The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือ การประเมินหลักสูตรฯ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by จีระนัน เสนาจักร์, 2020-10-05 00:41:02

หนังสือ การประเมินหลักสูตรฯ

หนังสือ การประเมินหลักสูตรฯ

477

Print, Murray. (1993). Curriculum Development and Design. 2nd ed. Sydney:
Allen & Unwin.

Saylor, J. G. and Alexander, W.M. (1974). Curriculum Planning for Schools. New York:
Holt, Rinehart & Winston.

. (1981). Curriculum Planning for Better Teaching and Learning. New York:
Holt, Rinehart and Winston.

Stufflebeam, Daniel L. (1983). “The CIPP Model for Program Evaluation”. Evaluation
models : viewpoints on educational and human services evaluation.
Boston: Kluwer-Nijhoff.

Taba, Hilda. (1962). Curriculum Development : Theory and Practice. New York:
Harcourt Brace Jovanovich.

Tanner, Daniel and Tanner, Laurel. (1975). Curriculum Development: Theory
into Practice. New York: Macmillan Publishing.

Tanner, Daniel and Tanner, Laurel. (1980). Curriculum Development: Theory
into Practice. 2nded. New York: Macmillan Publishing.

Tyler, Ralph W. (1949). Basic Principles of Curriculum and Instruction. Chicago:
The university of Chicago Press.

Udelhofen, Susan. (2005). Keys to Curriculum Mapping: Strategies and Tools to
Make it Work. Thousand Oaks, California: Corwin Press.

Walker, Decker F. and Soltis, Jonas F. (2009). Curriculum and Aims. New York:
Teachers College Columbia University.

Wiles, Jon W., and Bondi, C. Joseph. (2011). Curriculum Development a Guide to
Practice. 8thed. Boston: Pearson.

478

หลักสตู รควรมีการปรับปรงุ
และเปลย่ี นแปลงอย่างต่อเนือ่ ง
เพอ่ื ใหม้ ีคุณภาพและมาตรฐาน
เป็นที่ยอมรบั ในแวดวงวชิ าการและวชิ าชพี
ทง้ั ในระดบั ประเทศและนานาชาติ

479

บทท่ี 13
บทบาทของบคุ ลากรต่อการปรับปรงุ

และเปลีย่ นแปลงหลกั สูตร

480

13.1 ภาวะผู้นาทางหลักสตู ร

13. บทบาทของ 13.2 บทบาทของผนู้ าทางหลกั สตู ร
บุคลากรทม่ี ตี ่อ 13.3 บทบาทของผูป้ ฏิบตั ิการหลกั สตู ร
การปรบั ปรุง 13.4 บทบาทของโคช้
และเปลย่ี นแปลง

13.5 บทบาทการโคช้ เพือ่ การรคู้ ิดของผ้สู อนในปจั จบุ นั

481

สาระสาคัญ

สาหรับในบทท่ี 13 เรอ่ื ง บทบาทของบุคลากรที่มีต่อการปรับปรุงและเปล่ียนแปลงหลักสูตร
มสี าระสาคัญดงั ตอ่ ไปนี้

1. ภาวะผู้นาทางหลักสูตรเป็นคุณลักษณะท่ีสาคัญและจาเป็นต่อการปรับปรุงและ
เปลี่ยนแปลงหลกั สตู รใหม้ คี ณุ ภาพมากขึ้น มีคณุ ลักษณะท่ีสาคัญ ได้แก่ 1) มีจิตใจสร้างสรรค์ 2) มีทักษะ
การสื่อสาร 3) มคี วามเคารพ 4) การคิดอยา่ งเปน็ ระบบและการตัดสินใจ 5) มที กั ษะการประนปี ระนอม

2. การปรับปรุงและเปล่ียนแปลงหลักสูตรจึงเป็นภารกิจที่สาคัญที่สืบเน่ืองมาจากการ
ประเมินหลักสูตร โดยผู้ที่มีบทบาทหน้าท่ีนาการเปล่ียนแปลงหลักสูตรจาเป็นต้องมีความสามารถหลาย
ประการ ได้แก่ 1) โค้ช 2) พ่ีเล้ียง 3) ผู้เอื้ออานวยความสะดวก 4) ผู้กากับติดตาม 5) ผู้ประสานงาน
6) นักนวัตกรรม 7) ตัวแทน 8) ผ้ผู ลิต 9) ผูอ้ านวยการ

3. ผู้ปฏิบัติการหลักสูตร หมายถึง บุคลากรทุกฝุายท่ีเป็นผู้ท่ีเก่ียวข้องกับหลักสูตร
และทางานร่วมกันในการพัฒนาหลักสูตร นาหลักสูตรไปปฏิบัติ และประเมินหลักสูตร มีบทบาทสาคัญ
หลายประการ ไดแ้ ก่ 1) วเิ คราะหจ์ ดุ แข็งและจดุ ทีต่ ้องปรับปรุงแก้ไข 2) ระดมพลังสมอง 3) วางแผนการ
นาหลักสูตรไปปฏิบัติ 4) แสวงหาแนวทาง วิธีการพัฒนาคุณภาพ 5) ศึกษาค้นคว้าวิจัยสร้างสรรค์
นวัตกรรม 6) สรา้ งหรอื ปรับปรุงรายวิชา / หนว่ ยการเรยี นรู้ 7) พฒั นาความรู้ความสามารถที่เอ้ือต่อการ
ใช้หลักสูตร 8) สร้างเครือข่ายทางวิชาการ 9) ติดตามความก้าวหน้าและนามาใช้ 10) ประสานงานกับ
หนว่ ยงานหรือองค์กรต่างๆ

482

4. การโคช้ เป็นการที่ผู้สอนงานให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องใดเร่ืองหนึ่ง ตลอดจนฝึก
ทักษะการปฏิบัติงานให้กับผู้ที่ได้รับการโค้ชด้วยวิธีการท่ีหลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการ
โค้ช โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้ผู้ที่ได้รับการโค้ชมีความรู้ ทักษะ ความชานาญ ความเชี่ยวชาญในการ
ปฏิบตั งิ าน ตลอดจนเจตคตทิ ่ดี ีตอ่ การปฏบิ ตั ิงาน

5. การโค้ชเพ่ือการรู้คิด เป็นบทบาทของผู้สอนในปัจจุบันท่ีช่วยให้ผู้เรียนปฏิบัติ
กิจกรรมการเรียนรู้ได้บรรลุเปูาหมายอย่างมีประสิทธิผล และมีความผกู พันอยู่กับการเรียนรู้ สร้างโอกาส
ให้ผู้เรียนได้ใชค้ วามคดิ และแสวงหาคาตอบ และพัฒนาตนเองเต็มตามศักยภาพ

483

13.1 ภาวะผูน้ าทางหลกั สูตร

ภาวะผู้นาทางหลักสูตร (curriculum leadership) เป็นคุณลักษณะที่สาคัญและ

จาเป็นต่อการปรับปรุงและเปล่ียนแปลงหลักสูตรให้มีคุณภาพมากข้ึน โดยบุคลากรทุกคนสามารถ
มีภาวะผูน้ าทางหลกั สูตรได้โดยไมจ่ ากัดอยแู่ ต่เฉพาะผูบ้ รหิ ารหรือบุคลากรฝุายวชิ าการเท่าน้นั

ภาวะผู้นาทางหลักสูตรเป็นความสามารถในการนาให้บุคลากรคนอ่ืนๆ ปฏิบัติกิจกรรม
ต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องกับหลักสูตรด้วยความเต็มใจ เช่น การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมการจัดการเรียน
การสอน การพัฒนาเครื่องมือวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง
เป็นต้น

ผู้ท่ีมีภาวะผู้นาทางหลักสูตรจะมีบทบาทในการขับเคลื่อนหลักสูตรไปสู่การจัดการเรียน
การสอนและการพัฒนาผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้กระบวนการที่หลากหลายและสอดคล้อง
กับบริบทของสถานศึกษา

ผทู้ ่ีมีภาวะผนู้ าทางหลกั สูตร มีคุณลักษณะดงั น้ี

1. มีจิตใจสร้างสรรค์ (creative mind) ที่รักการสร้างสรรค์ส่ิงใหม่ๆ ทางด้าน
หลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ โดยจิตใจนวัตกรรมจะนาไปสู่การประดิษฐ์ คิดค้น ทดลอง วิจัย
และพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องจนสามารถสร้างบารมีทางวิชาการให้กับตนเองเป็นท่ียอมรับจาก
เพ่ือนร่วมวิชาชีพ ผู้นาหลักสูตรที่มีจิตใจสร้างสรรค์จะพยายามแสวงหานวัตกรรมท่ีเก่ียวข้องกับการใช้
หลกั สูตรอย่างสอดคลอ้ งกบั บรบิ ทขององคก์ ร รเิ รมิ่ งานทท่ี ้าทายและเกิดประโยชน์

484

2. มีทักษะการส่ือสาร (communication skill) เป็นทักษะที่สาคัญของผู้นา
ทางหลักสูตรท่ีสามารถสื่อสารความรู้ ความคิด และความรู้สึกของตนเองไปยังบุคคลอ่ืนได้อย่าง
มีประสิทธิภาพและบรรลุจุดมุ่งหมายของการสื่อสาร ข้อจากัดประการหนึ่งของการปรับปรุง
และเปลี่ยนแปลงหลักสูตร คือ ทักษะการสื่อสารของผู้นาที่ไม่สามารถทาให้ผู้ปฏิบัติเกิดความเข้าใจ
ที่ชัดเจน เหน็ แนวทางในการนาไปสู่การปฏิบัติจริง บางครั้งยังทาให้เกิดความสับสนและความวิตกกังวล
อีกด้วย ดังนั้นทักษะการสื่อสารจึงเป็นอีกทักษะหนึ่งท่ีสาคัญและจาเป็นสาหรับผู้นาทางหลักสูตร
ทง้ั การพดู การฟัง การอา่ น และการเขียน ผู้ที่มีทักษะการสื่อสารท่ีดีจะสามารถสร้างแรงจูงใจและความ
ร่วมมอื ในการปรบั ปรุงและเปลี่ยนแปลงหลกั สูตรไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

3. มจี ิตความเคารพ (respectful) เปน็ การให้ความเคารพนับถือ ให้เกียรติบุคคลอ่ืน
ที่มีความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม วัฒนธรรม แตกต่างกับตนเอง การเคารพสิทธิและศักด์ิศรี
ความเป็นมนุษย์ การเคารพไม่ได้หมายความว่า “ยอมทาตาม” แต่หมายถึงการเปิดใจกว้างรับฟัง
ด้วยใจเปน็ กลางแล้วนามาคิดใครค่ รวญตรวจสอบ ไตรต่ รองตามเหตุและผล และนาสิ่งท่ีเป็นสาระสาคัญ
มาพจิ ารณาทบทวนปรบั ปรงุ และเปลีย่ นแปลงหลักสตู ร

4. การคิดอย่างเป็นระบบและการตัดสินใจ (systematic thinking and
decision making) การคิดอย่างเป็นระบบเป็นการคิดแบบองค์รวมที่เช่ือมโยงระบบต่างๆ เข้าด้วยกัน
ทั้งระบบเล็กและระบบใหญ่ วิเคราะห์สาเหตุปัจจัยท่ีสัมพันธ์กัน การคิดอย่างเป็นระบบช่วยทาให้
การตัดสินใจมีคุณภาพ นอกจากนี้การคิดอย่างเป็นระบบยังทาให้การทางานต่างๆ มีข้ันตอนที่ชัดเจน
ไมว่ กไปวนมา ผ้นู าทางหลักสูตรจาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องมีทักษะการคิดอย่างเป็นระบบและการตัดสินใจ
ท่ีมีประสิทธิภาพ

485

5. ทักษะการประนีประนอม (compromise) เป็นทักษะการประสานความต้องการ
ของบุคลากรได้อย่างลงตัว เกิดประโยชน์ต่อการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตร โดยทั่วไปแล้วผล
จากการประเมินหลักสูตรจะนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงเกิดข้ึนเสมอ เช่น การเปล่ียนแปลงรายวิชา
การปรบั เปลย่ี นผู้สอน เป็นตน้ ซงึ่ การปรบั เปล่ียนดังกลา่ วอาจทาให้บุคลากรไมไ่ ดร้ ับการตอบสนองความ
ต้องการในทุกเร่ือง ซงึ่ อาจเป็นปัญหาที่นาไปส่คู วามลม้ เหลวในการใช้หลักสูตรท่ีปรับปรุงใหม่ ดังนั้นผู้นา
หลกั สูตรจึงต้องประนีประนอมความต้องการต่างๆ ให้บุคลากรเกดิ การยอมรับไดใ้ นการเปลี่ยนแปลง

13.2 บทบาทของผนู้ าทางหลักสตู ร

ก า ร ป รั บ ป รุ ง แ ล ะ เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง ห ลั ก สู ต ร โ ด ย ทั่ ว ไ ป มั ก มี ค ว า ม เ ก่ี ย ว ข้ อ ง กั บ บุ ค ล า ก ร
ในหลักสูตรทั้งผู้บริหาร ผู้สอน ผู้เรียน ผู้ปกครอง และชุมชน ซ่ึงแต่ละคนมีโลกทัศน์ วัฒนธรรม
ความเชือ่ คา่ นยิ มที่แตกตา่ งกนั

ดังนั้นการปรับปรุงและเปล่ียนแปลงหลักสูตรจึงมักประสบกับปัญหาความร่วมมือและการ
เปล่ียนแปลงพฤติกรรมของผู้ที่เก่ียวข้อง ด้วยเหตุนี้การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรจึงเป็น
ภารกิจที่สาคัญที่สืบเนื่องมาจากการประเมินหลักสูตร โดยผู้ที่มีบทบาทหน้าท่ีนาการเปล่ียนแปลง
หลักสูตร (curriculum leader) จาเปน็ ตอ้ งมีความสามารถหลายประการ บทบาทต่างๆ ของผู้นาการ
เปล่ยี นแปลงหลักสูตร ดังนี้

486

1. โค้ช (coach)
2. พี่เลี้ยง (mentor)
3. ผู้เอือ้ อานวยความสะดวก (facilitator)
4. ผกู้ ากับติดตาม (monitor)
5. ผปู้ ระสานงาน (coordinator)
6. นกั นวตั กรรม (innovator)
7. ตวั แทน (broker)
8. ผู้ผลติ (producer)
9. ผูอ้ านวยการ (director)

การแสดงบทบาทในการนาการปรับปรุงและเปลย่ี นแปลงหลกั สตู รมี 4 รปู แบบ ดังน้ี

1. รูปแบบเน้นสมั พนั ธภาพของบคุ ลากร
2. รูปแบบเน้นกระบวนการภายในองค์กร
3. รูปแบบเน้นการเปดิ รบั สิ่งใหม่
4. รปู แบบเน้นการบรรลมุ าตรฐาน

โดยแต่ละรูปแบบมีจุดเน้นที่แตกต่างกันไปตามจุดเน้น 4 ประการ คือ ความยืดหยุ่น
(flexibility) การควบคมุ (control) การเปลี่ยนแปลงจากภายใน (internal) การเปลี่ยนแปลงจาก
ภายนอก (external) ดังแผนภาพตอ่ ไปนี้ (ปรบั ปรงุ จาก Lattuca and Stark. 2009: 276)

487

รูปแบบเน้นสัมพันธภาพของบคุ ลากร ยดื หยุ่น รูปแบบเนน้ การเปดิ รับสิง่ ใหม่

พเ่ี ลย้ี ง ผเู้ อื้ออานวย ตัวแทนนายหนา้ นกั นวตั กรรม
เสริมสรา้ ง ความสะดวก รักษามาตรฐาน กระตุ้นให้เกดิ
การพฒั นา สง่ เสริมสนับสนนุ จากภายนอก การปรับปรงุ
บนพนื้ ฐานของ การทางานร่วมกัน และจดั หาทรพั ยากร การพัฒนา
การเคารพ ชีแ้ นะแนวทาง ท่ีจาเปน็ ต่อการ การเปลีย่ นแปลง
และเอาใจใส่ และให้ขอ้ เสนอแนะ สง่ิ ใหมๆ่ ให้เกดิ ขึน้
ปฏบิ ตั ิงาน
โค้ช
เน้นการ เสริมสรา้ งศกั ยภาพ เน้นการ
เปลี่ยนแปลง โดยการสอนงาน เปลยี่ นแปลง
จากดา้ นใน
เฉพาะดา้ นดว้ ย โดยใช้
เทคนิควิธีการตา่ งๆ ปจั จัยภายนอก

ผกู้ ากบั ติดตาม ผู้ประสานงาน ผผู้ ลิต ผ้กู ากบั
ตรวจสอบ เช่ือมโยงภารกจิ สรา้ งแรงจงู ใจ แจง้ จดุ ม่งุ หมาย
ของงานต่างๆ ให้บุคลากร และควบคุม
การปฏิบตั ติ าม และขบั เคลื่อนงาน ปฏบิ ัติงานในหน้าท่ี
ข้อกาหนดตา่ งๆ ใหเ้ ปน็ ไปตามระบบ และรักษาระดับ มาตรฐาน
และวิเคราะห์ ขนั้ ตอนทก่ี าหนด มาตรฐานคุณภาพ ของการปฏบิ ัติงาน
ผลลพั ธ์ทีเ่ กิดขนึ้
อย่างต่อเนอื่ ง

รปู แบบเนน้ กระบวนการภายในองคก์ ร รูปแบบเนน้ การบรรลุมาตรฐาน
ควบคมุ

แผนภาพ 72 บทบาทของผู้นาการเปลยี่ นแปลงหลกั สตู ร

488

กรณีศึกษา ภาวะผู้นาทางหลักสูตรของ นายอานาจ ทัดสวน ผู้อานวยการโรงเรียน

ศรีสวัสดิ์พิทยาคม อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ที่พัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาให้รองรับความต้องการ
และความสนใจของผู้เรียนทางด้านการประกอบอาชีพ โดยนาแนวความคิดของหลักสูตรที่เน้นอาชีพ
เป็นฐาน (occupational – based curriculum) มาเป็นแนวทางการพัฒนาหลักสูตร จนทาให้ได้
หลักสูตรสถานศึกษาท่ีมุ่งเน้นการจัดการศึกษาเพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะและสมรรถนะ
ด้านอาชีพ การมีเจตคติที่ดีต่อการประกอบอาชีพสุจริต นิสัยรักการทางาน (work habits) จริยธรรม
ในการทางาน (work ethics) สามารถนาความรู้ไปประกอบอาชีพได้ตามศักยภาพของตนเอง

โดยมีจุดมุ่งหมายท่ีสาคัญ คือ การพัฒนาทักษะและสมรรถนะในการประกอบอาชีพให้กับ
ผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โดยบูรณาการอาชีพที่มีอยู่ในชุมชน ท้องถ่ินเข้ากับหลักสูตร
สถานศกึ ษา แลว้ จัดทาเปน็ หลักสูตรที่เน้นอาชีพเป็นฐาน โดยออกแบบให้ผู้เรียนระดับช้ันมัธยมศึกษา
ปีท่ี 1 เรียนรู้เกี่ยวกับการปลูกผัก และการแปรรูปอาหาร ผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรียนรู้
เกี่ยวกับการออกแบบบรรจุภัณฑ์ และผู้เรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรียนรู้เก่ียวกับการจาหน่าย
ผลิตภัณฑ์ การตลาด โดยประสานความร่วมมือทางวิชาการกับบริษัทเจียไต๋ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
ในการฝึกทักษะงานอาชีพให้กับผู้เรียน จนทาให้ผู้เรียนที่สาเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
สามารถนาความรแู้ ละประสบการณท์ ่ไี ด้รับไปต่อยอดเปน็ อาชีพของตนเองได้เป็นจานวนมาก

จะเหน็ ไดว้ ่า หากผู้บริหารมีภาวะผู้นาทางหลักสูตรแล้ว จะสามารถผลักดันและร่วมพัฒนา
หลักสตู รสถานศกึ ษาไดต้ รงตามความตอ้ งการ ความถนัด และบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชน
ทอ้ งถ่ินทสี่ ถานศกึ ษาต้งั อยู่ และสามารถสร้างความร่วมมือจากบุคลากรตลอดจนหน่วยงานภายนอกเข้า
มามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนเกิดเป็นนวัตกรรมหลักสูตรท่ีมีความเป็น
เอกลักษณ์ของสถานศึกษา

489

13.3 บทบาทของผู้ปฏิบตั กิ ารหลักสตู ร

ผู้ปฏิบัติการหลักสูตร (curriculum workers) หมายถึง บุคลากรทุกฝุายที่เป็นผู้ท่ี
เกี่ยวข้องกับหลักสูตรและทางานร่วมกันในการพัฒนาหลักสูตร นาหลักสูตรไปปฏิบัติ และประเมิน
หลักสตู ร ได้แก่ ผ้สู อน ผูบ้ รหิ าร ผปู้ กครอง และชุมชน มีบทบาทเกยี่ วกบั หลักสตู รดงั ตอ่ ไปนี้

1. วิเคราะห์จุดแข็งและจุดท่ีต้องปรับปรุงแก้ไขหลักสูตรและการเรียนการสอน
บนพื้นฐานของผลการประเมนิ

2. ระดมพลังสมองปรับปรุงแก้ไขหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนให้มี
คุณภาพอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง

3. วางแผนการนาหลักสูตรไปปฏบิ ัติใหส้ อดคล้องกับสภาพบริบทของสถานศึกษา
วฒั นธรรม ความเชือ่ และค่านิยมของชุมชน

4. แสวงหาแนวทาง วิธีการพัฒนาคุณภาพของการจัดการเรียนการสอนให้มี
ประสทิ ธิภาพ ทันสมัย สอดคลอ้ งกับธรรมชาติของผู้เรยี น

5. ศึกษาค้นคว้าวิจัยสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เก่ียวข้องกับการปฏิบัติงาน เช่น
นวตั กรรมการวางแผนวชิ าการ นวตั กรรมการจัดการเรียนการสอน นวัตกรรมการประเมินผลการเรียนรู้
เปน็ ต้น

6. สรา้ งหรอื ปรบั ปรงุ รายวชิ า / หน่วยการเรียนรู้ ให้มีความทันสมัยเหมาะสมกับ
บรบิ ทของสถานศกึ ษา และความตอ้ งการของผเู้ รยี น

490

7. พัฒนาความรู้ ความสามารถท่ีเอื้อต่อการใช้หลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เช่น ความรู้ความสามารถด้านการวางแผนวิชาการ ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านการวัดและ
ประเมนิ ผล

8. สร้างเครือข่ายทางวิชาการ ชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ ทุนทางสังคม
ท่เี อ้อื ตอ่ การจัดการศกึ ษา

9. ติดตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของสังคม และนามา
พฒั นาผูเ้ รียนใหส้ อดคลอ้ งกบั ความเจรญิ กา้ วหนา้ และการเปลยี่ นแปลงต่างๆ

10. ประสานงานกับหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ เพื่อการขับเคล่ือนหลักสูตร
ใหด้ าเนินการได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ประสบความสาเร็จ

กรณีศึกษา การประสานงานกับสานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาโดยผู้เขียน

เพ่ือขอชี้แจงเหตุผลของการเปล่ียนช่ือหลักสูตร จากหลักสูตรการศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาการวิจัยและ
พัฒนาหลักสูตร เป็นหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาการวิจัยและพัฒนาหลักสูตร เพื่อขอให้ทบทวน
การรับทราบหลกั สูตรปรชั ญาดุษฎบี ัณฑิต สาขาการวิจัยและพัฒนาหลักสูตร ภายหลังจากท่ีมีการส่งคืน
หลักสูตรกลับมายังมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้เขียนได้ทาบันทึกข้อความตามลาดับขั้น และได้
เดินทางไปชี้แจงและให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับผู้ท่ีเกี่ยวข้อง โดยคาแนะนาของคณะกรรมการบริหารหลักสูตร
และสานักงานคณะกรรมการการอดุ มศึกษาไดใ้ หก้ ารรบั ทราบหลักสูตรในท่ีสดุ

491

บนั ทกึ ข้อความ

ส่วนราชการ โครงการปริญญาเอกสาขาการวจิ ยั และพฒั นาหลกั สูตร

ท่ี ศธ.0519.12 / ................. วนั ท่ี 4 พฤษภาคม 2554

เร่ือง ขอความอนุเคราะห์ส่งคาช้ีแจงประกอบการพิจารณาขอทบทวนการปรับชื่อปริญญา
หลกั สูตรปริญญาเอก สาขาการวจิ ยั และพฒั นาหลกั สูตร ไปยงั สานกั งานคณะกรรมการ
การอดุ มศึกษา (สกอ.)

เรียน เลขานุการสานกั งานคณบดีบณั ฑติ วทิ ยาลยั

ตามที่สานกั งานคณะกรรมการอุดมศึกษาไดม้ ีหนงั สือที่ ศธ 0506(4)/2621 ลงวนั ที่ 1 มีนาคม
2554 เรื่องส่งคืนหลกั สูตรปริญญาเอก สาขาการวิจยั และพฒั นาหลกั สูตร น้นั คณะกรรมการบริหาร
หลกั สูตรไดด้ าเนินการเขียนคาช้ีแจงฯ เพอ่ื ขอใหท้ บทวนผลการพิจารณาหลกั สูตรอีกคร้ัง

ในการน้ีจึงขอความอนุเคราะห์ท่าน เสนอเรื่องไปยงั สานักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา
ตามลาดบั ตอ่ ไป

จึงเรียนมาเพ่ือโปรดพจิ ารณา

(อาจารย์ ดร.มารุต พฒั ผล)
เลขานุการคณะกรรมการบริหารหลกั สูตร

492

คาชี้แจงประกอบการพจิ ารณาขอทบทวนการปรับช่ือปริญญา
หลกั สูตรปริญญาเอก สาขาการวจิ ยั และพฒั นาหลกั สูตร

เรื่องเดมิ

หลกั สูตรปริญญาเอก สาขาการวิจยั และพฒั นาหลกั สูตร ไดเ้ ปิ ดสอนมาต้งั แต่ปี การศึกษา
2517 โดยในระยะเร่ิมตน้ ที่ดาเนินการพฒั นาหลกั สูตร มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ ไดเ้ สนอใหเ้ ป็ น
หลกั สูตรปรัชญาดุษฎีบณั ฑิต (ปร.ด) โดยมีลกั ษณะเป็ นหลกั สูตรสหวทิ ยาการ ท่ีบูรณาการองคค์ วามรู้
จากศาสตร์ 3 สาขา คือ องคค์ วามรู้ในส่วนที่เกี่ยวขอ้ งกบั ระเบียบวธิ ีวทิ ยาการวจิ ยั องคค์ วามรู้ดา้ นการ
พฒั นาหลกั สูตร และองคค์ วามรู้ดา้ นพฤติกรรมศาสตร์และสงั คมศาสตร์ แตเ่ ม่ือเสนอหลกั สูตรไดม้ ีการ
ปรับช่ือปริญญาเป็ นการศึกษาดุษฎีบณั ฑิต (กศ.ด.) เนื่องจากในขณะน้นั มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ
พ่ึงดาเนินการปรับเปล่ียนสถานภาพเป็ นมหาวิทยาลัย และในขณะน้ัน ยงั ไม่สถาบันใดเปิ ดสอน
ถึงระดบั ปริญญาเอกในประเทศไทย

อยา่ งไรก็ตาม แมว้ า่ หลกั สูตรที่ไดร้ ับอนุมตั ิจะมีช่ือปริญญาเป็ น “การศึกษาดุษฎีบณั ฑิต”
แต่ในการจดั การเรียนการสอนในทุกรายวิชาที่ผ่านมามีกระบวนการสอนเนน้ การสร้างองค์ความรู้ที่ใช้
การวิจยั เป็ นฐาน (Research based) มาโดยตลอด เมื่อมีการปรับปรุงหลกั สูตร คณะกรรมการบริหาร
หลกั สูตรจึงไดม้ ีการเปลี่ยนช่ือปริญญาเป็ น ปร.ด.ตามเจตนารมณ์ในการเริ่มเปิ ดหลกั สูตรน้ีมาต้งั แต่ตน้
ดงั น้ัน การเปล่ียนชื่อปริญญาในคร้ังน้ี จึงไม่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสาคญั ต่อ
กระบวนการดาเนินงานของหลกั สูตร

สภามหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ได้อนุมตั ิการปรับหลกั สูตรน้ี ในการประชุมคร้ังท่ี
7/2553 เมื่อวนั ท่ี 7 สิงหาคม 2553 และมหาวทิ ยาลยั ไดม้ ีหนงั สือท่ี ศธ 0519.1.06/1613 ลงวนั ที่ 15
กนั ยายน 2553 แจง้ ให้สานกั งานคณะกรรมการอุดมศึกษารับทราบ ต่อมา สานักงานคณะกรรมการ
อดุ มศึกษาไดม้ ีหนงั สือที่ ศธ 0506(4)/2621 ลงวนั ท่ี 1 มีนาคม 2554 เร่ืองส่งคืนหลกั สูตร ฯ

493

ข้อพจิ ารณาของสานักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา

สานกั งานคณะกรรมการอุดมศึกษาไดม้ ีหนงั สือแจง้ ส่งคืนหลกั สูตรสาขาการวิจยั และ
พฒั นาหลกั สูตร โดยมีขอ้ สังเกตในประเด็นความพร้อมของอาจารยส์ ืบเนื่องกบั การเปล่ียนชื่อปริญญา
การศึกษาดุษฎีบณั ฑิต เป็ นปรัชญาดุษฎีบณั ฑิต ซ่ึงโครงการปริญญาเอกสาขาการวจิ ยั และพฒั นาหลกั สูตร
ขอช้ีแจงดงั น้ี

1. การตรวจสอบความสอดคล้องของมาตรฐานการอุดมศึกษาและเกณฑ์มาตรฐาน
ทเ่ี กยี่ วข้อง

ผลการตรวจสอบความพร้อมของหลกั สูตร กบั เอกสารมาตรฐานการอุดมศึกษาฯ (สานกั
มาตรฐานและประเมินผลอุดมศึกษา 2553) โดยใชเ้ กณฑต์ ามเอกสารดงั กล่าวปรากฏวา่ การปรับปรุง
หลกั สูตรคร้ังน้ีไม่มีประเด็นใดที่ไม่สอดคลอ้ งกบั ประกาศกระทรวงศึกษาธิการท่ีเกี่ยวขอ้ ง (ดงั ตาราง
การวเิ คราะห์ที่แนบมาพร้อมกนั น้ี)

2. ข้อสังเกตเกย่ี วกบั ข้อมูลผลงานวจิ ยั ของอาจารย์ประจาหลกั สูตรทไ่ี ม่สัมพนั ธ์กบั สาขาวชิ า
ของหลกั สูตร

เน่ืองจากหลกั สูตรสาขาการวจิ ยั และพฒั นาหลกั สูตร เป็ นหลกั สูตรสหวทิ ยาการ ซ่ึงวาง
ทิศทางการพฒั นาหลกั สูตรบนฐานการวิจัย ในบริบทที่สอดคล้องกับสังคมและวฒั นธรรม โดยมี
องค์ความรู้ทางดา้ นสงั คมศาสตร์เป็ นฐานที่สาคญั การพิจารณาความเก่ียวขอ้ งของงานวิจยั ของอาจารย์
ในสาขาในลกั ษณะแยกส่วน โดยปราศจากความเขา้ ใจลกั ษณะธรรมชาติของหลกั สูตรสหวทิ ยาการ หรือ
องค์ความรู้พ้ืนฐานในการพฒั นาหลกั สูตรในลกั ษณะที่เป็ นองค์รวม จึงไม่เห็นความสัมพันธ์ของ
ผลงานวจิ ยั เหล่าน้นั กบั สาขาวชิ า

494

3. ผลงานวจิ ยั ในฐานะทเี่ ป็ นทป่ี รึกษาวทิ ยานพิ นธ์
อาจารยป์ ระจาหลกั สูตรทุกคน มีคุณสมบตั ิตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เร่ืองเกณฑ์

มาตรฐานหลกั สูตรระดบั บณั ฑิตศึกษา พ.ศ. 2548 กล่าวคือ มีวฒุ ิปริญญาเอกและมีประสบการณ์ในการ
ทาวจิ ยั ที่ไม่ใช่ส่วนหน่ึงของการศึกษาเพ่อื รับปริญญา (ขอ้ 9.1.1 และ ขอ้ 9.2.2) การแสดงผลงานวิจยั ของ
อาจารยบ์ างท่านที่เป็ นผลงานวิจยั ของนกั ศึกษาท่ีเป็ นที่ปรึกษา มีเจตนาเพื่อสะทอ้ นถึงประสบการณ์
ในการทาหนา้ ท่ีที่ปรึกษาวทิ ยานิพนธ์เพิม่ เติมจากประสบการณ์วจิ ยั ของตน จึงไมน่ ่าจะเป็ นสาเหตุในการ
พิจารณาไม่รับรองหลกั สูตร หากสานกั งานคณะกรรมการอุดมศึกษา จะไดม้ ีเกณฑอ์ ่ืนใดเพิ่มเติมข้ึนมา
กค็ วรที่จะจดั ทาเป็ นประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ เพอื่ ใหผ้ เู้ กี่ยวขอ้ งไดร้ ับทราบทว่ั กนั

ข้อเสนอพจิ ารณา
การพิจารณาช่ือปริญญาของหลักสูตร ควรพิจารณาจากธรรมชาติของหลักสูตรเป็ นหลัก

ส่วนประเด็นความพร้อมในดา้ นคณาจารย์ ควรพิจารณาวฒั นธรรมการทางานขององคก์ รของหน่วยงาน
ประกอบดว้ ย คณาจารยภ์ ายในมหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ มีการบริหารหลกั สูตรในรูปของคณะ
กรรมการบริหารหลกั สูตร (ดงั แนบ) ซ่ึงบณั ฑิตวิทยาลยั แต่งต้งั จากผูท้ รงคุณวฒุ ิท้งั ภายในและภายนอก
มหาวิทยาลยั ที่มีคุณสมบตั ิตามเกณฑม์ าตรฐานหลกั สูตรระดบั บณั ฑิตศึกษา พ.ศ. 2548 รวมถึงอาจารย์
ประจาหลกั สูตรท่ีมาเป็ นกรรมการบริหารหลกั สูตรดว้ ย ดงั น้นั จึงกล่าวไดว้ า่ โครงการปริญญาเอกสาขา
การวจิ ยั และพฒั นาหลกั สูตร มีความพร้อมดา้ นคณาจารยท์ ี่ทาหน้าที่สอนและใหค้ าปรึกษาวทิ ยานิพนธ์

หลกั สูตรสาขาการวจิ ยั และพฒั นาหลกั สูตร ฉบบั ปรับปรุงน้ีเกิดข้ึนจากความต้งั ใจและร่วมมือ
ในการทางานของคณะกรรมการบริหารหลกั สูตร โดยคณะกรรมการบริหารหลกั สูตร ไดร้ ะดมสรรพ
กาลังมาร่วมกันทางานและสร้างความเข้มแข็งให้กับสาขาวิชา ทาให้ม่ันใจในคุณภาพหลักสูตร
จากเหตุผลท่ีกล่าวมา สาขาวิชาการวิจัยและพัฒนาหลักสูตร ใคร่ขอให้สานักงานคณะกรรมการ
อุดมศึกษาไดพ้ ิจารณาทบทวนประเด็นการขอปรับชื่อปริญญาของหลกั สูตรปริญญาเอกสาขาการวิจยั
และพฒั นาหลกั สูตรในคร้ังน้ีโดยพิจารณาถึงเหตุผลตามท่ีไดช้ ้ีแจงมาแลว้ ขา้ งตน้

495

ประกาศกระทรวงศึกษาธกิ าร ความสอดคล้อง ไม่เกย่ี วข้อง
สอดคล้อง ไม่สอดคล้อง
มาตรฐานการอดุ มศึกษา (หนา้ 1-4) 
เกณฑม์ าตรฐานหลกั สูตรระดบั อนุปริญญา พ.ศ. 2548 (หนา้ 5-10)  
เกณฑม์ าตรฐานหลกั สูตรระดบั ปริญญาตรี พ.ศ. 2548 (หนา้ 11-19)
เกณฑม์ าตรฐานหลกั สูตรระดบั บณั ฑิตศึกษา พ.ศ. 2548 (หนา้ 20-31) 

- จานวนอาจารยป์ ระจาหลกั สูตร (ไม่นอ้ ยกวา่ 5 คน) ขอ้ 9 
- อาจารยผ์ รู้ ับผิดชอบ (ไมน่ ้อยกวา่ 3 คน) คุณวฒุ ิตามเกณฑ์ ขอ้ 9.2.1 
- อาจารยท์ ี่ปรึกษาวิทยานิพนธห์ ลกั (มีประสบการณ์วิจยั ) ขอ้ 9.2.2 
- อาจารยผ์ สู้ อน (เป็นอาจารยป์ ระจา) คุณวฒุ ิตามเกณฑ์ ขอ้ 9.2.4 
- ชื่อปริญญา (ใชพ้ ระราชกฤษฎีกาของมหาวิทยาลยั ) ขอ้ 14.3
- การปฏิบตั ิหนา้ ที่ของอาจารยผ์ รู้ ับผิดชอบหลกั สูตร ขอ้ 10.3 
แนวทางการบริหารเกณฑม์ าตรฐานหลกั สูตรระดบั อดุ มศึกษา พ.ศ. 2548 
- จานวนและคุณวฒุ ิของอาจารย์ (เป็นอาจารยป์ ระจาหลกั สูตร 
เกินกวา่ 1 หลกั สูตรในเวลาเดียวกนั ไม่ได)้ ขอ้ 7.2 
แนวทางการจดั การศึกษาหลกั สูตรควบระดบั ปริญญาโท 2 ปริญญา
ในสถาบนั อดุ มศึกษาไทย พ.ศ. 2548 
หลกั เกณฑก์ ารขอเปิ ดและดาเนินการหลกั สูตรระดบั ปริญญา 
ในระบบการศึกษาทางไกล พ.ศ. 2548 
แนวปฏิบตั ิตามหลกั เกณฑก์ ารขอเปิ ดและดาเนินการ
หลกั สูตรระดบั ปริญญาในระบบการศึกษาทางไกล พ.ศ. 2548 
หลกั เกณฑก์ ารกาหนดชื่อปริญญา พ.ศ. 2549
- ช่ือปริญญา (ใชพ้ ระราชกฤษฎีกาของมหาวทิ ยาลยั ) ขอ้ 3 
หลกั เกณฑก์ ารกาหนดชื่อปริญญา (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2551
หลกั เกณฑก์ ารกาหนดช่ือปริญญา (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ. 2551
แนวทางการจดั การศึกษาระดบั ปริญญาตรีแบบกา้ วหนา้ ในสถาบนั อุดมศึกษา
พ.ศ. 2549
การจดั การศึกษานอกสถานท่ีต้งั ของสถาบนั อุดมศึกษาของรัฐ พ.ศ. 2552

496

ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ความสอดคล้อง
สอดคล้อง ไม่สอดคล้อง ไม่เกย่ี วข้อง
หลกั เกณฑแ์ ละแนวปฏิบตั ิเกี่ยวกบั การพจิ ารณาประเมินคุณภาพการจดั
การศึกษานอกสถานท่ีต้งั ของสถาบนั อุดมศึกษา พ.ศ. 2552 

แนวทางการจดั การศึกษาหลกั สูตรควบระดบั ปริญญาตรี 2 ปริญญา  
ในสถาบนั อดุ มศึกษาไทย พ.ศ. 2552  
ขอ้ แนะนาเกี่ยวกบั แนวปฏิบตั ิที่ดีในการเทียบโอนผลการเรียนระดบั ปริญญา  
หลกั เกณฑก์ ารเทียบโอนผลการเรียนระดบั ปริญญาเขา้ สู่การศึกษาในระบบ
พ.ศ. 2545 
กรอบมาตรฐานคุณวฒุ ิระดบั อุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2552 

- คุณภาพของบณั ฑิตตามมาตรฐานผลการเรียนรู้ 5 ดา้ น ขอ้ 4.2 
แนวทางการปฏิบตั ิตามกรอบมาตรฐานคุณวฒุ ิระดบั อดุ มศึกษาแห่งชาติ 
พ.ศ. 2552 

- การเสนอหลกั สูตรตอ่ สภาสถาบนั ก่อนเปิ ดสอน ขอ้ 5 
มาตรฐานคุณวฒุ ิระดบั ปริญญาตรีสาขาคอมพวิ เตอร์ พ.ศ. 2552 
มาตรฐานคุณวฒุ ิระดบั ปริญญาตรีสาขาพยาบาล พ.ศ. 2552 
มาตรฐานคุณวฒุ ิระดบั ปริญญาตรีสาขาโลจีสติกส์ พ.ศ. 2552
มาตรฐานคุณวฒุ ิระดบั ปริญญาตรี สาขาวชิ าการท่องเที่ยวและการโรงแรม
พ.ศ. 2553
แนวทางความตกลงร่วมมือทางวิชาการระหวา่ งสถาบนั อดุ มศึกษาไทยกบั
สถาบนั อุดมศึกษาตา่ งประเทศ พ.ศ. 2550
มาตรฐานสถาบนั อุดมศึกษา
กฎกระทรวง วา่ ดว้ ยการจดั การศึกษานอกสถานที่ต้งั ของสถาบนั อุดมศึกษาเอกชน
พ.ศ. 2551
หลกั เกณฑก์ ารกาหนดช่ือปริญญา (ฉบบั ที่ 4) พ.ศ. 2552
หลกั เกณฑก์ ารกาหนดช่ือปริญญา (ฉบบั ที่ 5) พ.ศ. 2552
การจดั การศึกษาหลกั สูตรระดบั ปริญญาตรี (ต่อเน่ือง)
ของสถาบนั อดุ มศึกษา พ.ศ. 2553

497

ประกาศกระทรวงศึกษาธกิ าร ความสอดคล้อง
สอดคล้อง ไม่สอดคล้อง ไม่เกย่ี วข้อง
แนวปฏิบตั ิในการนาเสนอหลกั สูตรระดบั อดุ มศึกษาตอ่ สานกั งานคณะกรรมการ
การอุดมศึกษา 

- ผา่ นการพิจารณาจากคณะกรรมการประจาบณั ฑิต สภาวิชาการ 
ขอ้ 2.1.1 
- ไดร้ ับความเห็นชอบจากสภามหาวิทยาลยั ขอ้ 2.1.2
- โครงสร้างของหลกั สูตรปรับปรุง ขอ้ 2.1.3
- การเสนอหลกั สูตรต่อ สกอ. ภายใน 30 วนั ขอ้ 2.1.4

จากกรณีศึกษาดังกล่าวข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ผู้ปฏิบัติการหลักสูตรมีบทบาทหน้าท่ีในการ
ติดต่อประสานงานกับผู้ท่ีเกี่ยวข้องกับหลักสูตรทั้งบุคลากรในหลักสูตรเองและบุคลากรภายนอก
เพอ่ื ดาเนนิ การต่างๆ ให้หลักสตู รสามารถดาเนินไปไดด้ ้วยความเรยี บร้อยและบรรลุเปูาหมาย ซึ่งบางคร้ัง
ก็มีความสะดวกราบรื่น บางคร้ังก็มีปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ซ่ึงผู้ปฏิบัติการหลักสูตรจะต้องใช้ทักษะ
การทางานร่วมกบั ผ้อู ่นื การประนปี ระนอม การเจรจาตอ่ รอง การมีมนุษยสัมพันธ์ ตลอดจนความอดทน
และที่สาคัญคือจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเชิงวิชาการในประเด็นท่ีเก่ียวข้องกับหลักสูตรของตนเอง
ซ่งึ เป็นปจั จยั ทจี่ ะทาให้สามารถอธบิ ายใหเ้ หตผุ ลของการดาเนินการทางหลักสูตรต่อบุคคลอื่นท่ีเก่ียวข้อง
ได้อย่างเข้าใจ

498

13.4 บทบาทของโคช้

การโค้ช (coaching) หมายถึง การที่ผู้สอนงานให้ความรู้ความเข้าใจในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง
ตล อ ด จ น ฝึ ก ทั ก ษ ะ ก า ร ป ฏิ บั ติ ง า นใ ห้ กั บ ผู้ ท่ี ไ ด้ รั บ ก า ร โ ค้ ช ด้ ว ย วิ ธีก า ร ท่ี ห ล า ก ห ล า ย ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ
วัตถุประสงค์ของการโค้ช โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ท่ีได้รับการโค้ชมีความรู้ ทักษะ ความชานาญ
ความเช่ยี วชาญในการปฏบิ ตั งิ าน ตลอดจนเจตคตทิ ่ดี ตี อ่ การปฏิบัตงิ าน การโค้ชมีความสาคัญมากในการ
พัฒนาบุคลากรให้มีสมรรถนะและคุณลักษณะเป็นไปตามท่ีองค์กรต้องการ เพราะทาให้บุคลากร
เกดิ การเรยี นรู้และพัฒนาตนเองอยา่ งต่อเนื่องในระยะเวลาอนั รวดเร็ว

คุณลักษณะของโค้ช

1. สร้างสมั พนั ธภาพที่ดี (interpersonal) เป็นคณุ ลักษณะท่ีสาคัญอย่างแรกของผู้ที่
จะเป็นโค้ช เพราะการมีสัมพันธภาพท่ีดีต่อกันจะเป็นปัจจัยให้เกิดการรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ
และนาไปสกู่ ารเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมการจัดการเรียนรู้ทด่ี ีขึน้

2. มีความเช่ียวชาญทางวิชาการ (academic excellence) เป็นปัจจัยท่ีทาให้
ข้อเสนอแนะ ความคิดเห็นต่างๆ ของโคช้ มีความหนกั แนน่ เชอ่ื ถือได้ว่าเป็นส่ิงที่ถูกต้อง พ่ีเล้ียงท่ีมีบารมี
ทางวชิ าการเป็นผทู้ ม่ี ีความรูแ้ ละประสบการณส์ ูง จะทาใหเ้ กิดการพฒั นาอยา่ งรวดเร็ว

3. การใหก้ ารยอมรบั และยินดีกบั ความสาเร็จในการทางานของผู้อ่ืน (recognized
other’s accomplishment) การแสดงความยินดี การชื่นชม การให้กาลังใจในการพัฒนาต่อยอด
ส่ิงน้จี ะทาให้ผู้ที่รบั การโคช้ เกดิ กาลังใจในการพัฒนาการจัดการเรียนร้อู ย่างตอ่ เนื่อง

499

4. การมีทักษะของการกากับดูแลท่ีดี (supervisory skills) เป็นทักษะท่ีสาคัญ
ทโี่ คช้ จะคอยกระตนุ้ และชกั จงู ใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งการประคับประคองให้ครูจัดการเรียนรู้
อย่างมีประสิทธิภาพต่อเนอ่ื ง

5. มีความรู้ประสบการณ์ในสายวิชาชีพหรือสายงานของตน (technical
knowledge) ซง่ึ สง่ ผลทาใหก้ ารใหข้ ้อเสนอแนะ คาแนะนาตา่ งๆ ของโค้ช ตั้งอยู่บนพื้นฐานทางวิชาการ
และประสบการณต์ รง ทีส่ ามารถนาไปประยกุ ตใ์ ช้ไดจ้ ริง

หลักการโคช้

1. การสร้างความสัมพันธ์และความไว้วางใจ (trust and rapport) การโค้ช
ที่ราบร่ืนต้องอาศัยปฏิสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างผู้โค้ชและผู้รับการโค้ชเป็นปัจจัยสนับสนุน ด้วยเหตุนี้ความ
เชื่อถือและความไว้วางใจของผู้รับการโค้ชท่ีมีต่อผู้โค้ชจึงเป็นปัจจัยสาคัญท่ีทาให้การโค้ชดาเนินไปด้วย
ความเรียบร้อย มีประสทิ ธิภาพ และประสบความสาเรจ็

2. การเสริมพลัง (empowerment) เป็นกระบวนการท่ีทาให้ผู้สอนค้นพบ
ความสามารถของตนเอง ผู้สอนสามารถพัฒนาการจัดการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง สามารถกากับตนเองได้
ซ่งึ ในระยะแรกผู้โค้ชจะใหก้ ารช่วยเหลือ ช้ีแนะอย่างใกล้ชิด จนกระท่ังผู้รับการโค้ชค้นพบความสามารถ
ของตนเอง

3. การทางานอย่างเป็นระบบ (systematic approach) การดาเนินการโค้ช
มีขั้นตอนการดาเนินการอย่างเป็นระบบ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ของการโค้ช มีการวางแผนการโค้ช
การดาเนินการโค้ช และการประเมินผลการโค้ช รวมทั้งการนาผลการโค้ชมาปรับปรุงและพัฒนา
ประสิทธิภาพของการโคช้

500

4. การพัฒนาที่ต่อเน่ือง (ongoing development) การโค้ชเน้นกระบวนการ
เรียนรู้และพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเน่ือง ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ทักษะ ความสามารถ ตลอดจนเจตคติที่ดี
ต่อการปฏบิ ัตงิ าน

5. การมีจุดเน้น (focusing) การโค้ชที่ดีจะต้องมีวัตถุประสงค์และจุดเน้นในส่ิงที่
ต้องการพัฒนาท่ีชัดเจน ซ่ึงสามารถเป็นได้ทั้งด้านความรู้ ทักษะ เทคนิควิธีการ ท่ีจะทาให้การจัดการ
เรยี นรมู้ ีประสิทธภิ าพ

6. การเช่ือมโยงกับการปฏิบัติงานจริง (onsite coaching) การโค้ชท่ีดีจะต้อง
เชื่อมโยงกับการปฏิบัติงานจริงของผู้สอน ผู้โค้ชควรให้คาช้ีแนะอย่างเป็นรูปธรรม เชื่อมโยงความรู้เชิง
ทฤษฎีกับบริบทการปฏิบัติงานจริงจนผู้รับการโค้ชเกิดความเข้าใจท่ีชัดเจนจนสามารถนาความรู้และ
ทกั ษะท่ีไดร้ ับจากการโค้ช ไปใช้ไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ

7. การทบทวนและสะท้อนผลการโค้ช (after action review and reflection)
เป็นการประเมินผลและทบทวนการดาเนินการโค้ชว่าบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่อย่างไร เพ่ือนาผลการ
ประเมนิ มาปรบั ปรุงและพฒั นาการโคช้ อยา่ งตอ่ เน่ือง

501

กระบวนการโค้ช

การโค้ชเป็นการดาเนินการท่ีเป็นข้ันตอนและมีความเป็นระบบ ประกอบด้วย
ข้ันตอนหลกั 4 ข้ันตอนดงั น้ี

1. การเตรียมการโค้ช เป็นการสังเกตสังเกตพฤติกรรมเพื่อค้นหาจุดอ่อน และ
จุดแข็งของบุคลากรท่ีจะได้รับการโค้ช ซึ่งผู้บริหารสามารถนาผลท่ีได้จากการประเมินมาใช้ประกอบ
ร่วมกับขอ้ มูลจากการสังเกตพฤตกิ รรมการปฏิบตั งิ านของผูส้ อน เพื่อให้มั่นใจว่าอะไรเป็นจุดอ่อนที่ผู้สอน
ควรได้รบั การพฒั นา อะไรคอื จดุ แข็งทค่ี วรสง่ เสรมิ ให้ดียง่ิ ข้นึ

2. การกาหนดแผนการโค้ชร่วมกันระหว่างผู้โค้ชและผู้รับการโค้ชที่มีลักษณะ
เป็นแผนการพัฒนาส่วนบุคคล โดยระบุวัตถุประสงค์และเปูาหมายของการโค้ช ซึ่งผู้โค้ชต้องสร้างความ
เข้าใจให้กับผู้รับการโค้ชให้เห็นความสาคัญของการพัฒนาตนเองเพื่อการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ
หรอื งานท่ีท้าทายมากข้ึน ข้นั ตอนนมี้ ุ่งเน้นการกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจให้บุคลากรต้องการพัฒนา
และเปลย่ี นแปลงตนเอง

3. การดาเนินการโค้ช เป็นการปฏิบัติการโค้ชตามแผนท่ีกาหนดไว้ โดยผู้โค้ช
จะทาหน้าที่ให้ความรู้ คาชี้แนะ คาแนะนา และการให้ผลย้อนกลับ (feedback) ท้ังในด้านพฤติกรรม
และผลการปฏิบัติงานทงั้ ในด้านทด่ี ีและด้านท่คี วรปรับปรงุ เพ่ือนาไปปรับปรุงตนเอง

4. การติดตามและประเมินผล เป็นการตรวจสอบและประเมินการบรรลุ
วัตถุประสงค์ของการโค้ชเป็นระยะๆ ตามความเหมาะสม ซ่ึงการติดตามและประเมินผลทาได้หลายวิธี
เชน่ การสงั เกตพฤติกรรมการทางาน การสัมภาษณ์ การพูดคุย เปน็ ตน้

502

13.5 บทบาทการโคช้ เพ่อื การรู้คิดของผสู้ อนในปจั จบุ นั

บทบาทของผู้สอนมีลาดับพัฒนาการ 3 ช่วงได้แก่ บทบาทการเป็นถ่ายทอดความรู้
จากตนเองไปสู่ผู้เรียนหรือการสอน (teaching) บทบาทการเป็นผู้เอ้ืออานวยความสะดวกในการ
เรียนรู้ (facilitator) และบทบาทการโค้ชเพ่ือการรู้คิด (cognitive coaching) ซึ่งเป็นบทบาทของ
ผสู้ อนในปจั จบุ ัน การโคช้ เพือ่ การรู้คิด เป็นการชว่ ยให้ผเู้ รยี นปฏบิ ัติกิจกรรมการเรียนรู้ได้บรรลุเปูาหมาย
อย่างมปี ระสทิ ธิผล และมีความผกู พันอยู่กับการเรียนรู้ สร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิด และแสวงหา
คาตอบและพัฒนาตนเองเต็มตามศักยภาพ (วิชยั วงษใ์ หญ่ และมารุต พัฒผล. 2557)

การโค้ชเพ่ือการรู้คิดเป็นสมรรถนะใหม่ของผู้สอนในการพัฒนาผู้เรียนในปัจจุบัน โดยใช้
วิธีการอยา่ งหลากหลาย ดงั ตอ่ ไปนี้

1. สร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเกิดความกระหายใคร่รู้ อยากเรียนรู้
สิ่งใหม่ อยากประสบความสาเร็จ มองการเรียนรู้ว่าเป็นส่ิงท่ีสาคัญและมีความท้าทาย เปิดโอกาส
ให้ผู้เรียนได้ต้ังคาถามในส่ิงที่อยากรู้ (learning to ask) แสวงหาคาตอบด้วยตนเอง (learning to
search) และการแลกเปลีย่ นเรียนรู้กบั บคุ คลอน่ื (learning to share)

2. กระตุ้นการรับรู้ท่ีถูกต้องให้กับผู้เรียน โดยการกระตุ้นให้ผู้เรียนสังเกตสิ่งรอบตัว
และเปรียบเทยี บความแตกตา่ ง หรอื จัดกลมุ่ ลักษณะที่เหมอื นกนั เพ่ือปอู งกันความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
(misconceptions) เช่น ให้ผู้เรียนสังเกตความแตกต่างระหว่างตัวอักษร “ถ” กับ “ภ” หรือ “พ”
กบั “ผ” หรือ “ฝ” กับ “ฟ” หรือการวิเคราะห์จาแนกแยกแยะจัดกลุ่มสิ่งท่ีอยู่รอบตัว เป็นต้น ซ่ึงการท่ี
ผู้เรียนมีการรับรู้ท่ีดี จะเปน็ พ้นื ฐานของการเรยี นรู้สง่ิ ต่างๆ ที่มีความซบั ซ้อนมากข้ึน

503

3. ชี้แนะการรู้คิด (cognitive guided) โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างเป็น
ระบบจากส่ิงที่ไม่ซับซ้อนไปสู่ส่ิงท่ีมีความซับซ้อนมากขึ้นเร่ือยๆ ตามลาดับขั้นของกระบวนการรู้คิด
(ความจา ความเข้าใจ การนาไปใช้ การวิเคราะห์ การประเมินค่า และการสร้างสรรค์) นอกจากน้ียังต้อง
ใช้วิธีการกระตุ้นการถ่ายโยงการเรียนรู้ (transfer of learning) จากสาระสาคัญหน่ึงไปยังอีก
สาระสาคัญหนึ่ง หรือไปสู่การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน ทาให้การเรียนรู้มีความหมาย
(meaningful of learning) มากขึ้น เมื่อการเรียนรู้เป็นสิ่งที่มีความหมายจะทาให้การเรียนรู้นั้น
มคี วามยง่ั ยืน

4. ตั้งคาถามทรงพลัง (power questions) เป็นคาถามที่กระตุ้นการคิดและการ
เรียนรู้ของผู้เรียน มีหลายประเภท ได้แก่ 1) คาถามกระตุ้นให้ผู้เรียนมีจุดมุ่งหมายในการคิด 2) คาถาม
กระตุ้นให้ผู้เรียนมีความปรารถนาในการเรียนรู้ 3) คาถามท่ีเสริมสร้างพลังความเชื่อม่ันในตนเอง
4) คาถามทใี่ ช้กระตนุ้ แรงบันดาลใจของผเู้ รยี น 5) คาถามเชงิ ลึกทมี่ ่งุ ให้ผูเ้ รียนใช้การคิดขั้นสูง โดยการใช้
คาถามทรงพลงั แตล่ ะประเภทสามารถบูรณาการเขา้ ไปในการจดั การเรยี นการสอนไดต้ ลอดเวลา

5. ประเมินและสะท้อนผล (assessment and reflection) เพ่ือการพัฒนาอย่าง
ต่อเน่ือง การประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ผู้สอนและผู้เรียนใช้ข้อมูลสารสนเทศทางการประเมิน
เป็นข้อมูลปูอนกลับ เพื่อการวินิจฉัยปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียน การปรับปรุงวิธีการเรียนรู้หรือวิธีการ
ทางานของผู้เรียน และพัฒนาผู้เรียนเป็นรายบุคคลที่ควบคุมกากับและปรับปรุงวิธีการเรียนรู้ วางแผน
การเรียนในข้ันตอนต่อไปให้บรรลุผลสาเร็จ และค้นหาการปรับปรุง วิธีการเรียนรู้เพื่อไปสู่เปูาหมาย
การเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง ซ่ึงผูส้ อนทาหน้าทใี่ หข้ อ้ มลู ทมี่ คี ณุ คา่ ตอ่ การเรยี นรูแ้ ก่ผู้เรียน ประกอบด้วย การให้
ข้อมูลกระตุ้นการเรียนรู้ (feed - up) การให้ข้อมูลย้อนกลับ (feed back) และการให้ข้อมูล
เพอื่ การเรียนร้ตู อ่ ยอด (feed - forward)

504

การให้ข้อมูลกระตุ้นการเรียนรู้ (feed - up) เป็นการให้ข้อมูลพ้ืนฐานของการ
เรียนรู้ ได้แก่ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ ภาระงาน (job and task)
ตลอดจนวธิ กี ารวัดและเกณฑ์การประเมินผล สร้างแรงจูงใจภายใน (inner motivation) ในการเรยี นรู้

การให้ข้อมูลย้อนกลับ (feed back) เป็นการให้ข้อมูลในระหว่างและภายหลัง
ทีผ่ ู้เรียนไดป้ ฏบิ ตั ิกจิ กรรมการเรียนรู้ หรอื การทางานต่างๆ เกยี่ วกับผลการเรียนรขู้ องผู้เรียน

การให้ข้อมูลเพื่อการเรียนรู้ต่อยอด (feed - forward) เป็นการให้ข้อมูลเพ่ือให้
ผู้เรียนเรียนรู้ดว้ ยตนเอง (self - learning) เพ่มิ เตมิ ภายหลังการจัดการเรียนการสอน มุ่งเน้นการช้ีแนะ
แนวทางและวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนรายบุคคล เพิ่มแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ ให้กาลังใจ
ผู้เรียน และเสริมพลังของการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน ผู้เรียนได้ทบทวนตนเองและสามารถนาไปพัฒนา
การเรียนร้ตู อ่ ไป

505

สรปุ

จากท่ีได้กล่าวมาในบทท่ี 13 เรื่อง บทบาทของบุคลากรต่อการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง
หลักสูตร สรุปสาระสาคัญได้ดังต่อไปน้ี

1. ภาวะผู้นาทางหลักสูตรเป็นคุณลักษณะท่ีสาคัญและจาเป็นต่อการปรับปรุงและ
เปลี่ยนแปลงหลกั สูตรใหม้ ีคุณภาพมากขน้ึ มคี ณุ ลักษณะที่สาคัญ ได้แก่ 1) มีจิตใจสร้างสรรค์ 2) มีทักษะ
การสื่อสาร 3) มีความเคารพ 4) การคิดอยา่ งเป็นระบบและการตัดสนิ ใจ 5) มที กั ษะการประนปี ระนอม

2. การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรจึงเป็นภารกิจท่ีสาคัญที่สืบเน่ืองมาจากการ
ประเมินหลักสูตร โดยผู้ท่ีมีบทบาทหน้าท่ีนาการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรจาเป็นต้องมีความสามารถหลาย
ประการ ได้แก่ 1) โค้ช 2) พี่เล้ียง 3) ผู้เอ้ืออานวยความสะดวก 4) ผู้กากับติดตาม 5) ผู้ประสานงาน
6) นักนวตั กรรม 7) ตวั แทน 8) ผผู้ ลิต 9) ผู้อานวยการ

3. ผู้ปฏิบัติการหลักสูตร หมายถึง บุคลากรทุกฝุายที่เป็นผู้ท่ีเกี่ยวข้องกับหลักสูตร
และทางานร่วมกันในการพัฒนาหลักสูตร นาหลักสูตรไปปฏิบัติ และประเมินหลักสูตร มีบทบาทสาคัญ
หลายประการ ได้แก่ 1) วิเคราะห์จดุ แขง็ และจดุ ทีต่ ้องปรบั ปรุงแก้ไข 2) ระดมพลังสมอง 3) วางแผนการ
นาหลักสูตรไปปฏิบัติ 4) แสวงหาแนวทาง วิธีการพัฒนาคุณภาพ 5) ศึกษาค้นคว้าวิจัยสร้างสรรค์
นวัตกรรม 6) สร้างหรือปรับปรุงรายวิชา / หน่วยการเรียนรู้ 7) พัฒนาความรู้ความสามารถที่เอ้ือต่อการ
ใช้หลักสูตร 8) สร้างเครือข่ายทางวิชาการ 9) ติดตามความก้าวหน้าและนามาใช้ 10) ประสานงานกับ
หน่วยงานหรอื องคก์ รต่างๆ

506

4. การโคช้ เป็นการที่ผู้สอนงานให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง ตลอดจนฝึก
ทักษะการปฏิบัติงานให้กับผู้ที่ได้รับการโค้ชด้วยวิธีการท่ีหลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการ
โค้ช โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้ผู้ที่ได้รับการโค้ชมีความรู้ ทักษะ ความชานาญ ความเชี่ยวชาญในการ
ปฏิบตั งิ าน ตลอดจนเจตคตทิ ่ดี ีตอ่ การปฏบิ ตั ิงาน

5. การโค้ชเพ่ือการรู้คิด เป็นบทบาทของผู้สอนในปัจจุบันท่ีช่วยให้ผู้เรียนปฏิบัติ
กิจกรรมการเรียนรู้ได้บรรลุเปูาหมายอย่างมีประสทิ ธิผล และมีความผกู พันอยู่กับการเรียนรู้ สร้างโอกาส
ให้ผู้เรียนได้ใชค้ วามคดิ และแสวงหาคาตอบ และพัฒนาตนเองเต็มตามศักยภาพ

507

บรรณานุกรม

วชิ ัย วงษ์ใหญ่ และมารตุ พัฒผล. (2557). การโค้ชเพ่อื การรคู้ ิด. กรุงเทพฯ: จรลั สนทิ วงศ์การพมิ พ.์
Achinstein, Betty., and Athanases, Steven Z. (2006). Mentors in the Making:

Developing New Teachers. New York: Teachers College Press.
Aguilar, Elena. (2013). The Art of Coaching: Effective Strategies for School

Transformation. San Francisco: Jossey – Bass.
Costa, Arthur L. and Garmston, Robert j. (2002). Cognitive Coaching A Foundation for

Renaissance Schools. 2nd ed. Massachusetts: Christopher – Gordon
Publishers, Inc.
Draft, Richard L. (2011). Leadership. Australia: South – Western Engage Learning.
DuFour, Richard., and DuFour, Rebecca. (2012). The School Leader’s Guide to
Professional Learning Communities at Work. Bloomington:
Solution Tree Press.
Glanz, Jeffery. (2002). Finding Your Leadership Style: A Guide for Educators.
Alexandria: Association for Supervision and Curriculum Development.
Glatthorn, Allan A. and others. (2009). Curriculum Leadership: Strategies for
Development and Implementation. 2nd ed. Los Angeles: Sage
Publications.
. (2012). Curriculum Leadership: Strategies for Development and
Implementation. 3rded. Los Angeles: Sage Publications.
Hughes, Richard L. (2015). Leadership: Enhancing the Lessons of Experience.
New York: McGraw – Hill Education.

508

Knight, Jim. (editor). (2009). Coaching: Approaches and Perspective. California:
Corwin Press.

Lattuca, Lisa R. (2009). Shaping the Collage Curriculum: Academic Plans
in Context. 2nded. San Francisco: Jossey – Bass.

Lieberman, Ann., and Miller, Lynne. (2004). Teacher Leadership. San Francisco:
Jossey – Bass.

McCauley, Cynthia D., and Velsor, Ellen Van. (editor). (2004). The Center for Creative
Leadership Handbook of Leadership Development. San Francisco:
Jossey – Bass.

Pierce, Jon L., and Newstrom, John W. (2003). Leaders & the Leadership Process:
Reading, Self – Assessment, & Applications. Boston: McGraw – Hill, Irwin.

Richard, Riding. (2007). Cognitive Styles and Learning Strategies: Understanding
Style Differences in Learning and Behavior. London: D. Fulton.

Robertson, Jan., and Timperley, Helen. (editor). (2011). Leadership and Learning.
Thousand Oaks, CA: SAGE Publications.

Schedlitzki, Doris. (2014). Studying Leadership: Traditional & Critical Approaches.
Los Angeles: Sage Publications.

Schedlitzki, Doris., and Edwards, Gareth. (2014). Studying Leadership: Traditional &
Critical Approaches. Los Angeles: Sage Publications.

Sweeney, Diane. (2011). Student – Centered Coaching: A Guide for K – 8 Coaches
and Principals. California: Corwin Press.

Tomlinson, Harry. (2004). Educational Leadership: Personal Growth for Professional
Development. London: Sage Publications.

509

Tomlinson, Carol Ann., and Allan, Susan Demirsky. (2000). Leadership for Differentiating
Schools & Classroom. Alexandria: Association for Supervision and
Curriculum Development.

Western, Simon. (2013). Leadership: A Critical Text. Los Angeles: Sage Publications.
Whitehead, Bruce M., Jensen, Devon E. N., and Boschee, Floyd. (2013). Planning for

Technology: A Guide for School Administrators, Technology
coordinators, and Curriculum Leaders. California: Corwin Press.

510

การปรบั ปรงุ และเปลยี่ นแปลงหลกั สูตร
ที่มปี ระสิทธิภาพจะเกิดขนึ้ ได้
ก็ต่อเมอ่ื มคี วามร่วมมอื รว่ มใจ

ของบคุ ลากรทกุ ฝา่ ยในลกั ษณะของ
ชมุ ชนแหง่ การเรยี นรูเ้ ชิงวชิ าชีพ

511

บทท่ี 14
การพัฒนาผู้สอน
ใหพ้ ร้อมต่อการปรับปรงุ และเปลย่ี นแปลงหลักสตู ร

512

14.1 การพัฒนาผสู้ อนโดยใชโ้ รงเรยี นเปน็ ฐาน

14. การพัฒนาผสู้ อน 14.2 การพฒั นาผสู้ อนโดยชุมชนแห่งการเรียนรู้เชงิ วชิ าชพี
ให้พรอ้ มตอ่ การปรับปรงุ 14.3 การพฒั นาผสู้ อนโดยใช้การวิจัยและพฒั นานวตั กรรมในงานประจา
และเปล่ยี นแปลงหลกั สูตร

14.4 แนวทางการพัฒนาผสู้ อนใหพ้ รอ้ มตอ่ การปรับปรุงและเปลีย่ นแปลง
หลกั สูตร: ถอดบทเรียนจากประสบการณ์การวจิ ยั

513

สาระสาคัญ

สาหรับในบทท่ี 14 เร่ือง การพัฒนาศักยภาพผู้สอนให้พร้อมต่อการปรับปรุงและ
เปล่ยี นแปลงหลักสตู ร มสี าระสาคญั ดังตอ่ ไปนี้

1. การพัฒนาผู้สอนมีเปูาหมายคือการพัฒนาให้มีความรู้ความสามารถ ทักษะ
สมรรถนะ และคณุ ลักษณะ การพฒั นาผู้สอนเป็นภารกิจที่สาคัญสาหรับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาใน
ทุกประเทศท่วั โลก และเม่อื ผู้สอนได้รบั การพัฒนาแล้วทาใหผ้ ู้เรียนมีคุณภาพสูงขน้ึ

2. การพัฒนาผู้สอนโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานเป็นกระบวนการพัฒนาผู้สอนตามสภาพ
ปัญหาและความตอ้ งการของสถานศกึ ษา ผ้สู อน ชุมชน ท้องถ่ิน เพ่ือเพิ่มขีดความสามารถที่เกี่ยวข้องกับ
การจัดการเรยี นร้ทู ี่มีประสิทธิภาพ

3. ชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ เป็นการผสมผสานแนวคิด 2 ประการ ได้แก่
ความเป็นมืออาชีพ และชุมชนแห่งการเรียนรู้ หมายถึงการรวมกลุ่มกันของบุคคลผู้ประกอบวิชาชีพ
ทางการศกึ ษาโดยมีจุดมงุ่ หมายเพ่อื พฒั นาสมรรถนะเชงิ วิชาชพี และคุณภาพของผูเ้ รยี นรว่ มกนั

4. การวิจยั และพัฒนานวัตกรรมในงานประจา เป็นการผสมผสานกันระหว่างการวิจัย
และพฒั นา การวิจยั ในงานประจา และนวัตกรรมมลี ักษณะเปน็ การวิจยั ที่เปน็ เนือ้ เดยี วกับการปฏิบัติงาน
ประจา ชว่ ยทาใหม้ ีนวัตกรรมสาหรับการปฏบิ ัติงานประจามปี ระสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึน้

5. การพัฒนาศักยภาพผู้สอนให้พร้อมต่อการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตร
เป็นภารกจิ สาคัญของผบู้ รหิ ารตลอดจนผสู้ อนเองในการพฒั นาความรู้และทักษะตา่ งๆ อย่างต่อเนอื่ ง

514

ผสู้ อนเปน็ บุคลากรที่มคี วามสาคัญทส่ี ดุ
ในการพฒั นาคณุ ภาพการศึกษา

จาเป็นต้องได้รับการพฒั นาทางวชิ าการ
อย่างต่อเนื่องดว้ ยวิธีการทสี่ อดคล้องกับ
วฒั นธรรมองค์กรและวฒั นธรรมการทางาน

515

14.1 การพัฒนาผู้สอนโดยใชโ้ รงเรยี นเป็นฐาน

การพัฒนาผูส้ อน (teachers professional development) มีเปาู หมายคือการพัฒนาให้มี
ความรู้ความสามารถ ทักษะ สมรรถนะ และคุณลักษณะ การพัฒนาผู้สอนเป็นภารกิจท่ีสาคัญสาหรับ
การพัฒนาคุณภาพการศึกษาในทุกประเทศท่ัวโลก เมื่อผู้สอนได้รับการพัฒนาแล้วทาให้ผู้เรียน
มคี ณุ ภาพสูงข้ึน

ก า ร พั ฒ น า ผู้ ส อ น โ ด ย ใ ช้ โ ร ง เ รี ย น เ ป็ น ฐ า น ใ ห้ พ ร้ อ ม ต่ อ ก า ร ป รั บ ป รุ ง แ ล ะ
เปลี่ยนแปลงหลกั สตู ร

การพัฒนาผู้สอนโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานเป็นกระบวนการพัฒนาผู้สอนตามสภาพ
ปัญหาและความต้องการของสถานศกึ ษา ผู้สอน ชุมชน ท้องถิ่น เพ่ือเพ่ิมขีดความสามารถที่เก่ียวข้องกับ
การจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ โดยวิธีการพัฒนาเน้นการปฏิบัติจริงตามบริบทของการจัด
การเรยี นรู้ โดยใชก้ ระบวนการมีส่วนร่วมของทุกฝุาย มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง เพื่อร่วมกัน
แกป้ ัญหาตลอดจนพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนให้บรรลุเปูาหมายของสถานศึกษา (ศศิธร เขียวกอ. 2548,
สุวมิ ล ว่องวานชิ . 2546)

ภายใต้บริบทของชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ (Professional Learning
Community: PLC) ผ่านกระบวนการเรียนรู้ร่วมมือร่วมใจ การเรียนรู้ประสบการณ์การปฏิบัติงาน
ในพ้ืนท่ี และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง การทางานร่วมกันและความรับผิดชอบต่อตนเอง
ทาให้ผู้สอนมีความรู้ในเนื้อหา และเทคนิควิธีการจัดการเรียนการสอน ส่งผลทาให้สามารถจัดการเรียน
การสอนไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธผิ ล เกดิ การปรับปรุงและพฒั นาอย่างต่อเนอ่ื ง

516

โดยได้รับการโค้ชเพ่ือการรู้คิดให้มีความรู้ ความสามารถ การตรวจสอบประเมินตนเอง
กาหนดทิศทางการพฒั นาตนเองได้ โดยใช้เทคนคิ วธิ กี ารต่างๆ เช่น การตั้งคาถาม การให้ข้อมูลย้อนกลับ
การให้คาแนะนา การแนะแนวการคิด วิธีการคิด วิธีการเรียนรู้ที่ทาให้เกิดแรงบันดาลใจนาไปสู่การ
แสวงหาความรู้ การฝึกฝนทกั ษะ

จากประสบการณ์การทาวิจัยพัฒนาผู้สอนของผู้เขียน ได้แก่ 1) การพัฒนาความสามารถ
ในการจัดทาหน่วยการเรียนรู้บูรณาการท่ีสอดคล้องกับท้องถ่ินของผู้สอนระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
(พ.ศ. 2553) 2) การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมผู้สอนเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการจัดการเรียนรู้
โดยใชว้ จิ ยั เปน็ ฐาน (พ.ศ. 2555) 3) รปู แบบการพัฒนาผู้สอนด้านการจัดการเรียนรู้ที่เสริมสร้างการรู้คิด
และความสุขในการเรียนรู้ของผู้เรียนระดับประถมศึกษา (พ.ศ. 2556) และ 4) รูปแบบการเสริมสร้าง
ศกั ยภาพการจัดการเรียนรขู้ องครูโรงเรยี นตารวจตระเวนชายแดน (พ.ศ. 2557) ทาให้พบว่า การพัฒนา
ผ้สู อนโดยใช้โรงเรียนเปน็ ฐาน มขี ้อดีดงั ตอ่ ไปน้ี

1. กิจกรรมการพัฒนาบูรณาการกับงานประจาของผู้สอนไดด้ ี

2. ผู้สอนไม่ตอ้ งท้งิ ชั้นเรยี นเพือ่ เขา้ รับการพฒั นา

3. ประหยดั ทรพั ยากรด้านต่างๆ เช่น เวลาการเดนิ ทาง งบประมาณ เปน็ ตน้

4. ผ้สู อนสามารถนาความรู้ ทักษะ ไปใช้ในช้ันเรยี นไดท้ นั ที

5. สร้างบรรยากาศทผ่ี ่อนคลายและการแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ไดง้ า่ ย

517

ภาพถ่ายการร่วมกันออกแบบการ
จั ด ก า ร เ รี ย น รู้ แ บ บ บู ร ณ า ก า ร
ในโครงการพัฒนาผู้สอนโดยใช้
โ ร ง เ รี ย น เ ป็ น ฐ า น หั ว ข้ อ
“การจัดการเรียนรู้แบบบูรณา
การ” ของผู้เขียน ที่โรงเรียน
ศรีสวัสดิ์พิทยาคม อ.ศรีสวัสดิ์
จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 10 – 11
พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ภาพถ่ายจากการสังเกตพฤติกรรม
การโค้ชของผู้สอน ในโครงการ
พั ฒ น า ผู้ ส อ น โ ด ย ใ ช้ โ ร ง เ รี ย น
เป็นฐาน หัวข้อ “การการโค้ช
เ พ่ื อ ก า ร รู้ คิ ด ” ข อ ง ผู้ เ ขี ย น
ที่โรงเรียนวัดดอนเจดีย์ราษฎร
บูรณะ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี
ในช่วง พฤศจิกายน 2557 –
มนี าคม 2558

518

14.2 การพฒั นาผูส้ อนโดยใช้ชมุ ชนแหง่ การเรยี นรูเ้ ชงิ วิชาชพี

ชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ (Professional Learning Community: PLC) เป็นการ
ผสมผสานแนวคิด 2 ประการ ได้แก่ ความเป็นมืออาชีพ (professional) และ ชุมชนแห่งการเรียนรู้
(learning community) หมายถึง การรวมกล่มุ กนั ของบคุ คลผปู้ ระกอบวิชาชีพทางการศึกษาโดยมี
จุดม่งุ หมายเพื่อพัฒนาสมรรถนะเชิงวิชาชีพ และคุณภาพของผู้เรียนร่วมกัน ผ่านกระบวนการเรียนรู้
ร่วมมือรว่ มใจ การเรยี นรูป้ ระสบการณก์ ารปฏบิ ัตงิ านในพื้นที่ และการแลกเปล่ียนเรียนร้อู ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง

จุดเน้นของชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพครู คือ การเรียนรู้ร่วมกัน การทางานแบบ
ร่วมมือร่วมใจ (work collaborative) และความรับผิดชอบต่อตนเอง (self - accountable)
บุคลากรเกดิ ความผกู พันกับองค์กร โดยมีการพัฒนาบุคลากรที่สอดคล้องกันตามลาดับความสาคัญของ
ภารกิจ การพฒั นาภาวะผ้นู ากับผู้บริหาร การทุ่มเทการส่ือสารค่านิยมขององค์กรกับพันธกิจให้บุคลากร
เขา้ ใจตรงกนั

องคค์ วามรูท้ ่ีเกิดจากการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนของครูแต่ละคนจะถูกนามาจัดการความรู้
อย่างเป็นระบบและนามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซ่ึงกันและกันอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยกระบวนการจัดการ
ความรู้ ช่วยทาให้ครูมีความรู้ในเนื้อหา และเทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ ส่งผลทาให้สามารถจัดการ
เรยี นรูไ้ ดอ้ ย่างมีประสิทธิผล เกิดการปรับปรุงและพฒั นาอย่างต่อเน่ือง

การพัฒนาสถานศึกษาให้เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ เพื่อการขับเคล่ือนกรอบ
แผนการจัดการศึกษาตลอดชีวิตมุ่งสู่ความเป็นเลิศด้านอาชีพท้องถ่ิน มีองค์ประกอบ 5 ประการ
ดงั ต่อไปน้ี

519

1. การแลกเปลี่ยนคุณค่าและวิสัยทัศน์ (shared values and vision) หมายถึง
การแลกเปล่ียนแบ่งปัน และกาหนดวิสัยทัศน์การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ตลอดจนการมีพันธะสัญญา
ร่วมกันระหว่างครูและผู้บรหิ ารในการยกระดับคณุ ภาพการจัดการศึกษา

2. วัฒนธรรมความร่วมมือร่วมใจ (collaborative culture) หมายถึง พันธะ
สัญญาเกี่ยวกับ ความร่วมมือร่วมใจของครูทุกคน รวมทั้งผู้บริหาร สาหรับการดาเนินกิจกรรมต่างๆ
ในชุมชนแห่งการเรียนรูเ้ ชงิ วิชาชีพโดยมเี ปูาหมายเดียวกัน มคี วามรบั ผิดชอบตอ่ การเรียนรูข้ องผู้เรียน

3. มุ่งเน้นการตรวจสอบและปรับปรุงผลการเรียนรู้ของผู้เรียน (focus on
examining outcomes to improve student learning) หมายถึง การให้ความสาคัญกับผลลัพธ์
การเรียนรู้ของผู้เรียน โดยการประเมินผลการเรียนรู้ และนาข้อมูลสารสนเทศจากการประเมิน
มาวางแผนและดาเนินการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนอย่างต่อเน่ือง ซ่ึงครูและผู้บริหารต้องมีความ
รบั ผดิ ชอบต่อผลการตรวจสอบดังกล่าวซึง่ ถอื วา่ เปน็ ความรบั ผดิ ชอบรว่ มกัน

4. การสนับสนุนและแลกเปลี่ยนภาวะผู้นา (supportive and shared
leadership) หมายถงึ การให้การสนับสนนุ การดาเนินการของชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ รวมทั้ง
การให้ครทู กุ ๆ คน เปน็ ผู้นาในการตดั สนิ ใจ บนพื้นฐานความเทา่ เทียมกนั และข้อมูลสารสนเทศ บทบาท
ภาวะผู้นา มจี ดุ เน้นท่กี ารกระตนุ้ ให้มีการแลกเปลีย่ นเรียนรูร้ ่วมกันใหม้ ากที่สุดเพื่อคุณภาพของผเู้ รยี น

5. การแลกเปล่ียนประสบการณ์การปฏิบัติส่วนบุคคล (shared personal
practice) หมายถึง การนาความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน จากการ
ประเมินตนเอง การสังเกตการจัดการเรียนรู้ของเพื่อนครู และผลการประเมินต่างๆ เช่น ทักษะการ
เรียนรู้ของผู้เรียน มาแลกเปล่ียนเรียนรู้กับเพื่อนครูในชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ ซึ่งการแบ่งปัน
ประสบการณ์การปฏิบัติส่วนบุคคลน้ีจะช่วยทาให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาความเป็นมืออาชีพอย่าง
ตอ่ เนอื่ งและยั่งยนื

520

วฒั นธรรม
ความร่วมมอื ร่วมใจ

การแลกเปลีย่ นคณุ คา่ ม่งุ เน้นการตรวจสอบและ
และวสิ ยั ทศั น์ ปรบั ปรงุ ผลการเรียนรูข้ องผู้เรยี น

ชมุ ชนแหง่ การเรยี นร้เู ชิงวิชาชีพครู

การแลกเปล่ยี นประสบการณ์ การสนับสนนุ
การปฏิบตั สิ ว่ นบคุ คล และแลกเปลย่ี นภาวะผ้นู า

แผนภาพ 73 องค์ประกอบของชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชพี

521

การใช้ชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพสามารถพัฒนาศักยภาพของผู้สอนให้มีความ
พร้อมต่อการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรได้ ในแง่ของการพัฒนาความรู้ ความสามารถ
ตลอดจนทักษะต่างๆ ที่ทันสมัย สอดคล้องกับบริบทการจัดการศึกษาที่เป็นปัจจุบัน ดังเช่นงานวิจัย
ของปองทิพย์ เทพอารีย์ นิสิตปริญญาเอกสาขาการวิจัยและพัฒนาหลักสูตร ได้ทาปริญญานิพนธ์ เร่ือง
การพัฒนารูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพครูประถมศึกษา โดยผู้เขียนทาหน้าที่เป็นประธาน
คณะกรรมการควบคุมปริญญานิพนธ์ ผลจากการวิจัยทาให้พบว่า ชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ
สามารถพัฒนาผู้สอนให้มีสมรรถนะวิชาชีพ 4 ด้าน คือ การพัฒนาตนเอง การจัดการเรียนรู้ที่เน้น
ผู้เรยี นเป็นสาคญั การวดั และประเมินผลตามสภาพจริง และการทางานเป็นทีม นอกจากน้ีจากการที่
ผู้สอนได้นาความรู้และประสบการณ์จากการทากิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพไปใช้ในการ
จดั การเรยี นรู้ ยงั ทาให้ผู้เรยี นมีทกั ษะการเรยี นร้แู ละนวตั กรรม ทักษะสารสนเทศสูงขนึ้

นอกจากนี้จากการวิจัยของผู้เรียนดังกล่าว ผู้เขียนได้นาแนวคิดหลักการของชุมชนแห่ง
การเรยี นรู้เชงิ วิชาชพี มาใช้เปน็ สว่ นหนง่ึ ในกระบวนการพัฒนาผู้สอน ซ่ึงทาให้เห็นว่าสามารถนามาใช้
พัฒนาผูส้ อนไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิผล นับได้ว่าเป็นวิธีการที่ควรนาไปปรับประยุกต์ใช้ต่อไป ซ่ึงนอกจาก
ผู้สอนจะไดร้ ับการพัฒนาความร้คู วามสามารถตา่ งๆ แลว้ ยงั นับว่าเปน็ การเตรยี มความพร้อมต่อการ
ปรบั ปรงุ และเปล่ยี นแปลงหลักสูตรที่อาจเกิดขึน้ ได้ด้วย

ผู้เขียนได้ทาวิจัยการพัฒนาผู้สอนโดยนาแนวคิดหลักการของชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิง
วิชาชีพมาใช้ในการวิจัย เช่น การวิจัยเสริมสร้างศักยภาพการจัดการเรียนรู้ของครูโรงเรียนตารวจ
ตระเวนชายแดน เมื่อ พ.ศ. 2557 เป็นต้น ซ่ึงหากสถานศึกษาสามารถนาแนวคิดหลักการชุมชน
แห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพไปใช้พัฒนาศักยภาพของผู้สอนให้มีความพร้อมต่อการปรับปรุงและ
เปลีย่ นแปลงหลักสตู รท่ีจะเกิดข้นึ ในอนาคตไดเ้ ป็นอยา่ งดี

522
ชมุ ชนแหง่ การเรียนรู้เชิงวิชาชีพครู
โรงเรียนตารวจตระเวนชายแดน
บ้านต้นมะม่วง รวมกลุ่มกันเรียนรู้
เรอ่ื งการวิจยั เพื่อพัฒนาการเรียนรู้
ใ น โ ค ร ง ก า ร วิ จั ย เ ส ริ ม ส ร้ า ง
ศักยภาพการจัดการเรียนรู้ของครู
โรงเรียนตารวจตระเวนชายแดน
ในงานวิจยั ของผเู้ ขียน

ชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพครูโรงเรียนตารวจตระเวนชายแดนวัดสุธาสินี รวมกลุ่มกันเรียนรู้
เร่อื งการวิจัยเพ่ือพัฒนาการเรยี นรู้ ในโครงการวจิ ยั เสริมสร้างศกั ยภาพการจัดการเรยี นร้ขู องครูโรงเรียน
ตารวจตระเวนชายแดนในงานวิจยั ของผเู้ ขียน

523

14.3 การพัฒนาผูส้ อนโดยใช้การวิจัยและพัฒนานวตั กรรมในงานประจา

การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมในงานประจา เป็นการผสมผสานกันระหว่างการวิจัยและ
พัฒนา (research and development) การวิจัยในงานประจา (routine to research) และ
นวัตกรรม (innovation) มีลักษณะเป็นการวิจัยที่เป็นเนื้อเดียวกับการปฏิบัติงานประจา ช่วยทาให้มี
นวัตกรรมสาหรบั การปฏบิ ตั งิ านประจามีประสทิ ธภิ าพและประสทิ ธิผลมากขึน้

การวิจัยและพัฒนาเป็นการวิจัยที่มีกิจกรรมหลัก 2 ประการ คือ การวิจัย (Research: R)
และการพัฒนา (Development: D) เพื่อใหไ้ ด้นวตั กรรมทีต่ อ้ งการ โดยทว่ั ไปเรียกสนั้ ๆ ว่า R & D

อย่างไรกต็ ามในแง่ของการปฏบิ ตั นิ นั้ การวจิ ยั และพัฒนาสามารถเรม่ิ ตน้ จากการวิจัยตามด้วย
การพฒั นา (R D) หรือจะเริ่มต้นจากการพัฒนาแล้วตามด้วยการวิจัย (D R) ก็ได้ นอกจากน้ี
ยังดาเนินการได้หลายวงรอบโดยไม่มีขีดจากัด จนกว่าจะได้นวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพ ดังน้ันวงจรการ
วจิ ยั (R D) จงึ อาจขยายเปน็ (R1 D1 R2 D2) หรือ (D1 R1 D2 R2) กไ็ ด้

ก า ร วิ จั ย ใ น ง า น ป ร ะ จ า เ ป็ น ก า ร วิ จั ย ท่ี มุ่ ง พั ฒ น า ง า น ป ร ะ จ า ใ ห้ มี ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ แ ล ะ มี
ประสิทธิผลมากขน้ึ โดยอาจใชว้ ธิ ีการวิจัยประเภทต่างๆ เช่น การวิจัยเชิงสารวจ การวิจัยเชิงปฏิบัติการ
เป็นต้น โดยผู้ท่ีทาหน้าที่เป็นนักวิจัยคือผู้ปฏิบัติงานน้ันเอง ทาได้รวดเร็ว ไม่ต้องใช้งบประมาณสูง
มุ่งเน้นการพัฒนางานประจาให้ดีข้ึน โดยการวิจัยจะเร่ิมต้นจากการวิเคราะห์ปัญหาของการปฏิบัติงาน
แล้วแสวงหาวธิ ีการแก้ปญั หานั้นดว้ ยวธิ ีการต่างๆ แล้วนามาทดลองปรับปรุงเปล่ียนแปลงการปฏิบัติงาน
โดยมีการเกบ็ รวบรวมข้อมลู อย่างเป็นระบบว่าการปฏบิ ัติงานดว้ ยวิธีการใหม่น้ันมีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม
หรอื ไมอ่ ย่างไร หากพบว่าวธิ กี ารใหมด่ กี ว่าวิธีการเดิมก็จะใชว้ ธิ ีการใหม่นน้ั แทนวธิ ีการเดมิ

524

นวัตกรรม เป็นความชานาญหรือความสามารถในการใช้กระบวนการทางความคิด
สร้างสรรค์ โดยใช้จินตนาการและการถ่ายทอด ใช้ทักษะในการสร้างส่ิงท่ีมีเอกลักษณ์ของตน จนทาให้
เกิดส่งิ ใหม่หรือนวตั กรรมทีท่ าข้นึ ใหมห่ รือพัฒนาข้ึนซึง่ อาจอยูใ่ นรปู แบบของความคิด วิธีการ การกระทา
หรอื ส่ิงประดษิ ฐต์ า่ งๆ โดยอาจเป็นสิ่งใหม่ท้ังหมดหรือใหม่เพียงบางส่วน และอาจใหม่ในบริบทใดบริบท
หน่ึงหรือในช่วงเวลาใดเวลาหนงึ่

จากทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ นน้ั สามารถแสดงแผนภาพแนวคิดของการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม
ในงานประจา ได้ดงั ตอ่ ไปน้ี

Routine R1 D1 R2 D2 Routine

ปัญหา วิจยั ศกึ ษา ออกแบบ วจิ ัย ปรบั ปรงุ งานประจา

ในงาน ข้อมลู สาคญั นวตั กรรม ดาเนินการ นวัตกรรม มปี ระสิทธิภาพ

ประจา สาหรับการ ทีส่ อดคล้อง ทดลองใช้ และนามา และประสิทธผิ ล

ออกแบบ กับสภาพ นวตั กรรม ใชอ้ ย่าง มากข้ึน

นวตั กรรม ปญั หา ควบคูก่ บั ต่อเน่อื ง

การปฏิบัติ

งานประจา

แผนภาพ 74 แนวคดิ ของการวิจัยและพัฒนานวตั กรรมในงานประจา

525

14.4 แนวทางการพัฒนาผ้สู อนใหพ้ ร้อมตอ่ การปรบั ปรุงและเปลีย่ นแปลง
หลกั สตู ร: ถอดบทเรยี นจากประสบการณ์การวจิ ัย

การพัฒนาศกั ยภาพผูส้ อนใหพ้ ร้อมตอ่ การปรับปรงุ และเปลี่ยนแปลงหลักสูตร เป็นภารกิจ
สาคญั ของผู้บริหารตลอดจนผสู้ อนเองในการพัฒนาความรูแ้ ละทักษะต่างๆ ให้พร้อมต่อการเปล่ียนแปลง
ต่างๆ เช่น ในปี พ.ศ. 2544 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
พุทธศักราช 2544 และสถานศึกษาต้องดาเนินการจัดทาหลักสูตรสถานศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพ
บริบทของสถานศกึ ษา และมีการพฒั นาครใู นด้านการจดั ทาหลกั สตู รสถานศึกษาทวั่ ประเทศ เปน็ ต้น

ประกอบกับด้วยความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการเปล่ียนแปลงทางสังคม ทาให้
ผู้สอนต้องพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลาเพ่ือให้มีความสามารถจัดการเรียนรู้ตลอดจนปฏิบัติภารกิจอ่ืนๆ
ท่ีเกยี่ วข้องกบั การพัฒนาผเู้ รยี นไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพและประสทิ ธผิ ล

จากประสบการณ์การวิจยั ของผู้เขียน ไดแ้ ก่

1. การพัฒนาความสามารถในการจดั ทาหน่วยการเรียนรู้บูรณาการท่ีสอดคล้องกับ
ท้องถน่ิ ของผสู้ อนระดับการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน (พ.ศ. 2553)

2. การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมผู้สอนเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการจัดการ
เรยี นรู้ โดยใชว้ ิจัยเป็นฐาน (พ.ศ. 2555)

3. รูปแบบการพัฒนาผู้สอนดา้ นการจดั การเรียนรทู้ ่ีเสริมสรา้ งการรู้คิดและความสุข
ในการเรียนร้ขู องผู้เรยี นระดับประถมศกึ ษา (พ.ศ. 2556)

526

4. รปู แบบการเสริมสรา้ งศกั ยภาพการจัดการเรียนรู้ของครูโรงเรียนตารวจตระเวน
ชายแดน (พ.ศ. 2557)

ทาให้เห็นว่าการพัฒนาศักยภาพของผู้สอนน้ันเป็นภารกิจที่สาคัญอย่างยิ่งในการพัฒนา
คณุ ภาพการศึกษาและการเตรียมความพรอ้ มตอ่ การปรับปรุงและเปลยี่ นแปลงหลกั สูตร ซึ่งมีแนวทาง
ที่สาคัญหลายประการ ซ่ึงก่อนจะสังเคราะห์ให้เห็นว่าแนวทางดังกล่าวประกอบด้วยอะไรบ้าง ผู้เขียน
ขอนาเสนอผลการวิจัยทั้ง 4 เรอื่ งดงั กลา่ วโดยสรปุ สาระสาคัญ ดังต่อไปนี้


Click to View FlipBook Version