The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือ การประเมินหลักสูตรฯ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by จีระนัน เสนาจักร์, 2020-10-05 00:41:02

หนังสือ การประเมินหลักสูตรฯ

หนังสือ การประเมินหลักสูตรฯ

327

สรปุ

จากที่ได้กล่าวมาในบทท่ี 8 เรื่อง การประเมินหลักสูตรทั้งระบบ สรุปสาระสาคัญ
ได้ดงั ต่อไปนี้

1. การประเมินหลักสูตรท้ังระบบ มีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร
ในทุกมิติ และตัดสินใจปรับปรุงเปล่ียนแปลงหรือยกเลิกหลักสูตร โดยใช้ข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง
อย่างหลากหลาย ถกู ต้อง เช่ือถือได้

2. การประเมินหลักสูตรท้ังระบบให้ความสาคัญกับข้อมูลสารสนเทศท่ีมีคุณภาพ
สาหรบั นามาใช้ในการตัดสินใจปรับปรงุ และเปลยี่ นแปลงหลักสูตร

3. การประเมินหลักสูตรทั้งระบบที่มีประสิทธิภาพควรดาเนินการโดยคณะกรรมการ
ประเมินหลกั สูตรทีป่ ระกอบดว้ ยบคุ ลากรทุกฝุายที่เกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตร มีข้ันตอนการดาเนินการ
8 ขนั้ ตอน ไดแ้ ก่

1) การกาหนดวัตถุประสงค์ของการประเมนิ หลักสูตร
2) การกาหนดรูปแบบการประเมนิ หลักสูตร
3) การวางแผนการประเมินหลักสตู ร
4) การสรา้ งเครือ่ งมอื เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู สาหรับการประเมนิ หลกั สตู ร
5) การเก็บรวบรวมข้อมลู
6) การวิเคราะหข์ อ้ มลู
7) การลงสรุปผลการประเมินและใหข้ ้อเสนอแนะ
8) การรายงานผลการประเมินหลักสตู ร

328

4. การนาเสนอผลการประเมินหลักสูตรนั้นควรนาเสนอให้อยู่บนพ้ืนฐานของข้อมูล
สารสนเทศ ตามประเด็นของการประเมินอย่างเป็นระบบ และมีการให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงและ
เปลยี่ นแปลงหลกั สูตรท่มี คี วามเป็นรปู ธรรม สามารถนาไปปฏิบตั ไิ ด้จรงิ

5. การให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงหลักสูตรท่ีมีคุณภาพ ซึ่งจะเป็นสิ่งสะท้อนว่าผู้
ประเมินหลักสูตรมีความรู้ความเข้าใจในหลักสูตรท่ีประเมินอย่างแท้จริง ที่นอกจากจะสามารถตัดสิน
คณุ ภาพของหลักสูตรในแต่ละประเด็นได้แล้ว ยังสามารถให้ข้อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงหลักสูตร
ใหด้ ยี ิง่ ขน้ึ ไดด้ ้วย

329

บรรณานกุ รม

บณั ฑติ ศึกษา มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช. (2555). การประเมนิ หลักสูตรและการเรยี นการสอน:
ประมวลชดุ วชิ า = Evaluation of Curriculum and Instruction. นนทบุรี:
สานักพมิ พ์มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช.

พิชติ ฤทธ์ิจรูญ. (2551). หลกั การวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา. พมิ พ์คร้ังท่ี 4. กรงุ เทพฯ:
เฮา้ ส์ ออฟ เคอร์มสี ท.์

มารุต พัฒผล. (2554ก). รายงานการวจิ ยั ฉบบั สมบูรณ์ เรือ่ ง ผลการใช้ทฤษฎียู (Theory - U)
ในการประเมินหลกั สตู รระดับบณั ฑติ ศกึ ษา. กรุงเทพฯ: บัณฑติ วิทยาลยั
มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ.

รัตนะ บัวสนธ์. (2556). “รปู แบบการประเมิน CIPP และ CIPPIEST มโนทศั น์ทค่ี ลาดเคลื่อนและถูกต้อง
ในการใช้ CIPP และ CIPPIEST Evaluation Models: Mistaken and Precise Concepts
of Applications”. วารสารศลิ ปากรศกึ ษาศาสตรว์ จิ ยั . ปีท่ี 5 ฉบับท่ี 2 (กรกฎาคม –
ธันวาคม) หนา้ 7 – 24.

ศิรชิ ยั กาญจนวาส.ี (2558). การประเมินหลักสูตร: หลกั การและแนวปฏบิ ตั ิ. สืบค้นจาก
http://www.edu.tsu.ac.th/major/old_eva/journal/scan1.pdf
เม่ือวนั ท่ี 10 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2558.

สมคดิ พรหมจุ้ย. (2552). เทคนคิ การประเมินโครงการ. กรงุ เทพฯ: ศูนยห์ นงั สอื จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลยั . (จัดจาหน่าย).

สานกั งานคณะกรรมการการอุดมศึกษา. (2552). กรอบมาตรฐานคุณวุฒริ ะดบั อุดมศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2552. กรงุ เทพฯ: สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา.

Armstrong. David G. (1989). Developing and Documenting the Curriculum.
Boston: Allyn and Bacon.

330

. (2003). Curriculum Today. New Jersey: Merrill Prentice Hall.
Beane, James A. and others. (1986). Curriculum Planning and Development.

Boston: Allyn and Bacon.
Bobbit, Franklin. (1918). The Curriculum. Boston: Houghton Mifflin.

. (1924). How to Make a Curriculum. Boston: Houghton Mifflin.
Brady, Laurie. (1992). Curriculum Development. 4thed. Sydney: Prentice Hall.
Eisner, Elliot W. (1994) The Educational Imagination: on the Design and Evaluation

of School Programs. New York: Macmillan.
Fink, Arlene. (2015). Evaluation Fundamentals: Insight into Program Effectiveness,

Quality, and Value. Los Angeles: Sage Publications.
Hammond, R.L. (1973). “Evaluation at the Local Level” In worthen and Sanders,

Educational Evaluation: Theory and Practice. California: Wadsworth
Published.
Henson, Kenneth T. (2001). Curriculum Planning: Integrating Multiculturalism,
Constructivism, and Education Reform. 2nded. New York: McGraw - Hill.
Jacobs, Heidi Hayes. (2010). Curriculum 21: Essential education for a Changing
World. Alexandria: Association for Supervision and Curriculum Development.
Kelly, A. V. (1999). The Curriculum. 4thed. London: Paul Chapman Publishing Ltd.
Kirkpatrick, Donald L. (1998). Evaluating Training Programs: the Four Levels. 2nded.
San Francisco: Berrett – Koehler Publishers.
Kirkpatrick, Donald L. (2005). Transferring Learning to Behavior. San Francisco: Berrett-
Koehler Publishers.

331

Kirkpatrick, Donald L. (2007). Implementing the Four Levels. San Francisco: Berrett-
Koehler Publishers.

McDavid, James., Huse, Irene., and Hawthorn, Laura R.L. (2013). Program Evaluation
and Performance Measurement: An Introduction to Practice.
Thousand Oaks: Sage Publications..

Mertens, Donna M., and Wilson Amy T. (2012). Program Evaluation Theory and
Practice: A Comprehensive Guide. New York: The Guilford Press.

Oliva, Peter F. (2009). Developing the Curriculum. 7thed. Boston: Allyn and Bacon.
Oliva, Peter F., and Gordon, II, William, R. (2013). Developing the Curriculum. 8thed.

Boston: Pearson.
Ornstein, Allan C. (2013). Curriculum: Foundations, Principles, and Issues. Boston:

Pearson.
Ornstein, Allan C., and Hunkins, Francis P. (2004). Curriculum: Foundations,

Principles, and Issues. Boston: Allyn and Bacon.
Pearsons, Beverly A. (2002). Evaluating Inquiry: Using Evaluation to Promote Student

Success. Thousand Oaks; California: Corwin Press.
Posner, George J. (2004). Analyzing the Curriculum. New York: McGraw Hill.
Print, Murray. (1993). Curriculum Development and Design. 2nd ed. Sydney:

Allen & Unwin.
Provus, M.M. (1971). Discrepancy Evaluation. California: McCutchan.
Rea-Dickins, Pauline., and Germaine, Kevin. (2011). Evaluation. Oxford: Oxford

University Press.

332

Saylor, J.G., Alexander, W.M., and Lewis, Arthur.J. (1981). Curriculum Planning for
Better Teaching and Learning. New York: Holt, Rinehart and Winston.

Stake, R.E. (1969). “Language, Rationality and Assessment” in Walcott H. Beatty (ed.),
Improving Educational Assessment and An Inventory of Measures of
Affective Behavior. Washington, D.C.: Association for Supervision and
Curriculum Development.

Stufflebeam, Daniel L. and Shinkfield, Anthony J. (2007). Evaluation Theory, Models,
& Applications. San Francisco: Jossey – Bass.

Taba, Hilda. (1962). Curriculum Development : Theory and Practice. New York:
Harcourt Brace Jovanovich.

Tanner, Daniel and Tanner, Laurel. (1975). Curriculum Development: Theory
into Practice. New York: Macmillan Publishing.

Tanner, Daniel and Tanner, Laurel. (1980). Curriculum Development: Theory
into Practice. 2nded. New York: Macmillan Publishing.

Tyler, Ralph W. (1949). Basic Principles of Curriculum and Instruction. Chicago:
The university of Chicago Press.

Udelhofen, Susan. (2005). Keys to Curriculum Mapping: Strategies and Tools to
Make it Work. Thousand Oaks, California: Corwin Press.

Walker, Decker F. and Soltis, Jonas F. (2009). Curriculum and Aims. New York:
Teachers College Columbia University.

Wiles, Jon W., and Bondi, C. Joseph. (2011). Curriculum Development a Guide to
Practice. 8thed. Boston: Pearson.

William, Pinar. (2012). What is Curriculum Theory. New York: Routledge.

333

บทที่ 9
การประเมนิ หลักสูตรแบบผสานวธิ ี

334 9.1 แนวความคดิ ของการประเมินหลักสตู รแบบผสานวิธี
9.2 ข้อดขี องการประเมินหลกั สตู รแบบผสานวิธี
9. การประเมินหลักสูตร 9.3 กรอบความคดิ ของการออกแบบการประเมินหลกั สตู รแบบผสานวธิ ี
แบบผสานวธิ ี
9.4 กลยทุ ธก์ ารประเมินหลักสตู รแบบผสานวธิ ี
9.5 วธิ ีการและเครอื่ งมือเก็บรวบรวมขอ้ มูลสาหรบั การประเมินหลักสตู รแบบผสานวธิ ี
9.6 การจดั กระทาขอ้ มลู การวเิ คราะห์ขอ้ มูล และสรปุ ผล

335

สาระสาคญั

สาหรบั ในบทที่ 9 เรื่อง การประเมนิ หลักสูตรแบบผสานวธิ ี มีสาระสาคัญดังต่อไปน้ี

1. การประเมินหลักสูตรเป็นกิจกรรมท่ีมีความซับซ้อนซึ่งเก่ียวข้องกับการรวบรวม
ข้อมูลต่างๆ ท้ังข้อมูลเชิงปริมาณ และข้อมูลเชิงคุณภาพ เพ่ือให้สามารถตอบคาถามการประเมินต่างๆ
ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง

2. การประเมินหลกั สตู รแบบผสานวธิ ี มขี อ้ ดหี ลายประการท่ีช่วยทาให้ผลการประเมิน
มีความถูกต้องและเชื่อถือได้ สามารถนาไปปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมขี ้อมลู ท้งั เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพท่ีใช้เป็นประโยชน์ในการลงสรุปผลการประเมิน มีความลึกซ้ึง
มากกวา่ การใช้วธิ ีการเชิงปรมิ าณหรือวิธีการเชิงคณุ ภาพเพยี งอย่างเดียวสอดคล้องกับหลักการมีส่วนร่วม
ในการประเมิน ประหยัดทรัพยากรที่ใชใ้ นการประเมนิ หลกั สูตร

3. กรอบความคิดของการประเมินหลักสูตรแบบผสานวิธีน้ี ได้วิเคราะห์และประยุกต์
มาจากวิธีการออกแบบการวิจัยแบบผสานวิธี (mixed - method research) สามารถนามาปรับใช้กับ
การประเมินหลักสูตรได้ทั้งการประเมินก่อนการใช้หลักสูตร ระหว่างการใช้หลักสูตร และหลังการใช้
หลกั สูตร

4. การประเมินหลักสูตรแบบผสานวิธีมีกลยุทธ์การประเมินเก่ียวกับการออกแบบการ
ประเมิน และการวิเคราะห์ข้อมูล คือ 1) เลือกวิธีการประเมินท้ังเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ 2) เลือก
เทคนิควิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลในการประเมินหลักสูตร 3) ตรวจสอบวัตถุประสงค์ของการประเมิน

336

หลักสตู รและวิธีการประเมนิ 4) ออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูลให้มีความสอดคล้องกับวิธีการเก็บรวบรวม
ข้อมูล 5) ตรวจสอบความถูกต้องของขอ้ มูล 6) คัดเลอื กคณะกรรมการการประเมนิ หลกั สูตร

5. วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลสาหรับการประเมินหลักสูตรมีหลายวิธีการ
ซ่ึงคณะกรรมการประเมินหลักสูตรควรเลือกใช้วิธีการท่ีเหมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อให้ได้
ข้อมูลสารสนเทศท่ีครอบคลุมประเด็นและคาถามการประเมิน โดยมีการจัดกระทาข้อมูล การวิเคราะห์
มูล และสรปุ ผลการประเมินอย่างถกู ต้องบนพนื้ ฐานของข้อมลู เชงิ ประจักษ์

337

9.1 แนวความคดิ การประเมินหลกั สตู รแบบผสานวธิ ี

การประเมินหลักสูตรเป็นกิจกรรมที่มีความซับซ้อนซึ่งเกี่ยวข้องกับการรวบรวมข้อมูล
ต่างๆ ทั้งข้อมูลเชิงปริมาณ (quantitative data) และข้อมูลเชิงคุณภาพ (qualitative data)
เพ่ือให้สามารถตอบคาถามการประเมินต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง ซ่ึงการที่จะตอบคาถามการประเมิน
ได้อย่างถูกต้องน้ัน จาเป็นท่ีจะต้องเก็บข้อมูลจากบุคคลที่เช่ือถือได้โดยใช้วิธีการท่ีเหมาะสม จึงจะทาให้
ได้ข้อมูลท่ีถูกต้อง มาสรุปผลการประเมิน ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงหลักสูตรให้มี
คณุ ภาพมากย่ิงขนึ้

การประเมินหลักสูตรแบบผสานวิธี เป็นแนวทาง (approach) การประเมินหลักสูตรแบบ
ผสานวิธีการเชิงปริมาณ (quantitative method) และวิธีการเชิงคุณภาพ (qualitative
method) เข้าด้วยกัน เพื่อทาให้การประเมินหลักสูตรมีประสิทธิภาพ ได้ข้อมูลสารสนเทศท่ีมีความ
ถูกต้อง เช่อื ถอื ได้ นาไปสูก่ ารปรบั ปรุงหลักสูตรใหม้ ีคุณภาพมากข้ึน

9.2 ขอ้ ดขี องการประเมนิ หลักสตู รแบบผสานวิธี

การประเมินหลักสูตรแบบผสานวิธี มีข้อดีหลายประการที่ช่วยทาให้ผลการประเมินมีความ
ถูกต้องและเชือ่ ถอื ได้ สามารถนาไปปรบั ปรงุ และเปล่ยี นแปลงหลักสูตรไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ดังน้ี

1. ทาใหค้ ณะกรรมการประเมินหลักสูตรมีขอ้ มลู ท้งั เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่ใช้
เป็นประโยชนใ์ นการลงสรุปผลการประเมิน

338

2. ผลการประเมินมีความลึกซ้ึงมากกว่าการใช้วิธีการเชิงปริมาณหรือวิธีการ
เชิงคุณภาพเพียงอย่างเดียว ซ่ึงการใช้วิธีการเชิงปริมาณอาจไม่เหมาะสมกับการเก็บข้อมูลเชิงลึก
แต่การใชว้ ธิ ีการเชิงคณุ ภาพจะทาให้ไดข้ ้อมูลทดี่ ีกว่า

3. สอดคล้องกับหลักการมีส่วนร่วมในการประเมินของผู้ท่ีเกี่ยวข้องกับหลักสูตร
ท้ังผู้บริหาร ผู้สอน ผู้เรียน และชุมชน ในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้หลักสูตร ท้ังที่เป็นจุดแข็ง
และจดุ ออ่ นทต่ี ้องปรบั ปรงุ ตลอดจนความคดิ เห็นตา่ งๆ

4. ช่วยทาให้เกิดความประหยัดทรัพยากรท่ีใช้ในการประเมินหลักสูตร ได้แก่
บุคลากร วัสดุอุปกรณ์ เวลา และงบประมาณ เมื่อใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล
ทั้งเชงิ ปริมาณและเชิงคุณภาพทีเ่ หมาะสมกบั คาถามการประเมนิ

9.3 กรอบความคิดของการออกแบบการประเมินหลักสตู รแบบผสานวธิ ี

กรอบความคิดของการประเมินหลักสูตรแบบผสานวิธีน้ี ได้วิเคราะห์และประยุกต์มาจาก
วิธีการออกแบบการวิจัยแบบผสานวิธี (mixed - method research) ซึ่ง Creswell and Clark.
(2011) ได้นาเสนอไว้ 6 แบบ ซ่ึงผู้เขียนได้วิเคราะห์แล้วว่าสามารถนามาปรับใช้กับการประเมิน
หลักสูตรได้ทง้ั การประเมินก่อนการใชห้ ลักสตู ร ระหว่างการใช้หลกั สูตร และหลังการใช้หลักสูตร เพื่อให้
การดาเนินการประเมนิ หลักสูตรมีมปี ระสิทธิภาพ มีความถูกตอ้ งมากย่งิ ขน้ึ ดงั นี้

339

แบบท่ี 1 ใช้วธิ ีการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ทัง้ เชิงปริมาณและเชงิ คณุ ภาพพรอ้ มๆ กัน

แบบที่ 2 ใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณก่อน แล้วเม่ือได้ข้อสรุป
เชิงปริมาณเป็นอย่างไร จงึ ดาเนนิ การเกบ็ รวบรวมและวเิ คราะหข์ อ้ มลู เชิงคณุ ภาพภายหลงั

แบบท่ี 3 ใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพก่อน แล้วเม่ือได้ข้อสรุป
เชิงคณุ ภาพเปน็ อยา่ งไร จงึ เกบ็ รวบรวมและวเิ คราะหข์ ้อมูลเชงิ ปริมาณภายหลัง

แบบที่ 4 ใช้วธิ ีการเก็บรวบรวมและวิเคราะหข์ ้อมลู เชิงปรมิ าณเปน็ หลัก และใช้วิธีการเก็บ
รวบรวมและวเิ คราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพเป็นวิธีการเสริม เป็นแบบท่ี 4.1 หรือใช้วิธีการเก็บรวบรวมและ
วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพเป็นหลัก และใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ
เป็นวิธีการเสริมในช่วง ก่อน ระหว่าง หรือหลัง การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ
เปน็ แบบท่ี 4.2

แบบท่ี 5 เป็นแบบการประเมินหลักสูตรที่มีกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีที่ใช้สาหรับการ
ประเมนิ สอดคล้องกับการประเมนิ ที่เนน้ ทฤษฎี (Theory – based evaluation)

แบบที่ 6 ใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและคุณภาพเป็นช่วง
ระยะเวลา (phase) ซึ่งในแต่ละช่วงเวลาสามารถใช้วิธีการแบบท่ี 1 – 5 ได้อย่างหลากหลาย ผลการ
ประเมินจะถกู นาไปใชใ้ นการพฒั นา (develop) และ/หรือ ปรับปรุง (improve) หลักสูตรในแต่ละระยะ
ต่อเนอ่ื งกนั ไป เพื่อการบรรลุวตั ถปุ ระสงคข์ องหลักสตู ร

กรอบแนวคดิ ของการประเมนิ หลักสตู รแบบผสานวิธีทัง้ 6 แบบมดี งั ตอ่ ไปน้ี

340

แบบที่ 1 ใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพพร้อมกัน
แล้วนามาวิเคราะห์เปรียบเทียบกันหรือหาความสัมพันธ์เก่ียวข้องกัน เพื่อตอบคาถามการประเมิน
แสดงไดด้ งั แผนภาพตอ่ ไปนี้

ประเด็นการประเมิน คาถามการประเมนิ

การเก็บรวบรวม การเก็บรวบรวม
และวเิ คราะหข์ ้อมลู เชิงปรมิ าณ และวิเคราะห์ข้อมลู เชงิ คุณภาพ

การเปรยี บเทียบหรอื ความสมั พนั ธ์
ระหว่างข้อมูลเชงิ ปริมาณและเชิงคุณภาพ

การแปลความหมาย
และลงสรปุ ผลเพอื่ ตอบคาถามการประเมิน

แผนภาพ 37 กรอบความคดิ ของการประเมนิ หลักสตู รแบบผสานวิธี แบบที่ 1

341

ตัวอยา่ งการประเมินตามกรอบความคดิ การประเมินหลักสตู รแบบผสานวธิ ี แบบท่ี 1

การประเมินทรัพยากร ระบบอินเทอร์เนต็ ไร้สายในโรงเรียน
สนบั สนนุ การเรยี นรู้ มีประสิทธิภาพหรือไม่

สอบถามนกั เรยี นเกยี่ วกับ สัมภาษณ์นกั เรยี นทใี่ ชร้ ะบบอินเทอร์เนต็
การใชร้ ะบบอินเทอร์เนต็ ไร้สายภายในโรงเรยี น ไรส้ ายบรเิ วณจดุ กระจายสัญญาณต่างๆ
โดยใช้แบบสอบถามชนิดมาตราสว่ นประมาณคา่ โดยใชแ้ บบสัมภาษณช์ นิดมีโครงสร้าง

ตรวจสอบความสอดคล้องกันระหวา่ ง
ผลจากการสอบถามและผลการสมั ภาษณ์

ลงสรุปผลการประเมนิ ระบบอินเทอร์เน็ตไร้สาย
ในโรงเรียนและขอ้ เสนอแนะ

แผนภาพ 38 ตวั อย่างกรอบความคดิ ของการประเมินหลกั สูตรแบบผสานวธิ ี แบบท่ี 1

342

แบบที่ 2 ใชว้ ิธกี ารเกบ็ รวบรวมและวิเคราะหข์ อ้ มลู เชงิ ปริมาณกอ่ น แล้วเมื่อได้ข้อสรุป
เชิงปรมิ าณเป็นอยา่ งไร จึงดาเนินการเก็บรวบรวมและวเิ คราะห์ขอ้ มูลเชิงคุณภาพภายหลัง เพื่อตอบ
คาถามการประเมิน แสดงได้ดงั แผนภาพต่อไปน้ี

ประเด็นการประเมนิ คาถามการประเมิน

การเก็บรวบรวม
และวเิ คราะห์ข้อมลู เชงิ ปรมิ าณ

การสรุปผลการวิเคราะหข์ ้อมูลเชงิ ปริมาณ

การเกบ็ รวบรวมและวเิ คราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ
ท่ีสืบเนือ่ งมาจากผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูลเชงิ ปริมาณ

การแปลความหมาย
และสรปุ ผลเพอ่ื ตอบคาถามการประเมนิ

แผนภาพ 39 กรอบความคดิ ของการประเมินหลักสูตรแบบผสานวิธี แบบที่ 2

343

ตัวอยา่ งการประเมินตามกรอบความคดิ การประเมนิ หลกั สตู รแบบผสานวิธี แบบท่ี 2

การประเมนิ การจัดการเรยี นรู้ การจัดการเรยี นรู้แตล่ ะรายวชิ า
มปี ระสิทธิภาพหรือไม่

สอบถามผสู้ อนและผเู้ รยี นเกยี่ วกบั ประสทิ ธภิ าพ
ของการจดั การเรยี นร้แู ตล่ ะรายวชิ า โดยใช้แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า

วเิ คราะหแ์ ละสรปุ ผลประสทิ ธิภาพการจัดการเรียนรู้แตล่ ะรายวชิ า
จาแนกตามกลุ่มผู้สอนและผเู้ รยี น

สัมภาษณผ์ ูส้ อนและผเู้ รียนเกยี่ วกบั กระบวนการจดั การเรยี นรใู้ นประเดน็ ท่ีน่าสนใจ
สบื เนอ่ื งจากการวเิ คราะห์ขอ้ มูลแบบสอบถามโดยใช้แบบสัมภาษณช์ นดิ มีโครงสรา้ ง

การสรุปผลการประเมนิ ประสิทธภิ าพการจดั การเรยี นรู้

แผนภาพ 40 ตัวอยา่ งกรอบความคิดของการประเมินหลักสตู รแบบผสานวิธี แบบท่ี 2

344

แบบที่ 3 ใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพก่อน แล้วเมื่อได้
ข้อสรุปเชิงคุณภาพเป็นอย่างไร จึงเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณภายหลังเพ่ือตอบ
คาถามการประเมิน แสดงได้ดงั แผนภาพต่อไปน้ี

ประเด็นการประเมนิ คาถามการประเมนิ

การเกบ็ รวบรวม
และวเิ คราะหข์ ้อมลู เชงิ คณุ ภาพ

การสรุปผลการวิเคราะห์ข้อมลู เชงิ คณุ ภาพ

การเก็บรวบรวมและวิเคราะหข์ ้อมลู เชงิ ปรมิ าณ
ท่ีสบื เน่อื งมาจากผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู เชงิ คุณภาพ

การแปลความหมาย
และลงสรุปผลเพื่อตอบคาถามการประเมนิ

แผนภาพ 41 กรอบความคิดของการประเมนิ หลกั สูตรแบบผสานวธิ ี แบบท่ี 3

345

ตัวอย่างการประเมินตามกรอบความคดิ การประเมนิ หลักสตู รแบบผสานวิธี แบบท่ี 3

การประเมนิ คณุ ลกั ษณะ ผ้เู รยี นมคี ณุ ลักษณะท่ีพึงประสงค์
ท่พี งึ ประสงคข์ องผู้เรยี น แตล่ ะด้านเป็นไปตามทกี่ าหนดในหลกั สตู รหรือไม่

การสมั ภาษณผ์ ู้บริหาร ผสู้ อน ผปู้ กครอง และชมุ ชน
เกยี่ วกับคณุ ลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงคข์ องผเู้ รียน โดยใช้แบบสัมภาษณช์ นิดมโี ครงสรา้ ง

วเิ คราะห์ สรปุ ผลการสมั ภาษณ์ และนาไปใช้ในการพัฒนาแบบประเมนิ
คณุ ลักษณะท่ีพึงประสงค์ของผเู้ รียน ในเชิงปรมิ าณ

ประเมนิ คุณลกั ษณะท่พี งึ ประสงคข์ องผเู้ รยี น
โดยผู้สอน ผปู้ กครอง ชมุ ชน และผ้เู รยี นประเมนิ ตนเอง
ในเชงิ ปริมาณ เชน่ ใชเ้ กณฑ์การให้คะแนน (scoring rubrics) เปน็ ต้น

การสรุปผลการประเมินประสทิ ธภิ าพการจัดการเรยี นรู้

แผนภาพ 42 ตัวอย่างกรอบความคิดของการประเมินหลกั สตู รแบบผสานวธิ ี แบบท่ี 3

346

แบบท่ี 4 ใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณเป็นหลักและใช้วิธีการ
เก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพเป็นวิธีการเสริมในช่วง ก่อน ระหว่าง หรือหลังการเก็บ
รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นแบบที่ 4.1 หรือใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์
ข้อมูลเชิงคุณภาพเป็นหลัก และใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นวิธีการ
เสรมิ ในช่วงกอ่ น ระหว่าง หรอื หลัง การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นแบบท่ี 4.2
เพื่อตอบคาถามการประเมิน โดยที่การเก็บรวบรวมข้อมูลในแบบที่ 4 น้ีจะดาเนินการพร้อมกัน
หรือสลับกันก็ได้ แสดงได้ดังแผนภาพต่อไปนี้

ประเดน็ การประเมนิ คาถามการประเมนิ

แบบที่ 4.1 แบบที่ 4.2

การเก็บรวบรวม การเกบ็ รวบรวม
และวิเคราะห์ขอ้ มลู เชิงปรมิ าณ และวเิ คราะห์ข้อมลู เชิงคุณภาพ

การเก็บรวบรวม การเก็บรวบรวม
และวิเคราะห์ขอ้ มลู เชงิ คุณภาพ และวเิ คราะหข์ อ้ มูลเชิงปริมาณ

มาเสริมข้อมลู เชงิ ปริมาณ มาเสรมิ ขอ้ มูลเชิงคุณภาพ

การแปลความหมาย การแปลความหมาย
และลงสรุปผลเพื่อตอบคาถามการประเมนิ และลงสรปุ ผลเพ่อื ตอบคาถามการประเมิน

แผนภาพ 43 กรอบความคิดของการประเมินหลักสตู รแบบผสานวิธี แบบที่ 4

347

ตัวอยา่ งการประเมนิ ตามกรอบความคิดการประเมนิ หลกั สูตรแบบผสานวิธี แบบที่ 4.1

การประเมนิ ผเู้ รยี นมผี ลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นตามสาระและมาตรฐานการเรยี นรหู้ รอื ไม่
ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน

ทดสอบความรูข้ องผเู้ รยี นตามสาระและมาตรฐานการเรียนรู้
โดยใช้แบบทดสอบมาตรฐาน

สังเกตพฤตกิ รรมการจดั การเรียนรขู้ องผู้สอน
สังเกตพฤติกรรมการเรยี นร้ขู องผเู้ รยี น

แปลความหมายและลงสรุปผลการประเมนิ
ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นในเชงิ ปรมิ าณ

และใช้ผลการสังเกตพฤติกรรมการจดั การเรยี นรูข้ องผสู้ อน
และพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ของผู้เรียนมาสนับสนุน

แผนภาพ 44 ตัวอย่างกรอบความคดิ ของการประเมินหลกั สตู รแบบผสานวธิ ี แบบท่ี 4.1

348

ตวั อย่างการประเมินตามกรอบความคิดการประเมนิ หลกั สตู รแบบผสานวธิ ี แบบที่ 4.2

การประเมนิ การจัดกิจกรรมพฒั นาผูเ้ รียนมคี ณุ ภาพหรอื ไม่
การจดั กจิ กรรม
พัฒนาผเู้ รียน

1. ตรวจเอกสารแผนการจัดกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี น ได้แก่ กิจกรรมแนะแนว
กจิ กรรมนักเรียน กิจกรรมลกู เสอื /เนตรนารี
โดยใชแ้ บบบนั ทึกคณุ ภาพแผนการจัดการเรยี นรู้

2. สงั เกตการจดั กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียน

สอบถามความคดิ เหน็ ของนกั เรียนทมี่ ีต่อการจัดกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียน
โดยใชแ้ บบสอบถามชนิดมาตราสว่ นประมาณค่า

แปลความหมายและลงสรปุ ผลการประเมนิ
ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนในเชงิ ปริมาณ

และใช้ผลการสงั เกตพฤติกรรมการจัดการเรยี นรู้ของผสู้ อน
และพฤตกิ รรมการเรยี นร้ขู องผูเ้ รียนมาสนบั สนุน

แผนภาพ 45 ตวั อยา่ งกรอบความคิดของการประเมนิ หลักสตู รแบบผสานวธิ ี แบบที่ 4.2

349

แบบที่ 5 เป็นแบบการประเมินหลักสูตรที่มีความซับซ้อนมากกว่าแบบท่ี 1 – 4
กล่าวคือ มีกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีที่ใช้สาหรับการประเมิน สอดคล้องกับการประเมินที่เน้นทฤษฎี
(Theory – based evaluation) คือการดาเนินกิจกรรมการประเมินท่ีนาทฤษฎีต่างๆ ที่เก่ียวข้องมา
ใช้ในการประเมิน ในการติดตามลาดับความเชื่อมโยงจากปัจจัยนาเข้าและกิจกรรมต่างๆ สู่ผลลัพธ์ของ
โปรแกรมหรือโครงการ โดยมีรากฐานทางทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องมาระบุองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของ
องค์ประกอบต่างๆ เหล่านั้น (identify the program elements and their coherence) เพ่ือให้ผล
การประเมินมีความถูกต้อง และเป็นท่ียอมรับและนาไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรให้มีคุณภาพ
มากข้ึน รวมท้ังยังช่วยขยายองค์ความรู้ให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับองค์ความรู้ในสาขาวิชาอ่ืนๆ
(ราชบัณฑติ ยสถาน. 2555, Cojocaru. 2009: online)

แบบการประเมินแบบท่ี 5 แบ่งเป็น 2 แบบย่อย คือ แบบ 5.1 ใช้วิธีการเก็บรวบรวม
และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณก่อน ได้ข้อสรุปเชิงปริมาณเป็นอย่างไร จึงดาเนินการเก็บรวบรวมและ
วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพท่ีสอดคล้องกับข้อสรุปเชิงปริมาณภายหลัง เพ่ือตอบคาถามการประเมิน
แบบ 5.2 ใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพก่อน ได้ข้อสรุปเชิงปริมาณเป็นอย่างไร
แล้วจึงดาเนนิ การเก็บรวบรวมและวเิ คราะหข์ ้อมูลเชิงปรมิ าณที่สอดคลอ้ งกับข้อสรปุ เชิงคุณภาพภายหลัง
เพื่อตอบคาถามการประเมิน โดยที่การเก็บรวบรวมข้อมูลในแบบที่ 5 จะดาเนินการพร้อมกันหรือ
สลับกนั กไ็ ด้ แสดงไดด้ ังแผนภาพต่อไปน้ี

350

กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎที ่ีใชส้ าหรับการประเมิน
(Theoretical – based conceptual framework)

แบบที่ 5.1 แบบที่ 5.2
คาถามการประเมิน คาถามการประเมิน

การเก็บรวบรวม การเก็บรวบรวม
และวิเคราะห์ข้อมลู เชงิ ปรมิ าณ และวิเคราะหข์ อ้ มลู เชงิ คุณภาพ

การสรปุ ผลการวิเคราะห์ข้อมลู เชิงปรมิ าณ การสรุปผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลเชงิ คณุ ภาพ

การเก็บรวบรวมและวเิ คราะหข์ ้อมลู เชิงคุณภาพ การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชงิ ปรมิ าณ
ทสี่ ืบเนื่องมาจากผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู เชิงปริมาณ ทส่ี ืบเนอ่ื งมาจากผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู เชงิ คณุ ภาพ

การแปลความหมาย การแปลความหมาย
และลงสรุปผลเพ่ือตอบคาถามการประเมิน และลงสรุปผลเพือ่ ตอบคาถามการประเมิน

แผนภาพ 46 กรอบความคิดของการประเมินหลักสตู รแบบผสานวธิ ี แบบที่ 5

351
ตวั อยา่ งการประเมนิ ตามกรอบความคดิ การประเมินหลกั สตู รแบบผสานวิธี แบบท่ี 5

สมมติสถานการณ์การประเมินคุณภาพของผู้เรียนตามอัตลักษณ์และเอกลักษณ์
ของสถานศึกษาซ่ึงมีกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีท่ีสังเคราะห์จากผลการวิจัยต่างๆ ดังแผนภาพต่อไปน้ี
(วิชยั วงษใ์ หญ่ และมารุต พัฒผล. 2555: 5)

แผนภาพ 47 กรอบความคดิ ของปัจจัยทสี่ ่งผลตอ่ คุณภาพของผเู้ รยี น
จากแผนภาพสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหาร ส่งผลโดยตรง

ต่อคุณภาพผู้เรียน และส่งผลทางอ้อมผ่านครู ในขณะที่คุณภาพของครู ได้แก่ ความรักในการสอน
รักผู้เรียน มีความรู้ มีวิธีการสอน มีการประเมินผลที่เสริมพลังตามสภาพจริง การดูแลช่วยเหลือผู้เรียน
และการมีความยุติธรรม ส่งผลทางตรงต่อคุณภาพผู้เรียน จากกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีข้างต้น สามารถ
นามาใช้เป็นกรอบแนวคดิ เชิงทฤษฎีสาหรับการประเมนิ แบบผสานวธิ ี ดังตวั อย่างต่อไปน้ี

352

กรอบแนวคดิ เชงิ ทฤษฎกี ารพฒั นาคณุ ภาพผู้เรยี นตามอตั ลกั ษณแ์ ละเอกลักษณ์ของสถานศกึ ษา

แบบที่ 5.1 แบบท่ี 5.2
- ผู้บริหารและครูมคี ณุ ลกั ษณะตามกรอบแนวคิด - ผู้บริหารและครูมคี ณุ ลักษณะตามกรอบแนวคิด

เชิงทฤษฎีการพฒั นาคณุ ภาพผ้เู รยี นหรือไม่ เชงิ ทฤษฎีการพัฒนาคณุ ภาพผเู้ รียนหรอื ไม่
- ผเู้ รยี นมคี ุณภาพตามอัตลกั ษณ์และเอกลกั ษณห์ รอื ไม่ - ผเู้ รยี นมคี ณุ ภาพตามอัตลกั ษณ์และเอกลักษณ์หรือไม่

ประเมนิ คุณลักษณะของผ้บู รหิ ารและครู สัมภาษณผ์ ้เู รียนเกี่ยวกับคุณลกั ษณะของผู้บริหาร ครู และ
และคณุ ภาพผูเ้ รียนดา้ นอัตลกั ษณแ์ ละเอกลกั ษณ์ สงั เกตพฤติกรรมทสี่ ะท้อนอตั ลักษณ์และเอกลักษณข์ อง
ตามกรอบแนวคิดเชงิ ทฤษฎี โดยใช้เกณฑก์ ารให้คะแนน ผู้เรยี น ตามกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎี

จากการประเมนิ ตนเอง และเพอ่ื นประเมนิ

การสรุปผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลเชงิ ปรมิ าณ การสรุปผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู เชิงคุณภาพ

สมั ภาษณผ์ ู้เรียนเกยี่ วกับคุณลักษณะของผูบ้ ริหาร ประเมินคณุ ลักษณะของผ้บู ริหาร ครู และคุณภาพผูเ้ รยี น
และครู ตามกรอบแนวคิดเชงิ ทฤษฎี และสงั เกตพฤติกรรม ด้านอตั ลกั ษณแ์ ละเอกลกั ษณ์ ตามกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎี
ท่สี ะทอ้ นอัตลกั ษณแ์ ละเอกลกั ษณข์ องผ้เู รียน โดยนาข้อสรุปเชงิ คุณภาพมาเป็นฐานของการประเมิน
ในประเด็นที่นา่ สนใจจากขอ้ สรุปเชงิ ปรมิ าณ เชิงปริมาณ โดยใชเ้ กณฑ์การใหค้ ะแนน
จากการประเมนิ ตนเองและเพื่อนประเมิน

แปลความหมายและลงสรปุ แปลความหมายและลงสรปุ
ผลการประเมนิ ทั้งเชงิ ปริมาณและเชงิ คุณภาพ ผลการประเมินทง้ั เชงิ ปรมิ าณและเชงิ คณุ ภาพ

ตามเกณฑท์ ี่กาหนด ตามเกณฑท์ ก่ี าหนด

แผนภาพ 48 ตวั อยา่ งกรอบความคิดของการประเมินหลักสตู รแบบผสานวธิ ี แบบที่ 5

353

แบบที่ 6 ใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและคุณภาพเป็นช่วง
ระยะเวลา (phase) ซึ่งในแต่ละช่วงเวลาสามารถใช้วิธีการแบบท่ี 1 – 5 ได้อย่างหลากหลาย
ผลการประเมินจะถูกนาไปใช้ในการพัฒนา (develop) และ/หรือ ปรับปรุง (improve) หลักสูตร
ในแตล่ ะระยะต่อเน่อื งกันไป เพอ่ื การบรรลวุ ตั ถุประสงค์ของหลกั สตู ร

การประเมนิ ระยะที่ 1 คาถามการประเมิน การเกบ็ รวบรวมและวเิ คราะห์ขอ้ มลู
เชงิ ปริมาณ และ / หรอื ขอ้ มูลเชิงคณุ ภาพ

การสรุปผลและนาไปใช้
ในการพัฒนา / ปรบั ปรุงหลกั สตู ร

การประเมินระยะท่ี 2 คาถามการประเมิน การเก็บรวบรวมและวิเคราะหข์ อ้ มลู
เชิงปริมาณ และ / หรือ ขอ้ มลู เชงิ คุณภาพ

การสรุปผลและนาไปใช้
ในการพฒั นา / ปรบั ปรุงหลักสตู ร

การประเมินระยะท่ี ... คาถามการประเมิน การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล
เชิงปรมิ าณ และ / หรอื ขอ้ มูลเชงิ คณุ ภาพ

การสรปุ ผลและนาไปใช้
ในการพฒั นา / ปรับปรงุ หลกั สตู ร

แผนภาพ 49 กรอบความคดิ ของการประเมินหลกั สตู รแบบผสานวิธี แบบท่ี 6

354

ตวั อย่างการประเมนิ ตามกรอบความคิดการประเมินหลักสูตรแบบผสานวธิ ี แบบท่ี 6

การประเมนิ ระยะที่ 1 ผู้เรยี นตอ้ งมี สงั เคราะหเ์ อกสารงานวิจยั ตา่ งๆ
สมรรถนะการคดิ สมั ภาษณผ์ ้เู ชยี่ วชาญ
ทส่ี าคญั จาเป็น
สารวจความคิดเห็นของผ้ปู ระกอบการภาคธรุ กิจ
ด้านใดบา้ ง
เพ่ือดารงชวี ิต สรปุ ผลและนามาพฒั นาหลักสูตรฝกึ อบรมครู
และการทางาน เพือ่ ให้มีความร้คู วามสามารถในการจัดการเรยี นรู้

ทเี่ สรมิ สรา้ งสมรรถนะดา้ นการคิดของผ้เู รยี น

การประเมนิ ระยะท่ี 2 หลักสตู ร สอบถามและสัมภาษณ์ครูทเ่ี ข้ารับการฝกึ อบรม
ที่ดาเนินการใช้ สงั เกตกระบวนการและกิจกรรมการฝึกอบรม
มปี ระสทิ ธภิ าพ

หรอื ไม่

การประเมนิ ระยะที่ 3 หลักสตู ร ทดสอบความรู้ และประเมินความสามารถ
ท่ดี าเนินการใช้ ของครูในการจดั การเรียนรทู้ เ่ี สริมสร้าง
มีประสิทธิผล
สมรรถนะด้านการคดิ ของผู้เรียน
หรือไม่
ประเมินสมรรถนะด้านการคดิ ของผเู้ รียน

แผนภาพ 50 ตวั อย่างกรอบความคดิ ของการประเมนิ หลักสตู รแบบผสานวธิ ี แบบท่ี 6

355

9.4 กลยทุ ธ์การประเมินหลกั สตู รแบบผสานวิธี

การประเมินหลักสูตรแบบผสานวิธีมีกลยุทธ์การประเมินเก่ียวกับการออกแบบการประเมิน
และการวิเคราะห์ขอ้ มลู ตามลาดบั มีสาระสาคญั ดังตอ่ ไปนี้

1. เลอื กวธิ กี ารประเมินท้งั เชงิ ปริมาณและเชงิ คุณภาพทีต่ อบสนองวัตถุประสงค์ของ
การประเมินหลักสตู ร และเป็นวิธีการท่ีมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการประเมินสูงสุด โดยใช้
ทรัพยากรไม่ว่าจะเป็นบุคลากร เวลา งบประมาณ อย่างคุ้มค่า ส่งผลทาให้สามารถตอบคาถามการ
ประเมนิ หลักสูตรไดอ้ ยา่ งครบถว้ นและถกู ต้อง

2. เลือกเทคนิควิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลในการประเมินหลักสูตร ที่สามารถตอบ
คาถามการประเมินหลักสูตรได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งข้ึน เช่น การใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกถึงปรากฏการณ์
ท่ีน่าสนใจว่าเกดิ ข้ึนอยา่ งไร เพราะเหตุใดจึงเกดิ ปรากฏการณ์นั้น เป็นตน้

3. ตรวจสอบวัตถุประสงค์ของการประเมินหลักสูตรและวิธีการประเมิน เพื่อให้
มั่นใจว่าสามารถตอบคาถามการประเมินได้อย่างครอบคลุม ซ่ึงถือว่าเป็นพื้นฐานการออกแบบการ
ประเมินหลักสตู ร จากนั้นจึงดาเนินการสรา้ งเครอื่ งมอื ที่ใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลต่อไป

4. ออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูลใหม้ ีความสอดคล้องกับวิธีการเก็บรวบรวมข้อมลู

5. ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลด้วยวิธีการตรวจสอบสามเส้า (triangulation)
เพือ่ ให้มัน่ ใจวา่ ขอ้ มูลเชงิ คณุ ภาพทีน่ ามาใช้ในการวิเคราะห์เพ่ือประเมนิ หลกั สูตรมคี วามถกู ต้อง

356

6. คัดเลือกคณะกรรมการการประเมินหลักสูตรที่มีความรู้ความสามารถและมี
ประสบการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับหลักสูตรท่ีประเมิน ซ่ึงทาให้มองภาพของหลักสูตรได้ชัดเจนและสามารถ
ใหข้ ้อเสนอแนะในการปรับปรงุ หลกั สตู รไดอ้ ย่างเป็นรปู ธรรม

ในเร่ืองของการตรวจสอบความถูกต้องของขอ้ มูลนนั้ ศาสตราจารย์ ดร.สุภางค์ จันทวา
นิช ได้ระบุวิธีการตรวจสอบสามเส้าในการวิจัยเชิงคุณภาพไว้ 4 วิธี ซ่ึงสามารถนามาปรับใช้กับการ
ตรวจสอบความถกู ตอ้ งของข้อมูลในการประเมินหลกั สตู ร ดงั น้ี (สุภางค์ จนั ทวานิช. 2553: 128 – 130)

1) การตรวจสอบสามเส้าด้านข้อมูล (data triangulation) เป็นการ
ตรวจสอบว่าข้อมูลท่ีได้มาน้ันถูกต้องหรือไม่ วิธีการตรวจสอบ ทาได้โดยการตรวจสอบแหล่งของข้อมูล
โดยแหล่งท่ีจะพิจารณาในการตรวจสอบ ได้แก่ ก) แหล่งเวลา หมายถึง ถ้าข้อมูลต่างเวลากัน
จะเหมือนกันหรือไม่ ข) แหล่งสถานที่ หมายถึง ถ้าข้อมูลต่างสถานท่ีกันจะเหมือนกันหรือไม่
ค) แหล่งบุคคล หมายถึง ถา้ บคุ คลผใู้ หข้ ้อมูลเปลี่ยนไปแล้ว ข้อมูลจะเหมือนเดมิ หรอื ไม่

2) การตรวจสอบสามเส้าด้าน ผู้เก็บรวบรวมข้อมูล ( investigator
triangulation)เป็นการตรวจสอบว่าผู้เก็บรวบรวมข้อมูลแต่ละคนได้ข้อมูลในประเด็นเดียวกันอย่าง
สอดคล้องกนั หรอื ไม่

3) การตรวจสอบสามเส้าด้านทฤษฎี (theory triangulation) เป็นการ
ตรวจสอบว่าถ้าใช้แนวคิดทฤษฎีท่ีต่างไปจากเดิมแล้ว จะทาให้การตีความข้อมูลแตกต่างกันหรือไม่
อยา่ งไร

4) การตรวจสอบสามเส้าด้านวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล (methodological
triangulation) เปน็ การใช้วิธีเก็บรวบรวมขอ้ มูลต่างๆ กนั เพื่อรวบรวมข้อมูลเร่อื งเดยี วกัน

357

9.5 วธิ กี ารและเครอ่ื งมอื เก็บรวบรวมข้อมูลสาหรบั การประเมินหลกั สูตร
แบบผสานวิธี

วธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มูลสาหรบั การประเมินหลกั สตู รมีหลายวิธกี าร คณะกรรมการประเมิน
หลักสูตรควรเลือกใช้วิธีการท่ีเหมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูล ซ่ึงโดยทั่วไปจะใช้วิธีการหลายๆ วิธี
เพื่อให้ได้ข้อมูลสารสนเทศท่ีครอบคลุมประเด็นและคาถามการประเมิน โดยที่วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
สาหรับการประเมนิ หลักสตู รที่ใชก้ ันโดยท่วั ไป คือ การสอบถาม การสัมภาษณ์ การสังเกต มีสาระสาคัญ
โดยสรปุ ดงั น้ี

การสอบถาม

เป็นวิธกี ารท่ีใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ในการประเมินหลักสตู รที่ใช้ได้ง่ายและรวดเร็ว
ประเดน็ การสอบถามน้นั สามารถถามได้ท้ังส่ิงที่เป็นข้อเท็จจริงและความคิดเห็นด้านต่างๆ เครื่องมือท่ีใช้
ในการสอบถามขอ้ มลู คอื แบบสอบถาม ประกอบดว้ ยขอ้ คาถามและสว่ นท่ีเป็นคาตอบ

ชนดิ ของแบบสอบถาม
1. ข้อคาถามแบบปลายปดิ
(Closed – ended Form or Structured Questionnaire)
2. ข้อคาถามแบบปลายเปดิ
(Open – ended Form or Unstructured Questionnaire

ข้อดขี องแบบสอบถาม
1. สรา้ งได้งา่ ย สะดวก รวดเร็ว
2. วเิ คราะห์คาตอบไดง้ า่ ย
3. เก็บขอ้ มูลไดจ้ านวนมากในเวลาอันรวดเรว็

358

ข้อจากัดของแบบสอบถาม
1. ใช้ไดก้ บั ผูท้ สี่ ามารถอ่านออกเขยี นได้
2. ไม่สามารถถามประเดน็ อ่นื ทน่ี อกเหนือจากขอ้ คาถามท่ีกาหนด

การสมั ภาษณ์

เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ผู้สัมภาษณ์ถามข้อมูลที่ต้องการกับผู้ให้สัมภาษณ์
การสัมภาษณ์ แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง การสัมภาษณ์แบบไม่มี
โครงสรา้ ง และการสัมภาษณแ์ บบก่ึงโครงสร้าง

สว่ นประกอบของแบบสมั ภาษณ์
1. ส่วนแรก เป็นสว่ นบันทกึ ข้อมูลเกี่ยวกับการสมั ภาษณ์ เชน่ วัน เดือน ปี
2. ส่วนที่สอง เปน็ สว่ นบันทึกขอ้ มลู รายละเอียดส่วนบุคคลของผใู้ ห้สมั ภาษณ์
3. สว่ นที่สาม เปน็ สว่ นข้อคาถามและคาตอบของการสมั ภาษณ์

หลักการสัมภาษณ์
1. การเตรียมตัวสัมภาษณ์
2. ทาความเขา้ ใจวัตถุประสงค์ของการสมั ภาษณ์ให้ชดั เจน
3. นดั หมายวัน เวลา สถานท่สี มั ภาษณล์ ว่ งหน้า
4. เตรยี มแบบสมั ภาษณไ์ วล้ ว่ งหนา้ ใหเ้ รยี บร้อย
5. ซกั ซ้อมการตัง้ คาถามรวมท้งั การจดบนั ทกึ ข้อมลู ล่วงหนา้

359

ขอ้ ดขี องการสมั ภาษณ์
1. เปน็ เทคนคิ ที่ใช้เก็บรวบรวมขอ้ มูลจากกลมุ่ ตวั อย่างทุกวยั ทส่ี ามารถสื่อสารได้
2. สามารถปรบั คาถามใหเ้ ข้าใจไดง้ ่ายข้ึนได้ทันทที ่ีดาเนนิ การเกบ็ ข้อมูล
3. ผ้ใู ห้สัมภาษณจ์ ะใหค้ วามรว่ มมอื มากกว่าวิธีการส่งแบบสอบถาม

ขอ้ จากดั ของการสมั ภาษณ์
1. ต้องใชเ้ วลาในการเก็บรวบรวมข้อมลู มาก
2. การสมั ภาษณ์ต้องใชค้ า่ ใชจ้ ่ายมากเกี่ยวกับการเดินทางไปสมั ภาษณ์

การสงั เกต

การสังเกตเป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีผู้สังเกตการณ์ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5
เกบ็ รวบรวมข้อมูล เกย่ี วกบั เหตกุ ารณ์ ปรากฏการณ์ตา่ งๆ

ประเภทของการสงั เกต
1. การสังเกตทางตรง เปน็ การสงั เกตท่ีผ้สู งั เกตอย่ใู นเหตุการณด์ ว้ ยตนเอง
2. การสังเกตทางออ้ ม เปน็ การสังเกตที่ผู้สงั เกต ไม่ไดอ้ ย่ใู นเหตกุ ารณโ์ ดยตรง
แต่จะพจิ ารณาจากสิ่งท่ถี กู บนั ทกึ มา เช่น ภาพถ่าย เทปบันทึกภาพ

วิธกี ารสังเกต
1. การสังเกตแบบมสี ่วนร่วม เปน็ การสงั เกตท่ผี ู้สงั เกตมสี ถานภาพหรอื บทบาท
เป็นสมาชกิ คนหนง่ึ ของกลุ่มบุคคลทีก่ าลังสงั เกต
2. การสงั เกตแบบไม่มีสว่ นร่วม เปน็ การสงั เกตที่ผู้สังเกตไม่ได้มสี ถานภาพ
เป็นสมาชิกของกลุ่มบุคคลทกี่ าลงั สงั เกต

360

หลกั การสงั เกต
1. มีเปาู หมายของการสงั เกตและระบุพฤติกรรมทจี่ ะสงั เกตใหช้ ดั เจน
2. ดาเนนิ การสังเกตดว้ ยความละเอียดถีถ่ ้วน
3. ทาการบันทกึ ผลการสงั เกตภายหลังการสงั เกตโดยไมเ่ ว้นช่วงระยะเวลา
ไว้นานเนื่องจากอาจลืม รายละเอยี ดท่สี าคญั
4. พยายามสังเกตให้ไดข้ อ้ มูลจานวนมาก
5. บางประเด็นอาจจะต้องสงั เกตหลายๆ คร้ังจงึ จะได้ข้อมูลที่แท้จรงิ
6. กาหนดระยะเวลาในการสังเกตให้แนน่ อน
7. วางตวั เปน็ กลางไมล่ าเอยี งในการสงั เกต

คุณสมบัติของผสู้ งั เกตทด่ี ี
1. มีความไวตอ่ การรับรู้และส่อื ความหมาย
2. มีความรู้ในเรือ่ งท่สี งั เกตเป็นอย่างดี
3. แปลความหมายของสิ่งทีส่ งั เกตไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง
4. บนั ทึกการสงั เกตไดต้ รงกบั ความเปน็ จริง
5. มคี วามละเอียดออ่ นและรอบคอบในการสังเกต
6. เปน็ คนชา่ งสังเกต
7. มคี วามยตุ ิธรรม

ข้อดขี องการสังเกต
1. ได้ข้อมูลทเ่ี ปน็ การแสดงพฤตกิ รรมในสถานการณ์ต่างๆ
2. สามารถบันทึกเหตุการณ์ พฤติกรรม ในระหวา่ งที่เกดิ เหตุการณไ์ ด้

361

ขอ้ จากัดของการสังเกต
1. การสังเกตเปน็ กระบวนการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ทใี่ ช้เวลานาน
2. การสังเกตไม่สามารถเก็บรวบรวมข้อมลู ทไี่ ม่เกิดขึน้ ในขณะทสี่ งั เกต

9.6 การจดั กระทาขอ้ มลู การวเิ คราะหข์ ้อมลู และสรุปผล

การจดั กระทาขอ้ มูล

ข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมมาได้ ถ้ายังไม่มีการจัดกระทาอย่างใดอย่างหนึ่ง ข้อมูลน้ันจะ
ยั ง ค ง เ ป็ น เ พี ย ง ข้ อ มู ล ดิ บ ยั ง ไ ม่ ส า ม า ร ถ น า ม า เ ป็ น ส า ร ส น เ ท ศ ส า ห รั บ ก า ร ป ร ะ เ มิ น ห ลั ก สู ต ร
คณะกรรมการประเมินหลักสูตรต้องนาข้อมูลน้ันมาจัดกระทา โดยการวิเคราะห์ข้อมูลและการแปล
ใหเ้ ป็นสารสนเทศทีเ่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ การประเมนิ หลักสตู ร ซ่งึ มีข้ันตอนการวเิ คราะห์ข้อมูลดังนี้

1. ตรวจสอบความถกู ต้องสมบรู ณข์ องข้อมูล
2. จัดแยกประเภทขอ้ มลู เพื่อให้งา่ ยและสะดวกในการวิเคราะห์ข้อมูล
3. เลอื กใชเ้ ทคนคิ วิธกี ารวิเคราะห์ข้อมูลท้งั เชงิ ปริมาณและเชิงคณุ ภาพใหเ้ หมาะสม

และสอดคลอ้ งกับลักษณะของข้อมูล
4. ดาเนนิ การวิเคราะหข์ อ้ มูลเชิงปริมาณ เชิงคุณภาพ และแปลความหมาย

การวิเคราะหข์ ้อมูล

การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณในการประเมินหลักสูตรส่วนมากเป็นการวิเคราะห์
ค่าสถิติพื้นฐาน เช่น ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน เป็นต้น ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูล

362

เชงิ คุณภาพ ส่วนมากเป็น การวิเคราะห์เน้ือหา (content analysis) จากการสังเกต สัมภาษณ์ เอกสาร
ต่างๆ นอกจากน้ียังมีการวิเคราะห์เพ่ือหาข้อสรุปเชิงสาเหตุและผล (cause and effect analysis)
เป็นการนาข้อมูลเชิงคุณภาพท่ีเก็บรวบรวมได้ มาวิเคราะห์ความเป็นสาเหตุและผลของปรากฏการณ์
ทเี่ กดิ ข้ึนในระหว่างการใช้หลกั สูตร รวมทง้ั ผลทเี่ กิดขึน้ จากการใชห้ ลกั สตู ร

การสรปุ ผล

การสรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลในการประเมินหลักสูตรแบบผสานวิธี มีหลักการโดยทั่วไป
คอื ตอ้ งสรุปใหส้ อดคล้องกบั ประเดน็ และคาถามการประเมิน และสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ท่ีเก็บ
รวบรวมได้ รวมท้ังให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงหลักสูตรอย่างเป็นรูปธรรมและอยู่ใน
สภาพทส่ี ามารถปฏิบตั ิไดจ้ ริง

กล่าวโดยสรุป การประเมนิ หลักสตู รแบบผสานวิธีเป็นการประเมินท่ีให้ความสาคัญกับความ
หลากหลายของข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาจากแหล่งต่างๆ ด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย เพื่อนาไปสู่การ
ลงสรุปผลการประเมินอย่างถูกต้อง และที่สาคัญคือการให้ข้อเสนอแนะสาหรับการปรับปรุงหลักสูตร
โดยมีกรอบแนวคิดการประเมินแบบผสานวิธีท่ีปรับปรุงมาจากการออกแบบการวิจัยผสานวิธีของ
Creswell and Clark (2011) ซ่ึงคณะกรรมการประเมินหลักสูตรจะต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับบริบท
ของการประเมินหลักสูตร ซึ่งเป็นไปได้ทั้งการประเมินก่อนการใช้หลักสูตร การประเมินระหว่างการใช้
หลักสูตร และการประเมินหลังการใช้หลักสูตร ท่ีใช้วิธีการเชิงปริมาณควบคู่กับวิธีการเชิงคุณภาพส่วน
การวิเคราะห์และสรุปผลการประเมินต้องสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ที่เก็บรวบรวมได้ตอบคาถาม
การประเมินครบถ้วน และใหข้ อ้ เสนอแนะท่สี รา้ งสรรค์สาหรบั การปรบั ปรุงหลกั สตู ร

363

สรุป

จากท่ีได้กล่าวมาในบทที่ 9 เรื่อง การประเมินหลักสูตรแบบผสานวิธี สรุปสาระสาคัญ
ได้ดงั ตอ่ ไปนี้

1. การประเมินหลักสูตรเป็นกิจกรรมที่มีความซับซ้อนซ่ึงเก่ียวข้องกับการรวบรวม
ข้อมูลต่างๆ ท้ังข้อมูลเชิงปริมาณ และข้อมูลเชิงคุณภาพ เพื่อให้สามารถตอบคาถามการประเมินต่างๆ
ไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง

2. การประเมินหลักสตู รแบบผสานวิธี มขี อ้ ดหี ลายประการท่ีช่วยทาให้ผลการประเมิน
มีความถูกต้องและเชื่อถือได้ สามารถนาไปปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมขี ้อมูลทั้งเชงิ ปรมิ าณและเชิงคุณภาพที่ใช้เป็นประโยชน์ในการลงสรุปผลการประเมิน มีความลึกซ้ึง
มากกว่าการใชว้ ิธีการเชงิ ปริมาณหรือวิธีการเชิงคณุ ภาพเพียงอย่างเดียวสอดคล้องกับหลักการมีส่วนร่วม
ในการประเมิน ประหยัดทรพั ยากรท่ใี ช้ในการประเมนิ หลกั สูตร

3. กรอบความคิดของการประเมินหลักสูตรแบบผสานวิธีนี้ ได้วิเคราะห์และประยุกต์
มาจากวิธีการออกแบบการวิจัยแบบผสานวิธี (mixed - method research) สามารถนามาปรับใช้กับ
การประเมินหลักสูตรได้ท้ังการประเมินก่อนการใช้หลักสูตร ระหว่างการใช้หลักสูตร และหลังการใช้
หลักสูตร

4. การประเมินหลักสูตรแบบผสานวิธีมีกลยุทธ์การประเมินเก่ียวกับการออกแบบการ
ประเมิน และการวิเคราะห์ข้อมูล คือ 1) เลือกวิธีการประเมินทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ 2) เลือก
เทคนิควิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลในการประเมินหลักสูตร 3) ตรวจสอบวัตถุประสงค์ของการประเมิน

364

หลกั สูตรและวธิ กี ารประเมนิ 4) ออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูลให้มีความสอดคล้องกับวิธีการเก็บรวบรวม
ขอ้ มลู 5) ตรวจสอบความถกู ตอ้ งของขอ้ มูล 6) คดั เลอื กคณะกรรมการการประเมนิ หลักสูตร

5. วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลสาหรับการประเมินหลักสูตรมีหลายวิธีการ ซ่ึง
คณะกรรมการประเมนิ หลกั สูตรควรเลือกใช้วิธีการท่ีเหมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูล เพ่ือให้ได้ข้อมูล
สารสนเทศท่ีครอบคลุมประเด็นและคาถามการประเมิน โดยมีการจัดกระทาข้อมูล การวิเคราะห์มูล
และสรุปผลการประเมนิ อยา่ งถกู ตอ้ งบนพื้นฐานของข้อมูลเชงิ ประจักษ์

365

บรรณานกุ รม

สุภางค์ จนั ทวานิช. (2553). วิธีการวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ. (พิมพ์ครง้ั ท่ี 18). กรงุ เทพฯ:
สานกั พมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย.

Bamberger, Michel. (2012). Introduction to Mixed Methods in Impact Evaluation.
New York: The Rockefeller Foundation.

Bamberger, Michel., Rao, Vijayendra., and Woolcock, Michel. (2010). Using Mixed
Methods in Monitoring and Evaluation. The World Bank Development
Research Group.

Creswell, John W. (2014). Research Design: Qualitative, Quantitative, and Mixed
Methods Approaches. Los Angeles: Sage Publications.

Creswell, John W., and Clark, Vicki L. Plano. (2011). Designing and Conducting Mixed
Methods Research. Los Angeles: Sage Publications.

Johnson, Burke. (2014). Educational Research: Quantitative, Qualitative, and Mixed
Approaches. Los Angeles: Sage Publications.

Plowright, David. (2011). Using Mixed Methods: Frameworks for an Integrated
Methodology. London: Sage Publications.

United States Agency International Development. (2010). “Performance Monitoring &
Evaluation Tips Conducting Mixed – Method Evaluations”. USAID from The
American People. Number 16. Retrieved November 12, 2012, from
http://transition.usaid.gov/policy/evalweb/documents/TIPS-
ConductingMixedMethodEvaluations.pdf

366

การประเมนิ หลักสูตร
ทจี่ ะทาใหไ้ ด้ข้อคน้ พบเชงิ ลกึ น้นั
ควรใช้วิธกี ารประเมินแบบผสานวิธี
เพราะทาให้ไดข้ ้อมูลทั้งเชงิ ปริมาณและเชิงคุณภาพ
ที่นาไปใชใ้ นการตัดสนิ ใจได้อยา่ งแม่นยา

367

บทที่ 10
การประเมินหลักสูตรบนฐานทฤษฎี

368

10.1 คุณค่าแทข้ องการประเมิน

10. การประเมินหลักสูตร 10.2 การประเมินหลักสตู รบนฐานทฤษฎี
บนฐานทฤษฎี

10.3 การประเมินหลกั สูตรบนฐานทฤษฎี: กรณีศกึ ษาการใช้ทฤษฎยี ู
และสุนทรยี สนทนาร่วมกับการประเมินปัจจัยกาหนด
ปจั จัยนาเขา้ กระบวนการ และผลผลิต

369

สาระสาคัญ

สาหรับในบทที่ 10 เรื่อง การประเมนิ หลกั สูตรบนฐานทฤษฎี มสี าระสาคญั ดงั ตอ่ ไปนี้

1. คุณค่าของการประเมินหลักสูตรนอกจากความถูกต้องในผลการประเมินแล้ว
การให้การยอมรับผลการประเมิน การไม่มีความขัดแย้งทางวิชาการในประเด็นท่ีเก่ียวข้องกับผลการ
ประเมิน และการนาผลการประเมินไปใช้ปรับปรุงหลักสูตร คือคุณค่าแท้ของการประเมินหลักสูตร
ทสี่ าคญั ย่ิง

2. การประเมินหลักสูตรบนฐานทฤษฎี เป็นวิธีการประเมินหลักสูตรที่เช่ือมโยงการ
ประเมนิ ปัจจยั นาเขา้ กระบวนการ และผลลัพธ์ของหลักสูตร โดยอาศัยองค์ความรู้เชิงทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้อง
มาใชใ้ นการออกแบบการประเมนิ

3. การลงสรุปผลการประเมินของคณะกรรมการประเมินหลักสูตร ท่ีอาศัยข้อมูลเชิง
ประจักษ์ต่างๆ ตามกรอบการประเมิน หากการลงสรุปผลการประเมินมีความถูกต้องตามความเป็นจริง
และมีการสื่อสารผลการประเมินด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์ ย่อมส่งผลทาให้มีการนาผลการประเมินไปใช้
ปรบั ปรุงหลักสตู รให้มคี ุณภาพสูงขึน้

4. ทฤษฎียู เป็นทฤษฎีท่ีอธิบายว่าการได้รับข้อมูลใดๆ จะไม่ด่วนตัดสิน ไม่ด่วนสรุป
ไม่ด่วนสวนกลับ แต่ให้ใช้สติและปัญญาพิจารณาข้อมูลนั้นบนพ้ืนฐานข้อมูล ข้อเท็จจริงเสียก่อน
แล้วจึงตอบสนองต่อข้อมูลท่ีรับเข้ามานั้น ซึ่งจะทาให้การคิดและการตัดสินใจต่างๆ เป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพ

370

5. สนุ ทรยี สนทนา (dialogue) เน้นการฟังอยา่ งสงบ ฟังอย่างลึกซ้ึง (deep listening)
เมอ่ื สงบและลึกแล้วจะสามารถสัมผัสความจริงได้ ทาให้เกิดปัญญา จะคิด จะพูด จะทา ส่ิงใด ย่อมผ่าน
สภาวะทางปัญญามาแลว้ จึงตรงตอ่ ความจรงิ เกดิ ประโยชน์

6. การประเมินหลักสูตรบนฐานทฤษฎียูและสุนทรียสนทนา เป็นนวัตกรรม
การประเมนิ หลักสตู รในลักษณะของกระบวนการทมี่ งุ่ เน้นการไม่ดว่ นสรุปและการส่ือสารผลการประเมิน
เชงิ สรา้ งสรรค์

371

10.1 คณุ คา่ แท้ของการประเมนิ หลักสูตร

คุณคา่ ของการประเมนิ หลักสูตรนอกจากความถูกต้องในผลการประเมินแล้ว การให้การ
ยอมรับผลการประเมิน การไม่มีความขัดแย้งทางวิชาการในประเด็นที่เก่ียวข้องกับผลการประเมิน
และการนาผลการประเมินไปใช้ปรับปรุงหลักสูตร คือคุณค่าแท้ของการประเมินหลักสูตรที่สาคัญยิ่ง
ด้วยเหตุน้ีการประเมินหลักสูตรจึงเป็นกิจกรรมสาคัญของหลักสูตรทุกระดับ ซ่ึงก่อให้เกิดการปรับปรุง
และเปล่ยี นแปลงหลกั สูตรใหม้ ีคุณภาพ

อย่างไรก็ตามการประเมินหลักสูตรหลายครั้งท่ีไม่ก่อให้เกิดการปรับปรุงและเปล่ียนแปลง
หลกั สตู ร สืบเน่ืองจากสาเหตุสาคญั หลกั คอื

1) ขาดการใชข้ อ้ มลู เชงิ ประจกั ษใ์ นการประเมนิ

2) ขาดการรายงานผลการประเมินท่ีมีประสิทธิภาพที่เปน็ ระบบ
มงุ่ รายงานผลการประเมินเป็นขน้ั สุดทา้ ยของกิจกรรมการประเมนิ

จากสาเหตุทั้งสองประการดังกล่าว เป็นส่วนหน่ึงที่ทาให้มีความขัดแย้งทางวิชาการ
เกี่ยวกับผลการประเมินเกิดข้ึนซึ่งนับว่าเป็นอุปสรรคสาคัญของการนาผลการประเมินไปปรับปรุง
และพัฒนาหลกั สูตรให้มีคุณภาพ

สิ่งท่ีเป็นความละเอียดอ่อนของการประเมินหลักสูตร ประการหน่ึงคือ การลงสรุปผลการ
ประเมินของคณะกรรมการประเมินหลักสูตร ท่ีอาศัยข้อมูลเชิงประจักษ์ต่างๆ ตามกรอบการประเมิน
หากการลงสรุปผลการประเมินมีความถูกต้องตามความเป็นจริง (ลงสรุปถูกต้อง) และมีการส่ือสาร
ผลการประเมินด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์ ย่อมส่งผลทาให้มีการนาผลการประเมินไปใช้ปรับปรุงหลักสูตร
ใหม้ คี ณุ ภาพสงู ข้นึ

372

ในทางตรงกนั ข้ามหากผลการประเมินคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง (ลงสรุปผิดพลาด)
ย่อมนามาซ่ึงเกิดความคับข้องใจของผู้ที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรทาให้เกิดความขัดแย้งต่างๆ ซ่ึงนอกจาก
การประเมินนั้นจะไม่เกิดประโยชน์แล้วยังก่อให้เกิดโทษอีกด้วย ดังน้ันคณะกรรมการประเมินหลักสูตร
ต้องไม่ด่วนสรุปผลการประเมินจากมุมมองของตนเองเพียงด้านเดียวหรือลงสรุปบนพื้นฐานข้อมูลที่ยัง
ไมส่ มบรู ณแ์ ละตอ้ งมีวิธีการส่ือสารผลการประเมินเชงิ สรา้ งสรรค์

10.2 การประเมินหลกั สูตรบนฐานทฤษฎี

ทฤษฎี (Theory) หมายถึง 1) ความคิดหรือชุดความคิดท่ีต้องการอธิบาย บรรยาย หรือ
ทานายปรากฏการณ์หรือหลักการอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งต้องมีการพิสูจน์ ในการประเมินฐานทฤษฎีหรือ
การประเมินเน้นทฤษฎี หมายถึง ชุดของข้อตกลงเบื้องต้น หลักการและหรือข้อเสนอท่ีเก่ียวข้อง
เชื่อมโยงซึ่งกันและกันเพ่ือทาหน้าท่ีอธิบายหรือช้ีนาการปฏิบัติทางสังคม (ราชบัณฑิตยสถาน. 2555:
544)

การประเมินหลักสูตรบนฐานทฤษฎี (Theory – based evaluation) เป็นวิธีการ
ประเมินหลักสูตรที่เชื่อมโยงการประเมินปัจจัยนาเข้า กระบวนการ และผลลัพธ์ของหลักสูตร
โดยอาศัยองค์ความรู้เชิงทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องมาใช้ในการออกแบบการประเมิน (White. 2009, Knaap.
2004)

ประโยชน์ของการประเมินฐานทฤษฎี คือ การทาให้ทราบผลการประเมินในเชิงลึก
ที่สะท้อนความเป็นสาเหตุและผลลัพธ์ท่ีเกิดข้ึน ตามโมเดลเชิงทฤษฎีท่ีได้ศึกษาวิเคราะห์ไว้ก่อนแล้ว
ทาให้สามารถนาผลการประเมินไปปรับปรุงหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น โมเดลเชิง
ทฤษฎีสาหรับการประเมินหลักสูตรของสถานศึกษาแห่งหนึ่ง ระบุไว้ว่า ภาวะผู้นาทางวิชาการของ

373

ผู้บริหาร ส่งผลทาใหค้ รทู างานมีคุณภาพ หากผลการประเมินได้ข้อสรุปว่า ผู้บริหารมีภาวะผู้นาทาง
วิชาการสูง และครูทางานมีคุณภาพสูง แสดงว่า โมเดลเชิงทฤษฎีท่ีกาหนดไว้มีความสอดคล้องกับ
สภาพจริงในบริบทของสถานศึกษานั้น ทาให้เกิดองค์ความรู้ว่า ภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหาร
ส่งผลทาให้ครูทางานมีคุณภาพ เป็นต้น กล่าวโดยสรุปคือ การประเมินฐานทฤษฎี สามารถทาให้เกิด
องคค์ วามรใู้ นเชงิ ทฤษฎไี ด้ด้วย

การประเมินฐานทฤษฎี มีความแตกตา่ งจากการประเมินโดยทั่วไป ตรงท่ีการมีทฤษฎีรองรับ
การออกแบบการประเมิน ซึ่งอาจได้มาจากการสังเคราะห์ผลการวิจัยต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องกับวัตถุประสงค์
ของการประเมิน สมมติกรณีตัวอย่างการประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษาแห่งหน่ึง
โดยมโี มเดลเชงิ ทฤษฎรี องรับกิจกรรมการประเมินทไ่ี ด้มาจากการสังเคราะห์ผลการวจิ ัยตา่ งๆ

เมอื่ วิเคราะห์จดุ เดน่ ของการประเมินฐานทฤษฎีแล้ว ผู้เขยี นพบว่ามจี ดุ เดน่ ดังนี้

1. เป็นการประเมินท่ีให้ความสาคัญกับความเชื่อมโยงของกิจกรรมการดาเนิน
โครงการหรอื หลกั สตู ร จากปจั จยั นาเขา้ กระบวนการ และผลผลิต บนพ้ืนฐานทฤษฎที ี่เกีย่ วขอ้ ง

2. การประเมนิ ฐานทฤษฎชี ว่ ยในการอธิบายสาเหตขุ องการประสบความสาเร็จหรือ
ล้มเหลวของโครงการได้ เน่ืองจากเป็นการประเมินเชิงระบบ (systematic evaluation) ผลการ
ประเมินปัจจัยนาเขา้ จะนาไปใชเ้ ปน็ เหตผุ ลในการอธิบายผลของการประเมินดา้ นกระบวนการในทานอง
เดียวกันผลการประเมินกระบวนการจะนาไปใช้อธิบายผลของการประเมินด้านผลผลิต ด้วยเหตุนี้
การประเมนิ ฐานทฤษฎจี งึ ช่วยทาให้ได้ขอ้ มลู สารสนเทศเก่ียวกับผลการประเมินที่เป็นระบบท่ีเอื้อต่อการ
นาไปใชป้ รบั ปรุงและพฒั นาหลักสูตรไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ

3. ผลการประเมินฐานทฤษฎีสามารถนาไปสู่องค์ความรู้เชิงทฤษฎีท่ีสืบเน่ืองจาก
ผลการประเมนิ ได้

374

10.3 กรณีศึกษา: การประเมินหลักสูตรบนฐานทฤษฎี โดยใช้ทฤษฎยี ู
และสนุ ทรยี สนทนาร่วมกับการประเมนิ ปัจจยั กาหนด ปัจจยั นาเข้า
กระบวนการ และผลผลติ

ทฤษฎยี ู (Theory U)

ทฤษฎียู (Theory U) ถูกคิดค้นข้ึนโดย Dr. C. Otto Scharmer อาจารย์อาวุโสของ
สถาบัน Massachusetts Institute of Technology (MIT) เป็นทฤษฎีที่อธิบายกระบวนการเรียนรู้
ภายในท่ีมุ่งเน้นการใช้สติใคร่ครวญพิจารณาส่ิงต่างๆ ตามความเป็นจริง การตื่นรู้อยู่กับปัจจุบัน เพ่ือให้
เกิดปัญญาในการคิดและตัดสินใจอย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นสมรรถนะหนึ่งของความเป็นผู้นา (leadership)
ในบรบิ ทของสังคมท่มี ีความขดั แย้งและความซบั ซ้อน (complexity) มากขน้ึ (Scharmer. 2009)

ทฤษฎยี มู ุ่งเนน้ การใชส้ ติพจิ ารณาข้อมลู ต่างๆ ท่บี คุ คลรบั เข้ามา (downloading) จากการ
เห็นและการฟัง ซ่ึงทาให้เกิดอารมณ์และความรู้สึกทั้งทางบวกและทางลบ โดยไม่ด่วนตัดสิน ไม่ด่วน
สวนกลับ ไม่ด่วนสรุป (suspending) แต่ใช้สติพิจารณาอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดภายในจิตใจด้วยฐานคิด
และมุมมองที่บริสุทธ์ิ (sensing with fresh eyes) และปรับเปล่ียนวิธีคิดใหม่ท่ีปราศจากอารมณ์ หรือ
ความรู้สกึ ตา่ งๆ ท่ีส่งผลกระทบต่อคุณภาพของการคิด การรับรู้อารมณ์ความรู้สึก (sensing) ของตนเอง
ว่าเป็นอย่างไร เปิดใจรับฟัง ความคิดของตนเอง ความคิดของผู้อื่น (open heart) การปล่อยวาง
(letting go) อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ให้เกิดความว่าง ดิ่งลึกไปจนกระทั่งถึงระดับจิตสานึก
(consciousness) (เน้อื หาท่ีกล่าวมาขา้ งต้น คือ ขาลงของตวั U) (Scharmer. 2009)

375

เม่ือเกิดความว่างแล้วจะทาให้จิตสานึก ซึ่งเป็นจิตระดับเหตุผล เป็นศักยภาพการคิดอย่างมี
เหตผุ ลทม่ี อี ยใู่ นทกุ คน ทางานได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ ทาใหส้ ามารถพิจารณาข้อมูลท่ีรับเข้ามานั้นอย่างมี
เหตผุ ล ไม่มีอคติ ไม่ใช้ความรู้สึก แต่ใช้สติ และปัญญาใคร่ครวญและคิดสะท้อน (retreat and reflect)
จนได้ข้อมูลบริสุทธ์ิที่ปราศจากอคติใดๆ (เนื้อหาที่กล่าวมาข้างต้น คือ ท้องของตัว U) (Scharmer.
2009)

เมื่อได้ข้อมูลบริสุทธ์ิแล้วนากลับเข้ามา (letting come) สู่กระบวนการคิด จนเกิดการ
ตกผลึก (crystallizing) ทางความคิด ปราศจากอารมณ์ความรู้สกึ และอคติใดๆ เม่ือเกิดการตกผลึกแล้ว
จึงนาไปสกู่ ารออกแบบ (prototyping) พฤติกรรมท่ีจะตอบสนองต่อข้อมูลท่ีรับเข้ามาอย่างเป็นรูปธรรม
(embodying) และในขั้นสุดท้ายคือ การแสดงพฤติกรรมออกมา เพ่ือตอบสนองต่อข้อมูลท่ีรับเข้ามา
ในขั้นตอนแรกท่ีเป็นจุดเริ่มต้นของตัว U (เน้ือหาท่ีกล่าวมาข้างต้น คือ ขาข้ึนของตัว U) (Scharmer.
2009)

นอกจากน้ี ทฤษฎียู ยังจาเป็นต้องอาศัยปัจจัยสนับสนุน 3 ประการ ซึ่งถือเป็นหลักการ
ทเ่ี ปน็ พน้ื ฐานท่สี าคญั ของการใชท้ ฤษฎยี ู ประกอบดว้ ย

1. จิตที่ตื่นรู้ (open mind) คือ การตระหนักรู้ในตนเองว่าจะไม่ด่วนสรุป ไม่ด่วน
ตัดสิน ไม่ด่วนสวนกลับ ข้อมูลต่างๆ ที่รับเข้ามา แต่ใช้การพิจารณา ด้วยปัญญาบริสุทธิ์ ซึ่ง Scharmer
ใช้คาวา่ intellectual intelligence

2. ใจทีเ่ ปดิ กว้าง (open heart) คอื การปรับเปล่ยี นความคดิ ความสนใจ โดยใช้หัวใจ
(heart) เป็นเครื่องมือการรับรู้ความคิด อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายใน (seeing with the heart)
ซง่ึ Scharmer ใชค้ าว่า emotional intelligence

376

3. เจตจานงที่มุ่งมั่น (open will) คือ ความพยายามปล่อยวางความคิด อารมณ์
ความรู้สกึ ท่เี กิดข้นึ ซึ่งปะปนอยู่กับข้อมูลท่ีรับเข้ามา ซึ่งเป็นสิ่งท่ีทาได้ยาก เช่น มีคนว่าเราไม่รับผิดชอบ
เพราะทางานช้า คนท่ีถูกต่อว่าย่อมมีความรู้สึกไม่พอใจ หรือเสียใจ เป็นต้น รวมท้ังการนาข้อมูลบริสุทธิ์
กลบั เขา้ มาสกู่ ระบวนการคดิ อกี คร้งั ความคิด อารมณ์ ความร้สู กึ ไม่พอใจ หรือเสียใจ อาจจะกลับเข้ามา
ได้อีก ดังน้ันในส่วนของเจตจานงท่ีมุ่งม่ัน จึงต้องอาศัยความมุ่งมั่นพยายามควบคุมความคิด อารมณ์
และความรู้สึกทปี่ ดิ กนั้ ความบริสทุ ธ์ิของขอ้ มลู

ทฤษฎียู เป็นทฤษฎีที่อธิบายว่าการได้รับข้อมูลใดๆ จะต้องไม่ด่วนตัดสิน ไม่ด่วนสรุป
ไม่ด่วนสวนกลับ แต่ให้ใช้สติและปัญญาพิจารณาข้อมูลน้ันบนพื้นฐานข้อมูล ข้อเท็จจริงเสียก่อน
แล้วจึงตอบสนองต่อข้อมูลที่รับเข้ามานั้น ซึ่งจะทาให้การคิดและการตัดสินใจต่างๆ เป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพ โดยมีหลักการ 3 ประการ ได้แก่ จิตที่ตื่นรู้ ใจท่ีเปิดกว้าง เจตจานงท่ีมุ่งม่ัน และขั้นตอน
การใช้ปญั ญาพิจารณาขอ้ มลู 7 ขัน้ ตอน ดังน้ี (Scharmer. 2009)

1. ฟังและเปิดรับ (holding the space) หมายถึง การเปิดใจกว้างรับรู้ข้อมูลด้วยใจ
เป็นกลาง ไมด่ ว่ นตัดสนิ

2. เฝ้าสังเกต (observing) การพิจารณาอารมณ์ ความรู้สึก หรืออคติต่างๆ ท่ีมีต่อ
ข้อมลู โดยการตง้ั คาถามกับตนเอง (ผู้ประเมิน) วา่ มอี ารมณ์ ความร้สู กึ หรืออคติ หรอื ไม่อย่างไร

3. รับรู้ (sensing) หมายถึง การรับรู้ตนเองว่ามีอารมณ์ ความรู้สึก หรืออคติต่างๆ ที่มี
ตอ่ ข้อมลู อย่างไร


Click to View FlipBook Version