ผลงานการวิจัยทางการศึกษาที่ได้รับการตีพิมพ์

การประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

Abstract
The experiment was conducted to study the effect of essential oil and essential oil blend
short-chain fatty acid or medium-chain fatty acid supplementation in diet on growth performance, cecal
microbial enumeration and carcass quality of broiler chickens. This experiment was assigned to a
completely randomized design (CRD). Eight hundred seventy-five male Ross 308 broiler chicks were
divided into 5 treatments with 5 replications and 35 birds in each replication. The experimental diets
were positive control diet with Zn bacitrazin 200 gram/ton, basal feed without antibiotic, treatment diets
supplemented with essential oil 100 gram/ton, essential oil blend short-chain fatty acid 500 gram/ton or
medium-chain fatty acid 1100 gram/ton. The findings showed during grower phase (11 to 24 days),
average feed intake of the EOC +SCFA and EOC+ MCFA group was significantly compare to the positive
control; (basal diet with Zn bacitrazin); (P<0.05). During finisher phase (25 to 35 days), body weight
increased by supplementing EOC in diet. During overall phase (1 to 35 days), the body weight, body
weight gain and average daily gain of the EOC, EOC +SCFA and EOC+ MCFA group was significantly
compare to the positive control (P<0.05). There were no significant effect on Escherichia coli and
Clostridium perfringens among experimental groups (P>0.05). Percentage of inner breast increased by
supplementing EOC in diet. (P<0.01) Base on this study, it could be concluded that supplementing
EOC; (basal diet with essential oil 100 gram/ton feed) slightly improve growth performance of broiler
chickens.

Keywords: broiler, carcass quality, essential oil, growth performance
* Corresponding author; email address: [email protected]

30

การประชมุ วิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

ปัจจยั ของอายุเม-ือเป็ นสัดและเม-ือผสมครัง8 แรกของสุกรสาวมีอทิ ธิพลต่อประสิทธิภาพตลอดช่วง
ชีวติ ของแม่สุกรในภาคตะวันออกของประเทศไทย

Factors as ages at first-estrus and at first-mating of gilts influencing sow lifetime performance
located in the western region of Thailand

ณัฐนิช จมิ งคลกุล1 และ นิตพิ งศ์ หอมวงษ์1*
Nattanit Jimongkolkul1 and Nitipong Homwong1*

บทคัดย่อ
อายเุ มื)อเป็นสดั ครัง2 แรก (AFE) และเมื)อผสมครัง2 แรก (AFM) ของสกุ รสาวเป็นตวั ชีว2 ดั ประสิทธิภาพตลอด
ช่วงชีวิตของแม่สกุ ร ประสิทธิภาพตลอดช่วงชีวิตของแม่สกุ รประกอบด้วย อายกุ ารใช้งาน ผลผลิตตลอดช่วงชีวิต
ความสมบูรณ์พนั ธ์ุตลอดช่วงชีวิต และประสิทธิผลตลอดช่วงชีวิต จุดประสงค์ของการวิจัยในครัง2 นี 2 เพื)อศึกษา
ปัจจยั AFE และ AFM ของสกุ รสาวทดแทนที)มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพตลอดช่วงชีวิตของแม่สกุ ร เช่น จํานวนวนั
ตลอดช่วงชีวิต (SLD) จํานวนวนั ท)ีอยู่ในฝูง (HLD) ลําดบั ท้องที)คดั ทิง2 (PY) จํานวนลกู สกุ รมีชีวิตตลอดช่วงชีวิต
(LBA) และจํานวนลกู หย่านมตลอดช่วงชีวิต (LNW) จํานวนลกู สกุ รมีชีวิตตลอดช่วงชีวิตตอ่ ปี (ALBA) และจํานวน
ลูกหย่านมตลอดช่วงชีวิตต่อปี (ALNW) ข้อมูลของสุกรสาวลูกผสมสองสาย (LY และ YL) ทัง2 หมด 2,185 แม่
(7,023 บันทึก) ถูกใช้เพ)ือการวิเคราะห์ทางสถิติด้วยตัวแบบผสมเชิงนัยท)ัวไป (Generalized Linear Mixed
Models : GLMM) ผลการศึกษาพบว่า AFE มีอิทธิพลอย่างไม่มีนัยสําคัญ ต่อ SLD HLD PY LBA LNW ALBA
และ ALNW (P>0.05) ส่วน AFM มีอิทธิพลอย่างมีนยั สําคญั ต่อ SLD PY และ LBA (P<{.{|) แต่มีอิทธิพลอย่าง
ไม่มีนัยสําคัญต่อ HLD LNW ALBA และ ALNW (P>0.05) ดังนัน2 AFM จึงเป็นปัจจัยท)ีสําคัญในการปรับปรุง
ประสิทธิภาพตลอดช่วงชีวิตแม่สกุ ร การพิจารณาอย่างถ)ีถ้วนเร)ืองอายเุ มื)อผสมครัง2 แรกของสกุ รสาวเป็นสิ)งจําเป็น
และสามารถใช้เป็นตวั ทํานายประสทิ ธิภาพตลอดชว่ งชีวติ ของแมส่ กุ รซงึ) อาจมีผลตอ่ กําไรสงู สดุ ของฝงู แมพ่ นั ธ์ไุ ด้

คาํ สาํ คัญ: อายุ เป็นสดั ผสมครัง2 แรก ประสทิ ธิภาพ ตลอดชว่ งชีวติ สกุ รสาว แมส่ กุ ร

Abstract
Ages at first-estrus (AFE) and ages at first-mating (AFM) of gilts are an indicater of lifetime
performance. Lifetime performance are classified as longevity, lifetime productivity, lifetime fertility, and
lifetime efficiency. Therefore, the objective of this study was to determine the factors of AFE and AFM of
replacement gilts influencing sow lifetime performance as sow life days (SLD), herd-life days (HLD),
parity at removal (PY), lifetime pigs born alive (LBA), lifetime pigs weaned (LNW), annualized lifetime
pigs born alive (ALBA), and annualized lifetime pigs weaned (ALNW). The data used in the analysis was
comprised of 2,185 crossbred (LY and YL) sows (7,023 parity records). Generalized Linear Mixed
Models GLMM) were applied for statistical analysis. The results show AFE did not statistically influence
SLD, HLD, LBA, LNW, ALBA, and ALNW. AFM significantly influenced SLD, PY, and LBA (P<0.05) but
did not statistically influence HLD, LNW, ALBA, and ALNW. Therefore, AFM was the crucial factor to
improve sow lifetime performance. Scrutinizing ages of gilts at first-mating is mandatory and predictable
for sow lifetime performanc leading to maximized profit of a swine breeding herd.

Keyword: Age, Estrus, First-mating, Lifetime, Performance, Gilt, Sow
*Corresponding author: e-mail address: [email protected]
1 ภาควิชาสตั วบาล คณะเกษตร กําแพงแสน มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน จ. นครปฐม 73140
Department of Animal Science, Faculty of Agriculture at Kamphaeng Saen, Kasetsart University, Nakhon Pathom, 73140

31

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ คร้งั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564

การศึกษาเบอื้ งต้นของการใช้แบคเทอริโอเฟจเพือ่ ควบคมุ เชือ้ แบคทเี รยี กอ่ โรคโคไลบาซลิ โลซิส
ในทางเดินอาหารสุกร

Preliminary Study of Using Bacteriophage to Control Swine Enteric Colibacillosis Pathogen

เตชภณ ทรงผาสุข1 ปฏิญญา ปะทิเก1,2 นภาขวญั อ่มิ กลิ่น3 ภทั ราพร ศรปี ระสงค3์ รุจิกาญจน์ นาสนิท3 ยลยง วนุ้ วงษ์1
และสมชยั สจั จาพิทกั ษ์1,*

Techaphon Songphasuk1, Patinya Patikae1,2, Napakhwan Imklin3, Pattaraporn Sriprasong3, Rujikan Nasanit3,
Yonlayong Woonwong1 and Somchai Sajapitak1.*

บทคัดยอ่
ปั จ จุบัน ปั ญหาท้องเสี ยจ ากโรค โคไ ลบาซิ ลโลซิ สใ นทางเดินอาหาร สุกรเป็ น ปั ญหาท่ีส าคัญมากใน
อุตสาหกรรมการเลีย้ งสตั วร์ วมถึงสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของเชือ้ ดือ้ ยาท่ีเพิ่มมากขึน้ ส่งผลใหก้ ารรกั ษาโรค
ดว้ ยยาตา้ นจุลชีพมีประสทิ ธิผลลดลง ทาใหค้ ณะผวู้ ิจยั ม่งุ เนน้ ถงึ แนวทางการรกั ษาทางเลือกอ่ืน โดยทาการศกึ ษา
ความจาเพาะของแบคเทอริโอเฟจหรือเฟจต่อเชือ้ แบคทีเรียทดสอบท่ีพบในสิ่งแวดลอ้ ม (commensal bacteria)
ได้แก่ Enterococcus spp., Enterococcus faecalis, Enterobacter spp. และ Klebsiella pneumoniae และ
การใชแ้ บคเทอรโิ อเฟจเพ่ือลดปริมาณเชือ้ แบคทีเรีย Escherichia coli (E.coli) ซ่ึงเป็นสาเหตุสาคัญของการเกิด
โรค ดว้ ยการทดสอบความสามารถของแบคเทอริโอเฟจต่อการทาลายเชือ้ แบคทีเรียทดสอบ (host range test)
และทดสอบการใช้อัตราส่วนแบคเทอริโอเฟจ (Multiplicity of infection, MOI) ท่ีแตกต่างกันต่อเชือ้ แบคทีเรีย
E.coli จากการศกึ ษาพบว่าตวั อย่างแบคเทอรโิ อเฟจ vB_Eco_RPNE4i3, vB_Eco_RPNE6i4, vB_Eco_RPNE7i1
และ vB_Eco_RPNE8i3 ไม่มีความจาเพาะต่อเชือ้ แบคทีเรียทดสอบ ในขณะท่ีอัตราส่วน MOI1 หรือ MOI100
สามารถลดปรมิ าณเชอื้ แบคทเี รยี E.coli ไดต้ งั้ แตเ่ วลา 1 ช่วั โมง เป็นตน้ ไป เม่ือเปรียบเทยี บกบั กลมุ่ ควบคมุ อย่างมี
นยั สาคญั ทางสถติ ิ (p<0.05)

คาสาคัญ: แบคเทอรโิ อเฟจ โรคโคไลบาซลิ โลซิส สกุ ร ทอ้ งเสีย Escherichia coli

1 คณะสตั วแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน นครปฐม 73140
Faculty of Veterinary Medicine, Kasetsart University, Kam Phaeng Saen Campus, Nakhon Pathom 73140
2 คณะสตั วแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม มหาสารคาม 44000
Faculty of Veterinary Sciences, Mahasarakham University, Mahasarakham 44000
3 ภาควิชาเทคโนโลยีชวี ภาพ คณะวิศวกรรมศาสตรเ์ ทคโนโลยอี ตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร พระราชวงั สนามจนั ทร์ นครปฐม 73000
Department of Biotechnology, Faculty of Engineering and Industrial Technology, Silpakorn University, Sanamchandra Palace
Campus, Nakhon Pathom 73000

32

การประชมุ วิชาการระดับชาติ ครงั้ ที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564
ABSTRACT

In the present, the diarrhea disease caused by swine enteric colibacillosis is the most important
problem in swine industry. Moreover, due to the antimicrobial resistance (AMR) situation is increased.
As a result, the effectiveness of antibiotic therapy is reduced. The aim of this study was focused on
alternative treatment approaches by using host range test to study of bacteriophage or phage specificity
against tested strains of commensal bacteria consists of Enterococcus spp., Enterococcus faecalis,
Enterobacter spp., and Klebsiella pneumoniae and using different multiplicity of infection (MOI) phage
to control Escherichia coli (E.coli). The results showed that vB_Eco_RPNE4i3, vB_Eco_RPNE6i4,
vB_Eco_RPNE7i1, and vB_Eco_RPNE8i3 phage were not specific with tested strains. Whereas all of
phages could significantly decrease bacterial concentration of E.coli at MOI1 or MOI100 from 1 hour
onwards (p<0.05).

Keyword: Bacteriophage, Colibacillosis, Swine, Diarrhea, Escherichia coli
*Corresponding author; email address: [email protected]

33

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

การประเมนิ ระดบั สีไข่แดงด้วยเทคนิคประมวลผลภาพ
Evaluation of Yolk Color Scale Using Image Processing Technique

สุปรีย์ยา เทพรักษ์1 ชศู กั ดิ( พลู มา2 และ ชาญวิทย์ แก้วตาปี1*
Supreeya Thepparak1, Chusak Pulmar2 and Chanwit Keawtapee1*

บทคัดย่อ
สีไข่แดงจดั เป็นหนึ1งในปัจจยั ที1มีความสําคญั ต่อการเลือกซือB ของผู้บริโภค งานวิจัยนีจB ึงมีวตั ถุประสงค์เพื1อ
ศกึ ษาเทคนิคการประมวลผลภาพดิจิทลั ของไข่แดงเพื1อสร้างโมเดลประเมินระดบั สี โดยทําการสมุ่ ไข่จํานวน 356 ฟอง
ม า วั ด สี โ ด ย ใ ช้ เ ค ร1ื อ ง NIX™ (Digital YolkFan™, Nix Sensor Ltd., Canada), Hunterlab colorimeter
(Spectrophotometer MiniScan EZ, Hunter Associates Laboratory, Inc., USA) และกล้ องถ่ายรูปดิจิทัล (Sony
Cyber Shot DSC W830, Japan) ทําการหาคา่ สขี องไขแ่ ดงประกอบด้วยคา่ สแี ดง (Red) สีเขียว (Green) และสนี ําB เงิน
(Blue) โดยใช้โปรแกรม Jupyter Notebook จากนนัB สร้างโมเดลในการประเมินสีไขแ่ ดงโดยใช้การวิเคราะห์การถดถอย
(Regression analysis) วดั ความแม่นยําโดยใช้ค่าสมั ประสิทธิ‡การตดั สินใจ (R2) และวดั ค่าความคลาดเคล1ือนโดยใช้
คา่ ความคลาดเคลอ1ื นกําลงั สอง (Mean square error: MSE) และคา่ รากท1ีสองของคา่ ความคาดเคลอื1 นกําลงั สองเฉลี1ย
(Root mean square error: RMSE) ผลการทดลองการประเมินสไี ขแ่ ดงจากเครื1องวดั สี Hunterlab พบวา่ คา่ L* (ความ
สว่าง) a* (สีแดง) และ b* (สีเหลือง) มีค่าสมั ประสิทธิ‡สหสมั พนั ธ์กบั ระดบั สีไข่แดงเท่ากบั -0.943, 0.981 และ 0.532
ตามลําดับ (P < 0.01) และเปรียบเทียบกับการประมวลผลภาพดิจิทัล พบว่าสีแดง สีเขียว และสีนําB เงินมีค่า
สมั ประสทิ ธิ‡สหสมั พนั ธ์กบั ระดบั สไี ขแ่ ดงเทา่ กบั 0.816, -0.870 และ -0.539 ตามลาํ ดบั (P < 0.01) เมื1อพิจารณาโมเดล
สําหรับประเมินสีไข่แดง พบว่า สมการทํานายที1ได้จากเคร1ืองวดั สี Hunterlab คือ ระดบั สีไข่แดง = 3.029-0.074L* +
0.375a* + 0.059b* (R2 = 0.971, MSE = 0.491, RMSE = 0.701) ขณะที1สมการทํานายท1ีได้จากภาพดิจิทัล คือ
ระดับสีไข่แดง = -0.586 + 0.186Red - 0.156Green - 0.045Blue (R2 = 0.970, MSE = 0.508, RMSE = 0.713)
ดงั นนัB จะเห็นได้วา่ สมการท1ีได้จากการประมวลผลภาพดิจิทลั มีความแม่นยําสงู ใกล้เคียงกบั สมการที1ได้จากคา่ สีโดยใช้
เครื1อง Hunterlab ที1มีราคาแพง กล่าวโดยสรุปการใช้ระบบสีแดง สีเขียว และสีนําB เงิน จึงเป็นทางเลือกหน1ึงท1ีมีความ
รวดเร็วในการนํามาใช้ประเมินระดบั สไี ขแ่ ดงท1ีมีต้นทนุ ตํ1าสาํ หรับอตุ สาหกรรมการผลติ ไก่ไขใ่ นอนาคต

คาํ สาํ คัญ: ภาพดจิ ิทลั การประมวลผลภาพ ภาพสีแดง เขียว และนําp เงิน การวิเคราะห์การถดถอย ระดบั สไี ขแ่ ดง

ABSTRACT
Egg yolk is one of the most important factors for consumers to buy eggs. The objective of this
research was to investigate the technique of digital image processing for developing the evaluation model
of yolk color scale. A total of 356 eggs were random to measure yolk color using NIX™ (Digital YolkFan™,
Nix Sensor Ltd., Canada), Hunterlab colorimeter (Spectrophotometer MiniScan EZ, Hunter Associates
Laboratory, Inc., USA), and a digital camera (Sony Cyber-Shot DSC. W830, Japan). The egg yolk colors

1 ภาควิชาสตั วบาล คณะเกษตร มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพมหานคร 10900
1 Department of Animal Science, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Bangkok 10900
2 สาขาวิชาสตั วศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตรและอตุ สาหกรรมเกษตร มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสวุ รรณภมู ิ พระนครศรีอยธุ ยา 13000
2 Department of Animal science, Faculty of Agricultural Technology and Agro-industry, Rajamangala University of Technology
Suvarnabhumi, Phra Nakhon Si Ayutthaya 13000

34

การประชุมวชิ าการระดับชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564
including red, green, and blue were determined by the Jupyter Notebook program. Thereafter, regression
analysis was used to develop the prediction evaluation model of yolk color scale. The coefficient of
determination (R2) was used to determine the accuracy of the model, whereas the mean square error (MSE)
and root mean square error (RMSE) were used to measure the error of prediction. From our results, yolk
color evaluation from Hunterlab colorimeter showed that L* (lightness), a* (redness), and b* (yellowness)
had high correlation coefficients with yolk color scale, amounting to -0.943 0.981 and 0.532, respectively (P
< 0.01). In comparision to digital image processing, red, green, and blue also had high correlation
coefficients with yolk color scale, amounting to 0.816, -0.870, and -0.539, respectively (P < 0.01). With
regard to the evaluation model of yolk color scale, the prediction equation obtained from Hunterlab
colorimeter was shown as follows: yolk color scale = 3.029 - 0.074L* + 0.375a* + 0.059b* (R2 = 0.971, MSE
= 0.491, RMSE = 0.701), while the prediction equation obtained from the digital image was shown as follows:
yolk color scale = -0.586 + 0.186Red - 0.156Green - 0.045Blue (R2 = 0.970, MSE = 0.508, RMSE = 0.713).
Therefore, the prediction equation obtained from digital image processing had a high accuracy as same as
the precision obtained from Hunterlab colorimeter, which is more expensive. In conclusion, the red, green
and blue color system can be considered as an alternative rapid method to evaluate yolk color scale with
cost effective for industrial egg producers in the future.

Keyword: digital image, image processing, red green and blue image, regression analysis, yolk color scale
* Corresponding author; E-mail address: [email protected]

35

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ คร้งั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564

ค่าโภชนะและการย่อยได้ของโปรตีนในหลอดทดลองของผลิตภัณฑย์ สี ตแ์ ละวัตถดุ บิ แหล่งโปรตนี
Nutritional Values and In vitro Digestibility of Protein in Yeast Products and Protein Feedstuffs

นนทวุฒิ จนั ทรา1 กฤตยา เพชรผงึ้ 2 ชาญวทิ ย์ แกว้ ตาปี1*
Notawut Jantra1 Kittaya Petchpoung2 Chanwit Kaewtapee 1*

บทคัดย่อ

การศึกษานีม้ ีวัตถุประสงคเ์ พ่ือศึกษาองคป์ ระกอบทางโภชนะและการย่อยไดใ้ นหลอดทดลอง (In vitro
digestibility) ของโปรตีนในยีสตแ์ ละออโตไลซย์ สี ต์ เปรียบเทยี บกบั วตั ถดุ ิบโปรตีนประกอบดว้ ย กากถ่วั เหลอื ง โปรตีน
44% กากถ่วั เหลอื งโปรตนี 47% ถ่วั หมกั ปลาป่นโปรตีน 60%และหางนม โดยนาไปวิเคราะหว์ ตั ถแุ หง้ โปรตนี เถา้ เย่อื
ใยและไขมนั ทาการศึกษาค่าการย่อยไดใ้ นหลอดทดลองของโปรตีนโดยใชเ้ อนไซมเ์ พปซิน ระยะเวลา 6 ช่วั โมง (pH
2.0, 40 องศาเซลเซียส) หลังจากน้ันย่อยโดยใช้เอนไซม์แพนคริเอติน ระยะเวลา 18 ช่ัวโมง (pH 6.8, 40 องศา
เซลเซียส) ผลการศึกษาพบว่า ปลาป่ นมีโปรตีนสงู กว่า ถ่วั หมกั กากถ่วั เหลืองโปรตีน 47% กากถ่วั เหลืองโปรตีน 44%
ออโตไ้ ลซย์ ีสต์ ยีสตแ์ ละหางนม เท่ากับ 65.13 54.96 52.23 46.78 36.50 33.79 และ 32.86% ตามลาดบั นอกจากนี้
ยีสตแ์ ละออโตไลซย์ ีสตม์ ีไขมนั (7.63 และ 8.84% ตามลาดบั ) สงู กว่า ปลาป่ นโปรตีน 60% 5.72%) ถ่วั หมกั (2.15%)
กากถ่ัวเหลืองโปรตีน 44% (2.14%) กากถ่ัวเหลืองโปรตีน 44% (1.32%) และหางนมผง (1.07%) อย่างไรก็ตามปลา
ป่ นโปรตีน 60% ยีสตแ์ ละออโตไ้ ลซย์ ีสตม์ ีเถา้ (24.70, 19.45 และ 18.48% ตามลาดับ) สงู กว่า ผลิตภณั ฑถ์ ่ัวเหลือง
และหางนมท่ีมีค่าระหว่าง 6.85-7.35% สาหรบั ปรมิ าณเย่ือใยพบว่า กากถ่วั เหลืองโปรตีน 44% กากถ่วั เหลืองโปรตนี
47% และถ่ัวหมกั มีเย่ือใย (5.08 2.53 และ 1.17% ตามลาดบั ) สงู กว่า ออโตไลซย์ ีสต์ ยีสตแ์ ละปลาป่ นโปรตีน 60%
(0.88 0.87 และ 0.27% ตามลาดบั ) ขณะท่นี มไมพ่ บเย่อื ใยเป็นองคป์ ระกอบ เม่อื พิจารณาการย่อยไดใ้ นหลอดทดลอง

1ภาควชิ าสตั วบาล คณะเกษตร มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ 10900
Department of Animal Science, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Bangkok 10900
2ฝ่ายเครอื่ งมือและวจิ ยั ทางวิทยาศาสตร์ สถาบนั วิจยั และพฒั นาแหง่ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ 10900
Scientific Equipment and Research Division Kasetsart University, Bangkhen Campus, Bangkok 10900

36

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ ครั้งท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

พบว่า ค่าการย่อยไดจ้ ริงของโปรตีนในหางนม ถ่วั หมกั กากถ่วั เหลืองโปรตีน 47% ปลาป่ นโปรตีน 60%กากถ่วั เหลือง
โปรตีน 44% มคี า่ เทา่ กบั 96.33 90.52 89.62 89.07 และ 87.55% ตามลาดบั สงู กวา่ (P<0.01) ค่าการย่อยไดจ้ รงิ ของ
โปรตีนในยีสตแ์ ละออโตไลซย์ ีสต์ มีค่าเท่ากับ 66.14 และ 82.37% ตามลาดบั เช่นเดียวกับค่าการย่อยไดม้ าตรฐานท่ี
ลาไสเ้ ลก็ สว่ นทา้ ยของโปรตนี ในวตั ถดุ ิบแหลง่ โปรตนี ท่มี คี ่าระหวา่ ง 85.80 – 95.59% สงู กวา่ (P<0.01) ยสี ต์ (59.53%)
และออโตไลซย์ ีสต์ (79.18%) เน่ืองจากยีสตจ์ ะมีผนงั เซลลเ์ ป็นองคป์ ระกอบทาให้ทนต่อการยอ่ ยโดยเอนไซมใ์ นระบบ
ทางเดินอาหาร อย่างไรก็ตามการทาออโตไลซย์ ีสตจ์ ะใหก้ ารย่อยไดข้ องโภชนะเพิ่มสงู ขึน้ ดงั นน้ั ผลิตภณั ฑย์ ีสตจ์ งึ เป็น
แหล่งโปรตีนทางเลือกสาหรบั ใช้เป็นอาหารสตั วไ์ ด้ อย่างไรก็ตามควรมีการศึกษาหาค่าการย่อยไดข้ องโปรตีนและ
กรดอะมโิ นในตวั สตั วต์ อ่ ไป

คาสาคญั : ออโตไลซย์ สี ต์ การยอ่ ยไดใ้ นหลอดทดลอง คา่ โภชนะ วตั ถดุ บิ แหลง่ โปรตีน ยีสต์

Abstract

The objective of this research was to study nutritional values and in vitro digestibility of crude protein
in whole yeast and autolyzed yeast in comparison to protein feedstuffs including soybean meal 44% crude
protein (SBM 44%), soybean meal 47% crude protein (SBM 47%), fermented soybean, fish meal 60% crude
protein and skim milk. Dry matter, crude protein (CP), ash, crude fiber and fat were analyzed, and in vitro
digestibility of protein was determined using pepsin enzyme for 6 hours (pH 2.0, 40°C), and thereafter
pancreatin enzyme for 18 hours (pH 6.8, 40°C). The results showed that fish meal had higher CP than
fermented soybean, SBM 47%, SBM 44%, autolyzed yeast, whole yeast and skim milk, amounting to 65.13,
54.96, 52.23, 46.78, 36.50, 33.79 and 32.86%, respectively. In addition, whole yeast and autolyzed yeast
had higher fat content (7.63 and 8.84%) than fish meal (5.72%), fermented soybean (2.15%), SBM 47%
(2.14%), SBM 44% (1.32%) and skim milk (1.07%). However, fish meal, whole yeast and autolyzed yeast
had higher ash (24.70, 19.45 and 18.48%, respectively) than soybean products and skim milk, ranging from
6.85-7.35%. For fiber content, SBM 44%, SBM 47% and fermented soybean higher crude fiber (5.08, 2.53
and 1.17%, respectively) than whole yeast, autolyzed yeast and fish meal (0.87, 0.88 and 0.27%), whereas
skim milk had no fiber content. With regard to in vitro digestibility, true digestibility of CP in skim milk,
fermented soybean, SBM 44%, fish meal, and SBM 44% was 96.33, 90.52, 89.62, 89.07 and 87.55%,
respectively, which were higher (P<0.01) than those values in whole yeast and autolyzed yeast, amounting

37

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ คร้ังที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564
to 66.14 and 82.37%, respectively. Likewise, the standardized ileal digestibility of CP in protein feedstuffs
ranged from 85.80 – 95.59%, which were higher (P<0.01) than whole yeast (59.53%) and autolyzed yeast
(79.18%). The possible explanation is that the rigid cell wall of yeast cells resists enzyme digestion in gastro-
intestinal tract. However, autolysis of yeast cell resulted in higher digestible nutrients. Therefore, yeast
products can be used as an alternative protein source in animal feed. However, further research is needed
to access the in vivo digestibility of protein and amino acids.

Keyword: Autolyzed yeast, In vitro digestibility, Nutritional value, Protein Feedstuffs, Yeast
*Corresponding author; email address: [email protected]

38

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ คร้งั ท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

ผลของการเสริมบายพาสไขมนั ตอ่ สมรรถภาพการเจรญิ เติบโต ลกั ษณะซาก
และคุณภาพเนือ้ ของโคพันธุก์ าแพงแสนเพศผูต้ อน

Effects of Bypass Fat Supplementation on Growth Performance,
Carcass Characteristic and Meat Quality
of Kamphaeng Saen steers

สหรัฐ ร้อยแกว้ 1 ภมู พงศ์ บญุ แสน2 วสิ ตู ร ไมตรีจิตต2์ และ ศริ ริ ตั น์ บวั ผนั 2
Saharat Roykaew1, Phoompong Boonsaen2, Wisut Maitreejet2 and Sirirat Buaphan2

บทคดั ย่อ
การวิจัยนีม้ ีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาผลของการเสริมบายพาสไขมันในอาหาร ต่อสมรรถภาพการ
เจริญเติบโต ลกั ษณะซาก และคุณภาพเนือ้ โดยใชโ้ คเนือ้ พันธุ์กาแพงแสน เพศผูต้ อน จานวน 12 ตัว นา้ หนัก
เร่ิมตน้ การทดลองเฉลี่ย 349.33 ± 26.40 กิโลกรมั ส่มุ โคออกเป็น 2 กล่มุ ไดแ้ ก่ กล่มุ ควบคุม (CON) และกล่มุ ท่ี
ไดร้ บั การเสริมบายพาสไขมนั ระดับ 200 กรมั /ตวั /วัน (BF) โคทงั้ สองกล่มุ ไดร้ บั อาหารพืน้ ฐานแบบเดียวกัน โดย
อาหารขน้ มีโปรตีนหยาบระดบั 14 เปอรเ์ ซ็นต์ มีฟางขา้ วเป็นแหล่งอาหารหยาบ ใชร้ ะยะเวลาในการทดลอง 8
เดือน วิเคราะหเ์ ปรียบเทียบความแตกต่างของลกั ษณะท่ีศึกษาแบบ independent T-Test ผลการทดลองพบว่า
CON และ BF มีปริมาณการกินได้ (DMI) เท่ากบั 8.68 และ 8.75 กิโลกรมั /วนั อตั ราการเจริญเติบโตเฉล่ียต่อวนั
(ADG) เท่ากับ 0.94 และ 0.91 กิโลกรัม/วัน และประสิทธิภาพการเปล่ียนอาหารเป็นนา้ หนกั ตัว (FCR) เท่ากับ
10.52 และ 10.51 ตามลาดบั ซ่งึ มีค่าไม่แตกต่างกัน (P>0.05) เช่นเดียวกบั ลกั ษณะซาก และคณุ ภาพเนือ้ ของโค
ทงั้ สองกลมุ่ มีคา่ ไมแ่ ตกต่างกนั ทางสถิติ (P>0.05)

คาสาคญั : โคพนั ธุก์ าแพงแสน บายพาสไขมนั ลกั ษณะซาก คณุ ภาพเนอื้

ABSTRACT
The objective of this study was to evaluate the effect of dietary bypass fat supplementation on
growth performance, carcass characteristic and meat quality of Kamphaeng Saen steers. Twelve
Kamphaeng Saen steers were used with average initial body weight of 349.33 ± 26.40 kg. Steers were
randomly assigned into two groups: the control group (CON), the treatment group receiving 200 g/h/d

1 นสิ ิตปรญิ ญาโท สาขาโภชนศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีอาหารสตั ว์ ภาควชิ าสตั วบาล คณะเกษตร กาแพงแสน มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยา
เขตกาแพงแสน นครปฐม 73140
Master of Science (Animal Nutrition and Feed Technology) Department of Animal Science, Faculty of Agriculture, Kasetsart
University Kamphaeng Saen Campus, Nakhonpathom 73140
2 ภาควิชาสตั วบาล คณะเกษตร กาแพงแสน มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน นครปฐม 73140
Department of Animal Science, Faculty of Agriculture, Kasetsart University Kamphaeng Saen Campus, Nakhonpathom 73140

39

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ ครัง้ ท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564
of bypass fat (BF). Both groups were fed the same basal diet. The concentrate diet containing 14%
crude protein with rice straw as roughage source. The experiment was conducted for 8 months and
analyzed using the independent t-test. The results were found that, dry matter intake (DMI), average
daily gain (ADG), feed conversion ratio (FCR) between CON and BF were not significant different
(P>0.05). The DMI were 8.68 compared to 8.75 kg/d. ADG were 0.94 compared to 0.91 kg/d, FCR were
8.59 compared to 8.75, as well as carcass characteristic and meat quality were not significant different
(P>0.05).

Key words: carcass characteristic, kamphaeng saen steer, meat quality, rumen-protected fat,
*Corresponding author; email address: [email protected]

40

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ ครั้งที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

การเสริมบายพาสกลูโคสในระยะเปล4ียนผ่าน ต่อสมรรถภาพการผลิตของโคนม
Supplementation of Rumen-Protected Glucose During Transition Period on Production

Performance of Dairy Cows

รัฐนันท์ เดชไธสง1 และ ศริ ิรัตน์ บวั ผนั 1*
Ruttanun Detthaisong1 and Sirirat Buaphan1*

บทคัดย่อ
การวิจยั ครัง+ นีม+ ีวตั ถปุ ระสงค์เพื:อศกึ ษาผลของการเสริมบายพาสกลโู คสตอ่ การกินได้ นํา+ หนกั ตวั ปริมาณและ
องค์ประกอบของนํา+ นม โดยใช้โคนมลกู ผสมโฮลสไตน์ฟรีเชียน ระดบั เลือดโฮลสไตน์ฟรีเซียนไม่ตํ:ากวา่ ร้อยละ 87.5%
ระยะก่อนคลอด 2 สปั ดาห์ ถึงระยะหลงั คลอด 4 สปั ดาห์ นํา+ หนกั ตวั เฉลี:ย 574 ± 95 กิโลกรัม จํานวน 10 ตวั จดั กล่มุ
การทดลองแบบเปรียบเทียบระหว่าง 2 กล่มุ การทดลองที:มีอิสระจากกนั ได้แก่ กล่มุ ควบคมุ (CON) และกล่มุ ที:เสริม
บายพาสกลูโคส ระดับ 200 กรัม/ตัว/วัน (RPG) โคนมได้รับอาหารพืน+ ฐาน ระยะก่อนคลอด และ ระยะหลงั คลอด
เหมือนกนั ทงั+ 2 กลมุ่ ระยะเวลาทดลอง 6 สปั ดาห์ มีระยะปรับตวั โค 1 สปั ดาห์ และระยะทดลอง 5 สปั ดาห์ พบวา่ กลมุ่
ท:ีเสริมบายพาสกลโู คส มีนํา+ หนกั ตวั หลงั คลอด สงู กว่ากลมุ่ ควบคมุ (P<0.05) และการเปล:ียนแปลงนํา+ หนกั ตวั ต:ํากว่า
กล่มุ ควบคมุ อย่างมีนยั สําคญั ทางสถิติ (P<0.05) ส่วนปริมาณการกินได้ในรูปวตั ถแุ ห้ง ปริมาณนมและองค์ประกอบ
ของนํา+ นม ของโคนมทงั+ สองกลมุ่ ไมแ่ ตกตา่ งกนั ทางสถิติ (P>0.05)

คาํ สาํ คัญ: บายพาสกลโู คส, โคนมระยะเปลย4ี นผา่ น, โคนม

ABSTRACT
The objective of this study was to investigate the effect of rumen-protected glucose
supplementation on dry matter intake, body weight, milk yield, and milk component of dairy cows. Twenty
crossbred Holstein Friesian (>87.5%HF) were used 2 week before expected parturition date and continued
until 4 week postpartum and body weight 574 ± 95 kg, using independent t-test design. Cows were randomly
assigned to 1 of 2 treatment: control group (CON) or treatment group receiving 200 g/h/d of rumen-protected
glucose (RPG). Both groups were fed the same basal diet. The experiment was conducted for 6 weeks with
1 week for adaptation period and 5 weeks for trial period. It was found the RPG group had higher body
weight at post-calving than CON (P<0.05) and the change in body weight lower than CON (p<0.05).
However, milk yield and milk component did not differ between treatments (P>0.05)

Keyword: Rumen-Protected Glucose, Transition period, Dairy Cow
*Corresponding author; email address: [email protected]
1ภาควชิ าสตั วบาล คณะเกษตรกาแพงแสน มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน จ. นครปฐม 73140
Department of Animal Science, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Kamphaeng Saen Campus, Nakhon Pathom 73140,
Thailand

41

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ คร้งั ที่ 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564

ผลของการใช้ฟางขา้ วปรับปรุงคุณภาพดว้ ยนา้ กากผงชูรสในอาหารทเี อ็มอาร์
ต่อกระบวนการหมกั โดยใช้เทคนิคการวดั ผลิตแกส๊ แบบ in vitro

Effects of Using Monosodium Glutamate by-product (MSGB) Treated Rice Straw in TMR on
Rumen Fermentation Characteristics by Using in vitro Gas Production Technique.

ศภุ รดา สภาพันธ1์ พงศธ์ ร คงม่นั 1 และ ก. ทีปลกั ษณ์ ระงบั เหต1ุ
Suparada Saphaphan1, Phongthorn Kongmun1,and K. Teepalak Rangabhet1

บทคดั ย่อ
วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั ในครงั้ นีค้ ือศกึ ษาผลของการปรบั ปรุงคณุ ภาพฟางขา้ วดว้ ยนา้ กากผงชรู สในสตู ร
อาหารทเี อม็ อารใ์ นแพะเนือ้ วางแผนการทดลองแบบสมุ่ สมบรู ณแ์ บง่ เป็น 4 ทรีทเมนต์ ๆ ละ 3 ซา้ ไดแ้ ก่ หญา้ แพง
โกลา่ (T1) ฟางขา้ ว (T2) ฟางขา้ วปรบั ปรุงดว้ ยนา้ กากผงชรู ส (T3) และ ฟางหมกั ยูเรีย (T4) เป็นอาหารหยาบสตู ร
อาหารทีเอ็มอารต์ ามลาดบั จากการศกึ ษาพบว่าค่าผลผลิตแก๊สสะสม ณ 72 ช่วั โมง ในสตู ร T3 มีค่าสงู กว่าหญ้า
แพงโกลา่ อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิ (p<0.05) ค่าเฉลีย่ ความเขม้ ขน้ ของแอมโมเนยี ไนโตรเจนและความเขม้ ขน้ ของ
กรดไขมนั ระเหยไดง้ ่ายทงั้ หมดไม่แตกต่างกัน (p>0.05) ความสามารถในการย่อยจริงไดแ้ บบ in vitro (IVTD) ใน
กลมุ่ T4 มีคา่ สงู ท่ีสดุ (p<0.05) ประชากรจลุ ินทรียไ์ มแ่ ตกต่างกนั (p>0.05) จากการศกึ ษาในครงั้ นีส้ ามารถสรุปได้
ว่าการปรบั ปรุงฟางขา้ วดว้ ยนา้ กากผงชรู สสามารถใชเ้ ป็นอาหารหยาบในสตู รอาหารแบบทีเอ็มอาร์ โดยไม่สง่ ผล
กระทบต่อกระบวนการหมกั ในกระเพาะรูเมน ประชากรจลุ ินทรียใ์ นกระเพาะรูเมน

คาสาคญั : แพะ นา้ กากผงชรู ส ฟางขา้ ว อาหารหยาบ อาหารทีเอม็ อาร์

Abstract
The objective of this research was to study the effects of Monosodium Glutamate by-product
(MSGB) treated rice straw in TMR for meat goat. The experimental design was a CRD with 4 treatments
and 3 replications. Experimental treatments were pangola hay (T1), rice straw (T2), MSGB treated rice
straw (T3) and urea treated rice straw (T4) as roughage source for TMR. The result was show cumulative
gas production at 72 hr. T3 was higher than pangola hay (p<0.05). Mean values of ruminal NH3-N and
total VFAs concentration were similar (p>0.05). The highest in vitro true digestibility (IVTD) among
treatment (p<0.05) was of T4. While, microbes populations were similar (p>0.05). Based on this study,
MSGB treated rice straw can be use as roughage in TMR and it did not effect on rumen microbes and
its fermentation.

Keywords: goat, monosodium glutamate by-product, rice straw, roughage, TMR
E-mail address: [email protected]

1 ภาควิชาสตั วบาล คณะเกษตร มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์
Department of Animal Husbandry, Faculty of Agriculture, Kasetsart University

42

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครั้งที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

ลักษณะภาพอลั ตราซาวดข์ องรอยโรคในตับและโอกาสการเกดิ มะเร็งเซลลต์ ับ
ในผู้ป่ วยติดเชอื้ ไวรัสตบั อักเสบบีเรอื้ รัง

Sonographic Appearance of Focal Liver Lesions and Likelihood of Hepatocellular Carcinoma
in Chronic Hepatitis B Virus Infection

สรณ สุทธิวานิช1 จริ พร เหล่าธรรมทศั น1์ สรุ เชษฎ์ สริ พิ งษส์ กลุ 1* และกมลวรรณ สนู ยก์ ลาง2
Sarana Suttivanich1, Jiraporn Laothamatas1, Surachate Siripongsakun1* and Kamonwan Soonklang2

บทคดั ยอ่
วัตถุประสงค:์ เพ่ือศึกษาลกั ษณะรอยโรคในตบั และความสมั พันธ์ของลกั ษณะของรอยโรคท่ีตรวจพบกบั มะเร็ง
เซลลต์ บั จากการคดั กรองมะเร็งเซลลต์ บั ดว้ ยอัลตราซาวด์ วัสดุและวิธีการ: การศึกษาแบบยอ้ นหลงั ในโครงการ
เฝ้าระวังและคดั กรองมะเร็งเซลลต์ บั ในผูป้ ่ วยติดเชือ้ ไวรสั ตับอกั เสบบีเรือ้ รงั โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ตงั้ แต่ พ.ศ.
2553 ถึง 2563 ผลการศึกษา: พบรอยโรคในตบั จานวน 435 รอยโรคจากผปู้ ่ วย 337 ราย เป็นมะเร็งเซลลต์ บั 25
รอยโรค โดยมีค่ามธั ยฐานของขนาดเท่ากับ 1.6 ซม. ปัจจยั ท่ีสมั พนั ธก์ ับมะเร็งเซลลต์ บั ไดแ้ ก่ อายุ, ภาวะตบั แข็ง
จากไวรสั ตบั อกั เสบบี, ขนาดรอยโรค และ ลกั ษณะ Hypoechoic rim ของรอยโรค (Odd ratio = 1.05, 3.65, 1.04
และ 68.05 ตามลาดบั ) สรุป: อาย,ุ ภาวะตบั แข็งจากไวรสั ตบั อกั เสบบี, ขนาดรอยโรค และลกั ษณะ Hypoechoic
rim จากอลั ตราซาวดเ์ ป็นปัจจยั ท่ีสมั พนั ธก์ บั มะเรง็ เซลลต์ บั การตรวจอลั ตราซาวดโ์ ดยใชป้ ัจจยั ดงั กลา่ ว ทาใหเ้ พ่ิม
ความระมดั ระวงั ในการตรวจ และอาจเพมิ่ โอกาสการตรวจพบโรคมะเรง็ เซลลต์ บั ในผปู้ ่วยกลมุ่ นมี้ ากขึน้

คาสาคัญ: อลั ตราซาวด,์ มะเรง็ ตบั , มะเรง็ เซลลต์ บั , ไวรสั ตบั อกั เสบบี

Abstract
Objective: To study the sonographic findings of liver nodules and its association to hepatocellular
carcinoma (HCC) from ultrasound (US) surveillance. Material and Method: Retrospective review of US
finding of liver nodules in chronic hepatitis B virus (HBV) infection patients during HCC surveillance at
Chulabhorn hospital from 2010-2020. Results: The study included 435 liver nodules from 337 patients.
There are 25 HCC lesions with a median size of 1.6 cm. Age, HBV cirrhosis, nodule size and
hypoechoic rim of the nodule are significantly associated with HCC. (Odd ratio = 1.05, 3.65,1.04, and
68.05, respectively). Conclusion: Age, HBV cirrhosis, nodule size, and hypoechoic rim were factor
associated with HCC. During US surveillance, these factors may help enhance in the awareness for
HCC detection and management.

Keyword: Ultrasound, Hepatocellular carcinoma, HCC, Chronic hepatitis B infection
*Corresponding author; email address: [email protected]

1 คณะเทคโนโลยีวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วทิ ยาลยั วิทยาศาสตรก์ ารแพทยเ์ จา้ ฟา้ จฬุ าภรณ์ ราชวทิ ยาลยั จฬุ าภรณ์ กรุงเทพ 10210
Faculty of Health Science Technology, HRH Princess Chulabhorn College of Medical Science, Bangkok10210, Thailand
2 ศนู ยก์ ารเรยี นรูแ้ ละวจิ ยั เฉลมิ พระเกียรติ 60 พรรษาจฬุ าภรณ์ ราชวิทยาลยั จฬุ าภรณ์ กรุงเทพ 10210
Center of Learning & Research in Celebration of HRH Princess Chulabhorn's 60th Birthday Anniversary, Bangkok10210, Thailand

43

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ ครงั้ ท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

ผลของการเสรมิ ซากพอ่ แม่เพรยี งทราย (Perinereis quatrefagesi) ในรูปแบบ ฟรซี ดราย (Freeze-
Dried) และสารสกัดฮอรโ์ มนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ในอาหารต่อ ดชั นีความสมบูรณเ์ พศ

ความดกไข่ ขนาดเมด็ ไข่ ในแม่พันธุป์ ลาชะโอน (Ompok bimaculatus)
Effects of Freeze-Dried dead sand worm (Perinereis quatrefagesi) parents on reproductive

indices including gonadosomatic Index (GSI), fecundity, Egg Diameter in Butter catfish
(Ompok bimaculatus) compared with progesterone.

ภาณพชั รอดคง1 ชนกนั ต์ จติ มนสั 1 ขจรเกียรติ์ ศรีนวลสม1 จอมสดุ า ดวงวงษา1*
Panapat Rodkong1, Chanagun Chitmanat 1, Khajornkiat Srinuansom 1 Jomsuda Duangwongsa1*

บทคดั ย่อ
ผลของการเสรมิ ซากพอ่ แมเ่ พรียงทราย (P. quatrefagesi) ต่อ ดชั นีความสมบรู ณเ์ พศ (Gonadosomatic
Index; GSI) ความดกไข่ (Fecundity) ขนาดเมด็ ไข่ (Egg diameter) ในแม่พนั ธุป์ ลาชะโอน (O. bimaculatus) ใน
รูปแบบ ฟรีซดราย (Freeze-Dried) และสารสกัดฮอรโ์ มนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) โดย ชุดการทดลองท่ี
T1, T2 และ T3 คือ ชุดควบคมุ ฟรซี ดราย (Freeze-Dried) และสารสกดั ฮอรโ์ มนโปรเจสเตอโรน (Progesterone)
ตามลาดบั พบว่า ดชั นคี วามสมบรู ณเ์ พศ และความดกไข่ ชดุ การทดลองท่ี T3 และ T2 แตกตา่ งกบั ชดุ การทดลอง
ท่ี T1 อย่างมีนยั สาคัญทางสถิติ (P<0.05) โดยมีค่าเฉลี่ยดชั นีความสมบูรณเ์ พศ เท่ากับ 7.65±2.63, 5.17±2.59
และ 0.00±0.00 ตามลาดบั ค่าเฉล่ียความดกไข่ เท่ากบั 5778.00±710.51, 4385.66±1872.84 และ 0.00±0.00
ฟอง ตามลาดบั สว่ นขนาดเม็ดไข่ ชดุ ทดลองท่ี T2 และ T3 แตกต่างกบั ชดุ การทดลองท่ี T1 อย่างมีนยั สาคญั ทาง
สถิติ (P<0.05) โดยมีค่าเฉลี่ย 0.71±0.19 มม. 0.45±0.20 มม. และ 0.00±0.00 มม. ตามลาดบั

คาสาคัญ : ฟรซี ดราย, สารสกดั ฮอรโ์ มนโปรเจสเตอโรน, ดชั นคี วามสมบรู ณเ์ พศ, ความดกไข่, แม่พนั ธุป์ ลาชะโอน

Abstract
The Effects of Freeze-Dried dead sand worm (P. quatrefagesi) parents on reproductive
indices including gonadosomatic Index (GSI), fecundity, Egg Diameter in Butter catfish (O.
bimaculatus) compared with progesterone. Treatments 1, 2 and 3 were, Freeze-Dried dead sand
worm, and progesterone. it was found that the gonadosomatic index and fecundity of fish in treatment
3 and treatment 2 were significantly different from the ones in treatment 1 (P < 0.05), with mean fertility
indices were 7.65 ± 2.63. ,5.17 ± 2.59 and 0.00 ± 0.00; mean fertility were 5778.00 ± 710.51, 4385.66 ±
1872.84 and 0.00 ± 0.00 eggs. The egg diameters from Butter catfish in treatment 2 and 3 were

1 คณะเทคโนโลยีการประมงและทรพั ยากรทางนา้ มหาวิทยาลยั แมโ่ จ้ เชียงใหม่ 50290
Faculty of Fisheries Technology and Aquatic Resources, Maejo University, Chiang Mai, 50290

44

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ คร้งั ที่ 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564
different from the ones in treatment 1 (P < 0.05). The average egg diameters were 0.71 ± 0.19 mm,
0.45 ± 0.20 mm. and 0.00 ± 0.00 mm, respectively.

Keyword Freeze-Dried, Progesterone, Gonadosomatic Index; GSI, Fecundity, Ompok bimaculatus
*Corresponding author; e-mail address : [email protected]

45

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครั้งท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

Screening of Probiotic Bacillus spp. and their Efficiency in Controlling of Streptococcus agalactiae
(Laboratory Method) in vitro

Vissamsetty Veera Venkata Kanaka Malleswara Rao1, Methee Kaewnern2 , and Narongrit Muangmai3

ABSTRACT
Asian seabass (Lates calcarifer, Bloch) is an important commercial and subsistence fish in
Southeast Asia and Australia. Aquaculture production of Asian seabass is a rapidly growing enterprise
with a rapidly expanding market as a popular seafood item in many European and North American
countries. To date, diseases caused by bacteria greatly damage the culture of Asian seabass worldwide.
Streptococcus agalactiae is the causative agent of Streptococcosis disease. The current study aimed to
screen effectively probiotic Bacillus spp. bacteria for their ability to control the pathogenic bacteria
Streptococcus agalactiae using a co-culture system and dot-spot methods. Bacillus pumilus (B4), Bacillus
amyloliquefaciens (B6), and Bacillus subtilis (B12) are the probiotics. The Pathogenic bacteria's zones are
inhibited by these three Bacillus spp. at 0.90± 0.100, 2.40± 0.200, and 2.50± 0.265 mm, respectively. B.
subtilis possessed some of the unique qualities. B. amyloliquefaciens and B. pumilus were shown to be the
most effective at controlling Streptococcus agalactiae. After 120 hours of incubation, the inclusion of Bacillus
spp. B4, B6, and B12 resulted in a significant inhibition of Streptococcus agalactiae serotype-Ia growth.
Whereas there was minimal difference detected in Bacillus spp. at the end of the co-culture experiment. As
a result, B4, B6 and B12 may be recommended for use as mono or combination fish probiotics, and their
efficacy will be further investigated in vivo.

Keywords : Asian seabass, Probiotic, Bacillus, Co-culture, Dot-spot.
Email address : [email protected]

1Fishery Science and Technology (International Program), Laboratory of Aquatic Animal Health Management,
Department of Aquaculture, Faculty of Fisheries, Kasetsart University
2 Department of Aquaculture, Faculty of Fisheries, Kasetsart University
3 Department of Fishery Biology, Faculty of Fisheries, Kasetsart University

46

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ ครั้งท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

การศกึ ษาและพัฒนาชุดอุปกรณส์ างและเกบ็ รวบรวมใบอ้อย
Study and Development of An Implement for Sugarcane Leaf Plucking and Collecting

ดารีส มะหะหมดั 01 อาทติ ย์ พวงสมบตั ิ1,แกว้ กานต์ พวงสมบตั 1ิ , ประเทือง อษุ าบรสิ ทุ ธิ์1, อนพุ นั ธ์ เทอดวงศว์ รกลุ 1
Darees Mahamad 1, Artit Phuangsombut1, Kaewkran Phuangsombut1, Prathuang Usaborisut1, Anupun

Terdwongworakul1

บทคัดยอ่
ชดุ อปุ กรณส์ างและเกบ็ รวบรวมใบออ้ ยถกู ออกแบบและพฒั นาใหส้ ามารถสางและเกบ็ รวบรวมใบออ้ ยออก
จากแปลงได้ เพ่ือลดปัญหาการเผาใบออ้ ย โดยชุดอกุ รณจ์ ะถกู ติดตงั้ ทา้ ยรถแทรกเตอรข์ นาดเล็ก มีส่วนประกอบ
หลกั 2 ส่วน คือ ส่วนท่ีทาํ การสางใบออ้ ย และส่วนท่ีเก็บรวบรวมใบออ้ ย โดยพิจารณาถึงนา้ํ หนักของใบออ้ ยท่ี
สามารถสางและเกบ็ ได้ เพ่ือหาประสิทธิภาพของอปุ กรณ์ จากการทดสอบพบวา่ ท่ีความเรว็ รอบเคร่ืองยนต์ 2,000
rpm (1.14 กิโลเมตร/ช่ัวโมง) ความเร็วโรลเลอรช์ ุดสางเฉล่ีย 725 rpm ชุดอุปกรณ์สางและเก็บใบอ้อยมี
ประสิทธิภาพในการสางใบออ้ ยเฉล่ีย 83.45 เปอรเ์ ซ็นต์ ประสิทธิภาพในการเก็บใบออ้ ยเฉล่ีย 37.61 เปอรเ์ ซ็นต์
ประสทิ ธิภาพในการทาํ งานเฉล่ยี 76.86 เปอรเ์ ซน็ ต์ และอตั ราการสนิ้ เปลืองนา้ํ มนั เชือ้ เพลงิ เฉล่ยี 3.22 ลิตรตอ่ ไร่

คาํ สาํ คญั : ใบออ้ ย อปุ กรณส์ างและเก็บรวบรวมใบออ้ ย

Abstract
The sugarcane leaf plucking and collecting equipment set collecting were designed and
developed being able to collect sugarcane leaves from the plot. to reduce the problem of burning
sugarcane leaves. The equipment will be installed in the back of the mini tractor. There are two main
components, namely the part that sugarcane leaf plucking. and the part that collects sugarcane
leaves by considering the weight of sugarcane leaves that can be plucked and collected to find out
the performance of the device. Test results showed that engine speed was 2000 rpm (1.14 km/hr) and
the roller speed of the plucking system was 725 rpm. The leaf plucking and collecting system
provided the combing efficiency of 83.45%, leave collecting efficiency of 37.61%, average operation
efficiency of 76.86%, and average fuel consumption of 3.22 liter/rai.

Key words: Sugarcane leaf, Sugarcane leaf plucking and collecting
E-mail address: [email protected]

1 ภาควชิ าวศิ วกรรมเกษตร คณะวศิ วกรรมศาสตร์ กาํ แพงแสน มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน
Department of Agricultural Engineering, Faculty of Engineering at Kamphaeng Saen, Kasetsart University, Kamphaeng Saen
Campus

47

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ ครงั้ ที่ 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

การแบ่งกลุ่มข้อมูลพนื้ ทเี่ พาะปลูกข้าวในประเทศไทย ด้วยเทคนิคการทาํ เคมีนคลัสเตอรร์ ิ่ง
Clustering Analysis of Rice Cultivation Areas in Thailand by Applying K-Means Clustering

Technique

พรรณิภา สาขจร01* ภาวดี ชยั ษา1 อนพุ งศ์ สขุ ประเสรฐิ 12 และสภุ าวรรณ จนั ทรไ์ พแสง23
Pannipa Sakhajon1*, Pawadee Chaiyasa1, Anupong Sukpraert2 and Suphawan Janphaisaeng3

บทคัดยอ่
งานวิจยั นีม้ ีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือศกึ ษาจาํ นวนกลุ่มและแบ่งกลมุ่ พืน้ ท่ีเพาะปลูกขา้ วในประเทศไทย โดยใช้
เทคนิคการแบ่งกล่มุ ขอ้ มลู ดว้ ยวิธีการแบ่งกลุ่มเคมีน ซ่งึ เป็นขอ้ มลู ผลผลิตจากการเพาะปลกู ขา้ วในประเทศไทย
77 จังหวดั จากการวิเคราะหข์ อ้ มูลพบว่าสามารถแบ่งกลุ่มพืน้ ท่ีเพาะปลูกขา้ วในประเทศไทยได้ 5 กล่มุ ดงั นี้ 1)
กล่มุ ผูป้ ลูกขา้ วนาปรงั ท่ีผลผลิตเฉล่ีย 13,242.5 ตัน 2) กลุ่มผูป้ ลกู ขา้ วนาปี ท่ีผลผลิตเฉล่ีย 1,076,468 ตนั 3)
กลมุ่ ผูป้ ลกู ขา้ วนาปี ท่ีผลผลิตเฉล่ีย 722,991.5 ตนั 4) กลมุ่ ผูป้ ลกู ขา้ วนาปี ท่ีผลผลิตเฉล่ีย 209,906 ตนั และ 5)
กลมุ่ ผปู้ ลกู ขา้ วนาปี ท่ีผลผลิตเฉล่ีย 595,977 ตนั ซ่งึ ผลผลิตจากการเพาะปลกู ขา้ วของประเทศไทยในแต่ละกลุ่ม
สามารถนาํ ไปกาํ หนดนโยบาย เพ่ือใหเ้ กษตรกรสามารถบรกิ ารจดั การเร่ืองขา้ วไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ

คาํ สาํ คัญ: การแบง่ กลมุ่ ขอ้ มลู พืน้ ที่เพาะปลกู ขา้ ว การทาํ เหมืองขอ้ มลู

Abstract
The objectives of this research were to classify the rice cultivation areas in Thailand by
applying data clustering technique using K-means clustering method. The data, used in this empirical
study, were from rice cultivation areas in Thailand. The results of the data analysis revealed that the
rice cultivation areas in Thailand can be divided into 5 different groups consisting of 1) out-of-season
rice farmers with average crops of 13,242.5 tons 2) in-season rice farmers with average crops of
1,076,468 tons 3) in-season rice farmers with average crops of 722,991.5 tons 4) in-season rice
farmers with average crops of 209,906 tons 5) in-season rice farmers with average crops of 595,977
tons. The results from this study can be used by policy makers in assisting rice farmers for better
efficiency.

Keywords: clustering analysis, cultivation area, data mining
*Corresponding author; e-mail address: [email protected]

1 สาขาวิชาคอมพิวเตอรธ์ รุ กิจ คณะการบญั ชีและการจดั การ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม
1 Business Computer Department, Mahasarakham Business School, Mahasarakham University.
2 อาจารยป์ ระจาํ สาขาวิชาคอมพวิ เตอรธ์ รุ กิจ คณะการบญั ชีและการจดั การ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม
2 Lecturer of Business Computer, Business Computer Department, Mahasarakram Business School, Mahasarakram University
3 ผชู้ ว่ ยศาสตราจารยป์ ระจาํ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร
3 Assistant Professor, Department of Mathematics, Faculty of Science, Naresuan University.

48

การประชุมวชิ าการระดับชาติ ครงั้ ท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

ความสัมพนั ธร์ ะหว่างดชั นีพชื พรรณจากภาพทางอากาศกับการเจริญเติบโตของออ้ ย
Relationships between Vegetation Indices derived from Aerial Images and Sugarcane Growth

อริสรา เกษมจติ ร1์ ,2 วนั รฐั อบั ดลุ ลากาซิม1 ฐิตพิ งษ์ สถิรเมธีกลุ 2,3
Arissara Kasemjit 1,2, Wanrat Abdullakasim1 and Thitipong Satiramatekul2,3

บทคัดยอ่

งานวิจยั นีม้ ีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือศึกษาเปรียบเทียบความสมั พนั ธร์ ะหว่างดชั นีพืชพรรณ ExG, ExR, ExGR,
MExG, NGRDI, NDVI, GNDVI, SAVI, OSAVI และ IPVI กับการเจริญเติบโตของอ้อย การทดลองทาโดย
บันทึกภาพทางอากาศของแปลงปลูกออ้ ยท่ีระดับความสูง 90 เมตร ดว้ ยอากาศยานไรค้ นขับติดตงั้ กลอ้ งมลั ติ
สเปกตรมั ทกุ สปั ดาหพ์ รอ้ มวดั ความสงู ลาตน้ ของออ้ ยตงั้ แต่เร่มิ แตกยอดจนถึงอายุ 5 เดือน ผลการวิจยั พบว่าดชั นี
พืชพรรณในกลมุ่ ท่ีนาสเปกตรมั ในช่วงอนิ ฟราเรดย่านใกลม้ าประมวลดว้ ยจะให้ความสมั พนั ธเ์ ชงิ เสน้ ตรงกบั ความ
สงู ของตน้ ออ้ ยไดด้ ีกว่าดชั นีพืชพรรณในกลมุ่ ท่ีใชส้ เปกตรมั ในช่วงคล่ืนท่ีมองเห็นเพียงอย่างเดียว โดยพบว่าดชั นี
NDVI ใหค้ วามสมั พนั ธก์ บั ความสงู ลาตน้ ออ้ ยไดด้ ีท่ีสดุ (R2=0.9832) ซ่ึงการศึกษานีย้ งั คงตอ้ งเก็บขอ้ มลู เพ่ิมเติม
เพ่อื ศกึ ษาความสมั พนั ธจ์ นถงึ อายกุ ารเก็บเก่ียว

คาสาคัญ: ออ้ ย, อากาศยานไรค้ นขบั , กลอ้ งมลั ตสิ เปกตรมั , ดชั นีพืชพรรณ

Abstract

The objective of the present study was to develop compare the relationships between different
vegetation indices, including ExG, ExR, ExGR, MExG, NGRDI, NDVI, GNDVI, SAVI, OSAVI, and IPVI,
and the sugarcane growth. Aerial images of a sugarcane field at an altitude of 90 m were collected once
a week using an unmanned aerial vehicle mounted with a multispectral camera, and the plant height
was measured, starting from sprouting to the fifth months. The results showed that the vegetation indices
derived from near-infrared spectrum tended to provide a stronger linear correlation between the index
value and the sugarcane stalk height. Of these, the NDVI provided the best relationship, giving an R2 of
0.9832. Further experiment is required in order to observe the progress of relationships until the harvest.

Keyword: Sugarcane, Unmanned aerial vehicle, Multispectral camera, Vegetation Index
E-mail address: [email protected]

1 ภาควิชาวิศวกรรมเกษตร คณะวศิ วกรรมศาสตร์ กาแพงแสน มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน จ.นครปฐม 73140
Department of Agricultural Engineering, Faculty of Engineering at Kamphaeng Saen, Kasetsart University, Kamphaeng Saen
Campus, Nakhon Pathom 73140, Thailand
2 ศนู ยค์ วามเป็นเลิศดา้ นเทคโนโลยชี ีวภาพเกษตร สานกั งานปลดั กระทรวง กระทรวงการอดุ มศกึ ษา วิทยาศาสตร์ วิจยั และนวตั กรรม กรุงเทพฯ 10900
Center of Excellence on Agricultural Biotechnology (AG-BIO/MHESI), Bangkok 10900, Thailand
3 ภาควชิ าวศิ วกรรมคอมพวิ เตอร์ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ กาแพงแสน มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน จ.นครปฐม 73140
Department of Computer Engineering, Faculty of Engineering at Kamphaeng Saen, Kasetsart University, Kamphaeng Saen
Campus,Nakhon Pathom, 73140, Thailand

49

การประชุมวิชาการระดับชาติ ครัง้ ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

การหาพนื้ ทผี่ ิวนา้ํ จากภาพถา่ ยดาวเทยี มโดยใช้ Deep Learning
Estimating Water Surface Area from Satellite Image by A Deep Learning

ธวชั ชยั เปาทุ้ย01, จิระกานต์ ศิรวิ ชิ ญไ์ มตร1ี * , และ วราวธุ วฒุ ิวณิชย์ 1
Thawatchai Paothui 1, Chirakarn Sirivitmaitrie1*, and Varawoot Vudhivanich1

บทคัดย่อ
การศึกษาเร่ืองการหาพืน้ ท่ีผิวนาํ้ จากภาพถ่ายดาวเทียมโดยใช้ Deep Learning มีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือหา
พืน้ ท่ีผิวนาํ้ จากภาพถ่ายดาวเทียมโดยการพฒั นาอลั กอริทึมจากเทคนิควิธีการเรียนรูเ้ ชิงลกึ ใหอ้ ลั กอริทึมเรียนรู้
เชิงลึกแบบวนซาํ้ จากการกระจายของสีในภาพถ่ายดาวเทียมเพ่ือใชเ้ ป็นขอ้ มูลสถิติประกอบการตดั สินใจของ
อลั กอริทึม ซ่งึ มีขัน้ ตอนท่ีสาํ คญั 2 ขัน้ ตอน คือ 1.การเรียนรูก้ ารตดั แบ่งภาพสีนา้ํ จริงท่ีไดจ้ ากภาพถ่ายดาวเทียม
2.การจาํ แนกระหวา่ งพืน้ ท่ีผิวนา้ํ และพืน้ ท่ีท่ีไม่ใช่ผิวนาํ้ การศกึ ษาครงั้ นีเ้ ลือกใชภ้ าพถ่ายดาวเทียมจาก Google
Earth Pro พืน้ ท่ีอา่ งเกบ็ นา้ํ ของเข่ือนขนุ ดา่ นปราการชล จงั หวดั นครนายก เป็นพืน้ ท่ีทดสอบ
ผลการศกึ ษาพบวา่ อลั กอริทมึ ท่ีพฒั นาขนึ้ ใหค้ ่าความถกู ตอ้ งรวม (Overall Accuracy) เทา่ กบั 97.222%
สว่ นความผิดพลาดของขอ้ มลู ท่ีทาํ การจาํ แนกขาดหายไป (Omission Error) ของพืน้ ท่ีผิวนาํ้ และพืน้ ท่ีท่ีไมใ่ ช่ผิวนา้ํ
มคี า่ เท่ากบั 0.000% และ 2.817% ตามลาํ ดบั ดงั นนั้ การหาภาพผิวนาํ้ ท่ีพฒั นาการเรียนรูข้ องอลั กอริทมึ สามารถ
หาภาพผิวนา้ํ ของเข่ือนขนุ ด่านปราการชลไดอ้ ย่างมีความถกู ตอ้ งและแมน่ ยาํ ซง่ึ สามารถพฒั นาตอ่ ยอดอลั กอริทึม
ใหส้ ามารถหาพืน้ ท่ีผิวนาํ้ ทงั้ ในพืน้ ท่ีอา่ งเก็บนาํ้ แหลง่ นา้ํ และพืน้ ท่ีบางสว่ นของแหลง่ นา้ํ ไดอ้ กี ดว้ ย

คาํ สาํ คัญ : พนื้ ที่นาํ้ , การเรยี นรูเ้ ชิงลึก, ภาพถ่ายดาวเทยี ม

Abstract
The study of estimating water surface area from satellite image by a deep learning aims to
estimate water surface area from selected satellite images by developing deep learning technique
algorithms. The algorithm recursively deep-learns from the distribution of colors in satellite images to
provide statistical data for the algorithm's decision-making. There are two important steps; 1. Learning
to segment the actual color of water surface obtained from satellite images; 2. The classification
between surface and non-water surface areas. This study used water surface area from Google Earth
Pro satellite imagery of the Khun Dan Prakanchon Dam, Nakhon Nayok Province, as a studied area.
The results showed that the developed algorithm gives the overall accuracy of 97.222%.
Omission Error of surface area and non-surface area are 0.000% and 2.817%, respectively.
Therefore, water surface area of Khun Dan Prakanchon Dam using Google Earth Pro satellite images

1 ภาควชิ าวิศวกรรมชลประทาน คณะวศิ วกรรมศาสตร์ กาํ แพงแสน มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ จงั หวดั นครปฐม 73140
Department of Irrigation Engineering, Faculty of Engineering at Kamphaeng Saen, Kasetsart University, Nakhon Pathom, 73140

50

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้งั ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564
can be estimated by developed learning algorithms with accuracy. Moreover, This algorithm can be
further developed to estimate the water surface area of reservoirs, water bodies and parts of water
bodies as well

Keyword: Water Surface Area, Deep Learning, Satellite Image
*Corresponding author; email address: [email protected].

51

การประชมุ วิชาการระดับชาติ คร้ังท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

การใช้นาํ้ ประปาของหอพักนิสิตในพนื้ ที่องคก์ ารบริหารส่วนตาํ บลกาํ แพงแสน
Tap Water Consumption of the Dormitories in Kamphaengsaen Subdistrict Administrative

Organization Area

ฉัตรฤดี สนั ตจติ ร1,ชตุ มิ า ขวญั เกต0ุ1, ชชั ชญา นิกรพนั ธ1์ , ธญั ดร ออกวะลา1 และนธิ ิรชั ต์ สงวนเดือน1*
Chatrudee Santajit1, Chutima Khwanket1, Chatchaya Nikornpan1 , Thundorn Okwala1
And Nitirach Sa-nguanduan1*

บทคัดย่อ
งานวิจยั นีม้ ีจดุ ประสงคเ์ พ่ือศกึ ษาอตั ราการใชน้ าํ้ ประปาของหอพกั นิสติ ในพืน้ ท่ีองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาํ บล
กาํ แพงแสน โดยใชข้ อ้ มลู ปริมาณการใชน้ า้ํ ประปายอ้ นหลงั จาํ นวน 5 ปี (ปีพ.ศ.2559 ถงึ 2563) พบวา่ อตั ราการใช้
นาํ้ เฉล่ยี เท่ากบั 80.5 ± 29.3 ลิตร/คน/วนั โดยหอพกั นิสิตท่ีจดั เกบ็ คา่ นา้ํ ประปาแบบเหมาจ่าย มอี ตั ราการใชน้ าํ้ สงู
กว่าหอพกั ท่ีจดั เก็บค่านาํ้ ประปาแบบตามปริมาณการใชน้ า้ํ และหอพกั นิสิตท่ีมีขนาดนอ้ ยกวา่ 80 หอ้ งมีอตั ราการ
ใชน้ า้ํ สงู กวา่ หอนิสิตท่ีมขี นาด 80 หอ้ งขนึ้ ไป อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิตทิ ่ีระดบั 0.05
คาํ สาํ คัญ : การใชน้ า้ํ , หอพกั , การจดั เก็บคา่ นาํ้ ประปา

Abstract
The purpose of this research is to study the rate of tap water consumption of student
dormitories in Kamphaeng Saen Subdistrict Administrative Organization area. Using data on tap water
usage for the past 5 years (2016 to 2020), it was found that the average water consumption rate was
80.5 ± 29.3 lpcd. With a significance level of 0.05, the water consumption rate of the dormitory with a
water bill based on a fixed rate is higher than the dormitory with a water bill based on the amount of
water. Also, the dormitory with a size of fewer than 80 rooms has a higher water consumption rate than
the dormitory with a size of 80 rooms or more.

Keywords: Water consumption, Dormitories, tap water charging
*Corresponding author; E-mail address: [email protected]

1 ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน คณะวศิ วกรรมศาสตร์ กาํ แพงแสน มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ นครปฐม 73140
Department of Irrigation Engineering, Faculty of Engineering at Kamphaengsaen, Kasetsart University, Nakhonpathom 73140

52

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

การศกึ ษาการปรับปรุงคุณภาพดนิ ทรายปนดนิ เหนียวเพอ่ื ใช้ในการก่อสร้างผิวทางชนิดไม่ปูลาด
A study on cement-stabilized well graded sand with clay for use in unpaved roads

ฐิตพิ ร พนั ธุท์ า่ ชา้ ง1 ปรญิ ญ์ มฤทสุ าธร2 ชาครติ ชวู ฒุ ยากร1
Thitibhorn Phantachang1 Parin Mruetusatorn2 and Chakrit Choovuthayakorn1

บทคัดยอ่
ผิวทางชนิดไมป่ ูลาดมกั ก่อสรา้ งดว้ ยดินเดิมหรือแหล่งอ่ืนดว้ ยการบดอดั ใหแ้ น่น เน่ืองจากวิธีการก่อสรา้ งไม่
ยุ่งยาก ค่าใชจ้ ่ายในการก่อสรา้ งและดูแลรกั ษาท่ีต่าํ การศึกษานีม้ ีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือศึกษาการปรบั ปรุงคณุ ภาพดิน
ทรายปนดินเหนียวดว้ ยวิธีผสมซีเมนต์ ผลของปริมาณซีเมนตต์ ่อการรบั กาํ ลงั อดั ปริมาณซีเมนตท์ ่ีเหมาะสมสาํ หรบั
การออกแบบก่อสรา้ ง โดยใชแ้ หล่งดินจากถนนเพ่ือการเกษตร อาํ เภอแม่สรวย จังหวดั เชียงราย ดินเดิมมีค่าความ
หนาแน่นแหง้ สูงสดุ 2.01 ตนั ต่อลบ.ม.ปริมาณนา้ํ ท่ีเหมาะสมรอ้ ยละ 11.50 ผลการทดสอบแคลิฟอรเ์ นียแบร่ิงเรโช
เท่ากับรอ้ ยละ 12 ดินทดสอบถูกนาํ มาผสมซีเมนตท์ ่ีรอ้ ยละ 0 2 4 6 8 และ 10 ของนา้ํ หนักดินแหง้ ผลการทดสอบ
ตัวอย่างท่ีอายุ 7 วนั ค่ากาํ ลงั เท่ากับ 4.06 6.79 13.40 16.86 18.50 และ 23.85 กก./ตร.ซม. ค่ากาํ ลงั อัดแกนเดียว
ของดนิ หลงั ปรบั ปรุงคณุ ภาพมีคา่ สงู ขนึ้ แปรผนั ตรงตามปรมิ าณซีเมนตท์ ่ีเพ่ิมขนึ้

คาํ สาํ คัญ : ดนิ ซเี มนต์ ดนิ ทรายปนดนิ เหนียว ถนนไมม่ ีการปลู าด ถนนเพือ่ การเกษตร การปรบั ปรุงคณุ ภาพดนิ

Abstract
Unpaved roads, constructed using residual soils, have advantages due to constructed with low
technical qualities and economical maintenance costs. This research aimed to study the behavior of well
graded sand with clay stabilized by cement. The geotechnical properties of farm road’s soil from Mae-Suai
Chang Rai were evaluated. The maximum dry density was 2.01 t/m3 while the optimum moisture content
was 11.50% and 12% of California bearing ratio test (CBR). The silty sand was classified as SW-SC.
Percentages of cement representing 0 2 4 6 8 and 10 by dry weight of soil were mixed. The average
compressive strength tests (UCS) are 4.06 6.79 13.40 16.86 18.50 และ 23.85 ksc after 7 days curing. The
results revealed that the UCS values increased with increasing concentrations of cement content.

Keywords : Soil cement, Sand with clay, Unpaved Road, Farm Road, Soil Improvement
E-mail address : [email protected]

_______________________________________
1 สาขาวิศวกรรมโยธาและส่งิ แวดลอ้ ม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
Division of Civil and Environmental Engineering Faculty of Engineering Rajamangala University of Technology Lanna
2 วิศวกรโยธาชาํ นาญการพิเศษ กรมทางหลวง
Professional Level Department of Highways

53

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

การศึกษากาํ ลังอัดและความคงทนต่อกรดซัลฟูรกิ ของมอรต์ ารท์ ที่ าํ จากส่วนผสมของกาก
แคลเซยี มคารไ์ บดแ์ ละเถ้าถ่านหนิ ทก่ี ระตุ้นดว้ ยด่าง

A Study of Compressive Strength and Sulfuric Acid Resistance of Alkali Activated Mortar Made
with Calcium Carbide Residue and Fly Ash Mixtures

พลอยปภตั ร์ แสงอุทยั 1 วีรชาติ ตงั้ จิรภทั ร 2
Ploypapat Sanguthai 1, and Weerachart Tangchirapat 2

บทคัดย่อ
งานวิจยั นีศ้ กึ ษากาํ ลงั อดั และความคงทนต่อสารละลายกรดซลั ฟรู ิกของมอรต์ ารท์ ่ีทาํ จากส่วนผสมของกาก
แคลเซยี มคารไ์ บดแ์ ละเถา้ ถ่านหินแคลเซียมต่าํ ท่ีกระตนุ้ ดว้ ยด่าง โดยมีสดั สว่ นของกากแคลเซียมคารไ์ บดต์ อ่ เถา้ ถ่าน
หินเท่ากบั 15:85 30:70 และ 45:55 โดยนาํ้ หนกั วสั ดปุ ระสาน ความเขม้ ขน้ ของสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซดเ์ ทา่ กบั
4 6 8 และ 10 โมลาร์ อัตราส่วนของวัสดุประสานต่อมวลรวมละเอียดคงท่ีเท่ากับ 1:2.75 โดยนาํ้ หนัก อัตราส่วน
ของเหลวต่อวสั ดุประสานคงท่ีเท่ากบั 0.85 โดยแบ่งการทดสอบออกเป็น 2 ส่วน ไดแ้ ก่ การทดสอบกาํ ลงั อดั และการ
เปล่ียนแปลงนาํ้ หนกั ของมอรต์ ารท์ ่ีกระตนุ้ ดว้ ยด่างเม่ือแช่ในสารละลายกรดซลั ฟรู ิกความเขม้ ขน้ รอ้ ยละ 5 โดยนาํ้ หนกั
สารละลาย จากผลการวิจยั พบวา่ การเพ่ิมขึน้ ของความเขม้ ขน้ ของสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซดจ์ าก 4 ถึง 8 โมลาร์
และการเพ่ิมปริมาณกากแคลเซียมคารไ์ บด์ ช่วยพฒั นากาํ ลงั อดั ของมอรต์ ารท์ ่ีกระตนุ้ ดว้ ยดา่ งใหส้ งู ขนึ้ โดยมอรต์ ารท์ ่ี
กระตนุ้ ดว้ ยสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซดค์ วามเขม้ ขน้ เท่ากบั 8 โมลาร์ และมีสดั ส่วนของกากแคลเซียมคารไ์ บดต์ ่อ
เถ้าถ่านหินเท่ากับ 30:70 โดยนา้ํ หนักวัสดุประสาน สามารถพัฒนากําลังอัดท่ีอายุ 28 วัน ได้สูงถึง 45.0 เมกะ
ปาสคาล และการตา้ นทานสารละลายกรดซลั ฟูริก ความเขม้ ขน้ รอ้ ยละ 5 โดยนา้ํ หนักสารละลายลดลงเม่ือปริมาณ
กากแคลเซียมคารไ์ บดเ์ พ่ิมมากขึน้ โดยสงั เกตไดจ้ ากรอยแตกรา้ วท่ีเพ่ิมมากขึน้ อย่างเห็นไดช้ ัดในมอรต์ ารท์ ่ีกระตุน้
ดว้ ยดา่ งตงั้ แตช่ ว่ งเร่มิ ตน้ ของการแชต่ วั อย่าง

คาํ สาํ คัญ : กากแคลเซยี มคารไ์ บด์ กรดซลั ฟรู กิ เถา้ ถ่านหิน

1,2 ภาควชิ าวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ ธนบรุ ี กรุงเทพมหานคร 10140
Department of Civil Engineering, Faculty of Engineering, King Mongkut’s University of Technology Thonburi, Thailand

54

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้ังที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564
Abstract

This research aims to study the compressive strength and sulfuric acid resistance of alkali
activated mortar made with calcium carbide residue (CCR) and fly ash (FA) mixtures at the ratios of 15 to
85, 30 to 70 and 45 to 55 by weight, sodium hydroxide (NaOH) concentration of 4, 6, 8 and 10 molar,
binder to fine aggregate ratio of 1 to 2.75 by weight and a liquid to binder ratio of 0.85. The testing program
was divided into 2 parts which were compressive strength and weight change of mortar immersed in 5%
by weight of sulfuric acid solution. The test results indicated that increasing of NaOH concentration from 4
to 8 molar and calcium carbide residue content from 15 to 30 led to higher compressive strength of mortar.
Mortar made with CCR and FA at the ratio of 30 to 70 by weight and activated with 8 molar of NaOH gave
the highest compressive strength at 28 days which was 45.0 MPa. The resistance of mortar due to 5% of
sulfuric acid solution was decreased with the increasing in calcium carbide residue content which could be
observed from the cracking in mortar since the early age of the immersion.

Keywords : Calcium Carbide Residue, Fly Ash, Sulfuric Acid
E-mail address : [email protected]

55

การประชุมวชิ าการระดับชาติ คร้งั ที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564

การปรับปรุงกระบวนการออกแบบและการผลติ งานคอนกรตี สาํ เรจ็ โดยประยุกตใ์ ช้แบบจาํ ลอง
สารสนเทศอาคาร ดว้ ยซอฟตแ์ วรแ์ พลนบาร์

Precast Concrete Design and Manufacturing Process Improvement of Adopting Building
Information Modeling with PLANBAR Software

อานนท์ บุญสูง 1 , วชิ ิตา ทา้ วหนอ่ 1 , พรพจน์ นเุ สน1,และ มานพ แกว้ โมราเจรญิ 1
Arnon Bunsung1, Wichita Thawnor, Pornpote Nusen1 and Manop Kaewmoracharoen1

บทคัดย่อ
งานก่อสรา้ งอาคารสาํ เรจ็ รูปใชร้ ะยะเวลานานในการเขียนแบบกอ่ สรา้ งในรูปแบบ 2 มติ ขิ องงานพรคี าสต์
จึงได้เร่ิมมีการประยุกต์ใช้ระบบแบบจําลองสารสนเทศอาคารในรูปแบบงาน 3 มิติ ในงานก่อสร้าง
ระบบพรีคาสตเ์ พ่ือลดระยะเวลาในการเขียนแบบงานพรีคาสต์ งานวิจยั ไดน้ าํ แบบจาํ ลองสารสนเทศอาคารมาใช้
เพ่ือลดระยะเวลาการทํางานของระบบงานพรีคาสต์จากกระบวนการเดิมท่ีการทํางานแบบแคด 2 มิติ
เป็นการทาํ งาน 3 มิติ โดยใชโ้ ปรแกรมแพลนบาร์ มาปรบั กระบวนการออกแบบ การใส่เหล็ก ตาํ แหน่งจุดยก
ตาํ แหน่งส่วนยึดรั้งชิน้ ส่วนผนัง และนําขอ้ มูลเขา้ เคร่ืองจักรผลิตเหล็กอัตโนมัติ โดยไดจ้ าํ ลองแบบพรีคาสต์
จาํ นวน 3 แบบประกอบดว้ ย คานพรีคาสต์ ผนังพรีคาสต์ แผ่นพืน้ พรีคาสต์ หลงั จากนนั้ ไดป้ ระเมินการปรบั ปรุง
กระบวนการโดยใช้แบบสอบถามแบบจากผู้ควบคุมการผลิตและผู้ตรวจสอบหน้างาน จํานวนกลุ่ม
ผูส้ อบถามตัวอย่าง 20 คน แลว้ นาํ มาปรบั ปรุงกระบวนการ และนาํ มาเปรียบเทียบกับกระบวนเดิมท่ีใชแ้ บบ
แคด 2 มิติ ผลปรากฏวา่ งานในรูปแบบ 3 มิติ โดยใชโ้ ปรแกรมแพลนบาร์ ไดร้ ะยะเวลาท่ีเรว็ กว่าหลายเท่าและได้
รายละเอยี ดของขอ้ มลู ครบย่ิงขนึ้

คาํ สาํ คัญ: พรคี าสต,์ แบบจาํ ลองสารสนเทศอาคาร,แพลนบาร์

Abstract
One of the redundant processes in precast building is designing and manufacturing by using
typical 2D CAD. In this research a 3D building information modeling (BIM) is purposed for precast
concrete for process improvement by using software PLANBAR. The features of rebar, lifting hook and
joint positions are highlighted. Three models of precast beam, precast wall, precast floor were
developed. Then the design and manufacture processes were analyzed and surveyed. Stakeholders
of 20 persons were asked about the process improvement comparing between traditional 2D CAD
and purposed 3D BIM with PLANBAR software. The result shows the faster process and richness of
information from the new approach

Keywords: PRECAST, BUILDING INFORMATION MODELING (BIM), PLANBAR,
E-mail : [email protected]

1 คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ จงั หวดั เชยี งใหม่ 50200
Faculty of Engineering Chiang Mai University, Chiang Mai, Thailand 50200

56

การประชุมวิชาการระดับชาติ คร้งั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

ผลกระทบของมวลรวมพลาสตกิ ต่อลกั ษณะโพรงของคอนกรีต
Effect of Plastic Aggregates on Pore Characteristics of Concrete

ญานิกา อา้ วเจรญิ 1 ปิยะ โชตกิ ไกร 2
Yanika Aocharoen1, Piya Chotickai2

บทคดั ยอ่
บทความนีน้ าเสนอผลกระทบของมวลรวมพลาสติกท่ีมีต่อลกั ษณะโพรงของคอนกรีต โดยการแทนท่ีมวลรวม
หยาบและมวลรวมละเอียดรอ้ ยละ 5, 10 และ 30 ดว้ ยมวลรวมพลาสติกท่ีไดจ้ ากการรีไซเคิลขยะพลาสติกชนิด PET
และ HDPE ตามลาดบั ลกั ษณะโพรงของคอนกรีตไดร้ บั การทดสอบดว้ ยวิธี micro-CT ซ่งึ เป็นการถ่ายชุดของภาพ 2 มิติ
ดว้ ยเครอ่ื งเอ็กซเ์ รยค์ อมพิวเตอรร์ ะดบั ไมโครเมตร ผลการทดสอบแสดงใหเ้ ห็นว่ามวลรวมหยาบ PET มีผลกระทบในการ
เพ่ิมปริมาตรโพรงและขนาดโพรงในตวั อย่างคอนกรีตทดสอบมากกว่ามวลรวมละเอียด HDPE โดยปริมาตรของโพรงมี
ขนาดเพิม่ ขนึ้ มากเม่อื มีการใชม้ วลรวมพลาสติกปรมิ าณมากขนึ้ และหลายขนาด

คาสาคัญ : คอนกรตี , มวลรวมพลาสติก, โพรง

Abstract
This paper presents the effect of plastic aggregates (PAs) on the pore characteristics of
concrete. The PAs recycled from polyethylene terephthalate (PET) and high-density polyethylene
(HDPE) plastic wastes were used as substitutes of natural coarse and fine aggregates in concrete,
respectively, with the volumetric replacements of 5%, 10% and 30%. The pore size structure of
concrete was characterized using micro-computed tomography (micro-CT) test. The test was a
nondestructive approach using X-ray to obtain a series of 2-D cross-sectional images. The
experimental results showed that PET coarse aggregates had a greater effect in increasing the pore
volume and pore size in the tested concrete specimen that of HDPE fine aggregates. The pore volume
significantly increased when a relatively high PA content with various particle sizes was used.

Keyword: Concrete, Plastic aggregates, Porosity
*Corresponding author; e-mail address : [email protected]

1 สาขาวชิ าวิศวกรรมโครงสรา้ งพนื้ ฐานและการบรหิ าร ภาคพิเศษ ภาควชิ าวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
กรุงเทพมหานคร 10900
Master of Engineering in Infrastructure Engineering and Management Department of Civil Engineering, Faculty of Engineering,
Kasetsart University, Bangkok 10900, Thailand

57

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

การสร้างมูลค่าเพมิ่ ใหก้ ับใบไม้แหง้ สู่ผลติ ภัณฑก์ ระถางยอ่ ยสลายได้ทเ่ี ป็ นมติ รกับส่งิ แวดล้อม
Creating added value for dried leaves into eco-friendly biodegradable pot products

ธรรมศกั ดิ์ พันธุแ์ สนศรี1*, ทิพารตั น์ สหตรงจติ ร1, และ ลกั ขณา พนั ธุแ์ สนศร1ี
Tammasak Punsaensri1*, Tiparad Sahatrongjit1, and lukkhana Punsaensri 01

บทคัดย่อ
การศึกษานีม้ ีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือลดปริมาณเชือ้ เพลิงโดยเฉพาะใบไมแ้ หง้ ในพืน้ ท่ีป่ าและสรา้ งมูลค่าเพ่ิม
ใหก้ บั ใบไมแ้ หง้ โดยศกึ ษาอตั ราสว่ นผสมระหว่างใบไมแ้ หง้ ตอ่ ตน้ ขา้ วโพดต่อใบขา้ วโพดตอ่ มูลไสเ้ ดือน สภาวะท่ี
เหมาะสมในการผลติ กระถาง คณุ สมบตั เิ ชิงกล และวิเคราะหค์ วามคมุ้ คา่ ทางเศรษฐศาสตร์
ผลการศกึ ษา พบวา่ แรงอดั ท่ี 1,000 ปอนดต์ ่อตารางนิว้ เหมาะสมสาํ หรบั การอดั ขนึ้ รูปกระถาง ซง่ึ ทาํ ให้
กระถางมีรูปทรงท่ีสมบูรณ์ และกระถางท่ีมีรูปทรงสมบูรณ์มีทงั้ หมด 10 การทดลอง ซ่ึงอตั ราส่วนผสมของใบไม้
แหง้ ต่อตน้ ขา้ วโพดตอ่ ใบขา้ วโพดต่อมูลไสเ้ ดือนท่ี 1:2:1:1 และ 2:1:1:1 พบว่าเป็นอตั ราส่วนท่ีสามารถอดั ขึน้ รูป
กระถางท่ีมีรูปรา่ งสมบรู ณค์ รบทกุ การทดลอง อตั ราสว่ นของวสั ดุ 2:1:1:1 และท่ีเวลา 30 วนิ าที เป็นการทดลองท่ีมี
คา่ ความพรุน ค่าความแข็งแรง การดดู ซมึ นาํ้ และการพองตวั ของกระถางสงู ท่ีสดุ คือ 89.65%, 1.35 kN, 90.78%
และ 90.91% ตามลาํ ดบั อตั ราส่วนของวสั ดใุ หผ้ ลคา่ ความพรุนและค่าความเข็งแรงท่ีแตกตา่ งมาก แต่อตั ราส่วน
ของเถา้ ชีวมวลและเวลาใหผ้ ลค่าความพรุนท่ีใกลเ้ คียงกนั และไม่มีผลต่อความพรุนและคา่ ความเข็งแรง กระถาง
จากใบไมแ้ หง้ มีลกั ษณะของการเส่ือมสภาพทางกายภาพบริเวณกน้ กระถาง โดยจะเร่ิมผุพงั ไปทีละนิดหลงั จาก
เพาะกลา้ จนแลว้ ประมาณ 3 เดือน และการผลิตกระถางขนาด 4 นิว้ สามารถผลิตได้ 30 ใบต่อวนั มีตน้ ทุนต่อ
หนว่ ยการผลติ เป็น 13.46 บาทตอ่ ใบ ซง่ึ จะมีจดุ คมุ้ ทนุ อยทู่ ่ี 0.20 ปี

คาํ สาํ คัญ: เพิม่ มลู คา่ , กระถาง, ใบไมแ้ หง้ , ยอ่ ยสลายได,้ สงิ่ แวดลอ้ ม

Abstract
The objective of this study is to reduce the amount of fuel, especially dry leaves in forested
areas, and create added value for dry leaves by studying the mixture ratio of dry leaves to corn plant
to corn leaves to vermicompost, optimum conditions for producing pots, mechanical properties and
analyzed the economic value.
The results show that the pot compression mold is suitable for compression at 1,000 psi,
which is the pressure that makes it possible to extrusion the pot into a complete shape. There are 10
experiments in the experiment of extrusion of pots and the perfect shape of pots. The mixture ratio of

1 มหาวทิ ยาลยั แมโ่ จ-้ แพร่ เฉลมิ พระเกียรติ 17 ม.3 ต.แมท่ ราย อ.รอ้ งกวาง จ.แพร่ 54140
Maejo University Phrae Campus, 17 M.3 Mae Sai, Rong Kwang District, Phrae, 54140

58

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ ครั้งท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564
dry leaves to corn plant to corn leaves to vermicompost at 1:2:1:1 and 2:1:1:1 is the ratio that can be
extruded into the pot with a complete body for every experiment. The ratio of material 2:1:1:1 and at 30
seconds was the experiment with the highest porosity, strength, water absorption and swelling of pots,
89.65%, 1.35 kN, 90.78% and 90.91% respectively. The ratio of the material to the porosity and the
strength difference are statistically significant. But the ratio of biomass ash and time gave similar
porosity values and had no effect on porosity and intensity. The pot from dry leaves has the
characteristics of physical deterioration at the bottom of the pot. It will begin to decay little by little after
about 3 months of seeding. The production of 4 in. pots will be able to produce 30 piece/day. The cost
per unit is 13.46 baht/piece and the breakeven point is at 0.20 years.

Keywords: Added value, Pot products, Dried leaves, Biodegradable, Environmental
*Corresponding author; email address: [email protected]

59

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

การวิเคราะหค์ วามตา้ นทานแผ่นดนิ ไหวของอาคารทีพ่ ักอาศัยคอนกรตี หล่อสาํ เร็จทจี่ ุดตอ่
ระหว่างเสาและคานเป็ นแบบแผ่นเกี่ยว

Seismic Resistance by Analysis of Precast Concrete Residential Buildings with Socket Beam-
Column Joint

ณัฐวุฒิ ชวดฉิม01 *และ ฉตั รพนั ธ์ จินตนาภกั ดี 2
Nutthawut Chuadchim1* and Chatpan Chintanapakdee 2

บทคัดย่อ
งานวจิ ยั นีศ้ กึ ษาความตา้ นทานแผ่นดินไหวของอาคารท่ีพกั อาศยั คอนกรีตหล่อสาํ เร็จจาํ นวน 2 ชนั้ โดยมี
จุดต่อระหว่างเสาและคานเป็นแบบแผ่นเก่ียว (Socket) และจุดต่อระหว่างเสาและเสาเป็นแบบสลักเกลียว
(Bolting) โดยทาํ การเปรียบเทียบแบบจาํ ลองระหว่างโครงสรา้ งคอนกรีตหล่อในท่ี และโครงสรา้ งคอนกรีตหล่อ
สาํ เร็จ โดยกาํ หนดท่ีตงั้ ของอาคารตวั อย่างอย่ทู ่ี อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยตรวจสอบการเคล่ือนตวั สมั พทั ธร์ ะหว่าง
ชั้นจากวิธีวิเคราะห์การตอบสนองของโครงสรา้ งไม่เชิงเสน้ แบบประวัติเวลา (Nonlinear Response History
Analysis) ตามมาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 ผลการศึกษาพบว่าอาคารคอนกรีตหล่อในท่ีมีการเคล่ือนตัว
สมั พัทธร์ ะหว่างชนั้ ผ่านเกณฑท์ ่ียอมใหต้ ามมาตรฐานแต่อาคารคอนกรีตหล่อสาํ เร็จมีค่าการเคล่ือนตัวสมั พทั ธ์
ระหวา่ งชนั้ ไมผ่ า่ นคา่ ท่ียอมใหต้ ามมาตรฐาน

คาํ สาํ คัญ : จดุ ตอ่ ระหวา่ งเสาและคานแบบแผ่นเกี่ยว, จดุ ตอ่ ระหวา่ งเสาและเสาแบบสลกั เกลียว, วธิ ีวิเคราะหก์ ารตอบสนองไมเ่ ชิงเสน้ แบบ
ประวตั เิ วลา , การเคลื่อนตวั สมั พทั ธร์ ะหวา่ งชนั้

Abstract
This research studies seismic resistance by analysis of 2-storey precast concrete residential
buildings using socket connection between beam-column and bolting connection between column-
column, this research compares between cast-in-place concrete structure and precast concrete
structure. The studied building is located in Mueang district, Chiang Mai province that evaluated the
inter-story drift by using nonlinear response history analysis by DPT.1301/1302-6. The result shows the
inter story drift of cast-in-place concrete structure passed the allowable inter story drift, however, the
precast concrete structure is not passed the allowable inter story drift

Keyword : Socket beam-column joint, Bolting column-column joint, Nonlinear Response History Analysis, Inter-story Drift
E-mail address : [email protected]

1,2 ภาควชิ าวศิ วกรรมโยธา คณะวศิ วกรรมศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั จ.กรุงเทพมหานคร 10330
Department of Civil Engineering, Faculty of Engineering, Chulalongkorn University, Bangkok 10330, Thailand

60

การประชุมวิชาการระดับชาติ ครงั้ ที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564

การพัฒนาแบบจาลองจราจรระดบั จุลภาคสาหรับด่านเกบ็ คา่ ผา่ นทาง กรณีศกึ ษา ดา่ นพทั ยา
มอเตอรเ์ วยส์ าย 7

Development of Microscopic Traffic Simulation Model for Toll Plaza; A Case Study of Pattaya
Toll Plaza on Motorway No.7

ธนาทร ธาราอุดม1* อำพล กำรุณสนุ ทวงษ์ 2
Tanatorn Taraudom1*, Ampol Karoonsoontawong2

บทคัดย่อ
ระบบ M-Flow ส่งผลใหย้ ำนพำหนะผ่ำนไปไดเ้ ร็วขึน้ แต่เกิดปัญหำกำรบริหำรกำรจดั กำรหลำยดำ้ น งำนวิจัยนี้
ตอ้ งกำรปรับปรุงด่ำนเก็บค่ำผ่ำนทำงท่ีสำมำรถลดกำรจรำจรติดขัดบริเวณดำ้ นหนำ้ ด่ำนเก็บค่ำผ่ำนทำงและ
แกป้ ัญหำกำรบรหิ ำรกำรจดั กำรได้ โดยเกบ็ ขอ้ มลู จำกกลอ้ งวงจรปิดบรเิ วณด่ำนเกบ็ ค่ำผ่ำนทำงพิเศษ มอเตอรเ์ วย์
สำย 7 ในวนั จันทรท์ ่ี 2 ก.ค. 2561 เวลำเร่งด่วนเช้ำ(7.00 น.-8.00 น.) และนำขอ้ มูลมำวิเครำะห์ดว้ ยโปรแกรม
Vissim ผู้วิจัยได้กำหนดใหเ้ พ่ิมช่อง M-Pass 1 ช่องและกำหนดใหผ้ ู้ใชท้ ำงพิเศษแบบจ่ำยเงินปกติเปลี่ยนมำ
จ่ำยเงินแบบM-passเพ่มิ ขึน้ 10%,20%และ30% ผลกำรศกึ ษำพบว่ำหำกเปล่ยี นกำรจ่ำยเงินใหม้ ำใชแ้ บบM-pass
ไดอ้ ยำ่ งนอ้ ย10% จะทำใหโ้ ครงข่ำยนีล้ ดควำมลำ่ ชำ้ ลงได1้ 6 % และลดควำมยำวของแถวคอยลงได้ 8%

Abstract
M-Flow system is the system using AI to detect license plates at the toll plaza on the
expressway.However, it requires massive cost of installation and limitations. The objective of this
research is to reduce traffic at the toll plaza by increasing more M-pass users. Data was collected from
CCTVs at Motorway No. 7 on Monday, 2 July 2018 during 7:00 a.m.-8:00 a.m. The data were analyzed
by Vissim. The researcher determined that additional M-Pass booth should be increased and the use of
M-pass by 10%, 20%, and 30% increasingly. The results revealed that if the vehicles turn to use more
M-pass at least 10%, it will reduce the traffic congestion by 16% and the length of the queue by 8%. The
findings can be applied to promote expressway users to utilize more M-pass in order to reduce traffic
at the toll plaza.

Keyword: traffic congestion, management problems, traffic simulation
*Corresponding author; E-mail address: ([email protected])

1 นกั ศกึ ษำปริญญำโท ภำควิชำวศิ วกรรมโยธำ คณะวิศวกรรมศำสตร์ มหำวิทยำลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลำ้ ธนบรุ ี
Master Student, Department of Civil Engineering, Engineering faculty, King Mongkut’s University of Technology Thonburi
2 รองศำสตรำจำรย์ ภำควิชำวิศวกรรมโยธำ คณะวศิ วกรรมศำสตร์ มหำวทิ ยำลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลำ้ ธนบรุ ี
Associate Professor, Department of Civil Engineering, Engineering faculty, King Mongkut’s University of Technology Thonburi

61

การประชมุ วิชาการระดับชาติ คร้งั ที่ 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

การศึกษาปัจจัยท่มี ีผลกระทบต่อความสามารถต้านทานแผ่นดนิ ไหว
ของอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กโดยวธิ ีผลักทางด้านข้าง

Parametric Study of Seismic Resistance of Reinforced Concrete Building
Using Pushover Analysis

ณฐั ฤกษ์ อกั ษรณรงค์01 และ ศุภชัย สนิ ถาวร12
Nattererk Augsornnarong1 and Suppachai Sinthaworn2

บทคัดย่อ

การศึกษานีม้ ีวตั ถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยท่ีส่งผลต่อความสามารถต้านทานแผ่นดินไหวของอาคาร
ตกึ แถวคอนกรีตเสริมเหล็กสงู 4 ชนั้ โดยการวิเคราะห์ด้วยวิธีผลกั ทางด้านข้าง ซ่ึงปัจจยั ที่พิจารณา ได้แก่ ประเภท
จดุ รองรับของฐานราก เสาตอม่อ การกระจายนํา้ หนกั ของแผ่นพืน้ สําเร็จรูป และรูปแบบการกระจายแรงด้านข้าง
ผลการวิเคราะห์พบว่าประเภทจุดรองรับของฐานรากแบบยึดแน่นทัง้ หมดเม่ือเทียบกับตามแบบก่อสร้างจริงมี
พฤตกิ รรมท่ีคล้ายคลงึ กนั ในขณะที่จดุ รองรับแบบจดุ หมนุ ทงั้ หมดสง่ ผลให้เกิดการเคล่ือนตวั ทางด้านข้างมากกว่า
ร้ อยละ 4.87 ส่วนการไม่พิจารณาเสาตอม่อไม่ส่งต่อแรงเฉือนท่ีฐานแต่ทว่าการเคลื่อนตัวทางด้านข้างลดลง
ประมาณร้อยละ 2.55 หากเทียบกบั การพจิ ารณาเสาตอมอ่ การกระจายนํา้ หนกั ของแผน่ พืน้ สาํ เร็จรูปแบบสองทาง
มีผลให้แรงเฉือนท่ีฐานเพ่ิมขนึ ้ เป็น 64.25 ตนั จากเดมิ 64.15 ตนั เม่ือพิจารณาเป็นพืน้ ทางเดียว แตก่ ารเคลื่อนตวั
ทางด้านข้างไมม่ ีการเปลี่ยนแปลง และการพิจารณาการกระจายแรงด้านข้างแบบสม่ําเสมอให้ผลการตอบสนองท่ี
แตกต่างออกไปเมื่อเทียบกับการกระจายแบบสามเหลี่ยมหวั กลบั ตามข้อกําหนด มยผ.1301/1302-61 โดยแรง
เฉือนที่ฐานและการเคลื่อนตวั ทางด้านข้างมีคา่ ท่ีสงู ขนึ ้ คดิ เป็นร้อยละ 52.38 และ 8.45 ตามลําดบั

คาํ สาํ คัญ: อาคารคอนกรีตเสริมเหลก็ , ความสามารถต้านทานแผ่นดินไหว, วธิ ีผลกั ทางด้านข้าง, รูปแบบการกระจายแรงด้านข้าง, ประเภทจดุ
รองรับของฐานราก

Abstract

The purpose of this paper is to study the parameters that affect to 4-story reinforced concrete
building's seismic resistance including the type of support, the ground column, the weight distribution
of the sheet flooring, and the lateral load pattern using pushover analysis. The results showed that the
fixed supports compared to the actual supports had similar behavior, while the pinned supports

1 สาขาวิศวกรรมโยธา คณะบณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ เขตวฒั นา กรุงเทพมหานคร 10110
Civil Engineering, Faculty of Graduate School, Srinakharinwirot University, Watthana, Bangkok 10110
2 ภาควชิ าวศิ วกรรมโยธาและส่งิ แวดล้อม คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ อ.องครักษ์ จ.นครนายก 26120
Department of Civil and Environmental Engineering, Faculty of Engineering, Srinakharinwirot University, Ongkharak District,
Nakhon Nayok 26120

63

การประชุมวชิ าการระดับชาติ คร้งั ที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564
provide the higher 4.87% of lateral roof displacement. The disregard of the ground column had no
effect on base shear, but lateral roof displacement was reduced by approximately 2.55% paralleled to
the consideration of the ground column. The weight distribution of the two-way slab resulted in base
shear increase to 64.25 tons from 64.15 tons when considered as a one-way slab, but the lateral roof
displacement has not changed. The uniform lateral load pattern gives a different response compared
to the inverted triangle load pattern, base shear and lateral roof displacement were increased by
52.38% and 8.45%, respectively.

Keyword: Reinforced concrete building, Seismic resistance, Pushover analysis, Lateral load pattern, Support type
E-mail address: [email protected]

64

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

การพัฒนาแบบจาํ ลองพฤติกรรมการใช้ท่ีพักริมทาง และการประยุกต์ใช้แบบจาํ ลองโลจิต
เพ่ือปรับปรุงท่ีพักริมทาง

Modelling of User's Choice for Improving Rest Area and Application of Logit Model

อธิภู เอ่ียมสาํ อางค์01 ฆนิศา รุ่งแจ้ง1* พงษ์ศกั ดิ์ สรุ ิยวนากลุ 1

Atiphu Eaimsamang 1, Kanisa Rungjang 1*, and Pongsak Suriyavanagul 1

บทคดั ย่อ

การปรับปรุงทพี่ กั ริมทางบนทางหลวงจะสง่ เสริมความสะดวกสบาย และชว่ ยลดอบุ ตั เิ หตทุ ่ีเกิดจากความ
เม่ือยล้าหรือหลบั ในให้กบั ผ้ใู ช้ทาง โดยงานวจิ ยั นีม้ ีวตั ถปุ ระสงค์เพื่อจําลองพฤตกิ รรมการเลอื กใช้ท่ีพกั ริมทางโดย
ใช้แบบจําลองโลจิตพหเุ พ่ือแสดงปัจจยั ที่มีผลตอ่ การเลอื กใช้ที่พกั ริมทางประกอบด้วย ระยะหา่ งระหวา่ งจดุ พกั รถ
โอกาสที่ไม่ต้องรอท่ีจอดรถวา่ ง โอกาสท่ีไม่ต้องรอห้องนํา้ วา่ ง สวนหยอ่ มสําหรับพกั ผอ่ น ร้านสะดวกซือ้ ร้านอาหาร
และเครื่องดืม่ อินเทอร์เน็ตไร้สายฟรี สถานีบริการนํา้ มนั เชือ้ เพลงิ ที่ล้างรถอตั โนมตั ิ ห้องปฐมพยาบาล เคาน์เตอร์
ประชาสมั พนั ธ์สาํ หรับบริการข้อมลู และหน้าจอสมั ผสั สําหรับบริการข้อมลู โดยผลจากงานวจิ ยั นีเ้ป็นประโยชน์ตอ่
การพฒั นาที่พกั ริมทาง เพื่อให้สอดคล้องกบั พฤตกิ รรมการเลอื กใช้ของผ้ใู ช้ทาง

คาํ สาํ คัญ : แบบจําลองโลจิตพห,ุ ที่พกั ริมทาง

Abstract

Improvement of highway rest area for highway user will promote convenience and reduce
accident cause of fatigue and drowsy driving. The main purpose of this research was to model the
choice behavior of highway rest area using multinomial logit model. According to the analysis of logit
model, the factors significantly are distance between rest area, probability of getting a parking lot,
probability of getting vacant toilet, garden, convenience store, restaurant, free Wi-Fi, gas station,
automatic car washing machine, first aid room, information counter, and touchscreen information
board. The result will be useful for rest area improving.

Keyword : Multinomial Logit Model, Rest area
E-mail address : [email protected]

1 วศิ วกรรมโครงสร้างพืน้ ฐานและการบริหาร ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ จ. กรุงเทพมหานคร
10900
Infrastructure Engineering and Management, Department of Civil Engineering, Faculty of Engineering, Kasetsart University,
Bangkok 10900, Thailand

65

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครัง้ ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

การเปรียบเทยี บมาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการส่ันสะเทอื นของแผ่นดนิ ไหว
ระหว่าง มยผ.1301/1302-61 และ ASCE7-16

Comparison of Seismic Design Codes between DPT1301/1302-61 and ASCE7-16
แพร เสือปาน01 และ สมชาย ปฐมศริ ิ1

Prae Suapan1 and Somchai Pathomsiri1

บทคัดย่อ

มาตรฐาน มยผ.1302 ซึ่งพัฒนาขึน้ จาก ASCE7-05 ของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ปรับปรุงวิธีการคํานวณ
คา่ แรงเฉือนที่ใช้ในการออกแบบชิน้ ส่วนโครงสร้างแนวดิ่งเป็นรายชิน้ ส่วนด้วยวิธีการ Modified Response Spectrum
Analysis (MRSA) ในขณะที่ ASCE ออกมาตรฐานใหม่รุ่น ASCE7-16 การศกึ ษานีม้ ีวตั ถปุ ระสงค์เพื่อเปรียบเทียบผล
การวิเคราะห์โครงสร้างในอาคารตวั อย่าง สงู 17 ชัน้ ซ่ึงใช้ระบบต้านทานแรงด้านข้างแบบกําแพงรับเฉือน ระหว่าง
มยผ.1301/1302-61 และ ASCE7-16 ผลการวิเคราะห์พบวา่ วธิ ี MRSA ให้คา่ แรงเฉือนท่ีชนั้ ตา่ งๆ มากกวา่ วิธีแรงสถิต
เทียบเท่า (ELF), วิธีสเปกตรัมการตอบสนองแบบโหมด (RSA) ตามมาตรฐาน ASCE7-16 และ ELF ตามมาตรฐาน
มยผ.1301/1302-61 เทา่ กบั 1.58, 2.08 และ 1.85 เท่า ตามลําดบั คา่ การเคลื่อนตวั สมั พทั ธ์ระหวา่ งชนั้ คํานวณโดยวิธี
RSA ตามมาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 ไม่เกินคา่ ท่ียอมให้ แตถ่ ้าใช้วธิ ีอ่ืนๆ จําเป็นต้องเพิ่มความแขง็ แรงของอาคาร
ในการรับแรงทางด้านข้าง

คาํ สาํ คัญ : แผน่ ดินไหว, มยผ.1301/1302-61, ASCE7-16, กําแพงรับแรงเฉือน

Abstract

Thailand’s DPT1302 which is based on USA’s ASCE7-05 has improved the calculation method
of shear in the design of individual vertical structural members, so called Modified Response Spectrum
Analysis (MRSA). However, ASCE has released the newer version of ASCE7-16. This study is aimed to
compare the structural analysis results between DPT1301/1302-61 and ASCE7-16 by using a 17-storyed
shear-wall building as an example. Based on the results by Equivalent Lateral Force procedure (ELF)
and Response Spectrum Analysis (RSA), it is found that MRSA gave higher story shear force than the
ELF, RSA from ASCE7-16 and ELF from DPT1301/1302-61 by 1.58, 2.08, 1.85 times, respectively. Only
the story drift computed by RSA from DPT1301/1302-61 is within the allowable drift. Using other
procedures will have to increase the lateral stiffness of the building.

Keyword : Seismic Design Codes, DPT1301/1302-61, ASCE7-16, Shear-Wall
Email address : [email protected], [email protected]

1 ภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสง่ิ แวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล วิทยาเขตศาลายา จงั หวดั นครปฐม 73170
Department of Civil and Environmental Engineering, Faculty of Engineering, Mahidol University, Salaya Campus,
Nakhon Pathom 73170, Thailand

66

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครัง้ ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564

การใช้กระบวนการลาํ ดบั ชัน้ เชงิ วิเคราะห์แบบฟัซซีเพ่ือประเมินรูปแบบระบบจดั เก็บค่าผ่านทาง
Fuzzy AHP Analysis to Evaluate Toll Collection System
พรเฉลิม สุชาโต01 ฆนิศา รุ่งแจ้ง1* พงษ์ศกั ด์ิ สรุ ิยวนากลุ 1

Pornchalerm Suchato1 , Kanisa Rungjang1* and Pongsak Suriyawanakul1

บทคัดย่อ

ระบบจัดเก็บค่าผ่านทางของประเทศไทยมีหลากหลายรูปแบบ ตงั้ แต่ระบบจัดเก็บเงินแบบเงินสดและ
อิเล็กทรอนิกส์ (MTC+ETC) ซึง่ จะพฒั นาเป็นระบบจดั เก็บคา่ ผ่านทางอตั โนมตั ิแบบไม่มีไม้กนั้ ในรูปแบบช่องทาง
เดียว (SLFF) และหลายช่องทาง (MLFF) งานวิจัยนีม้ ีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความสําคัญของปัจจัยและ
คัดเลือกรูปแบบระบบจัดเก็บค่าผ่านทาง โดยกระบวนการลําดับชัน้ เชิงวิเคราะห์แบบฟัซซี (Fuzzy Analytical
Hierarchy Process, FAHP) ผลการวิจยั พบวา่ ปัจจยั ที่ใช้ในการคดั เลือกระบบจดั เก็บคา่ ผ่านทางท่ีมีความสําคญั
สูงสุดคือ ผลกระทบส่ิงแวดล้อมและกฎหมาย ความน่าเชื่อถือและความถูกต้อง ทางเลือกท่ีเหมาะสมได้แก่
1) ระบบ MLFF 2) ระบบ SLFF 3) ระบบ MTC+ETC ผลการวิจยั นีห้ น่วยงานที่เกี่ยวข้องในระบบจัดเก็บค่าผ่าน
ทางสามารถนําปัจจยั สาํ คญั เหลา่ นีไ้ ปใช้ในการตดั สนิ ใจคดั เลอื กรูปแบบระบบจดั เก็บคา่ ผา่ นทางตอ่ ไปได้

คาํ สาํ คัญ: กระบวนการลําดบั ชนั้ เชิงวเิ คราะห์แบบฟัซซ,ี ระบบจดั เก็บคา่ ผา่ นทาง, ระบบการจดั เก็บคา่ ผา่ นทางอตั โนมตั แิ บบไมม่ ีไม้กนั้

Abstract

There are several toll collection systems in Thailand such as Manual toll collection and
Electronic toll collection (MTC+ETC) with will develop to be Single Lane Free Flow (SLFF) and Multi
Lane Free Flow systems (MLFF). The objective of this research is to analyze the important factors and
select the toll collection system by using the Fuzzy Analytical Hierarchy Process. The result show that
the most important factors are Environmental and Legal. Moreover, The toll collection systems are
MLFF, SLFF, and MTC+ETC respectively. The related authorities can use this result to select the
appropriate toll collection system.

Keywords: Fuzzy Analytical Hierarchy Process, Toll Collection Systems, Multilane-Free-Flow Electronic Toll System
* Corresponding author; E-mail address: [email protected]

1 วิศวกรรมโครงสร้างพืน้ ฐานและการบริหาร ภาควิชาวศิ วกรรมโยธา คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ 10900
Infrastructure Engineering and Management, Department of Civil Engineering, Faculty of Engineering, Kasetsart University.

67

การประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564

กาํ ลังของวัสดุผิวทางจากผิวทางเดมิ ท่นี ํากลับมาใช้ใหม่ท่ปี รับปรุงด้วยซเี มนต์
สาํ หรับใช้ในการบูรณะผวิ ทางของทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) ช่วง แม่ลาว – แม่สาย
THE STRENGTH OF RECLAIMED ASPHALT PAVEMENT STABILIZED WITH CEMENT

AND ITS APPLICATION TO PAVEMENT RESTORATION
OF NATIONAL HIGHWAY 1 (PHAHONYOTHIN), MAE LAO – MAE SAI

ธราพงศ์ เชือ้ เมืองพาน01 ฆนิศา รุ่งแจ้ง¹,* และ พงษ์ศกั ดิ์ สรุ ิยวนากลุ ¹
Tarapong Chuamuangpan¹ Kanisa Rungjang¹,* and Pongsak Suriyawanakul¹

บทคัดย่อ

งานวิจัยนีม้ ีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากําลังของวัสดุผิวทางจากผิวทางเดิมท่ีนํามาใช้ใหม่ท่ีปรับปรุงด้วย
ปนู ซีเมนต์เพื่อนําไปใช้กบั โครงทางบูรณะผิวทาง ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) ช่วง แม่ลาว - แม่สาย ของ
กรมทางหลวง งานวิจัยนีไ้ ด้ทําการทดสอบกําลังอัดตามมาตรฐานกรมทางหลวงที่ใช้พลังงานบดอัดแบบ
มาตรฐาน (24.5 กิโลกรัมตอ่ ตารางเซนติเมตร) โดยทําการผนั แปรอตั ราส่วนผสมของวสั ดผุ ิวทางเก่า (Reclaimed
Asphalt Pavement, RAP) (ร้อยละ 20 ถึง 80) สว่ นผสมซีเมนต์ (ร้อยละ 2 ถึง 5) และระยะเวลาบ่ม (7 ถึง 28 วนั )
ซง่ึ มีตวั อย่างทงั้ สิน้ 252 ตวั อย่าง เพ่ือทําการเปรียบเทียบกําลงั และต้นทนุ การก่อสร้างอนั จะนําไปส่กู ารออกแบบ
วสั ดุผิวทางท่ีเหมาะสม ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าวสั ดทุ ่ีมีส่วนผสมของผิวทางเดิม ร้อยละ 40 ที่ปรับปรุงด้วย
ปนู ซีเมนต์ร้อยละ 4.6 ท่ีมีระยะเวลาบ่ม 7 วนั มีความเหมาะสมต่อการใช้เป็นวสั ดชุ นั้ พืน้ ทาง ซึ่งได้นําไปใช้ในงาน
บํารุงรักษาทางช่วงแม่ลาว-แม่สาย และอาจสามารถนําไปประยกุ ต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ตอ่ การบํารุงรักษาทางโดย
ดลุ พนิ ิจของวิศวกรการทางตอ่ ไป

คาํ สาํ คัญ: หินคลกุ ชนั้ พืน้ ทางเดิม,ผิวแอสฟัลท์คอนกรีต,กําลงั อดั แกนเดยี ว

Abstract

This research aims to study the strength of Reclaimed Asphalt Pavement (RAP) stabilized
with cement applied at the distressed pavement of Mae Lao – Mae Sai section of the National Highway
1 (Phahonyothin), wherein the Department of Highways (DOH) project is selected. In essence of DOH
designation, the Unconfined Compressive Strength test (24.5 ksc.) includes the variation of Reclaimed
Asphalt Pavement (RAP) (RAP content 20% to 80%), cement content (2% to 5%), and curing time (7 to
28 days) is performed on 252 RAP mixtures. The optimal result is the mixture incorporated with 40
percent of RAP content and 4.6 percent at a curing time of 7 days which can be expected in road
base course. At one extreme, the application of this research at Mae Lao – Mae Sai section, wherein

1 ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ 10900
Department of Civil Engineering, Faculty of Engineering, Kasetsart University, Bangkok 10900, Thailand.

68

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564
DOH project is selected, can be applied as a constructing options for pavement restoration and
rehabilitation implication at the highway engineer’s discretion.

Keyword: Crushed Rock Soil Aggregate, Asphaltic Concrete, Unconfined Compressive Strength
* Corresponding author. E-mail address: [email protected]

69

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ ครัง้ ที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

การศกึ ษาแนวทางการผลิตนาํ้ ยาโฟมสาํ หรับทาํ อฐิ มวลเบาชนิดไม่อบไอนา้ํ
Preliminary Study for Producing of Foam used in Non-autoclaved Concrete Block

วชั ระ เพิ่มชาต0ิ1* วิษณุ ภเู กา้ แกว้ 1 สญั ลกั ษณ์ ก่ิงทอง1 กฤษฎางค์ ศกุ ระมลู 1 รศิ ภพ ตรสี วุ รรณ1 และ สมพร ธเนศวาณิชย2์
Watchara Permchart1*, Wisanu Phukaokaew1, Sanyaluck Kingthong1, Krissadang Sookramoon1,
Rissaphop Treesuwan1 and Somporn Tanatvanit2

บทคัดย่อ
การศกึ ษานี้ มีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือศกึ ษาแนวทางการผลิตนาํ้ ยาโฟมจากถ่วั เหลืองดว้ ยวิธีการไฮโดรลิซีส ซง่ึ
นาํ้ ยาโฟมนีเ้ ป็นวตั ถดุ ิบท่ีสาํ คญั ในการผลติ อฐิ มวลเบาแบบไมอ่ บไอนาํ้ ของบรษิ ัท โปรเฟสช่นั นอล บลอ็ ก จาํ กดั ใน
การศึกษาจะมุ่งหาสดั ส่วนผสมของวัตถุดิบท่ีจะนาํ มาผลิตนาํ้ ยาโฟม ไดแ้ ก่ ถ่ัวเหลือง และกรดซัลฟิ วริก โดย
เปรียบเทียบคณุ สมบตั ิของอฐิ มวลเบาท่ีผลิตโดยใชน้ าํ้ ยาโฟมในการศกึ ษา กบั อิฐมวลเบาท่ีผลติ โดยใชส้ ารท่ีทาํ ให้
เกิดฟองชนิดเดิมท่ีบริษัทฯ นาํ เข้าจากต่างประเทศ คุณสมบัติของอิฐท่ีศึกษา คือ ค่ากาํ ลังอัด (Compressive
strength) และคา่ การนาํ ความรอ้ น (Thermal conductivity) ผลการศึกษา พบว่า ความเขม้ ขน้ ของกรดซลั ฟิ วริก
1.5N โดยใช้อัตราส่วนถ่ัวเหลืองรอ้ ยละ 20 ซ่ึงอิฐมวลเบาท่ีผลิตได้ มีค่ากําลังอัด 45.6 กิโลกรัมต่อตาราง
เซนติเมตร และคา่ การนาํ ความรอ้ นท่ี 0.186 วตั ต/์ เมตร-เคลวิน งานวิจยั นีค้ ณะผูว้ ิจยั ไดร้ บั สิทธิบตั รการประดิษฐ์
เลขท่ี 84042 เม่อื วนั ท่ี 16 สิงหาคม 2564

คาํ สาํ คัญ: อิฐมวลเบาชนิดไมอ่ บไอนาํ้ นาํ้ ยาโฟม ถ่วั เหลอื ง

Abstract
The objective of this research was to study the process for producing of foam from soybean
with hydrolysis technique. Foam is an important material to be used for non-autoclaved concrete block
(referred to as NAC block) at Professional Block Co.,Ltd. Percentages of soybean and concentrations
of sulfuric acid used to be as major compositions of foam were investigated. Meanwhile, the
compressive strength and the thermal conductivity were compared to those of NAC block with
conventional foam. It was found that the compressive strength and the thermal conductivity at sulfuric
acid 1.5N-conc with percentage of soybean at 20% were found to be 45.6 kg/cm2 and 0.186 W/m-K,
respectively. This research was registered as Invention Patent No.84042 on the 16th August 2021.

Key words: Non-autoclaved concrete block, Foam liquid, Soybean
* Corresponding author; email address: [email protected]

1 สาขาวชิ าเทคโนโลยีวศิ วกรรมเครอ่ื งกล คณะเทคโนโลยีอตุ สาหกรรม ม.ราชภฎั วไลยอลงกรณฯ์ ปทมุ ธานี.
1 Mechanical Engineering Technology Program, Faculty of Industrial Technology, VRU, Pathum Thani.
2 สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตรส์ ่งิ แวดลอ้ ม คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง กรุงเทพฯ.
2 Department of Environmental Science, Faculty of Science, Ramkhamhaeng University, Bangkok.

70

การประชุมวิชาการระดับชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

การศึกษาเปรยี บเทยี บราคาผนังบ้านชั้นเดยี วก่อสร้างจากอฐิ บล็อกประสาน
อฐิ มอญ และอิฐมวลเบา

Cost Comparative Study of One-Story House Wall Constructed from Interlocking Blocks,
Masonry Bricks, and Lightweight Bricks

อานนท์ เหมลา1 ธชั นนท์ วชิ ยั กลุ 01 กรนั ต์ พรวฒุ พิ งศ์ 1 กมล อมรฟา้ 12 และนธิ ิรชั ต์ สงวนเดอื น1*
Arnon Hemla1, Tuchanon Wichaikul1, Karun Phonwuttipong1, Kamol Amornfa2 and Nitirach Sa-nguanduan1*

บทคัดย่อ
งานวิจยั นีม้ ีจุดประสงคเ์ พ่ือศกึ ษาราคาการก่อผนังของอิฐมอญ อิฐมวลเบา และบลอ็ กประสานก่อสรา้ ง
แบบผนังรับแรง และแบบไม่รับแรงโดยมีเสาเพ่ือประกอบการตัดสินใจในการเลือกอิฐแต่ละประเภท โดย
ทาํ การศึกษาการประมาณราคาเบือ้ งตน้ ในการก่อสรา้ งบ้านชั้นเดียว 5 ขนาดโดยใช้อิฐแต่ละประเภท จาก
การศกึ ษาพบวา่ ราคาของบา้ นชนั้ เดียวท่ีใชบ้ ลอ็ กประสานถกู กวา่ อิฐมอญและอิฐมวลเบาตามลาํ ดบั โดยไดแ้ สดง
ใหเ้ ห็นถึงความแตกต่างของราคาแตล่ ะขนั้ ตอนในการก่อสรา้ งผนงั นอกจากนีบ้ ลอ็ กประสานยงั ไดเ้ ปรียบในดา้ น
เวลาในการกอ่ สรา้ ง ดงั นนั้ บลอ็ กประสานจงึ เป็นอกี ทางเลอื กหน่งึ ท่ีน่าสนใจสาํ หรบั ทาํ ผนงั บา้ นชนั้ เดยี ว

คาํ สาํ คัญ : บลอ็ กประสาน, อิฐมอญ, อิฐมวลเบา

Abstract
The aim of this research was to study the cost of walls constructed by masonry bricks,
lightweight bricks, and interlocking blocks as bearing wall and non-bearing wall with columns, for
making decision to select the wall type. Cost estimation for 5 one-story houses with each wall type was
studied. The result found that the cost of houses with interlocking blocks was less than masonry bricks
and lightweight bricks, respectively. This research shows cost differences in each wall construction
step. Moreover, house with interlocking blocks have more advantage in construction time and was
interested choice for the one- story house.

Keywords : Interlocking blocks , Masonry bricks, Lightweight bricks
*Corresponding author; E-mail address : [email protected]

1 ภาควชิ าวิศวกรรมชลประทาน คณะวศิ วกรรมศาสตร์ กาํ แพงแสน มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ นครปฐม 73140
Department of Irrigation Engineering, Faculty of Engineering at Kamphaengsaen, Kasetsart University, Nakhonpathom 73140

2 ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ กาํ แพงแสน มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ นครปฐม 73140
Department of Civil Engineering, Faculty of Engineering at Kamphaengsaen, Kasetsart University, Nakhonpathom 73140

71

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้งั ที่ 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564

กระถางต้นไม้จากซีเมนตผ์ สมเถา้ ชานอ้อย
Flowerpot Made from Cement Mixed with Bagasse Ash

วรัญ�ู เลาวิชุวกรนุกูล01 สริ ลิ กั ษณ์ ฟักชว่ ย1 ศภุ กิตติ์ ยิม้ พงศ1์ กมล อมรฟา้ 2 และนิธิรชั ต์ สงวนเดือน1*
Warunyu Laowichuwakornnukui1, Siriluck Fukchuay1, Supakit Yimpong1,
Kamol Amornfa2 and Nitirach Sa-nguanduan1*

บทคัดยอ่
งานวิจยั นีม้ ีจดุ ประสงคเ์ พ่ือศกึ ษาสมบตั ิของซีเมนตผ์ สมเถา้ ชานออ้ ยสาํ หรบั กระถางตน้ ไมข้ นาดเล็ก ซ่งึ
สดั สว่ นผสมจะประกอบดว้ ยซีเมนต์ ทราย นา้ํ และเถา้ ชานออ้ ย โดยใชอ้ ตั ราสว่ นซีเมนตต์ อ่ ทราย เท่ากบั 1:1.94
โดยนาํ้ หนกั และอตั ราส่วนนาํ้ ต่อซีเมนตเ์ ท่ากบั 0.5 โดยใชเ้ ถา้ ชานออ้ ยแทนท่ีซีเมนตใ์ นอตั ราส่วนรอ้ ยละ 0, 10,
20, 30, 40, 50, 60 และ 70 ทาํ การทดสอบการรบั กาํ ลงั อดั และการทดสอบการดดู ซมึ นา้ํ โดยมีระยะเวลาในการ
บม่ นาํ้ ท่ี 3, 5 และ 7 วนั ผลการทดสอบพบว่า การใชเ้ ถา้ ชานออ้ ยแทนท่ีซีเมนตอ์ ตั ราสว่ นรอ้ ยละ 20 จะมแี นวโนม้
ตา้ นทานแรงอดั มากท่ีสดุ การทดสอบการดดู ซมึ นาํ้ ค่าการดดู ซมึ จะเพ่ิมขนึ้ ตามอตั ราสว่ นแทนท่ีของเถา้ ชานออ้ ย
และการนาํ เถา้ ชานออ้ ยแทนท่ีซีเมนตท์ าํ ใหร้ าคาวสั ดขุ องกระถางตน้ ไมล้ ดลง

คาํ สาํ คัญ : ซเี มนต,์ เถา้ ชานออ้ ย, กระถางตน้ ไม,้ กาํ ลงั รบั แรงอดั , การดดู ซมึ นา้ํ

Abstract
The research aims to study the properties of cement mixed with bagasse ash for small
flowerpot. Mixed proportion consist of cement, sand, water, and bagasse ash with a cement-to-sand
ratio of 1:1.94, water-to-cement ratio equal to 0.5, bagasse ash as a cement replacement of 0, 10, 20,
30, 40, 50, 60 and 70 percent. Compressive strength test and water absorption test were performed at
3, 5, and 7 curing days. The results show that sample of bagasse ash as a cement replacement of 20
percent was highest strength. The water absorption increased as ratio of bagasse ash as a cement
replacement increased. And the replacement of cement with bagasse ash led to reduce material cost
of flowerpots.

Key words: cement, bagasse ash, flowerpot, compressive strength, water absorption
*Corresponding author, E-mail address: [email protected]

1 ภาควชิ าวิศวกรรมชลประทาน คณะวศิ วกรรมศาสตร์ กาํ แพงแสน มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ นครปฐม 73140
Department of Irrigation Engineering, Faculty of Engineering at Kamphaengsaen, Kasetsart University, Nakhonpathom 73140

2 ภาควชิ าวศิ วกรรมโยธา คณะวศิ วกรรมศาสตร์ กาํ แพงแสน มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ นครปฐม 73140
Department of Civil Engineering, Faculty of Engineering at Kamphaengsaen, Kasetsart University, Nakhonpathom 73140

72

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ ครั้งที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564

การเปรียบเทยี บโปรแกรม BIM ในงานวิศวกรรมโยธา
Comparison of Building Information Modeling Programs in Civil Engineering

ภานุพัฒน์ ศิรวิ ัฒน0์1 ขนิษฐา พรมภกั ด1ี ภทั รนิ ทร์ ถ่ินนาสวน1 ธญั ชนก โมราวงษ1์
นพดล ไพศาลวรรณ1 ศิรชิ ยั ภทั รเกตอุ นนั ต1์ บรรพต กลุ สวุ รรณ1* และ นภิ าวรรณ กลุ สวุ รรณ1
Panupat Siriwat1, Kanidta Prompakdi1, Pattarin Thinnasuan1, Thanchanok Morawong1,
Noppadol Phaisanwan1, Sirichai Phattharaketanan1, Bunpoat Kunsuwan1* and Nipawan Kunsuwan1

บทคัดย่อ
การวิจยั นีม้ ีจดุ ประสงคเ์ พ่ือศกึ ษาการใชเ้ ทคโนโลยี BIM ในการสรา้ งแบบจาํ ลอง 3 มติ ิ สาํ หรบั งาน
โครงสรา้ ง งานสถาปัตยกรรม และงานระบบสขุ าภิบาล ซง่ึ จะใช้ 3 โปรแกรม ไดแ้ ก่ Autodesk Revit ArchiCAD
และ SketchUp จากนนั้ ทาํ การเปรียบเทียบใน 4 ดา้ น ดงั นี้ 1) ประสทิ ธิภาพการใชง้ าน 2) การถอดปรมิ าณงาน
3) การตรวจสอบการซอ้ นทบั ของแบบ และ 4) การแสดงความคบื หนา้ ของการก่อสรา้ ง จากผลการดาํ เนินงานวจิ ยั
พบวา่ ทงั้ 3 โปรแกรม ช่วยในการสนบั สนนุ การทาํ งานในกระบวนการก่อสรา้ งไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ ผลการ
คาํ นวณปริมาณงานดา้ นโครงสรา้ งและงานสถาปัตยกรรม รวมถงึ การแสดงความคืบหนา้ ของการกอ่ สรา้ งไมม่ ี
ความแตกตา่ งกนั สาํ หรบั ในสว่ นท่ีพบขอ้ แตกตา่ งนนั้ พบวา่ ทงั้ 3 โปรแกรม มผี ลการคาํ นวณปรมิ าณงานเหลก็ เสรมิ
ท่ีตา่ งกนั นอกจากนีบ้ างโปรแกรมจะตอ้ งมีคา่ ใชจ้ า่ ยสาํ หรบั ชดุ คาํ ส่งั เสริม มีการทาํ งานท่ียงุ่ ยากสง่ ผลตอ่
ระยะเวลาในการสรา้ งแบบจาํ ลอง บางโปรแกรมไมม่ คี าํ ส่งั ท่ีใชใ้ นการตรวจสอบการซอ้ นทบั ได้ จะตอ้ งใชร้ ว่ มกบั
โปรแกรมอ่นื อยา่ งไรก็ดีผลการศกึ ษาดงั กลา่ วจะเป็นแนวทางสาํ หรบั ผใู้ ชง้ านในการตดั สนิ ใจเลอื กใชโ้ ปรแกรมตาม
ความเหมาะสม

คาํ สาํ คัญ: ระบบสารสนเทศอาคาร ปรมิ าณงาน การตรวจสอบการซอ้ นทบั ระดบั ขนั้ ในการพฒั นา การจาํ ลองการกอ่ สรา้ ง

Abstract
This research aimed to study the use of BIM to create 3D models in parts of the structure,
architecture, and sanitation systems. Three programs were used to create the models: Autodesk Revit,
ArchiCAD, and SketchUp. The use of the program was compared in four ways which are: 1) the
performance 2) the quantity take-off, 3) the clash detection, and 4) the construction progress. From
the research results, it was found that all 3 programs help to support the work in the construction
process effectively. There are no differences in the quantity take-off both in the part of structure and

1 ภาควชิ าวศิ วกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ กาํ แพงแสน มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน จ.นครปฐม 73140
Department of Civil Engineering, Faculty of Engineering Kamphaeng Saen, Kasetsart University, Kamphaeng Saen Campus,
Nakhon Pathom 73140

73

การประชมุ วิชาการระดับชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564
architecture, and also the construction progress. On the other hand, the difference was found in the
quantity of the reinforcement. In addition, one program requires a fee for the optional instruction set,
and user-hostile affects the time of modeling and one program cannot be used for the clash detection.
However, The results of the study will be a guideline for users to decide which program to use as
appropriate.

Keyword: Building Information Modeling, Quantity, Clash Detection, Level of Development, Simulation
*Corresponding author; email address: [email protected]

74

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ คร้งั ที่ 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

Fuzzy AHP เพอื่ จัดลาํ ดับระบบ ETC โดยพจิ ารณาเทคโนโลยแี ละความเข้ากันไดข้ องเทคโนโลยี
Fuzzy AHP for ETC Prioritization Considering Technology and Compatibility Adoption

ฆนศิ า รุง่ แจง้ 1,* จาดรู แผน่ สุวรรณ01 และ ทวศี กั ดิ์ โปยารถ1
Kanisa Rungjang1,* Jadoon Pansuwan1, and Taweesak Poyarot1

บทคัดยอ่
ความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยีการขนสง่ และสารสนเทศเป็นแรงขบั เคล่ือนสาํ คญั ตอ่ ววิ ฒั นาการของระบบ
จดั เก็บค่าผ่านทางอตั โนมตั ิ (ETC) ภายใตป้ ัจจยั ความสาํ เร็จหลายประการ เช่น การดาํ เนินการ ค่าบาํ รุงรกั ษา
ความพึงพอใจของผู้ใช้ทาง หรือความเข้ากันได้ของเทคโนโลยี งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการประยุกต์
กระบวนการลาํ ดบั ชนั้ เชิงวิเคราะหแ์ บบฟัซซี (FAHP) เพ่ือจดั ลาํ ดบั ความสาํ คญั ของปัจจยั และเทคโนโลยี ETC
โดยการวิเคราะหก์ ารตดั สินใจจากผูเ้ ช่ียวชาญของกรมทางหลวง และหน่วยงานภายนอก ผลการวจิ ยั แสดงใหเ้ ห็น
วา่ ปัจจยั สาํ คญั ท่ีมีตอ่ การคดั เลือกเทคโนโลยี ETC ไดแ้ ก่ ปัจจยั ดา้ นเทคโนโลยี การบริการลกู คา้ ระบบปฏิบตั ิการ
และการบาํ รุงรกั ษา และความเขา้ กนั ไดข้ องเทคโนโลยีในอนาคต ตามลาํ ดบั และระบบการจดั เก็บคา่ ผ่านทางท่ี
เหมาะสมเป็นรูปแบบเทคโนโลยีร่วมกนั ไดแ้ ก่ ระบบเทคโนโลยีท่ีผสานการใชร้ ะบบกาํ หนดรหสั ดว้ ยคล่ืนความถ่ี
วทิ ยุ (RFID) รว่ มกบั เทคโนโลยีการจดจาํ ป้ายทะเบียน (ANPR) และการส่อื สารในระยะสนั้ (DSRC) การสรา้ งการ
ตระหนกั รูด้ า้ นนวตั กรรมผนวกกบั กฎหมายและกลไกการบงั คบั ใชจ้ ะช่วยสง่ เสรมิ การใชง้ านเทคโนโลยีมากขนึ้

คาํ สาํ คญั : ระบบการจดั เก็บคา่ ผา่ นทาง, การวิเคราะหเ์ ชิงลาํ ดบั ชนั้ แบบฟัซซ่,ี ความเขา้ กนั ไดข้ องการใชง้ านเทคโนโลยี

Abstract
New advancement in transportation and information technologies are the driving forces in
Electronic Toll Collection (ETC) revolution. There are many significant influencing factors including
operating expenses, maintenance cost and customer service, and compatibility in technology
adoption, etc. This research applies Fuzzy Analytical Hierarchy Process (FAHP) to prioritize factors and
alternatives of ETC system. The analysis of survey data from two groups of experts: Department of
Highways and stakeholder. As a result, the significant influencing factors are technology, operating and
maintenance system, customer service, and compatibility in technology adoption, respectively.
Technological integration of Radio Frequency Identification (RFID), Automatic Number Plate Recognition
(ANPR) and Dedicated Short Range Communications (DSRC) is highest priority of ETC deployment. ETC
innovation awareness, regulation and enforcement mechanism can encourage the compliance.

Keyword: Electronic Toll System, Fuzzy Analytical Hierarchy Process (FAHP), Compatibility of Technology Adoption
E-mail address: [email protected]

1 ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพ 10900
Department of Civil Engineering, Faculty of Engineering, Kasetsart University, Bangkok, 10900.

75

การประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

การวิเคราะหป์ ัจจัยในการออกแบบศาลาทพี่ ักผู้โดยสารรถประจาํ ทาง
เพอ่ื การเป็ นมหานครสเี ขียว โดยวธิ ี Fuzzy AHP

The analysis of bus stop design criteria for green city development using Fuzzy AHP

บรรจง บัวนาค01, ฆนศิ า รุง่ แจง้ 2
Banjong buanak1, Kanisa Rungjang2

บทคัดยอ่
การปรบั ปรุงท่ีพักผูโ้ ดยสารเป็นยุทธศาสตรห์ น่ึงท่ีสาํ คญั ในการสนับสนุนความย่ังยืนของกรุงเทพมหานคร
การคัดเลือกรูปแบบท่ีพักผูโ้ ดยสารท่ีเหมาะสมสาํ หรบั การพัฒนาเมืองเป็นการตัดสินใจท่ีทา้ ทายของหน่วยงานท่ี
รบั ผิดชอบ งานวิจัยนีจ้ ึงไดน้ าํ กระบวนการลาํ ดบั ชนั้ เชิงวิเคราะหแ์ บบฟัซซี (Fuzzy Analytical Hierarchy Process,
FAHP) ซ่ึงเป็นวิธีท่ีไดร้ ับการยอมรับในการตัดสินใจท่ีซับซอ้ นโดยอาศัยการจัดโครงสรา้ ง (Hierarchy) ของการ
ตดั สินใจมาใชใ้ นการจัดลาํ ดบั ปัจจยั อิทธิพลท่ีสาํ คญั และจดั ลาํ ดบั รูปแบบท่ีพกั ผูโ้ ดยสารท่ีเหมาะสม ผลการวิจัย
พบวา่ ปัจจยั ความย่งั ยืนของท่ีพกั ผโู้ ดยสาร ไดแ้ ก่ ความปลอดภยั ขอ้ มลู การเขา้ ถงึ เรขาคณิตและภูมทิ ศั น์ ส่ิงอาํ นวย
ความสะดวก และความย่ังยืนอ่ืนๆ ตามลาํ ดับ งานวิจัยนีแ้ สดงให้เห็นว่าวิธี FAHP เป็นประโยชน์ต่อการนํามา
ประยกุ ตใ์ ชใ้ นการพฒั นาท่ีพกั ผโู้ ดยสารโดยดลุ ยพินิจของผมู้ ีสว่ นไดส้ ว่ นเสียและผเู้ ก่ียวขอ้ ง

คําสําคัญ: กระบวนการลาํ ดับชั้นเชิงวิเคราะหแ์ บบฟัซซี (FAHP), ศาลาที่พักผูโ้ ดยสารรถประจาํ ทาง, ยุทธศาสตรก์ ารเป็นมหานครสีเขียวและ
สะดวกสบายของกรุงเทพมหานคร

Abstract
Bus stop improvement is one of the key strategies to support Bangkok Metropolitan Area
sustainability. The determination of feasible option for bus stop improvement is challenging decision of
the policy makers. This research adopted Fuzzy AHP technique to demonstrate the decision problem
as a hierarchy decision structure to prioritize the significant factors and to solve the optimal solution.
The factors affecting sustainability of bus stop design are security, information, accessibility, geometry
and landscape, facilities, and others sustainable factors, respectively. By this research, method of
FAHP can be applied as a decision tools to determine the feasible option of bus stop development at
agencies' and stakeholder's discretion.

Keyword: Fuzzy Analytical Hierarchy Process (FAHP), bus stop design criteria for green city development using Fuzzy AHP
E-mail address: [email protected]

1 วศิ วกรรมโครงสรา้ งพนื้ ฐานและการบรหิ าร ภาควชิ าวิศวกรรมโยธา มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพมหานคร 10900 ประเทศไทย
2 ภาควชิ าวศิ วกรรมโยธา มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพมหานคร 10900 ประเทศไทย
1Infrastructure Engineering and Management Department of Civil Engineering, Kasetsart University, Bangkok 10900, Thailand.
2Department of Civil Engineering, Kasetsart University, Bangkok 10900, Thailand.

76

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

กาํ ลังอัดและความต้านทานคลอไรดข์ องมอรต์ า้ รท์ ใี่ ช้เถา้ เศษไม้เป็ นมวลรวมละเอยี ด
Compressive strength and chloride resistance of mortar using wood ash as fine aggregate.

ไซนูเด็น สะแลแม01 ปกปอ้ ง รตั นช,ู อาบีเด็ง ฮาวา 2 แอซนั ยโู ซะ3

1

Sainuden Salaemae1, Pokpong Rattanachu, Abedeng Hawa2 and Aesun Yusoh3

บทคัดยอ่
บทความนีศ้ กึ ษาการนาํ เถา้ เศษไมซ้ ง่ึ เป็นผลพลอยไดจ้ ากโรงไฟฟา้ พลงั งานความรอ้ นมาใชแ้ ทนท่ีทราย
บางสว่ น เพ่ือศกึ ษาคณุ สมบตั ิดา้ นกาํ ลงั อดั และความตา้ นทานคลอไรดข์ องมอรต์ า้ ร์ โดยนาํ เถา้ เศษไมม้ าใชแ้ ทนท่ี
ทรายในอตั ราสว่ นรอ้ ยละ 0, 50, 75 และ 100 โดยนา้ํ หนกั ของมวลรวมละเอยี ดเพ่ือหลอ่ มอรต์ า้ ร์ ทดสอบกาํ ลงั อดั

ของมอรต์ า้ รท์ ่ีอายุ 7 และ 28 วนั และความตา้ นทานคลอไรดข์ องมอรต์ า้ รโ์ ดยวธิ ีการเรง่ ดว้ ยไฟฟา้ ท่ีอายุ 28 วนั ผล
การทดสอบพบวา่ เม่อื แทนท่ีทรายดว้ ยเถา้ เศษไมใ้ นปรมิ าณท่ีเพ่ิมขนึ้ จะสง่ ผลใหก้ าํ ลงั อดั ของมอรต์ า้ รม์ แี นวโนม้
สงู ขนึ้ กาํ ลงั อดั ของมอรต์ า้ รท์ กุ สว่ นผสมมีคา่ เพ่ิมขนึ้ ตามอายกุ ารบ่มท่ีเพ่ิมขนึ้ อย่างไรกต็ ามการใชเ้ ถา้ เศษไม้
แทนท่ที รายสง่ ผลใหม้ อรต์ า้ รม์ คี วามตา้ นทานคลอไรดท์ ่ีต่าํ ลงเม่ือเทียบกบั มอรต์ า้ รค์ วบคมุ

คาํ สาํ คัญ : เถา้ เศษไม,้ กาํ ลงั อดั , ความตา้ นทานคลอไรด,์ มอรต์ า้ ร์

Abstract
This research aimed to use wood ash, a by-product acquired from burning wood for a thermal
power, as a fine aggregate to partially replace sand. Wood ash was used to partially replace sand at
0, 50, 75 and 100% by weight of sand. The compressive strength at 7 and 28 days and chloride
resistance at 28 days of mortar were investigated. The results indicated that the compressive strength

of mortar was increased with the increase of wood ash content in mortar and the Increase of age of
mortar. However, the use of wood ash to partially replace sand in mortar resulted in lower the chloride
resistance than control mortar.

Keyword : wood ash, compressive strength, chloride resistance, mortar
E-mail address: : [email protected]

1 นกั ศกึ ษาปรญิ ญาโท สาขาวชิ าวศิ วกรรมโยธา คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นราธิวาสราชนครนิ ทร์ อ.เมือง จ.นราธิวาส 96000
Master’s degree student Civil Engineering Faculty of Engineering Narathiwat Rajanagarindra University
2 อาจารย์ สาขาวชิ าวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นราธิวาสราชนครนิ ทร์ อ.เมอื ง จ.นราธิวาส 96000
Professor Civil Engineering Faculty of Engineering Narathiwat Rajanagarindra University
3 อาจารย์ สาขาวชิ าการก่อสรา้ ง วทิ ยาลยั เทคนิคนราธิวาส มหาวทิ ยาลยั นราธิวาสราชนครนิ ทร์ อ.เมอื ง จ.นราธิวาส 96000
Professor Construction Narathiwat Technical College Narathiwat Rajanagarindra University

77

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ ครัง้ ที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564

การศกึ ษาผลของความสูงของหวั ฉีดต่อการกระจายของละอองนาํ้ จากหัวฉีดพ่นบนอากาศยานไร้
คนขับโดยใช้แท่นทดสอบ

A study of the Effect of Nozzle Height on the Distribution of Water Droplets Sprayed from
Unmanned Aerial Vehicles Using a Test Stand

สิทธา เทยี นขาว1 พชั รพล รตั นสงั ข1์ สหภาพ บญุ นาสาํ โรง1และ ณฐั ดนยั ตณั ฑวิรุฬห1์
Sitta Tiankhao1, Patcharapol Rattanasang1, Sahaparp Boonnasamrong1 and Natdanai Tantawiroon1

บทคัดยอ่
งานวิจยั นีม้ วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความสงู ของหวั ฉีดพน่ กบั รูปแบบการกระจายตวั
ของละอองสเปรยจ์ ากการฉีดพน่ โดยอากาศยานไรค้ นขบั โดยใชแ้ ท่นทดสอบแทนการทดลองโดยใชอ้ ากาศยานไร้
คนขบั จรงิ เพ่ือศกึ ษาผลกระทบของระดบั ความสงู ของหวั ฉีดจากระดบั พืน้ ดินท่ีมตี อ่ การกระจายตวั ของละออง
สเปรย์ การทดลองใชแ้ ท่นยดึ หวั ฉีดท่ีปรบั ระดบั ความสงู จากพืน้ ดนิ ไดแ้ ละใชห้ ลอดวดั ระดบั นา้ํ ในการศกึ ษาการ
กระจายตวั ของละอองสเปรยท์ ่ีตกลงสพู่ ืน้ ระบบสเปรยใ์ ชป้ ๊ัมขบั เคล่อื นดว้ ยมอเตอรไ์ รแ้ ปรงถ่านและหวั ฉีดแบบ
ท่วั ไปในทอ้ งตลาด ผลการทดลองพบวา่ ท่ีความดนั ใชง้ านเฉล่ีย 2.12 บาร์ หวั ฉีดสามารถฉีดพ่นไดท้ ่ีอตั ราเฉล่ีย
0.114 ลิตรตอ่ นาที มมุ สเปรยท์ ่ีแทจ้ ริงมคี า่ ระหวา่ ง 44.8 ถงึ 53.1 องศา ครอบคลมุ บริเวณกวา้ ง 0.825 เมตรท่ี
ระดบั ความสงู 1 เมตร การสญู เสยี ของสเปรยอ์ ยทู่ ่ีรอ้ ยละ 21.5 34.0 และ 40.2 ท่ีระดบั ความสงู 0.3 0.5 และ 1
เมตรตามลาํ ดบั

คาํ สาํ คัญ: อากาศยานไรค้ นขบั ฉีดพน่ หวั ฉีด การกระจาย ละออง

Abstract
The objective of this research was to study the relationship between the height of the spray
nozzle and the distribution pattern of droplet sprayed from an unmanned aerial vehicle using a test
stand instead of an experiment using an actual unmanned aerial vehicle to study the effect of nozzle
elevation from ground level on spray droplet distribution. The experiment was conducted with a height-
adjustable nozzle mount and a water level test tube to study the distribution of droplets falling onto the
ground. The spray system uses a brushless motor driven pump and conventional nozzles on the
market. The results showed that at an average operating pressure of 2.12 bar, the nozzle was able to
spray at an average rate of 0.114 liters per minute, with actual spray angles ranging from 44.8 to 53.1

1 ภาควิชาวศิ วกรรมเครอื่ งกล คณะวิศวกรรมศาสตรก์ าํ แพงแสน มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตรว์ ิทยาเขตกาํ แพงแสน จ.นครปฐม 73140
Department of Mechanical Engineering, Faculty of Engineering at Kamphaeng Saen, Kasetsart University, Kamphaeng Saen
Campus, Nakhon Pathom, Thailand, 73140

78

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ ครงั้ ที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564
degrees, covering a wide area of 0.825 m at 1-meter nozzle height. Spray loss was found to be 21.5,
34.0 and 40.2 percent at nozzle height of 0.3, 0.5, and 1 m, respectively.

Key words: UAV, Sprayer, Nozzle, Distribution, Droplet
*Corresponding author; email address: [email protected]

79

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564

การศึกษาเชิงทดลองพฤตกิ รรมการจุดตดิ ไฟของสายไฟ
An Experimental Study of Ignition Behavior of Electric Cable

คฑาวุธ พิมพา01 กรรมมนั ต์ ชปู ระเสรฐิ 2 และ ณฐั ศกั ดิ์ บญุ มี3
Katawut PIMPA1 Kummun CHOOPRASIRD2 and Nathasak BOONMEE3

บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้เสนอผลการศึกษาเชิงทดลองพฤติกรรมการจุดติดไฟแบบ Piloted ของ
ผลิตภณั ฑส์ ายไฟฟ้า 2 ชนิด ท่ีใชท้ ่วั ไปในงานตกแตง่ อาคาร ประกอบดว้ ย สายไฟฟ้า THW ขนาด 2.5 Sq.mm, 4
Sq.mm, 6 Sq.mm และสายไฟ ฟ้ า FRC ขนาด 2.5 Sq.mm, 4 Sq.mm, 6 Sq.mm โดยใช้อุปกรณ์ Cone
Calorimeter ฟลกั ซค์ วามรอ้ นท่ีใชใ้ นการทดลองมีคา่ ตงั้ แต่ 50 kW/m2 ขนึ้ ไป ท่ีทาํ ใหว้ สั ดทุ ดสอบติดไฟ เพ่ือใชห้ า
ค่าฟลักซค์ วามรอ้ นวิกฤตสาํ หรบั การจุดติดไฟแบบ Piloted ข้อมูลเวลาการจุดติดไฟท่ีไดจ้ ากการทดลองถูก
นาํ ไปใชศ้ กึ ษาฟลกั ซค์ วามรอ้ นวิกฤตและอณุ หภมู จิ ดุ ติดไฟของสายไฟฟ้า, ความเฉ่ือยทางความรอ้ น และนาํ้ หนกั
มวล ของผลติ ภณั ฑจ์ ากสายไฟฟ้า จากการศกึ ษาพบวา่ เม่อื ใชค้ า่ ฟลกั ซค์ วามรอ้ นวิกฤตและอณุ หภมู จิ ดุ ติดไฟเป็น
เกณฑเ์ พ่ือพิจารณาอนั ตรายดา้ นอคั คีภยั ในจาํ นวนผลติ ภณั ฑส์ ายไฟฟ้าทงั้ 2 ชนิด

Abstract
This research paper proposes experimental study results of piloted ignition behavior of
two electrical cable products commonly used in building decoration: THW cable size 2.5
Sq.mm, 4 Sq.mm, 6 Sq.mm and cable. FRC size of 2.5 Sq.mm, 4 Sq.mm, 6 Sq.mm using cone
calorimeter. The heat flux used in experiment was 50 kW/m2 or more to cause the test material to
ignite. To determine the critical heat flux for piloted ignition, the experimental ignition time data
were used to study the critical heat flux and the electric cable ignition temperature, thermal
inertia. And mass weight of products from electric wires the study found that when using Critical
heat flux and ignition temperature are criteria for determining the fire hazard. In the number of
cable products of both types

Key Words: การจดุ ตดิ ไฟแบบ Piloted, Power Cables, Electrical line products
K. Chooprasird, K. Boonmee e-mail address: [email protected], [email protected]

1 นิสติ ปรญิ ญาโท 2ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ 3รองศาสตราจารย์ หลกั สตู รวศิ วกรรมศาสตรม์ หาบณั ฑติ สาขาวชิ าวศิ วกรรมป้องกนั อคั คีภยั
ภาควชิ าวศิ วกรรมเครอ่ื งกล คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ 10900
Department of Mechanical Engineering, Faculty of Engineering, Kasetsart University, Bangkok, 10900

80