ผลงานการวิจัยทางการศึกษาที่ได้รับการตีพิมพ์

การประชุมวชิ าการระดับชาติ ครงั้ ที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564

ปัจจัยท่ีมีผลต่อการยอมรับผลติ ภณั ฑ์แมลงศัตรูธรรมชาตขิ องเกษตรกรในจังหวดั เชยี งใหม่
Factors Affecting Farmers' Acceptance of Natural Enemy Products in Chiang Mai Province

มนตรี สิงหะวาระ01, รัชนยี า บงั เมฆ12, และกมลทิพย์ ปัญญาสิทธ์ิ23
Montri Singhavara1, Ratchaneeya Bangmek2, and Kamoltip Panyasit3

บทคดั ย่อ
งานวิจัยนีม้ ีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการยอมรับผลิตภัณฑ์ศัตรูธรรมชาติ ในจังหวัด
เชียงใหม่ กล่มุ ตวั อย่างท่ีศกึ ษาคือเกษตรกรผู้ปลกู ข้าวจํานวน 150 ราย และเกษตรกรผ้ปู ลกู พืชพืชตระกลู กะหลา่ํ
จํานวน 150 ราย ทาํ การวิเคราะห์ปัจจยั ท่ีมผี ลต่อการยอมรับโดยใช้แบบจําลองโลจิท (Logit model) ผลการศกึ ษา
พบว่า อายุ (AGE) ระดบั การศกึ ษา (EDU) จํานวนแรงงาน (LAB) ต้นทุน (COST) ทศั นคติเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์
(ATTA) ความรู้เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ (KNOWA) การรับรู้ต่อแมลงศัตรูธรรมชาติ (PER) มีผลต่อการยอมรับ
ผลิตภณั ฑ์แมลงศตั รูธรรมชาติอย่างมีนยั สําคญั ทางสถิติ (P < 0.10) ย่ิงไปกว่านนั้ การศึกษาในครัง้ นีย้ งั ค้นพบว่า
เกษตรกรวยั สงู อายุมีการยอมรับท่ีสงู กว่าเกษตรกรท่ีมีอายุน้อยเน่ืองจากมีความกังวลต่อการตกค้างของสารเคมี
ทางการเกษตรเพราะอยากมสี ขุ ภาพทดี่ ีและมชี ีวติ ท่ยี ืนยาว

คาํ สาํ คัญ: การยอมรับ ผลติ ภณั ฑ์แมลงศตั รูธรรมชาติ แบบจําลองโลจทิ

Abstract
The objective of this study was to take a gander at the variables that impact the acceptance of
natural enemy products in Chiang Mai Province. The study's samples comprised 150 rice farmers and
150 cruciferous farmers. The Logit model was used to examine the factors that influence acceptance.
The research results found that age (AGE), level of education (EDU), number of labor (LAB), cost
(COST), attitude towards organic agriculture (ATTA), knowledge of organic agriculture (KNOWA), and
perception of natural enemies (PER) all had a statistically significant effect on the acceptance of natural
enemy products (P < 0.10). Moreover, this study found that older farmers had higher levels of
acceptance than younger farmers, as older farmers were concerned about pesticide residues because
they wanted to stay healthy and long life.

Keywords: Acceptance, Natural enemies products, Logit model
Corresponding author : email address: [email protected]

1 สาขาเศรษฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั แมโ่ จ้ จงั หวดั เชยี งใหม่
Department of Economics, Faculty of Economics, Maejo University, Chiang Mai
2คณะบริหารธุรกจิ มหาวทิ ยาลยั แม่โจ้ จงั หวดั เชยี งใหม่
Faculty of Economics, Maejo University, Chiang Mai
3 คณะบริหารธุรกิจและการบญั ชี มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ จงั หวดั ขอนแกน่
Faculty of Business Administration and Accountancy, Khon kaen University, Khon kaen

183

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ ครัง้ ที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564

การประเมินผลโครงการฝึ กอบรมเชิงปฏบิ ัติการสาํ หรับผ้ทู าํ หน้าท่ีเลขานุการ
คณะกรรมการประเมินคุณภาพการศกึ ษาภายใน ระดบั หลักสตู ร มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
A Program Evaluation of Workshops Provided for the Secretaries of the Internal Education

Quality Assessment Committees at the Curriculum Level in Kasetsart University

ธเนศ ดาวรุ่งโรจน์01, จตรุ งค์ ตนั นกุ ลู 12, สรุ ีย์ วงศ์อกนษิ ฐ์23, และ กนกวรรณ นาควารี34
Thanate Daorungroj1, Jaturong Tunnukul2, Suree Wong-akanit3, and Kanokwan Nakwaree4

บทคดั ย่อ
การวิจยั นีม้ ีวตั ถุประสงค์เพื่อประเมินผลโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการสําหรับผู้ทําหน้าท่ีเลขานุการ
คณะกรรมการประเมินคณุ ภาพการศึกษาภายใน ระดบั หลกั สตู ร มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ โดยใช้แบบจําลอง
และแนวคิดของเคิร์กแพทริค (Kirkpatrick) โดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะเพื่อประเมินด้านปฏิกิริยา ด้านการเรียนรู้
ด้านพฤติกรรม และด้านผลลพั ธ์ของผู้ทําหน้าทเี่ ลขานกุ าร เข้ารับการฝึกอบรม รุ่นท่ี 1 และรุ่นท่ี 2 จํานวน 167 คน
เครื่องมอื ที่ใช้ในการวิจยั ได้แก่ แบบประเมินด้านปฏกิ ิริยา แบบประเมินด้านพฤติกรรม แบบประเมินด้านผลลพั ธ์
และแบบทดสอบ สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมลู คอื คา่ เฉลี่ย สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าที
ผลการวิจยั พบว่า ผลการประเมินด้านปฏิกิริยา ด้านพฤติกรรม และด้านผลลพั ธ์ มีผลการประเมินอย่ใู น
ระดับมากที่สุด และผลการประเมินด้านการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ยของคะแนนหลังการฝึกอบรมสูงกว่าก่อนการ
ฝึกอบรมอยา่ งมีนยั สาํ คญั ที่ระดบั .05
ข้อเสนอแนะจากผลการวิจัย 1) ควรนําผลการประเมินไปปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรของโครงการ
ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการสําหรับผู้ทําหน้าที่เลขานุการคณะกรรมการประเมินคุณภาพการศึกษาภายใน ระดับ
หลกั สตู ร มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เข้ารับการฝึกอบรม 2) ควรจดั กิจกรรม
แลกเปล่ียนเรียนรู้ (KM) แลกเปล่ียนระหว่างผู้ปฏิบัติงานด้วยกัน จะทําให้ได้เรียนรู้เพิ่มขึน้ เพราะบรรยากาศ
การประเมนิ ฯ ในแต่ละหลกั สตู ร พบปัญหาทีแ่ ตกต่างกนั และวิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างกนั ทําให้ได้ประสบการณ์
เพ่มิ ขนึ ้ และเรียนรู้จากปัญหาที่เกดิ ขนึ ้ จริง

คําสําคัญ: การประเมนิ ผลโครงการ, การฝึกอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร, เลขานกุ าร, คณะกรรมการประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษาภายใน ระดบั หลกั สตู ร

1 นกั วิจยั ชํานาญการพิเศษ สาํ นกั งานพฒั นาคณุ ภาพและบริหารความเสยี่ ง มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพมหานคร
Office of Quality Development and Risk Management, Kasetsart University, Bangkok
2 นกั วิชาการศกึ ษาชาํ นาญการ สาํ นกั งานพฒั นาคณุ ภาพและบริหารความเสย่ี ง มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพมหานคร
Educator, Professional Level, Office of Quality Development and Risk Management, Kasetsart University, Bangkok
3 นกั วิชาการศกึ ษาชํานาญการ สาํ นกั งานพฒั นาคณุ ภาพและบริหารความเสยี่ ง มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพมหานคร
Educator, Professional Level, Office of Quality Development and Risk Management, Kasetsart University, Bangkok
4 นกั วชิ าการศกึ ษาปฏบิ ตั ิการ สํานกั งานพฒั นาคณุ ภาพและบริหารความเสย่ี ง มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพมหานคร
Educator, Practitioner Level, Office of Quality Development and Risk Management, Kasetsart University, Bangkok

184

การประชุมวชิ าการระดับชาติ ครัง้ ท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564
Abstract

This research was to evaluate the workshop provided for the secretaries of internal education
quality assessment committees at the curriculum level in Kasetsart University by using Kirkpatrick’s
model and concept. The evaluation was specifically aimed at their reactions, learning and behaviors
among 167 secretaries participating in the 1st – 2nd workshops. The instruments were composed of
a form of reaction evaluation, a form of behavior evaluation and a test and the data were analyzed in
terms of arithmetic mean, standard evaluation and t-test.

The findings are as follows: the evaluation results of the reaction and behavior were found at
the most level and the results of the learning after the workshops are significantly (p<.05) higher than
that before.

Recommendations for the next training are as follows: 1) Findings from the assessment should
be taken to improve the workshop curriculum for the secretaries of internal education quality
assessment committees at the Curriculum Level in Kasetsart University to be more in accord with the
demands by the training participants. 2) Some certain knowledge management (KM) activities should
be organized to encourage those secretaries who have passed the training to come back and meet
one another again to share the experience as secretaries and to acknowledge related problems and
obstacles for further improvement of the training.

Keywords: Program Evaluation, Workshop Provide, Secretary, Internal Education Quality Assessment Committees at The Curriculum Level
E-mail address : [email protected]

185

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้ังที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

การจัดการประสบการณ์การลูกค้าในอตุ สาหกรรมบริการ
Customer Experience Management in Hospitality Industry

กล้วยไม้ สุมังค์01, รินธิดา เด่นพทิ ตั น์1, สภุ าพร สงั ศรีอนิ ทร์1,
Kluaymai Sumung1, Rinthida Denphitat1, and Supaphon Sungsriin1

บทคัดย่อ
บทความนีน้ ําเสนอเก่ียวกบั แนวคิดและความสําคญั ของการจดั การประสบการณ์ลกู ค้าในอตุ สาหกรรม
บริการจากการทบทวนวรรณกรรมต่างๆ ที่มีการศึกษาแนวคิดทฤฎษีเกี่ยวกับการจัดการประสบการณ์ เป็น
การศึกษาโดยกระบวนการวิธีวิจัยแบบเชิงเอกสาร (documentary research) โดยการสังเคราะห์ตัวแปรท่ี
ทําการศกึ ษา (Synthesize Variables) เพ่อื แสดงถึงความคิดรวบยอดท่แี สดงความสมั พนั ธ์หรือความเกี่ยวข้องมโน
ทศั น์ (Conceptผู้วิจยั อธิบายได้ด้วยเหตผุ ลเชิงทฤษฏี โดยบทความนีม้ ีวตั ถปุ ระสงค์เพอื่ นําเสนอความสาํ คญั ของ
การจัดการประสบการณ์ลูกค้าในอุตสาหกรรมบริการ ความหลากหลายทางปัจจัยหลายมิติในการจัดการ
ประสบการณ์ลกู ค้า คณุ ค่าและความพงึ พอใจของลกู ค้าที่สง่ ผลต่อเน่ืองให้เกิดการจดั การประสบการณ์ลกู ค้าใน
อตุ สาหกรรมบริการ ทม่ี คี วามสอดคล้องและมีเปา้ หมายไปในทศิ ทางเดยี วกนั จึงมีความจําเป็นต่อการนาํ มาศึกษา
และทบทวนวรรณกรรมที่หลากหลายเพื่อให้เกิดความชดั เจนและสามารถนาํ ไปประยกุ ต์ให้เกิดประโยชน์ต่อธรุ กิจ
ในอุตสาหกรรมบริการมากท่สี ดุ ซึง่ ในบทความนพี ้ บว่า ความสมั พนั ธ์ระหว่างปัจจยั สําคญั 3 ด้าน คือ การจดั การ
ประสบการณ์ลกู ค้า (Customer Experience Management) คณุ ค่าของลกู ค้า (Customer Value) และความพงึ
พอใจของลูกค้ า (Customer Satisfaction) ท่ีเป็ นปัจจัยสําคัญในอุตสาหกรรมบริการ โดยเน้ นการเชื่อม
ความสมั พนั ธ์ในเชิงทฤษฎี ดงั นนั้ การสร้างความยงั่ ยืนในการบริหารประสบการณ์ลกู ค้าในอุตสาหกรรมบริการจึง
ต้องให้ความสําคัญกับปัจจัยที่เก่ียวข้องทัง้ 3 อย่างจริงจังเพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมและเพ่ิมลูกค้าใหม่ใน
อตุ สาหกรรมบริการได้อย่างยง่ั ยนื

คาํ สาํ คัญ : การจดั การประสบการณ์การลกู ค้า คณุ คา่ ลกู ค้า ความพึงพอใจของลกู ค้า อตุ สาหกรรมบริการ

Abstract
This article presents the concept and importance of customer experience management in
hospitality industry from literature reviews about the study of theoretical concepts of experience
management. The study method is documentary research by synthesize variables to represent concepts
that express relationships or relevance to concepts. The researcher explained it with theoretical reasons.
This article aimed to present an important of customer experience management in hospitality industry,

1 คณะบริหารธุรกจิ สถาบนั บนั การจดั การปัญญาภวิ ฒั น์
Faculty of Business Administration, Panyapiwat Institute of Management

186

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ ครัง้ ที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564
factor diversity in customer experience management, customer value and customer satisfaction which
constantly impact on managing of customer experience in hospitality industry that are being consistent
and aim at the same goal. Therefore, it is necessary to study and review a wide range of literature to
clarify, adapt and deliver the maximum possible business benefit. This article found the relationship
between the three important factors: Customer Experience Management, Customer Value and Customer
Satisfaction which are key factors in hospitality industry by emphasizing the relationship in theory.
Therefore, to create sustainability in customer experience management in hospitality industry, it is
necessary to focus on all three relevant factors in order to sustainably maintain the existing customer
base and increase new customers in hospitality industry.

Keyword: Customer Experience Management Customer Value Customer Satisfaction Hospitality Industry
E-mail address: [email protected]

187

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ ครัง้ ที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564

การสำรวจลีลาชีวติ เก่ียวกับการเขารว มกจิ กรรมนันทนาการ เพือ่ พัฒนาคุณภาพชวี ติ ของ
ผูสูงอายุภาคใต : กรณศี ึกษากลุม ภาคใตต อนบน

Life style survey about participation in recreation activities to improve the quality of
elderly life in the southern region: a case study of the upper southern region

อมรินทร หตั ถกจิ 01 ศักด์ิ อนิ พิรดุ 1, อไุ รวรรณ วรกลุ รังสรรค1 , จริ ยทุ ธ คงพยัคฆ1
Amarin Hattagit1, Sak Inpirut1, Uraiwan Vorakulrungson1, and Jirayut Kongpayak1

บทคัดยอ
การวิจัยนี้มีวัตถปุ ระสงคเ พอ่ื สำรวจลลี าชวี ติ ของผูส งู อายภุ าคใตก ลุมภาคใตตอนบนเก่ียวกับการเขา รวมกิจกรรม
และความตองการการจัดกิจกรรมนันทนาการของผูสูงอายุที่มีอายุ 60 – 80 ป ที่อาศัยอยูในเขตเทศบาลเมืองของ 4
จังหวดั ภาคใตต อนบน คดั เลือกเปน กลมุ ตวั อยา ง จำนวน 200 คน เคร่อื งมอื ท่ใี ชใ นการเก็บขอมลู เปน แบบสอบถามจำนวน
1 ชุด มีคาสัมประสิทธิแ์ อลฟา เทากับ 0.87 สถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูลไดแก คารอยละ คาเฉลี่ย และสวนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน ผลการวจิ ยั พบวา ประเภทของกิจกรรมนนั ทนาการทผี่ สู ูงอายุกลุมภาคใตที่เขา รวม 5 อนั ดบั แรก ไดแ ก การเขา
รว มกจิ กรรมทางสังคม (รอ ยละ 45) การทอ งเที่ยวทัศนศกึ ษา (รอ ยละ 43) ทำงานอดเิ รก (รอ ยละ 42.50) ทำกิจกรรมดาน
การดนตรีและรองเพลง (รอยละ 40) และทำกจิ กรรมเกี่ยวกับการพฒั นาจิตใจและความสงบ (รอยละ 40) ปญหาจากการ
รวมกิจกรรมนันทนาการไดแก งบประมาณ (รอยละ 72) เจาหนาที่จัดกิจกรรมนันทนาการ (รอยละ 55) เวลาในการจัด
กิจกรรมนันทนาการมีนอยเกินไป (รอยละ 52.50) อุปกรณ/สิ่งอำนวยความสะดวกไมเพียงพอ (รอยละ 38) และสถานท่ี
ไมเอือ้ อำนวยตอ การเขารว มกจิ กรรมนันทนาการ (รอยละ 37.50)

คำสำคญั : กจิ กรรมนันทนาการ ผสู งู อายกุ ลุมภาคใตต อนบน

ABSTRACT
The objective of this research is to explore the lifestyle of the elderly in the southern region
of the upper southern region; about participation in recreation activities and the needs for recreation
activities of the elderly person aged during 60 - 80 years in the municipality of 4 provinces in the
upper southern region.These province are selected as a sample of 200 people. The instrument used
for collecting data is a set of questionnaires. Alpha coefficient equal to 0.87. The statistics used for
data analysis are percentage, mean and standard deviation. The research found that types of
recreational activities that the elderly in the southern region participated in the top 5 were;
participation in social Activities (45 percent), travel (43 percent), hobbies (42.50 percent), perform
music and singing (40 percent), and activities for mental development and peace (40 percent). For

1 คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั การกฬี าแหง่ ชาติ วทิ ยาเขตชมุ พร จงั หวดั ชมุ พร
Faculty of Liberal Arts National Sports University, Chumphon Campus, Chumphon

188

การประชมุ วิชาการระดับชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564
problems from participation in recreational activities of the elderly in the upper southern region that
the budget (72 percent), the staff of recreational activities (55 percent), the time for organizing
recreation activities is too low (52.50 percent), the equipment and facilities are not enough (38
percent), and the place is not conducive to participating in recreational activities (37.50 percent).

Keywords: Recreational activities, The elderly in the upper southern region
E-mail address: [email protected]

189

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ ครัง้ ที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

การวิเคราะห์ภาษาภาพพจน์ในสุนทรพจน์สาบานตนเข้ารับตาํ แหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
ของนายโจเซฟ โรบเิ นตต์ ไบเดน จเู นียร์

An Analysis of Figures of Speech in Mr. Joseph Robinette Biden, Jr.’s US Presidential
Inaugural Speech

อานนท์ เอกปัชชา01, และ เสาวภาคย์ กลั ยาณมิตร12
Anon Ekpcha1 and Saovapak Kallayanamit2

บทคัดย่อ
การวิจัยนีม้ ีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาค่าความถ่ีและร้อยละของการใช้ภาษาภาพพจน์ในสุนทรพจน์พิธี
สาบานตนเข้ารับตําแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานายโจเซฟ โรบิเนตต์ ไบเดน จูเนียร์ และ 2) ตีความ
ความหมายของภาษาภาพพจน์กลมุ่ Trope ทใ่ี ช้บอ่ ยมากที่สดุ เอกสารสาํ หรับการวเิ คราะห์ข้อมลู ในครัง้ นี ้ คอื บท
พูดสนุ ทรพจน์ในพธิ ีสาบานตนเข้ารับตําแหน่งประธานาธิบดีของ นายโจเซฟ โรบิเนตต์ ไบเดน จูเนียร์ กล่าวไว้เมื่อ
วันท่ี 20 มกราคม พ.ศ 2564 มีจํานวนทัง้ สิน้ 2,552 คํา เคร่ืองมือท่ีใช้สําหรับการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ตาราง
วิเคราะห์ประเภทภาษาภาพพจน์ท่ีต้องอาศยั การตีความ (Trope) จากการศึกษาพบว่ามีการใช้ ภาษาภาพพจน์
กล่มุ ท่ีใช้กลไกทางภาษาและไม่ต้องตีความ (Scheme) มากกว่าภาษาภาพพจน์กล่มุ ท่ีต้องตีความ (Trope) คิด
เป็นร้อยละ 70.48 และ 29.52 ตามลําดบั นอกจากนีภ้ าษาภาพพจน์ท่ีถกู ใช้มากที่สดุ คือ อปุ ลกั ษณ์ (Metaphor)
มีการใช้ทงั้ หมด 7 ครัง้ คิดเป็นร้อยละ 22.58 โดยการใช้อปุ ลกั ษณ์ (Metaphor) ในสนุ ทรพจน์เพื่อเปรียบเปรยถึง
ความยากลําบากที่ประเทศสหรัฐอเมริกาต้องเผชิญ ความขดั แย้งทางการเมือง การระบาดของโรคติดเชือ้ ไวรัสโค
โรนา 2019 (COVID-19) รวมไปถงึ การปกปอ้ งประชาธิปไตยของประเทศ

คําสําคัญ: สนุ ทรพจน์พิธีสาบานตนเข้ารับตาํ แหน่งประธานาธบิ ดี ภาษาภาพพจน์ ภาษาภาพพจน์กลมุ่ ท่ตี ้องตีความและไมต่ ้องตีความ

Abstract
The objectives of this research were 1) to determine the frequency and percentage of figures
of speech in the US inaugural speeches of President Joseph Robinette Biden, Jr. (henceforth, Mr.
Biden), and 2) to interpret the meanings expressed by the most-frequently used "Trope" figure of speech.
The document for the data analysis is an inauguration speech delivered by President Joseph Robinette
Biden Jr. on January 20th, 2021, with a total of 2,552 words. The instrument for the data analysis is
compiled from figures of speech analytical framework. The findings were as follow. The Scheme

1 นิสิตหลกั สตู รศลิ ปะศาสตร์มหาบณั ฑติ ภาควิชาภาษาองั กฤษ คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร
Master of Arts Student, Department of English, Faculty of Humanities, Naresuan University
2 ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ภาควิชาภาษาองั กฤษ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร

Assistant Professor Dr., Department of English, Faculty of Humanities, Naresuan University

190

การประชุมวชิ าการระดับชาติ ครั้งท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564
category of figures of speech was used more frequently than the Trope with an average of 70.48% and
29.52%, respectively. Moreover, metaphor was the most frequently used (7 times, 2 2 . 5 8 % ) . The
metaphors involve the issues of hardship confronted by the United States of America, political disputes,
the COVID pandemic, and the defense of homeland democracy.

Keyword: Figures of Speech, US Presidential Inaugural Speech, Trope, Scheme
E-mail address: [email protected]

191

การประชุมวิชาการระดับชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

การพัฒนารูปแบบการสอนวทิ ยาศาสตร์ตามแนวคดิ สมองเป็ นฐานร่วมกับ Active Learning &
DLIT คณุ ภาพ Thailand 4.0 โดยยึดหลัก“ศาสตร์พระราชา” เพ่อื พัฒนาทักษะการสร้างสรรค์

นวัตกรรม สาํ หรับนักเรียนชนั้ มัธยมศึกษาปี ท่ี 1
The development of Science Instructional Model by Using Brain-based Learning Development

with Active Learning & DLIT Thailand 4.0 Quality from The Principles of "King's Science"
to Develop Innovative for Mathayomsuksa 1 Students
วรัญญา มรี อด01
Warunya Meerod1

บทคดั ย่อ
การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพืน้ ฐานในการพัฒนารูปแบบ 2) เพ่ือพัฒนาและหา
ประสิทธิภาพรูปแบบการ 3) เพ่ือประเมินประสิทธิผลรูปแบบ 4) เพื่อนํารูปแบบไปขยายผล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อน-หลงั การเรียนรู้ แบบวดั ทกั ษะการสร้างสรรค์นวตั กรรม และแบบวดั ความพงึ พอใจ
การวิเคราะห์ข้อมลู โดยใช้ร้อยละค่าเฉลยี่ สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานสถติ ิที แบบไมอ่ สิ ระและการวิเคราะห์เนือ้ หา ผลการวจิ ยั
พบว่า 1) ครูใช้วิธีสอน โดยให้นกั เรียนสงั เกตส่ิงของท่ีครูเตรียมม และจะใช้คําถาม และนกั เรียนเรียนรู้ จากการสงั เกตสิ่งของ
ที่ครูเตรียมมาและปฏิบตั ิกิจกรรมเป็นกลมุ่ และรายบุคคล 2) รูปแบบมอี งค์ประกอบ 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลกั การ
2) วตั ถปุ ระสงค์ 3) องค์ประกอบของกระบวนการ 4) การวดั และประเมนิ ผลและ 5) เงือ่ นไขสาํ คญั ในการนาํ รูปแบบไป
ใช้ให้ประสบผลสําเร็จ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.40/84.50 3) ประสิทธิผลของรูปแบบ 1) หลงั เรียนตามรูปแบบ
นกั เรียนมีความสามารถในการสร้างสรรค์นวตั กรรมสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมีนยั สําคัญทางสถิติที่ระดบั .05 และมีความพึง
พอใจอยู่ในระดับมากท่ีสุด และ 4) ผลการขยายผล พบว่า หลังเรียนตามรูปแบบนักเรียนมีความสามารถ
ในการสร้างสรรค์นวตั กรรมสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมีนยั สําคญั ทางสถิติทรี่ ะดบั .05 และมคี วามพงึ พอใจอย่ใู นระดบั
มากท่ีสดุ

คําสาํ คัญ: รูปแบบการสอนวทิ ยาศาสตร์, แนวคดิ สมองเป็นฐาน, ทกั ษะการสร้างสรรคน์ วตั กรรม

Abstract
The purposes of this research were 1) to study information about the Science Instructional Model
by Using Brain-based Learning Development with Active Learning & DLIT Thailand 4.0 Quality from The
Principles of "King's Science" to Develop Innovative for Mathayomsuksa 1 Students 2) to develop and
identify the Model 3) to study the effectiveness of the Model and 4) to apply the Model. The results of
study were as follows: 1) Students learned from observing objects and performing activities in groups
and individually. 2) The Model was as effective as 82.40/84.50 3) The effectiveness of the model was;

1 โรงเรียนเทศบาลวดั ท้ายตลาด (กวธี รรมสาร) อาํ เภอเมือง จังหวดั อตุ รดิตถ์

192

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้ังที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564
(1) the students had the ability to create innovation skills statistically significantly higher than before
studying at the level of .05 and (2) the students’ satisfaction toward the science teaching style was at
the highest level. 4. The results of applying was students have the ability to create innovations.
The academic achievement and innovation skills were significantly higher than before studying at the
.05 level and the students were satisfied with the science teaching style at the highest level.
Keywords: Science Instructional Model, Brain-based Learning, Innovation skills

E-mail address: [email protected]

193

การประชุมวิชาการระดับชาติ คร้ังท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

สภาพการอยู่อาศัยและแนวทางการปรับปรุงท่ีอยู่อาศัยของผ้สู ูงอายุ
: กรณีศึกษา ตาํ บลบ่อสุพรรณ อาํ เภอสองพ่นี ้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
Living Conditions and Housing Improvement Guidelines for The Elderly: A Case Study of

Bosuphan, Songphinong, Suphanburi.

ภานุพงศ์ นิลตะโก01 และศาสตรา ศรีหาภาค12
Panupong Niltago1 and Sastra Srihabhak2

บทคัดย่อ
งานวิจยั นีม้ ีวตั ถปุ ระสงค์เพ่ือศึกษาสภาพสงั คม เศรษฐกิจ สภาพ และปัญหาการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุ
และสามารถเสนอแนวทางการปรับปรุงท่ีอย่อู าศยั ของผ้สู งู อายุ โดยกล่มุ ตวั อย่างเป็นผู้สงู อายทุ อ่ี าศยั อย่ใู นตําบล
บ่อสพุ รรณ อําเภอสองพี่น้อง จังหวดั สุพรรณบุรี จํานวน 280 คน โดยการส่มุ แบบเชิงกลุ่มบริเวณ เก็บรวบรวบ
ข้อมลู โดยใช้แบบสมั ภาษณ์ และแบบสงั เกต ผลการวจิ ยั พบวา่ ปัญหาการอย่อู าศยั ทเี่ กิดอบุ ตั เิ หตมุ ากที่สดุ จาํ นวน
3 ลําดบั คอื ห้องนาํ ้ ห้องนอน และห้องนง่ั เลน่ โดยเสนอแนวทางการปรับปรุงท่ีอย่อู าศยั ของผ้สู งู อายุ ดงั นี ้ห้องนํา้
มีพนื ้ มีวา่ งภายในห้องนาํ ้ เส้นผา่ ศนู ย์กลางไมน่ ้อยกวา่ 150 เซนติเมตร ประตแู บบบานเปิดออกสภู่ ายนอก สามารถ
เปิดค้างได้ไม่น้อยกว่า 90 องศา หรือเป็นแบบบานเลื่อน พืน้ ภายในต้องมีระดับเสมอกับพืน้ ภายนอก วสั ดปุ พู ืน้
ต้องไม่ลื่น มีความลาดเอียงเพื่อให้นํา้ สามารถระบายได้ง่าย โถส้วมชนิดนงั่ ราบมีความสงู จากพืน้ ไม่น้อยกว่า 45
เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 50 เซนติเมตร มีพนักพิงหลงั ท่ีปล่อยนํา้ เป็นชนิดคนั โยก หรือป่ ุมกดขนาดใหญ่ มีด้านข้าง
ด้านหนึ่งของโถส้วมอยู่ชิดพนงั โดยมีระยะห่างวดั จากก่ึงกลางโถส้วมถึงผนงั ไม่น้อยกว่า 45 เซนติเมตร แต่ไม่เกิน
50 เซนติเมตร มีราวจับท่ีผนังเป็นแบบแนวนอนและแนวด่ิง โดยราวจับในแนวนอนมีความสูงจากพืน้ 65 - 70
เซนติเมตร และให้ยน่ื ลาํ ้ ออกมาจากด้านหน้าโถส้วมอีกไมน่ ้อยกวา่ 25 เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 30 เซนตเิ มตร ราวจบั
ในแนวด่ิงต่อจากปลายของราวจบั ในแนวนอนด้านหน้าโถส้วมมีความยาววดั จากปลายของราวจบั ในแนวนอนขนึ ้
ไปอย่างน้อย 60 เซนติเมตร และต้องมีราวจบั เพือ่ นําไปสสู่ ขุ ภณั ฑ์อื่น ๆ ภายในห้องนาํ ้ มีความสงู จากพืน้ 80 - 90
เซนติเมตร ก๊อกนํา้ เป็นชนิดก้านโยกหรือก้านกดหรือก้านหมนุ หรือระบบอตั โนมตั ิ ท่ีอาบนํา้ แบบฝักบวั มีพืน้ ท่ีว่าง
ขนาดไม่น้อยกว่า 110 เซนติเมตร และมีความยาวไม่น้อยกว่า 120 เซนติเมตร มีที่นงั่ สําหรับอาบนํา้ ที่มีความสูง
จากพนื ้ ไมน่ ้อยกวา่ 45 เซนติเมตร แตไ่ ม่เกนิ 50 เซนตเิ มตร มีราวจบั ในแนวนอนทดี่ ้านข้างของทนี่ งั่ มคี วามสงู จาก
พืน้ ไม่น้อยกวา่ 65 เซนติเมตร แตไ่ มเ่ กนิ 70 เซนติเมตร และยาวไมน่ ้อยกว่า 65 เซนติเมตร แต่ไมเ่ กิน 70 เซนติเมตร
และมีราวจบั ในแนวด่ิงต่อจากปลายของราวจบั ในแนวนอน และมีความยาวจากปลายของราวจบั ในแนวนอนขึน้
ไปอย่างน้อย 60 เซนติเมตร สิ่งของ เคร่ืองใช้หรืออุปกรณ์ภายในที่อาบนํา้ ให้อยู่สูงจากพืน้ ไม่น้อยกว่า 30

1 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
Faculty of Business Administration, Rajamangala University of Technology Krungthep
2 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
Faculty of Architecture and Design, Rajamangala University of Technology Phra Nakhon

194

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 120 เซนติเมตร ห้องนอน และห้องนงั่ เลน่ เตียงนอนหรือที่นอนมีความยาวไม่น้อยกว่า 180
เซนติเมตร มีความสงู จากพืน้ ถึงระดบั ข้อพบั เข่าไม่น้อยกว่า 40 เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 50 เซนติเมตร และมีที่ว่าง
รอบเตียงไม่น้อยกว่า 90 เซนติเมตร มีการติดตงั ้ ระบบไฟฟ้าแสงสว่างเพียงพอ อุปกรณ์ปิดเปิดไฟฟ้าวควรอยู่ใกล้
กบั เตียงนอน มรี ะยะเอือ้ มถึงสงู จากพนื ้ ไม่เกนิ 90 เซนตเิ มตร เก้าอีส้ งู จากพืน้ ไมน่ ้อยกว่า 40 เซนติเมตร แต่ไม่เกิน
50 เซนติเมตร มพี นกั พงิ เครื่องใช้ควรเป็นชนิดไมม่ ีมมุ แหลม และมหี น้าต่าง

คาํ สาํ คัญ : ที่อยอู่ าศยั , ผ้สู งู อายุ

Abstract
This research is aimed to study the conditions of society, the economy and the living condition
problems of elderly in order to suggest improvement of the housing. The sample consisted of 280 elderly
living in Bo Suphan Sub-district, Song Phi Nong District, Suphan Buri. The research was conducted by
cluster random sampling using interview and observation as the data collecting tools. The result found
that 3 of the problems leading to the highest frequency of accidents were toilet, bedroom and living
room. The suggestion of housing improvement guidelines for the elderly was as follow – Toilets should
contain free space of not less than 150 cm in diameter, door openings to outside to be able to open not
less than 90 degree or sliding door. Inside area should be in the same level with outside area, and the
tiles must not be non-slip with slope allowing water drain easily. Toilet should not be less than 45 cm
from the floor but not higher than 50 cm with backrest and flusher or big pressing button, one side of
the toilet should be attached to the wall with the distance from the center of the toilet to wall not less than
45 cm but not more than 50 cm, the rail attached to the wall vertically and horizontally 65-70 cm from
the floor and extending from the front of the toilet not less than 25 cm but not more than 30 cm. The
vertical rail from the end of horizontal rail in front of the toilet should contain the length from its horizontal
end 60 cm with the handrails leading to other sanity wares in the toilet with 80-90 cm. Hand washing
sink attached to the wall to sink edge was the empty space for the wheelchair to fit the wheels. The
faucet should be lever or push rod or rotating rod or automatic system. The shower should contain space
not less than 110 cm and length not less than 120 cm with showering seat at least 45 cm from the floor
but not higher than 50 cm. The horizonal rail at the side of the seat was 65 cm from the floor but not
higher than 70 cm and the length of not less than 65 cm but not more than 70 cm. The vertical rail from
the end of horizontal rail and the length of its end was not less than 60 cm. Other objects or equipment
in the shower should not be less than 30 cm from the floor but not more than 120 cm. Bedroom and
living rooms the bed should not be less than 180 cm long with the height from the floor to the knee not
less than 40 cm but not more than 50 cm with the space around the bed not less than 90 cm. The
electrical system should be enough with the electrical switch close to the bed. The reaching distance

195

การประชมุ วิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564
should not be more than 90 cm from the floor. The chair should not be less than 40 cm from the floor but
not more than 50 cm with backrest. Electrical equipment should not have sharp edge. The windows
should be provided.

Keyword: Housing, Elderly
E-mail address: [email protected]

196

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ คร้งั ที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

ปัญหามาตรการทางกฎหมายการใช้พืชกญั ชาเพ่ือการแพทย์
Legal measure problem of cannabis for medical use

อลิสา น้อยท0ู1, และ ธชั พงษ์ วงษ์เหรียญทอง1
Alisa Noitoo1, and Thatchapong Wongriantong1

บทคัดย่อ
การวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษาถึงปัญหาการบังคับใช้มาตรการทาง
กฎหมายการใช้พืชกญั ชาเพื่อการแพทย์ในประเทศไทย โดยศึกษาเปรียบเทียบกบั กฎหมายระหว่างประเทศ และ
กฎหมายในต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศแคนาดา ประเทศเนเธอร์แลนด์ และประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐโคโลราโด
โดยจากการศกึ ษาวจิ ยั พบว่า มาตรการทางกฎหมายการใช้พืชกัญชาเพื่อการแพทย์ในประเทศไทยนนั้ ไม่ได้มกี าร
กําหนดรายละเอียดในการบงั คับใช้กฎหมาย ส่งผลก่อให้เกิดปัญหาอันเป็นอุปสรรคในการบงั คับใช้กฎหมาย
ดงั นนั้ จึงควรมีการปรับปรุงแก้ไขมาตรการทางกฎหมายว่าด้วยการใช้พชื กญั ชาเพ่อื การแพทย์ในประเทศไทย โดย
กําหนดรายละเอียดการบงั คบั ใช้กฎหมายที่ชัดเจนยิ่งขึน้ เพื่อผู้ที่ประสงค์จะใช้ประโยชน์จากพืชกัญชาสามารถ
เข้าถึงพืชกญั ชาได้โดยไม่มีปัญหาและอปุ สรรคใดๆ อกี ทงั้ จะทาํ ให้ทราบถงึ หลกั เกณฑ์ในการขอรับใบอนญุ าต ออก
ใบอนญุ าตอย่างแน่ชดั อนั จะส่งผลทําให้พืชกญั ชาได้รับการยอมรับถูกนํามาใช้ในทางการแพทย์อย่างแพร่หลาย
ในประเทศไทยต่อไป
คําสําคัญ : กญั ชาเพอ่ื การแพทย์,กฎหมายกญั ชาเพ่ือการแพทย์,ปัญหากฎหมายกญั ชา

Abstract
This research is qualitative research which aims to study the problems of legal measure
enforcement related to the use of cannabis for medical use in Thailand, by studying and making
comparisons between international laws, foreign laws and Thai Laws, that is to say, Canada,
Netherlands, and Colorado of United States of America. As the result, it appears that the legal measures
applicable to the use of cannabis for medicinal purposes do not determine the details in law
enforcement, thus, causing problems and obstacles in law enforcement. Therefore, legal measures on
the use of cannabis for medicinal use should be revised to be more detailed in law enforcement, so that
those wishing to use the cannabis can easily access to cannabis. Also, they will acknowledge the criteria
for obtaining a license, clear licensing, and the recognition of the cannabis to be widely used as
medicine in Thailand.

Keyword : Medical cannabis, Medical Cannabis Law,Legal measures of Medical Cannabis
E-mail address : [email protected]

1 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั พายพั
Faculty of Law, Payap University

197

การประชุมวชิ าการระดับชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

การศึกษาปัจจยั ส่วนประสมทางการตลาดท่ีมีผลต่อการตัดสินใจซือ้ คอนโดมเิ นียม
ของบริษัท สิงห์ เอสเตท จาํ กัด (มหาชน)

Marketing Mix Factors Affecting Condominium Buying Decision
of Singha Estate Public Company

มารุต อนนั ต์สนั ตวิ งศ์01 และ ชืน่ จติ ต์ แจ้งเจนกจิ 12
Marut Anansantiwong1, and Chuenjit Changchenkit2

บทคัดย่อ

การศึกษาในครัง้ นีม้ ีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจยั ส่วนประสมทางการตลาดท่ีมีผลต่อการตัดสินใจซือ้
คอนโดมิเนียม ของบริษัท สิงห์ เอสเตส จํากดั (มหาชน) เป็นการศึกษาเชิงปริมาณ กล่มุ ตวั อย่างทีใ่ ช้ในการศึกษา
ค้นคว้า คอื ผ้บู ริโภคที่ตดั สินใจซอื ้ คอนโดมิเนียมของ บริษทั สิงห์ เอสเตท จํากดั (มหาชน) จากการเข้าชมโครงการ
คอนโดมิเนียมท่ีก่อสร้ างและมีท่ีตัง้ ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จํานวน 400 ราย โดยการสุ่มกลุ่ม
ตวั อย่างแบบสะดวก ใช้แบบสอบถามออนไลน์เคร่ืองมือในเก็บข้อมลู และสถติ ทิ ใี่ ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู ได้แก่ คา่
ร้ อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ที่ระดับ
นยั สําคัญทางสถิติท่ี 0.05 ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า 1) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ด้านผลิตภณั ฑ์
ด้านราคา และด้านช่องทางการจัดจําหน่าย ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคในการตัดสินใจซือ้ คอนโดมิเนียม ของ
บริษัท สิงห์ เอสเตท จํากดั (มหาชน) สว่ นปัจจยั ส่วนประสมทางการตลาด ด้านการสง่ เสริมการขาย ไม่สง่ ผลต่อ
พฤติกรรมผู้บริโภคในการตดั สินใจซือ้ คอนโดมิเนียม ของบริษัท สิงห์ เอสเตท จํากดั (มหาชน) 2) ปัจจยั จิตวิทยา
ด้านการรับรู้ ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคในการตัดสินใจซือ้ คอนโดมิเนียม ของบริษัท สิงห์ เอสเตท จํากัด
(มหาชน) ส่วนปัจจยั จิตวิทยาด้านทศั นคติ ไม่ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคในการตดั สินใจซือ้ คอนโดมิเนียม ของ
บริษทั สิงห์ เอสเตท จาํ กดั (มหาชน)

คําสาํ คัญ: ส่วนประสมการตลาด, การตดั สนิ ใจซอื ้ , คอนโดมิเนียม

1 นิสิตปริญญาโท หลกั สตู รบริหารธุรกิจมหาบณั ฑติ โครงการปริญญาโท สาํ หรับผ้บู ริหาร คณะบริหารธุรกจิ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
Graduate Student, Executive MBA Program, Faculty of Business Administration, Kasetsart University
2 รองศาสตราจารย์ ภาควชิ าการตลาด คณะบริหารธรุ กจิ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์
Department of Marketing, Faculty of Business Administration, Kasetsart University

198

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564
Abstract

This purpose of this study was to study the Marketing Mix Factors Affecting Condominium
Buying Decision of Singha Estate Public Company. The study sample group consisted of 400 people
visited and purchased of the Singha Estate Public Company’s condominiums locate in Bangkok and
vicinity. The convenience sampling method was employed using an online questionnaire for data
collection. The data were analyzed using percentage, mean, standard deviation, Correlation analysis
and Multiple Linear Regression analysis. Hypothesis testing result, 1) the Marketing Mix’s Factors such
as Product, Price and Place influence the Consumer Behavior of Condominium Buying Decision of
Singha Estate Public Company while the Promotion does not influence the Consumer Behavior of
Condominium Buying Decision of Singha Estate Public Company. 2) the Perception of Psychological
Factor influence the Consumer Behavior of Condominium Buying Decision of Singha Estate Public
Company while the Attitude of Psychological Factor does not influence the Consumer Behavior of
Condominium Buying Decision of Singha Estate Public Company.

Keywords: Marketing Mix, Decision Making, Condominium
Email address: [email protected], [email protected]

199

การประชมุ วิชาการระดับชาติ ครัง้ ที่ 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

ปัจจัยท่มี ผี ลต่อการเลอื กการเดินทางท่องเท่ียวไทยแบบปกติใหม่
Factors Affecting the Selection of New normal Thai Travel

กญั ญาพชั ร วุฒยิ า01
Kanyaphach Woothiya1

บทคดั ย่อ
บทความวจิ ยั นีม้ วี ตั ถปุ ระสงค์เพือ่ ศกึ ษาปัจจยั ทม่ี ผี ลต่อการเลือกการเดนิ ทางท่องเท่ียวไทยแบบปกติใหม่
รูปแบบการวจิ ยั เป็นการวิจยั เชิงปริมาณ (Quantitative Research) ประชากรกลมุ่ ตวั อย่างคอื นกั ท่องเท่ียวชาวไทย
จํานวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู ซงึ่ นําผลที่ได้มาวิเคราะห์ค่าทาง
สถิตโิ ดย หาความถ่ี คา่ ร้อยละ ค่าเฉลยี่ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมตฐิ านด้วยสถติ ิการทดสอบแบบ
t-test สถิติวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และหากพบความแตกต่างจะนําไป
เปรียบเทียบเป็นรายค่โู ดยใช้วิธีของ LSD ท่ีนยั สําคญั ทางสถิติที่ระดบั 0.05 ผลการศกึ ษา พบว่า ปัจจยั ที่มีผลตอ่
การเลือกการเดินทางท่องเท่ียวไทยแบบปรกติใหม่ปัจจยั ท่ีมีผลต่อการเลือกการเดินทางท่องเที่ยวไทยแบบปกติ
ใหม่ โดยรวมอยใู่ นระดบั มาก ( ̅ = 4.09, S.D. = 0.79) เม่อื จําแนกเป็นรายด้าน โดยเรียงคา่ เฉล่ยี จากมากไปน้อย
พบว่าด้านผลิตภณั ฑ์ เป็นด้านท่ีสง่ ผลต่อการตดั สนิ ใจของนกั ทอ่ งเทยี่ วชาวไทยมากทส่ี ดุ ( ̅ = 4.26, S.D. = 0.71)
รองลงมาคือด้านกระบวนการอย่ใู นระดบั มากท่ีสดุ ( ̅ = 4.23, S.D. = 0.69) ด้านช่องทางการจดั จําหน่าย อย่ใู น
ระดบั มาก ( ̅ = 4.18, S.D. = 0.75) ด้านการส่งเสริมการตลาด อยู่ในระดบั มาก ( ̅ = 4.06, S.D. = 0.81) ด้าน
บุคลากรอยู่ในระดบั มาก ( ̅ = 4.06, S.D. = 0.75) ด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ อยู่ในระดับมาก ( ̅ = 4.01,
S.D. = 0.84) และด้านราคาอยู่ในระดับมาก ( ̅ = 3.82, S.D. = 0.94) สําหรับผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า
ปัจจยั ทม่ี ผี ลต่อการเลือกการเดนิ ทางท่องเที่ยวไทยแบบปกติใหม่ พบว่า ลกั ษณะประชากรศาสตร์ มีผลต่อปัจจยั ที่
มีผลต่อการเลือกการเดินทางท่องเที่ยวไทยแบบปกติใหม่โดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนยั สําคญั ท่ีระดบั 0.05
สอดคล้องกบั สมมตฐิ านทีต่ งั ้ ไว้

คาํ สาํ คัญ: ปัจจยั ; ทอ่ งเท่ยี วไทย; แบบปกตใิ หม่

Abstract
This Article aimed at study factors affecting the selection of new normal Thai travel. The study
was quantitative research. The population and sample groups in this research were 400 Thai tourists by
using purposive sampling Data were collected and analyzed by using statistical tools such as of
frequency, percentage, mean and standard deviation. Moreover, hypothesis was tested with t-test and

1 สาขาการทอ่ งเท่ียวทอ่ งเท่ียว การจดั ประชมุ สมั มนาและงานอเี วนท์ คณะบริหารธุรกิจ มหาวทิ ยาลยั กรุงเทพสวุ รรณภมู ิ กรุงเทพมหานคร
Tourism Meeting Seminar and Event Business administration Bangkok Suvarnabhumi University Bangkok 10520

200

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ คร้งั ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564
one-way ANOVA statistics. Besides, if the differences were found, they would be analyzed in pair by
LSD. There was interaction at the 0.05 level of significance. The results showed that factors affecting the
selection of new normal Thai travel Overall was at the highest level ( ̅ = 4.09, S.D. = 0.79) when
classified by aspect The averages are sorted from highest to lowest. found that the product It is the
aspect that affects the decision of Thai tourists the most ( ̅ = 4.26, S.D. = 0.71) followed by the process
aspect at the highest level ( ̅ = 4.23, S.D. = 0.69). At a high level ( ̅ = 4.18, S.D. = 0.75) in terms of
marketing promotion. At a high level ( ̅ = 4.06, S.D. = 0.81) Personnel aspect is at a high level ( ̅ =
4.06, S.D. = 0.75) Physical environment It is in a high level ( ̅ = 4.01, S.D. = 0.84) and the price is in a
high level ( ̅ = 3.82, S.D. = 0.94). The hypothesis test represented that, Factors affecting the selection
of a new normal Thai travel trip found that demographic characteristics There was a significant
difference in the factors affecting the selection of a new normal Thai travel trip with a significant
difference at the 0.05 level, consistent with the hypothesis.
Keywords: Factors; Thai travel; New normal
E-mail address: [email protected], [email protected]

201

การประชุมวชิ าการระดับชาติ คร้ังที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564

ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดท่ีมีผลต่อการเลอื กบริโภค
ขนมไทยของนักศึกษา ในเขตจังหวดั ปทมุ ธานี

Marketing Mix Impact on Purchase of Thai Dessert
For University Students in Pathumthani Area

ธรี วัฒน์ อ่ิมประคองศลิ ป์ 01 และ สถุ ี เสริฐศรี1
Theerawat Eimprakongsilph1 and Suthee Sertsri1

บทคัดย่อ
การศึกษาในครัง้ นีม้ วี ตั ถปุ ระสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจยั ส่วนบุคคลของนกั ศึกษา 2) เพ่ือศกึ ษาทศั นคตขิ อง
นกั ศึกษาท่ีมีต่อการบริโภคขนมไทย และ 3) เพ่ือศึกษาปัจจยั สว่ นประสมทางการตลาดท่ีมีผลต่อการตดั สินใจซือ้
ขนมไทยของนักศึกษา เป็นการวิจัยเชิงสํารวจ โดยกลุ่มตัวอย่างคือที่ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย เขตจังหวัด
ปทมุ ธานี จํานวน 400 คน โดยเครื่องมือวิจยั เป็นแบบสอบถามแบบเลือกตอบและมาตรประเมินค่า 5 ระดบั สถิติ
ทใ่ี ช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย คา่ สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน และค่าสถติ ิ T-test, F-test (ANOVA)
ผลการวิจยั พบว่า นกั ศกึ ษาที่มีเพศต่างกนั มปี ัจจยั สว่ นประสมทางการตลาดท่ีสง่ ผลตอ่ การตดั สินใจซือ้ ขนมไทย
โดยรวมต่างกัน ในขณะที่นักศึกษาท่ีมีสถาบันศึกษาต่างกันและมีรายได้ต่างกัน มีปัจจัยส่วนประสมทาง
การตลาดท่ีสง่ ผลตอ่ การตดั สินใจซอื ้ ขนมไทยโดยรวมไมต่ ่างกนั

คาํ สําคัญ: ทศั นคติ, ส่วนประสมทางการตลาด, ขนมไทย

Abstract
This research has two objectives: 1) to study the personal factors. 2) to examine the attitudes
of students towards the consumption of Thai dessert and 3) to study the marketing mix that has effects
on decision on purchasing Thai dessert. The sample group consisted of 400 students who study in the
universities located in Phatum Thani province. Questionnaires were used to collect data Percentage,
Mean, Standard Deviation, T-test and F-test (ANOVN) were used to analyze the data collected by the
samplings. The results revealed that differences between genders show significant difference towards
decision making on purchasing Thai dessert while the differences between average monthly income
and different institutions do not show any significant differences.

Keywords: Attitudes, Marketing mix, Thai dessert
E-mail address: [email protected]

1 คณะมนษุ ยศาสตร์และการจดั การการทอ่ งเทยี่ ว มหาวทิ ยาลยั กรุงเทพ
School of Humanities and Tourism Management, Bangkok University

202

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

การร้องทกุ ข์:ศึกษาถึงการรับรู้และความเข้าใจในกระบวนการร้องทุกข์
Complaints: A study of awareness and understanding of the complaint process

ณัฐวุฒิ ทองเขียว01, ณฐั สิทธ์ิ วเิ ชยี รขจร1, ณฐั วฒุ ิ สดุ ยง่ิ 1 , ณฐั วฒั น์ วงศ์สวุ รรณ1, ณฐั ินนท์ ศิริเสถยี ร1
และสนนั ยามาเจริญ12

Nattawut Thongkhiew ,Nutthasit Wichenkhajon , Nattawut Sudying , Nattawat Wongsuwan , Nuttinon Sirisatain
and Sanan Yamacharoen2

บทคดั ย่อ
บทความวิจยั นีม้ ่งุ ทําการศึกษาเกี่ยวกับการดําเนินการร้องทกุ ข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญา โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือทําการศกึ ษาถึงปัญหาและความสําคญั ของการร้องทกุ ข์ตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญาการแก้ไขช่องว่างของการร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและ เพ่ือ
ศึกษารูปแบบของการร้องทุกข์ท่ีจะสามารถนํามาปรับใช้กับเหตุการณ์ปัจจุบันโดยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ซ่ึง
ทําการศึกษาจากเอกสาร วารสาร ตําราทางวิชาการ สื่ออินเทอร์เน็ต แบบสอบถามจากกล่มุ ตัวอย่างของนิสิต
มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา และแบบสัมภาษณ์เชิงโครงสร้ างปลายเปิดของผู้ประกอบอาชีพทาง
กฎหมาย (เจ้าพนักงานตํารวจและทนายความ) จากผลการศึกษาพบว่านิสิตจากกล่มุ ตวั อย่างเก่ียวกับความรู้
ความเข้าใจเก่ียวกบั ขนั้ ตอนกระบวนการในการร้องทกุ ข์ในคดีอาญาจาํ นวน 108 คน นิสิตสว่ นใหญ่มคี วามรู้ความ
เข้าใจเกี่ยวกบั ระเบียบ ขนั้ ตอนและกระบวนการของการร้องทกุ ข์ในคดอี าญาอยู่ในระดบั ปานกลาง และแบบจาก
ผลการสมั ภาษณ์ของของผู้ประกอบอาชีพทางกฎหมายเหน็ ว่าควรจะมกี ารแก้ไขหรือเพิ่มเติมเก่ียวกบั การแจ้งสทิ ธิ
แก่ผู้ร้ องทุกข์เกี่ยวกับการร้ องทุกข์เพ่ือสร้ างความเข้าใจ ตลอดจนผู้วิจัยเห็นว่าควรมีการเผยแพร่กฎหมายท่ี
เก่ียวข้องเพ่ือให้ประชาชนได้ทราบถึงระบบและกระบวนการยุติธรรมทางอาญาโดยเฉพาะในชนั้ เกี่ยวกบั พนกั งาน
สอบสวน

คาํ สาํ คัญ: การร้องทกุ ข์, ความเข้าใจ, การรับรู้

Abstract
This research paper aims to study the grievance proceedings under the Criminal Procedure
Code. The objective is to study the problems and importance of complaints under the Criminal
Procedure Code, to correct gaps in complaints under the Criminal Procedure Code and to study the
patterns of grievances that can be applied to current events as qualitative research. which studied

1 นกั ศกึ ษาปริญญาตรีคณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั ทกั ษัณ วทิ ยาเขตสงขลา
Underqraduate student, Faculty of Law Thaksin University Songkhla
2 อาจารย์ประจาํ คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษัณ วิทยาเขตสงขลา
Lecturer at Faculty of Law Thaksin University Songkhla

203

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564
from documents, journals, academic textbooks internet media A questionnaire from a sample of
Thaksin University students Songkhla Campus and an open-ended structured interview form of legal
professionals (police officers and lawyers). From the results of the study, it was found that at present,
there are students from the sample group who answered the questionnaire to measure their
knowledge of the regulations, procedures and processes of grievances. In criminal cases of 108
people, out of the 10 questionnaires, the results can be analyzed, indicating that most students have
knowledge and understanding of regulations. The process and grievance process in criminal cases
were moderate. And the open-ended structured interviews of legal professionals have different
opinions. Most of them have both agree and disagree. and there should be amendments or additions
to any part of the complaints process in criminal cases. Therefore, the researcher is of the opinion that
there should be amendments, amendments, additions and specific exercises relating to the criminal
complaint process for the relevant officials to know. to the system in detail in order to facilitate and be
fair to the people as carefully as possible

Keywords: complaint,understanding,recognition
Email Address: [email protected]

204

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ คร้งั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564
ปัจจยั ท่มี ผี ลต่อประสิทธิภาพการท่องเท่ียวในประเทศในกลุ่มประเทศ OECD:
แบบจาํ ลอง DEA สองขัน้ ตอน

Determinants of tourism efficiency in OECD countries: A Two-Stage DEA Model
ธัญญชนก กุศะโรจน์01, โฮเฮ ฟิเดล บาราโฮนา คาเซอเรส12, วรรณวไิ ล จลุ พนั ธ์2, และ กนั ตพร ช่วงชดิ 2

Tunyachanok Gusaroj1, Jorge Fidel Barahona Caceres2, Wanvilai Chulaphan2, and Kantaporn Chuangchid2

ABSTRACT
This study investigates the tourism efficiency and its determinants for 28 countries over the
period 2010 to 2016 by using output-oriented data envelopment analysis (DEA). The results show that
the efficiency value of OECD member countries is constantly expanding. The average of tourism
efficiency in high-income countries have high efficiency tourism value. In second stage, Tobit regression
to determine the explanatory variables. Finding suggest that trade openness, economic development,
urbanization, and environmental regulation have a positive effect on the efficiency of tourism industry.
These have significant positive impact on tourism efficiency. These results can help governments in
planning through allocation of funds to promote regional tourism cooperation and increasing the
efficiency of tourism industry to increase the competitiveness in tourism industry.

Keywords: Tourism industry, Data envelopment analysis, Tobit regression, Output-oriented technical efficiency
E-mail address: [email protected]

1 หลกั สตู รมหาบณั ฑติ สาขาเศรษฐศาสตร์ประยกุ ต์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั แม่โจ้ จงั หวดั เชยี งใหม่
Master of Economics in Applied Economics, Faculty of Economics, Maejo University, Chiang Mai
2 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลยั แมโ่ จ้ จงั หวดั เชยี งใหม่
Faculty of Economics, Maejo University, Chiang Mai

205

การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

ปัจจยั ท่ีมีผลต่อการเตบิ โตของผลิตภาพการผลติ รวมของตวั แทนไปรษณีย์สากลในแต่ละประเทศ
Determinants of Total Factor Productivity Growth in
Different Postal Designated Operators

ธัญวรัตม์ แก้วทอง01, โฮเฮ ฟิเดล บาราโฮนา คาเซอเรส12, วรรณวิไล จลุ พนั ธ์2, และ กนั ตพร ช่วงชดิ 2
Tunwarat Kaewthong1, Jorge Fidel Barahona Caceres2, Wanvilai Chulaphan2, and Kantaporn Chuangchid2

Abstract
This study measured total factor productivity (TFP) growth of Designated Operators
(DOs) from Universal Postal Union and its determinants by using DEA-Malmquist Productivity Index and
regression analysis with EGLS. The results reveal that the average TFP growth in Asia, Europe and CIS,
and Latin America and Caribbean have increased from 2016 to 2018 while Africa is only region that has
decreased trend of TFP growth. The findings also show that among the determinants of TFP, the level
of income, 2IPD, and liberalization have positive relationship with TFP growth while GII has negative
relationship with TFP growth. These results can give consideration for DOs to improve their performance
by focusing on being total liberalized in postal sector, and quality of DOs. The government can support
them by launch policies that facilitate postal industry such as improving country’s infrastructure like road
for transportation as soon as possible.

Keyword : Total Factor Productivity, Malmquist Productivity Index, Data Envelopment Analysis, Postal Service
E-mail address: [email protected]

1 หลกั สตู รมหาบณั ฑติ สาขาเศรษฐศาสตร์ประยกุ ต์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั แม่โจ้ จงั หวดั เชียงใหม่
Master of Economics in Applied Economics, Faculty of Economics, Maejo University, Chiang Mai
2 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั แมโ่ จ้ จงั หวดั เชยี งใหม่
Faculty of Economics, Maejo University, Chiang Mai

206

การประชุมวิชาการระดับชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

มโนสาํ นึกทางกฎหมายเก่ยี วกับการมองความรุนแรงในครอบครัว
Legal Conscience Relevant to Opinions on Violence in Family

อมรเทพ บุญเทพ01, อภิชญา สขุ เอียด 1, อภิญญา บญุ ยรัตน์ 1, อภิรมณ ดํามณี1, อภสิ ิทธิ์ คาํ นวน1 ,
อรจิรา พรหมสวสั ดิ์1, และสนนั ยามาเจริญ12

Amonthep Bunthep, Apichaya Suk-ied, Apinya Bunyarat, Apiramon Dummanee, Apisit comenuan,
Onchira Promsawat, and Sanan Yamacharoen

บทคดั ย่อ
บทความวิจัยฉบบั นีม้ ีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประเด็นของทัศนคติมุมมองของบุคคลที่มองเรื่องการใช้
ความรุนแรงในครอบครัวในประเด็นเก่ียวกบั ความรู้ความเข้าใจต่อปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ปัจจยั ในการ
เกิดความรุนแรงแนวทางป้องกันหรือทางแก้สําหรับปัญหาการใช้ความรุนแรงภายในครอบครัวตลอดจนทัศนคติ
การรับรู้และการยอมรับ สําหรับการกระทําที่เป็นความรุนแรงในครอบครัว โดยเป็นการวิจยั แบบเชิงคณุ ภาพด้วย
โดยใช้วิธีการศึกษาจากเอกสารที่ผู้วิจยั ได้รวบรวมข้อมลู ท่ีได้จากงานวิจัย วิทยานิพนธ์ เอกสารอื่นๆ ท่ีเกี่ยวข้อง
และการจากเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามประชากรในพืน้ ที่เป็นจํานวน 100 ราย โดยมีการสร้ างคําถามเป็น
แบบสอบถามตามแบบสอบถามตามประเด็นตามวตั ถุประสงค์ และได้ทาํ การลงมอื เกบ็ ข้อมลู โดยผ่านระบบซ่ึงผล
การศึกษาเกี่ยวกับสาเหตุส่วนตัวเช่นความไม่เข้าใจ วัฒนธรรมของสงั คมยังมองชายเป็นใหญ่ยังมีอยู่ รวมถึง
ปัญหาทางสขุ ภาพ เช่นป่ วยเครียด ปัญหาสงั คม ส่วนทศั นคติค่านิยมท่ียงั คิดว่าหญิงเป็นสมบตั ิของชายยงั มีอยู่
แม้ว่าจะเป็นส่วนน้อย และวฒั นธรรมความเชื่อค่านิยมความแตกต่างระหว่างบทบาทหน้าท่ีชายกบั หญิงโดยมอง
ว่าชายเป็นผู้นํายงั มีอย่แู ม้เป็นสว่ นน้อยกต็ ามสว่ นประเด็นเก่ียวกบั ทศั นคติการมองความทําร้ายในครอบครัวสว่ น
ใหญ่มองว่ามิใช่เพียงเป็นเรื่องสว่ นตวั หากแต่ยงั มีส่วนน้อยท่ีมองว่าเป็นเร่ืองครอบครัว จึงอาจสรุปได้ว่า ทศั นคติ
ของกล่มุ ประชากรการศกึ ษาครัง้ มิได้มองความรุนแรงเป็นเร่ืองสว่ นตวั อย่างไรก็ตามความเห็นส่วนน้อยยงั คงมอง
วา่ เป็นเรื่องภายในครอบครัวอยแู่ ละยงั มีแนวคดิ ท่ีเห็นว่าชายเป็นใหญ่ยงั คงมีอย่ผู ู้วิจยั เห็นว่าการสร้างความเข้าใจ
เกี่ยวกับสิทธิที่ถกู ต้องเก่ียวกบั บทบาทและสทิ ธิหน้าของบคุ คลในครอบครัวควรมีการสร้างทศั นคติท่ีถกู ต้อง ไม่ว่า
เป็นการปลูกฝัง การสร้ างการรับรู้ จึงเห็นว่าควรเผยแพร่ให้ความรู้เก่ียวกับสิทธิหน้าของบุคคลในครอบครัวที่
ถูกต้อง ทัง้ นีเ้ พ่ือสร้ างทัศนคติที่ถูกต้องและวัฒนธรรมความสัมพันธ์ในครอบครัวท่ีถูกต้องในสังคมไทย ทัง้ นี ้
สามารถแก้ปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัวได้

คําสําคัญ: ความรุนแรงในครอบครัว, ทศั นคติ, การร้องทกุ ข์, การรับรู้,ความเข้าใจ.

1นกั ศกึ ษาปริญญาตรีคณะนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษัณ วทิ ยาเขตสงขลา
Underqraduate student, Faculty of Law Thaksin University Songkhla
2อาจารย์ประจําคณะนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณั วทิ ยาเขตสงขลา
Lecturer at Faculty of Law Thaksin University Songkhla

207

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ คร้ังที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564
Abstract

This research was aimed (1) to study on violence in family, (2) to study on personal opinion on
violence in family, and (3) to find out knowledge and understanding toward the violence and factors of
the violence in order to prevent family violence. This research was qualitative research done with data
collection from many researches, thesis, and questionnaires designed for data collection from 100
persons in region 9. The research found that respondents’ opinion about family violence said that family
violence emerged from misunderstandings. Most respondents agreed that the family violence came
from misunderstandings of which number of male respondents more than female respondents that was
most male agreed that cause of family violence came from misunderstandings. However, there was
another cause of family violence that the respondents informed that was violence used for coping family
problem, the female respondents believed that there were many factors causing violence in family such
as environment, emotional status, stress, communication, mental sickness, narcotics, social and
economic environment, value, belief, and culture related to role of male and female for married life.
Suggestion: Misbelief about patriarchy thinking should be corrected in order to enhance the gender
equality between male and female especially in the family, then the family violence may be reduced in
the future.

Keywords: Family violence, Attitude about violence, Battery in family.
Email Address: [email protected]

208

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ คร้ังที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

กระบวนการบริหารองค์การดิจทิ ัลของสถานศกึ ษาภาครัฐ
สงั กดั อาชวี ศึกษาในจงั หวดั ยะลา

digital organization management process for Public Educational Institutes
Under Vocational Education in Yala Province

สริ ิวขิ วญั จุไรรัตน์01, ณรรช หลกั ชยั กลุ 1, และ ประจวบ ทองศรี1
Siriwikhwan churairat1, Nat Luxchaigul1, and Prachuab Tongsri1

บทคดั ย่อ
การศึกษานีม้ ีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์กระบวนการบริหารองค์การดิจิทลั ของสถานศกึ ษาภาครัฐสงั กัด
อาชีวศกึ ษาในจงั หวดั ยะลา โดยทําการวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ ผ้ใู ห้ข้อมลู คอื รองผ้อู ํานวยการสถานศกึ ษาและเจ้าหน้าท่ี
ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบตั ิงานดิจิทัล ในสถานศึกษาภาครัฐสงั กัดอาชีวศึกษาจังหวดั ยะลา จํานวน 10 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจยั คือ แบบสมั ภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมลู โดยการวิเคราะห์เนือ้ หา (Content Analysis)
และนําเสนอข้อมลู ด้วยรูปแบบเชิงพรรณนา ผลการวิจยั พบว่า กระบวนการ PDCA เพ่ือเสริมสร้างองค์การดิจทิ ลั
ของสถานศึกษาภาครัฐสังกัดอาชีวศึกษาในจังหวัดยะลา ประกอบด้วย 1. ด้าน Digital Mindset พบว่า
สถานศกึ ษาภาครัฐสงั กัดอาชีวศกึ ษาในจงั หวดั ยะลาทกุ แห่งมีแผนในด้านนี ้ แต่สถานศกึ ษากไ็ มไ่ ด้นําการวางแผน
ชดุ ความคิดแนวคิดทจ่ี ะใช้เทคโนโลยดี จิ ทิ ลั มาเป็นพืน้ ฐานในการขบั เคล่ือน พฒั นาองค์การ ปรับปรุงกระบวนการ
ปฏบิ ตั งิ านให้กบั บคุ ลากร 2. ดา น Digital Process พบว่า สถานศกึ ษาภาครัฐสงั กดั อาชีวศกึ ษาในจงั หวดั ยะลาไม่
มีแผนในด้านนี ้แต่สําหรับสถานศึกษาบางแห่งได้มีกระบวนการปฏิบตั ิงานท่ีเป็นวิทยาศาสตร์ มีตรรกะที่เป็นเหตุ
เป็นผลที่จะอธิบายได้ ลดการใช้ดลุ ยพินจิ มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ 3. ด้าน Digital Skills พบว่า สถานศกึ ษา
ภาครัฐสงั กดั อาชีวศกึ ษาในจงั หวดั ยะลาส่วนใหญ่ไมม่ ีแผนในด้านนี ้ และสาํ หรับสถานศกึ ษาบางแหง่ ท่ีมีแผน ได้มี
การพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้ อม มีทักษะ มั่นใจ ที่จะใช้เทคโนโลยีดิจิทัล 4. Digital Culture สถานศึกษา
ภาครัฐสงั กัดอาชีวศึกษาในจังหวัดยะลาทุกแห่งไม่มีแผนในด้านนีแ้ ต่สถานศึกษามีการตดั สินใจการแก้ปัญหา
ปรับปรุงงานท่ีต้องมีความรวดเร็ว ด้วยการใช้ข้อมลู เป็นศนู ย์กลาง
คําสาํ คัญ: กระบวนการบริหาร, องค์กรดิจทิ ลั , อาชวี ศกึ ษา จงั หวดั ยะลา

1 ภาควิชาการบริหารการพฒั นาสงั คม คณะมนษุ ยศาสตร์และมนษุ ยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จงั หวดั ปัตตานี
1 Arts in Social Development Administration, Faculty of Humanities and Social Sciences, Prince of Songkla University Pattani Campus

209

การประชมุ วิชาการระดับชาติ คร้งั ท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564
Abstract

The purposes of this study were to analyze the digital organization management process of
government colleges under vocational education in Yala Province by conducting qualitative research.
The informants were ten people including the deputy directors of the colleges and the staffs involved in
digital operations of government colleges under vocational education in Yala Province. Research
instrument was an in-depth interview. Data were analyzed by content analysis and presented in a
descriptive form. The research findings were investigated that PDCA process for strengthen digital
organization of government educational institutions under vocational education in Yala Province
consisting as follows (1) Digital Mindset aspect found that the every government colleges under
vocational education in Yala Province had plans but didn’ t take the conceptual planning that will use
digital technology as a basis to drive organizational development and improve work processes for
personnel. (2) Digital Process aspect found that the most government colleges under vocational
education in Yala Province had no plans but some colleges had plans, there were scientific process,
logical logic to explain it, and reduce discretion transparent and verifiable operations. (3) Digital Skills
aspect found that the most government colleges under vocational education in Yala Province had no
plans and some colleges had plans, there was personnel plan have been developed to be ready, skilled
and confident in using digital technology. Lastly, (4) Digital Culture aspect found that every government
college under vocational education in Yala Province had no plans in this aspect but there were good
decisions to solve problems and improve tasks that require speed with the use of data as the center.

Keyword Management Process, Digital Organization, Vocational Education, Yala Province

Keyword Management Process, Digital Organization, Vocational Education, Yala Province
E-mail address: [email protected]

210

การประชุมวิชาการระดับชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564

ผลกระทบของสุขภาพในมิติของทนุ มนุษย์ต่อการเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกจิ ในกลุ่มประเทศอาเซยี น
The effects of health as a form of human capital on economic growth in ASEAN countries

หทยั กานต์ โสมิญะ01, โฮเฮ ฟิเดล บาราโฮนา คาเซอเรส12, วรรณวไิ ล จลุ พนั ธ์2, และ กนั ตพร ชว่ งชดิ 2
Hathaikarn Somiya1, Jorge Fidel Barahona Caceres2, Wanvilai Chulaphan2, and Kantaporn Chuangchid2

Abstract
This study examines the relationship between health as a form of human capital and economic
growth using a panel data from selected countries in South East Asia to base on Solow growth theory. We
estimated a generalized least square regression model using data from nine developing countries in South
East Asia. Findings suggest that health as a form of human capital have negative affect to economic growth
on ASEAN because the ASEAN government expenditure has focused on spending to help people who are
sick from NCDs and does not focus their resources to improve health facilities and access. Thus,
government should promote heavily in proper distribution of health personnel in rural or remote areas have
sufficient medical personnel to promote human capital in health that have efficiency and prepared with the
increasing life expectancy of the population.

Keywords: Economics growth, Human capital in health, ASEAN, Obesity

1 หลกั สตู รมหาบณั ฑิต สาขาเศรษฐศาสตร์ประยกุ ต์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั แม่โจ้ จงั หวดั เชยี งใหม่
Master of Economics in Applied Economics, Faculty of Economics, Maejo University, Chiang Mai
2 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั แมโ่ จ้ จงั หวดั เชียงใหม่
Faculty of Economics, Maejo University, Chiang Mai

211

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ ครั้งท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564

ปัจจยั เชงิ เปรียบเทยี บในการอธบิ ายจาํ นวนสิทธิบัตรของไทย สงิ คโปร์ และอนิ โดนีเซีย
Comparative Factors Explaining Number of Patents of Thailand, Singapore, and Indonesia

ปาณิศา พฤษศิริสมบตั 0ิ1 และ ธนโชติ บญุ วรโชติ1
Panisa Prutsirisombut1 and Tanachote Boonvorachote1

บทคัดย่อ
งานวิจยั นีม้ ีวตั ถปุ ระสงค์เพื่อศกึ ษาปัจจยั เชิงเปรียบเทียบในการอธิบายจํานวนสิทธิบตั รของทงั้ 3 ประเทศ
(ไทย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์) โดยใช้การวิจัยและหลักความคิดท่ีต่อยอดจากการศึกษาปัจจัยในการพฒั นา
ศกั ยภาพทางด้านนวตั กรรมของประเทศ วเิ คราะห์ข้อมลู หาความสมั พนั ธ์ของปัจจยั กับจํานวนสิทธิบตั รโดยการใช้
การวิเคราะห์สมการถดถอย (Ordinary Least Squares: OLS) ทําการประมาณค่าพารามิเตอร์ ตวั แปรอิสระด้วย
วิธีกําลงั สองน้อยท่ีสดุ ผลการศึกษาพบว่าตัวแปรหรือปัจจยั ที่มีผลต่อจํานวนสิทธิบตั รของประเทศสิงคโปร์ คือ
จํานวนสิทธิบตั รระหว่างประเทศสะสมและผลติ ภณั ฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหวั ส่วนตวั แปรหรือปัจจยั ท่มี ีผล
ต่อจํานวนสิทธิบตั รของประเทศไทย คือค่าใช้จ่ายด้านการวิจยั และพฒั นาของประเทศ และสดั ส่วนค่าใช้จ่ายด้าน
การศกึ ษาต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ในขณะเดียวกันนนั้ ยงั ไม่มีปัจจยั ใดท่ีมีผลต่อจํานวนสิทธิบตั รของ
ประเทศอนิ โดนเี ซีย

คาํ สาํ คัญ: ศกั ยภาพทางด้านนวตั กรรม คา่ ใช้จา่ ยด้านการศกึ ษา การเปิดกว้างทางด้านการลงทนุ ค่าใช้จ่ายด้านการวิจยั และพฒั นา

Abstract
This research aims to study comparative factors for explaining numbers of patents in three
countries (Thailand, Indonesia, and Singapore) to develop Thailand's innovation potential. Analyzed for
the relationship of factors and patent numbers by multi-variate regression equations. Regression
parameters are estimated by the Ordinary Least Squares: OLS. The results showed that variables or
factors explaining Singapore's number of patents are cumulative number of international patents and
GDP per capita. Factors explaining number of Thailand’s patents are education expenditures and
national research and development costs. There is no evidence for factors explaining numbers of
Indonesia’s patents

Keyword: National Innovative Capacity, Education Expenditure, Openness to International Investment, R&D Expenditure
E-mail address : [email protected]

1 ภาควิชาเทคโนโลยอี ตุ สาหกรรมเกษตร คณะอตุ สาหกรรมเกษตร มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพมหานคร

212

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ คร้ังท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

การประยุกตใ์ ช้ระบบสารสนเทศภมู ศิ าสตรเ์ พอื่ วิเคราะหพ์ นื้ ทเี่ สย่ี งภยั แล้งในจงั หวัดเพชรบูรณ์
The Application of Geographic Information System for Analyzing Drought Risk Area
in Phetchabun Province

ปัญญา สนิทวงค1์ และสถาพร มนตป์ ระภสั สร1
Panya Sanitwong1 and Sathaporn Monprapusssorn1

บทคดั ย่อ

การวิจยั ครงั้ นีม้ ีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือศกึ ษาปัจจยั เชิงสาเหตทุ ่ีมีอิทธิพลตอ่ การเกิดภยั แลง้ วิเคราะหพ์ ืน้ ท่ีเส่ียงภยั
แลง้ ดว้ ยการประยกุ ตใ์ ชร้ ะบบสารสนเทศภมู ิศาสตร์ และหาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งปัจจยั เชิงสาเหตกุ บั ความเส่ียงตอ่ การ
เกิดภยั แลง้ ในจงั หวดั เพชรบรู ณ์ กระบวนการวิจยั มี 3 ขนั้ ตอน คือ 1) ศึกษาปัจจยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง โดยทบทวนวรรณกรรม
และงานวิจยั ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ภยั แลง้ 2) เก็บรวบรวมขอ้ มลู ทงั้ บริบทของพืน้ ท่ีศึกษา การสมั ภาษณผ์ เู้ ช่ียวชาญ จานวน
12 ท่าน ผ่านการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เพ่ือหาค่าเฉล่ียจากปัจจัยท่ีกาหนด และรวบรวมขอ้ มูลสารสนสนเทศ
เก่ียวกบั ปัจจยั ต่าง ๆ และ3) ประมวลผลและวิเคราะหข์ อ้ มลู โดยการกาหนดใหค้ ่าคะแนนความสาคญั และค่านา้ หนกั
ระดบั ปัจจยั จากผเู้ ช่ียวชาญเพ่ือวิเคราะหป์ ัจจยั ท่ีมีอิทธิพลตอ่ การเกิดภยั แลง้ และหาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความเส่ียง
ต่อการความแลง้ ดว้ ยวิธีการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเสน้ และวิเคราะหค์ วามเส่ียงต่อการเกิดภัยแลง้ ในพืน้ ท่ีโดยการ
ประยกุ ตใ์ ชร้ ะบบสารสนเทศภมู ิศาสตร์ (GIS) ผลการวิจยั พบวา่ จงั หวดั เพชรบรู ณ์ ซ่งึ มีพืน้ ท่ี 12,396.32 ตร.กม. พบวา่
พืน้ ท่ีเส่ียงภยั แลง้ นอ้ ยถึงปานกลางครอบคลมุ พืน้ ท่ีจงั หวดั มากท่ีสดุ มีพืน้ ท่ีประมาณ 3,488.45 และ 2,993.40 ตร.กม.
เป็นพืน้ ท่ีท่ีมีปัจจัยทางกายภาพท่ีทาใหเ้ กิดความแหง้ แลง้ เช่น ปริมาณฝนเฉล่ียคาบ 30 ปี ศักยภาพนา้ บาดาล
ระยะห่างจากพืน้ ท่ีชลประทาน การระบายนา้ ของดิน พืน้ ท่ีชนั้ คณุ ภาพล่มุ นา้ และสถิติการเกิดภยั แลง้ ซ่ึงสมั พนั ธก์ บั
ลกั ษณะภูมิประเทศท่ีเป็นภูเขาดา้ นทิศเหนือและเป็นแนวขนานทงั้ 2 ขา้ งในทิศตะวนั ออกและตะวันตกของจงั หวดั
สง่ ผลต่อการจดั หาแหลง่ กกั เก็บนา้ ทาใหเ้ กิดการขาดแคลนนา้ ท่ีนาไปสภู่ ยั แลง้ สง่ ผลตอ่ กิจกรรมท่ีจาเป็นต่อการใชน้ า้
ทงั้ ในภาคอปุ โภคและบรโิ ภค รวมไปถึงกิจกรรมทางการเกษตรท่ีมีความจาเป็นตอ้ งใชน้ า้ จานวนมาก

คาสาคัญ : พืน้ ท่ีเส่ยี งภยั แลง้ , ระบบสารสนเทศภมู ิศาสตร์

Abstract

This research aims to assess drought risk area, analyze drought risk area by applying Geographic
Information System (GIS). And to find the relationship between the factors and the risk of drought in Phetchabun
Province. The research process consisted of 3 steps: 1) to study thefactors; byreviewing literature andresearch
related to drought; 2) collecting data; both the context of the study area, interviews with 12 experts through a
purposive sampling. To find the average from the given factors and collecting information about factors; and 3)
processing and analyzing the data. By weighted and rated each factor. Linear regression is used to model the
relationship between drought risk and the factors influencing drought risk. And applying the geographic
information system (GIS) to analyze drought risk area. The results showed that Phetchabun Province Which has
an area of 12,396.32 square kilometers, found that the areas at low to moderate risk of drought cover the most
provincial areas. It has an area of approximately 3,488.45 and 2,993.40 square kilometers. It is an area with
physical factors that cause drought such as average rainfall over a period of 30 years, groundwater potential,
distance from irrigation areas, soil drainage, watersheds, and drought incidence statistics which is related to
the mountainous terrain in the north and is parallel on both sides in the east and west of the province. Affecting
the supply of water reservoirs causing water shortages leading to drought. Affecting activities necessary to use
water in consumer. Including agricultural activities that require large amounts of water.

Keyword: Drought Risk Area, Geographic Information System
E-mail address: [email protected]

1 สาขาวิชาภมู สิ ารสนเทศ คณะสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ
Program in Geoinformatics, Faculty of Social Sciences, Srinakharinwirot University

213

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

วัจนกรรมและกลวธิ ีการโน้มน้าวใจในการโต้วาทที ้าชิงตาํ แหน่งประธานาธิบดรี อบสุดท้ายของ
โจ ไบเดน และโดนัลด์ ทรัมป์

Speech Acts and Persuasive Strategies in Final Presidential Debate of
Joe Biden and Donald Trump

ศศธิ ร ขําสุวรรณ01 , กฤษกร กลน่ั จินดาด1ี , ธนวฒั น์ เพยี รศกึ ษา1 , และ ปิยะนชุ เลาศรีรัตนชยั 12
Sasithon Kumsuwan1 , Kritsakorn Klanjindadee1 , Thanawat Piansueksa1 , and Piyanuch Laosrirattanachai1

บทคดั ย่อ
การเลือกตัง้ ในปี ค.ศ. 2020 ในประเทศสหรัฐอเมริกานับว่าเป็นการเลือกตัง้ ท่ีสําคัญอีกครัง้ หนึ่งในหน้า
ประวตั ิศาสตร์ที่ได้รับความสนใจจากนานาชาติเป็นอย่างมาก อีกทัง้ มีใช้ภาษาและเทคนิคในการถ่ายทอดการพูด
ปราศรัยท่ีดงึ ดดู ความสนใจได้เป็นอยา่ งดี บทความวิจยั นีศ้ กึ ษาเก่ียวกบั วจั นกรรมและรูปแบบวิธีการพูดโน้มน้าวใจใน
การพูดปราศรัยทางการเมืองในการโต้วาทีครัง้ สดุ ท้ายก่อนการเลือกตงั ้ ระหว่าง โจ ไบเดน และ โดนลั ล์ ทรัมป์ โดยทงั้
สองกลวิธีนีเ้ ป็นการแสดงให้เหน็ ถึงจดุ ประสงค์ที่แท้จริงของผ้พู ูดทีต่ ้องการจะส่ือสารต่อผ้ฟู ัง อีกทงั้ ยงั เป็นการโน้มน้าว
ใจ เพ่ือให้ผ้ฟู ังรู้สกึ คล้อยตามและเชอ่ื มน่ั ในตวั ของผู้พดู โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในบริบททางการเมืองที่นกั การเมืองจําเป็น
อยา่ งยง่ิ ท่ีจะต้องอาศยั ความเช่ือมนั่ ของประชาชน เพอ่ื ได้มาซงึ่ คะแนนเสียงในการเลือกตงั ้ มากทีส่ ดุ ผลสรุปของวิจยั นี ้
แสดงให้เห็นว่า โดนัลล์ ทรัมป์ มีการใช้ speech acts มากกว่า โดยพบว่า มีการใช้ Representatives 79.16% ตาม
ด้วย Directives 7.50% และ Commissives 6.67% ในขณะที่โจ ไบเดน มีการใช้ Persuasive techniques ท่ีมากกว่า
โดยใช้ Bribery 25.53% ตามด้วย Rhetorical questions 22.34% และ Scapegoating 12.77% ทงั้ นีจ้ ดุ ประสงค์และ
วธิ ีการใช้เทคนิคภาษาของนกั การเมอื งทงั้ สองทา่ นมีความแตกตา่ งกนั อยา่ งสนิ ้ เชงิ

คําสําคัญ: วจั นกรรม การพดู โน้มน้าวใจ คาํ ปราศรัย

1 หลกั สตู ร ศศ.บ. (ภาษาองั กฤษเพ่อื อตุ สาหกรรมบริการ) โครงการจดั ตงั ้ ภาควิชาอตุ สาหกรรมบริการและนวตั กรรมภาษา
คณะศลิ ปศาสตร์และวทิ ยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน
B.A. (English for Service Industry), Department of Service Industry and Language Innovation,
Faculty of Liberal Arts and Science, Kasetsart University, Kamphaeng Saen Campus

2 อาจารย์ประจําหลกั สตู รศลิ ปศาสตรบณั ฑิต สาขาวิชาภาษาองั กฤษเพื่ออุตสาหกรรมบริการ โครงการจดั ตงั ้ ภาควิชาอุตสาหกรรมบริการและนวตั กรรมภาษา
คณะศลิ ปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์วิทยาเขตกาํ แพงแสน
Lecturer of B.A. (English for Service Industry), Department of Service Industry and Language Innovation,
Faculty of Liberal Arts and Science, Kasetsart University, Kamphaeng Saen Campus

214

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564
Abstract

The election in the United States in year of 2020 is historically significant in nature, which gain a
great deal of worldwide attention. Also, language and techniques for debate delivering is greatly attractive.
The purpose of this research is to investigate the speech act and persuasive techniques used in political
speeches during the last presidential debate between Joe Biden and Donald Trump. Both strategies reflect
the speaker's actual intention to transfer massages to audiences. Moreover, it is also used to persuade the
audience and to gain the trust, particularly in political circumstances that politicians must rely on the trust of
the people in order to get the most votes in elections. According to the findings of this study, Donald Trump
utilized more speech acts. He used representatives (79.16%), followed by directives (7.50%) and
commissives (6.67%) whereas Joe Biden employed more persuasive techniques by using bribery (25.53%),
rhetorical questions (22.34%), and scapegoating 12.77%. However, the goals and procedures employed
by each politician are entirely different.

Keywords: Speech act, Persuasive techniques, Political speech
E-mail address: [email protected]

215

การประชมุ วิชาการระดับชาติ คร้งั ที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

ศึกษาความต้องการและผลการดาํ เนินงานของกลุ่มออมทรัพย์
เพ่ือการพฒั นาเศรษฐกิจฐานชุมชนของจังหวัดชุมพร

A Study Needs and Performance of Savings Group to Develop
Community Economy of Chumphon Province.

ศิวกร ผลสุขการ01,สุมลรัตน์ จนิ ตนาสริ ินุรักษ์1
Sivakorn Pholsukkarn1,Sumonrat Jintanasirinurak1

บทคัดย่อ
การวิจยั ครัง้ นี ้ มีจุดม่งุ หมายเพื่อศึกษาความต้องการและผลการดําเนินงานของกล่มุ ออมทรัพย์เพ่ือการ
พฒั นาเศรษฐกิจฐานชุมชนของจังหวัดชุมพร เพ่ือจะได้ทราบถึงความต้องการและผลการดําเนินงานของกลุ่ม
ออมทรัพย์เพ่ือการผลิต และเป็นแนวทางในการพฒั นากลมุ่ ออมทรัพย์เพื่อการผลิต ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง
ท่ีใช้ในการวิจยั คือสมาชิกกลมุ่ ออมทรัพย์เพื่อการผลิต ในจงั หวดั ชมุ พร จํานวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจยั
ได้แก่ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า ซึ่งผู้วิจัยสร้ างขึน้ สถิติท่ีใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าตัวกลาง
เลขคณิต และค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า ผลการดําเนินงานของกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตในจังหวัดชุมพร ด้านการบริหาร
และจัดการ ด้านการตลาดและการผลิต ด้านงบประมาณและทุน ด้านอาคารสถานที่ ในภาพรวมมีผลการ
ดําเนินงานอยใู่ นระดบั น้อย สําหรับความต้องการในการดําเนนิ ของกลมุ่ ออมทรัพย์เพ่ือการผลติ ในด้านการบริหาร
และจัดการ ด้านการตลาดและการผลิต ด้านงบประมาณและทุน ด้านอาคารสถานท่ีในภาพรวมมีความ
ต้องการอย่ใู นระดบั มากทกุ ด้าน
คําสาํ คัญ : กลมุ่ ออมทรัพย์, เศรษฐกิจชมุ ชน,ความต้องการ,ผลการดาํ เนนิ งาน

1 ภาควชิ าพนื ้ ฐานทว่ั ไป,ภาควชิ าเทคโนโลยีการเกษตร วิทยาเขตชมุ พรเขตรอดุ มศกั ดิส์ ถาบนั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าเจ้าคณุ ทหารลาดกระบงั
Department of General Education, Department of Agricultural Tecnology King Mongkut's Institute of Technology Ladkrabang,
Pince of Chumphon Campus Chumphon Province.

216

การประชมุ วชิ าการระดับชาติ ครั้งที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564
ABSTRACT

This research the aim was to study the needs and performance of savings groups to develop
community-based economy of the provinces. To know the needs and results of operations of the savings
to productivity. And guide the development of savings to productivity. Population and sample The
research Is a membership savings for the production of 400 people in the provinces. The tools used in
this research were questionnaire rating scale. The researchers created The statistics used for data
analysis were percentage, arithmetic intermediaries. And standard deviation

The research found that Performance of the savings to productivity. In chumphon administration
and management marketing and production budget and finance The premises The overall performance
at a low level. The demand for the implementation of the savings to productivity. In the field of
management, marketing and production. Budget and finance The premises overall, there needs to
operate at a high level in all aspects.
Key words : Savings group, community economy. need, performance

E-mail address : sovakorn.21@ gmail.com

217

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ที่ 8-9 ธนั วาคม 2564
ปัจจยั ในการพัฒนาศกั ยภาพนวัตกรรมของประเทศไทย

Factors Enhancing Thailand’s Innovation Potential Development
ธนโชติ บญุ วรโชติ1 and ชยาภรณ์ โล้กูลประกิจ2

Tanachote Boonvorachote1 and Chayaporn Lokulprakit2
บทคดั ย่อ

การวิจยั นีม้ ีวตั ถปุ ระสงค์เพ่ือศึกษาปัจจยั และเสนอแนวทางในการเพ่ิมจํานวนนวัตกรรมในประเทศไทย
งานวิจยั นไี ้ ด้ดดั แปลงหลกั คิดและวิธีการวิจยั จาก Furman Porter และ Stern (2002) เพือ่ ประยกุ ต์ใช้กบั บริบทของ
ประเทศไทย เป็นการศกึ ษาจํานวนสิทธิบตั รท่ีจดทะเบียนที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาทงั้ หมด เป็นการจดทะเบียน
โดยคนไทยและการจดทะเบียนโดยชาวต่างชาติ โดยใช้จํานวนสิทธิบตั รในประเทศท่ีจดทะเบียนในประเทศไทย
เป็นเกณฑ์ในการวดั ผลนวัตกรรม ซ่ึงข้อมลู ทุติยภูมิของปัจจยั ที่เก่ียวข้องถูกรวบรวม ผ่านการสร้างแบบจําลอง
เศรษฐมิติ ใช้แบบจําลองการถดถอยพหุคูณในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลที่ได้แสดงให้เห็นถึงปัจจัยที่เอือ้ ต่อการ
พฒั นานวตั กรรมของไทย ได้แก่ จํานวนสิทธิบตั รสะสม (Patent Stock) และ สดั สว่ นค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาต่อ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (ED Share) ในขณะที่ปัจจัยที่อธิบายจํานวนสิทธิบัตรท่ีจดทะเบียนโดย
ชาวต่างชาติ คือ คา่ ใช้จา่ ยด้านการวิจยั และพฒั นาของประเทศ (R&D $) สะท้อนให้เหน็ ว่าประเทศไทยมศี กั ยภาพ
ในการเติบโตด้านนวตั กรรม ประเทศไทยควรให้ความสาํ คญั กบั การพฒั นาบคุ ลากรและแรงงานที่เกี่ยวข้องกบั การ
วิจัยและพัฒนามากและเพ่ิมค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศ (R&D $) จะทําให้ศักยภาพทางด้าน
นวตั กรรมเพ่มิ มากขนึ ้ ถือได้ว่าเป็นย่างก้าวสาํ คญั ของประเทศไทย ซง่ึ ทําหน้าที่ขบั เคลื่อนภายใต้นโยบายเชิงกลยุทธ์ใน
การสง่ เสริมศกั ยภาพของประเทศไทยในการสร้างสรรค์นวตั กรรม ซง่ึ ถือเป็นปัจจยั หลกั ทท่ี ําให้ประเทศไทยสามารถ
สร้างความเข้มแขง็ และนาํ ไปสกู่ ารพฒั นาที่ยงั่ ยืน

คาํ สาํ คัญ: ขีดความสามารถนวตั กรรมแหง่ ชาติ, ศกั ยภาพ, บริบทของประเทศไทย, สิทธิบตั ร

218

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564
ABSTRACT

The purpose of this research is to study factors and propose a way to increase the number of
innovations in Thailand. This research has adapted the concepts and research methods from Furman
Porter and Stern (2002) to apply to the context of Thailand. This study explores the total number of
patents registered at the Department of Intellectual Property. It is registered by Thai people and
foreigners. It uses the number of domestic patents registered in Thailand as a criterion for measuring
innovation. Secondary data of relevant factors were collected and analyzed by econometric model
(multiple regression models). The results show that factors contributing to the development of innovation
in Thailand were the number of patent stocks (Patent Stock) and the share of education expenditure per
gross domestic product (ED Share). Patents registered by foreigners are explained by the country's
research and development expenditure (R&D $), reflecting Thailand's potential for innovation growth.
Thailand should pay more attention to the development of personnel and labor involving in research and
development. Increasing the country's research and development expenditure (R&D $) will enhance its
innovation potential. It is regarded as an important step for Thailand as a driving force under the strategic
policy to promote Thailand's potential in innovation. This is the main factor that enables Thailand to
strengthen and lead to sustainable development.

Keywords: National Innovative Capacity, Potential, Thailand’s context, Patent

219

การประชมุ วิชาการระดับชาติ ครัง้ ที่ 18 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564

ความเตม็ ใจจ่ายของประชาชนเพ่อื การป้องกันปัญหาฝ่ ุนละออง PM2.5 ในจงั หวัดนนทบุรี
Willingness to Pay for Air Pollution (PM2.5) Prevention in Nonthaburi Province

กมลฉัตร ใยนิรัตน์1 โสมสกาว เพชรานนท์1, และวิษณุ อรรถวานชิ 2
Kamonchat Yainirat1, Somskaow Bejranonda2, and Witsanu Attavanich2

บทคดั ย่อ
งานวิจยั นมี ้ วี ตั ถปุ ระสงค์เพื่อวิเคราะห์มลู ค่าความเต็มใจจา่ ยของประชาชนในการปอ้ งกนั ปัญหาฝ่นุ ละออง
PM2.5 ในจังหวดั นนทบุรี การศึกษาใช้วิธีการสมมติเหตุการณ์ ในรูปแบบคาถามแบบปลายปิดสองขัน้ และใช้
แบบจาลองการวิเคราะห์ถดถอยของ Cameron (1988) โดยรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ตัวแทนครัวเรือน
จานวน 400 ครัวเรือน ในระหว่างเดือนมีนาคม - เมษายน พ.ศ. 2564 ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยของความเต็มใจ
จ่ายเพ่ือการป้องกนั ปัญหาฝ่นุ ละออง PM2.5 ของกลมุ่ ตัวอย่าง เท่ากบั 754.52 บาท/ครัวเรือน/ปี เพ่ือให้ฝ่นุ ละออง
PM2.5 ลดลงร้อยละ 50 จากค่าเฉลี่ยรายเดือน ณ เดือนมกราคม พ.ศ. 2564 ซ่งึ เท่ากับ 41 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
ดงั นนั้ ภาครัฐสร้างความตระหนกั รู้ให้ประชาชนทราบถงึ อนั ตรายจากฝ่นุ ละออง PM2.5

คาสาคญั : ฝ่นุ ละออง PM2.5, มลู ค่าความเตม็ ใจจ่าย, วธิ ีการสมมตเิ หตกุ ารณ์

Abstract
This study was conducted to estimate the household’s willingness to pay for air pollution (PM2.5)
prevention in Nonthaburi province. The analysis employed Contingent Valuation Method, in double -
bounded close - ended question format, and applied Cameron’s regression analysis model to estimate
the willingness to pay for air pollution (PM2.5) prevention. The data were analyzed from 400 households
in Nonthaburi province during March - April 2021. The results revealed that mean of the respondent’s
willingness to pay for air pollution (PM2.5) prevention in Nonthaburi province was 754.52 baht per
household per year to reduce 50 percent of average monthly PM2.5 in January 2021 that is equal 41
µg/m3. Therefore, government should encourage people to be aware of the dangers of PM2.5.

Keyword: Willingness to pay, Contingent Valuation Method, PM2.5
E-mail address: [email protected]

1 นสิ ิตปริญญาโท หลกั สตู รเศรษฐศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพมหานคร
1 Master of Economics, Faculty of Economics, Kasetsart University, Bangkok
2 ภาควิชาเศรษฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพมหานคร
2 Department of Economics, Faculty of Economics, Kasetsart University, Bangkok

220

การประชุมวิชาการระดับชาติ คร้ังท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

อทิ ธิพลของปัจจัยในการปฏิบตั งิ าน ภาพลักษณ์องค์กร และภาวะหมดไฟในการทาํ งาน
ต่อการตัดสนิ ใจลาออกจากงานของคน Generation Y

The Influence of Work Factors, Corporate Image and Burnout Syndrome on the
Resign Decision of Generation Y People

ชลธศิ นวลศรี1, กิฎฟ่ี เหาะใบ1, ณฐั วฒั น์ ผลาอาด1, ธนาภรณ์ บญุ พนั ธ์1, ปริญญา เรืองช1ู และเจษฎา นกน้อย1
Chonlathit Nualsri1, Kitfee Hohbai1, Nattawat Palaard1, Thanaporn Boonpun1, Parinya Rueangchoo1, and Chetsada Noknoi1

บทคดั ย่อ
การวิจัยนีม้ ีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยในการปฏิบัติงาน ภาพลกั ษณ์องค์กร และภาวะ
หมดไฟในการทํางานต่อการตัดสินใจลาออกจากงานของคน Generation Y ด้วยการเก็บแบบสอบถามจากกล่มุ
ตวั อย่างบุคลากร Generation Y ที่ทํางานอยู่ในอําเภอเมือง จังหวดั สงขลา จํานวน 396 คน โดยใช้การวิเคราะห์
การถดถอยเชิงพหุ พบว่า ปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่อการตดั สินใจลาออกจากงานของคน Generation Y คือ ภาวะหมด
ไฟในการทาํ งาน โดยสง่ ผลให้การตดั สินใจลาออกจากงานของคน Generation Y เพม่ิ มากขนึ ้ และสามารถอธิบาย
การตดั สินใจลาออกจากงานของคน Generation Y ได้ร้อยละ 80.6

คําสําคัญ: ปัจจยั ในการปฏิบตั ิงาน ภาพลกั ษณ์องคก์ ร ภาวะหมดไฟในการทํางาน การตดั สินใจลาออก Generation Y

Abstract
This research aims to study the influence of work factors, corporate image and burnout
syndrome on the resign decision of Generation Y people by collecting a questionnaire from a sample
of 396 Generation Y personnel working in Muang District, Songkhla Province and using a multiple
regression analysis. The findings revealed that the factor influencing the resign decision of Generation
Y people was burnout syndrome. The factor was positively associated with the resign decision of
Generation Y people and considered explain 80.6% of the variance in the resign decision of
Generation Y people.

Keyword: Work factors, Corporate image, Burnout syndrome, Resign decision, Generation Y
E-mail address: [email protected]

1 สาขาวิชาบริหารธุรกิจ คณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธรุ กจิ มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ จงั หวดั สงขลา
Department of Business Administration, Faculty of Economics and Business Administration, Thaksin University, Sogkhla Province

221

การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

การใช้คาํ ปนภาษาองั กฤษกับภาษาไทยในรายการทอล์ก-กะ-เทย วันไนท์
Thai-English Code-Mixing in Talk with Toey One Night

ณิชากร เมฆม่วง01, ธัญพร ชาญถาวรกลุ 12, พนดิ า พิทยะภทั ร์23, และ ทวศี กั ดิ์ จนั ทร์ประดษิ ฐ34
Nichakorn Mekmuang1, Tanyaporn Charnthavornkul2, Panida Pittayapat3, and Taweesak Janpradit4

บทคัดย่อ
งานวิจยั นีม้ ีวตั ถปุ ระสงค์เพ่ือ 1) ศึกษาการปนภาษาองั กฤษในบทสนทนาของทงั้ พิธีกรและแขกรับเชิญ และ
2) เพือ่ ศกึ ษารูปแบบการใช้ภาษาในการสื่อสารในรายการทอล์ก-กะ-เทย ONE NIGHT โดยใช้ทฤษฎกี ารวเิ คราะห์การ
ปนภาษาอังกฤษกับภาษาไทยของ Kannaovakun and Gunther (2003) ผลการวิจัยพบว่า คําปนภาษาอังกฤษ
ทงั้ หมดมี 178 คํา โดยมีคําปนภาษาองั กฤษแบบการตดั คํามากท่ีสดุ จํานวน 67 คํา (37.64%) รองลงมาคือ การรวม
คํา จํานวน 53 คํา (29.78%) การเปล่ยี นหน้าที่คํา จํานวน 9 คํา (5.06%) การเปล่ียนการเรียงลําดบั คํา จํานวน 15 คํา
(8.42%) การเปลี่ยนความหมายคํา จํานวน 20 คํา (11.23%) และการซํา้ คํา จํานวน 14 คํา (6.93%) ตามลําดับ
นอกจากนี ้การปนภาษาองั กฤษภายในประโยคพบว่า มีทัง้ หมด 493 คํา โดยหน่วยภาษาศาสตร์ที่พบมากที่สดุ คือ
คาํ ศพั ท์ จาํ นวน 309 คํา (62.67%) สว่ นการปนภาษาองั กฤษโดยไม่เปลยี่ นชนดิ คําและรูปแบบคาํ พบว่า มีทงั้ หมด 315
คํา คําท่ีพบมากที่สดุ คือ คํานาม จํานวน 229 คํา (72.70%) โดยการใช้คําปนภาษาในรายการทอล์ก-กะ-เทย ONE
NIGHT นัน้ สะท้ อนให้ เห็นถึงการใช้ภาษาอังกฤษที่ได้ ผสมผสานและถูกนํามาปรับใช้ เพื่อการสนทนาตาม
ความสามารถในการใช้ภาษาองั กฤษของแตล่ ะบคุ คล

คําสาํ คัญ: การปนคําภาษาองั กฤษกบั ภาษาไทย; รายการทวี ี

1ภาควิชาอตุ สาหกรรมบริการและนวตั กรรมภาษา คณะศลิ ปศาสตร์และวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน
1Department of Service Industry and Language Innovation, Faculty of Liberal Arts and Science, Kasetsart University,
Kamphaeng Saen Campus
2ภาควิชาอตุ สาหกรรมบริการและนวตั กรรมภาษา คณะศลิ ปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน
2Department of Service Industry and Language Innovation, Faculty of Liberal Arts and Science, Kasetsart University,
Kamphaeng Saen Campus
3ภาควชิ าอตุ สาหกรรมบริการและนวตั กรรมภาษา คณะศลิ ปศาสตร์และวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน
3Department of Service Industry and Language Innovation, Faculty of Liberal Arts and Science, Kasetsart University,
Kamphaeng Saen Campus
4ภาควชิ าอตุ สาหกรรมบริการและนวตั กรรมภาษา คณะศลิ ปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน
4Department of Service Industry and Language Innovation, Faculty of Liberal Arts and Science, Kasetsart University,
Kamphaeng Saen Campus

222

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครั้งที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธันวาคม 2564
Abstract

The purposes of this study were 1) to explore the characteristics of Thai-English code-mixing and
2) to analyze the Thai-English code-mixing linguistic units used in Talk with Toey One Night. The mixed
framework of Kannaoakun and Gunther (2003) was used to analyze the data. The results of this study
showed that there were 178 Thai-English code-mixing words in total in the TV program. In terms of the
nativized features, there were 67 words of truncation (37.64%), 53 words of hybridization (29.78%), 9 words
of conversion (5.06%), 15 words of word order shift (8.42%), 20 words of semantic shift (11.23%), and 14
words of reduplication (7.86%) respectively. In addition, it also showed a total of 493 words related to the
linguistic units. With 493 words in total, the most used linguistic units in the program were 309 lexical words
(62.67%), and the Intrasentential code-mixing was 315 words in total, with 229 nouns (72.70%) most
frequently used in the program. Based on the results, it can be concluded that Thai-English code-mixing in
the TV program named Talk with Toey One Night reflects a mixture of Thai-English language use and the
adaptation of Thai-English code-mixing in conversations according to the language ability of Thai
individuals.

Keywords: Thai-English code-mixing; Talk show
E-mail address: [email protected]

223

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้งั ท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

อทิ ธิพลของการยอมรับนวัตกรรม ส่วนประสมการตลาดออนไลน์ และแรงจูงใจ
ต่อการตัดสินใจซือ้ สินค้าผ่านทางเฟซบุ๊กของคน Generation C

The Influence of Innovation Adoption, Online Marketing Mix and Motives towards
Purchase Decision via Facebook of Generation C People

เจษฎา สาโส๊ะ1, เคะอโิ คะ โมริต้า1, ณชั พล ภสู ีนาค1, ณฐั วฒุ ิ ผอ่ งมณี1, ไปรยา คงใจดี1, และ เจษฎา นกน้อย1
Jatsada Sasoh1, Keiko Morita1, Natchapon Phooseenak1, Nattawut Phongmani1, Praiya Khongjaidee1, and Chetsada Noknoi1

บทคัดย่อ
การวิจยั นมี ้ ีวตั ถุประสงค์เพ่ือศกึ ษาอิทธิพลของการยอมรับนวตั กรรม สว่ นประสมการตลาดออนไลน์ และ
แรงจูงใจต่อการตัดสินใจซือ้ สินค้าผ่านทางเฟซบุ๊กของคน Generation C ด้วยการเก็บแบบสอบถามจากกลุ่ม
ตวั อยา่ งคน Generation C ในจงั หวดั สงขลา ซง่ึ เป็นกลมุ่ คนที่ใช้ชีวิตอยู่กบั การเชื่อมต่อตลอดเวลา มีอินเทอร์เน็ต
เป็นสว่ นหนึ่งของชีวิตประจําวนั จํานวน 400 คน โดยใช้การวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุ พบว่า ปัจจยั ที่มีอิทธิพล
ตอ่ การตดั สนิ ใจซอื ้ สินค้าผา่ นทางเฟซบ๊กุ ของคน Generation C เรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ ราคา การรักษาความ
เป็นส่วนตวั การให้บริการแบบเจาะจง แรงจูงใจด้านเหตผุ ล การเข้ากันได้ ประโยชน์เชิงเปรียบเทียบ และความ
ย่งุ ยากซบั ซ้อน ตามลําดบั โดย ราคา การรักษาความเป็นส่วนตวั การให้บริการแบบเจาะจง แรงจงู ใจด้านเหตผุ ล
และการเข้ากันได้ ส่งผลให้การตัดสินใจซือ้ สินค้าผ่านทางเฟซบุ๊กของคน Generation C เพิ่มมากขึน้ ขณะท่ี
ประโยชน์เชิงเปรียบเทียบ และความยุ่งยากซับซ้อน ส่งผลให้การตัดสินใจซือ้ สินค้าผ่านทางเฟซบุ๊กของคน
Generation C ลดลง ทงั้ นีป้ ัจจยั ทงั้ หมดสามารถอธิบายการตดั สนิ ใจซอื ้ สินค้าผ่านทางเฟซบ๊กุ ของคน Generation
C ได้ร้อยละ 81.2

คาํ สาํ คัญ: การยอมรับนวตั กรรม สว่ นประสมการตลาดออนไลน์ แรงจงู ใจ การตดั สินใจซือ้ Generation C

1 สาขาวิชาบริหารธรุ กิจ คณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธรุ กจิ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ จงั หวดั สงขลา
Department of Business Administration, Faculty of Economics and Business Administration, Thaksin University, Sogkhla Province

224

การประชมุ วิชาการระดับชาติ ครัง้ ที่ 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วันท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564
Abstract

This research aims to study the influence of innovation adoption, online marketing mix and
motives towards purchase decision via Facebook of Generation C people by collecting a
questionnaire from a sample of 400 Generation C people; a group of people who always connected
and used internet was a part of their daily lives, in Songkhla Province and using a multiple regression
analysis. The findings revealed that the factor influencing the purchase decision via Facebook of
Generation C people including, sorted from high to low, price, privacy, personalization, rational
motives, compatibility, relative advantage, and complexity. Price, conformity with privacy,
personalization, rational motives, and compatibility were positively associated with the purchase
decision via Facebook of Generation C people. However, relative advantage and complexity were
negatively associated with the purchase decision via Facebook of Generation C people. Altogether,
the seven factors considered explain 81.2% of the variance in the purchase decision via Facebook of
Generation C people.

Keyword: Innovation adoption, Online marketing mix, Motives, Purchase decision, Generation C
*Corresponding author; E-mail address: [email protected]

225

การประชมุ วิชาการระดับชาติ คร้ังท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกําแพงแสน วันที่ 8-9 ธนั วาคม 2564

การศึกษาทัศนคติ และพฤตกิ รรมการออมเพ่อื เตรียมตัวเกษียณอายขุ องกลุ่มวยั ทาํ งาน
กรณีศึกษา บริษทั นิตริ ัฐ ลอว์ แอนด์ คอลเลคช่นั จาํ กดั

Attitude and Saving Behavior for Working-Aged Person’s Retirement:
Case Study of Nitirat Law and Collection Company Limited

พลวัฒน์ ย่ิงแจ่มจนั ทร์01 และ ธํารงศกั ดิ์ เศวตเลข12
Palawat Yingjamjun1 and Thamrongsak Svetalekth2

บทคดั ย่อ
การศกึ ษาในครัง้ นีม้ ีวตั ถปุ ระสงค์ เพื่อศกึ ษาทศั นคตทิ ี่มีต่อการออม และพฤติกรรมการออมเพื่อเตรียมตัว
เกษียณอายุของกลุ่มวัยทํางาน โดยกลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาค้นคว้าคือ พนักงานของบริษัท นิติรัฐ ลอว์
แอนด์ คอลเลคชน่ั จาํ กดั จํานวน 192 ราย สมุ่ ตวั อยา่ งแบบสะดวก ใช้แบบสอบถามออนไลน์เป็นเคร่ืองมือในการ
รวบรวมข้อมลู และวิเคราะห์ข้อมลู ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติกส์แบบเรียงลําดบั
เพื่อหาปัจจยั ที่ส่งผลต่อทศั นคติท่ีมีต่อการออม และพฤติกรรมการออมเพื่อเตรียมตวั เกษียณอายุ ผลการศึกษา
พบว่า ปัจจยั ที่สง่ ผลอย่างมนี ยั สําคญั ทางสถิติคือ ปัจจยั สว่ นบคุ คลด้านอายุเพียงปัจจยั เดียวโดยสง่ ผลตอ่ ทศั นคติ
ที่มีต่อการออม แตไ่ ม่มีปัจจยั สว่ นบคุ คลใดท่สี ง่ ผลตอ่ พฤติกรรมการออมเพือ่ เตรียมตวั เกษียณอายุ

คาํ สําคัญ: ทศั นคติ พฤตกิ รรมการออม เตรียมตวั เกษียณอายุ

Abstract
The purpose of this study to study attitude towards saving and saving behavior for working-
aged persons’s retirement readiness. 192 Samples of Nitirat Law and Collection Co,Ltd., The
convenience sampling method, collect data from online questionnaire and analyze the data with
descriptive statistics and Ordinal logistics regression analysis. To predict the probability of the factors
that affect attitude towards saving and saving behaviors to retirement readiness. The results of the
analysis, the factors that affect significant include: The personal factor is age. The personal factor of
age affects attitudes towards saving. But none of the personal factors influenced the behavior of saving
in retirement readiness.

Keyword: Attitude, Saving behavior, Retirement readiness
E-mail address: [email protected]

1 โครงการปริญญาโทสําหรับผ้บู ริหาร คณะบริหารธรุ กจิ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตบางเขน จ. กรุงเทพมหานคร 10900
Executive MBA Program, Faculty of Business Administrative, Kasetsart University, Bang Khen Campus, Bangkok 10900
2 ภาควิชาการบญั ชี คณะบริหารธรุ กจิ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน จ. กรุงเทพมหานคร 10900
Department of Accounting, Faculty of Business Administrative, Kasetsart University, Bang Khen Campus, Bangkok 10900

226

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

LA3MP Model : แนวทางการนาองค์กรของโรงเรียนนายเรือต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของ
โรคโควดิ 19 ตามแนวทางการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ

LA3MP Model : Guidelines for leading the organization of the Royal Thai Naval Academy to the
epidemic situation of COVID-19 in accordance with the guidelines for improving the quality of

government management.

อนชุ า ม่วงใหญ่1, พพิ ัฒพงษ์ คาพรัด2, อาคม สขุ ตระกลู 3, และณฐั พงศ์ พนั ธ์พกิ ลุ 4
Anuchar Muangyai1, Pipatpong kumprad 2, Arkom Suktragool3, and Nuttapong Punpigul4

บทคดั ย่อ
โรงเรียนนายเรือ เป็นสถาบนั การศกึ ษาระดบั อดุ มศกึ ษา ที่มีหน้าที่ผลิตนายทหารสญั ญาบตั รหลกั ให้กบั
หน่วยต่าง ๆ ในกองทพั เรือ โดยมีการปฏิบตั ิในการปอ้ งกันและควบคมุ โรคติดต่อเชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-
19) มีการออกแบบแนวทางการนาองค์กรของโรงเรียนนายเรือต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
ตามแนวทางการพฒั นาคุณภาพการบริหารจดั การภาครัฐ โดยนา LA3MP Model ท่ีมีความหมายถึง “ตะเกียง”
ขนึ ้ มา เพือ่ แสดงให้เหน็ ถงึ บทบาทของผ้นู าองค์กรท่ีดี และมีประสทิ ธิภาพ ประกอบด้วย การสง่ เสริมความเป็นผ้นู า
โดยผู้นาโรงเรียนนายเรือควรต้องมีคุณสมบัติในการวิเคราะห์สถานการณ์ฯ เรียนรู้หาวิธีป้องกันที่ดีท่ีสดุ ให้กับ
บคุ ลากรฯ ติดตามความคบื หน้าและปรับปรุงวิธีการอยเู่ สมอ การสื่อสารทีม่ ีประสิทธิภาพ ต้องชีแ้ จงข้อมลู ขา่ วสาร
มาตรการปอ้ งกนั ท่กี าหนดขนึ ้ มาอย่างชดั เจน เพ่ือให้บคุ ลากรฯเข้าใจถึงสถานการณ์ทเ่ี กดิ ขนึ ้ ตรงกนั และสามารถ
รับมอื ได้อย่างถกู ต้อง เกดิ ประสทิ ธิภาพ สามารถประเมินจากปฏิกริ ิยาตอบโต้ การเรียนรู้เพิม่ เติม และผลลพั ธ์ทไ่ี ด้
เพื่อให้ทราบความคืบหน้า บรรลตุ ามเปา้ หมายแผนงาน ควรมีการจดั อบรม ฟังบรรยายความรู้และข้อมลู เกี่ยวกบั
เชือ้ ไวรัสโคโรน่า การป้องกันอย่างถกู ต้อง สร้างความมน่ั ใจให้กับบคุ ลากรฯ โดยการจดั หาวคั ซีนที่มีประสิทธิภาพ
อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จัดลาดับการฉีดตามความสาคัญของบุคลากร แจ้งวันเวลาที่ชัดเจน เพ่ือความ
ปลอดภยั ของบคุ คลากร สร้างขวญั กาลงั ใจในการทางาน ระหว่างที่รอรับวคั ซีนเพื่อเป็นการสร้างความสบายใจ
ให้กับบุคคลากรฯ ใช้เทคนิค T-Group โดยจัดตัง้ คณะกรรมการฯ ขึน้ เพ่ือให้บุคลากรในกลุ่ม ได้วิเคราะห์ว่า
บุคลากรฯจะสามารถทางานร่วมกันได้อย่างไร โดยมีการปรับปรุงแก้ไขมาตรการร่วมกันให้มีประสิทธิภาพมาก
ย่งิ ขนึ ้ ตามแนวทางการบริหารจดั การภาครัฐ (PMQA)

คาสาคญั การนาองค์กร โรงเรียนนายเรือ การพฒั นาคณุ ภาพการบริหารจดั การภาครัฐ

1 น.อ.ผศ.ดร.อนชุ า มว่ งใหญ่, โรงเรียนนายเรือ
Capt.Asst.Prof.Dr. Anuchar Maunyai Rtn., Royal Thai Naval Academy
2 น.ท.พพิ ฒั พงษ์ คาพรัด, โรงเรียนนายเรือ
Cdr. Pipatpong kumprad Rtn., Royal Thai Naval Academy
3 น.อ.ดร.อาคม สขุ ตระกลู , โรงเรียนนายเรือ
Capt.Dr.Arkom Suktragool, Royal Thai Naval Academy
4 นนร.ณฐั พงศ์ พนั ธ์พกิ ลุ , โรงเรียนนายเรือ
NC.Nuttapong Punpigul, Royal Thai Naval Academy

228

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ ครง้ั ที่ 18 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

Abstract
Royal Thai Naval Academy It is an institution of higher education. which is responsible for
producing main commissioned officers for various units in the Navy, with the practice of prevention and
control of coronavirus disease 2019 (COVID-19). The epidemic of COVID-19 follows the guidelines for
improving the quality of government management by bringing up the LA3MP Model that means "lamp"
to demonstrate the role of a good organization leader. and efficiency, consisting of promoting leadership
The naval academy leaders should be qualified to analyze the situation. Learn how to provide the best
protection for personnel. Stay tuned and keep improving the method. effective communication Must
clarify information, news, and preventive measures that have been clearly defined. in order for the
personnel to understand the exact situation and able to cope properly efficiency can be assessed by
reaction learning more and the results to know the progress achieve the goals of the plan should have
training Listen to a lecture on knowledge and information about the corona virus. proper protection Build
confidence for personnel by providing effective vaccines legally Prioritize injections according to
personnel priority. Provide a clear date and time for the safety of personnel Build morale at work While
waiting for vaccination to create peace of mind for personnel, T-Group techniques were used by
establishing a committee. up to the personnel in the group have analyzed that How can personnel work
together? The joint measures have been revised to be more effective in accordance with the Public
Sector Management Guidelines (PMQA).

Keywords: organization leadership, naval academy Development of the quality of public administration
Email address: [email protected]

229

การประชุมวิชาการระดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน วนั ที่ 8-9 ธันวาคม 2564

ปัจจยั ท่มี อี ทิ ธพิ ลต่อการตัดสินใจซือ้ บ้านจัดสรรของผ้บู ริโภค ในเขตอาํ เภอเมือง จงั หวดั สงขลา
Factors Influencing Decision on Housing Estate Purchase of Consumers in Mueang District,

Songkhla Province

จตุพล ทองคํา01, คเชนทร์ บญุ แก้วคง1, วราเทพ สกลุ เจริญพงศ1์ , ศิรินภา ไฝ่เส้ง1, และสญั ชยั ลงั ้ แท้กลุ 12
Jatuphon Thongkam1, Kachain Boonkaewkhong1, Warathep Sakulcharoenpong1, Sirinapa Faiseng1, and Sunchai Langthaekun2

บทคดั ย่อ
งานวิจยั นมี ้ ีวตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือศกึ ษาปัจจยั ด้านทําเลท่ตี งั ้ การออกแบบ เพือ่ นบ้าน สิ่งอํานวยความสะดวก
เครือข่ายสงั คมออนไลน์ ภาพลกั ษณ์ตราสินค้า และราคาที่มีอิทธิพลต่อการตดั สินใจซือ้ บ้านจดั สรรของผู้บริโภค
ในเขตอําเภอเมือง จงั หวดั สงขลา กลมุ่ ตวั อยา่ งทใี่ ช้ในการศกึ ษาวจิ ยั ในครัง้ นีค้ ือ ผ้ทู ่มี ีประสบการณ์ในการซือ้ บ้าน
ในโครงการบ้านจัดสรรในเขตอําเภอเมือง จงั หวดั สงขลา จํานวน 400 ตวั อย่าง ใช้แบบสอบถามเป็นเคร่ืองมือใน
การเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุ
ผลการศกึ ษาข้อมลู ทวั่ ไปที่เก่ียวกับผ้ตู อบแบบสอบถามพบว่า กลมุ่ ตวั อย่างสว่ นใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายรุ ะหว่าง
อายุ 30 – 39 ปี อยู่ในระดบั การศึกษาปริญญาตรี อาชีพข้าราชการ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 15,001 - 25,000
บาท ผลการทดสอบสอบสมมตฐิ าน พบว่าปัจจยั ด้านการออกแบบ ส่ิงอํานวยความสะดวก ภาพลกั ษณ์ตราสินค้า
และราคาท่ีสง่ ผลต่อการตดั สินใจซือ้ บ้านจดั สรรของผ้บู ริโภค ในเขตอําเภอเมือง จงั หวดั สงขลา อย่างมีนยั สําคญั
ทางสถิติที่ระดบั 0.05 โดยร่วมกันพยากรณ์การตดั สินใจซือ้ บ้านจดั สรรของผู้บริโภค ในเขตอําเภอเมือง จังหวดั
สงขลา คดิ เป็นร้อยละ 41.3 ในขณะทป่ี ัจจยั ด้านทาํ เลที่ตงั ้ เพอ่ื นบ้าน และเครือขา่ ยสงั คมออนไลน์ไมส่ ง่ ผลต่อการ
ตดั สนิ ใจซอื ้ บ้านจดั สรรของผ้บู ริโภคในเขตอาํ เภอเมอื ง จงั หวดั สงขลา

คาํ สาํ คัญ: การตดั สนิ ใจซือ้ , บ้านจดั สรร, จงั หวดั สงขลา

Abstract
This research aimed To examine factors of locations, designs, neighbors, facilities, social
media, brand image and price, with influence on a decision in purchasing a housing estate of the
consumers in Mueang District, Songkhla Province. The samples in this research were 400 buyers who
had experience in purchasing a housing estate in Mueang District, Songkhla Province. A questionnaire

1 หลกั สตู รบริหารธุรกจิ สาขาการประกอบการและการจดั การ คณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธรุ กิจ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ
Bachelor of Business Administration Program in Entrepreneurship and Management,
Faculty of Economics and Business Administration Thaksin University
2 สาขาการประกอบการและการจดั การ คณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกจิ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ
Program Entrepreneurship and Management Faculty of Economics and Business Administration Thaksin University

230

การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ คร้ังที่ 18 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564
was employed for data collection, and the data were analyzed with descriptive statistics while
the hypotheses were tested with multiple regression analysis. The finding revealed that most
respondents were female with age range from 30 – 39 years, and obtaining Bachelor’s Degree.
The majority was a government official with average monthly income of 15,001 – 25,000 Baht. The study
result related to a decision on purchasing a housing estate of the consumers who completed
a questionnaire indicated. The hypothesis testing demonstrated that the designs, facilities, brand image,
and price influenced the decision on purchasing a housing estate of the consumers in Mueang District,
Songkhla Province with statistical significance at 0.05 They could be incorporated as a forecast of a
decision on purchasing a housing estate of the consumers in Mueang District, Songkhla Province
accounted for 41.3%. Meanwhile, the factors of locations, neighbors and social media had no effect on
the decision on purchasing a housing estate of the consumers in Mueang District, Songkhla Province.

Keyword: Decision on purchasing, housing estate, Songkhla Province
E-mail address : [email protected]

231

การประชมุ วิชาการระดับชาติ คร้ังท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วันท่ี 8-9 ธันวาคม 2564

LUMECA Model : บทบาทการนาองคก์ รของโรงเรียนนายเรอื ในการจดั หาวัคซีนต่อสถานการณก์ าร
แพร่ระบาดของโรคโควดิ 19 ตามแนวทางการพัฒนาคณุ ภาพการบรหิ ารการจัดการภาครัฐ
LUMECA Model : Role of leading the organization of the Royal Thai Naval Academy

อนชุ า มว่ งใหญ่1, พพิ ฒั พงษ์ คาพรัด2, อาคม สขุ ตระกลู 3, และณฐั ดนยั กาญจนสริ วิ โิ รจน4์
Anuchar Muangyai1, Pipatpong kumprad 2, Arkom Suktragool3, and Natdanai Kanchanasiriviroj4

บทคดั ยอ่
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผูศ้ ึกษาไดม้ ีการออกแบบแนวทางการนาองค์กรของ
โรงเรียนนายเรือต่อสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรคโควิด-19 ตามแนวทางการพฒั นาคณุ ภาพการบรหิ ารจดั การ
ภาครฐั โดยการคิดคน้ LUMECA Model ซ่ึงจะประกอบไปดว้ ยองคป์ ระกอบท่ีสาคญั ของความเป็นผูน้ าในการดูแล
กาลงั พลของโรงเรยี นนายเรอื ณ ช่วงเวลาปัจจบุ นั ไปจนถึงภายภาคหนา้ ภาวะผนู้ าท่ดี ีในการแกไ้ ขปัญหาสถานการณ์
การแพรร่ ะบาดของเชือ้ ไวรสั โควิด-19 บทบาทของผนู้ าโรงเรยี นนายเรือจะตอ้ งรูต้ น้ เหตขุ องปัญหา มองภาพรวมองคก์ ร
ไดด้ ี คาดการณส์ ถานการณท์ ่ีกาลงั จะเกิดขึน้ ได้ จะตอ้ งกาหนดอย่างชัดเจนว่าบุคคลากรแต่ละส่วนทาหนา้ ท่ีและมี
ความรบั ผิดชอบส่วนไหนอย่างไร เพ่ือจัดอันดบั ความสาคัญของการดูแลและแกไ้ ขปัญหาใหเ้ ป็นไปตามลาดับตาม
ขนั้ ตอนเพ่ือทางานรว่ มกันอย่างมีประสิทธิภาพ สรา้ งความม่นั ใจใหก้ บั กาลงั พลโดยการจดั หาวคั ซีนท่ีมีคณุ ภาพและ
ถูกตอ้ งตามระเบยี บ ซ่งึ กาหนดระยะเวลาการจดั หาการฉีดวคั ซีนไดอ้ ย่างชดั เจน สรา้ งการจดั การเรยี นรูเ้ กี่ยวกบั โรคโค
วิด-19 และวคั ซีนตามขอ้ มลู องคก์ รอนามยั โลกสากลอย่างถูกตอ้ ง ผ่านทางส่ือออนไลนใ์ หเ้ ขา้ กับมาตรการป้องกนั ใน
ปัจจุบนั จดั ใหม้ ีระบบการสื่อสารท่ีรวดเร็วถกู ตอ้ งและชดั เจน ลดการใชก้ ารนาเสนอขอ้ มลู ผ่าน เอกสาร เปลี่ยนมาใช้
เป็นการประชุมออนไลนผ์ ่านระบบต่างๆ เช่น ZOOM, WEBX, Google Meet มีการบนั ทึกวีดีโอขอ้ มลู เพ่ือปอ้ งกันการ
เปลี่ยนแปลงของขอ้ มลู ขา่ วสาร ตดิ ตามความกา้ วหนา้ ของแผนท่วี างไว้ ตรวจเช็คสขุ ภาพของบคุ ลากรตามระยะเวลาท่ี
กาหนด (ตรวจ SWAB หรือ PCR) หากมีขอ้ ผิดพลาด ปรับแผนหรือกลยุทธใ์ หเ้ หมาะสมกับสถานการณแ์ ละมีแผน
สารองเสมอ

คาสาคญั : การนาองคก์ ร โรงเรียนนายเรือ การบรหิ ารจดั การภาครฐั

1 น.อ.ผศ.ดร.อนชุ า มว่ งใหญ่, โรงเรียนนายเรือ
Capt.Asst.Prof.Dr. Anuchar Maunyai Rtn., Royal Thai Naval Academy
2 น.ท.พพิ ฒั พงษ์ คาพรดั , โรงเรยี นนายเรือ
Cdr. Pipatpong kumprad Rtn., Royal Thai Naval Academy
3 น.อ.ดร.อาคม สขุ ตระกลู , โรงเรียนนายเรอื
Capt.Dr.Arkom Suktragool, Royal Thai Naval Academy
4 นนร.ณฐั ดนยั กาญจนสริ ิวโิ รจน,์ โรงเรียนนายเรอื
NC. Natdanai Kanchanasiriviroj, Royal Thai Naval Academy

232

การประชุมวชิ าการระดับชาติ ครงั้ ท่ี 18 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน วนั ท่ี 8-9 ธนั วาคม 2564

Abstract
From the situation of the epidemic of COVID-19, the students have designed guidelines for the
Naval Academy's organization to the situation of the COVID-19 epidemic in accordance with the guidelines
for improving the quality of government management by devising the LUMECA Model, which will It
comprises the essential elements of the Naval Academy personnel leadership at the present time to the
future. Good leadership in solving the situation of the epidemic of the Covid-19 virus. The role of the naval
academy leader must know the cause of Good overview and digestibility Anticipating the upcoming situation
It is important to clearly define who and what roles and responsibilities of each staff member. To prioritize
the care and resolution of problems in a step-by-step order and work together effectively. Ensuring the
troops by providing quality and regulatory vaccines which clearly defines the timing of vaccination
procurement Create an accurate learning management about COVID-19 and vaccines based on the World
Health Organization data. via online media to match the current preventive measures Provide a
communication system that is fast, accurate and clear. Reduce the use of presenting information through
Paper. Switch to online meetings through systems such as ZOOM, WEBX, Google Meet. Video data is
recorded to prevent changes in information. Track the progress of the planned Periodically check the health
of personnel (SWAB or PCR) if there is an error. Adapt a plan or strategy to suit the situation and always
have a backup plan.

Keywords: leadership, naval academy, Development of the quality of public administration
Email address : [email protected]

233