่อยูในระหวางการสืบสวนหรือพิจารณา หรือสอบสวนของ
ผูบังคับบัญชาเดิมกอนวันโอนก็ใหสืบสวนหรือพิจารณา หรือสอบสวนตอไปจนเสร็จ แลวสงเร่ืองให
ผูบังคับบัญชาของขาราชการพลเรือนสามัญผูน้ันพิจารณาดําเนินการตอไปตามหมวดน้ีโดยอนุโลม
แตทั้งนี้ ในการสั่งลงโทษทางวินัยใหพิจารณาตามความผิดและลงโทษตามกฎหมายวาดวยระเบียบ
บรหิ ารงานบคุ คลสวนทองถิ่นหรอื กฎหมายวาดวยระเบียบขาราชการทโ่ี อนมาน้ัน แลวแตกรณี
หมวด 8
การออกจากราชการ
มาตรา 107 ขาราชการพลเรือนสามญั ออกจากราชการเมอ่ื
(1) ตาย
(2) พนจากราชการตามกฎหมายวาดวยบําเหน็จบํานาญขาราชการ
(3) ลาออกจากราชการและไดร ับอนญุ าตใหลาออกหรอื การลาออกมีผลตามมาตรา 109
(4) ถูกสั่งใหอ อกตามมาตรา 59 มาตรา 67 มาตรา 101 มาตรา 110 หรือมาตรา 111 หรอื
(5) ถกู ส่งั ลงโทษปลดออก หรอื ไลออก
วนั ออกจากราชการตาม (4) และ (5) ใหเ ปนไปตามระเบยี บที่ ก.พ. กําหนด
มาตรา 108 ขาราชการพลเรือนสามัญผูใดเม่ืออายุครบหกสบิ ปบริบูรณในสน้ิ ปงบประมาณ
และทางราชการมีความจําเปนที่จะใหรับราชการตอไปเพื่อปฏิบัติหนาท่ีในทางวิชาการหรือหนาท่ี
ท่ตี อ งใชความสามารถเฉพาะตัว ในตําแหนงตามมาตรา 46 (3) (ง) หรอื (จ) หรือ (4) (ค) หรอื (ง) จะให
รบั ราชการตอ ไปอกี ไมเ กินสิบปก ็ไดตามทกี่ ําหนดในกฎ ก.พ.
มาตรา 109 ขาราชการพลเรือนสามญั ผใู ดประสงคจ ะลาออกจากราชการใหยน่ื หนังสอื
ขอลาออกตอผูบังคับบัญชาเหนือขึ้นไปช้ันหนึ่งโดยยื่นลวงหนากอนวันขอลาออกไมนอยกวาสามสิบวัน
เพ่อื ใหผูบ งั คับบัญชาซึ่งมอี าํ นาจส่งั บรรจุตามมาตรา 57 เปนผพู ิจารณากอนวันขอลาออก
ในกรณีท่ีผูประสงคจะลาออกยื่นหนังสือขอลาออกลวงหนานอยกวาสามสิบวัน และ
ผูบังคบั บญั ชาซ่งึ มีอํานาจส่งั บรรจตุ ามมาตรา 57 เห็นวามีเหตผุ ลและความจําเปนจะอนุญาตใหลาออก
ตามวนั ที่ขอลาออกก็ได
ในกรณีท่ีผูบังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจสงั่ บรรจตุ ามมาตรา 57 เห็นวาจําเปนเพื่อประโยชน
แกราชการ จะยับยั้งการลาออกไวเปนเวลาไมเกินเกาสิบวันนับแตวันขอลาออกก็ได ในกรณีเชนนั้น
ถาผูขอลาออกมิไดถอนใบลาออกกอนครบกําหนดระยะเวลาการยับย้ังใหถือวาการลาออกน้ันมีผล
เม่ือครบกาํ หนดเวลาตามทไ่ี ดย บั ย้งั ไว
395 384 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
ในกรณีท่ีผูบังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 มิไดยับย้ังตามวรรคสาม
ใหการลาออกน้นั มีผลตัง้ แตวันขอลาออก
ในกรณีท่ีขาราชการพลเรือนสามัญผูใดประสงคจะลาออกจากราชการเพื่อดํารงตําแหนง
ในองคกรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ตําแหนงทางการเมือง หรือตําแหนงอื่นท่ี ก.พ. กําหนด หรือเพื่อสมัคร
รับเลือกตั้งเปนสมาชิกรัฐสภา สมาชิกสภาทองถิ่นหรือผูบริหารทองถ่ิน ใหย่ืนหนังสือขอลาออกตอ
ผูบังคบั บญั ชาตามวรรคหน่งึ และใหการลาออกมีผลนบั ตงั้ แตว ันที่ผนู น้ั ขอลาออก
หลักเกณฑและวิธีการเกี่ยวกับการลาออก การพิจารณาอนุญาตใหลาออกและการยับย้ัง
การลาออกจากราชการ ใหเปน ไปตามระเบียบท่ี ก.พ. กําหนด
มาตรา 110 ผูบังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 มีอํานาจสั่งให
ขาราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการเพื่อรับบําเหน็จบํานาญเหตุทดแทนตามกฎหมายวาดวย
บําเหน็จบํานาญขาราชการไดใ นกรณีดังตอ ไปน้ี
(1) เมื่อขาราชการพลเรือนสามัญผูใดเจ็บปวยไมอาจปฏิบัติหนาท่ีราชการของตน
ไดโดยสม่าํ เสมอ
(2) เมื่อขาราชการพลเรือนสามัญผูใดสมัครไปปฏิบัติงานใด ๆ ตามความประสงค
ของทางราชการ
(3) เมื่อขาราชการพลเรือนสามัญผูใดขาดคุณสมบัติทั่วไปตามมาตรา 36 ก. (1) หรือ
(3) หรอื มีลกั ษณะตองหามตามมาตรา 36 ข. (1) (3) (6) หรือ (7)
(4) เม่ือทางราชการเลิกหรือยุบหนวยงานหรือตําแหนงท่ีขาราชการพลเรือนสามัญ
ปฏิบัติหนาที่หรือดํารงอยู สําหรับผูที่ออกจากราชการในกรณีน้ีใหไดรับเงินชดเชยตามหลักเกณฑ
วธิ ีการ และเงอื่ นไขทกี่ ระทรวงการคลงั กําหนดดว ย
(5) เมื่อขาราชการพลเรือนสามัญผูใดไมสามารถปฏิบัติราชการใหมีประสิทธิภาพและ
เกดิ ประสทิ ธิผลในระดบั อันเปน ทพี่ อใจของทางราชการ
(6) เมื่อขา ราชการพลเรือนสามัญผูใดหยอนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหนาที่ราชการ
บกพรองในหนาท่ีราชการ หรือประพฤติตนไมเหมาะสมกับตําแหนงหนาท่ีราชการ ถาใหผูนั้น
รับราชการตอไปจะเปน การเสียหายแกราชการ
(7) เม่ือขา ราชการพลเรือนสามัญผูใดมีกรณีถูกสอบสวนวา กระทําผิดวินัยอยางรายแรง
ตามมาตรา 93 และผลการสอบสวนไมไดความแนชัดพอท่ีจะฟงลงโทษตามมาตรา 97 วรรคหนึ่ง
แตม มี ลทนิ หรอื มัวหมองในกรณีท่ีถกู สอบสวน ถา ใหรบั ราชการตอ ไปจะเปนการเสยี หายแกราชการ
(8) เมื่อขาราชการพลเรือนสามัญผูใดตองรบั โทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงท่ีสุดใหจําคุก
ในความผิดที่ไดกระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษหรือตองรับโทษจําคุกโดยคําสั่งของศาล
ซง่ึ ยังไมถ งึ กับจะตอ งถูกลงโทษปลดออกหรอื ไลออก
การส่ังใหออกจากราชการตามวรรคหนึ่งใหเปนไปตามท่ีกําหนดในกฎ ก.พ. ทั้งนี้ ใหนํา
มาตรา 97 วรรคสอง มาใชบังคบั กับการสั่งใหออกจากราชการตามกรณี (3) เฉพาะมาตรา 36 ก. (3)
กรณี (6) และกรณี (7) โดยอนโุ ลม
396 385
เม่ือผูบังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 ส่ังใหขาราชการพลเรือนสามัญ
ผูใดออกจากราชการตามมาตราน้ีแลว ใหรายงาน อ.ก.พ. กระทรวง หรือ ก.พ. แลวแตกรณี และใหนํา
มาตรา 103 มาใชบงั คับโดยอนุโลม
มาตรา 111 เมื่อขาราชการพลเรือนสามัญผูใดไปรับราชการทหารตามกฎหมายวา ดวย
การรบั ราชการทหาร ใหผ บู ังคับบญั ชาซงึ่ มอี ํานาจสั่งบรรจตุ ามมาตรา 57 ส่งั ใหผ ูนนั้ ออกจากราชการ
ผูใดถูกสั่งใหออกจากราชการตามวรรคหนึ่ง และตอมาปรากฏวาผูน้ันมีกรณีที่จะตอง
ถูกสั่งใหออกจากราชการตามมาตราอื่นอยูกอนไปรับราชการทหาร ก็ใหผูบังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจ
สั่งบรรจุตามมาตรา 57 มีอํานาจเปลี่ยนแปลงคําสั่งใหออกตามวรรคหนึ่งเปนใหออกจากราชการ
ตามมาตราอื่นนน้ั ได
มาตรา 112 ในกรณีท่ีผูบังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 ไมใชอํานาจ
ตามมาตรา 110 โดยไมมีเหตุอันสมควร ใหผูบังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57
ระดบั เหนือขนึ้ ไปมีอํานาจดําเนนิ การตามมาตรา 110 ได
มาตรา 113 การออกจากราชการของขาราชการพลเรือนสามัญผูดํารงตําแหนงที่
ทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ แตง ต้ัง ใหนําความกราบบังคมทูลเพือ่ มพี ระบรมราชโองการใหพนจากตําแหนง
นบั แตว ันออกจากราชการ เวนแตออกจากราชการเพราะความตายใหนําความกราบบงั คมทูลเพอื่ ทรงทราบ
หมวด 9
การอุทธรณ
มาตรา 114 ผูใดถูกสั่งลงโทษตามพระราชบัญญัติน้ีหรือถูกสั่งใหออกจากราชการ
ตามมาตรา 110 (1) (3) (5) (6) (7) และ (8) ผูน้ันมีสิทธิอุทธรณตอ ก.พ.ค. ภายในสามสิบวันนับแต
วันทราบหรอื ถอื วาทราบคําส่งั
การอุทธรณและการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณตามวรรคหน่ึง ใหเปนไปตามที่กําหนด
ในกฎ ก.พ.ค.
มาตรา 115 ในการพิจารณาวินจิ ฉัยอุทธรณ ก.พ.ค. จะพิจารณาวินิจฉัยเองหรือจะต้ัง
คณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ เพ่ือทําหนาท่ีเปนผูพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณก็ได ท้ังน้ี ใหเปนไปตามท่ี
กาํ หนดในกฎ ก.พ.ค.
มาตรา 116 เม่ือ ก.พ.ค. พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณแลว ใหผูบังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจ
ส่ังบรรจุตามมาตรา 57 ดําเนินการใหเปนไปตามคําวินิจฉัยน้ันภายในสามสิบวันนับแตวันท่ี ก.พ.ค.
มีคาํ วนิ ิจฉยั
397 386 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
ในกรณีที่ผูอุทธรณไมเห็นดวยกับคําวินิจฉัยอุทธรณของ ก.พ.ค. ใหฟองคดีตอ
ศาลปกครองสงู สดุ ภายในเกาสิบวนั นบั แตวนั ท่ที ราบหรอื ถือวา ทราบคําวินจิ ฉยั ของ ก.พ.ค.
ผูบังคับบัญชาผูใดไมป ฏิบัติตามวรรคหน่ึง ใหถือวาเปนการจงใจละเวนการปฏิบัติหนาท่ี
โดยมิชอบเพอ่ื ใหเกดิ ความเสยี หายแกบุคคลอ่ืน
มาตรา 117 ในการปฏิบัติหนาท่ีตามพระราชบัญญัติน้ี ใหกรรมการ ก.พ.ค. และ
กรรมการวนิ ิจฉยั อุทธรณ เปน เจา พนกั งานตามประมวลกฎหมายอาญา และใหมีอํานาจดงั ตอ ไปน้ี
(1) ส่ังใหผูบังคับบัญชาซึ่งส่ังลงโทษหรือสั่งใหออกจากราชการอันเปนเหตุใหมี
การอุทธรณ สงสาํ นวนการสอบสวนและการลงโทษให ก.พ.ค. ภายในเวลาท่ีกาํ หนด
(2) สั่งใหกระทรวง กรม สวนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหนวยงานอ่ืนของรัฐรวมตลอดทั้ง
องคกรปกครองสวนทองถ่ินท่ีเกี่ยวของสอบสวนใหมหรือสอบสวนเพ่ิมเติมหรือสงตัวขาราชการหรือ
เจาหนาที่ในสังกัดมาใหถอยคํา ในการนี้จะกําหนดระยะเวลาในการสอบสวนใหมหรอื สอบสวนเพิ่มเติม
ไวด วยก็ได
(3) มีคําสั่งใหขาราชการ พนักงาน หรือลูกจางของกระทรวง กรม สวนราชการ รัฐวิสาหกิจ
และหนวยงานอื่นของรัฐ หรือองคกรปกครองสวนทองถิ่น หรือบุคคลใดท่ีเกี่ยวของ มาใหถอยคํา
หรอื ใหส งเอกสารหรอื หลกั ฐานที่เกี่ยวขอ ง
(4) เขาไปในอาคาร หรือสถานที่ใด ๆ ท่ีเก่ียวของกับการปฏิบัติหนาท่ีของ ก.พ.ค. ท้ังน้ี
ในระหวางพระอาทิตยข ึ้นถึงพระอาทติ ยต ก หรือในเวลาทําการของสถานที่นน้ั
(5) สอบสวนใหมหรอื สอบสวนเพ่ิมเติม
มาตรา 118 การพิจารณาวนิ ิจฉัยอุทธรณตามมาตรา 114 ใหดําเนินการใหแลวเสร็จ
ภายในหนึ่งรอยย่ีสิบวันนับแตวันที่ไดรับอุทธรณ เวนแตมีเหตุขัดของที่ทําใหการพิจารณาไมแลวเสร็จ
ภายในระยะเวลาดังกลาว ก็ใหขยายระยะเวลาไดอีกซ่ึงไมเกินสองครั้ง โดยแตละคร้ังจะตอง
ไมเ กินหกสิบวนั และใหบ ันทึกเหตขุ ดั ขอ งใหปรากฏไวดวย
มาตรา 119 ขาราชการพลเรอื นสามญั ซึ่งโอนมาตามมาตรา 64 ผใู ดถูกสั่งลงโทษทางวินัย
อยูกอนวันโอนมาบรรจุ และผูนั้นมีสิทธิอุทธรณไดตามกฎหมายวาดวยระเบียบบริหารงานบุคคล
สวนทองถิ่นหรือกฎหมายวาดวยระเบียบขา ราชการท่ีโอนมาแตยังไมไดใชสิทธิอุทธรณตามกฎหมายดังกลาว
ก็ใหผูน้ันมีสิทธิอุทธรณตามมาตรา 114 ได แตถาผูน้ันไดใชสิทธิอุทธรณตามกฎหมายวาดวยระเบียบ
บริหารงานบุคคลสวนทองถิ่นหรือกฎหมายวาดวยระเบียบขาราชการท่ีโอนมาไวแลวและในวันท่ีผูน้ัน
ไดโอนมาบรรจุเปนขาราชการพลเรือนสามัญ การพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณยังไมแลวเสร็จ ก็ใหสงเรื่องให
ก.พ.ค. เปน ผพู จิ ารณาอุทธรณ
มาตรา 120 ในการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณให ก.พ.ค. มีอํานาจไมรับอุทธรณ
ยกอุทธรณ หรือมีคําวินิจฉัยใหแกไขหรือยกเลิกคําสั่งลงโทษ และใหเยียวยาความเสียหายใหผูอุทธรณ
หรอื ใหด ําเนินการอน่ื ใดเพอื่ ประโยชนแ หงความยตุ ิธรรม ตามระเบียบที่ ก.พ.ค. กาํ หนด
398 387
การวินิจฉัยใหแกไขหรือใหดําเนินการอ่ืนตามวรรคหนึ่ง ก.พ.ค. จะใหเพ่ิมโทษไมได
เวนแตเปนกรณีไดรับแจงจาก ก.พ. ตามมาตรา 104 วาสมควรเพิ่มโทษ ในกรณีเชนน้ัน ก.พ.ค.
มีอาํ นาจวินิจฉัยใหเพ่ิมโทษได
มาตรา 121 เมอื่ มกี รณดี ังตอ ไปนี้ กรรมการวนิ จิ ฉยั อุทธรณอ าจถูกคดั คานได
(1) รูเหน็ เหตกุ ารณในการกระทําผิดวินยั ทผี่ อู ุทธรณถกู ลงโทษหรือการถูกสง่ั ใหออกจากราชการ
(2) มสี ว นไดเสียในการกระทาํ ผิดวินยั ทผ่ี อู ุทธรณถ ูกลงโทษหรือการถูกส่ังใหออกจากราชการ
(3) มสี าเหตุโกรธเคืองกับผอู ทุ ธรณ
(4) เปน ผกู ลาวหา หรอื เปนหรอื เคยเปน ผูบังคบั บญั ชาผูส ง่ั ลงโทษหรอื สัง่ ใหออกจากราชการ
(5) เปนผูมีสวนเกี่ยวของกับการดําเนินการทางวินัยหรือการส่ังใหออกจากราชการ
ทผ่ี อู ทุ ธรณถ กู ลงโทษหรือถกู สั่งใหอ อกจากราชการ
(6) มีความเกี่ยวพันทางเครือญาติหรือทางการสมรสกับบุคคลตาม (1) (2) (3) หรือ (4)
อนั อาจกอ ใหเ กิดความไมเปนธรรมแกผอู ุทธรณ
กรรมการวินิจฉัยอุทธรณซึ่งมีกรณีตามวรรคหน่ึง ใหแจงตอประธาน ก.พ.ค. และถอนตัว
จากการพจิ ารณาวินจิ ฉยั อุทธรณ
การย่ืนคําคัดคาน และการพจิ ารณาคําคัดคาน ใหเ ปนไปตามท่กี ําหนดในกฎ ก.พ.ค.
หมวด 10
การรอ งทกุ ข
มาตรา 122 ขาราชการพลเรือนสามัญผูใดมีความคับของใจอันเกิดจากการปฏิบัติ
หรือไมปฏิบัติตอตนของผูบังคับบัญชา และเปนกรณีที่ไมอาจอุทธรณตามหมวด 9 การอุทธรณได
ผูนัน้ มสี ทิ ธริ อ งทกุ ขไดต ามหลกั เกณฑแ ละวิธกี ารที่กําหนดไวใ นหมวดนี้
มาตรา 123 การรองทุกขท่ีเหตุเกิดจากผูบังคับบัญชา ใหรองทุกขตอผูบังคับบัญชา
ชน้ั เหนือขนึ้ ไป ตามลาํ ดับ
การรองทุกขท่ีเหตุเกิดจากหัวหนาสวนราชการระดับกรมที่อยูในบังคับบัญชาหรือ
รับผิดชอบการปฏิบัติราชการข้ึนตรงตอนายกรฐั มนตรีหรอื ตอรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงรัฐมนตรีเจาสงั กัด
หรอื นายกรฐั มนตรี ใหร อ งทุกขตอ ก.พ.ค.
เมื่อ ก.พ.ค. ไดพจิ ารณาวนิ จิ ฉัยเร่ืองรอ งทุกขป ระการใดแลว ใหหัวหนาสวนราชการระดบั กรม
ท่ีอยใู นบงั คับบัญชาหรือรับผิดชอบการปฏิบัติราชการขึ้นตรงตอนายกรัฐมนตรีหรือตอรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง
รัฐมนตรเี จาสังกดั หรอื นายกรัฐมนตรี แลวแตกรณี ดาํ เนินการใหเ ปนไปตามคําวินจิ ฉยั ของ ก.พ.ค.
การรองทุกขและการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องรองทุกขตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
ใหเปนไปตามท่ีกาํ หนดในกฎ ก.พ.ค.
399 388
มาตรา 124 ในการพิจารณาวนิ ิจฉัยเร่ืองรองทุกขให ก.พ.ค. มีอํานาจไมรับเรื่องรอ งทุกข
ยกคํารองทุกข หรือมีคําวินิจฉัยใหแกไขหรือยกเลิกคําสั่ง และใหเยียวยาความเสียหายใหผูรองทุกข หรือ
ใหดําเนนิ การอน่ื ใดเพ่ือประโยชนแหงความยตุ ิธรรมตามระเบียบท่ี ก.พ.ค. กาํ หนด
ในการพิจารณาวินิจฉัยเร่ืองรองทุกข ก.พ.ค. จะพิจารณาวินิจฉัยเอง หรือจะตั้งกรรมการ
ก.พ.ค. คนหน่งึ หรือจะตง้ั คณะกรรมการวินิจฉัยรอ งทุกข เพ่ือทําหนาท่ีเปนผูพิจารณาวินิจฉัยเรื่องรอ งทุกขก็ได
ท้ังนี้ ใหเปนไปตามท่ีกําหนดในกฎ ก.พ.ค. และในการปฏิบัติหนาที่ตามพระราชบัญญัติน้ี ใหกรรมการ
วินิจฉยั รอ งทกุ ขเปน เจาพนกั งานตามประมวลกฎหมายอาญา และใหม อี ํานาจตามมาตรา 117 โดยอนโุ ลม
มาตรา 125 เมือ่ มกี รณีดังตอ ไปน้ี กรรมการวินิจฉัยรอ งทกุ ขอาจถูกคัดคา นได
(1) เปนผูบังคับบัญชาผูเปนเหตุใหเกิดความคับของใจ หรือเปนผูอยูใตบังคับบญั ชาของ
ผูบงั คับบญั ชาดังกลาว
(2) มีสวนไดเ สยี ในเรอ่ื งที่รองทุกข
(3) มสี าเหตุโกรธเคอื งกับผูรอ งทกุ ข
(4) มีความเกี่ยวพันทางเครือญาติหรือทางการสมรสกับบุคคลตาม (1) (2) หรือ (3)
อนั อาจกอใหเ กิดความไมเปนธรรมแกผ รู องทุกข
กรรมการวินิจฉัยรองทุกขซ่ึงมีกรณีตามวรรคหนึ่ง ใหแจงตอประธาน ก.พ.ค. และถอนตัว
จากการพิจารณาวินิจฉยั เรอ่ื งรอ งทุกข
การยืน่ คาํ คัดคาน และการพจิ ารณาคาํ คัดคาน ใหเปนไปตามทก่ี ําหนดในกฎ ก.พ.ค.
หมวด 11
การคมุ ครองระบบคุณธรรม
มาตรา 126 ในกรณีที่ ก.พ.ค. เห็นวา กฎ ระเบยี บ หรอื คาํ ส่ังใดทีอ่ อกตามพระราชบญั ญัตินี้
และมุงหมายใหใ ชบังคับเปนการทั่วไป ไมสอดคลองกับระบบคุณธรรมตามมาตรา 42 ให ก.พ.ค. แจง ให
หนว ยงานหรอื ผูออกกฎ ระเบยี บ หรอื คาํ ส่งั ดงั กลาวทราบ เพอื่ ดําเนนิ การแกไ ข หรอื ยกเลกิ ตามควรแกกรณี
การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
400 389
ลกั ษณะ 55
ขาราชการพลเรอื นในพระองค (ยกเลิก)
มาตรา 1276 (ยกเลกิ )
บทเฉพาะกาล
มาตรา 128 ให ก.พ. อ.ก.พ. วิสามญั และ อ.ก.พ. สามญั ซึง่ ปฏิบัตหิ นาที่อยูในวันกอน
วันที่พระราชบัญญัติน้ีใชบังคับ ปฏิบัติหนาท่ีตอไปจนกวาจะไดทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ แตงต้ัง ก.พ.
หรือจนกวาจะไดแตงตั้ง อ.ก.พ. วิสามัญ หรืออนุกรรมการใน อ.ก.พ. สามัญ แลวแตกรณี
ตามพระราชบัญญัติน้ี
การดําเนินการแตงตั้ง ก.พ. ใหกระทําใหแลวเสร็จภายในหน่ึงรอยยี่สิบวันนับแต
วันทพ่ี ระราชบญั ญัตนิ ้ีใชบงั คับ
มาตรา 129 ในระหวางท่ียังมิไดดําเนินการใหมี ก.พ.ค. ให ก.พ. ทําหนาที่ ก.พ.ค.
ตามพระราชบัญญัติน้ีไปพลางกอนจนกวาจะไดทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ แตงต้ัง ก.พ.ค. ตาม
พระราชบัญญัตินี้
การดําเนินการแตงตั้ง ก.พ.ค. ใหกระทําใหแลวเสร็จภายในหนึ่งรอยแปดสิบวัน
นับแตวนั ที่พระราชบัญญัตินีใ้ ชบงั คับ
มาตรา 130 ผูใดเปนขาราชการพลเรือนสามัญ หรือขาราชการพลเรือนในพระองค
ตามพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 อยูในวันกอนวันที่พระราชบัญญัติน้ี
ใชบังคบั ใหผูน ั้นเปนขาราชการพลเรือนสามัญ หรือขาราชการพลเรือนในพระองคต ามพระราชบัญญัตินี้
แลว แตกรณี ตอไป
มาตรา 131 ในระหวางที่ ก.พ. ยังมิไดจัดทํามาตรฐานกําหนดตําแหนงตามมาตรา 48
บทบัญญัติในลักษณะ 4 ขาราชการพลเรือนสามัญ และลักษณะ 5 ขาราชการพลเรือนในพระองค
ยังไมใชบังคับ โดยใหนําบทบัญญั ติในลักษณะ 3 ขาราชการพลเรือนสามัญ และลักษณะ 4
ขาราชการพลเรือนในพระองค แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
และที่แกไขเพิ่มเติม ตลอดจนบัญชีอัตราเงินเดือนขา ราชการพลเรือนและบัญชีอัตราเงนิ ประจําตําแหนง
ขาราชการพ ลเรือนท ายพ ระราชบั ญ ญั ติเงินเดือนและเงินป ระจําตําแห น ง พ .ศ. 2 5 3 8
5 ลักษณะ 5 ขาราชการพลเรือนในพระองค ยกเลิกโดยมาตรา 6 แหงพระราชบัญญัติระเบียบบรหิ าร
ราชการในพระองค พ.ศ. 2560
6 มาตรา 127 ยกเลิกโดยมาตรา 6 แหง พระราชบัญญัตริ ะเบียบบรหิ ารราชการในพระองค พ.ศ. 2560
401 390 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
และท่ีแกไขเพ่ิมเติมมาใชบังคับแกขาราชการพลเรือนสามัญและขาราชการพลเรือนในพระองค
ไปพลางกอนจนกวา ก.พ. จะจัดทํามาตรฐานกําหนดตําแหนงเสรจ็ และจดั ตําแหนงขาราชการพลเรือนสามัญ
ของทุกสวนราชการเขาประเภทตําแหนง สายงาน และระดับตําแหนงตามมาตรฐานกําหนดตําแหนง
และประกาศใหทราบ จึงใหนําบทบัญญัติในลักษณะ 4 ขาราชการพลเรือนสามัญ และลักษณะ 5
ขาราชการพลเรือนในพระองค แหงพระราชบัญญัติน้ีมาใชบังคับต้ังแตวันที่ ก.พ. ประกาศเปนตนไป
และใหผูบังคับบัญชาส่ังแตงต้ังขาราชการใหดํารงตําแหนงใหมภายในสามสิบวันนับแตวันท่ี ก.พ.
ประกาศ
ในการจดั ตําแหนงและการแตงตั้งขาราชการพลเรือนสามัญตามวรรคหนึ่ง หากมีเหตุผล
และความจําเปน ก.พ. อาจอนุมัติใหแตงต้ังขาราชการพลเรือนสามัญผูมีคุณสมบัติตางไปจาก
คณุ สมบัตเิ ฉพาะสาํ หรับตาํ แหนงตามทก่ี ฎหมายกําหนดไวเปนการเฉพาะตวั ได
ให ก.พ. ดําเนินการประกาศตามวรรคหน่ึงใหแลวเสร็จภายในหน่ึงปนับแตวันที่
พระราชบญั ญัติน้ีใชบังคับ
มาตรา 132 ในระหวางท่ียังมิไดตราพระราชกฤษฎีกา หรือออกกฎ ก.พ. ขอบังคับ
หรือระเบียบหรือกําหนดกรณีใด เพ่อื ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติน้ี ใหนําพระราชกฤษฎีกา กฎ ก.พ.
ขอบังคับ หรือระเบียบหรือกรณีที่กําหนดไวแลวซ่ึงใชอยูเดิมมาใชบังคับเทาท่ีไมขัดหรือแยงกับ
พระราชบญั ญัตินี้
ในกรณที ไ่ี มอาจนําพระราชกฤษฎีกา กฎ ก.พ. ขอบังคบั หรือระเบียบหรือกรณีที่กําหนด
ไวแลว มาใชบ ังคบั ไดต ามวรรคหนึ่ง การจะดาํ เนินการประการใดใหเปนไปตามท่ี ก.พ. กาํ หนด
มาตรา 133 ขาราชการพลเรือนผูใดมีกรณีกระทําผิดวินัยหรือกรณีที่สมควร
ใหออกจากราชการอยูกอนวันท่ีบทบัญญัติในลักษณะ 4 ขาราชการพลเรือนสามัญ และลักษณะ 5
ขาราชการพลเรือนในพระองค แหงพระราชบัญญัตินี้ใชบังคับ ใหผูบังคับบัญชาตามพระราชบัญญัติน้ี
มีอํานาจสั่งลงโทษผูน้ันหรอื ส่ังใหผูนั้นออกจากราชการตามกฎหมายวาดวยระเบียบขาราชการพลเรือน
ท่ีใชอยูในขณะน้ัน สวนการสอบสวน การพิจารณา และการดําเนินการเพ่ือลงโทษหรือใหออกจากราชการ
ใหดาํ เนินการตามพระราชบัญญตั ิน้ี เวน แต
(1) กรณีท่ีผูบังคับบัญชาไดสงั่ ใหสอบสวนโดยถูกตองตามกฎหมายท่ีใชอยูในขณะน้ันไปแลว
กอนวันที่บทบัญญัติในลักษณะ 4 ขาราชการพลเรือนสามัญ และลักษณะ 5 ขาราชการพลเรือน
ในพระองค แหงพระราชบัญญัตินี้ใชบังคับ และยังสอบสวนไมเสร็จก็ใหสอบสวนตามกฎหมายน้ันตอไป
จนกวา จะแลวเสรจ็
(2) ในกรณีที่ไดมีการสอบสวนหรอื พิจารณาโดยถูกตอ งตามกฎหมายที่ใชอยูในขณะน้ัน
เสร็จไปแลวกอนวันที่บทบัญญัติในลักษณะ 4 ขาราชการพลเรือนสามัญ และลักษณะ 5 ขาราชการ
พลเรือนในพระองค แหงพระราชบัญญัติน้ีใชบังคับ ใหการสอบสวนหรือพิจารณา แลวแตกรณีนั้น
เปน อนั ใชไ ด
(3) กรณีท่ีไดมีการรายงานหรือสง เร่ือง หรือนําสํานวนเสนอ หรือสงให อ.ก.พ. สามัญใด
พิจารณาโดยถูกตองตามกฎหมายที่ใชอยูในขณะนั้น และ อ.ก.พ. สามัญพิจารณาเร่ืองน้ันยังไมเสร็จ
ก็ให อ.ก.พ. สามญั พิจารณาตามกฎหมายน้ันตอไปจนกวาจะแลวเสรจ็
402 391
มาตรา 134 ขาราชการพลเรือนซ่ึงโอนมาจากพนักงานสวนทองถิ่นหรือขาราชการ
ประเภทอื่นกอนวันท่ีบทบัญญัติในลักษณะ 4 ขาราชการพลเรอื นสามัญ และลักษณะ 5 ขาราชการพลเรือน
ในพระองค แหงพระราชบัญญัติน้ีใชบังคับ ผูใดมีกรณีกระทําผิดวินัยหรือกรณีท่ีสมควรใหออกจากงาน
หรือใหออกจากราชการตามกฎหมายวาดวยระเบียบบริหารงานบุคคลสวนทองถิ่นหรือกฎหมายวาดวย
ระเบียบขาราชการนั้นอยูกอนวันท่ีบทบัญญัติในลักษณะ 4 ขาราชการพลเรือนสามัญ และลักษณะ 5
ขาราชการพลเรือนในพระองค แหงพระราชบัญญัติน้ีใชบังคับ ใหผูบังคับบัญชาตามพระราชบัญญัตินี้
มอี ํานาจดําเนินการทางวินัยแกผูนั้น หรอื ดําเนินการสั่งใหผูนั้นออกจากราชการได ทั้งนี้ ใหนํามาตรา 106
มาใชบังคบั โดยอนโุ ลม
มาตรา 135 ผูใดถูกสั่งลงโทษหรือถูกสั่งใหออกจากราชการตามพระราชบัญญัติ
ระเบียบขาราชการพลเรอื น พ.ศ. 2535 ถายังมิไดยื่นอทุ ธรณห รือรองทุกขตามพระราชบัญญัตดิ ังกลาว
และยังไมพนกําหนดเวลาอุทธรณหรือรอ งทกุ ขในวันที่บทบัญญัติในลักษณะ 4 ขาราชการพลเรือนสามัญ
และลกั ษณะ 5 ขาราชการพลเรือนในพระองค แหงพระราชบัญญัติน้ีใชบังคับ ใหมีสิทธิอุทธรณหรือรองทุกข
ตามพระราชบัญญตั ิน้ีไดภายในสามสิบวันนับแตวันที่บทบัญญัติในลักษณะ 4 ขาราชการพลเรือนสามัญ
และลกั ษณะ 5 ขาราชการพลเรือนในพระองค แหงพระราชบญั ญตั นิ ้ใี ชบงั คบั
มาตรา 136 เรื่องอุทธรณและเร่ืองรองทุกขตามพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการ
พลเรือน พ.ศ. 2535 ท่ีไดยื่นไวกอนวันท่ีบทบัญญัติในลักษณะ 4 ขาราชการพลเรือนสามัญ และ
ลักษณะ 5 ขาราชการพลเรือนในพระองค แหงพระราชบญั ญัตินี้ใชบงั คับและอยูในอํานาจการพิจารณา
ของ อ.ก.พ. สามัญ หรอื ก.พ. ให อ.ก.พ. สามญั หรอื ก.พ. แลว แตก รณี พิจารณาตอไปจนกวาจะแลวเสรจ็
เร่ืองอุทธรณ และเร่ืองรองทุกขตามพระราชบัญญั ติระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. 2535 ท่ีไดย่ืนตอ อ.ก.พ. สามัญ หรือ ก.พ. ในวันหรือหลังวันท่ีบทบัญญัติในลักษณะ 4
ขาราชการพลเรือนสามัญและลักษณะ 5 ขาราชการพลเรือนในพระองค แหงพระราชบัญญัติน้ีใชบังคับ
และเปนกรณีท่ีมีการลงโทษหรือสั่งการไวกอนวันที่บทบัญญัติในลักษณะ 4 ขาราชการพลเรือนสามัญ
และลักษณะ 5 ขาราชการพลเรือนในพระองค แหงพระราชบัญญัติน้ีใชบังคับ ให ก.พ.ค. เปนผูพิจารณา
ดําเนินการตอไป
มาตรา 137 การใดท่ีอยูระหวางดําเนินการหรือเคยดําเนินการไดตามพระราชบัญญัติ
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 และมิไดบัญญัติไวในพระราชบัญญัตินี้หรือมีกรณีท่ีไมอาจ
ดําเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ การดําเนินการตอไปในเรื่องน้ันจะสมควรดําเนินการประการใด
ใหเปน ไปตามที่ ก.พ. กําหนด
มาตรา 138 การปรับเงินเดือนและเงินประจําตําแหนงของขาราชการพลเรือนสามัญ
เขาตามบญั ชีทายพระราชบัญญตั ิน้ี ใหเปนไปตามหลกั เกณฑแ ละวิธีการที่คณะรฐั มนตรีกําหนด
เพื่อประโยชนในการดําเนินการตามวรรคหนึ่ง ขาราชการพลเรือนสามัญท่ีไดรับเงินเดอื น
ยังไมถึงขั้นต่ําของระดับตามบัญชีทายพระราชบัญญัติน้ีใหไดรับเงินเดือนไมตํ่ากวาข้ันตํ่าชั่วคราว
403 392
ตามบัญชีทายตามพระราชบัญญัตินี้ และใหไดรับการปรับเงินเดือนจนไดรับเงินเดือนในข้ันตํ่าของ
ระดบั ตามบญั ชที า ยพระราชบญั ญัตนิ ้ี ตามหลักเกณฑแ ละวธิ ีการท่ีคณะรัฐมนตรีกําหนด
มาตรา 139 ในกรณีท่ีกฎหมายวาดวยระเบียบขาราชการประเภทตา ง ๆ กําหนดใหนํา
กฎหมายวา ดวยระเบียบขาราชการพลเรือนในสวนที่เกี่ยวของกับขาราชการพลเรอื นสามัญมาใชบังคับ
หรือใชบังคับโดยอนุโลม ใหยังคงนําพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 และ
ท่ีแกไขเพิ่มเติม มาใชบังคับหรือใชบังคับโดยอนุโลมตอไป การใหนําพระราชบัญญัติน้ีไปใชบังคับกับ
ขาราชการประเภทดงั กลาวท้ังหมดหรือบางสวน ใหกระทําไดโดยมติขององคกรกลางบริหารงานบุคคล
หรอื องคก รที่ทําหนา ที่องคก รกลางบรหิ ารงานบุคคลของขาราชการประเภทนั้น ๆ โดยความเห็นชอบของ
คณะรัฐมนตรี
ผรู ับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก สรุ ยุทธ จลุ านนท
นายกรฐั มนตรี
การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
404 393
บญั ชีเงนิ เดือนข้นั ตํา่ ขน้ั สงู ของขาราชการพลเรอื นสามัญ7
ตําแหนง ประเภทบรหิ าร
บาท บาท
ขัน้ สงู 74,320 76,800
ขน้ั ต่าํ 51,140 56,380
ข้นั ตาํ่ ชว่ั คราว 24,400 29,980
ระดบั
ตน สงู
บัญชีเงินเดือนขน้ั ตาํ่ ข้ันสงู ของขาราชการพลเรอื นสามญั
ตําแหนง ประเภทอาํ นวยการ
บาท บาท
ขั้นสูง 59,500 70,360
ขน้ั ตาํ่ 26,660 32,850
ข้นั ตํ่าชั่วคราว 19,860 24,400
ระดบั ตน สูง
บญั ชีเงินเดอื นข้นั ตํ่าขัน้ สงู ของขาราชการพลเรอื นสามญั
ตาํ แหนง ประเภทวชิ าการ
บาท บาท บาท บาท บาท
76,800
ขั้นสงู 26,900 43,600 58,390 69,040 43,810
ขนั้ ตํา่ 8,340 15,050 22,140 31,400 29,980
ขั้นตาํ่ ชว่ั คราว 7,140 13,160 19,860 24,400
ระดบั ปฏิบัตกิ าร ชํานาญการ ชาํ นาญการ เช่ยี วชาญ ทรงคณุ วุฒิ
พิเศษ
บญั ชีเงินเดือนขน้ั ต่ําข้ันสูงของขาราชการพลเรอื นสามญั
ตาํ แหนง ประเภททัว่ ไป
บาท บาท บาท บาท
ขน้ั สงู 21,010 38,750 54,820 69,040
ข้นั ตํา่ 4,870 10,190 15,410 48,220
ระดบั ปฏบิ ตั งิ าน ชาํ นาญงาน อาวโุ ส ทักษะพิเศษ
7 บัญชีเงินเดือนขั้นต่ําข้ันสูงของขาราชการพลเรือนสามัญ แกไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบ
ขา ราชการพลเรอื น (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2558
405 394
ตารางบญั ชอี ตั ราเงินประจําตาํ แหนงของขา ราชการพลเรอื นสามญั
1. ประเภทบริหาร
ระดบั อัตรา (บาท/เดือน)
ระดบั สงู 21,000
ระดบั ตน 14,500
10,000
2. ประเภทอํานวยการ
ระดบั อัตรา (บาท/เดอื น)
ระดบั สงู 10,000
ระดบั ตน 5,600
3. ประเภทวชิ าการ
ระดบั อตั รา (บาท/เดือน)
ทรงคณุ วุฒิ 15,600
เชี่ยวชาญ 13,000
ชาํ นาญการพิเศษ 9,900
ชํานาญการ 5,600
3,500
4. ประเภททว่ั ไป การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
ระดบั อัตรา (บาท/เดอื น)
ทักษะพิเศษ 9,900
406 395
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใชพระราชบัญญัติฉบับน้ี คือ เน่ืองจากพระราชบัญญัติระเบียบ
บริหารราชการแผนดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 บัญญัติใหดําเนินการปรับปรุงกฎหมายวาดวยระเบียบ
ขาราชการพลเรือน เพื่อกําหนดภารกิจของคณะกรรมการขาราชการพลเรือน และสํานกั งานคณะกรรมการ
ขาราชการพลเรือนใหเหมาะสม ประกอบกับพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
ไดใ ชบังคับมานาน บทบัญญัติบางประการไมสอดคลองกับพัฒนาการดานการบริหารราชการท่ีเปล่ียนไป
ดังน้ัน เพ่ือกําหนดภารกิจของคณะกรรมการขาราชการพลเรอื นและสํานักงานคณะกรรมการขาราชการ
พลเรือนใหเหมาะสม และเพื่อใหการบรหิ ารทรพั ยากรบุคคลภาครัฐสอดคลองกับทิศทางการบรหิ ารราชการ
สมควรปรบั ปรงุ กฎหมายดังกลาว โดยปรับบทบาทของคณะกรรมการขาราชการพลเรอื น จากเดิมที่เปนท้ัง
ผูจัดการงานบุคคลของฝายบริหาร ผพู ิทักษร ะบบคุณธรรม และผจู ัดโครงสรางสวนราชการ ใหเปนเพียง
ผูจัดการงานบุคคลของฝายบริหาร โดยมิใหซํ้าซอนกับบทบาทของคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
สวนบทบาทในการพิทักษระบบคุณธรรมใหเปนของคณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม ปรับบทบาท
ของสํานักงานคณะกรรมการขาราชการพลเรือนจากเดิมที่เปนเจาหนาท่ีเกี่ยวกับการดําเนินงานของ
คณะกรรมการขา ราชการพลเรือน ใหเปนเจา หนาที่เกี่ยวกับการดําเนินงานของคณะกรรมการขาราชการ
พลเรือนและคณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม และมิใหซํา้ ซอนกับบทบาทของสํานักงานคณะกรรมการ
พัฒนาระบบราชการ ปรับปรุงระบบตําแหนงของขาราชการพลเรอื นสามัญใหจําแนกตามกลุมลักษณะงาน
ตลอดจนกระจายอํานาจการบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐใหสวนราชการเจาสังกัดดําเนินการมากข้ึน
จึงจําเปนตองตราพระราชบัญญัติ
พระราชบัญญตั ิระเบยี บขาราชการพลเรอื น (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 25588
มาตรา 2 พระราชบญั ญัตนิ ี้ใหใชบังคับต้ังแตวนั ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เปนตน ไป
มาตรา 5 ในวาระเร่ิมแรก ใหปรับเงินเดือนของขาราชการพลเรือนสามัญท่ีไดรับอยูเดิม
เขา สูอัตราในบัญชีทายพระราชบัญญัตินี้
ใหขาราชการพลเรือนสามัญผูดํารงตําแหนงประเภทวิชาการระดับปฏิบัติการและ
ระดับชํานาญการและผูดํารงตําแหนงประเภทท่ัวไประดับปฏิบัติงานและระดับชํานาญงานไดรับเงินเดือน
ในอัตราที่สูงกวาอัตราที่ไดรับอยูเดิมตามบัญชีทายพระราชบัญญัตินี้อีกรอยละสี่ของเงินเดือนท่ีไดรับอยู
ในกรณีที่การปรับเงินเดือนดังกลาวทําใหมีเศษไมถึงสิบบาทใหปรับตัวเลขเงินเดือนดังกลาวเพิ่มข้ึนเปน
สิบบาท
มาตรา 6 ใหน ายกรฐั มนตรรี ักษาการตามพระราชบัญญัตนิ ้ี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใชพระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เปนการสมควรปรับอัตรา
เงินเดือนของขาราชการพลเรือนสามัญใหเหมาะสมเปนธรรมและไดม าตรฐาน โดยคาํ นึงถึงคาครองชีพท่ี
เปลี่ยนแปลงไป คาตอบแทนในภาคเอกชน ฐานะการคลังของประเทศ ความแตกตา งระหวางรายไดของ
8 ราชกจิ จานุเบกษา เลม 132/ตอนที่ 43 ก/หนา 1/21 พฤษภาคม 2558
407 396 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
ขาราชการระดับตาง ๆ ในประเภทเดียวกันและตางประเภทกัน และปจจัยอื่นท่ีจําเปนสมควร
ปรับบัญชีเงินเดือนขั้นตํ่าข้ันสูงของขาราชการพลเรือนสามัญใหเหมาะสมยิ่งข้ึน และกําหนดมาตรการ
เยียวยาใหขาราชการพลเรือนสามัญไดรับเงินเดือนหรือเงินประจําตําแหนงท่ีเหมาะสมและเปนธรรม
ตามสมควรแหงกรณี ตามหลกั เกณฑและวธิ ีการทค่ี ณะรัฐมนตรกี ําหนดจึงจาํ เปนตอ งตราพระราชบญั ญตั นิ ี้
พระราชบญั ญัติระเบียบขาราชการพลเรือน (ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 25629
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ใหใชบังคับตั้งแตวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เปน ตน ไป
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใชพ ระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ปจจุบันปรากฏปญหาความไมสอดคลอง
กั น ร ะ ห ว าง บ ท บั ญ ญั ติ ข อ ง ก ฎ ห ม าย ว าด ว ย ก าร ดํ า เนิ น ก าร ท าง วิ นั ย ข อ งข าร า ช ก าร ฝ า ย พ ล เรื อ น
ประเภทตาง ๆ สง ผลใหเ กิดความไมเ ปน ธรรมและไมเสมอภาคในการดําเนินการทางวินัยแกขาราชการซ่งึ
ออกจากราชการไปแลว นอกจากน้ียังมีปญหาความแตกตา งระหวา งกฎหมายวาดวยการดาํ เนินการทาง
วินัยของขาราชการพลเรือนกับกฎหมายขององคกรตรวจสอบการทุจริต ซึ่งทําใหการดําเนินการ
ทางวินัยเพ่ือพิจารณาลงโทษแกขาราชการท่ีถูกองคกรตรวจสอบการทุจริตช้ีมูลความผิดหลังออกจาก
ราชการไปแลว ในบางกรณีไมอาจดําเนินการตามฐานความผิดที่ช้ีมูลได ดังนั้น สมควรใหการดําเนินการ
ทางวินัยแกผูซ่งึ ออกจากราชการเปน มาตรฐานเดียวกันและสอดคลองกับกฎหมายขององคกรตรวจสอบ
การทุจริต อันจะเปนกลไกหน่ึงที่ทําใหการปองกันและปราบปรามการทุจริตสัมฤทธ์ิผลมากย่ิงขึ้น
จึงจําเปน ตองตราพระราชบัญญัติน้ี
9 ราชกจิ จานุเบกษา เลม 136/ตอนที่ 43 ก/หนา 1/5 เมษายน 2562
408 397
408
กฎ ก.พ.
ว่าดว้ ยการกระทาการอนั เปน็ การลว่ งละเมดิ หรอื คกุ คามทางเพศ
พ.ศ. 2553
อาศัยอานาจตามความในมาตรา 8 (5) และมาตรา 83 (8) แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจากัด
สทิ ธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกบั มาตรา 31 มาตรา 33 มาตรา 43 และมาตรา 64
ของรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทยบญั ญัติใหก้ ระทาได้ โดยอาศัยอานาจตามบทบัญญตั แิ ห่งกฎหมาย
ก.พ. โดยอนุมัติคณะรฐั มนตรี จงึ ออกกฎ ก.พ. ไว้ ดงั ต่อไปน้ี
ข้อ 11 กฎ ก.พ. นี้ให้ใชบ้ ังคับตง้ั แตว่ ันถดั จากวนั ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเปน็ ตน้ ไป
ข้อ 2 ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาการประการใดประการหนึ่งดังต่อไปนี้
ตอ่ ข้าราชการด้วยกัน หรือผู้ร่วมปฏิบัติราชการ ไม่ว่าจะเกิดข้ึนในหรอื นอกสถานท่ีราชการโดยผู้ถูกกระทา
มิได้ยินยอมต่อการกระทาน้ัน หรือทาให้ผู้ถูกกระทาเดือดร้อนราคาญ ถือว่าเป็นการกระทาอันเป็นการ
ลว่ งละเมดิ หรือคกุ คามทางเพศ ตามมาตรา 83 (8)
(1) กระทาการด้วยการสัมผสั ทางกายท่ีมลี ักษณะสอ่ ไปในทางเพศ เช่น การจูบ การโอบกอด
การจบั อวัยวะส่วนใดสว่ นหนึง่ เป็นตน้
(2) กระทาการด้วยวาจาท่ีส่อไปในทางเพศ เช่น วิพากษ์วิจารณ์ร่างกาย พูดหยอกล้อ
พดู หยาบคาย เปน็ ตน้
(3) กระทาการด้วยอากัปกิริยาท่ีส่อไปในทางเพศ เช่น การใช้สายตาลวนลาม
การทาสญั ญาณหรอื สัญลกั ษณใ์ ด ๆ เป็นต้น
(4) การแสดงหรือส่ือสารด้วยวิธีการใด ๆ ท่ีส่อไปในทางเพศ เช่น แสดงรูปลามกอนาจาร
สง่ จดหมาย ข้อความ หรอื การส่ือสารรูปแบบอืน่ เป็นต้น
(5) การแสดงพฤติกรรมอ่ืนใดท่ีส่อไปในทางเพศ ซ่ึงผู้ถูกกระทา ไม่พึงประสงค์หรือ
เดอื ดรอ้ นราคาญ
ให้ไว้ ณ วันที่ 27 กนั ยายน พ.ศ. 2553
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรฐั มนตรี
ประธาน ก.พ.
1 ราชกจิ จานุเบกษา เล่ม 127/ตอนที่ 59 ก/หน้า 14/28 กันยายน 2553
409
409 398
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎ ก.พ. ฉบับนี้ คือ โดยท่ีมาตรา 83 (8) แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 บัญญัติว่าข้าราชการพลเรือนสามัญต้องไม่กระทาการใด
อันเป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศตามที่กาหนดใน กฎ ก.พ. สมควรกาหนดหลักเกณฑ์
การกระทาการอันเปน็ การล่วงละเมิดหรือคกุ คามทางเพศ จึงจาเปน็ ต้องออกกฎ ก.พ. น้ี
การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
410 399
410
กฎ ก.พ.
ว่าดว้ ยการดาเนนิ การทางวนิ ยั
พ.ศ. 2556
อาศยั อานาจตามความในมาตรา 8 (5) มาตรา 94 มาตรา 95 มาตรา 96 มาตรา 97
มาตรา 101 และมาตรา 105 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 อันเป็น
กฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเก่ียวกับการจากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29
ประกอบกบั มาตรา 31 มาตรา 33 มาตรา 43 และมาตรา 64 ของรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บญั ญัติให้กระทาได้โดยอาศัยอานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ก.พ. โดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี จึงออก
กฎ ก.พ. ไว้ ดงั ต่อไปนี้
ข้อ 11 กฎ ก.พ. นี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกาหนดหกสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เปน็ ต้นไป
หมวด 1
การดาเนนิ การเมอ่ื มีการกลา่ วหาหรอื มีกรณเี ปน็ ที่สงสัยว่ามีการกระทาผดิ วินยั
ข้อ 2 เมื่อมีการกล่าวหาหรือมีกรณีเป็นที่สงสัยวา่ ข้าราชการพลเรือนสามญั ผู้ใดกระทา
ผดิ วินยั ผบู้ ังคับบญั ชาของผู้นน้ั มหี นา้ ทตี่ อ้ งรายงานตามลาดบั ชั้นให้ผ้บู งั คบั บญั ชาซ่ึงมีอานาจส่ังบรรจุตาม
มาตรา 57 ทราบโดยเรว็ โดยทาเปน็ หนังสอื ซงึ่ อยา่ งน้อยต้องมีสาระสาคญั ดงั ต่อไปน้ี
(1) ชอื่ ผู้กล่าวหา (ถ้าม)ี
(2) ชอื่ และตาแหนง่ ของผู้ถูกกล่าวหา
(3) ข้อเทจ็ จรงิ หรือพฤติการณ์แหง่ การกระทาที่กลา่ วหาหรอื เปน็ ท่สี งสยั ว่ากระทาผดิ วนิ ัย
(4) พยานหลกั ฐานทเี่ กีย่ วขอ้ งเทา่ ทีม่ ี
ขอ้ 3 การกล่าวหาท่ีจะดาเนินการตามกฎ ก.พ. นี้ ถ้าเป็นการกล่าวหาเป็นหนังสือให้มี
รายละเอียดดงั ต่อไปนี้
(1) ระบชุ อื่ ของผกู้ ล่าวหา และลงลายมือชอ่ื ผูก้ ลา่ วหา
(2) ระบุชอ่ื หรือตาแหน่งของผถู้ กู กล่าวหา หรือขอ้ เทจ็ จริงท่เี พียงพอให้ทราบวา่ เปน็ การ
กลา่ วหาขา้ ราชการพลเรอื นสามัญผใู้ ด
(3) ระบุข้อเทจ็ จริงและพฤตกิ ารณ์แหง่ การกระทาที่มีการกล่าวหาเพียงพอทจ่ี ะเข้าใจได้
หรือแสดงพยานหลกั ฐานเพียงพอทีจ่ ะสืบสวนสอบสวนตอ่ ไปได้
1 ราชกจิ จานเุ บกษา เล่ม 130/ตอนท่ี 126 ก/หน้า 11/27 ธนั วาคม 2556
411 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
411 400
ในกรณีที่เป็นการกล่าวหาด้วยวาจา ให้ผู้บังคับบัญชาผู้ได้รับฟังการกล่าวหาจัดให้มี
การทาบนั ทกึ คากล่าวหาทม่ี ีรายละเอียดตามวรรคหน่ึง และให้ผกู้ ลา่ วหาลงลายมือช่อื ไว้เปน็ หลักฐาน
ข้อ 4 กรณีเป็นท่ีสงสัยว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาผิดวินัยที่จะดาเนินการ
ตามกฎ ก.พ. นี้ อาจมลี ักษณะดังน้ี
(1) มีการกล่าวหาที่ไม่ได้ระบุช่ือผู้กล่าวหา ไม่ได้ลงลายมือช่ือผู้กล่าวหา แต่ระบุชื่อ
หรือตาแหน่งของผู้ถูกกล่าวหา หรือข้อเท็จจริงท่ีปรากฏนั้นเพียงพอที่จะทราบว่ากล่าวหาข้าราชการ
พลเรือนสามัญผใู้ ดและขอ้ เทจ็ จรงิ หรือพฤติการณน์ ัน้ เพียงพอทจ่ี ะสบื สวนสอบสวนต่อไปได้ หรือ
(2) มีข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ปรากฏต่อผู้บังคับบัญชาอันเป็นท่ีสงสัยว่าข้าราชการ
พลเรือนสามญั ผู้ใดกระทาผิดวินยั โดยมพี ยานหลกั ฐานเพยี งพอที่จะสืบสวนสอบสวนต่อไปได้
หมวด 2
การสบื สวนหรอื พจิ ารณาในเบอื้ งต้น
ข้อ 5 เมื่อได้รับรายงานตามข้อ 2 หรือความปรากฏต่อผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจ
สั่งบรรจุตามมาตรา 57 ว่ามีการกล่าวหาหรือมีกรณีเป็นท่ีสงสัยว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใด
กระทาผิดวนิ ยั ใหด้ าเนนิ การอยา่ งใดอย่างหนึ่งดังต่อไปน้ีโดยเรว็
(1) พจิ ารณาในเบ้ืองต้นว่ากรณมี ีมูลทีค่ วรกลา่ วหาว่าผนู้ น้ั กระทาผิดวินยั หรือไม่
(2) ดาเนินการสืบสวนหรือส่ังให้ดาเนินการสืบสวน และพิจารณาว่ากรณีมีมูลท่ีควร
กล่าวหาว่าผู้น้ันกระทาผิดวินัยหรือไม่ ในการน้ี ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57
อาจสืบสวนเองหรือให้ข้าราชการพลเรือนสามัญหรือเจ้าหน้าท่ีของรฐั ที่เกย่ี วข้องดาเนินการสืบสวนแล้ว
รายงานมาเพือ่ ประกอบการพิจารณากไ็ ด้
ในกรณีที่เห็นวา่ มีมลู ที่ควรกล่าวหาวา่ ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาผิดวินัย หรือ
เปน็ กรณที ี่มีพยานหลักฐานในเบ้ืองตน้ อยแู่ ล้วและเห็นวา่ มีมูลที่ควรกล่าวหาวา่ ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ผใู้ ดกระทาผิดวินัยใหด้ าเนินการตามข้อ 6 ตอ่ ไป
ข้อ 6 ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาซึ่งมอี านาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 พิจารณาเห็นว่ากรณี
มีมูลท่ีควรกล่าวหาว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ให้ดาเนินการต่อไป
ตามหมวด 3 ถา้ พิจารณาเหน็ ว่ากรณีมีมูลทค่ี วรกล่าวหาว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผูใ้ ดกระทาผิดวินัย
อย่างร้ายแรง ให้ดาเนินการต่อไปตามหมวด 4 แต่ถ้าพิจารณาเห็นว่ากรณีไม่มีมูลท่ีควรกล่าวหาว่า
ขา้ ราชการพลเรอื นสามญั ผ้ใู ดกระทาผดิ วนิ ยั ใหย้ ตุ ิเร่อื ง
ขอ้ 7 กรณที ี่ถอื ว่าไมม่ ีมูลท่ีควรกล่าวหาว่าขา้ ราชการพลเรอื นสามญั ผู้ใดกระทาผิดวินัย
และผบู้ งั คับบัญชาซ่งึ มอี านาจสง่ั บรรจุตามมาตรา 57 สงั่ ใหย้ ุติเรือ่ งได้ อาจเปน็ กรณดี ังตอ่ ไปน้ี
(1) ข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์แวดล้อมและพยานหลักฐานไม่เพียงพอให้ทราบว่า
ขา้ ราชการพลเรอื นสามัญผใู้ ดเปน็ ผู้กระทาผิดวินยั
412
412 401
(2) ข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์แวดล้อมและพยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะทาให้
เขา้ ใจไดว้ า่ มีการกระทาผดิ วินยั หรือไม่เพยี งพอทีจ่ ะดาเนินการสืบสวนสอบสวนตอ่ ไปได้
(3) พฤตกิ ารณ์แหง่ การกระทานนั้ ไม่เป็นความผดิ ทางวินยั
หมวด 3
การดาเนนิ การในกรณมี มี ูลท่คี วรกลา่ วหาวา่ กระทาผดิ วนิ ยั อย่างไม่ร้ายแรง
ข้อ 8 ในกรณีท่ีผลการสืบสวนหรือพิจารณาตามข้อ 5 และข้อ 6 ปรากฏว่ากรณีมีมูล
ที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ให้ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมี
อานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 ดาเนินการต่อไปตามหมวดน้ี โดยไม่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนก็ได้
แตถ่ ้าไดแ้ ตง่ ตงั้ คณะกรรมการสอบสวนแลว้ ตอ้ งดาเนนิ การตามขอ้ 12 ข้อ 13 และข้อ 14 จนแล้วเสร็จ
ข้อ 9 ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 ดาเนินการทางวินัย
โดยไมต่ งั้ คณะกรรมการสอบสวน ต้องดาเนินการตามหมวดนใ้ี ห้แลว้ เสรจ็ โดยเร็ว ท้ังน้ีตอ้ งไม่เกินสี่สิบหา้ วัน
นับแต่วันที่พิจารณาเห็นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ในกรณีที่ไม่สามารถ
ดาเนินการให้แล้วเสร็จภายในเวลาดังกล่าว ให้ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57
ขยายเวลาได้ตามความจาเปน็ โดยแสดงเหตผุ ลความจาเป็นไว้ดว้ ย
ข้อ 10 ในการดาเนินการตามข้อ 9 ต้องแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐาน
ที่สนับสนุนข้อกล่าวหาเป็นหนังสือให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ และต้องให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาได้ช้ีแจง
แก้ข้อกลา่ วหาภายในระยะเวลาที่กาหนด
ในกรณีท่ีผู้ถูกกล่าวหาไม่ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายในเวลาท่ีกาหนด ให้ถือว่าผู้ถูกกล่าวหา
ไมป่ ระสงคจ์ ะชแี้ จงแก้ขอ้ กล่าวหา
ข้อ 11 เม่ือผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 ได้ดาเนินการตาม
ขอ้ 10 แลว้ ใหพ้ จิ ารณาส่ังหรือดาเนนิ การดังต่อไปน้ี
(1) ในกรณีที่เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กระทาผิดวินัยตามข้อกล่าวหา ให้สั่งยุติเร่ือง
ตามมาตรา 92 วรรคสอง โดยทาเปน็ คาสัง่ ตามขอ้ 66
(2) ในกรณีท่ีเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหากระทาผิดวินัยอย่างไม่รา้ ยแรง ให้ส่งั ลงโทษภาคทัณฑ์
ตดั เงนิ เดือน หรือลดเงินเดอื น ตามควรแก่กรณีให้เหมาะสมกบั ความผดิ ตามมาตรา 96 และท่กี าหนดไว้
ในข้อ 67 โดยทาเป็นคาสงั่ ตามข้อ 69
(3) ในกรณีที่เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหากระทาผิดวินัยเล็กน้อย และมีเหตุอันควรงดโทษ
จะงดโทษให้โดยให้ทาทัณฑ์บนเป็นหนังสือหรือว่ากล่าวตักเตือนตามมาตรา 96 ก็ได้ โดยทาเป็นคาส่ัง
งดโทษตามข้อ 71
(4) ในกรณีท่ีเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้ดาเนินการตาม
หมวด 4 ต่อไป
413 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
413 402
ข้อ 12 ในกรณีที่ผู้มีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 ดาเนินการทางวินัยโดยแต่งต้ัง
คณะกรรมการสอบสวน การแตง่ ต้ังคณะกรรมการสอบสวน และการคดั คา้ นกรรมการสอบสวน ให้นาข้อ
18 วรรคหน่ึง วรรคสอง วรรคสี่ ข้อ 19 ข้อ 20 ข้อ 21 ข้อ 22 ข้อ 23 ข้อ 24 และข้อ 25
มาใช้บงั คบั โดยอนโุ ลม
ในกรณีท่ีข้าราชการพลเรือนสามัญตาแหน่งต่างกัน หรือต่างกรม หรือต่างกระทรวงกัน
ถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยร่วมกัน การแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตาม
มาตรา 94 และท่ีกาหนดในขอ้ 16 และขอ้ 17
ข้อ 13 คณะกรรมการสอบสวนตามข้อ 12 ต้องดาเนนิ การสอบสวน รวบรวมข้อเท็จจริง
ข้อกฎหมาย และพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง แจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ
รับฟงั คาชีแ้ จงของผูถ้ ูกกล่าวหา แล้วเกบ็ รวบรวมไว้ในสานวนการสอบสวน และทารายงานการสอบสวน
พร้อมความเห็นเสนอผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวน ท้ังน้ี ต้องให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่
วันทีป่ ระธานกรรมการรบั ทราบคาสั่ง
ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนมีเหตุผลและความจาเป็นไม่อาจดาเนินการให้แล้วเสร็จ
ภายในกาหนดเวลาตามวรรคหน่ึง ให้ประธานกรรมการรายงานต่อผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน
เพ่ือขอขยายเวลาตามความจาเป็น ในการน้ี ผู้ส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนจะขยายเวลาให้ตามที่
เห็นสมควรโดยต้องแสดงเหตุผลไว้ด้วย หรือจะส่ังให้คณะกรรมการสอบสวนยุติการดาเนินการแล้ว
พจิ ารณาสั่งหรือดาเนนิ การตามขอ้ 11 ต่อไปกไ็ ด้
ในกรณที ี่ผู้ถูกกล่าวหาไม่มาใหถ้ ้อยคาช้ีแจงแก้ขอ้ กล่าวหาหรอื ไม่ยื่นคาช้ีแจงแก้ข้อกล่าวหา
ภายในเวลาที่คณะกรรมการสอบสวนกาหนด ให้ถือว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ประสงค์จะช้ีแจงแก้ข้อกล่าวหา
เว้นแต่คณะกรรมการสอบสวนจะเห็นควรดาเนินการเป็นอยา่ งอ่ืนเพ่อื ประโยชน์แหง่ ความเป็นธรรม
ข้อ 14 เม่ือผู้ส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนได้รับรายงานการสอบสวนและสานวน
การสอบสวนตามข้อ 13 แล้ว ให้พิจารณาส่ังหรือดาเนินการตามข้อ 11 หรือส่ังหรือดาเนินการ
ดังตอ่ ไปนี้
(1) ในกรณีที่เห็นว่าควรรวบรวมข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานเพิ่มเติม ให้กาหนด
ประเด็นหรอื ขอ้ สาคญั ทต่ี ้องการใหค้ ณะกรรมการสอบสวนทาการสอบสวนเพิม่ เตมิ
(2) ในกรณีท่ีเห็นว่าการดาเนินการใดไม่ถูกต้อง ให้ส่ังให้คณะกรรมการสอบสวน
ดาเนนิ การให้ถูกต้องโดยเร็ว
414 403
หมวด 4
การดําเนนิ การในกรณีมีมูลที่ควรกลาวหาวากระทาํ ผิดวินัยอยางรายแรง
ขอ 15 ในกรณีที่ผลการสืบสวนหรือพิจารณาตามขอ 5 และขอ 6 ปรากฏวากรณี
มีมูลที่ควรกลาวหาวาขาราชการพลเรือนสามัญผูใดกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ใหผูบังคับบัญชาซ่ึงมี
อํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 หรือผูมีอํานาจตามมาตรา 94 แลวแตกรณี แตงต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนเพ่ือดาํ เนนิ การสอบสวนตอไป
ในก รณี ท่ี เป นก ารดํ าเนิ นการตอ เนื่อ งจาก การดําเนิน การตาม ขอ 1 1 (4 )
ใหผูบังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 หรือผูมีอํานาจตามมาตรา 94 แลวแตกรณี
แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้ึนใหมเพ่ือดําเนินการตอไปตามหมวดนี้ สวนขอเท็จจริงและ
พยานหลักฐานในสํานวนการสอบสวนตามขอ 13 จะนํามาใชในการสอบสวนน้ีหรือไมเพียงใด
ใหอยใู นดุลพนิ จิ ของคณะกรรมการสอบสวน
ขอ 16 การแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนกรณีท่ีขาราชการพลเรือนสามัญตําแหนง
ตางกันหรือตางกรม หรือตางกระทรวงกัน ถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยรวมกัน สําหรับกรณีอื่น
ตามมาตรา 94 (4) ใหดําเนนิ การ ดังตอ ไปน้ี
(1) กรณีท่ีขาราชการพลเรือนสามัญในกรมเดยี วกันถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยรวมกัน
ถาผูบังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 ของขาราชการดังกลาวตางกัน ใหอธิบดีหรือ
ผูบังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจส่ังบรรจุท่ีมีตําแหนงเหนือกวาเปนผูส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวน
แลว แตกรณี
(2) กรณีที่ขา ราชการพลเรือนสามัญในสํานักงานรัฐมนตรี หรือสวนราชการท่ีไมมีฐานะ
เปนกรมแตมีหัวหนาสวนราชการเปนอธิบดีหรือตําแหนงท่ีเรียกชื่ออยางอ่ืนที่มีฐานะเปนอธิบดี
ถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยรวมกับขาราชการพลเรือนสามัญในสวนราชการอ่ืน ใหผูบังคับบัญชา
ซ่ึงมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 รวมกันแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวน เวนแตเปนกรณีท่ีมี
ผูดํารงตําแหนงประเภทบริหารระดับสูงถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยรวมดวย ใหนายกรัฐมนตรีเปน
ผูสงั่ แตง ต้ังคณะกรรมการสอบสวน
(3) กรณีที่ขาราชการพลเรือนสามัญในสว นราชการที่มีฐานะเปนกรมและไมสังกัดกระทรวง
แตอยูในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือในสวนราชการที่มีหัวหนาสวนราชการ
รับผิดชอบในการปฏิบัตริ าชการข้ึนตรงตอนายกรฐั มนตรีหรือตอรัฐมนตรี ถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัย
รว มกับขาราชการพลเรือนสามัญในสวนราชการอื่น ใหผูบังคับบัญชาซ่งึ มีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57
รวมกันแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวน เวนแตเปนกรณีที่มีผูดํารงตําแหนงประเภทบริหารระดับสูง
ถูกกลา วหาวากระทําผิดวินัยรวมดวย ใหน ายกรัฐมนตรเี ปน ผูส ่ังแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน
(4) กรณีที่ขาราชการพลเรือนสามัญในราชการบริหารสวนภูมิภาคจังหวัดเดียวกัน
แตอยูตางกรมหรือตางกระทรวงกัน ถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยรวมกัน ถาผูถูกกลาวหาทุกคน
ดํารงตําแหนงท่ีผูวาราชการจังหวัดเปนผูบังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 (11)
ใหผ วู า ราชการจงั หวัดเปนผสู ่งั แตงตงั้ คณะกรรมการสอบสวน
415 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
415 404
ข้อ 17 ในกรณีร่วมกันแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวน ให้ผู้มีอานาจสั่งแต่งตั้ง
คณะกรรมการสอบสวนของแต่ละส่วนราชการทาความตกลงกันเพ่ือกาหนดตัวบุคคลเป็นกรรมการ
สอบสวน แลว้ ใหแ้ ต่ละส่วนราชการมีคาส่ังแต่งตั้งบุคคลนน้ั เปน็ คณะกรรมการสอบสวน
ข้อ 18 การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ให้แต่งตั้งจากข้าราชการพลเรือนสามัญ
ประกอบด้วยประธานกรรมการคนหนึ่ง และกรรมการอ่ืนอีกอย่างน้อยสองคน โดยให้กรรมการคนหน่ึง
เป็นเลขานุการในกรณีที่มีเหตุผลความจาเป็นจะแต่งต้ังประธานกรรมการและกรรมการจากข้าราชการ
ฝา่ ยพลเรือนซ่ึงมิใชข่ ้าราชการการเมอื งก็ได้
ในขณะท่ีมีการแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวน ประธานกรรมการต้องดารงตาแหน่ง
ตามที่ ก.พ. กาหนด
กรรมการสอบสวนอยา่ งน้อยหนึ่งคนต้องเป็นผู้ดารงตาแหน่งนิตกิ ร หรอื ผู้ได้รับปริญญา
ทางกฎหมายหรือผู้ได้รับการฝึกอบรมตามหลักสูตรการดาเนินการทางวินัย หรือผู้มีประสบการณ์
ด้านการดาเนนิ การทางวนิ ยั
เพื่อประโยชน์ในการสอบสวนจะให้มีผู้ช่วยเลขานุการที่แต่งตง้ั จากข้าราชการฝ่ายพลเรือน
ซงึ่ มใิ ช่ข้าราชการการเมืองหรือแตง่ ตงั้ จากพนักงานราชการหรอื ลกู จ้างประจาด้วยก็ได้ และให้นาขอ้ 20
ข้อ 22 ข้อ 23 ขอ้ 24 ขอ้ 25 และขอ้ 33 มาใชบ้ งั คบั กบั ผชู้ ่วยเลขานุการโดยอนุโลม
ข้อ 19 คาสั่งแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนให้ระบุชื่อและตาแหน่งของผู้ถูกกล่าวหา
เร่ืองท่ีกล่าวหาช่ือของประธานกรรมการ และกรรมการ ทั้งนี้ ตามแบบที่สานักงาน ก.พ. กาหนด
ในกรณีทมี่ กี ารแตง่ ตัง้ ผูช้ ว่ ยเลขานุการ ใหร้ ะบชุ อ่ื ผู้ชว่ ยเลขานุการไว้ในคาสั่งนัน้ ด้วย
ข้อ 20 ในกรณีท่ีมีการเปลีย่ นแปลงกรรมการสอบสวน ให้ดาเนินการโดยทาเป็นคาส่ัง
ตามแบบที่สานกั งาน ก.พ. กาหนด และใหแ้ จง้ ใหผ้ ถู้ กู กล่าวหาทราบตอ่ ไป
การเปลี่ยนแปลงกรรมการสอบสวนตามวรรคหนึ่ง ไมก่ ระทบกระเทอื นถึงการสอบสวนที่
ไดด้ าเนนิ การไปแล้ว
ข้อ 21 เมื่อได้มีคาส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนแลว้ ให้ผสู้ ่ังแต่งตัง้ คณะกรรมการ
สอบสวนดาเนินการดงั ตอ่ ไปน้ี
(1) แจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบคาส่ังโดยเร็ว และให้ผู้ถูกกล่าวหาลงลายมือชื่อและ
วันท่ีรับทราบไว้เป็นหลักฐาน ในการนี้ ให้แจ้งตาแหน่งของประธานกรรมการ กรรมการ และ
ผู้ช่วยเลขานุการ (ถ้ามี) รวมทั้งสิทธิที่จะคัดค้านกรรมการสอบสวนไปพรอ้ มกัน และให้มอบสาเนาคาส่ัง
ใหผ้ ถู้ ูกกล่าวหาไว้หนงึ่ ฉบับดว้ ยในกรณีท่ีผู้ถูกกล่าวหาไม่ยอมลงลายมือชือ่ รับทราบคาส่ัง ถ้าได้ทาบันทึก
ลงวันท่ีและสถานที่ท่ีแจ้งและลงลายมือช่ือผู้แจ้ง พร้อมท้ังพยานรู้เห็นไว้เป็นหลักฐานแล้ว ให้ถือวันท่ี
แจ้งนัน้ เปน็ วันรับทราบ
การแจ้งตามวรรคหนึ่ง ให้แจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบโดยตรงก่อน แต่ถ้าไม่อาจแจ้ง
ให้ทราบโดยตรงได้หรือมีเหตุจาเป็นอื่น ให้แจ้งเป็นหนังสือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปให้
ผู้ถูกกล่าวหา ณ ท่ีอยู่ซึ่งปรากฏตามหลักฐานของทางราชการ ในกรณีเช่นน้ี ให้ถือว่าผู้ถูกกล่าวหา
416
416 405
ได้รับแจ้งเม่ือครบกาหนดเจ็ดวันนับแต่วันส่งสาหรับกรณีส่งในประเทศ หรือเมื่อครบสิบห้าวันนับแต่
วันส่งสาหรับกรณสี ง่ ไปยงั ตา่ งประเทศ
(2) ส่งสาเนาคาสั่งแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนพร้อมทั้งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง
กับเร่ืองที่กล่าวหาให้ประธานกรรมการโดยเร็ว แล้วให้ประธานกรรมการลงลายมือช่ือและวันเดือนปี
ที่ได้รับแล้วเก็บรวมไว้ในสานวนการสอบสวน และส่งสาเนาคาส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน
ใหก้ รรมการทราบเป็นรายบคุ คล
(3) ส่งหลักฐานการรับทราบหรือถือว่าทราบคาสั่งของผู้ถูกกล่าวหาไปให้ประธานกรรมการ
เพื่อเก็บรวมไว้ในสานวนการสอบสวน
ข้อ 22 เมื่อมกี รณดี ังต่อไปน้ี กรรมการสอบสวนอาจถกู คดั ค้านได้
(1) เป็นผู้กลา่ วหาตามข้อ 3
(2) เป็นคหู่ มน้ั หรอื ค่สู มรสของผ้กู ลา่ วหาตามขอ้ 3
(3) เป็นญาติของผู้กล่าวหาตามข้อ 3 คือ เป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดานไม่ว่าชั้นใด ๆ
หรอื เปน็ พ่ีน้องหรือลกู พี่ลูกนอ้ งนบั ไดเ้ พยี งสามชน้ั หรือเปน็ ญาติเกี่ยวพันทางการสมรสนับได้เพยี งสองชัน้
(4) เป็นผู้มสี าเหตโุ กรธเคืองกับผู้ถูกกลา่ วหาหรอื กับคู่หม้นั หรอื คู่สมรสของผู้ถกู กล่าวหา
(5) เปน็ ผมู้ ีประโยชน์ได้เสยี ในเรือ่ งทสี่ อบสวน
(6) เปน็ ผู้รู้เห็นเหตุการณ์ในขณะกระทาผดิ ตามเร่ืองท่กี ลา่ วหา
(7) เป็นผู้ที่มีเหตุอ่ืนซึ่งมีสภาพร้ายแรงอันอาจทาให้การสอบสวนไม่เป็นกลางหรือ
เสยี ความเปน็ ธรรม
ข้อ 23 การคัดค้านกรรมการสอบสวนต้องทาเป็นหนังสือยื่นต่อผู้ส่ังแต่งตั้ง
คณะกรรมการสอบสวนภายใน เจ็ดวัน นับแต่วันทราบห รือถือว่าทราบ คาส่ังแต่งต้ังคณ ะกรรมการ
สอบสวนหรือนับแต่วันที่ทราบว่ามีกรณีตามข้อ 22 โดยหนังสือคัดค้านต้องแสดงข้อเท็จจริงหรือ
พฤตกิ ารณท์ ่ีเป็นเหตแุ หง่ การคดั คา้ นตามที่กาหนดไวใ้ นข้อ 22
ในกรณีท่ีผู้ส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่าการคัดค้านเป็นไปตามเง่ือนไข
ที่กาหนดตามวรรคหนึ่ง ให้สง่ สาเนาหนงั สือคดั ค้านไปให้ประธานกรรมการเพื่อทราบและเกบ็ รวบรวมไว้
ในสานวนการสอบสวน รวมทั้งแจ้งให้ผู้ถูกคัดค้านทราบ และต้องให้โอกาสผู้ถูกคัดค้านได้ช้ีแจง
เป็นหนังสือต่อผู้ส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนภายในเจ็ดวันนับแต่วันท่ีผู้ถูกคัดค้านได้ลงลายมือชื่อ
และวันท่ีท่ีได้รับแจ้งไว้เป็นหลักฐาน ในการนี้ ผู้ถูกคัดค้านต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่กรรมการสอบสวน
ตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งนั้นแต่ถ้าเห็นว่าการคัดค้านไม่เป็นไปตามเงื่อนไขท่ีกาหนดให้ผู้ส่ังแต่งต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนสั่งไม่รบั คาคดั คา้ นนน้ั และแจง้ ใหผ้ ู้คัดคา้ นทราบ
ข้อ 24 เม่ือได้ดาเนินการตามข้อ 23 แล้ว ให้ผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน
พิจารณาสง่ั การอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ดังตอ่ ไปน้ี
(1) ในกรณีท่ีเห็นว่าคาคัดค้านรับฟังได้ ให้ส่ังให้ผู้ถูกคัดค้านพ้นจากหน้าที่ในการเป็น
กรรมการสอบสวนในกรณีท่ีเห็นสมควรจะแต่งต้ังผู้อ่ืนให้เป็นกรรมการสอบสวนแทนผู้ถูกคัดค้านก็ได้
417 406 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
แตถ ากรรมการสอบสวนทเ่ี หลอื อยูมีจํานวนนอยกวา สามคนใหแ ตง ต้ังผูอ นื่ ใหเ ปนกรรมการสอบสวนแทน
ผูถกู คดั คาน และใหน ําขอ 20 มาใชบังคบั โดยอนโุ ลม
(2) ในกรณีท่ีเห็นวาคําคัดคานไมอาจรับฟงได ใหส่ังยกคําคัดคาน และมีหนังสือแจงให
ผูค ดั คา น ผถู กู คดั คาน และประธานกรรมการทราบโดยเรว็ คาํ สัง่ ยกคําคดั คานใหเปนทสี่ ดุ
ผูสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนตองพิจารณาและส่ังการตามวรรคหน่ึงใหแลวเสร็จ
ภายในสิบหาวันนับแตวันท่ีไดรับคําคัดคาน ถาไมไดส่ังภายในกําหนดเวลาดังกลาว ใหผูถูกคัดคานน้ัน
พนจากการเปน กรรมการสอบสวนนับแตวนั พนกําหนดเวลาดังกลาว และใหด าํ เนินการตาม (1) ตอ ไป
ขอ 25 ในกรณีที่กรรมการสอบสวนผูใดเห็นวาตนมีกรณีตามขอ 22 ใหผูนั้นแจงให
ผูส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทราบ และใหผูสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาสั่งการ
ตามขอ 24 โดยอนุโลมตอไป
ขอ 26 คณะกรรมการสอบสวนมีหนาที่สอบสวนและพิจารณาตามหลักเกณฑ วิธีการ
และระยะเวลาท่ีกําหนดในกฎ ก.พ. น้ี เพื่อแสวงหาความจริงในเรื่องท่ีกลาวหาและดูแลใหบังเกิด
ความยุติธรรมตลอดกระบวนการสอบสวน ในการนี้ ใหคณะกรรมการสอบสวนรวบรวมประวัติและ
ความประพฤติของผถู กู กลาวหาทเ่ี กี่ยวของกับเรอื่ งทก่ี ลา วหาเทาท่ีจาํ เปนเพื่อประกอบการพิจารณา และ
จัดทาํ บันทกึ ประจาํ วนั ที่มีการสอบสวนไวทกุ ครั้งดวย
ในการสอบสวนและพิจารณาหามมิใหมีบุคคลอื่นอยูหรือรวมดวย เวนแตเปน
การสอบปากคาํ ตามขอ 32 หรอื เปน กรณที ี่กฎ ก.พ. น้ี กําหนดไวเ ปนอยางอนื่
ขอ 27 ใหประธานกรรมการจัดใหมีการประชุมคณะกรรมการสอบสวนคร้ังแรก
ภายในเจ็ดวันนับแตวันที่ประธานกรรมการรับเรื่องตามขอ 21 (2) และ (3) ในกรณีที่ไมอาจจดั ประชุม
ไดภายในกําหนดใหรายงานเหตุผลและความจําเปนใหผ ูสง่ั แตงต้งั คณะกรรมการสอบสวนทราบ
ในการประชุมคณะกรรมการสอบสวนตามวรรคหน่ึง ใหค ณะกรรมการสอบสวนกําหนด
ประเดน็ และวางแนวทางการสอบสวนและการรวบรวมพยานหลกั ฐาน
ขอ 28 เมื่อไดวางแนวทางการสอบสวนและการรวบรวมพยานหลักฐานตามขอ 27
แลวใหค ณะกรรมการสอบสวนดําเนินการดังตอไปนี้
(1) รวบรวมขอ เทจ็ จริง ขอกฎหมาย และพยานหลักฐานที่เกีย่ วขอ ง
(2) แจง ขอ กลา วหาและสรุปพยานหลักฐานทส่ี นับสนุนขอ กลาวหาใหผูถูกกลาวหาทราบ
(3) ใหโ อกาสผถู กู กลาวหาไดช แี้ จงแสดงพยานหลกั ฐานเพือ่ แกข อกลา วหา
(4) พิจารณาทาํ ความเห็นเกย่ี วกับเรอ่ื งที่สอบสวน
(5) ทํารายงานการสอบสวนพรอ มความเหน็ เสนอตอผูส ง่ั แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวน
ขอ 29 ใหคณะกรรมการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานท้ังปวงที่เห็นวาเปนประโยชน
แกการสอบสวนโดยไมร ับฟง แตเพยี งขอ อา งหรือพยานหลกั ฐานของผูก ลา วหาหรือผูถูกกลาวหาเทา น้ัน
418 407
ในกรณที ่ีปรากฏวามขี อเท็จจริงใดท่กี ลาวอางหรือพาดพิงถึงบุคคล เอกสาร หรือวัตถุใด
ที่จะเปนประโยชนแกการสอบสวน ใหคณะกรรมการสอบสวนทําการสอบสวนและรวบรวมพยานหลกั ฐาน
นั้นไวใ หค รบถวน ถา ไมอาจเขาถึงหรอื ไดม าซ่ึงพยานหลักฐานดงั กลา ว ใหบนั ทกึ เหตุน้ันไวดวย
ขอ 30 ในการสอบปากคําผูถูกกลาวหาหรือพยานใหสอบปากคําคราวละหนึ่งคน
และในการสอบปากคําพยาน ตองแจงใหพยานทราบวากรรมการสอบสวนมีฐานะเปนเจาพนักงาน
ตามประมวลกฎหมายอาญา การใหถ อยคาํ อนั เปน เท็จอาจเปนความผิดตามกฎหมาย
การสอบปากคําตามวรรคหน่ึง ตองมีกรรมการสอบสวนไมนอยกวากึ่งหนึ่งของจํานวน
กรรมการสอบสวนทัง้ หมดจึงจะทําการสอบปากคําได แตในกรณีทกี่ ึ่งหนึ่งของจํานวนกรรมการสอบสวน
ทง้ั หมดมมี ากกวาสามคน จะใหกรรมการสอบสวนไมน อยกวาสามคนทําการสอบปากคาํ ก็ได
ขอ 31 การสอบปากคําตามขอ 30 ตองมีการบันทึกถอยคําของผูใหถอยคําตาม
แบบที่สํานักงาน ก.พ. กําหนด แลวอานใหผูใหถอยคําฟงหรือใหผูใหถอยคําอานเองก็ได แลวให
ผูใหถอยคําผูบันทึกถอยคํา และกรรมการสอบสวนซ่ึงอยูรวมในการสอบปากคําลงลายมือชื่อใน
บันทึกถอยคําน้ันไวเปนหลักฐาน ในกรณีท่ีบันทึกถอยคําใดมีหลายหนา ใหผูใหถอยคําและกรรม
การสอบสวนซึง่ อยรู วมในการสอบปากคาํ หนึ่งคนลงลายมอื ชอ่ื กาํ กับไวในบนั ทกึ ถอยคําทกุ หนา
ในการบันทึกถอยคํา หามมิใหขูด ลบ หรือบันทึกขอความทับขอความท่ีไดบันทึกไว
ในบันทึกถอยคําแลว ถาจะตองแกไขหรือเพ่ิมเติมขอความท่ีบันทึกไว ใหใชวิธีขีดฆาขอความเดิม
และเพ่ิมเติมขอความใหมดวยวิธีตกเติม แลวใหผูใหถอยคําและกรรมการสอบสวนซ่ึงอยูรวม
ในการสอบปากคาํ หนึง่ คนลงลายมือชือ่ กํากับไวตรงที่มกี ารแกไขเพิ่มเติมนัน้ ทุกแหง
ในกรณีท่ีผูใหถอยคําไมยอมลงลายมือช่ือ ใหบันทึกเหตุที่ไมลงลายมือช่ือน้ันไว
ในบนั ทกึ ถอยคาํ ดวย
ในกรณี ท่ีผูใหถอยคําไมสามารถลงลายมือช่ือได ใหดําเนินการตามมาตรา 9
แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
ขอ 32 ในการสอบปากคํา หามมิใหบุคคลอื่นอยูในที่สอบปากคํา เวนแตเปนบุคคล
ซึ่งกรรมการสอบสวนท่ีทําการสอบปากคําอนุญาตใหอยูในท่ีสอบสวนเพ่ือประโยชนในการสอบสวน
หรือเปนทนายความหรือที่ปรกึ ษาของผูถูกกลาวหาตามจํานวนท่ีกรรมการสอบสวนท่ีทําการสอบปากคํา
เห็นสมควรใหเขามาในการสอบปากคาํ ผูถ กู กลา วหา
ขอ 33 หามมิใหกรรมการสอบสวนทําหรือจัดใหทําการใด ๆ ซ่ึงเปนการใหคําม่ัน
สัญญาขูเข็ญ หลอกลวง บังคับ หรอื กระทําโดยมิชอบไมวาดวยประการใด เพ่ือจูงใจใหผูถูกกลาวหาหรือ
พยานใหถ อ ยคาํ อยางใด
ขอ 34 การนําเอกสารหรือวัตถุมาใชเปนพยานหลักฐานในสํานวนการสอบสวน
ใหค ณะกรรมการสอบสวนจัดใหมกี ารบันทึกไวดวยวาไดมาอยางไร จากผใู ด และเมอื่ ใด
419 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
419 408
เอกสารที่ใช้เป็นพยานหลักฐานในสานวนการสอบสวนให้ใช้ต้นฉบับ แต่ถ้าไม่อาจ
นาตน้ ฉบับมาไดจ้ ะใช้สาเนาทกี่ รรมการสอบสวนหรือผู้มหี นา้ ทร่ี ับผิดชอบรับรองว่าเปน็ สาเนาถูกตอ้ งกไ็ ด้
ใน ก ร ณี ท่ี ไม่ ส าม าร ถ ห าต้ น ฉ บั บ เอ ก สาร ได้ เพ ราะ สูญ ห ายห รื อถู ก ท า ล ายห รือ โด ย
เหตุประการอืน่ คณะกรรมการสอบสวนจะสบื จากสาเนาเอกสารหรือพยานบุคคลแทนกไ็ ด้
ข้อ 35 ในกรณีท่ีคณะกรรมการสอบสวนเรียกบุคคลใดมาเป็นพยานเพ่ือชี้แจงหรือ
ให้ถ้อยคาตามวนั เวลา และสถานท่ีท่กี าหนดแล้ว แต่บคุ คลน้ันไม่มาหรือมาแต่ไม่ชี้แจงหรือไมใ่ ห้ถ้อยคา
หรือในกรณีท่ีคณะกรรมการสอบสวนไม่อาจเรียกบุคคลใดมาช้ีแจงหรอื ให้ถ้อยคาได้ภายในเวลาอันควร
คณะกรรมการสอบสวนจะไม่สอบสวนบุคคลน้ันก็ได้ แต่ต้องบันทึกเหตุน้ันไว้ในบันทึกประจาวันท่ีมี
การสอบสวน และในรายงานการสอบสวนดว้ ย
ข้อ 36 ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนเห็นว่าการสอบสวนพยานบุคคลใดหรือ
การรวบรวมพยานเอกสารหรือวัตถุใดจะทาให้การสอบสวนล่าช้าโดยไม่จาเป็น หรือพยานหลักฐานนั้น
มิใช่สาระสาคัญจะงดสอบสวนหรือไม่รวบรวมพยานหลักฐานน้ันก็ได้ แต่ต้องบันทึกเหตุนั้นไว้ใน
บนั ทกึ ประจาวันทม่ี กี ารสอบสวน และในรายงานการสอบสวนดว้ ย
ขอ้ 37 ในกรณีทีจ่ ะต้องสอบปากคาพยานหรือรวบรวมพยานหลักฐานซ่ึงอยู่ต่างท้องท่ี
ประธานกรรมการจะรายงานต่อผู้ส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อขอให้มอบหมายให้หัวหน้าส่วน
ราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานในท้องที่นั้นท่ีเป็นข้าราชการฝ่ายพลเรือนสอบปากคาพยานหรือรวบรวม
พยานหลักฐานแทนก็ได้ โดยกาหนดประเด็นหรือข้อสาคัญที่จะต้องสอบสวนไปให้ กรณีเช่นน้ี ถ้าผู้สั่ง
แต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนเห็นควรจะมอบหมายให้หัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานนั้น
ดาเนินการตามที่คณะกรรมการสอบสวนรอ้ งขอกไ็ ด้
ในการสอบปากคาพยานและรวบรวมพยานหลักฐานตามวรรคหน่ึง ให้หัวหน้าส่วน
ราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานท่ีได้รับมอบหมายเลือกข้าราชการฝ่ายพลเรือนท่ีเห็นสมควรอย่างน้อย
อีกสองคนมาร่วมเป็นคณะทาการสอบสวน และให้คณะทาการสอบสวนมีอานาจหน้าท่ีเช่นเดียวกับ
คณะกรรมการสอบสวนตามกฎ ก.พ. น้ี
ข้อ 38 เม่ือคณะกรรมการสอบสวนได้รวบรวมข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และ
พยานหลักฐานท่ีเกี่ยวข้อง ตามข้อ 28 (1) แล้ว ให้มีการประชุมคณะกรรมการสอบสวนเพ่ือพิจารณา
ทาความเห็นวา่ ผูถ้ กู กลา่ วหากระทาผิดวินยั ในเรอ่ื งท่สี อบสวนหรอื ไม่ ถา้ คณะกรรมการสอบสวนพจิ ารณา
เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กระทาผิดวินัยในเรื่องที่สอบสวน ให้รายงานผลการสอบสวนพร้อมความเห็น
เสนอตอ่ ผสู้ ัง่ แตง่ ต้ังคณะกรรมการสอบสวน แตถ่ า้ คณะกรรมการสอบสวนเหน็ ว่าข้อเทจ็ จริง ข้อกฎหมาย
รวมทงั้ พยานหลักฐานท่รี วบรวมไดเ้ พยี งพอท่ีจะรับฟงั ไดว้ า่ ผู้ถูกกลา่ วหากระทาผิดวนิ ยั ในเรือ่ งท่ีสอบสวน
ให้แจ้งข้อกลา่ วหาและสรปุ พยานหลักฐานทส่ี นับสนุนข้อกลา่ วหาใหผ้ ูถ้ ูกกล่าวหาทราบ
การประชุมตามวรรคหนึ่ง ต้องมีกรรมการสอบสวนมาประชุมไม่น้อยกว่าสามคนและ
ไมน่ ้อยกว่ากึ่งหนง่ึ ของจานวนกรรมการสอบสวนทัง้ หมด
420 409
ขอ 39 ในกรณีท่ีมีคําพิพากษาถึงท่ีสุดวาผูถูกกลาวหาไดกระทําผิดหรือตองรับผิด
ในคดีเกี่ยวกับเร่ืองที่สอบสวน ถาคณะกรรมการสอบสวนเห็นวาขอเท็จจริงท่ีปรากฏตามคําพิพากษา
ถงึ ทีส่ ดุ น้ันไดความประจักษชัดอยูแลววาผถู ูกกลาวหากระทําผดิ ตามขอ กลาวหา คณะกรรมการสอบสวน
จะนําเอาคําพิพากษาถึงท่ีสุดนั้นมาใชเปนพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหาโดยไมตองรวบรวม
พ ย า น ห ลั ก ฐ า น อ่ื น ก็ ไ ด แ ต ต อ ง แ จ ง ข อ ก ล า ว ห า แ ล ะ ส รุ ป ข อ เท็ จ จ ริ ง ท่ี ป ร า ก ฏ ต า ม คํ า พิ พ า ก ษ า
ทถี่ ึงที่สดุ นัน้ เพ่อื ใชเปนสรุปพยานหลกั ฐานทีส่ นับสนุนขอกลา วหาใหผูถูกกลา วหาทราบดวย
ขอ 40 การแจงขอกลาวหาและสรุปพยานหลกั ฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหา ใหทําเปนบันทึก
ระบุขอเท็จจริงและพฤติการณของผูถูกกลา วหาวาไดกระทําการใด เมอื่ ใด อยางไร เปนความผิดวินยั ในกรณีใด
และสรปุ พยานหลกั ฐานท่ีสนบั สนนุ ขอกลาวหา โดยจะระบุช่ือพยานดวยหรือไมก็ได รวมท้ังแจงใหทราบสิทธิ
ของผูถูกกลาวหาท่จี ะใหถ อยคําหรอื ย่ืนคําชแ้ี จงแกข อกลาวหาเปนหนังสอื สิทธิที่จะแสดงพยานหลักฐาน
หรอื จะอางพยานหลกั ฐานเพอ่ื ขอใหเรยี กพยานหลกั ฐานนน้ั มาได แลว แจง ใหผถู ูกกลา วหาทราบ
บันทึกตามวรรคหนึ่ง ใหทําตามแบบที่สํานักงาน ก.พ. กําหนด โดยใหทําเปนสองฉบับ
มขี อ ความตรงกนั ใหประธานกรรมการและกรรมการอกี อยางนอยหน่ึงคนลงลายมอื ชอื่ ในบันทกึ น้ันดว ย
ขอ 41 เมื่อไดจัดทําบันทึกตามขอ 40 แลว ใหคณะกรรมการสอบสวนมีหนังสือเรียก
ผูถูกกลาวหามาพบตามวัน เวลา และสถานที่ที่คณะกรรมการสอบสวนกําหนด เพื่อแจงขอกลาวหาและ
สรุปพยานหลกั ฐานท่สี นับสนุนขอกลา วหาใหผ ูถกู กลา วหาทราบ
เมื่อผูถูกกลาวหาไดมาพบคณะกรรมการสอบสวนแลว ใหคณะกรรมการสอบสวนแจง
ขอกลาวหาพรอ มท้ังอธิบายขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหาใหผูถูกกลาวหาทราบ
และใหผูถูกกลาวหารับทราบขอกลาวหาโดยลงลายมือชื่อพรอมทั้งวันเดือนปในบันทึกน้ัน แลวมอบ
บันทกึ น้นั ใหผถู กู กลาวหาหนงึ่ ฉบบั และอีกฉบบั หน่ึงเกบ็ ไวใ นสํานวนการสอบสวน
ใ น ก ร ณี ท่ี ผู ถู ก ก ล า วห า ไม ย อ ม ล ง ล าย มื อ ช่ื อ ใน บั น ทึ ก เพื่ อ รั บ ท ร า บ ข อ ก ล า ว ห า
ใหคณะกรรมการสอบสวนบันทึกขอ เท็จจริงและพฤติการณดงั กลา วไวในบันทึกนั้น ในกรณีเชนนี้ ใหถือวา
ผูถูกกลาวหาไดรับทราบขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานตั้งแตวันที่มาพบคณะกรรมการสอบสวนแลว
และใหมอบบันทึกน้ันใหผูถูกกลาวหาหน่ึงฉบับ และอีกฉบับหน่ึงเก็บไวในสํานวนการสอบสวน
แตถาผูถูกกลาวหาไมยอมรับบันทึกดังกลาว ใหสงบันทึกน้ันทางไปรษณียลงทะเบียนตอบรับไปให
ผถู กู กลา วหา ณ ท่ีอยูซึง่ ปรากฏตามหลักฐานของทางราชการ
ขอ 42 เม่ือไดแจงขอกลาวหาและผูถูกกลาวหาไดรับทราบตามขอ 41 แลว
ใหคณะกรรมการสอบสวนแจงกําหนดวนั เวลา สถานท่ี และวิธีการทีจ่ ะใหผูถกู กลาวหาชี้แจงแกขอ กลา วหา
ในวันที่มาพบคณะกรรมการสอบสวน หรือแจงเปนหนังสือสงทางไปรษณียลงทะเบียนตอบรับไปให
ผถู กู กลาวหา ณ ท่อี ยูซึ่งปรากฏตามหลกั ฐานของทางราชการก็ได
ในกรณีแจงเปนหนังสือสงทางไปรษณียลงทะเบียนตอบรับ ใหถือวาผูถูกกลาวหา
ไดรับทราบต้ังแตว ันท่ีครบกําหนดสบิ หาวนั นับแตวันที่ไดสงหนังสอื ดังกลาวทางไปรษณีย
421 410 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
ขอ 43 ในกรณีท่ีผูถูกกลาวหาไมมาพบตามท่ีกําหนดในขอ 41 ใหสงบันทึกตามขอ 40
จํานวนหน่ึงฉบับทางไปรษณียลงทะเบียนตอบรับไปใหผูถูกกลาวหา ณ ที่อยูซึ่งปรากฏตามหลกั ฐานของ
ทางราชการ ในกรณีเชนนี้ ใหถือวาผูถูกกลาวหาไดรับทราบขอกลาวหาตั้งแตวันทค่ี รบกําหนดสิบหาวัน
นบั แตว ันทไี่ ดส งบนั ทกึ ดงั กลาวทางไปรษณยี
คณะกรรมการสอบสวนจะสงหนังสือกําหนดวัน เวลา สถานท่ี และวิธีการที่จะให
ผูถูกกลาวหาชี้แจงแกขอกลาวหาและช้ีแจงวาไดก ระทําผิดตามขอกลาวหาหรือไม อยางไร เพราะเหตุใด
ไปพรอมกบั บนั ทึกแจงขอกลาวหาตามวรรคหน่ึงกไ็ ด
ขอ 44 ในกรณีท่ีผูถูกกลาวหาไมอาจช้ีแจงแกขอกลาวหาไดต ามวัน เวลา สถานท่แี ละวิธีการ
ท่ีกําหนดตามขอ 42 หรือขอ 43 โดยไดอางเหตุผลหรือความจําเปน หรือในกรณีท่ีคณะกรรมการสอบสวน
เห็นวา มีเหตจุ ําเปน จะกาํ หนดวัน เวลา สถานท่ี หรอื วิธกี ารเสียใหมเพือ่ ประโยชนแหงความเปนธรรมกไ็ ด
ขอ 45 ในการสอบสวนใหคณะกรรมการสอบสวนถามผูถูกกลาวหาดวยวาไดกระทําผิด
ตามขอกลาวหาหรือไม อยางไร เพราะเหตใุ ด
คณะกรรมการสอบสวนจะดําเนินการตามวรรคหนึ่งไปในคราวเดียวกันกับท่ีไดดําเนินการ
ตามขอ 41 ก็ได
ขอ 46 ในกรณีท่ผี ถู ูกกลาวหารับสารภาพวาไดกระทาํ ผิดตามขอกลาวหาใด ใหคณะกรรมการ
สอบสวนบันทึกการรบั สารภาพตามขอกลาวหาน้ันไวเปนหนังสือ ในกรณีเชนนี้ คณะกรรมการสอบสวน
จะไมทําการสอบสวนในขอ กลาวหาน้นั ก็ได แลว ดาํ เนินการในสวนที่เกี่ยวของตอ ไป
ขอ 47 ในกรณีที่ผูถูกกลาวหาไมมาใหถอยคําชี้แจงแกขอกลาวหาหรือไมย่ืนคําช้ีแจง
แกขอกลาวหาเปนหนังสือภายในเวลาท่ีกําหนดตามขอ 42 และขอ 43 ใหถือวาผูถูกกลาวหา
ไมประสงคจะชี้แจงแกขอกลาวหา เวนแตคณะกรรมการสอบสวนจะเห็นควรดําเนินการเปนอยางอ่ืน
เพอื่ ประโยชนแ หงความเปนธรรม
ขอ 48 ในกรณที ่ีปรากฏพยานหลักฐานเพิม่ เติมหลังจากที่คณะกรรมการสอบสวนไดแจง
ขอกลาวหาและสรปุ พยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอ กลาวหาในเรื่องท่ีสอบสวนแลว ถาคณะกรรมการสอบสวน
เห็นวาพยานหลักฐานท่ีเพิ่มเติมนั้นมีน้ําหนักสนับสนุนขอกลาวหา ใหแจงสรุปพยานหลักฐานเพิ่มเติมนั้น
ใหผูถกู กลาวหาทราบ แตถ าเห็นวาพยานหลักฐานเพิ่มเติมน้ันมีผลทําใหข อกลาวหาในเร่ืองที่สอบสวนน้ัน
เปลี่ยนแปลงไปหรือตองเพิ่มขอกลาวหา ใหกําหนดขอกลาวหาใหมหรือกําหนดขอกลาวหาเพิ่มเติมแลว
แจงขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหานั้นใหผูถูกกลาวหาทราบ ท้ังน้ี ใหนําความ
ในขอ 40 ขอ 41 ขอ 42 ขอ 43 ขอ 44 และขอ 47 มาใชบ ังคบั โดยอนุโลม
ขอ 49 ในการสอบสวน ถาคณะกรรมการสอบสวนเห็นวามีพยานหลักฐานท่ีควรกลาวหา
วาผูถูกกลาวหากระทําผิดวนิ ัยในเรื่องอ่ืนดวย ใหป ระธานกรรมการรายงานตอผูส่งั แตง ตัง้ คณะกรรมการ
สอบสวนโดยเรว็
422 411
เม่ือไดรับรายงานตามวรรคหนึ่งแลว ใหผูสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณา
ดาํ เนินการ ดงั ตอ ไปน้ี
(1) ถาเห็นวากรณีไมมีมูลท่ีควรกลาวหาวากระทําผิดวินัยในเรื่องอ่ืนดวย ใหยุติไมตอง
ดาํ เนนิ การทางวนิ ยั สําหรับเรอ่ื งอื่นน้นั
(2) ถาเห็นวากรณีมีมูลที่ควรกลาวหาวากระทําผิดวินัยในเร่ืองอ่ืนดวย ใหดําเนินการ
ทางวินัยในเรื่องอื่นน้ันดวยตามกฎ ก.พ. นี้ ในกรณีท่ีการกระทําผิดวินัยในเร่อื งอื่นน้ันเปนการกระทําผิด
วินัยอยางรายแรง จะแตงต้ังใหคณะกรรมการสอบสวนคณะเดิมหรือจะแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน
คณะใหมดาํ เนนิ การสอบสวนและพิจารณาในเร่ืองอื่นนั้นก็ได
ขอ 50 ในกรณีที่การสอบสวนพาดพิงไปถึงขาราชการพลเรือนผูอื่น ถาคณะกรรมการ
สอบสวนพิจารณาเห็นวา ผูนั้นมีสวนรวมกระทําการในเร่อื งท่ีสอบสวนนั้นดวย ใหค ณะกรรมการสอบสวน
รายงานตอผสู ง่ั แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนโดยเร็วเพ่อื พจิ ารณาดําเนินการตามกฎ ก.พ. นี้ ตอไป
ในกรณีที่การสอบสวนพาดพิงไปถึงเจาหนา ที่ของรัฐอื่นหรือบุคคลอื่น ถาคณะกรรมการ
สอบสวนพิจารณาเหน็ วา ผูนนั้ มีสวนรวมกระทําการในเร่ืองท่สี อบสวนนั้นดวย ใหค ณะกรรมการสอบสวน
รายงานตอผูสง่ั แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนโดยเร็วเพอื่ พจิ ารณาตามทเี่ ห็นสมควรตอ ไป
ขอ 51 ในกรณีท่ีผูส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนเห็นวา กรณีมีมูลท่ีควรกลาวหาวา
ขาราชการพลเรือนผูอ่ืนรวมกระทําผิดวินัยอยางรายแรงในเร่ืองที่สอบสวนตามขอ 50 วรรคหนึ่ง
ใหสงั่ แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนเพื่อทําการสอบสวนผูนั้น โดยจะแตง ต้ังใหคณะกรรมการสอบสวนคณะ
เดิมหรือจะแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนคณะใหมด ําเนินการสอบสวนและพจิ ารณาก็ได แตถาเปนกรณี
ที่มีผลทําใหผูบังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 เปลี่ยนไป ใหสงเร่ืองไปยังผูบังคับบัญชา
ซึ่งมีอํานาจส่งั บรรจุตามมาตรา 57 หรือผมู ีอํานาจตามมาตรา 94 แลวแตกรณี ของขาราชการพลเรือนผูนั้น
เพอ่ื ดําเนนิ การตอ ไป
พยานหลักฐานที่ไดจากการสอบสวนในเรื่องที่สอบสวนเดิม คณะกรรมการสอบสวน
จะใชป ระกอบการพิจารณาดําเนินการทางวินัยแกบุคคลตามวรรคหน่ึงไดตอ เม่ือไดแจงใหผูน้ันทราบและ
ใหโ อกาสผูน ้นั ไดใชส ทิ ธิตามกฎ ก.พ. นแี้ ลว
ขอ 52 เมื่อคณะกรรมการสอบสวนไดแจงขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่
สนับสนนุ ขอ กลาวหาใหผ ถู กู กลาวหาทราบ ไดใหโอกาสผถู ูกกลา วหาชี้แจงแกขอ กลาวหา และไดร วบรวม
พยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาไดแลว ใหคณะกรรมการสอบสวนประชุมเพื่อพิจารณา
ทาํ ความเห็นเกีย่ วกับเรอื่ งที่สอบสวน
ในการพิจารณาทําความเห็นตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการสอบสวนตองพิจารณา
ทั้งขอเท็จจริง ขอกฎหมาย และพิจารณามีมติในเร่ืองที่สอบสวนใหครบทุกขอกลาวหาและทุกประเด็น
วาผูถูกกลาวหากระทําผิดวินัยในเรื่องท่ีสอบสวนหรือไม ถาเห็นวาผูถูกกลาวหาไดกระทําผิดวินัย
ตองพิจารณาใหไดความดวยวาเปนความผิดวินัยกรณีใด ตามมาตราใด ควรไดรับโทษสถานใด และ
มเี หตุอันควรลดหยอ นหรือไม เพยี งใด
423 414 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
ในกรณีท่ีคณะกรรมการสอบสวนเห็นวาผลการสอบสวนยังไมไดความแนชัดพอที่จะลงโทษ
เพราะกระทําผิดวินัยอยางรายแรง แตเห็นวาผูถูกกลาวหาหยอนความสามารถในอันท่ีจะปฏิบัติหนาที่
ราชการบกพรองในหนาที่ราชการ ประพฤติตนไมเหมาะสมกับตําแหนงหนาท่ีราชการ หรือมีมลทิน
หรือมัวหมองในกรณีที่ถูกสอบสวน ถาใหผูน้ันรับราชการตอไปจะเปนการเสียหายแกราชการ
ตามมาตรา 110 (6) หรอื (7) แลว แตกรณี กใ็ หท าํ ความเห็นเสนอไวในรายงานการสอบสวนดวย
การประชุมเพื่อพิจารณาทําความเห็นตามขอน้ี ตองมีกรรมการสอบสวนมาประชุม
ไมน อ ยกวา สามคนและไมนอยกวาก่งึ หนึ่งของจํานวนกรรมการสอบสวนทั้งหมด
ขอ 53 เม่ือคณะกรรมการสอบสวนไดดําเนินการตามขอ 52 แลว ใหจัดทํารายงาน
การสอบสวนเสนอตอผสู ั่งแตงตัง้ คณะกรรมการสอบสวนตามแบบที่สํานักงาน ก.พ. กําหนด โดยใหเสนอ
ไปพรอ มสํานวนการสอบสวน
รายงานการสอบสวนตามวรรคหนึ่ง อยางนอยตองประกอบดวยเร่ืองที่สอบสวน
ขอเท็จจริงและขอกฎหมายท่ีเก่ียวของ ขอกลาวหา พยานหลักฐานท่ีสนับสนุนหรือหักลางขอกลาวหา
ประเด็นที่ตองพิจารณาความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนตามขอ 52 วรรคสอง และวรรคสาม และ
ลายมือชื่อกรรมการสอบสวนทุกคน รวมท้ังใหประธานกรรมการลงลายมือช่ือกํากับไวในรายงาน
การสอบสวนหนาอ่ืนดวยทุกหนาในกรณีท่ีกรรมการสอบสวนคนใดมีเหตุจําเปนไมอาจลงลายมือชื่อได
ใหประธานกรรมการสอบสวนบันทึกเหตุจําเปนดังกลาวไวดวย และในกรณีที่กรรมการสอบสวนผูใด
มีความเห็นแยง ใหแสดงช่ือและสรุปความเห็นแยงของผูน้ันไวในรายงานการสอบสวนดวย ในการนี้
ผูมีความเห็นแยงนั้นจะทําบันทึกรายละเอียดความเห็นแยงและลงลายมือช่ือของตนแนบไวกับรายงาน
การสอบสวนดว ยก็ได
ขอ 54 ใหคณะกรรมการสอบสวนดําเนนิ การสอบสวนและจัดทํารายงานการสอบสวน
พรอมท้ังสํานวนการสอบสวนเสนอตอผูสั่งแตงต้งั คณะกรรมการสอบสวนใหแลวเสร็จภายในหนึ่งรอยย่ีสบิ วัน
นบั แตวนั ท่ีมีการประชุมคณะกรรมการสอบสวนคร้งั แรกตามขอ 27
ในกรณีท่ีคณะกรรมการสอบสวนมีเหตุผลและความจําเปนไมอาจดําเนินการใหแลวเสร็จได
ภายในกําหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ใหประธานกรรมการรายงานตอผูส่ังแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน
เพื่อขอขยายเวลาสอบสวนตามความจําเปน และใหผูสง่ั แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาขยายเวลา
ไดครงั้ ละไมเกินหกสิบวัน ในกรณีท่ีไดมีการขยายเวลาจนทาํ ใหการสอบสวนดําเนนิ การเกินหนึ่งรอยแปดสิบวนั
นับแตวันท่ีมีการประชุมคณะกรรมการสอบสวนครั้งแรกตามขอ 27 ใหผูส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวน
รายงาน อ.ก.พ. กระทรวงทีผ่ ูถูกกลาวหาสังกัดอยูทราบ เพ่อื ตดิ ตามเรงรดั ใหดําเนนิ การใหแลว เสรจ็ โดยเร็วตอไป
ขอ 55 เม่ือผูส่ังแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนไดรบั รายงานการสอบสวนและสํานวน
การสอบสวนแลว ใหพิจารณาตรวจสอบความถูกตองของการสอบสวน ถาเห็นวาการสอบสวนถูกตอง
ครบถวนแลว ใหผูส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนดําเนินการตามขอ 56 แตถาเห็นวาการสอบสวน
ยงั ไมถ กู ตอ งหรือไมค รบถวน ก็ใหส่ังหรือดาํ เนินการดังตอไปนี้
(1) ในกรณีท่ีเห็นวายังไมมีการแจงขอกลาวหาหรือการแจงขอกลาวหายังไมครบถวน
ใหส ่ังใหค ณะกรรมการสอบสวนดาํ เนินการแจง ขอ กลา วหาหรือแจงขอ กลาวหาใหครบถว นโดยเรว็
424 415
(2) ในกรณีท่ีเห็นวาควรรวบรวมขอเท็จจริงหรือพยานหลักฐานเพ่ิมเติม ใหกําหนดประเด็น
หรอื ขอสําคัญท่ีตองการใหคณะกรรมการสอบสวนทําการสอบสวนเพิม่ เติมโดยไมต อ งทําความเห็น
(3) ในกรณีท่ีเห็นวาการดําเนินการใดไมถูกตอง ใหส่ังใหคณะกรรมการสอบสวน
ดาํ เนนิ การใหถ กู ตอ งโดยเร็ว
ขอ 56 เมื่อผูส่ังแตง ตง้ั คณะกรรมการสอบสวนเห็นวาการสอบสวนถูกตอ งครบถวนแลว
ใหพ จิ ารณามีความเห็นเพ่ือส่ังหรอื ดําเนนิ การ ดงั ตอไปนี้
(1) ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนเห็นวาผูถูกกลาวหาไมไดกระทําผิดวินัย หรือ
กระทําผดิ วินัยอยางไมรายแรง ถาผูส่ังแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนเห็นวาผูถูกกลาวหากระทําผิดวินัย
อยางไมรายแรงหรือไมไดกระทําผิดวินัย ใหผูสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาดําเนินการ
ตามอํานาจหนา ท่ีตอไปแตถาเห็นวาผถู ูกกลาวหากระทําผดิ วินยั อยางรายแรงกใ็ หดาํ เนนิ การตาม (2)
(2) ในกรณีท่ีคณะกรรมการสอบสวนเห็นวาผูถูกกลาวหากระทําผิดวินัยอยางรายแรง
ใหผูสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาวาผูถูกกลาวหากระทําผิดวินัยอยางรายแรงหรือไม
และไมวาผูสัง่ แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนจะเห็นดวยกับความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนหรือ
ไมก ็ตามใหผ ูบงั คบั บญั ชาซ่งึ มีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 สงเรอื่ งให อ.ก.พ. จงั หวัด อ.ก.พ. กรม หรือ
อ.ก.พ. กระทรวง ซ่งึ ผูถกู กลาวหาสังกัดอยตู ามท่กี ําหนดในขอ 58 แลว แตก รณี เพื่อพิจารณาตอ ไป
(3) ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนเห็นวาผลการสอบสวนยังไมไดความแนชัดพอ
ท่ีจะลงโทษเพราะกระทําผิดวินัยอยางรายแรง แตเห็นวาผูถูกกลาวหาหยอนความสามารถในอันท่ีจะ
ปฏิบัตหิ นาทรี่ าชการ บกพรองในหนาท่ีราชการ ประพฤติตนไมเหมาะสมกับตําแหนง หนา ที่ราชการ หรือ
มีมลทินหรือมัวหมองในกรณีที่ถูกสอบสวน ถาใหผูน้ันรับราชการตอไปจะเปนการเสียหายแกราชการ
ถาผูส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนเห็นดวยกับความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนใหพิจารณา
ดําเนินการตามมาตรา 110 (6) หรือ (7) ตอไป แตถาเห็นวาผูถูกกลาวหาไมไดกระทําผิดวินัย หรือ
กระทําผิดวินัยอยางไมรายแรง ใหพิจารณาดําเนินการตามอํานาจหนาท่ีตอไป และถาเห็นวาผูถูกกลาวหา
กระทาํ ผดิ วินัยอยางรายแรงกใ็ หด ําเนินการตาม (2)
ขอ 57 ในกรณีที่มีการยาย การโอน หรือการเล่ือนผูถูกกลาวหา อันมีผลทําให
ผูมีอํานาจส่ังแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนเปล่ียนไป ใหคณะกรรมการสอบสวนที่ไดแตงต้ังไวแลวน้ัน
ดําเนินการตอไปจนเสร็จ และทํารายงานการสอบสวนเสนอไปพรอมกับสํานวนการสอบสวนตอ
ผูบังคับบัญชาเดิมที่เปนผูสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนตรวจสอบความถูกตองของการดําเนินการ
เพ่ือสงไปยังผูบังคับบัญชาใหมท่ีเปน ผซู ึง่ มีอํานาจสงั่ บรรจุตามมาตรา 57 หรือผูมอี าํ นาจตามมาตรา 94
พิจารณาส่ังหรือดําเนินการตามขอ 55 ตอไป และถาในระหวางการสอบสวนมีกรณีท่ีผูสั่งแตงต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนตองส่ังการอยางใดเพ่ือใหการสอบสวนน้ันดําเนินการตอไปได ใหผูบังคับบัญชา
เดิมสงเรอ่ื งใหผูบังคับบัญชาใหมซ่ึงเปนผูมีอํานาจพจิ ารณาตอไป
ในกรณีที่ผูบังคับบัญชาใหมซ่ึงมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 หรือผูมีอํานาจตาม
มาตรา 94 ตามวรรคหน่ึง เห็นสมควรใหดําเนินการตามขอ 55 จะส่ังใหคณะกรรมการสอบสวน
คณะเดิมดําเนินการหรือในกรณีท่ีเห็นเปนการสมควร จะแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนขึ้นใหม
เพ่อื ดําเนนิ การก็ได โดยใหนาํ ขอ 18 และขอ 19 มาใชบังคบั
425 416 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
ขอ 58 การสงเร่ืองให อ.ก.พ. จังหวัด อ.ก.พ. กรม หรือ อ.ก.พ. กระทรวง พิจารณา
ตามขอ 56 (2) ใหด ําเนนิ การดงั ตอ ไปน้ี
(1) ในกรณีท่ีผูวาราชการจังหวัดเปนผูสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน ใหสงเรื่องให
อ.ก.พ. จงั หวดั ซึ่งผถู ูกกลา วหาสงั กัดอยู เปนผูพ ิจารณา
(2) ในกรณีที่อธิบดี ปลัดกระทรวงในฐานะอธิบดี หรือหัวหนาสวนราชการระดับกรม
ท่ีอยูในบังคับบัญชาหรือรับผิดชอบการปฏิบัติราชการข้ึนตรงตอนายกรัฐมนตรีหรือตอรัฐมนตรีซ่ึงเปน
ผูบังคับบัญชา ซ่ึงมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 (6) (9) หรือ (10) เปน ผูส่ังแตงต้งั คณะกรรมการสอบสวน
ใหส งเรือ่ งให อ.ก.พ. กรม ซึ่งผูถูกกลา วหาสงั กัดอยู เปน ผพู จิ ารณา
(3) ในกรณีท่ีนายกรัฐมนตรี รฐั มนตรเี จาสังกัด ปลัดกระทรวงสําหรับกรณอี ่นื นอกจากท่ี
กําหนดไวใน (2) หรือหัวหนาสวนราชการระดับกรมท่ีอยูในบังคับบัญชาหรือรับผิดชอบการปฏิบัตริ าชการ
ข้ึนตรงตอนายกรัฐมนตรีหรือตอรัฐมนตรีซ่ึงเปนผูบังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 (2)
(3) (5) หรือ (8) เปนผูส่ังแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน ใหสงเร่ืองให อ.ก.พ. กระทรวง ซ่ึงผูถูกกลาวหา
สงั กดั อยู เปนผพู ิจารณา
ในกรณีที่มีการยาย การโอน หรือการเล่ือนผูถูกกลาวหาอันมีผลให อ.ก.พ. จังหวัด
อ.ก.พ. กรม หรือ อ.ก.พ. กระทรวง ซ่ึงผูถูกกลาวหาสังกัดอยูเปล่ียนแปลงไป ใหสงเรื่องให อ.ก.พ. จังหวัด
อ.ก.พ. กรม หรือ อ.ก.พ. กระทรวง ซง่ึ ผูถูกกลา วหาสงั กดั อยหู ลังจากการยาย การโอน หรอื การเลื่อนน้ัน
เปน ผูพิจารณา
ขอ 59 เม่อื ไดรับเร่ืองตามขอ 58 แลว อ.ก.พ. จังหวัด อ.ก.พ. กรม หรอื อ.ก.พ. กระทรวง
แลวแตกรณี อาจพจิ ารณามีมตอิ ยางใดอยางหนึง่ ดงั ตอ ไปน้ี
(1) ในกรณีที่เห็นวาผูถูกกลาวหากระทําผิดวินัยอยางรายแรง ใหมีมติวาเปนความผิด
วนิ ัยอยางรายแรงกรณีใด ตามมาตราใด และใหลงโทษสถานใด เพราะเหตุใด โดยจะตองมีขอเทจ็ จริงอัน
เปน สาระสาํ คญั ดวยวามกี ารกระทาํ อยางใด
(2) ในกรณีทีเ่ หน็ วาผูถูกกลาวหากระทําผดิ วินัยอยางไมรายแรง ใหม ีมติวาเปนความผิดวินัย
อยางไมรายแรงกรณีใด ตามมาตราใด และใหลงโทษสถานโทษใดและอัตราโทษใด เพราะเหตุใด หรือ
ถาเห็นวาเปนความผิดวินัยเล็กนอยและมีเหตุอันควรงดโทษ จะมีมติงดโทษ โดยใหทําทัณฑบน
เปนหนังสือหรือวากลาวตักเตือนก็ได ทั้งน้ี จะตองมีขอเท็จจริงอันเปนสาระสําคัญดวยวามีการกระทํา
อยางใด
(3) ในกรณีท่ีเห็นวายังไมไดความแนชัดพอที่จะลงโทษกรณีกระทําผิดวนิ ัยอยางรายแรง
ถา มีขอเท็จจริงอันเปนกรณีท่ีสมควรใหออกจากราชการตามมาตรา 110 (6) หรือ (7) ใหมีมติใหผูน้ัน
ออกจากราชการ โดยจะตองมีขอเท็จจริงอันเปนสาระสําคัญดวยวามีการกระทําอยางใด มกี รณีที่สมควร
ใหอ อกจากราชการเพราะเหตใุ ด ตามมาตราใด และถาใหรบั ราชการตอไปจะเปน การเสียหายแกร าชการอยางใด
(4) ในกรณีท่เี ห็นวาการกระทําของผถู ูกกลาวหาไมเปนความผิดวินยั ใหมีมติใหสั่งยุติเร่อื ง
หรอื ถาเหน็ วาผูถ ูกกลา วหากระทําผิดวินยั แตเปนกรณีท่ไี มอาจลงโทษได ใหมีมตใิ หง ดโทษ
(5) ในกรณีทเี่ ห็นวาขอเท็จจรงิ ยังไมเพียงพอหรอื การดาํ เนินการใดยังไมถ ูกตองครบถวน
ใหมีมตใิ หส อบสวนเพมิ่ เตมิ แกไข หรือดาํ เนนิ การใหถูกตองตามควรแกก รณี
426 417
ขอ 60 ในกรณีท่ีปรากฏวาการแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนไมถูกตองตามขอ 18
ใหการสอบสวนทั้งหมดเสียไป และใหผูบังคับบัญชาซึ่งมอี ํานาจส่งั บรรจุตามมาตรา 57 หรือผูมีอํานาจ
ตามมาตรา 94 แลว แตกรณี แตงตงั้ คณะกรรมการสอบสวนเพอื่ ดาํ เนนิ การสอบสวนใหมใหถกู ตอง
ขอ 61 ในกรณีท่ีปรากฏวาการดําเนินการใดไมถูกตองตามกฎ ก.พ. นี้ ใหเฉพาะการ
ดําเนินการนั้นเสียไป และถาการดําเนินการนั้นเปนสาระสําคัญที่ตองดําเนินการหรือหากไมดําเนินการ
จะทําใหเ สียความเปน ธรรม ใหแ กไขหรือดาํ เนนิ การนั้นเสยี ใหมใ หถูกตองโดยเร็ว
ขอ 62 ในกรณีท่ีผูถูกกลาวหาผูใดตายในระหวางการสอบสวน ใหการดําเนินการ
ทางวินัยแกผูน้ันเปนอันยุติ แตใหคณะกรรมการสอบสวนและผูส่ังแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน
ดํ าเนิ น ก า ร ร ว บ ร ว ม ข อ เท็ จ จ ริ ง แ ล ะ พ ย าน ห ลั ก ฐ า น ที่ เก่ี ย ว ข อ ง ต อ ไ ป เท าท่ี ส าม า ร ถ จ ะ ก ร ะ ทํ า ไ ด
แลวทําความเห็นเสนอตอกระทรวงเจาสังกัดเพื่อพิจารณาดําเนินการตามกฎหมายวาดวยบําเหน็จ
บํานาญขา ราชการหรอื กฎหมายวาดวยกองทนุ บําเหน็จบํานาญขา ราชการ แลว แตก รณี
ขอ 63 ใหนําบทบัญญัติวาดวยคณะกรรมการท่ีมีอํานาจดําเนนิ การพิจารณาทางปกครอง
ตามกฎหมายวาดว ยวธิ ีปฏบิ ตั ริ าชการทางปกครองมาใชบ ังคับแกการประชมุ ของคณะกรรมการสอบสวน
โดยอนโุ ลม เวนแตองคประชมุ กรรมการสอบสวนตามขอ 38 และขอ 52
หมวด 5
กรณีความผดิ ที่ปรากฏชดั แจง
ขอ 64 ขาราชการพลเรือนสามัญผูใดกระทําผิดวินัยอยางไมรา ยแรง และไดรับสารภาพ
เปนหนงั สอื ตอผูบังคับบัญชา หรือไดใหถอยคํารับสารภาพและไดมีการบันทึกถอยคํารับสารภาพเปนหนังสือ
หรือมีหนังสือรับสารภาพตอผูมีหนาท่ีสืบสวนสอบสวนหรือคณะกรรมการสอบสวนตามกฎ ก.พ. นี้
ถือเปนกรณีความผิดท่ีปรากฏชัดแจง ผูบังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 จะพิจารณา
ดาํ เนินการทางวินัยโดยไมต อ งสอบสวนหรืองดการสอบสวนก็ได
ขอ 65 ขาราชการพลเรือนสามัญผูใดกระทําผิดวินัยอยางรายแรงในกรณีดังตอไปนี้
ถือเปนกรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจง ผบู ังคับบัญชาซงึ่ มอี ํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 หรือผูมีอํานาจ
ตามมาตรา 94 แลว แตกรณี จะดาํ เนินการทางวินัยโดยไมตอ งสอบสวนหรอื งดการสอบสวนก็ได
(1) ละท้ิงหนาท่ีราชการติดตอในคราวเดียวกันเปนเวลาเกินกวาสิบหาวัน โดยไมกลับมา
ปฏิบัติหนาท่ีราชการอีกเลย และผูบังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 ไดดําเนินการหรือ
สั่งใหดําเนินการสืบสวนแลวเห็นวาไมมีเหตุผลอันสมควร หรือมีพฤติการณอันแสดงถึงความจงใจ
ไมป ฏิบัตติ ามระเบียบของทางราชการ
427 418 การ ำด�เ ินนกาแรละทกาางรวิ ่สันกงยเลุสมกริ่ทีามร๕จุอ ิรทยธธรรณ์รมการ ้รอง ุทกข์
(2) กระทําความผดิ อาญาจนไดรับโทษจําคุกหรือโทษท่ีหนักกวาโทษจําคุกโดยคําพิพากษา
ถึงที่สุดใหจําคกุ หรือใหรับโทษท่ีหนักกวา จําคุก เวนแตเ ปนโทษสําหรับความผิดที่ไดกระทําโดยประมาท
หรอื ความผิดลหุโทษ
(3) กระทําผิดวินัยอยางรายแรงและไดรับสารภาพเปนหนังสือตอผูบังคับบัญชา หรือ
ไดใหถอยคํารับสารภาพและไดมีการบันทึกถอยคํารบั สารภาพเปนหนังสือหรือมีหนังสือรับสารภาพตอ
ผมู หี นาที่สบื สวนสอบสวนหรอื คณะกรรมการสอบสวนตามกฎ ก.พ. น้ี
หมวด 6
การสงั่ ยตุ เิ รื่อง ลงโทษ หรอื งดโทษ
ขอ 66 การส่ังยุติเรื่องตามมาตรา 92 วรรคสอง มาตรา 93 วรรคสอง หรือมาตรา 97
วรรคสอง ใหทําเปนคําสั่ง ระบุช่ือและตาํ แหนงของผถู ูกกลาวหา เรื่องท่ีถูกกลาวหาและผลการพิจารณา ท้ังนี้
ตามแบบทส่ี าํ นกั งาน ก.พ. กําหนด และใหล งลายมอื ช่ือและตาํ แหนงของผูสง่ั และวนั เดอื นปทอี่ อกคําส่งั ไวดวย
ขอ 67 โทษสําหรับกรณีที่ขาราชการพลเรือนสามัญกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรง
ตามมาตรา 96 ที่ผบู ังคบั บญั ชาซ่ึงมอี ํานาจสั่งบรรจตุ ามมาตรา 57 มอี ํานาจส่งั ลงโทษได มดี ังตอ ไปนี้
(1) ภาคทัณฑ
(2) ตัดเงินเดือนไดคร้ังหนึง่ ในอัตรารอยละ 2 หรือรอ ยละ 4 ของเงนิ เดือนที่ผูน้ันไดรับ
ในวันทมี่ คี ําส่ังลงโทษเปนเวลาหน่ึงเดือน สองเดือน หรือสามเดอื น
(3) ลดเงินเดอื นไดครั้งหน่ึงในอัตรารอยละ 2 หรือรอยละ 4 ของเงินเดือนที่ผูน้ันไดรับ
ในวันที่มคี ําสั่งลงโทษ
การส่ังลงโทษตัดเงินเดือนหรือลดเงินเดือน ถาจํานวนเงินที่จะตองตัดหรือลดมีเศษ
ไมถ งึ สบิ บาทใหป ดเศษทิง้
ขอ 68 โทษสําหรับกรณีที่ขาราชการพลเรือนสามัญกระทําผิดวินัยอยางรายแรง
ตามมาตรา 97 ท่ีผูบังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 มีอํานาจส่ังลงโทษได
มีดงั ตอไปนี้
(1) ปลดออก
(2) ไลอ อก
ขอ 69 การสั่งลงโทษภาคทัณฑ ตัดเงินเดือน ลดเงินเดือน ปลดออก หรือไลออก
ใหทําเปนคําส่ังระบุช่ือและตําแหนงของผถู ูกลงโทษ แสดงขอเท็จจริงอันเปนสาระสําคัญวาผูถูกลงโทษ
กระทําผิดวินัยอยางไมรายแรงหรืออยางรายแรงในกรณีใด ตามมาตราใด พรอมท้ังสิทธิในการอุทธรณ
และระยะเวลาในการอุทธรณตามมาตรา 114 ไวในคําส่ังน้ันดวย ทงั้ น้ี ตามแบบท่ีสํานักงาน ก.พ. กําหนด
และใหลงลายมือช่ือและตาํ แหนงของผสู ั่ง และวนั เดือนปทอี่ อกคาํ ส่งั ไวดวย