ผลงานการวิจัยทางการศึกษาที่ได้รับการตีพิมพ์

การประชมุ วิชาการระดับชาติ ครั้งท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

ผลของการสอนเทนนิสแบบโดยตรงควบคู่กับการสอนแบบใบงาน
The Effects of Direct Tennis Teaching method simultaneously with Worksheet Teaching method.

สรุ ชยั พนั ธก์ าํ เนดิ 1 ปรัชญา ชมสะหา้ ย2 สดุ ยอด ชมสะหา้ ย3 ฤทธิเดช อาภรณ4์ และทิวานนั ท์ ไชยประสทิ ธิ์5
Surachai Phangamnert1, Prachaya Chomsahai2, Sudyod Chomsahai3, Rittidach Arporn4, and Tiwanan Chaiprasit

บทคัดย่อ
การวิจยั ครงั้ นี้ เป็นการวิจยั ท่ีใชว้ ิธีการการศกึ ษาในเชิงปริมาณและเชิงคณุ ภาพ เพ่ือผลของการสอนเทนนิส
ดว้ ยวิธีแบบโดยตรงควบคู่กับการสอนแบบใบงาน กลุ่มตวั อย่าง นักศึกษาระดับปริญญาตรีท่ีลงทะเบียนเรียนวิชา
เทนนิส 1 จาํ นวน 35 คน ท่ียินยอมใหเ้ กบ็ ขอ้ มลู การวจิ ยั เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ใบงานฝึกพืน้ ฐานทกั ษะกีฬาเทนนิส
แบบสงั เกตการณส์ อน แบบสมั ภาษณก์ ่ึงโครงสรา้ ง และแบบสอบถามเก่ียวกับผลการทบของการใชใ้ บงานควบค่กู ับ
การเรยี นการสอน การวิเคราะหข์ อม้ ลู เชิงปรมิ าณ หาคา่ เฉล่ยี สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานเพ่ือเปรียบเทียบผลของการใชใ้ บ
งานควบคกู่ ับการเรียนการสอน ดว้ ยค่าสถิติ Independent Samples Test และขอ้ มลู เชิงคณุ ภาพ ทาํ การบนั ทกึ การ
ฝึกปฏิบัติ/ใบงาน การสังเกต และการสัมภาษณ์การตรวจสอบความเช่ือถือได้ของข้อมูลใช้วิธีการสามเส้า
(Triangulation) ผลการวจิ ยั พบวา่
1. ผลท่ีเกิดขึน้ กับการเรียนการสอนระหว่างกลุ่มตัวอย่างท่ีมีประสบการณ์เรียนในวิชาเทนนิสกับไม่มี
ประสบการณเ์ รยี นในวชิ าเทนนิสไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั
2. ผลของการสอนเทนนิสดว้ ยวิธีแบบโดยตรงควบคกู่ บั การสอนแบบใบงานนาํ เสนอรูปแบบความเรียง
จาํ นวน 5 หวั ขอ้ ไดแ้ ก่ การใชใ้ บงานมผี ลตอ่ ความพรอ้ มในการเรยี นเทนนิส การอบอนุ่ รา่ งกายท่ีเหมาะสบกบั ทกั ษะใน
การเรียน ความสามารถของผเู้ รียนในการปฏิบตั ติ ามใบงาน การประเมนิ ผลผเู้ รยี น ปัญหาเก่ียวกบั การปรมิ าณการ
ไดร้ บั ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั และการใชใ้ บงานมผี ลตอ่ ความพรอ้ มในการเรียนเทนนิส

คาํ สาํ คัญ : การสอนเทนนิส, การสอนเทนนิสแบบโดยตรง, การสอนแบบใบงาน

1,2,4,5คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกีฬาและสขุ ภาพ มหาวทิ ยาลยั การกีฬาแหง่ ชาติ วทิ ยาเขตเชยี งใหม่
1,2,4,5Faculty of Sports and Health Sciences. Thailand national sport University Chiang Mai camp.
3คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั การกีฬาแหง่ ชาติ วิทยาเขตเชยี งใหม่
3Faculty of Education. Thailand national sport University Chiang Mai camp.

436

การประชมุ วิชาการระดับชาติ คร้งั ที่ 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

Abstract
This research was research that used both quantitative and qualitative methods for studying the
effects of teaching tennis with a direct method simultaneously with worksheet teaching method. The sample
group was 35 undergraduate students enrolled in tennis course 1, who consented to collect research data.
The research tools were practice worksheets on basic tennis skills, teaching observation form, semi-
structured interview and a questionnaire on the effect of using worksheets simultaneously with teaching and
learning. The data analysis was Standard Deviation to compare the effects of worksheets and instruction
among the sample with tennis experience and without tennis experience with independent sample test
statistics and qualitative data record from practicing /worksheets, observations and interviews to verify the
reliability of the data using a triangular method. The results found that:
1.There was a no difference between the teaching and learning outcomes among the sample group
who had experience in tennis lessons and those who did not have experience in tennis subjects.
2. Effects of teaching tennis with a direct method simultaneously with worksheet teaching in form
of presentation and paragraph writing of 5 topics like the use of worksheets affecting readiness for tennis
lessons; warming up suitable for study skills, problems with getting feedback, and the use of worksheets
affects the readiness to learn tennis.

Keyword : Teaching tennis, Direct Tennis Teaching method, Worksheet Teaching.
E-mail address : [email protected]

437

การประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

การพัฒนาแบบฝึ กทกั ษะ รายวชิ าการปลูกผักสวนครัว โดยใช้โครงงานเป็ นฐาน
สาํ หรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1

The Development of Skills Training for Vegetable Gardening Course
with Project – Based Learning in for Grade 7 Students

ชัยนะรินทร์ ทบั มะเริง.01 วรพรภฏั ปัดภยั 12 สธุ ิตา สคุ ะตะ 3

2

Chainarin Tubmarerng1, Worrapornpat Patpai2, and Suthita Sukhata3

บทคัดยอ่
การวิจัยครั้งนีม้ ีวัตถุประสงคเ์ พ่ือ 1) การพัฒนาแบบฝึกทักษะรายวิชาการปลูกผักสวนครัว โดยใช้
โครงงานเป็นฐาน ใหม้ ีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรยี นและหลงั

เรียน ท่ีใชก้ ารเรียนรูแ้ บบโครงงานเป็นฐาน และ 3) หาดชั นีประสิทธิผลของการเรียนรูท้ ่ีใชโ้ ครงงานเป็นฐาน
ประชากรในการวิจัยครัง้ นีค้ ือนักเรียนของโรงเรียนโนนเพ็กวิทยาคม ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ในภาคเรียนท่ี 1 ปี
การศกึ ษา 2563 จาํ นวน 21 คน เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวิจยั ประกอบดว้ ยแผนการจดั การเรียนรูโ้ ดยใชโ้ ครงงานเป็น
ฐาน แบบฝึกทักษะและแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนท่ีมีค่าความยากง่าย (p) 0.25 – 0.80 และค่า

อาํ นาจจาํ แนก (r) 0.20 – 0.70 และสถิติท่ีใชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มูลคือ ค่ารอ้ ยละ ค่าเฉล่ีย ค่าส่วนเบ่ียงเบน
มาตรฐาน สถิตทิ ี (t-test) คา่ ประสทิ ธิภาพและดชั นีประสทิ ธิผล

ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาแบบฝึกทักษะรายวิชาการปลูกผักสวนครวั มีประสิทธิภาพเท่ากับ
91.83/80.66 ซ่งึ สงู กว่าเกณฑม์ าตรฐานท่ีตงั้ ไว้ 80/80 2) การเปรียบเทียบความแตกต่างของผลสมั ฤทธิ์ทางการ
เรยี นก่อนเรียนและหลงั เรียนจากการใชช้ ดุ การสอนพบวา่ หลงั เรยี นสงู กว่ากอ่ นเรียนอย่างมนี ยั สาํ คญั ท่ีระดบั 0.05
และ 3) ดชั นีประสิทธิผลของชุดการสอนมีคา่ เท่ากบั 0.6004 ซง่ึ หมายความวา่ นกั เรียนในกลมุ่ ตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการ
วิจยั มพี ฒั นาการการเรยี นรูเ้ พ่ิมขนึ้ รอ้ ยละ 60.04

คาํ สาํ คัญ: การเรยี นรูแ้ บบโครงงาน, การปลกู ผกั สวนครวั , แบบฝึกทกั ษะ

1 สาขาครุศาสตรเ์ กษตร คณะเกษตรและอตุ สาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลยั ราชภฏั สรุ นิ ทร์ จงั หวดั สรุ นิ ทร์ 32000
Agricultural Education Program, Faculty of Agriculture and Agricultural Industry, Surindra Rajabhat University Surin 32000
2 สาขาสตั วศาสตร์ คณะเกษตรและอตุ สาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลยั ราชภฏั สรุ นิ ทร์ จงั หวดั สรุ นิ ทร์ 32000
Animal Science Program, Faculty of Agriculture and Agricultural Industry, Surindra Rajabhat University Surin 32000
3 สาขาครุศาสตรบณั ฑิต สาขาเกษตรศาสตร์ คณะเกษตรและอตุ สาหกรรมเกษตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สรุ นิ ทร์ จงั หวดั สรุ นิ ทร์ 32000
Agricultural Education Program, Faculty of Agriculture and Agricultural Industry, Surindra Rajabhat University Surin 32000

438

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564
Abstract

The purposes of this research were to 1) develop skills training for the vegetable gardening course with
project-based learning to be the criteria 80/80; 2) compare the achievement before and after learning
using the project-based learning and 3) find the effectiveness index of project-based learning. The
population of this research was grade 7 students of Nonpek Wittayakom School. 21 students in the first
semester of the academic year 2020. The research instruments consisted of the learning management
plan with project-based learning, skills training, and achievement test have item difficulty (p) 0.25 – 0.80
and item discrimination (r) 0.20 – 0.70. The statistics were used for data analysis are percentage, mean,
standard deviation, t-test, performance value, and effectiveness index.

The results of the research showed that 1)the efficiency of the skills training for the vegetable
gardening course with project-based learning is 91.83/80.66, which was higher than the standard
criteria set 80/80. 2) Comparison of achievement levels between before and after learning using the
skills training for the vegetable gardening course with project-based learning found that after studying
higher than before studying significantly at the .05. 3) The effectiveness index of the skills training for
the vegetable gardening course with project-based learning is 0.6004 confirming that the development
of sampled students in the research increased 60.04 percent.

Keywords: project-based learning, vegetable gardening, skills training
E-mail address: [email protected]

439

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้งั ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564

ผลการจัดการเรยี นการสอนโดยใช้รูปแบบการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ด้วย FLIPPED C Model
ร่วมกับเกมมิฟิ เคชัน เพอื่ สร้างแรงจูงใจในการเรียนของนักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปี ที่ 6
โรงเรยี นคงทองวทิ ยา

The Results of Teaching and Learning Management Using the PLIPPED C Model Learning
Activities and the Gemification to Create Learning Motivation of Mathayomsuksa 6 Students of

Kongthongwittaya School.

ผจญ รุง่ อรุณเลิศ01
Phachon Rungarunlert1

บทคัดย่อ
การวจิ ยั ในครงั้ นีม้ ีวตั ถปุ ระสงคก์ ารวิจยั 1) เพ่ือเปรียบเทียบแรงจูงในการเรียนก่อนและหลงั การจดั กิจกรรมการ
เรียนรูด้ ว้ ยFLIPPEDCModelรว่ มกบั เกมมิฟิ เคชนั ของนกั เรยี น2)เพ่ือเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลงั
การจดั กิจกรรมการเรียนรูด้ ว้ ย FLIPPED CModel รว่ มกบั เกมมิฟิ เคชนั ของนกั เรยี นการวิจยั ในครงั้ นีใ้ ชแ้ บบแผนการวิจยั
แบบทดลองกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลงั ทดลอง สถิติท่ีใชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มูล ไดแ้ ก่ ค่าเฉล่ีย (X) ส่วนเบ่ียงเบน
มาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบคา่ t – test แบบ Dependent ผลการวจิ ยั พบวา่ 1) ผลการเปรียบเทียบแรงจงู ใจในการ
เรียนหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรูด้ ว้ ย FLIPPED C Model ร่วมกับเกมมิฟิ เคชนั สูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมี
นยั สาํ คญั ทางสถิติท่ีระดบั .05 2) ผลการเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์การเรียนหลงั การจดั กิจกรรมการเรียนรูด้ ว้ ย FLIPPED
C Model รว่ มกบั เกมมฟิ ิ เคชนั สงู กวา่ กอ่ นการจดั กิจกรรมอย่างมีนยั สาํ คญั ทางสถิตทิ ่ีระดบั .05
คาํ สาํ คัญ : กิจกรรมการเรยี นรู้,เกมมฟิ ิเคชนั

Abstract
The objectives of this research were 1) to compare students’ learning motivation between that
they had prior to and that they had after joining learning activities using FLIPPED C Model Activities and
the Gemification, 2) to compare students’ learning achievement that they had prior to and after joining
FLIPPED C Model Activities and the Gemification. This research used a single-group pre-test and post-
test experimental research model. The statistics used in the data analysis were mean ( ), standard
deviation (S.D.) and Dependent t-test. The results showed that 1) the result of the comparison of learning
motivation after learning activities using the FLIPPED C Model Activities and the Gemification were
higher. 2) The result of comparison of learning achievement after learning activities using the FLIPPED

1โรงเรยี นคงทองวทิ ยา ต.สามงา่ ม อ.ดอนตมู จ.นครปฐม
1Kongthong Wittaya School. Samngem Dontoom Nakorn Phathom.

440

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564
C Model Activities and the Gemification were significantly higher than prior the activities statistically
significant at the .05 level.

Keyword : Learning activities , Gamemification
E-mailaddress : [email protected]

441

การประชมุ วิชาการระดับชาติ คร้ังที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

การศกึ ษาผลสัมฤทธิท์ างการเรียนวิชาคณิตศาสตรห์ ลังใช้บทเรยี น e – Learning
เร่อื ง อสมการเชิงเส้นตวั แปรเดยี ว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3
โรงเรยี นเฉลมิ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระศรีนครินทร์ นครศรธี รรมราช

A Study of Learning Achievement in Mathematics After Using e - Learning Lesson
on Linear Inequality with One Variable of Mathayomsuksa Three Students
at Srinagarindra the Princess Mother School Nakhon Si Thammarat.

ธีรพฒั น์ สาํ ราญ01 วยั วฒุ อินทวงศ1์ วชั รากร ทองช่วย1และทรงวทิ ย์ ฤทธิกณั ฑ1์
Teeraphath Samran1 , Waiyawut Inthawong1 , Watcharakorn Thongchuay1 and Songwit Rittikun1

บทคัดย่อ
การวิจัยในครงั้ นีม้ ีวตั ถุประสงค์ 1) เพ่ือพฒั นาบทเรียน e - Learning ท่ีใชเ้ ป็นส่ือเสริมวิชาคณิตศาสตร์
เร่ือง อสมการเชิงเสน้ ตวั แปรเดียว สาํ หรบั นกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 2) เพ่ือเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการ
เรียนหลังใชบ้ ทเรียน e - Learning กับเกณฑ์รอ้ ยละ 70 และ 3) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อ
บทเรยี น e - Learning ประชากรเป็นนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนเฉลมิ พระเกียรตสิ มเดจ็ พระศรีนครนิ ทร์
นครศรีธรรมราช จาํ นวน 1 หอ้ งเรียน 33 คน เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวิจัย ไดแ้ ก่ 1) บทเรียน e - Learning เร่ือง
อสมการเชิงเสน้ ตัวแปรเดียว 2) แผนการจัดการเรียนรู้ เร่ือง อสมการเชิงเสน้ ตัวแปรเดียว จาํ นวน 11 แผน
3) แบบทดสอบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เร่ือง อสมการเชิงเสน้ ตวั แปรเดียว เป็นขอ้ สอบปรนยั 4
ตวั เลือก จาํ นวน 20 ขอ้ 4) แบบประเมินความพึงพอใจท่ีมีต่อการใชบ้ ทเรียน e - Learning ผลการวิจยั พบว่า
1) การพฒั นาบทเรยี น e - Learning ท่ีใชเ้ ป็นส่ือเสรมิ เร่ือง อสมการเชิงเสน้ ตวั แปรเดยี ว มผี ลการประเมินคณุ ภาพ
ของผูเ้ ช่ียวชาญดา้ นเนือ้ หา อย่ใู นระดบั ดีมาก และดา้ นเทคโนโลยี อยู่ในระดบั ดี 2) ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์ หลงั ใชบ้ ทเรียน e - Learning ท่ีใชเ้ ป็นส่ือเสริม สงู กวา่ เกณฑร์ อ้ ยละ 70 โดยมีค่าเฉล่ียเท่ากบั 14.27
จากคะแนนเต็ม 20 คิดเป็นรอ้ ยละ 71.36 3) ระดบั ความพงึ พอใจของนักเรียนท่ีมีต่อบทเรียน e - Learning ท่ีใช้
เป็นส่ือเสริม เร่ือง อสมการเชิงเสน้ ตวั แปรเดียว อย่ใู นระดบั มากท่ีสดุ ( µ = 4.58 จากคะแนนเตม็ 5 , σ = 0.59 )

คาํ สาํ คัญ : บทเรยี น E – Learning , อสมการ , อสมการเชงิ เสน้ ตวั แปรเดยี ว

1 หลกั สตู รครุศาสตรบณั ฑติ สาขาวชิ าคณิตศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครศรธี รรมราช
Mathematics, Faculty of Education, Nakhon Si Thammarat Rajabhat University

442

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564
Abstract

This research aimed to 1) to develop e-Learning lessons that are used as supplementary media
on linear inequality with one variable for Mathayomsuksa three students, 2) to compare the learning
achievement after using the e-Learning lesson with 70 percent criteria and 3) to study students'
satisfaction toward e-Learning lessons. The population was 1 classroom, 33 students in
Mathayomsuksa 3 at Srinagarindra the Princess Mother School Nakhon Si Thammarat. Research tools
were : 1) e-Learning lesson on linear inequality withe one variable, 2) 11 lessons plans on linear
inequality with one variable, 3) Mathematics achievement test on linear inequality with one variable,
this is a 20-item 4 choice multiple choice exam and 4) e-Learning Lessons Satisfaction Assessment
Form. The results of the research were as follows: 1) e-Learning lesson development that can be used
as supplementary media. Linear inequality with one variable, there are quality assessment results of
content experts, at a very good level and technology in good level, 2) Achievement in mathematics
after using e-Learning lessons that are used as supplementary media higher than the threshold of 70
percent, with an average of 14.27 from a full score of 20, representing 71.36 percent and 3) The level
of students' satisfaction with the e-Learning lesson used as supplementary media. Linear inequality
with one variable at the highest level ( µ = 4.58 out of a full score of 5 , σ = 0.59 ).

Keyword : e-Learning Lessons, Single Variable Linear Inequalities, Linear inequality with one variable
E-mail address : [email protected]

443

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ คร้งั ที่ 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรยี นรู้แบบอิเล็กทรอนิกส์ วิชา การเขยี นโปรแกรมภาษาซี กลุ่มสาระ
การเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สาํ หรับนักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปี ที่ 6

Development of learning activity set electronic model, Subject C programming language,
Career and Technology Learning Subject Group, For students in Mathayom 6

รพพี ร นามมุลตร1ี
Papeeporn Nammultee1

บทคัดยอ่
การวิจัยครงั้ นี้ มีวตั ถุประสงค์ คือ 1) เพ่ือออกแบบและพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรูแ้ บบอิเลก็ ทรอนิกส์
วิชา การเขียนโปรแกรมภาษาซี กลมุ่ สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี สาํ หรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษา
ปีท่ี 6 ให้มีประสิทธิภาพ 2) เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การเขียนโปรแกรมภาษาซี กลุ่มสาระ
การเรียนรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี สาํ หรบั นกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 ระหวา่ งก่อนเรียนและหลงั เรียน และ 3)
ศกึ ษาความพงึ พอใจท่ีมีต่อการใชช้ ุดกิจกรรมการเรียนรูแ้ บบอิเล็กทรอนิกส์ วิชา การเขียนโปรแกรมภาษาซี กลุ่ม
สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี สาํ หรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 กลุ่มตวั อย่าง คือ นักเรียนชั้น
มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6/1 โรงเรียนนาโพธิ์พิทยาสรรพ์ ปีการศกึ ษา 2562 จาํ นวน 34 คน เคร่ืองมอื คือ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้
แบบอิเล็กทรอนิกส์ คู่มือการใชช้ ุดกิจกรรมการเรียนรูแ้ บบอิเล็กทรอนิกส์ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัด
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ โดยผ่านการตรวจสอบหาคณุ ภาพความเท่ียงตรงเชิงเนือ้ หา
และวิเคราะหค์ ่าความยาก ค่าอาํ นาจจาํ แนก ค่าความเช่ือม่นั และค่าความเท่ียง สถิติท่ีใช้ ไดแ้ ก่ สถิติพืน้ ฐาน คือ
ค่าความถ่ี รอ้ ยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และสถิติท่ีทดสอบสมมติฐาน คือ ค่าประสิทธิภาพ และ t-test
ผลการวิจยั พบวา่ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรูแ้ บบอิเล็กทรอนิกส์ วิชา การเขียนโปรแกรมภาษาซี กล่มุ สาระการเรียนรู้
การงานอาชีพและเทคโนโลยี สาํ หรบั นกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 มีคา่ ประสทิ ธิภาพ (E1/E2) เท่ากบั 85.16/85.08
2) ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การเขียนโปรแกรมภาษาซี กล่มุ สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี สาํ หรบั
นกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 หลงั เรียนสงู กว่าก่อนเรียน อย่างมีนยั สาํ คญั ทางสถิติท่ีระดบั .05 และ 3) ความพึง
พอใจท่ีมีตอ่ การใชช้ ุดกิจกรรมการเรียนรูแ้ บบอิเล็กทรอนิกส์ วชิ า การเขียนโปรแกรมภาษาซี กล่มุ สาระการเรียนรูก้ าร
งานอาชีพและเทคโนโลยี สาํ หรบั นกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มากท่ีสดุ

คาํ สาํ คัญ : ชดุ กิจกรรมการเรยี นรูแ้ บบอเิ ลก็ ทรอนิกส์

1 ครูชาํ นาญการพิเศษ โรงเรยี นนาโพธิ์พทิ ยาสรรพ์ สาํ นกั งานเขตพนื้ ทีก่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26
1 (Papeeporn Nammultee) Position Special Teacher, Naphopittayasan School, The Secondary Education Service Area Office
Mahasarakham

444

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ ครั้งที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564
Abstract

This research has objectives : 1) to create and develop of learning activity set electronic model,
Subject C programming language, Career and Technology Learning Subject Group, For students in
Mathayom 5, 2) to compare academic achievement Subject C programming language, Career and
Technology Learning Subject Group, For students in Mathayom 5 between before and after Learning, and
3) Study the satisfaction with the use learning activity set electronic model, Subject C programming language,
Career and Technology Learning Subject Group, For students in Mathayom 5. The research population
including the students in mathayom 6/1, academic year 2019, there are 34 people. There are tools used
including : learning activity set electronic model, User manual learning activity set electronic model, Learning
Management Plan, achievement tests, and Satisfaction questionnaire. Passed the quality check successfully.
The statistics used are : The basic are percentage, mean, standard deviation and The tests the hypothesis
is the efficiency value, and t-test values. The results of the research found that : 1) Learning activity set
electronic model, Subject C programming language, Career and Technology Learning Subject Group, For
students in Mathayom 5, has the efficiency (E1/E2) equal to 85.16/85.08 which is greater than the specified
criterion 2 ) The learning achievement test Subject C programming language, Career and Technology
Learning Subject Group, For students in Mathayom 5, after school was significantly higher than before at the
.05 level, and 3) The satisfaction with the use learning activity set electronic model, Subject C programming
language, Career and Technology Learning Subject Group, For students in Mathayom 5, was at the highest
level.

Keyword : Learning activity set electronic model
E-mail address : [email protected]

445

การประชุมวชิ าการระดับชาติ ครงั้ ท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

การศึกษาความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งปรมิ าณน้าฝนรายปี และพนื้ ทปี่ ลูกข้าวนาปรัง
ในเขตชลประทาน ของประเทศไทย

The study of relation between annual rainfalls and second rice areas in the irrigation
area of Thailand

โยธิน สงั ขท์ อง1 เสรมิ วิทย์ กาฬภกั ดี1*และ จฑุ าทิพย์ หวดั วาปี1
Yothin Sangthong1, Sermwit Karnpakdee1*and Juthathip Wadwapee1

บทคดั ย่อ
งานวิจยั นีม้ ีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหว่างปริมาณนา้ ฝนรายปี และพืน้ ท่ีปลกู ขา้ วนาปรงั
ในเขตชลประทาน ของประเทศไทย ประชากรท่ีใชใ้ นงานวิจยั ครงั้ นี้ คือ ขอ้ มลู สถิติปรมิ าณนา้ ฝนรายปี และพืน้ ท่ี
ปลกู ขา้ วนาปรงั ในเขตชลประทาน ตงั้ แตป่ ี 2529-2562 โดยสถติ ิท่ีนามาใชใ้ นการศกึ ษา คือ สถติ เิ ชงิ อนมุ าน ไดแ้ ก่
การวิเคราะหค์ ่าสหสมั พนั ธ์ ผลการศกึ ษาพบว่า ปรมิ าณนา้ ฝนรายปี และพืน้ ท่ีปลกู ขา้ วนาปรงั มีความสมั พนั ธก์ นั
ในทิศทางบวก อย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั 0.01 (p<0.01) และการวิเคราะหค์ วามถดถอย พบว่า ปริมาณ
นา้ ฝนรายปี สามารถพยากรณก์ ารเปลีย่ นแปลง พืน้ ท่ปี ลกู ขา้ วนาปรงั ในเขตชลประทาน ไดร้ อ้ ยละ่ 25.30

คาสาคัญ: ความสมั พนั ธ์ ปริมาณนา้ ฝน ขา้ วนาปรงั

Abstract
This research aimed to study the relation between annual rainfalls and second rice areas in the
irrigation area of Thailand. The population used in this research was numerical data with statistical values
from 1986 to 2019 of the annual rainfalls and second rice areas in the irrigation area of Thailand. The
statistics applied in this study were correlation analysis results found that correlated in a positive of
annual rainfalls and second rice areas in the irrigation area at the level of significance 0.01 and
regression analysis results found that annual rainfall predict changes second rice planting area in the
irrigation area, 25.30 %

Key words: relation, rainfall, second rice
*Corresponding author; email address: [email protected]

1 สว่ นการใชน้ า้ ชลประทาน สานกั บริหารจดั การนา้ และอทุ กวทิ ยา กรมชลประทาน เขตดสุ ติ กรุงเทพมหานคร
Irrigation Water Management Division, Office of Water Management and Hydrology, Royal Irrigation, Bangkok

446

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ ครัง้ ที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

การพฒั นาโครงสร้างองค์การ และหน้าท่ีงานพนักงานบริษทั วรกุล จาํ กดั
An Organizational structure development and functions of employees Worakul Company Limited

ลักษกิ า วรี ะนาวนิ 01, กญั ชพร ศรมณี12
Luksika Veeranawin1, Kanchaporn Sonmanee2

บทคดั ย่อ
การพัฒนาโครงสร้ างองค์การ และหน้าที่งานพนักงานบริษัท วรกุล จํากัด มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษา
กระบวนการทํางาน การวิเคราะห์งาน การกําหนดหน้าท่ีงาน และ การกําหนดคุณลกั ษณะของงานที่เหมาะสมกับ
ตําแหน่งงานในบริษัท โดยใช้วิธีการวิจยั เชิงคณุ ภาพ มีพนกั งานของบริษัทเป็นผ้ใู ห้ข้อมลู สําคญั จํานวน 30 คน จาก
การสมั ภาษณ์เชิงลกึ และการสงั เกตการณ์ในการทํางานต่าง ๆ และนาํ มาวเิ คราะห์ สงั เคราะห์กบั หวั หน้างานพร้อมทงั้
ผู้บริหารเพื่อพฒั นาโครงการองค์การ และหน้าที่งานให้เหมาะสมกบั องค์การต่อไป ซึ่งผลการศึกษาพบว่า การพฒั นา
โครงสร้างองค์การ และหน้าที่งานพนกั งานบริษัทท่ีควรจะเป็นจะต้องประกอบด้วย 1) ด้านทกั ษะที่มีความจําเป็นใน
การทํางาน ได้แก่ การสื่อสาร การพดู คยุ การเจรจา การวางแผน วิเคราะห์ ความรอบคอบ ความสามารถ และความ
ชาํ นาญท่มี าจากการปฏบิ ตั งิ านที่ดี และมคี วามรู้สอดคล้องกบั งานอย่างมปี ระสิทธิภาพ 2) การแบ่งงานกนั ทํา จะทําให้
บคุ ลากรควรจะปฏบิ ตั ิหน้าที่ของตนเองให้เต็มประสิทธิภาพ แต่ในสว่ นที่ยงั ขาดความชดั เจนต้องมกี ารมอบหมายงานที่
ทําให้เกิดการปฏบิ ตั ิงานได้ดยี ่งิ ขึน้ กว่าเดมิ 3) สายการบงั คบั บญั ชา มีความชดั เจนอย่แู ล้วทําให้พนกั งานทกุ คนมีความ
เข้าใจในสายการบงั คบั บญั ชาเป็นอย่างดี 4) ความเป็นทางการ เพ่ือให้การปฏิบตั ิงานออกมาดีซึง่ มาจากการแบ่งงาน
กนั ทําท่ีมีความเป็นทางการ และชดั เจนจะทาํ ให้พนกั งานทกุ คนทํางานออกมาได้ดี 5) กฏระเบียบในการทาํ งาน สร้าง
ความรู้ และความเข้าใจกฏระเบียบการทํางานของบริษัทฯ เป็นอย่างดี 6) การควบคุม ไม่ควรมีการควบคุมเข้มงวด
มากเกนิ ไป เพราะจะทําให้การทํางานมคี วามอดึ อดั อาจส่งผลต่อประสทิ ธิภาพในการทํางาน ควรมีการควบคมุ แต่พอดี
เพ่ือที่จะทําให้งานเสร็จตรงตามเวลา เร็วขึน้ มีความชดั เจนในการทํางาน และสามารถวดั ประสิทธิภาพในการทํางาน
ได้ง่าย สง่ ผลถงึ การประเมินผลการปฏิบตั งิ านด้วยเชน่ กนั 7) ขนาดขององค์การ มีขนาดขององค์การมีความเหมาะสม
ดี และ 8) สภาพแวดล้อมทวั่ ไป ควรมีการปรับเปลีย่ นสภาพแวดล้อมในทที่ ํางานให้เหมาะสม เช่น การจดั สถานท่ี แสง
สว่าง จดั มมุ ผ่อนคลาย เป็นต้น และเพมิ่ เครื่องมือทางการตลาดเพ่ือเข้ามาช่วยในการขายและบริการให้มีประสิทธิภาพ
ยงิ่ ขนึ ้ ไป

คาํ สาํ คัญ : การวิเคราะห์งาน หน้าทงี่ าน คณุ ลกั ษณะของงาน การพฒั นาโครงสร้างองค์การ

1 นกั ศกึ ษาปริญญาโท คณะวทิ ยาการจดั การ สถาบนั การจดั การปัญญาภวิ ฒั น์
Student of Master Degree, Faculty of Management Science, Panyapiwat Institute of Manangement
2 ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร. คณะวทิ ยาการจดั การ สถาบนั การจดั การปัญญาภวิ ฒั น์
Assistant Professor Dr.,Faculty of Management Science, Panyapiwat Institute of Manangement

447

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ ครัง้ ที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564
Abstract

An organizational structure development and the duties of employees of Worakul Company Limited
aims to study the work process, job analysis Job Description and Job Specification that are suitable for the
position in the company. By using a qualitative research method There were 30 key informants from the
Company's employees through in-depth interviews and observations in various works and to be analyzed
synthesize with supervisors and executives to develop organizational projects and work duties to be suitable
for the next organization. Which the study found Organizational structure development and the job duties of
the company's employees that should be consisted of 1) skills that are necessary in the work, such as
communication, discussion, negotiation, planning, analysis, prudence, competence and expertise that
come from good performance and have knowledge in accordance with the work effectively 2) the division
of labor, This will allow personnel to perform their duties to the fullest extent but in the part that still lacks
clarity, there must be assignments that result in better performance than before. 3) Chain of command, It is
already clear that all employees have a good understanding of the chain of command. 4) Formality, In order
to work out well, which comes from the division of labor that is formal and clearly, it will make all employees
work well. 5) Work rules, create knowledge and understand the company's rules and regulations as well. 6)
Control should not be too strict because it will make the work uncomfortable, it may affect work efficiency.
There should be moderate control in order to get the job done on time, faster, with clarity in work and can
easily measure work efficiency. Resulting in the evaluation of performance as well. 7 ) Size of the
organization, The size of the organization is appropriate. And 8) the general environment, Work environment
should be adjusted accordingly, such as setting up the place, lighting.

Keyword : Job Analysis, Job Description, Job Specification, Organization structure development
E-mail : [email protected]

448

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้งั ที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

การบริหารลูกค้าสมั พันธ์เพ่ือความได้เปรียบทางการแข่งขันของ
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลกั ทรัพย์ เอม็ เอ ไอ (MAI)

Customer Relationship Management for Competitive Advantages of Companies listed on
the Market for Alternative Investment (MAI)

นภาภรณ์ อ่นุ ปรีชาวณิชย์01, ดนชนก เบ่อื น้อย1, ชลธชิ า อย่พู ่วง1
Naphaphon Oonprechavanich1 Donchanok Buanoi1, Chonticha Yuphuang1

บทคดั ย่อ
การศึกษานีม้ ีวัตถุประสงค์เพื่อ การวิเคราะห์ปัจจยั เชิงสาเหตุด้านการบริหารลูกค้าสมั พันธ์ท่ีส่งผลต่อ
ความได้เปรียบทางการแขง่ ขนั ของบริษัทจดทะเบยี นในตลาดหลกั ทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) เป็นการวิจยั เชิงสํารวจ
โดยอาศยั แบบสอบถามในการเก็บข้อมลู จากผ้บู ริหารของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลกั ทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI)
จํานวน 123 ราย อาศยั การสุ่มตัวอย่างแบบชนั้ ภูมิและเลือกตัวอย่างแบบง่าย ทําการวิเคราะห์ค่าสมั ประสิทธ์ิ
สหสมั พนั ธ์แบบเพยี ร์สนั (Pearson product-moment correlation) และการวเิ คราะห์แบบจําลองสมการโครงสร้าง
(Structural Equation Modeling) ผลการศึกษา พบว่า (1) แบบจําลองมีความสอดคล้องกับข้อมลู เชิงประจักษ์
โดยพจิ ารณาจากคา่ สถิตปิ ระเมินความกลมกลืนของตวั แบบกบั ข้อมลู เชิงประจกั ษ์ (Chi-Square=36.564, df=24,
Chi-square/df=1.523, P-value=0.122, RMR=0.159, GFI=0.961, RMSEA=0.044 แ ล ะ CFI=0.985) (2)
อิทธิพลเชิงสาเหตุด้านการบริหารลูกค้าสมั พันธ์ของบริษัทท่ีมีต่อความได้เปรียบทางการแข่งขนั ของบริษัทจด
ทะเบียนในตลาดหลกั ทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) มีค่าเท่ากับ 0.74 จากผลการวิจยั นี ้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาด
หลกั ทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) สามารถนําไปเป็นแนวทางในการบริหารความสมั พนั ธ์กบั ลกู ค้าของบริษัท เพ่ือสร้าง
ความได้เปรียบทางการแขง่ ขนั ให้กบั ธุรกิจได้

คาํ สาํ คัญ: ลกู ค้าสมั พนั ธ์ ความได้เปรียบทางการแข่งขนั ตลาดหลกั ทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ
E-mail address: [email protected].

Abstract
This research aims to analyze the customer relationship management that affects the
competitive advantages of companies listed on the Market for Alternative Investment (MAI). This
research was the survey research testing 123 respondents from entrepreneurs in Market for Alternative
Investment (MAI). The research samples were obtained from stratified random sampling. The data were
collected by questionnaire. In this study, pearson product-moment correlation and structural equation

1 คณะวทิ ยาการจดั การ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พิบลู สงคราม
Faculty of Management Science, Pibulsongkram Rajabhat University

449

การประชมุ วิชาการระดับชาติ คร้ังที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564
modeling (SEM) was used to test hypotheses. According to the analysis, (1) causal relationship
model was congruent with the empirical data (Chi-Square=36.564, df=24, Chi-square/df=1.523, P-
value=0.122, RMR=0.159, GFI=0.961, RMSEA=0.044 และ CFI=0.985) (2) the causal relationship of
customer relationship management affects the competitive advantages of companies listed on the
Market for Alternative Investment (MAI) with regression coefficient 0.74. As this result, the listed
companies on the Market for Alternative Investment (MAI) can use as a guideline to create the
competitive advantage for their business.

Keyword: customer relationship, competitive advantages, Market for Alternative Investment (MAI)
E-mail address: [email protected].

450

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ คร้ังที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564

ปัจจัยทสี่ ง่ ผลต่อการตัดสินใจเลือกเขา้ ศึกษาต่อในระดับปรญิ ญาตรีของนักศึกษาชน้ั ปี ที่ 1
มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตเชยี งใหมป่ ระจาปี การศึกษา 2563

Factors Affecting on The Selection of Further Studies in Bachelor Degreeof The 1st Year
Undergraduates, Thailand National Sports University,Chiang Mai Campus,Academic Year of 2020

ศิริพร สัตยานุรักษ์ 1จารุวฒั น์ สตั ยานรุ กั ษ์1 และ ฤทธิเดช อาภรณ2์
Siriporn Sattayanuruk1 ,Jaruwat Sattayanuruk2 and Rittidej Arporn3

บทคัดย่อ
การวิจยั ครงั้ นีม้ ีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือ 1) ศกึ ษาปัจจยั ท่ีส่งผลต่อการตดั สินใจเลือกเขา้ ศกึ ษาต่อในระดบั ปรญิ ญา
ตรีของนักศึกษาช้นั ปีท่ี 1 มหาวิทยาลยั การกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตเชียงใหม่ 2) สรา้ งสมการพยากรณ์ปัจจัยในการ
ตดั สินใจเลือกเขา้ ศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีของนักศึกษาชั้นปีท่ี 1 ประจาปีการศึกษา 2563 เป็นการวิจัยแบบ
ผสานวิธีระหว่างการศึกษาเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพประชากรท่ีใช้ในการวิจัยเป็นนักศึกษาช้ันปี ท่ี 1 ของ
มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตเชียงใหม่จานวน 300 คน เครื่องมือท่ีใชใ้ นการวิจยั เป็นแบบสอบถามและ
แบบสมั ภาษณ์ ดว้ ยความตรงเชงิ เนือ้ หาของขอ้ คาถามอย่ใู นช่วงคะแนน 0.67-1.00 และมีคา่ ความเท่ียงเท่ากบั 0.948
สถิติท่ีใชก้ ารวิเคราะหข์ อ้ มลู ไดแ้ ก่ค่าความถี่ ค่ารอ้ ยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ค่าสมั ประสิทธิ์สหสมั พนั ธ์
การวิเคราะหก์ ารถดถอยพหุคณู แบบขนั้ ตอน (Stepwise) และการวิเคราะหเ์ นือ้ หา ผลการวิจัยพบว่าระดบั ปัจจยั ท่ี
ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีของนักศึกษาชั้นปีท่ี 1 ประจาปีการศึกษา 2563 โดย
ภาพรวมในปัจจัย 7 ดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นหลกั สตู รการจดั การเรียนการสอนดา้ นช่ือเสียงของมหาวิทยาลยั ดา้ นค่าใชจ้ ่าย
ดา้ นสถานท่ีตงั้ และสิ่งแวดลอ้ มทางกายภาพ ดา้ นการประชาสมั พนั ธ์ดา้ นอาจารยบ์ ุคลากรและดา้ นเหตผุ ลส่วนตวั มี
ระดบั ความสาคัญในระดบั มาก และปัจจัยท่ีมีระดบั ความสาคญั สงู สุด ไดแ้ ก่ดา้ นเหตผุ ลส่วนตัว ส่วนความสมั พันธ์
ระหว่างปัจจยั ท่ีส่งผลต่อการตดั สินใจเลือกเขา้ ศึกษาต่อ พบว่าปัจจยั ทงั้ 7 ดา้ นมีความสมั พันธต์ ่อการตดั สินใจเลือก
และดา้ นท่ีมีความสมั พนั ธส์ งู สุด ไดแ้ ก่ดา้ นความมีช่ือเสียงของมหาวิทยาลยั และสมการพยากรณ์การตดั สินใจเลือก
เขา้ ศกึ ษาต่อในระดบั ปรญิ ญาตรีของนกั ศกึ ษาชน้ั ปีท่ี 1 แสดงในรูปคะแนนมาตรฐาน ̂=0.212X2 ซง่ึ สมการนีม้ อี านาจ
การพยากรณก์ ารตดั สินใจเลอื กเขา้ ศึกษาตอ่ ในระดบั ปริญญาตรีของนกั ศกึ ษาชน้ั ปีท่ี 1 มหาวทิ ยาลยั การกีฬาแห่งชาติ
วทิ ยาเขตเชยี งใหม่ ในภาพรวมไดร้ อ้ ยละ 45 และมีความคลาดเคลอ่ื นมาตรฐานการพยากรณเ์ ท่ากบั 0.008

คาสาคญั :ปัจจยั ที่สง่ ผลการตดั สินใจเขา้ ศกึ ษาต่อนกั ศกึ ษามหาวทิ ยาลยั การกีฬาแหง่ ชาติ วิทยาเขตเชียงใหม่

1 คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั การกีฬาแหง่ ชาติ วทิ ยาเขตเชียงใหม่
Faculty of Education Thailand National Sports University Chiang Mai Campus
2 คณะวิทยาศาสตรก์ ารกฬี าและสขุ ภาพ มหาวิทยาลยั การกีฬาแหง่ ชาติ วิทยาเขตเชยี งใหม่
Faculty of Sports and Health Sciences Thailand National Sports University Chiang Mai Campus

451

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564
Abstract

This research aimed to 1) study factors affecting on the selection of further studies in Bachelor
Degree of the 1st year Undergraduates, Thailand National Sports University, Chiang Mai Campus 2)
create Regression Equation of factors affecting on the selection of further studies in Bachelor Degree of
the 1st year Undergraduates, Thailand National Sports University, Chiang Mai Campus. It was Mixed
Method Research (Quantitative and Qualitative Research). The population was the 1st year
undergraduates of Thailand National Sports University, Chiang Mai Campus with the number of 300. The
research tools were questionnaire and interview form with Content Validity during 0.67-1.00 as 0.948. The
statistics for data analysis were Frequency, Percentage, Mean, Standard Deviation, Correlation
Coefficient, Multiple Regression Analysis with Stepwise and Content Analysis. Findings were as following:
According to the level of factors affecting on the selection of further studies in Bachelor Degree of the 1st
year undergraduates, Thailand National Sports University, Chiang Mai Campus, academic year of 2020 in
overall consisting of 7 factors which were Study Curriculum, Reputation of University, Expenses, Location
and Physical Environment, Public Relation, Lecturers and Staffs, and Personal Reasons, it was found that
the importance level was at high level and the highest importance level were Personal Reason. Referring
to the relation of factors affecting on the selection of further studies, it was revealed that 7 factors had
relation of selection and the highest relation was Reputation of University. The Regression Equation of
selection of further studies in Bachelor Degree of the 1st year undergraduates was shown as the standard
scores as ̂=0.212X2.This Equation revealed that the selection of further studies in Bachelor Degree of the
1st year undergraduates, Thailand National Sports University, Chiang Mai Campus in overall had the
percentage of 45 and had Error as 0.008.

Keyword: FactorsAffectingon the Selection of Further Studies, Undergraduates,Thailand National Sports University Chiang Mai Campus.
E-mail address: [email protected]

452

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครงั้ ที่ 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564

การรับรู้วัฒนธรรมความปลอดภัยผปู้ ่ วยของบคุ ลากรในโรงพยาบาลเอกชนทไ่ี ม่มุ่งเน้นผลกาไร
THE PERCEPTIONS OF PATIENT SAFETY CULTURE IN NOT-FOR-PROFIT PRIVATE HOSPITALS

ปรียานุช ศรวี ชิรวฒั น1์ จารุวรรณ ธาดาเดช2 ปรารถนา สถิตยว์ ภิ าว3ี สรรธวชั อศั วเรืองชยั 4
Preyanuch sriwachirawat1 Charuwan Tadadej2 Pratana Satitvipawee3 and Santawat Asavaroengchai4

บทคัดย่อ
การวิจยั เชิงสารวจแบบภาคตดั ขวางนีม้ ีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือศกึ ษาการรบั รูว้ ัฒนธรรมความปลอดภยั
ผปู้ ่ วยของบุคลากรในโรงพยาบาลเอกชนท่ไี ม่ม่งุ เนน้ ผลกาไร เก็บรวบรวมขอ้ มลู ในชว่ งเดือน มิถนุ ายน - สิงหาคม
2561 ดว้ ยแบบสอบถามเร่ืองการรบั รูว้ ฒั นธรรมความปลอดภัยของผปู้ ่ วยในโรงพยาบาล (Hospital Survey on
Patient Safety Culture: HSOPSC) ของอนวุ ฒั น์ ศภุ ชตุ ิกลุ ท่แี ปรมาจากสถาบนั AHRQ (Agency for Healthcare
Research and Quality) มีค่าความเช่ือม่ัน 0.668 ใช้การคานวณขนาดกลุ่มตัวอย่างท่ีทราบขนาดประชากรท่ี
ชัดเจนของ Cochran ส่มุ ตัวอย่างแบบแบ่งช้นั มีผูต้ อบกลบั 230 ฉบบั (91.6%) สถิติท่ีใชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มลู
ไดแ้ ก่ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติไคสแควร์ ผลการวิจยั พบว่า ระดบั การรบั รูว้ ฒั นธรรมความปลอดภยั ของผูป้ ่ วย
โดยรวมอยู่ในระดบั ปานกลาง (x̄ = 3.4, S.D. = 0.3) โดยปัจจัยดา้ นอายุ ระยะเวลาปฏิบัติงานในโรงพยาบาล
ระยะเวลาปฏิบัติงานในหน่วยงาน มิติความปลอดภัยด้านการสื่อสารและการรับข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับ
การผดิ พลาด มีความสมั พนั ธก์ บั การรบั รูว้ ฒั นธรรมความปลอดภยั ของผปู้ ่วยอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถติ ิ (P<0.05)

คาสาคัญ : การรบั รูว้ ฒั นธรรมความปลอดภยั /วฒั นธรรมความปลอดภยั /โรงพยาบาลเอกชนที่ไมม่ ่งุ เนน้ ผลกาไร

Abstract
Abstract This research was cross-sectional survey research. The objective of this study was to
study the perception of patient safety culture among personnel in non-profit private hospitals. Data were
collected during June - August 2018. The questionnaires were translated from the Hospital Survey on
Patient Safety Culture (HSOPSC) by Anuwat Supachutikul from Agency for Health Research and Quality
(AHRQ) with a confidence value of 0.668. Cochran's apparent population size known sample size was
calculated. Stratified sampling. There were 230 respondents (91.6%). Descriptive and Chi-square
statistics were used to analyze the data. The study found that the level of overall patient safety culture
perceptions by staff in not-for-profit private hospitals was moderate (x̄ = 3.4, S.D. = 0.3). The following
factors: age, working duration in hospital, working duration in work unit, feedback and communication
about error had a significance associated with safety culture (P<0.05)

Keyword: Safety Culture Perceptions / Patient Safety Culture / Non-Profit Private Hospital

1 นกั ศกึ ษาหลกั สตู รวทิ ยาศาสตรม์ หาบณั ฑิต (สาธารณสขุ ศาสตร)์ สาขาบริหารโรงพยาบาล คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ และบณั ฑิตวทิ ยาลยั
มหาวิทยาลยั มหดิ ล
Graduate Student in Master of Science (Public Health) Program in hospital administration, Faculty of Public Health and Faculty
of Graduate Studies, Mahidol University
2 ภาควชิ าบริหารงานสาธารณสขุ คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล
Department of Public Health Administration, Faculty of Public Health, Mahidol University
3 ภาควิชาชีวสถติ ิ คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล
Department of Biostatistics, Faculty of Public Health, Mahidol University
4 โรงพยาบาลจฬุ าลงกรณ์ สภากาชาดไทย กรุงเทพฯ
King Chulalongkorn Memorial Hospital

453

การประชมุ วิชาการระดับชาติ คร้งั ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

การพฒั นาศักยภาพการทำงานบคุ ลากรฝายงานวศิ วกรรมของหา งหนุ สวนจำกดั ชวินโรจนว ิศวกรรม
Development of Engineering Personnel Capacity of the Chawinrojne Engineering

ชวินโรจน์ แก้วสิมมาพ01 กญั ชพร ศรมณี12 และจฑุ าทพิ ย์ ลีลาธนาพพิ ฒั น์23
Chawinrojne Kaewsimmaporn1 , Kanchaporn Sonmanee2 Jutathip leelathanapipat3

บทคดั ย่อ

การพฒั นาศกั ยภาพการทํางานบุคลากรฝ่ายงานวิศวกรรมของห้างห้นุ ส่วนจํากดั ชวินโรจน์วิศวกรรม มีวตั ถุประสงค์
ในการวิจยั เพอื่ กําหนดการวิเคราะห์งาน การกําหนดหน้าทงี่ าน และ การกําหนดคณุ ลกั ษณะของงาน และเพื่อสร้างแนวทางใน
การพฒั นาศกั ยภาพของบุคลากรฝ่ ายวิศวกรรม โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ มีพนกั งานของบริษัทเป็นผู้ให้ข้อมลู สําคัญ
จํานวน 25 คน จากการสมั ภาษณ์เชิงลึก และการสงั เกตการณ์ในการทํางานต่าง ๆ และนํามาวิเคราะห์ สงั เคราะห์กับหวั หน้า
งานพร้อมทงั้ ผ้บู ริหารเพื่อสร้างแนวทางในการพฒั นาศกั ยภาพของบุคลากรฝ่ายวิศวกรรม ซ่ึงผลการศึกษาพบว่า การพฒั นา
ศกั ยภาพของบคุ ลากรฝ่ ายวิศวรรมของห้างหุ้นส่วนจํากัด ชวินโรจน์วิศวกรรม ผลการศึกษา พบว่า การสร้างแนวทางในการ
พฒั นาศกั ยภาพของบคุ ลากรฝ่ายวิศวรรมของห้างห้นุ สว่ นจาํ กดั ชวินโรจน์วศิ วกรรม ประกอบด้วย 1) ทกั ษะพนื ้ ฐานท่ีจาํ เป็นใน
การทํางาน ประกอบด้วยทกั ษะในเรื่องพฤตกิ รรมการปฏิบตั ทิ ่ีต้องระมดั ระวงั เนื่องจากสายงานนีม้ ีความเสีย่ งอยู่ และเน้นเร่ือง
ความปลอดภยั ในการทํางาน ทักษะการทํางานที่เป็นระบบตามขนั้ ตอนของเอกสารเนื่องจากงานไฟฟ้าต้องมีแบบแผน และ
ขนั้ ตอนการทํางานท่ีชดั เจนเพื่อป้องกันการเกิดอนั ตรายจากการทํางานตามมา 2) การพฒั นาศกั ยภาพในการทํางาน คือการ
พัฒนาศักยภาพให้เป็นไปตามมาตรฐานทางสายงานวิศวกรรมอย่างสม่ําเสมอ 3) ความแตกต่างในการปฏิบตั ิงาน ต้องมี
ความรู้ด้านความปลอดภัย / การวิเคราห์งานและแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และความชํานาญในการติดตงั ้ และ 4) การพัฒนา
ศกั ยภาพเฉพาะทาง การพฒั นาศกั ยภาพเฉพาะทางที่นําเอาความสามารถที่ซ่อนเร้นภายในร่างกายนํามาใช้ให้เกดิ ประโยชน์
อย่างมีกระบวนการ เป็นกระบวนการเรียนรู้ เพ่ือเพ่ิมพูนความรู้ทกั ษะ สมรรถนะ และทศั นคติ ของบุคลากรในองค์กรให้มี
พฤติกรรมการทาํ งานทก่ี อ่ ให้เกิดประโยชน์สงู สดุ ต่อองคก์ รอนั จะส่งผลให้เกิดความก้าวหน้าในตนเองและองค์กร

คาํ สาํ คัญ : การพฒั นาศกั ยภาพ งานวิศวกรรม

1 นกั ศกึ ษาปริญญาโท คณะวทิ ยาการจดั การ สถาบนั การจดั การปัญญาภวิ ฒั น์
Student of Master Degree, Faculty of Management Science, Panyapiwat Institute of Manangement
2 ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. คณะวทิ ยาการจดั การ สถาบนั การจดั การปัญญาภวิ ฒั น์
Assistant Professor Dr.,Faculty of Management Science, Panyapiwat Institute of Manangement
3 ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. คณะวศิ วกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบนั การจดั การปัญญาภิวฒั น์
Assistant Professor Dr.,Faculty of Engineering and Technology, Panyapiwat Institute of Manangement

454

การประชุมวชิ าการระดับชาติ ครั้งท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564
Abstract

Development of engineering personnel capacity of limited partnerships Chawinrojne Engineering,
aims to study the work process, job analysis Job Description and Job Specification that develop the potential
of engineers. By using qualitative research methods, the company's employees are 25 key informants from
in-depth interviews and work observations and analyze them synthetically with supervisors along with
executives to create ways to development of engineering personnel capacity of limited partnerships
Chawinrojne Engineering. The results showed that by establishing a way to develop the potential of
engineering personnel of limited partnerships. Chawinrojne Engineering consists of 1) Basic skills needed
to work, consisting of skills in behavioral practices that must be careful as this line of work is at risk and
focus on work safety. Systematic work skills according to the documentation procedures due to electrical
work require clear patterns and procedures to prevent the subsequent hazards of work, 2) Developing work
potential is to develop potential to meet engineering standards regularly, 3 ) differences in operations,
require knowledge of safety/ problem solving and problem solving and installation expertise, and 4 )
developing specialized potential. Developing specialized potential that brings hidden abilities within the
body to the benefit of the body in a processed way, as a learning process to enhance the knowledge, skills,
competencies and attitudes of the people in the organization to have work behaviors that contribute to the
best interests of the organization that will result in self-progress and organization.

Keyword : Development of engineering personnel capacity
E-mail : [email protected]

455

การประชุมวชิ าการระดับชาติ คร้งั ท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564

แนวทางการอนุรักษ์แพโบสถ์นาํ้ : กรณีศกึ ษาวัดปากนาํ้ โพเหนือ และวดั สโมสร อาํ เภอเมอื ง นครสวรรค์

An Approach to Conservation of Floating Ubosots : A Study of Wat Paknum Po Nuea and Wat Smosorn,
Amphoe Mueang, Nakorn Sawan
อาทร วรี ะเศรษฐกลุ 01
Artorn Weerasettakul1

บทคดั ย่อ

การศึกษานี ้มีวตั ถุประสงค์ 1) เพ่ือศึกษาความเป็นมาและความสําคญั ของแพโบสถ์นํา้ วิธีการอนรุ ักษ์แพโบสถ์
นํา้ และ 2) เพื่อเสนอแนะแนวทางการอนุรักษ์แพโบสถ์นํา้ อนั นําไปส่กู ารพฒั นาเป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเท่ียวทาง
วฒั นธรรมโดยเชอื่ มโยงกบั การท่องเที่ยวบริเวณต้นนํา้ เจ้าพระยาในชมุ ชนบ้านเกาะยม อําเภอเมอื ง จงั หวดั นครสวรรค์

ลกั ษณะการวิจัยเป็นเชิงคุณภาพ โดยเก็บรวบรวมข้อมลู 2 แหล่ง คือ ข้อมูลทุติยภูมิ จากเอกสารเพ่ือทบทวน
แนวคิดทฤษฎี งานวิจยั ที่เกี่ยวข้องจากวิทยานิพนธ์ เอกสารจดหมายเหตุ แผนท่ีภาพถ่ายทงั้ ในอดีตและปัจจบุ นั และการ
สืบค้นข้อมลู ทางส่ือออนไลน์ และข้อมลู ปฐมภมู ิซ่งึ ได้จากการสํารวจลงพืน้ ท่ี ใช้วิธีการสมั ภาษณ์เชิงลกึ แบบมีโครงสร้าง
และสนทนากล่มุ จากกล่มุ ตวั อย่าง ได้แก่ เจ้าอาวาส พระภิกษุสงฆ์ ชาวบ้าน ผ้ใู หญ่บ้านท่ีอาศยั อย่บู ริเวณวดั ปากนํา้ โพ
เหนือ และวัดสโมสร ตลอดจน ประธานชมรมคนรักเจ้าพระยา รวมถึงเจ้าหน้าท่ีหน่วยงานปกครองท้องถ่ินและการ
ทอ่ งเท่ียวและกีฬาจงั หวดั นครสวรรค์ แล้วนาํ มาวิเคราะห์การอนรุ ักษ์และปัญหาของการอนรุ ักษ์แพโบสถ์นาํ ้ ท่ผี ่านมาจนถึง
ปัจจบุ นั เพื่อเสนอแนวทางให้หน่วยงานทีเ่ ก่ียวข้องและชมุ ชนนําไปอนรุ ักษ์และใช้ประโยชน์ต่อไป

ผลการศกึ ษาพบวา่ วดั ปากนาํ ้ โพเหนือและวดั สโมสรเป็นวดั ของชมุ ชนเรือนแพเกา่ แก่ทีต่ ่อเน่อื งมาจากบริเวณต้น
แม่นํา้ เจ้าพระยา หรือบริเวณเกาะยมอนั เป็นศนู ย์กลางการค้าก่อนย้ายไปฝั่งตลาดปากนาํ ้ โพในชว่ งรัชกาลท่ี 6- 7 เดิมทาง
วดั ใช้แพโบสถ์นํา้ ทําสงั ฆกรรม หลังจากที่วดั สร้างอุโบสถจากการได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา แพโบสถ์นํา้ ได้เปลี่ยน
หน้าที่เป็นศาลาการเปรียญและเป็นโรงมหรสพของชาวบ้าน เมื่อการคมนาทางบกเข้ามาแทนที่ชุมชนเรือนแพหมดไป
ในช่วงหลงั ปี พ.ศ 2535 แพโบสถ์นํา้ จึงไม่ได้ถกู ใช้เป็นประจําดงั เดมิ แพโบสถ์นํา้ ทงั้ 2 แห่งถกู ผกู ทิง้ ไว้ริมนํา้ และซ่อมแซม
เป็นระยะ จนกระทงั่ ในปีพ.ศ. 2560 เกิดนํา้ ทว่ มใหญ่บริเวณริมแม่นาํ ้ น่านในเขตอาํ เภอเมือง แพโบสถ์นํา้ ของทงั้ 2 แห่งถกู
นาํ ้ พดั มาเกยอย่รู ิมตล่ิง หลงั จากนํา้ ลดลงแพโบสถ์นํา้ ของวดั ปากนํา้ โพเหนือถกู รือ้ ถอนในปี พ.ศ. 2562 แพโบสถ์นาํ ้ ของวดั
สโมสรได้รับการปรับปรุงเป็นศาลาริมนํา้ ให้คนรุ่นหลงั ได้ศึกษา ปัญหาการอนรุ ักษ์แพโบสถ์นํา้ ทงั้ 2 แห่งคือ คือ การขาด
องค์ความรู้การอนรุ ักษ์แพโบสถ์นํา้ ที่ถกู ต้องตามหลกั วิชาการเพราะยงั ไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบโดยตรง การอนรุ ักษ์จงึ
เป็นตามดุลยพินิจของเจ้าอาวาสเป็นหลัก ดังนัน้ แนวทางการอนุรักษ์แพโบสถ์นํา้ ท่ีถูกต้อง และเหมาะสม คือต้องมี
หน่วยงานภาครัฐถ่ายทอดองค์ความรู้ท่ีถูกต้องในการอนุรักษ์ให้กับวดั และชุมชน โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วม เพ่ือให้
ชุมชนได้เข้าใจถึงคุณค่า และความหมายท่ีแท้จริงของแพโบสถ์นํา้ เพ่ือพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเท่ียวทาง
วฒั นธรรมของชมุ ชน และจงั หวดั ได้ต่อไป
คาํ สาํ คัญ : แพโบสถ์นาํ ้ , อทุ กสมี า, การอนรุ ักษ์, วดั ปากนาํ ้ โพเหนอื , วดั สโมสร

1 หลกั สตู รศิลปศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรม คณะโบราณคดี บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร กรุงเทพฯ 10170 ประเทศไทย
Master of Arts Program in Cultural Resource Management, Faculty of Archaeology, Graduate School Silpakorn University Bangkok 10170, Thailand.

456

การประชมุ วิชาการระดับชาติ ครัง้ ท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564
Abstract

The purpose of this research is 1) to study background and importance of the floating ubosots; and 2)
to find an approach to conserve the floating ubosots. The result of this research will be used as a basic
information for development of a learning center and cultural tourist attraction that is linked with tourism in the
Chao Phraya watershed in Ban Koh Yom community, Mueang District, Nakhon Sawan Province.

This research is based on qualitative research by gathering information from 2 sources: primary
information obtained from field surveys, structured in-depth interviews and group discussions. The sample
groups included an abbot, monks, villagers, village headmans who lived in Pak Nam Pho Nua and Wat
Samosom, the chairman of Kon Rak Chao Phraya Group as well as local government and tourism and sports
officers. Another source is secondary information by reviewing theoretical concepts, relevant research from
archival documents, photo, maps, the thesies and online media. Finall, analyzed the conservation methods and
their problems in order to propose guidelines for relevant organization and communities for further conservation
and use.

The results of the study revealed that Wat Pak Nam Pho Nua and Wat Samosorn are located in the
old houseboats village that continued from the upstream of the Chao Phraya River or in the area of Koh Yom,
where was the commercial center before moving to the Pak Nam Pho market during King Rama the sixth and
the seventh periods. Originally, the floating ubosot was a sacred place for monk’s rituals. After the ubosots
were built on land from the royal consortium, the floating ubosots had changed its function to be the sermon
halls and theaters for the villagers. As many roads replaced the houseboat villages after 1992, the floating
ubosots were not used as usual. They were left on the riverside and repaired regularly. In 2017, there was a
large flood on the Nan River in Muang District. Both the floating ubosots were washed into the riverbank. After
the water subsided, the floating ubosots of Wat Pak Nam Pho Nua was demolished in 2019. Wat Samoson's
floating ubosots has been renovated to be a waterfront pavilion for young generations to study. The problem of
conservation of both floating ubosots is the lack of proper knowledge about the conservation of floating ubosots
based on academic principles because there is no direct host responsible for conservation. The abbots were
primarily the conservation authorities. Therefore, research recommends that government agencies should
provide the correct knowledge of conservation to temples and communities through a participatory process.
So that the community can understand the value and the true meaning of floating ubosots as well as develop
to a cultural learning center and tourist designation of the communities and the province.
Keyword : Floating ubosots, Udakukkhepa sima, Conservation, Wat Paknum Po Nuea, Wat Smosorn

457

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ คร้งั ที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

ปัจจยั ท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมด้านความรักความเมตตาของนิสติ มหาวิทยาลัยบรู พา
Factors Affecting to Kindness Behaviors of Burapha University Students

ดารากร พฒุ หอม01, นาตยา ไผ่โสภา1, และธรรมวฒั น์ อุปวงษาพฒั น์12
Darakorn Puthom1, Nattaya Phaisopha1, and Dhammawat Ouppawongsapat2

บทคัดย่อ
การวิจัยครัง้ นีเ้ ป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษาปัจจัยท่ีส่งผลต่อ
พฤติกรรมความรักความเมตตาของนิสิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลยั บูรพา วิทยาเขตบางแสน กล่มุ ตัวอย่าง
คือ นิสิตปริญญาตรี จํานวน 300 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชัน้ ภูมิ เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม การ
วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ปัจจัยท่ีมีอิทธิพลและสมการทํานายด้วยการวิเคราะห์ถดถอย
พหุคูณ ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยที่มีความสมั พันธ์และส่งผลต่อพฤติกรรมความรักความเมตตาของนิสิต คือ
ปัจจยั ด้าน ความเสียสละการให้ การมีหลกั ธรรมทางศาสนาเป็นทพ่ี งึ่ และสมั พนั ธภาพภายในครอบครัว ได้สมการ
พยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน ดงั นี ้พฤติกรรมด้านความรักความเมตตา = 0.343 (การเสียสละ การให้ ) +
0.180 (การมีหลกั ธรรมทางศาสนาเป็นท่ีพึ่ง) + 0.303 (สมั พันธภาพในครอบครัว) มีอํานาจการทํานาย ร้อยละ
42.9 อย่างมีนยั สําคญั ทางสถติ ิ

คําสําคัญ : ความรักเมตตา นกั ศกึ ษา คณุ ธรรม สมั พนั ธภาพ พฤตกิ รรม

ABSTRACT
This study was a cross-sectional descriptive research. The objectives were to study factors
effecting to kindness behaviors of student. 300 sample were selected by stratified random sampling
technique from undergraduate students of Burapha University Bangsaen Campus. Data were collected
data by questionnaires and analyzed by descriptive statistics. Influencing factors and predictive
equations were analyzed with multiple regression analysis. The results were showed that, factors
affecting to kindness of students were sacrifice and giving, religious principles and family relationships.
The forecast equation in the form of a standard score as follows: kindness behaviors = 0.343 (sacrifice
and giving) + 0.180(religious principles) + 0.303 (family relationship). The predictive power was 42.9
percent by statistical significant.

Keywords : kindness , student, morality, relationship , behaviors

1 นิสติ ระดบั ปริญญาตรี สาขาสขุ ศกึ ษาและการส่งเสริมสขุ ภาพ คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บรู พา
2 อาจารย์ประจาํ ภาควิชาสขุ ศกึ ษาและการส่งเสริมสขุ ภาพ คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บรู พา

458

การประชมุ วิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

รูปแบบการพัฒนามคั คุเทศก์กลุ่มผ้สู งู อายุเพ่ือเสริมสร้างการจดั การท่องเท่ียวโดยชุมชน
อย่างย่ังยืน กรณีศกึ ษาชุมชนกุฏจี นี แขวงวดั กัลยาณ์ เขตธนบุรี

The Development of Local Guide to Elderly Persons for sustainable Tourism in community:

Case study Ku-dee-cheen community, Watkanlaya Sub-district, Thonburi District, Bangkok.
2
ธมนวรรณ์ เฟ่ื องประยรู 01 และ ณฐั สภุ า จิวศวิ านนท์
1

Tamonwan Fuangprayoon1, and Natsupa Chewsiwanon 2

บทคดั ย่อ

งานวิจัยนีม้ ีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพ่ือศึกษาข้อมูลพืน้ ฐานสําหรับสร้ างรูปแบบการพัฒนา
มคั คเุ ทศก์กล่มุ ผู้สงู อายุเพอ่ื เสริมสร้างการจดั การท่องเท่ียวโดยชมุ ชนอย่างยง่ั ยืน 2) เพ่ือพฒั นามคั คเุ ทศก์ท้องถน่ิ
ในกลมุ่ ผ้สู งู อายผุ ่านโครงการฝึกอบรมมคั คเุ ทศก์ท้องถน่ิ ในกล่มุ ผ้สู งู อายุ 3) เพอ่ื ศกึ ษาผลการใช้โครงการฝึกอบรม

มัคคุเทศก์ท้องถิ่นในกลุ่มผู้สูงอายุ ด้วยวิธีการฝึกอบรมมัคคุเทศก์ท้องถิ่นในกลุ่มผู้สูงอายุ ผลการวิจัยพบว่า
โครงการฝึกอบรมมคั คเุ ทศก์ท้องถ่นิ ในกลมุ่ ผ้สู งู อายุมีความเหมาะสมและสอดคล้องกบั องค์ประกอบของโครงการ
และกลมุ่ ผ้สู งู อายทุ เี่ ข้าร่วมโครงการให้ความสนใจและตระหนกั ถึงความสําคญั ของการจดั การท่องเท่ียวโดยชุมชน
มากขึน้ ทําให้ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของผ้เู ข้าร่วมโครงการฝึกอบรมพฒั นาขนึ ้ หลงั เรียนสงู กว่าก่อนเรียน อย่างมี
นยั สาํ คญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดบั .05 และความพงึ พอใจของผ้เู ข้าร่วมโครงการทีม่ ีต่อโครงการฝึกอบรมมคั คเุ ทศก์ท้องถิ่น
ในกลมุ่ ผ้สู งู อายอุ ย่ใู นระดบั มากท่ีสดุ แสดงให้เห็นว่าผู้สงู อายุในชมุ ชนให้ความสําคญั กบั การจดั การท่องเทย่ี วโดย
ชมุ ชนมากย่งิ ขนึ ้ และเกิดความภาคภมู ิใจทีไ่ ด้มีสว่ นร่วมในการพฒั นาชมุ ชนท้องถน่ิ ทตี่ นอาศยั อยู่

คาํ สําคัญ: การจดั การทอ่ งเที่ยวโดยชมุ ชน การฝึกอบรม มคั คเุ ทศก์ท้องถ่นิ ชมุ ชนกฏุ จี นี ผ้สู งู อายุ

Abstract
The objectives of this research were to 1) study the key information to prepare model for local
guide to elder people for sustainable tourism management 2) to develop local elderly guide by local
guide training, to examine achievement of training project evaluation. It was found that the components
of content and training plan were relevant. Project participants are interested and more aware of

Community based tourism. Results in training assessment test showed that higher posttest score than
pretest score was statistically significant at 0.05 level. The satisfaction towards this training project was
the highest level showed that elders in Ku-dee-cheen community aim at community based tourism and

proud to participate in development their community.

Keyword : Community based tourism, Training, Local guide, Ku-dee-cheen community, Elder
E-mail address : [email protected]

1 สาขาวชิ าบริหารธุรกิจ คณะวทิ ยาการจดั การ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบรุ ี
Business Management, Faculty of Management sciences, Dhonburi Rajabhat University
2 สาขาวิชาบญั ชี คณะวิทยาการจดั การ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบรุ ี
Accounting, Faculty of Management sciences, Dhonburi Rajabhat University

459

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564

ภาวะโภชนาการกับความฉลาดทางอารมณข์ องนักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาตอนต้นในโรงเรียนประจา
Nutritional Status and Emotional Quotient of School-Age-Students in Boarding School

ศวิ พร ตันตกิ ลั ชาญ1 ปรียา ลีฬหกลุ 2 ประดษิ ฐ์ โพธิกลาง 3 นฤพล ทองสขุ 4
Sivaporn Tantikalchan1, Preeya Leelahagul D.Sc.2, Pradit Phothiklang3, and Narupon Thongsuk4

บทคัดย่อ
งานวจิ ยั นศี้ กึ ษาแบบภาคตดั ขวาง มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พ่อื ศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหว่างภาวะโภชนาการ ความ
ฉลาดทางอารมณ(์ อีคิว) และประสิทธิผลทางการเรียนในนกั เรียนประจา ชนั้ ม.1 จานวน 79 คน เป็นระยะเวลา 1
ปีการศึกษา (32 สัปดาห)์ โดยประเมินตามมาตรการทางดา้ นโภชนาการทุก 16 สัปดาห์ ไดแ้ ก่ องคป์ ระกอบ
ร่างกาย ค่าชีวเคมีในเลือด บนั ทึกการบริโภคอาหารในรอบ 24 ช่วั โมง ควบค่กู ับบันทึกกิจกรรมทางกายตลอด
การศึกษา วิเคราะหป์ ระสิทธิผลทางการเรียน ใช้เกรดเฉล่ียและคะแนนดิบรายวิชาของทั้ง 2 ภาคการศึกษา
ประเมินและตดิ ตามผลอีคิวและความเครียดของนกั เรยี น 4 ครงั้ ในช่วงตน้ ภาคเรียนท่ี 1 และ 2 ก่อนปิดภาคเรยี น
ท่ี 1 และ 2 ผลการวจิ ยั หลงั จากนกั เรียนอย่ใู นโรงเรียนประจา 1 ปีการศกึ ษา และไดร้ บั คาแนะนาจากการใหโ้ ภชน-
ศกึ ษาทกุ ๆ 16 สปั ดาห์ พบว่า นกั เรียนมีภาวะโภชนาการดีขนึ้ นกั เรียนรอ้ ยละ 19.0 มีระดบั อีคิวสงู ขึน้ ทงั้ นีย้ งั พบ
ภาวะอว้ นสง่ ผลตอ่ คะแนนอคี ิวในดา้ นความภาคภูมใิ จในตนเอง โดยคะแนนอคี วิ ดา้ นสขุ มีคะแนนเฉลีย่ ดา้ นความ
ภาคภูมิใจในตนเองของนักเรียนอว้ น (8.9 ± 3.7 คะแนน) ต่ากว่านักเรียนท่ีมีภาวะไขมันในร่างกายปกติอย่างมี
นยั สาคญั ทางสถิติ (11.2 ± 2.1 คะแนน) และนกั เรียนท่ีหายจากโลหิตจางมีคะแนนอีคิวดีขึน้ ทกุ คน นอกจากนีย้ งั
พบความสมั พนั ธเ์ ชิงลบระหว่างอีคิวกับความเครียด (r= -0.668) และความสมั พนั ธเ์ ชิงบวกระหว่างอีคิวกับเกรด
เฉล่ียรวม (r= 0.298) สรุปผลการวิจยั นกั เรยี นท่มี ภี าวะโภชนาการท่ดี ีขนึ้ จะมีอีคิวสงู ขนึ้ รวมไปถึงมีผลการเรยี นท่ี
ดี โดยภาวะอว้ นส่งผลต่อคะแนนอคี ิวในดา้ นความภาคภมู ิใจในตนเอง นกั เรียนท่หี ายจากโลหิตจางมีคะแนนอคี วิ
ดีขึน้ ทุกคน นักเรียนท่ีมีอีคิวสูงจะมีความเครียดไม่รุนแรง และมีคะแนนรายวิชา รวมถึงเกรดเฉล่ียรวมสูงกว่า
นกั เรียนท่มี อี คี ิวปกตแิ ละอีคิวต่า

คาสาคัญ : ภาวะโภชนาการ ความฉลาดทางอารมณ์ วยั รุน่ โรงเรยี นประจา

1หลกั สูตรวิทยาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาโภชนศาสตร์ โครงการร่วมคณะแพทยศาสตรโ์ รงพยาบาลรามาธิบดี และสถาบันโภชนาการ
มหาวิทยาลยั มหดิ ล
Graduate student in Master of Science Program in Nutrition, Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital and Institute of Nutrition,
Mahidol University
2กลมุ่ สาขาวชิ าโภชนศาสตร,์ คณะแพทยศาสตรโ์ รงพยาบาลรามาธิบดี มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล
Graduate Program in Nutrition, Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital and Institute of Nutrition, Mahidol University
3 ผอู้ านวยการ, 4 อาจารยแ์ ผนกโภชนาการ, โรงเรียนวทิ ยาศาสตรจ์ ฬุ าภรณราชวทิ ยาลยั เชยี งราย
3Director, 4Instructuor, Princess Chulabhorn Science High School Chiang Rai, Thailand

460

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

Abstract
This cross-sectional study determine the relationship among nutritional status, emotional
quotient (EQ), and academic performance in 79 students in the 7th grade boarding class for 1 academic
year (32 weeks). Participants were assessed body composition and blood biochemistry. Dietary intake
was assessed by using 24-hour dietary record along with physical activity record throughout the study.
The academic performance uses a grade point average (GPA) and a raw score for each course from
both semesters. EQ and stress assessments are followed up and evaluated students 4 times from the
beginning as well as the end for both semesters 1 and 2. After the students had lived in the boarding
school for 1 academic year and were taught nutrition education every 16 weeks, it was found that their
nutritional status was improved, 19.0% of students had improved EQ. Obesity had also been found to
have an effect on students' EQ scores in self-esteem. Self-esteem scores in happy subscales of obese
students (8.9 ± 3.7 scores) had significant lower than normal body fat students (11.2 ± 2.1 scores).
Furthermore, all students who had recovered from anemia had improved EQ scores. Moreover, this
study also found a negative relationship between EQ and stress (r=-0.668), and a positive relationship
between EQ and academic performance. In conclusion, students with improved nutritional status had
higher EQ and good academic performance. Obesity affected the EQ score in self-esteem. All students
who had recovered from anemia had improved EQ scores. Students with high EQ did not experience
severe stress. They also had course scores and overall GPA higher than students with normal and low
EQ.

Keyword: Nutritional status, Emotional Quotient, Adolescent, Boarding School
*Corresponding audio; e-mail address: [email protected]

461

การประชมุ วิชาการระดับชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564

การสารวจพฤติกรรมการบริโภคอาหารโดยใช้วิธีแบบเรยี ลไทมใ์ นเจา้ หน้าทค่ี ณะแพทยศาสตร์
โรงพยาบาลรามาธบิ ดที ม่ี ีนา้ หนักตัวปกตหิ รืออว้ น

REAL-TIME DIETARY BEHAVIOR SURVEY OF RAMATHIBODI HOSPITAL PERSONNEL
WITH NORMAL BODY WEIGHT OR OBESITY

นัฏฐกิ า ผุดผอ่ ง1 ปรียา ลฬี หกลุ 2 สรุ ตั น์ โคมินทร3์ สมเกียรติ ลีละศธิ ร4 และ วาสนา ศรสี ขุ 5
Nattika Pudpong1, Preeya Leelahagul2, Surat Komindr3, Somkiat Leelasithorn4 and Wasana Srisuk5

บทคดั ย่อ

การสารวจพฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารดว้ ยการจดบนั ทึกตอ้ งใชท้ กั ษะในการประเมินอาหาร อาจทาให้
คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงได้ การถ่ายรูปอาหารมีส่วนช่วยในการเก็บขอ้ มูลและประเมินการบริโภคแบบ
เรียลไทม์ คือถ่ายรูปอาหารและสง่ รูปภาพอาหารก่อนและหลงั บรโิ ภคทนั ทีผา่ นแอปพลิเคชนั วิธีนีช้ ่วยลดขอ้ จากดั
และทาใหผ้ ลจากการรายงานแม่นยาใกลเ้ คียงความจริงมากขึน้ งานวิจัยนีม้ ีวัตถุประสงคเ์ พ่ือศึกษาการบริโภค
อาหารประเมินโดยใชว้ ิธีแบบเรียลไทมเ์ ปรียบเทียบกับวิธีการจดบนั ทกึ อาหารท่ีบรโิ ภค และศกึ ษาพฤติกรรมการ
บรโิ ภคอาหารของเจา้ หนา้ ท่ีคณะแพทยศาสตรโ์ รงพยาบาลรามาธิบดีท่ีมภี าวะนา้ หนกั ตวั ปกติหรืออว้ น จานวน 81
คน แบ่งเป็น กลมุ่ ท่มี ีนา้ หนกั ตวั ปกตแิ ละกลมุ่ อว้ น ซง่ึ ไดร้ บั การประเมนิ องคป์ ระกอบรา่ งกาย สารวจพฤติกรรมการ
บริโภคอาหาร และประเมินการบริโภคอาหาร 2 ช่วงคือ1) วิธีการจดบันทึกอาหารท่ีบริโภค และ 2) วิธีแบบ
เรียลไทม์ ผลเปรียบเทียบพบว่าการรายงานการบรโิ ภคอาหารดว้ ยวิธีแบบเรียลไทมใ์ หผ้ ลแม่นยาเพิ่มมากขึน้ กว่า
วิธีการจดบันทึกอาหารท่ีบริโภค โดยกลุ่มอว้ นเพิ่มขึน้ รอ้ ยละ 20.5 และกลุ่มนา้ หนักปกติเพ่ิมขึน้ รอ้ ยละ 13.5
พฤติกรรมการบริโภคอาหารแตกต่างกัน กล่มุ อว้ นนิยมบริโภคอาหารท่ีใหพ้ ลงั งานสูงจากคารโ์ บไฮเดรต ไขมนั
เนื้อสัตว์ติดมัน แกงกะทิ ขนมอบ และเคร่ืองด่ืมท่ีมีรสหวานบ่อยครั้งมากกว่ากลุ่มท่ีมีน้าหนักตัวปกติ

คาสาคญั : พฤติกรรมการบริโภคอาหาร เรยี ลไทม์ เจา้ หนา้ ท่ีโรงพยาบาลรามาธิบดี

1 นกั ศึกษาระดบั ปริญญาโท หลกั สูตรวิทยาศาสตรมหาบณั ฑิตสาขาวิชาโภชนศาสตร์ โครงการร่วมคณะแพทยศาสตรโ์ รงพยาบาลรามาธิบดีและ
สถาบนั โภชนาการ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล กรุงเทพฯ 10400
Graduate student in Master of Science Program in Nutrition, Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital and Institute of Nutrition, Mahidol
University, Bangkok 10400
2 กลมุ่ สาขาวชิ าโภชนศาสตร์ โครงการรว่ มคณะแพทยศาสตรโ์ รงพยาบาลรามาธิบดีและสถาบนั โภชนาการ มหาวทิ ยาลยั มหิดล กรุงเทพฯ10400
Graduate Program in Nutrition, Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital and Institute of Nutrition, Mahidol University, Bangkok 10400
3 ภาควิชาอายรุ ศาสตร์ คณะแพทยศาสตรโ์ รงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลยั มหดิ ล กรุงเทพฯ 10400
Department of the Thai Board of Internal Medicine, Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital, Mahidol University, Bangkok 10400
4 ภาควิชาเวชศาสตรช์ มุ ชน คณะแพทยศาสตรโ์ รงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลยั มหดิ ล กรุงเทพฯ 10400
Department of Community Medicine, Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital, Mahidol University Bangkok 10400
5 งานสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ คณะแพทยศาสตรโ์ รงพยาบาลรามาธิบดี มหาวทิ ยาลยั มหิดล กรุงเทพฯ 10400
Center for Health Promotion and Well-Being, Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital, Mahidol University Bangkok 10400

462

การประชุมวิชาการระดับชาติ คร้ังท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

Abstract
The dietary behavior survey method, dietary record had limitation, the individual’s ability to
estimate portion size can cause an error of energy intakes. Digital image of food contributes to collect
data and to estimate portion size of food intakes while eating in real-time: sent the image of food before
and after meals immediately to the application. It could be decreased the limitation and improved dietary
assessments that are closer to reality. This research aimed to study dietary intake estimated by real-
time dietary records compared with dietary record and to investigate dietary behavior of Ramathibodi
Hospital personnel (RHP) with normal body weight or obesity. The study was conducted in 81 RHP and
divided into normal weight group and obese group. The subjects were measured body composition.
Dietary behaviors were collected with questionnaires. Assessment dietary intakes were separated into
2 periods, first 4 weeks: dietary record and second 4 weeks: real-time dietary record. The results showed
the comparison of dietary assessment methods between dietary record and real-time dietary record
demonstrated that the reporting dietary intake by real-time dietary record was more accurate than
dietary record, which was increased 20.5% in obese group and 13.5% in normal weight group,
respectively. Comparison of dietary behavior between normal weight and obese groups were different.
In obese group preferred to consume energy-dense foods from carbohydrate, fat, fatty meat, foods with
coconut milk, bakery and sugar-sweetened beverages more than normal weight group.

Key words: Real-time dietary record/ dietary behavior/ Ramathibodi Hospital personnel
Corresponding author; e-mail address: [email protected]

463

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้งั ที่ 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

การพฒั นาสตู รชอ็ ตเครื่องดืม่ จากข้าวหอมมะลแิ ดงเพอ่ื ผ้อู อกกาลงั กายและนักกีฬา
Formulation of a Red Hawm rice-based drink shot for exercisers and athletes

บณั ฑติ า วานกิ ร1 สรุ ตั น์ โคมนิ ทร2์ พรพล พิมพาพร3 ไพฑรู ย์ วงศอ์ นกุ าร3 ราตรี เรืองไทย3 นริ อมลี มะกาเจ3
ศิวะ ลียวฒั นานพุ งศ3์ นนั ทวนั เทียนแกว้ 3 พรชยั ตรสั ใจธรรม4 ณรงคศ์ กั ด์ิ ม่นั คง5
ศกั ดิส์ ยาม แสวงไวศยสขุ 6 ณฐั พงษ์ ชยั พฒั นป์ รีชา6 และ สุรัสวดี สมนึก3

Bandhita Wanikorn 1 Surat Komindr2 Phornphon Phimphaphorn3 Paitoon Wong-Anukarn3 Ratree Ruangthai3
Niromlee Makaje3 Siwa Leeyawattananupong3 Nanthawan Thienkaew3 Pornchai Trusjaithum4

Narongsuk Munkong5 Saksayam Sawaengwaisayasuk6 Nattapong Chaipatpreecha6 and Surasawadee

บทคดั ยอ่
เคร่ืองดื่มสาหรับนักกีฬา ออกแบบมาสาหรับนักกีฬาหรือบุคคลท่ัวไปท่ีต้องการเติมนา้ เพ่ือชดเชย
ของเหลวในร่างกาย และทดแทนสารอาหารท่ีสูญเสียไประหว่างการออกกาลงั กาย มกั จะมีคารโ์ บไฮเดรตเป็น
สว่ นประกอบหลกั และอาจประกอบดว้ ยสารอาหารอ่นื แต่เครอื่ งด่มื ท่ที ามาจากพืชยงั ไมเ่ ป็นท่ีแพรห่ ลาย งานวิจยั
นีจ้ ึงมีวัตถุประสงคเ์ พ่ือพัฒนาสูตรเคร่ืองด่ืมสาหรบั ผูอ้ อกกาลงั กายและนกั กีฬา โดยใชข้ ้าวหอมมะลิแดงเป็น
ส่วนประกอบหลกั เพราะอุดมดว้ ยสารอาหารจากธรรมชาติ คารโ์ บไฮเดรต วิตามิน แร่ธาตุ และสารตา้ นอนุมลู
อิสระ จากผลการประเมินทางประสาทสมั ผสั พบว่าสตู รเครื่องดื่มท่ีผบู้ ริโภคยอมรบั มากท่ีสดุ คือ สตู รท่ีมีปรมิ าณ
ขา้ วหอมมะลิแดงรอ้ ยละ 90 ประกอบดว้ ยคารโ์ บไฮเดรต 32.27 กรมั มีปรมิ าณของแข็งท่ีละลายได้ ค่าความเป็น
กรดด่าง และค่าสี เทา่ กบั 15.4 ± 0.06 °Brix, pH 6.62±0.01 และ L, a, b 48.04 ± 0.57, 10.70 ± 0.26, 14.79 ±
0.01 ตามลาดบั มีฤทธิ์ในการตา้ นอนุมลู อิสระ DPPH IC50 0.16 ± 0.001 มิลลิกรมั ต่อมิลลิลิตร ท่ีมากกว่าเม่ือ
เทียบกบั วิตามินซี ปริมาณจุลินทรีย์ ยีสต์ และรา อย่ใู นเกณฑต์ ามประกาศของกระทรวงสาธารณสขุ ซ่งึ แสดงถึง
ความปลอดภยั ในการบรโิ ภค ดงั นนั้ ช็อตเครื่องด่ืมจากขา้ วหอมมะลิแดงท่ีพฒั นานีแ้ สดงใหเ้ ห็นถึงความเป็นไปได้
ในการนามาใช้เป็นเครื่องดื่มทางเลือกท่ีปราศจากสารสังเคราะห์ นอกจากนี้ ควรศึกษาผลของการเสริมช็อต
เครอ่ื งดืม่ ขา้ วหอมมะลแิ ดงต่อสมรรถภาพรา่ งกายของผอู้ อกกาลงั กายและนกั กีฬาในดา้ นต่างๆเป็นลาดบั ต่อไป

คาสาคญั : เคร่อื งดมื่ สาหรบั นกั กีฬา คารโ์ บไฮเดรต ขา้ วหอมมะลแิ ดง

1 ภาควชิ าเทคโนโลยีชวี ภาพ คณะอตุ สาหกรรมเกษตร มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน กรุงเทพฯ ประเทศไทย 10900
Department of Biotechnology, Faculty of Agro-Industry, Kasetsart University, Bang Khen Campus, Bangkok, Thailand, 10900
2 ภาควชิ าอายรุ ศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลยั มหดิ ล กรุงเทพฯ ประเทศไทย 10400
Department of Medicine, Faculty of Medicine, Ramathibodi Hospital, Mahidol University, Bangkok, Thailand, 10400
3 ภาควชิ าวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี าและสขุ ภาพคณะวิทยาศาสตรก์ ารกีฬามหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน จ. นครปฐม ประเทศไทย 73140
DepartmentofSportsandHealthSciences,Faculty ofSportscience,KasetsartUniversity,KamphaengSaenCampus,NakhonPathom,Thailand,73140
4ภาควิชาการจดั การการกฬี า คณะวิทยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน จ. นครปฐม ประเทศไทย 73140
DepartmentofSportsManagement,Facultyof Sportscience,KasetsartUniversity,KamphaengSaenCampus,NakhonPathom,Thailand,73140
5ภาควชิ าพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลยั พะเยา ตาบลแม่กา อาเภอเมือง จงั หวดั พะเยา 56000
Department of Pathology, School of medicine, University of Phayao, Thailand, 56000
6 ฝ่ายวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า การกีฬาแหง่ ประเทศไทย กรุงเทพฯ ประเทศไทย 10240
Department of sports science, Sports Authority of Thailand, Bangkok, 10240

464

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564

Abstract
Sport drinks are designed for athletes or anyone who wants to replenish their water to
compensate for the fluids in their body and replace the nutrients lost during exercise. It usually contains
carbohydrates as the main ingredient and may contain other nutrients. However, plant-based drinks are
not widely available. The objective of this research is to develop a plant-based formulation for exercisers
and athletes. Red Hawm rice is the main ingredient because it is rich in natural nutrients, carbohydrates,
vitamins, minerals, and antioxidants. Analyses revealed that the formulation containing 90% Red Hawm
rice had the highest score for overall consumer acceptability. The carbohydrate content of the
formulation was equal to 32.27 gram. Total soluble solid, pH, color of the product was 15.4 ± 0.06° Brix,
pH 6.62 ± 0.01 and L, a, b 48.04 ± 0.57, 10.70 ± 0.26, and 14.79 ± 0.01, respectively. The product had
a higher antioxidant capacity on DDPH (IC50 0.16 ± 0.001 mg/ml) compared to vitamin C. The amounts
of bacteria, yeast and mold in the product were within the recommended safety guidelines for
consumption from the Ministry of Public Health. Therefore, this developed Red Hawm rice shot drink
provides the possibility of being used as an alternative beverage without synthetic additives. In addition,
the effect of Red Hawm rice drink shot supplementation on physical performance of exercisers and
athletes in various fields should be further studied.

Keywords: Sport drink, Carbohydrate, Red Hawm Rice
E-mail address: [email protected]

465

การประชมุ วิชาการระดับชาติ ครัง้ ที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

ลักษณะและตำแหน่งของกำรบำดเจบ็ ทำงกำรกีฬำในนักกีฬำว่ำยน้ำคนพิกำรทมี ชำตไิ ทย
The Characteristics and Sites of Sports Injury in Thai National Para-Swimmers

ถวิชัยย์ ขำวถน่ิ 1 พรเทพ ราชนาวี1 และ วรี พล จนั ธิมา
Thawichai Khaothin1, Pornthep Rachnavy1, and Weerapon Chuntima1

บทคัดยอ่
การวิจยั ครงั้ นีม้ ีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือศึกษาลกั ษณะและตาแหน่งการบาดเจ็บทางการกีฬาในนกั กีฬาว่ายนา้
คนพิการทีมชาติไทย บนั ทกึ การบาดเจ็บทางการกีฬาท่ีสนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา (5 ธันวาคม 2550)
จงั หวัดนครราชสีมา ประเทศไทย จงั หวัดนครราชสีมา ประเทศไทย ดว้ ยวิธีทบทวนยอ้ นหลงั นักกีฬาว่ายนา้ คน
พิการท่ีไดร้ ับบาดเจ็บ จานวน 12 ราย เป็นเพศชาย 11 ราย และเพศหญิง 1 ราย อายุเฉล่ีย 36.2±1.32 ปี ผล
การศึกษา พบว่า การวินิจฉัยลกั ษณะท่ีพบบ่อยท่ีสุดของการบาดเจ็บทางการกีฬา คือ เอ็นขอ้ ต่อหรือกลา้ มเนือ้
แพลง ไหล่ หลงั และขอ้ มือเป็นตาแหน่งท่วั ไปท่ีเกิดการบาดเจ็บทางการกีฬา โดยสรุป ลกั ษณะของการบาดเจ็บ
ทางการกีฬาของนกั กีฬาวา่ ยนา้ คนพิการทมี ชาตไิ ทยมอี าการบาดเจ็บทางการกีฬาท่เี อ็นขอ้ ต่อหรอื กลา้ มเนอื้ แพลง
สงู ท่ีสดุ ตาแหน่งการบาดเจ็บทางการกีฬาท่พี บบอ่ ยท่สี ดุ คอื ไหล่ หลงั ขอ้ มอื และขา ตามลาดบั

คำสำคัญ : การบาดเจ็บทางการกีฬา นกั กีฬาว่ายนา้ คนพิการ นกั กีฬาคนพกิ าร

Abstract
The purpose of this study was to examine the characteristics and sites of sports injury in Thai
national para-swimmer. Sports injuries recorded at His Majesty the King’s 80th Birthday Anniversary
Stadium (5th December 2007), Nakhon Ratchasima, Thailand were retrospectively reviewed. There were
12 injured para-swimmer included 11 males and 1 female. The mean age was 36.2±1.32 years old. The
result shows that the most common diagnosis characteristic of sports injury is ligament or tendon sprain.
Shoulders, back, and wrists were the commons site of sports injuries. In conclusion, the characteristic
of sports injuries of Thai national para-swimmer athletes is highest in ligament or tendon sprain. The
most common sites of sports injuries were the shoulders, back, wrists, and legs, respectively.

Keyword : Sports injury, Para-swimmers, Disabled athletes
E-mail address : [email protected]

1 สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า สานกั วิชาวิทยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยสี รุ นารี
Scholl of Sports Science, Institute of Science, Suranaree University of Technology

466

การประชุมวชิ าการระดับชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564

รูปแบบการยิงประตฟู ตุ ซอลในการแข่งขนั The University Futsal Championship 2019
Pattern of Futsal Goal Shooting in The University Futsal Championship 2019

สุวัจน์ ชุณหรตั น์ 1* สปิ ปนนั ท์ หวงั กจิ 1 ณรงคฤ์ ทธิ์ น่มิ มาก 1
Suwat Chunharat 1*, Sippanant Wangkit 1, and Narongrid Nimmark 1

บทคัดยอ่
การศกึ ษานีม้ ีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือศึกษารูปแบบการยิงประตใู นการแข่งขนั ฟุตซอลรายการ The University
Futsal Championship 2019 เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู โดยการดไู ฟลว์ ีดีโอบนั ทกึ การแข่งขนั วิเคราะหร์ ูปแบบและปัจจยั
ของการยิงประตจู านวน 16 ทีม 120 แมตช์ และนาขอ้ มลู ท่ไี ดม้ าวเิ คราะหท์ างสถิติแสดงเป็นค่าความถี่และรอ้ ยละ
ผลการวิจยั พบว่า รูปแบบการยิงประตทู ่ใี ชใ้ นการแข่งขนั มากท่ีสดุ คือ การยิงประตรู ะยะไกล (42.57%)
เทคนคิ ท่ีใชใ้ นการยงิ ประตแู ลว้ เป็นประตมู ากท่สี ดุ คอื การยงิ ดว้ ยขา้ งเทา้ ดา้ นใน (58.04%) จงั หวะการสมั ผสั บอล
ก่อนการยิงประตทู ่ียิงแลว้ เป็นประตมู ากท่ีสดุ คือ การสมั ผสั บอลเพียงจงั หวะเดียว (64.11%) พืน้ ท่ีการยิงประตทู ่ี
ยิงแลว้ เป็นประตมู ากท่สี ดุ คือ พืน้ ท่ใี นกรอบเขตโทษ (50.71%) ช่วงเวลาท่ที ่มี ีการยิงประตแู ลว้ เป็นประตมู ากท่ีสดุ
คือ ชว่ งเวลา 5 นาทสี ดุ ทา้ ยในการแข่งขนั ครง่ึ หลงั (56.96%) สนามแข่งขนั ท่มี ีการยิงประตแู ลว้ เป็นประตมู ากท่ีสดุ
คือ สนามท่ี 15 (9.11%) ผลการศกึ ษานสี้ ามารถนาไปพฒั นาความสามารถในการเล่นเกมรุกของนกั กีฬาตอ่ ไปได้

คาสาคญั : รูปแบบ การยงิ ประตู ฟตุ ซอล

Abstract
The purpose of this research was to analyze the patterns of futsal goal shooting in The University
Futsal Championship 2019. Data collected by video from competition of 16 teams and 120 match
competitions. Analyzed data were statistically analyzed by frequency and percentages.
The results were as follows: The most goal shooting pattern was long shooting (42.57%). The
techniques in the most successful shooting was shooting inside foot (58.04%). The most successful
shooting in touch the ball was one touch shots (64.11%). The area used in shooting for the most
successful shooting was zone 2 which in the penalty area (50.71%). Time duration of the most successful
shooting was the last 5 minutes of the second half match (56.96%). The pitch for the most successful
shooting was 15th stadium (9.11%). The results of this study can be used to further improve the offensive
skills of futsal players.

Keyword : pattern, goal shooting, futsal
*Corresponding author; E-mail address: [email protected]

1 คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกีฬาและสขุ ภาพ มหาวิทยาลยั การกฬี าแห่งชาติ วิทยาเขตชลบรุ ี จ.ชลบรุ ี 20000
Faculty of Sports and Health Science, Thailand National Sports University, Chon Buri Campus, Chon Buri 20000, Thailand

467

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ ครั้งที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

ปัจจยั ด้านสง่ิ อานวยความสะดวกทางการกฬี าทส่ี ่งผลตอ่ พฤตกิ รรมการออกกาลังกายของ
นักศกึ ษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตยะลา ในสถานการณโ์ รคไวรัสโคโรนา 2019

Sports Facility Factors Affecting Exercise Behavior of Students of the National Sports
University, Yala Campus During the Situation of Corona Virus 2019

พรรษมนต์ พิบลู ยพ์ ล1 สายรุง้ จวู งษ2์ กฤษดา แกว้ ยก2 และ กฤษฎ์ ศรีรุง่ เรอื งชยั 3
Phatsamon Phiboonphon1, Sairung Juwaong2, Kridsada Keawyok3 and Krit Srirungrangchai3

บทคัดย่อ
การวิจยั นีม้ ีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือศกึ ษาปัจจยั ดา้ นส่ิงอานวยความสะดวกทางการกีฬาท่ีสง่ ผลต่อพฤติกรรม
การออกกาลังกาย ในช่วงสถานการณโ์ รคไวรสั โคโรนา 2019 โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาท่ีออกกาลงั กาย
ภายในมหาวิทยาลยั การกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตยะลา จานวน 400 คน ทาการสารวจโดยใชแ้ บบสอบถาม โดย
แบ่งเป็น 3 ปัจจยั ท่ีสง่ ผลต่อพฤติกรรมการออกกาลงั กาย คือ ปัจจยั ดา้ นกายภาพ, ปัจจยั ดา้ นผลติ ภณั ฑห์ ลกั และ
ปัจจัยด้านบุคคลผู้ให้บริการ นาข้อมูลไปหาค่าเฉล่ีย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน วิเคราะหถ์ ดถอยพหุคูณ
(Multiple Regression Analysis) เทคนิค Stepwise โดยกาหนดระดบั นัยสาคัญท่ี .05 ผลการวิจัยพบว่า ปัจจยั
ด้า น ก า ย ภ า พ แ ล ะ ปั จ จัย ด้า น บุค ค ล ผู้ใ ห้บ ริก า ร มี ก า ร ท า น า ย พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร อ อ ก ก า ลัง ก า ย ข อ ง นัก ศึ ก ษ า
มหาวิทยาลยั การกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตยะลา อย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดับ 0.05 ซ่ึงตวั แปรดา้ นกายภาพ
และปัจจัยด้านบุคคลผู้ให้บริการ สามารถอธิบายการผันแปรพฤติกรรมการออกกาลังกายขอ งนักศึกษา
มหาวิทยาลยั การกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตยะลา ไดร้ อ้ ยละ 30.1% (R Square = 0.301) ดงั นนั้ สรุปไดว้ า่ ปัจจยั ดา้ น
กายภาพและปัจจยั ดา้ นบุคคลผใู้ หบ้ ริการ มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการออกกาลงั กายของนกั ศึกษามหาวิทยาลยั
การกีฬาแหง่ ชาติ วทิ ยาเขตยะลา

คาสาคญั : พฤติกรรมการออกกาลงั กาย, ส่ิงอานวยความสะดวกทางการกฬี า, ปัจจยั ดา้ นกายภาพ, ปัจจยั ดา้ นบคุ คลผใู้ หบ้ ริการ

1,2สาขาการบรหิ ารจดั การกีฬา คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวิทยาลยั การกฬี าแห่งชาติ วิทยาเขตยะลา จงั หวดั ยะลา
Sports Management, Faculty of Liberal Arts, Thailand National Sports University, Yala Campus, Yala Province.
2 คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี าและสขุ ภาพ มหาวทิ ยาลยั การกฬี าแห่งชาติ วทิ ยาเขตยะลา จงั หวดั ยะลา
Sport and Health Science, Faculty of Sport and Health Science, Thailand National Sport University, Yala Campus
3 คณะวิทยาศาสตรก์ ารกีฬาและสขุ ภาพ มหาวิทยาลยั การกีฬาแหง่ ชาติ วิทยาเขตยะลา จงั หวดั ตรงั
Sport and Health Science, Faculty of Sport and Health Science, Thailand National Sport University, Trang Campus

468

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ ครั้งท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564
Abstract

The purposes of this research were to study Factors in sports facilities affecting exercise
behavior during the situation of corona virus. The example 400 people. 400 student form Thailand
national sports University, Yala Campus. This study uses three factors of questionnaire to investigate
the physical factors affecting physical factor, Main product factors and personal factors. Data were
analyzed using mean, standard deviation, Multiple Regression Analysis(stepwise). All tests used the
0.05 level of significance. The result showed Physical and personal factors, service providers There was
a statistically significant prediction of exercise behavior among students of National Sports University,
Yala Campus were significantly higher (P<0.05).

Keyword: Exercise behavior, Sports facilities, Physical facilities, Personality factors
*Corresponding author; e-mail address : [email protected]

469

การประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

ลายพมิ พ์ DNA และการดอื้ ตอ่ ยาปฏชิ ีวนะของ Escherichia coli และ Enterobacter spp. ทแี่ ยก
จากอาหารทะเลในจังหวดั นครปฐม

DNA Fingerprint and Antibiotic Resistance Patterns of Escherichia coli as well as Enterobacter
spp. Isolated from Seafood in Nakhon Pathom Province

พงศร์ ะวี นิ่มน้อย1*, นีลวรรณ พงศศ์ ลิ ป์ 2, ชญั ญานชุ โทนมี1 และ อรญั ญา ช่ืนประโคน1
Pongrawee Nimnoi1*, Neelawan Pongsilp2, Chanyanuch Tonmee1 and Aranya Chuenprakhon1

บทคัดยอ่

งานวิจัยนีม้ ีจุดประสงคเ์ พ่ือประเมินรูปแบบการดือ้ ยาปฏิชีวนะและตรวจสอบหายีน beta-lactamase
โดยเก็บตวั อย่างอาหารทะเลจากตลาดนดั ในอาเภอกาแพงแสน จานวน 2 แหลง่ และอาเภอเมืองนครปฐมจานวน
1 แหล่ง จากการจาแนกลายพิมพ์ DNA ดว้ ยเทคนิค ERIC-PCR และ RAPD พบเชือ้ E. coli จานวน 2 สายพนั ธุ์
และพบ Enterobacter spp. จานวน 16 สายพนั ธุ์ เชือ้ สว่ นใหญ่ดอื้ ยา Ampicillin รอ้ ยละ 33.33 Amikacin รอ้ ยละ
16.66 Cefepime รอ้ ยละ 11.11 Gentamicin รอ้ ยละ 5.55 และ Chloramphenicol รอ้ ยละ 5.55 โดยไม่พบเชือ้ ดอื้
ยา Cefoxitin, Certriaxone และ Ciprofloxacin นอกจากนี้ยังตรวจพบยีน beta-lactamase ได้แก่ ampC,
blaTEM และ shv รอ้ ยละ 66.66, 44.44 และ 38.88 ตามลาดบั โดยไมพ่ บยนี blaZ ในเชือ้ ทดสอบ

คาสาคัญ: ลายพิมพ์ DNA อาหารทะเล การดอื้ ยาปฏชิ ีวนะ

Abstract

The objectives of the study were to evaluate the antibiotic resistance patterns and to examine
the presence of beta-lactamase genes. Two and one seafood sample sites were collected from local
market in Kamphaeng Saen and Mueng Nakhon Pathom District, respectively. In the study, 2 strains of
E. coli and 16 strains of Enterobacter spp. were characterized, based on their DNA fingerprint from
ERIC-PCR and RAPD techniques. Most strains were resistant to Ampicillin 33.33%, Amikacin 16.66%,
Cefepime 11.11%, Gentamicin 5.55% and Chloramphenicol 5.55% whereas none were resistant to
Cefoxitin, Certriaxone and Ciprofloxacin. Three beta-lactamase genes including ampC, blaTEM and shv
were detected at the frequencies of 66.66%, 44.44% and 38.88% respectively, whereas blaZ was
undetectable among all strains tested.

Keyword: DNA fingerprint, seafood, antibiotic resistance
*Corresponding author; e-mail address: [email protected], [email protected]

1 โครงการจดั ตงั้ ภาควชิ าจลุ ชีววิทยา คณะศิลปศาสตรแ์ ละวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน 73140
Microbiology department, Faculty of Liberal Arts and Science, Kasetsart University, Kamphaeng Saen Campus, 73140
2 ภาควิชาจลุ ชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร วิทยาเขตพระราชวงั สนามจนั ทร์ 73000
Microbiology department, Faculty of Science, Silpkorn University, Sanamchandra Palace Campus, 73000

470

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

แบบจาลองทางสถติ ทิ แี่ สดงถงึ ปัจจยั ทมี่ ผี ลต่อราคาส่งออกขา้ วหอมมะลไิ ทย 100%
Statistical Model Which Show the Related Factors Affecting Export Prices of
Thai Hom Mali Rice 100%

สทิ ธพิ งศ์ รักตะเมธากูล1* พรพศิ ยมิ้ ประยรู 1 พชรพล ราชสภา2 ฮามีดา นอ้ ยทบั ทมิ 2 และ ดนพุ ฒั น์ ชยั ณรงค2์
Sittipong Ruktamatakul1* Pornpis Yimprayoon1 Patcharapol Rachasapa2 Hameeda Noitabtim2
and Danupat Chainarong2

บทคัดยอ่

วตั ถปุ ระสงคข์ องงานวิจยั นี้ คือ เพ่ือหาว่าปัจจยั ใดบา้ งท่ีมีผลต่อราคาส่งออกขา้ วหอมมะลิ 100% ไปยงั
ต่างประเทศ โดยตวั แปรอิสระท่ีใชใ้ นการวิจยั มี 8 ตวั แปร คือ อตั ราแลกเปล่ียนเงินตราเฉล่ีย ราคาขา้ วเปลอื กเจา้
รายเดือนท่ีเกษตรกรขายไดท้ ่ีไรน่ า ดชั นีพอ้ งเศรษฐกิจ ดชั นีค่าครองชีพ ราคานา้ มนั ดิบนาเขา้ ราคาขายขา้ วเฉล่ีย
ของโลก ดชั นีอตั ราเงินเฟ้อ และดชั นีผลผลิตเกษตรกรรม ซ่ึงใชข้ อ้ มลู ยอ้ นหลงั ตงั้ แต่วนั ท่ี 1 มกราคม 2558 – 30
ธันวาคม 2561 เป็นระยะเวลา 48 เดือน ซ่ึงนามาสรา้ งสมการตัวแบบคาดการณก์ ารส่งออกขา้ วหา้ มมะลิไทย
100% ไปยงั ต่างประเทศ ( ̂ ) การวิเคราะหก์ ารถดถอยพหุคณู ไดถ้ กู นามาประยกุ ต์ใชก้ ับขอ้ มลู นี้ เพ่ือหาตวั แบบ
เชิงสถิติท่ีดีท่ีสดุ โดยทดสอบสมมติฐาน ผลวจิ ยั พบวา่ ตวั แบบท่ีเหมาะสมมากท่ีสดุ คือ ตวั แบบเชิงสถิติ
จากตวั แบบ ̂ ข า้=งต−น้ 4พ1บ.9ว9่า4ต3ัวแ+ป0รอ.6ิส7ร4ะท9่ีส ่ง1ผ ล+ต0่อร.0า0ค2าส1่ง อ2อ ก−ขา้0ว.5ห0อ7ม2ม ะ ล3 ิ 1+001%.0ม9ีจ8า น4ว น−50ต.2ัว2แป43ร ไ ด8แ้ ก่
อัตราแลกเปล่ียนเงินตราเฉล่ีย ( 1 ) ราคาขา้ วเปลือกเจา้ รายเดือนท่ีเกษตรกรขายไดท้ ่ีไร่นา ( 2 ) ดัชนีพอ้ ง
เศรษฐกิจ ( 3 ) ดชั นีคา่ ครองชีพ ( 4 ) และดชั นีผลผลิตเกษตรกรรม ( 8 )

คาสาคญั : ราคาสง่ ออกขา้ วหอมมะลิ 100% การวเิ คราะหก์ ารถดถอยพหคุ ณู การกาจดั ตวั แปรแบบถอยหลงั ตวั แบบเชิงสถิติ

1 ภาควิชาคณิตศาสตร์ สถิติ และคอมพิวเตอร์ คณะศลิ ปศาสตรแ์ ละวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน นครปฐม
73140
Department of Mathematics Statistics and Computer, Faculty of Liberal Arts and Science, Kasetsart University, Kamphaeng
Saen Campus, Nakhonpathom 73140
2 โครงการสนบั สนนุ การจดั ตงั้ หอ้ งเรยี นวทิ ยาศาสตรใ์ นโรงเรยี น โดยการกากบั ดแู ลของมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน
นครปฐม 73140
Science Classrooms in University-Affiliated School Project, Kasetsart University, Kamphaeng Saen Campus, Nakhonpathom
73140

471

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

Abstract

The purpose of this research is to find the factors that affect the exporting prices of Thai Hom
Mali rice 100%. Factors in this research have eight factors that are average exchange rate of commercial
banks, monthly prices of paddy rice that farmers can sell at the farm, coincident index, cost of living
index, imported crude oil prices, the world average selling prices of rice, inflation index, and total
agricultural production index. The data sets were the number of 48 months from January 1, 2015 to
December 31, 2018. The equation model predicts Thai Hom Mali rice 100% export prices to overseas.
The multiple regression analysis was applied in this research for predicting the export price of Thai Hom
Mali 100% to foreign ( ̂ ). The result for these data sets shows that the most suitable model at 0.05
statistical significance is the statistical model

̂ = −41.9943 + 0.6749 1 + 0.0021 2 − 0.5072 3 + 1.098 4 − 0.2243 8 .
From the model above, the affected factors are average exchange rate of commercial banks ( 1 ),
monthly prices of paddy rice that farmers can sell at the farm ( 2 ), coincident index ( 3 ), cost of living
index ( 4 ), and total agricultural production index ( 8 ).

Keywords: exporting prices of Thai Hom Mali rice 100%, multiple regression analysis, backward deletion, statistical model
* Corresponding author; e-mail address: [email protected]

472

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ ครงั้ ที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

ผลการเติมเซลลูโลสผงและรีซสิ แทนตส์ ตารช์ ต่อคุณภาพของปาทอ่ งโก๋
Effect of the Addition of Cellulose Powder and Resistance Starch on

Qualities of Chinese Dough Product (Patongco)

ชญั ญาวรี ์ สกุ ปล่งั , นฤมล มาลยั รกั ษ์, วนาลี โทนพทิ กั ษ์ และ อาภสั รา แสงนาค1
Chanyawee Sukplung, Naruemol Malairak, Wanalee Tonpitug and Arpathsara Sangnark

บทคดั ย่อ

ศึกษาผลของการเติมผงเซลลูโลสผง (Cellulose powder, CL) หรือรีซิสแทนตส์ ตารช์ (Resistance
starch, RS) (0 10 15 และ 20 กรมั ต่อแป้ง 100 กรมั ) ต่อคณุ ภาพของปลาท่องโก๋ เม่ือเติม RS รอ้ ยละ 20 พบว่า
ปลาท่องโก๋มีความสว่าง (L*) เพ่ิมขึน้ ในขณะท่ีรอ้ ยละการดูดซับนา้ มัน (Oil uptake relative variation) ลดลง
33.6 เม่ือเปรียบเทียบกบั ตวั อย่างควบคมุ นอกจากนีป้ าท่องโก๋ท่ีเติม RS รอ้ ยละ 20 มีคา่ ความแน่นเนือ้ ลดลงรอ้ ย
ละ 51.0 และค่าความยืดหยุ่นเพ่ิมขึน้ รอ้ ยละ 25.4 เม่ือเทียบกับตัวอย่างควบคุม (p<0.05) การยอมรับของ
ผบู้ รโิ ภคตอ่ ปาทอ่ งโกท๋ ่ีเตมิ RS รอ้ ยละ 20 ไมแ่ ตกตา่ งจากตวั อย่างควบคมุ

คาสาคัญ: เซลลโู ลสผง รซี สิ แทนตส์ ตารช์ ปาทอ่ งโก๋ การดดู ซบั นา้ มนั

Abstract

The effect of addition cellulose powder (CL) or resistance starch (RS) (are 0 10 15 and 20 grams
per 100 grams of flour) on the qualities of Patongco was investigated. At adding 20%RS, the brightness
(L*) of Patongco was increased while the percentage of oil absorption was reduced, oil uptake relative
variation was reduced to 33.6% when compared to the control. In addition, the firmness was decrease
51.0% and springiness was increase 25.4% when compared to controlled (p<0.05) The consumers's
acceptance of 20%RS was not different from the control.

Keywords: Cellulose powder, Resistance Starch, Patongco, Chinese Dough Product, Oil uptake
*Corresponding author; email address: [email protected]

1 สาขาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยกี ารอาหาร คณะเทคโนโลยคี หกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลกรุงเทพ กรุงเทพฯ 10120
Food Science and Technology Division, Faculty of Home Economics Technology, Rajamangala University of Technology
Krungthep, Bangkok 10120

473

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

แบคเทอริโอเฟจของ Klebsiella pneumoniae ทพี่ บในแหล่งนา้ ตา่ ง ๆ ในกรุงเทพมหานคร
Klebsiella pneumoniae bacteriophages from water sources in Bangkok

อคั รพล ศรชี ยั ศุภกจิ *1
Akkaraphol Srichaisupakit*1

บทคัดยอ่

Klebsiella pneumoniae เป็นเชื้อสาเหตุของโรคติดเชื้อโรงพยาบาลท่ีมีการดือ้ ยาหลายขนาน ใน
การศึกษาก่อนหนา้ นีพ้ บ K. pneumoniae ท่ีดือ้ ยาปฏิชีวนะหลายขนานปนเปื้อนในอาหาร เน่ืองจากตวั เลือกใน
การรกั ษาและกาจดั เชือ้ นีม้ อี ย่างจากดั ดงั นนั้ การหาสารเพ่อื ยบั ยงั้ การเจรญิ เติบโต การรกั ษาทางเลือก รวมถึงการ
พฒั นาการตรวจเชือ้ มีความจาเป็นจะตอ้ งทาอย่างเรง่ ด่วน งานวิจยั นีไ้ ดค้ ดั แยกแบคเทอรโิ อเฟจท่ีจาเพาะและฆา่
เชือ้ K. pneumoniae ปรากฏเป็นพลัคเป็นลักษณะใสและขุ่น เม่ือวิเคราะห์โดยเทคนิค Random Amplified
Polymorphic DNA (RAPD) และ Sodium Dodecyl Sulfate-Polyacrylamide Gel Electrophoresis (SDS-
PAGE) พบว่าแบคเทอริโอเฟจท่ีคดั แยกไดจ้ ากหลายแหล่งนา้ ในกรุงเทพมหานครมีรูปแบบสารพนั ธุกรรมและ
โปรตีนท่ีคลา้ ยกนั การวิจยั นีเ้ ป็นการศกึ ษาวิเคราะหย์ ีน large subunit ของเอนไซม์ terminase ซ่งึ เป็นยีนอนรุ กั ษ์
ซ่ึงอาจใช้ในการตรวจติดตามแบคเทอริโอเฟจและการปนเปื้อนของเชือ้ K. pneumoniae ในนา้ ซ่ึงอาจเป็น
ช่องทางในการประยกุ ตใ์ ชป้ ระโยชนจ์ ากยีนเคร่อื งหมายในการตรวจหาเชือ้ กอ่ โรคได้

คาสาคญั : Klebsiella pneumoniae แบคเทอรโิ อเฟจ นา้ เสยี ยนี เครอ่ื งหมาย

Abstract

Klebsiella pneumoniae is one of the major pathogens causing hospital-acquired infection and
it is recognized as multidrug-resistant. Recent studies showed that drug-resistant K. pneumoniae can
be spread through food. Options among current antimicrobials for the treatment of its infection are
limited. Therefore, new antimicrobial substances, alternative treatments, and rapid detection of this
pathogen are urgently required. In this study, bacteriophages specific to kill K. pneumoniae were
isolated. Bacterial clearing resulted in clear plaque and turbid plaque morphology. Isolated phages from
different sources mostly had a repetitive pattern when analyzed using Random Amplified Polymorphic
DNA (RAPD) and Sodium Dodecyl Sulfate-Polyacrylamide Gel Electrophoresis (SDS-PAGE). A large
subunit terminase gene from bacteriophage isolates was studied. It is a conserved gene that might
represent the presence of bacteriophage and respective K. pneumoniae contamination in water. This
may provide an opportunity for application as useful as a DNA marker for pathogen detection.

Keyword : Klebsiella pneumoniae, Bacteriophage, Wastewater, Marker gene
*Corresponding author; E-mail address: [email protected]

1 ภาควิชาจลุ ชีววทิ ยา คณะวทิ ยาศาสตร์
Department of Microbiology, Faculty of Science

474

การประชุมวชิ าการระดับชาติ ครั้งที่ 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564

Abstract

Burkholderia pseudomallei is an etiological agent of melioidosis. Biofilm formation is correlated
with chronic infections, antibiotic resistance and protect bacteria from host immune defense. The aim of
this study was to investigate the responsibility of B. pseudomallei biofilm phenotype against amoeba
grazing during co-cultivation with Acanthamoeba sp. that isolated from B. pseudomallei soil positive
area. B. pseudomallei H777 were co-cultured with Acanthamoeba sp. at a ratio of 100:1 in Page’s
modified-Neff’s amoeba saline (PAS) medium, incubated at 30°C for 3 h. Viability of internalized bacteria
was determined using a drop plate technique. Moreover, B. pseudomallei biofilms were cocultured with
~103 amoeba cells/ml for another 24 h. The biofilm formation was monitored using confocal laser
scanning microscopy (CLSM). The amoeba numbers were counted. The results revealed the survival of
internalized B. pseudomallei were significantly (p < 0.001) decrease from 3.61 ± 0.24 Log10CFU/ml at 0
h to 2.10 ± 0.09 Log10CFU/ml at 3 h. Furthermore, biofilm biomass of B. pseudomallei (1.39 ± 0.03
µm3/µm2) was significantly (p < 0.001) reduced compared to the untreated control (1.05 ± 0.04
µm3/µm2). In addition, amoeba cells were increased to 1.95 ± 0.14 x103 cells/ml. These data suggest
the ability of Acanthamoeba sp. to graze B. pseudomallei biofilm phenotypes as food sources and
facilitate amoeba multiplication.

Keywords: Acanthamoeba sp., Biofilm phenotype, Burkholderia pseudomallei
*Corresponding author; e-mail address: [email protected]

475

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ ครั้งที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

พษิ เฉียบพลนั ของไกลโฟเซตต่อลูกปลายส่ี กเทศ (Labeo rohita)
Acute Toxicity of Glyphosate on Rohu Larvae (Labeo rohita)

ทศั นีย์ นลวชัย1* และ ตรวี ิทย์ เอ่ยี มโอฐ1
Thasanee Nonwachai1* and Treewit Iamoad1

บทคัดย่อ

การศึกษาพิษเฉียบพลนั ของไกลโฟเซตต่อลกู ปลาย่ีสกเทศ (Labeo rohita) ภายในระยะเวลา 24 ช่วั โมง
(24-hr LC50) โดยใชว้ ิธีชีววิเคราะหแ์ บบนา้ น่ิง (static bioassay) กาหนดความเขม้ ขน้ ของไกลโฟเซตออกเป็น 11
ระดับ ไดแ้ ก่ 0 (control), 50, 100, 150, 200, 250, 300, 350, 400, 450 และ 500 ppm ทาการทดลองในโหล
ขนาด 2.5 ลติ รท่ีบรรจนุ า้ 2 ลิตร ใสป่ ลาโหลละ 10 ตวั ทาการทดลองความเขม้ ขน้ ละ 3 ซา้ สงั เกตพฤตกิ รรม และ
บนั ทกึ อตั ราการตายของลกู ปลาย่ีสกเทศ ผลการทดลองพบว่า ระดบั ความเขม้ ขน้ สงู สดุ ของไกลโฟเซตท่ีทาใหล้ กู
ปลาย่ีสกเทศรอดตาย 100 เปอรเ์ ซน็ ต์ มคี า่ เทา่ กบั 50 ppm ระดบั ความเขม้ ขน้ ต่าสดุ ของไกลโฟเซตท่ีทาใหล้ กู ปลา
ย่ีสกเทศตาย 100 เปอรเ์ ซ็นต์ มีค่าเท่ากบั 250 ppm และมีค่า 24-hr LC50 เท่ากบั 157.80 (134.80-186.56) ppm
ผลจากการศึกษาครงั้ นีแ้ สดงใหเ้ ห็นว่าการปนเปื้อนของไกลโฟเซตปริมาณนอ้ ยในแหล่งนา้ ส่งผลกระทบต่อการ
ตายของลกู ปลาย่ีสกเทศ

คาสาคญั : ไกลโฟเซต, พิษเฉียบพลนั , LC50, ปลาย่สี กเทศ, Labeo rohita

Abstract

The acute toxicity of paraquat and glyphosate on rohu larvae (Labeo rohita) was investigated
within 24 hours ( 24-hr LC50) by using static bioassays. Concentrations of glyphosate were used to
determine in 11 levels consist of 0 (control), 50, 100, 150, 200, 250, 300, 350, 400, 450 and 500 ppm.
The experiment was carried out by using 2.5 liters glass jar which contained 2 liters of water 10 fish
were added in each glass jar 3 repetitions were used in experiment. Behavior and mortality rate of rohu
larvae were observe. The results indicated that the highest concentration of glyphosate needed to
survive 100 percent rohu larvae was 50 ppm, the lowest concentration of paraquat needed to kill 100
percent of rohu larvae was 250 ppm and the 24-hr LC50 was 157.80 (134.80-186.56) ppm. The results
of this study indicated that very low contamination of glyphosate in aquatic ecosystems can effect on
rohu larvae in terms of survival.

Keywords: glyphosate, Acute Toxicity, LC50, Rohu, Labeo rohita
*Corresponding author; email address: [email protected]

____________________________

1คณะเทคโนโลยีการเกษตรและอตุ สาหกรรมเกษตร มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสวุ รรณภมู ิ 60 หมู่ ถ.สายเอเซีย ต.หนั ตรา
อ.พระนครศรอี ยธุ ยา จ.พระนครศรอี ยธุ ยา 13000
1Faculty of Agricultural Technology and Agro-Industry Rajamangala University of Technology Suvarnabhumi 60 Moo 3 Asian
Highway, Phranakhon Si Ayutthaya 13000

476

การประชมุ วิชาการระดับชาติ คร้ังที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

การตรวจหาจุลินทรียท์ สี่ ามารถผลติ สารตา้ นจลุ ชพี จากสถานีรถไฟนครปฐม
Screening of Antimicrobial-producing Bacteria from Nakhon Pathom Railway Station

ปิ ยาภรณ์ จริ วัชรเดช1* ปฐมพงศ์ ม่งุ สขุ ใจ1 จิรภทั ร กระตา่ ยทอง1 พรกนก สวุ รรณเกิด1 และ สภุ าวดี แกว้ คง1
Piyaporn Jirawatcharadech1*, Patompong Mungsukjai1, Jirapat Krataithong1, Pornkanok Suwankerd1

and Supawadee Kaewkong1

บทคดั ยอ่

การระบาดของเชือ้ ดือ้ ยาเป็นหน่ึงในสาเหตหุ ลกั ของการเสยี ชีวิตของผคู้ นในแต่ละปีกวา่ 700,000 คนท่วั
โลก ในขณะเดียวกนั จานวนสารตา้ นจลุ ชีพชนิดใหม่ท่ีไดร้ บั การยอมรบั จากองคก์ ารอาหารและยากลบั ไม่เพียงพอ
เม่ือเทียบกบั การเพิ่มขนึ้ ของจานวนเชือ้ ดือ้ ยา ดงั นนั้ การคน้ หาและพฒั นายาชนิดใหมจ่ งึ มีความจาเป็น โดยเฉพาะ
ยาท่ีมีกลไกการออกฤทธิ์แบบใหม่ งานวิจัยนีม้ ุ่งเนน้ การตรวจหาแบคทีเรียผลิตสารตา้ นจุลชีพจากสถานีรถไฟ
นครปฐม จากการเก็บตวั อย่าง 4 ครงั้ ทกุ วนั เสารร์ ะหวา่ งวนั ท่ี 26 กนั ยายน - 17 ตลุ าคม พ.ศ. 2563 สามารถแยก
เชือ้ แบคทีเรียตามลกั ษณะสณั ฐานวิทยาของโคโลนีไดท้ งั้ หมด 328 ไอโซเลท โดยพบ 21 ไอโซเลทเป็นแบคทีเรีย
ผลิตสารตา้ นจลุ ชีพ ทงั้ นีไ้ อโซเลทท่ีมีประสิทธิภาพดที ่ีสดุ คือ A.3.2 ซ่งึ สามารถยบั ยงั้ แบคทีเรียท่ีใชท้ ดสอบไดถ้ ึง 3
ชนิด (Escherichia coli, Staphylococcus aureus และ Pseudomonas aeruginosa) ผลการศกึ ษาพบวา่ รอ้ ยละ
15.6 ของจานวนไอโซเลทท่ีแยกไดจ้ ากชานชาลาบริเวณพระบรมฉายาลกั ษณเ์ ป็นแบคทีเรียผลิตสารตา้ นจลุ ชีพ
ในขณะท่ีโอกาสพบแบคทีเรียท่ีสามารถผลิตสารตา้ นจุลชีพนอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 3.0 ในแบคทีเรียท่ีแยกไดจ้ ากประตู
หอ้ งนา้ และช่องจาหน่ายต๋วั ผลการศึกษานีช้ ีใ้ หเ้ ห็นว่าพืน้ ท่ีของระบบขนส่งสาธารณะอาจเป็นแหล่งในการพบ
แบคทีเรยี ผลิตสารตา้ นจลุ ชีพ ซง่ึ สามารถนาไปประโยชนใ์ นการพฒั นาสารตา้ นจลุ ชีพชนิดใหม่ได้

คาสาคญั การดือ้ ยาปฏิชีวนะ แบคทีเรยี ผลิตสารตา้ นทานจลุ ชีพ สถานีรถไฟ

1 ภาควิชาจลุ ชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศิลปากร วิทยาเขพระราชวงั สนาจนั ทร์ จ.นครปฐม 73000
Department of Microbiology, Faculty of Science, Silpakorn University, Sanam Chandra Palace Campus, Nakhon Pathom 73000

477

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

Abstract

The rapid emergence of resistant bacteria (AR) becomes one of the major causes of death (at
least 700,000 deaths each year). Over the same time period, the number of new FDA-approved
antimicrobials does not fulfil a dramatic rise in the number of drug-resistant microbes. It is evident that
we need the discovery of new antimicrobials with a novel mechanism of action. In this study, we focus
on the screening of antimicrobial-producing bacteria from Nakhon Pathom railway station. Samples were
collected 4 times on every Saturday from the areas in the railway station during 26 September – 17
October 2020. Based on bacterial colony morphology features, approximately 328 bacterial isolates
were characterized. 21 bacteria isolates were identified as antimicrobial producers. The best candidate
was A.3.2 that showed antimicrobial activity against 3 tested stains (Escherichia coli, Staphylococcus
aureus and Pseudomonas aeruginosa). The results indicated that 15.6 percentage of samples collected
from the platform located near the royal portrait were antimicrobial producers, while the possibility to
found antimicrobial bacteria was less than 3.0 percentage in samples collected from restroom doors
and the ticket office. The results from this study showed that the public transportation areas could be
sources of antimicrobial producers which can be utilized for the development of novel antimicrobials.

Keyword: Antibiotic resistance, Antimicrobial-producing bacteria, Railway station
E-mail address: [email protected]

478

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ คร้งั ที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

เครื่องถ่ายภาพเรืองแสงอยา่ งงา่ ยสาหรับวเิ คราะหห์ าลายนิว้ มอื แฝงบนกระดาษ
A SIMPLE FLUORESCENCE MICROSCOPE TO VIEW LATENT FINGERPRINTS ON PAPER

สวิ ารัตน์ รื่นจติ ต1์ , พกั ตรช์ นก เสือคง1, กญั ญารตั น์ ฝอยทอง1 , วีรมลล์ ไวลิขิต1*
Siwarat Ruenjit1, Pakchanok Sueakong1 , Kanyarat Foithong1 , Veeramol Vailikhit1*

บทคัดย่อ

เคร่ืองถ่ายภาพเรืองแสงอย่างง่ายสาหรบั การวิเคราะหท์ ่ีใชต้ น้ ทุนต่าถูกสรา้ งขึน้ สาหรับวิเคราะหห์ า
ลายนิว้ มือแฝงบนกระดาษ มีแหลง่ กาเนิดแสงเป็นหลอดไฟแอลอดี ี ท่ีเปล่ียนสีไดต้ ่อกบั ตวั แปลงไฟขนาด 12 โวลต์
ใชฟ้ ิ ลเตอรเ์ ป็นกระดาษแกว้ ใสสีแดง ใชก้ ลอ่ งกระดาษท่ีหมุ้ ดา้ นในดว้ ยกระดาษสีดา มีช่องอีกดา้ นไวส้ าหรบั มอง
ผ่านตาเปล่าและกลอ้ งโทรศพั ทม์ ือถือ โดยศึกษาตวั อย่างกระดาษท่ีมีการจ่มุ สารละลายลอวโ์ ซนและสารละลาย
เฮนน่า อบท่ีอุณหภูมิท่ีแตกต่างกัน และใชเ้ วลาในการอบท่ีต่างกัน พบว่าตัวอย่างกระดาษท่ีจุ่มลอวโ์ ซนและ
ตวั อย่างกระดาษท่ีจ่มุ เฮนน่าลายนิว้ มือจะเห็นไดช้ ดั ขนึ้ เม่ือมีการอบท่ีนานจะย่ิงเหน็ ลายนิว้ มือชดั ขนึ้ การออกแบบ
เครื่องมือนี้ พบว่าสามารถวิเคราะหห์ าจุดลักษณะสาคัญพิเศษบนลายนิว้ มือ สามารถนาไปประยุกตใ์ ช้งาน
ทางดา้ นนิตวิ ิทยาศาตสตรไ์ ด้ แต่ลกั ษณะลายนิว้ มือท่ีไดจ้ ะมีการเรอื งแสงท่ีนอ้ ย เน่ืองจากสารลอวโ์ ซนและเฮนน่า
ธรรมชาติจะมีการดดู กลืนแสงไดด้ ีกวา่

คาสาคญั : เคร่อื งถา่ ยภาพเรืองแสงอย่างงา่ ย , ลายนวิ้ มือแฝง , ลอวโ์ ซน , เฮนน่า

Abstract

A simple fluorescence microscope was constucted for analyzing and finding latent fingerprints
on papers. Colour changing LED (Light Emitting Diode, LED 12 V), was used for the light source, and
red clear cellophane filters. The paper box was wrapped inside with black paper for the light protection
with a slot for applying the tissue core. It can be looked through by the naked eye and mobile phone
camera. The latent fingerprint paper samples were dipped in lawzone solution and henna solution by
baking at different temperatures and different times for baking. It was found that paper samples that
were dipped in lawzone solution and paper samples that were dipped in henna solution had more clearly
fingerprints with temperature and time. Designed and constructed can analyze special important points
on fingerprints. It can be applied in forensic applications with some fluorescence characteristics due to
natural lawsone and henna have better light absorption.

Keywords : A simple fluorescence microscope , Latent fingerprints , Lawzone , Henna
E-mail address : [email protected]

1 หน่วยวิจยั เคมีแบบย่งั ยืน โครงการจดั ตงั้ ภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสาตรแ์ ละวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน
จงั หวดั นครปฐม 73140
Sustainable Chemistry Research Unit, Department of Chemistry, Faculty of Liberal Arts and Science, Kasetsart University,
Kamphaeng Saen, Nakhon Pathom 73140, Thailand

479

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

ความสมั พนั ธร์ ะหว่างพฤติกรรมการตดิ อินเตอรเ์ น็ตและระดบั ความเหงา
ของนิสิตระดบั ปริญญาตรี คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยบูรพา

RELATIONSHIP BETWEEN BEHAVIOR OF INTERNET ADDICTION AND LONELINESS
LEVEL OF UNDERGRADUATE STUDENTS OF FACULTY OF SCIENCE,
BURAPHA UNIVERSITY

ปรียารัตน์ นาคสุวรรณ1์ พนิตรา คงศิร2ิ
PREEYARAT NAKSUWAN1 and PANITTRA KONGSIRI2

บทคัดย่อ

การศึกษานีม้ ีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือ ศึกษาความสมั พนั ธข์ องพฤติกรรมการติดอินเตอรเ์ น็ต ระดบั ความเหงา
กับขอ้ มูลท่ัวไป (เพศ ชั้นปีการศึกษา สาขาวิชา เกรดเฉล่ีย รายไดต้ ่อเดือน) ของนิสิตระดับปริญญาตรี คณะ
วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั บรู พา และศึกษาความสมั พนั ธข์ องพฤติกรรมการติดอินเตอรเ์ น็ตกบั ระดบั ความเหงา
ของนิสิตปริญญาตรี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั บรู พา โดยใชว้ ิธีเลือกตวั อย่างแบบแบ่งชนั้ ภมู ิ เก็บขอ้ มลู ใน
วนั ท่ี 18 ธันวาคม พ.ศ. 2563 ถึงวนั ท่ี 20 มกราคม พ.ศ. 2564 จากนิสิตระดบั ปริญญาตรี คณะวิทยาศาสตร์ ท่ี
ศกึ ษาในภาคปลายปีการศกึ ษา 2563 โดยใชแ้ บบสอบถามในรูปแบบ google form ไดจ้ านวนตวั อย่างทงั้ สิน้ 340
คน ศึกษาความสมั พันธ์โดยใชส้ ถิติทดสอบไคกาลังสอง และสถิติทดสอบสหสมั พันธ์ลาดับท่ีของสเปียรแ์ มน

ผลการศกึ ษาพบวา่ 1) พฤติกรรมการติดอินเตอรเ์ น็ตของนิสิตมีความสมั พนั ธก์ บั สาขาวิชาและรายไดต้ ่อ
เดือน 2) ระดับความเหงาของนิสิตมีความสัมพันธ์กับชั้นปีการศึกษา และสาขาวิชา 3) พฤติกรรมการติด

อินเตอรเ์ น็ตและระดบั ความเหงาของนิสติ มคี วามสมั พนั ธก์ นั ท่ีระดบั นยั สาคญั 0.05

คาสาคัญ : อนิ เตอรเ์ น็ต พฤติกรรมการติดอนิ เตอรเ์ นต็ พฤติกรรมเส่ยี งทจ่ี ะติดอนิ เตอรเ์ น็ต ระดบั ความเหงา

1 ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บรู พา
Department of Mathematics, Faculty of Science, Burapha University

480

การประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

ABSTRACT

The object of this research was to study the relationship of Internet addiction behavior,
loneliness level with general information (gender, year, major, GPA, income) of undergraduate students,
Faculty of Science Burapha University and to study the relationship of internet addiction behavior and
loneliness level of undergraduate students, Faculty of Science Burapha University by using Stratified
sampling technique. Collected sample on Dec 18, 2020 to Jan 21, 2021 from undergraduate students,
Faculty of Science who study in second semester of academic year 2020 using questionnaire in google
form. A total of 340 samples were obtained. To study relationship by Chi square test and Spearman
rank Correlation.

The results of the study revealed that 1) the students’ Internet addiction behavior had related
to major and income. 2) the students’ loneliness level had related to academic year and major. 3)
Internet addiction behavior and loneliness level of undergraduate students had related at significant
level 0.05.

keywords : INTERNET, INTERNET ADDICTION BEHAVIOR, RISK BEHAVIOR OF INTERNET ADDICTION, LONELINESS LEVEL
E-mail address: [email protected]

481

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครั้งที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

ฤทธิข์ องสมุนไพรทองพนั ช่ัง, ฟ้าทะลายโจร และหญ้าหนวดแมวทมี่ ีตอ่ ยุงราคาญ
(The effect of Rhinacanthus nasutus, Andrographis paniculate and Orthosiphon aristatus

against Culex quinquefasciatus)

ณฐั กานต์ อนิ เจรญิ 1, จนั ทรด์ ี ระแบบเลิศ1, วริ ัช จ่ันหนู2, ยทุ ธนา สามงั 3, กรกช ชนั้ จริ กลุ 1, สภุ ทั รา เตียวเจรญิ 2
Nuttakan Inchareon, Jundee Rabablert, Virach Junnu, Yuttana Samang, Korrakot Changirakul, and Supathra

Tiewcharoen

บทคัดยอ่

ยงุ ราคาญ Culex spp. เป็นพาหะนาเชือ้ ไวรสั ไขส้ มองอกั เสบเจอี ก่อโรคทางระบบประสาทในคนพบ
บรเิ วณมหาสมทุ รแปซิฟิกตะวนั ตกและทวีปเอเชยี วตั ถปุ ระสงคเ์ พ่อื ประเมนิ ประสทิ ธิภาพของสารสกดั พชื สมนุ ไพร
สมนุ ไพร ทองพนั ช่งั (Rhinacanthus nasutus), ฟ้าทะลายโจร(Andrographis paniculate) และ หญา้ หนวดแมว
(Orthosiphon aristatus) จากตวั ทาละลายไดแ้ ก่ ไดเมทลิ ซลั ฟอกไซด์ (Dimethyl Sulfoxide, DMSO), เอทานอล (Ethanol,
EtOH) และนา้ อารโ์ อ (Reverse Osmosis, RO) ตอ่ ยงุ ราคาญ Culex quinquefasciatus ดว้ ยวธิ ี Larval toxicology และ
Antifeedant assay ผลการศกึ ษาพบวา่ สารสกดั สมนุ ไพรดว้ ยไดเมทิลซลั ฟอกไซดส์ ามารถยบั ยงั้ ยงุ ราคาญ ระยะลกู นา้ และ
ระยะตวั เต็มวยั มากกวา่ สารสกดั สมนุ ไพรดว้ ยเอทานอลและนา้ อารโ์ อ ท่ีอณุ หภมู หิ อ้ งเป็นเวลา 6, 12, 24 ช่วั โมง โดยพบวา่
หญา้ หนวดแมว ท่ีสกดั ดว้ ยไดเมทิลซลั ฟอกไซด์ (100 ไมโครกรมั /มลิ ลลิ ิตร) สามารถยบั ยงั้ ยงุ ราคาญ ระยะลกู นา้
และระยะตวั เตม็ วยั ได้ 100% ท่ีอณุ หภมู ิหอ้ งเป็นเวลา 24 ช่วั โมง ดงั นนั้ สารสกดั จากหญา้ หนวดแมวดว้ ย DMSO
อาจเป็นทางเลอื กในการกาจดั ยงุ ราคาญในอนาคต

คาสาคัญ : ไขส้ มองอกั เสบเจอี, สมนุ ไพร, ยงุ ราคาญ, ค่าความเป็นพษิ ต่อลกู นา้ , วธิ ียบั ยงั้ การกิน

Abstract

Culex spp., mosquito is a vector of Japanese encephalitis virus in humans found in the Western Pacific
OceanandAsia.Objectiveistoassesstheefficacyofmedicinalherbs(Rhinacanthus nasutus,Andrographis paniculata,
and Orthosiphon thymiflorus) dissolved in the solvent (RO, DMSO and EtOH) against Culex quinquefasciatus. The
results revealed that Herb-DMSO > Herb-EtOH > Herb-RO inhibited Cx. quinquefasciatus in larval and adult stages
at room temperature for 6, 12, 24 hours by Larval toxicology and Antifeedant assay, respectively. Orthosiphon
thymiflorus-DMSO (100 g/ml) showed 100% inhibition of Cx. quinquefasciatus in larval and adult stages at room
temperaturefor24hours.Therefore,Orthosiphon thymiflorusmaybeanalternativetogetridofCx. Quinquefasciatus
in the futher.

Keyword: Japanese encephalitis, herbs, Culex, Larval toxicity, Antifeedant assay
Corresponding author: [email protected]

1 ภาควชิ าชีววทิ ยา คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร จงั หวดั นครปฐม 73000 ประเทศไทย
Department of Biology, Faculty of Science, Silpakorn University, Nakhon Pathom, 73000, Thailand
2 ภาควชิ าปรสติ วทิ ยา คณะแพทยศาสตรศ์ ิรริ าชพยาบาล มหาวทิ ยาลยั มหิดล กรุงเทพมหานคร 10700 ประเทศไทย
Department of Parasitology, Faculty of Medicine Siriraj Hospital, Mahidol University, Bangkok, 10700, Thailand
3 ภาควชิ ากีฏวทิ ยาการแพทย์ คณะเวชศาสตรเ์ ขตรอ้ น มหาวิทยาลยั มหดิ ล กรุงเทพมหานคร 10400 ประเทศไทย
Department of Medical Entomology, Faculty of Tropical Medicine, Mahidol University, Bangkok, 10400, Thailand

483

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้งั ท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564

การตรวจหารอยลายนิว้ มอื แฝงบนวตั ถุไมม่ ีรูพรุนโดยใช้ผงอญั ชัน
LATENT FINGERPRINTS DEVELOPMENT ON NONPOROUS SURFACE BY

CLITORIA TERNATEA L. POWDER

จรยิ า ปานเกษม1 และ พเิ ชษฐ อนรุ กั ษอ์ ดุ ม2*
JARIYA PANKASEM1 and Piched Anuragudom 2*

บทคัดย่อ

งานวิจยั นีม้ ีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือศึกษาการพฒั นาผงปัดลายนิว้ มือแฝงจากผงอญั ชนั เพ่ือนามาตรวจสอบ
เปรียบเทียบผงอญั ชนั บนพืน้ ผิวไม่มีรูพรุน ดอกอญั ชนั ถกู ทาใหแ้ หง้ โดยการอบท่ี 90.0 องศาเซลเซียส และทาการ
บดใหล้ ะเอียดกอ่ นนาไปรอ่ นผ่านตะแกรงท่ีมีเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 200 Mesh ประเภทพนื้ ผิวท่ีนามาใชท้ ดสอบไดแ้ ก่
อลมู เิ นียม แสตนเลส กระจก แกว้ แผน่ ซดี ี และพลาสตกิ คณุ ภาพของลายนิว้ มือท่ีพฒั นาขนึ้ จะประเมินไดจ้ ากการ
จานวนจุดลักษณะสาคัญพิเศษจากระบบตรวจสอบลายพิมพน์ ิว้ มืออัตโนมตั ิ (AFIS) ผลท่ีไดจ้ ากเคร่ือง AFIS
พบว่า ผงอญั ชนั ใหค้ ่าจดุ ลกั ษณะสาคญั พิเศษต่ากว่าหรือใกลเ้ คียงเม่ือเปรียบเทียบผงปัดลายนิว้ มือสีดา โดยท่ีดี
ท่ีสุดคือพลาสติกใสตามดว้ ยแผ่นซีดี อลูมิเนียม แสตนเลส แกว้ และกระจก ตามลาดับ ดังนัน้ ผงอญั ชันจึงเป็นอีกหน่ึง
ทางเลอื กท่ีใชเ้ ป็นผงปัดลายนิว้ มือ

คาสาคญั : การวดั ขนาดอนภุ าคโดยใชต้ ะแกรงรอ่ น, ดอกอญั ชนั , ระบบตรวจสอบลายพมิ พน์ ิว้ มอื อตั โนมตั ิ (AFIS)

Abstract

The objective of the research was to study the development of fingerprint powder using Clitoria
ternatea L. powder. In order to check the comparative evaluation, the Clitoria- ternatea L. powder has
been applied on non-porous surfaces. Clitoria ternatea L. was dried to hot air oven at 90.0 oC and ground
to fine powder before being sifted through sieves with diameter of 200 mesh. The types of surfaces
which have been employed in this investigation were aluminum, stainless steel, mirror, glass slide, CD
and transparent plastics. The quality of the developed fingerprint was evaluated from the number of
minutiae by an automatic fingerprint identification system (AFIS). The results obtained from the AFIS
showed that fingerprint powder from Clitoria ternatea L. gave the values lower or similar characteristic
points when compared with black fingerprint powder, which transparent plastics followed by CD,
aluminum, stainless steel, glass slide and mirror respectively. Clitoria ternatea L. powder is an actual
alternative to conventional powdering reagents.

Keywords: Mesh, Clitoria ternatea L., Automatic fingerprint identification system (AFIS)
E-mail address: [email protected], [email protected]

1,2* โครงการหลกั สตู รวทิ ยาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ านติ ิวทิ ยาศาสตร์ โครงการจดั ตงั้ ภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตรแ์ ละวทิ ยาศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน จ.นครปฐม 73140
M.S. Forensic Science Program, Department of Chemistry division, Faculty of Liberal Arts and Science, Kasetsart University,
Kamphaeng Saen Campus, Nakhon Pathom 73140, Thailand

484

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ ครัง้ ที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

การไฮโดรไลซิสกากตะกอนส่าสาปะหลังดว้ ยเอนไซมท์ างการค้า
Hydrolysis of cassava stillage residue by commercial enzymatic

กติ ติ อรสูญ1, รตั นาภรณ์ พงษศ์ รี1, เทพฤทธิ์ กณั หานนท1์ , และวิษณุ ปั้นพนั ธุ1์
Kitti Orasoon1, Rattanaporn Phongsri1, Thapariat Kanhanont1 and Vishnu Punpan1

บทคัดยอ่

งานวิจัยนีท้ าการศึกษาการไฮโดรไลซิสกากตะกอนส่าสาปะหลงั ดว้ ยเอนไซมท์ างการคา้ และวิเคราะห์
องคป์ ระกอบของเสน้ ในท่ีเหลืออยู่ พบว่า องคป์ ระกอบกากตะกอนส่ามันสาปะหลังมีองคป์ ระกอบหลักของ
เซลลูโลสรอ้ ยละ 29.35±1.05 ลิกนินรอ้ ยละ 19.76±0.02 เฮมิเซลลูโลสรอ้ ยละ 2.08±0.35 และเถ้ารอ้ ยละ
12.13±0.33 ส่วนแป้งเหลืออยู่ในกากตะกอนส่ามันสาปะหลงั เพียงรอ้ ยละ 1.72±0.02 ส่วนการไฮโดรไลซิกาก
ตะกอนสา่ มนั สาปะหลงั ดว้ ยเอนไซมท์ างการคา้ พบวา่ เอนไซมก์ ลโู คอะไมเลส สามารถผลิตนา้ ตาลรดี ิซไ์ ด้ 9 – 10
กรมั ต่อลิตร เม่ือใชก้ ากตะกอนมนั สาปะหลงั รอ้ ยละ 15 ตอ่ นา้ หนกั โดยเอนไซมเ์ ซลลเู ลส และอลั ฟาอะไมเลสไม่มี
ผลตอ่ การไฮโดรไลซิสกากตะกอนสา่ มนั สาปะหลงั ท่ีไม่มีขนั้ ตอนการปรบั สภาพ

คาสาคัญ : กากตะกอนสา่ มนั สาปะหลงั การไฮโดรไลซิสดว้ ยเอนไซม์ นา้ ตาลรดี ิวซ์

Abstract

This research was study on cassava stillage residue (CSR) hydrolysis by commercial enzyme
and analysis CSR composition. The result of CSR chemical composition found was 29.35±1.05%
cellulose, 19.76±0.02% lignin, 2.08±0.35% hemicellulose and 12.13±0.33% ash. The starch composition
remaining in CSR was only 1.72±0.02%. The CSR hydrolysis by the commercial enzymatic system was
found that only glucoamylase can be produced reducing sugar 9-10 g/L by using CSR 15%w/w. No
Effect of alpha-Amyase and cellulase on CSR Hydrolysis without a pretreatment step.

Keyword : Cassava Stillage Residue, Enzymatic Hydrolysis, Reducing Sugar
E-mail address [email protected]

1 ศนู ยเ์ ช่ียวชาญนวตั กรรมพลงั งานสะอาดและสง่ิ แวดลอ้ ม สถาบนั วิจนั วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย จ.ปทมุ ธานี 12120
Expert center of innovative clean energy and environment (InnoEn), Thailand institute of scientific and technology research
(TISTR), Pathumthani 12120 Thailand

485

การประชุมวชิ าการระดับชาติ คร้งั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

ผลการปรับสภาพกากตะกอนมนั สาปะหลังด้วยการระเบดิ โครงสร้างไอนา้
Result of cassava stillage residue pretreatment with steam explosion

กิตติ อรสูญ1 , เทพฤทธิ์ กณั หานนท1์ , และวษิ ณุ ปั้นพนั ธุ1์
Kitti Orasoon1, Thapariat Kanhanont1 and Vishnu Punpan1

บทคัดยอ่

งานวิจัยนีม้ ีเป้าหมายในการศึกษาเพ่ือพฒั นาเทคโนโลยีการปรบั สภาพกากตะกอนส่ามันสาปะหลงั
สาหรบั กระบวนการผลิตเซลลโู ลสิกเอทานอล โดยใชก้ ากตะกอนส่ามนั สาปะหลงั หลงั การกล่นั และแยกนา้ เป็น
วตั ถดุ บิ ผลการศกึ ษาปัจจยั ท่ีสง่ ผลในการปรบั สภาพดว้ ยไอนา้ ของกากตะกอนสา่ มนั สาปะหลงั พบวา่ ท่ีอณุ หภมู ิ
ในการทาปฏิกิริยาท่ีเหมาะสมเท่ากับ 180 องศาสเซลเซียส และรอ้ ยละของแข็งต่อของเหลวเท่ากับ 10 โดย
สามารถผลิตนา้ ตาลรดี ิวซไ์ ดเ้ ท่ากบั 49.14±0.57 กรมั ตอ่ ลติ ร โดยใชข้ องแข็งหลงั การปรบั สภาพเท่ากบั รอ้ ยละ 15
โดยนา้ หนกั

คาสาคัญ : กากตะกอนสา่ มนั สาปะหลงั , การระเบิดดว้ ยไอนา้

Abstract

This research aims to develop pretreatment technology for cassava stillage residue (CSR) for
cellulosic ethanol production process by using CSR from cassava-based ethanol production. The result
of CSR pretreatment with steam explosion/hydrothermal showed the optimum condition was 180 oC
reaction temperature, 10% solid loading. The optimal condition can be produced reducing sugar
concentration 49.14±0.57 g/L by using 15% pretreated solid residue.

Keyword : Cassava Stillage Residue, Steam Explosion
E-mail address [email protected]

1 ศนู ยเ์ ช่ียวชาญนวตั กรรมพลงั งานสะอาดและสิง่ แวดลอ้ ม สถาบนั วจิ นั วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย จ.ปทมุ ธานี 12120
Expert center of innovative clean energy and environment (InnoEn), Thailand institute of scientific and technology research
(TISTR), Pathumthani 12120 Thailand

486