ผลงานการวิจัยทางการศึกษาที่ได้รับการตีพิมพ์

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ ครัง้ ที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองภายใตส้ ถานการณก์ ารแพร่ระบาด
ของโรคติดเชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19): กรณีศกึ ษาวยั ทางาน
Self-care behaviors under the situation of Corona virus 2019 (COVID-19) pandemic:

A case study of working adults

กมลทพิ ย์ ศรหี าเศษ1, พนดิ า พานิชวฒั นะ1, เยาวภา แสนเขยี ว1 และ สวุ ิมล ติรกานนั ท1์
Kamontip Srihaset 1, Panida Panidvadtana1, Yaowapa Sankhiao1, and Suwimon Tirakanant1

บทคดั ยอ่
ก า ร วิ จั ย ค รั้ง นี ้มี วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ เ พ่ื อ ศึ ก ษ า พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร ดู แ ล สุ ข ภ า พ ต น เ อ ง ภ า ย ใ ต้ส ถ า น ก า ร ณ์
การแพร่ระบาดของโรคติดเชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของวัยทางาน โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิง
คณุ ภาพ กล่มุ เป้าหมายในการวิจยั ครงั้ นี้ คือ วยั ทางานท่ีพกั อาศยั รว่ มกบั ผสู้ งู อายุ จานวน 10 คน ในพืน้ ท่ีชมุ ชน
เขตดอนเมือง ผูว้ ิจยั เก็บรวบรวมขอ้ มูลโดยใช้การสงั เกตแบบไม่มีส่วนร่วม การสมั ภาษณแ์ บบเป็นทางการ และ
ไม่เป็นทางการ และการวิเคราะหเ์ อกสารท่ีเก่ียวข้อง ใช้การวิเคราะหข์ อ้ มูลแบบสรา้ งขอ้ สรุปแบบอุปนัยและ
การจาแนกขอ้ มลู
ผลการวิจัยพบว่า 1) วัยทางานมีความเช่ือว่าพืน้ ฐานของสุขภาพมาจากการดูแลตัวเอง การเลือก
รบั ประทานอาหาร และการออกกาลงั กาย โดยมมุ มองความเช่ือนี้ นาไปสกู่ ารปฏิบตั ิตนเพ่ือปอ้ งกนั โรค และเป็น
การรักษาสุขภาพ เม่ือตอ้ งอยู่ร่วมกับผูอ้ ่ืน 2) ในสถานการณป์ กติพฤติกรรมการปฏิบัติเพ่ือการดูแลสุขภาพท่ี
วยั ทางานใหค้ วามสาคัญมากท่ีสดุ คือการออกกาลังกาย และการป้องกันอุบัติเหตุ และ 3) ภายใตส้ ถานการณ์
การแพร่ระบาดของโรคติดเชือ้ ไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) การปรบั พฤติกรรมการดแู ลสุขภาพตนเองของ
วยั ทางานเป็นผลมาจากการรบั รูค้ วามเสี่ยงในการติดเชือ้ ของผสู้ งู อายุ ซ่งึ นามาส่กู ารปรบั รูปแบบการใชช้ ีวิตเพ่ือ
ปอ้ งกนั ตวั เองจากโอกาสเสยี่ งในการตดิ เชือ้ แลว้ ทามาแพรเ่ ชอื้ ตอ่ สมาชกิ ในครอบครวั ซง่ึ เป็นผสู้ งู อายุ

คาสาคัญ: พฤตกิ รรมการดแู ลสขุ ภาพตนเอง วยั ทางาน สถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรคตดิ เชอื้ ไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19)

1 ภาควชิ าการประเมนิ และการวจิ ยั คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั รามคาแหง
Department of Research and Evaluation, Faculty of Education, RamKhamhaeng University

133

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ ครงั้ ที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564
Abstract

The purpose of this research was to study the behavior of self-health care under the situation of
Corona virus 2019 (COVID-19) pandemic of working adults by using qualitative methodology. The target
group of this research was 10 working adults who live with the elderly people in the Don Mueang
community area. The researchers collected data using non- participant observation, formal and informal
interviews, and documentary analysis. Also, the researcher applies the methods of conclusion making,
an induction analysis, and a classification of information.

The results showed that; 1) Working adults believed that the basis of their health came from
taking care of themselves, food selection and exercise. By this view of belief leading to action to prevent
disease and to maintain health to coexist with others. 2) In normal situations, the most important health
care behaviors for working adults were exercise and preventing accidents., and 3) Under the situation
of Corona virus 2019 (COVID-19) pandemic, the adjustment of self-care behaviors of working adults was
the result of recognizing the risk of infection of the elderly, which leads to lifestyle adjustments to protect
themselves from the risk of infection and then to infect the elderly family members.

Keyword: self-care behavior, working adults, the situation of Corona virus 2019 (COVID-19) pandemic
E-mail address : [email protected]

134

การประชมุ วิชาการระดับชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

ปัจจัยทส่ี ่งผลต่อความกตัญ�กู ตเวทขี องนิสิตมหาวิทยาลัยบูรพาทม่ี ีตอ่ ครอบครัว
Factors effecting to Gratitude of Burapha University Students towards Family

อาทิมา จนั ทเปรมจติ ต1์ นทั ธมน ฤทธิ์การ1 และ ธรรมวฒั น์ อปุ วงษาพฒั น2์
Atima Janthapramjit1 Nattmon Ritkan1 and Dhammawat Ouppawongsapat2

บทคัดยอ่
การวจิ ยั ครงั้ นี้ เป็นการวิจยั เชิงพรรณนาภาคตดั ขวาง มีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือศกึ ษาปัจจยั ท่ีสง่ ผลตอ่ ความกตญั �ู
กตเวทีต่อครอบครวั ของนิสิตระดบั ปริญญาตรี มหาวิทยาลยั บรู พา วิทยาเขตบางแสน กล่มุ ตวั อย่างในการวิจยั ครงั้ นี้
สมุ่ กล่มุ ตวั อย่างดว้ ยการส่มุ แบบแบ่งชนั้ ภูมิ โดยจดั กล่มุ คณะ คือ คณะวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตรส์ ขุ ภาพ และ
คณะสังคมศาตร์ จากนั้น คัดเลือก 1 คณะ ตัวแทนกลุ่มคณะโดยได้คณะตัวแทนคือ คณะวิทยาศาสตร์ คณะ
สาธารณสขุ ศาสตร์ และคณะรัฐศาสตรแ์ ละนิติศาสตร์ และสุ่มเลือกนิสิตปริญญาตรีจากคณะนนั้ ไดก้ ลุ่มตวั อย่าง
ทงั้ สนิ้ 300 คน เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั คือแบบสอบถาม ประกอบไปดว้ ย 5 สว่ นคือขอ้ มลู บคุ คล แบบวดั สมั พนั ภาพ
ครอบครวั แบบวดั ความเช่ือเร่ืองกฏแห่งกรรม แบบวดั ความมีคณุ ธรรมประจาํ ใจ และแบบวดั ความกตญั �กู ตเวที
วิเคราะหค์ ่าสถิติเชิงพรรณนา วิเคราะหป์ ัจจัยท่ีมีอิทธิพลและสมการทาํ นายดว้ ยการวิเคราะหถ์ ดถอยพหุคูณ ผล
การศกึ ษา พบว่า ปัจจยั สมั พนั ธภาพครอบครวั ความเช่ือเร่ืองกฎแห่งกรรม คณุ ธรรมประจาํ ใจ เป็นปัจจยั ท่ีสง่ ผลกับ
ความกตญั �กู ตเวทีตอ่ ครอบครวั ไดส้ มการพยากรณใ์ นรูปคะแนนมาตรฐาน ดงั นี้ ความกตญั �กู ตเวทีของนิสติ ท่ีมตี ่อ
ครอบครวั = 0.532 (สมั พนั ธภาพภายในครอบครวั ) + 0.030 (ความเช่ือเร่ืองกฎแห่งกรรม) + 0.126 (ความมคี ณุ ธรรม
ประจาํ ใจ) อาํ นาจการทาํ นาย รอ้ ยละ 26.5 อย่างมีนยั สาํ คญั ทางสถิติ

คาํ สาํ คัญ: ความกตญั �กู ตเวที ครอบครวั นกั เรยี น คณุ ธรรม สมั พนั ธภาพ รูปแบบการวจิ ยั ภาคตดั ขวาง

1

1นิสิตระดบั ปรญิ ญาตรี สาขาสขุ ศกึ ษาและการสง่ เสรมิ สขุ ภาพ คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บรู พา วทิ ยาเขตบางแสน จ.ชลบรุ ี 20131
Undergraduate students Health Education and Health Promotion Faculty of Public Health Burapha University Bangsaen Campus,
Chonburi 20131
2อาจารยป์ ระจาํ ภาควิชาสขุ ศกึ ษาและการสง่ เสรมิ สขุ ภาพ คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บรู พา วิทยาเขตบางแสน จ.ชลบรุ ี 20131
Lecturer at the Department of Health Education and Health Promotion Faculty of Public Health Burapha University Bangsaen
Campus, Chonburi 20131

135

การประชุมวิชาการระดับชาติ คร้งั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564
Abstract

This study was a cross-sectional descriptive research. The objectives were to study factors
effecting to Gratitude towards Familys among students of Burapha university. The Stratified random
sampling were used in 3 level of selection. First, three classes of faculty were divided by Science , Health
Sciences and Social Sciences. Second, The representative were faculty of Science, faculty of Public Health
,and faculty of Political Science and Law. The last, selected bachelor's students from that representative
faculty. 300 people were sample.The research instrument was a questionnaire consist of 5 parts: personal
data. family relationship measure The law of karma belief test A measure of moral integrity and the gratitude
scale. Data were collected data by questionnaires and analyzed by descriptive statistics. Influencing factors
and predictive equations were analyzed with multiple regression analysis. The results were showed that,
family relationship factors, belief in the law of karma and morality were factors that affected to gratitude
towards family. The forecast equation in the form of a standard score as follows: Student's gratitude towards
their family = 0.532 (family’s relationship) + 0.030 (belief in the law of karma) +0.126 (morality) and predictive
power was 26.5% by statistical significant.

Keyword: gratitude, family, student, moral, relationship , Cross sectional research
*Corresponding author; email address: [email protected]

136

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครัง้ ที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

ปัจจัยดา้ นโซเชียลมเี ดยี ทม่ี ผี ลกระทบเชงิ ลบต่อสุขภาพของนิสติ มหาวทิ ยาลัยบูรพา
Social Media Factors Affecting to Negative Health of Burapha University Students

วรศิ รา เกิดแกว้ 1 ปณิธาน องั เจา1 และ ธรรมวฒั น์ อปุ วงษาพฒั น2์
Waritsara Kerdkaew1 Panithan Aungchao1 and Dhammawaat Ouppawongsapat2

บทคัดย่อ
การวิจยั ครงั้ นี้ เป็นการวจิ ยั เชิงพรรณนาภาคตดั ขวาง มีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือศกึ ษาปัจจยั ท่ีมีผลกระทบเชิง
ลบตอ่ สขุ ภาพจากการใชส้ ่ือโซเชียลมีเดยี ของนิสติ มหาวิทยาลยั บรู พา กลมุ่ ตวั อย่างในการวจิ ยั ครงั้ นีเ้ ป็นนิสิตระดบั
ปริญญาตรี มหาวิทยาลยั บูรพา จาํ นวน 310 คน ส่มุ ตวั อย่างแบบแบ่งชนั้ ภูมิ เก็บขอ้ มูลดว้ ยแบบสอบถาม การ
วิเคราะหข์ อ้ มลู ดว้ ยสถิติพรรณนา และวิเคราะหป์ ัจจัยท่ีมีอิทธิพลและสมการทาํ นายดว้ ยการวิเคราะหถ์ ดถอย
พหุคณู ผลการวิจยั พบว่า หากปัจจยั การรบั รูต้ ามทฤษฎีการรูเ้ ท่าทนั ส่ือและความสนใจในการใชส้ ่ือสีขาวลดลง
ผลกระทบเชิงลบตอ่ สุขภาพจะเพ่ิมขึน้ ไดส้ มการพยากรณใ์ นรูปคะแนนมาตรฐาน ดงั นีค้ ือ ผลกระทบเชิงลบต่อ
สขุ ภาพ = - 0.310 (การรับรูต้ ามทฤษฎีการรูเ้ ท่าทันส่ือ) - 0.146 (ความสนใจในการใชส้ ่ือสีขาว) อาํ นาจการ
ทดสอบ รอ้ ยละ 14.6 อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติ

คาํ สาํ คัญ : การรูเ้ ทา่ ทนั สอ่ื สอื่ สีขาว สื่ออนั ไมม่ ีโทษ ผลกระทบเชงิ ลบตอ่ สขุ ภาพ

Abstract
This study was a cross-sectional descriptive research. The objectives were to study social
media factors affecting negative health among students of Burapha University. The 310 person of
sample group were selected by stratified random sampling technique, from undergraduate students of
Burapha University. Collected data by questionnaires. The data were analyzed by descriptive statistics.
The Influencing factors and predictive equations were analyzed with multiple regression analysis. The
results were showed that, if the perceive factors according to the media literacy theory and the interest
in using white media decreased, the negative impact on health will be increased by statistic significant.
The forecast equation in the form of a standard score as follows: negative health impacts = - 0.310
(perceive factors according to media literacy theory) - 0.146 (interesting in using white media) and
predictive power was 14.6 % by statistical significant.

Keyword : media literacy theory, white media, harmless media, negative health impact.
E-mail address : [email protected]
_________________________________
1 นิสติ ระดบั ปรญิ ญาตรี สาขาสขุ ศกึ ษาและการสง่ เสรมิ สขุ ภาพ คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บรู พา จ.ชลบรุ ี 20131
Undergraduate students Health Education and Health Promotion Faculty of Public Health Burapha University Chonburi 20131
2 อาจารยป์ ระจาํ ภาควชิ าสขุ ศกึ ษาและการสง่ เสรมิ สขุ ภาพ คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บรู พา จ.ชลบรุ ี 20131
Lecturer at the Department of Health Education and Health Promotion Faculty of Public Health Burapha Chonburi 20131

137

การประชุมวชิ าการระดับชาติ ครงั้ ที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

การบริหารจัดการกฬี าในการแข่งขันกฬี ามหาวิทยาลัยกีฬาแหง่ ชาติ ครั้งที4่ 4 พลศกึ ษาเกมส์
Sports Management for the 44 th tournament of Thailand National Sports University: Palasuksa Games

สดุ ยอด ชมสะหา้ ย1,ธาวฒุ ิ ปลมื้ สาํ ราญ1 ,ปรชั ญา ชมสะหา้ ย1 ,ธนกร ปัญญาวงค1์ และนรญั ญา ดว้ งพลบั 1
Sudyod Chomsahai1, Thawut Pluemsamran1, Prachaya Chomsahai1, Thanakon Panyawong1
and Naranya Duangplub1

บทคัดยอ่
การวิจัยเร่ือง การบริหารจัดการกีฬาในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ครัง้ ท่ี 44 พล
ศกึ ษาเกมสม์ ีวตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือศกึ ษาการบริหารจดั การกีฬา ในการแข่งขนั กีฬาของมหาวิทยาลยั การกีฬาแห่งชาติ
ครงั้ ท่ี 44 พลศกึ ษาเกมส์ และเป็นแนวทางในการพฒั นาการบริหารจดั การแขง่ ขนั กีฬามหาวิทยาลยั แหง่ ชาติ กล่มุ
ตวั อย่างเป็นนักกีฬาในการแข่งขนั กีฬามหาวิทยาลยั การกีฬาแห่งชาติ 17 วิทยาเขต จาํ นวน 357 คน จากตาราง
สมุ่ ของเครซ่ี มอรแ์ กน ผูฝ้ ึกสอน 24 คน ผจู้ ดั การทีม 16 คน ไดจ้ ากการสมุ่ แบบเจาะจง เคร่ืองมือท่ีรวบรวมขอ้ มลู
เป็นแบบสอบถามการบริหารจัดการโดยใชท้ ฤษฎี 4M ไดแ้ ก่ ดา้ นบุคลากร ดา้ นงบประมาณ ดา้ นสถานท่ีและ
อปุ กรณ์ และดา้ นการจดั การ ท่ีผา่ นการตรวจคณุ ภาพเคร่อื งมอื จากผเู้ ช่ียวชาญ 3 ทา่ นไดค้ า่ ioc เท่ากบั 1.00 สถิติ
ท่ีใชค้ ือคา่ รอ้ ยละ คา่ เฉล่ยี และคา่ สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน โดยใชโ้ ปรแกรมสาํ เรจ็ รูป
ผลการวจิ ยั พบวา่ ดา้ นดา้ นบคุ ลากร ความคดิ เห็นของผูฝ้ ึกสอนกีฬา โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั ปานกลางมี
ค่าเฉล่ีย 3.50 ผูจ้ ัดการทีมมีค่าเฉล่ีย 3.48 และนักกีฬาอยู่ในระดบั 3.10 ดา้ นงบประมาณ ความคิดเห็นของผู้
ฝึกสอนกีฬาโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉล่ีย 3.38 ผู้จัดการทีม มีค่าเฉล่ีย 3.48 และนักกีฬา
มีค่าเฉล่ีย 3.10 ดา้ นสถานท่ีและอุปกรณ์ ความคิดเห็นของผูฝ้ ึกสอนกีฬา โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง
มคี า่ เฉล่ยี 3.44 ผจู้ ดั การทีมมคี า่ เฉล่ยี 3.44 และนกั กีฬามคี า่ เฉล่ีย 3.19 และดา้ นการการจดั การ ความคิดเหน็ ของ
ผูฝ้ ึกสอนกีฬาอยู่ในระดับมากค่าเฉล่ีย 3.54 ผูจ้ ัดการทีมอยู่ในระดับปานกลางมีค่าเฉล่ีย 3.43 และนักกีฬา
มีคา่ เฉล่ยี 3.35 สรุปโดยภาพรวมในการบริหารจดั การกีฬาในการแข่งขนั กีฬามหาวทิ ยาลยั การกีฬาแห่งชาติครงั้ ท่ี
44 อยู่ในระดบั ปานกลาง และเป็นแนวทางในการบริหารจดั การแข่งขนั กีฬามหาวิทยาลยั การกีฬาแห่งชาติในครงั้
ตอ่ ไป

คาํ สาํ คัญ : การบรหิ ารจดั การ การแขง่ ขนั กีฬา มหาวทิ ยาลยั การกีฬาแหง่ ชาติ

1

0

1 คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั การกีฬาแหง่ ชาติ วทิ ยาเขตเชียงใหม่
Faculty of Physical Education Thailand National Sports University Chiang Mai Campus.

138

การประชมุ วิชาการระดับชาติ คร้งั ที่ 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

Abstract
The purpose of this research was to study the guidelines of sports Management for the 44th
tournament of Thailand National Sports University: Palasuksa Games. The aims were to study the
management of the 44th tournament of Thailand National Sports University: Palasuksa Games and
guidelines development of sports management for the 44th tournament of Thailand National Sports
University: Palasuksa Games
The sample are athletes 357 persons from Krejcie & Morgan, randomly selected by purposive
sampling. There were 24 coaches and 16 managers. The research instruments were using a
management questionnaire based on the 4M theory: 4M questionnaire there are man, money, material,
and management. They had been approved by 3 experts with the IOC as 1.00 The statistic in the data
analyze was Percentage value, mean (μ), and standard deviation (σ). Used packaged program.
The results found that the overall of personnel opinion such as sports coaches were averaged
of 3.50, team managers were 3.48, and athletes were 3.10. For the budget from sports coaches ’opinions
were moderate with an average of 3.38, team managers with an average of 3.48, and athletes with an
average of 3.10. Besides, in terms of places and equipment, the overall of sports coaches ’opinions had
an average of 3.44, the team manager had an average of 3.44, and the athletes had an average of 3.19.
The opinions of sports coaches were high with an average of 3.54, team managers were moderate with
an average of 3.43, and athletes had an average of 3.35. It can be concluded that, the overall of sports
management for the 44th tournament of Thailand National Sports University: Palasuksa Games were
moderate and it can be the best practice guideline for the next Thailand National Sports University:
Palasuksa Games.

Keywords: Management, tournament, Thailand National Sports University Games

139

การประชมุ วิชาการระดับชาติ ครงั้ ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

การประยุกตก์ ารเรียนรู้โดยการใช้การออกแบบเป็ นฐานในการสอนวชิ าสถติ แิ ละวธิ ีวจิ ัย
ทางการศึกษาสาํ หรับสาขานวัตกรรมการศกึ ษา

Application of Design-Based Learning in Statistics and Research Methods Teaching for
Educational Innovation Program

ธนรัตน์ แตว้ ัฒนา01 พทั ธนนั ท์ หรรษาภิรมโชค2 และธีรศกั ดิ์ สรอ้ ยครี 3ี
Thanarat Taewattana1, Pattanun Hansapiromchoke2 and Theerasak Soykeeree3

บทคัดยอ่
การวจิ ยั ครงั้ นีม้ วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือศกึ ษารูปแบบวธิ ีการเรียนรูโ้ ดยใชก้ ารออกแบบเป็นฐาน (Design-based
Learning: DBL) ท่ีเหมาะสมในการสอนรายวิชาสถิติและวิธีวิจยั ทางการศึกษา หลักสูตรนวัตกรรมการศึกษา
มหาบณั ฑิต สาขานวตั กรรมการศกึ ษา โดยมีขนั้ ตอนการวิจยั 3 ขนั้ ตอน ไดแ้ ก่ 1) ศกึ ษารูปแบบวิธีการเรียนรูโ้ ดย
ใชก้ ารออกแบบเป็นฐาน 2) จดั ทาํ แผนการเรียนรูว้ ธิ ีการเรยี นรูโ้ ดยใชก้ ารออกแบบเป็นฐาน 3) ดาํ เนินการสอนและ
ทาํ กิจกรรม DBL ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ งเป็นนิสติ ในหลกั สตู รนวตั กรรมการศกึ ษามหาบณั ฑิต สาขานวตั กรรม
การศึกษาท่ีลงทะเบียนเรียนวิชา 02182592 สถิติและวิธีวิจัยทางการศึกษา ในภาคการศึกษา 1/2564
คณะศกึ ษาศาสตรแ์ ละพฒั นศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน จาํ นวน 9 คน ผลการวิจยั
พบว่า รูปแบบท่ีใชใ้ นการสอนจะตอ้ งพิจารณา 2 มิติ ไดแ้ ก่ ดา้ นกระบวนการเรียนรู้ และดา้ นระเบียบวิธีการ
ออกแบบ นาํ มาบูรณาการเพ่ือใชเ้ ป็นแนวทางในการสอนการเรียนรู้ แบ่งเป็น 3 องคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่ ดา้ นผูส้ อน
ดา้ นผูเ้ รียน และดา้ นการทาํ งานร่วมกนั เพ่ือการเรียนรู้ โดยมีวตั ถปุ ระสงคข์ องรูปแบบท่ีตอ้ งการใหผ้ ูเ้ รียนไดฝ้ ึกฝน
การออกแบบโครงการวิจัยในรายวิชาท่ีเรียนดว้ ยการใชก้ ระบวนการความคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking)
ผลการออกแบบโครงการวจิ ยั และนาํ เสนอโครงการวจิ ยั รายบคุ คลของผูเ้ รยี น มผี ลการประเมนิ คะแนนเฉล่ียสงู กว่า
เกณฑ(์ Mean = 8.51, S.D. = 0.24) ตามสมมติฐานท่ีกาํ หนดอย่างมีนัยสาํ คญั ทางสถิติท่ีระดับ .01 และผูเ้ รียน
ประเมินความพงึ พอใจของนิสติ ท่ีมีต่อวธิ ีการเรียนรูโ้ ดยใชก้ ารออกแบบเป็นฐานในภาพรวมมีระดบั ความพงึ พอใจ
อย่ทู ่ีระดบั มาก (Mean = 4.42, S.D. = 0.40) ตามสมมตฐิ านท่ีกาํ หนดอยา่ งมนี ยั สาํ คญั ทางสถิตทิ ่ีระดบั .01

คาํ สาํ คัญ: การออกแบบเป็นฐาน ความคดิ เชิงออกแบบ นวตั กรรมการศกึ ษา

1,2,3 ภาควชิ าครุศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตรแ์ ละพฒั นศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน
Department of Teacher Education Faculty of Education And Development Sciences Kasetsart University Kamphaeng
Saen Campus

140

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครั้งท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564
Abstract

The purpose of this research was to study the design-based learning method model (DBL)
suitable for teaching Statistics and Research Methods in Education in Master of Education Program in
Educational Innovation. The research study consisted of 3 stages: 1) study the design-based learning
model (DBL). 2) develop a design-based learning plan. And 3) conduct teaching and DBL activities.
The population and the sample group were students of the Master of Education Program in Educational
Innovation who enrolled in the course 02182592 Statistics and Research Methods in Education In the
semester 1/2021 at the Faculty of Education and Development Kasetsart University Kamphaeng
Campus 9 student. The results showed that the model used in teaching must consider 2 dimensions,
learning process. and design methodology. It is integrated to used as a guideline for teaching and
learning, which is divided into 3 components: the teacher, the learner, and the collaboration for
learning. The purpose of the model is to allow students to practice designing research projects in the
course of study by using Design Thinking. The research project design results and personal student
research project presentations were score higher than criteria (Mean = 8.51, SD = 0.24) at 0.01 level of
significance and the overall satisfaction of using this model was higher than criteria (Mean = 4.42, SD =
0.40) at 0.01 level of significance.

Keyword: Design-based learning; Design Thinking; Educational Innovation
E-mail address: [email protected]

141

การประชุมวชิ าการระดับชาติ ครงั้ ท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

การวิเคราะหอ์ งคป์ ระกอบเชิงยนื ยันของโมเดลการเสรมิ สร้างชุมชนการเรยี นรู้เชิงวิชาชีพของครู
A Confirmatory Factor Analysis of Enhancing Teacher Professional Learning Community Model

นวฉตั ร นาเมอื งรักษ0์1 และธนนิ ทร์ รตั นโอฬาร1
Nawachat Namuangrak1 and Thanin Rattanaolarn 1

บทคัดย่อ
การวิจัยครัง้ นีม้ ีวัตถุประสงคเ์ พ่ือ 1) ศึกษาระดับการเสริมสรา้ งชุมชนการเรียนรูเ้ ชิงวิชาชีพของครู
2) ตรวจสอบความตรงของโมเดลการเสริมสรา้ งชุมชนการเรียนรูเ้ ชิงวิชาชีพของครูกับขอ้ มูลเชิงประจักษ์ กลุ่ม
ตวั อย่างท่ีใชใ้ นการวิจยั คือ ครูสงั กดั สาํ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน จาํ นวน 600 คน โดยใชว้ ธิ ีการ
สุ่มตัวอย่างแบบหลายขัน้ ตอน เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวิจัย คือ แบบสอบถามการเสริมสรา้ งชุมชนการเรียนรูเ้ ชิง
วิชาชีพของครู วิเคราะหข์ อ้ มลู โดยใชค้ ่าสถิติพืน้ ฐานและการวิเคราะหอ์ งคป์ ระกอบเชิงยืนยนั เพ่ือทดสอบความ
สอดคลอ้ งของโมเดลการเสริมสรา้ งชมุ ชนการเรียนรูเ้ ชิงวชิ าชีพของครูกบั ขอ้ มลู เชิงประจกั ษ์ ผลการวิจยั พบวา่
1. ระดบั การเสรมิ สรา้ งชุมชนการเรียนรูเ้ ชิงวิชาชีพของครูภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก (X̅ = 4.02, S = 0.70)
ดา้ นท่ีมีคา่ เฉล่ียสงู ท่ีสดุ คือ ดา้ นค่านิยมและการมีวิสยั ทศั นร์ ่วมกนั (X̅ = 4.06, S = 0.54) รองลงมา คือ ดา้ นการ
ดาํ เนินงาน (X̅ = 4.03, S = 0.63) ดา้ นการกาํ กบั ตดิ ตาม (X̅ = 4.00, S = 0.55) และดา้ นการสง่ เสริมสนบั สนนุ (X̅
= 3.96, S = 0.61) ตามลาํ ดบั
2. โมเดลการเสริมสรา้ งชมุ ชนการเรยี นรูเ้ ชิงวิชาชีพของครูมคี วามสอดคลอ้ งกบั ขอ้ มลู เชิงประจกั ษ์ อยา่ งมี
นัยสาํ คัญทางสถิติ โดยมีค่า Chi – square = 120.72, df = 99, 2⁄df = 1.22, p = 0.07, RMSEA = 0.019,
RMR = 0.0 มีGFI = 0.98, AGFI= 0.9, CFI = 0.99 และค่านาํ้ หนกั องคป์ ระกอบของตวั แปรทุกตวั มีค่าเป็นบวก
อยู่ระหว่าง 0.83 ถงึ 0.98 เรียงลาํ ดบั จากมากไปนอ้ ยได้ ดงั นี้ องคป์ ระกอบดา้ นการกาํ กับติดตาม องคป์ ระกอบ
ดา้ นการดาํ เนินงาน องคป์ ระกอบดา้ นการมีค่านิยมและวิสยั ทัศนร์ ่วมกัน และองคป์ ระกอบดา้ นการส่งเสริม
สนบั สนนุ

คาํ สาํ คัญ : โมเดลการเสรมิ สรา้ งชมุ ชนการเรยี นรูเ้ ชิงวิชาชพี ของครู การวิเคราะหอ์ งคป์ ระกอบเชงิ ยืนยนั

1 ภาควชิ าครุศาสตรอ ุตสาหกรรม คณะครุศาสตรอ ุตสาหกรรมและเทคโนโลยี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกลา เจา คณุ ทหารลาดกระบงั
Department of Industrial Education, Faculty of Industrial Education and Technology, King Mongkut’s Institute of Technology
Ladkrabang

142

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564
Abstract

The research aimed to 1) study the level of enhancing teacher professional learning community
2) validate and confirm the enhancing teacher professional learning community model. The samples
were 600 teachers by multi-stage random sampling. The instrument of this research was enhancing
professional learning community for teacher questionnaire. The data were analyzed by using
descriptive statistics and confirmatory factor analysis. The results were as follows :

1. The result of analysis level of enhancing professional learning community for teacher at a
high level (X̅ = 4.02, S = 0.70). The factors that showed the highest means were the values and vision
(X̅ = 4.06, S = 0.54), followed by the process (X̅ = 4.03, S = 0.63), assessment (X̅ = 4.00, S = 0.55) and
support (X̅ = 3.96, S = 0.61)

2. The result of second – order confirmatory factor analysis that the resulted model fitted
the empirical data by Chi – square = 120.72, df = 99, 2⁄df = 1.22, p = 0.07, RMSEA = 0.019, RMR
= 0.0 มGี FI = 0.98, AGFI= 0.9, CFI = 0.99. Factor loading of variables be value between 0.83 to 0.98.
The factor loading is sorted descending by the weight of the sort from high to low is to provide
assessment, process, values and vision and support.

Keyword : Enhancing teacher professional learning community model, Confirmatory factor analysis
E-mail address : [email protected]

143

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ คร้งั ที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

การศกึ ษาพฒั นาการการพัฒนาสมรรถนะของรองผู้อาํ นวยการสถานศกึ ษา
สังกัดสาํ นักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน จังหวัดพษิ ณุโลก

The Study on Maturity of Competencies Development of School Deputy Director
Office of the Basic Education Commission, Phitsanulok Province

บรรพต ไชยเสน01 และอนชุ า กอนพว่ ง12
Bunphot Chaiyasane1 and Anucha Kornpuang2

บทคัดยอ่
การวจิ ยั ครงั้ นีม้ ีวตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือศกึ ษาพฒั นาการการพฒั นาสมรรถนะของรองผอู้ าํ นวยการสถานศกึ ษา
สังกัดสาํ นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน จังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่าง ไดแ้ ก่ รองผูอ้ าํ นวยการ
สถานศึกษา สงั กัดสาํ นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน จงั หวัดพิษณุโลก ท่ีกาํ ลังดาํ รงตาํ แหน่งรอง
ผูอ้ าํ นวยการสถานศกึ ษา ปีการศกึ ษา 2564 ทงั้ หมด จาํ นวน 64 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เคร่ืองมือท่ีใชใ้ น
การวิจยั เป็นแบบสอบถาม มีลกั ษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ และแบบมาตรประมาณคา่ 5 ระดบั โดยแบ่ง
ออกเป็น 3 ระยะ ไดแ้ ก่ 1) สภาพก่อนไดร้ บั การพฒั นา 2) สภาพหลงั ไดร้ บั การพฒั นา 1 ปี และ 3) สภาพท่ีเป็นจริง
ในปัจจบุ นั วิเคราะหข์ อ้ มลู ดว้ ย คา่ ความถ่ี คา่ รอ้ ยละ คา่ เฉล่ยี และ คา่ สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน
ผลการวจิ ยั พบว่า รองผอู้ าํ นวยการสถานศกึ ษามีพฒั นาการในการพฒั นาสมรรถนะสงู ขึน้ ทงั้ ในภาพรวม
และจําแนกเป็ นรายสมรรถนะย่อย โดยสมรรถนะท่ี 1 ด้านคุณลักษณะรองผู้อํานวยการสถานศึกษา
ท่ีพงึ ประสงค์ มพี ฒั นาการสงู ท่ีสดุ รองลงมาเป็นสมรรถนะท่ี 3 ดา้ นการบรหิ ารและการจดั การในสถานศกึ ษา และ
สมรรถนะท่ี 2 ดา้ นภาวะผนู้ าํ ทางวชิ าการ ตามลาํ ดบั เม่ือพิจารณาตามสภาพของการพัฒนาสมรรถนะ พบว่า
สภาพก่อนไดร้ บั การพฒั นาสมรรถนะของรองผูอ้ าํ นวยการสถานศกึ ษา โดยภาพรวมอย่ใู นระดบั ปานกลาง และมี
ระดบั สมรรถนะย่อยทงั้ 3 สมรรถนะ อย่ใู นระดบั ปานกลางเช่นกนั สภาพหลงั ไดร้ บั การพฒั นา 1 ปี สมรรถนะของ
รองผอู้ าํ นวยการสถานศกึ ษา โดยภาพรวมอย่ใู นระดบั มาก และมีระดบั สมรรถนะย่อยทงั้ 3 สมรรถนะ อยใู่ นระดบั
มากเช่นกนั และสภาพท่ีเป็นจริงในปัจจบุ นั สมรรถนะของรองผูอ้ าํ นวยการสถานศกึ ษา โดยภาพรวมอย่ใู นระดบั
มาก และมีระดบั สมรรถนะย่อยทงั้ 3 สมรรถนะ อยใู่ นระดบั มากถงึ มากท่ีสดุ

คาํ สาํ คัญ: การพฒั นาสมรรถนะของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน, การศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน

1 นิสติ สาขาวชิ าการบรหิ ารการศกึ ษา ภาควชิ าบรหิ ารและพฒั นาการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร
Student of Educational Administration in Master of Education Program, Faculty of Education, Naresuan University
2 ผศ.ดร.สาขาวิชาการบรหิ ารการศกึ ษา ภาควิชาบรหิ ารและพฒั นาการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร
Asst. Prof. Dr. of Educational Administration in Master of Education Program, Faculty of Education, Naresuan University

144

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564
Abstract

This research aimed to study maturity of competencies development of school deputy director
officers of the Basic Education Commission, Phitsanulok Province. The samples were all 64 school
deputy director officers of the Basic Education Commission, Phitsanulok Province, the holding the post
of school deputy director academic year 2021 by purposive sampling method. The instrument used in
this research was the maturity of competencies development of school deputy director questionnaire.
The check list and 5-level rating scale questionnaires were used as a tool and divided into 3 stages
including 1) pre-developed conditions, 2) post-development conditions for 1 year, and 3) currently true
conditions. The data were analyzed using frequency, percentage, mean and standard deviation.

The results showed that the school deputy directors had higher score in maturity of
competencies development, both overall and classified into sub-competencies individuals. The 1st
competency in the characteristics of the school deputy director of desirable educational institutions had
the highest score maturity. The second highest level of maturity was the 3rd competency in school
administration and management, and the 2nd competency in academic leadership respectively. For
considering the conditions of competencies development, it showed that overall score of pre-developed
conditions of school deputy director was moderate. And the score of 3 sub- competencies levels was
also moderate. The overall score of post-development conditions for 1 year of school deputy director
had a high level. The score 3 sub-competencies also had score in a high level. The overall score of
currently true conditions of school deputy director was in a high level. And the score of 3 sub-
competencies was in a high level to the highest level.

Keyword: Development of competence of administrators of basic education institutions, Basic Education
E-mail address: [email protected]

145

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564

การจัดการระบบนิเวศการเรียนรู้ในการลดต้นทุนการผลติ สาํ หรับการทาํ นาแบบปลอดภัยของ
วิสาหกิจชุมชนกลุ่มชาวนาตาํ บลทา่ มะขาม อาํ เภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี

Learning Ecosystem Management in Reducing the Production Cost of Paddy Cultivation for Food
Safety of Chawna Tha Ma Kham Community Enterprise Muang District, Kanchanaburi Province

พชั ราภา กลา้ หาญ1 ,ประสงค์ ตนั พิชยั 1 ,สนั ติ ศรสี วนแตง1 และอภิญญา อดุ มเวช1
Patcharapa Klahan1, Santi Srisuantang1, Prasong Tanpichai1, and Aphinya Udomwech1

บทคัดยอ่
การวิจยั เชิงคณุ ภาพนีม้ ีวตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือศกึ ษาบริบทของวิสาหกิจชมุ ชนกลมุ่ ชาวนาตาํ บลท่ามะขาม และ
เพ่ือจดั การระบบนิเวศการเรียนรูใ้ นการลดตน้ ทุนการทาํ นาปลอดภยั ของวิสาหกิจชุมชน เก็บขอ้ มลู ดว้ ยการสนทนา
กลมุ่ ย่อย สมั ภาษณเ์ ชิงลกึ และสงั เกตแบบมีสว่ นรว่ มจากสมาชิกวิสาหกิจชมุ ชน ผูแ้ ทนองคก์ รภาครฐั ในทอ้ งถ่ิน และ
ภาคประชาสงั คม ผลการวิจยั พบว่า วิสาหกิจชุมชนมีทุนทางสงั คมท่ีหนุนเสริมการเรียนรู้ ไดแ้ ก่ ฐานทรพั ยากร ผนู้ าํ
กล่มุ ภูมิปัญญา เครือข่าย และทุนมนุษยท์ ่ีมีความพรอ้ มในการเรียนรูแ้ ละปรบั ตัวของสมาชิก ส่งผลใหก้ ลุ่มไดร้ ับ
โอกาสในการเรียนรูแ้ ละพัฒนาศกั ยภาพในการทาํ นาแบบปลอดภัยตามมาตรฐานการปฏิบัติการท่ีดีทางการเกษตร
โดยกระบวนการเรียนรูใ้ นการผลิตและใชส้ ารชีวภัณฑท์ ่ีไดร้ ับการถ่ายทอดจากปราชญ์เกษตรท่ีมีภูมิปัญญาและ
ความสาํ เร็จจากการปฏิบตั ิจริงสง่ ผลใหก้ ลุ่มเกษตรกรเกิดความม่งุ ม่นั ในการลดตน้ ทุนการผลิต ดว้ ยการผลิตและใช้
สารชีวภณั ฑใ์ นการปอ้ งกนั ศตั รูพืช ทาํ ใหเ้ กิดความปลอดภยั ต่อสขุ ภาพและส่ิงแวดลอ้ ม การลงมือปฏิบตั ิทาํ ใหเ้ ห็นผล
เป็นรูปธรรม และขยายผลต่อในกล่มุ สมาชิกท่ีนาํ ร่องปฏิบัติและเกษตรกรนอกวิสาหกิจชุมชน หรือชุมชนนกั ปฏิบัติ
จาํ นวน 10 คน

คาํ สาํ คัญ : ระบบนิเวศการเรยี นรู,้ ทนุ ทางสงั คม, การทาํ นาแบบปลอดภยั , การลดตน้ ทนุ การทาํ นา

1

0

1 ภาควิชาการพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ยแ์ ละชมุ ชน คณะศกึ ษาศาสตรแ์ ละพฒั นศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน จ.นครปฐม
Department of Human and Community Resource Development, Faculty of Education and Development Sciences, Kasetsart
University, Kamphaeng Sean Campus, Nakhon Pathom

146

การประชมุ วิชาการระดับชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564
Abstract

This qualitative research aimed to 1) study the context of Chawna Tha Ma Kham community
enterprise and 2) manage the learning ecosystem in reducing the production cost of rice for food safety.
Data was collected by focus group discussion, in-depth interviews, and participatory observation. The
participants included the members of community enterprise, local staff (public sector) and civil society. The
results exhibited that this community enterprise is encouraged by the social capital, namely, resources,
group leader, local wisdom, network, and human capital. The community enterprise’s members were active
learner and adaptive hence the learning and potential development of the group in good agricultural
practice (GAP) – paddy cultivation was received. The learning process in production and application of
biopesticide were propagated by agricultural wisdomer. Therefore, biopesticide was produced and applied
in paddy field by these members. This biopesticide is safe on health and environment. Learning by doing
was the tool showing this biopesticide was effective pest-control and could reduce the production cost of
rice hence it was accepted. Consequently, it was applied continuously by community enterprise’s members
and neighbors, community of practices of ten.

Keywords: learning ecosystem, social capital, paddy cultivation for food safety, reducing the production cost of rice
E-mail address: [email protected]

147

การประชุมวชิ าการระดับชาติ ครงั้ ท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

การบรู ณาการเซนตห์ ลุยสโ์ มเดลในงานบริการพยาบาลเพือ่ พัฒนาคุณภาพการพยาบาล
และสร้างเสรมิ จติ ตารมณข์ องพยาบาลวชิ าชพี

The Integration of Saint Louis Model to Nursing Service for
Nursing Quality Improvement and Nurse’s Spiritual Well-being

วนั ทนีย์ โรจนล์ อื ชยั 1 และละเอยี ด แจ่มจันทร์ 2
Wantanee Rojluechai1 and Laiad Jamjan2

บทคดั ยอ่
การวิจยั ผสานวิธีนีม้ ีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือพฒั นาคณุ ภาพการพยาบาลจากการบรู ณาการเซนตห์ ลยุ สโ์ มเดล
งานในบริการพยาบาลและเปรียบเทียบการรบั รูข้ องพยาบาลวิชาชีพในการสะทอ้ นจิตตารมยข์ องตนเองก่อนและ
หลงั การนาเซนตห์ ลยุ สโ์ มเดลไปใช้ การวิจยั มี 2 ขนั้ ตอน ไดแ้ ก่ 1) การวเิ คราะหข์ อ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ เพ่อื พฒั นาเซนต์
หลุยสโ์ มเดลและประเมินคุณภาพบริการพยาบาล 2) นาเซนตห์ ลุยสโ์ มเดลไปใชใ้ นงานบริการพยาบาลและ
ติดตามผล รวบรวมขอ้ มลู โดยการศกึ ษาเอกสารบรบิ ทของเซนตห์ ลยุ สโ์ มเดล ในระยะแรกสมั ภาษณผ์ นู้ าองคก์ าร
9 คน รวมทงั้ ประเมนิ จติ ตารมณข์ องพยาบาลวิชาชีพ 15 คน จากหอผปู้ ่วย 5 แผนก วเิ คราะหเ์ นือ้ หาและขอ้ มลู เชิง
ปรมิ าณดว้ ยสถติ ิพรรณนา
ผลการวิจยั พบว่า พฒั นาเซนตห์ ลยุ สโ์ มเดลแบบบรรยายเป็นเซนตห์ ลยุ สโ์ มเดลเพ่ือปฏิบตั ิ (Saint Louis
Modelin Action) ประกอบดว้ ย 12 กิจกรรมการพยาบาล พยาบาลสามารถส่ือสารอย่างชัดเจนนาเซนตห์ ลุยส์
โมเดลเพ่ือปฏิบตั ิไปใชใ้ นการวางแผนการจาหน่ายพบว่าบนั ทกึ วางแผนการจาหน่าย 44 ฉบบั มีความครอบคลมุ
สาระสาคญั ท่ีมีผลต่อคณุ ภาพการพยาบาลจิตตารมยข์ องพยาบาลวิชาชีพหลงั การนาเซนตห์ ลยุ สโ์ มเดลไปใชส้ ูง
กวา่ ก่อน ผลการวิจยั จงึ เป็นหลกั ฐานของการประกนั คณุ ภาพบรกิ ารพยาบาลและการรบั รองคณุ ภาโรงพยาบาลใน
ระยะตอ่ ไป

คาสาคัญ :เซนตห์ ลยุ สโ์ มเดล บรกิ ารพยาบาล พฒั นาคณุ ภาพ จิตตารมณ์

1ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลเซนตห์ ลยุ ส์
Department of Nursing Service Saint Louis Hospital
2กลมุ่ การพยาบาลพนื้ ฐาน คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลยั เซนตห์ ลยุ ส์
Nursing Faculty Saint Louis College; Laiad Jamjan; E-mail address: [email protected]

148

การประชุมวชิ าการระดับชาติ คร้ังที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564
Abstract

This mix method research aimed to develop nursing quality improvement by integration of Saint
Louis Model to nursing service as well as compare nurses’ spiritual well-being before and after using
Saint Louis Model.The research process was two phases: 1) qualitative study for Saint Louis Model
delopment and nursing quality assessment, 2) implement Saint Louis Model to nursing service and
evaluation. Data collected by interviewing 9 body leaders together with the primary context of Saint
Louis Model documentery revision. Also spiritual well-being assessment entire 15 professional nurses
from 5 wards. Content analysis and descriptive statistics was used for data clarification.

The results revealed Saint Louis Modeldescription developed to Saint Louis Model in action.
It composed of 12 nursing activities that make clearly communication for nurses. Saint Louis Model in
action was implemented to discharge planning. The 44 discharge plan records was enclosed the main
point of caring that significance to nursing quality. Professional nurses’ spiritual well-being after using
Saint Louis Model in action wasincreased. Research results are evidences for nursing quality
improvement as well as next chapter of hospital quality assurance.

Keywords: Saint Louis Model, nursing service, quality improvement, spiritual well-being
E-mail address: [email protected]

149

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

ประสทิ ธิภาพของบทเรียน e-Learning และความพงึ พอใจของผู้ใช้ระบบ KPI e-Learning
หลักสูตรเตรียมความพร้อมสาํ หรับการเมอื งระดับท้องถน่ิ สถาบันพระปกเกล้า

Effectiveness of e-Learning lessons and User’s Satisfaction of KPI e-Learning System
The Preparatory Course for Local Politics, King Prajadhipok's Institute

สมเกยี รติ นากระโทก01
Somkait Nakatok1

บทคัดย่อ
การวิจัยเชิงสาํ รวจนีม้ ีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของบทเรียน e-Learning และ 2) ศกึ ษา
ความพึงพอใจของผใู้ ชร้ ะบบ KPI e-Learning หลกั สตู รเตรียมความพรอ้ มสาํ หรบั การเมืองระดบั ทอ้ งถ่ิน สถาบนั
พระปกเกลา้ เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นวิจยั ไดแ้ ก่ 1) แบบประเมินประสิทธิภาพบทเรียน และ 2) แบบสอบถามความพึง
พอใจ ประชากร คือ ผทู้ ่ีลงทะเบียนเรียนและสอบผ่านหลกั สตู ร e-Learning หลกั สูตรเตรียมความพรอ้ มสาํ หรบั
การเมืองระดบั ทอ้ งถ่ิน จาํ นวน 500 คน สถิตทิ ่ีใชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ไดแ้ ก่ คา่ เฉล่ยี ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐานและ
การวเิ คราะหเ์ นือ้ หา ผลการวิจยั พบวา่ 1) ผตู้ อบแบบสอบถามสว่ นใหญ่เป็นเพศชาย มอี ายรุ ะหวา่ ง 31-40 ปี และ
มรี ะดบั การศกึ ษาระดบั ปริญญาตรีและสงู กวา่ ถงึ รอ้ ยละ 95.88 ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ คือ ภูมิลาํ เนาท่ีผเู้ รียน
อาศยั อย่มู ีสดั สว่ นมากท่ีสดุ 2) บทเรียน e-Learning มีประสิทธิภาพระดบั มากท่ีสดุ 3) ผใู้ ชร้ ะบบ KPI e-Learning
มีระดบั ความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั มากท่ีสดุ

คาํ สาํ คัญ : บทเรยี นอิเลก็ ทรอนิกส,์ ประสทิ ธิภาพบทเรยี น, ความพงึ พอใจ, การเมอื งระดบั ทอ้ งถ่ิน

Abstract
This survey research aimed to 1) study the effectiveness of e-Learning lessons 2) study the
user’ s satisfaction of KPI e- Learning system, the preparatory courses for local politics, King
Prajadhipok's Institute. The research instruments were 1) Lessons effectiveness evaluation form, and 2)
Satisfaction questionnaire. The population consisted of 500 learners, who enrolled and passed the
e-Learning course, preparatory course for local politics. Content analysis and descriptive statistics were
used to interpret obtained data. The research were found that 1) Most of the respondents were male,
aged between 31-40 years, and 95.88% had a bachelor's degree and higher. North-eastern is largest
proportion place where learners live in, 2 ) Effectiveness of e- Learning lessons had highest level.
3) User’s satisfaction of KPI e-Learning system had highest level.

Keyword: e-learning, lessons effectiveness, satisfaction, local politics
E-mail address: [email protected]

1 สาํ นกั นวตั กรรมเพอื่ ประชาธิปไตย สถาบนั พระปกเกลา้ กรุงเทพมหานคร 10210
1 Office of Innovation for Democracy, King Prajadhipok’s Institute, Bangkok 10210

150

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ ครั้งที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

ภาคีเครอื ข่ายในการพัฒนาชุมชนบ้านปลายนาสวน
ตาํ บลนาสวน อาํ เภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี
Network Partners in Community Development
Ban Plai Na Suan, Na Suan Sub-district, Si Sawat District, Kanchanaburi Province

อภญิ ญา อุดมเวช01 , ประสงค์ ตนั พชิ ยั 1 , สนั ติ ศรสี วนแตง1 และพชั ราภา กลา้ หาญ1
Aphinya Udomwech1, Santi Srisuantang1, Prasong Tanpichai1 and Patcharapa Klahan1

บทคัดยอ่
การวิจยั ครงั้ นีม้ ีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือศกึ ษาบริบทและทุนชุมชนของบา้ นปลายนาสวน และวิเคราะหบ์ ทบาท
ของภาคีเครือข่ายในการพฒั นาชุมชนบา้ นปลายนาสวน โดยใชว้ ิธีการวิจยั เชิงคุณภาพ คดั เลือกพืน้ ท่ีและผูใ้ ห้
ขอ้ มลู หลกั แบบเจาะจง เก็บขอ้ มลู ดว้ ยการสมั ภาษณเ์ ชิงลกึ การสนทนากลมุ่ และการสงั เกตแบบไมม่ ีสว่ นรว่ มจาก
ผใู้ หข้ อ้ มลู รวม 45 คน เคร่อื งมือเก็บขอ้ มลู ประกอบดว้ ย แบบสมั ภาษณก์ ง่ึ โครงสรา้ ง ประเดน็ คาํ ถามในการสนทนา
กล่มุ ย่อย วิเคราะหข์ อ้ มูลดว้ ยการวิเคราะหเ์ นือ้ หา ตรวจสอบขอ้ มลู ดว้ ยเทคนิคสามเสา้ และยืนยนั ความถูกตอ้ ง
ของขอ้ มลู โดยการทวนสอบกบั ผใู้ หข้ อ้ มลู หลกั ผ่านเวทีการคืนขอ้ มลู ชมุ ชน
ผลการวิจยั พบว่า ชมุ ชนบา้ นปลายนาสวน ตาํ บลนาสวน อาํ เภอศรีสวสั ดิ์ จงั หวดั กาญจนบุรี เป็นชุมชน
เกษตรกรรมในพืน้ ท่ีตน้ นาํ้ สมาชิกสว่ นใหญ่เป็นชาวกะเหร่ียงโป่ วท่ีมีวิถีการดาํ เนินชีวิตท่ีเป็นอตั ลกั ษณแ์ ละพง่ึ พา
ทรพั ยากรจากธรรมชาติท่ีเป็นแหล่งอาหารและการประกอบอาชีพ ทุนชุมชนเป็นปัจจัยท่ีสาํ คญั ของการพฒั นา
ประกอบดว้ ย ทนุ ความรูแ้ ละภูมิปัญญา ทนุ ธรรมชาติ ทนุ มนุษย์ ทุนวฒั นธรรม และเครือข่ายทางสงั คม อตั ลกั ษณ์
ทางวฒั นธรรมเป็นส่ิงยดึ โยงชมุ ชนใหเ้ กือ้ กลู กนั ภาคเี ครือขา่ ยและความร่วมมือเป็นพลงั ของการขบั เคล่ือนท่ีหนุน
เสริมการสรา้ งความเขม้ แข็งของชุมชนในการยกระดบั การพัฒนาอาชีพในการทาํ การเกษตรท่ีปลอดภัย ภาคี
เครือขา่ ยท่ีรว่ มกนั ขบั เคล่ือนการพฒั นาบนฐานของทนุ ชมุ ชนตามหลกั ของการพฒั นาท่ีย่งั ยืนและนโยบายการสาน
พลงั ประชารฐั ประกอบดว้ ย ภาครฐั ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสงั คม และภาคประชาชน สรา้ งใหเ้ กิด
การเรียนรู้ พฒั นาทกั ษะ และยกระดบั การพฒั นาอาชีพของชมุ ชนดา้ นการผลิต การแปรรูปผลผลติ และการตลาด
เพ่ือสง่ ตอ่ ผลผลติ อาหารปลอดภยั สสู่ งั คม

คาํ สาํ คัญ : ภาคีเครอื ข่าย, การสานพลงั ประชารฐั , ทนุ ชมุ ชน, การเรยี นรู,้ อาหารปลอดภยั

1 ภาควชิ าการพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ยแ์ ละชมุ ชน คณะศกึ ษาศาสตรแ์ ละพฒั นศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน
1 Department of Human and Community Resource Development, Faculty of Education and Development Sciences, Kasetsart
University, Kamphaeng Sean Campus

151

การประชุมวิชาการระดับชาติ คร้งั ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564
Abstract

This research aimed to study the context and community capital of Baan Plai Na Suan and
analyze the role of network partners for community development of the Baan Plai Na Suan by using a
qualitative research method. The purposive methods were used to select research area and informants.
45 informants were collecting data from in-depth interviews, focus group discussion and non-participant
observations using semi-structured interview form and discussion questions as data collection tools.
Data analysis based on content analysis and verification with a triangulation technique. The accuracy
of data was verified with the key informants through the forum.

The results showed that Ban Plai Na Suan Community, Na Suan Subdistrict, Si Sawat District,
Kanchanaburi is an agricultural community the watershed area. Most of the members are Karen Poo
people with a unique lifestyle. Natural resources provide food and occupation for them. Community
capital is an important factor of development, consisting of knowledge and wisdom capital, natural
capital, human capital, cultural capital, and social networks. Cultural identity is what connects
communities to support each other. Network partners and cooperation are the driving forces that support
strengthening of communities to enhance occupational development in safe farming. Network partners,
the government sector, the private sector, the academic sector, the civil society sector and the public
sector, who jointly drive development based on community capital in accordance with the principles of
sustainable development and the policy of empowering public-private partnership, create learning,
developing skills and upgrading the professional development in production, product processing and
marketing to pass on food safety to society.

Keyword: Network Partners, Public-Private Partnership Empowerment, Community Capital, Learning, Food Safety
E-mail address: [email protected]

152

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ ครั้งที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

สภาพปัญหาและแนวทางการจัดการเรยี นการสอนรูปแบบออนไลน์
ของอาจารยใ์ นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกล้าธนบุรี
ภายใต้สถานการณก์ ารแพร่ระบาดของไวรัสโควดิ -19

Problems and Guideline of Online Learning and Teaching Management of Teachers at King
Mongkut's University of Technology Thonburi Under the Covid-19 Virus Pandemic Situation

นารินทร์ ประเดมิ ทอง01 พลศกั ดิ์ เลศิ หิรญั ปัญญา1 และ อารยา เคนทวาย1
Narin Pradoemthong1, Phonsak Lerthiranphanya1 and Araya Kentawai1

บทคัดยอ่
การวิจยั ครงั้ นีม้ ีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือศกึ ษาสภาพปัญหา และเสนอแนวทางการแกไ้ ขในการจดั การเรียนการ
สอนรูปแบบออนไลน์ภายใตส้ ถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เก็บรวบรวมขอ้ มูลดว้ ยวิธีการ
สมั ภาษณเ์ ชิงลึกโดยใชแ้ บบสมั ภาษณก์ ่ึงโครงสรา้ ง จากอาจารยผ์ ูส้ อนในมหาวิทยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้
ธนบรุ ี จาํ นวน 24 ทา่ น โดยใชก้ ารเลอื กกลมุ่ ตวั อย่างแบบสโนวบ์ อลล์ และทาํ การวิเคราะหข์ อ้ มลู ดว้ ยการวิเคราะห์
เนือ้ หา ผลการวิจยั พบว่าประเด็นปัญหาท่ีสาํ คญั คือ ความพรอ้ มดา้ นการจดั การเรียนการสอน และเคร่ืองมือ
อปุ กรณท์ ัง้ ในส่วนของผูส้ อนและผูเ้ รียน ซ่ึงจะตอ้ งปรบั เปล่ียนรูปแบบใหเ้ หมาะสมกบั การสอนรูปแบบออนไลน์
โดยเฉพาะอย่างย่ิงรายวิชาปฏิบตั ิ อีกทงั้ ควรมีการสาํ รวจความพรอ้ มดา้ นเคร่ืองมือ อปุ กรณ์ และมีช่องทางการขอ
ยืมอปุ กรณท์ ่ีใชใ้ นการเรยี น เพ่ือใหก้ ารจดั การเรยี นสอนท่ีมีประสิทธิภาพ

คาํ สาํ คัญ : การจดั การเรยี นการสอนออนไลน,์ แนวทาง, ปัญหา, ไวรสั โควิด-19, สถานการณ์

Abstract
The purpose of this research was to explore the problems and to propose guideline regarding online
learning and teaching management under the situation of the COVID – 19 virus pandemics. Data were
collected by in-depth interview using a semi-structured interview form. 24 instructors at King Mongkut's
University of Technology Thonburi, using by snowball sample method and content analysis were utilized. The
result showed that the main point of problem was the readiness to organize instructional procedure, and
communication devices for both of instructors and students. Especially in practical course, they needed to
convert their learning method to suit the online learning instruction. In addition, there should be surveyed
about equipment and communication devices readiness to provide the contact a source of borrowing
equipment for organizing instruction efficiently.

Keyword : COVID-19 virus, Guidelines, Online Learning and Teaching Management, Problem, Situation
E-mail address : [email protected]

1ภาควิชาครุศาสตรอ์ ตุ สาหการ คณะครุศาสตรอ์ ตุ สาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ ธนบรุ ี กรุงเทพมหานคร
Department of Production Technology Education, Faculty of Industrial Education and Technology, King Mongkut's University of
Technology Thonburi, Bangkok

153

การประชุมวิชาการระดับชาติ ครัง้ ที่ 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

การพฒั นาทกั ษะการบวก ลบ คูณ และหารจาํ นวนเตม็
โดยใช้คลินิกคณิตศาสตร์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปี ที่ 3/5
The Skill Development of Mathematics Adding, Subtracting, Multiplication and Dividing of
Integers by using Mathematics Clinic of Students in Mathayomsuksa 3/5

ณัฏฐภ์ คมน คล่องกระบี1่ , พนิ ดา วราสนุ นั ท2์ , ดรุณณี เย็นใจ3 และ วิทยา ซมิ้ เจรญิ 2
Natpakamon Klongkrabi1 , Pinda Varasunun2 , Daroonnee Yenjai 3 and Wittaya Simcharoen2

บทคัดยอ่
การวิจัยครัง้ นีม้ ีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือ 1) พัฒนาทักษะการบวก ลบ คูณ และหารจาํ นวนเต็มโดยใชค้ ลินิก
คณิตศาสตรข์ องนกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3/5 จาํ นวน 2 กรณีศกึ ษา และ 2) ศกึ ษาความพงึ พอใจของนกั เรียนท่ี
มีต่อคลินิกคณิตศาสตร์ กล่มุ ท่ีศึกษา คือ นกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3/5 ในภาคเรียนท่ี 2 โรงเรียนแห่งหน่ึงใน
จงั หวดั นนทบุรี จาํ นวน 2 คน ซง่ึ ไดม้ าจากการเลือกแบบเจาะจง กระบวนการจดั การเรียนรูค้ ลินิกคณิตศาสตรย์ ดึ
ตามการวิจัยเชิงปฏิบัติการวงจร PAOR เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย คือแผนการจัดการเรียนรู้ แบบบันทึก
แบบทดสอบและแบบสัมภาษณ์ การวิเคราะหข์ อ้ มูลใชก้ ารวิเคราะหค์ ่าเฉล่ีย ความถ่ีและการวิเคราะหเ์ นือ้ หา
ผลการวิจยั พบว่า 1) ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตรเ์ ร่ืองการบวก ลบ คณู และหารจาํ นวนเต็มของนกั เรียน
ทัง้ 2 กรณีศึกษาหลังเขา้ ร่วมคลินิกคณิตศาสตรส์ ูงกว่าก่อนเขา้ ร่วม และ 2) นักเรียนทั้ง 2 กรณีศึกษามีความ
พึงพอใจต่อกิจกรรมคลินิกคณิตศาสตรโ์ ดยเห็นว่าคลินิกคณิตศาสตรน์ ีท้ าํ ใหน้ ักเรียนชอบคณิตศาสตรม์ ากขึน้
มีกิจกรรมใหเ้ ลน่ สนกุ และทาํ ใหเ้ ขา้ ใจเร่อื งการบวก ลบ คณู และหารจาํ นวนเตม็ มากขนึ้

คาํ สาํ คัญ : คลนิ ิกคณิตศาสตร์

1

0

1 นิสิตหลกั สตู รศกึ ษาศาสตรบ์ ณั ฑิต คณะศกึ ษาศาสตรแ์ ละพฒั นศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน
Bachelor of Education, Faculty of Education and Development Sciences, Kasetsart University Kamphaeng Saen Campus
2 คณะศกึ ษาศาสตรแ์ ละพฒั นศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน
Faculty of Education and Development Sciences; Kasetsart University, Kamphaeng Saen Campus
3 โรงเรยี นบางบวั ทอง
Bangbuathong School

154

การประชุมวชิ าการระดับชาติ คร้ังท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564
Abstract

This research objectives 1) To develop skill of mathematics adding, subtracting, multiplication
and dividing of integers by using mathematics clinic of students in Mathayomsuksa 3/5 2) To study the
satisfaction of students toward Mathematics clinic. The study group used in this research was 2 students
Mathayomsuksa 3/5 of academic year 2563, school in Nonthaburi province from purposive sampling.
Mathematics clinic process follow action research principle PAOR circle. Research instruments included
four parts: plan of the mathematics learning, note record, test and questionnaire on the satisfaction
towards mathematics clinic learning. The statistics analysis using mean, frequency and data analysis.

The results of the study were as follows:
1) The mathematics learning adding, subtracting, multiplication and dividing achievement by
using mathematics clinic of both students was after class higher than before class and
2) Both students are satisfied toward mathematics learning by mathematics clinic seeing that
mathematics clinic make them like mathematics more, there are many activities in the class, and
understand adding, subtracting, multiplication and dividing of integers.

Keyword : Mathematics Clinic
E-mail address : [email protected]

155

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ คร้งั ท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4
โรงเรยี นคงทองวิทยา โดยใช้การสอนแบบอุปนัยร่วมกับเทคนิคร่วมกันคิด(NHT)
เรอ่ื งตรรกศาสตร์

The Study on Learning Achievement in Mathematics for Mathayomsuksa 4 Students,
Kongthong Wittaya School by Using Induction Method with Numbered Heads Together

Technique (NHT) of Logic.

ธนะ จิตตก์ ระจา่ ง1 , วรกฤษณ์ ศภุ พร2
Thana Jitkrajang1 , Worakrit Supaporn2

บทคัดย่อ
การวิจยั ครงั นีม้ ีวตั ถปุ ระสงค์ 1) เพ่ือเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์ โดยใชก้ ารสอน
แบบอุปนัยร่วมกับเทคนิคร่วมกันคิด(NHT) เร่ืองตรรกศาสตร์ ก่อนเรียนและหลงั เรียน 2) เพ่ือเปรียบเทียบ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้การสอนแบบอุปนัยร่วมกับเทคนิคร่วมกันคิด(NHT) เร่ือง
ตรรกศาสตร์ หลังเรียนกับเกณฑร์ อ้ ยละ 70 3) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของ
นักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรียนคงทองวิทยา โดยใชก้ ารสอนแบบอปุ นัยร่วมกับเทคนิคร่วมกนั คิด(NHT)
เร่ืองตรรกศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ คือ นกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 4 หอ้ ง 4/1 ในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา
2563 จาํ นวน 40 คน โรงเรียนคงทองวทิ ยา จงั หวดั นครปฐม ท่ีเลอื กโดยวิธีการสมุ่ แบบกลมุ่
เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวิจัย ประกอบดว้ ย 1) แผนการจัดการเรียนรูว้ ิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนคงทองวิทยา โดยใช้การสอนแบบอุปนัยร่วมกับเทคนิคร่วมกันคิด(NHT) เร่ือง
ตรรกศาสตร์ จาํ นวน 4 แผน ใชเ้ วลา 9 ช่วั โมง 2) แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เร่ือง
ตรรกศาสตร์ 3) แบบประเมินความพึงพอใจท่ีมีต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนกั เรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4
โรงเรยี นคงทองวิทยา โดยใชก้ ารสอนแบบอปุ นยั รว่ มกบั เทคนิครว่ มกนั คดิ (NHT) เร่ืองตรรกศาสตร์ สถิติท่ีใชใ้ นการ
วิเคราะห์ ไดแ้ ก่ ̅ , S.D. , t-test for dependent sample และ test for one sample

1นกั ศกึ ษาปรญิ ญาโท สาขาคณิตศาสตรศ์ กึ ษา ภาควชิ าคณิตศาสตร์ คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร
Masters student in Mathematics Study, Department of Mathematics, Faculty of Science, Silpakorn University
2ภาควิชาคณติ ศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร
Department of Mathematics, Faculty of Science, Silpakorn University

156

การประชุมวิชาการระดับชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

ผลการวิจยั พบวา่ 1) ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ โดยใชก้ ารสอนแบบอปุ นยั รว่ มกบั เทคนิค
ร่วมกันคิด(NHT) เร่ืองตรรกศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาํ คัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 2)
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้การสอนแบบอุปนัยร่วมกับเทคนิคร่วมกันคิด(NHT) เร่ือง
ตรรกศาสตร์ หลงั เรียนสงู กว่าเกณฑร์ อ้ ยละ70 อย่างมีนยั สาํ คญั ทางสถิติท่ีระดบั 0.05 3) ความพึงพอใจของ
นกั เรยี นท่ีไดร้ บั การจดั การเรยี นรูใ้ นวิชาคณิศาสตร์ โดยใชก้ ารสอนแบบอปุ นยั รว่ มกบั เทคนิครว่ มกนั คิด(NHT) เร่ือง
ตรรกศาสตร์ อย่ใู นระดบั มาก

คาํ สาํ คัญ : การสอนแบบอปุ นยั , เทคนิครว่ มกนั คิด(NHT)

Abstract
The purposes of this research were : 1) to compare the before and after of the learning achievement in
mathematics by using induction method with numbered heads together technique (NHT) for logic 2) to
compare the criteria 70% and the after of the learning achievement in mathematics by using induction
method with numbered heads together technique (NHT) for logic 3) to study the satisfaction on
mathematics learning of matthayomsuksa 4 students, Kongthong Wittaya School by using induction
method with numbered heads together technique (NHT) for logic. The sample group is the 40
matthayomsuksa 4 students from 4/1 in the first semester of academic year 2020, Kongthong Wittaya
school, Nakhon Pathom by cluster random sampling.

The instrument of this research consisted of 1) the lesson plans in mathematics, 4 lesson plans
within 9 hours, of matthayomsuksa 4 students, Kongthong Wittaya School by using induction method
with numbered heads together technique (NHT) for logic 2) the achievement test in mathematics for
logic 3) the satisfaction survey form to mathematics learning of matthayomsuksa 4 students, Kongthong
Wittaya School by using induction method with numbered heads together technique (NHT) for logic. the
statistics in the analysis were mean, standard deviation, t-test for dependent sample and test for one
sample.

The results of the research were : 1) the after of the learning achievement in mathematics by
using induction method with numbered heads together technique (NHT) for logic higher than the before
studying at statistical significance level of 0.05 2) the after of the learning achievement in mathematics
by using induction method with numbered heads together technique (NHT) for logic higher than the
specified criteria 70 percent at statistical significance level of 0.05 3) the satisfaction on mathematics
learning of students by using induction method with numbered heads together technique (NHT) for logic
are at a high level.
Keyword : Induction method , Numbered heads together technique (NHT)

E-mail: [email protected]

157

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ ครัง้ ที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

คณุ ลักษณะจติ อาสาของนักศึกษาระดบั ปรญิ ญาตรี คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั รามคาแหง
Volunteer Spirit Attributes of Undergraduate Students at Faculty of Education Ramkhamhaeng

University

เยาวภา แสนเขยี ว1, พนดิ า พานชิ วฒั นะ1, กมลทิพย์ ศรหี าเศษ1 และ สวุ ิมล ติรกานนั ท1์
Yaowapa Sankhiao1, Panida Panidvadtana1, Kamontip Srihaset1, and Suwimon Tirakanant1

บทคดั ยอ่
การวิจัยครัง้ นีม้ ีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาคุณลักษณะจิตอาสาของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะ
ศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั รามคาแหง กล่มุ ตวั อย่างในการวิจยั คือ นกั ศกึ ษาระดบั ปริญญาตรี จานวน 248 คน
เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวิจยั คือ แบบสอบถาม วิเคราะหข์ อ้ มูลดว้ ยสถิติเชิงบรรยาย และการทดสอบความแตกต่าง
ของคา่ เฉลีย่ ดว้ ย independent t-test และวเิ คราะหค์ วามแปรปรวนทางเดยี ว (one-way ANOVA)
ผลการวิจยั พบว่า 1) นกั ศกึ ษาท่ีมีเพศและช่วงอายุตามช่วงวยั แตกต่างกนั มแี รงจงู ใจใหเ้ กิดจิตอาสาแตกต่าง
กันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 แต่นักศึกษาท่ีมีประสบการณท์ างานจิตอาสาและระดับชั้นปีการศึกษา
แตกต่างกัน มีแรงจงู ใจใหเ้ กิดจิตอาสาไม่แตกต่างกัน 2) นกั ศกึ ษาท่ีมีเพศ ประสบการณก์ ารทางานจิตอาสา ช่วงอายุ
ตามชว่ งวยั และระดบั ชนั้ ปีการศกึ ษาแตกต่างกนั มบี คุ ลิกภาพท่เี ออื้ ต่อการเป็นจิตอาสาไม่แตกต่างกนั

คาสาคัญ : คณุ ลกั ษณะจิตอาสา นกั ศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรี มหาวิทยาลยั รามคาแหง

Abstract
The purpose of this research was to study volunteers Spirit attributes of undergraduate students
in the faculty of education Ramkhamhaeng university. The sample was 248 undergraduate students.
The research instrument was a questionnaire. The data were analyzed with descriptive statistics,
independent t-test and one-way ANOVA.
The research findings were as follows: (1) Undergraduate students of different sex and
generations had different volunteer motivations at the 0.5 level of significance. Undergraduate students
with different class years and experience in volunteer work did not have different motivation.
(2) Undergraduate students of different sex, experience in volunteer work, generations, and class years
did not have different personality being conducive to volunteering

Keywords: Volunteer spirit attributes, Undergraduate students, Ramkhamhaeng University
E-mail address : [email protected]

1 ภาควชิ าการประเมนิ และการวิจยั คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั รามคาแหง
Department of Research and Evaluation, Faculty of Education, RamKhamhaeng University

158

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ ครัง้ ท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

การพัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนและความพึงพอใจ โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา
ความรู้ (5E)ร่วมกับการใช้สถานการณจ์ าลอง (Simulation)เรอ่ื งการหักเหของแสง
ของนักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปี ที่ 3
The Development of Learning Achievement and Satisfaction through

Inquiry-based Learning (5E) combined with Refraction Simulation for Grade 9th Students

ทปี กา พูลทว1ี และ พชั ราภา ตนั ตชิ เู วช1
Teepaka Pooltawee 1 and Patcharapa Tantichuwet1

บทคดั ย่อ
การวิจยั ครงั้ นี้ มีวตั ถุประสงค์ 1) เพ่ือเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนโดยการจดั การเรียนรูแ้ บบสืบ
เสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกบั การใช้ Simulation เรื่องการหกั เหของแสง ระหว่างก่อนและหลงั เรียน 2) เพ่ือศกึ ษา
ความพงึ พอใจของนกั เรียนท่ีมีต่อการจดั การเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับ การใช้ Simulation เรื่อง
การหกั เหของแสง กลมุ่ ตวั อยา่ ง คอื นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นบรรหารแจม่ ใสวิทยา 1 จานวน 30 คน
ไดม้ าโดยการเลือกแบบเจาะจง ในปีการศกึ ษา 1/2564 เคร่ืองมือท่ีใชค้ ือ1) แผนการจดั การเรียนรู้ เร่ือง การหกั เห
ของแสง โดยการจดั การเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้ (5E) รว่ มกับการใชS้ imulation 2)แบบทดสอบเรื่อง การหกั
เหของแสง และ 3)แบบสอบถามความพึงพอใจของนกั เรยี นท่มี ีต่อการจดั การเรียนรู้ ผวู้ ิจยั วิเคราะหข์ อ้ มลู โดยการ
ทดสอบค่าทางสถิติ t-test แบบ Dependent sample t-test และตรวจสอบคุณภาพโดยค่า IOC, ค่าเฉลี่ย, ค่า
เบี่ยงเบนมาตรฐานผลการวจิ ยั พบว่า 1) ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนโดยการจดั การเรยี นรูแ้ บบสบื เสาะหาความรู้ (5E)
ร่วมกับ การใช้ Simulation เรื่องการหกั เหของแสง หลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั
.05 2) นกั เรียนมีความพึงพอใจต่อการจดั การเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้ (5E) รว่ มกบั การใช้ Simulation เร่ือง
การหกั เหของแสง อยใู่ นระดบั พงึ พอใจมาก

คาสาคญั : การจดั การเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้ (5E), สถานการณจ์ าลอง (Simulation), ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน, ความพึงพอใจ

1 คณะศกึ ษาศาสตรแ์ ละพฒั นศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน จงั หวดั นครปฐม 73140
Education and Development Sciences, Kasetsart University Kamphaeng Sean Campus, Nakhon Pathom 73140

159

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ ครั้งที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564
Abstract

The objectives of this research were 1) to compare the learning achievement before and after
learning by applying the inquiry-based learning (5E) and the simulation in refraction for the secondary
3 students 2) to study students’ satisfaction upon the inquiry-based learning (5E) and the simulation in
refraction. The samples were obtained by purposive sampling of 30 secondary 3 students in the first
semester of academic year 2021 at BanharnJamsai Wittaya 1 school. The research instruments
consisted of knowledge management plans that used the inquiry-based learning (5E) and the simulation
in refraction, achievement tests in the topic of refraction and satisfaction questionnaires towards
knowledge management. The data of this study were analyzed by using t-test for dependent samples
and the instruments were validated by using IOC, mean, and standard deviation. The results of the
research were as follows: 1) Learning achievement of students after using inquiry-based learning (5E)
and simulation in refraction for the students was higher than before learning with statistical significance
at the .05 level. ; and 2) The students were satisfied with learning by using inquiry-based learning (5E)
and the simulation in refraction in the high level.

Keyword: Inquiry-based Learning (5E), Simulation, Learning achievement, satisfaction
E-mail address: [email protected]

160

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ คร้ังที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

การพัฒนาทักษะปฏบิ ัตทิ ่าราํ วิชานาฏศลิ ป์ ด้วยวธิ ีการจัดการเรยี นรู้
ตามแนวคิดของเดวสี ร์ ่วมกับการจัดการเรยี นรู้โดยใช้โครงงานเป็ นฐาน
THE DEVELOPMENT OF DANCE PRACTICE SKILLS ON THAI DANCE WITH DAVIES

LEARNING APPROACH WITH PROJECT-BASED LEARNING

กันตกิ า กล้าหาญ01 กฤษณา คิดดี1
Kuntika Klahan 1, Krissana Kiddee 1

บทคัดยอ่
การวิจัยเร่ือง การพัฒนาทักษะปฏิบัติท่าราํ วิชานาฏศิลป์ ดว้ ยวิธีการจัดการเรียนรูต้ ามแนวคิดของ เดวีส์
ร่วมกบั การจัดการเรียนรู้ โดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน มีวตั ถุประสงค์ 1) เพ่ือสรา้ งและหาคณุ ภาพของแผนการจดั การ
เรียนรู้วิชานาฏศิลป์ ตามแนวคิดของเดวีส์ ร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน 2) เพ่ือหา
ประสทิ ธิภาพของวิธีการจดั การเรียนรูว้ ิชานาฏศิลป์ เพ่ือพฒั นาทกั ษะปฏิบตั ิท่าราํ ตามแนวคิดของเดวสี ร์ ว่ มกบั การ
จดั การเรียนรูโ้ ดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน 3) เพ่ือเปรียบเทียบทกั ษะปฏิบัติท่าราํ วิชานาฏศิลป์ ตามแนวคิดของเดวีส์
รว่ มกบั การจดั การเรียนรูโ้ ดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน กบั วธิ ีการจดั การเรยี นรูแ้ บบปกติ ซง่ึ กลมุ่ ตวั อย่างในการวจิ ยั ในครงั้
นี้ ไดแ้ ก่ นกั เรียนระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 จาํ นวน 135 คน เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวิจยั คอื แผนการจดั การเรียนรูว้ ิชา
นาฏศิลป์ ตามแนวคิดของเดวีส์ รว่ มกับการจดั การเรียนรูโ้ ดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน แบบประเมินคณุ ภาพแผนการ
จัดการเรียนรู้ และแบบประเมินทักษะการปฏิบัติท่าราํ ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพแผนการจัดการเรียนรูว้ ิชา
นาฏศิลป์ ตามแนวคิดของเดวีส์ ร่วมกบั การจดั การเรียนรูโ้ ดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน มีคณุ ภาพโดยรวมอยู่ในระดบั ดีมาก
2) ประสทิ ธิภาพของการจดั การเรียนรูเ้ พ่ือพฒั นาทกั ษะปฏิบตั ทิ ่าราํ วิชานาฏศลิ ป์ ตามแนวคิดของเดวสี ์ มีประสิทธิภาพ
เท่ากบั 90.28/93.07 3) นกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 ท่ีเรียนดว้ ยการจดั การเรียนรูเ้ พ่ือพฒั นาทกั ษะปฏิบตั ิ ท่าราํ วิชา
นาฏศิลป์ ตามแนวคิดของเดวีส์ ร่วมกบั วิธีการจดั การเรียนรูโ้ ดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน มผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนสงู กวา่
นกั เรียนท่ีเรยี นดว้ ยการจดั การเรยี นรูแ้ บบปกติ อย่างมนี ยั สาํ คญั ทางสถิตทิ ่ีระดบั .05

คาํ สาํ คัญ: การจดั การเรยี นรูว้ ชิ านาฏศิลป์ , แนวคิดของเดวีส,์ ทกั ษะปฏบิ ตั ทิ า่ ราํ

1 สาขาครุศาสตรอ์ ตุ สาหกรรม คณะครุศาสตรอ์ ตุ สาหกรรมและเทคโนโลยี สถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ เจา้ คณุ ทหารลาดกระบงั
1 Department of Industrial Education, Faculty of Industrial Education and Technology, King Mongkut’s Institute of Technology Ladkrabang,
Bangkok.

161

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ ครัง้ ท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564
Abstract

The objectives of the research were (1) to create and find out the quality of the lesson plan for dramatic
arts subject according to Davies' concept and project-based learning management method, (2) to find the
efficiency of the learning management method for dramatic arts subject to develop dramatic arts skills based on
the Davies’ concept and project-based learning management method, and (3) to compare the performance skills
of the students who were taught in the dramatic arts subject according to Davies' concept and project-based
learning management method and the students who were taught using general learning management methods.
Moreover, the sample group in thisresearch consisted of 135 students insecondary education. The results ofthe
research were as follows: 1) The quality of the lesson plans for dramatic arts subject using Davies' concept and
project-based learning management method was at a very good level, 2) The efficiencies of learning management
to develop dancepractice skills indance subjects accordingto Davie's conceptwere 90.28/93.07 3) Thescores
of the students in grade9 who were taught inthe dramatic arts subject accordingto Davies' concept andproject-
based learning management method were higher than the students studying with general learning management
method at the .05 level of significant.

Keyword: Thai Dance Learning Management/ Davies’ Concept/ Dance Skills
E-mail address : [email protected]

162

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ ครัง้ ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564

การพฒั นาความคดิ สร้างสรรคโ์ ดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน
กระบวนการคดิ แก้ปัญหาอนาคตตามแนวคิดของทอรแ์ รนซ์ โรงเรียนมหดิ ลวิทยานุสรณ์

Torrance's Future Problem Solving Instructional Model to enhance creativity
in Mahidol Wittayanusorn School

ขวญั สกุล อุปพนั ธ์ 1

0

บทคัดย่อ
ความคิดสรา้ งสรรคเ์ ป็นทกั ษะอนาคตท่ีสาํ คญั ทงั้ ในการดาํ รงชีวิตและการประกอบอาชีพ หากไดร้ บั การ
กระตนุ้ จะทาํ ใหม้ ีอิสระทางความคิด และสามารถสรา้ งส่ิงใหมๆ่ ได้ การวิจยั ครงั้ นีม้ ีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือศกึ ษาผลการ
พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ และศึกษาความพึงพอใจ โดยมีกลุ่มตัวอย่าง จาํ นวน 30 คน เป็นนักเรียนชั้น
มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 โรงเรียนมหิดลวิทยานสุ รณ์ ท่ีลงรายวิชาบรู ณาการความรู้ ปีการศกึ ษา 2564 ผลการวิจยั จาก
การประเมินโดยกลมุ่ ครูผสู้ อนและการประเมินตนเองของผเู้ รยี น ในดา้ นการเสนอแนวทางการแกป้ ัญหาท่ีไมเ่ คยมี
ใครทาํ มาก่อน (Original) การเสนอแนวทางการแกป้ ัญหาท่ีมีประโยชน์ (Valued) และ การเสนอแนวทางการ
แกป้ ัญหามีความเป็นไปไดใ้ นการปฏิบตั ิจริง (Implemented) มีความสอดคลอ้ งกนั โดยอยู่ในระดบั ดีและดีมาก
สาํ หรบั ความพงึ พอใจของผเู้ รียนต่อการส่งเสริมความคิดสรา้ งสรรคอ์ ย่ใู นระดบั มากท่ีสดุ ( ̅ = 4.86, S.D. = 0.35)
และ นกั เรียนมคี วามพงึ พอใจตอ่ การจดั การเรยี นการสอนในระดบั มากท่ีสดุ ( ̅ = 4.83, S.D. = 0.38)

คาํ สาํ คญั : ความคดิ สรา้ งสรรค,์ กระบวนการคดิ แกป้ ัญหาอนาคต, ทอรแ์ รนซ,์ นกั เรียนผมู้ ีความสามารถพิเศษ

Abstract
Creativity is an important future skill in both life and career which can stimulated and lead
to create innovation. The Purposes of this research were to study Torrance's Future Problem Solving
Instructional Model to enhance creativity, and to study the students' satisfaction. The sample of this
research consisted of 30 12th grade students of Mahidol Wittayanusorn School who registered in
Integration of Knowledge in the academic year 2021. The results from the group assessment by the
teacher and the student's self-assessment in the aspect of original, valued and implemented were
consistent at a good and very good level. Moreover, students’ satisfaction found that this course gave
students the highest level of creativity. ( ̅ = 4.86, S.D. = 0.35) and teaching and learning was rated at the
highest level ( ̅ = 4.83, S.D. = 0.38).

Key Word (s) : Creativity, Future Problem Solving Instructional Model, Torrance, Gifted students
E-mail address: [email protected]

1 สาขาวชิ าศลิ ปศาสตร์ โรงเรยี นมหดิ ลวทิ ยานสุ รณ์
Liberal Arts Department, Mahidol Wittayanusorn School

163

การประชุมวชิ าการระดับชาติ ครั้งท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์ เรื่อง สารและการจาํ แนกสาร โดยใช้
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมอื เทคนิค (STAD) ของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปี ท่ี 1
โรงเรียนวัดไทร(ถาวรพรหมานุกูล)
The development of learning achievement of science subjects on matter and substance

by using learning activity organized by a series of collaborative learning techniques (STAD) of
Mathayomsuksa 1st , Wat Sai School (ThavornPhrommanukul)

กชกรณ์ ขนั แข็ง01 และเกศรนิ มีมล2*
Kotchakorn Khunkheng1 and Kedsarin meemon2*

บทคัดย่อ
งานวิจยั นีม้ ีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือพฒั นาและเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เร่ือง สารและ
การจาํ แนกสาร ของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ท่ีไดร้ บั การจดั การเรียนรู้ ดว้ ยชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ แบบรว่ มมือ
เทคนิค (STAD) กลมุ่ ตวั อย่างไดแ้ ก่ นกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรยี นวดั ไทร(ถาวรพรหมานกุ ลู ) ภาคเรยี นท่ี 1
ปีการศกึ ษา 2563 จาํ นวน 43 คน ไดม้ าจากการสมุ่ อย่างง่าย (Simple Random Sampling) รูปแบบงานวจิ ยั แบบ
หน่ึงกลุ่มทดสอบก่อนและหลังเรียน และใชส้ ถิติทดสอบทีแบบไม่อิสระ เคร่ืองมือท่ีใชด้ าํ เนินการวิจัย คือ ชุด
กิจกรรมการเรียนรู้ แบบรว่ มมอื เทคนิค (STAD) มีคา่ ประสิทธิภาพ (E1/E2) เทา่ กบั 80.89/85.91 และเคร่ืองมือท่ี ใช้
ประเมินผล คือ แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าความยากง่าย (p) เท่ากบั 0.35 - 0.76 ค่าอาํ นาจ
จาํ แนก (r) เทา่ กบั 0.47 – 1.00 และคา่ ความเช่ือม่นั (rtt-KR20) เทา่ กบั 0.85 ผลการวจิ ยั พบวา่ นกั เรยี น ท่ีไดร้ บั การ
จดั การเรียนรูด้ ว้ ยชุดกิจกรรมการเรียนรูแ้ บบร่วมมือเทคนิค (STAD) มีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนหลงั เรียนสูงกว่า
กอ่ นเรียนอยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิตทิ ่ีระดบั .05

คาํ สาํ คัญ : ชดุ กิจกรรมการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร,์ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นรู้

1 สาขาวิชาวทิ ยาศาสตรท์ ่วั ไป คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บา้ นสมเดจ็ เจา้ พระยา กรุงเทพมหานคร 10600
Program in General Science, Faculty of Education, Bansomdejchaopraya Rajabhat University, Bangkok 10600, Thailand
2 สาขาวิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภฏั บา้ นสมเด็จเจา้ พระยา กรุงเทพมหานคร 10600
Program in Physics, Faculty of Science and technology, Bansomdejchaopraya Rajabhat University, Bangkok 10600, Thailand

164

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ ครั้งที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564
Abstract

The purposes of this research are to develop and compare the academic achievement of matter
and substance using learning activity organized by a series of collaborative learning techniques (STAD).
The sample group was amounting the random sampling of 43 students from Mathayomsuksa 1st at Wat
Sai School (ThavornPhrommanukul), which in the first semester of the 2020 academic year.The data
analysis tools were used the one-group pretest- posttest design and t-test for dependent sample
statistics. The research instruments were the learning activity organizing a series of collaborative
learning techniques (STAD), an efficiency of 80.89/85.91, and an achievement test. The level of difficulty,
item discrimination, and reliability coefficient (rtt-KR20) of the learning achievement test were 0.35 - 0.76
, 0.47 – 1.00, and 0.85, respectively. The results of the comparison of the science learning achievement
by using learning activity organizing a series of collaborative learning techniques (STAD) the post-test
learningachievement scores weresignificantlyhigher thanthepre-testat thestatisticlevelof .05.

Keyword : Science Learning Activity Set, Learning Achievement
*Corresponding author; email address : [email protected]

165

การประชมุ วิชาการระดับชาติ คร้ังที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564

การพัฒนาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาวทิ ยาศาสตร์ เร่อื ง การถา่ ยโอนความร้อน
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 ทตี่ ามแผนการจัดการเรียนรู้แบบวฏั จักรการเรียนรู้ 4 MAT

Development of Learning Achievement in Science subject on Heat Transfer of
Mathayom Suksa 1 Students Conducted by Using The 4 MAT Learning Management Plans

มธุรดา บญุ ส่ง1 และทพิ ยว์ รรณ หงกะเชญิ 2
Mathurada Boonsong1 and Tippavan Hongkachern2

บทคัดยอ่
การวิจยั ครงั้ นีม้ ีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่อื เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตร์ กอ่ นเรียนและหลงั
เรียน เรื่อง การถ่ายโอนความรอ้ นของนกั เรียนท่ไี ดร้ บั การจดั การเรียนรูต้ ามรูปแบบแบบวฏั จกั รการเรียนรู้ 4 MAT
กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนสมุทรสาครบูรณะ
จานวน 1 หอ้ ง 39 คน ไดจ้ ากการสมุ่ แบบกลมุ่ (cluster random sampling) เคร่อื งมอื ท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั ประกอบดว้ ย
แผนการจดั การเรียนรูแ้ บบวฏั จักรการเรียนรู้ 4 MAT จานวน 2 แผนและแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
วิทยาศาสตร์ แบบปรนยั 4 ตวั เลือก จานวน 24 ขอ้ สถิติท่ีใชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มลู ไดแ้ ก่ ค่าเฉล่ียเลขคณิต, สว่ น
เบยี่ งเบนมาตรฐาน และสถิตทิ ดสอบค่าที (t-test dependent sample)
ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 4 MAT
มีผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวิชาวทิ ยาศาสตรห์ ลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรียน อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิท่รี ะดบั .05

คาสาคัญ: วฏั จกั รการเรียนรู้ 4 MAT, ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวชิ าวิทยาศาสตร์

Abstract
The objective of this research was to compare learning achievement in science subject on heat
transfer of Mathayom Suksa 1 students before and after learning using the 4 MAT learning
management plans. The sample of the study were 39 students studying in Mathayom Suksa 1 at
Samutsakhonburana School in the second semester of academic year 2020, obtained by using cluster
random sampling. The research instruments consisted of the 4 MAT learning management plans and
24 items of a science learning achievement test. The data was analyzed by using mean, standard
deviation and t-test for dependent. The results showed that students who received the 4 MAT cycle
learning model had higher learning achievement in science after learning than before statistically
significant at the .05 level.

Keywords: the 4 MAT cycle learning model, Learning achievement
*Corresponding author; email address: [email protected]

1 สาขาวิชาวทิ ยาศาสตรท์ ่วั ไป คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บา้ นสมเด็จเจา้ พระยา กรุงเทพมหานคร 10600
Program in General Science, Faculty of Education, Bansomdejchaopraya Rajabhat University, Bangkok 10600, Thailand
2 สาขาวชิ าฟิสกิ ส์ คณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภฏั บา้ นสมเดจ็ เจา้ พระยา กรุงเทพมหานคร 10600
Program in Physics, Faculty of Science and technology, Bansomdejchaopraya Rajabhat University, Bangkok 10600, Thailand

166

การประชุมวชิ าการระดับชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

การพัฒนาเกมการศกึ ษาเพอ่ื ส่งเสริมทกั ษะการจาํ ตารางธาตุสาํ หรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4
Development of an Educational Game to Promote Grade 10 Students Memorization skills
about Periodic Table

ชวกร อิม่ วัด01, เดน่ ชยั พนั ธเุ์ กต1ุ2
Cawakorn Aimwat1 , Denchai Panket2

บทคัดย่อ
งานวิจยั นีม้ ีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือ 1) ออกแบบและพฒั นาเกมการศกึ ษาสาํ หรบั วิชาเคมี เพ่ือส่งเสริมทกั ษะ
การจาํ เร่ืองตารางธาตใุ นระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 2) ศกึ ษาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาเคมี ของนกั เรยี น
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปี ท่ี 4 รู ปแบบการวิจัยเป็ นการวิจัยก่ึงทดลอง (Quasi-Experimental Research)
กล่มุ ตวั อย่าง ไดแ้ ก่ นกั เรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรียนหนองกรดพิทยาคม ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564
แผนการเรียนวิทยาศาสตร-์ คณิตศาสตร์ ใชห้ ลักการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling)
จาํ นวน 15 คน เคร่ืองมือวิจยั ไดแ้ ก่ 1.เกมการศกึ ษา เร่ือง ตารางธาตุ ท่ีพฒั นาขึน้ ดว้ ยโปรแกรม Scratch ใชง้ าน
ผ่านรูปแบบออนไลน์ จะมีสญั ลกั ษณธ์ าตแุ ละเลขอะตอมท่ีแตกต่างกันจาํ นวน 50 ธาตุ ซง่ึ การทาํ งานของเกมจะ
ทาํ งานผ่านชุดคาํ ส่ังท่ีผูว้ ิจัยไดก้ าํ หนดไวแ้ ลว้ 2.แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยแบบทดสอบจะ
แบ่งเป็นแบบทดสอบก่อนการใชเ้ กม ระหว่างการใชเ้ กม และหลงั การใชเ้ กม เป็นขอ้ สอบปรนยั แบบเติมคาํ และ
ขอ้ สอบปรนยั แบบ 4 ตวั เลือก กระบวนการเก็บรวบรวมขอ้ มลู เก็บขอ้ มูลจากกล่มุ ตวั อย่างรายบคุ คล จากการทาํ
แบบทดสอบก่อนการใชเ้ กม ระหว่างการใชเ้ กม และหลงั การใชเ้ กม ผลการวิจยั พบวา่ การพฒั นาเกมการศกึ ษา
เร่ืองตารางธาตุ เพ่ือส่งเสริมทักษะการจาํ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ท่ีพัฒนาขึน้ มีประสิทธิภาพเท่ากับ
75.33/78.67 ซ่งึ เป็นไปตามเกณฑ์ 70/70 และผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของผูเ้ รียน เม่ือเปรียบเทียบจากคะแนน
ก่อนการใชเ้ กมและหลงั การใชเ้ กมมีคา่ เทา่ กบั 0.67 สงู กวา่ เกณฑ์

คาํ สาํ คัญ: เกมการศกึ ษา, ตารางธาต,ุ ทกั ษะการจาํ , โปรแกรม Scratch

1 นกั ศกึ ษา สาขาคอมพิวเตอรศ์ กึ ษา คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บา้ นสมเดจ็ เจา้ พระยา
Student of Computer Studies Faculty of Science and Technology Bansomdejchaopraya Rajabhat University.

2 อาจารย์ สาขาคอมพวิ เตอรศ์ กึ ษา คณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บา้ นสมเดจ็ เจา้ พระยา

Instructor in Computer Studies Faculty of Science and Technology Bansomdejchaopraya Rajabhat University.

167

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ ครัง้ ท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

Abstract
The objectives of this research are 1) to design and develop educational games for chemistry
subjects. To promote the periodic table memorization skills at the secondary 4 students 2) To study the
learning achievement in the Chemistry course. of secondary 4 students. The research model was a
quasi-experimental research. The sample group consisted of secondary 4 students at Nongkrotd
Pittayakom School, semester 1 of the academic year 2021, Science-Mathematics study plan. Using the
principle of selecting a purposive sampling of 15 people. Research tools include: 1. Educational games
on the periodic table developed with the Scratch program used through an online format. There are 50
different element symbols and atomic numbers. The game's functionality is run through a set of
instructions that the researcher has set. 2. An achievement test The test is divided into a test before
using the game. during game use and after using the game It is a multiple choice questionnaire and a
four-choice multiple choice exam. The process of collecting data from individual samples from doing a
test before using the game during game use and after using the game. The results showed that
educational game development about the periodic table To promote memorization skills at the
secondary 4 students developed, the efficiency was 75.33/78.67 which met the criteria 70/70 and the
learning achievement of the learners. Compared from pre-game and post-game scores, it was 0.67
above the threshold.

Keywords: educational game, periodic table, memory skills, Scratch program
E-mail address: [email protected]

168

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

การพฒั นาแบบวัดทักษะการแก้โจทยป์ ัญหาคาํ นวณเกี่ยวกับแรงและการเคล่ือนทใี่ นระดับ
มัธยมศึกษาตอนปลาย โดยใช้เทคนิคการแก้ปัญหาของโพลยา

Development of Numerical Problem Solving Skill Test of Force and Motions in High School Level
through Polya’s Problem Solving Technique

ธันยพร ช่อมเซียง1 , วทิ ศั น์ ฝักเจรญิ ผล2 และ ทศั ตรนิ วรรณเกตศุ ิร2ิ
Thanyaporn Chomsiang1 , Witat Fakcharoenphol 2 and Tussatrin Wannagatesiri 2

บทคัดย่อ
งานวจิ ยั นีม้ งุ่ พฒั นาแบบวดั ทกั ษะการแกโ้ จทยป์ ัญหาคาํ นวณเก่ียวกบั แรงและการเคล่ือนท่ีในระดบั มธั ยมศกึ ษา
ตอนปลาย โดยใชเ้ ทคนิคการแกป้ ัญหาของโพลยา แบบวดั ประกอบดว้ ยโจทยป์ ัญหาจาํ นวน 6 ขอ้ เพ่ือประเมินทกั ษะ
การแกโ้ จทยป์ ัญหา 4 ขัน้ ตอน ไดแ้ ก่ ขนั้ ท่ี 1 การทาํ ความเขา้ ใจปัญหา ขัน้ ท่ี 2 การวางแผนแกป้ ัญหา ขัน้ ท่ี 3 การ
ดาํ เนินการแกป้ ัญหา ขัน้ ท่ี 4 การมองยอ้ นกลบั ในบริบทเก่ียวกับแรงและการเคล่ือน คาํ ถามแต่ละขอ้ จะกาํ หนด
เง่ือนไขหรือปัจจยั ท่ีแตกตา่ งกนั เก่ียวกบั ความเสยี ดทาน มวล และความชนั ของพืน้ ท่ี วตั ถเุ คล่อื นท่ีหรืออยนู่ ่ิง แบบวดั นี้
นาํ ไปเก็บขอ้ มลู นกั เรียนระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลายจาํ นวน 26 คน จากโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษาตอนปลายในภาคกลาง
ตะวนั ตก คาํ ตอบของนกั เรียนจะนาํ มาวิเคราะหแ์ ละตรวจใหค้ ะแนนตามเกณฑร์ ูบริค ผลวิจยั พบว่า นกั เรียนรอ้ ยละ
41.45 สามารถระบุส่ิงท่ีโจทยก์ าํ หนดใหแ้ ละส่ิงท่ีโจทยต์ อ้ งการหาได้ (ขัน้ ท่ี 1) รอ้ ยละ 30.61 สามารถระบุสมการท่ี
เก่ียวขอ้ งสมั พนั ธก์ บั สถานการณท์ ่ีกาํ หนดใหไ้ ด้ (ขนั้ ท่ี 2) ขอ้ มลู สะทอ้ นใหเ้ ห็นวา่ นกั เรียนมีปัญหาในการดาํ เนินการ
ตามแผนการแกป้ ัญหาและตรวจสอบวิธีแกป้ ัญหา มีเพียงรอ้ ยละ 12.50 สามารถแทนค่าปริมาณทางฟิ สิกสแ์ ละ
คาํ นวณหาคา่ ตวั แปร (ขนั้ ท่ี 3) และเพียงรอ้ ยละ 8.33 สามารถตรวจสอบผลลพั ธแ์ ละระบสุ มการท่ีเก่ียวขอ้ งได้ (ขนั้ ท่ี 4)
นอกจากนีย้ งั พบว่าคะแนนทกั ษะการแกโ้ จทยป์ ัญหาคาํ นวณระหว่าง 4 ขัน้ ตอนมีความสมั พนั ธก์ นั ทางบวกระหว่าง
0.62 – 0.81 ซง่ึ มนี ยั สาํ คญั ทางสถิติอยใู่ นระดบั 0.01

คาํ สาํ คัญ : การประเมิน, ทกั ษะการแกโ้ จทยป์ ัญหาคาํ นวณ, การแกป้ ัญหาของโพลยา, แรงและการเคลื่อน

1นิสติ หลกั สตู รศกึ ษาศาสตรม์ หาบณั ฑิต คณะศกึ ษาศาสตรแ์ ละพฒั นศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน
Faculty of Education and Development Science, Kasetsart University, Kamphaeng Sean Campus
2คณะศกึ ษาศาสตรแ์ ละพฒั นศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน
Faculty of Education and Development Science, Kasetsart University, Kamphaeng Sean Campus

169

การประชมุ วิชาการระดับชาติ ครัง้ ท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564
Abstract

This research aims to develop the numerical solving problem skill test of Force and Motion in the
upper secondary school level using Polya’s problem solving techniques. The test consisted of six items to
evaluate students’ problem-solving skills through 4 steps; step 1: understanding the problem, step 2:
devising a plan, step 3: carrying out the plan, and step 4: looking back. Through the context of Force and
Motion, each item had various conditions or variables involving the friction surfaces, mass, the slope of the
floor, a stationary or moving object. The test was administered to 26 High School students attending public
schools in Western Thailand. The students’ answers were analyzed and scored by using a scoring rubric.
The results showed that 41.45 percent of the students were able to identify the given condition, data, and
unknown of the problem (step 1), While 30.61 percent of the students were able to identify the connection
between the data and the unknown (step 2). The data reflected that the students have a problem with
carrying out their plan of the solution and examining the solution. Only 12.50 percent of them were able to
substitute values into an equation, solve for a variable (step 3), and only 8.33 percent were able to check
the results and specify the required equations (step 4). Moreover, the results revealed that the correlation
between the score of 4 problem solving steps are between 0.62 – 0.81 at a significant level .01.

Keyword : Assessment, Numerical Solving Problem Skill, Polya’s problem solving, Force and motion
E-mail address : [email protected]

170

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครั้งที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

การศึกษาความเชือ่ ม่ันในความสามารถของตนดา้ นการใชเ้ ทคโนโลยใี นการสอน การวจิ ยั และ การ
บรกิ ารวิชาการ ของคณาจารยใ์ นสถาบันอุดมศกึ ษา ในช่วงสถานการณว์ ิกฤติ COVID-19

A study of university faculty members' technological self-efficacy in teaching, research, and
academic service practices during the COVID-19 crisis

อุษา แก้วกากง1 ลกั ษข์ ณา พานชิ สรรค1์ ดาวรุง่ วชั รนิ ทรร์ ตั น1์ และ มชี ยั ออสวุ รรณ1
Usa Kaewkamkong1, Luckana Parnichsan1, Dowroong Watcharinrat1, and Meechai Orsuwan1

บทคัดย่อ
การศึกษาวิจัยนีม้ ีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ คือ 1) เพ่ือศึกษาความเช่ือม่ันในความสามารถตนเองด้านการใช้
เทคโนโลยีของคณาจารยใ์ นสถาบนั อุดมศึกษา 2) เพ่ือศึกษาความเช่ือม่นั ในความสามารถตนเองดา้ นการสอน การ
วิจัย และการบริการวิชาการของคณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา และ 3 ) เพ่ือเปรียบเทียบความเช่ือม่ันใน
ความสามารถตนเองด้านการใช้เทคโนโลยีในการสอน การวิจัย และการบริการวิชาการของคณาจารย์ใน
สถาบันอุดมศึกษา ในช่วงสถานการณ์วิกฤติ COVID-19 จาแนกตามตาแหน่งและบทบาทหน้าท่ีของคณาจารย์
มหาวทิ ยาลยั จานวน 246 คน โดยใชส้ ถติ เิ ชิงพรรณนา และการวเิ คราะหค์ วามแปรปรวนทางเดียว (ANOVA) โดยรวม
แลว้ งานวจิ ยั นพี้ บวา่ ความเช่ือม่นั ในความสามารถตนเองดา้ นการใชเ้ ทคโนโลยใี นการทางานวชิ าการของคณาจารยใ์ น
สถาบนั อุดมศึกษาอย่ใู นระดบั สูง ทงั้ นีย้ งั พบว่าระดบั การรบั รูค้ วามสามารถของตนเองในการทางานดา้ นการสอนสูง
กว่าระดบั การรบั รูค้ วามสามารถของตนเองในการทาวิจยั และการบรกิ ารทางวชิ าการ นอกจากนยี้ งั พบว่ากลมุ่ อาจารย์
ท่ีสอนเป็นหลกั และกล่มุ อาจารยท์ ่ีสอนพรอ้ มกับทางานดา้ นบรหิ าร มีความเช่ือม่นั ในการใชเ้ ทคโนโลยีในการทางาน
วิชาการสงู กวา่ กลมุ่ อาจารยท์ ่ที างานดา้ นบรหิ ารเพียงอยา่ งเดยี ว

คาสาคญั : ความเช่อื ม่นั ในความสามารถของตนดา้ นการใชเ้ ทคโนโลยี, ภาระงาน, คณาจารยส์ ถาบนั อดุ มศกึ ษา

1สาขาวชิ าบริหารการศกึ ษา ภาควิชาการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
Division of Educational Administration, Department of Education, Faculty of Education, Kasetsart University

171

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564
Abstract

This research had three main objectives: 1) to assess and compare the levels of self-efficacy in
teaching, research, and academic services of 246 faculty members who worked in public universities during
the COVID-19 crisis, 2) to examine the faculty members’ technological self-efficacy and 3) to camper the
level of technological self-efficacy in teaching, doing research and other services based on job positions
and faculty roles. Descriptive statistics and analysis of variance (ANOVA) were employed to conduct this
research. The results showed that the overall level of faculty’s technological self-efficacy was high. In
addition, faculty members’ self-efficacy in teaching was higher than self-efficacy in doing research and other
services. More specifically, faculty who solely taught classes and those who both taught and worked on
administrative tasks had higher technological self-efficacy than those who only performed administrative
tasks.

Keywords: technological self-efficacy, workload, faculty members in higher education institutions
E-mail address: [email protected]

172

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ คร้งั ที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

ผลการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการเรียนเชิงรุก
ผ่านกิจกรรมเกม เร่อื ง ระบบหมุนเวยี นเลอื ดของมนุษย์ ระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปี ที่ 2
The Effects of Inquiry-Based Learning Incorporated Active Learning Technique through Games

in the Topic of Human Circulatory System on Grade Eight Students

บุรนิ ทรญ์ า คาํ ดี01 และ นนั ทรตั น์ เครอื อนิ ทร์ 2

1

Burinya Kumdee1 and Nantarat Kruea-In2

บทคัดย่อ
การวิจัยครัง้ นีม้ ีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือ 1) พัฒนากิจกรรมการจัดการเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้
รว่ มกบั เทคนิคการเรียนเชิงรุกผา่ นกิจกรรมเกม เร่ือง ระบบหมนุ เวยี นเลือดของมนษุ ย์ ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2
2) เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลงั เรียน 3) เปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนกบั เกณฑ์
รอ้ ยละ 60 และ 4) ศกึ ษาความพงึ พอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรูร้ ่วมกบั เทคนิค
การเรยี นเชงิ รุกผา่ นกิจกรรมเกม กลมุ่ ตวั อยา่ งในการวิจยั ครงั้ นี้ คอื นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรยี นบางเลน
วทิ ยา จงั หวดั นครปฐม ท่ีเรียนในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 จาํ นวน 22 คน ไดม้ าโดยการเลือกแบบส่มุ แบบ
กล่มุ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบก่อนมีการทดลอง แบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลงั เคร่ืองมือการวิจัย
ไดแ้ ก่ 1) แผนการจดั การเรียนรู้ เร่ือง ระบบหมนุ เวียนเลือดของมนษุ ย์ ใชเ้ วลาในการจดั กิจกรรมรวม 6 คาบเรียน
2) แบบทดสอบ เร่ือง ระบบหมนุ เวียนเลือดของมนุษย์ จาํ นวน 10 ขอ้ และ 3) แบบวดั ความพึงพอใจของนกั เรียน
ต่อการจดั การเรียนรู้ จาํ นวน 8 ขอ้ วิเคราะหข์ อ้ มลู โดยใชค้ า่ สถิติ รอ้ ยละ ค่าเฉล่ีย สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน และ
การทดสอบค่าที ผลการวิเคราะหพ์ บว่า นกั เรียนมคี ะแนนเฉล่ียผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนหลงั เรียนสงู กวา่ ก่อนเรียน
อย่างมีนยั สาํ คญั ทางสถิตทิ ่ีระดบั .05 คะแนนเฉล่ยี ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนหลงั เรยี นสงู กวา่ เกณฑร์ อ้ ยละ 60 และ
คา่ เฉล่ยี ความพงึ พอใจตอ่ การจดั การเรยี นรูอ้ ยใู่ นระดบั มากท่ีสดุ

คาํ สาํ คัญ : การเรยี นรูแ้ บบสบื เสาะหาความรู,้ การเรยี นรูเ้ ชงิ รุก, เกม,ระบบหมนเุ วียนเลอื ดของมนษุ ย์

1 นิสติ ปรญิ ญาตรี คณะศกึ ษาศาสตรแ์ ละพฒั นศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน
Bachelor student, Faculty of Education and Development Sciences, Kasetsart University
2 คณะศกึ ษาศาสตรแ์ ละพฒั นศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน
Faculty of Education and Development Sciences, Kasetsart University

173

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ ครั้งที่ 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564
Abstract

The purposes of this research study were to 1) develop an inquiry-based learning activity
incorporated with an active learning technique through games in the topic of human circulatory system
for grade 8 students, 2) compare students’ achievement before and after learning and 3) compare
students’ achievement with a standard at 60 percent out of the total scores and 4) examine students’
satisfaction towards the learning activity. Twenty-two grade 8 participating students in the first semester
of 2021 academic year, Banglen Wittaya School, Nakhon Pathom, were obtained from random group
sampling. This study employed a pre-experimental, one-group pretest-posttest, research design. The
research instruments were a lesson plan of circulatory system (6 teaching periods), a test on circulatory
system (10 items), and a 5-point rating scale survey of learning satisfaction (8 items). Data were
analyzed by means, percentages, standard deviation, and T-tests. The results revealed that students’
posttest mean score was higher than pre-test at 0.05 level. Students’ posttest mean score was higher
than a standard of 60 percent. Mean score of students' satisfaction towards the learning management
was in the highest level.

Keyword: Inquiry-based Learning, Active learning, Games, Human circulatory system,
E-mail address: [email protected]

174

การประชุมวิชาการระดับชาติ คร้งั ท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564

การสละชีวติ ของพระโพธิสตั ว์ในอรรถกถาชาดก
Bodhisattva’s Life Sacrifice in Atthakatha Jataka

พรชนก ชาตชิ ํานิ1
Porncharnok Chatchamni

บทคดั ย่อ
การศกึ ษาเรื่องการสละชีวิตของพระโพธิสตั ว์ในอรรถกถาชาดกมีจุดประสงค์ในการศึกษา คือ เพื่อศกึ ษาให้
เห็นว่าในอรรถกถาชาดกได้ปรากฏการสละชีวิตของพระโพธิสตั ว์ในลกั ษณะใด และผลจากการสละนนั้ เป็นอย่างไร
ซ่ึงการศึกษาอรรถกถาชาดกที่ปรากฏการสละชีวิตของพระโพธิสัตว์ทัง้ หมด 13 เร่ือง พบว่าการสละชีวิตของพระ
โพธิสัตว์ทัง้ หมด 5 ลักษณะ ได้แก่ 1. พระโพธิสัตว์ยินดีสละชีวิตเป็นทานมีผู้ได้รับทานและพระโพธิสัตว์สิน้ ชีวิต
2. พระโพธิสตั ว์ยนิ ดีสละชีวิตเป็นทาน มีผ้ไู ด้รับทาน แตพ่ ระโพธิสตั ว์ไม่สนิ ้ ชวี ติ 3. พระโพธิสตั ว์ไม่ได้ตงั ้ ใจสละชวี ิตเป็น
ทาน แต่ได้สละชีวิตและเสียชีวิต โดยมีผู้รับประโยชน์จากการเสียชวี ิตของพระโพธิสตั ว์ 4. พระโพธิสตั ว์ไม่ได้ตงั ้ ใจสละ
ชีวิต แต่ได้สละชวี ติ เพื่อรักษาคณุ ธรรม 5. พระโพธิสตั ว์ตงั ้ ใจสละชวี ติ เพราะปรารถนาความตาย แต่ไมไ่ ด้สิน้ ชีวิต ซง่ึ ทาํ
ให้เห็นว่าพระโพธิสตั ว์ทําการสละชวี ิตเป็นทานโดยมีผู้รับผลของทานและก่อให้เกิดประโยชน์เสมอซง่ึ เป็นการกระทาํ ที่
ทาํ ได้ยากยิง่ ทงั้ ยงั แสดงให้เหน็ วา่ ชวี ติ เป็นสงิ่ มคี ่า การสละชวี ิตของพระโพธิสตั ว์ในแต่ละครัง้ จงึ ไม่ใช่สิ่งท่ีกระทําได้ง่าย
และต้องมเี หตทุ ่จี ะยงั ประโยชน์ให้ผ้อู ื่นเสมอ

คาํ สาํ คัญ: พระโพธิสตั ว,์ การสละชวี ติ ,ทาน

Abstract
This study aimes to analyse Bodhisattava’s Life sacrifice and the result of it which appear in Atthakatha Jataka.
As the result of this analysis, there are 5 types of Bodhisattava’s Life sacrifice; 1. Bodhisattva willingly sacrifice his life
for a beneficiary and dies. 2. Bodhisattva willingly sacrifice his life for a beneficiary but does not die. 3. Bodhisattva
does not intend to willingly sacrifice his life for a beneficiary but has a necessary cause to sacrifice his life and die. 4.
Bodhisattva does not intend to willingly sacrifice his life but the necessary of protecting the value of goodness is caused
the action.5. Bodhisattvaintendsto give his life away willingly with the wishfuldeathbut does not die. And the resultof
the Bodhisattava’s Life sacrifice, it appears that his sacrifice can gain many benefits. According of this study, it shows
that the bravery action of Bodhisattava’s Life sacrifice which always benefit to others and always has the properly
causes is the hardest action to do. So, it means that life is the most valuable of all.

Keyword: Bodhisattva, Life Sacrifice, Dana
Corresponding Author: [email protected]

1 โรงเรียนสาธิตแหง่ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ โครงการการศกึ ษานานาชาติ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์
Kasetsart University Laboratory School International Program Faculty of Education Kasetsart University

175

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ คร้ังที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

วา่ ดว้ ยการดอ้ ยคา่ ของสินทรัพยใ์ นตลาดทุนไทย
Toward Asset Impairments in Thai Capital Markets

ศรายุทธ เรืองสุวรรณ1 และสภุ าวนิ ี จวี ะสวุ รรณ2
Sarayut Rueangsuwan1 and Supavinee Jevasuwan2

บทคัดยอ่

การศึกษาการบงั คบั ใชม้ าตรฐานการบญั ชีถือเป็นเรื่องท่ีมีความสาคญั อย่างย่ิงสาหรบั การกาหนดนโยบายการ
กากับดูแลบริษัทจดทะเบียน มาตรฐานการบัญชีฉบับท่ี 36 การด้อยค่าของสินทรัพย์เป็นมาตรฐานการบัญชีท่ีมี
ความสาคญั ในภาคปฏบิ ตั ิเพราะเป็นกลไกท่สี ่งเสริมใหก้ ิจการสะทอ้ นความเสี่ยงของกาไรในอนาคตบนงบการเงนิ ปัจจบุ นั
งานวจิ ยั ฉบบั นีจ้ ึงศกึ ษารูปแบบของการบงั คบั ใชม้ าตรฐานฉบบั ดงั กลา่ วในประเทศไทย ผลการวจิ ยั เชงิ ประจกั ษช์ ใี้ หเ้ ห็นว่า
การรายงานรายการดอ้ ยค่าของสินทรพั ยม์ ีความสม่าเสมอในมิติของเวลาและมิติของอตุ สาหกรรม และทกุ ๆ 3 บริษัทจะมี
1 บริษัทท่ีรายงานขอ้ มลู การดอ้ ยค่าของสินทรพั ย์ อุตสาหกรรมท่ีมีความอ่อนไหวต่อความไม่แน่นอนในกระแสเงินสดใน
อนาคตมีแนวโนม้ ท่จี ะรายงานการดอ้ ยค่าของสนิ ทรพั ย์ ผลการวิจยั ยงั แสดงใหเ้ ห็นอีกว่า บรษิ ัทท่ีรายงานขอ้ มลู การดอ้ ยค่า
จะมีค่าสอบบัญชีท่ีสูงกว่า จานวนประเด็นสาคัญในการตรวจสอบท่ีมากกว่า และคณะกรรมการตรวจสอบมีจานวน
มากกว่า ซ่ึงสะทอ้ นบทบาทท่ีสาคญั ของผสู้ อบบญั ชีและคณะกรรมการตรวจสอบเกี่ยวกับการดอ้ ยค่าของสินทรพั ยข์ อง
กจิ การอยา่ งเป็นรูปธรรม อย่างไรกด็ ี การสอบบญั ชีดว้ ยสานกั งานใหญ่ 4 สานกั งานไม่เกี่ยวขอ้ งกบั การรายงานการดอ้ ยค่า
ของสนิ ทรพั ย์

คาสาคญั : คณุ ภาพการรายงานทางการเงิน, การดอ้ ยค่าของสนิ ทรพั ย,์ ตลาดทนุ , มาตรฐานการรายงานทางการเงนิ

ABSTRACT

Research on adoptions of accounting standards is highly important to policy makers. =Thai Accounting
Standard No.36 - Impairment of Assets - is practically critical since it is a mechanism of reflecting future earnings
risk on a firm’s current financial statements. This paper explores and analyzes the adoption of asset impairment
in Thailand. Empirical results suggest that reporting asset impairments is consistent across times and industries.
One-third of listed companies report impairment losses. industries that are more sensitive to uncertainty in future
cash flows tend to report impairment in a current period. In addition, the impairment-reporting firms pay higher
audit fees, have more key audit matters, and have a higher number of audit committee, reflecting roles of
auditors and audit committee in this matter. Nevertheless, BIG4 is not related to reporting impairment losses.

Keywords: Financial Reporting Quality, Asset Impairment, Capital Markets, Financial Reporting Standard
E-mail: [email protected], [email protected]

1 ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ศรายทุ ธ เรืองสวุ รรณ หวั หนา้ ภาควชิ าบญั ชี คณะบรหิ ารธรุ กิจ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
2 ดร.สภุ าวินี จวี ะสวุ รรณ อาจารยป์ ระจาภาควชิ าบญั ชี คณะบรหิ ารธุรกิจ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

176

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

สทิ ธขิ องแรงงานประมงพืน้ บ้าน: ศกึ ษาแรงงานประมงพืน้ บา้ นจงั หวดั สตลู
TheStudy of Rights ofLocal Fishery Labors in Satun Province

ภานุช เเกลว้ ทนงค1์ ,ภทั รภร เรยี นสดุ 1,ภสั สิมาภรณ์ หนสู มแกว้ 1
ภาคนิ เพชรยอดศรี1,ภาณวุ ฒั น์ มากเเกว้ 1,ภาวินนั ท์ ช่วยยก1และสนนั ยามาเจรญิ 2

Panuchklaewtanong1, Pattaraporn Riansud1, Patsimaporn Nusomkaew1
Phakin Petchyodsri1, Panuwat Markkeaw1, Pawinan Chuaiyok1, Sanan Yamacharoen2

บทคดั ย่อ
บทความนีศ้ ึกษาเก่ียวกับสิทธิของแรงงานประมงพืน้ บา้ นดา้ นกฎหมายแรงงาน โดยมีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือ
ศึกษากฎหมายในปัจจบุ นั เกี่ยวกับการไดร้ บั สิทธิความคมุ้ ครองตามกฎหมายแรงงานของแรงงานประมงพืน้ บา้ น
งานวิจยั นีเ้ ป็นการทาวิจัยเชิงคุณภาพท่ีศึกษาขอ้ มลู จากเอกสารต่าง ๆ เพ่ือจดั ทาแบบสอบถามในการเก็บขอ้ มลู
จากกลมุ่ ประชากรตวั อย่างแบบเจาะจงท่ีเป็นแรงงานประมงพนื้ บา้ นในจงั หวดั สตลู จานวน 65 ราย ผลการศกึ ษา
พบว่า ปัจจบุ นั แรงงานประมงพืน้ บา้ นมีการทางานท่ีเส่ยี งภยั สงู ในลกั ษณะเดียวกนั กับแรงงานประมงพาณิชย์ อีก
ทงั้ มีรายไดต้ ่ากว่าอตั ราแรงงานขนั้ ต่าท่ีกาหนด สาหรบั สภาพการจา้ งงานและวนั เวลาในการทางานของแรงงาน
ประมงพืน้ บา้ นสอดคลอ้ งกบั กฎหมายเกี่ยวกับการจา้ งแรงงานประมงทะเล ดา้ นสวสั ดิการแรงงานประมงพืน้ บา้ น
ไม่ไดร้ บั สวัสดิการต่าง ๆ เทียบเท่าแรงงานท่วั ไป ในส่วนของกฎหมายท่ีใชบ้ งั คบั ในปัจจุบนั นน้ั ยงั ไม่มีกฎหมาย
กาหนดสิทธิของแรงงานประมงพืน้ บา้ นไวโ้ ดยเฉพาะ จึงตอ้ งตีความภายใตบ้ ังคับของกฎหมายคมุ้ ครองแรงงาน
ท่วั ไปหรือกฎหมายคมุ้ ครองแรงงานประมงทะเล ดว้ ยเหตนุ ี้ ผวู้ ิจยั มีขอ้ เสนอแนะดงั นีค้ วรกาหนดใหม้ ีการบญั ญตั ิ
กฎหมายหรือระเบียบบงั คบั ใชเ้ ป็นการเฉพาะกับแรงงานประมงพนื้ บา้ นให้ชดั เจน ซ่งึ อาจทาใหเ้ กิดความคมุ้ ครอง
และมีมาตรการเก่ียวกับสิทธิแรงงานประมงพืน้ บา้ นมากขึน้ ทงั้ นี้ เพ่ือสรา้ งความเสมอภาค ส่งเสริมและสนบั สนนุ
การสรา้ งอาชีพภูมิปัญญาของชุมชนและสามารถสรา้ งรายไดใ้ หก้ ับชุมชนทาใหส้ ามารถสรา้ งความเข็มแข็งใหก้ บั
ชมุ ชนและสงั คมในอนาคตได้

คาสาคญั : สิทธิของแรงงาน, ประมงพนื้ บา้ น,แรงงานประมง, กฎหมาย

Abstract
This article had studied about local fishermen’s right. The objective of this research was to study
about fishermen’s right of labor protection act in law currently. This qualitative research had studied vary
documents in order to make questionnaire used to collect data. Samples were 65 of fishermen in Satun.

1 นักศึกษาปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ วทิ ยาเขตสงขลา
Undergraduate student, Faculty of Law Thaksin University Songkhla

2 อาจารย์ประจำคณะนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ วิทยาเขตสงขลา
Lecturer at Faculty of Law Thaksin University Songkhla

177

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564
This research had found that local fishermen worked in the risk area as well as maritime fishermen but
they still got less income than minimum wage. Their working was corresponding to maritime fishermen.
However, local fishermen have not received welfare benefits like general labor. Besides, local fishermen
right have not particularly stipulated in governing law. Thus, they were protected by general labor law
instead. Accordingly, the researchers had given a suggestion to clearly stipulate governing law for local
fishermen in order to make them get more protection, build the equality and also support their career.

Keywords:Labor right,local fishery,fishery labor, law.
E-mail address: [email protected]

178

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ ครัง้ ท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

พฒั นาการการจดั การทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ังของประมงพืน้ บา้ น จงั หวัดตรัง
The Development of Marine and Coastal Resources Management of Artisanal Fisheries in

Trang Province

สุรินทรภ์ รณ์ ศรอี นิ ทร1์ , มานะ ขนุ วีชว่ ย2, นชุ นารถ วงศจ์ าปา3, นฤมล ขนุ วชี ว่ ย4, และเกศรนิ ทร์ รามณี1
Surinporn Sri-in1, Mana Kunweechuay2, Nuchanard Wongjumpa3, Narumol Khunweechuay4, and Ketsarin Rammanee1

บทคัดย่อ
การวิจยั เชิงคณุ ภาพนี้ มีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือศึกษาพฒั นาการการเขา้ ถึงทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง และ
ศกึ ษากระบวนการจดั การทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ังของชาวประมงพืน้ บา้ น จงั หวดั ตรงั เก็บรวบรวมขอ้ มูล
จากเอกสาร การสงั เกต การสนทนากลมุ่ และการสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ ผนู้ าชมุ ชนและปราชญช์ าวบา้ น จานวน 90 ราย
ในชุมชนประมงพืน้ ท่ีจังหวัดตรัง 3 แห่ง ผลการศึกษาพบว่าชาวประมงพืน้ บ้านตรัง มีพัฒนาการการเข้าถึง
ทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ังเป็นลาดบั ดงั ต่อไปนี้ ช่วงแรกเป็นการเขา้ ถงึ ทรพั ยากรช่วงก่อนทศวรรษ 2500 ซง่ึ ใน
ขณะนนั้ ทรพั ยากรประมงมีความอดุ มสมบรู ณ์ จากการคน้ ควา้ เอกสารจากหอจดหมายเหตพุ บประเด็นการเขา้ ถึง
เพ่ือการเขา้ ถึงทรพั ยากรประมงระหว่างรฐั สยามกับคนสญั ชาติญี่ป่ นุ ท่ีเขา้ มาลกั ลอบทาประมงในทะเลอนั ดามนั
เวลาดงั กล่าวเป็นช่วงการเกิดสงครามโลกครงั้ ท่ีสอง เหตกุ ารณน์ ีจ้ ึงอธิบายไดว้ ่าเป็นการเตรียมตวั ของญ่ีป่ นุ ก่อน
เขา้ ส่สู งครามโลกน่นั เอง ช่วงท่ีสองเป็นยุคของการรีดเคน้ ทรพั ยากรประมงตรงั ในทศวรรษ 2510 ช่วงดงั กล่าวมี
การเขา้ มาของประมงพาณิชย์ โดยเฉพาะเรอื อวนลาก อวนรุน ชว่ งนีเ้ ป็นการทาประมงอย่างเขม้ ขน้ สง่ ผลตอ่ ปัญหา
ทรพั ยากรประมงในลกั ษณะท่ีลดลงอย่างมาก ช่วงท่ีสามเป็นช่วงของการจัดการทรพั ยากรประมงตรงั ในช่วง
ทศวรรษ 2520 ซง่ึ มปี ระเด็นสาคญั ท่คี วรนามากลา่ วถึงคือ การเกดิ ขนึ้ ขององคก์ รชมุ ชนและองคก์ รพฒั นาเอกชน ท่ี
เขา้ มาทางานในพืน้ ท่ีชายฝ่ังทะเลตรงั ทาใหเ้ กิดเครือข่ายชาวประมงพืน้ บา้ นจงั หวัดตรงั เกิดคนทางานดา้ นการ
จดั การทรพั ยากรชายฝ่ัง สง่ ผลใหเ้ กิดการรกั ษาทรพั ยากรอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการจดั ทาป่ าชายเลนชุมชน
และการสรา้ งความรูเ้ กี่ยวกับทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง กระบวนการจดั การทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง
ของชาวประมงพนื้ บา้ นจงั หวดั ตรงั พบว่ามีกระบวนการท่สี าคญั คือ กระบวนการรวมกลมุ่ การสรา้ งเครือข่าย และ
การใชพ้ ะยนู เป็นตวั เช่อื มใหค้ นกลมุ่ ต่าง ๆ เห็นความสาคญั ของการรกั ษาทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง

คาสาคญั : ทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง ประมงพนื้ บา้ น จงั หวดั ตรงั

1คณะประมง มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพมหานคร 10900
Faculty of Fishery, Kasetsart University, Bangkok, 10900, Thailand
2คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครศรธี รรมราช 80280
Faculty of Education, Nakhon Si Thammarat Rajabhat University, 80280, Thailand
3คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ปทมุ ธานี 12121
Faculty of Public Health, Thammasat University, Pathumthani, 12121, Thailand
4คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครศรธี รรมราช 80280
Faculty of Science, Nakhon Si Thammarat Rajabhat University, 80280, Thailand

179

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

Abstract
This qualitative research aims to study the development of accessing marine and coastal
resources and the marine and coastal resources management process of artisanal fisheries in Trang
Province, data collected from the documents, observations, group discussions and in-depth interviews
with community leaders and local scholars, 90 people in 3 fishing communities in Trang province. The
results showed that Trang's fishermen have developed a strategy to access marine and coastal
resources in the following order. The first era, the fight for access to resources before the 1950s; at
which time the fishery resources were fertile. Information from the national archives of Thailand founded
the issue of fighting fisheries resources between Siam state and Japanese citizens who smuggled fish
in the Andaman Sea. At the time of World War II, this event is described as the preparation of Japan
before the World War. The second era, the phase is exceed utilized from fishery resources in Trang in
the 1960s, the commercial fishery particularly trawls, fishing nets, has been intensified resulting in a
dramatic decline in fishery resources. The third era is the period of restoration of Trang's fishery
resources in the 1970s. It is important to mention that the emergence of community organizations and
NGOs working in the Trang coastal area has created a network of local fishermen in Trang province and
workers in coastal resource conservation that resulted in substantial conservation of resources,
particularly the creation of mangroves communities and knowledge about marine and coastal resources.
In terms of the marine and coastal resources conservation process of artisanal fisheries in Trang
Province, there is a significant process that is the process of grouping, networking, and the use of
dugongs is a way for people to see the importance of maintaining marine and coastal resources.

Keywords: Marine and Coastal Resources, Artisanal fisheries, Trang Province
*Corresponding author; email address: [email protected]

180

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครั้งท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564

ความต้องการองค์ประกอบแหล่งท่องเท่ยี วของนักท่องเท่ยี วชาวไทยท่เี ดินทางท่องเท่ียวในพืน้ ท่ี
ชุมชนเกาะเกร็ด อาํ เภอปากเกร็ด จงั หวัดนนทบุรี

Tourism Elements Requirements for Tourists Travelling in Ko Kret Community, Pakkret District,
Nonthaburi Province

พมิ พร ศรีรุ่งเรือง01 , อาทิตยา หติ การุญ1, และ ชญั ญา อินทร์ประสทิ ธิ์ 1
Pimporn Srirungraung1, Atitaya Hitakarun1, and Chanya Inprasit1

บทคัดย่อ
การวิจยั ครัง้ นีม้ ีจดุ ประสงค์เพ่ือศกึ ษาความต้องการองค์ประกอบแหลง่ ท่องเที่ยวของนกั ท่องเที่ยวชาว
ไทยที่เดินทางท่องเที่ยวในพืน้ ที่ชุมชนเกาะเกร็ด อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเชิง
ปริมาณด้วยแบบสอบถามสําหรับนกั ท่องเที่ยวชาวไทยท่ีเดินทางท่องเที่ยวในพืน้ ที่ชุมชนเกาะเกร็ด อําเภอปาก
เกร็ด จงั หวดั นนทบุรี จํานวน 400 คน และวิเคราะห์ประเมินผลโดยใช้โปรแกรม SPSS version 22 ก่อนนําเสนอ
ในรูปแบบค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และอนั ดบั เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมลู ในชดุ
เดยี วกนั ผลการศกึ ษาเชงิ ประชากรศาสตร์ พบว่า นกั ทอ่ งเท่ียวสว่ นใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 50.5) อายรุ ะหว่าง
15 - 24 ปี (ร้อยละ 47.5) สถานภาพโสด (ร้อยละ 60.5) ศกึ ษาในระดบั ปริญญาตรี (ร้อยละ 60.3) มอี าชพี นกั เรียน/
นักศึกษา (ร้อยละ 40.0) และรายได้เฉล่ียต่อเดือน 10,001 – 30,000 บาท (ร้อยละ 46.0) สําหรับความต้องการ
องค์ประกอบของแหลง่ ท่องเที่ยวทงั้ 5 ด้าน ท่ผี ้ตู อบแบบสอบถามมีความต้องการเป็นอนั ดบั ท่ี 1 ได้แก่ (1) ด้านสิ่ง
ดึงดดู ใจในเรื่องความสวยงามและความสะอาดของแหลง่ ทอ่ งเที่ยว ( x = 3.98, SD = 0.82) (2) ด้านกิจกรรมใน
เรื่องความหลากหลายของกิจกรรมมีความน่าสนใจ เช่น กิจกรรมไหว้พระ การข่ีจักรยาน การนง่ั เรือเท่ียว ( x =
3.87, SD = 0.80) (3) ด้านการเข้าถึงในเรื่องความปลอดภยั ในการใช้บริการขนสง่ ทางเรือ ( x = 3.80, SD = 0.88)
(4) ส่ิงอํานวยความสะดวกในเร่ืองการมีสงิ่ อํานวยความสะดวกเพียงพอกบั นกั ทอ่ งเท่ียว เช่น ต้บู ริการเงินด่วน จุด
พักผ่อน ป้ายบอกทาง และห้องสขุ า ( x = 3.80, SD = 0.89) และ (5) ด้านท่ีพกั ในเร่ืองความปลอดภยั แก่ชีวิต
และทรัพย์สนิ ( x = 3.93, SD = 0.84)

คําสาํ คัญ: องคป์ ระกอบแหล่งท่องเทีย่ ว, นกั ท่องเท่ยี วชาวไทย, เกาะเกร็ด

1 โครงการจดั ตงั ้ วทิ ยาเขตสพุ รรณบรุ ี มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี
Suphanburi Campus Establishment Project, Kasetsart University, Suphan Buri

181

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564
Abstract

The current project has purpose on studying Amenity Requirement for Tourists Traveling in Ko
Kret Community, Pakkret District, Nonthaburi Province. The quantitative outcome was collected utilized
questionnaires from 400 Thai tourists who had travelled in Ko Kret Community, Pakkret District,
Nonthaburi Province, afterwards, data were analyzed and estimated performing by the Statistical
Package for the Social Sciences (SPSS) version 22 (IBM Corp., Armonk, NY, USA). The statistics were
revealed using frequency, percentage, mean and standard deviation when contrasted with similar group
of result. The demographic data displayed that the most of respondents was female (50.5%), age
between 15 – 24 years old (47.5%), with single status (60.5%), graduated or enrolled in bachelor degree
(60.3%), were students (40.0%) and average income per month 10,001 – 30,000 baht (46.0%). In the
part of 5 tourism elements that were highest requirements from Thai tourists including 1) attraction in
topic of beauty and cleanness of attraction ( x = 3.98, SD = 0.82) 2) activity in topic of activity diversity
of interesting activity such as worship activity, cycling, boat trip ( x = 3.87, SD = 0.80) 3) accessibility
in topic of boat transportation service and safety ( x = 3.80, SD = 0.88) 4) amenity in topic of sufficient
facilities for tourists such as ATM, resting point, label and restroom ( x = 3.80, SD = 0.89) and 5)
accommodation in the topic of life and property safety ( x = 3.93, SD = 0.84).

Keyword : Tourism Elements, Thai tourist, Ko Kret
E-mail address : [email protected]

182