427
ตาราง 11 คาอธบิ ายเชิงคุณภาพในประเด็นทเี่ กี่ยวขอ้ งกับหลักสูตรและการเรยี นรู้ (ต่อ)
ประเดน็ ท่เี กยี่ วข้องกับ คาอธิบายเชงิ คณุ ภาพ
หลกั สตู รและการเรียนรู้
การเสรมิ พลงั ครู การเสริมสร้างและสนับสนุนให้บุคคลสามารถพัฒนาศักยภาพและขีด
(teacher empowerment) ความสามารถของตนเองในการปฏิบัติงานได้อย่างต่อเน่ืองโดยการมีเสรีภาพ
ในการคิดการตัดสินใจ การลงมือปฏิบัติ มีองค์ประกอบที่สาคัญ 4 ประการ
ไดแ้ ก่ 1) การเขา้ ถงึ ข้อมูลข่าวสารและสารสนเทศ 2) ความสามารถหรือเสรีภาพ
ในการเลอื ก 3) การมสี ่วนรว่ มในการคิดและการตัดสนิ ใจ 4) ความรับผิดชอบต่อ
ผลลัพธ์ร่วมกัน โดยการเสริมพลังครูมีแนวปฏิบัติท่ีสาคัญคือ 1) เปิดโอกาสให้
บุคลากรแสดงความสามารถในการปฏิบัติงานและความคิดเห็นตลอดจนการ
ตัดสนิ ใจและการมสี ่วนรว่ มต่างๆ ในการดาเนินงานขององค์กร 2) เสริมสร้างให้
เกิดการแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสารระหว่างบุคลากรด้วยกันเองและระหว่าง
ผู้บริหารกับบุคลากร 3) ให้ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และทรัพยากรต่างๆ
ที่มีความจาเป็นต่อการปฏิบัติงานของบุคลากรแต่ละคนอย่างเหมาะสม
4) เสริมสร้างและสนับสนุนให้บุคลากรมีทักษะและกระบวนการในการทางาน
เป็นกลุ่มท่ีสามารถควบคุมและตรวจสอบการทางานด้วยตนเองอย่างมี
ประสิทธิภาพ 5) ให้บุคลากรสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและสารสนเทศ
ท่ีจาเป็นต่อการพัฒนาการปฏิบัติงานได้อย่างรวดเร็ว 6) ให้ข้อมูลย้อนกลับการ
ปฏิบัติงานแก่บุคลากร เพื่อเป็นข้อมูลสาหรับการปรับปรุงและพัฒนาการ
ทางานให้มีประสิทธิภาพสูงข้ึน 7) สร้างบรรยากาศความไว้วางใจซ่ึงกันและกัน
8) เปิดโอกาสให้บุคลากรมีโอกาสในการเลือกและกาหนดวิธีการปฏิบัติงาน
ภายในขอบเขตความรับผิดชอบของตนเองโดยอิสระ 9) ให้ความช่วยเหลือและ
บรรเทาปัญหาท่ีเกิดข้ึนซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานของบุคลากร
10) เสริมสรา้ งและสนับสนนุ บคุ ลากรให้มีความกลา้ ในการคิดและตัดสินใจอย่าง
มีเหตผุ ลและกล้าเผชิญปัญหาทท่ี า้ ทายความคดิ และความสามารถ
428
ตาราง 11 คาอธิบายเชิงคุณภาพในประเด็นทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับหลักสตู รและการเรยี นรู้ (ตอ่ )
ประเด็นทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกับ คาอธิบายเชงิ คุณภาพ
หลกั สตู รและการเรียนรู้
ชมุ ชนแห่งการเรียนรู้ การรวมกลุ่มกันของบุคคลผู้ประกอบวิชาชีพครูโดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือพัฒนา
สมรรถนะเชิงวิชาชีพ และคุณภาพของผู้เรียนร่วมกัน ผ่านกระบวนการเรียนรู้
เชิงวิชาชพี ร่วมมือร่วมใจ การเรียนรู้ประสบการณ์ การปฏิบัติงานในพื้นที่และการ
(Professional แลกเปล่ียนเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง ชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพที่มี
ประสิทธิภาพ มีคุณลักษณะดังต่อไปนี้ 1) การแลกเปล่ียนส่ิงที่มีคุณค่าและ
Learning วสิ ยั ทัศนก์ ารพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ตลอดจนการมีพันธะสัญญาร่วมกันระหว่าง
Community) ครูและผู้บริหารในการยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา 2) การมีวัฒนธรรม
ความร่วมมือร่วมใจของครูทุกคน รวมท้ังผู้บริหาร สาหรับการดาเนินกิจกรรม
ต่างๆ ในชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพโดยมีเปูาหมายเดียวกัน มีความ
รับผิดชอบร่วมกันเกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียน 3) การมุ่งเน้นการตรวจสอบ
และปรับปรุงผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ประเมินผลการเรียนรู้และนาข้อมูล
สารสนเทศจากการประเมินมาวางแผนและดาเนินการพัฒนาผู้เรียนอย่าง
ต่อเน่อื ง 4) การสนบั สนุนและแลกเปลีย่ นภาวะผนู้ า การใหค้ รูทกุ คน เปน็ ผ้นู าใน
การตัดสนิ ใจ บนพน้ื ฐานความเทา่ เทียมกัน 5) การแลกเปล่ียนประสบการณ์การ
ปฏิบัติส่วนบุคคล นาความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากการจัดการเรียนการ
สอนในชน้ั เรยี น จากการประเมนิ ตนเอง การสังเกตการจดั การเรยี นการสอนของ
เพื่อนครู และผลการประเมินต่างๆ เช่น ทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียน มา
แลกเปลีย่ นเรียนรกู้ บั เพ่อื นครูในชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ ซ่ึงการแบ่งปัน
ประสบการณ์การปฏิบัติส่วนบุคคลนี้จะช่วยทาให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนา
ความเปน็ มืออาชีพ (professional) อยา่ งต่อเนอื่ งและยง่ั ยืน
429
สรุป
จากทไ่ี ดก้ ล่าวมาในบทท่ี 11 เร่ือง การเรียนรู้ผลการประเมินหลักสูตรที่นาไปสู่การปรับปรุง
และเปลีย่ นแปลง สรปุ สาระสาคัญไดด้ ังตอ่ ไปน้ี
1. การปรับเปล่ียนความคิดและมุมมองที่มีต่อหลักสูตรและการเรียนรู้ จากการที่มี
กระบวนการทางความคิดแบบเดิมไปสู่แบบใหม่ท่ีดีกว่า ส่งผลทาให้การปรับปรุงและเปล่ียนแปลง
หลกั สูตรดาเนินไปอย่างมีประสทิ ธิภาพและประสบความสาเร็จตามเปูาหมายที่กาหนดไว้ และสอดคล้อง
กบั ผลการประเมินหลักสูตร
2. กระบวนการทางความคิดแบบใหม่ มีลักษณะเป็นแบบเปิด มองไปข้างหน้า ไม่ยึด
ติดกับวิธีการเดิมๆ พร้อมที่จะเปล่ียนแปลงไปสู่ส่ิงท่ีดีกว่า กระบวนการทางความคิดแบบใหม่
ใหค้ วามสาคัญกบั กระบวนการเรยี นรู้ ใชว้ ิธีการโคช้ และการประเมนิ ผลการเรียนรู้เพอื่ การพฒั นา
3. วิธีการปรบั เปลี่ยนกระบวนการทางความคิด หรอื mindset ของบุคลากรทาได้ตาม
ข้ันตอนดังนี้ 1) กระตุ้นความตระหนัก 2) ให้ข้อมูลคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา 3) ลงมือ
ปฏิบัตริ ่วมกัน 4) การชื่นชมความสาเรจ็ ของการเปล่ียนแปลงรว่ มกนั
4. การถอดบทเรียนเป็นกระบวนการสร้างองค์ความรู้ของผู้ปฏิบัติงาน
บนพ้ืนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ ประสบการณ์ตรง นาไปสู่การปรับปรุงและพัฒนา คาว่า “บทเรียน”
หมายถึง ความรูท้ ่ไี ดร้ บั จากการลงมอื ปฏบิ ัติงานจริงจนเกิดประสบการณ์สว่ นบคุ คล
430
5. สนุ ทรยี สนทนาเปน็ การสนทนาทีน่ าไปส่กู ารเรียนรู้ใหม่ๆ การคิดวิเคราะห์ถึงสาเหตุ
ปัจจัยต่างๆ ท่ีส่งผลต่อปริสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน อีกทั้งยังทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงจากภายใน
โดยการพูดคุยแลกเปล่ียนความรู้ ประสบการณ์ ความคิดของตนเองให้กับเพื่อนร่วมงานด้วยความ
รบั ผดิ ชอบและซื่อสัตยต์ อ่ ส่ิงท่ไี ด้นามาแลกเปลี่ยนกบั เพอ่ื นร่วมงาน
6. การทบทวนหลังการปฏิบัติเป็นการตรวจสอบประเด็นสาคัญต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ
การปฏิบัติงาน ทั้งก่อน ระหว่างและหลังการปฏิบัติ เพื่อทาให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพและ
ประสิทธิผลมากข้นึ
7. การสังเคราะห์ความรู้จากการถอดบทเรียน อาศัยกระบวนการสร้างข้อสรุป
แบบอุปนยั เป็นสาคัญ โดยมีสารสนเทศจากการถอดบทเรียนทเี่ ป็นความรตู้ า่ งๆ อยา่ งเพียงพอ
8. ภายหลังดาเนินการจัดทาข้อสรุปความรู้จากการถอดบทเรียนเก่ียวกับผลการ
ประเมินหลักสูตรแล้ว ผู้ที่เก่ียวข้องทุกฝุายจึงร่วมกันวางแผนและดาเนินการพัฒนา ปรับปรุง หรือ
เปล่ยี นแปลงหลักสตู รในประเดน็ ตา่ งๆ ให้มคี ณุ ภาพมากขน้ึ
9. คาอธิบายเชิงคุณภาพในประเด็นท่ีเกี่ยวข้องกับหลักสูตรและการเรียนรู้ สามารถ
นาไปใช้เป็นแนวทางในการกาหนดเปาู หมายความสาเรจ็ ของการปรบั ปรงุ และเปลย่ี นแปลงหลักสตู รได้
431
บรรณานกุ รม
ทิศนา แขมมณ.ี (2545). รปู แบบการเรียนการสอน: ทางเลอื กที่หลากหลาย. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์
แหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
. (2551). ลลี าการเรยี นรู้ – ลีลาการสอน = Learning – Teaching Style.
กรงุ เทพฯ: สานักพิมพแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
. (2556). ศาสตรก์ ารสอน: องคค์ วามรู้เพือ่ การจัดกระบวนการเรียนรทู้ ี่มีประสิทธิภาพ.
กรงุ เทพฯ: สานักพิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ราชบณั ฑติ ยสถาน. (2555). พจนานกุ รมศัพท์ศึกษาศาสตร์ ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน. กรุงเทพฯ:
อรณุ การพิมพ์.
วิชัย วงษใ์ หญ.่ (2554). นวตั กรรมหลักสูตรและการเรียนรู้สู่ความเป็นพลเมือง. กรุงเทพฯ: อาร์ แอนด์
เอ็น ปร้นิ .
สภุ างค์ จันทวานิช. (2553). วธิ ีการวิจัยเชิงคณุ ภาพ. (พมิ พ์ครงั้ ท่ี 18). กรงุ เทพฯ:
สานักพิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลกั สูตรแกนกลาง
การศกึ ษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตร
แหง่ ประเทศไทย.
สานกั งานคณะกรรมการการอดุ มศึกษา. (2552). กรอบมาตรฐานคณุ วุฒริ ะดบั อดุ มศึกษาแหง่ ชาติ
พ.ศ. 2552. กรุงเทพฯ: สานกั งานคณะกรรมการการอุดมศึกษา.
สานักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา, สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน. (2555).
การถอดบทเรียนการจัดกจิ กรรมพฒั นาผ้เู รียนตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษา
ข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน.
432
Ambrose, Susan A. and other. (2010). How Learning Works : 7 Research – Based
Principles for Smart Teaching. San Francisco: Josey – Bass.
Anderson, L. W, & Krathwohl, D. R. (eds.) (2001). A Taxonomy for Learning, Teaching,
and Assessing: A Revision of Bloom's Taxonomy of Educational
Objectives. New York: Longman.
Anne, Jordan., Carlile, Orison., and Stack, Annetta. (2008). Approaches to Learning:
A Guide for Teachers. Maidenhead: Open University Press.
Ashcroft, Kate., and Lee, John. (2000). Improving Teaching and Learning in the Core
Curriculum. New York: Falmer Press.
Askew, Susan. (editor). (2000). Feedback for Learning. London; New York: Routledge/
Falmer.
Benson, David J. (2008). The Standards – Based Teaching / Learning Cycle.
Colorado: The Colorado Department of Education.
Bill, Boyle. (2014). Formative Assessment for Teaching & Learning. Los Angeles:
Sage Publications.
Blanchard, John. (2009). Teaching, Learning and Assessment. Maidenhead:
Open University Press.
Bredeson, Paul V. (2003). Designs for Learning: A New Architecture for Professional
Development in Schools. Thousand Oaks, California: Corwin Press.
Caine, Geofferey., and Caine, Renate N. (2010). Strengthening and Enriching Your
Professional Learning Community: The Art of Learning Together.
Alexandria: Association for Supervision and Curriculum Development.
433
Cannon, Robert A., and Newble, David. (2000). A Handbook for Teachers in
Universities and Colleges: A Guide to Improving Teaching Methods.
London: Kogan Page.
Costa, Arthur L. (2004). Assessment Strategies for Self – Directed Learning.
Thousand Oaks, California: Corwin Press.
D’Andrea, Vaneeta., and Gosling, David. (2005). Improving Teaching and Learning:
A Whole Institution Approach. Maidenhead, England; New York: Society for
Research into Higher Education & Open University Press.
Grout, Harvey., and Long, Gareth. (2009). Improving Teaching and Learning in
Physical Education. New York: McGraw Hill.
Harlen, Wynne. (2007). Assessment of Learning. Los Angeles: Sage Publications.
Ireson, Judith. (2008). Learners, Learning and Educational Activity. London: Routledge.
James, Mary. (2006). Learning How to Learn: Tools for Schools. London: Routledge.
James, Mary., and others. (2007). Improving Learning how to Learn: Classroom,
Schools and Networks. New York: Routledge.
Kember, David. (2000). Action Learning and Action Research: Improving the Quality
of Teaching and Learning. London: Kogan Page.
Levin, Barbara B. (2001). Energizing Teacher Education and Professional Development
with Problem – Based Learning. Alexandria: Association for Supervision and
Curriculum Development.
Milton, Nick. (2010). The Lessons Learned Handbook: Practical Approaches to
Learning from Experience. Oxford: Chandos Publishing.
434
Payne, David Allen. (2003). Applied Educational Assessment. Belmont, California:
Wadsworth / Thomson Learning.
Richard, Riding. (2007). Cognitive Styles and Learning Strategies: Understanding
Style Differences in Learning and Behavior. London: D. Fulton.
Rose, David H., and Meyer, Anne. (2002). Teaching Every Student in the Digital Age:
Universal Design for Learning. Alexandria: Association for Supervision and
Curriculum Development.
Saylor, J.G., Alexander, W.M., and Lewis, Arthur.J. (1981). Curriculum Planning for
Better Teaching and Learning. New York: Holt, Rinehart and Winston.
Scott, David. (editor). (2013). Theories of Learning Volume 1: Philosophical,
Sociological and Psychological Theories of Learning. Los Angeles:
Sage Publications.
. (2013). Theories of Learning Volume 2: Models of Learning.
Los Angeles: Sage Publications.
. (2013). Theories of Learning Volume 3: Learning, Curriculum,
Pedagogy and Assessment. Los Angeles: Sage Publications.
. (2013). Theories of Learning Volume 4: Learning Dispositions,
Life – Long Learning and Learning Environments. Los Angeles:
Sage Publications.
Splisbury, M.J., and others. (2007). Lessons Learned from Evaluation: A Platform
for Sharing Knowledge. Nairobi; Kenya: United Nations Environment
Programme.
435
Stufflebeam, Daniel L. and Shinkfield, Anthony J. (2007). Evaluation Theory, Models,
& Applications. San Francisco: Jossey – Bass.
Sullivan, Paul. (2012). Qualitative Data Analysis Using a Dialogue Approach. London;
Thousand Oaks, California: Sage Publications.
Taylor, Edward W., and Cranton, Patricia. (2012). The Handbook of Transformative
Learning: Theory, Research, and Practice. San Francisco: Jossey-Bass.
The University of Sydney. (2012). Learning Pyramid. Retrieved February 24, 2012,
from http://sydney.edu.au/engineering/civil/current/undergraduate
/learning.shtml
Vickery, Anitra. (2014). Developing Active Learning in the Primary Classroom.
Los Angeles: Sage Publications.
Wragg, E.C. (2001). Assessment and Learning in the Secondary School. London;
New York: Routledge.
436
การเรียนรูผ้ ลการประเมินหลกั สตู ร
เปน็ ปจั จยั เบอ้ื งตน้ ของ
การปรบั ปรุงและเปลยี่ นแปลงหลกั สูตร
ไปสูเ่ ปา้ หมายทกี่ าหนดไว้
ซ่งึ เปน็ หนา้ ทข่ี องผู้เกี่ยวข้องกบั หลกั สูตรทกุ ฝา่ ย
437
บทท่ี 12
การปรบั ปรงุ และเปลยี่ นแปลงหลักสูตร
ภายหลงั การประเมนิ หลกั สูตร
438 12.1 การปรับปรุงและเปลย่ี นแปลงหลักสตู รแบบครบวงจร
12. การปรบั ปรงุ 12.2 การปรับปรุงและพฒั นาคณุ ภาพของหลักสตู ร
และเปล่ยี นแปลงหลกั สตู ร และการเรยี นรอู้ ยา่ งยง่ั ยืน
ภายหลงั การประเมินหลักสตู ร
12.3 ปัจจัยสนับสนนุ การปรับปรุงและเปล่ยี นแปลงหลกั สูตรอย่างตอ่ เน่ือง
12.4 กระบวนการปรับปรุงและเปล่ยี นแปลงหลักสตู ร
12.5 การปรับปรงุ มาตรฐานการเรยี นรภู้ ายหลงั การประเมนิ หลกั สตู ร
12.6 ลกั ษณะการเรียนรทู้ ี่พึงปรารถนา
12.7 การปรับปรงุ รายวิชาหรอื หนว่ ยการเรยี นร้โู ดยผู้สอน
ภายหลงั การประเมนิ หลักสตู ร
12.8 การพฒั นารายวชิ าหรอื หนว่ ยการเรยี นรู้ใหมภ่ ายหลังการประเมนิ หลกั สตู ร
12.9 การพัฒนารายวิชาเพม่ิ เตมิ ดา้ นอาชีพทีส่ อดคล้องกับท้องถิ่น
12.10 การดารงคณุ ภาพของหลกั สูตรระหว่างการใช้
439
สาระสาคญั
สาหรับในบทที่ 12 เรื่อง การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรภายหลังการประเมิน
หลกั สูตร มสี าระสาคญั ดงั ตอ่ ไปน้ี
1. เมื่อหลกั สตู รมีการประเมินอย่างครบวงจรแล้วจะทาให้มีข้อมูลสารสนเทศท่ีถูกต้อง
เช่ือถือได้สามารถนาไปปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรอย่างครบวงจรเพื่อให้หลักสูตรมีคุณภาพ
มากข้ึน ทั้งด้านเอกสารหลักสูตร ด้านการนาหลักสูตรไปปฏิบัติ และด้านการพัฒนาบุคลากรให้ใช้
หลกั สูตรได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ
2. การประเมินหลักสูตรเพ่ือยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เป็นการ
ประเมินท่ีมุ่งแสวงหาจุดแข็งและจุดที่ต้องพัฒนาของหลักสูตรใดๆ ที่ไม่มีจุดมุ่งหมายในการเลิกใช้
หลักสูตร เพ่ือนาสารสนเทศจากการประเมินมาปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรให้มีคุณภาพและยกระดับ
คุณภาพการศกึ ษาให้สูงข้ึน ซึ่งสถานศกึ ษาสามารถดาเนินการได้ด้วยตนเอง
3. ภายหลังการประเมินหลักสูตรแล้ว ภารกิจลาดับถัดไป คือ การพิจารณาตัดสินใจ
เกี่ยวกับหลักสูตร ซ่ึงการปรับปรุงและพัฒนาท่ีมีความย่ังยืนคือการปรับปรุงและพัฒนาบนฐานการวิจัย
ท่ีมีลักษณะเปน็ การวจิ ัยทเี่ ป็นวงจรของการพัฒนาดงั เช่นการวิจยั ของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั
4. การปรับปรุงและเปล่ียนแปลงหลักสูตรที่สืบเน่ืองมาจากการประเมินหลักสูตร
มี 4 ขนั้ ตอน ไดแ้ ก่ 1) ข้นั การสร้างความตระหนกั 2) ขนั้ การวางแผนการเปล่ียนแปลง 3) ข้ันดาเนินการ
เปลย่ี นแปลง 4) ขน้ั ตรวจสอบผลการเปลย่ี นแปลง
440
5. การพัฒนาอย่างต่อเน่ืองเป็นหลักการที่สาคัญที่สุดของการพัฒนาคุณภาพการ
ปฏิบัติงาน ตามวงจร PDCA ซ่ึงการปรับปรุงและเปล่ียนแปลงหลักสูตรเป็นงานท่ีสาคัญและไม่หยุดน่ิง
จาเปน็ ตอ้ งมกี ารพฒั นาอย่างต่อเนื่องใหส้ อดคล้องกับบริบททางสังคม และมมี าตรฐานตามท่กี าหนด
6. ภายหลังการประเมินหลกั สูตรแล้ว อาจมีสารสนเทศบางประการที่ทาให้จาเป็นต้อง
มีการทบทวนมาตรฐานการเรียนรู้ท่ีมีอยู่ให้มีความเหมาะสมมากข้ึน เพ่ือนาไปใช้เป็นข้อกาหนดเกี่ยวกับ
เปาู หมายและแนวทางการจดั การศึกษาท่ีมีคณุ ภาพมากขึ้น
7. ลักษณะของการเรียนรู้ท่ีพึงปรารถนา เป็นการเรียนรู้ยุคใหม่ท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรียน
พัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ เป็นการเรียนรู้แบบบูรณาการ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทั้งการ
กาหนดจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ และการประเมินผลการเรียนรู้ ใช้แหล่ง
การเรยี นรู้ท่หี ลากหลาย การประเมินทีเ่ สริมพลังตามสภาพจริง
8. การปรับปรงุ และเปลย่ี นแปลงหลกั สูตรระหว่างการใช้หลักสูตร เป็นสิ่งที่สาคัญที่ทา
ใหก้ ารใชห้ ลักสตู รมีประสิทธิภาพอย่างตอ่ เน่ือง เช่น ใช้แนวคิดของหลักสูตรแฝง (hidden curriculum)
เพ่ิมเติมเนื้อหาสาระท่ีกาลงั เป็นประเด็นความสนใจในแวดวงวชิ าชีพใหผ้ ู้เรยี นได้ศึกษา
441
12.1 การปรบั ปรุงและเปลย่ี นแปลงหลักสูตรอย่างครบวงจร
เม่ือหลกั สตู รมีการประเมนิ อย่างครบวงจรแล้วจะทาให้มีข้อมูลสารสนเทศที่ถูกต้องเช่ือถือได้
สามารถนาไปปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรอย่างครบวงจรเพ่ือให้หลักสูตรมีคุณภาพมากขึ้น
ในประเดน็ ตอ่ ไปนี้
1. ด้านการปรับปรงุ เอกสารหลักสตู ร ไดแ้ ก่
- การปรับปรุงมาตรฐานการเรยี นรู้ของหลกั สูตร
- การปรับปรงุ วตั ถุประสงคข์ องหลักสูตร
- การปรับปรุงเนือ้ หาสาระของหลกั สูตร
- การปรับปรุงแนวการจัดการเรียนการสอนของหลักสตู ร
- การปรับปรงุ สื่อ วสั ดุ อุปกรณ์ และแหลง่ การเรียนรขู้ องหลกั สตู ร
- การปรับปรงุ แนวการวัดและประเมนิ ผลของหลกั สูตร
2. ดา้ นการปรับปรุงการนาหลกั สตู รไปปฏิบตั ิ ไดแ้ ก่
- การปรบั ปรุงการวางแผนวิชาการ
- การปรบั ปรงุ การจดั การเรียนการสอน
- การปรบั ปรงุ การใช้ส่ือ วสั ดุ อุปกรณ์ และแหลง่ การเรียนรู้
- การปรับปรุงการวัดและประเมนิ ผล
- การปรบั ปรงุ บรรยากาศการเรยี นรู้
- การปรับปรุงแผนการใช้งบประมาณ
442
3. ดา้ นการพัฒนาบุคลากรใหใ้ ช้หลกั สูตรไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ได้แก่
- การพัฒนาศกั ยภาพผู้สอน
- การพฒั นาระบบการโคช้ และพีเ่ ล้ียง
- การพัฒนาชุมชนแห่งการเรยี นรเู้ ชงิ วิชาชีพ
การปรับปรุง
เอกสารหลกั สตู ร
การปรับปรงุ
และเปลี่ยนแปลง
หลกั สตู รอย่างครบวงจร
การพัฒนาบุคลากร การปรับปรุง
ใหใ้ ช้หลกั สูตร การนาหลกั สตู ร
ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ ไปปฏิบัติ
แผนภาพ 65 การปรบั ปรงุ และเปล่ียนแปลงหลกั สูตรอย่างครบวงจร
443
ในการดาเนินการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรอย่างครบวงจรน้ัน จาเป็นต้องมี
แผนการดาเนินการอย่างเป็นระบบ ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของหน่วยงานหรือองค์กร ตลอดจนกฎหมาย
ท่ีเกี่ยวข้อง เช่น จากประสบการณ์ของผู้เขียนที่ดูแลรับผิดชอบการปรับปรุงและเปล่ียนแปลงหลักสูตร
ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาการวิจัยและพัฒนาหลักสูตร ผู้เขียนจะต้องทาแผนการดาเนินการปรับปรุง
หลักสูตร และการคานวณต้นทุนของหลักสูตร เสนอต่อหน่วยงานต้นสังกัด คือ บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ ดังน้ี
แผนการดาเนนิ การปรับปรงุ หลกั สูตร
กาหนดการดาเนินการปรับปรุงหลกั สตู ร
ชอื่ หลักสตู ร วนั ที่อนุมัติ 1. กาหนด 2. กาหนด 3. กาหนด 4. กาหนด
การเสนอ
หลักสตู รเดิม หลกั สตู ร การประชมุ การประชุม การประชุม ทป่ี ระชุม
หลกั สตู รปรญิ ญา คณะกรรม
การศึกษาดุษฎบี ณั ฑติ ครง้ั สุดท้าย คณะกรรมการ และส่งหลกั สตู ร คณะกรรมการ การประจา
(สาขาการวิจยั บัณฑิต
และพัฒนาหลักสูตร) บรหิ ารหลกั สตู ร เพ่ือการวิพากษ์ บรหิ ารหลกั สตู ร วิทยาลยั
หลักสูตรทเ่ี สนอปรบั ปรงุ เพือ่ กาหนดแนว หลักสตู ร เพอื่ สรุปและ
หลักสตู รปรญิ ญา พ.ศ.2530 ทางการปรับปรงุ โดยผูท้ รงคณุ วฒุ ิ เหน็ ชอบการ
ปรชั ญาดษุ ฎบี ณั ฑติ
(สาขาการวจิ ยั หลกั สตู ร ภายนอก ปรับปรงุ หลกั สตู ร
และพัฒนาหลกั สตู ร)
ดาเนินการแล้ว ดาเนินการแล้ว ตลุ าคม พฤศจกิ ายน
2552 2552
5. กาหนด
การเสนอ 6. กาหนด 7. เสนอสานักงาน
ทีป่ ระชุม การเสนอ คณะกรรมการ
สภาวิชาการ ทป่ี ระชมุ การอุดมศกึ ษา
สภามหาวิทยาลยั เพ่อื รับทราบ
ธันวาคม มกราคม กมุ ภาพนั ธ์
2552 2553 2553
444
ตน้ ทนุ หลกั สูตรปรัชญาดุษฎบี ณั ฑิต (ปร.ด.) สาขาวชิ าการวจิ ัยและพฒั นาหลักสูตร
หมวดค่าใชจ้ า่ ย ค่าใชจ้ ่าย ยอดสะสม
(บาท) (บาทตอ่ หวั )
หมวดคา่ การจัดการเรยี นการสอน 185,280
205,866
คา่ ตอบแทนผสู้ อนภายนอก (12 หน่วยกติ x 1,200 บาทต่อชว่ั โมง x 216 ชวั่ โมง) 259,200 225,866
265,725
คา่ วสั ดปุ ระกอบการเรยี นการสอน 150,000
299,985
คา่ ครุภณั ฑท์ ่ีต้องใชส้ าหรบั นสิ ติ หนง่ึ กลมุ่ ตลอดหลกั สตู ร 70,000 299,985
300,000
ค่าใชจ้ ่ายการเรยี นรู้ ณ แหลง่ การเรยี นรภู้ ายนอกมหาวิทยาลยั 500,000
กจิ กรรมตามท่ีระบุในโครงสร้างหลกั สูตร 1,500,000
อ่ืนๆ (สาธารณูปโภค) 300,000
→ คา่ ใช้จา่ ยหมวดคา่ การจดั การเรยี นการสอนรวม 2,779,200
→ ค่าใชจ้ า่ ยต่อหัว (คา่ ใชจ้ า่ ยรวม/จานวนนสิ ติ 15 คนตอ่ รนุ่ คดิ จาก 2779200 15)
หมวดค่าใชจ้ ่ายสว่ นกลางระดบั คณะ/สถาบนั /สานกั
งบพัฒนาหนว่ ยงาน (ขน้ั ตา่ 5%) 10,293
งบวิจยั ของหน่วยงาน (ขนั้ ตา่ 5%) 10,293
หมวดค่าปรญิ ญานิพนธ/์ สารนพิ นธ์
ค่าตอบแทนกรรมการควบคมุ ปรญิ ญานิพนธ์ (อตั ราตอ่ หัว) 20,000
หมวดกองทุนพฒั นามหาวทิ ยาลัย (15%) 39,859
หมวดค่าใช้จา่ ยสว่ นกลาง
คา่ ส่วนกลางมหาวิทยาลยั (5,450 บาท x 2 ภาคการศึกษา) 10,900
ค่าธรรมเนียมหอสมดุ กลาง (3,000 บาท x 2 ภาคการศึกษา) 6,000
ค่าธรรมเนียมสานักคอมพิวเตอร์ (1,300 บาท x 2 ภาคการศึกษา) 2,600
คา่ ธรรมเนียมบณั ฑติ วทิ ยาลยั (7,380 บาท x 2 ภาคการศึกษา) 14,760
ค่าธรรมเนียมเหมาจา่ ยตลอดหลักสตู ร
คา่ ธรรมเนยี มทเ่ี รียกเกบ็ ตลอดหลกั สูตร
* ใชส้ ตู รและวธิ กี ารคานวณของมหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ พ.ศ. 2552
445
12.2 การปรับปรงุ และพัฒนาคุณภาพของหลกั สูตรและการเรียนรอู้ ยา่ งยงั่ ยืน
แนวคดิ การประเมินหลกั สูตรเพ่ือยกระดบั คุณภาพการศึกษาอยา่ งตอ่ เน่ือง
การประเมินหลักสูตรเพ่ือยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เป็นการประเมินท่ีมุ่ง
แสวงหาจุดแข็งและจุดท่ีต้องพัฒนาของหลักสูตรใดๆ ท่ีไม่มีจุดมุ่งหมายในการเลิกใช้หลักสูตร เพ่ือนา
สารสนเทศจากการประเมนิ มาปรับปรงุ และพัฒนาหลักสูตรให้มีคุณภาพและยกระดับคุณภาพการศึกษา
ใหส้ ูงขน้ึ ซ่งึ สถานศึกษาสามารถดาเนนิ การได้ด้วยตนเอง
แนวคิดของการประเมินหลักสูตรเพื่อการยกระดับคุณภาพการศึกษาน้ีได้ผสมผสานแนวคิด
3 ประการเข้าด้วยกัน คอื 1) การประเมนิ หลักสูตร 2) การถอดบทเรยี น และ 3) วงจรการพฒั นา
แนวคดิ การประเมนิ หลกั สูตร ให้ความสาคัญกบั การประเมินแบบเปน็ ทางการที่มีความ
เปน็ ระบบ ได้แก่ 1) การกาหนดวัตถุประสงค์ของการประเมิน 2) การออกแบบการประเมิน 3) การเก็บ
รวบรวมข้อมูลสาหรับการประเมิน 4) การวิเคราะห์ข้อมูลสาหรับการประเมิน และ 5) การสรุปผลการ
ประเมิน
แนวคิดการถอดบทเรียน ให้ความสาคัญกับการเรยี นร้ผู ลการประเมินในประเด็นต่างๆ
ด้วยใจเป็นกลาง วิเคราะห์ถึงเหตุปัจจัยท่ีทาให้การใช้หลักสูตรประสบความสาเร็จหรือล้มเหลว
และถอดบทเรยี นออกมาเปน็ องคค์ วามรู้ นาไปสู่การพฒั นา
แนวคิดวงจรการพัฒนา เป็นการนาผลการประเมินและสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการถอด
บทเรียนมาวางแผนการพัฒนา ดาเนินการพัฒนา ตรวจสอบผลการพัฒนา และสะท้อนผลการพัฒนา
ตามวงจร Plan Do Check Reflection ทาให้เกิดการพัฒนาหลักสูตรตามจุดเน้นที่มาจากผลการ
ประเมนิ สง่ ผลทาให้เกดิ การยกระดับคุณภาพการศึกษาอยา่ งตอ่ เนื่อง
446
จากทไ่ี ด้กล่าวถึงการประเมินประเมินหลักสูตรเพ่ือยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเน่ือง
สามารถแสดงแผนภาพช่วยการทาความเข้าใจไดด้ งั นี้
กาหนดวตั ถุประสงค์ของการประเมนิ
ออกแบบการประเมิน
เกบ็ ข้อมลู สาหรับการประเมิน
วเิ คราะหข์ ้อมลู สาหรับการประเมนิ ดาเนินการพฒั นา
สรปุ ผลการประเมนิ
ถอดบทเรยี นผลการประเมิน วางแผนการพฒั นา ตรวจสอบผลการพฒั นา
สะท้อนผลการพฒั นา
แผนภาพ 66 การประเมนิ ประเมนิ หลกั สูตรเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
447
การทรงงานของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวกับการพฒั นาอย่างยัง่ ยืน
ภายหลังการประเมินหลักสูตรแล้ว ภารกิจลาดับถัดไป คือ การพิจารณาตัดสินใจเก่ียวกับ
หลักสูตร เช่น ปรับปรุงวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ปรับปรุงรายวิชา ปรับปรุงการจัดการเรียนการสอน
ปรับปรุงการประเมินผล หรือปรับปรุงการวางแผนวิชาการและการบริหารจัดการหลักสูตร ตลอดจน
พัฒนาคุณภาพของหลกั สูตรในประเดน็ ตา่ งๆ เปน็ ต้น ซึ่งการปรับปรุงและพัฒนาท่ีมีความย่ังยืนคือการ
ปรับปรุงและพัฒนาบนฐานการวิจัย (research – based improvement and development)
ทม่ี ีลักษณะเป็นการวิจัยท่ีเป็นวงจรของการพฒั นา ดังการวิจยั ของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ ัว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้การวิจัยเป็นกระบวนการหลั กในการทรงงานแก้ไข
ปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวติ ของประชาชน พระองค์ทรงนาหลักอริยสัจสี่มาประยุกต์ใช้ในการทรงงาน
ดงั นี้
1) ทุกข์ (ปญั หาของประชาชนคืออะไรจะมีแนวทางการแกไ้ ขอย่างไร)
2) สมุทยั (เหตุปจั จยั ของปญั หาคืออะไร เหตปุ ัจจัยของความสาเร็จคืออะไร)
3) นโิ รธ (ตั้งเปา้ ประสงค์)
4) มรรค (วิเคราะหท์ างเลอื ก และดาเนินการดว้ ยกระบวนการ
Plan Do Check Evaluation Reflection)
โครงการพระราชดาริต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัวประสบความสาเร็จเป็นอย่างดี
เพราะแตล่ ะโครงการมคี วามสอดคลอ้ งกับสภาพทางภมู ิศาสตร์ เช่น ดิน นา้ ปาุ เป็นต้น และสภาพทาง
สังคมศาสตร์ เช่น คน ครอบครัว ชุมชน ขนบธรรมเนียม ประเพณี ภาษา วัฒนธรรม ความเช่ือ ค่านิยม
และการทรงงานของพระองค์ทรงใช้กระบวนการวิจัยเป็นวงจรการพัฒนา ทาให้การพัฒนาต่างๆ
ดาเนินการไปบนพ้ืนฐานขององค์ความรู้ท่ีได้จากการวิจัย ซึ่งวงจรการวิจัยในการทรงงานของพระองค์
แสดงไดด้ งั แผนภาพตอ่ ไปนี้
448
วางแผน
ปฏิบตั ิ
ประเมนิ ผล สะท้อนผล ตรวจสอบ
ปรับปรงุ แผน
ปฏิบัติ
ประเมนิ ผ สะทอ้ นผล ตรวจสอบ
ล
แผนภาพ 67 วงจรการวจิ ัยในการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั
449
การประยุกต์ใช้วงจรการวิจัยในการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เพอื่ ปรับปรงุ และพฒั นาหลักสูตรโดยดาเนนิ การตามข้นั ตอนดังตอ่ ไปนี้
ขั้นตอนท่ี 1 กาหนดประเด็นทีต่ อ้ งการปรบั ปรุงและพฒั นาหลักสูตร แล้ววิเคราะห์
ผลลัพธท์ ตี่ อ้ งการให้เกิดขน้ึ ซงึ่ อาจศึกษาได้จากคาอธิบายเชิงคุณภาพในประเด็นท่ีเกี่ยวข้องกับหลักสูตร
และการเรยี นรตู้ ามท่ไี ด้กลา่ วมาแล้ว
ขน้ั ตอนท่ี 2 วางแผนการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพ
ภูมิศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ภูมิสังคม) ของสถานศึกษา ตลอดจนข้อเท็จจริงจากผลการประเมิน
หลกั สตู ร โดยใชก้ ระบวนการมสี ว่ นรว่ มของผู้มสี ่วนเกี่ยวข้องทกุ ฝาุ ย
ขัน้ ตอนท่ี 3 ลงมอื ปฏิบัตกิ ารตามแผนอย่างเป็นระบบขัน้ ตอน บนพื้นฐานของหลัก
วชิ าการ องคค์ วามรู้ ทฤษฎี ผลการวจิ ยั และภูมปิ ญั ญา
ขัน้ ตอนท่ี 4 ตรวจสอบผลการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตร ด้วยวิธีการต่างๆ
อยา่ งหลากหลายและมปี ระสทิ ธิภาพ ใช้ขอ้ มูลเชงิ ประจกั ษ์ และใชผ้ ้ใู หข้ ้อมูลหลายฝุาย
ขัน้ ตอนที่ 5 ประเมนิ ผลการดาเนินการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตร โดยพิจารณา
จากผลการตรวจสอบอย่างมเี หตุผล มมี าตรฐานหรือเกณฑ์การประเมนิ ทช่ี ัดเจน
ข้นั ตอนท่ี 6 สะท้อนผลเพ่ือทาความเข้าใจถึงการเหตุปัจจัยสนับสนุน ปัญหา
และอปุ สรรคท่ีมีตอ่ ผลการดาเนินการ ซงึ่ จะนาไปสกู่ ารปรับปรุงแผนในการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตร
ในรอบตอ่ ไป
450
12.3 ปัจจยั สนบั สนนุ การปรับปรงุ และเปลี่ยนแปลงหลักสตู รอยา่ งต่อเนื่อง
การพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นหลักการท่ีสาคัญท่ีสุดของการพัฒนาคุณภาพการปฏิบัติงาน
Deming ได้นาเสนอวงจรคุณภาพที่เป็นท่ีรู้จักกันโดยท่ัวไป คือ วงจร PDCA (Plan Do Check
Action) ที่นาไปใช้กันอย่างแพร่หลายในสาขาวิชาชีพต่างๆ ทาให้การปฏิบัติงานมีคุณภาพขึ้นอย่าง
ต่อเนื่องตามมาตรฐานที่กาหนดไว้ การปรับปรุงและเปล่ียนแปลงหลักสูตรเป็นงานท่ีสาคัญและไม่หยุด
น่ิงจาเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเน่ืองให้สอดคล้องกับบริบททางสังคม และมีมาตรฐานตามที่กาหนด
ซ่ึงมาตรฐานต่างๆ จะมีการยกระดับมาตรฐานคุณภาพมากขึ้น แนวคิดของการพัฒนาอย่างต่อเน่ือง
ดงั กล่าว แสดงได้ดังแผนภาพตอ่ ไปนี้ Check
Do Action
Check Plan
Do Action
Check Plan
Do Action
Plan
แผนภาพ 67 แนวคิดของการพฒั นาอย่างตอ่ เน่อื ง
451
การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง (continuously
curriculum improvement and change) เปน็ หวั ใจของการพฒั นาคุณภาพการศึกษาให้มีคุณภาพ
อยู่ตลอดเวลา ท่ามกลางการเปล่ียนแปลงของสังคมและวัฒนธรรม ปัจจัยที่ทาให้การปรับปรุงและ
เปล่ียนแปลงหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ประสบความสาเร็จ คือ กระบวนการทางความคิด
(mindset) ของบุคลากร การเรียนรู้ร่วมกัน และความร่วมมือร่วมใจ ของบุคลากรและผู้เก่ียวข้อง
ภายใต้กระบวนการ Plan Do Check Action ความประสบผลสาเร็จของการปรับปรุงและ
เปล่ียนแปลงหลักสูตรอย่างต่อเนื่องมีปัจจัยสนับสนุนท่ีสาคัญคือ 1) กระบวนการทางความคิด 2) การ
เรียนรรู้ ่วมกนั 3) ความร่วมมอื ร่วมใจ 4) กระบวนการ PDCA
1) กระบวนการทางความคิด
กระบวนการทางความคิด เป็นความคิด ความเช่ือ ที่มีผลต่อมุมมองและ
พฤติกรรมของบุคคล กระบวนการทางความคิดของผู้บริหารและผู้สอนมีอิทธิพลและส่งผลต่อการ
เปล่ียนแปลงและปรับปรุงหลักสูตรเป็นอย่างมาก กระบวนการทางความคิด มี 2 ประเภท คือ
กระบวนการทางความคิดแบบปิด (fixed mindset) และ กระบวนการทางความคิดแบบเปิด
(growth mindset)
ผู้ที่มีกระบวนการทางความคิดแบบปิด หรือบางคร้ังเรียกว่าแบบตายตัว
จะไมช่ อบการเรียนรู้สิ่งใหม่ ไม่ชอบการเปล่ียนแปลง หลีกเลี่ยงปัญหาที่ท้าทายความสามารถ ส่วนผู้ที่มี
กระบวนการทางความคิดแบบเปิด จะชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ชอบการเปล่ียนแปลงที่ดีขึ้น ชอบทางาน
ทท่ี า้ ทายความสามารถ พรอ้ มเผชญิ ปญั หาและอุปสรรค
452
จากประสบการณ์การพัฒนาครูในระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐานของผู้เขียน
พบว่า โรงเรยี นทผี่ ้บู ริหารและผู้สอนมีกระบวนการทางความคิดแบบเปิด จะสามารถพัฒนาคุณภาพ
ทางด้านวชิ าการได้งา่ ยและเร็วกว่าโรงเรียนทผ่ี ูบ้ รหิ ารและผ้สู อนมีกระบวนการทางความคิดแบบปิด
เพราะชอบทจ่ี ะเรยี นรู้สิง่ ใหม่ ไมก่ ลวั งานยาก กลา้ เปลยี่ นแปลง มคี วามคิดสร้างสรรค์ ชอบพัฒนาตนเอง
มองประโยชน์ท่จี ะเกิดกบั ผ้เู รยี น
ด้วยเหตุน้ีกระบวนการทางความคิดแบบเปิด จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้
การปรับปรงุ และเปลี่ยนแปลงหลกั สตู รดาเนนิ ไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสาเร็จ น่ันคือ
กระบวนการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตร จาเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องปรับกระบวนการทางความคิด
ของบุคลากรจากแบบปดิ ให้เป็นแบบเปดิ ให้ได้ ซึ่งจะทาให้การปรับปรงุ และเปลี่ยนแปลงหลกั สูตรประสบ
ความสาเรจ็ อย่างย่งั ยืน
2) การเรียนรู้ร่วมกนั
การเรียนรู้ร่วมกัน เป็นกระบวนการสืบเสาะแสวงหาความรู้ วิเคราะห์
สังเคราะห์ วางแผน สร้างสรรค์นวัตกรรม ตัดสินใจ ปฏิบัติงาน ให้ความเคารพ ให้เกียรติ ให้ความ
ช่วยเหลอื ให้การสนบั สนุนและแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ร่วมกนั ของบุคลากรทงั้ ผู้บริหาร ผู้สอน และผู้เก่ียวข้อง
การเรียนรู้ร่วมกันระหว่างบุคลากรและผู้เกี่ยวข้อง ช่วยทาให้การปรับปรุงและเปล่ียนแปลงหลักสูตร
ดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดย Peter Sange ได้นาเสนอไว้ในหนังสือ The Fifth Discipline: The
art and practice of the learning organization ของเขาว่าการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม (team
learning) นนั้ จะทาใหอ้ งคก์ รมกี ารเรยี นรูแ้ ละพัฒนาอยา่ งต่อเน่ือง สถานศึกษาที่บุคลากรมีการเรียนรู้
ร่วมกันจะสามารถปรบั ปรงุ และเปลย่ี นแปลงหลกั สตู รและการจดั การเรียนรูไ้ ด้อยา่ งรวดเรว็ เนื่องจาก
453
การได้ระดมพลังความรู้ ความคิด และประสบการณ์ท่ีตนเองมีอยู่มาแลกเปล่ียนเรียนรู้กับบุคคลอ่ืน จน
ทาให้บุคลากรทุกคนมีความรู้ความเข้าใจมากข้ึน ได้เรียนรู้มากข้ึนทั้งสิ่งที่ผิดพลาดและส่ิงท่ีประสบ
ความสาเรจ็ อีกทัง้ ยังเปน็ ปจั จัยทท่ี าใหเ้ กดิ นวตั กรรมการปรบั ปรงุ และเปล่ยี นแปลงหลักสูตร
สาหรับรูปแบบการเรียนรู้ร่วมกันของสถานศึกษานั้น จากประสบการณ์
ของผู้เขียนที่ได้ทาวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาครู พบว่า มีหลายเทคนิควิธีการ เช่น 1) การสัมมนาบุคลากร
โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน 2) การใช้สุนทรียสนทนา 3) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างรับประทานอาหาร
กลางวันร่วมกันของบุคลากรทุกคนในสถานศึกษา 4) การประชุมสั้นๆ ของบุคลากรหน้าเสาธงก่อนเริ่ม
การจัดการเรียนรู้ในแต่ละวัน 5) การทบทวนหลังการปฏิบัติ (After Action Review) 6) การใช้ระบบ
การโคช้ (coaching) และพี่เล้ียง (mentoring)
การเรียนรู้ร่วมกันจะประสบความสาเร็จได้จาเป็นต้องอาศัยปัจจัยสนับสนุน
บางประการ ได้แก่ 1) ภาวะผู้นาทางวิชาการ (academic leadership) ของผู้บริหาร 2) ความสนใจใน
งานวิชาการของผู้สอน 3) การได้รับการสนับสนุนจากนักวิชาการ และ 4) การสนับสนุนจากผู้ปกครอง
และชุมชน อย่างไรก็ตามปัจจัยสนับสนุนท่ีสาคัญมากที่สุด คือภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหาร
ที่สามารถนาผู้สอน ผู้ปกครอง และชุมชน มาร่วมเรียนรู้เพื่อการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตร
ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ
3) ความร่วมมือรว่ มใจ
ความร่วมมือร่วมใจ เป็นปัจจัยสาคัญของความสาเร็จในการปรับปรุงและเปล่ียนแปลง
หลักสูตร เน่ืองจากการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรที่แท้จริงน้ันไม่สามารถจะทาให้สาเร็จได้ด้วย
บุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่จะต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของบุคลากรทุกฝุาย ทั้งฝุายบริหารและฝุาย
454
ปฏิบัติ ความรว่ มมือรว่ มใจ เปน็ การดาเนินการงานทางหลักสูตรและการเรยี นรู้ร่วมกันโดยมีจิตใจเป็นน้า
หน่ึงใจเดียวกนั เร่มิ ต้นจากใจทีต่ อ้ งการพัฒนาคุณภาพ ช่วยเหลือเก้ือกูลกัน ส่งเสริม สนับสนุน วางแผน
แกไ้ ขปัญหา และให้กาลังใจซึ่งกันและกัน ทาให้การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรมีพลังขับเคลื่อน
จนประสบความสาเรจ็
ความรว่ มมอื ร่วมใจในองคก์ รจะเกิดขน้ึ ได้นั้นจาเป็นตอ้ งมีปจั จัยสนบั สนนุ ดังน้ี
1. มีความยุติธรรมภายในองค์กร เนื่องจากความยุติธรรมเป็นพ้ืนฐานของคุณธรรม
ทั้งหลายและจากประสบการณ์เข้าพื้นท่ีวิจัยในโรงเรียนท่ีผ่านมาของผู้เขียนทาให้เห็นว่า หากผู้บริหาร
สถานศึกษาให้ความยุติธรรมแก่บุคลากรอย่างเท่าเทียมกันแล้ว มักจะได้รับความร่วมมือร่วมใจในการ
ทางานจากบุคลากรอย่เู สมอ
2. สัมพันธภาพท่ีดขี องบุคลากร เนอ่ื งจากการมสี มั พนั ธภาพทีด่ ีทาใหม้ กี ารฟังกัน การ
โอนอ่อนผ่อนปรน ประนีประนอม เห็นอกเห็นใจ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการทางานอย่างต่อเน่ือง และ
ทมุ่ เททางานร่วมกนั ดว้ ยความเสยี สละและเต็มใจ
3. ภาวะผู้นาของผู้บริหาร ที่สามารถนาบุคลากรให้มีแรงบันดาลใจ แรงจูงใจภายใน
พลังใจ ของบุคลากรในการร่วมมือกนั ทางาน
455
จากท่ไี ด้กลา่ วถงึ การปรบั ปรุงและเปล่ยี นแปลงหลักสูตรอย่างต่อเนอ่ื งที่มีกระบวนการทาง
ความคิดของบุคลากร การเรียนรู้ร่วมกัน และความร่วมมือร่วมใจ ของบุคลากรและผู้เกี่ยวข้อง
ภายใต้กระบวนการ Plan Do Check Action น้นั สามารถสังเคราะห์ได้เป็นรูปแบบการปรับปรุงและ
เปล่ยี นแปลงหลักสูตรอยา่ งตอ่ เน่ืองไดด้ งั แผนภาพตอ่ ไปน้ี
Plan
Action Do
Check
กระบวนทางความคิดแบบเปิด
แผนภาพ 68 รปู แบบการปรบั ปรงุ และเปลยี่ นแปลงหลักสตู รอยา่ งตอ่ เน่ือง
ท่มี า: การถอดบทเรียนจากประสบการณพ์ ฒั นาครูทางด้านหลกั สตู รและการจดั การเรยี นรู้
ระหว่างปี พ.ศ. 2550 – 2558
456
12.4 กระบวนการปรับปรงุ และเปลยี่ นแปลงหลกั สตู ร
การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรที่สืบเนื่องมาจากการประเมินหลักสูตรมี 4 ขั้นตอน
ได้แก่ 1) ข้ันการสร้างความตระหนัก 2) ขั้นการวางแผนการเปล่ียนแปลง 3) ขั้นดาเนินการ
เปลย่ี นแปลง 4) ขน้ั ตรวจสอบผลการเปลยี่ นแปลง โดยแตล่ ะขั้นตอนมขี อบข่ายการดาเนนิ การดงั น้ี
ขัน้ ตอนท่ี 1 การสร้างความตระหนัก
- กระตุ้นใหเ้ หน็ ความสาคญั ของการเปลี่ยนแปลง
- สรา้ งแรงบนั ดาลใจและแรงปรารถนาในการเปลี่ยนแปลง
- สรา้ งความสนใจและความต้องการเปลย่ี นแปลง
- แสวงหาความรว่ มมอื ในการเปล่ียนแปลง
ขั้นตอนท่ี 2 การวางแผนการเปล่ยี นแปลง
- แสวงหาแนวทางการเปลยี่ นแปลงจากผูเ้ ก่ยี วข้องและผ้เู ชี่ยวชาญ
- พฒั นาแผนการเปลย่ี นแปลงสอดคลอ้ งกับผลการประเมนิ
- ประเมนิ ความเหมาะสมและความเป็นไดข้ องแผนการเปลี่ยนแปลง
- สรา้ งฉนั ทามติในการดาเนินการเปล่ยี นแปลง
- ทดลองนาร่องการเปลย่ี นแปลงตามแผนที่กาหนดและประเมินผล
เพอ่ื ขยายขอบเขตการเปล่ยี นแปลง
ข้ันตอนที่ 3 การดาเนินการเปลี่ยนแปลง
- ปฏิบตั กิ ารเปล่ียนแปลงตามแนวทางและแผนทก่ี าหนดไว้
- ประเมนิ ติดตามผลการเปล่ียนแปลงเปน็ ชว่ งระเวลา
- ปรับปรงุ การปฏิบัติการเปล่ียนแปลงบนพนื้ ฐานของผลการประเมนิ
- แลกเปลีย่ นเรียนร้ผู ลการปฏิบัติการเปลยี่ นแปลงอย่างตอ่ เนื่อง
457
ข้ันตอนที่ 4 การประเมนิ ผลการเปล่ียนแปลง
- ตรวจสอบความสาเรจ็ ของปฏิบตั กิ ารเปลยี่ นแปลง
- ถอดบทเรียนความสาเรจ็ ของปฏิบัติการเปลยี่ นแปลง
- แลกเปลี่ยนเรยี นรูเ้ กี่ยวกบั การดารงรักษาคุณภาพอย่างต่อเนอื่ ง
12.5 การปรับปรุงมาตรฐานการเรยี นรภู้ ายหลงั การประเมนิ หลกั สตู ร
ภายหลังการประเมินหลักสูตรแล้ว อาจมีสารสนเทศบางประการท่ีทาให้จาเป็นต้องมี
การทบทวนมาตรฐานการเรียนรู้ท่ีมีอยู่ให้มีความเหมาะสมมากขึ้น เพื่อนาไปใช้เป็นข้อกาหนดเก่ียวกับ
เป้าหมายและแนวทางการจัดการศึกษาท่ีมีคุณภาพมากข้ึน ซึ่งมาตรฐานการเรียนรู้ท่ีดีมีลักษณะ
ดงั ตอ่ ไปน้ี
1. ระบสุ ่งิ ท่คี าดหวังวา่ ผูเ้ รยี นสามารถปฏบิ ัติได้
2. มอี งคค์ วามรู้เชิงทฤษฎี โครงสร้างความรูห้ รือผลการวิจยั สนบั สนนุ
3. เป็นสง่ิ ท่ีต่อยอดความสาเร็จจากเดิมไปสสู่ ่ิงทีท่ ้าทาย
4. ยืดหย่นุ สาหรับการเลอื กใช้วิธีการจดั การเรยี นการสอน กจิ กรรมการเรียนรู้
และการประเมินผล
5. มีความเหมาะสมกับระดับความสามารถของผเู้ รียน
458
6. สอดคลอ้ งกับบริบททางสังคมและวฒั นธรรมของผู้เรยี น
7. มาจากการวเิ คราะหแ์ ละการใชว้ ิจารณญาณจากผู้เกีย่ วข้องทุกฝุาย
รวมทัง้ ผู้เชย่ี วชาญเฉพาะดา้ น
8. มกี ารศกึ ษาวิจัยขณะนาไปปฏิบตั ิเพ่อื นาไปสกู่ ารปรบั ปรงุ และเปลย่ี นแปลง
ใหม้ คี วามเหมาะสมกับบรบิ ทของการจัดการศกึ ษา
คณุ ภาพของผ้เู รียนในสังคมอนาคต
คุณภาพของผู้เรียนในสังคมอนาคตที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
จาแนกตามจุดมุ่งหมายของการศึกษาด้านการรู้คิด ด้านทักษะ และด้านเจตคติ ท่ีควรสะท้อนอยู่ใน
มาตรฐานการเรยี นรู้ มีดังตอ่ ไปน้ี
1. ด้านการร้คู ิด
- การคิดวเิ คราะห์
- การคดิ สงั เคราะห์
- การคิดประเมนิ ค่า
- การคิดสร้างสรรค์
- การคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ
- การคิดแก้ปญั หาอย่างสรา้ งสรรค์
459
2. ดา้ นทักษะ
- ทักษะภาวะผนู้ า
- ทักษะการใชช้ ีวิต
- ทักษะการเรียนร้สู ่งิ ใหม่
- ทักษะการสรา้ งสรรค์นวัตกรรม
- ทกั ษะการส่อื สารอยา่ งสร้างสรรค์
- ทักษะการทางานร่วมกบั บคุ คลอื่น
- ทกั ษะการสร้างความรว่ มมือในการทางาน
- ทกั ษะการสืบเสาะแสวงหาความร้แู ละการวิจัย
- ทักษะการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สาร
- ทักษะการทางานท่ามกลางความแตกต่างทางสงั คมและวัฒนธรรม
3. ดา้ นเจตคติ
- รกั การเรียนรู้
- มีจติ อาสาและจติ สาธารณะ
- ซอ่ื สัตยท์ งั้ ต่อตนเองและผอู้ นื่
- เคารพสิทธิและศกั ดิ์ศรีของบุคคลอืน่
- รบั ผิดชอบต่อตนเองและสงั คมทุกระดับ
- รกั และภาคภูมิใจในรากเหง้าบรรพบรุ ษุ ของตนเอง
460
12.6 ลกั ษณะของการเรยี นรู้ทพี่ งึ ปรารถนา
ลักษณะของการเรียนรู้ที่พึงปรารถนา เป็นการเรียนรู้ยุคใหม่ท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรียนพัฒนา
ตนเองได้เต็มตามศักยภาพ เป็นการเรียนรู้แบบบูรณาการ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทั้งการกาหนด
จุดประสงค์การเรียนรู้ การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ และการประเมินผลการเรียนรู้ ใช้แหล่งการ
เรียนรู้ท่ีหลากหลาย การประเมินที่เสริมพลังตามสภาพจริงท่ีผู้เรียนประเมินตนเองและเรียนรู้ผลการ
ประเมนิ น้นั ไปสู่การพฒั นาอย่างต่อเน่ือง โดยให้ความสาคัญกับการประเมินเพ่ือการปรับปรุงและพัฒนา
มากกว่าการประเมินเพือ่ ตัดสินระดับผลการเรียนเทา่ น้นั ตลอดจนมกี ารสะท้อนผลเพื่อการพัฒนาผู้เรียน
ในด้านกระบวนการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ ให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ท่ีกาหนดไว้ มีรายละเอียด
ดงั ตารางตอ่ ไปน้ี
ตาราง 12 ลักษณะของการเรยี นร้ทู ีพ่ ึงปรารถนา
ประเดน็ การเรียนรทู้ พี่ งึ ปรารถนา
ภาพรวมของการเรียนรู้
- บรู ณาการความรู้ ทกั ษะ คณุ ลักษณะ กระบวนการเรยี นรู้ และกจิ กรรมการเรียนรู้
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ - ให้ความสาคญั กับกระบวนการเรยี นร้มู ากกวา่ ผลผลติ ของการเรยี นรู้
- ใหค้ วามสาคญั กบั ผ้เู รยี นในด้านความตอ้ งการ และระดบั ความสามารถ
- ผเู้ รยี นได้เรยี นรรู้ ว่ มกับบุคคลอืน่ ท่ีมคี วามหลากหลายทางความคิด ความเช่อื
- บูรณาการความรู้ ทกั ษะ คุณลักษณะ กระบวนการเรียนรู้ และกิจกรรมการเรยี นรู้
- สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยยืดหยุน่ ไปตามระดับความสามารถของผเู้ รียนแตล่ ะคน
- ผู้เรยี นมสี ว่ นรว่ มในการกาหนดให้สอดคลอ้ งกับศกั ยภาพของตน
- สอดคลอ้ งกับมาตรฐานการเรยี นรู้
- สอดคล้องกับบริบทของชมุ ชนและสังคม
461
ตาราง 12 ลกั ษณะของการเรยี นรทู้ ่พี งึ ปรารถนา (ตอ่ )
ประเด็น การเรียนรู้ทีพ่ ึงปรารถนา
กจิ กรรมการเรยี นรู้
แหล่งการเรียนรู้ - ผู้เรยี นมีส่วนร่วมออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรทู้ ่ีตนเองตอ้ งการตามความสนใจ
- ผูเ้ รียนลงมือปฏบิ ตั ิการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองและสบื เสาะแสวงหาความรดู้ ว้ ยวิธีการต่างๆ
การประเมนิ ผลการเรียนรู้ - ผเู้ รียนปฏิบัตกิ ิจกรรมการเรียนรู้เพอ่ื พฒั นาการร้คู ดิ ทักษะ และคุณลักษณะตา่ งๆ
- ผู้เรียนแลกเปลีย่ นเรยี นรกู้ ับบคุ คลอ่ืน และถอดบทเรียนเปน็ การเรียนรูข้ องตนเอง
- ผู้เรียนได้เรยี นรู้จากแหลง่ เรยี นร้ทู หี่ ลากหลาย ดังนี้
- หนงั สือแบบเรียน เอกสารทางวชิ าการในสาขาวชิ าชีพตา่ งๆ งานวจิ ยั
- พอ่ แม่ ผู้ปกครอง ครภู มู ิปัญญา ปราชญช์ าวบ้าน ผปู้ ระกอบการ เกษตรกร
- หอ้ งสมดุ พพิ ิธภัณฑ์ สถานท่ีสาคญั แหลง่ ทอ่ งเท่ียว สนามกีฬา วดั โบสถ์ มสั ยดิ
- แหลง่ รวบรวมศลิ ปวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี อาชีพท้องถน่ิ
- ระบบอนิ เทอรเ์ นต็ และระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารแบบอื่นๆ
- แหล่งการเรียนรชู้ ว่ ยกระตุน้ แรงบันดาลใจในการเรยี นรตู้ ่อยอดสกู่ ารประกอบอาชีพ
- แหลง่ การเรียนรชู้ ่วยสร้างเจตคตแิ ละค่านิยมอนั ดงี ามใหก้ ับผเู้ รียน
- มงุ่ เน้นประเมินเพอ่ื การปรบั ปรุงและพฒั นา มากกวา่ การประเมนิ เพือ่ การพิสจู น์
- ใช้วิธกี ารประเมนิ ทเ่ี สริมพลังตามสภาพจรงิ ทสี่ อดคลอ้ งกับบริบทของการเรียนรู้
- มงุ่ เน้นใหผ้ ู้เรยี นประเมนิ ตนเองและเรยี นรู้ผลการประเมนิ เพือ่ นาไปพฒั นาตนเอง
- ผเู้ รยี นมสี ว่ นร่วมในการออกแบบการประเมินและการประเมนิ การเรยี นรู้
- ใชว้ ธิ ีการประเมินทหี่ ลากหลายสอดคล้องกับกิจกรรมการเรยี นร้แู ละบริบทต่างๆ
- ประเมนิ หลายชว่ งเวลาอย่างตอ่ เนือ่ ง กอ่ นเรียน ระหว่างเรียน หลังเรยี น
- ประเมนิ วินจิ ฉยั ความเขา้ ใจที่คลาดเคลอื่ นของผเู้ รียนแลว้ ดาเนินการชว่ ยเหลือ
462
ตาราง 12 ลักษณะของการเรียนรู้ทพี่ งึ ปรารถนา (ต่อ)
ประเด็น การเรยี นรูท้ ่ีพงึ ปรารถนา
การสะทอ้ นผลการเรียนรู้
- สะทอ้ นการใช้กระบวนการเรยี นรูข้ องผูเ้ รยี นรายบุคคลเพื่อให้ผเู้ รยี นสามารถ
ใช้กระบวนการเรียนร้ไู ดด้ ีขึ้น เช่น กระบวนการสบื เสาะแสวงหาความรู้ เป็นต้น
- สะท้อนคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ของผเู้ รียนทเี่ ป็นจดุ เด่นและจดุ ท่คี วรพฒั นา
- สะท้อนระดบั การบรรลจุ ดุ ประสงคก์ ารเรียนร้ใู นด้านความรู้ ทกั ษะ และคุณลักษณะ
- สะทอ้ นแนวทางการปรับปรุงและพัฒนาต่อยอดใหก้ บั ผเู้ รยี นโดยใช้วธิ กี ารกระตนุ้
แรงจงู ใจภายใน (inner motivation)
463
12.7 การปรบั ปรุงรายวิชาหรือหนว่ ยการเรยี นรโู้ ดยผสู้ อน
ภายหลงั การประเมินหลกั สูตร
ภายหลังการประเมินหลักสูตรแล้ว อาจมีสารสนเทศบางประการที่ทาให้จาเป็นต้องมี
การปรับปรุงรายวิชาหรือหน่วยการเรียนรู้โดยผู้สอน เพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ทักษะ
ความสามารถ หรือคุณลกั ษณะตา่ งๆ ทีส่ อดคลอ้ งกบั บรบิ ทของสังคมทเ่ี ปลย่ี นแปลงไป ซึ่งผู้สอนสามารถ
ดาเนินการปรับปรุงได้ด้วยตนเองเน่ืองจากรายวิชาหรือหน่วยการเรียนรู้ได้มีการดาเนินการจัดการเรียน
การสอนมาแล้ว โดยมขี ัน้ ตอนดังตอ่ ไปน้ี
1. วิเคราะห์ผลการเรียนร้ขู องผเู้ รียน
2. วิเคราะหค์ วามต้องการของผู้เรยี น
3. วิเคราะห์ระดับความสามารถของผเู้ รยี น
4. วิเคราะห์คณุ ภาพของกระบวนการเรียนรู้
5. วเิ คราะหค์ ณุ ภาพของส่อื วัสดุ อุปกรณ์ และแหล่งการเรยี นรู้
6. วิเคราะห์คณุ ภาพของการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้
7. วิเคราะห์บรบิ ททางสงั คมและวฒั นธรรมทมี่ อี ิทธพิ ลตอ่ การเรียนรู้
8. ปรบั ปรุงรายวชิ าหรือหน่วยการเรยี นรู้
9. นาไปใชค้ วบค่กู ับการประเมนิ และปรับปรงุ อยา่ งต่อเน่ือง
464
วิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ของผู้เรียน
วิเคราะหค์ วามต้องการของผเู้ รยี น
วเิ คราะหร์ ะดับความสามารถของผเู้ รยี น
วิเคราะหค์ ุณภาพของกระบวนการเรียนรู้
วเิ คราะหค์ ุณภาพของสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ และแหล่งการเรยี นรู้
วเิ คราะหค์ ณุ ภาพของการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้
วเิ คราะหบ์ ริบททางสงั คมและวฒั นธรรมท่ีมอี ทิ ธพิ ลตอ่ การเรียนรู้
ปรับปรงุ รายวชิ าหรอื หน่วยการเรยี นรู้
นาไปใชค้ วบคกู่ ับการประเมนิ และปรบั ปรงุ อย่างตอ่ เนอื่ ง
แผนภาพ 69 ขั้นตอนการปรบั ปรงุ รายวิชาหรือหน่วยการเรียนรูโ้ ดยผ้สู อน
465
12.8 การพฒั นารายวิชาหรือหนว่ ยการเรยี นรใู้ หมภ่ ายหลังการประเมิน
หลักสตู ร
ภายหลังการประเมินหลักสูตรแล้ว อาจมีสารสนเทศบางประการที่ทาให้จาเป็นต้องมี
การพัฒนารายวิชาหรือหน่วยการเรียนรู้ใหม่ๆ ขึ้นมา เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ทักษะ
ความสามารถ หรือคุณลักษณะต่างๆ ท่ีสอดคล้องกับบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป นักพัฒนา
หลกั สูตรจงึ ดาเนินการพฒั นารายวชิ าหรอื หนว่ ยการเรยี นรู้ใหมข่ ้ึน โดยมขี นั้ ตอนดงั ตอ่ ไปนี้
1. วเิ คราะหค์ วามสาคญั จาเปน็ และประโยชน์ของรายวิชาหรอื หน่วยการเรียนรู้
ท่ีมีต่อผู้เรียน
2. วิเคราะห์ความต้องการของผเู้ รียนท่มี ตี อ่ การเรยี นรายวชิ าหรือหน่วยการเรยี นรู้
3. กาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ของรายวิชาหรือหน่วยการเรยี นรู้
4. ออกแบบกิจกรรมการเรียนรูท้ ่ีสอดคล้องกบั จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
5. คัดเลือกสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ และแหลง่ การเรียนรู้
6. ออกแบบการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้
7. จดั ทาแนวทางการจดั การเรียนการสอนให้กับบุคลากรท่ีต้องนารายวิชา
หรอื หนว่ ยการเรียนรู้ไปดาเนินการ
8. ตรวจสอบคณุ ภาพของรายวชิ าหรือหนว่ ยการเรียนรโู้ ดยผู้เช่ยี วชาญ
466
วเิ คราะหค์ วามสาคญั จาเป็นและประโยชน์
วเิ คราะหค์ วามต้องการของผเู้ รยี น
กาหนดจุดประสงคก์ ารเรียนรู้
ออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู้
คัดเลอื กส่อื วัสดุ อปุ กรณ์ และแหลง่ การเรยี นรู้
ออกแบบการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้
จดั ทาแนวทางการจดั การเรยี นการสอน
ตรวจสอบคณุ ภาพโดยผู้เช่ยี วชาญ ปรับปรงุ แก้ไข (ถา้ ม)ี
นาไปใช้ควบคกู่ ับการประเมินและปรบั ปรุงอยา่ งต่อเนื่อง
แผนภาพ 70 ขน้ั ตอนการพัฒนารายวชิ าหรือหน่วยการเรยี นรู้ขึ้นใหม่จากทีม่ ีอย่ใู นหลักสตู รเดมิ
467
12.9 การพัฒนารายวิชาเพ่ิมเตมิ ดา้ นอาชีพที่สอดคลอ้ งกับท้องถ่นิ
การพัฒนารายวิชาเพ่ิมเติมด้านอาชีพท่ีสอดคล้องกับท้องถิ่น มีข้ันตอนการดาเนินการ
ดงั ตอ่ ไปนี้
ขนั้ ตอนท่ี 1 การศึกษาวิเคราะห์ความต้องการของผู้เรียนเก่ียวกับความต้องการ
พฒั นาศักยภาพความเปน็ เลศิ ด้านอาชีพท้องถ่ิน ทส่ี อดคล้องกับบริบทของสถานศึกษาและชุมชน โดยใช้
วิธกี ารทีห่ ลากหลาย เชน่ การสารวจความตอ้ งการของผูเ้ รยี น การสมั ภาษณ์ผู้เรยี น เป็นตน้
ข้ันตอนที่ 2 การจัดทารายวิชาอาชีพท้องถิ่นท่ีตอบสนองความต้องการของผู้เรียน
โดยอาศัยหลักการมีส่วนร่วมของครู ผู้ปกครอง ชุมชน ประกอบด้วย ชื่อรายวิชา จานวนหน่วยกิต
เวลาเรียน คาอธิบายรายวิชา โครงสร้างรายวิชา ผลการเรียนรู้ เน้ือหาสาระ แผนการจัดการเรียนรู้
การวัดและประเมนิ ผล สอ่ื และแหล่งเรียนรู้ เกณฑ์การผ่านรายวิชา และผ่านการตรวจสอบคุณภาพของ
รายวิชา โดยบุคคลทม่ี ีความรูแ้ ละประสบการณใ์ นอาชีพทจี่ ัดทารายวชิ า
ขนั้ ตอนท่ี 3 การบรรจุรายวิชาไว้ในหลักสูตรสถานศึกษา โดยความเห็นชอบของ
คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ท้ังน้ีเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
ซ่ึงทาได้ 2 วิธี ได้แก่ 1) การบูรณาการเข้ากับสาระการเรียนรู้พ้ืนฐาน และ 2) การกาหนดให้เป็นสาระ
การเรยี นรูเ้ พิ่มเติม
ข้นั ตอนที่ 4 การจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ (lesson plan) ที่สอดคล้องกับ
โครงสร้างรายวิชา และมีองค์ประกอบสาคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ครบถ้วน ได้แก่ ผลการเรียนรู้
เนือ้ หาสาระ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อและแหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผล พร้อมท้ังเคร่ืองมือสาหรับ
การประเมนิ ผลทีม่ คี วามสมบรู ณ์
468
ข้ันตอนที่ 5 การดาเนินการจัดการเรียนรู้ โดยเน้นการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง
มากกว่าการเรียนรู้จากหนังสือหรือเอกสาร เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดทักษะและความสามารถในอาชีพท่ีเรียน
ให้ความสาคัญกับการสร้างสรรค์ (create) มากกว่าการลอกเลียนแบบ (copy) มีการประเมินผล
การเรียนรู้แบบก้าวหน้า (formative evaluation) รวมท้ังการประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง
(authentic assessment) และนาผลการประเมินมาพัฒนาผู้เรียน นอกจากนี้ผู้สอนยังต้องทาวิจัย
เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ในลักษณะการวิจัยในงานประจา (R to R : Routine to Research)
อีกด้วย ซึ่งจะส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเป็นเลิศด้านอาชีพอย่างแท้จริง ในข้ันตอนการจัดการเรียนรู้นี้
สถานศึกษาควรมีการนิเทศ ติดตาม โดยใช้ระบบพ่ีเล้ียง (mentoring) หรือการสอนงาน (coaching)
การจัดการความรู้ (knowledge management) พัฒนาเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ
(professional learning community) ท่ีมีภูมิปัญญา (wisdom) เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการจัดการ
เรียนรอู้ ย่างตอ่ เนื่อง
ขนั้ ตอนที่ 6 การประเมินผลการเรียนรู้รวบยอด (summative evaluation) และ
ตัดสินผลการเรียน โดยให้ความสาคัญกับผลการเรียนรู้ด้านทักษะและความสามารถในอาชีพ รวมทั้ง
นิสยั รักการทางาน (work habits) ตลอดจนจรยิ ธรรมในการทางาน (work ethics) ของผเู้ รียน
ข้ันตอนที่ 7 การรายงานผลการเรียนเมื่อสิ้นสุดภาคการศึกษาต่อฝุายวิชาการ
ของสถานศึกษา พร้อมกับการรายงานผลการเรียนรายวิชาอ่ืน โดยผลการเรียนรายวิชาอาชีพท้องถ่ิน
ที่ผู้เรียนได้รับ จะถูกนาไปคานวณเป็นจานวนหน่วยกิต และระดับผลการเรียนเฉล่ีย (GPA) ของ
การศึกษาในหลกั สูตร
ข้ันตอนการขับเคลื่อนกรอบแผนการจัดการศึกษาตลอดชีวิตมุ่งสู่ความเป็นเลิศด้านอาชีพ
ทอ้ งถน่ิ ดงั ทก่ี ล่าวมา แสดงไดด้ ังแผนภาพต่อไปนี้
469
ข้นั ตอนท่ี 1
การศึกษาวิเคราะห์ความต้องการของผูเ้ รยี น
ขั้นตอนท่ี 2
การจดั ทารายวชิ าด้านอาชพี ท้องถนิ่ ทตี่ อบสนองความต้องการของผเู้ รยี น
ขน้ั ตอนที่ 3
การบรรจุรายวชิ าไวใ้ นหลักสตู รสถานศกึ ษา 2 วธิ ี
ได้แก่ 1) การบูรณาการเข้ากบั สาระการเรยี นรู้พน้ื ฐาน
และ 2) การกาหนดใหเ้ ปน็ สาระการเรยี นรูเ้ พ่มิ เตมิ
ข้ันตอนที่ 4
การจัดทาแผนการจดั การเรียนรู้ (lesson plan)
ข้นั ตอนที่ 5
การดาเนินการจัดการเรยี นรู้ โดยเนน้ การเรยี นร้จู ากการปฏิบตั จิ ริง
การประเมินแบบกา้ วหน้า การประเมินตามสภาพจรงิ
ทาวิจยั ในงานประจาเพ่ือพัฒนาการเรยี นรู้ ชมุ ชนแหง่ การเรยี นร้เู ชงิ วชิ าชีพ
ขัน้ ตอนท่ี 6
การประเมนิ ผลการเรยี นรรู้ วบยอด และตดั สนิ ผลการเรียน
ข้ันตอนท่ี 7
การรายงานผลการเรยี นเมอื่ สน้ิ สดุ ภาคการศกึ ษาต่อฝุายวิชาการ
แผนภาพ 71 ข้ันตอนการพฒั นารายวชิ าเพิม่ เตมิ ด้านอาชพี ท่สี อดคลอ้ งกับทอ้ งถ่นิ
470
12.10 การดารงคณุ ภาพของหลักสูตรระหว่างการใช้
การปรบั ปรงุ และเปล่ียนแปลงหลกั สตู รระหว่างการใช้หลักสูตร เป็นสิ่งท่ีสาคัญท่ีทาให้การใช้
หลักสูตรมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เช่น ใช้แนวคิดของหลักสูตรแฝง (hidden curriculum)
เพ่ิมเติมเน้ือหาสาระที่กาลังเป็นประเด็นความสนใจในแวดวงวิชาชีพให้ผู้เรียนได้ศึกษา โดยท่ีเนื้อหาน้ัน
ไมไ่ ดถ้ กู บรรจไุ วใ้ นเอกสารหลกั สตู ร
องค์ประกอบและตัวบ่งชี้ของวิธีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรระหว่างการใช้
หลกั สตู รอย่างต่อเน่ือง (continuous curriculum improvement) มดี งั ต่อไปน้ี
1. การใชห้ ลกั สูตร
- ปรับปรงุ เนอ้ื หาสาระใหเ้ ปน็ ปัจจบุ นั
- ตรวจสอบประสิทธิภาพของการใช้งบประมาณ
- ตรวจสอบประสิทธภิ าพการบริหารจดั การหลกั สตู ร
- ตรวจสอบกระบวนการเรยี นรู้ของผเู้ รียนอย่างตอ่ เนอ่ื ง
- สารวจตรวจสอบวัสดุ อุปกรณ์ สื่อ ให้เพียงพอและพร้อมใช้
- ติดตามพัฒนาการของผเู้ รยี นท้งั ดา้ นความรู้ ทกั ษะ และเจตคติ
- แสวงหาทุนทางสงั คม (social capital) สนับสนนุ การจัดการศกึ ษา
- ตรวจสอบประสทิ ธภิ าพการจดั การเรยี นการสอนและการประเมนิ ผล
- ให้ข้อมลู ข่าวสารการศึกษาที่เปน็ ประโยชนต์ อ่ ผเู้ รยี น ผู้ปกครอง และชมุ ชน
- แสวงหาและพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรยี นการสอนท่สี อดคล้องกบั บริบท
471
2. การมสี ว่ นรว่ มของผเู้ กีย่ วข้อง
- ร่วมพฒั นาคณุ ภาพของงานท่ีรับผดิ ชอบ
- รว่ มแกป้ ัญหาที่เกดิ ขน้ึ ในระหว่างการใช้หลกั สูตร
- รว่ มตดั สนิ ใจเกย่ี วกับการดาเนนิ การต่างๆ ของหลกั สตู ร
- ร่วมแสดงความคดิ เห็นในประเด็นทตี่ ้องการขอ้ สรปุ รว่ มกัน
- ร่วมมือร่วมใจปฏิบตั ิหนา้ ทขี่ องตนเองอย่างเต็มความรู้ความสามารถ
- ร่วมสร้างสรรค์นวตั กรรมสรา้ งสรรค์ทส่ี อดคล้องกบั บริบทการใช้หลกั สูตร
3. การประเมินผลและนาไปสูก่ ารพฒั นา
- ประเมินความตอ้ งการพัฒนาบคุ ลากร
- ประเมนิ ความร้คู วามสามารถของบุคลากร
- ประเมนิ การมสี ว่ นรว่ มของผปู้ กครอง ชุมชน
- ประเมินประสิทธภิ าพของการบรหิ ารงานวิชาการ
- ประเมินประสิทธภิ าพของการบริหารงานงบประมาณ
- ประเมินความต้องการด้านส่อื วัสดุ อปุ กรณ์การเรียนรู้
- ประเมินคณุ ภาพของการจดั การเรยี นการสอนและการประเมินผล
- ประเมนิ ผลการเรียนรู้ของผ้เู รียน ดา้ นการรู้คิด ทักษะ และคณุ ลักษณะ
- ถอดบทเรียนจากผลการประเมนิ และนาไปปรบั ปรงุ และพฒั นาหลักสูตร
472
การปรับปรุงและเปลย่ี นแปลงหลักสูตร
ที่มีประสทิ ธภิ าพและยั่งยืนจะเกิดขึน้ ได้
ก็ต่อเมอื่ มีกระบวนการทางความคิดแบบเปดิ
พร้อมทจ่ี ะเปล่ียนแปลงไปสสู่ ง่ิ ทีด่ กี วา่
473
สรปุ
จากที่ได้กล่าวมาในบทที่ 12 เร่ือง การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรภายหลังการ
ประเมินหลกั สูตร สรุปสาระสาคญั ไดด้ งั ตอ่ ไปนี้
1. เม่อื หลกั สตู รมีการประเมินอย่างครบวงจรแล้วจะทาให้มีข้อมูลสารสนเทศที่ถูกต้อง
เชื่อถือได้สามารถนาไปปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรอย่างครบวงจรเพื่อให้หลักสูตรมีคุณภาพ
มากข้ึน ท้ังด้านเอกสารหลักสูตร ด้านการนาหลักสูตรไปปฏิบัติ และด้านการพัฒนาบุคลากรให้ใช้
หลกั สตู รได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ
2. การประเมินหลักสูตรเพ่ือยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเน่ือง เป็นการ
ประเมินท่ีมุ่งแสวงหาจุดแข็งและจุดท่ีต้องพัฒนาของหลักสูตรใดๆ ท่ีไม่มีจุดมุ่งหมายในการเลิกใช้
หลักสูตร เพ่ือนาสารสนเทศจากการประเมินมาปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรให้มีคุณภาพและยกระดับ
คณุ ภาพการศึกษาให้สูงขึ้น ซ่ึงสถานศกึ ษาสามารถดาเนินการได้ด้วยตนเอง
3. ภายหลังการประเมินหลักสูตรแล้ว ภารกิจลาดับถัดไป คือ การพิจารณาตัดสินใจ
เก่ียวกับหลักสูตร ซ่ึงการปรับปรุงและพัฒนาที่มีความย่ังยืนคือการปรับปรุงและพัฒนาบนฐานการวิจัย
ทีม่ ลี กั ษณะเป็นการวจิ ัยทเี่ ป็นวงจรของการพัฒนาดังเชน่ การวจิ ัยของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัว
4. การปรับปรุงและเปล่ียนแปลงหลักสูตรที่สืบเนื่องมาจากการประเมินหลักสูตร
มี 4 ข้ันตอน ไดแ้ ก่ 1) ขัน้ การสรา้ งความตระหนกั 2) ขนั้ การวางแผนการเปล่ียนแปลง 3) ขั้นดาเนินการ
เปลีย่ นแปลง 4) ขนั้ ตรวจสอบผลการเปล่ียนแปลง
474
5. การพัฒนาอย่างต่อเน่ืองเป็นหลักการที่สาคัญท่ีสุดของการพัฒนาคุณภาพการ
ปฏิบัติงาน ตามวงจร PDCA ซึ่งการปรับปรุงและเปล่ียนแปลงหลักสูตรเป็นงานที่สาคัญและไม่หยุดนิ่ง
จาเปน็ ตอ้ งมกี ารพฒั นาอย่างต่อเนื่องใหส้ อดคล้องกับบริบททางสังคม และมีมาตรฐานตามทก่ี าหนด
6. ภายหลังการประเมินหลกั สูตรแล้ว อาจมีสารสนเทศบางประการที่ทาให้จาเป็นต้อง
มีการทบทวนมาตรฐานการเรียนรู้ท่ีมีอยู่ให้มีความเหมาะสมมากข้ึน เพ่ือนาไปใช้เป็นข้อกาหนดเก่ียวกับ
เปาู หมายและแนวทางการจดั การศึกษาท่ีมีคณุ ภาพมากขึ้น
7. ลักษณะของการเรียนรู้ท่ีพึงปรารถนา เป็นการเรียนรู้ยุคใหม่ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียน
พัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ เป็นการเรียนรู้แบบบูรณาการ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทั้งการ
กาหนดจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ และการประเมินผลการเรียนรู้ ใช้แหล่ง
การเรยี นรู้ท่หี ลากหลาย การประเมินทีเ่ สริมพลังตามสภาพจริง
8. การปรับปรงุ และเปลย่ี นแปลงหลักสูตรระหว่างการใช้หลักสูตร เป็นสิ่งท่ีสาคัญท่ีทา
ใหก้ ารใชห้ ลักสตู รมีประสิทธิภาพอย่างตอ่ เนื่อง เช่น ใช้แนวคิดของหลักสูตรแฝง (hidden curriculum)
เพ่ิมเติมเนื้อหาสาระท่ีกาลังเป็นประเด็นความสนใจในแวดวงวชิ าชีพใหผ้ เู้ รยี นไดศ้ ึกษา
475
บรรณานุกรม
บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช. (2555). การประเมนิ หลักสตู รและการเรียนการสอน:
ประมวลชดุ วชิ า = Evaluation of Curriculum and Instruction. นนทบุรี:
สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช.
วิชัย วงษ์ใหญ.่ (2554). การพฒั นาหลกั สตู รระดับอดุ มศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ:
อาร์ แอนด์ ปรินท์ จากดั .
ศิรชิ ยั กาญจนวาสี. (2537). ทฤษฎกี ารประเมนิ . กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
สมคิด พรหมจุ้ย. (2552). เทคนคิ การประเมินโครงการ. กรุงเทพฯ: ศนู ยห์ นังสือจฬุ าลงกรณ์
มหาวิทยาลัย. (จดั จาหนา่ ย).
สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลกั สูตรแกนกลาง
การศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พช์ มุ นุมสหกรณ์การเกษตร
แห่งประเทศไทย.
สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา. (2552). กรอบมาตรฐานคุณวุฒริ ะดับอุดมศึกษาแหง่ ชาติ
พ.ศ. 2552. กรงุ เทพฯ: สานักงานคณะกรรมการการอุดมศกึ ษา.
Armstrong. David G. (1989). Developing and Documenting the Curriculum.
Boston: Allyn and Bacon.
. (2003). Curriculum Today. New Jersey: Merrill Prentice Hall.
Beane, James A. and others. (1986). Curriculum Planning and Development.
Boston: Allyn and Bacon.
Bobbit, Franklin. (1918). The Curriculum. Boston: Houghton Mifflin.
. (1924). How to Make a Curriculum. Boston: Houghton Mifflin.
Brady, Laurie. (1992). Curriculum Development. 4thed. Sydney: Prentice Hall.
476
Henson, Kenneth T. (2001). Curriculum Planning: Integrating Multiculturalism,
Constructivism, and Education Reform. 2nded. New York: McGraw - Hill.
Jacobs, Heidi Hayes. (2010). Curriculum 21: Essential education for a Changing
World. Alexandria: Association for Supervision and Curriculum Development.
Kelly, A. V. (1999). The Curriculum. 4thed. London: Paul Chapman Publishing Ltd.
Lattuca, Lisa R. (2009). Shaping the Collage Curriculum: Academic Plans
in Context. 2nded. San Francisco: Jossey – Bass.
Marsh, Colin J., and Willis, George. (2003). Curriculum: Alternative Approached,
Ongoing Issues. Upper Saddle River, New Jersey: Merrill Prentice Hall.
McNeil, John D. (1976). Designing Curriculum: Self – Instructional Modules.
Boston: Little, Brown and Company.
Miller, J. P. & Seller, W. (1985). Curriculum: Perspectives and Practice. New York :
Longman.
Oliva, Peter F. (2009). Developing the Curriculum. 7thed. Boston: Allyn and Bacon.
Oliva, Peter F., and Gordon, II, William, R. (2013). Developing the Curriculum. 8thed.
Boston: Pearson.
Ornstein, Allan C. (2013). Curriculum: Foundations, Principles, and Issues. Boston:
Pearson.
Ornstein, Allan C., and Hunkins, Francis P. (2004). Curriculum: Foundations,
Principles, and Issues. Boston: Allyn and Bacon.
Oxford University. (2005). Oxford Advance Learner’s Dictionary. 7th ed. New York:
Oxford University Press.
Posner, George J. (2004). Analyzing the Curriculum. New York: McGraw Hill.