The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือ การประเมินหลักสูตรฯ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by จีระนัน เสนาจักร์, 2020-10-05 00:41:02

หนังสือ การประเมินหลักสูตรฯ

หนังสือ การประเมินหลักสูตรฯ

27

สาระสาคญั

สาหรับในบทที่ 2 เร่ือง สาระสาคญั เกี่ยวกบั การประเมินหลกั สตู ร มีสาระสาคญั ดงั ต่อไปน้ี

1. การประเมนิ หลกั สตู ร คอื การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรในลักษณะการตัดสิน
คุณค่าในประเด็นต่างๆ ว่ามีคุณภาพตามมาตรฐานที่กาหนดหรือไม่เพียงใด โดยใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์
และนาผลการประเมนิ มาปรบั ปรุงหลักสตู รให้มคี ุณภาพมากขึ้น

2. การประเมินหลักสูตรมีจุดมุ่งหมายสาคัญเพ่ือตรวจสอบคุณภาพของผู้เรียน
ตลอดจนผ้สู าเร็จการศึกษา ว่าเป็นไปตามท่ีกาหนดไว้ในหลักสูตรหรือไม่เพียงใด แล้วนาผลการประเมิน
มาพิจารณาปรับปรุงหลักสูตรใหม้ คี ณุ ภาพมากยิง่ ขึน้

3. การประเมินหลักสูตรช่วยทาให้ผู้ที่เก่ียวข้องกับหลักสูตร มีข้อมูล สารสนเทศ
เพอ่ื นาไปใช้สาหรับการปรบั ปรุงหรือเปลยี่ นแปลงหลักสูตร ให้มีความเหมาะสม ทันสมัย มีประสิทธิภาพ
และประสิทธิผลมากขน้ึ

4. เหตุผลที่ทาให้ต้องมีการประเมินหลักสูตร ประกอบด้วย 1) ทรัพยากรท่ีใช้ใน
หลักสูตรมีจากัด 2) หลักสูตรใช้มาเป็นระยะเวลานาน 3) ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก 4) ความ
ตอ้ งการขอ้ มูลสารสนเทศ 5) ความต้องการงบประมาณมากขึ้น

5. เกณฑ์คุณภาพของการประเมินหลักสูตร ประกอบด้วย 1) เกณฑ์ความเป็น
วิทยาศาสตร์ ได้แก่ ความเที่ยงตรงภายใน ความเที่ยงตรงภายนอก ความเชื่อมั่น ความเป็นปรนัย
2) เกณฑ์การนาไปปฏิบัติได้จริง ได้แก่ ความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการประเมิน ความมีคุณค่า

28

และความสาคญั ความมีขอบเขตท่ชี ัดเจน ความน่าเชื่อถือ ความเหมาะสมของเวลา การเผยแพร่ผลการ
ประเมนิ 3) เกณฑ์ดา้ นความค้มุ ค่า

6. การประเมินคุณภาพของการประเมิน เป็นการตรวจสอบคุณภาพของการประเมิน
วา่ มปี ระสิทธิภาพอย่างไร มุ่งเน้นการสะท้อนกระบวนการประเมินเพื่อนาไปสู่การปรับปรุงเปล่ียนแปลง
วิธกี ารประเมินใหม้ ีประสิทธิภาพมากข้ึน

7. การพัฒนาหลักสูตรตั้งแต่การออกแบบหลักสูตร การวางแผนการใช้หลักสูตร
การนาหลักสูตรไปปฏิบัติ และการประเมินผลการใช้หลักสูตร ล้วนมีการประเมินสอดแทรกอยู่
ในทกุ ข้ันตอน

29

2.1 ความหมายของการประเมนิ หลักสูตร

การประเมินหลักสูตรเปรียบเสมือนกระจกสะท้อนคุณภาพของการดาเนินการเก่ียวกับ
หลักสูตร ช่วยช้ีแนะแนวทางการปรับปรุงหลักสูตร ให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
อย่างรวดเร็ว เช่น บริบทของการแข่งขันในศตวรรษที่ 21 ทุกสาขาวิชาชีพต้องการบุคลากรที่มีคุณภาพ
มีความคิดสร้างสรรค์ ตลอดจนความสามารถด้านต่างๆ ที่ไม่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ทางานแทนได้
ส่งผลทาให้หลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนต้องบูรณาการทักษะท่ีสาคัญและจาเป็นสาหรับการ
ดารงชีวิตและการประกอบอาชพี ในโลกปจั จบุ ันและอนาคต ทักษะการคดิ รเิ ริ่มสร้างสรรค์ การคิดอย่างมี
วิจารณญาณ ทกั ษะดา้ นเทคโนโลยี ทักษะการสื่อสาร การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ รวมท้ังทักษะการรู้
เรื่องการเงิน (financial literacy) เป็นต้น ซ่ึงการประเมินหลักสูตรจะเป็นเครื่องมือที่สาคัญในการ
ปรับปรุงหลักสูตรให้มีความทันสมยั สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสงั คม

การประเมินหลักสูตร คือ การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรในลักษณะการตัดสิน
คุณค่า (value judgment) ประเด็นต่างๆ ว่ามีคุณภาพตามมาตรฐานท่ีกาหนดไว้หรือไม่เพียงใด
โดยใช้ขอ้ มลู เชิงประจักษ์และนาผลการประเมินมาปรับปรุงหลักสูตรให้มีคุณภาพมากขึ้น เช่น ความ
ทันสมัยของเอกสารหลักสูตร คุณภาพการจัดการเรียนรู้ คุณภาพการวัดและประเมินผล คุณภาพของ
ผเู้ รียน เป็นตน้

จากการสังเคราะห์คาว่า “การประเมินหลักสูตร” ดังกล่าวผู้เขียนได้กาหนดขอบเขตของ
คาว่าการประเมินหลักสูตรในหนังสือเล่มนี้จะหมายความรวมถึงการตรวจสอบคุณภาพของเอกสาร
หลักสูตร (curriculum document) การบริหารจัดการหลักสูตรระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
(curriculum administration) การวางแผนวิชาการระดับอุดมศึกษา (academic planning)
การจัดการเรียนการสอน (instruction) การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนในระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
(student development activities) การจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรในระดับอุดมศึกษา (extra –

30

curricular activities) รวมท้ังการวัดประเมินผลการเรียนรู้ (learning assessment) ท้ังน้ีเพื่อให้ผู้อ่าน
มีความเข้าใจตรงกัน เนื่องจากเวลาท่ีกล่าวคาว่าการประเมินหลักสูตร แต่ละบุคคลอาจมีฐานคิด
และมุมมองท่แี ตกต่างกัน เช่น กลุม่ ผ้บู รหิ ารมักจะมองถึงการประเมินผลของการบริหารจัดการหลักสูตร
หรือการวางแผนวิชาการ ประสิทธิภาพของการบริหารงบประมาณ ส่วนผู้สอนอาจคิดถึงการประเมิน
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน สมรรถนะ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงคข์ องผู้เรียน เปน็ ต้น

2.2 จุดมุ่งหมายของการประเมินหลักสูตร

“การประเมินหลักสูตรไม่ใชเ่ พือ่ การพิสูจน์แต่เพ่ือการปรบั ปรุงและพัฒนา”

“The most important purpose of program evaluation
is not to prove but to improve”
Stufflebeam. 1983: 117

การประเมินหลักสูตรทุกระดับไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน หรือหลักสูตร
ระดับอุดมศึกษา ตลอดจนหลักสูตรฝึกอบรมต่างๆ มีลักษณะร่วมกันของจุดมุ่งหมายประการหนึ่ง คือ
การตรวจสอบคณุ ภาพของผ้เู รียน โดยมุ่งตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความรู้ สมรรถนะ และคุณลักษณะที่พึง
ประสงค์ ตามท่หี ลักสตู รกาหนดไวห้ รือไม่ ถือวา่ เปน็ ตวั ชี้วัดความสาเร็จของหลักสูตร ซ่ึง Beane (1986)
กล่าวไว้ว่า การประเมินหลักสูตรจะไม่สามารถเกิดข้ึนได้จนกว่าเราจะรู้ว่า “เรากาลังพยายามไปสู่
ความสาเร็จอะไร” ซึ่งความสาเร็จของหลักสูตร คือ “คุณภาพของผู้เรียน” ที่กาหนดไว้ในหลักสูตร
เชน่ หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 ท่ีใชส้ าหรับจัดการศึกษาต้ังแต่ระดับชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กาหนดคุณภาพของผู้เรียนเม่ือสาเร็จการศึกษาไว้ 5 ข้อ
ดงั น้ี (สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. 2551: 3 - 4)

31

1. มีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและ
ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาท่ีตนนับถือยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพยี ง

2. มคี วามรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมี
ทกั ษะชีวิต

3. มีสุขภาพกายและสขุ ภาพจติ ท่ีดี มสี ขุ นสิ ัย และรักการออกกาลงั กาย

4. มีความรักชาติ มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิต
และการปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมุข

5. มีจิตสานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยการอนุรักษ์และพัฒนา
ส่งิ แวดล้อม มีจติ สาธารณะที่มุ่งทาประโยชน์และสร้างส่ิงท่ีดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมี
ความสขุ

สาหรับการจัดการศึกษาในระดบั อดุ มศกึ ษา (เปน็ การศกึ ษาในระดับท่สี ูงกว่าระดับการศึกษา
ขั้นพ้ืนฐาน) กระทรวงศึกษาธิการ โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ประกาศกรอบมาตรฐานคณุ วุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2552 เม่ือวันท่ี 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
เพ่ือใช้เป็นกรอบมาตรฐานสาหรับสถาบันอุดมศึกษาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาหรือปรับปรุงหลักสูตร
การจัดการเรียนการสอน และการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตลอดจนผลิตบัณฑิตท่ีมีคุณภาพ
และประโยชน์ต่อการรับรองมาตรฐานคุณวุฒิในระดับอุดมศึกษา โดยคุณภาพของบัณฑิตทุกระดับ
คณุ วฒุ แิ ละสาขา/สาขาวิชาต่างๆ ต้องเปน็ ไปตามมาตรฐานผลการเรียนรู้ที่คณะกรรมการการอุดมศึกษา
กาหนดและต้องครอบคลุมอย่างน้อย 5 ด้าน คือ 1) ด้านคุณธรรม จริยธรรม 2) ด้านความรู้ 3) ด้าน

32

ทักษะทางปัญญา 4) ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ 5) ด้านทักษะการ
วิเคราะหเ์ ชงิ ตัวเลข การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

โดยที่ สาขาวิชาที่เน้นทักษะทางปฏิบัติต้องเพ่ิมมาตรฐานผลการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัย
เพ่ิมเติม หลังจากนั้นต่อมาในวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 คณะกรรมการการอุดมศึกษา
โดยศาสตราจารยว์ จิ ารณ์ พานชิ ในฐานะประธานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้ประกาศแนวทางการ
ปฏิบตั ติ ามกรอบมาตรฐานคณุ วฒุ ิระดบั อุดมศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2552 โดยได้กาหนดมาตรฐานผลการ
เรียนรู้กลางเก่ียวกับคุณลักษณะบัณฑิตท่ีพึงประสงค์ในระดับอนุปริญญา (3ปี) ระดับปริญญาตรี ระดับ
ประกาศนียบัตรบัณฑิต ระดับปริญญาโท ระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตช้ันสูง และระดับปริญญาเอก
ไว้อย่างชัดเจนที่ทุกหลักสูตรท่ีเปิดสอนในแต่ละระดับ ต้องนาไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตร การจัดการ
เรียนการสอน การประเมินและปรับปรุงหลักสูตร ให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามมาตรฐานกลางดังกล่าว เช่น
คุณลักษณะบัณฑิตท่ีพึงประสงค์ในระดับคุณวุฒิปริญญาเอก มีดังต่อไปน้ี (สานักงานคณะกรรมการการ
อุดมศึกษา. 2552: 22 – 23)

1. ด้านความร้คู วามสามารถ ประกอบดว้ ย

1.1 ความเข้าใจอันถ่องแท้ในองค์ความรู้ระดับสูงและการวิจัยในสาขาวิชาการ

หรอื วชิ าชพี

1.2 ความคุ้นเคยกับประเด็นปัญหาที่กาลังเกิดข้ึนในระดับแนวหน้าของสาขา
วิชาการหรือวิชาชีพ รวมทั้งความท้าทายของประเด็นปัญหาเหล่าน้ันต่อการปฏิบัติหน้าท่ีในปัจจุบัน
และตอ่ ข้อสรปุ ที่เปน็ ทีย่ อมรับกนั อยู่แลว้

33

1.3 การศึกษาค้นคว้าระดับสูงท่ีเก่ียวข้อง รวมถึงการสร้างองค์ความรู้และแปล
ความหมายขององคค์ วามรู้ใหม่ทางการวิจัยท่ีมีลักษณะสร้างสรรค์ โดยเฉพาะหรือการใช้ทฤษฎีและการ
วิจัยท่กี ่อใหเ้ กดิ คณุ ประโยชน์ท่สี าคญั ตอ่ การปฏบิ ัตใิ นวชิ าชพี

1.4 ความเข้าใจอันถ่องแท้ในเทคนิคการวิจัยท่ีสามารถประยุกต์ใช้ในสาขาวิชา
ที่ศกึ ษา

1.5 ความสามารถในการรวบรวมผลการวิจัยจากวิทยานิพนธ์ หรือจากรายงานผล
ของโครงการและจากส่งิ ตพี ิมพ์หรือส่ือต่างๆ ที่อา้ งอิงได้ในวงวิชาการหรอื วิชาชพี

2. ด้านคุณลักษณะของบณั ฑิตท่พี งึ ประสงค์ ประกอบด้วย

2.1 สามารถประยุกต์ใช้ความรู้ระดับสูงและ/หรือความเข้าใจในวิชาชีพเพื่อพัฒนา
ความรู้และการปฏิบัติในสาขาวิชาชีพของตนให้ก้าวหน้าย่ิงขึ้นและให้การสนับสนุนอย่างเต็มกาลัง
เพอ่ื พัฒนาความรคู้ วามเขา้ ใจและกลยทุ ธ์ใหม่ๆ

2.2 สามารถแสดงออกซ่ึงภาวะผู้นาในสาขาวิชาของตนในการแก้ปัญหาสาคัญ
ท่ีเ กิ ด ขึ้น ร ว ม ทั้ง แ ส ดง ค ว า มคิ ด เ ห็น แ ล ะข้อส รุ ปต่ อก ลุ่ มผู้ เ ช่ี ยว ช า ญ แล ะก ลุ่ม ที่ ไม่ ใช่ ผู้ เ ชี่ย ว ช า ญ
ในสาขาวชิ าไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ

2.3 สามารถจัดการกับปัญหาทางจริยธรรมท่ีซับซ้อนในบริบทของวิชาการหรือ
วิชาชพี ได้ม่นั คงและรวดเร็ว มีความคิดริเรม่ิ ในการหาทางเลือกทีเ่ หมาะสมเพ่ือแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบ
ตอ่ ชมุ ชน

34

ปัจจุบันสาขาวิชาต่างๆ ได้พัฒนามาตรฐานคุณวุฒิที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะสาขาวิชาเพื่อใช้
เป็นคุณภาพของผู้สาเร็จการศึกษา ดังตัวอย่างต่อไปนี้ (ใช้คาว่า “มาตรฐานคุณวุฒิ” โดยไม่มีคาว่า
“กรอบ”)

มาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาคอมพวิ เตอร์ พ.ศ. 2552
มาตรฐานคณุ วฒุ ริ ะดับปรญิ ญาตรี สาขาพยาบาลศาสตร์ พ.ศ. 2552
มาตรฐานคุณวุฒิระดับปรญิ ญาตรี สาขาโลจิสตกิ ส์ พ.ศ. 2552
มาตรฐานคุณวฒุ ริ ะดับปริญญาตรี สาขาวิชาการทอ่ งเทีย่ วและการโรงแรม พ.ศ. 2553
มาตรฐานคณุ วุฒิระดบั ปรญิ ญาตรี สาขาวิศวกรรมศาสตร์ พ.ศ. 2553
มาตรฐานคณุ วฒุ ริ ะดบั ปริญญาตรี สาขาวิชาการบัญชี พ.ศ. 2553
มาตรฐานคุณวุฒิระดบั ปรญิ ญาตรี สาขาครศุ าสตร์และสาขาศึกษาศาสตร์(หลักสตู รหา้ ปี)
มาตรฐานคุณวุฒิระดับปรญิ ญาตรี สาขาวชิ าภาษาไทย พ.ศ. 2554
มาตรฐานคณุ วุฒิระดบั ปริญญาตรี สาขาวทิ ยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ พ.ศ. 2554
มาตรฐานคุณวุฒริ ะดับปรญิ ญาตรี สาขาการแพทยแ์ ผนไทยประยกุ ต์ พ.ศ. 2554
มาตรฐานคุณวฒุ ริ ะดับบณั ฑิตศกึ ษา สาขาการแพทยแ์ ผนไทยประยุกต์ พ.ศ. 2554
มาตรฐานคุณวุฒริ ะดบั บณั ฑติ ศกึ ษา สาขาพยาบาลศาสตร์ พ.ศ. 2555
มาตรฐานคณุ วุฒริ ะดับบัณฑติ ศึกษา สาขาวชิ ากายภาพบาบัด พ.ศ. 2556
มาตรฐานคุณวฒุ ริ ะดบั ปริญญาตรี สาขาวชิ ากายภาพบาบดั พ.ศ. 2556

จากท่ียกตัวอย่างคุณภาพของผู้เรียนทั้งในระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน และระดับอุดมศึกษา
ดังกล่าวเพ่ือท่ีจะช้ีให้เห็นว่า การประเมินหลักสูตรมีจุดมุ่งหมายสาคัญเพ่ือตรวจสอบคุณภาพของ
ผู้เรียน ตลอดจนผู้สาเร็จการศึกษา ว่าเป็นไปตามที่กาหนดไว้ในหลักสูตรหรือไม่เพียงใด แล้วนาผล
การประเมนิ มาพจิ ารณาปรบั ปรุงหลักสตู รใหม้ คี ณุ ภาพมากย่ิงข้นึ

35

นอกจากนี้การประเมินหลักสูตรยังมีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้ผู้ท่ีเกี่ยวข้องกับหลักสูตร เช่น
ผู้บริหาร ผู้สอน ชุมชน เป็นต้น มีข้อมูลสารสนเทศท่ีสามารถนามาใช้ประกอบการพิจารณาปรับปรุง
หลักสตู รอีกด้วย ดังนั้นจึงสามารถวิเคราะห์จุดมุ่งหมายของการประเมินหลักสูตรได้อีก 4 ประการ ดังนี้
(วิชัย วงษใ์ หญ.่ 2554)

1. เพื่อตรวจสอบวา่ เอกสารหลกั สูตร ไดแ้ ก่ หลักการ จุดหมาย โครงสร้าง เน้ือหา
การจดั การเรยี นการสอน ส่ือ การวัดและประเมินผล มีความสอดคล้องกันหรือไม่ ซ่ึงการประเมินใน
ลักษณะนี้ส่วนมากจะดาเนินการก่อนการนาหลักสูตรไปปฏิบัติ โดยท่ัวไปจะมีการแต่งต้ังคณะกรรมการ
ประเมินทาหน้าท่ีพิจารณาคุณภาพของเอกสารหลักสูตร แนวทางการดาเนินการตรวจสอบมีหลาย
วิธีการ เช่น การส่งเอกสารหลักสูตรให้ผู้เช่ียวชาญแต่ละคนพิจารณา แล้วนาข้อเสนอแนะของ
ผู้เช่ียวชาญมาปรับปรุงแก้ไข การดาเนินการประชุมสนทนากลุ่ม (focus group) การนาเสนอหลักสูตร
ในท่ีประชมุ คณะกรรมการพจิ ารณาหลักสตู ร เป็นตน้

2. เพื่อตรวจสอบว่าการนาหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติ หรือประเมินว่ากระบวนการ
ใช้หลักสตู รมปี ระสทิ ธภิ าพ สอดคล้องกับหลักการและวัตถุประสงค์ของหลักสูตรหรือไม่ การประเมิน
ในส่วนน้ีมุ่งเนน้ การประเมนิ การเรยี นการสอน การบริหารงานวิชาการ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
มีลกั ษณะเปน็ การประเมินเพ่อื ปรับปรุงและพัฒนา (evaluation for improvement) ใชว้ ิธีการประเมิน
เชิงคุณภาพเป็นหลัก เช่น การสัมภาษณ์ การซักถาม การสังเกตพฤติกรรม การประเมินจากผลการ
ปฏบิ ัติงานของผู้เรียน เป็นต้น ส่วนกลุ่มเปูาหมายที่จะให้ข้อมูลคือบุคคลท่ีเก่ียวข้องกับหลักสูตรโดยตรง
เชน่ ผู้บริหาร ผ้สู อน ผูเ้ รยี น ผู้ปกครอง ชมุ ชน นักการ ภารโรง เปน็ ต้น

3. เพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนมีคุณภาพตรงตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรหรือไม่
เป็นแนวคิดการประเมินท่ียึดจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ของหลักสูตรเป็นหลัก กระบวนการประเมิน
จะมคี วามเปน็ ทางการมากกวา่ การประเมินระหว่างการนาหลักสูตรไปปฏิบัติ มีการวางแผนการประเมิน

36

อย่างเป็นระบบ มีเครื่องมือท่ีใช้เก็บรวบรวมข้อมูลท่ีผ่านกระบวนการสร้างและตรวจสอบคุณภาพ
เป็นอย่างดี มีเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจน การประเมินส่วนนี้จะดาเนินการเม่ือส้ินสุดภาคการศึกษา
หรือสิ้นปีการศึกษา อย่างไรก็ตามการประเมินว่าผู้เรียนมีคุณภาพตรงตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร
มีข้อพึงระวังคือ ความล้าสมัยของวัตถุประสงค์ของหลักสูตรที่ถูกกาหนดไว้ในบริบทของสังคมท่ีผ่านไป
แล้วต้งั แตห่ ลักสูตรเริ่มตน้ การพัฒนา เพราะสังคมมกี ารเปลี่ยนแปลงอยา่ งรวดเร็ว การที่ผู้เรียนมีคุณภาพ
ตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ต้องตระหนักอยู่เสมอว่าเป็นวัตถุประสงค์ของหลักสูตรท่ีถูกเขียนข้ึน
ในอดีต ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับปัจจุบัน แต่ถ้าหากวัตถุประสงค์ของหลักสูตรยังมีความทันสมัยอยู่จึงจะ
มนั่ ใจไดว้ ่าผู้เรียนมีคุณภาพอย่างแท้จริง

4. เพ่ือตรวจสอบว่าหลักสูตรสามารถตอบสนองความต้องการของผู้เรียนและ
สังคมได้หรือไม่เพียงใด เนื่องจากหลักสูตรท่ีดีจะต้องมีลักษณะสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน
เช่น เด็กยุคใหม่ชอบการเรียนรู้จากสื่อและเทคโนโลยี ชอบการปฏิบัติจริงมากกว่าการฟังบรรยาย
ชอบแสดงความคิดเห็นและแลกเปล่ียนเรียนรู้ มากกว่าการรับฟังคาส่ังจากผู้สอน เป็นต้น นอกจากน้ี
ยังต้องสามารถผลิตผู้สาเร็จการศึกษาท่ีมีความรู้ ความสามารถ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตรงตาม
ความต้องการของสังคมอีกด้วย เช่น ขณะน้ีสังคมโลกเป็นสังคมธุรกิจ ต้องการคนท่ีมีความรู้
ความสามารถ มีศักยภาพในการใช้ภาษาเพ่ือการสื่อสารโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ และท่ีสาคัญคือ
ความคดิ สร้างสรรค์

2.3 ความสาคัญของการประเมินหลักสตู ร

การประเมินหลักสูตรมีความสาคัญหลายประการ ซึ่งเม่ือวิเคราะห์จาแนกตามช่วงเวลาการ
ประเมินหลักสูตร 3 ระยะ ได้แก่ การประเมินก่อนการใช้หลักสูตร การประเมินระหว่างการใช้หลักสูตร
และการประเมนิ หลังการใช้หลักสูตร แตล่ ะระยะมคี วามสาคญั ดังตอ่ ไปนี้

37

1. การประเมินก่อนการใช้หลักสูตร ช่วยทาให้ทราบว่าเอกสารหลักสูตรมีความ
ถูกต้อง หรือไม่ มีความชัดเจนอ่านแล้วเข้าใจตรงกันหรือไม่ ทรัพยากรที่ใช้ในหลักสูตรมีเพียงพอหรือไม่
ผู้บริหาร และผู้สอนมีความรู้ความเข้าใจในหลักสูตรท่ีจะใช้เพียงใด แผนการใช้หลักสูตรมีความชัดเจน
เพียงใด ซ่ึงการประเมินหลักสูตรก่อนการใช้หลักสูตร เป็นปัจจัยเอ้ือต่อการใช้หลักสูตรอย่างมี
ประสิทธิภาพ

2. การประเมินระหว่างการใช้หลักสูตรช่วยทาให้ทราบว่าการใช้หลักสูตร
มีประสิทธิภาพเพียงใด เช่น การบริหารงานวิชาการ การจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล
สื่อการเรยี นรู้ แหลง่ การเรียนรู้ คณุ ภาพผู้เรยี น เป็นตน้ การประเมินระหว่างใช้หลักสูตรเน้นการประเมิน
เพื่อปรบั ปรงุ และพฒั นา (evaluation for improvement) เปน็ สาคญั

3. การประเมินหลังการใช้หลักสูตรช่วยทาให้ทราบประสิทธิผลของหลักสูตร คือ
คุณภาพของผู้เรียนตามที่หลักสูตรกาหนดไว้ซึ่งโดยทั่วไปแบ่งเป็น 3 ด้าน คือ ด้านการรู้คิด (cognitive)
ด้านทักษะการปฏิบัติ (psychomotor) และด้านอารมณ์และเจตคติ (affective) ซึ่งใน Oxford
Advanced Learner’s Dictionary 7thed. ให้ความหมายของ affective ว่า “connected with
emotions and attitudes” (Oxford University. 2005: 25)

การประเมนิ หลกั สูตรชว่ ยทาให้ผู้ทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั หลกั สูตร มขี อ้ มูล สารสนเทศ เพื่อนาไปใช้
สาหรับการปรับปรุงหรือเปล่ียนแปลงหลักสูตร ให้มีความเหมาะสม ทันสมัย มีประสิทธิภาพ
และประสิทธิผลมากขึ้น เช่น การปรับปรุงวัตถุประสงค์ของหลักสูตร การปรับปรุงเนื้อหาสาระ หรือ
รายวิชา กระบวนการจัดการเรียนรู้ วิธีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ (Tyler. 1949: 104, Taba.
1962: 313 – 316, Tanner and Tanner. 1980: 687, Armstrong. 1989: 228, Armstrong. 2003:
266, Oliva. 2009: 409, Ornstein and Hunkins. 2004: 275)

38

2.4 เหตุผลและความจาเปน็ ท่ีต้องมีการประเมนิ หลกั สูตร

เหตทุ ่ีสง่ ผลทาให้ตอ้ งมีการประเมนิ หลกั สูตร มีหลายประการดังตอ่ ไปนี้

1. ทรัพยากรที่ใช้ในการบริหารจัดการหลักสูตร ได้แก่ บุคคล งบประมาณ วัสดุ
อุปกรณ์ต่าง มีอยู่อย่างจากัดและเพ่ือให้การดาเนินการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพสูงสุด กล่าวคือเป็น
การใชท้ รพั ยากรน้อยทส่ี ุดแต่สามารถทาใหผ้ ูเ้ รียนมีคณุ ภาพ จึงจาเป็นต้องมีการประเมินหลักสูตรเกิดข้ึน
ซ่ึงจะทาใหท้ ราบว่าการบรหิ ารจัดการหลกั สตู รมีประสิทธภิ าพหรือไม่ มีการใชท้ รัพยากรให้เกิดประโยชน์
สูงสุดหรือไม่ เช่น การประเมินปริมาณงานของผู้สอนรายบุคคล ซ่ึงอาจพบว่าผู้สอนกลุ่มหน่ึงมีปริมาณ
งานการจัดการเรียนการสอนจานวนมากในขณะท่ีผู้สอนอีกกลุ่มหน่ึงมีปริมาณการจัดการเรียนการสอน
น้อย ทาให้ต้องปรับปรุงระบบการมอบหมายงานให้เหมาะสมมากขึ้น เป็นต้น หรือการประเมินการใช้
วัสดุครุภัณฑ์ต่างๆ อาจพบว่า มีการเบิกวัสดุที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนมากเกินความจาเป็น เช่น
กระดาษที่ใช้สาหรับถ่ายเอกสาร ผงเคมี เป็นต้น ซ่ึงสิ่งต่างๆ เหล่าน้ีล้วนเป็นทรัพยากรหลักสูตรทั้งสิ้น
ถ้าไม่มีการประเมินหลักสูตรอย่างเป็นระบบแล้ว อาจทาให้มีการใช้ทรัพยากรที่ไม่คุ้มค่าและส้ินเปลือง
ตอ่ ไป

2. หลักสูตรได้ถูกใช้มาเป็นระยะเวลานาน สังคมปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่าง
รวดเร็วมีองค์ความรู้ใหม่เกิดขึ้นทุกวัน ความก้าวหน้าทางวิทยาการต่างๆ ตลอดจนธรรมชาติการเรียนรู้
ของผเู้ รยี นยุคใหมท่ ใี่ ชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารมาสนบั สนุนการเรยี นรู้ด้วยตนเอง ด้วยเหตุน้ี
จึงต้องมีการประเมินหลักสูตรภายหลังจากท่ีได้ดาเนินการใช้ไปช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อทาให้หลักสูตรมีความ
ทันสมัยและสอดคล้องกับบริบททางสังคมมากข้ึน ซ่ึงไม่มีการกาหนดช่วงระยะเวลาตายตัวว่าจะต้องใช้
หลักสูตรไปนานเท่าใดจึงจะทาการประเมิน ข้ึนอยู่กับบริบทของการใช้หลักสูตร การประเมินหลักสูตร
บางครั้งจะนาไปสู่การปรับปรุงหลักสูตร หรืออาจจะนาไปสู่การยกเลิกการใช้หลักสูตรเดิมแล้วพัฒนา
หลักสูตรใหม่ข้ึนมาใช้แทน เช่น การพัฒนาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

39

ขึ้นใช้แทนหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 และให้ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 แทนหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2544 ตามคาส่ังของ
กระทรวงศึกษาธิการ ที่ สพฐ 293/2551 ลงวันท่ี 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 (สานักงานคณะกรรมการ
การศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2551) เปน็ ต้น

3. มีปัจจัยภายนอกส่งผลให้ต้องประเมินหลักสูตร เนื่องจากการจัดการศึกษาของ
หลักสูตรทุกหลักสูตรมีความเก่ียวข้องกับปัจจัยภายนอกต่างๆ หลายปัจจัย ทั้งด้านความต้องการของ
ผู้ปกครองและชุมชน มาตรฐานขององค์กรวิชาชีพ การเปล่ียนแปลงของสังคมตลอดจนทิศทางการจัด
การศึกษาและการทดสอบในระดับนานาชาติ ดังน้ันหลักสูตรจึงต้องมีการประเมินและปรับปรุง
ให้สอดคล้องกับปัจจัยภายนอกต่างๆ ดังกล่าวเพื่อให้ผู้สาเร็จการศึกษามีคุณลักษณะและสมรรถนะ
ตรงตามความต้องการและมาตรฐานท่ีกาหนด

การศึกษาในระดับการศึกษาข้ันพื้นฐานขณะนี้ มีปัจจัยภายนอกท่ีสาคัญและมี
อิทธิพลทาให้ต้องมีการประเมินและปรับปรุงหลักสูตร คือ การประเมินคุณภาพการศึกษาในระดับ
นานาชาติ ซ่ึงประเทศไทยไม่อาจหลีกเล่ียงได้ มีการประเมินคุณภาพการศึกษาจากคุณภาพของผู้เรียน
โดยใช้การประเมนิ คณุ ภาพของผเู้ รียนระดบั นานาชาติ ท่ีมงุ่ ประเมนิ ทกั ษะการคิดและการแก้ปัญหาไม่ว่า
จะเป็นการประเมิน PISA (Programme for International Student Assessment) การประเมิน
TIMMS (Trends in International Mathematics and Science Study) และล่าสุดมีการ
ประเมินทักษะด้านการรู้คิด (cognitive skills) และความสุขในการเรียนรู้ ท้ังนี้เพ่ือให้สามารถ
แสวงหาความรู้ และเรียนรู้ได้อย่างต่อเน่ือง ซึ่งประกอบด้วย 1) การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์
(Science)2) การเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ (Mathematics) 3) การเรียนรู้ทางเทคโนโลยี (Technology)
4) การคิดวิเคราะห์ และ 5) การคิดสร้างสรรค์ ซ่ึงผลการประเมินหลายๆ คร้ัง ท่ีผ่านมายังไม่เป็นท่ีน่า
พอใจ ทาใหต้ ้องมกี ารประเมนิ และปรบั ปรุงหลกั สตู ร

40

สาหรบั การศึกษาในระดับอุดมศึกษา ขณะน้ีมีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลทาให้ต้องมี
การประเมินและปรับปรุงหลักสูตร คือ การประกาศกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2552 และการประกาศมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาของสมาคมวิชาชีพต่างๆ ทาให้ทุก
หลักสูตรท่ีเปิดสอนในระดับอุดมศึกษาต้องมีการประเมินและปรับปรุงหลักสูตรภายในเวลาท่ีกาหนด
นอกจากนี้การเปิดประชาคมอาเซียนทาให้ผู้ที่ประกอบวิชาชีพบางวิชาชีพ (ขณะน้ีมี 7 วิชาชีพ ได้แก่
แพทย์ ทันตแพทย์ นักบัญชี วิศวกร พยาบาล สถาปนิก และนักสารวจ) สามารถเคล่ือนย้ายไปทางาน
ไดอ้ ยา่ งเสรใี นประชาคมอาเซียน 10 ประเทศ ในปี พ.ศ. 2558 จึงทาให้ทุกหลักสูตรท่ีเปิดทาการจัดการ
เรียนการสอนใน 7 สาขาวิชาชีพน้ีต้องมีการประเมินและปรับปรุงหลักสูตรให้มีมาตรฐานผลการเรียนรู้
ทัดเทียมกัน เพื่อให้ผู้สาเร็จการศึกษาสามารถออกไปปฏิบัติงานร่วมกับเพ่ือนร่วมวิชาชีพจาก
ต่างประเทศไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ

4. ความต้องการข้อมูลสารสนเทศสาหรับการปรับปรุงหลักสูตร ซ่ึงตามหลัก
วิชาการแล้วการปรับปรุงหลักสูตรจะทาได้ก็ต่อเมื่อมีผลการประเมินที่ถูกต้อง หากไม่มีผลการประเมิน
ผู้บริหาร ผู้สอนและผู้เก่ียวข้องอ่ืนๆ จะไม่สามารถตัดสินใจปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตรหรือยกเลิก
การใช้หลักสูตรได้ เช่น ในปี พ.ศ. 2555 สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานมีความต้องการ
ขอ้ มลู สารสนเทศเกยี่ วกับการใช้หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 เพื่อนามาใช้
ในการพิจารณาปรับปรุงหลักสูตร จึงดาเนินการประเมินหลักสูตรโดยประสานความร่วมมือกับทีม
นักวิจัยของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยมีดาเนินการประเมินหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพกับ
ผู้บริหารระดบั สงู ผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษา ศึกษานิเทศก์ ครูผู้สอน ผู้เรียน และชุมชน หรือกรณีของ
หลักสูตรโรงเรยี นนายร้อยตารวจ ผู้บังคับบัญชาต้องการข้อมูลสารสนเทศเพื่อนามาใช้ปรับปรุงหลักสูตร
นกั เรยี นนายรอ้ ยตารวจ พ.ศ. 2549 ด้วยเหตุน้ีจึงให้มีการวิจัยประเมินหลักสูตรนักเรียนนายร้อยตารวจ
มุ่งสู่ความเป็นวิชาชีพตารวจในทศวรรษหน้า (พ.ศ. 2555 – 2564) เกิดขึ้น กล่าวโดยสรุปคือ ความ
ต้องการขอ้ มูลสารสนเทศเกี่ยวกับหลกั สตู รของผูบ้ รหิ ารจะนาไปส่กู ารประเมินหลักสูตร

41

5. ความต้องการงบประมาณสาหรับการจัดการศึกษาที่เหมาะสม โดยปกติการจัด
การศึกษาของหลักสตู ร จะมีคา่ ใชจ้ ่ายต่างๆ เชน่ คา่ ใชจ้ า่ ยในการจดั การเรยี นการสอน ค่าใช้จ่ายเพื่อการ
ตอบแทนบุคลากร ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับยานพาหนะเดินทาง ค่าใช้จ่ายเก่ียวกับการจัดกิจกรรมพิเศษอ่ืนๆ
เปน็ ตน้ ดังน้นั เรื่องการเงินและงบประมาณจึงเป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ
และมาตรฐาน แต่อย่างไรก็ตามภาวะทางเศรษฐกิจมีการเปล่ียนแปลงอย่างต่อเน่ือง ค่าเงินลดลง
แต่ค่าใช้จ่ายมากขึ้น ดังนั้นจึงจาเป็นต้องมีงบประมาณเพิ่มเติมอย่างเพียงพอ สาหรับหลักสูตรระดับ
การศึกษาข้ันพื้นฐานจะได้รับงบประมาณส่วนหนึ่งจากรัฐบาล และมีรายรับอื่นๆ จากเงินรายได้ต่างๆ
ขน้ึ อยกู่ ับศักยภาพของแต่ละสถานศึกษา สาหรับหลกั สตู รระดับปริญญาตรีในสถานบันอุดมศึกษาของรัฐ
หรืออยู่ในกากับของรัฐจะได้รับจัดสรรงบประมาณส่วนหน่ึงจากรัฐบาล อีกส่วนหน่ึงได้จากเงินรายได้
ต่างๆ สาหรับหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา (สูงกว่าปริญญาตรี) เป็นหลักสูตรท่ีต้องหารายได้เลี้ยงตัวเอง
ซึง่ การที่จะเสนอขอจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมได้นั้น จาเป็นต้องมีข้อมูลสารสนเทศมาสนับสนุนเหตุผล
ของการขอจัดสรรงบประมาณ ซึ่งวิธีการหนึ่งคือการประเมินหลักสูตร โดยเฉพาะการประเมินในด้าน
การเงินและงบประมาณที่ใช้ในการจัดการศึกษา ซ่ึงจะทาให้มีข้อมูลว่าถ้าต้องการจัดการศึกษาให้มี
คุณภาพแล้วจะต้องใช้งบประมาณเป็นเงินเท่าใด จากประสบการณ์ที่ผ่านมามีหลักสูตรการศึกษาระดับ
ปริญญาเอกหลักสูตรหนึ่ง เริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2530 โดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการศึกษาตลอดหลักสูตร
ประมาณ 100,000 บาท ต่อมาในปี พ.ศ. 2555 (ใช้หลักสูตรมาแล้ว 25 ปี) ได้มีการปรับปรุงหลักสูตร
เกิดข้ึน ซ่ึงในการนี้มีการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ต้องใช้ในหลักสูตรแล้วพบว่าไม่เพียงพอต่อการ
บริหารจัดการหลักสูตรให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพ ในบริบทของสังคมปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้จึงทาให้
คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรตัดสินใจปรับปรุงค่าธรรมเนียมการศึกษาตลอดหลักสูตรจากเดิมเป็น
300,000 บาท และได้เสนอหลักสูตรตามข้ันตอนจนได้รับการอนุมัติจากสภามหาวิทยาลัย จึงทาให้การ
บริหารจัดการหลักสูตร และการจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากข้ึน ผู้เรียนได้มีโอกาสในการ
ฝึกประสบการณ์การเรียนรู้ในต่างประเทศ จากเดิมที่ไม่สามารถทาได้เน่ืองจากงบประมาณไม่เพียงพอ
สรุปเหตุผลและความจาเป็นที่ทาให้ต้องมกี ารประเมินหลกั สตู รแสดงได้ดังแผนภาพต่อไปนี้

42

ทรัพยากรทีใ่ ชใ้ นหลกั สูตรมีจากดั

หลักสตู รถกู ใชม้ าเปน็ ระยะเวลานาน

ได้รับผลกระทบจากปจั จยั ภายนอก การประเมินหลกั สตู ร

ความตอ้ งการขอ้ มูลสารสนเทศ
ความต้องการงบประมาณเพ่มิ ขึ้น

แผนภาพ 3 เหตุผลและความจาเป็นท่ที าใหต้ อ้ งมกี ารประเมนิ หลกั สูตร

43

2.5 เกณฑค์ ณุ ภาพของการประเมินหลักสูตร

การประเมินหลักสูตรมีเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาคุณภาพของการประเมินหลักสูตรมี 3 ด้าน ได้แก่
1) เกณฑ์ความเป็นวิทยาศาสตร์ 2) เกณฑ์การนาไปปฏิบัติได้จริง และ 3) เกณฑ์ความคุ้มค่า
ซงึ่ ก่อนทีจ่ ะดาเนนิ การประเมนิ หลักสูตรจาเปน็ ตอ้ งมกี ารวางแผนการดาเนินการให้การประเมินหลักสูตร
มีคุณภาพครอบคลุมทัง้ 3 ดา้ นโดยแตล่ ะด้านมสี าระสาคญั ดงั น้ี (Brady. 1992)

1. เกณฑ์ความเป็นวิทยาศาสตร์ (scientific criteria) หมายถึง ความถูกต้อง
และเชอ่ื ถือได้ของการประเมินหลักสูตร มีประเดน็ ทีต่ อ้ งพจิ ารณา 4 ประเด็น ไดแ้ ก่

1.1 ความเที่ยงตรงภายใน (internal validity) หมายถึง การประเมิน
หลักสตู รได้สารสนเทศ หรอื ข้อสรปุ ตรงกบั สภาพความเป็นจริง

1.2 ความเที่ยงตรงภายนอก (external validity) หมายถึง ผลการ
ประเมินหลักสูตรท่ีเก็บรวบรวมข้อมูลเพียงบางส่วน เช่น เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง เป็นต้น สามารถ
สรปุ อ้างอิง (generalization) ไปยังบริบทอื่นภายในหลักสูตรเดียวกันได้ เช่น สังเกตพฤติกรรมจิตอาสา
ของผูเ้ รียนบางคน แล้วสรปุ ข้อค้นพบจากการสงั เกตนั้นไปยังผเู้ รียนทง้ั หมดได้อย่างถูกต้อง เปน็ ต้น

1.3 ความเชอ่ื มั่น (reliability) หมายถึง การประเมินหลักสูตรท่ีใช้วิธีการ
หรือเครื่องมือทแ่ี ตกตา่ งกันหรือใชผ้ ปู้ ระเมินเปน็ คนละคนกันแต่ก็ยงั ได้ผลการประเมินที่ตรงกัน

1.4 ความเป็นปรนัย (objectivity) หมายถึง การประเมินหลักสูตรท่ีมี
ความเป็นรูปธรรม ข้อมูลท่ีใช้ในการประเมินเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ ผู้ประเมินท่ีมีความรู้และ
ประสบการณ์ ตลอดจนความชานาญเพียงพอ จะมคี วามเห็นตรงกนั ในผลการประเมนิ

44

2. เกณฑ์การนาไปปฏิบัติได้จริง (practical criteria) หมายถึง หลักการ
ที่กาหนดไว้เพ่ือให้การประเมินหลักสูตรมีความเป็นไปได้จริงในระดับการปฏิบัติ มีประเด็นท่ีต้อง
พจิ ารณา 6 ประเด็น ไดแ้ ก่

2.1 ความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการประเมิน (relevance)
หมายถึง การประเมินหลักสูตรมีความสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการประเมิน ซึ่งการประเมิน
หลักสูตร ท่ีไม่ตรงประเด็นหรือไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การประเมินเปรียบเสมือนการตอบคาถาม
ไม่ตรงกับโจทย์การประเมิน

2.2 ความมีคุณค่าและความสาคัญ (importance) หมายถึง ผลการ
ประเมินหลักสูตรเป็นส่ิงท่ีมีคุณค่า และมีความสาคัญต่อผู้ท่ีเก่ียวข้องกับหลักสูตร นาไปสู่การปรับปรุง
หลกั สูตรได้จริง

2.3 ความมีขอบเขตท่ีชัดเจน (scope) หมายถึง การประเมินหลักสูตร
ที่กาหนดขอบเขตของการประเมินไว้อย่างชัดเจน ครอบคลุมส่ิงที่มุ่งประเมิน ประเด็นการประเมิน
รวมทั้งบุคคลผู้ให้ข้อมูล มาตรฐานการประเมินหรือเกณฑ์รวมทั้งระยะเวลาของการประเมินซึ่งเกณฑ์
ด้านการปฏิบัติได้จริงในด้านความตรงประเด็น ความมีคุณค่าและความสาคัญและมีขอบเขตชัดเจน
ดงั กล่าว มคี วามสัมพนั ธ์กัน และมคี วามสาคญั เท่าเทียมกนั

2.4 ความน่าเชื่อถอื (credibility) หมายถึง ผลการประเมนิ หลกั สูตรไม่ว่า
จะเป็นข้อค้นพบจากการประเมินหรือข้อเสนอแนะท่ีมีต่อหลักสูตร มีความน่าเชื่อถือซึ่งเกิดมาจาก
กระบวนการประเมินทั้งหมด ตั้งแต่คณะกรรมการประเมิน วิธีการและเคร่ืองมือ การวิเคราะห์ข้อมูล
ความเป็นมาตรฐานของเกณฑ์ท่ใี ชก้ ารประเมนิ

45

2.5 ความเหมาะสมของเวลา (timelines) หมายถึง การประเมิน
หลักสูตรทีม่ ีระยะเวลาดาเนินการอย่างเหมาะสม และเพียงพอ ไม่น้อยเกนิ ไปจนส่งผลทาให้เกิดความเร่ง
รีบดาเนินการประเมินหลักสูตรและไม่ยาวนานเกินไปจนทาให้ได้ผลการประเมินล่าช้า ไม่ทันเหตุการณ์
หรอื ล้าสมยั

2.6 การเผยแพรผ่ ลการประเมิน (pervasiveness) หมายถึงการประเมิน
หลกั สตู รทเี่ ผยแพรผ่ ลการประเมินให้กบั บุคคลทกุ ฝาุ ยท่เี ก่ยี วข้อง เช่น ผบู้ ริหาร ผู้สอน ชุมชน ผู้ปกครอง
ผู้เรียน เป็นต้น รวมท้ังบุคคลท่ีมีความต้องการใช้สารสนเทศจากการประเมิน เช่น นักวิจัย ผู้บริหาร
ระดับสงู เป็นตน้

3. เกณฑ์ด้านความคุ้มค่า (prudential criteria) เป็นหลักการท่ีกาหนดไว้
เพ่ือให้การประเมินหลักสูตรมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ซ่ึงความมีประสิทธิภาพและ
ประสิทธิผล หมายถึง การประเมินหลักสูตรต้องใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด แต่ได้ผลการประเมินที่มี
ประโยชนส์ งู สดุ นาไปสูก่ ารปรับปรุงและเปลย่ี นแปลงหลักสตู รใหม้ คี ณุ ภาพมากขึ้น

2.6 ความสมั พนั ธร์ ะหว่างกิจกรรมการพัฒนาหลักสูตร
และกจิ กรรมการประเมนิ ในกระบวนการพัฒนาหลกั สตู ร

โดยธรรมชาติแล้วการพัฒนาหลักสูตรต้ังแต่การออกแบบหลักสูตร (curriculum design)
การวางแผนการใช้หลักสูตร (curriculum planning) การนาหลักสูตรไปปฏิบัติ (curriculum
implementation) และการประเมินผลการใช้หลักสูตร (curriculum evaluation) ล้วนมีการประเมิน
สอดแทรกอยู่ในทุกข้นั ตอน ซึง่ สามารถวิเคราะหไ์ ด้ดงั ตอ่ ไปน้ี

46

ตาราง 1 ความสัมพนั ธร์ ะหว่างกจิ กรรมการพฒั นาหลักสูตรและกิจกรรมการประเมนิ ในกระบวนการ
พฒั นาหลักสตู ร

กระบวนการพฒั นาหลกั สตู ร กจิ กรรมการพัฒนาหลักสูตร กิจกรรมการประเมิน
1. การออกแบบหลกั สูตร - ยกรา่ งหลกั สตู รข้นึ มา
บนพนื้ ฐานของข้อมูลสารสนเทศ - ประเมินเกี่ยวกับความตอ้ งการ
2. การวางแผนการใช้หลกั สูตร ทไี่ ด้มาจากการศึกษาข้อมลู พ้ืนฐาน จาเปน็ ด้านต่างๆ เกยี่ วกบั
ดา้ นต่างๆ การพัฒนาหลกั สตู ร
- ตรวจสอบคุณภาพเบอื้ งตน้
ของหลกั สูตร - ประเมนิ คณุ ภาพของหลกั สูตร
โดยผู้เช่ียวชาญทางดา้ นหลกั สตู ร
- ทดลองนารอ่ งใช้หลกั สตู ร และดา้ นเนอ้ื หาสาระ
- ประเมินความเปน็ ไปไดใ้ นการ
- ทดลองใช้หลกั สูตรภาคสนาม ทดลองใชห้ ลักสูตรภาคสนาม
- ประเมินความเป็นไปไดใ้ นการ
- เตรียมบุคลากร นาหลักสตู รไปปฏบิ ตั ิจรงิ
- ประเมนิ ความพรอ้ มของบคุ ลากร
- เตรยี มงบประมาณ โดยเฉพาะผู้บรหิ ารและผูส้ อน
- ประเมนิ ประสิทธิภาพของแผน
- เตรยี มวัสดอุ ุปกรณ์ การใชง้ บประมาณ
- ประเมินความพรอ้ มของวสั ดุ
- ประกาศใช้หลกั สูตร อุปกรณส์ าหรบั การใชห้ ลกั สูตร
- ประเมินความชดั เจนในการ
- ประชาสัมพันธห์ ลกั สูตร ประกาศใช้หลักสตู ร
- ประเมนิ ประสิทธิภาพของ
การประชาสัมพันธ์หลักสตู ร

47

ตาราง 1 ความสมั พนั ธ์ระหว่างกิจกรรมการพัฒนาหลกั สูตรและกจิ กรรมการประเมนิ ในกระบวนการ
พัฒนาหลักสตู ร (ต่อ)

กระบวนการพัฒนาหลักสตู ร กิจกรรมการพฒั นาหลกั สูตร กจิ กรรมการประเมนิ
3. การนาหลกั สตู รไปปฏิบัติ - วางแผนวิชาการ
- นเิ ทศ กากับ ตดิ ตาม - ประเมินความชดั เจน และความ
4. การประเมนิ ผลการใช้หลักสูตร - ควบคมุ คณุ ภาพวิชาการ เหมาะสมของแผนวิชาการ
- ส่งเสริมสนับสนุน - ประเมินคณุ ภาพของการนเิ ทศ
- จัดการเรียนการสอน กากับ ตดิ ตามการใชห้ ลักสตู ร
- จดั กิจกรรมเสริมหลกั สูตร (ถ้ามี) - ประเมนิ กระบวนการควบคุม
- ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ คณุ ภาพวิชาการ
- ตรวจสอบคณุ ภาพผสู้ าเรจ็ การศึกษา - ประเมินคุณภาพของการสง่ เสริม
สนบั สนนุ ด้านตา่ งๆ
- พิจารณาผลกระทบของหลักสตู ร - ประเมนิ คุณภาพของการจัด
- พิจารณาความยั่งยนื ของหลักสูตร การเรยี นการสอน
- ประเมนิ คณุ ภาพของการจัด
กจิ กรรมเสรมิ หลักสตู ร
- ประเมนิ คุณภาพของการประเมนิ
ผลการเรียนรู้
- ประเมนิ คุณภาพของผสู้ าเรจ็
การศึกษาตามวัตถุประสงค์
ของหลักสูตร
- ประเมนิ ผลกระทบของหลักสตู ร
ทม่ี ีตอ่ ชมุ ชนและสงั คม
- ประเมนิ ความยั่งยืนของหลกั สูตร
ในแง่ของการพัฒนาทรพั ยากร
บุคคล

48

2.7 การประเมินคณุ ภาพของการประเมนิ หลกั สูตร

การประเมินคุณภาพของการประเมิน (evaluating evaluation) เป็นการตรวจสอบ
คุณภาพของการประเมินว่ามีประสิทธิภาพอย่างไร บางคร้ังเรียกว่า meta – evaluation มุ่งเน้นการ
สะท้อนกระบวนการประเมินเพื่อนาไปสู่การปรับปรุงเปล่ียนแปลงวิธีการประเมินให้มีประสิทธิภาพ
มากขึ้น โดยมีประเดน็ การประเมนิ คุณภาพของการประเมินหลักสูตร มดี ังตอ่ ไปนี้

1. การประเมินหลักสูตรสามารถให้ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับผลการเรียนรู้
ของผเู้ รียนได้ดีเพยี งใด

2. การประเมินหลักสูตรสามารถให้ข้อมูลสารสนเทศสาหรับการพัฒนาผู้เรียน
รายบคุ คลได้เพยี งใด

3. การประเมินหลักสูตรสามารถให้ข้อมูลสารสนเทศสาหรับการปรับปรุง
การจัดการเรยี นการสอนไดเ้ พยี งใด

4. การประเมินหลักสูตรสามารถให้ข้อมูลสารสนเทศสาหรับการปรับปรุง
การบริหารจดั การหลักสตู รและการวางแผนวิชาการไดเ้ พียงใด

5. การประเมินหลักสูตรสามารถให้ข้อมูลสารสนเทศสาหรับการพัฒนาบุคลากร
ท่เี กย่ี วขอ้ งกบั การใช้หลกั สตู รได้เพยี งใด

6. การประเมินหลักสูตรสามารถให้ข้อมูลสารสนเทศสาหรับการปรับปรุง
วัตถุประสงค์ของหลักสูตรได้เพยี งใด

7. การประเมินหลักสูตรสามารถให้ข้อมูลสารสนเทศสาหรับการปรับปรุงเน้ือหา
สาระของหลกั สูตรได้เพียงใด

49

8. การประเมินหลักสูตรสามารถให้ข้อมูลสารสนเทศสาหรับการปรับปรุงระบบ
และวิธีการประเมินที่ใช้อยูใ่ นปัจจุบันได้เพยี งใด

9. การประเมินหลักสูตรสามารถให้ข้อมูลสารสนเทศสาหรับการพัฒนาคุณภาพ
วิชาการไดเ้ พียงใด

10. การประเมนิ หลักสตู รสามารถสรา้ งความร่วมมือในการจัดการศึกษาของชุมชน

ได้เพยี งใด

ความรูเ้ พ่มิ เติมเกย่ี วกับคาว่าประสทิ ธิภาพและประสิทธผิ ล

1. ประสิทธิภาพ (efficiency) หมายถึง ลักษณะของการปฏิบัติงานท่ีทาให้เกิดประสิทธิผล
ด้วยวิธีการท่ีใช้เวลา พลังงาน บุคลากร และการลงทุนน้อยท่ีสุด หรือด้วยวิธีการที่ประหยัดที่สุด
(ราชบณั ฑติ ยสถาน. 2555: 187)

2. ประสิทธิผล (effectiveness) หมายถึง ผลท่ีเกิดขึ้นจากการจัดการเชิงระบบและเชิง
คุณภาพ ที่มุ่งถึงการบรรลุเป้าหมาย และผลที่สอดคล้องกับเป้าหมายที่กาหนดไว้ (ราชบัณฑิตยสถาน.
2555: 187)

50

การประเมนิ หลกั สูตร
จาเป็นต้องดาเนนิ การอย่างมีคณุ ภาพ

เพอ่ื ใหไ้ ด้รบั สารสนเทศท่ถี กู ต้อง
นาไปใชป้ ระโยชนใ์ นการตัดสินใจได้

51

สรปุ

จากท่ไี ดก้ ลา่ วมาในบทท่ี 2 เรื่อง สาระสาคญั เกย่ี วกับการประเมินหลักสูตร สรุปสาระสาคัญ
ไดด้ งั ต่อไปน้ี

1. การประเมินหลกั สูตร คือ การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรในลักษณะการตัดสิน
คุณค่าในประเด็นต่างๆ ว่ามีคุณภาพตามมาตรฐานที่กาหนดหรือไม่เพียงใด โดยใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์
และนาผลการประเมนิ มาปรบั ปรงุ หลกั สตู รให้มีคณุ ภาพมากขึ้น

2. การประเมินหลักสูตรมีจุดมุ่งหมายสาคัญเพื่อตรวจสอบคุณภาพของผู้เรียน
ตลอดจนผู้สาเร็จการศึกษา ว่าเป็นไปตามที่กาหนดไว้ในหลักสูตรหรือไม่เพียงใด แล้วนาผลการประเมิน
มาพิจารณาปรับปรุงหลักสูตรให้มคี ณุ ภาพมากยงิ่ ขน้ึ

3. การประเมินหลักสูตรช่วยทาให้ผู้ที่เก่ียวข้องกับหลักสูตร มีข้อมูล สารสนเทศ
เพื่อนาไปใช้สาหรับการปรบั ปรุงหรือเปลีย่ นแปลงหลกั สูตร ให้มีความเหมาะสม ทันสมัย มีประสิทธิภาพ
และประสทิ ธิผลมากขึน้

4. เหตุผลท่ีทาให้ต้องมีการประเมินหลักสูตร ประกอบด้วย 1) ทรัพยากรท่ีใช้ใน
หลักสูตรมีจากัด 2) หลักสูตรใช้มาเป็นระยะเวลานาน 3) ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก 4) ความ
ต้องการขอ้ มูลสารสนเทศ 5) ความตอ้ งการงบประมาณมากข้ึน

5. เกณฑ์คุณภาพของการประเมินหลักสูตร ประกอบด้วย 1) เกณฑ์ความเป็น
วิทยาศาสตร์ ได้แก่ ความเที่ยงตรงภายใน ความเท่ียงตรงภายนอก ความเช่ือม่ัน ความเป็นปรนัย
2) เกณฑ์การนาไปปฏิบัติได้จริง ได้แก่ ความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการประเมิน ความมีคุณค่า

52

และความสาคญั ความมีขอบเขตท่ชี ัดเจน ความน่าเชื่อถือ ความเหมาะสมของเวลา การเผยแพร่ผลการ
ประเมนิ 3) เกณฑ์ดา้ นความค้มุ ค่า

6. การประเมินคุณภาพของการประเมิน เป็นการตรวจสอบคุณภาพของการประเมิน
วา่ มปี ระสิทธิภาพอย่างไร มุ่งเน้นการสะท้อนกระบวนการประเมินเพื่อนาไปสู่การปรับปรุงเปล่ียนแปลง
วิธกี ารประเมินใหม้ ีประสิทธิภาพมากขน้ึ

7. การพัฒนาหลักสูตรตั้งแต่การออกแบบหลักสูตร การวางแผนการใช้หลักสูตร
การนาหลักสูตรไปปฏิบัติ และการประเมินผลการใช้หลักสูตร ล้วนมีการประเมินสอดแทรกอยู่
ในทกุ ข้ันตอน

53

บรรณานกุ รม

บัณฑติ ศึกษา มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช. (2555). การประเมินหลักสูตรและการเรียนการสอน:
ประมวลชุดวิชา = Evaluation of Curriculum and Instruction. นนทบุรี:
สานักพมิ พ์มหาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช.

ราชบัณฑิตยสถาน. (2555). พจนานุกรมศัพท์ศกึ ษาศาสตร์ ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน. กรุงเทพฯ:
อรุณการพิมพ์.

วิชยั วงษใ์ หญ่. (2554). การพัฒนาหลักสตู รระดับอดุ มศึกษา. (พิมพ์ครั้งท่ี 2). กรงุ เทพฯ:
อาร์ แอนด์ ปรินท์ จากดั .

ศิรชิ ยั กาญจนวาสี. (2537). ทฤษฎีการประเมนิ . กรงุ เทพฯ: สานกั พมิ พ์จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
สมคดิ พรหมจยุ้ . (2552). เทคนคิ การประเมินโครงการ. กรุงเทพฯ: ศูนย์หนังสอื จฬุ าลงกรณ์

มหาวิทยาลัย. (จดั จาหนา่ ย).
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลาง

การศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตร
แห่งประเทศไทย.
สานกั งานคณะกรรมการการอุดมศึกษา. (2552). กรอบมาตรฐานคณุ วุฒริ ะดบั อดุ มศกึ ษาแหง่ ชาติ
พ.ศ. 2552. กรุงเทพฯ: สานกั งานคณะกรรมการการอดุ มศึกษา.
Armstrong. David G. (1989). Developing and Documenting the Curriculum.
Boston: Allyn and Bacon.
. (2003). Curriculum Today. New Jersey: Merrill Prentice Hall.
Beane, James A. and others. (1986). Curriculum Planning and Development.
Boston: Allyn and Bacon.
Bobbit, Franklin. (1918). The Curriculum. Boston: Houghton Mifflin.
. (1924). How to Make a Curriculum. Boston: Houghton Mifflin.

54

Brady, Laurie. (1992). Curriculum Development. 4thed. Sydney: Prentice Hall.
Henson, Kenneth T. (2001). Curriculum Planning: Integrating Multiculturalism,

Constructivism, and Education Reform. 2nded. New York: McGraw - Hill.
Jacobs, Heidi Hayes. (2010). Curriculum 21: Essential education for a Changing

World. Alexandria: Association for Supervision and Curriculum Development.
Kelly, A. V. (1999). The Curriculum. 4thed. London: Paul Chapman Publishing Ltd.
Lattuca, Lisa R. (2009). Shaping the Collage Curriculum: Academic Plans

in Context. 2nded. San Francisco: Jossey – Bass.
Marsh, Colin J., and Willis, George. (2003). Curriculum: Alternative Approached,

Ongoing Issues. Upper Saddle River, New Jersey: Merrill Prentice Hall.
McNeil, John D. (1976). Designing Curriculum: Self – Instructional Modules.

Boston: Little, Brown and Company.
Miller, J. P. & Seller, W. (1985). Curriculum: Perspectives and Practice. New York :

Longman.
Oliva, Peter F. (2009). Developing the Curriculum. 7thed. Boston: Allyn and Bacon.
Oliva, Peter F., and Gordon, II, William, R. (2013). Developing the Curriculum. 8thed.

Boston: Pearson.
Ornstein, Allan C. (2013). Curriculum: Foundations, Principles, and Issues. Boston:

Pearson.
Ornstein, Allan C., and Hunkins, Francis P. (2004). Curriculum: Foundations,

Principles, and Issues. Boston: Allyn and Bacon.
Oxford University. (2005). Oxford Advance Learner’s Dictionary. 7th ed. New York:

Oxford University Press.
Posner, George J. (2004). Analyzing the Curriculum. New York: McGraw Hill.

55

Print, Murray. (1993). Curriculum Development and Design. 2nd ed. Sydney:
Allen & Unwin.

Saylor, J. G. and Alexander, W.M. (1974). Curriculum Planning for Schools. New York:
Holt, Rinehart & Winston.

. (1981). Curriculum Planning for Better Teaching and Learning. New York:
Holt, Rinehart and Winston.

Stufflebeam, Daniel L. (1983). “The CIPP Model for Program Evaluation”. Evaluation
models : viewpoints on educational and human services evaluation.
Boston: Kluwer-Nijhoff.

Taba, Hilda. (1962). Curriculum Development : Theory and Practice. New York:
Harcourt Brace Jovanovich.

Tanner, Daniel and Tanner, Laurel. (1975). Curriculum Development: Theory
into Practice. New York: Macmillan Publishing.

Tanner, Daniel and Tanner, Laurel. (1980). Curriculum Development: Theory
into Practice. 2nded. New York: Macmillan Publishing.

Tyler, Ralph W. (1949). Basic Principles of Curriculum and Instruction. Chicago:
The university of Chicago Press.

Udelhofen, Susan. (2005). Keys to Curriculum Mapping: Strategies and Tools to
Make it Work. Thousand Oaks, California: Corwin Press.

Walker, Decker F. and Soltis, Jonas F. (2009). Curriculum and Aims. New York:
Teachers College Columbia University.

Wiles, Jon W., and Bondi, C. Joseph. (2011). Curriculum Development a Guide to
Practice. 8thed. Boston: Pearson.

William, Pinar. (2012). What is Curriculum Theory. New York: Routledge.

56

ในการประเมินหลกั สตู รน้นั ควรเลอื กใช้
รูปแบบการประเมินต่างๆ อยา่ งเหมาะสม

สอดคล้องกับจุดมงุ่ หมาย
และบริบทของการประเมนิ

57

บทที่ 3
การประเมนิ หลักสูตรเชงิ สรา้ งสรรค์

58

3.1 ความหมายของการประเมินหลกั สตู รเชงิ สร้างสรรค์

3. การประเมินหลกั สูตร 3.2 องคป์ ระกอบของการประเมินหลักสตู รเชงิ สร้างสรรค์
เชงิ สรา้ งสรรค์

3.3 จดุ เนน้ ของการประเมินหลกั สตู รเชิงสรา้ งสรรค์

59

สาระสาคญั

สาหรับในบทท่ี 3 เร่ือง การประเมินหลักสูตรเชิงสรา้ งสรรค์ มสี าระสาคัญดงั ต่อไปน้ี

1. การประเมินหลักสูตรเชิงสร้างสรรค์ หมายถึง การประเมินหลักสูตรโดย
คณะกรรมการท่ีมีสัดส่วนองค์ประกอบของคณะกรรมการท่ีมีความเชี่ยวชาญเหมาะสมกับหลักสูตร
ท่ีประเมิน โดยการใช้วิธีการประเมินหลักสูตรที่หลากหลายท้ังเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ จนได้
สารสนเทศทถี่ ูกต้อง สามารถนามาปรบั ปรุงหลักสูตรใหม้ คี ณุ ภาพอยา่ งสรา้ งสรรค์

2. จุดเน้นของการประเมินหลักสูตรเชิงสร้างสรรค์ จาแนกตามช่วงเวลาของการ
ประเมิน ได้แก่ 1) การประเมินก่อนการใช้หลักสูตร มีจุดเน้นคือการประเมินด้วยวิธีการวิจัย และการ
ประเมินด้วยวิธีการวิเคราะห์ระบบของหลักสูตร 2) การประเมินระหว่างการใช้หลักสูตร มีจุดเน้นคือ
การประเมินท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ การประเมินแบบไม่เป็นทางการ การประเมินท่ีเป็นอิสระจาก
จุดมุ่งหมาย 3) การประเมินหลงั การใชห้ ลกั สตู ร มจี ุดเน้นคือ การประเมินแบบเป็นทางการ การประเมิน
ทย่ี ึดจุดมงุ่ หมาย

3. การประเมินหลักสูตรเชิงสร้างสรรค์เป็นการประเมินอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนใช้
หลักสูตร ระหว่างการนาหลักสูตรไปปฏิบัติ และหลังการใช้หลักสูตร ผลการประเมินก่อนใช้หลักสูตร
และระหว่างการนาหลักสูตรไปปฏิบัติมุ่งเน้นการปรับปรุงและพัฒนา ส่วนการประเมินหลังการใช้
หลกั สูตรมงุ่ เนน้ การตดั สนิ ใจปรบั ปรุงหลักสตู รหรือยกเลกิ การใช้หลักสตู ร

4. การประเมินแบบร่วมมือร่วมใจ หมายถึง การประเมินโดยใช้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับ
หลักสูตรทุกฝุายมีบทบาทเป็นผู้ประเมินหลักสูตร บนพ้ืนฐานของความร่วมมือร่วมใจท่ีจะปรับปรุง
หลกั สูตรให้ดียิ่งขนึ้ โดยใชว้ ธิ กี ารเชงิ คณุ ภาพมากกวา่ เชงิ ปรมิ าณ

60

การประเมนิ หลักสตู รเชงิ สร้างสรรค์
เปน็ การประเมินทมี่ คี วามตอ่ เนื่อง

โดยใช้วิธกี ารท่หี ลากหลาย

61

3.1 ความหมายของการประเมนิ หลกั สตู รเชงิ สร้างสรรค์

การประเมนิ หลักสูตรเชงิ สรา้ งสรรค์ หมายถึง การประเมินหลักสูตรอย่างต่อเน่ืองต้ังแต่ก่อน
การใช้หลักสูตร ระหว่างการใช้หลักสูต และหลังการใช้หลักสูตร โดยผู้ท่ีเกี่ยวข้องทุกฝุาย รวมทั้ง
คณะกรรมการที่มีสัดส่วนองค์ประกอบของคณะกรรมการที่มีความเช่ียวชาญเหมาะสมกับหลักสูตร
โดยใชว้ ิธีการประเมินหลักสูตรทห่ี ลากหลายทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ทาให้ได้สารสนเทศที่ถูกต้อง
เปน็ จรงิ และสามารถนามาปรบั ปรุงหลกั สตู รใหม้ ีคณุ ภาพอยา่ งสรา้ งสรรค์

3.2 องค์ประกอบของการประเมินหลกั สูตรเชงิ สรา้ งสรรค์

การประเมินหลกั สูตรเชงิ สร้างสรรค์มีองคป์ ระกอบ 4 ประการ ดังต่อไปนี้

1. การแบ่งปันวิสัยทัศน์ (shared vision) เป็นการแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์เก่ียวกับ
คุณภาพของการจัดการศึกษาท่ีปรารถนา เพื่อใช้เป็นกรอบการประเมินหลักสูตรร่วมกัน เช่น คุณภาพ
ผู้เรียนท้ังด้านความรู้ ความคิด สมรรถนะ และคุณลักษณะ คุณภาพการจัดการเรียนการสอน
การประเมินผลการเรียนรู้ การบริหารจัดการหลักสูตร การวางแผนวิชาการ การใช้ทรัพยากรหลักสูตร
อยา่ งมีประสิทธิภาพ เป็นต้น การแบ่งปันวิสัยทัศน์จะทาให้เกิดแรงกระตุ้นการมีส่วนร่วมในการประเมิน
หลักสูตรตั้งแต่เริ่มต้น และการมีส่วนร่วมในการประเมินนี้จะส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพ
และความถกู ตอ้ งของการประเมนิ หลักสตู ร

2. วัฒนธรรมความร่วมมือร่วมใจ (collaborative culture) เป็นการทางาน
ร่วมกันระหว่างคณะกรรมการประเมินหลักสูตรและผู้ให้ข้อมูล อย่างมีเกียรติและศักด์ิศรีเท่าเทียมกัน
มีการเคารพซ่ึงกันและกัน (respect) มีความไว้วางใจ (trust) มีการรวมพลังความคิดและสติปัญญา

62

มีความรับผิดชอบร่วมกันในการวางแผนและดาเนินการประเมินหลักสูตรจนประสบความสาเร็จ
ซึ่งวฒั นธรรมความร่วมมอื เป็นสิง่ ที่สาคัญมากในการทางานประเมินหลักสูตรร่วมกัน เพราะการประเมิน
หลักสูตรไม่สามารถทาได้โดยบุคคลใดบุคคลหนึ่งแต่ต้องทาเป็นทีมในรูปของคณะกรรมการ โดยท่ีความ
รว่ มมอื รว่ มใจจะเป็นปัจจยั ขับเคล่ือนกจิ กรรมการประเมนิ หลักสตู รให้สาเร็จลลุ ่วง

3. การมุ่งเน้นตรวจสอบและปรับปรุงผลการเรียนรู้ของผู้เรียน (focus on
examining outcomes to improve student learning) โดยมุ่งเน้นการให้ความสาคัญกับการ
ประเมนิ ผลการเรียนรู้ (learning outcomes) ของผ้เู รียนทีส่ อดคล้องกับวัตถุประสงค์ของหลักสูตร เช่น
การตรวจสอบผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน การประเมินด้านการคิด การประเมินสมรรถนะ คุณลักษณะที่พึง
ประสงค์ ด้วยวิธีการท่ีหลากหลายทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยมีฐานคิดว่าการประเมินผลการ
เรียนรู้ในการจัดการเรียนการสอนในเนื้อหาสาระหรือรายวิชาต่างๆ นั้นเป็นส่วนหนึ่งของการประเมิน
หลักสูตร ซ่ึงจะต้องนาผลการประเมินมาปรับปรุงหลักสูตรตลอดเวลา เช่น การปรับปรุงเทคนิควิธีการ
จัดการเรียนการสอน การปรับปรุงสื่อการเรียนรู้ ตลอดจนการนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร
มาสนบั สนนุ การจัดการเรยี นรู้ การพฒั นาเครื่องมอื วัดทีม่ ีความเปน็ มาตรฐาน เปน็ ต้น

4. การแลกเปล่ียนประสบการณ์ส่วนบุคคล (shared personal practice) เป็น
การนาความรู้และประสบการณ์จากการปฏิบัติงานทั้งของตนเองและประสบการณ์ของผู้อ่ืนท่ีเป็น
ประโยชน์ต่อการประเมินและปรับปรุงหลักสูตร ทาให้การประเมินหลักสูตรมีประสิทธิภาพสูงจากการ
เรียนรู้ประสบการณ์ของผู้อื่น ท้ังที่เป็นประสบการณ์แห่งความสาเร็จท่ีสามารถนามาปรับประยุกต์ใช้
ให้เหมาะสมกับบริบทของตนเอง และประสบการณ์ท่ีผิดพลาดท่ีต้องหลีกเล่ียงเหตุปัจจัยท่ีนาไปสู่ความ
ผิดพลาดต่างๆ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ส่วนบุคคล นับว่าเป็นการจัดการความรู้ (knowledge
management) ชนิดหน่ึง โดยเป็นการแปลงความรู้ฝังลึก (tacit knowledge) ให้เป็นความรู้ชัดแจ้ง
(explicit knowledge) เช่น การให้ข้อเสนอแนะของผู้เช่ียวชาญว่าการรับผู้เรียนในระดับบัณฑิตศึกษา
เป็นจานวนมากเกินไปจะส่งต่อการบริหารคุณภาพการจัดการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหาร
คณุ ภาพการทาวทิ ยานิพนธ์ / ปรญิ ญานพิ นธ์ เป็นต้น

63

จากประสบการณ์การท่ีเกี่ยวข้องกับหลักสูตรต่างๆ เป็นระยะเวลา 10 ปีท่ีผ่านมา ไม่ว่าจะ
เป็นหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนในเครืออัครสังฆมณฑลกรุงเทพ โรงเรียนเอกชนในสังกัดองค์การ
บริหารส่วนจังหวัดชุมพร โรงเรียนเอกชนในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต หลักสูตรวิทยาลัย
พยาบาลบรมราชชนนี ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข หลักสูตรการศึกษาท่ัวไปในระดับปริญญาตรี
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิปัสสนาภาวนา มหาวิทยาลัย
มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัย
รังสิต หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาการวิจัยและประเมินผลการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏ
กาญจนบุรี หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี หลักสูตร
การศึกษามหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล หลักสูตรการศึกษาดุษฎี
บัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล หลักสูตรการศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขา
การบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการ
สอน มหาวิทยาลัยศิลปากร หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาการวิจัยและพัฒนาหลักสูตร ได้มี
การประเมินหลักสูตรเชิงสร้างสรรค์ โดยมีองค์ประกอบทั้ง 4 ประการนี้เป็นปัจจัยขับเคล่ือนช่วยทาให้
การประเมินหลักสูตรดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดการเรียนรู้ร่วมกันและนาไปสู่การปรับปรุงและ
เปล่ียนแปลงหลักสูตรอย่างต่อเน่ือง ซ่ึงแสดงเป็นแผนภาพกรอบแนวคิดองค์ประกอบของการประเมิน
หลกั สูตรเชิงสรา้ งสรรค์ ได้ดังต่อไปนี้

64

การแบง่ ปนั วิสัยทัศน์

การมุ่งเนน้ ตรวจสอบ องคป์ ระกอบของ วัฒนธรรม
และปรับปรุงผลการเรียนรู้ การประเมินหลักสูตร ความรว่ มมือรว่ มใจ

ของผู้เรยี น เชงิ สร้างสรรค์

การแลกเปลีย่ น
ประสบการณ์สว่ นบคุ คล

แผนภาพ 4 องคป์ ระกอบของการประเมินหลกั สตู รเชิงสรา้ งสรรค์

65

3.3 จุดเน้นของการประเมินหลกั สตู รเชิงสร้างสรรค์

ลักษณะสาคัญของการประเมินหลักสูตรเชิงสร้างสรรค์สามารถวิเคราะห์ได้เป็น
3 องค์ประกอบ แบ่งตามช่วงระยะเวลาการประเมินหลักสูตร คือ การประเมินก่อนการใช้หลักสูตร
การประเมนิ ระหว่างการใช้หลักสูตร และการประเมินหลังการใช้หลักสูตร โดยการประเมินแต่ละช่วง
ให้ความสาคญั กับการปรับปรงุ และพฒั นาหลกั สูตรให้มคี ณุ ภาพมากขึน้ ดงั น้ี

3.3.1 การประเมนิ กอ่ นการใช้หลักสูตร

การประเมินก่อนการใช้หลักสูตรมุ่งประเมินคุณภาพของเอกสารหลักสูตร โดยใช้
วิธีการประเมนิ โดยผูเ้ ชีย่ วชาญ (connoisseurship) เพอ่ื ตรวจสอบคุณภาพหลักสูตรฉบับร่าง และให้
ข้อเสนอแนะท่ีเป็นประโยชน์ โดยการพิจารณาองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตร เช่น เอกสารหลักสูตร
เน้อื หาสาระ การเรยี นการสอน และการวดั ประเมินผล โดยผู้เชี่ยวชาญหลายฝุายท้ังผู้เช่ียวชาญทางด้าน
หลักสูตร และผู้เชี่ยวชาญทางด้านเนื้อหาสาระท่ีบรรจุไว้ในหลักสูตร ร่วมมือกันพิจารณา นับว่า
เป็นกระบวนการท่ีสาคัญท่ีสุดก่อนท่ีจะนาหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติและจากประสบการณ์ที่ผ่านมา
เก่ียวกบั การพิจารณาคุณภาพของเอกสารหลักสูตรของผู้เขียน พบว่า มีประเด็นท่ีเป็นข้อเสนอแนะท่ีพบ
อยบู่ อ่ ยคร้ังโดยภาพรวมดงั ต่อไปน้ี

การประเมนิ กอ่ นการใช้หลกั สูตร แบ่งได้ 2 แนวทาง ดงั นี้

1. การประเมินด้วยวิธีการวิจัย (evaluation research) เป็นการประเมิน
หลกั สตู รโดยใช้กระบวนการวจิ ยั ท่เี ป็นระบบ ทาให้ผลการประเมนิ มคี วามถูกต้องชดั เจน

66

2. การประเมินด้วยวิธีการวิเคราะห์ระบบของหลักสูตร (curriculum system
analytical evaluation) เปน็ การประเมนิ เก่ียวกับปัจจยั นาเข้า (input) กระบวนการ (process) และ
ผลผลติ (output) ของหลักสูตร เช่น การวิเคราะหห์ ลักสูตรของ Puissance หรือท่ีเรียกว่า Puissance
analysis และการประเมินองค์ประกอบของหลักสูตรตามรูปแบบการประเมินหลักสูตรของ Tyler คือ
การประเมินความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์การเรียน ประสบการณ์การเรียน และการประเมินผล
การเรียน หรอื ที่เรยี กว่า Tyler loop ดังแผนภาพต่อไปน้ี

จุดประสงค์การเรียนรู้

ประสบการณ์การเรยี นรู้ การประเมนิ ผลการเรยี นรู้

แผนภาพ 5 ความสอดคล้องระหว่างจดุ ประสงค์การเรียนรู้ ประสบการณ์การเรียนรู้
และการประเมนิ ผลการเรยี นรู้

จากประสบการณ์การประเมินเอกสารหลักสูตรก่อนการนาไปใช้ของผู้เขียนท้ังหลักสูตร
ระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐานหรือหลักสูตรสถานศึกษาและหลักสูตรระดับอุดมศึกษา มีข้อเสนอแนะจาก
คณะกรรมการประเมนิ ทีม่ กั พบอยูบ่ ่อยๆ หลายประการดังต่อไปนี้

67

ก) กรณีหลกั สตู รสถานศึกษา (เอกสารหลกั สตู รสถานศึกษา)

- ควรกาหนดวิสัยทัศน์ของหลักสูตร ท่ีสะท้อนภาพความสาเร็จ
ของการจัดการศึกษาในอนาคตของแต่ละสถานศึกษา ที่มีความสมดุลระหว่างมุมมองของสถานศึกษา
และมมุ มองของกระทรวงศึกษาธิการ

- ควรกาหนดพันธกิจการจัดการศึกษาท่ีมีจุดเน้นที่ชัดเจน ไม่ควรเขียน
ในลักษณะกจิ กรรม หรอื งานประจา

- การกาหนดจุดหมาย สมรรถนะ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์
ของผู้เรียน ควรสะท้อนอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของผู้เรียน ซึ่งเอื้อต่อการประเมินคุณภาพการศึกษา
ภายนอกจากสานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.)
ในกลมุ่ ตวั บง่ ช้ีอตั ลักษณ์ทัง้ สองตวั บ่งชี้

- ควรวิเคราะห์สาระสาคัญ (main concepts) จากมาตรฐานการเรียนรู้
และตัวชี้วัดที่กาหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เพื่อนามาเขียน
คาอธิบายสาระการเรยี นรู้ ทาใหค้ าอธบิ ายสาระการเรียนรู้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ของ
หลกั สตู ร

- ควรกาหนดแนวทางการจัดการเรียนรู้ยังไม่สะท้อนการใช้กระบวนการ
เรียนรู้ (learning process) ที่หลากหลายนาไปสู่การคิดวิเคราะห์ การคิดวิจารณญาณ และการคิด
สร้างสรรค์

- ควรกาหนดวิธกี ารประเมินผลการเรียนรู้ท่ีมุ่งเน้นการทดสอบ (testing)
มากกว่าการประเมินทีเ่ สริมพลงั ตามสภาพจริง (authentic empowerment assessment) และนาผล
การประเมนิ มาปรับปรุงการจัดการเรยี นการสอนและคุณภาพของผเู้ รยี น

68

ข) กรณีหลกั สตู รระดับอุดมศกึ ษา (เอกสาร มคอ.2)

- ควรวิเคราะห์สถานการณ์ภายนอกควรเช่ือมโยงประเด็นสาคัญๆ
ท่เี ก่ียวขอ้ งกบั หลักสูตร ซงึ่ จะนาไปสกู่ ารกาหนดปรชั ญาและวัตถปุ ระสงค์ของหลักสูตร

- ควรกาหนดปรัชญาของหลักสูตรควรสะท้อนความเช่ือท่ีมีต่อการจัด
การศึกษาของหลกั สูตร มากกว่าการเขียนเปน็ คาคลอ้ งจอง หรือพันธกจิ ของหลกั สูตร

- ควรกาหนดวัตถุประสงค์ของหลักสูตรควรเขียนในลักษณะผลการ
เรียนรู้ (learning outcomes) ของผู้สาเร็จการศึกษาที่ชัดเจน และมีความสอดคล้องกรอบมาตรฐาน
คุณวุฒิระดับอุดมศึกษา พ.ศ. 2552 หรือมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาของแต่ละสาขา/สาขาวิชา
ทั้งด้านคุณธรรมจริยธรรม ความรู้ ทักษะทางปัญญา ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความ
รับผิดชอบ ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การส่ือสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และทักษะด้าน
การปฏบิ ัติ (ถา้ ม)ี

- การออกแบบรายวิชาควรมีลักษณะสอดคล้องกับธรรมชาติของวิธีการ
เรียนรูใ้ นรายวชิ านัน้ เชน่ รายวิชาการพฒั นาหลักสูตร หรือรายวิชาการวิจัย ควรออกแบบให้มีการเรียน
ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติควบคู่กัน ไม่ควรเน้นเฉพาะการเรียนรู้ด้านทฤษฎีเพียงอย่างเดียวเป็นต้น
รวมทั้งการเขียนคาอธิบายรายวิชาทีค่ วรสะท้อนสาระสาคญั ของรายวชิ า

- การเขียนตัวเลขจานวนชั่วโมงที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน
ซึ่งปรากฏในวงเล็บหลังตัวเลขที่เป็นจานวนหน่วยกิต เช่น 3(3 – 0 – 6) โดยท่ีตัวเลขตัวแรกในวงเล็บ
หมายถึง จานวนช่ัวโมงการเรียนภาคทฤษฎีต่อหนึ่งสัปดาห์ ตัวเลขตัวกลาง หมายถึงจานวนช่ัวโมงการ
เรียนภาคปฏิบัติต่อสัปดาห์ และตัวเลขตัวที่สาม หมายถึงจานวนช่ัวโมงการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองต่อ
สัปดาห์ ควรมีความสอดคล้องกับคาอธิบายรายวิชา เช่น คาอธิบายรายวิชาเขียนสะท้อนให้ถึงการฝึก

69

ปฏิบัติการต่างๆ แต่ตัวเลขตัวกลางในวงเล็บเป็นเลข 0 ซ่ึงทาให้เกิดความไม่สอดคล้องกันระหว่าง
คาอธบิ ายรายวิชา กับจานวนช่ัวโมงที่ใชใ้ นการจดั การเรยี นการสอน

- การออกแบบรายวิชาในหลักสูตรท่ีเน้นการเรียนภาคทฤษฎี ด้วยการ
บรรยายมากเกินไป ซ่ึงทาให้เกิดการเรียนรู้ได้น้อยกว่าการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงด้วยการบูรณาการ
ความรู้ไปสูก่ ารแก้ปญั หาหรือการสรา้ งสรรคน์ วตั กรรม ตามทีผ่ ู้เรยี นถนดั และสนใจ

- การวิเคราะห์แผนที่กระจายความรับผิดชอบมาตรฐานผลการเรียนรู้
จากหลักสูตรสรู่ ายวิชา (curriculum mapping) ควรวิเคราะหค์ วามรับผิดชอบหลักและรองทีแ่ ทจ้ รงิ

- เพิ่มเติมบทบาทการโค้ชของอาจารย์ให้สะท้อนออกมาชัดเจนมากข้ึน
เนื่องจากการโค้ชจะทาให้ผู้เรียนได้ใช้ศักยภาพการคิดและการเรียนรู้ได้เต็มตามศักยภาพ บทบาทการ
โค้ชมีหลายประการ เช่น การตั้งคาถาม การช้ีแนะ การกระตุ้น การให้ข้อมูลเพ่ือกระตุ้นการเรียนรู้
(feed - up) การตรวจสอบความเข้าใจท่ีถูกต้อง (checking for under standing) การให้ข้อมูล
ย้อนกลับ (feedback) การให้ข้อมูลเพื่อการเรียนรู้ต่อยอด (feed - forward) การใช้บทบาทการโค้ช
จะเป็นปจั จัยสนบั สนุนใหผ้ ้เู รียนใชศ้ ักยภาพในการสร้างสรรคไ์ ด้สงู สดุ

- ทบทวนคาอธิบายรายวิชาท่ีเป็นการรายวิชาการปฏิบัติ โดยควร
เพิ่มเติมประเด็น “การแลกเปลี่ยนเรียนรู้” เน่ืองจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็นปัจจัยที่ทาให้เกิด
ความคดิ สร้างสรรค์และนวตั กรรม

- ควรเพ่ิมเติมทักษะการวิเคราะห์ ในคาอธิบายรายวิชาที่เป็นรายวิชา
ทฤษฎี ท้ังน้ีเนื่องจากการคิดสร้างสรรค์และการสร้างสรรค์นวัตกรรม จะต้องมีทักษะการคิดวิเคราะห์
เปน็ พืน้ ฐานเสมอ

70

การประเมินคุณภาพเอกสารหลักสูตรก่อนท่ีจะนาไปสู่การปฏิบัติโดยผู้เชี่ยวชาญ
ดังกล่าว ทาให้คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรต้องดาเนินการปรับปรุงแก้ไขให้มีความถูกต้องตามหลัก
วิชาการ และมีความทันสมัยกับความเจริญก้าวหน้าขององค์ความรู้และนวัตกรรมของแต่ละสาขาวิชา
ซง่ึ จะส่งผลดตี ่อการนาหลักสูตรไปใช้

การใช้วิธีการตอบสนองของผู้เก่ียวข้อง (responsive) จะทาให้ทราบจุดอ่อน
จุดแข็งท่ีสะท้อนอยู่ในหลักสูตร ซึ่งอาจมีข้อจากัดเกี่ยวกับการยึดปัญหาของผู้เกี่ยวข้องมากเกินไป
คุณสมบัติของผู้เชี่ยวชาญในการประเมินหลักสูตร คือ ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตร
และเขา้ ใจโครงการท่ปี ระเมนิ เป็นอย่างดี ไม่มอี คติ มโี ลกทัศน์และประสบการณก์ ว้างขวาง

แนวทางการกาหนดกรอบการประเมนิ เอกสารหลกั สูตร

แนวทางการกาหนดกรอบการประเมินเอกสารหลักสูตรก่อนนาไปปฏิบัติ ไว้ 14 ประเด็น
ประกอบด้วย 1) จุดมุ่งหมายทั่วไป 2) หลักการและเหตุผล 3) จุดมุ่งหมายเฉพาะ 4) เกณฑ์การ
ปฏิบัติการใช้หลักสูตร 5) การแบ่งระดับของคะแนน 6) สภาพแวดล้อม 7) คุณลักษณะของผู้เรียน
8) การเรียนการสอน 9) ความแตกต่างในการจัดการเรียนการสอน 10) การส่งเสริมสนับสนุนการใช้
หลักสูตร 11) การทดลองใช้หลักสูตร 12) การประเมินผล การใช้หลักสูตร 13) การนาหลักสูตรไปใช้
และ 14) ผลผลิตของหลักสูตร โดยการประเมินในแต่ละประเด็นมีขอบข่ายการประเมินที่สาคัญ
ดังต่อไปน้ี

1. หลกั การและเหตุผล

- ไดม้ ีการนาเสนอความจาเปน็ ของการพัฒนาหลักสูตรหรือไม่
- ได้มีการนาประเด็นสาคัญเกย่ี วกับหลักสตู รมานาเสนอไว้หรอื ไม่

71

- การอา้ งเหตุผลมคี วามสมเหตสุ มผลมากน้อยเพยี งใด
- ข้อคิดเห็นตา่ งๆ เป็นความจรงิ และเชื่อถือได้มากนอ้ ยเพียงใด
- ไดม้ กี ารคาดการณเ์ หตุการณ์ในอนาคตที่เกีย่ วขอ้ งกับหลักสตู รหรอื ไม่
- มีการประเมินความตอ้ งการที่ใชว้ ิธีการทม่ี ปี ระสิทธิภาพหรือไม่
- นาผลการศึกษาวิจัยท่ีเก่ยี วขอ้ งกบั หลักสูตรมาสนบั สนุนอย่างสมบูรณ์หรือไม่

2. จุดม่งุ หมายทั่วไป

- จุดมงุ่ หมายท่ีระบไุ ว้มคี วามชดั เจนหรือไม่
- จดุ มุง่ หมายที่ระบุไว้มคี วามสาคัญเพียงพอหรอื ไม่
- จดุ มุ่งหมายท่ีระบุไวม้ คี วามครอบคลมุ สิ่งทค่ี าดหวังทง้ั หมดหรือไม่

3. จดุ ม่งุ หมายเฉพาะ

- ได้มกี ารระบจุ ุดม่งุ หมายเฉพาะหรอื ไม่
- ไดม้ ีการชใ้ี ห้เห็นว่าหลักสูตรสามารถทาใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งไร
- จดุ มงุ่ หมายเฉพาะในแต่ละขอ้ มีจดุ เนน้ ท่ชี ดั เจนหรอื ไม่
- จดุ มุ่งหมายเฉพาะในแต่ละขอ้ สมั พนั ธ์กับจดุ มุง่ หมายทวั่ ไปหรือไม่
- จดุ มุ่งหมายเฉพาะมคี วามชดั เจนและนาไปใชไ้ ดจ้ รงิ หรือไม่
- จุดมุ่งหมายเฉพาะในแตล่ ะขอ้ มคี วามสาคญั และเหมาะสมเพียงใด
- จุดมงุ่ หมายเฉพาะทกุ ขอ้ ร่วมกันสามารถตอบสนองจุดมุ่งหมายทว่ั ไปหรือไม่

72

4. เกณฑก์ ารปฏบิ ตั ิการใชห้ ลกั สูตร

- มหี ลักเกณฑแ์ ละมาตรฐานการประเมนิ การปฏิบัติตามหลกั สตู รหรือไม่
- เกณฑแ์ ละมาตรฐานการประเมนิ การใช้หลักสูตรมีความสมบูรณ์หรือไม่
- เกณฑแ์ ละมาตรฐานการประเมนิ การใช้หลักสตู รมคี วามชัดเจนหรือไม่
- เกณฑแ์ ละมาตรฐานการประเมินการใช้หลักสตู รมีความเฉพาะเจาะจง

หรือไม่
- เกณฑ์และมาตรฐานการประเมินการใช้หลักสตู รมคี วามเชื่อถือได้หรือไม่
- เกณฑ์และมาตรฐานการประเมินการใชห้ ลกั สูตรมีความเหมาะสมกับบรบิ ท

ของการใช้หลักสตู รหรือไม่

5. การแบง่ ระดับของคะแนน

- มกี ารกาหนดมาตรฐานของการให้ระดับคะแนนที่ชดั เจนหรือไม่
- การใหร้ ะดับคะแนนมีความสมั พันธก์ บั จดุ มงุ่ หมายของหลกั สูตรหรอื ไม่
- การใหร้ ะดับคะแนนมีการจัดลาดับความสาคัญหรอื ไม่

6. สภาพแวดล้อม

- มีการอธบิ ายถึงสภาพสงั คมและชมุ ชนที่จะนาหลกั สูตรไปใช้หรอื ไม่
- มีการอธบิ ายเก่ยี วกบั สภาพแวดลอ้ มของสถานศกึ ษาท่ีใช้หลักสตู รหรอื ไม่
- หลักสตู รมีลักษณะสอดคล้องกบั บรบิ ทของสถานศึกษาหรือไม่
- หลักสตู รมีความสอดคลอ้ งกบั บริบทด้านผู้เรียนหรอื ไม่

73

7. คณุ ลักษณะของผู้เรยี น

- มีการระบุถึงคณุ ลกั ษณะของผ้เู รียนทจ่ี ะเรียนตามหลกั สตู รหรือไม่
- มีการระบวุ ิธีการคัดเลอื กผูเ้ รียนเข้าศกึ ษาในหลักสตู รหรือไม่
- มกี ารกาหนดระดับความรพู้ ้ืนฐานก่อนเขา้ ศึกษาในหลักสตู รหรอื ไม่
- มกี ารระบุวธิ กี ารประเมินคุณลักษณะเบ้ืองตน้ ของผู้เรียนหรอื ไม่

8. การเรยี นการสอน

- แผนการจดั การเรยี นการสอนมคี วามชัดเจนหรือไม่
- การจดั การเรียนการสอนมคี ณุ ค่ามากน้อยเพยี งใด
- เน้ือหาสาระมีความสาคญั มากนอ้ ยเพียงใด
- วธิ กี ารจัดการเรียนการสอนมคี วามสร้างสรรค์เพยี งใด
- การจัดการเรยี นการสอนสอดคลอ้ งกบั จุดมุ่งหมายของหลกั สูตรหรือไม่

9. ความแตกต่างในการจดั การเรยี นการสอน

- มปี ระเมนิ ผลระหว่างการจดั การเรยี นการสอนอย่างสม่าเสมอหรือไม่
- มีการประเมินวนิ จิ ฉัยผู้เรยี นหรือไม่
- มีการสอนซอ่ มเสรมิ ให้กับผเู้ รียนอย่างมปี ระสิทธิภาพหรือไม่
- มกี ารส่งเสรมิ ผเู้ รยี นท่เี กง่ หรือไม่อย่างไร

74

10. การสง่ เสริมสนบั สนนุ การใชห้ ลักสตู ร

- มีการระบุจานวนผูเ้ รียนขั้นต่าและสูงสดุ ไวห้ รอื ไม่
- มกี ารวางแผนแก้ไขปญั หาเกยี่ วกบั ผเู้ รยี นหรือไม่
- มีการระบถุ ึงวสั ดหุ ลกั สูตรที่สนับสนนุ การเรยี นการสอนหรอื ไม่
- สื่อการเรียนการสอนมคี วามสัมพันธก์ บั หลักสตู รหรือไม่
- มีการวเิ คราะห์เกยี่ วกบั การบริหารจดั การเวลาหรอื ไม่
- ไดม้ กี ารกาหนดคณุ สมบัติของผูส้ อนหรือไม่
- ไดม้ กี ารระบหุ นา้ ทคี่ วามรับผดิ ชอบของผสู้ อนหรอื ไม่
- ได้มีการวเิ คราะหเ์ กย่ี วกับทรพั ยากรต่างๆ ท่ีใชใ้ นหลักสูตรหรือไม่

11. การทดลองใช้หลักสูตร

- มกี ารทดลองใชห้ ลกั สตู รแบบนาร่องหรือไม่
- มีการทดลองใชห้ ลักสูตรภาคสนามหรอื ไม่
- มกี ารรายงานผลการทดลองใช้หลกั สูตรหรอื ไม่
- มีการนาผลการทดลองใชห้ ลักสตู รไปปรบั ปรงุ หลกั สตู รหรือไม่

12. การประเมินผลการใชห้ ลักสูตร

- ได้มกี ารประเมนิ การใชห้ ลักสูตรอยา่ งมีประสิทธิภาพหรือไม่
- มีการประเมินผลการใช้หลักสตู รในประเด็นทจ่ี าเป็นและสาคญั หรอื ไม่
- มกี ารปรับปรุงแก้ไขหลักสตู รจากการประเมนิ หรือไม่

75

13. การนาหลักสตู รไปใช้

- มีการระบแุ นวทางการใช้หลักสตู รทช่ี ัดเจนหรอื ไม่
- มีการกาหนดเวลาเก่ยี วกับการใช้หลกั สูตรหรอื ไม่
- มีการระบุบทบาทหน้าทข่ี องผ้เู ก่ียวขอ้ งกับหลกั สูตรชัดเจนหรอื ไม่
- มที รัพยากรในการใช้หลกั สตู รเพยี งพอหรือไม่
- แผนการบรหิ ารจัดการหลกั สตู รมีความชัดเจนหรือไม่

14. ผลผลติ ของหลกั สูตร

- ผลผลติ ของหลักสตู รสอดคลอ้ งกับจดุ มุ่งหมายของหลกั สูตรหรอื ไม่
- ผลผลติ ของหลกั สูตรมีความสอดคล้องกบั ความต้องการในวิชาชีพเพียงใด

นอกจากนี้การใช้เคร่ืองมือการประเมินเอกสารหลักสูตร ยังเป็นวิธีการที่ใช้กันโดยทั่วไป
ในการประเมินก่อนการใช้หลักสูตรโดยผู้เช่ียวชาญอีกด้วย ดังตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน
หลักสูตรก่อนการนาไปใช้ของการวิจัย เรื่อง “การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมครูเพื่อเสริมสร้าง
ความสามารถในการจัดการเรยี นรู้โดยใชว้ จิ ัยเปน็ ฐาน” ต่อไปน้ี (มารตุ พัฒผล. 2554ข)

76

แบบประเมนิ เอกสารหลกั สตู รฝกึ อบรมครู
เพอ่ื เสรมิ สร้างความสามารถในการจดั การเรียนรโู้ ดยใช้วจิ ัยเป็นฐาน

คาช้แี จง
1. โปรดพิจารณาเอกสารหลักสูตรแล้วทาเครื่องหมาย  ลงในช่องระดับความเหมาะสม

และความสอดคล้องในแบบประเมิน และขอความกรุณาเขียนข้อเสนอแนะอ่ืนๆ ท่ีเป็นประโยชน์ต่อการ
ปรบั ปรุงและพัฒนาตอ่ ไป

2. แบบประเมินมี 2 ตอน คือ ตอนที่ 1 แบบประเมินความเหมาะสมของโครงร่างหลักสูตร
และตอนท่ี 2 แบบประเมินความสอดคลอ้ งของโครงร่างหลักสูตร

ตอนท่ี 1 แบบประเมนิ ความเหมาะสมของโครงร่างหลกั สูตร
คาชแี้ จง โปรดพิจารณาว่าองค์ประกอบของหลักสูตรในแต่ละหัวข้อต่อไปนี้ว่ามีความเหมาะสม

มากน้อยเพยี งใด โดยทาเคร่ืองหมาย  ลงในชอ่ งระดับความเหมาะสม

ข้อ รายการประเมนิ ระดับความเหมาะสม
มาก มาก ปาน นอ้ ย น้อย
1. ปญั หาและความสาคญั ของหลกั สตู ร ทสี่ ุด กลาง ทส่ี ุด
1.1 สมเหตสุ มผล
1.2 สอดคล้องกบั ความต้องการของสงั คม
1.3 เปน็ ประโยชนต์ อ่ สว่ นรวม

2. หลกั การของหลกั สตู ร
2.1 สมเหตสุ มผล
2.2 แนวคดิ ทฤษฎที ่ใี ช้สนับสนุน
2.3 เปน็ ไปไดจ้ ริง


Click to View FlipBook Version