การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน
เลขมาตรฐานสากลประจาหนงั สอื อิเลก็ ทรอนิกส:์ 978-616-278-664-8
จดั ทาโดย กองบรหิ ารการศกึ ษา มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน
เลขท่ี 1 หมู่ 6 ตาบลกาแพงแสน อาเภอกาแพงแสน จงั หวดั นครปฐม
พิมพค์ รงั้ ท่ี 1 : ธนั วาคม 2564
สารบญั
ภาคบรรยาย หน้า
สาขาพชื และเทคโนโลยชี วี ภาพ
ศกั ยภาพของแบคทีเรยี เอนโดไฟติกจากรากมนั สาปะหลงั เพ่ือการตรงึ ไนโตรเจน
ละลายฟอสเฟตและผลิตฮอรโ์ มนพืชสาหรบั ใชเ้ ป็นป๋ ยุ ชีวภาพ 1
ประสทิ ธิภาพของฟิลม์ เซลลโู ลสผสมไมโครแคปซูลนา้ มนั หอมระเหยตอ่ การยบั ยงั้
เชือ้ รา Lasiodiplodia theobromae สาเหตโุ รคผลเน่าในลองกอง 2
ประสิทธิภาพของกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช Dicliptera tinctoria (Nees) Kostel
ภายใตค้ วามเครยี ดจากสภาวะแลง้ 3
ผลของอณุ หภมู ิต่อการตายของชนั โรง (Tetragonula pagdeni Schwarz) ในประเทศไทย 4
Analysis of Genetic Controlling Male Sterility in American Marigold 5
ผลของสารบราสสโิ นสเตยี รอยดม์ ิมกิ (DHECD) ต่อประสิทธิภาพการใชแ้ สงและ
ปรมิ าณรงควตั ถทุ ่สี าคญั ในกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของขา้ วไรซเ์ บอรี่
ภายใตค้ วามเครยี ดจากสภาวะแลง้ ระยะสนั้ 6
การคดั เลือกเชือ้ แบคทีเรยี จากแปลงปลกู ผกั อินทรยี ท์ ่ีมคี ณุ สมบตั ติ รงึ ไนโตรเจน
ละลายฟอสเฟตและโพแทสเซยี ม และการสรา้ งฮอรโ์ มน 7
ผลของการเคลอื บเมล็ดรว่ มกบั Bacillus subtilis ต่อความงอกและ
การเจรญิ เติบโตของตน้ กลา้ ดาวเรอื ง 8
ผลของอณุ หภมู แิ ละวธิ ีการเกบ็ รกั ษาตอ่ คณุ ภาพและความมีชีวติ ของละอองเกสรบวั สายบานกลางคืน 9
ชีววทิ ยาและการแพรก่ ระจายของเออื้ งชมพู (Persicaria capitata (Buch.-Ham. ex D.Don)
H.Gross ในพนื้ ท่ีเกษตรท่ีสงู 10
การประเมนิ ความตา้ นทานของขา้ วโพดเลยี้ งสตั วต์ ่อการเขา้ ทาลายของ
หนอนเจาะลาตน้ ขา้ วโพด (Ostrinia furnacalis Guenee) และ
หนอนกระทขู้ า้ วโพดลายจดุ (Spodoptera frugiperda J.E.Smith) 11
ปรมิ าณสารออกฤทธิ์ไดเทอปีนแลคโตน 4 ชนิด ในใบและลาตน้ ของฟา้ ทะลายโจร
ท่ีเก็บเก่ียวในช่วงอายกุ ารเจรญิ เติบโตแตกตา่ งกนั 12
ฟี นอลกิ รวมและฤทธิ์ตา้ นอนมุ ลู อิสระของสว่ นสกดั จากตน้ หนามพงุ ดอในเขตจงั หวดั ขอนแกน่ 13
การปรบั ปรุงพนั ธุถ์ ่วั เขียวชยั นาท 84-1 ใหม้ ีความตา้ นทานตอ่ ดว้ งเจาะเมลด็ ถ่วั และ
โรคใบจดุ สนี า้ ตาล โดยใชเ้ ครอื่ งหมายดเี อน็ เอชว่ ยคดั เลือกในการผสมกลบั 14
การทดสอบความทนทานตอ่ สภาพอากาศรอ้ นของถ่วั เขียว 133 สายพนั ธุ์ 15
การเปรยี บเทยี บวธิ ีการใหป้ ๋ ยุ แก่มะพรา้ วนา้ หอมท่ีปลกู ในพนื้ ท่ีจงั หวดั ราชบรุ ี 16
การจาแนกพนั ธุเ์ มลด็ ขา้ วไทยดว้ ยโครงขา่ ยประสาทเทยี มแบบคอนโวลชู นั 17
การคดั เลือกแบคทีเรียปฏปิ ักษท์ ่มี ีประสิทธิภาพในการสง่ เสรมิ การเจรญิ เตบิ โตและ
18
ยงั ยงั้ เชือ้ สาเหตโุ รคขอบใบทองของคะนา้
ประสทิ ธิภาพของป๋ ยุ คอกอดั เมด็ ผสมจลุ นิ ทรยี ส์ ตู รตอ่ การสง่ เสรมิ การเจรญิ เติบโตและ 19
20
เพิ่มผลผลิตขา้ ว พนั ธุ์ กข47 รวมทงั้ เพ่มิ อตั รากาไรขนั้ ตน้
ผลของการใหป้ ๋ ยุ ซลิ ิกอนทางใบตอ่ ความแข็งของคอรวงและผลผลิตขา้ วขาวดอกมะลิ 105 21
The Potential for the Isolated Bacteria of Rhizopogon roseolus Mushroom 22
23
on the Ectomycorrhizal Formation in Japanese Black Pine Seedlings In Vitro 24
ผลของวสั ดหุ อ่ ผลแบบไม่ถกั ทอต่อคณุ ภาพของมะมว่ งนา้ ดอกไมส้ ที อง
ประเภทของขนตอ่ มและสารหอมระเหยจากสว่ นตา่ ง ๆ ของกะเพรา 26
การขยายพนั ธแุ์ ละเพ่มิ ปรมิ าณสารเทอรพ์ ีนอยดร์ วมในจงิ จฉู ่ายดว้ ยการเพาะเลยี้ งเนอื้ เย่ือ
การเปล่ยี นแปลงทางกายวิภาคของเสน้ กลางใบในพืชสกลุ สม้ ท่ีไดร้ บั ผลกระทบจาก 27
โรคฮวงลองบิงดว้ ยเทคนิคการยอ้ มสี 28
ผลของการเพม่ิ ประสทิ ธิภาพนา้ สกดั จากมลู สตั วต์ อ่ การเจรญิ เติบโตและผลผลิตของ
ผกั สลดั กรีนโอค๊ ในระบบไฮโดรโพนกิ ส์
การประเมนิ ความตา้ นทานของสายพนั ธมุ์ นั สาปะหลงั นาเขา้ จากประเทศไนจีเรยี ตอ่
โรคใบด่างมนั สาปะหลงั (Sri Lankan cassava mosaic virus)
สาขาสัตวแ์ ละสัตวแพทย์
ผลของการเสรมิ นา้ มนั หอมระเหย และนา้ มนั หอมระเหยรว่ มกบั กรดไขมนั สายสนั้ หรอื
กรดไขมนั สายกลางในอาหารตอ่ สมรรถนะการเจรญิ เตบิ โต
ปรมิ าณเชือ้ จลุ นิ ทรยี ใ์ นไสต้ ่งิ และคณุ ภาพซากในไก่เนอื้ 29
ปัจจยั ของอายเุ ม่ือเป็นสดั และเม่ือผสมครงั้ แรกของสกุ รสาวมีอิทธิพลตอ่ ประสิทธิภาพตลอดช่วงชีวิต
ของแม่สกุ รในภาคตะวนั ออกของประเทศไทย 31
การศกึ ษาเบือ้ งตน้ ของการใชแ้ บคเทอรโิ อเฟจเพ่ือควบคมุ เชือ้ แบคทเี รยี กอ่
โรคโคไลบาซลิ โลซสิ ในทางเดนิ อาหารสกุ ร 32
การประเมนิ ระดบั สไี ขแ่ ดงดว้ ยเทคนิคประมวลผลภาพ 34
คา่ โภชนะและการย่อยไดข้ องโปรตนี ในหลอดทดลองของผลิตภณั ฑย์ สี ตแ์ ละวตั ถดุ ิบแหลง่ โปรตีน 36
ผลของการเสรมิ บายพาสไขมนั ตอ่ สมรรถภาพการเจรญิ เติบโต ลกั ษณะซาก
และคณุ ภาพเนอื้ ของโคพนั ธกุ์ าแพงแสนเพศผตู้ อน 39
การเสรมิ บายพาสกลโู คสในระยะเปล่ยี นผา่ น ตอ่ สมรรถภาพการผลิตของโคนม 41
ผลของการใชฟ้ างขา้ วปรบั ปรุงคณุ ภาพดว้ ยนา้ กากผงชรู สในอาหารทีเอม็ อาร์ 42
ตอ่ กระบวนการหมกั โดยใชเ้ ทคนคิ การวดั ผลิตแก๊สแบบ in vitro 43
ลกั ษณะภาพอลั ตราซาวดข์ องรอยโรคในตบั และโอกาสการเกิดมะเรง็ เซลลต์ บั 44
ในผปู้ ่วยติดเชอื้ ไวรสั ตบั อกั เสบบีเรอื้ รงั 46
ผลของการเสรมิ ซากพอ่ แมเ่ พรยี งทราย (Perinereis quatrefagesi) ในรูปแบบ
ฟรซี ดราย (Freeze-Dried) และสารสกดั ฮอรโ์ มนโปรเจสเตอโรน (Progesterone)
ในอาหารตอ่ ดชั นคี วามสมบรู ณเ์ พศ ความดกไข่ ขนาดเมด็ ไข่
ในแมพ่ นั ธุป์ ลาชะโอน (Ompok bimaculatus)
Screening of Probiotic Bacillus spp. and their Efficiency in Controlling of
Streptococcus agalactiae (Laboratory Method) in vitro
สาขาวศิ วกรรมศาสตร์ 47
การศกึ ษาและพฒั นาชดุ อปุ กรณส์ างและเก็บรวบรวมใบออ้ ย 48
การแบ่งกลมุ่ ขอ้ มลู พนื้ ท่ีเพาะปลกู ขา้ วในประเทศไทย ดว้ ยเทคนิคการทาเคมีนคลสั เตอรร์ ง่ิ 49
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งดชั นพี ืชพรรณจากภาพทางอากาศกบั การเจรญิ เตบิ โตของออ้ ย 50
การหาพนื้ ท่ีผวิ นา้ จากภาพถา่ ยดาวเทยี มโดยใช้ Deep Learning 52
การใชน้ า้ ประปาของหอพกั นิสิตในพนื้ ท่ีองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลกาแพงแสน 53
การศกึ ษาการปรบั ปรุงคณุ ภาพดนิ ทรายปนดนิ เหนียวเพ่อื ใชใ้ นการกอ่ สรา้ งผิวทางชนิดไมป่ ลู าด
การศกึ ษากาลงั อดั และความคงทนตอ่ กรดซลั ฟรู กิ ของมอรต์ ารท์ ่ที าจากสว่ นผสมของ 54
กากแคลเซยี มคารไ์ บดแ์ ละเถา้ ถา่ นหนิ ท่กี ระตนุ้ ดว้ ยดา่ ง 56
การปรบั ปรุงกระบวนการออกแบบและการผลิตงานคอนกรีตสาเรจ็ โดยประยกุ ตใ์ ช้ 57
58
แบบจาลองสารสนเทศอาคาร ดว้ ยซอฟตแ์ วรแ์ พลนบาร์
ผลกระทบของมวลรวมพลาสติกต่อลกั ษณะโพรงของคอนกรตี 60
การสรา้ งมลู ค่าเพ่มิ ใหก้ บั ใบไมแ้ หง้ สผู่ ลติ ภณั ฑก์ ระถางย่อยสลายไดท้ ่เี ป็นมติ รกบั สิ่งแวดลอ้ ม
การวิเคราะหค์ วามตา้ นทานแผ่นดนิ ไหวของอาคารท่พี กั อาศยั คอนกรตี หลอ่ สาเรจ็ ท่ีจดุ ตอ่ 61
ระหวา่ งเสาและคานเป็นแบบแผน่ เก่ียว 63
การพฒั นาแบบจาลองจราจรระดบั จลุ ภาคสาหรบั ดา่ นเกบ็ ค่าผ่านทาง
65
กรณีศกึ ษา ดา่ นพทั ยา มอเตอรเ์ วยส์ าย 7
การศกึ ษาปัจจยั ท่ีมีผลกระทบตอ่ ความสามารถตา้ นทานแผ่นดนิ ไหว
ของอาคารคอนกรตี เสรมิ เหลก็ โดยวธิ ีผลกั ทางดา้ นขา้ ง
การพฒั นาแบบจาลองพฤตกิ รรมการใชท้ ่พี กั รมิ ทาง และการประยกุ ตใ์ ช้
แบบจาลองโลจิตเพ่ือปรบั ปรุงท่พี กั รมิ ทาง
การเปรยี บเทยี บมาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการส่นั สะเทือนของแผน่ ดนิ ไหว
ระหวา่ ง มยผ.1301/1302-61 และ ASCE7-16 66
การใชก้ ระบวนการลาดบั ชนั้ เชิงวิเคราะหแ์ บบฟัซซีเพ่อื ประเมนิ รูปแบบระบบจดั เก็บค่าผ่านทาง 67
กาลงั ของวสั ดผุ ิวทางจากผวิ ทางเดมิ ท่นี ากลบั มาใชใ้ หม่ท่ีปรบั ปรุงดว้ ยซีเมนต์ สาหรบั ใช้
ในการบรู ณะผิวทางของทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) ช่วง แมล่ าว – แม่สาย 68
การศกึ ษาแนวทางการผลติ นา้ ยาโฟมสาหรบั ทาอิฐมวลเบาชนิดไม่อบไอนา้ 70
การศกึ ษาเปรยี บเทียบราคาผนงั บา้ นชนั้ เดยี วกอ่ สรา้ งจากอฐิ บลอ็ กประสาน อิฐมอญ และอฐิ มวลเบา 71
กระถางตน้ ไมจ้ ากซเี มนตผ์ สมเถา้ ชานออ้ ย 72
การเปรยี บเทียบโปรแกรม BIM ในงานวศิ วกรรมโยธา 73
Fuzzy AHP เพ่ือจดั ลาดบั ระบบ ETC โดยพิจารณาเทคโนโลยีและความเขา้ กนั ไดข้ องเทคโนโลยี 75
การวิเคราะหป์ ัจจยั ในการออกแบบศาลาท่ีพกั ผโู้ ดยสารรถประจาทาง
เพ่อื การเป็นมหานครสีเขียว โดยวิธี Fuzzy AHP 76
กาลงั อดั และความตา้ นทานคลอไรดข์ องมอรต์ า้ รท์ ่ใี ชเ้ ถา้ เศษไมเ้ ป็นมวลรวมละเอียด 77
การศกึ ษาผลของความสงู ของหวั ฉีดต่อการกระจายของละอองนา้ จาก
หวั ฉีดพน่ บนอากาศยานไรค้ นขบั โดยใชแ้ ทน่ ทดสอบ 78
การศกึ ษาเชิงทดลองพฤตกิ รรมการจดุ ตดิ ไฟของสายไฟ 80
อปุ กรณส์ ่อื การสอนในเรอ่ื งของโครงถกั ระนาบและการถ่ายทอดแรงบิด 81
การศกึ ษาการเก็บเก่ียวพลงั งานจากการเหน่ยี วนาใหเ้ กดิ การส่นั สะเทอื นจากการไหลวนของนา้ 82
การศกึ ษาการส่นั อนั เน่ืองมาจากการเหน่ียวนาการไหลของวตั ถตุ า้ นลมรูปทรงกระบอก
และทรงส่เี หลยี่ ม โดยใชโ้ ปรแกรมพลศาสตรข์ องไหลเชงิ คานวณ 83
การศกึ ษาและออกแบบระบบระบายอากาศภายในหอ้ งทดลองเครอ่ื งยนต์ 84
การวิเคราะหเ์ ปรยี บเทียบคณุ ภาพในการโดยสารระบบรถไฟฟ้าขนสง่ มวลชน
ระหวา่ งรถไฟฟา้ ลอ้ ยางกบั ลอ้ เหลก็ 85
การออกแบบและพฒั นาหนุ่ ยนตแ์ ขนกลอตุ สาหกรรมแบบสคารา่ เคล่อื นท่ี 4 ดกี รีอสิ ระ 86
การออกแบบหวั ฉีดแบบลเู่ ขา้ ลอู่ อกสาหรบั เครื่องยนตจ์ รวดเชือ้ เพลงิ เหลวแบบคู่ 89
เคร่อื งชว่ ยผสู้ งู อายแุ ละทพุ พลภาพขนึ้ ลงทางลาดชนั 90
การศกึ ษาความเป็นไปไดข้ องการพฒั นาป๊ัมความรอ้ นจากเครอ่ื งปรบั อากาศเกา่
ท่ีใชส้ ารทาความเยน็ R-32 91
การวิเคราะหค์ วามสามารถในการรบั นา้ หนกั ขบวนรถไฟของโครงสรา้ งสะพานบางซ่อื ของ
การรถไฟแหง่ ประเทศไทยโดยใชร้ ะเบยี บวิธีไฟไนตอ์ ิลเิ มนต์ 93
การจาลองการไหลของอนภุ าคบนเครือ่ งกระจายป๋ ยุ แบบแรงเหว่ยี งโดยใชแ้ บบจาลอง DEM 94
การวิเคราะหส์ มรรถนะของระบบหวั กระจายนา้ ดบั เพลิงอตั โนมตั ดิ ว้ ย 95
แบบจาลองพลศาสตรอ์ คั คภี ยั กรณีศกึ ษา อาคารจดั เก็บพรม 97
99
ระบบแยกเพศเมลด็ กญั ชาโดยใชว้ ธิ ีการเรียนรูข้ องเครื่อง 100
การศกึ ษาคณุ ภาพการโดยสารของรถโดยสารประจาทางดว่ นพเิ ศษของกรุงเทพมหานคร 101
ระบบทาความเย็นแบบระเหยชนิดใชส้ ารดดู ความชืน้ เพ่อื โรงเรือนเพาะเห็ดในสภาพอากาศรอ้ นชืน้ 103
การทดลองเปรียบเทยี บแผงโซลา่ เซลลป์ ระเภทโมโนครสิ ตลั ไลนแ์ ละโพลคี รสิ ตลั ไลน์ 104
การประเมนิ ประสทิ ธิภาพการรูจ้ าใบหนา้ สาหรบั ระบบควบคมุ การเขา้ ออก 106
การพฒั นาระบบควบคมุ ความชืน้ และอณุ หภมู ิการปลกู ผกั กาดหอมผา่ นอนิ เตอรเ์ น็ต 107
การวดั ความเหมือนของสญั ลกั ษณบ์ นพืน้ ผิวลายนนู 108
โครงสรา้ งกลมุ่ ดาวสาหรบั ฐานขอ้ มลู เชือ้ พนั ธกุ รรมพชื 109
การพฒั นาอากาศยานไรค้ นขบั สาหรบั ฟารม์ กวางอจั ฉรยิ ะในประเทศไทย
ปัจจยั ท่ีเหมาะสมในการปอกเปลือกเผือก ดว้ ยเคร่อื งปอกเปลอื กลอ้ รูพรุน 111
การวเิ คราะหต์ น้ ทนุ โลจสิ ตกิ สใ์ นการผลติ ครามดว้ ยระบบตน้ ทนุ ฐานกิจกรรม 113
114
กรณีศกึ ษา: กลมุ่ เกษตรกรผผู้ ลติ คราม จงั หวดั สกลนคร 116
การศกึ ษาระยะเวลาการเก็บไสแ้ บบ Shell Mold สาหรบั ผลิตภณั ฑเ์ หลก็ หลอ่ เหนยี ว 117
การปรบั ปรุงสายการประกอบ Glove Compartment ของรถยนตน์ ่งั ขนาดเล็ก 119
การศกึ ษาและจาลองการระบายแก๊สชีวภาพเพ่ือลดการใชพ้ ลงั งานในโรงเรอื นเลยี้ งสกุ ร 120
การประยกุ ตก์ ารเรยี นรูข้ องเครื่องในการพยากรณผ์ ลผลติ กลว้ ยไมใ้ นประเทศไทย 121
ถงุ เทา้ ตน้ แบบสาหรบั ผมู้ ีอาการแทรกซอ้ นท่ีเกดิ กบั ระบบประสาท
ผา้ ตน้ แบบทาชดุ สครบั สาหรบั แพทยใ์ นหอ้ งฉกุ เฉิน 123
การออกแบบและสรา้ งเคร่อื งผลติ ถา่ นแทง่ จากเศษวสั ดทุ ่ีเหลือจากการเผาถ่านในชมุ ชน 124
แบบจาลองการเลือกรูปแบบการเดนิ ทางของผสู้ งู วยั เพ่อื ใชบ้ รกิ ารโรงพยาบาล
125
และการประยกุ ตใ์ ชแ้ บบจาลองโลจิต
การพฒั นากลยทุ ธใ์ นการบรกิ ารไปรษณียช์ ายแดนของบริษัท ไปรษณียไ์ ทย จากดั 126
การศกึ ษาเพ่ือเพิม่ ประสทิ ธิภาพงานบรหิ ารจดั การความปลอดภยั 127
128
งานติดตงั้ ระบบไฟฟา้ และเคร่อื งกลโครงการรถไฟฟา้ สายสเี ขียวเหนอื 130
ปัจจยั ในการคดั เลือกคลงั สนิ คา้ จากการแปรสภาพกระดมุ โลหะ
โดยกระบวนการวิเคราะหต์ ามลาดบั ชนั้
การคดั เลอื กซพั พลายเออรข์ องผผู้ ลิตหมอ้ ไอนา้ ดว้ ยกระบวนการลาดบั ชนั้ เชงิ วิเคราะห์
การศกึ ษาผลการเปล่ยี นสขี องสติกเกอรเ์ ทอรโ์ มโครมกิ เพ่ือชีบ้ ง่ ความรอ้ นสะสมในปล๊กั พว่ งไฟฟา้
การจดั การโลจิสติกสส์ าหรบั การจดั ตงั้ สถานีขนถา่ ยมลู ฝอยในจงั หวดั สงขลา
สาขาศกึ ษาศาสตรแ์ ละพฒั นศาสตร์
การพฒั นาส่อื วีดทิ ศั นว์ ิชาพลศกึ ษา กีฬาวดู้ บอล ตามแนวคิดหอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น
สาหรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี 131
พฤติกรรมการดแู ลสขุ ภาพตนเองภายใตส้ ถานการณก์ ารแพรร่ ะบาด
ของโรคติดเชือ้ ไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19): กรณีศกึ ษาวยั ทางาน 133
ปัจจยั ท่ีสง่ ผลตอ่ ความกตญั ญกู ตเวทีของนิสติ มหาวทิ ยาลยั บรู พาท่มี ีตอ่ ครอบครวั 135
ปัจจยั ดา้ นโซเชียลมีเดียท่ีมีผลกระทบเชงิ ลบตอ่ สขุ ภาพของนิสติ มหาวทิ ยาลยั บรู พา 137
การบรหิ ารจดั การกีฬาในการแขง่ ขนั กีฬามหาวิทยาลยั กีฬาแหง่ ชาติ ครงั้ ท่ี 44 พลศกึ ษาเกมส์ 138
การประยกุ ตก์ ารเรยี นรูโ้ ดยการใชก้ ารออกแบบเป็นฐานในการสอนวชิ าสถิตแิ ละ
วธิ ีวจิ ยั ทางการศกึ ษาสาหรบั สาขานวตั กรรมการศกึ ษา 140
การวิเคราะหอ์ งคป์ ระกอบเชิงยืนยนั ของโมเดลการเสรมิ สรา้ งชมุ ชนการเรยี นรูเ้ ชงิ วชิ าชีพของครู 142
การศกึ ษาพฒั นาการการพฒั นาสมรรถนะของรองผอู้ านวยการสถานศกึ ษา
สงั กดั สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน จงั หวดั พิษณโุ ลก 144
การจดั การระบบนิเวศการเรยี นรูใ้ นการลดตน้ ทนุ การผลิตสาหรบั การทานาแบบปลอดภยั ของ
วิสาหกิจชมุ ชนกลมุ่ ชาวนาตาบลท่ามะขาม อาเภอเมืองกาญจนบรุ ี จงั หวดั กาญจนบรุ ี 146
การบรู ณาการเซนตห์ ลยุ สโ์ มเดลในงานบรกิ ารพยาบาลเพ่อื พฒั นาคณุ ภาพการพยาบาล
และสรา้ งเสรมิ จิตตารมณข์ องพยาบาลวชิ าชีพ 148
ประสิทธิภาพของบทเรยี น e-Learning และความพงึ พอใจของผใู้ ชร้ ะบบ KPI e-Learning
หลกั สตู รเตรียมความพรอ้ มสาหรบั การเมืองระดบั ทอ้ งถ่นิ สถาบนั พระปกเกลา้ 150
ภาคีเครอื ข่ายในการพฒั นาชมุ ชนบา้ นปลายนาสวน ตาบลนาสวน อาเภอศรสี วสั ดิ์ จงั หวดั กาญจนบรุ ี 151
สภาพปัญหาและแนวทางการจดั การเรยี นการสอนรูปแบบออนไลน์ ของอาจารยใ์ นมหาวทิ ยาลยั
เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ ธนบรุ ี ภายใตส้ ถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของไวรสั โควิด-19 153
การพฒั นาทกั ษะการบวก ลบ คณู และหารจานวนเต็ม
โดยใชค้ ลนิ ิกคณิตศาสตร์ ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3/5 154
การศกึ ษาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาคณิตศาสตร์ ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4
โรงเรยี นคงทองวิทยา โดยใชก้ ารสอนแบบอปุ นยั รว่ มกบั เทคนิครว่ มกนั คดิ (NHT)
เรอ่ื งตรรกศาสตร์ 156
คณุ ลกั ษณะจติ อาสาของนกั ศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรี คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง 158
การพฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นและความพงึ พอใจ โดยการจดั การเรยี นรู้
แบบสบื เสาะหาความรู้ (5E) รว่ มกบั การใชส้ ถานการณจ์ าลอง (Simulation)
เรื่องการหกั เหของแสง ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 159
การพฒั นาทกั ษะปฏิบตั ิท่าราวชิ านาฏศลิ ป์ ดว้ ยวธิ ีการจดั การเรยี นรู้
ตามแนวคิดของเดวีสร์ ว่ มกบั การจดั การเรียนรูโ้ ดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน 161
การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคโ์ ดยใชร้ ูปแบบการเรยี นการสอน
กระบวนการคดิ แกป้ ัญหาอนาคตตามแนวคิดของทอรแ์ รนซ์ โรงเรยี นมหดิ ลวทิ ยานสุ รณ์ 163
การพฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวชิ าวิทยาศาสตร์ เร่อื ง สารและการจาแนกสาร โดยใช้
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรูแ้ บบรว่ มมอื เทคนิค (STAD) ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1
โรงเรยี นวดั ไทร(ถาวรพรหมานกุ ลู ) 164
การพฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตร์ เร่อื ง การถ่ายโอนความรอ้ น
ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ท่ตี ามแผนการจดั การเรยี นรูแ้ บบวฏั จกั รการเรยี นรู้ 4 MAT 166
การพฒั นาเกมการศกึ ษาเพ่อื สง่ เสรมิ ทกั ษะการจาตารางธาตสุ าหรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 167
การพฒั นาแบบวดั ทกั ษะการแกโ้ จทยป์ ัญหาคานวณเก่ียวกบั แรงและการเคล่อื นท่ี
ในระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย โดยใชเ้ ทคนคิ การแกป้ ัญหาของโพลยา 169
การศกึ ษาความเช่ือม่นั ในความสามารถของตนดา้ นการใชเ้ ทคโนโลยีในการสอน การวิจยั และ
การบรกิ ารวิชาการ ของคณาจารยใ์ นสถาบนั อดุ มศกึ ษา ในช่วงสถานการณว์ กิ ฤติ COVID-19 171
ผลการจดั การเรยี นรูแ้ บบสบื เสาะหาความรูร้ ว่ มกบั เทคนคิ การเรยี นเชงิ รุก
ผ่านกจิ กรรมเกม เรอ่ื ง ระบบหมนุ เวยี นเลือดของมนษุ ย์ ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 173
สาขามนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์
การสละชีวติ ของพระโพธิสตั วใ์ นอรรถกถาชาดก 175
วา่ ดว้ ยการดอ้ ยคา่ ของสินทรพั ยใ์ นตลาดทนุ ไทย 176
สทิ ธิของแรงงานประมงพืน้ บา้ น: ศกึ ษาแรงงานประมงพืน้ บา้ นจงั หวดั สตลู 177
พฒั นาการการจดั การทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ังของประมงพนื้ บา้ น จงั หวดั ตรงั 179
ความตอ้ งการองคป์ ระกอบแหลง่ ทอ่ งเท่ยี วของนกั ทอ่ งเท่ียวชาวไทยท่เี ดนิ ทางท่องเท่ียว
ในพนื้ ท่ีชมุ ชนเกาะเกรด็ อาเภอปากเกรด็ จงั หวดั นนทบรุ ี 181
ปัจจยั ท่มี ีผลต่อการยอมรบั ผลิตภณั ฑแ์ มลงศตั รูธรรมชาติของเกษตรกรในจงั หวดั เชียงใหม่ 183
การประเมนิ ผลโครงการฝึกอบรมเชงิ ปฏิบตั ิการสาหรบั ผทู้ าหนา้ ท่เี ลขานกุ าร
คณะกรรมการประเมินคณุ ภาพการศกึ ษาภายใน ระดบั หลกั สตู ร มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ 184
การจดั การประสบการณก์ ารลกู คา้ ในอตุ สาหกรรมบรกิ าร 186
การสารวจลลี าชวี ติ เก่ียวกบั การเขา้ รว่ มกิจกรรมนนั ทนาการ เพ่ือพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของ
ผสู้ งู อายภุ าคใต้ : กรณีศกึ ษากลมุ่ ภาคใตต้ อนบน 188
การวิเคราะหภ์ าษาภาพพจนใ์ นสนุ ทรพจนส์ าบานตนเขา้ รบั ตาแหนง่ ประธานาธิบดสี หรฐั อเมรกิ า
ของนายโจเซฟ โรบเิ นตต์ ไบเดน จเู นยี ร์ 190
การพฒั นารูปแบบการสอนวทิ ยาศาสตรต์ ามแนวคิดสมองเป็นฐานรว่ มกบั Active Learning & DLIT
คณุ ภาพ Thailand 4.0 โดยยดึ หลกั “ศาสตรพ์ ระราชา” เพ่ือพฒั นาทกั ษะการสรา้ งสรรค์
นวตั กรรม สาหรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 192
สภาพการอยอู่ าศยั และแนวทางการปรบั ปรุงท่ีอย่อู าศยั ของผสู้ งู อายุ :
กรณีศกึ ษา ตาบลบอ่ สพุ รรณ อาเภอสองพ่ีนอ้ ง จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี 194
ปัญหามาตรการทางกฎหมายการใชพ้ ชื กญั ชาเพ่ือการแพทย์ 197
การศกึ ษาปัจจยั สว่ นประสมทางการตลาดท่มี ีผลต่อการตดั สินใจซอื้ คอนโดมเิ นียม
ของบรษิ ัท สงิ ห์ เอสเตท จากดั (มหาชน) 198
ปัจจยั ท่มี ีผลตอ่ การเลอื กการเดนิ ทางท่องเท่ยี วไทยแบบปกติใหม่ 200
ปัจจยั สว่ นประสมทางการตลาดท่ีมีผลตอ่ การเลอื กบรโิ ภคขนมไทย
ของนกั ศกึ ษา ในเขตจงั หวดั ปทมุ ธานี 202
การรอ้ งทกุ ข:์ ศกึ ษาถงึ การรบั รูแ้ ละความเขา้ ใจในกระบวนการรอ้ งทกุ ข์ 203
Determinants of tourism efficiency in OECD countries: A Two-Stage DEA Model 205
Determinants of Total Factor Productivity Growth in Different Postal Designated Operators 206
มโนสานกึ ทางกฎหมายเก่ียวกบั การมองความรุนแรงในครอบครวั 207
กระบวนการบรหิ ารองคก์ ารดิจิทลั ของสถานศกึ ษาภาครฐั สงั กดั อาชีวศกึ ษาในจงั หวดั ยะลา 209
The Effects of Health as a form of Human Capital on Economic Growth in ASEAN Countries 211
ปัจจยั เชงิ เปรยี บเทยี บในการอธิบายจานวนสิทธิบตั รของไทย สงิ คโปร์ และอินโดนีเซีย 212
การประยกุ ตใ์ ชร้ ะบบสารสนเทศภมู ิศาสตรเ์ พ่อื วิเคราะหพ์ ืน้ ท่ีเส่ยี งภยั แลง้ ในจงั หวดั เพชรบรู ณ์ 213
Speech Acts and Persuasive Strategies in Final Presidential Debate of
Joe Biden and Donald Trump 214
ศกึ ษาความตอ้ งการและผลการดาเนินงานของกลมุ่ ออมทรพั ย์
เพ่ือการพฒั นาเศรษฐกิจฐานชมุ ชนของจงั หวดั ชมุ พร 216
ปัจจยั ในการพฒั นาศกั ยภาพนวตั กรรมของประเทศไทย 218
ความเตม็ ใจจา่ ยของประชาชนเพ่อื การปอ้ งกนั ปัญหาฝ่นุ ละออง PM2.5 ในจงั หวดั นนทบรุ ี 220
อิทธิพลของปัจจยั ในการปฏบิ ตั งิ าน ภาพลกั ษณอ์ งคก์ ร และภาวะหมดไฟในการทางาน
ต่อการตดั สนิ ใจลาออกจากงานของคน Generation Y 221
Thai-English Code-Mixing in Talk with Toey One Night 222
อทิ ธิพลของการยอมรบั นวตั กรรม สว่ นประสมการตลาดออนไลน์ และแรงจงู ใจ
ตอ่ การตดั สนิ ใจซอื้ สินคา้ ผา่ นทางเฟซบกุ๊ ของคน Generation C 224
การศกึ ษาทศั นคติ และพฤตกิ รรมการออมเพ่ือเตรยี มตวั เกษียณอายขุ องกลมุ่ วยั ทางาน
กรณีศกึ ษา บรษิ ัท นิตริ ฐั ลอว์ แอนด์ คอลเลคช่นั จากดั 226
LA3MP Model : แนวทางการนาองคก์ รของโรงเรยี นนายเรอื ต่อสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาด 228
ของโรคโควดิ 19 ตามแนวทางการพฒั นาคณุ ภาพการบรหิ ารจดั การภาครฐั 230
ปัจจยั ท่มี ีอทิ ธิพลตอ่ การตดั สนิ ใจซอื้ บา้ นจดั สรรของผบู้ รโิ ภค ในเขตอาเภอเมือง จงั หวดั สงขลา 232
LUMECA Model : บทบาทการนาองคก์ รของโรงเรยี นนายเรอื ในการจดั หาวคั ซนี ตอ่
234
สถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรคโควิด 19 ตามแนวทางการพฒั นา
คณุ ภาพการบรหิ ารการจดั การภาครฐั 235
การตดั สินใจใชร้ ะบบเก็บคา่ ผ่านทางพเิ ศษอตั โนมตั ขิ องผใู้ ชบ้ รกิ าร 237
ทางยกระดบั ดอนเมือง ในเขตกรุงเทพและปรมิ ณฑล 239
P3CEL Model : แนวทางการนาองคก์ รของโรงเรยี นนายเรอื ต่อสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาด 241
ของโรคโควดิ 19 ตามแนวทางการพฒั นาคณุ ภาพการบรหิ ารจดั การภาครฐั 242
ความตระหนกั และความเตม็ ใจจ่ายในการจดั การฝ่นุ PM2.5 ในกรุงเทพมหานคร
การประยกุ ตใ์ ชท้ ฤษฎีสะกดิ พฤติกรรมในการลดขยะอาหาร 243
แท่นรองรบั รอยตอ่ สาหรบั ชนิ้ สว่ นทรงกระบอก
A Survey of Collocation Occurrence in the Properties description of Eucerin 244
ปัจจยั ดา้ นประชากรศาสตรแ์ ละสว่ นประสมดา้ นผลิตภณั ฑท์ ่มี ีผลต่อการตดั สนิ ใจเลือกซอื้
ผลติ ภณั ฑช์ มุ ชนประเภทผา้ ทอ ของผบู้ รโิ ภคในอาเภอเมือง จงั หวดั สงขลา 246
ผลกระทบจากการแพรร่ ะบาดของโควิด-19 ตอ่ ธุรกิจ SMEs ไทย:
กรณีศกึ ษารา้ นคา้ ผลติ ภณั ฑเ์ พ่อื สขุ ภาพ 248
ทศั นคตแิ ละความคาดหวงั ของประชาชนในพนื้ ท่เี ขตบางซื่อตอ่ บทบาทหนา้ ท่ี
ของเจา้ หนา้ ท่ตี ารวจสถานีตารวจนครบาลเตาปนู 249
The Translation Strategies of English Subtitle into Thai:
A Case Study of Two Distant Strangers 251
การพฒั นาศกั ยภาพของกลมุ่ ทอผา้ เพ่ือการพฒั นาผลติ ภณั ฑเ์ ชงิ สรา้ งสรรค์ 253
ในเทศบาลตาบลโพรงมะเดอ่ื อาเภอเมือง จงั หวดั นครปฐม
ปัจจยั ท่มี ีความสมั พนั ธก์ บั ความผกู พนั ของพนกั งานในองคก์ รดา้ นการทมุ่ เทการทางาน 254
ของพนกั งานในองคก์ ร บรษิ ัท ไอเอสเอส ฟาซิลติ ี้ เซอรว์ ิส จากดั (ประเทศไทย) 256
ความภกั ดีของผบู้ รโิ ภคในจงั หวดั สงขลาตอ่ ผใู้ หบ้ รกิ ารธรุ กิจวีดโี อสตรมี ม่งิ : กรณีศกึ ษา Netflix
การตดั สินใจท่องเท่ยี วจงั หวดั ภเู ก็ตของนกั ทอ่ งเท่ยี วชาวไทย 257
ในช่วงสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรคตดิ เชือ้ ไวรสั โคโรนา 2019
The Effects of Demographic Change on the Interest Rate in Asean Countries
คณุ ภาพการใหบ้ รกิ ารและภาพลกั ษณอ์ งคก์ ร ท่ีสง่ ผลตอ่ ความภกั ดขี องลกู คา้ :
กรณีศกึ ษา บรษิ ัทเคอรี่ เอ็กซเ์ พรส ในเขตอาเภอเมืองสงขลา จงั หวดั สงขลา
การตลาดเชงิ ประสบการณแ์ ละคณุ ภาพความสมั พนั ธท์ ่มี ีอิทธิพลตอ่ ความภกั ดี 258
ของลกู คา้ รา้ นขนมบา้ นโกไข่ อาเภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา 259
260
ความสมั พนั ธเ์ ชิงสาเหตรุ ะหวา่ งแรงจงู ใจ ภาพลกั ษณแ์ หลง่ ท่องเท่ยี ว และความภกั ดี 262
ของนกั ท่องเท่ยี วชาวไทยท่ีมีตอ่ สวนสาธารณะหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา 263
266
แนวคดิ สตรนี ิยมและบทบาทของผนู้ าสตรีในขบวนการเคล่อื นไหวทางสงั คม:
กรณีศกึ ษาเครอื ข่ายปฏิรูปท่ีดนิ ภาคอีสาน 267
269
ปัจจยั สว่ นประสมทางการตลาดท่ีมีอทิ ธิพลตอ่ กระบวนการตดั สินใจซอื้ ผลิตภณั ฑผ์ ่านเครอ่ื ง 270
จาหน่ายสนิ คา้ อตั โนมตั ิ (Vending Machine) ของบรษิ ัท ดอยคาผลิตภณั ฑอ์ าหาร จากดั 271
272
Impact of Research and Development Capital on TFP Growth: 274
The Case of Asean Countries 276
278
Investigating the Factors that Affect the Surge of Thailand's International Reserves
ผลการจดั การเรียนรูด้ ว้ ยกระบวนการเรยี นรูเ้ ชิงรุกรว่ มกบั กระบวนการแกป้ ัญหา DAPIC ท่ีมีตอ่
ทกั ษะการแกป้ ัญหาทางคณิตศาสตร์ เร่อื ง ฟังกช์ นั ตรีโกณมิติ
ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5
การวางแผนกลยทุ ธการส่อื สารทางการตลาดของ
ศนู ยก์ ารคา้ แฟช่นั ไอสแ์ ลนดใ์ นยคุ โควดิ หลงั ฉีดวคั ซีน
Factors that Impact Industrial and Agricultural Export Value
of Thailand with Major Trading Partners
How Does The Relative Government Quality Affect to
Foreign Direct Investment Inflow into Thailand
การศกึ ษามรดกภมู ิปัญญาทางวฒั นธรรมดา้ นการแพทยพ์ ืน้ บา้ นในชมุ ชนลาวคร่งั
จงั หวดั นครปฐม เพ่ือการพฒั นาผลิตภณั ฑเ์ สรมิ สรา้ งสขุ ภาพเชิงสรา้ งสรรค์
ศนู ยก์ ารเรียนรูข้ องกลมุ่ ชาตพิ นั ธุล์ าวคร่งั กบั การพฒั นาการทอ่ งเท่ียวนวตั วิถีในจงั หวดั นครปฐม
แนวทางการจดั การการท่องเท่ยี วทางวฒั นธรรมเพ่ือคนทงั้ มวล:
กรณีศกึ ษาเกาะเกรด็ อาเภอปากเกรด็ จงั หวดั นนทบรุ ี
แนวทางการอนรุ กั ษผ์ า้ ทอมอื ท่ยี อ้ มดว้ ยวสั ดจุ ากธรรมชาติของกลมุ่ ชาติพนั ธุล์ าวคร่งั
ชมุ ชนบา้ นนา อาเภอเมือง จงั หวดั นครปฐม เพ่ือพฒั นาผลติ ภณั ฑผ์ า้ ทอมือสีธรรมชาติ
สาขาวทิ ยาศาสตรส์ ุขภาพและการกีฬา 280
การเปล่ยี นแปลงของคะแนน QuickDASH หลงั ไดร้ บั การจดั การทางกายภาพบาบดั 281
ในผปู้ ่วยขอ้ ไหลต่ ดิ ท่ีไวตอ่ การกระตนุ้ ระดบั สงู
ความรอบรูด้ า้ นสขุ ภาพของนกั ศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั การกีฬาแหง่ ชาติ วิทยาเขตชมุ พร
การศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการเหน็ คณุ ค่าในตนเอง แรงสนบั สนนุ ทางสงั คมกบั 282
สขุ ภาวะทางจิต และแนวทางในการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาวะทางจติ 283
สาหรบั ผสู้ งู อายกุ ลมุ่ ติดบา้ น ในเขตอาเภอเมือง จงั หวดั ยะลา 284
285
ปัจจยั ท่ีสง่ ผลตอ่ ความเครยี ดของนกั กีฬาคนพิการทีมชาตไิ ทย 286
การวิเคราะหช์ วี กลศาสตรข์ องการพายเรอื กรรเชียงคนพกิ ารท่ีมีระดบั ความพกิ ารแตกต่างกนั 288
ประสิทธิผลของการกลบั ตวั ในการแขง่ ขนั เรอื มงั กร
เปรียบเทียบการปรบั ตาแหนง่ อานจกั รยานท่ีมีผลต่อการใชก้ าลงั เชิงกล 289
ความคาดหวงั และความพงึ พอใจในการรบั ชมการถ่ายทอดสดกีฬาโอลิมปิก 2020
ความตอ้ งการของการจดั การคณุ ภาพโดยรวมสาหรบั สง่ เสรมิ นกั กีฬาอาชีพไทย 291
เพ่อื เขา้ สอู่ นั ดบั 1 ใน 100 ของโลก
การปรบั ตวั ของผฝู้ ึกสอนออกกาลงั กายสว่ นบคุ คลในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรคตดิ เชือ้
ไวรสั โคโรนา 2019: กรณีศกึ ษาเชงิ เปรยี บเทียบระหวา่ งขนาดของฟิตเนสและพนื้ ท่ีควบคมุ
สาขาวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี ส่ิงแวดล้อม และความหลากหลายทางชวี ภาพ 292
ส่อื อินโฟกราฟิกแนะนาชดุ ดนิ กบั การปลกู ไมป้ ่าของสถานีวนวฒั นวจิ ยั ในช่องจงั หวดั กระบ่ี 293
ปฏิสมั พนั ธข์ อง Burkholderia pseudomallei ไบโอฟิลม์ ฟีโนไทป์ กบั Acanthamoeba sp. 294
การพฒั นาชีวผลติ ภณั ฑเ์ พ่ือย่อยสลายสารโลหะหนกั ตกคา้ งในดนิ ทางการเกษตร 295
การประเมนิ คณุ ภาพนา้ จืดสาหรบั ใชป้ ระโยชนใ์ นเขตตอนใตข้ องพนื้ ท่ีเกาะสีชงั 297
การออกแบบและประเมินพฤติกรรมทางความรอ้ นของบลอ็ กดินเผาความรอ้ นต่า 298
การออกแบบบล็อกชอ่ งลมแบบใหม่เพ่อื เพ่มิ ประสทิ ธิภาพการลดอณุ หภมู ดิ ว้ ยลมธรรมชาติ 299
คณุ สมบตั ิเบอื้ งตน้ ของสารยบั ยงั้ จลุ นิ ทรยี ท์ ่ีสรา้ งโดยแบคทีเรียซง่ึ คดั แยกไดจ้ ากพืน้ ท่ีป่าชายเลน 300
ประสิทธิภาพของสารสกดั หยาบจากวชั พชื รุกรานในการกาจดั ยงุ ลายบา้ นพาหะนาโรคไขเ้ ลือดออก 301
การสรา้ งเครอ่ื งเคลือบสญุ ญากาศแบบสปัตเตอรงิ กระแสตรงและการวเิ คราะหฟ์ ิลม์ บาง 302
การพฒั นาวสั ดบุ ผุ นงั ลดแรงกระแทกจากนา้ ยางธรรมชาติผสมฟางขา้ ว 303
ผลกระทบของอลั คาลอยดล์ าเมลลารนิ ตอ่ การตอบสนองความเครยี ดแบบองคร์ วมในเซลลม์ ะเรง็
ผลของการใชก้ ากยีสต์ และกากราเป็นองคป์ ระกอบในอาหารเลยี้ งเชอื้ ตอ่ การผลติ 304
305
กรดไฮยาลโู รนิคจาก Streptococcus thermophilus TBRC4654 306
การพฒั นาระบบฐานขอ้ มลู เชงิ พนื้ ท่ีรา้ นอาหารฮาลาลในภตั ตาคาร กรณีศกึ ษา จงั หวดั สงขลา 307
วสั ดบุ ผุ นงั ภายในอาคารจากเปลอื กมะพรา้ วนา้ หอม 308
การใชโ้ พลีสไตรีนโฟมและเถา้ กน้ เตาจากโรงไฟฟ้าเป็นมวลรวมสาหรบั คอนกรตี มวลเบา 309
การพฒั นาวสั ดดุ ดู ซบั เสียงดว้ ยเสน้ ใยตน้ ธปู ฤาษี
การพฒั นาสตู รซปุ จากกากถ่วั ดาวอนิ คาโดยการออกแบบการทดลองแบบผสม
การศกึ ษาสมบตั เิ ชิงหนา้ ท่ีของเหด็ แครงและแนวทางการนาไปใช้ 310
ในผลิตภณั ฑท์ ดแทนเนือ้ สตั วส์ าหรบั กลมุ่ เบบบี้ มู
311
การจาแนกแหลง่ ท่ีมาและองคป์ ระกอบทางเคมีของอนภุ าคขนาดเลก็ กว่า 0.1 ไมครอน
ระหวา่ งพืน้ ท่ีเมืองและพนื้ ท่ชี นบท 313
315
การประเมนิ ศกั ยภาพการเป็นแกนกล่นั ตวั ของฝนของฝ่นุ ละอองขนาดเลก็
ในบรเิ วณพนื้ ท่ีเขตเมือง กรุงเทพมหานคร 316
ผลของความเรว็ รถยนตต์ ่อแมลงในพืน้ ท่ีอทุ ยานแหง่ ชาตเิ วยี งโกศยั จงั หวดั แพร่ 318
การตงั้ คา่ การตรวจวิเคราะหล์ กั ษณะประชากรของทเี ซลลใ์ นผปู้ ่วยโรคสะเก็ดเงนิ 319
320
ดว้ ยวิธีโฟลไซโทเมทรี 322
การศกึ ษาความเป็นไปไดใ้ นการลงทนุ โรงไฟฟ้าชีวมวล
324
กรณีศกึ ษา ใชเ้ ชือ้ เพลิงเหงา้ มนั สาปะหลงั ในจงั หวดั นครราชสมี า 325
การศกึ ษาพฤตกิ รรมผบู้ รโิ ภคผลติ ภณั ฑส์ เปรดและองคป์ ระกอบทางเคมีของงาขีม้ อ่ น 326
การพฒั นาผลติ ภณั ฑผ์ งโรยขา้ วจากกากงาดา
การเปล่ยี นแปลงของผงฝ่นุ เขม่าดา บรเิ วณพืน้ ท่ีเขตเมอื ง กรุงเทพมหานคร 328
การศกึ ษาปรมิ าณนา้ ตาลกลโู คสท่ีถกู ย่อยเรว็ จากขา้ วพนั ธุ์ กข 43 ขา้ วน่งึ การคา้ 329
และขา้ วนง่ึ พนั ธุ์ กข 43 ดว้ ยวิธีการเลียนแบบการย่อยนา้ ตาลในหลอดทดลอง 330
การพยากรณย์ อดซอื้ สนิ คา้ ของลกู คา้ ธุรกจิ : กรณีศกึ ษาธุรกิจเกษตรอตุ สาหกรรม 331
การควบคมุ มลพษิ ทางเสียงสาหรบั สนามยงิ ปืนในรม่ 332
กมั มนั ตภาพรงั สีธรรมชาตใิ นดนิ บรเิ วณเหมืองเกา่ (ภตู าจอ) และการไดร้ บั ปรมิ าณรงั สี 333
ของประชาชน อาเภอกะปง จงั หวดั พงั งา 335
ฤทธิ์ตา้ นจลุ นิ ทรยี ข์ องฟิลม์ ไคโตซานท่ีมีสารสกดั จากกากกาแฟ
คณุ ภาพนา้ และธาตอุ าหารในนา้ บางประการสาหรบั ถ่นิ อาศยั ของนกชายเลนอพยพ 336
337
บรเิ วณพนื้ ท่ีชมุ่ นา้ ดอนหอยหลอด จงั หวดั สมทุ รสงคราม
คณุ สมบตั กิ ารตา้ นอนมุ ลู อสิ ระและปรมิ าณสารออกฤทธิ์ของเพชรสงั ฆาตและขลู่
บราวน่กี รอบผสมไขน่ า้ (Wolffia globosa)
การประเมนิ วฏั จกั รชีวติ ของการใชน้ า้ ยางพาราสาหรบั การสรา้ งถนนในประเทศไทย
การประยกุ ตใ์ ชแ้ ผน่ โปรง่ แสงรว่ มกบั วสั ดสุ ารเรืองแสงเพ่ือลดการถ่ายเทความรอ้ น
และปรมิ าณแสงจา้ สาหรบั ชอ่ งแสงอาคาร
ผลของความดนั รวมตอ่ โครงสรา้ งและสมบตั โิ ฟโตคะตะไลตกิ ของฟิลม์ บางไททาเนยี มไดออกไซด์
ท่เี คลือบดว้ ยวธิ ีรแี อคตีฟดซี ีแมกนตี รอนสปัตเตอรงิ
การแพรก่ ระจายของแพลงกต์ อนและคณุ ภาพนา้ ในแม่นา้ วงั ทอง จงั หวดั พษิ ณโุ ลก
สาขาส่งเสริมการเกษตร 338
ความคดิ เห็นของชาวประมงต่อการดาเนนิ การเพม่ิ พนั ธุก์ งุ้ กา้ มกรามโดยชมุ ชน 340
บรเิ วณแม่นา้ ตรงั จงั หวดั ตรงั 342
แนวทางการสง่ เสรมิ การพฒั นาการดาเนินงานศนู ยจ์ ดั การศตั รูพืชชมุ ชนจงั หวดั กาแพงเพชร 344
แนวทางการพฒั นาการดาเนินงานศนู ยเ์ รียนรูก้ ารเพ่มิ ประสิทธิภาพ 346
348
การผลิตสนิ คา้ เกษตร จงั หวดั กาแพงเพชร 350
การปฏิบตั งิ านตามระบบสง่ เสรมิ การเกษตรของเจา้ หนา้ ท่ีสง่ เสรมิ การเกษตรในจงั หวดั อบุ ลราชธานี
ความตอ้ งการการสง่ เสรมิ การผลิตขา้ วของเกษตรกร ในอาเภอปัว จงั หวดั นา่ น 352
ความตอ้ งการสง่ เสรมิ การผลิตขา้ วของเกษตรกรอาเภอยางตลาด จงั หวดั กาฬสนิ ธุ์ 354
ความตอ้ งการไดร้ บั การสง่ เสรมิ การผลติ เมลด็ พนั ธุข์ า้ วของสมาชิกศนู ยข์ า้ วชมุ ชนในจงั หวดั ชยั นาท
แนวทางการสง่ เสรมิ การผลิตขา้ วเพ่ือการรบั รองมาตรฐานการปฏบิ ตั ิทางการเกษตรท่ีดี 356
ของเกษตรกรในอาเภอพรานกระตา่ ย จงั หวดั กาแพงเพชร 358
ความตอ้ งการการสง่ เสรมิ การดาเนนิ งานของวิสาหกิจชมุ ชนในอาเภอเชียงแสน จงั หวดั เชียงราย
การผลิตลาไยใหไ้ ดค้ ณุ ภาพตามมาตรฐานการปฏบิ ตั ทิ างการเกษตรท่ีดขี องเกษตรกร 360
ในอาเภอพญาเมง็ ราย จงั หวดั เชียงราย 362
ความตอ้ งการการสง่ เสรมิ การผลิตลาไยตามการปฏบิ ตั ิทางการเกษตรท่ีดขี องเกษตรกร
364
ในอาเภอคลองลาน จงั หวดั กาแพงเพชร
การสง่ เสรมิ การจดั การนา้ เพ่ือการผลิตลาไยคณุ ภาพของเกษตรกร 366
ในตาบลป่าแงะ อาเภอป่าแดด จงั หวดั เชียงราย 368
การรบั ขอ้ มลู ขา่ วสารผา่ นเทคโนโลยสี ารสนเทศและส่อื สงั คมออนไลน์
370
ของเกษตรกรผปู้ ลกู ขา้ วในตาบลบา้ นกลบั อาเภอหนองโดน จงั หวดั สระบรุ ี
สถานการณป์ ่าสงวนภจู อมแงเมืองเซยี งเงิน แขวงหลวงพระบาง
สาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว
การมสี ว่ นรว่ มของประชาชนในการอนรุ กั ษป์ ่าชมุ ชนกลมุ่ หว้ ยขงิ
เมืองโพนไช แขวงหลวงพระบาง สาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว
การใชส้ ่อื แอนเิ มชนั เพ่ือสง่ เสรมิ การหยดุ เผาตอซงั ของเกษตรกร
อาเภอบางนา้ เปรยี้ ว จงั หวดั ฉะเชิงเทรา
ความคดิ เห็นของผเู้ ขา้ รว่ มงานตอ่ การจดั กจิ กรรม “ตลาดของดี SMEs เกษตรไทย”
ณ ตลาดคลองผดงุ กรุงเกษม
ภาคโปสเตอร์ หน้า
สาขาพชื และเทคโนโลยชี วี ภาพ
รูปแบบการดดู นา้ และระยะเวลาการดดู นา้ ของเมลด็ พนั ธพุ์ รกิ ขีห้ นใู นนา้ และสารละลาย KNO3 372
การประเมนิ ศกั ยภาพการใหผ้ ลผลิตขา้ วโพดลกู ผสมก่อนการคา้ ของศนู ยว์ ิจยั ขา้ วโพดและ
ขา้ วฟ่างแหง่ ชาติ 373
ผลของปรมิ าณวสั ดเุ พาะและภาชนะเพาะเห็ดตอ่ การเจรญิ เติบโตและผลผลติ ของเห็ด
ยามาบชู ติ าเกะ 374
ผลของคารบ์ อนตอ่ การผลติ กรดไขมนั อพี ีเอและฟิวโคแซนทนิ จากไดอะตอม
Phaeodactylum tricornutum ท่เี ลยี้ งภายใตส้ ภาวะมิกโซโทรฟิค 375
การชกั นาใหเ้ กดิ แคลลสั และ Somatic Embryo ในการเพาะเลยี้ งเนือ้ เย่ืออนิ ทผลมั พนั ธุ์ KL1 376
รูปแบบการดดู นา้ และระยะเวลาการดดู นา้ ของเมลด็ พนั ธมุ์ ะเขือเทศในนา้ และสารละลาย KNO3 377
ทางเลอื กการใชส้ ารกาจดั วชั พชื สาหรบั การควบคมุ วชั พืชในสภาพนาหวา่ นขา้ วแหง้ 378
อิทธิพลของระยะเวลาในการไดร้ บั สารปกปอ้ งเนือ้ เย่อื พืชตอ่ การงอกของเมลด็ กลว้ ยไมเ้ ออื้ ง
สายนา้ นมภายหลงั การเก็บรกั ษาดว้ ยไนโตรเจนเหลว 379
การเปรยี บเทียบวิธีสกดั ดเี อ็นเอสามวิธีจากใบพะยงู (Dalbergia cochinchinensis)
สาหรบั การวิจยั ระดบั โมเลกลุ 380
ผลของวธิ ีการลดความชนื้ ตอ่ ความมีชวี ติ ของ Trichoderma asperellum
และคณุ ภาพเมล็ดพนั ธมุ์ ะเขือเทศพอก 381
การประเมนิ ปรมิ าณโปรตนี และฤทธิ์การตา้ นอนมุ ลู อสิ ระของสารสกดั จากจงิ้ หรดี ทองดา 382
ผลของวิธีการสกดั ตอ่ รูปแบบโปรตีนและฤทธิ์ตา้ นอนมุ ลู อิสระ
ท่ีสกดั ไดจ้ ากดกั แดไ้ หม (Bombyx mori L.) 383
การทดสอบพนั ธุข์ า้ วโพดเลยี้ งสตั วล์ กู ผสมท่ีเหมาะสมกบั พนื้ ท่ีปลกู หลงั การทานาในจงั หวดั ลาปาง 384
ผลของคณุ ภาพเมลด็ พนั ธุผ์ กั กาดหอมหลงั การใชอ้ ญั ชนั สรา้ งเอกลกั ษณใ์ นสารเคลอื บอินทรีย์ 385
การศกึ ษาการสกดั สารสจี ากขา้ วไรซเ์ บอรร์ ี ขา้ วเหนียวดา และขา้ วหอมนิล
สาหรบั การยอ้ มสเี นือ้ เย่ือพชื 386
ผลของการใสป่ ๋ ยุ อนิ ทรียต์ อ่ การเจรญิ เติบโตของบวั บกท่ปี ลกู ในชดุ ดินกาแพงแสน 387
ประสิทธิภาพของสารกาจดั วชั พชื ท่ีใชแ้ บบหลงั งอกระยะแรกในการควบคมุ วชั พืชในออ้ ยตอ 388
การเกดิ ความตา้ นทานสารกาจดั วชั พชื หลายกลมุ่ ในประชากรหญา้ ดอกขาว
ตา้ นทานสารบีสไพรแิ บค-โซเดยี มในนาขา้ ว 389
การประเมนิ คณุ ภาพผล และปรมิ าณสารแคโรทีนอยดใ์ นมะมว่ งเศรษฐกจิ ของไทย 390
ผลของระยะเวลาการเรง่ อายแุ ละสารเคมเี คลือบเมล็ดท่มี ีต่อความงอก
และการเจรญิ เติบโตของตน้ กลา้ ขา้ วโพดเลยี้ งสตั ว์ 391
ผลของการใสป่ ๋ ยุ เคมีและป๋ ยุ อนิ ทรยี ต์ อ่ การผลิตบวั บกในชดุ ดนิ บางเลน 392
ผลของชนิดป๋ ยุ อนิ ทรียต์ ่อการเจรญิ เติบโตและผลผลิตของบวั บกท่ีปลกู ในชดุ ดนิ บางเลน 393
การใชร้ าอารบ์ สั คลู ารไ์ มคอรไ์ รซาในดินหลงั นา้ ทว่ มขงั 394
ผลของป๋ ยุ อินทรียค์ ณุ ภาพสงู ตอ่ การผลิตขา้ วพนั ธหุ์ อมนิล 395
เสถียรภาพการใหผ้ ลผลิตของขา้ วโพดเลยี้ งสตั วล์ กู ผสมพนั ธุด์ เี ด่นของกรมวิชาการเกษตร 396
ประสทิ ธิภาพของสารปอ้ งกนั กาจดั เชือ้ ราในการควบคมุ โรคแอนแทรคโนสของ
ถ่วั เหลอื งฝักสดสาเหตจุ ากเชือ้ Colletotrichum truncatum 397
การประเมนิ ความทนแลง้ ของสายพนั ธุพ์ รกิ กะเหรยี่ งโดยวธิ ี Membrane Thermal Stability 398
ฝา้ ยพนั ธุต์ ากฟา้ 8 : เสน้ ใยสนี า้ ตาล ทนทานเพลยี้ จกั จ่นั อายเุ กบ็ เก่ียวสนั้ 399
ผลของอตั ราประชากรตอ่ การเจรญิ เติบโตและผลผลติ ของขา้ วโพดเลยี้ งสตั วล์ กู ผสมพนั ธนุ์ ครสวรรค์ 5 400
ลกั ษณะประจาพนั ธุข์ องผลนอ้ ยหนา่ พนั ธฝุ์ า้ ยเขียวลกู ผสม 4 พนั ธุ์ 401
ผลของการฉีดพน่ สารละลายแคลเซยี ม-โบรอนทางใบตอ่ การเจรญิ เตบิ โต
และคณุ ภาพผลเมลอนพนั ธคุ์ โิ มจิ 402
การวิเคราะหเ์ สถียรภาพในออ้ ยตอของพนั ธุก์ าแพงแสน ชดุ ปี 2007 และ 2008
ในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ดว้ ยวิธี GGE Biplo 403
การวเิ คราะหเ์ สถียรภาพของออ้ ยตอพนั ธกุ์ าแพงแสน ชดุ ปี 2007 และ 2008 ในภาคกลาง
ดว้ ยวธิ ี GGE Biplot 404
การประเมนิ ประชากรฟักทองช่วั ท่ี 5 และ 6 เพ่ือพฒั นาสายพนั ธุผ์ สมเปิดในฤดรู อ้ น 405
ผลของสารละลายปักแจกนั ตอ่ คณุ ภาพและอายปุ ักแจกนั ชอ่ ผลกระเจีย๊ บแดง 406
อทิ ธิพลของชวี ภณั ฑเ์ ชือ้ ราไตรโคเดอรม์ าและแบคทีเรยี บาซลิ ลสั ตอ่ การดดู นา้
การอ่มิ ตวั การงอก และการเจรญิ เติบโตของเมลด็ ทานตะวนั 407
อทิ ธิพลของสตู รป๋ ยุ ท่ีมีผลตอ่ การเจรญิ เติบโตของอะโวคาโดพนั ธุบ์ คั คาเนีย 408
ผลของพาโคลบิวทราโซลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของหน่อตามกลว้ ยหอมทอง 409
การทดสอบประสทิ ธิภาพสารปอ้ งกนั กาจดั เชือ้ ราในการควบคมุ โรคเมลด็ สีม่วงในถ่วั เหลือง 410
สมบตั ทิ างเคมีและปรมิ าณธาตอุ าหารพืชในของเสยี
จากฟารม์ เลยี้ งสตั วเ์ พ่อื ใชใ้ นระบบผลิตพืชอนิ ทรยี ์ 411
ธาตอุ าหารในใบ เนือ้ และเปลอื กทเุ รยี นหมอนทองท่ีปลกู ในชดุ ดินคลองซาก 412
รูปแบบของการใหน้ า้ ท่มี ีผลต่อการกอ่ โรคและการขยายพนั ธุข์ องไสเ้ ดอื นฝอยรากปมขา้ ว
Meloidogyne graminicola ในขา้ วพนั ธสุ์ รุ นิ ทร์ 1 413
ความหลากชนิดของเชือ้ ราสนมิ สาเหตโุ รคพืชป่าไมใ้ นกลมุ่ ป่าดงพญาเยน็ -เขาใหญ่ 414
ผลของแสงเทียมจากหลอดแอลอดี ีรว่ มกบั การควบคมุ อณุ หภมู ิต่อผลผลติ
และปรมิ าณนา้ มนั ในใบกะเพราและโหระพา 415
สาขาสัตวแ์ ละสตั วแพทย์
การพบเชือ้ ซลั โมเนลลาในไกเ่ นือ้ ท่เี ลยี้ งเสรมิ ดว้ ยโปรไบโอตคิ ชนดิ Clostridium butyricum 416
ผลของระดบั โปรตีนต่อสมรรถนะการเจรญิ เติบโตของเป็ดเนือ้ ช่วงอายุ 1 ถึง 14 วนั 417
ความชกุ การตดิ พยาธิภายในทางเดินอาหารของแพะ พนื้ ท่ีอาเภอหนองหญา้ ปลอ้ ง จงั หวดั เพชรบรุ ี 418
การประมาณระยะเวลาการตายหนแู รท จากอณุ หภมู แิ ละการแข็งตวั ของซากในหอ้ งเลยี้ งสตั วท์ ดลอง 420
โลจสิ ตกิ สข์ าออกขา้ วโพดเลยี้ งสตั วข์ องเกษตรกรในจงั หวดั ลพบรุ แี ละสระบรุ ี 421
ประสทิ ธิภาพของสตู รอาหารต่างชนิดตอ่ ผลผลิตของ Chlorella ellipsoidea 422
การพฒั นา double quenched probe RT-qPCR ในการตรวจหาไวรสั พอี ารอ์ ารเ์ อสไทป์ สอง 424
เทคนิคง่ายและรวดเรว็ ในการพิมพล์ ายเสน้ ขนสตั ว์ 426
สาขาวศิ วกรรมศาสตร์ 428
ระบบตรวจจบั การเกดิ ไฟไหมด้ ว้ ยกลอ้ งตรวจจบั วตั ถุ
การเตรยี มเมด็ บีดสค์ อมโพสิตอลั จเิ นตและแบคทีเรียเซลลโู ลส 429
430
สาหรบั กกั เกบ็ แอลฟา-โทโคฟี รลิ อะซีเตท 431
การปรบั สภาพแบคทีเรียลเซลลโู ลสสาหรบั ประยกุ ตใ์ ชใ้ นทางเครอ่ื งสาอาง
การทดสอบเครอื่ งเคลอื บเมลด็ พนั ธุแ์ บบพน่ สารเคลอื บภายในภาชนะก่งึ ปิด
สาขาศึกษาศาสตรแ์ ละพฒั นศาสตร์ 432
การพฒั นาส่อื วีดิทศั นก์ ีฬายมิ นาสตกิ ทกั ษะหกสงู และสปรงิ มือตวั
433
สาหรบั นกั ศกึ ษามหาวิทยาลยั การกีฬาแหง่ ชาติ 436
สมรรถภาพภาพทางกายของนกั กีฬามหาวิทยาลยั การกีฬาแห่งชาติ วทิ ยาเขตเชียงใหม่ 438
ท่เี ขา้ รว่ มการแขง่ ขนั กีฬานกั เรยี น นกั ศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั การกีฬาแห่งชาติ 440
กลมุ่ ภาคเหนือ ประจาปีการศกึ ษา 2563
ผลของการสอนเทนนิสแบบโดยตรงควบคกู่ บั การสอนแบบใบงาน 442
การพฒั นาแบบฝึกทกั ษะ รายวิชาการปลกู ผกั สวนครวั โดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน
สาหรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1
ผลการจดั การเรียนการสอนโดยใชร้ ูปแบบการจดั กิจกรรมการเรยี นรูด้ ว้ ย FLIPPED C Model
รว่ มกบั เกมมฟิ ิเคชนั เพ่ือสรา้ งแรงจงู ใจในการเรยี นของ
นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 โรงเรยี นคงทองวทิ ยา
การศกึ ษาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาคณิตศาสตรห์ ลงั ใชบ้ ทเรยี น e – Learning
เรือ่ ง อสมการเชงิ เสน้ ตวั แปรเดยี ว ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3
โรงเรยี นเฉลมิ พระเกียรติสมเดจ็ พระศรนี ครนิ ทร์ นครศรธี รรมราช
การพฒั นาชดุ กิจกรรมการเรยี นรูแ้ บบอเิ ลก็ ทรอนิกส์ วิชา การเขียนโปรแกรมภาษาซี 444
กลมุ่ สาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี สาหรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6
สาขามนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์
การศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งปรมิ าณนา้ ฝนรายปี และพืน้ ท่ีปลกู ขา้ วนาปรงั
ในเขตชลประทาน ของประเทศไทย 446
การพฒั นาโครงสรา้ งองคก์ าร และหนา้ ท่งี านพนกั งานบรษิ ัท วรกลุ จากดั 447
การบรหิ ารลกู คา้ สมั พนั ธเ์ พ่อื ความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขนั ของ
บรษิ ัทจดทะเบียนในตลาดหลกั ทรพั ย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) 449
ปัจจยั ท่ีสง่ ผลต่อการตดั สนิ ใจเลอื กเขา้ ศกึ ษาต่อในระดบั ปรญิ ญาตรขี องนกั ศกึ ษาชนั้ ปีท่ี 1
มหาวทิ ยาลยั การกีฬาแห่งชาติ วทิ ยาเขตเชียงใหมป่ ระจาปีการศกึ ษา 2563 451
การรบั รูว้ ฒั นธรรมความปลอดภยั ผปู้ ่วยของบคุ ลากรในโรงพยาบาลเอกชนท่ีไม่ม่งุ เนน้ ผลกาไร 453
การพฒั นาศกั ยภาพการทางานบคุ ลากรฝ่ายงานวิศวกรรมของหา้ งหนุ้ สว่ นจากดั ชวินโรจนว์ ิศวกรรม 454
แนวทางการอนรุ กั ษแ์ พโบสถน์ า้ : กรณีศกึ ษาวดั ปากนา้ โพเหนือ
และวดั สโมสร อาเภอเมือง นครสวรรค์ 456
ปัจจยั ท่ีสง่ ผลตอ่ พฤติกรรมดา้ นความรกั ความเมตตาของนิสติ มหาวิทยาลยั บรู พา 458
รูปแบบการพฒั นามคั คเุ ทศกก์ ลมุ่ ผสู้ งู อายเุ พ่ือเสรมิ สรา้ งการจดั การท่องเท่ยี วโดยชมุ ชน
อยา่ งย่งั ยืน กรณีศกึ ษาชมุ ชนกฏุ ีจีน แขวงวดั กลั ยาณ์ เขตธนบรุ ี 459
สาขาวทิ ยาศาสตรส์ ุขภาพและการกฬี า 460
ภาวะโภชนาการกบั ความฉลาดทางอารมณข์ องนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ในโรงเรียนประจา
การสารวจพฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารโดยใชว้ ิธีแบบเรยี ลไทมใ์ นเจา้ หนา้ ท่ีคณะแพทยศาสตร์ 462
464
โรงพยาบาลรามาธิบดีท่ีมนี า้ หนกั ตวั ปกตหิ รอื อว้ น 466
การพฒั นาสตู รชอ็ ตเครอ่ื งด่มื จากขา้ วหอมมะลิแดงเพ่ือผอู้ อกกาลงั กายและนกั กีฬา 467
ลกั ษณะและตาแหนง่ ของการบาดเจ็บทางการกีฬาในนกั กีฬาวา่ ยนา้ คนพกิ ารทีมชาตไิ ทย
รูปแบบการยงิ ประตฟู ตุ ซอลในการแขง่ ขนั The University Futsal Championship 2019 468
ปัจจยั ดา้ นส่งิ อานวยความสะดวกทางการกีฬาท่ีสง่ ผลต่อพฤติกรรมการออกกาลงั กายของนกั ศกึ ษา
มหาวทิ ยาลยั การกีฬาแหง่ ชาติ วทิ ยาเขตยะลา ในสถานการณโ์ รคไวรสั โคโรนา 2019
สาขาวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สง่ิ แวดล้อม และความหลากหลายทางชวี ภาพ 470
ลายพิมพ์ DNA และการดอื้ ตอ่ ยาปฏชิ ีวนะของ Escherichia coli และ
Enterobacter spp. ท่ีแยกจากอาหารทะเลในจงั หวดั นครปฐม
แบบจาลองทางสถิตทิ ่แี สดงถึงปัจจยั ท่ีมีผลต่อราคาสง่ ออกขา้ วหอมมะลไิ ทย 100% 471
ผลการเตมิ เซลลโู ลสผงและรีซสิ แทนตส์ ตารช์ ต่อคณุ ภาพของปาทอ่ งโก๋ 473
แบคเทอรโิ อเฟจของ Klebsiella pneumoniae ท่พี บในแหลง่ นา้ ตา่ ง ๆ ในกรุงเทพมหานคร 474
พิษเฉียบพลนั ของไกลโฟเซตต่อลกู ปลาย่สี กเทศ (Labeo rohita) 476
การตรวจหาจลุ นิ ทรยี ท์ ่ีสามารถผลติ สารตา้ นจลุ ชพี จากสถานีรถไฟนครปฐม 477
เครอ่ื งถา่ ยภาพเรืองแสงอย่างงา่ ยสาหรบั วเิ คราะหห์ าลายนวิ้ มอื แฝงบนกระดาษ 479
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งพฤตกิ รรมการตดิ อนิ เตอรเ์ นต็ และระดบั ความเหงา
480
ของนสิ ิตระดบั ปรญิ ญาตรี คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บรู พา 483
ฤทธิ์ของสมนุ ไพรทองพนั ช่งั , ฟา้ ทะลายโจร และหญา้ หนวดแมวท่ีมีต่อยงุ ราคาญ 484
การตรวจหารอยลายนิว้ มือแฝงบนวตั ถไุ มม่ ีรูพรุนโดยใชผ้ งอญั ชนั 485
การไฮโดรไลซิสกากตะกอนสา่ สาปะหลงั ดว้ ยเอนไซมท์ างการคา้ 486
ผลการปรบั สภาพกากตะกอนมนั สาปะหลงั ดว้ ยการระเบิดโครงสรา้ งไอนา้ 487
การตรวจสอบพฤกษเคมีเบอื้ งตน้ ปรมิ าณฟี นอลกิ รวม และฤทธิ์กาจดั อนมุ ลู อสิ ระของผลจนั 489
ฤทธิ์ของกระเจีย๊ บแดง ขมนิ้ ชนั และตะไครท้ ่ีมีตอ่ ยงุ ราคาญ 490
การพฒั นาผลติ ภณั ฑเ์ ครื่องด่มื เพ่ือสขุ ภาพจากนา้ กระชายผสมนา้ เสาวรส
การพฒั นาวธิ ีการบาบดั สารปนเปื้อนรว่ มในนา้ ใตด้ นิ โดยใชเ้ ปอรซ์ ลั เฟต 491
ท่ถี กู กระตนุ้ ปฏิกิรยิ าดว้ ยโลหะเฟอรไ์ รตน์ าโนคอมโพสทิ 492
การซอ้ นทบั ของอาหารในปลาจวดสองชนดิ Aspericorvina jubata (Bleeker, 1855) 493
494
และ Dendrophysa russelli (Cuvier, 1830) บรเิ วณพนื้ ท่ีชายฝ่ังของอา่ วไทยตอนใน
รูปแบบความตา้ นทานสารปฏชิ ีวนะของเอนเทอรโ์ รแบคทีเรียในนา้ ทะเลจากอา่ วไทยตอนบน 495
การพฒั นาผลติ ภณั ฑเ์ หด็ นางรมอบแหง้ ผสมไซรปั หญา้ หวานเสรมิ โพรไบโอตกิ 497
ความถ่วงจาเพาะเนือ้ ไมแ้ ละผลตอ่ การประเมนิ มวลชวี ภาพเหนอื พนื้ ดนิ 498
ของป่ารุน่ สอง ณ อทุ ยานแห่งชาตเิ ขาใหญ่ 499
พลวตั ของรากฝอยในป่ารุน่ สองและป่าสมบรู ณใ์ นป่าดิบชืน้ ตามฤดกู าล 501
การตรวจหารอยลายนิว้ มือแฝงบนวตั ถไุ มม่ ีรูพรุนโดยใชผ้ งเปลอื กมงั คดุ
การตรวจสอบประสทิ ธิภาพในการทานายผลผลติ ซากพืชท่ีรว่ งหลน่ 502
ดว้ ยดาวเทยี ม Sentinel-2 ในพนื้ ท่ีป่าอทุ ยานแห่งชาตเิ ขาใหญ่ 503
การเปรยี บเทยี บวสั ดเุ พ่อื การเก็บรายละเอียดของรอยเทา้
อทิ ธิพลของชนิดและความเขม้ ขน้ ของสารท่ีก่อใหเ้ กิดโฟมต่อคณุ สมบตั ิ และกราฟการทาแหง้
ของโฟมมะเขอื เทศท่ีอบแหง้ ดว้ ยวธิ ีการทาแหง้ แบบโฟมแมท
การพฒั นาสารสกดั กระเจีย๊ บแดงเขม้ ขน้ เพ่ือใชป้ ระโยชนใ์ นการผลิต
เคร่อื งด่ืมเพ่ือสขุ ภาพและใชค้ วบคมุ อะฟลาทอกซินในผลติ ภณั ฑอ์ าหารสตั ว์
สาขาส่งเสริมการเกษตร 505
การจดั การองคค์ วามรูก้ ารผลิตกาแฟอราบิกา้ เชงิ อนรุ กั ษ์ เพ่ือการเกษตรท่ีย่งั ยืน
506
ในพนื้ ท่ีบา้ นหว้ ยหอ้ ม อาเภอแมล่ านอ้ ย จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน 508
แนวทางการจดั การผลิตทานตะวนั คณุ ภาพของเกษตรกร 510
ตาบลคลองเกตุ อาเภอโคกสาโรง จงั หวดั ลพบรุ ี 512
แนวทางการสง่ เสรมิ การผลิตเกลือทะเลในอาเภอเมือง จงั หวดั สมทุ รสงคราม
แนวทางการสง่ เสรมิ การผลิตมะพรา้ วของเกษตรกรในอาเภออมั พวา จงั หวดั สมทุ รสงคราม 513
แนวทางการสง่ เสรมิ การจดั การศตั รูมะพรา้ วโดยวธิ ีผสมผสานของเกษตรกร 515
ในพนื้ ท่ีอาเภอบา้ นแหลม จงั หวดั เพชรบรุ ี 517
แนวทางการสง่ เสรมิ การจดั การศตั รูมะพรา้ วนา้ หอมแบบผสมผสานของเกษตรกร 519
522
ผปู้ ลกู มะพรา้ วนา้ หอม อาเภอดาเนินสะดวก จงั หวดั ราชบรุ ี
การยอมรบั การผลติ ผกั ตามมาตรฐานการผลิตพืช GAP ของเกษตรกร จงั หวดั กาญจนบรุ ี
ปัจจยั ท่มี ีผลตอ่ การยอมรบั การจดั การหนอนกระทขู้ า้ วโพดลายจดุ โดยวธิ ีผสมผสานของเกษตรกร
ในภาคเหนือของประเทศไทย
กรณีศกึ ษาการจดั การโรคขา้ วของเกษตรกรในเขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร
การจดั การการผลิตพรกิ ของกลมุ่ เกษตรกรแปลงใหญ่พรกิ อาเภอหนองม่วงไข่ จงั หวดั แพร่
การประชุมวิชาการระดับชาติ ครงั้ ที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564
ศักยภาพของแบคทเี รยี เอนโดไฟติกจากรากมันสาปะหลังเพ่อื การตรึงไนโตรเจน ละลายฟอสเฟต
และผลติ ฮอรโ์ มนพืชสาหรับใช้เป็ นป๋ ยุ ชวี ภาพ
Potential of endophytic bacteria from cassava roots for nitrogen fixation, phosphate solubilization
and plant hormones production as biofertilizers
ศศริ ภ์ ทั ร ศริ ิศวรช์ ยตุ 1 สิรนิ ภา ช่วงโอภาส1* และ อมรศรี ขนุ อินทร์ 2
Sasiphat Siritchayut1 Sirinapa Chungopast1* and Amornsri Khun-in2
บทคดั ยอ่
งานวิจัยนีม้ ีวัตถุประสงคเ์ พ่ือคัดแยก จัดจาแนกและศึกษาศักยภาพของแบคทีเรียเอนโดไฟต์จากรากมนั
สาปะหลงั วิเคราะหป์ ริมาณแอมโมเนียม ปริมาณฟอสฟอรสั ท่ีเป็นประโยชน์ และความสามารถในการผลิตฮอรโ์ มน
IAA พบว่าในรากของมันสาปะหลังพันธุ์ระยอง 72 สามารถจัดจาแนกแบคทีเรียตรึงไนโตรเจนไดเ้ ป็น Rahnella
aquatilis สว่ นในรากของมนั สาปะหลงั พนั ธหุ์ า้ นาที จดั จาแนกไดเ้ ป็น Raoultella ornithinolytica, Rahnella aquatilis
และ Pseudomonas sp. ซ่งึ Rahnella aquatilis มีปริมาณแอมโมเนียมและผลิตฮอรโ์ มน IAA มากท่ีสดุ มีค่า 0.753
ไมโครกรมั /มิลลิลิตร และ 20.92 ไมโครกรมั /มิลลิลิตร ตามลาดบั และ Pseudomonas sp. มีความเขม้ ขน้ ปริมาณ
ฟอสฟอรสั ท่ีเป็นประโยชนม์ ากท่ีสดุ 16.67 สว่ นต่อลา้ นสว่ น (ppm) ดงั นน้ั แบคทีเรียเอนโดไฟตม์ ีศกั ยภาพท่ีแตกต่าง
กนั ในการใชเ้ ป็นป๋ ยุ ชีวภาพเพ่อื การสง่ เสรมิ การเจรญิ เติบโตของมนั สาปะหลงั
คาสาคญั : มนั สาปะหลงั แบคทเี รยี เอนโดไฟต์ และการสง่ เสริมการเจรญิ เตบิ โตของพชื
Abstract
The objective of this research was to isolate, classify and study potential of endophyte bacteria from
cassava roots. Ammonium and available phosphorus concentration including the ability to produce
hormone IAA were analyzed. The results showed that endophytic nitrogen-fixing bacteria in the Rayong 72
cassava root belonged to Rahnella aquatilis and in the Hanatee cassava root belonged to Raoultella
ornithinolytica, Rahnella aquatilis, and Pseudomonas sp. The highest ammonium and IAA concentration of
Rahnella aquatilis were showed at 0.753 µg/ml and 20.92 µg/ml, respectively. Pseudomonas sp. had the
highest available phosphorus concentration of 16.67 ppm. Therefore, endophytic nitrogen-fixing bacteria
had different potentials for use as biofertilizers to promote cassava growth.
Keywords: Cassava, Endophytic bacteria and Plant growth promoting
*Corresponding author. E-mail address: [email protected]
1ภาควิชาปฐพวี ิทยา คณะเกษตร กาแพงแสน มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน นครปฐม 73140
Department of Soil Science, Faculty of Agriculture at Kamphaeng Saen, Kasetsart University, Kamphaeng Saen Campus, Nakhon
Pathom 73140 Thailand
2ภาควชิ าโรคพชื คณะเกษตร กาแพงแสน มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน นครปฐม 73140
Department of Plant Pathology, Faculty of Agriculture at Kamphaeng Saen, Kasetsart University, Kamphaeng Saen Campus,
Nakhon Pathom 73140 Thailand
1
การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครัง้ ท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564
ประสทิ ธภิ าพของฟิ ลม์ เซลลูโลสผสมไมโครแคปซลู นา้ มันหอมระเหยตอ่ การยับยัง้ เชือ้ รา
Lasiodiplodia theobromae สาเหตุโรคผลเน่าในลองกอง
Efficacy of Cellulose Film Mixed with Microencapsulation of Essential Oils Inhibited Lasiodiplodia
theobromae Causing Fruit Rot of Longkong
จริ าภรณ์ ปักธงไชย1 และวิลาวรรณ์ เชอื้ บญุ 1*
Jiraporn Pakthongchai1 and Wilawan Chuaboon1*
บทคดั ยอ่
ไมโครแคปซูลนา้ มนั หอมระเหยเมล็ดผกั ชลี าวท่ีห่อหมุ้ ดว้ ย gum arabic ความเขม้ ขน้ 10% มีประสิทธิภาพสงู
ในการยบั ยงั้ การเจรญิ ของเชอื้ รา Lasiodiplodia theobromae สาเหตโุ รคผลเนา่ ในลองกอง เม่อื ทดสอบดว้ ยวิธี Paper
disc ท่ีระยะเวลา 24 และ 48 ช่วั โมง มีขนาดโคโลนี เท่ากับ 2.30±1.75 และ 3.87±1.55 เซนติเมตร ตามลาดบั และ
เม่อื นาไมโครแคปซูลนา้ มนั หอมระเหยเมล็ดผกั ชลี าวผสานกบั ฟิลม์ บางเซลลโู ลสพน่ เคลือบผวิ ลองกองความเขม้ ขน้ 10
% ปรมิ าตร 20 มิลลิลติ ร พบว่า สามารถยืดอายกุ ารเกบ็ รกั ษาผลผลิตลองกองไดน้ าน 5 วนั หลงั ทดสอบ ท่อี ณุ หภมู ิหอ้ ง
(28±3 องศาเซลเซียส) โดยชะลอการเปล่ียนแปลงทางสณั ฐานวิทยาของลองกอง เช่น การเกิดสีนา้ ตาลของเปลอื กผล
และหลดุ รว่ งของผลไดด้ กี วา่ เม่อื เทียบกบั ชดุ ควบคมุ
คาสาคัญ: นา้ มนั หอมระเหย, Lasiodiplodia theobromae, ไมโครแคปซลู
Abstract
Ten percent dill seeds essential oil microencapsulated with gum arabic are highly effective in
inhibiting Lasiodiplodia theobromae, a causative agent of fruit rot in longkong with the colony sizes were
2.30±1.75 and 3.87±1.55 cm after tested by paper disc method at 24 and 48 hours, respectively. The 10%
concentration of dill seed essential oil microcapsules were combined with a thin film of cellulose sprayed
coated of longkong, the volume of 20 ml, was found to be able to extend the shelf life of the longkong
products for 5 days after testing at room temperature (28±3 °C). It was better to slow down changes in
longkong morphology such as browning of the bark and fruit shedding compared to the control.
Keywords: Essential oils, Lasiodiplodia theobromae, Microcapsules
*Corresponding author; email address: [email protected]
1 สาขาวชิ าเทคโนโลยกี ารเกษตร คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ศนู ยร์ งั สติ
Department of Agricultural Technology, Faculty of Science and Technology, Thammasat University, Rangsit Center 12120
2
การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ คร้งั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564
ประสิทธภิ าพของกระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสงของพืช Dicliptera tinctoria (Nees) Kostel
ภายใต้ความเครียดจากสภาวะแลง้
Efficiency of photosynthesis in Dicliptera tinctoria (Nees) Kostel under drought stress
ฐิฏิพร พรหมสุวรรณ1,2 ณิชกานต์ สมทรง1,2 พชั รนนั ท์ แกว้ มณี1,2 และ สขุ มุ าภรณ์ แสงงาม1,2*
Thitiporn Pomsuwan1,2, Nitchakarn Somsong1,2, Patcharanan Kaewmanee1,2 and Sukhumaporn Saeng-ngam1,2*
บทคดั ยอ่
งานวิจยั นีม้ ีจดุ ประสงคเ์ พ่ือศกึ ษาความสามารถในการทนแลง้ ประสิทธิภาพของกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ย
แสง ปริมาณรงควัตถุ และปริมาณน้าสัมพัทธ์ของพืช Dicliptera tinctoria (Nees) Kostel พบว่าเม่ือพืชได้รับ
ความเครียดจากสภาวะแลง้ ท่ี 25% FC เป็นระยะเวลา 6 วันแลว้ ทาการใหน้ า้ กับพืชอย่างเพียงพอ (re-watering)
ในช่วงวันท่ี 18 และวันท่ี 21 พบว่ามีค่า Performance index (Pi) เพ่ิมขึน้ เม่ือเทียบกับตน้ พืชในชุดควบคุม อย่างมี
นัยสาคัญทางสถิติ (P<0.05) การสะสมปริมาณคลอโรฟิ ลล์ เอ เพ่ิมขึน้ คิดเป็น 0.45 และ 0.25 เท่า ปริมาณ
คลอโรฟิลล์ บี คดิ เป็น 0.42 และ 0.26 เทา่ ปรมิ าณคลอโรฟิลลร์ วม คดิ เป็น 0.44 และ 0.25 เท่า ปรมิ าณแคโรทีนอยด์
คิดเป็น 0.45 และ 0.18 เท่า ตามลาดบั เม่ือเทียบกับตน้ พืชในชุดควบคมุ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (P<0.05) และ
เม่ือพืชไดร้ บั ความเครียดจากสภาวะแลง้ อีกครงั้ ในวนั ท่ี 24 และ วนั ท่ี 27 พบว่าพืชมีการสะสมปรมิ าณคลอโรฟิ ลล์ เอ
เพิ่มขึน้ 0.20 และ 0.12 เท่า ปรมิ าณคลอโรฟิ ลล์ บี 0.23 และ 0.16 เท่า ปรมิ าณคลอโรฟิ ลลร์ วม 0.21 และ 0.13 เท่า
และแคโรทนี อยด์ 0.26 และ 0.21 เทา่ ตามลาดบั เม่อื เทยี บกบั ชดุ ควบคมุ อย่างมีนยั สาคญั ทางสถติ ิ (P<0.05) และพชื
มีการรกั ษาปรมิ าณนา้ สมั พทั ธไ์ ม่แตกต่างกบั ตน้ พืชในชุดควบคมุ จากผลการทดลองแสดงใหเ้ ห็นว่าพืช D. tinctoria
(Nees) Kostel มีความสามารถในการทนแลง้ ไดด้ ี ดังนั้นจึงสามารถนามาส่งเสริมเพ่ือใช้ในการจัดการระบบการ
เพาะปลกู พชื เพ่อื การเพ่ิมผลผลิตและคณุ ภาพของพืชภายใตค้ วามเครยี ดจากสภาวะแลง้
คาสาคญั : สภาวะแลง้ พชื Dicliptera tinctoria (Nees) Kostel คลอโรฟิลลฟ์ ลอู อเรสเซนซ์ คลอโรฟิลล์ ปรมิ าณนา้ สมั พทั ธ์
Abstract
This research aims to investigate the ability of drought tolerance, efficiency of photosynthesis,
pigment contents and relative water content in Dicliptera tinctoria (Nees) Kostel. The results found that after
plants were treated with drought condition at 25% FC for 6 days and the re-watering phase at day 18 to 21,
the performance index (Pi) increased along the re-watering phase when compared with control. The
accumulation of chlorophyll a were significantly increased 0.45 and 0.25 times, chlorophyll b increased
0.42 and 0.26 times, total chlorophyll increased 0.44 and 0.25 times, carotenoids increased 0.45 and 0.18
times when compared with control, respectively. Then when treated plant with drought stress again at day
24 to 27, the results showed that chlorophyll a content were significantly increased 0.20 and 0.12 times,
chlorophyll b increased 0.23 and 0.16 times, total chlorophyll increased 0.21 and 0.13 times and carotenoids
increased 0.26 and 0.21 times when compared with control, respectively and plants maintained the relative
water content during grown under drought and re-watering phases. These results revealed that D. tinctoria
(Nees) Kostel can tolerate drought stress at the low level of field capacity (25% FC). Therefore, this plant
can promote for the management of crop cultivation systems in order to increase the yield and quality of
crops under drought condition.
*KCeoyrwreosrdpso:nddrinogugahutt,hDoirc;leipmtearial tinctoria (Nees) Kostel, chlorophyll fluorescence, chlorophyll, relative water content
address: [email protected]
1 ภาควชิ าชีววทิ ยา คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
Department of Biology, Faculty of Science, Srinakharinwirot University, Bangkok 10110
2 ศนู ยค์ วามเป็นเลิศดา้ นเทคโนโลยชี ีวภาพสตั ว์ พืช และปรสติ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
Center of Excellence in Animal, Plant and Parasite Biotechnology, Srinakharinwirot University, Bangkok 10110
3
การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ คร้ังที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564
ผลของอุณหภูมติ ่อการตายของชันโรง (Tetragonula pagdeni Schwarz) ในประเทศไทย
Effect of temperature on mortality of stingless bees (Tetragonula pagdeni Schwarz) in Thailand
กัญญาณัติ วงษา1 อรวรรณ ดวงภกั ดี2 และอศั เลข รตั นวรรณี1*
Kanyanat wongsa1, Orawan Duangpakdee2 and Atsalek rattanawanee1*
บทคัดย่อ
การศกึ ษานมี้ ีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือทดสอบความสามารถในการทนทานต่อสภาวะอณุ หภูมสิ งู ของชนั โรงงาน Tetragonula
pagdeni โดยแบ่งการทดสอบออกเป็น 2 ระยะ คือ (1) ความทนทานระยะสนั้ เป็นเวลา 1 ช่วั โมง พบว่าจานวนการตายของชนั
โรงงานท่ีอุณหภูมิ 30, 35, 40 และ 45°C เท่ากับ 2.23 %, 3.37%,11% และ 100% ตามลาดบั และ (2) ความทนทานระยะยาว
เป็นเวลา 7 วนั ผลพบว่าท่อี ณุ หภมู ิ 40°C ชนั โรงงานตายทงั้ หมด 100% ผลการศกึ ษานแี้ สดงใหเ้ ห็นวา่ รงั ชนั โรง T. pagdeniไม่
สามารถทนต่อสภาวะอุณหภูมิสูงเกิน 35 °C ได้ ดังนัน้ หากตอ้ งนารงั ชันโรง T. pagdeni ไปใชเ้ ป็นแมลงผสมเกสรในสภาวะ
ภายในโรงเรือนซ่งึ มกั มอี ณุ หภมู ิสงู ควรมกี ารจดั การดแู ลรงั ชนั โรงอย่างเหมาะสม
คาสาคญั : ชนั โรง Tetragonula pagdeni แมลงผสมเกสร อณุ หภมู วิ กิ ฤติ
ABSTRACT
Thisstudyaimsto determinethermotolerancein shortandlongperiodsof Tetragonula pagdeni workers.In the
short period, percentage of workers mortality were recorded after treated with 30, 35, 40 and 45 °C for 60 minutes. The
results showed percentage of workers mortality 2.23%, 3.37%, 11% and 100%, respectively. In long period, percentages
of workers mortality were examined for 7 days. Percentage of workers mortality was 100% at 40 °C in long period. The
results demonstrated that T. pagdeni workers cannot be able to survive in high environment temperature above 35 °C.
Thus, the use of stingless bee in the tropical countries and inside the greenhouse should have an appropriate
preparations and management strategies.
Key words: Tetragonula pagdeni, Insect pollinator, critical temperature
*Corresponding author; email address: [email protected]
1 ภาควชิ ากฏี วทิ ยา คณะเกษตร มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพมหานคร 10900
Department of Entomology, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, 50 Ngam Wong Wan Rd., Chatuchak, Bangkok 10900
2 อทุ ยานการเรยี นรูเ้ รอ่ื งผึง้ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ ธนบรุ ี วทิ ยาเขตราชบรุ ี จ.ราชบรุ ี 70150
Bee Park, king mongkut's university of technology thonbur,i Ratchaburi Campus, Ratchaburi 70150, Thailand
4
การประชมุ วชิ าการระดับชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564
Analysis of Genetic Controlling Male Sterility in American Marigold
Krisada Sukwiwat1*, Nuttha Potapohn1, Jutamas Kumchai1, and Weenun Bundithya1
Abstract
Male sterility is essential in seed production. In marigold, there have been two types of male sterile,
apetaloid and petaloid flowers. Therefore, male sterility in marigolds was genetically studied to find genes
controlling this trait, whether it was cytoplasmic male sterility (CMS) or genic male sterility (GMS). This study
aimed to analyze two different types of male sterility in American marigolds. Both types of flowers were
crossed with gynomonoecious flowers. Progenies from these crosses were evaluated and backcrossed with
recurrent pollen parents. A Chi-square test was performed. The results indicated that F1 and
gynomonoecious selfing revealed that CMS governed this type of male-sterile in the case of petaloid flowers.
On the other hand, apetalous flowers were governed by GMS as F2, and gynomonoecious self-fertilization
produced the predicted ratio. A recessive gene pair that causes apetalous male sterility has been identified.
Cytoplasmic inheritance, on the other hand, controlled petaloid and gynomonoecious male sterility. These
findings will contribute to the conservation of the male system.
Keywords: Tagetes erecta L., Cytoplasmic male sterility, Genic male sterility, Apetaloid, Petaloid
*Corresponding author; e-mail address: [email protected]
1 Department of Plant and Soil Sciences, Faculty of Agriculture, Chiang Mai University, Chiang Mai 50200, Thailand
5
การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564
ผลของสารบราสสิโนสเตียรอยดม์ มิ กิ (DHECD) ตอ่ ประสทิ ธิภาพการใช้แสงและปริมาณรงควัตถุที่
สาคัญในกระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสงของข้าวไรซเ์ บอรี่ภายใต้ความเครียด
จากสภาวะแล้งระยะส้นั
Effect of brassinosteroid mimic (DHECD) on quantum yield and photosynthetic pigments of
riceberry rice under short-term drought condition
เกศณิ ี ฤทธง์ิ าม1,2 และ สขุ มุ าภรณ์ แสงงาม1,2*
Kesinee Ritngam1,2 and Sukhumaporn Saeng-ngam1,2*
บทคดั ยอ่
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาผลของสาร 7,8-dihydro-8-20-hydroxyecdysone (DHECD) ต่อ
ปริมาณรงควตั ถทุ ่สี าคญั ในกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของขา้ วไรซเ์ บอร่ีภายใตค้ วามเครยี ดจากสภาวะแลง้ ระยะ
สน้ั วางแผนการทดลองแบบสมุ่ สมบรู ณแ์ บง่ ชดุ การทดลองเป็น 2 ชดุ ไดแ้ ก่ขา้ วไรซเ์ บอรใี่ นชดุ ควบคมุ ท่ไี ม่ไดร้ บั การพน่
ดว้ ยสาร DHECD (0M DHECD) และขา้ วไรซเ์ บอร่ีในชุดท่ีไดร้ บั การพ่นดว้ ยสาร DHECD (1M DHECD) ทางใบ
ทาการทดลองชดุ ละ 4 ซา้ ๆ ละ 4 ตน้ ศึกษาสภาวะท่ีพืชไดร้ บั นา้ ปกติในระยะการเจรญิ เติบโตทางลาตน้ ในระยะตน้
ขา้ วแตกกอ และทาการพ่นสาร DHECD ซา้ ครงั้ ท่ี 2 ใหก้ บั ตน้ ขา้ วช่วงระยะการเจรญิ เตบิ โตทางสบื พนั ธุ์ ในระยะกาเนดิ
ช่อดอก ร่วมกบั การจาลองสภาวะแลง้ ใหก้ บั ตน้ ขา้ วและศกึ ษาช่วงระยะเวลาของการฟื้นตวั ของตน้ ขา้ ว เก็บและบนั ทกึ
ผลการทดลองทกุ ๆ 5 วนั พบว่า ตน้ ขา้ วท่ีไดร้ บั การพ่นดว้ ยสาร DHECD มีประสิทธิภาพของการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง
และมกี ารสะสมปรมิ าณคลอโรฟิ ลล์ เอ คลอโรฟิลล์ บี แคโรทนี อยด์ และแอนโธไซยานนิ มากกว่าตน้ ขา้ วในชดุ ควบคมุ
ตน้ ขา้ วไรซเ์ บอร่ีท่ไี ดร้ บั การพ่นดว้ ยสาร DHECD มีความสามารถในการทนต่อความเครยี ดจากสภาวะแลง้ ไดย้ าวนาน
กวา่ ตน้ ขา้ วในชดุ ควบคมุ ดงั นน้ั จากผลการทดลองแสดงใหเ้ ห็นว่า สาร DHECD มบี ทบาทในการช่วยใหต้ น้ ขา้ วไรซเ์ บอ
รีม่ ีความสามารถในการทนแลง้ ระยะสน้ั ในชว่ งของการเจรญิ เติบโตทางสบื พนั ธุใ์ นระยะกาเนดิ ช่อดอกได้
คาสาคญั : บราสสิโนสเตยี รอยด,์ DHECD, ความเครยี ดจากความแลง้ , ขา้ วไรซเ์ บอร่ี
ABSTRACT
The aim of this study was to determine the effect of 7,8-dihydro-8α-20-hydroxyecdysone (DHECD)
on photosynthesis pigments content of riceberry rice under short-term drought condition. Completely
Randomize Design (CRD) with 2 treatments (4 replications) were used that consist of foliar spraying with 0
M DHECD and 1 M DHECD on riceberry rice plants in vegetative stage (tillering stage) and then seconed
spraying with DHECD at reproductive stage (panicle initiation). Plants were exposed to short-term drought
at panicle initiation phase and then re-watering. Data were collected every five days. The results showed
that rice plants were treated with DHECD had high efficiency of photosynthesis, chlorophyll a, chlorophyll
b, carotenoids and anthocyanin content when compared with control plant. Rice berry rice plants were
sprayed with DHECD showed the longer period of the ability of drought tolerant than control plant. Therefore,
the results revealed that DHECD play a role in helping riceberry plant tolerate to short-term drought at
reproductive stage (panicle initiation).
Keywords: Brassinosteroids, DHECD, Drought stress, Riceberry
*Corresponding author; email address: [email protected]
1 ภาควชิ าชวี วิทยา คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
Department of Biology, Faculty of Science, Srinakharinwirot University, Bangkok 10110
2 ศนู ยค์ วามเป็นเลศิ ดา้ นเทคโนโลยชี วี ภาพสตั ว์ พืช และปรสติ มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ กรุงเทพฯ 10110
Center of Excellence in Animal, Plant and Parasite Biotechnology, Srinakharinwirot University, Bangkok, Thailand. 10110
6
การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564
การคัดเลือกเชอื้ แบคทเี รียจากแปลงปลกู ผกั อินทรียท์ มี่ ีคุณสมบตั ิตรึงไนโตรเจน ละลายฟอสเฟต
และโพแทสเซียม และการสร้างฮอรโ์ มน
Screening of Bacteria Isolates from Pesticides-Free Vegetable Fields for Their Efficiencies to Fix
Nitrogen, Solubilize Phosphate and Potassium and to Produce Hormone
เสาวณีย์ ชจู ติ 1*
Saovanee Choojit1*
บทคัดยอ่
งานวจิ ยั นมี้ จี ดุ ประสงคเ์ พ่อื คดั แยกเชือ้ แบคทเี รยี จากตวั อยา่ งดนิ รากและตน้ คะนา้ ผกั กวางตงุ้ และขนึ้ ฉา่ ย ใน
แปลงปลกู ผกั ปลอดสารเคมีกาจดั ศตั รูพืช พืน้ ท่ตี าบลบา้ นคา อาเภอบา้ นคา จงั หวดั ราชบรุ ี และศกึ ษาคณุ ลกั ษณะของ
เชือ้ แบคทีเรียในการตรึงไนโตรเจน การละลายละลายฟอสเฟตและโพแทสเซียม และการสรา้ งฮอรโ์ มน สามารถคัด
แยกไดเ้ ชอื้ แบคทีเรียจานวนทงั้ สิน้ 46 ไอโซเลต โดยพบวา่ เชอื้ แบคทีเรยี 16 ไอโซเลต (34.78%) สามารถตรงึ ไนโตรเจน
(0.48-1.98 ไมโครกรมั ไนโตรเจนต่อช่ัวโมง) พบแบคทีเรีย 5 ไอโซเลต (10.68%) สามารถละลายฟอสฟอรสั (วงใส
ขนาด 0.5-2.2 เซนตเิ มตร) และพบแบคทีเรยี 4 ไอโซเลต (8.70 %) สามารถในละลายโพแทสเซยี ม (วงใสขนาด 0.77-
1.92 เซนติเมตร) ขณะท่ีแบคทีเรีย 14 ไอโซเลต (30.43%) สามารถสรา้ งฮอรโ์ มนออกซิน (ปริมาณ 4.64-29.00
ไมโครกรมั ต่อมิลลิลติ ร) เชือ้ แบคทีเรียไอโซเลตท่ีดีจากการศึกษาในครั้งนสี้ ามารถนาไปคดั เลือกใชใ้ นรูปแบบของกลมุ่
จลุ ินทรียใ์ นการทาผลิตภณั ฑส์ าหรบั ใชเ้ พ่อื สง่ เสรมิ การเจรญิ เติบโตของพืชตอ่ ไป
คาสาคญั : แบคทีเรียส่งเสริมการเจริญเตบิ โตของพืช ตรงึ ไนโตรเจน ละลายฟอสเฟต ฮอรโ์ มนออกซนิ
Abstract
This research aimed to isolate bacteria from samples of soil, root and plant stem of Chinese kale,
cantonese and celery which were randomly collecting from pesticides-free vegetable fields in Ban Kha,
Ratchaburi province. Results revealed that out of 46 bacterial isolated, 16 isolates (34.78%) were able to fix
nitrogen (0.48-2.98 µg N/h). Five bacterial isolates (10.86 %) could solubilize phosphate (clear zone of 0.5-
2.2 cm). While four bacterial isolates ( 8.70 %) were potassium solubilizers (clear zone of 0.5-2.2 cm).
Fourteen bacterial isolates (30.43%) produced Indole-3-acetic acid production (4.64-29.00 µg/ml). The
promising isolates from this study will be selected and prepared as bacteria consortium product used for
promoting plant growth.
Keyword: Plant growth promoting bacteria, Nitrogen fixation, Phosphorus solubilization, potassium solubilization
Corresponding author; E-mail address : [email protected]
1 สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตรท์ ่วั ไป คระวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภฏั หมบู่ า้ นจอมบงึ ราชบรุ ี ประเทศไทย 70150
Department of General Science, Faculty of Science and Technology, Muban Chombueng Rajabhat University, Ratchaburi 70150,
Thailand.
7
การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564
ผลของการเคลือบเมล็ดร่วมกบั Bacillus subtilis ต่อความงอกและการเจริญเติบโต
ของตน้ กลา้ ดาวเรือง
Effect of seed coating with Bacillus subtilis on germination and seedling growth of marigold
อรัญญา สงิ โสภา1 และ จกั รพงษ์ กางโสภา1*
Aranya Singsopa1 and Jakkrapong Kangsopa1
บทคดั ย่อ
เมล็ดดาวเรืองมีลกั ษณะเรียวยาว และมีขนาดเล็ก ทาใหย้ ากต่อการอนบุ าลตน้ กลา้ อีกทงั้ มีความงอกนอ้ ย ไม่
สม่าเสมอ จึงง่ายต่อการเขา้ ทาลายของโรคในระยะตน้ กลา้ จากปัญหาดังกล่าวจึงนาวิธีการเคลือบเมล็ดพันธุร์ ่วมกบั
Bacillus subtilis มาใชเ้ ป็นแนวทางเพ่อื ยกระดบั คณุ ภาพเมล็ดพนั ธุม์ ลู ค่าสงู ใหด้ ี การทดลองนีว้ างแผนการทดลองแบบ
Completely Randomized Design (CRD) จานวน 4 ซา้ จากผลการทดลองพบว่า การเคลือบเมล็ดร่วมกบั B. subtilis
1x106CFU/ml มคี วามงอก และความยาวตน้ สงู มากกว่าและแตกต่างกนั ในทางสถิติเม่ือเปรียบเทียบกบั เมล็ดไม่เคลือบ
เม่ือตรวจสอบในสภาพหอ้ งปฏิบตั ิการ ส่วนการตรวจสอบในสภาพเรือนทดลองพบว่า การเคลือบเมล็ดทุกวิธีไม่ทาให้
การโผลพ่ น้ ดินและความงอกแตกต่างกนั ในทางสถิติเม่ือเปรยี บเทยี บกบั เมล็ดท่ไี มไ่ ดผ้ า่ นการเคลอื บ แต่การเคลอื บเมล็ด
รว่ มกบั B. subtilis 1x106CFU/ml มคี วามยาวตน้ สงู มากกว่าและแตกต่างกบั การเคลือบเมล็ดร่วมกบั B. subtilis 1x107
CFU/ml แต่ไม่พบความแตกต่างกบั กรรมวิธีการอ่ืน ๆ ดงั นน้ั สรุปไดว้ ่าการเคลือบเมล็ดพนั ธุ์ร่วมกับ B. subtillis 1x106
CFU/ml เป็นความเขม้ ขน้ ท่แี นะนาสาหรบั เคลอื บรว่ มกบั เมลด็ พนั ธดุ์ าวเรือง
คาสาคญั : การยกระดบั คณุ ภาพเมลด็ พนั ธุ์ การเคลอื บเมล็ดพนั ธุ์ เมล็ดพนั ธุอ์ ินทรีย์
Abstract
Marigold seeds are long and tiny. Thereby, it is difficult to nurse marigold seedlings. Furthermore,
marigold seedlings have a low germination rate and uniformity. Therefore, it is easy to destroyed the disease
in the seedling stage. From the above-mentioned problems, seed coating with Bacillus subtilis is used to
improve the quality of high-value seeds. The randomized complete block design with four replications was
used as the experimental design. The results show that seeds coated with 1x106 CFU/ml of B. subtilis
showed greater germination and shoot length and were statistically different compared to uncoated seeds
when examined in laboratory conditions. In the experimental house, it was found that all methods of seed
coating did not produce statistically different emergence and germination compared to uncoated seeds.
However, seeds coated with 1x106 CFU/ml of B. subtilis had higher shoot lengths and were different from
seeds coated with 1x107 CFU/ml of B. subtilis Therefore, it can be concluded that coating marigold seeds
with 1x106 CFU/ml of B. subtilis is the most recommended concentration level.
Key word: seed enhancement, seed coating, organic seeds
1 สาขาวิชาพชื ไร่ คณะผลติ กรรมการเกษตร มหาวิทยาลยั แม่โจ้ อาเภอสนั ทราย จงั หวดั เชยี งใหม่ 50290
Division of Agronomy, Faculty of Agricultural Production, Maejo University, Chiang Mai 50290
8
การประชมุ วชิ าการระดับชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564
ผลของอณุ หภมู แิ ละวิธีการเกบ็ รักษาต่อคุณภาพและความมีชีวติ
ของละอองเกสรบัวสายบานกลางคืน
Effect of Temperature and Storage method on Quality and Viability of Lotos Pollen
มนัส อารยี 1์ ณ.นพชยั ชาญศิลป์ 2 ปราโมทย์ พรสรุ ยิ า1
Manut Aree1, N. Nopchai Chansilpa2 Pramote Pornsuriya 1
บทคัดยอ่
การทดลองมีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือศึกษาผลของอุณหภูมิและวิธีการเก็บรกั ษาต่อคณุ ภาพและความมีชีวิตของ
ละอองเกสรบวั สายบานกลางคืน โดยปัจจยั A คือ อณุ หภมู ทิ ่ีเกบ็ รกั ษามี 2 ระดบั คอื 8 (a1) และ -3 (a2) องศาเซลเซียส
ปัจจยั B คือวิธีการเก็บรกั ษามี 3 วิธีการ คือ เก็บรกั ษาในภาชนะปิด (b1) เก็บรกั ษาในภาชนะปิดท่ีใส่ซิลิกา้ ทราย (b2)
และ เก็บรกั ษาในภาชนะปิดท่ีใส่ CaCl2 (b3) โดยการดาเนินการเก็บเป็นระยะเวลา 10, 20, และ 30 วนั วางแผนการ
ทดลอง 2×3 Factorial in CRD ทรที เมนตล์ ะ 4 ซา้ ผลการทดลองพบวา่ ผลของอณุ หภมู ิ 2 ระดบั และวิธีการเก็บรกั ษา
3 วิธีการ มีผลต่อองความมีชีวิตของละอองเกสรและคุณภาพของและละอองเกสรมีความแตกต่างกันทางสถิติ
(P<0.01) ท่ีทุกอายุการเก็บรกั ษา และพบว่าปฏิสมั พันธข์ องอุณหภูมิและวิธีการเก็บรกั ษามีผลต่อความมีชีวิตของ
ละอองเกสรและคุณภาพของและละอองเกสรแตกต่างอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติ (P<0.01) ท่ีทุกอายุการเก็บรกั ษา
เชน่ กนั
คาสาคัญ การเกบ็ รกั ษาละอองเกสร, คณุ ภาพของละอองเกสร, ความมชี วี ิตของละอองเกสร, บวั สายบานกลางคืน
Abstract
The research had the purpose of studying the effect of pollen storage temperature and method on
Lotos pollen quality and viability. Factor A was 2 storage temperatures: at 8 degree Celsius (a1) and at -3
degree Celsius (a2). Factor B was 3 storage methods: stored in a closed vial (b1), stored in a closed vial with
1 g of silica sand (b2) and stored in a closed vial with 1 g of CaCl2 (b3). The storage periods were 10, 20 and
30 days. The experiment was conducted using 2x3 factorial in a completely randomized design with 4
replications. The results revealed that 2 storage temperatures, 3 storage methods and their interactions
were significantly different (P < 0.01) for pollen germination percentage and pollen tube length at all storage
periods. The interactions between theses 2 factor were also significant (P < 0.01) at all storage periods.
Key word: Pollen Storage, Pollen Quality, Pollen Viability, Lotos -
*Corresponding author; [email protected]
1 ภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช คณะเกษตรศาสตรแ์ ละทรพั ยากรธรรมชาติ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลตะวนั ออก จ.ชลบรุ ี 20110
Faculty of Agriculture and Natural Resources, Rajamangala University of Technology Tawan-ok, Chonburi 20110, Thailand
2 สถาบนั บวั ราชมงคลตะวนั ออก มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลตะวนั ออก จ.ชลบรุ ี 20110
Rajamangala Tawan-ok Water lily Institute, Rajamangala University of Technology Tawan-ok, Chonburi 20110, Thailand
9
การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครั้งที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564
ชวี วทิ ยาและการแพร่กระจายของเออื้ งชมพู (Persicaria capitata (Buch.-Ham. ex D.Don) H.Gross
ในพืน้ ทเี่ กษตรที่สูง
Biology and Distribution of Pink-head knotweed (Persicaria capitata (Buch.-Ham. ex D.Don)
H.Gross in Highland agriculture
เอกรัตน์ ธนูทอง1* ธญั ชนก จงรกั ไทย1 อณั ศยา พรมมา1 และ ฉตั รนภา ข่มอาวธุ 2
Akekarat Tanutong1* Tanchanok Jongrukthai1 Ansaya Promma1 and Chatnapa Khomarwut2
บทคดั ยอ่
การศึกษาชีววิทยาและการแพร่กระจายของเอือ้ งชมพใู นพืน้ ท่ีเกษตรท่ีสงู ของประเทศไทย ทาการทดลองระหว่าง
เดือนตลุ าคม 2560 ถึง กันยายน 2562 จากการสารวจพบเอือ้ งชมพบู ริเวณพืน้ ท่ีทาการศนู ยพ์ ฒั นาโครงการหลวงขนุ
วาง จงั หวดั เชยี งใหม่ การศกึ ษาชวี วทิ ยา พบวา่ เออื้ งชมพมู เี มล็ดสีนา้ ตาลถึงนา้ ตาลดา ทรงรูปไข่แคบ ดา้ นขา้ งเป็นสนั
สามเหลี่ยม ผิวเรียบเป็นมนั เงาวาวเล็กนอ้ ย มีเปอรเ์ ซ็นตค์ วามงอกในเรือนทดลอง 44 เปอรเ์ ซ็นต์ หลงั จากตดั ชามีการ
เจรญิ เติบโตอย่างรวดเรว็ เร่มิ ออกดอกและสรา้ งเมลด็ ท่รี ะยะ 2 เดือนหลงั ตดั ชา ใชเ้ วลาพฒั นาจากดอกตมู ถึงดอกบาน
9-10 วนั และเมลด็ สกุ แก่ท่รี ะยะ 3-5 วนั หลงั ดอกบาน เออื้ งชมพสู ามารถเจรญิ เติบโตไดอ้ ย่างอสิ ระในเดือนท่ี 1-5 หลงั
ตดั ชา เม่ือเขา้ สเู่ ดือนท่ี 6 จึงเร่มิ เกิดการแข่งขนั และมีศกั ยภาพในการผลติ เมล็ดลดลงตามจานวนตน้ ท่เี พ่ิมขนึ้ ในพนื้ ท่ี
ปลกู ท่ีเท่ากนั โดยกรรมวิธี 1, 3 และ 5 ตน้ ต่อตารางเมตร ผลิตเมล็ดได้ 4,911 9,860 และ 13,991 เมล็ดต่อตน้ ตามลาดบั
ส่วนการศึกษาคณุ สมบตั ิทางอลั ลิโลพาธิเบือ้ งตน้ พบว่า ใบแหง้ 0.5 กรมั สามารถยบั ยงั้ การเจริญเติบโตของรากและ
ลาตน้ ไมยราบยกั ษไ์ ด้ 90.4 และ 46.2 เปอรเ์ ซ็นต์ ตามลาดบั
คาสาคญั : อลั ลิโลพาธิ ชวี วิทยาและการแพรก่ ระจาย เออื้ งชมพู
ABSTRACT
Study biology and distribution of Pink-head knotweed (Persicaria capitata (Buch.-Ham. ex D.Don)
H.Gross) in Highland agriculture was conducted during October 2017 – September 2019. Survey in highland
agriculture areas and other ecosystem found Pink-head knotweed in Khun Wang Royal Project Development
Center Chiang Mai province. The results showed that seed of Pink-head knotweed are brown to dark brown,
achene, narrow ovoid shape triangular, surface smooth and glossy. The germination test in net house has
44 %. The plant can fast grow. The first flowering and seed setting was seen 2 months after cutting, and
develop from flower bud to blooming 9-10 days, and seed maturing begins 3-5 days after flowering. The
plant can growth independently at 1-5 months and competition in 6 months after cutting. The plant can
produce seeds 4,911 9,860 and 13,991 seed/plant in treatment 1, 3 and 5 plant /m2 respectively. In case of
allelopathic effect of Pink-head knotweed on Mimosa pigra L. grown in the laboratory test. The dry leaves
0.5 g had inhibited root and shoot 90.4 % and 46.2 %, respectively.
Key Words: allelopathy, biology and distribution, Persicaria capitata
*Corresponding author; e-mail address: [email protected]
1 กลมุ่ วิจยั วชั พชื สานกั วจิ ยั พฒั นาการอารกั ขาพืช กรมวชิ าการเกษตร กรุงเทพฯ 50 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตจุ กั ร กรุงเทพฯ 10900
Weed Science Group Plant, Plant Protection Research and Development office, Department of Agriculture, 50 Phaholyothin Road,
Ladyao, Chatuchak, Bangkok 10900
2 ศนู ยว์ ิจยั เกษตรหลวงเชียงใหม่ สถาบนั วิจยั พืชสวน กรมวิชาการเกษตร 313 หมู่ 12 ต. หนองควาย อ. หางดง จ. เชียงใหม่ 50230
Chiang Mai Royal Agricultural Research Center, Horticulture Research Institute, Department of Agriculture, 313 Village No.12 Nong
Khwai Sub-district, Hang Dong District, Chiang Mai Province 50230
10
การประชมุ วชิ าการระดับชาติ ครั้งท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564
การประเมนิ ความต้านทานของข้าวโพดเลยี้ งสัตวต์ ่อการเขา้ ทาลายของหนอนเจาะลาตน้ ข้าวโพด
(Ostrinia furnacalis Guenee) และหนอนกระทขู้ า้ วโพดลายจดุ (Spodoptera frugiperda J.E.Smith)
Evaluation of resistance on Maize lines to Asian Corn Borer (Ostrinia furnacalis Guenee)
and Fall Armyworm (Spodoptera frugiperda J.E.Smith)
สมคดิ พนั ธด์ ี1 ศวิ ไิ ล ลาภบรรจบ1 สรุ พิ ฒั น์ ไทยเทศ2 วรกานต์ ยอดชมภ3ู พยดุ า จนั ทรเ์ กือ้ 1
Somkid Pandee1, Siwilai Lapbanjob1, Suriphat Thaitad2, Worakarn Yodchompoo3, Payuda Jankuea1
บทคดั ยอ่
หนอนเจาะลาตน้ ขา้ วโพดและหนอนกระทูข้ า้ วโพดลายจุดเป็นแมลงศตั รูสาคญั ของขา้ วโพดเลีย้ งสตั ว์ เขา้
ทาลายตงั้ แตร่ ะยะกลา้ จนถงึ ระยะตดิ ฝัก งานวิจยั นมี้ ีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่อื จาแนกพนั ธกุ รรมความตา้ นทานในขา้ วโพดเลีย้ ง
สตั ว์ จานวน 112 สายพนั ธุ/์ พนั ธุ์ ต่อหนอนเจาะลาตน้ ขา้ วโพด ในสภาพเรือนทดลองและสภาพไร่ และจาแนกความ
ตา้ นทานในขา้ วโพดเลีย้ งสตั ว์ จานวน 20 พนั ธุ์ ต่อหนอนกระทขู้ า้ วโพดลายจดุ ในสภาพไร่ ผลการทดลองพบว่าพันธุ์
ขา้ วโพดเลีย้ งสัตวต์ า้ นทาน 1 สายพันธุ์ ตา้ นทานปานกลาง 81 สายพันธุ์/พันธุ์ และอ่อนแอ 30 สายพันธุ์/พันธุ์ ต่อ
หนอนเจาะลาตน้ ขา้ วโพด การระบาดในสภาพไรพ่ บรูทาลายเฉล่ยี 0.27 รูทาลายต่อตน้ ส่วนหนอนกระทขู้ า้ วโพดลาย
จดุ พบการทาลายตงั้ แต่หลงั ขา้ วโพดงอก 7 วนั มรี ะดบั ความเสยี หายทางใบสงู สดุ เม่อื ขา้ วโพดอายุ 28 วนั และลดลงใน
ระยะถดั มา ความเสยี หายฝักขา้ วโพดเลีย้ งสตั ว์ 20 พนั ธุ์ จดั อย่ใู นระดบั ตา้ นทาน
คาสาคัญ : ขา้ วโพดเลยี้ งสตั ว,์ หนอนเจาะลาตน้ ขา้ วโพด, หนอนกระทขู้ า้ วโพดลายจดุ , การประเมินความตา้ นทาน
Abstract
Asian corn borer (ACB) and Fall armyworm (FAW) are considered serious insect pests of maize.
They can attack the maize in the early stage until ear formation. The objective of this study was to identify
the maize for resistance to ACB in 112 lines/varieties in the greenhouse and field infestations and FAW in
20 varieties in the field infestation. The results showed that those maize lines were identified as 1 line for
resistance, 81 lines for an intermediate resistance, and 30 lines susceptible to ACB under artificial
infestation. On the other hand, maize was damaged 0.27 holes/plants under natural infestation in the field.
Foliar damage caused by FAW under natural infestation was observed at 7 days after planting. The
maximum degree of leaf damage was found 28 days after planting. According to ear damage evaluation,
20 varieties were identified as resistant.
Keyword Maize, Asian Corn Borer, Fall Armyworm, Screening for insect resistance
E-mail address: [email protected]
1 ศนู ยว์ ิจยั พืชไรน่ ครสวรรค์ สถาบนั วิจยั พืชไรแ่ ละพชื ทดแทนพลงั งาน กรมวชิ าการเกษตร
2 สถาบนั วิจยั พืชไรแ่ ละพชื ทดแทนพลงั งาน กรมวิชาการเกษตร
3 ศนู ยว์ ิจยั พชื ไรเ่ ชยี งใหม่ สถาบนั วจิ ยั พชื ไรแ่ ละพชื ทดแทนพลงั งาน กรมวิชาการเกษตร
11
การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครัง้ ท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564
ปรมิ าณสารออกฤทธ์ไิ ดเทอปี นแลคโตน 4 ชนิด ในใบและลาต้นของฟ้าทะลายโจร
ทเี่ กบ็ เกย่ี วในชว่ งอายุการเจรญิ เตบิ โตแตกตา่ งกัน
The contents of four bioactive diterpene lactones in leaves and stems of
Andrographis paniculata (Burm.f.) Nees harvested at different stages of maturity
พรศริ ิ เลีย้ งสกลุ 1 สมนึก พรมแดง2 และ อนรุ กั ษ์ อรญั ญนาค1
Ponsiri Liangsakul1, Somnuk Promdang2 and Anuruck Arunyanark1
บทคัดย่อ
สรรพคณุ ในการรกั ษาโรคของฟ้าทะลายโจรมีความเกี่ยวขอ้ งกับสารสาคญั กล่มุ ไดเทอปีนแลคโตน 4 ชนิด
ไดแ้ ก่ แอนโดรกราโฟไลด์ (AP1) ดิออกซีไดดีไฮโดรแอนโดรกราโฟไลด์ (AP3) นีโอแอนโดรกราโฟไลด์ (AP4) และ ดิ
ออกซีแอนโดรกราโฟไลด์ (AP6) งานวิจยั นีจ้ ึงมีวัตถุประสงคเ์ พ่ือศึกษาปริมาณสารออกฤทธิ์ไดเทอปีนแลคโตนทงั้ 4
ชนิด ในใบและลาตน้ ของฟ้าทะลายโจรท่ีเก็บเกี่ยวในช่วงอายุการเจริญเติบโตต่างกนั ผลการทดลอง พบว่า ปรมิ าณ
สาร AP1 AP3 AP4 และ AP6 ในสมุนไพรชนิดนีม้ ีค่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ เม่ือเก็บเกี่ยวท่ีช่วงอายุ
ต่างกนั โดยท่ีสารสาคญั หลกั ในใบ คือ AP1 และ AP4 ซ่งึ พบในปริมาณสงู ท่ีสดุ ในช่วงเมล็ดสกุ แก่ (166 วนั ) ส่วนสาร
ไดเทอปีนแลคโตนอีก 2 ชนิด คือ AP3 และ AP6 พบในปริมาณนอ้ ยท่ที กุ ชว่ งอายกุ ารเจรญิ เติบโต สาหรบั ในลาตน้ นน้ั
พบสาร AP1 AP4 และ AP6 ในปรมิ าณนอ้ ยกวา่ ในใบ งานวจิ ยั นยี้ งั พบวา่ เมทานอลสามารถสกดั สารสาคญั เหลา่ นจี้ าก
ตวั อยา่ งใบไดด้ ีท่ีสดุ เม่อื เทยี บกบั เอทานอลและนา้
คาสาคัญ : ฟ้าทะลายโจร แอนโดรกราโฟไลด์ ไดเทอปีนแลคโตน
Abstract
The therapeutic activities of Andrographis paniculata are related to four principal active diterpene
lactones: Andrographolide (AP1), 14-Deoxy-11,12-didehydroandrographolide (AP3), Neo
andrographolide (AP4) and 14-Deoxyandrographolide (AP6). The objective of this research was to
determine the content of these four bioactive diterpene lactones in Andrographis paniculata leaves and
stems harvested at various maturity stages. The findings demonstrated that the contents of AP1, AP3, AP4
and AP6 in this medicinal plant showed statistically significant changes when collected at different maturity
stages. The main constituents in the leaves sample are AP1 and AP4, which were detected in the highest
concentrations at the mature-seed stage (166 days). The other two diterpene lactones, AP3 and AP6, were
discovered in low amounts at all maturity stages. In the stem, the concentrations of AP1, AP4, and AP6 were
lower than in the leaves. This study also found that methanol was the most effective at removing these
compounds from leaf samples when compared to ethanol and water.
Keyword : Andrographis paniculata, Andrographolide, diterpene lactones
E-mail address : [email protected]
1 ภาควชิ าพืชไรน่ า คณะเกษตร กาแพงแสน มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน อ.กาแพงแสน จ.นครปฐม 73140
Department of Agronomy, Faculty of Agriculture at Kamphaeng Sean, Kasetsart University, Nakhon pathom, 73140
2 ศนู ยป์ ฏิบตั ิการวจิ ยั และเรือนปลกู พชื ทดลอง คณะเกษตร กาแพงแสน มหาวยิ าลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน จ.นครปฐม 73140
Central Laboratory and Greenhouse Complex, Faculty of Agriculture at Kamphaeng Sean, Kasetsart University, Nakhon
pathom, 73140
12
การประชุมวิชาการระดับชาติ คร้งั ที่ 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564
ฟี นอลิกรวมและฤทธ์ติ า้ นอนุมูลอิสระของสว่ นสกดั จากต้นหนามพุงดอในเขตจงั หวดั ขอนแก่น
TOTAL PHENOLIC AND ANTIOXIDANT ACTIVITY OF EXTRACTS FROM
Azima sarmentosa (Blume) Benth & Hook. f. IN KHONKAEN PROVINCE
จฑุ าทพิ ย์ ภมู บิ ้านคอ้ 1 กลั ยา กองเงนิ 1*
Jutatip Poombarnkor1, Kanlaya kongngern1*
บทคัดย่อ
หนามพุงดอ เป็นพืชเด่นในพืน้ ท่ดี ินเค็มจดั ท่ีมีกลไกในการปรบั ตวั ท่ีช่วยใหพ้ ืชนน้ั สามารถเจรญิ เติบโตและอยู่
รอดไดด้ ีเม่ือเทียบกับพืชชอบเกลือชนิดอ่ืนๆ งานวิจยั นีไ้ ดศ้ กึ ษาสารพฤกษเคมีในส่วนของรากและใบจากตน้ หนาม
พงุ ดอท่ีเก็บจากพืน้ ท่ใี นเขต 4 ตาบล ของจงั หวดั ขอนแก่น ช่วงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2562 และพบว่าค่าความเคม็ ใน
ดิน และค่าความเป็นกรด-ด่างในดิน ในเขตตาบลบา้ นหวา้ และตาบลบา้ นท่มุ มีค่าเฉลี่ยเท่ากบั 2.08 และ 2.09 เดซิซี
เมนสต์ ่อเมตร และมีค่าความเป็นกรด-ด่างในดิน 7.17, 8.42 ตามลาดบั โดยมีค่าสงู กว่าพืน้ ท่ีศึกษาอ่ืนๆ และแตกต่าง
อย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติ เม่ือเทียบกับอีกสองพืน้ ท่ี และพบว่าสว่ นสกดั จากใบตน้ ของหนามพงุ ดอจากตาบลบา้ นทมุ่
ท่ีสกดั ดว้ ยเอทานอล 100 เปอรเ์ ซ็นต์ มีปรมิ าณฟีนอลกิ รวม และมคี ่ารอ้ ยละในการตา้ นอนมุ ลู อิสระ มคี า่ สงู กวา่ ในราก
และแตกต่างอย่างนยั สาคญั ทางสถิติเม่ือเทียบกบั ส่วนสกดั ท่ีสกัดดว้ ยนา้ เอทานอลและเมทานอล ความเขม้ ขน้ อ่ืนๆ
โดยปรมิ าณฟีนอลิกรวมในใบมีค่าเท่ากบั 7.02 มิลลกิ รมั สมมลู แกลลิคตอ่ กรมั และมีคา่ รอ้ ยละในการตา้ นอนุมลู อิสระ
มีค่าเท่ากบั 83.50 ผลจากการศกึ ษาบ่งชีไ้ ดว้ ่า หนามพุงดอ เป็นพืชท่ีมีค่ารอ้ ยละในการตา้ นอนมุ ลู อสิ ระในปรมิ าณสงู
หนามพงุ ดอจงึ อาจเป็นพืชทางเลือกใหม่ท่นี าไปใชส้ กดั สารออกฤทธิท์ ่มี คี ณุ สมบตั สิ ง่ เสรมิ สขุ ภาพได้
คาสาคัญ: หนามพงุ ดอ พชื ชอบเกลอื ฟี นอลกิ รวม สารตา้ นอนมุ ลู อสิ ระ
ABSTRACT
Azima sarmentosa ( Blume) Benth. & Hook. f. is a dominant plant in the highly saline soil.
and has adaptive mechanism that contribute to its growth and survival in comparison to other halophyte
species. The samples were collected from 4 district in Khon Kaen province during July, 2019. The results
shown that soil salinity in Ban Wa district and Ban Tum district had an average of 2.08 and 2.09 (ds/M) and
pH of soil were 7.17, 8.42 higher than as compared with another district had significant difference (P<0.05).
The roots and leaves collected from Ban Tum district were extracted with water, 50 and 100 percent ethanol,
50 and 100 percent methanol and phenolic compounds and antioxidant activity were measured using the
DPPH (1,1-diphenyl-2-picrylhydrazyl) radical scavenging activity assay method. The extract from the leaves
extracted with 100 percent ethanol had the highest total phenolic content of 16.61 mg GAE/g and the highest
percentage of radical scavenging is 83.50 as compared with another area, respectively. The results
indicated that A. sarmentosa is a plant that accumulates high amounts of antioxidant can be used as an
alternative medicinal plant for heath products.
Keyword: Azima sarmentosa, Halophyte, Total Phenolic, Antioxidant
*Corresponding Author; email address: [email protected]
1 สาขาชวี วทิ ยา คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ จงั หวดั ขอนแกน่ 40002
Department of Biology, Faculty of Science, Khon Kaen University, Khon Kaen 40002, Thailand
13
การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครงั้ ที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564
การปรับปรุงพันธุถ์ ่วั เขยี วชยั นาท 84-1 ให้มคี วามต้านทานต่อด้วงเจาะเมลด็ ถ่ัวและ
โรคใบจดุ สีน้าตาล โดยใช้เคร่อื งหมายดเี อน็ เอชว่ ยคัดเลือกในการผสมกลับ
Improving Resistance to Bruchids and Cercospora Leaf Spot Disease in Mungbean Cultivar “Chai
Nat 84-1” by Marker-Assisted Backcross Selection
กชกร พิมพส์ ายทอง1 อรอมุ า ตนะดลุ ย1์ และ ประกจิ สมทา่ 1*
Kotchakon Pimsaytong1, Orn-u-ma Tanadul1 and Prakit Somta1*
บทคดั ย่อ
ปัญหาท่ีสาคัญในการผลิตถ่ัวเขียว (Vigna radiata) ผลผลิตต่า คือ โรคใบจุดสีนา้ ตาล (Cercospora leaf
spot) ท่ี เ กิ ด จ า ก เ ชื้ อ ร า Cercospora canescens แ ล ะ ก า ร เ ข้ า ท า ล า ย ข อ ง ด้ ว ง ถ่ั ว เ ห ลื อ ง
(Callosobruchus chinensis) และดว้ งถ่ัวเขียว (Callosobruchus maculatus) พันธุ์ถ่ัวเขียวของไทยทกุ พนั ธุ์อ่อนแอ
ต่อโรค และแมลงเหลา่ นี้ วตั ถปุ ระสงคข์ องงานวิจยั นี้ คือ เพ่ือปรบั ปรุงพนั ธุถ์ ่วั เขียว “ชยั นาท 84-1” ใหต้ า้ นทานต่อโรค
ใบจดุ สีนา้ ตาล และดว้ งถ่วั โดยใชเ้ คร่ืองหมายดีเอ็นเอช่วยในการคดั เลือก ดาเนินการโดยถ่ายทอดยีน VrTAF5 ซ่งึ ให้
ความตา้ นทานต่อโรคใบจดุ สนี า้ ตาลจากถ่วั เขียวพนั ธุ์ V4718 และยีน VrPGIP2 ซ่งึ ใหค้ วามตา้ นทานต่อดว้ งถ่วั จากถ่ัว
เขยี วพนั ธุ์ V2802 ไปยงั พนั ธชุ์ ยั นาท 84-1 ดว้ ยวธิ ีการผสมกลบั จานวน 4 ครงั้ ในแต่ละครงั้ คดั เลอื กตน้ ท่มี ยี นี ท่ตี อ้ งการ
ดว้ ยการวิเคราะหเ์ ครือ่ งหมาย VrTAF5_Indel และ DMB-SSR158 ท่จี าเพาะต่อยีน VrTAF5 และ VrPGIP2 ตามลาดบั
จากน้ันทาการรวมยีนทัง้ สองเข้าดว้ ยกัน โดยการผสมพันธุ์ระหว่างสายพันธุ์ BC4F1 ท่ีมียีน VrTAF5 กับสายพันธุ์
BC4F1 ท่ีมียีน VrPGIP2 จากการคัดเลือกประชากรลกู ผสม พบว่า มีตน้ ท่ีมีทงั้ ยีน VrTAF5 และ VrPGIP2 อยู่ดว้ ยกัน
จานวน 23 ตน้ จากนนั้ ปล่อยใหแ้ ต่ละตน้ ผสมตวั เองเพ่ือสรา้ งประชากร F2 แลว้ ปลกู ทดสอบความตา้ นทานต่อโรคใบ
จุด จานวน 2,052 ต้น พบว่า มีต้นท่ีต้านทานต่อโรคจานวน 917 ต้น และเม่ือนาตน้ ตา้ นทานไปคัดเลือกต่อดว้ ย
เคร่ืองหมายดีเอ็นเอ พบว่า มีตน้ ท่ีมีทงั้ ยีน VrTAF5 และ VrPGIP2 อย่ใู นสภาพโฮโมไซกัส จานวน 40 ตน้ และเม่ือนา
เมล็ด F2:3 ของสายพนั ธุเ์ หลา่ นไี้ ปประเมินความตา้ นทานต่อดว้ งถ่วั พบว่า 28 สายพนั ธุต์ า้ นทานต่อดว้ งถ่วั ในระดบั สงู
และเม่อื ปลกู ยืนยนั ความความตา้ นทานต่อโรคใบจดุ พบว่า ทงั้ 28 สายพนั ธุม์ คี วามตา้ นทานโรคใบจดุ สนี า้ ตาล และมี
ลกั ษณะทางการเกษตรท่ใี กลเ้ คียงกบั พนั ธชุ์ ยั นาท 84-1 สายพนั ธุใ์ หมท่ ่พี ฒั นาขนึ้ มีศกั ยภาพใชเ้ ป็นพนั ธุใ์ หม่
คาสาคญั : ถ่วั เขยี ว, Vigna radiata, โรคใบจดุ สนี า้ ตาล, ดว้ งเจาะเมล็ดถ่วั ,เคร่ืองหมายโมเลกลุ
1 ภาควชิ าพืชไรน่ า คณะเกษตร กาแพงแสน มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน นครปฐม 73140
Department of Agronomy, Faculty of Agriculture at Kamphaeng Saen, Kasetsart University, Kamphaeng Saen Campus,
Nakhon Pathom 73140, Thailand.
14
การประชุมวิชาการระดับชาติ คร้ังที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564
การทดสอบความทนทานต่อสภาพอากาศร้อนของถ่วั เขียว 133 สายพันธุ์
Screening of 133 Mungbean (Vigna radiata) Genotypes for Heat Tolerance
ปราโมทย์ ศรีธูป1 กหุ ลาบ เหล่าสาธิต1 ประกจิ สมท่า1 ชเนษฎ์ มา้ ลาพอง1 และ กนกวรรณ เทย่ี งธรรม1*
Pramote Sritoop1, Kularb Laosatit1, Prakit Somta1, Chanate Malumpong1 and Kanokwan Teingtham1*
บทคดั ยอ่
ถ่วั เขียวเป็นพชื ไรท่ ่ีมคี วามสาคญั ทางเศรษฐกจิ ของโลกและประเทศไทย และอาจไดร้ บั ผลกระทบจากสภาวะ
โลกรอ้ นต่อพฒั นาการเจรญิ เติบโตและผลผลติ เหมือนพชื อ่ืนๆ หลายชนิด งานวิจยั นีจ้ ึงมีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือศกึ ษาความ
ทนทานตอ่ สภาพอากาศรอ้ นของถ่วั เขียว 133 สายพนั ธุ์ โดยวางแผนการทดลองแบบ Randomized Complete Block
Design จานวน 2 ซา้ แบง่ เป็น 2 การทดลอง ไดแ้ ก่ การทดลองภายใตอ้ ณุ หภมู ิปลกู ปกติ และอณุ หภมู สิ งู 40 oC/25°C
ในเวลากลางวนั /กลางคืน เก็บขอ้ มลู วนั ดอกแรกบาน และองคป์ ระกอบผลผลิต ไดแ้ ก่ จานวนฝักต่อตน้ จานวนเมล็ด
ต่อฝัก นา้ หนกั ฝักแหง้ ต่อตน้ และนา้ หนกั 100 เมล็ด และประเมินค่าดชั นีความทนทานต่อสภาพอณุ หภูมิสงู (Stress
Tolerance Index, STI) และดชั นีความอ่อนแอต่อสภาพอณุ หภูมิสงู (Stress Susceptibility Index, SSI) จากนา้ หนกั
ฝักแหง้ ต่อตน้ จากผลการทดลองพบว่า ถ่วั เขียวท่ีปลกู ภายใตอ้ ุณหภูมิปกติมีวนั ดอกแรกบาน และองคป์ ระกอบของ
ผลผลิตแตกตา่ งจากถ่วั เขยี วท่ปี ลกู ภายใตอ้ ณุ หภูมสิ งู โดยถ่วั เขยี วท่ปี ลกู ภายใตอ้ ณุ หภมู ิปกติเทยี บกบั อณุ หภมู ิสงู มีวนั
ดอกแรกบานเฉลี่ย 41.98 กับ 40.65 วนั จานวนฝักต่อตน้ เฉล่ีย 20.02 กบั 15.49 ฝัก จานวนเมล็ดต่อฝักเฉล่ีย 9.55
กับ 8.84 เมล็ด นา้ หนักฝักแหง้ ต่อตน้ เฉลี่ย 8.54 กับ 6.46 กรมั และ นา้ หนัก 100 เมล็ดเฉล่ีย 4.00 กับ 4.34 กรมั
ตามลาดบั โดยถ่วั เขียว 77 สายพนั ธุม์ ีค่าดชั นีความทนทานต่อสภาพอณุ หภูมิสงู มากกว่าพนั ธุช์ ยั นาท 84-1 และ 44
สายพนั ธุ์มีดัชนีความอ่อนแอต่อสภาพอุณหภูมิสูงมากกว่าพันธุช์ ัยนาท 84-1 โดยถ่ัวเขียวพนั ธุ์ V2621 มีค่า STI สงู
ท่ีสุด มีนา้ หนักฝักแหง้ ภายใตอ้ ุณหภูมิปกติและอุณหภมู ิสูง 19.31 และ 11.62 กรมั ต่อตน้ ตามลาดับ ในขณะท่ีพนั ธุ์
ชยั นาท 84-1 มีนา้ หนกั ฝักแหง้ ภายใตอ้ ุณหภมู ิปกติและอุณหภูมิสงู 8.54 และ 5.39 กรมั ต่อตน้ ตามลาดบั สายพนั ธุท์ ่ี
แสดงความทนรอ้ นจากการทดสอบครงั้ นีอ้ าจใชเ้ ป็นแหลง่ พนั ธุกรรมในการปรบั ปรุงพนั ธถุ์ ่วั เขยี วทนรอ้ นตอ่ ไปได้
คาสาคัญ: ถ่วั เขยี ว อณุ หภมู ิสงู องคป์ ระกอบของผลผลิต ดชั นคี วามทนทานต่อสภาพอณุ หภมู สิ งู ดชั นคี วามอ่อนแอต่อสภาพอณุ หภมู สิ งู
1 ภาควชิ าพืชไรน่ า คณะเกษตร กาแพงแสน มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน นครปฐม 73140
Department of Agronomy, Faculty of Agriculture at Kamphaeng Saen, Kasetsart University, Kamphaeng Saen Campus, Nakhon
Pathom 73140
15
การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครัง้ ที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564
การเปรียบเทยี บวธิ กี ารให้ป๋ ุยแก่มะพร้าวน้าหอมทปี่ ลกู ในพืน้ ทจี่ ังหวัดราชบรุ ี
Comparison on different application of fertilizer for Nam Hom Coconut grown in
Ratchaburi Province
ปยดุ า สลับศรี1 , วไิ ลวรรณ ทวิชศรี2 , ลาวณั ย์ จนั ทรอ์ มั พร 2และสราวฒุ ิ ปานทน3
Payuda Salabsee1,WilaiwanTwishsri2, LawanChanumporn2and Sarawuth Panthon3
บทคัดยอ่
การทดลองนีเ้ พ่ือเปรียบเทียบวิธีการใหป้ ๋ ุยแก่มะพรา้ วนา้ หอมท่ีปลูกในพืน้ ท่ีจังหวัดราชบุรีดาเนินการท่ี
ศนู ยว์ จิ ยั และพฒั นาการเกษตรราชบรุ ี แปลงทดลองไม่เคยไดร้ บั การใสป่ ๋ ยุ เคมีมากอ่ นพืน้ ท่ขี ดุ รอ่ งสวนแต่ไม่มีนา้ ในรอ่ ง
วางแผนการทดลองแบบ RCBD มี 4 กรรมวิธี 5 ซ้า (T1) วิธีเกษตรกรใส่ป๋ ุยสูตร 16-16-16 อัตรา 1 กก./ต้น/ปี
(T2) ใสป่ ๋ ยุ ตามคาแนะนาของกรมวชิ าการเกษตร สตู ร 13-13-21 อตั รา 4 กก. /ตน้ /ปี (T3) ใสป่ ๋ ยุ ตามค่าวิเคราะหด์ ินไปใน
ระบบนา้ ใชแ้ ม่ป๋ ุยสูตร 21-0-0 ปริมาณ 1.51 กก./ตน้ /ปี สูตร 18-46-0 ปริมาณ 1.13 กก. /ตน้ /ปี และสูตร 0-0-60
ปรมิ าณ 1.40 กก./ตน้ /ปี (T4) ใสป่ ๋ ยุ ตามค่าวิเคราะหด์ นิ อตั ราเดียวกบั T3 โดยหว่านป๋ ยุ ตามปกติ ทกุ กรรมวธิ ีใสร่ ว่ มกบั
ป๋ ยุ คอก 20 กก./ตน้ /ปี เก็บผลผลติ มะพรา้ วผลอ่อนอายุ 7 เดอื น พบว่า T3 ใหจ้ านวนผลผลิตสงู สดุ 227 ผล/ตน้ /ปี หรือ
8,418 ผล/ไร/่ ปี ตน้ ทุนการผลิตต่าท่สี ดุ 15,265.91 บาท/ไร/่ ปี มีผลตอบแทนมากท่ีสดุ 52,079.32 บาท/ไร/่ ปี ในขณะ
ท่ี T4 T2 และT1 ได้ 46,681.48 40,597.88 และ 40,434.14 บาท/ไร่/ปี ตามลาดับ คณุ ภาพของผลผลิต ขนาดของผล
ของมะพรา้ ว นา้ หนักของนา้ มะพรา้ วและTSS ของทัง้ 4 กรรมวิธี ไม่มีความแตกต่างทางสถิติ ส่วนนา้ หนักของผล
มะพรา้ ว T3 และ T4 ไม่แตกต่างกันทางสถิติ โดยมีนา้ หนกั 1.39 กก./ผล และ 1.32 กก./ผล ตามลาดับ แต่แตกต่าง
จากกรรมวิธีท่ี 1 และ 2 ซ่ึงมีนา้ หนกั ผลรองลงมา 1.22 กก./ผล และ 1.17 กก./ผล สรุปไดว้ ่า กรรมวิธีใส่ป๋ ยุ ตามค่า
วเิ คราะหด์ ินพรอ้ มระบบนา้ ใหผ้ ลตอบแทนสงู ท่ีสดุ คือ 52,079.32 บาท/ไร/่ ปี
คาสาคญั : มะพรา้ วนา้ หอม ป๋ ยุ ในระบบนา้ ราชบรุ ี
1 ศนู ยว์ ิจยั และพฒั นาการเกษตรราชบรุ ี กรมวิชาการเกษตร
Ratchaburi Agriculture Research and Development Office of Agriculture Department of Agriculture
2 สถาบนั พืชสวน กรมวชิ าการเกษตร
Horticulture Research Insitute Department of Agriculture
3ศนู ยว์ จิ ยั เกษตรวิศวกรรมสรุ าษฎรธ์ านี กรมวชิ าการเกษตร
Agricultural Engineering Research Insitute Department of Agriculture
16
การประชมุ วิชาการระดับชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564
การจาแนกพนั ธุเ์ มลด็ ข้าวไทยดว้ ยโครงขา่ ยประสาทเทยี มแบบคอนโวลชู นั
Thai Rice Seed Variety Classification by Convolutional Neural Networks
ณภัทร กาญจนา1 รญั ชน์ นาคจนี 1 กฤษฎิ์ เนตยากร1 และ บษุ รา พฒั นศิร2ิ *
Napat Kanchana1, Run Nakjeen1, Krit Netayakorn1 and Busara Pattanasiri2*
บทคดั ยอ่
ในงานนไี้ ดท้ าการประยกุ ตใ์ ชก้ ารประมวลผลภาพรว่ มกบั การเรียนรูข้ องเครื่องมาช่วยในการจาแนกพนั ธเุ์ มล็ด
ขา้ วไทย จานวน 4 พนั ธุ์ ไดแ้ ก่ ขาวดอกมะลิ 105 ปทุมธานี 1 กข23 และ กข57 โดยทาการถ่ายภาพเมล็ดข้าวด้วย
เครอื่ งสแกนเนอรแ์ บบระนาบ แลว้ นามาประมวลผลภาพดว้ ยโปรแกรม Python จากนน้ั นาภาพเมล็ดขา้ วท่ไี ดไ้ ปทาการ
ประมวลผลด้วยโครงข่ายประสาทเทียมแบบคอนโวลูชัน ท่ีประกอบไปดว้ ย Convolutional Layer, Max-pooling
Layer, Flatten Layer และ Dense Layer จากการตรวจสอบประสิทธิภาพของโมเดลท่ีสรา้ งขึน้ พบว่า มีความแม่นยา
สูงสุดท่ี 84% และสามารถแยกขา้ วพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 กข57 ปทุมธานี 1 และ กข 23 ไดแ้ ม่นยาถึง 94% 99%
79% และ 65% ตามลาดบั
คาสาคัญ: การเรียนรูเ้ ชิงลกึ , โครงข่ายประสาทแบบคอนโวลชู นั , การจาแนกพนั ธุเ์ มล็ดขา้ ว, การประมวลผลภาพ
Abstract
In this work, image processing and machine learning method are used to classify 4 paddy Thai rice
seed varieties, i.e., Khao Dawk Mali 105, Pathum Thani 1, RD23 and RD57. A flatbed scanner is used with
a digital image analysis method that was developed with Python to obtain segmented rice seed
images. Here, convolutional neural networks composed of Convolutional Layer, Max-pooling Layer, Flatten
Layer, and Dense Layer, were applied to classify the rice seed varieties. By testing the model, it was found
that the model has 84% maximum accuracy. The results show that the model can categorize Khao Dawk
Mali 105, RD57, Pathum Thani 1, and RD23 with the accuracy of 94%, 99%, 79%, and 65%, respectively.
Keyword: Deep Learning, Convolutional Neural Network, Rice Seed Classification, Image Processing
*Corresponding author; email address: [email protected]
1 โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศนู ยว์ จิ ยั และพฒั นาการศกึ ษา จ.นครปฐม 73140
Kasetsart University Laboratory School Kamphaeng Saen Campus Center for Educational Research and Development,
Nakhon Pathom 73140
2 โครงการจดั ตง้ั ภาควิชาฟิสกิ ส์ คณะศลิ ปศาสตรแ์ ละวทิ ยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน จ.นครปฐม 73140
Department of Physics, Faculty of Liberal Arts and Science, Kasetsart University Kamphaeng Saen Campus, Nakhon Pathom
73140
17
การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครั้งที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564
การคัดเลือกแบคทเี รยี ปฏิปักษท์ ม่ี ีประสิทธิภาพในการสง่ เสริมการเจรญิ เตบิ โตและ
ยบั ยั้งเชือ้ สาเหตุโรคขอบใบทองของคะน้า
Screening of Effective Antagonistic Bacteria for Plant Growth Promotion and
the Inhibition of Causal Agent of Black Rot on Kale
สุกัญญา จนั ทรส์ ุนะ1* วิลาวรรณ์ เชอื้ บญุ 1 และดสุ ิต อธินวุ ฒั น์ 1
Sukanya Jansuna1*, Wilawan Chuaboon1 and Dusit Athinuwat1
บทคดั ยอ่
งานวิจยั นีม้ ีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือคดั เลือกแบคทีเรียปฏิปักษ์ท่ีมีประสิทธิภาพในการสง่ เสรมิ การเจรญิ เติบโตและ
ยบั ยงั้ เชือ้ สาเหตุโรคขอบใบทองของคะนา้ โดยคดั เลือกแบคทีเรียท่ีแยกไดจ้ ากสว่ นต่าง ๆ ของคะนา้ จานวน 60 ไอโซ
เลต และเม่อื นาไปทดสอบการยบั ยงั้ การเจรญิ ของเชือ้ Xanthomonas campestris pv. campestris (Xcc) สาเหตโุ รค
ขอบใบทองของคะนา้ พบว่า แบคทีเรียปฏิปักษ์ไอโซเลต TU125 มีประสิทธิภาพในยงั ยงั้ การเจรญิ ของเชือ้ Xcc ไดด้ ี
(27.00±0.00 mm) เม่อื เทียบกบั การใชน้ า้ กล่นั นง่ึ ฆ่าเชือ้ นอกจากนี้ แบคทีเรียปฏิปักษไ์ อโซเลตดงั กลา่ วยงั สง่ ผลใหต้ น้
กลา้ คะนา้ มคี วามสงู ตน้ ความยาวราก นา้ หนกั สด และนา้ หนกั แหง้ มากท่สี ดุ เทา่ กบั 6.67±0.19 3.90±0.14 เซนติเมตร
0.84±0.08 และ 0.04±0.00 กรมั ตามลาดบั ซ่ึงแตกต่างจากกรรมวิธีควบคุมอย่างมีนยั สาคญั ยิ่งทางสถิติ (p<0.05)
เช่นเดียวกับการทดสอบในระดับโรงเรือนทดลองพบว่า แบคทีเรียปฏิปักษ์ไอโซเลต TU125 ส่งผลใหต้ น้ กลา้ คะนา้ มี
ความยาวราก น้าหนักสด และน้าหนักแห้งมากท่ีสุด (p<0.05) เท่ากับ 3.08±0.03 เซนติเมตร 1.27±0.02 และ
0.06±0.00 กรมั ตามลาดบั ซ่งึ แตกต่างจากกรรมวิธีควบคมุ อย่าง มีนยั สาคญั ทางสถิติ (p<0.05) จากการจาแนกเชือ้
โดยการวิเคราะหล์ าดบั เบสในส่วนของยีน 16s rRNA และใชฐ้ านขอ้ มลู ของ NCBI พบว่า แบคทีเรียปฏิปักษ์ไอโซเลต
TU125 มีความใกลเ้ คียงกบั Bacillus amyloliquefaciens ถงึ 99 เปอรเ์ ซน็ ต์
คาสาคัญ : แบคทเี รยี ปฏปิ ักษ์, แบคทีเรียปฏิปักษ์ไอโซเลต TU125, การส่งเสริมการเจรญิ เตบิ โตพชื , เชือ้ Xcc, Bacillus amyloliquefaciens,
Abstract
The purposes of this study were to screen for antagonistic bacteria that could promote growth and
inhibition of causal agent of black rot on kale. Sixty isolates of bacteria were obtained from various parts of
the kale plant. All isolate were tested for the growth inhibition of Xanthomonas campestris pv. campestris
(Xcc), cause of kale black rot. When compared to the control, bacterial isolate TU125 most effectively
inhibited the growth of Xcc (27.00±0.00 mm). Furthermore, this bacterial isolate significantly promoted kale
seedlings with shoot length, root length, fresh weight, and dry weight of 6.67±0.19, 3.90±0.14 cm, 0.84±0.08
and 0.04±0.00 g. For the greenhouse test bacterial isolate TU125 significantly promoted growth of kale
seedlings with the highest root length, fresh weight, and dry weight of 3.08±0.03 cm, 1.27±0.02 and
0.06±0.00 g respectively. According to the analysis by 16s rRNA gene sequencing and the use of NCBI
database, bacterial isolate TU125 was found to be 99 percent similar to Bacillus amyloliquefaciens.
Keyword : antagonistic bacteria, bacterial isolate TU125, plant growth promoting, Xcc, Bacillus amyloliquefaciens
*Corresponding author, e-mail: [email protected]
1 สาขาวิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ศนู ยร์ งั สิต 12120
Department of Agricultural Technology, Faculty of Science and Technology, Thammasat University, Rangsit center 12120
18
การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้ังที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564
ประสิทธิภาพของป๋ ุยคอกอดั เมด็ ผสมจลุ นิ ทรียส์ ตู รตอ่ การส่งเสรมิ การเจริญเติบโตและ
เพ่มิ ผลผลติ ข้าว พันธุ์ กข47 รวมทัง้ เพ่มิ อตั รากาไรขั้นต้น
Efficiency of New Formula of Compost-microbial Pellet on Promoting Plant Growth, Increasing Rice
Yield of cv. RD47 Variety and Enhancing Gross Margin
อภสิ ทิ ธิ์ นิลมาต1 และดสุ ิต อธนิ วุ ฒั น์1*
Aphisit Nilmat1 and Dusit Athinuwat1*
บทคดั ย่อ
ระบบการผลิตขา้ วอย่างย่งั ยืน เพ่ือการแข่งขันในตลาดโลก จาเป็นตอ้ งลดตน้ ทุนการผลิต และเนน้ การใช้
ปัจจยั การผลิตภายในฟารม์ ใหม้ ากท่ีสดุ การวิจยั นีจ้ ึงมีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือพฒั นาป๋ ยุ คอกอดั เม็ดผสมจลุ ินทรีย์ Bacillus
amyloliquefaciens B. subtilis TU-Orga1 B. tequilensis TU-Orga7 Streptomyces griseus และ Trichoderma
harzianum ในระดบั ชุมชน และทดสอบประสิทธิภาพเปรียบเทียบกับป๋ ยุ คอกอดั เม็ดไม่ผสมจลุ ินทรีย์ ป๋ ยุ คอกอดั เม็ด
เชิงการคา้ ป๋ ยุ เคมี 50% และป๋ ยุ เคมี 100% ในสภาพไรน่ า จ. พระนครศรอี ยธุ ยา ระหวา่ งเดือนมกราคม-เมษายน 2564
สาหรบั เป็นแนวทางใหผ้ ปู้ ลกู ขา้ วนาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นระบบการผลติ ขา้ วท่ใี หอ้ ตั รากาไรขนั้ ตน้ สงู อย่างย่งั ยืน ผลการวจิ ยั
พบว่า การใชป้ ๋ ยุ คอกอดั เม็ดผสม B. subtilis TU-Orga1 อัตราการใช้ 100 กก./ไร่ เป็นสตู รท่ีส่งเสรมิ การเจริญเติบโต
ควบคมุ โรคขอบใบแหง้ และใหผ้ ลผลิตขา้ วพนั ธุ์ กข47 สงู ท่ีสดุ ไม่แตกต่างอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติกบั ป๋ ยุ เคมี แต่ป๋ ยุ
คอกอดั เมด็ ผสม B. subtilis TU-Orga1 ทาใหผ้ ปู้ ลกู ขา้ วมีอตั รากาไรขนั้ ตน้ สงู ท่สี ดุ 93.34% ซ่งึ สงู กว่าป๋ ยุ เคมี 16.05%
คาสาคัญ: ป๋ ยุ คอกอดั เม็ดผสมจลุ ินทรีย์ ระบบผลติ ขา้ วย่งั ยืน โรคขอบใบแหง้
Abstract
Sustainable rice production system to compete in the global market need to reduce production
costs and focusing on the use of farm input as much as possible. The objective of this research was to
develop the compost pellet mixed with Bacillus amyloliquefaciens, B. subtilis TU-Orga1, B. tequilensis TU-
Orga7, Streptomyces griseus, and Trichoderma harzianum at the community level and test the efficiency
compared with compost pellet without microorganisms, commercial compost pellet, 50% chemical fertilizer,
and 100% chemical fertilizer under field conditions at Phra Nakhon Si Ayutthaya during January - April, 2021
as a guideline for rice growers to apply in a sustainable high-gross margin of rice production system. The
results revealed that B. subtilis TU-Orga1 compost pellet application at 100 kg/rai was a formula that promotes plant
growth, control bacterial leaf blight, and produce the highest rice yield of RD47, not significantly different
from chemical fertilizers. But B. subtilis TU-Orga1 compost pellet gave rice growers the highest gross margin
of 93.34%, higher than chemical fertilizer 16.05%.
Keyword: Compost-microbial pellet, Sustainable rice production system, Bacterial leaf blight
*Corresponding author; e-mail address: [email protected]
1 สาขาวิชาการจดั การเกษตรอินทรยี ์ คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตรศ์ นู ยร์ งั สิต 12120
Major of Organic Farming Management, Faculty of Science and Technology, Thammasat University 12120
19
การประชุมวิชาการระดับชาติ คร้งั ที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564
ผลของการให้ป๋ ุยซิลิกอนทางใบตอ่ ความแขง็ ของคอรวงและผลผลิตขา้ วขาวดอกมะลิ 105
Effects of silicon fertilizer as foliar application on the hardness of panicle neck and grain yield of
Khao Dawk Mali 105 rice
มทุ ติ า ตรเี ดช1 และ กลั ยา กองเงนิ 1*
Muthita Treedech1 and Kanlaya Kong-ngern1*
บทคัดย่อ
งานวิจยั นีม้ ีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือศึกษาผลของการใหป้ ๋ ยุ ซิลิกอนในรูปกรดซิลิซิกโดยการฉีดพ่นทางใบท่ีมีผลต่อ
ความแข็งของคอรวงและผลผลิตข้าวขาวดอกมะลิ 105 ทาการฉีดพ่นใบด้วยกรดซิลิซิกในอัตรา 0, 4, 8 และ 12
มิลลิลิตร/นา้ 2 ลิตร ทุก 2 สปั ดาห์ และเก็บขอ้ มลู ในช่วง 60, 75, และ 90 วนั หลงั ตน้ ปักดา พบว่าการฉีดพ่นดว้ ยกรดซิ
ลิซิกไม่สง่ ผลต่อองคป์ ระกอบของผลผลติ และผลผลติ เมลด็ ในขณะท่คี า่ ความแขง็ ของคอรวงขา้ วหลงั จากฉีดพน่ กรดซิ
ลิซิกในอตั รา 4, 8 และ 12 มิลลิลิตร/นา้ 2 ลิตร มีค่าเท่ากับ 122.04, 141.49 และ 102.96 นิวตันต่อตารางมิลลิเมตร
ตามลาดบั ซ่ึงสูงกว่าชุดควบคุม (0 มิลลิลิตร/นา้ 2 ลิตร) ท่ี 75.95 นิวตันต่อตารางมิลลิเมตร อย่างมีนัยสาคญั ผล
การศึกษาครงั้ นีบ้ ่งชีไ้ ดว้ ่า การฉีดพ่นกรดซิลิซิกความเขม้ ขน้ 8 มิลลิลิตร/นา้ 2 ลิตร มีความเหมาะสมในการสง่ เสริม
ความแข็งของคอรวงขา้ วเม่อื เทยี บกบั ชดุ การทดลองอ่นื
คาสาคญั : การฉีดพน่ ทางใบ กรดซลิ ิซกิ ขา้ ว ความแข็งของคอรวงขา้ ว ผลผลิตขา้ ว
Abstract
The objective of this study was to investigate the effects of silicon fertilizer by foliar application in
the form of silicic acid on the hardness of panicle neck and grain yield of Khao Dawk Mali 105. Four silicic
acid rates 0, 4, 8 and 12 mL/2 L of water every 2 weeks. Data were collected during the age of rice plants
at 60, 75 and 90 days after transplant. The results showed yield components and grain yield, were not
significant different between treated and untreated group. Meanwhile, the hardness of panicle neck in silicic
treatments (4, 8 and 12 mL/2 L of water) were 122.04, 141.49 and 102.96 N/mm2, respectively that was
significantly higher than control (0 mL/2 L of water) as 75.95 N/mm2. The results indicated that the foliar
spray with silicic acid at a concentration of 8 mL/2 L of water as the optimum concentration to promote the
hardness of panicle neck compared to other experiments.
Keyword : foliar application, silicic acid, rice, hardness of panicle neck, grain yield
* corresponding author: [email protected]
1 สาขาวิชาชวี วทิ ยา คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ จ.ขอนแก่น 40002
Department of Biology, Faculty of Science, Khon Kaen University, Khon Kaen 40002, Thailand
20
การประชุมวิชาการระดับชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564
The Potential for the Isolated Bacteria of Rhizopogon roseolus Mushroom on the
Ectomycorrhizal Formation in Japanese Black Pine Seedlings In Vitro
Sawithree Pramoj Na Ayudhya1, Kusol Iamsub1 and Norihiro Shimomura2
Abstract
From mycorrhizospheres, bacterial strains inspiring to advance mycorrhizal symbiosis have
often been isolated as so-called Mycorrhizal helper bacteria (MHB). In this work, we have isolated
specific bacterium from ectomycorrhizal fruiting bodies as Rhizopogon roseolus and used the co-culture
method to examine their impact on the mycelial growth. Moreover, we examined the effect of combined
inoculation with R. roseolus and bacteria on mycorrhization and the development of Japanese black
pine (Pinus thunbergii) seedlings. Six bacterial species were found to substantially invigorate mycelial
growth. The combination of inoculum of R. roseolus and the bacterial strain GIB024 varied greatly in
terms of their ability to colonize pine roots. After 60 days of inoculation, the most development of host
seedling as root dry mass, total dry mass and Root/Shoot ratio was shown by bacterial strain GIB024
without R. roseolus. Thus, bacterial strain GIB024 has the potential to be useful for the productive
formation of ectomycorrhizal seedlings, as demonstrated by the results.
Keyword: Mycorrhizal helper bacteria, Wild mushroom, Pinus thunbergii
Corresponding author; e-mail address: [email protected]
1 Expert Centre of Innovative Agriculture, Thailand Institute of Scientific and Technological Research (TISTR),
Pathum Thani 12120, Thailand
2 Faculty of Agriculture, Tottori University, Tottori 680-8553, Japan
21
การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้งั ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564
ผลของวัสดหุ อ่ ผลแบบไม่ถักทอตอ่ คณุ ภาพของมะม่วงน้าดอกไม้สีทอง
Quality of ‘Nam Dok Mai Sri Thong’ Mango Bagged with Non-woven Fabrics
สมปรารถนา หนกั แดง1,2 จรุ ีรตั น์ ประสาร3 ธีร์ หะวานนท1์ ,2 และ เกียรตสิ ดุ า เหลืองวิลยั 1,2
Somprattana Nakdaeng1,2, Chureerat Prahsan3, Tee Havananda1,2 and Kietsuda Luengwilai1,2
บทคดั ย่อ
วสั ดผุ า้ แบบไม่ถกั ทอสามารถออกแบบและขนึ้ รูปใหม้ ีลกั ษณะตรงกบั การใชง้ าน เชน่ การห่อผลผลไมเ้ พ่อื
ป้องกันศตั รูพืชและเพ่ิมคณุ ภาพของผลิตผล งานวิจยั นีเ้ ป็นการศึกษาผลของการห่อผลดว้ ยวสั ดแุ บบไม่ถักทอต่อ
คณุ ภาพของมะม่วงพนั ธุน์ า้ ดอกไมส้ ีทอง โดยใชถ้ ุงผา้ แบบไม่ถักทอ ท่ีมีความหนา 75 แกรม ไดแ้ ก่ สีแดง สม้ ดา
เปรยี บเทยี บกบั ผลท่หี อ่ ดว้ ยถงุ กระดาษทางการคา้ (ย่หี อ้ ชนุ ฟง) โดยเรม่ิ หอ่ เม่อื ผลมอี ายุ 60 วนั หลงั ดอกบาน และ
เก็บเกี่ยวท่รี ะยะบรบิ รู ณ์ 80 เปอรเ์ ซน็ ต์ จากการทดลองพบวา่ ผวิ เปลือกของมะม่วงท่ีหอ่ ผลดว้ ยถงุ กระดาษและถุง
ผา้ แบบไม่ถักทอสีดา มีสีเหลืองมากท่ีสดุ และไม่มีสีเขียวปรากฎ (ค่า a* และ b* เท่ากับ -4 และ -9 ตามลาดบั )
สว่ นผลท่ีห่อดว้ ยถงุ ผา้ แบบไมถ่ กั ทอสีแดงและสสี ม้ มีเปลือกสเี ขียวอ่อน (ค่า a* เท่ากับ -17 ถึง -15) นอกจากนยี้ งั
พบวา่ ผลท่หี อ่ ดว้ ยถงุ ไม่ถกั ทอทกุ สีมีปรมิ าณเบตา้ แคโรทนี ท่ีเปลือกอยใู่ นช่วง 11 ถึง 28 มิลลกิ รมั ต่อกิโลกรมั และ
มีค่าวิตามินซีท่ีเนือ้ อยู่ระหว่าง 29 ถึง 45 มิลลิกรัมต่อ 100 มิลลิลิตร ซ่ึงสูงกว่าผลท่ีห่อดว้ ยถุงกระดาษ ท่ีมีค่า
เท่ากับ 7 มิลลิกรมั ต่อกิโลกรมั และ 17 มิลลิกรมั ต่อ 100 มิลลิลิตร ตามลาดับ ทงั้ นี้ มะม่วงท่ีห่อดว้ ยถุงกระดาษ
ทางการคา้ และถุงแบบไม่ถกั ทอทกุ สี มีปริมาณของแข็งท่ลี ะลายนา้ ได้ (TSS), กรดท่ีไทเทรตได้ (TA) และ TSS/TA
ไม่แตกต่างกนั ทางสถิติ
คาสาคัญ : วสั ดหุ อ่ ผล, สผี ิวเปลอื กผล, วติ ามนิ ซี
Abstract
Non-woven fabric is a sheet of fiber material bonded directly together without interlacing. The
material can be correspondingly designed and molded to fit usage purposes, e.g., fruit bagging to
prevent pest infestation and increase fruit quality. Thereby, the objective of this study was to determine
the effect of non-woven bagging material on fruit qualityof ‘Nam Dok Mai Sri Thong’ mango. Bags with
75 gsm thickness in red, orange, and black colors were used in comparison with commercial paper bag
(Chun-Fong ®). The fruit were bagged at 60 days after flowering and harvested at 80% maturity. The
study found that fruit bagged with commercial paper and black non-woven fabric had yellowish tone of
peel color and no green color appears (a* and b* value of -4 and -9, respectively). The fruit bagged with
orange and red non-woven fabrics had light green peel, expressing a* value of -17 to -15. All non-woven
bagged fruit had beta-carotene of 11 to 28 mg/kg in their peels, and the pulps contained vitamin C
content of 29 to 45 mg/100 ml, all of which were higher than those of the control fruit (7 mg/kg and 17
mg/100 ml, respectively). However, fruit bagged with commercial paper and non-woven fabric had non-
significant different total soluble solids (TSS), titratable acidity (TA) and TSS/TA ratio.
Keywords: bagging materials, peel color, vitamin C
E-mail address: [email protected]
1ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร กาแพงแสน มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน นครปฐม 73140
Department of Horticulture, Faculty of Agriculture at Kamphaeng Saen, Kasetsart University, Kamphaeng Saen Campus,
Nakhon Pathom, 73140
2ศนู ยน์ วตั กรรมเทคโนโลยหี ลงั การเก็บเก่ยี ว สานกั งานคณะกรรมการอดุ มศกึ ษา กรุงเทพฯ 10400
Postharvest Technology Innovation Center, Commission on Higher Education, Bangkok 10400, Thailand.
3ศนู ยเ์ ทคโนโลยโี ลหะและวสั ดแุ ห่งชาติ 114 อทุ ยานวิทยาศาสตรป์ ระเทศไทย ถนนพหลโยธิน ตาบลคลองหนึ่ง อาเภอคลองหลวง จงั หวดั
ปทมุ ธานี 12120
National Metal and Materials Technology Center 114 Thailand Science Park (TSP), Phahonyothin Road, Khlong Nueng, Khlong
Luang, Pathum Thani 12120, Thailand
22
การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ คร้งั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564
ประเภทของขนต่อมและสารหอมระเหยจากสว่ นตา่ ง ๆ ของกะเพรา
Glandular trichome types and volatile compounds of different parts of holy basil
สุรศกั ดิ์ ศรสี าลี1,2* ธีร์ หะวานนท1์ และ เกียรติสดุ า เหลอื งวลิ ยั 1,2
Surasak Srisamlee1,2*, Tee Havananda1 and Kietsuda Luengwilai1,2
บทคดั ยอ่
กะเพรานิยมนามาประกอบอาหารเน่ืองจากมีกลิ่นเฉพาะเกิดจากสารหอมระเหยท่ีสะสมอยู่ในขนต่อม
(glandular trichome) ซง่ึ พบไดบ้ นทกุ สว่ นของตน้ กะเพรา ทงั้ นีย้ งั ไม่มขี อ้ มลู วา่ ขนตอ่ มท่พี บบนแตล่ ะสว่ นแตกต่าง
กันหรือไม่ จึงศึกษาประเภทของขนต่อม และสารหอมระเหยท่ีพบในกะเพราพันธุ์ OC034 จากก้านใบ, ใบ,
แกนกลางช่อดอก, ใบประดบั , กลีบเลีย้ ง และกลบี ดอกของกะเพรา จากการทดลองพบว่า ขนต่อมท่ีพบ มี 5 ชนิด
คอื ขนต่อมใหญ่ ขนาดประมาณ 50 μm (peltate trichome หรือ PT) แบง่ เป็น 2 ชนิด ไดแ้ ก่ ขนตอ่ มใหญ่ท่มี ีกา้ น
ชแู ละเซลลฐ์ านฝังอยู่ในผิวชั้นนอก (PT-I) ซ่งึ พบบนใบ และขนต่อมใหญ่ท่ีกา้ นชูและเซลลฐ์ านอย่บู นผิวชัน้ นอก
(PT-II) พบบนก้านใบ, แกนกลางช่อดอก, ใบประดับ และ กลีบเลีย้ ง ส่วนอีก 3 ชนิด เป็นขนต่อมเล็ก ขนาด
ประมาณ 25 μm (capitate trichome หรอื CT) แบ่งเป็น ขนตอ่ มเล็กท่ีมีกา้ นชูต่อมสน้ั 1 เซลล์ เซลลต์ ่อมรูปแพร์
2 เซลล์ (CT-I) พบบนทุกส่วนท่ีศึกษา ยกเวน้ กลีบดอก, ขนต่อมเล็กท่ีมีกา้ นชูต่อมยาว 2–3 เซลล์ เซลลต์ ่อมรูป
พลบั 1 เซลล์ (CT-II) พบท่ีกลีบเลีย้ ง และ ขนต่อมเล็กท่ีมีกา้ นชูต่อมยาว 1 เซลล์ เซลลต์ ่อมรูปกลม 1 เซลล์ (CT-
III) พบท่ีกลีบดอก และพบสารหอมระเหย 17 ชนิด สารหลกั ท่ีพบใน PT และ CT ท่ีใบ ไดแ้ ก่ eugenol (37-50%),
beta-elemene (22-29%) และ caryophyllene (21-27%) ซ่งึ สารท่ีพบใน PT มีความเขม้ ขน้ มากกวา่ สารระเหยท่ี
พบใน CT
คาสาคัญ : ยจู นิ อล, นา้ มนั หอมระเหย, Ocimum tenuiflorum
eaTTmsd2ttHtficnwrortxohhn–iiioacacfuot3fdemetwlrehihnh-knarcsdoorpeeecrcecteemmcfvoaatonesoleeeourlleetrekulnyprdmnleH,stdlosidc(yt,dpftsCp,otipwrehszheotolhpTlheeyesielrumwtyse)emshh,nlopahlovbweodiCofaeriasawacnfi-fsaTttirsshmrieheGiawop.ohafidlnolapTauath(eidu2oonrprii,tpcseion1hfnndehrefxd-aoadat2aihphhotmutcc7iorheoifnhnths-c%alheapeydGiuotPseduaes)smr,bTT.rltdolieayupaazbuHnraldenesaolr5woanaidyrnctl0fwwstdhecodeaciferwatmeμrdolueCiscvzaualmmltceToieesfnninavioruodavddp,oaaolnegtfdnoprntkoo-lshbasdriOtnnebnetoylchnhapgCepxdhadteddvhaiei0apmuovfieelfslob3r.eleilf,aaadaeu4edpaTortctewrnceivehefolthdtdeahleertenynAeGaisuersctioialnb2srzoTp.hfnepdwtes5eot.eoSoahateutamaePrsμeirttrainolnwvthteerlesdlcmedPeleossttthenaTh,t.oifuatunt(sto-rlfCyeeGeIdestguIprePhaTeiTuenetenwof-Tar)cnddIistlbactoyrvf.wcuioolshosolcaoPrnueboplrh(edannTg3rnmaeoteetso-7ahdsicmaIl,eiten-esiimnlw5rfietssnia(desc0cpoa,uPcedo%tlarsneTyahevpmslkxp)on)liooams,ecpceftpblwl,aneb.ooesaashbtapCenulierallirsbstttencnTrassahveedtc-cc-hoeItlconeansotIhhedr,Ioftluonetaerwcsmhsatgprismeonaeeoetteepbepnacedrlpdtayoeedsaaltnikeuedilledbsftb.rtnnoeocahtieayCzed(urenaps2mescdsnTldnilr2tdvlad-eiuows-Iowpppt.s2Idfhblileisai9taihatT2otyehatiht%nanohas–idtliddtnaaene3eel)...
Keyword: eugenol, essential oil, Ocimum tenuiflorum
*E-mail address: [email protected]
1 ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร กาแพงแสน มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน นครปฐม 73140
Department of Horticulture, Faculty of Agriculture at Kamphaeng Saen, Kasetsart University, Kamphaeng Saen Campus,
Nakhon Pathom, 73140
2 ศนู ยน์ วตั กรรมเทคโนโลยหี ลงั การเกบ็ เก่ยี ว สานกั งานคณะกรรมการอดุ มศกึ ษา กรุงเทพฯ 10400
Postharvest Technology Innovation Center, Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation, Bangkok 10400,
23
การประชมุ วชิ าการระดับชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564
การขยายพันธุแ์ ละเพ่มิ ปริมาณสารเทอรพ์ ีนอยดร์ วมในจิงจูฉ่ายด้วยการเพาะเลีย้ งเนื้อเยื่อ
Micropropagation and Enhancement of total terpenoid content in Artemisia lactiflora using
tissue culture technique
ประกาย ออ่ นวมิ ล1, ภมุ รนิ ทร์ วณิชชนานนั ท1์ , ไพฑรู ย์ บปุ ผาดา2, วรารตั น์ ศรปี ระพฒั น1์ และ สพุ ินญา บญุ มานพ1
Prakay Onwimol1, Phummarin Wanichananan1, Phaitun Bupphada2, Wararat Sriprapat1 and Supinya boonmanop1
บทคดั ยอ่
การขยายพันธุ์และการเพิ่มปริมาณสาระสาคัญในพืชสมุนไพรด้วยการเพาะเลีย้ งเนือ้ เย่ือเป็นแนวทางหนึ่ง
ท่ีสามารถผลิตพืชสมนุ ไพรปลอดสารเคมีท่ีมีสาระสาคญั อย่างสม่าเสมอและปรมิ าณมากเพียงพอสาหรบั รองรบั การผลิต
ในระดับอุตสาหกรรมยาในอนาคตได้ งานวิจัยนีม้ ีจุดมุ่งหมายเพ่ือศึกษาสูตรอาหารท่ีเหมาะสมต่อการเพาะเลีย้ ง
ตน้ จิงจูฉ่ายและเพิ่มศักยภาพการผลิตสารเทอรพ์ ีนอยดร์ วม โดยใช้ส่ิงกระตุน้ ในสภาพปลอดเชือ้ รวมทั้งการศึกษา
สูตรอาหารท่ีเหมาะสมต่อการชักนาใหข้ ้อและยอดจิงจูฉ่ายเกิดยอดจานวนมาก โดยนาเนือ้ เย่ือส่วนข้อและยอด
ไปเพาะเลีย้ งบนอาหารแข็งสูตร MS ท่ีเติม BA ความเขม้ ขน้ 0, 1, 2, 4, 6 และ 12 mg/l เป็นเวลา 4 สปั ดาห์ พบว่า ขอ้ ท่ี
เพาะเลีย้ งบนอาหารแข็งสตู ร MS ท่ีไม่เติมสารควบคมุ การเจริญเตบิ โต สามารถชกั นาใหเ้ กิดยอดเฉลี่ย 12. 2 ยอด ต่อ 1 ขอ้
ซ่งึ ใหผ้ ลไปในทางเดียวกนั กบั ยอด ท่สี ามารถชกั นาใหเ้ กดิ ยอดเฉลยี่ 11.6ยอดตอ่ 1 ยอด การยา้ ยตน้ จิงจฉู า่ ยท่ีมลี กั ษณะ
ตน้ และรากสมบูรณ์ โดยนามาปรบั สภาพท่ีอุณหภูมิหอ้ งก่อนยา้ ยออกปลกู เป็นเวลาท่แี ตกต่างกนั คือ 3, 5, 7 และ 10 วนั
พบว่า ตน้ จิงจูฉ่ายอายุ 1 เดือน มีเปอรเ์ ซน็ ตก์ ารรอดชวี ิตเท่ากบั 100% ในทุกระยะเวลาการปรบั สภาพ หลงั จากนน้ั เม่อื นา
ต้นจิงจูฉ่ายท่ีเพาะเลีย้ งเนือ้ เย่ืออายุ 3 เดือนซ่ึงมีต้นและรากสมบูรณ์มาเลีย้ งในอาหารเหลวท่ีเติมส่ิงกระตุ้นคือ
กรดซาลิไซลิก (salicylic acid) ท่ีมีความเข้มข้น 0, 0.1, 0.5,1.0, 3.0 และ 5.0 mM (ปัจจัยหลัก)แล้วนาไปเพาะเลีย้ ง
เป็นเวลานาน 1, 3 และ 5 วนั (ปัจจยั รอง) จึงนาไปวิเคราะหป์ รมิ าณสารเทอรพ์ ีนอยดร์ วม ดว้ ยเคร่ือง Spectrophotometer
พบว่า การกระตนุ้ ดว้ ย กรดซาลิไซลิก ท่ีความเขม้ ขน้ 0.1 mM เป็นเวลานาน 1 วนั มีประสิทธิภาพในการเพ่ิมปรมิ าณสาร
เทอรพ์ ีนอยดร์ วม (total terpenoid) มากท่สี ดุ (23.05 mg/100g) คิดเป็น 1.1 เท่าของตน้ จงิ จฉู า่ ยท่ีปลกู ในสภาพธรรมชาติ
คาสาคัญ: จงิ จฉู า่ ย, การเพาะเลยี้ งเนือ้ เยอ่ื พืช, สารเทอรพ์ ีนอยดร์ วม, 6-เบนซิลอะมิโนพวิ รีน, ซาลิไซลิก แอซิด
1 สานกั วิจยั พฒั นาเทคโนโลยีชีวภาพ กรมวชิ าการเกษตร เลขท่ี 85 หมู่ 1 ถ.รงั สติ -นครนายก ต.รงั สิต อ.ธญั บรุ ี จ.ปทมุ ธานี 12110
Biotechnology Research and Development Office 85 Moo 1 Rangsit – Nakhon Nayok Rd., Rangsit, Thanyaburi, Pathum Thani 12110
Thailand
2 ศนู ยว์ ิจยั และพฒั นาการเกษตรอานาจเจรญิ ท่ีอยู่ 172 หมู่ 3 ตาบลโนนโพธิ์ อาเภอเมอื ง จ.อานาจเจรญิ 37000
Amnat Charoen Agricultural Research and Development Center 172 Moo 3 Non Pho, Mueang Amnat Charoen District, Amnat
Charoen 37000, Thailand
(บทความฉบบั เตม็ ของงานวิจยั นไี้ ดต้ พี มิ พใ์ นวารสารวิทยาศาสตรเ์ กษตรและการจดั การ ปีท่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 พ.ศ.2565)
24
การประชุมวชิ าการระดับชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564
Abstract
Plant propagation and medicinal enrichmentusing tissue culture isthe production approach ofchemical-free herbs
with consistent and large quantities of essential substances for the future pharmaceutical industry. This research aimed to
determine the optimal medium for multiplication and enhancing total terpenoid content in white mugwort using the
elicitors under aseptic conditions. The appropriate medium for shoots multiplication from nodal segments and shoot
tips were also optimized. Tissues of nodal segments and shoot tips were cultured on solid MS medium
supplemented with 0, 1, 2, 4, 6 and 12 mg/l of BA for 4 weeks. The results showed that nodal segments cultured
on solid MS medium without BA produced an average of 12.2 shoots per nodal segment. Shoot tips had a similar
result with an average of 11.6 shoots per shoot tip. For acclimatization, white mugwort with healthy roots and stems
were transferred to room temperature for 3, 5, 7 and 10 days. One month after transplantation, the survival rate was
100% in every condition. Then, the 3-month-old plantlets with healthy stems and roots from tissue culture were
culturedinaliquidMSmediumsupplemented with0,0.1,0.5,1.0,3.0and5.0mMofsalicylicacid(themajorfactor)
for 1, 3 and 5 days (the minor factor). The total terpenoid content was analyzed by using a spectrophotometer. The
use of 0.1 mM salicylic acid as an elicitor for one day resulted in a total terpenoid content of 23.05 mg/100g, was 1.1
times higher than that of field-grown plants.
Keyword:Artemisia lactiflora,Tissueculture,Total terpenoid,6-Benzylaminopurine,Salicylicacid
*Correspondingauthor;email address:[email protected]
25
การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ คร้งั ที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564
การเปลย่ี นแปลงทางกายวิภาคของเสน้ กลางใบในพชื สกุลส้มทไ่ี ด้รับผลกระทบจาก
โรคฮวงลองบิงดว้ ยเทคนิคการยอ้ มสี
Anatomical Changes in Midrib of Huanglongbing-Affected Citrus by Staining Technique
จฑุ ามาศ คงจักร1,2 และ องั สนา อคั รพศิ าล1,2
Jutamas Kongjak1,2 and Angsana Akarapisan1,2
บทคดั ยอ่
โรคฮวงลองบิงหรือกรีนน่ิงในพืชสกุลสม้ เป็นโรคท่ีสรา้ งความเสียหายรุนแรงแก่พืชสกุลสม้ ท่วั โลก โดยมี
เชือ้ สาเหตุ คือ Candidatus Liberibacter asiaticus (Las) ซ่งึ เป็นแบคทีเรียท่ีอาศัยอย่ใู นท่ออาหาร ความเสียหาย
ท่ีเกิดจากโรคฮวงลองบิงทาใหผ้ ลผลิตของพืชลดลง และใบด่าง ซ่ึงเป็นผลท่ีเกิดจากความเสียหายในส่วนของ
ท่ออาหาร พืชสกุลสม้ ท่ีศกึ ษาในครงั้ นี้ คือ สม้ เขียวหวาน มะนาว และสม้ โอ โดยไดผ้ ่านการตรวจยืนยันเชือ้ สาเหตุ
โรคฮวงลองบิงดว้ ยวิธีการ PCR ซ่ึงพบเชือ้ สาเหตุโรค 13 ตัวอย่างจากทัง้ หมด 28 ตัวอย่าง จากนั้นนามาศึกษา
โครงสรา้ งบรเิ วณทอ่ ลาเลยี งและเนอื้ เย่อื โดยรอบของพืชปกติและพืชท่มี กี ารเขา้ ทาลายของเชือ้ สาเหตโุ รคฮวงลองบิง
ภายใตก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์ compound microscope ซ่งึ ตดั เนือ้ เย่ือดว้ ยเคร่ือง freezing microtome และยอ้ มสีเนือ้ เย่อื
ดว้ ย 0.1% Toluidine blue เพ่ือใหเ้ ห็นความแตกต่างของเนอื้ เย่ือชดั เจนมากย่ิงขนึ้ และ 3% Iodine เพ่ือดกู ารสะสม
แป้งในโครงสรา้ งของเสน้ กลางใบ ซ่งึ ผลไดแ้ สดงใหเ้ ห็นว่าเชือ้ สาเหตุมีผลต่อระบบเนือ้ เย่ือท่อลาเลียง ในส่วนของ
phloem fiber มคี วามผดิ ปกติไม่เรียงตวั รอบท่ออาหาร เซลลท์ อ่ อาหารมกี ารขยายตวั ท่ผี ดิ ปกติ มีการสะสม callose
จานวนมาก ทาใหท้ อ่ อาหารมีความหนามากขนึ้ และพบการสะสมแปง้ ท่เี พิม่ ขนึ้ มากกวา่ ปกตอิ ย่างชดั เจน
คาสาคญั : โรคฮวงลองบงิ เอชแอลบี เสน้ กลางใบ พชื สกลุ สม้ เทคนคิ การยอ้ มสี
Abstract
Huanglongbing (HLB), also know as Citrus greening disease is an extremely destructive
disease of citrus worldwide, caused by Candidatus Liberibacter asiaticus (Las) which is a phloem-
limited bacterium. HLB leads to decreased productivity and chlorosis of leaves which results in the
collapse of phloem tissue. In this study, the Las infection status of all diseased leaf samples was verified
by PCR. Tangerine, lime and pomelo were the representative citrus tested. The results showed that 13
samples were positive with Las from 28 samples. The basic structure of vascular and surrounding tissue
from HLB-free and HLB-affected trees were examined under a compound microscope. The study of
histological sections used a freezing microtome for sectioning. The tissue was stained with 0.1%
Toluidine blue as a background stain and 3% Iodine to detect starch accumulation in midrib structures.
The results showed that HLB affected the vascular tissue system, caused phloem fiber disorganization,
hypertrophy of phloem parenchyma cells and thickening in phloem and massive starch accumulation.
Key words: huanglongbing; HLB; midrib; citrus; staining technique
*corresponding author; e-mail address: [email protected]
1 ภาควชิ ากฏี วิทยาและโรคพืช คณะเกษตรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ จงั หวดั เชยี งใหม่ 50200
Department of Entomology and Plant Pathology, Faculty of Agriculture, Chiang Mai University, Chiang Mai, 50200
2 ศนู ยค์ วามเป็นเลศิ ดา้ นเทคโนโลยชี ีวภาพเกษตร สานกั งานปลดั กระทรวง กระทรวงการอดุ มศกึ ษา วิทยาศาสตร์ วจิ ยั และนวตั กรรม กรุงเทพฯ 10900
Center of Excellence on Agricultural Biotechnology: (AG-BIO/MHESI), Bangkok 10900, Thailand
(บทความฉบบั เตม็ ของงานวิจยั นไี้ ดต้ ีพมิ พใ์ นวารสารวทิ ยาศาสตรเ์ กษตรและการจดั การ ปีท่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 พ.ศ.2565)
26
การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครัง้ ที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564
ผลของการเพ่มิ ประสิทธภิ าพน้าสกดั จากมูลสัตวต์ อ่ การเจรญิ เติบโตและผลผลติ ของ
ผกั สลดั กรีนโอ๊คในระบบไฮโดรโพนิกส์
Effect of the manure extract increasing efficiency on growth and yield of Green oak lettuce in
the hydroponic system
ยทุ ธนา พลศร1 และ ศิรวิ รรณ แดงฉ่า1
Yuttana Polsorn1, and Siriwan Dangcham1
บทคดั ยอ่
การศึกษาผลของการเพ่ิมประสิทธิภาพน้าสกัดจากมูลสัตว์ต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของ
ผกั สลดั กรนี โอ๊คในระบบไฮโดรโพนิกส์ โดยใหส้ ารละลายธาตอุ าหารพืชไม่หมนุ เวียนแบบเติมอากาศ วางแผนการ
ทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ ( Completely randomized design, CRD) ประกอบด้วย 5 ทรีทเมนต์ ดังนี้
1) สารละลายมาตรฐานอนนิ ทรยี ์ (Stock A + Stock B) อตั ราสว่ น 1:1 (ชดุ ควบคมุ ) 2) นา้ สกดั จากมลู ไสเ้ ดือนดิน
3) นา้ สกดั จากมลู ววั 4) นา้ สกัดจากมลู สกุ ร และ 5) นา้ สกัดจากมลู แพะ โดยนา้ สกดั จากมลู สตั วท์ กุ ชนิดผ่านการ
เพิ่มประสิทธิภาพและปรบั ค่า EC ใหเ้ ท่ากับ 2 mS/cm ทาการบันทึกการเจริญเติบโตทุก 5 วัน และเก็บเก่ียว
ผลผลิตเม่ือผกั สลดั กรีนโอ๊คมีอายุ 25 วนั หลงั การยา้ ยปลกู (40 วนั ) ผลการทดลองพบว่า ผกั สลดั กรีนโอ๊คท่ีไดร้ บั
สารละลายมาตรฐานอนินทรีย์ มีจานวนใบ ความกวา้ งของทรงพ่มุ และนา้ หนกั ผลผลิตมากท่ีสดุ แตกต่างอย่างมี
นยั สาคัญยิ่งทางสถิติ เม่ือเปรียบเทียบกับการใชน้ า้ สกัดจากมูลสตั วท์ ่ีผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพ ขณะท่ีผักสลดั
กรีนโอ๊คท่ีไดร้ บั นา้ สกัดจากมลู ไสเ้ ดือนดิน และมูลแพะท่ีผ่านการเพ่ิมประสิทธิภาพ และสารละลายมาตรฐาน
อนนิ ทรีย์ มีค่าความเขยี วของใบไม่แตกต่างกนั แต่มากกวา่ ในผกั สลดั กรนี โอ๊คท่ีไดร้ บั นา้ สกดั จากมลู สกุ รและมลู ววั
ท่ีผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพ แตกต่างอย่างมีนัยสาคัญยิ่งทางสถิติ ทั้งนีน้ ้าสกัดจากมูลแพะท่ีผ่านการเพ่ิม
ประสทิ ธิภาพมแี นวโนม้ ท่ดี ใี นการนามาใชท้ ดแทนสารละลายมาตรฐานอนนิ ทรยี ใ์ นการผลติ ผกั สลดั กรีนโอ๊คได้
คาสาคัญ: ผกั สลดั กรนี โอ๊ค นา้ สกดั จากมลู สตั ว์ การเพิ่มประสิทธิภาพ
Abstract
Effect of the manure extract increasing efficiency on growth and yield of green oak lettuce in
the non-circulated hydroponic system with air bubble was studied. The experiment was conducted in
complete randomized design (CRD) consisting of 5 treatments as follows: 1) inorganic standard solution
(Stock A + Stock B) ratio 1:1 (control, T1), 2) vermicompost extract (T2), 3) cow manure extract (T3),
4) swine manure extract (T4) and 5) goat manure extract (T5). All manure extracts were increased
efficiency and adjusted the EC to 2 mS/cm. Growths of green oak were recorded every 5 days and
harvested at 25 days after transplanting (40 days). The results showed that green oak lettuce treated
with inorganic standard solution had the highest in the leaf number, canopy width and weight, with highly
statistically significant difference, when compared to those treated with the all manure extracts
increasing efficiency. while greeness of leaf in the green oak lettuce treated with the vermicompost and
goat manure extracts increasing efficiency and inorganic standard solution were similar, but higher than
those of the swine and cow manure extracts increasing efficiency, with highly statistically significant
difference. In addition, the goat manure extract increasing efficiency tends to be good for substitute the
inorganic standard solution in the green oak lettuce production.
Keyword: Green oak lettuce, manure extract, the increasing efficiency
E-mail address: [email protected]
1 สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยกี ารเกษตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เพชรบรุ ี จ.เพชรบรุ ี 76000
Department of Agriculture, Faculty of Agricultural Technology, Phetchaburi Rajabhat University, Phetchaburi 76000
(บทความฉบบั เต็มของงานวจิ ยั นไี้ ดต้ พี ิมพใ์ นวารสารวิทยาศาสตรเ์ กษตรและการจดั การ ปีท่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 พ.ศ.2565)
27
การประชุมวชิ าการระดับชาติ ครั้งที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564
การประเมินความต้านทานของสายพันธุม์ นั สาปะหลงั นาเข้าจากประเทศไนจีเรียตอ่
โรคใบดา่ งมันสาปะหลงั (Sri Lankan cassava mosaic virus)
Disease Resistant Assessment of Cassava Lines from Nigeria to
Cassava Mosaic Disease (Sri Lankan cassava mosaic virus)
ชลธชิ า รักใคร่1 ณฎั ฐิมา โฆษิตเจรญิ กลุ 1 ธิดาวรรณ ชมเดช1 วานิช คาพานิช1 พรรณิภา เปชยั ศรี1 ดนยั ชยั เรือนแกว้ 1
ชตุ ิมา ออ้ มกง่ิ 1 ภวู นารถ มณีโชต1ิ วาสนา รุง่ สวา่ ง1 เฉลิมพล ภมู ไิ ชย2์ และ วนั วสิ า ศิรวิ รรณ3์
Chonticha Rakkrai1, Nuttima Kositcharoenkul1, Tidawan Chomdate1, Wanich Khampanich1, Phannipa Paechaisri1,
Danai Chaireunkaew1, Chutima Ormking1, Phoowanarth Maneechoat1, Wasana Rungsawang1,
Chalermpol Phumichai2 and Wanwisa Siriwan3
บทคดั ยอ่
ศึกษาปฏิกิริยาของมันสาปะหลงั ท่ีนาเขา้ จากประเทศไนจีเรีย 5 สายพันธุ์ต่อโรคใบด่างมนั สาปะหลงั
โดยมพี นั ธุ์ C33 TME3 (ตา้ นทาน) และ CMR43-08-89 (อ่อนแอ) เป็นพนั ธุเ์ ปรยี บเทียบ ทาการปลกู เชอื้ ดว้ ยวธิ ีการ
เสียบยอด ผลการศกึ ษาพบว่าสามารถตรวจพบเชอื้ SLCMV ขนาด 747 bp ในมนั สาปะหลงั ทกุ สายพนั ธุท์ ่ที ดสอบ
การประเมินความตา้ นทานโรคใบด่างของมันสาปะหลงั ในสปั ดาหท์ ่ี 8 หลงั การเสียบยอด พบว่ามนั สาปะหลงั
สายพันธุ์ IITA-TMS-IBA980581 IITA-TMS-IBA972205 IITA-TMS-IBA920057 และ TME B419 มีระดับ
ความตา้ นทานโรคปานกลาง ในขณะท่ี IITA-TMS-IBA980505 มีความออ่ นแอต่อเชอื้ SLCMV
คาสาคญั : มนั สาปะหลงั ความตา้ นทาน โรคใบด่างมนั สาปะหลงั ประเทศไนจีเรยี Sri Lankan cassava mosaic virus
Abstract
Five cassava lines imported from Nigeria, were assessment for cassava mosaic disease
resistant in compared to C33, TME 3 (resistant) and CMR43-08-89 (susceptible). The inoculation was
carried out by grafting method. The results showed that 747 bp SLCMV was detected in all cassava
lines. Assessment of cassava disease resistance at 8 weeks after grafting, it was found that IITA-TMS-
IBA 980581, IITA-TMS-IBA 972205, IITA-TMS-IBA 920057 and TME B419 showed moderate disease
resistance, while IITA-TMS-IBA 980505 was susceptible to SLCMV.
Keyword: Cassava, Resistance, Cassava mosaic disease, Nigeria, Sri Lankan cassava mosaic virus
E-mail address: [email protected]
1 สานกั วิจยั พฒั นาการอารกั ขาพืช กรมวชิ าการเกษตร กรุงเทพฯ 10900
Plant Protection Research and Development office, Department of Agriculture, Bangkok 10900
2 ภาควิชาพชื ไรน่ า คณะเกษตร มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ 10900
Department of Agronomy, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Bangkok 10900
3 ภาควชิ าโรคพชื คณะเกษตร มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ 10900
Department of Plant Pathology, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Bangkok 10900
(บทความฉบบั เตม็ ของงานวิจยั นไี้ ดต้ พี ิมพใ์ นวารสารวทิ ยาศาสตรเ์ กษตรและการจดั การ ปีท่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 พ.ศ.2565)
28
การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ ครัง้ ท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564
ผลของการเสริมนา้ มนั หอมระเหย และนา้ มันหอมระเหยร่วมกบั กรดไขมันสายส้ันหรือกรดไขมนั
สายกลางในอาหารตอ่ สมรรถนะการเจริญเตบิ โต ปริมาณเชอื้ จลุ ินทรยี ใ์ นไส้ต่ิง
และคุณภาพซากในไก่เนือ้
The Effect of Essential Oil and Essential Oil Blend Short-Chain Fatty Acid or
Medium-Chain Fatty Acid Supplementation in Diet on Growth Performance, Cecal Microbial
Enumeration and Carcass Quality of Broiler Chickens
มาริษา บญุ ชวู งศ1์ ชยั ภมู ิ บญั ชาศกั ดิ์1 ธีรวิทย์ เป่ยคาภา1* และวริ ยิ า ลงุ้ ใหญ่ 1
Marisa Boonchoowong1, Chaiyapoom Bunchasak1, Theerawit Poeikhampha1* and Wiriya Loongyai 1
บทคัดยอ่
การศึกษาการเสริมนา้ มนั หอมระเหยและนา้ มนั หอมระเหยร่วมกับกรดไขมนั สายสน้ั หรือกรดไขมนั สาย
กลางในอาหารต่อสมรรถนะการเจรญิ เติบโต ปรมิ าณเชือ้ จุลินทรยี ใ์ นไสต้ ่ิง และคณุ ภาพซากในไก่เนือ้ โดยใชแ้ ผน
ทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (CRD) ไก่เนือ้ สายพันธุ์Ross 308 เพศผู้อายุ 1 วัน จานวน 875 ตัว แบ่งกลุ่มทดลอง
ออกเป็น 5 กล่มุ กล่มุ ละ 5 ซา้ ในแต่ละซา้ มีไก่เนือ้ จานวน 35 ตวั ซ่ึงอาหารทดลองแบ่งเป็น 5 กล่มุ คือ กล่มุ ท่ี 1
อาหารพืน้ ฐานท่ีมีซิงค์ แบซิทราซิน 200 กรมั ต่อตนั อาหาร กล่มุ ท่ี 2 อาหารพืน้ ฐานไม่เสริมยาปฏิชีวนะ กล่มุ ท่ี 3
อาหารพืน้ ฐานท่ีเสรมิ นา้ มนั หอมระเหย 100 กรมั ต่อตนั อาหาร กล่มุ ท่ี 4 อาหารพืน้ ฐานท่ีเสริมนา้ มนั หอมระเหย
รว่ มกับกรดไขมนั สายสน้ั 500 กรมั ต่อตนั อาหาร และกลมุ่ ท่ี 5 อาหารพืน้ ฐานท่ีเสรมิ นา้ มนั หอมระเหยรว่ มกบั กรด
ไขมนั สายกลาง 1,100 กรมั ต่อตนั อาหาร ผลการศึกษาพบว่า ในช่วงระยะไก่รุน่ ไก่เนือ้ ในกลมุ่ ท่ไี ดร้ บั อาหารเสรมิ
ดว้ ยนา้ มนั หอมระเหยรว่ มกบั กรดไขมนั สายสน้ั และกรดไขมนั สายกลางสง่ ผลใหก้ ารกินไดเ้ ฉล่ยี มีค่าสงู กว่าอย่างมี
นยั สาคญั ทางสถิติเม่ือเทียบกับกล่มุ ควบคุมบวก (P<0.05) ในช่วงระยะไก่ใหญ่ ไก่เนือ้ ในกลมุ่ ท่ีเสรมิ ดว้ ยนา้ มนั
หอมระเหยในอาหารมีคา่ นา้ หนกั ตวั ท่ีเพิ่มขนึ้ ตลอดช่วงการเลีย้ งพบวา่ ในกลมุ่ ไกเ่ นอื้ ท่เี สรมิ ดว้ ยนา้ มนั หอมระเหย
และกลมุ่ ท่ีเสรมิ นา้ มนั หอมระเหยรว่ มกบั กรดไขมนั สายสนั้ กรดไขมนั สายกลางในอาหารมีค่านา้ หนกั ตวั นา้ หนกั
ตวั ท่ีเพ่ิมขึน้ และอตั ราการเจรญิ เติบโตเฉลีย่ ต่อวนั มีค่าสงู กว่าอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติเม่ือเทยี บกบั กลมุ่ ควบคมุ
บวก (P<0.05) และปริมาณเชือ้ จุลินทรียใ์ นไสต้ ่ิงไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (P>0.05) ไก่เนือ้ ท่ีไดร้ บั อาหารท่ี
เสรมิ ดว้ ยนา้ มนั หอมระเหย พบว่าเปอรเ์ ซน็ ตส์ นั ในมีค่าสงู ท่สี ดุ (P<0.01) จากการทดลองแสดงใหเ้ ห็นว่าควรเสรมิ
นา้ มนั หอมระเหยท่รี ะดบั 100 กรมั ตอ่ ตนั อาหาร เพ่อื เพม่ิ สมรรถนะการเจรญิ เตบิ โตของไกเ่ นอื้
คาสาคัญ : ไกเ่ นือ้ คณุ ภาพซาก นา้ มนั หอมระเหย สมรรถนะการเจริญเติบโต
1 ภาควชิ าสตั วบาล คณะเกษตร มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์
Department of Animal Husbandry, Faculty of Agriculture, Kasetsart University
29